PDF 2542-12-10-ผู่ถี #23.pdf
วันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
สายลมหนาวพัดต้องกายพาหนาวสั่น เฝ้าแบ่งปันน้ำใจกันอาจหายหนาวชีวิตคนแสนสั้นไม่ยืนยาว แก้เรื่องราวด้วยสติจึงบรรเทา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ชีวิตหนึ่งมีปัญหาสารพัน รู้เท่าทันก่อนจะสายใช้สติ
ต่างไม่ใช่ผู้ชำนาญแลชำนิ อย่าคิดริใช้อารมณ์จะสวนทาง
ทำเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กถอยยอมก่อน คนเลือดร้อนมีแต่จะต้องเสีย
เมื่อชีวิตไม่เป็นสุขคงต้องเพลีย มารลามเลียในใจตนคนไร้ธรรม
ศึกษาธรรมเบาอารมณ์แลอัตตา เหล่าคนกล้าแลขลาดเขลาต่างลิบลับ
ขอให้รู้ด้วยปัญญาย้อนมองกลับ อย่าสลับด้วยหลงผิดยากคืนแดน
นำตนให้ดีเลิศด้วยพยายาม อย่ามองข้ามเรื่องเล็กน้อยสม่ำเสมอ
มีความผิดมากมายเกิดจากเผอเรอ ให้พบเจอทางคืนจากใจตน
เมื่อลืมตาย่อมไม่อาจจะลืมตัว ฟ้าดินกลัวที่สุดคนหลงตน
ในชีวิตยิ่งทียิ่งสับสน ความอับจนเกิดด้วยรู้เขาไม่รู้เรา
ในบัดนี้ฟ้าดินส่งสายทองมา โปรดทั่วหล้าสาธุชนคนดีพร้อม
ความสำเร็จเกิดด้วยบำเพ็ญพร้อม ทั้งนอกในไม่จอมปลอมกุศลจริง
น้องโชคดียามนี้มีกายเป็นคน ขอรู้ตนอย่าเดินผิดทางไปอีก
มีคุณธรรมจริงภูตผีภัยต่างหลบหลีก ถูกแล้วยังเผลอผิดอีกกรรมตามทวง
อย่าสงสัยให้ในจิตขาดศรัทธา สามวันหนาการเริ่มต้นใฝ่มรรคผล
ขอให้ใช้ชีวิตนี้อย่างรู้ตน ธรรมแยบยลพลิกแพลงใช้ชีพร่มเย็น
หลังจากจบชั้นนี้แล้วหมั่นศึกษา ให้นำพาเวไนยสู่ทางนี้
แม้ไม่มีความร่ำรวยอันล้นปรี่ แต่ความดีมีล้นพ้นก็เกินพอ
ดั่งอยู่กลางทะเลทุกข์สุขกี่ครั้ง จะหันหลังคืนฝั่งใจอย่าโลเล
อันกิเลสมากมายที่อยู่ปนเป ความเจ้าเล่ห์ต่างต่างเร่งขจัดไป
ดอกไม้บานดอกไม้โรยต้นไม้คง จิตนี้จงดั่งต้นไม้สงบได้
กลางวุ่นวายยังได้เจอวีรบุรุษได้ กลางยุคปลายคัดเลือกปราชญ์เมธี
ในวันนี้เป็นวันแรกเข้าประชุม ขอสุขุมค่อยคิดอ่านอย่างถูกต้อง
ปฏิบัติตนอยู่ในธรรมครรลอง ใจไม่สองจึงพบพระในตน
จงรักษาพุทธระเบียบให้ดีดี อย่าได้มีความวุ่นวายแม้แต่น้อย
นั่งฟังดีกุศลจักมีไม่น้อย น้องจงค่อยศึกษาทำความเข้าใจ
ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น หวังน้องนั้นจงตั้งใจอย่างยิ่งใหญ่
งานหลงฮว๋า จัดเตรียมรอน้องคืนไป ขอให้ใช้ชีวิตนี้สร้างคุณค่า
สามวันนี้มาให้ครบอย่าได้ขาด คนประมาทดูเบาก่อนย่อมเสียผล
ปลูกต้นไม้ต้องดูแลจึงออกผล เกิดเป็นคนต้องดูแลจิตตนเอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอมั่นใจในธรรมบำเพ็ญเถิด
เวลานี้เหล่าวิญญาณแย่งกันเกิด น้องได้เกิดเป็นคนแล้วทำตนให้ดี
จรดวางพู่กันทองบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
ความเกียจคร้านหากเกิดมาเมื่อไร ให้กลั้นใจขจัดออกให้หมด
อย่าปล่อยไว้เนิ่นนานจะรันทด พลังถดถอยให้รู้รีบฉุดดึง
เราคือ
(เสียวเสี่ยวฝอถง) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกทุกท่านสบายดีไหม
แม้ในโลกปัจจุบันมีหลายอย่าง ท่ามกลางฟ้าดินมนุษย์วิเศษสุด
ธรรมญาณ ณ กลางประเสริฐแลบริสุทธิ์ อย่าท้อหยุดอธิษฐานสุดทางไกล
บรรเทาการสู้รบไม่บาดหมาง สงบจิตเพื่อสุขบ้างตามวิสัย
ธรรมชาติสำเร็จใครมีเรื่อยไป เมื่อเข้าใจด้วยปัญญาเลิกแย่งชิง
ถนัดงานตนลำพังรวมย่อมพลาด ใช้อำนาจพลังคนละอารมณ์ทิ้ง
ทุกข์อกไหม้คนละเกษมจริง สตินิ่งใช้หยุดมือที่วุ่นวาย
บำเพ็ญธรรมตั้งแต่ตื่นจนนิทรา ไม่เดินหาเข้าอารมณ์อัตตาใหญ่
ยาวหรือสั้นชีวิตกลั่นคุณค่าไว้ จะรอเวลาทำไมหรือโอกาสมี
กมล๑คนดีเสียปะปนสูญค่า ยุคสามฟ้าเมตตาคัดถ้วนถี่
น้ำกระเพื่อมจากในโปรดคนดี ลงมือเร่งโลกสามัคคีด้วยเรา
ปล่อยอัตตาวางยึดถือกังวลหมด ธุลี๒จดลงในใจไร้เหย้า
มาย้อนมองอีกทีตัวเรา บำเพ็ญนานครั้นแล้วบรรเทาหรือทวี
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
สมมติว่าตัวท่านจะยื่นของให้คนอื่น แล้วเขาปฏิเสธบอกไม่เอา ท่านจะทำอย่างไร (ตื้อ) ถ้าตื้อแล้วไม่ได้ผลก็ต้องตื้ออีก เขาไม่รับอาจเพราะเขาเกรงใจหรือดูความจริงใจว่าเราจะให้เขาจริงๆ หรือว่าไม่อยากให้ ถ้ามีใครยื่นของให้ท่าน ท่านก็อยากได้เหมือนกันแต่บอกไม่เอา ถ้าเขาไม่อยากให้เราจริงๆ พอเราไม่เอาเขาก็เก็บขึ้นและรู้สึกว่าดีเหมือนกัน เขาก็เก็บขึ้น เวลาเราให้ของทำให้เราได้ทั้งรู้ใจเขาแล้วก็รู้ใจเรา ถ้าเราไม่พูดเขาจะรู้เรื่องหรือไม่ว่าทำไมเราถึงให้เขา ฉะนั้นเวลาเราจะให้ของเราต้องบอกด้วยว่าให้และให้ไว้ทำอะไร ไม่ใช่บอกว่ามีของอยากจะให้ ใครเขาจะรู้เรื่อง บางทีจะยื่นของให้ใครสักคนหนึ่ง เราต้องบอกเขาก่อนว่าเราให้ ของนี้มีประโยชน์อย่างไร หรือถ้าเกิดว่าเราไม่เข้าใจของที่เราจะให้ก็บอกเขาว่ายังไม่ได้อ่าน เธอก็ลองอ่านดูก่อนก็แล้วกันว่าเป็นอย่างไร แต่ฉันรู้แค่เพียงว่าถ้าเธอใช้แล้วมันจะดี ถ้าเธอมีแล้วจะมีแต่ได้
เหมือนวันนี้คนข้างๆ ชวนให้ท่านมารับธรรมะ ให้มาศึกษาและมารู้จักว่าธรรมะคืออะไร บำเพ็ญธรรมเป็นอย่างไร ที่รับไปแล้วหมายถึงอะไร ถ้าเขาเอาแต่ให้อย่างเดียวท่านก็ต้องสงสัย ฉะนั้นคนที่จะให้ต้องรู้จักอธิบาย รู้จักพูดโน้มน้าว เขาถึงจะอยากได้ในสิ่งที่คนเขาจะให้ หรือว่าให้อะไรก็เอาหมด พอติดป้ายว่าแจกฟรีก็วิ่งกันไปเป็นแถวเลย เราชอบของฟรี ชอบอะไรที่ได้มาสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อย แต่พอได้มาง่ายๆ ก็ทอดทิ้ง และทิ้งขว้าง
ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งที บางครั้งได้อะไรมาง่ายๆ เราต้องดูด้วยว่า คนที่เขาให้เรามาไม่ได้เอามาให้ง่ายๆ เลย เราก็ต้องเห็นใจเขาด้วยว่ากว่าเขาจะหยิบยื่นของมาให้เราบางทีก็ยากเหมือนกัน ฉะนั้นถึงแม้เราจะได้มาง่าย แต่เราต้องอย่าลืมนึกถึงคนที่เขาเอามาให้เราด้วยว่าเขาได้มายากแค่ไหน ของบางอย่างนั้นต้องเกิดจากการลงแรงเพียรพยายามถึงจะได้สิ่งนั้นมา ของบางอย่างไม่ต้องลงแรงก็ได้มาง่ายๆ มีหลายอย่างในโลกนี้ที่ได้มาง่ายและได้มายาก เสียไปง่ายแล้วก็เสียไปยาก จริงๆ ไม่มีแต่เป็นเพราะใจท่านต่างหาก เกลียดเขา ไม่ชอบสิ่งนั้นมันก็เลยไม่ยอมไปสักที แต่เหมือนยิ่งเกลียดกลับยิ่งมาเจอ ยิ่งรักกลับยิ่งหนีหายไป ฉะนั้นไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักเกลียดดีหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องผิดหวัง
เราเป็นใคร มาจากไหนนั้นยังไม่ต้องคิด คิดเพียงว่าเราเป็นเด็กคนหนึ่งแต่ตอนนี้ท่านยังไม่รู้จัก เรามาคุยกับท่านยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ คิดว่ามาดูเด็กคนหนึ่งคุยอะไรให้ฟัง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่คุยยากกันทั้งนั้น ถ้าใจไม่ยอมรับเห็นเราเป็นคนแปลกหน้า ท่านก็ไม่ยอมคุยด้วย ถ้าเราอยู่สักหนึ่งชั่วโมงเดินไปเดินมาท่านก็ไม่แปลกหน้าแล้ว
“ความเกียจคร้านหากเกิดมาเมื่อไร” ใครยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจบ้าง ผู้บำเพ็ญธรรมห้ามยกมือเพราะถ้าขี้เกียจบำเพ็ญธรรมจะสำเร็จหรือไม่ (ไม่สำเร็จ) ใครรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจบ้างคือ เบื่อง่ายทำอะไรนิดหน่อยก็ท้อ เพราะว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ยากและเกินกำลัง บางครั้งเราต้องคิดอยู่สองอย่าง ถ้ามันยากเกินกำลังแล้วไม่ประสบผลสำเร็จเราต้องรู้จักหยุดแล้วก็เลิกสิ่งนั้นเสีย อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราสามารถทำให้สำเร็จได้แต่เพราะใจเราไม่สู้ เราต้องปลุกปลอบใจ เรียกกำลังตัวเราและรีบสกัดกั้นความเกียจคร้านออกจากตัวเรา แต่คนเรามักแยกไม่ออก ทำไม่ได้ก็ชอบบอกว่างานยาก หรือบอกว่ามารขัดขวาง จึงทำให้เราไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่างานที่เราจะทำนั้นควรจะใช้ความพยายามหรือควรจะวางทิ้ง เพราะว่าใจเราไม่ค่อยเที่ยงตรง เวลามองเหตุการณ์ต่างๆ ก็เลยตัดสินใจไม่ถูกต้อง
“อย่าปล่อยไว้เนิ่นนานจะรันทด” หากปล่อยไว้เนิ่นนานจะเป็นคนเกียจคร้าน คนที่เกียจคร้านทำอะไรไม่สำเร็จจะรันทด เมื่อเรารันทดใจแล้วพลังก็ถดถอยจริงหรือเปล่า (จริง)
วันนี้เรามาศึกษาธรรมก็ต้องมีการพูดเรื่องหลักธรรมเล็กน้อย เพราะปกติไม่ค่อยได้พูดถึงหรือคิดถึงธรรม เรามีชีวิตส่วนมากก็จะคิดถึงแต่ว่าเช้ามาเราต้องหาอะไร ต้องไปทำอะไร แล้วสิ่งที่เราไปหาไปทำส่วนมากก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงร่างกายนี้ทั้งนั้น คนทุกคนรักชีวิตและกายนี้ เพราะว่ากายกับชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่เกิดแล้ว ทุกคนจึงรัก เมื่อรักจึงทะนุถนอม เมื่อถนอมจึงต้องบำรุงรักษา เมื่อบำรุงรักษาแล้วต้องพยายามให้ทุกส่วนอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แต่ว่าร่างกายของมนุษย์เรานั้น ย่อมมีส่วนที่ใหญ่และส่วนที่เล็ก ส่วนที่สำคัญมากและส่วนที่สำคัญน้อย หากทุกขณะที่เรามีชีวิต เรามัวคำนึงถึงส่วนเล็กแต่ไม่คำนึงถึงส่วนใหญ่ เรามัวคำนึงถึงนิ้วมือแต่ไม่คำนึงถึงแขน อย่างนี้ก็เรียกว่าดำเนินชีวิตไม่ถูก หากมัวแต่คำนึงถึงร่างกายแต่ลืมนึกถึงจิตใจ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
สมมติว่ามีคนๆ หนึ่ง เขาบอกว่าสามารถจะมีทองก้อนโตๆ แต่เขาต้องวิ่งข้ามเขาหนึ่งลูก และวิ่งกลับมาถึงจะได้ทองก้อนโตนี้ กับอีกคนหนึ่งเขาจะได้ทองก้อนเล็กแค่เพียงเขาทำงานอยู่ตรงนี้ หากให้ท่านเลือกท่านจะเอาทองก้อนโตหรือก้อนเล็ก (ก้อนเล็ก) เขาคิดอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับส่วนไหนมากกว่ากัน คนที่ได้ทองก้อนเล็กและทำเท่านี่ แปลว่าเขาให้ความสำคัญกับกายมากกว่าเงินทอง แต่คนที่คิดอยากได้ทองก้อนใหญ่ แปลว่าเขาคิดถึงเงินทองมากกว่าร่างกาย แต่ถ้าคิดกลับกัน บางคนอาจบอกว่าหาไว้มากก็ดีเหนื่อยทีเดียว แต่อย่าลืมว่าบางครั้งคนเราก็ไม่สามารถรู้และคาดเดาพละกำลังตนเองว่าไปได้แค่ไหน บางทียังไม่ทันข้ามเขาอาจจะกลับมาไม่ถึงก็ได้ ฉะนั้นเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดในการมีชีวิต ในการที่เรารักชีวิตและรักกายเนื้อตัวนี้
หากเทียบหัวกับหน้าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน (หัว) แต่ทำไมบางคนรักหน้าแล้วยอมเสียหัว เหมือนคนที่บอกว่า เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงกับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงท่านเลือกสิ่งไหน ส่วนมากคนจะเลือกเงินทองก่อน สุขภาพร่างกายเอาไว้ทีหลัง แล้วผลสุดท้ายต้องเอาเงินทองที่หาไว้มาดูแลสุขภาพ ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่เราต้องรู้ว่าสิ่งใดสำคัญมากและสิ่งใดสำคัญน้อย เพราะว่าร่างกายเราต้องมีส่วนที่เล็กและส่วนที่ใหญ่ ส่วนที่สำคัญและส่วนที่ไม่สำคัญ ถ้าเรามัวเอาเวลาไปสูญเสียกับสิ่งที่สำคัญน้อยแล้วทอดทิ้งส่วนที่สำคัญมาก เขาก็เรียกว่า คนโง่ คนไม่รักตัวเอง แต่คนที่รู้จักให้ความสำคัญต่อจิตใจมากกว่าร่างกาย คนๆ นั้นเรียกว่า คนฉลาดใช่หรือไม่ หลายคนมีชีวิตบำรุงร่างกายให้ตนเองกินอิ่ม สมบูรณ์เพียบพร้อมแต่ลืมอบรมบ่มเพาะจิตใจ ขอให้ตนเองมีกินอุดมสมบูรณ์ ร่ำรวย แต่ลืมนึกถึงจิตใจ บางคนยอมมีตำแหน่ง ชื่อเสียง แต่ยอมสูญเสียคุณธรรมในใจ อย่างนี้ไม่เรียกว่า เป็นผู้ดำเนินชีวิตที่ดีงามได้ ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนเราต้องไม่ลืมว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากเทียบกายกับใจอะไรสำคัญที่สุด (ใจ) เราว่าพอๆ กัน เพราะบางคนทำอะไรตามใจโดยลืมนึกถึงร่างกายก็มี ตามใจแบบไม่ค่อยถูกต้องและไม่ค่อยดี บางครั้งเราต้องรู้จักวัดคุณค่าชีวิตก่อนที่จะดำเนินชีวิตด้วยว่าเวลาที่เราสูญเสียไปกับสิ่งที่เราได้กลับมาคุ้มค่าหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นแล้วเวลาที่สูญเสียไปก็เปล่าประโยชน์
“ท่ามกลางฟ้าดินมนุษย์วิเศษสุด” ฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เราได้มา สามารถทำให้เรามีทรัพย์สินก็ได้หรือไร้ทรัพย์สินก็ได้ มีชื่อเสียงหรือไร้ชื่อเสียงก็ได้ เป็นพุทธะหรือเป็นปุถุชนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกทางเดินใดให้กับชีวิต ถ้าเราเลือกทางที่ดี ทางที่สว่างไสว ทางที่สามารถทำให้เราเข้าใจชีวิต สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต คนๆ นั้นก็สามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะได้ แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นก็ต้องรู้จักดำเนินชีวิตตรงนี้ให้เป็นก่อน รู้จักมีให้เป็นและ อยู่ให้ได้ คนเรามีเป็นแต่มักจะอยู่ไม่ค่อยได้เพราะว่ามนุษย์เรากลัวความทุกข์ เวลาจะดำเนินชีวิตก็เลยอยู่อย่างหวาดกลัวจะก้าวไปทางซ้ายหรือเดินไปทางขวาก็กลัวว่าจะทุกข์ กลัวจะเดือดร้อน เวลาทำอะไรจึงมัวแต่ห่วงตนเองมากเกินไป เวลามีคนมาตีเรา เราเจ็บ แต่เราไปตีเขาเราไม่เจ็บ เวลาเขามาว่าเรา เราเจ็บ แต่เราไปว่าเขา เราไม่รู้สึกเจ็บและรู้สึกสะใจ เหมือนกับการที่เรามีตัวตน พอเราลืมตัวตนทุกข์ก็หายไป เจ็บก็น้อยลงไป การบำรุงเลี้ยงรักษาร่างกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรารักตนเองมากจนเกินไปก็ไม่ดี รักจนยึดมั่นถือมั่น ห้ามใครแตะต้อง ห้ามเอาชื่อไป ห้ามเอานามสกุลไป ห้ามเอาหน้าเราไป เราก็รักจนมากเกินไป พอใครว่านิดหน่อยเราก็เลยเดือดร้อน พอเดือดร้อนเราก็ต้องปกป้อง ครอบคลุมไว้ พอปกป้องครอบคลุมไว้ก็ระวังเต็มที่ห้ามใครมาจับห้ามใครมาแตะต้อง เวลามีตัวเราก็จะเกิดความไม่ค่อยเที่ยง บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้เราต้องรู้จักปล่อยวางตัวเองบ้าง เราบอกว่าเราเป็นคนรักถนอมชีวิต แต่การถนอมชีวิตนั้นต้องรู้จักให้ความสำคัญในสิ่งที่ถูก แต่ไม่ใช่รักถนอมชีวิตจนยึดมั่นถือมั่นเป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะมนุษย์เรามีสัจธรรมอยู่ข้อหนึ่งคือ เกิด แก่ เจ็บ ตายที่เราเลี่ยงไม่ได้ อยู่ร่วมกันเหมือนเราตีมือย่อมกระทบกัน เขาตีเราก็เกิดเสียง เราตีเขาก็เกิดเสียงเป็นธรรมดา การดำเนินชีวิตมีการเกิดเสียงบ้าง มีการเจ็บบ้างย่อมมีความทุกข์เป็นธรรมดา จะทำสิ่งใดก็เหมือนเราตีมือย่อมเกิดเสียง เราดำเนินชีวิตก็ย่อมมีทุกข์ มีการเจ็บ แต่ถ้าท่ามกลางที่เราดำเนินชีวิตทั้งตัวเองและระหว่างผู้คน เรารู้จักลืมคำว่า “ตัวเอง” บ้างเราก็จะไม่ต้องเจ็บและไม่ต้องทุกข์ แต่ใครจะลืมตัวเองได้ บางคนต้องกินเหล้าให้เมาถึงจะได้ลืมตัวเอง จะได้ไม่ต้องทุกข์ อย่างนั้นก็ไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราไม่ต้องทุกข์หรืออยู่บนโลกนี้แล้วทุกข์น้อยที่สุด เป็นไปได้หรือไม่ (ได้) ตอนแรกอาจจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่จริงๆ เป็นไปได้อยู่ที่ตัวเราวางตัวเองอย่างไร เหมือนน้ำหยดถ้ามีขันมารองน้ำก็มีเสียงเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่มีขันมารองจะมีเสียงเกิดขึ้นหรือไม่ (ไม่มี) หากท่ามกลางที่เราดำเนินชีวิตอยู่นั้นเราปล่อยวางตัวตน เราลืมตัวตนบ้าง เราก็จะไม่มีอะไรที่จะต้องทุกข์ แต่บางคนเวลาทุกข์ก็ขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วย เอาหัวเป็ดหัวไก่มาไหว้ ทุกข์อย่างเดียวไม่พอ ยังเอาทุกข์ของตัวเองไปทำให้คนอื่นทุกข์อีก บางคนบอกว่าลูกกลัวแล้ว อย่าทำเลย อย่ามาทุกข์เลย ปล่อยให้ทุกข์มันกัดหัว กัดใจจนใจกร่อนไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายกนิทานเรื่องหนึ่งดูสิว่าแม่ลูกสองคู่นี้เขาแก้ทุกข์กันอย่างไร เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่ลูกสองคู่เดินไประหว่างทางเจอเสือตัวหนึ่ง เราเปรียบเทียบว่าเสือคือ ความทุกข์ แม่ลูกคู่แรกคุกเข่าร้องว่า อย่าฆ่าฉันเลยๆ แต่เสือฟังหรือเปล่า (ไม่ฟัง) ความทุกข์ฟังหรือเปล่า (ไม่ฟัง) พอทุกข์มาก็เข้ามาตัวเราทันที กัดกินจนใจเรากร่อนไปหมด แล้วเสือก็กินเด็กไปแม่ก็ทุกข์ใจ แต่แม่อีกคนหนึ่ง เสือที่ชอบกินเนื้ออ่อนๆ จะมากินลูกของแม่ แม่ก็คว้ามีดออกมาฟันหัว ทุกข์ก็หนีไปทันที นี่คือ อยู่ที่ตัวเรา เวลาเราเผชิญความทุกข์ยากเราใช้วิธีการอย่างไรในการรับมือ หากเราเอาแต่วอนขอทุกข์จะไปหรือไม่ (ไม่ไป) เอาแต่นั่งตรอมตรมทุกข์ ทุกข์ไม่ไปยิ่งกัดกร่อนใจเรา ไม่เหมือนแม่อีกคนหนึ่งที่ฟันฉับทันที ทุกข์มาก็ไม่กลัวลุกขึ้นสู้มองที่เหตุผล แก้แล้วก็ไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) การดำเนินชีวิตในโลกนี้ก็เฉกเช่นเดียวกันอยู่ที่ว่าเรามองปัญหา เรามองเรื่องราวกันอย่างไร การเอาแต่วิงวอนขอไม่มีประโยชน์ การเอาแต่นั่งทุกข์ตรอมตรมก็ไม่ใช่ทางที่แก้ไขได้ ฉะนั้นต้องลุกขึ้นสู้นั่นก็คือ เราต้องรู้จักเอาดาบแห่งปัญญาฟาดฟันกิเลส ฟาดฟันความทุกข์
(ท่านเสียวเสี่ยวฝอถงเมตตา ให้ร่วมกันร้องเพลง "ตัดกิเลสคล้องใจ)
ฟังเพลงแล้วได้พิจารณาเนื้อหาในเนื้อเพลงกันบ้างหรือเปล่า หรือว่าสนุกจนลืมนึกถึงเนื้อหา บางคนพอบอกว่ามารับธรรมะ มาศึกษาธรรมะ มาบำเพ็ญธรรมะก็รู้สึกว่าใจปิดกั้นทันที พอใจปิดกั้นแทนที่จะได้ลองเข้าไปศึกษาดูก็ถดถอยไป ไม่มีใจศึกษา เกิดเป็นคนนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องตัดเรื่องทางโลกทิ้ง แต่การบำเพ็ญธรรมก็คือ การบำเพ็ญอยู่ท่ามกลางโลกีย์ บำเพ็ญตัวเองให้อยู่ท่ามกลางกระแสโลก หากเราสามารถบำเพ็ญตัวเองให้อยู่ท่ามกลางกระแสโลก เราย่อมเป็นคนที่จริงและเป็นคนที่ดีได้
หากให้ทุกท่านบำเพ็ญโดยทิ้งครอบครัวไป ท่านคงทำไม่ได้ ในสังคมปัจจุบันนี้ต่างคนต่างเอาตัวรอด ทุกคนต่างไม่ช่วยเหลือกัน ถ้าคนดีไปเข้าวัดหมดแล้วจะมีคนดีที่ไหนคอยอยู่ช่วยคนในสังคม แล้วคนดีจะช่วยคนในสังคมได้ทันหรือไม่ (ไม่ทัน) เหมือนเราเก็บอาวุธอยู่ในบ้านเวลาเราเดินออกไปข้างนอก พอมีปัญหาเราจะวิ่งกลับไปหยิบอาวุธมาทันหรือเปล่า (ไม่ทัน) ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสามให้ท่านบำเพ็ญอยู่ในสังคม อยู่ในครัวเรือน คนเป็นพื้นฐานของครอบครัว จิตใจเป็นพื้นฐานของตัวคน ถ้าคนตั้งตนให้ตรงได้หลายๆ คนย่อมอยากจะตรงตาม ถ้าครอบครัวร่มเย็นหลายๆ ครอบครัวย่อมอยากจะร่มเย็นตามจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องของใครแต่เป็นเรื่องของส่วนรวมที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน
ท่านอยากฟังนิทานหรือไม่ (อยากฟัง) เรื่องมีอยู่ว่า มีวัวป่าคอกหนึ่งกับวัวบ้านสองตัว วัวบ้านตัวนี้เป็นวัวแม่ลูกอ่อน แล้วปรากฏว่าเสือจะมากินวัว วัวจึงตั้งวงล้อมไว้คอยปกป้องลูกอ่อนที่อยู่ข้างในและวัวที่อายุมากแล้ว วัวหนุ่มก็ปกป้องไว้ เสือก็ไม่กล้ามากิน แต่วัวแม่ลูกอ่อนกลับบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของฉัน เสือจะมากินเขาไม่ใช่กินฉันก็เรื่องของเขา แล้วก็เดินหนีไป วันนี้เสือมากินคนอื่นยังไม่กินเขา แต่วันหน้าไม่แน่เสืออาจจะไปกินเขา ฉะนั้นคนที่มีกำลัง คนที่มีแรง จึงต้องอยู่ช่วยปกป้องคนที่อ่อนกำลังอ่อนแรง ถ้าคนที่มีกำลังไม่คิดถึงหรือช่วยเหลือคนที่อ่อนแรงและอ่อนกำลัง ทุกคนต่างเอาแต่ได้ ทุกคนต่างเห็นแก่ตัว คนที่แย่ที่สุดคือ คนที่อ่อนแอ คนที่ไร้กำลัง แล้วถ้าวัวไม่ปกป้องกันอย่างนี้ เสือย่อมกินได้แม้กระทั่งคนที่มีกำลัง
สังคมในปัจจุบันนี้ก็เป็นแบบนี้ คนมีแรงไม่ช่วยคนไร้แรง แต่คนมีแรงกลับข่มเหงคนไร้แรงอีก ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนอกจากจะไม่ใช่เพื่อตัวเองแล้ว แต่ยังเป็นการช่วยเหลือคนที่ยากลำบากกว่าเราด้วย เรามีชีวิตอย่าได้เห็นแก่ตน แต่เราต้องรู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันและนำคุณค่าของชีวิตนี้ส่งมอบให้กับคนอื่นเป็นด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นชีวิตที่มีค่า ไม่ใช่แค่เพื่อตนหรือเพื่อเห็นแก่ตน ถ้าคนๆ หนึ่งทุกวันมีแต่เลี้ยงตัวเอง ทุกวันมีแต่เพื่อตัวเอง คนๆ นั้นแม้คนในบ้านที่รักเขามากที่สุดก็ต้องทอดทิ้งเขาได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าคนๆ นี้ไม่ใช่มีแค่ตัวเองแต่เพื่อคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ช่วยตนเองแต่ช่วยคนอื่นด้วย ถึงแม้ว่าคนจะเกลียดเขามากเท่าไรแต่วันหนึ่งต้องเปลี่ยนใจมารักเขาได้
มีนิทานเรื่องหนึ่ง มียุงบินผ่านไปเห็นคนเขาทิ้งกากถั่วลิสงกองอยู่กับพื้น ยุงก็บอกว่าน่าสงสารเจ้าเปลือกถั่วลิสงจริงๆ ดูสิคนเอาคุณค่าของเขาไปหมดแล้วก็ทอดทิ้งเขาไว้ แต่ถั่วลิสงกลับพูดว่าไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ทำให้ฉันได้ตอบแทนบุญคุณให้กับมนุษย์แล้ว เพราะชีวิตฉันเกิดมาจากการปลูกเลี้ยงของมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้สร้างฉัน มนุษย์เป็นผู้ให้ชีวิตฉัน แม้จะตอบแทนเพียงเล็กน้อย แม้จะให้คุณค่าแก่เขาเพียงเล็กน้อย ฉันก็พอใจแล้วที่เกิดมามีคุณค่าเท่านี้ แต่พอยุงบินผ่านไปก็เห็นกากใบชาถูกโยนทิ้งอีก ยุงก็บอกว่าดูสิทำดีไม่ได้ดี เขาดูดน้ำชาของท่านหมดแล้วเขาก็โยนท่านทิ้ง กากใบชากลับตอบด้วยเสียงหนักแน่นว่า ไม่เป็นไรกว่าเขาจะได้ฉันมาก็ต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ ฉันสร้างคุณค่าให้เขาได้นิดหน่อยฉันก็ภูมิใจแล้ว แต่พอสักพักยุงบินไปได้ไม่เท่าไร ยุงก็ตายคาที่ กากใบชากับเปลือกถั่วลิสงก็เลยบอกว่า ไม่รู้จะสงสารใครกันดี
คนเราก็เหมือนกัน บางครั้งเราเห็นคนทำดีอุทิศให้กับคนอื่น บำเพ็ญตนสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น เรากลับบอกว่าเหนื่อยเปล่า แถมบางทีเรากลับไม่คิดที่จะมีใจว่า อย่างนี้น่าเอาเป็นแบบอย่าง น่าเลียนแบบ น่าดำเนินตาม คิดแต่ว่าเรื่องอะไรจะยอมเหนื่อยฟรีๆ แค่นี้ก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว อย่าลืมว่า เราเกิดมาได้จากมนุษย์ด้วยกัน เราเกิดมาจากหยาดเหงื่อแรงกายของมนุษย์เหมือนกัน ถ้าเราไม่ช่วยมนุษย์จะให้หมูหมากาไก่ที่ไหนมาช่วย คนกับคนยังไม่เห็นใจกันแล้วจะให้หมูหมามาเห็นใจได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถ้าท่านเห็นใจกันจริงๆ โลกนี้คงไม่มีคนขอทาน ไม่มีบ้านพักคนชรา ไม่มีเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ถ้าคนที่มีแรงกายมีใจรู้จักปกป้องช่วยเหลือ แล้วตอนนี้ท่านยังคิดว่าตัวท่านยังเป็นคนดีอยู่หรือเปล่า
เรามีชีวิตและดำเนินชีวิตอยู่ เราก็อยากให้ใครๆ รักเรา อยากเป็นที่รักของทุกๆ คน ไปอยู่ที่ไหนก็อยากให้คนรักไม่อยากให้ใครเกลียดเรา แล้วทำอย่างไรให้ตัวเองน่ารัก (ช่วยเหลือผู้อื่น) หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ท่านอยากให้ลูกรักท่าน อยากให้ลูกชิดใกล้ท่านหรือเปล่า (อยาก) บางครั้งมีลูก ลูกก็ไม่ค่อยจะรักเราชอบทำให้เราช้ำใจ ทุกข์ใจ มีพี่ก็ชอบทำให้เราเสียใจ ชอบว่าเราเสียๆ หายๆ มีเพื่อนก็ชอบทิ่มแทงใจดำชอบแกล้งเรา ชอบหาเรื่องเรา มีเพื่อนร่วมงานก็ชอบขัดแข้งขัดขา แล้วเราต้องทำอย่างไรให้ตัวเราเป็นคนที่น่ารักของทุกๆ คนได้ ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ อย่าบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้แต่ต้องใช้เวลา เพราะใจคนเปลี่ยนยากเวลาเขาเกลียดทีหนึ่งเกลียดเร็ว แต่เวลาเขารักจะเปลี่ยนมารักก็ช้า ฉะนั้นต้องให้เวลา ทำความดีต้องลงแรงมากหน่อย ใครอยากมีชีวิตแล้วให้มีแต่คนเกลียดหรือคนจะเกลียดก็ไม่สนใจ ทำอย่างไรให้คนเกลียดและทำอย่างไรให้คนรัก ถ้ารู้ว่าทำอย่างไรให้คนเกลียด เราก็จะไม่ทำสิ่งนั้น แต่ถ้าเรารู้ว่าทำอะไรให้คนรักแต่ไม่รู้ว่าทำอะไรให้คนเกลียดก็อันตรายเหมือนกัน แล้วเราจะทำอย่างไรดี (มีเมตตาทำให้คนรัก, ทำดีทำให้มีคนรัก ทำไม่ดีทำให้มีคนเกลียด) ต้องรู้จักทำดีจึงมีคนรัก ทำไม่ดีก็มีคนเกลียด (รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้มีคนรัก เห็นแก่ตัวทำให้คนเกลียด)
หัวหน้าชั้นทำอย่างไรให้ลูกของท่านรักท่าน ทำอย่างไรให้แฟนท่านรักท่าน (ต้องเป็นผู้นำของครอบครัวให้ดี เป็นแบบอย่างที่ดี เราถึงจะนำครอบครัวไปได้) แล้วแบบอย่างที่ดีเป็นแบบไหน ทุกขณะจิตคนที่เป็นผู้นำของครอบครัว ต้องรู้จักคำนึงถึงคนข้างหลัง เวลาเขาจะทำอะไรเขาต้องคิดถึงครอบครัวอยู่ตลอดเวลา เฉกเช่นเดียวกันถ้าเกิดคนเราอยากจะมีธรรมอยู่ตลอดเวลา หากเดินไปก็คิดถึงธรรม ทำอะไรก็นึกถึงธรรม เขาจะทิ้งธรรมหรือไม่ (ไม่ทิ้ง) เอาความคิดแบบนี้มาคิดจะทำให้ท่านเป็นคนที่มีธรรมได้ตลอดชีวิต บางครั้งเอาแต่คิดถึงครอบครัวอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะบางทีเอาแต่คิดถึงครอบครัวเราแล้วจะทิ้งคนอื่นจริงหรือเปล่า (จริง) บางครั้งเราต้องนึกถึงคนอื่นด้วยเพราะชีวิตของเราไม่ใช่ว่ามีครอบครัวเราครอบครัวเดียวยังมีครอบครัวอื่นด้วย ถ้าเกิดว่าครอบครัวเราอยู่รอดแต่ครอบครัวอื่นล่มจมหายนะ ท่านก็ทำไม่ลง แล้วถ้าเกิดครอบครัวท่านอยู่รอด ครอบครัวอื่นค่อยๆ สูญสลายไปทีละครอบครัว ท่านทำได้หรือไม่ (ไม่ได้) นั่นแปลว่า ทุกคนต่างมีจิตใจแห่งความเมตตา เห็นอกเห็นใจคนอื่น ขอให้มีจิตใจเช่นนี้ในเวลาที่เราดำเนินชีวิต มีจิตใจที่เมตตาและเห็นอกเห็นใจคนอื่นทุกขณะจิต เมื่อคิดย่อมมา เมื่อนึกถึงย่อมมี แต่ถ้าเกิดไม่คิดไม่นึกถึง ย่อมไม่มีและย่อมไม่มาหา ธรรมะก็เหมือนกัน หากมีชีวิตขอให้หมั่นนึกถึงธรรมไว้ ธรรมจะไม่หายไปไหน ธรรมจะไม่ออกห่างไกลจากชีวิต
บางครั้งเมื่อเห็นความผิดของคนอื่นเราต้องไม่หัวเราะเยาะ แต่เราต้องคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เกิดเป็นคนต้องรู้จักเป็นอย่างไร ห้ามเป็นลำโพง ห้ามเป็นโทรโข่ง เห็นใครไม่ดีก็เก็บเอาไปพูด อย่างนี้เขาเรียกว่าคนไม่ดี คนไม่น่ารัก เพราะท่านเอาไปพูดกับคนๆ หนึ่ง คนๆ นั้นเขาก็ต้องกลัวแล้วคิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะเอาฉันไปนินทาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วเขาก็จะไม่เคารพท่าน คนนั้นมีดีมีชั่วอยู่ที่ว่าทำแล้วคิดถึงและสำนึกหรือไม่ ละอายหรือเปล่า หากมีชีวิตรู้จักละอาย รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักสำนึก รู้จักเห็นใจ นั่นเรียกว่าคนที่รู้จักดีเป็น แต่ถ้าเกิดว่ามีชีวิตแล้วไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักสำนึก ไม่รู้จักละอาย นั่นแหละชั่วทันที ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักคิด หู ตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรให้คิด อย่าปล่อยไปตามใจ เรามีใจที่คอยใคร่ครวญ ใจที่คอยขบคิด เวลาตามองใจต้องสัมพันธ์ดูว่าควรดูหรือไม่ หากไม่ควรดูก็ถอนตาเสีย เวลาจะพูดก็เอาใจมาตรองดูก่อนคิดดูว่าควรหรือไม่ ถูกหรือเปล่าที่จะพูดแบบนี้ ถ้าไม่ถูกไม่ควร ถอนปากเสียและถอนคำพูดทิ้ง ถอนให้หมด
เรามีชีวิตอยู่สิ่งที่เรามักจะพึ่งพาอาศัยมากที่สุดก็คือ เวลา เวลาเป็นสิ่งสำคัญกับชีวิต ฉะนั้นทุกคนมักจะพกเวลาไว้เสมอ ทำไมคนถึงรักเวลา ห่วงเวลา ทุกๆ วันจะต้องเอาหน้าไปให้เวลาดู เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมท่านถึงรักเวลา ดูเวลามากกว่าดูพ่อแม่อีก ดูเวลามากกว่าดูตัวเองอีก ทำไมคนถึงกังวลเรื่องเวลากัน แต่ถ้าคนรู้จักคิดก็คิดว่าเวลาคือ ชีวิต ชีวิตเราคือ เวลา เมื่อไรชีวิตเราหมด เวลาเราก็หมด แต่จริงๆ แล้วทำไมเราถึงรักเวลา (เวลามีน้อย) เพราะว่าเวลามีน้อยจึงดูทุกวัน ดูแล้วเวลาจะมากขึ้นหรือเปล่า (กลัวชีวิตเราไม่ทันเวลา, เวลาเป็นสิ่งมีค่าของมนุษย์, เราต้องทำงานแข่งกับเวลา, เพราะเวลาไม่อาจเรียกหวนคืนได้, เวลาเป็นสิ่งที่ไม่อาจกลับมาได้อีก, เวลาเป็นเงินเป็นทอง, มีชีวิตมีเวลา หมดชีวิตจากไม่ดูแล้ว) เพราะเวลาบอกความซื่อตรงทุกขณะจิต บอกความจริงใจ ถ้าวันไหนนาฬิกาไม่เที่ยงแล้ว ท่านจะทำอย่างไร ท่านก็ไม่ดูแล้ว บางคนก็ทิ้งนาฬิกาเรือนนั้น บางคนก็เอานาฬิกาไปแก้ไข เพราะว่านาฬิกาบอกความซื่อตรงให้กับเรา เราจึงดูนาฬิกาบ่อยๆ เราอาจจะตอบอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านคิดไม่ถึง จริงๆ แล้วที่เราดูเขาบ่อยๆ ก็เพราะว่า เวลาบอกความเที่ยงให้กับเรา คำตอบที่ท่านตอบล้วนแต่เป็นคำตอบที่เกี่ยวกับเงินทอง ของมีค่า แต่เราตอบในเรื่องธรรมะ เพราะนาฬิกาเที่ยงเราถึงต้องดูเวลาทุกๆ ครั้ง คนเราก็เหมือนกันบางครั้งเราอยู่กับเขา ทำไมเราถึงอยากคบกับเขาต่อ เขาน่ารักอย่างเดียวไม่พอแต่เขายังมีความเที่ยงธรรมด้วย เราถึงทั้งรักและเคารพและอยากจะให้เขาเห็นหน้าเราทุกๆ วัน จริงหรือไม่ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครคิดอย่างนี้ เรามักจะคิดว่าเขาสวย เขารวย เขาเก่ง เราเลยมาให้เขาดูทุกๆ วัน จะมีใครคิดว่าคนนั้นเขาเที่ยงธรรม เขาจริงใจ เขาบอกความตรง บอกความเป็นจริงของชีวิตให้เรารู้ ส่วนมากคนจะไม่ค่อยเลือกตรงนี้เรามักจะไปดูเสื้อผ้า ดูแสงสี ดูสีสัน แต่พอมาพูดเรื่องธรรมะ มาชี้ลงถึงใจบอกความเป็นจริงของชีวิต เรากลับไม่ค่อยอยากมาดูกันไม่ค่อยอยากจะมาศึกษากัน
“กมลคนดีเสียปะปนสูญค่า ยุคสามฟ้าเมตตาคัดถ้วนถี่”
หากตั้งใจจะบำเพ็ญตน ขัดเกลาตนเป็นคนดีแล้ว ขอให้มุ่งมั่นอย่าดีบ้างไม่ดีบ้าง หากท่านดีบ้างไม่ดีบ้างย่อมยากที่จะปรากฏชัดว่า เป็นคนดีหรือคนไม่ดี หากถึงเวลาคัดเลือกคนดีบ้างไม่ดีบ้างก็คือ คนไม่ดี ถ้าเกิดคนๆ หนึ่งความดีไม่เคยรักษา ความชั่วไม่เคยตัดทิ้งจะเรียกว่าคนดีก็ไม่ได้ คนบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นคนหากจะดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด แต่คำว่า “ดีที่สุด” ก็คือ การบำเพ็ญตนและการที่เราจะพยายามทำตนให้เป็นคนดี รู้จักช่วยเหลือคน นั่นคือ การขัดเกลาตนเองด้วย เมื่อไรที่เราพยายามจะดำเนินให้ถูกหนทาง ดำเนินให้ถูกครรลอง นั่นก็คือ การรู้จักที่จะบำเพ็ญตนแก้ไขสิ่งเลวร้าย
นาฬิกานั้นเมื่อเวลาผิดพลาดเขาไม่อายที่จะแสดงตัว แต่คนเราเปรียบเหมือนหนังสือ เวลามีผิดพร้อมจะปกปิด แล้วท่านจะเลือกเป็นหนังสือหรือนาฬิกา (นาฬิกา) เป็นนาฬิกาดีกว่า เมื่อเราผิดคนย่อมเห็น บางทีเราไม่รู้ตัวว่าเราผิดคนอื่นจะช่วยชี้ให้ เกิดเป็นคนนั้นเราต้องกล้าทำกล้ารับ ทุกคนรู้จักคำนี้แต่เรากลับไม่รับ ปราชญ์จึงกล่าวไว้สำนวนหนึ่งว่า “มนุษย์เราชอบฟังวาจาที่เป็นคุณประโยชน์ แม้คนเขาจะอยู่ไกลแสนไกล เขาก็ยอมดั้นด้นมาเพื่อจะบอกสิ่งที่ไม่ดีให้กับคนนั้น” หากมีคนยอมดั้นด้นไกลแสนไกลมาบอกสิ่งที่ไม่ดีให้ท่านรู้ว่าท่านทำผิด ท่านจะดีใจหรือไม่ (ดีใจ) ส่วนมากหลายคนไม่ดีใจกลับคิดว่าเขามาตั้งไกลเพื่อตั้งใจจะมาว่าฉันโดยเฉพาะเลยหรือ แต่พุทธะหรือผู้บำเพ็ญตนกลับไม่คิดอย่างนั้นแต่กลับดีใจเพราะเราได้รู้ความผิดของเราจากเขา คนที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่พูดเรื่องไม่ดีของเรา ไม่พูดว่าเราต้องแก้ไข เราควรคบเขาและเรายังควรรักเขาหรือเปล่า ถ้าเป็นปราชญ์หรือพุทธะสมัยก่อน ท่านจะไม่รักแล้วไม่คบด้วย เพราะว่าเราผิดเขาไม่กล้าว่าเรา เขายอมเห็นดีเห็นงามกับเราอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) แต่คนที่กล้าว่าเรา กล้าชี้ข้อผิดพลาดของเรา กล้าบอกเรา คนนั้นเราต้องรักเขามากๆ เพราะเขาจริงใจอยากเห็นเรารู้จักแก้ข้อไม่ดี
แต่เป็นธรรมดาในหมู่คนดีย่อมมีอีกาดำมาปกคลุม มาแทรกซึม บางครั้งคนที่ไม่ดีจริงๆ มาว่าเราแล้วชี้ว่าเราไม่ดี เราต้องคิดและตรวจสอบตนเองด้วย อย่าว่าหงส์เป็นอีกา อีกาเป็นหงส์ เพราะอะไรเราจึงเปรียบเทียบแบบนี้ บางครั้งเขาดี เขาช่วยชี้ให้แต่เรากลับไปว่าเขาเป็นอีกา ฉะนั้นมนุษย์เราเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ใจของเรา ถ้าใจของเราไม่เที่ยง เวลามองหรือดำเนินชีวิตจึงยากที่จะมองออกได้ ยากที่จะแยกแยะชัดเจนได้นี่คือ ความลำบากของคน ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีขอให้ทุกขณะจิตคิดถึงธรรม ทุกขณะจิตมีธรรมแล้วธรรมจะช่วยตรวจสอบว่าควรหรือไม่ควร ละอายหรือไม่ละอาย ดีหรือไม่ดี คนเรานั้นต้องรู้จักคิดเพราะทุกคนต่างก็มีปัญญา
“น้ำกระเพื่อมจากในโปรดคนดี ลงมือเร่งโลกสามัคคีด้วยเรา”
เวลาท่านโยนหินลงน้ำ จะเห็นวงแตกออกกว้างขึ้นๆ ฉะนั้นการช่วยคนก็เหมือนกันต้องอาศัยคนหนึ่งคนเสียสละ เราถึงจะได้วงกระเพื่อมที่กว้างขึ้น แต่เสียอย่างเดียวคนไม่ค่อยจะเสียสละจริงๆ มักจะห่วงในการแสวงหา มักจะวิตกว่าตนเองเป็นคนที่ไม่มี การมีธรรมเอาไว้ทีหลัง ไร้ธรรมไม่เป็นไร แต่ขอมีเงินไว้ก่อน เราอยากให้ท่านหันมาสนใจธรรมสักนิดหนึ่ง หากคนเรามีธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองคนที่มีธรรม และธรรมะย่อมสามารถฉุดช่วยคนที่มีธรรมได้ ขอเพียงเขารู้จักรักษาธรรมไว้กับตัวอยู่เสมอ ขอเพียงท่านเป็นหินก้อนที่ยอมหย่อนตนเอง เสียสละเพื่อผู้อื่นและผู้อื่นก็จะพร้อมที่จะมากับเรา ฉะนั้นอย่าห่วงเรื่องการแสวงหามาก เพราะถ้าแสวงหามากเกินไป จนเกินเลยขอบเขตคำว่า "รู้จักพอ" จนเบียดบังผู้อื่นเรียกว่าความชั่วร้าย เป็นการแสวงหาอย่างไม่ถูกต้อง ความน่ากลัวของมนุษย์ก็คือ ทุกคนหาไม่รู้จักพอ มีได้แต่ไม่ยอมเสีย ทรัพยากรมีจำกัดแต่คนมีมากมาย ย่อมเกิดการแก่งแย่งและชิงดีชิงเด่นกัน หากวันนี้เราสุขกับคำว่า “สงบและรู้พอ” เรามีความสุขกับการเสียสละจะเป็นอย่างไร ทำไมเราไม่ลองไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นกันบ้าง ทุกคนต่างยืนอยู่จุดที่มีสุขกับการมีการได้ แต่ไม่มีใครยอมยืนในจุดตรงที่มีสุขกับการเสียสละ มีสุขกับการยอมไม่มีหรือน้อยคนนัก เมื่อน้อยคนทุ่มก็ไม่มีแรงกระเพื่อมต่อๆ ไป เมื่อน้อยคนดีก็จะไม่มีคนดีอีกต่อไป
เราจะงามทั้งทีต้องงามให้ได้ แต่งามนอกหรืองามในดีกว่ากัน (งามใน) งามที่จิตใจภายใน และต้องเป็นใจงามที่แข็งแกร่ง งอกงามได้ทุกสภาวะด้วย หากเราจะเป็นต้นไม้ เราต้องเป็นได้อย่างต้นกระบองเพชร เพราะว่าไม่ว่าฝน ร้อน หนาวก็อยู่ได้ หากจิตใจเราจะงามขอให้งามอย่างแท้จริง งามทุกๆ สภาวะที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าพอเขาไม่ดีเราก็ไม่งาม พอเขาดีเราก็งาม อย่างนี้ไม่เรียกว่างามอย่างแท้จริง ไม่ใช่งามอย่างถ่องแท้
วันนี้ก่อนกลับบ้านหันไปส่งยิ้มให้ผู้บำเพ็ญแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมาก” หันไปหาแม่ครัวแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมากค่ะ ทำอาหารอย่างไรถึงอร่อย” เราต้องไม่ลืมน้ำใจ อยู่ในสังคมเราต้องมีน้ำใจ เขาให้เราต้องขอบคุณ อย่าปากหนัก อย่าเป็นเสือยิ้มยาก เราอยู่ด้วยกันเรามักเป็นอย่างไร ฉันก็เสือเธอก็สิงห์ ฉะนั้นเราอยู่ด้วยกัน เราต้องรู้จักเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ไม่ลืมเขา ไม่ลืมเรา เราสุข เขาก็สุข เราทุกข์ เขาไม่ทุกข์ไม่เป็นไร นี่คือ จิตใจที่เสียสละ นี่คือ จิตใจของผู้บำเพ็ญ นี่คือ จิตใจที่รู้จักบำเพ็ญตนเอง เขาทุกข์เราก็ยื่นมือไปช่วยเหลือ เอาธรรมะไปประคับประคอง บางครั้งเราไม่มีเงินแต่เราสามารถใช้คำพูดช่วยคนได้ เราสามารถนำธรรมไปโปรดคนได้ไม่จำเป็นต้องมีเงิน บำเพ็ญธรรมไม่ได้เรียกร้องให้ท่านต้องมีเงิน ขอเพียงท่านมีจิตใจที่ดี มีวาจาที่งาม มีการกระทำที่ประเสริฐ ทำแบบนี้ท่านย่อมสามารถช่วยเขาได้และช่วยตนเองได้ ขอให้รักเขาเหมือนที่รักเรา ขอให้เคารพเขาเหมือนที่เคารพเราแล้วเขาก็จะเคารพเรา แต่ก่อนจะทำอะไรคิดสักนิดหนึ่ง คนมีหลายประเภทและมีหลายแบบ ดอกไม้ยังมีหลายประเภท ต้นไม้ต้นเดียวไม่เป็นป่า ด้ายเส้นเดียวไม่เป็นแพรไหมที่สวยงาม คนๆ เดียวถึงแม้จะดีงามก็ไม่สู้กับทำให้ผองชนดีงามด้วย จิตใจของเราดีแต่จิตใจของคนอื่นแย่ ก็ไม่น่าทำใช่หรือไม่ ถ้าจิตใจเราดี คนอื่นก็ดีด้วย เรากลับน่าดีใจที่มีชีวิต แต่ถ้ามีชีวิตแล้วคิดว่าฉันดีคนอื่นทุกข์ ฉันได้คนอื่นเสีย อย่างนี้ยุติธรรมหรือไม่ (ไม่) ฉันอิ่มคนอื่นตาย ฉันรอดคนอื่นเสียชีวิตได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นละเว้นการกินเนื้อสัตว์ ถ้าทำได้ไวไวก็ดีเพราะว่าจะได้ใกล้ชิดพุทธะไวขึ้น เพราะข้างกายเราไม่มีกลิ่นสาบ เป็นพุทธะต้องฝึกจิตใจเมตตาและเห็นใจ มีสำนวนปราชญ์ สำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เมื่อเราเป็น ไม่ทนเห็นเขาต้องตาย เมื่อเขาร้อง เรายังอยากจะกินเนื้อเขาได้อีกหรือ” คนเราก็เหมือนกัน เวลาเราเห็นเขาตายแล้วเสียใจจริงหรือไม่ (จริง) เมื่อเขาร้องท่านจะทนเห็นเขาตายไปกับตาได้หรือไม่ (ไม่ได้) เราก็เลยหลับตาไม่เห็น เขาร้องก็อุดหู ไม่ได้ยิน ทำเสร็จมาแล้วเป็นหนึ่งจาน เลยกินเอากินเอา ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ได้หรือไม่ได้อยู่ที่ท่าน ท่านเกิดเป็นคนอย่าเบียดบังสัตว์มากกว่านี้เลย ลดได้ก็ขอให้ลดลงแล้วกัน
ขอให้รักษาโอกาสและรู้จักควบคุมชีวิตของตนเองให้ดี วันนี้มาระยะเวลาสั้นๆ อาจจะพูดแล้วไม่สามารถทำให้ท่านเข้าใจทะลุปรุโปร่งทั้งหมด แต่อย่างน้อยกระทบใจสักนิดหนึ่งก็ยังดี กระทบกิเลสตัณหาและความอยากในโลกหลุดไปได้บ้างก็ดี เราอยากเห็นท่านงามทั้งภายนอกและงามทั้งจิตใจ แต่ต้องเป็นความงามที่แข็งแกร่ง ทนได้ทุกสภาวะ
มาแล้วก็ไม่อยากกลับแต่ถึงเวลาก็ต้องกลับ ทุกคนต่างมีหน้าที่ หน้าที่หลายๆ อย่าง แต่หน้าที่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ลืมบำเพ็ญตนเอง ไม่ลืมให้ความสำคัญกับคุณธรรม แล้วชีวิตจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีความสุขในความร่มเย็นแห่งธรรม
“มาย้อนมองอีกทีตัวเรา บำเพ็ญนานครั้นแล้วบรรเทาหรือทวี”
ผู้บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญแล้วมีอะไรบรรเทาลงไปบ้าง มีปัญหาลดลงไปบ้างหรือยัง หรือยังเต็มไปด้วยอัตตา เต็มไปด้วยตัณหา กิเลส อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ถ้ายอมได้ก็ยอม ให้อภัยได้ก็ให้อภัย เสียสละได้ก็ขอให้รีบเสียสละ ใครไม่เสียสละก็ไม่เป็นไร ตนเองขอทำดีไว้ก่อน ขอเสียสละไว้ก่อน มาศึกษาธรรมะแม้ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมาได้ ยอมปิดทองหลังพระก็ไม่เป็นไร ทำความดีคนไม่เห็น ทำงานข้างหน้าใครๆ ก็อยากทำ แต่งานข้างหลังไม่มีใครทำเราต้องทำก่อน ไม่มีใครเสียสละเราต้องเสียสละก่อน ถ้าคนนั้นทำได้ นั่นคือ เขาบำเพ็ญธรรมได้หนึ่งขั้นแล้ว เกิดเป็นคนก็เหมือนกัน หน้าที่ยิ่งใหญ่ใครก็อยากทำ หน้าที่เล็กๆ ไม่มีใครทำ แต่อย่าลืมว่าจะมีใหญ่ได้ต้องมีเล็กมาก่อน จะมีเล็กได้ก็ต้องมีใหญ่ช่วยกัน เกื้อหนุนกันไป ฉะนั้นเราเจอคนไม่ดี เราต้องใจเย็นๆ ให้โอกาสเขา ช่วยเหลือเขาและนำพาเขาให้ถูกทาง ตัวเราเองยังมีดีมีร้ายเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น ให้อภัยตนเองได้อย่าลืมให้อภัยคนอื่นด้วย
ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดี ทุกข์บ้าง เศร้าบ้าง ผิดหวังบ้างก็อย่าท้อแท้ จงลุกขึ้นสู้ ยิ้ม แล้วบอกสู้ตาย แต่สู้แล้วต้องยังไม่ตายทันที ถ้าเกิดสู้แล้วว่ายังไม่ดี ไม่อย่างนั้นไม่คุ้มเลย สู้แล้วต้องดีให้ได้ บำเพ็ญดีให้ได้
วันเสาร์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อุปสรรคของการแก้ปัญหาคือความชัง การพลาดพลั้งตามอารมณ์อยู่เป็นนิจ
บำเพ็ญนานอย่าผิดเรื่องไม่ควรผิด ได้เป็นศิษย์ข้าควรรู้ใจข้าเอย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
ศิษย์รักบำเพ็ญต้องคุ้นหัวใจปราชญ์ คุณธรรมขาดสำนึกคุณมักเล่นเล่น
คนบำเพ็ญเปลี่ยนหัวใจไม่ไหวเอน รอศิษย์นี้วันได้เป็นเมธี
ลุ่มหลงไหมเพราะได้มีแทนไร้ คำตอบให้ไปตอบในฤดี
เพราะหายากใครยอมรับดุษฎี1 ธรรมะมีคุณยิ่งสูงหนีอวิชชา2
หนี้กรรมจับหนาวยิ่งสุดชีวิต ทำอะไรรู้คิดก่อนทำหนา
ข้ามกำแพงแจ้งจิตทำเพื่อประชา แปรโลกาช่วยหนุนนำสุดกำลัง
บำเพ็ญธรรมต้นปลายมีจึงดี ยกวิธีหยุ่นยืดดุลย์3 สองฝั่ง
แก้ปัญหาสิ่งที่เจอด้วยระวัง เมื่อต้องฟังกับพูดระวังที่สุด ฮา ฮา หยุด
ความจำเป็นที่คนมีต้องมากมาย ยังมีใครเผื่อใจมาเมตตากัน มีหวังว่าได้เจอบ้างไหม การยินยอมช่วยคนจึงมิง่ายเลย คนบางคนเพิกเฉยช่างไร้หัวใจ เลยหันหลังกันไป ช่วยบางทีก็เพราะเกรงใจ ยังหวงตน
* อย่าหลงเพราะทุกข์นัก หยุดพักล้วนมิหาย เห็นใจตนเองจึงเหนื่อยยิ่งนัก อย่าหลงว่าทุกข์นัก ขืนห่วงตนยิ่งยาก พากเพียรไปทำความเข้าใจ
** ความเปลี่ยนแปลงที่คนกลัวว่าไม่ดี ในบางทีแย่ลงไปเพื่อมีชัย บางครั้งต้องทำใจ อดใจรอเมฆฝนเคลื่อนคลาย สุริยา (ซ้ำ *, **) ศิษย์รู้บำเพ็ญจึงเห็นโลกคืออนิจจัง
ทำนองเพลง : ก้อนหินกับนาฬิกา
ชื่อเพลง : เสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
การบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องยากหรือง่าย (ยาก) ใครว่าการบำเพ็ญนั้นยาก การบำเพ็ญธรรมเป็นอย่างไร ครอบคลุมตอนไหนบ้าง ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับเลย ทุกๆ นาทีเรานับเป็นการบำเพ็ญธรรมได้หมด การบำเพ็ญธรรมนั้นแฝงอยู่ทุกที่ ไม่ใช่ว่ามาสถานธรรมหรืออยู่กับวัดจึงนับว่าเป็นการบำเพ็ญ เหมือนศิษย์จะเดินขึ้นสวรรค์ สวรรค์ไม่มีแบ่งว่านี่คือ บ้านหรือที่ทำงาน สวรรค์ก็เป็นเหมือนพื้นดินราบๆ การบำเพ็ญธรรมก็เป็นเสมือนการเดินบนพื้นราบๆ ไม่ว่าศิษย์จะเดินไปทางไหน อยู่ที่ไหน การบำเพ็ญธรรมนั้นก็แฝงเร้นอยู่ตลอดเวลา
การพูดเป็นการบำเพ็ญได้เปล่า (ได้) ถ้าคนๆ นี้พูดไม่ดีเลย คนนี้เหมือนคนบำเพ็ญธรรมหรือไม่ (ไม่เหมือน) ถ้าบอกว่าคนนี้ชอบคิดในแง่ที่ไม่ดีอยู่เรื่อยเลย คนนี้เหมือนคนบำเพ็ญธรรมหรือไม่ (ไม่เหมือน) ถ้าบอกว่าคนๆ นี้ชอบทำในสิ่งที่ไม่ดีอยู่เรื่อย แต่มาสถานธรรมประจำ คนนี้เหมือนคนบำเพ็ญธรรมหรือเปล่า (ไม่เหมือน) เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมนั้นต้องพิจารณาตนเอง ดู คิด แก้ไข มีอยู่แค่นี้เอง หากเราไม่แก้ไขก็มีข้อเสียนับร้อย นับจากหนึ่ง สอง สาม สี่ นับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นชีวิตของเราหนึ่งชีวิตนี้ คิดว่าเรานับเลขไปเรื่อยๆ จนถึงสิ้นชีวิตนี้จะได้เท่าไร นับไม่ถ้วน มากกว่าพันมากกว่าหมื่นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากว่าเรานับถอยหลังลงไปเรื่อยๆ อาจารย์ให้เริ่มตั้งแต่หมื่นลงไปเรื่อยๆ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดลดลงไปเรื่อยๆ ถามว่าก่อนที่เราจะตายไป เราอาจจะนับได้ถึงศูนย์หรือไม่ (ไม่ถึง, ถึง) ต้องเชื่อมั่นว่า ศิษย์นั้นจะทำความดีลบล้างความผิด ถอยลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเราไม่มีความผิดได้ เพราะว่าหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง มีเวลาว่างมานับเลขกี่ชั่วโมง ตั้งหลายชั่วโมง แค่นับเลขเอง หนึ่งวันมีเวลาไปทำไม่ดีกี่ชั่วโมง (หลายชั่วโมง) เพราะทำไม่ดีนั้นง่าย แค่ทำตามใจตนเอง ทำตามอารมณ์ตนเอง ทำตามความคิดตนเอง
คนที่ทำตามใจ อารมณ์ ความคิด มักจะเป็นคนที่ผิดพลาดได้ง่าย แล้วเราทำตามใจตนเอง ทำตามอารมณ์ตนเอง ทำตามความคิดตนเองบ่อยหรือเปล่า (บ่อย) เราฟังความคิดคนอื่น เราทำตามใจคนอื่น ทำตามอารมณ์คนอื่นบ่อยหรือเปล่า (ไม่บ่อย) แล้วเพราะอะไร เพราะทุกวันเราคิดถึงแต่ตนเอง ตอนนี้เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราต้องคิดถึงใคร (ผู้อื่น) เราต้องคิดถึงคนอื่น เราจะกินข้าว ตักข้าวใส่ปาก คนอื่นกินอิ่มหรือยัง พ่อแม่เรากินหรือยัง ตอนนี้เราจะกลับไปนอนแล้ว เราก็มาดูว่าพ่อแม่เรานอนหรือยัง คนอื่นนอนหรือยัง ถ้าหากคนอื่นยังทำงานเราจะนอนได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับทางโลก เพียงแต่ใจดวงเดียวกันแบ่งเป็นซีกซ้ายและซีกขวา หมายความว่า เรานั้นปลูกกิเลสก็ปลูกในใจตนเอง เราจะบำเพ็ญธรรมก็ตัดกิเลสที่อยู่ในใจของเราเอง ในที่ๆ เดียวกันนั้นสามารถทำให้ศิษย์นั้นกลายเป็นพุทธะ ผู้สำเร็จธรรมได้ และในที่ๆ เดียวกันนั้นก็ทำให้ศิษย์กลายเป็นคนที่จะตกนรกได้ทุกเมื่อ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตนี้ ไม่ว่าศิษย์จะอายุเท่าไร ถามว่าเรานั้นมีสิทธิ์จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกมากว่ากัน (ลงนรก) จริงๆ แล้วศิษย์อยากไปไหน อยากไปสวรรค์ นิพพานหรือไปนรกมากกว่ากัน (สวรรค์, นิพพาน) ทำไมความอยากไปทางหนึ่ง การกระทำไปอีกทางหนึ่ง ลองคิดดูว่าทำไมใจเราอยากไปทางหนึ่งแต่เวลาเราทำ เรากระทำไปอีกทางหนึ่ง (ยังมีกิเลสอยู่, ความเห็นแก่ตัว, เพราะปากกับใจไม่ตรงกัน, มีสิ่งที่ผิดติดอยู่, เพราะว่าใจของเราไม่มั่นคง, เพราะว่าใจของเรามีความโลภในเงินทอง, เพราะใจคนเรายังไม่มีความเป็นกลางและไม่มีความยุติธรรมพอ) คำตอบที่ตอบมาเป็นคำตอบที่ดี วันนี้หรือพรุ่งนี้หรือเมื่อไรก็ตาม เวลาที่ศิษย์อยากจะทำสิ่งที่ดีแต่พอทำจริงๆ ก็ไปเลือกทำในสิ่งที่ตรงข้าม ลองถามตนเองว่าเพราะอะไร คงไม่ต้องให้อาจารย์ตอบ เพราะว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นรู้ตัวดีว่าทำอะไรอยู่ เพียงแต่ที่ทำลงไปนั้นผิดหรือถูกเท่านั้นเอง ลองคิดดูว่าชั่วชีวิตที่ผ่านมาหากวันนี้ไม่เริ่มแก้ไข ไม่เริ่มต้นหนึ่งวันผ่านไป เมื่อวานนี้บอกว่าเดี๋ยววันนี้จะเริ่มต้น ผลัดไปผลัดมาบอกว่าพรุ่งนี้ดีกว่า พอวันพรุ่งนี้ผ่านเข้ามาอีกก็บอกว่าพรุ่งนี้ดีกว่า พรุ่งนี้ของทุกวัน หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป สามปีผ่านไป ได้แต่ชื่อว่า เป็นคนบำเพ็ญ ไม่ได้เป็นการบำเพ็ญที่แท้จริงสักที
เราลองเริ่มปรับปรุงตนเองดู เหมือนเวลาที่ศิษย์ทำกับข้าว เวลาเฉือนเนื้อหมู เฉือนลงไปเจ็บหรือเปล่า ที่จริงแล้วสัตว์ที่เรากำลังเฉือนอยู่เขาอยากให้เราเฉือนหรือเปล่า (ไม่อยาก) ศิษย์ตอบเองแล้ว วันนี้เราลองมาเฉือนเนื้องอกของตนเองบ้าง เนื้องอกของเรานั้นงอกอยู่เต็มไปหมดแล้ว ลองเฉือนดู กิเลสงอกมาจากตรงไหนก็ตัดเลยดีหรือเปล่า (ดี) อย่ากลัวตนเองเจ็บที่เราจะตัดความสุขสบายของเราทิ้ง อย่ากลัวตนเองเจ็บเมื่อเราจะต้องไปเผชิญความยากลำบาก เวลาที่เราอยากจะได้การงานที่ดีก็ต้องขยันทำงานจะอดตาหลับขับตานอนก็เอา เวลาที่เราอยากจะได้ตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต เราก็ต้องทำทุกวิถีทาง เวลาที่เราอยากจะมีเงินหรือการค้ารุ่งเรืองก็ต้องทำทุกวิถีทาง การที่ศิษย์อยากจะเป็นพุทธะก็ต้องทำทุกวิถีทางเหมือนกัน ทำไมถึงคิดแต่จะเอาในสิ่งที่มีรูปลักษณ์ จะเอาเงินทองมากๆ ชอบสิ่งนั้น ชอบสิ่งนี้ เงินทองมีรูปลักษณ์ให้จับต้องก็เลยอยากได้ แล้วการเป็นพุทธะไม่อยากได้หรือ ใครอยากได้ก็ต้องพยายามและพยายาม อาจารย์มีแต่คำว่า "พยายาม" ให้เท่านั้น ไม่ใช่อาจารย์บอกว่า ทุกๆ คนนั้นสามารถไปถึงได้โดยไม่มีอุปสรรค อาจารย์ไม่เคยพูดอย่างนั้น อาจารย์มีแต่บอกว่าการไปเป็นพุทธะได้นั้นมีอุปสรรคเต็มไปหมด แต่ต้องไปหรือไม่ (ต้องไป) ในทั่วจักรวาลนี้มีแดนอยู่ไม่กี่แดน แดนโลกมนุษย์หนึ่ง แดนนรกหนึ่ง แดนสวรรค์หนึ่ง และแดนนิพพานอีกหนึ่ง ไม่นับแดนภูตผีที่ตายโหง เอาคร่าวๆ แค่นี้ มีแดนอยู่เท่านี้ มีแดนมนุษย์ที่เราอยู่ตอนนี้ มีสวรรค์ นรกและนิพพาน
ขีดตรงกลางนั้นคือ โลกมนุษย์ วงกลมข้างบนนั้นคือ สวรรค์ ขึ้นไปข้างบนอีกนั่นคือ นิพพาน ข้างล่างเรียกว่า นรก อาจารย์ไม่ได้บอกว่า แดนเหล่านี้มีรูปลักษณ์ แต่เป็นการสมมติให้ได้รู้จัก เวลาที่เราขึ้นบันไดนั้นยิ่งสูงยิ่งเหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย) เดินลงไปข้างล่างเหนื่อยหรือเปล่า (ไม่ค่อยเหนื่อย) ไม่เหนื่อยเท่าไร แต่ต้องก้าวและต้องออกแรงก้าวเหมือนกัน แต่ถ้าติดความสบายก็อยากจะก้าวลงอย่างเดียว ถ้าหากไม่ติดความสบายก็ก้าวขึ้นไป ศิษย์ลองดูรูป มีสองวงกลม นิพพานอยู่สูงกว่าสวรรค์อีก ก้าวขึ้นไปสวรรค์ก็เหนื่อยแล้ว เราออกแรงก้าวขึ้นไปอีก คนอื่นออกแรงก้าวแค่ถึงสวรรค์ แต่ศิษย์ต้องออกแรงมากกว่าอีกไม่ใช่แค่คืบเดียว แต่ต้องก้าวไปที่เราเอื้อมไม่ถึงด้วยซ้ำ และยังต้องก้าวเป็นสองเท่าของคนธรรมดา เหนื่อยมากกว่า ลำบากมากกว่า แต่ถ้าทำได้สำเร็จก็เท่ากับเราได้ชนะใจตนเองชนะทุกสิ่งทุกอย่าง ความสำเร็จที่ไม่ใช่ความสำเร็จธรรมดาย่อมผ่านความลำบากที่ไม่ใช่ความลำบากธรรมดา อยากไปหรือไม่ (อยาก) อยากทำความดีหรือเปล่า (อยาก) อยากทำความดีแล้วจะทำความดีที่มากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่าทำหรือเปล่า (ทำ) เวลาชั่วชีวิตนี้จะพิสูจน์ศิษย์ อาจารย์พูดอย่างนี้เพราะอะไร ทำไมมาถึงอาจารย์ก็พูดเรื่องอย่างนี้กับศิษย์ อาจารย์บอกแล้วว่าเมื่อสักครู่อาจารย์ลงไปข้างล่างมา ในงานประชุมธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ทำงานไปก็คุยกันไป คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางคนพูดไม่เพราะไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเลย บางคนไม่พูดอะไรแต่ใจคิดไม่ดี บางคนเป็นคนที่ไม่ชอบพูดอะไรเลยแต่ว่าสักวันหนึ่งถ้าทำออกมาก็คงไม่ดี ใจของศิษย์ช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่มีคนอีกประเภทหนึ่งทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่คิดอะไรเลย เขาดีมาก คนในสถานธรรมนี้เปรียบเสมือนโลกใบหนึ่ง ให้ศิษย์คัดคนเหล่านี้กลับคืนขึ้นนิพพาน ศิษย์อยากได้คนพูดไม่เพราะหรือเปล่า ถึงแม้ว่าต่อไปนั้นศิษย์จะไม่ต้องใช้ปากพูดก็ตาม (ไม่อยาก) อยากได้คนคิดไม่ดีหรืออยากได้คนที่บริสุทธิ์ใจมากๆ คนนั้น อยากได้คนไหน (คนที่บริสุทธิ์ใจมากๆ) ถามตนเองดูว่าศิษย์เป็นคนไหน
อาจารย์เน้นว่าศิษย์ของอาจารย์ที่บำเพ็ญมาหลายปีแล้วจะต้องมีความดีตามปี ตามวันที่มากขึ้น แม้อยู่ข้างนอกศิษย์จะเป็นอย่างไรมาก่อนไม่เป็นไร แต่หลังจากที่ก้าวเข้ามาแล้วศิษย์คือ คนใหม่ ไม่ใช่คนใหม่นิสัยเก่า แต่เป็นคนใหม่นิสัยใหม่ เหมือนเวลาที่ศิษย์แกะของขวัญศิษย์ยังไม่รู้ว่าของขวัญข้างในคืออะไร ขอให้เรานั้นซื่อเหมือนกับตอนที่เราได้แกะของขวัญอันนี้ เรานั้นไม่ต้องเป็นคนที่รู้อะไรเลย ไม่ต้องรู้อะไรมาก เหมือนอาจารย์สมัยมีชีวิตก็ซื่อๆ ดีหรือเปล่า (ดี) มนุษย์สมัยนี้บอกว่าชอบคนฉลาด อยากทำงานก็อยากทำงานกับคนฉลาด เวลาอยู่ใกล้ก็อยากอยู่ใกล้คนฉลาด แต่ไม่พูดถึงเวลาถูกคนฉลาดเอาเปรียบ ถ้าเราคิดที่จะเอาเปรียบเขา เขาก็คิดที่จะเอาเปรียบเรา
“อุปสรรคของการแก้ปัญหาคือความชัง” ทุกคนรู้จักความชัง เวลาอยู่ในครอบครัวของเรานั้นมีสามี ภรรยา ลูกถ้าสามีภรรยาชอบทะเลาะกันบ่อยมาก ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ภรรยาคิดอยากให้สามีเลิกดื่มเหล้า ภรรยาเกลียดนิสัยการดื่มเหล้าของสามี สามีอยากให้ภรรยาเลิกเล่นไพ่ สามีเกลียดนิสัยการเล่นไพ่ของภรรยา ในที่สุดปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้เพราะจริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากให้เขาแก้ไขอย่างจริงจัง เรายังเกลียดนิสัยของเขาอยู่ เราจึงไม่สามารถบอกให้เขาเลิกได้ เพราะทุกครั้งที่ไปพูดไปบอก เราบอกด้วยอารมณ์ ไม่พูดกันดีๆ ฉะนั้นความชังจึงเป็นหนึ่งในอุปสรรคของการแก้ปัญหา เวลาเราอยากให้ใครแก้ไข เราอย่าเพิ่งเกลียดเขาก่อน เราจะต้องรักเขา
“การพลาดพลั้งตามอารมณ์อยู่เป็นนิจ” ปัญหาที่สองของการแก้ไขปัญหาคือ การทำตามอารมณ์ตัวเอง เวลาโกรธอาจารย์เคยบอกว่าให้นับหนึ่ง สอง สาม หมด อาจารย์ให้เวลา แต่ศิษย์ต้องการเวลามากกว่าสามวินาที เราต้องการเวลามากกว่านั้น แต่ว่าชีวิตของเราเกิดมาก็ไม่สามารถกำหนดเวลาได้ เวลาตายไปก็ไม่สามารถกำหนดเวลาได้ ความโกรธก็เหมือนกันศิษย์จะกำหนดเวลาว่าจะโกรธมากกว่านี้สักครึ่งชั่วโมงได้หรือเปล่า (ไม่ได้) หรืออยากโกรธมากกว่านี้สักหนึ่งชั่วโมง หรือเราอยากจะมีเวลาโกรธสักหนึ่งชั่วโมงแล้วอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเราจะต้องตายไป คนๆ นี้ต้องตายไปพร้อมความโกรธหรือเปล่า (พร้อม) เราตายไปพร้อมความโกรธแล้วเราต้องเกิดไปเป็นอะไร เราต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป อยากจะมีชาติหน้าเพราะว่าเราขจัดอารมณ์ไม่ได้ ช่างน่าสงสาร เราจำเป็นต้องขจัดให้ได้ ถ้าโกรธขึ้นมาให้นับ หนึ่ง สอง สาม ถ้าอยากได้เวลามากกว่าสามวินาทีก็นับช้าๆ นับหนึ่งก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง นับสองก็สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ นับสามก็หายใจออกมา หนึ่งครั้งแรกอาจารย์ให้ถอนหายใจเรื่องที่ไม่สมหวัง แล้วคิดว่าทำไมเราจะต้องโกรธด้วย ครั้งที่สองสูดหายใจเข้าลึกๆ ให้มีลมเต็มปอดให้ใจของเรากว้างขึ้นด้วยลมที่เข้าไป ครั้งที่สามปล่อยออกมาให้ใจเราเหมือนเดิม อยากได้เวลามากๆ ก็นับให้ช้าลง แต่อย่านับชั่วโมงละหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็จะช้าไป
“ได้เป็นศิษย์ข้าควรรู้ใจข้าเอย” คำว่า “ข้า” ตัวนี้คือ อาจารย์ อาจารย์หวังอยากให้ศิษย์ก้าวไปข้างหน้า ก้าวขึ้นไปข้างบน ก้าวขึ้นไปให้สูง เมื่อเราก้าวสูง ปีนบันไดหรือปีนภูเขาสูง เราต้องเป็นคนที่อ่อนน้อมลงมา เวลาที่เราปีนภูเขาแล้วเรามัวแต่ยืดตัวตรงก็ปีนภูเขาไม่ได้ อาจจะต้องล้มหงายหลังลงมา จึงยิ่งต้องก้มลงไป ธรรมชาติสอนศิษย์ว่ายิ่งภูเขาชันมากเท่าไร เราต้องยิ่งก้มลงไป มีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า “ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว” ศิษย์เอยเมื่อเจ้าใกล้ประสบความสำเร็จจะเป็นความสูงมากๆ ก็ให้อ่อนน้อมลงมากๆ เช่นเดียวกัน เวลาคนทำตัวเด่นมักมีภัย เราก็จงทำตัวให้กลมกลืน ดูแล้วสบายตา ฟังแล้วสบายใจ อย่างนี้จึงเป็นผลดีต่อเรา
ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากปกครองคนมากมายให้เรานั้นอยู่ข้างหลัง” เพราะถ้าอยู่ข้างหน้าจะมองไม่เห็นข้างหลัง แต่ถ้าเราอยู่ข้างหลังเราสามารถรู้ว่าคนที่เป็นผู้น้อยที่ตามเรามานั้นเป็นอย่างไร คนที่น่าห่วงที่สุดไม่ใช่คนที่อยู่ข้างหน้า แต่กลับเป็นคนที่อยู่ข้างหลังที่เราไม่รู้จัก ยิ่งคนต่อแถวยาวเท่าไร เราไม่รู้จักเขาเท่าไร เราเองจะมีปัญหา
ศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า (สบายดี) ระหว่างสบายกายกับสบายใจ ถ้าหากให้ศิษย์เลือกพวกเราอยากสบายกายหรือสบายใจ (สบายใจ) คนสบายใจไม่จำเป็นจะต้องมีฟูกนอน ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองใช้ก็ได้ ไม่ต้องมีบ้านหลังโตก็ได้ ไม่ต้องมีรถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ก็ยังสบายใจอยู่ได้ ในตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เงินทองขาดมือ ความสบายก็หดหายไปด้วย บางคนรถก็หายไปด้วย บางคนบ้านก็หายไปด้วย บางคนวัตถุต่างๆ ก็หายไปด้วย แต่ถ้าเราเลือกได้เราก็ยังเลือกสบายใจ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ยิ่งไม่มียิ่งสบายยิ่งเบา ก็ไม่ต้องมาขอให้อาจารย์ช่วยให้รวยแล้ว จะต้องเอารถกับบ้านด้วยหรือเปล่า อาจารย์เห็นศิษย์หลายคนมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นจากทรัพย์สินเงินทองที่มีมากจนต้องนั่งเฝ้าไว้ จากการอยากได้ อยากมี แต่ไม่รู้ว่าคนที่ไม่มีนั้นเขาสบายแค่ไหน ขึ้นอยู่กับใจของเราเอง ถ้าเรามีใจที่อยากได้ ความสบายใจของเราก็หดหายไปตามส่วน การบำเพ็ญธรรมนั้นทำให้ศิษย์สบายใจได้ แต่ใจนี้ยังต้องซ่อมแซมไปเรื่อยๆ บางคนยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความทุกข์ บางคนยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความสุข แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะใช้วิธีไหนของตนเอง บำเพ็ญแล้วควรที่จะมีความสุข ถ้าเรายังมีความทุกข์อยู่แสดงว่าเรายังบำเพ็ญไม่ถูกทาง แต่บางคนก็น่าเห็นใจมีความทุกข์เพราะว่าอยากให้คนอื่นสุขก็เป็นเรื่องต่างหาก เพราะจิตใจของเขาถูกยกระดับขึ้น
“ศิษย์รักบำเพ็ญต้องคุ้นหัวใจปราชญ์” หัวใจปราชญ์เป็นอย่างไร (ผู้รู้หัวใจตัวเอง, หัวใจที่มีคุณธรรม) ศิษย์นั้นต้องคุ้นเคยกับหัวใจปราชญ์ นั่นก็คือ จะต้องมีคุณธรรมมาเป็นอันดับหนึ่ง มีความเมตตา สองอย่างนี้ก็ยิ่งใหญ่มาก อย่างอื่นจะตามมาทีหลัง หัวใจปราชญ์นั้นสองสิ่งนี้สำคัญและยิ่งใหญ่ คือ มีคุณธรรมมาเป็นอันดับหนึ่ง และมีความความเมตตา ต้องรู้จักแสดงความเมตตาต่อผู้อื่น และต้องมีคุณธรรม ไม่เอาเงินเขาเมื่อเขาไม่เห็น อยู่ที่มืดๆ ก็ไม่แอบทำเรื่องไม่ดี อันนี้อาจารย์ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ
การบำเพ็ญธรรมแม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก เหมือนกับผลไม้ที่อยู่ตรงหน้า ถ้าจะเด็ดศิษย์จะต้องเอื้อมมือไป เหมือนกับการบำเพ็ญธรรมถ้าเราอยากได้มรรคผลต้องลงแรง ถ้าหากเราอยากได้ผลไม้สักลูกหนึ่ง ได้มรรคผลสักลูกหนึ่ง ไม่ไปปลูก ไม่ไปรดน้ำ สามวันรดน้ำที ห้าวันใส่ปุ๋ยที ต้นไม้ตายหรือเปล่า (ตาย) การบำเพ็ญธรรมต้องใส่ใจ ไขว่คว้าเอง ต้องบำเพ็ญด้วยตนเอง ครั้งแรกที่เราจะมาประชุมธรรมมีคนไปเรียกเราอย่างเอาใส่ใจเรา หลังจากนั้นเราต้องเอาใจใส่ตนเอง ต้องช่วยตนเอง ไม่ต้องให้เขาไปตามตื้อ ตามเรามาอีกและไม่ต้องมาด้วยความเกรงใจ แต่มาด้วยความเต็มใจ การฟังธรรมะกุศลมีบังเกิดขึ้นเพราะว่าเราเต็มใจฟังธรรมะ และเต็มใจปฏิบัติ หากว่าเราไม่เต็มใจฟัง ไม่เต็มใจปฏิบัติ กุศลก็เว้าๆ แหว่งๆ ไม่สมบูรณ์
“คุณธรรมขาดสำนึกคุณมักเล่นเล่น” ถ้าขาดคุณธรรมก็จะไม่มีความสำนึกในคุณต่างๆ อย่างเช่น ฟ้าดินนั้นให้เรามีแสงอาทิตย์ มีนำ้ อย่างนี้มีบุญคุณหรือเปล่า (มี) โดยเฉพาะตอนนี้ฟ้าดินไม่ได้ให้แค่นำ้ ไม่ได้ส่งแค่แสงอาทิตย์ ยังส่งธรรมะลงมาช่วยในคนที่ไม่มีธรรมะ เพื่อให้คนดีถูกฉุดช่วย และคนชั่วนั้นได้สิ่งที่ควรจะได้รับ ฉะนั้นจึงบอกว่าฟ้าดินมีคุณ คนที่ช่วยเหลือเราก็มีคุณต่อเรา มีใครที่มีคุณอีก (พ่อแม่, พระมหากษัตริย์, ครูอาจารย์, คนที่ชักชวนเรามารับธรรมะและนำพาให้มาประชุมธรรม)
ชั้นนี้มีเพื่อนร่วมชั้นที่มาจากต่างประเทศ ต้อนรับเขาด้วย อย่างไรเสียก็ศิษย์อาจารย์มาอยู่ด้วยกันถือว่ามีบุญสัมพันธ์กับคนประเทศลาว เราต้องรักกัน ในชั้นนี้มีคนพิษณุโลกไม่เท่าไร หัวหน้าชั้นดูหน้าเอาไว้ วันหลังต้องไปตามมาให้หมด
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้แก่นักเรียนที่เป็นชาวพิษณุโลก)
เวลาเราบำเพ็ญธรรม สุดท้ายมีคำพูดบอกว่า ให้เรานั้นรับมรรคผล ผลไม้ที่ได้ไปเหมือนกับมรรคผล จะเอาลูกใหญ่หรือลูกเล็กก็อยู่ที่เรา ทำไมอาจารย์ถึงแจกแอปเปิ้ลรู้หรือเปล่า เพราะว่าความหมายในภาษาจีนมีมงคล
"หนี้กรรมจับหนาวยิ่งสุดชีวิต" อาจารย์ให้กลอนบทที่ขึ้นต้นด้วย “หนี้กรรมจับ” หนี้กรรมจับอย่างไร ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นยังไม่ถูกหนี้กรรมจับถึง การที่มีความลำบากบ้างก็เพียงผ่อนใช้หนี้ที่เรานั้นติดค้าง แต่หากวันใดศิษย์โดนหนี้กรรมจับเข้าจริงๆ แล้ว แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังลุกไม่ไหวเลย เคยเห็นคนที่ป่วยจนลุกไม่ได้ เคยเห็นคนที่ป่วยจนเดินไม่ได้หรือเปล่า (เคย) เคยเห็นคนที่บ้านแตกสาแหรกขาดจนหัวใจสลายทำอะไรไม่ได้เลยหรือไม่ (เคย) เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นการที่เรานั้นถูกหนี้กรรมต่างๆ จับหรือไม่ก็เป็นการสั่งสมปัญหาของเราเอง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเรานั้นมีกรรม กรรมคืออะไร กรรมคือ การกระทำของเรา เพราะฉะนั้นกรรมที่เราเคยสร้างมานั้นต้องชดใช้ ส่วนเรานั้นมีอนาคตอันสดใส ถามว่าเราจะทำอย่างไรให้อนาคตของเรานั้นสดใสจริงๆ (หมั่นทำความดี) ตอนนี้หมั่นทำความดีหรือเปล่า วันหนึ่งทำกี่หน (ทำตอนเช้า) ทำความดีให้มากๆ ไม่ต้องทำเฉพาะตอนเช้า
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทกับแม่ครัว)
อุปสรรคมีอะไรผ่านเข้ามาก็ผ่านไปให้ดีๆ ทำให้ดีๆ ให้เรานั้นสมควรได้รับคำยกย่องว่า “เราบำเพ็ญได้ดี“ ใจต้องรักษาให้กลมๆ อย่าให้คนโน้นมาว่าที คนนี้มาว่าที แล้วมันแหว่งๆ เว้าๆ เป็นคนพิษณุโลกเหมือนกันสู้ๆ กันหน่อย เพราะว่าเรานั้นเป็นกำลังที่ดีของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม อาจารย์ก็เห็นอยู่เสมอว่าศิษย์ทั้งหลายนั้นเหนื่อย ไม่ใช่เหนื่อยแค่สามวันนี้ แต่อาจารย์รู้ว่าเหนื่อยมากกว่านี้ แต่ต้องอดทนเข้าไว้ ความอดทนและความพยายามเป็นสิ่งที่คู่กับเรา สถานธรรมนั้นก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเราทุกๆ คน เห็นหรือไม่ว่าคนที่อายุมากบำเพ็ญแล้วเขาก็ไม่ยอมแพ้ แล้วเราจะยอมแพ้ได้อย่างไร
“ยกวิธีหยุ่นยืดดุลย์สองฝั่ง” แปลว่าอะไร เวลาเรามีปัญหาก็เปรียบเสมือนกับเรานั้นอยู่ท่ามกลางภยันอันตราย อันนี้คือ ปัญหาของเรา
อาจารย์สมมติให้ปัญหาเป็นลูกกลมๆ ลูกหนึ่ง ปัญหาของเรากลิ้งไปกลิ้งมา หมุนไปหมุนมาจนเราหัวหมุน ทีนี้มีไม้อยู่อันหนึ่ง เรายื่นอยู่บนไม้นี้ ไม้นี้เปรียบเหมือนอะไรดี (หนทางแก้ปัญหา, ปัญญา, ทางเดินชีวิต, การแก้ปัญหา) ถ้าหากข้างล่างเป็นปัญหา ข้างบนเป็นตัวเรา ตรงกลางนี้ควรจะเป็นอะไร (พื้นฐาน, เครื่องมือแก้ปัญหาชีวิต, เป็นฐานของปัญหา, ยึดเหนี่ยวหลักธรรม, อุปสรรค, ภูมิปัญญา, พื้นฐานของธรรมะ) ศิษย์แต่ละคนมีคำตอบของตัวเองคนละหนึ่งคำตอบ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นคำถามที่สองที่อาจารย์ไม่เฉลยให้ศิษย์ไปคิดเอง ขอให้เรานั้นคิดๆ และคิดให้ออกว่าอันนี้หมายถึงอะไร เมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความคิดของตัวเอง ลองถกปัญหานี้ให้แตก ไม่ใช่สามวันมาที่สถานธรรมพอกลับไปหัวสมองว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลย
กลอนบทที่อาจารย์นั้นวาดรูปนี้ออกมา บอกว่า “ยกวิธีหยุ่นยืด” ก็คือ ยืดหยุ่นนั่นเอง "ดุลย์สองฝั่ง" เวลาที่ลูกหินที่อยู่ข้างล่างกลิ้งไปจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องรีบวิ่งไปฝั่งที่ก้อนหินกลิ้งไปเพื่อจะให้ไม้อันนี้ทรงตัวอยู่ได้ นั่นคือ ความหมายของปัญหาเมื่อกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วเราจะอยู่เฉยได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วเราจะยึดหลักการนั้นๆ อย่างตายตัวบอกว่าเราเป็นคนมีหลักการได้หรือไม่ (ไม่ได้) ขอให้ศิษย์นั้นเวลาแก้ปัญหาใช้วิธีนี้ คือ วิธีการรู้จักยืดหยุ่นบ้าง บางคนนั้นเป็นคนที่ขี้โมโห ไม่เคยทำอารมณ์ของตนเองนั้นให้เย็นลง บางคนเป็นคนที่ไม่รู้จักพอดี เวลามีปัญหาขึ้นมาแต่ไม่ใช่ที่ตัวปัญหาแต่มีปัญหาที่ตัวเรา เพราะฉะนั้นศิษย์ลองนึกสภาพของปัญหาที่กลิ้งไปกลิ้งมาแล้วตัวเรานั้นยืนเฉย แล้วในที่สุดใครตาย (ตัวเรา) เราตายเพราะเราตกลงมาจากปัญหา ศิษย์ของอาจารย์บางคนแก้ปัญหาได้ดี
“แก้ปัญหาสิ่งที่เจอด้วยระวัง เมื่อต้องฟังกับพูดระวังที่สุด”
เมื่อศิษย์ต้องการแก้ปัญหาก็คือ ยืนอยู่บนลูกกลมๆ ที่กลิ้งไปกลิ้งมานี้ ถ้าไม่ระวังก็ต้องพลาด การแก้ปัญหานั้นควรจะระวังที่สุดที่ไหน อย่างแรกคือ ฟังเขามา เราฟังแล้วเราต้องคิด คิดก่อนที่เราจะพูดออกไป หลายคนมีปัญหาแต่มีปัญหาตั้งแต่ตอนฟัง ฟังก็มีปัญหาแล้ว เพราะฉะนั้นแก้ปัญหาได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฟังได้ทุกอย่างแต่ก็ต้องคิดทุกอย่าง เวลาเราจะพูดอะไรออกไปก็ต้องระวังที่สุด สิ่งที่ควรระวังก็มีสองอย่างเป็นสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุด ส่วนอย่างอื่นก็ลดหลั่นลงตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้เรามีปัญหามากก็ให้ระมัดระวัง เมื่อเวลาเจอปัญหาก็ดีหรือไม่เจอปัญหาก็ดี เพราะศิษย์นั้นไม่สามารถจะรู้ว่าปัญหาจะวิ่งเข้ามาหาเมื่อไร
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
“กลาง” หลังจากกลับไปวันนี้ทำใจให้เป็นกลาง ต่อไปไม่ว่าคนเขาจะดีกับเรามากกว่านี้หรือคนเขาจะไม่ดีกับเรา เราต้องประคองใจเราท่ีมีใจมานั่งฟังธรรม ภรรยาก็พากันมาบำเพ็ญ ชดเชยที่เมื่อก่อนนี้เราไม่ให้เขามา ดีหรือเปล่า (ดี)
“ฟ้า” สภาพของฟ้านั้นเป็นสภาพที่ใสสะอาดมาก การบำเพ็ญธรรมต้องมีจิตใจเหมือนฟ้า อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้ามาบำเพ็ญ และรู้จักทำจิตใจให้เหมือนฟ้า ไม่ต้องคิดอะไรมาก การบำเพ็ญธรรมไม่ต้องใช้ความคิดมาก ความคิดสงสัย ความคิดที่ไม่เข้าใจ ความคิดที่จะมองอะไร ก็ขอให้ใสๆ เหมือนกับฟ้า การบำเพ็ญธรรมมีอีกหลายขั้นตอนที่ศิษย์นั้นต้องผ่าน
“ดิน” ฟังธรรมะสองวันเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า (มากขึ้น) ต้องเอาไปปฏิบัติได้ ต้องเสียสละเพื่อผู้อื่น ดินมีไว้สำหรับปลูกต้นไม้ให้ขึ้นมา แม้คนจะเหยียบดินก็ไม่ว่า คนจะถ่มน้ำลายใส่ดินก็ไม่ว่า จิตใจที่เหมือนกับดินนั้นยิ่งใหญ่ หวังว่าศิษย์นั้นจะยิ่งใหญ่ขึ้นกว่านี้ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้
“มนุษย์” นั่งฟังธรรมะสองวันฝืนใจหรือเปล่า (ไม่ฝืนใจ) การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มายืมร่างไม่ได้หมายความว่า ให้ศิษย์เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หมายความว่า สิ่งที่อาจารย์พูดไปศิษย์ต้องทำได้และหวังว่าให้เราทำให้มาก วันหลังเราเข้าใจธรรมะยังสามารถนำผู้อื่นขึ้นมาได้อีก
“บำเพ็ญต้องสำนึกคุณ มักคุ้นเล่นหัวไม่ได้”
เวลาที่เรานั้นมาสถานธรรม บางทีผู้อาวุโสบางคนก็กลายเป็นเพื่อนของเราไป กลายเป็นคนที่เรารู้จักมักคุ้นกันดี แต่อาจารย์จะบอกว่า ถึงแม้ว่าเราจะสนิทกันแค่ไหนก็เล่นหัวไม่ได้ เราเรียกว่า รู้จักมักคุ้น ต้องคงความว่างระหว่างอาวุโสและผู้น้อยไว้เท่าเดิม ไม่ใช่เปลี่ยนจากอาวุโสกลายเป็นเพื่อน แล้วเปลี่ยนจากเพื่อนกลายเป็นอย่างอื่น ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาก สิ่งใดควรพูดเราต้องพูด สิ่งใดไม่ควรพูดต้องเก็บไว้ มีหลายคำที่ศิษย์ของอาจารย์พูดไปแล้วอาจารย์นั่งฟังอยู่ด้วยก็ยังสะอึกเพราะว่าเราพูดแต่สิ่งที่ไม่ควรพูด แล้วสิ่งที่ควรพูดเราไม่ยอมพูด อย่างนี้ไม่ว่าศิษย์จะพาตัวไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่ปัญหาเพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปัญหา แต่ปัญหานั้นอยู่ที่เรา จึงต้องมาแก้ไขความคิดความอ่านของเรานั้นให้ดี ความคิดความอ่านของเราจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นตลอดเวลา บางคนความคิดเปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้บำเพ็ญกุศล ไม่ได้บำเพ็ญคุณธรรมมากพอ มองแยกแยะไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ปัญญาของเราก็เปรียบเหมือนกับแสงที่ริบหรี่ๆ ใกล้จะดับแล้ว อย่างนี้แล้วเราจะทำงานธรรมะ ทำงานฟ้าไปได้อย่างไร ศิษย์ทำงานฟ้าแต่จิตใจวุ่นวายเหมือนมนุษย์ ฉะนั้นงานฟ้าจึงเป็นงานที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย อยากให้มีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ความศักดิ์สิทธิ์ต้องอยู่ที่เราด้วย
เราต้องรู้จักรักคนแก่เหมือนรักอาวุโสในบ้านของเรา คนทุกคนมีพ่อแม่ คนทุกคนมีพี่น้อง เราเคารพคนอื่น คนอื่นก็เคารพเรา
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง ชื่อเพลง “เสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” ทำนองเพลง ก้อนหินกับนาฬิกา)
บางทีเราก็เจียดเวลาของเรานิดหนึ่ง เบียดตัวเราให้ตัวเราดูเล็กนิดหนึ่งเพื่อให้ที่กว้างกับผู้อื่น ถ้าทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่คนอื่นสบายใจ แต่เราสบายใจ เหมือนคำพูดที่กล่าวว่า "อิ่มบุญ" อิ่มนี้ก็คือ อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มที่ได้ทำความดี ถ้าเรานั้นทำความชั่ว ทำความไม่ดีก็คงจะไม่มีความอิ่มอกอิ่มใจ เหมือนเวลาที่ศิษย์ทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ แต่คนที่ไม่สบายใจก็คือ ตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สำนึกคุณ” และ “ตอบแทนคุณ” )
ทำไมถึงบอกว่าต้องมีการตอบแทนคุณ เพิ่งผ่านวันที่ ๕ ธันวาคมมา พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ แล้วประมุขของศิษย์ก็เป็นประมุขที่ดี เราควรที่จะตอบแทนคุณ ท่านอยู่ไกลเราควรจะตอบแทนท่านอย่างไรดี (ทำดี) ต้องทำความดีที่เป็นความดีที่ชัดเจน เพราะความดีของศิษย์เป็นความดีที่เกือบจะแยกไม่ออกว่าเป็นความดีเพื่อตัวเองหรือเพื่อผู้อื่น จึงต้องทำความดีที่ชัดเจน รู้แน่ๆ ว่าเรานั้นทำให้ใคร ดังเช่น พระมหากษัตริย์ทำเพื่อประชาราษฎร์ ศิษย์ต่างรู้ว่าท่านทำให้ศิษย์ ตอนนี้ศิษย์จะทำก็ต้องรู้ว่าทำเพื่อพระมหากษัตริย์ เช่นอะไรบ้าง ในสังคมโลกรณรงค์บ่อยมากบอกว่าอย่างไร (ห่างไกลยาเสพติด) ฉะนั้นต้องกลับมาดูลูกหลานในบ้านให้ดี ตัวเราถ้ายังไม่พ้นวัยรุ่นก็ต้องดูแลตนเองให้ดี ห่างไกลอบายมุข เพื่อวันหนึ่งจะได้เป็นคนดีของชาติ ทำงานให้กับประเทศ นั่นจึงเป็นการตอบแทน ไม่ใช่บอกว่าจะต้องตอบแทนเฉพาะวันที่ ๕ ธันวาคม พอเลยวันที่ ๕ ไปแล้วก็แล้วกัน ต้องมีการตอบแทนเรื่อยๆ แล้วต้องตอบแทนบุญคุณใครอีก (พ่อแม่) เราฟังหัวข้อกตัญญู เราทุกคนมีพ่อแม่ แม้เราจะบอกว่าพ่อแม่เราไม่ดี แต่ถ้าไม่มีพ่อแม่เราคงเกิดมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องตอบแทนคุณ แต่ต้องมีความรู้สึกสำนึกคุณก่อน ตอนที่อาจารย์มาอาจารย์พูดถึงพระคุณฟ้า พระคุณแห่งฟ้านั้นให้เราโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ช่วยเหลือเราตลอด ให้แสงสว่างตรงเวลาทุกวัน ถ้าหากว่าพระอาทิตย์ไม่อยากทำงานสักสามวัน เราอยู่ในความมืดตลอดสามวันได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฝนไม่ตกสามปีเป็นอย่างไร (แห้งแล้ง) เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีจิตที่รู้จักสำนึกคุณ เมื่อเราสำนึกได้ว่าท่านมีพระคุณต่อเรา เราจึงตอบแทน พระคุณแรกที่ให้สำนึกคือ คุณแห่งฟ้า พระคุณที่สองคือ คุณพ่อแม่ ครูอาจารย์ พระมหากษัตริย์ ศาสนา คุณของทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่ทำดีต่อเราทั้งหลายอย่าทำเป็นลืม พระคุณที่สามคือ สำนึกแห่งผิดชอบชั่วดี คือคุณที่อยู่ในจิตใจของเราเอง ให้เราสำนึกไว้เพื่อเราจะได้ไม่ทำผิด
บางครั้งเราไม่ต้องเก่งมากเกินไป แต่จะมีคนรุ่นหลังที่เก่งมากกว่าเรา เพียงแต่ถึงเวลาเราควรจะหลีกทางให้และ เปิดโอกาสให้เขา มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่มีใครไม่เคยทำผิด รวมทั้งศิษย์เองก็เคยทำผิดมา เพียงแต่โลกนี้ขาดแคลนคนอภัย ความผิดครั้งเดียวลบล้างความดีร้อยครั้งทิ้ง สมควรหรือไม่ (ไม่สมควร) เพราะฉะนั้นแม้ความผิดครั้งเดียวจะเป็นความผิดที่ใหญ่กว่าสิ่งที่เขาทำดีร้อยครั้งนั้น เราก็ยังต้องมีใจกว้างพร้อมที่จะอภัย ถ้าเราไม่รู้จักอภัยคนอื่น แล้วคนอื่นจะอภัยเราได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่มีอะไรยุ่งยาก ไม่มีอะไรเรื่องมาก ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกการกระทำแฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เราเคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเพียงแต่ให้ดีขึ้นๆ บางคนคิดไปไกลว่าการบำเพ็ญธรรมอยู่เหนือโลก อยู่เหนือสิ่งที่เราคาดหมาย จะต้องเป็นอย่างนี้แล้วก็เป็นอย่างนั้นถึงเรียกว่า การบำเพ็ญธรรม เหมือนคนที่กินเจเก้าวันเท่านั้น แล้วส่วนวันที่เหลือ ถามว่าสัตว์ต่างๆ ต้องตาย ต่อให้ศิษย์บอกว่ากินเก้าวันแล้วดี แล้ววันที่เหลือถึงสัตว์ต่างๆ เอาชีวิตรอดอย่างไรก็ไม่พ้นปากเรา ในหัวของการกินเจนี้อาจารย์อยากเน้นให้ศิษย์กินเจ ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์ไม่กินเจ วันหน้าคนอื่นกินศิษย์ ศิษย์กลัวหรือเปล่า (กลัว) ถ้าหากว่าวันนี้เราแล่เนื้อเขา วันหน้าเขาก็แล่เนื้อเรา เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้คุ้มหรือเปล่า ดีหรือเปล่า ชอบหรือเปล่า หากวันนี้ไม่เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วเมื่อไรจะเปลี่ยนแปลงได้ อย่าให้ยิ่งนานวันยิ่งหนักข้อขึ้น ขอให้ศิษย์รู้จักเดินสายกลางทำอะไรให้พอดีๆ บางคนนั้นเวลาอยากจะบำเพ็ญธรรมก็บำเพ็ญทุ่มสุดตัว พอเลิกบำเพ็ญธรรมก็เลิกเลย ศิษย์ชอบแบบนั้นหรือเปล่า (ไม่ชอบ) คงไม่มีใครชอบ อาจารย์ก็ไม่ชอบ ศิษย์ค่อยๆ มา ค่อยๆ เดิน เดินให้เป็น เดินให้คล่องแล้วค่อยวิ่งจะดีกว่า ถึงมีคำพูดบอกว่า ให้เร่งๆ รีบๆ เร็วๆ แต่ก็ไม่ใช่วิ่งจนขาขัดกัน แล้วก็ล้มอยู่ตรงนั้นวิ่งต่อไปไม่ได้ อย่างนั้นก็คงจะไม่คุ้ม
วันนี้อาจารย์เจอศิษย์ทุกคนใจหนึ่งดีใจแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่แน่ใจ เพราะคนบำเพ็ญธรรมน้อยลง ขอให้เรานั้นทำตัวเราให้ดี อาจารย์ไม่โทษและไม่ว่า แต่อยากให้ศิษย์นั้นพยายาม แต่ละคนมาสถานธรรมนั้นไม่ใช่ง่าย ต่างคนต่างมีบุญของตนเองก็จริงอยู่ แต่เราอย่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครก็แล้วแต่ถูกทดสอบกลับไป ไม่เช่นนั้นเราจะมีบาป อาจารย์บอกได้เลยว่าถ้าศิษย์นั้นเป็นผู้ทดสอบใครสักคนตกไปแค่คนเดียวเท่านั้น ศิษย์แบกไม่ไหว กรรมอันยิ่งใหญ่ กรรมอันหนัก เพราะหนึ่งคนพ่วงด้วยบรรพชนเจ็ดชั้น
ถ้าอาจารย์กลับไปแล้ว หวังอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์ ใครที่ยังมีความสงสัย ไม่เข้าใจ ให้กลับมาศึกษาบำเพ็ญตามแต่โอกาสที่มีและเอื้ออำนวย ทำตนให้ดี อย่าไปหลงรูป รส กลิ่น เสียง อายตนะของเรา อินทรีย์ทั้งหกของเรา เราต้องเป็นผู้เก็บเอง การบำเพ็ญไม่ใช่การปิดตา แต่ศิษย์ต้องอยู่เหมือนคนปิดตา บางทีถ้ามาแล้วเจออะไรที่ไม่ชอบใจ ถึงลืมตาไว้แต่ในความรู้สึกข้างในก็คือ ปิดตาอยู่ อย่าสนใจมาก หูเปิดไว้ก็เหมือนปิดหูอยู่ ฟังแล้วอย่าขัดเคืองกัน เวียนว่ายตายเกิด เกิดมาเป็นมนุษย์แสนจะทุกข์ทรมาน หากว่าศิษย์ไม่อยากจะทรมานอย่างนี้อีกหนหนึ่งก็หันหลังกลับไปฝั่งธรรม เวลาชีวิตหนึ่งที่มีอยู่ ร้อยปีไม่ใช่ยาว
“ทุกข์เพียงใดจะกลับคืน” กลับไม่กลับ (กลับ) ตอนที่ศิษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนเดินมาในโลกนี้ ไม่มีใครคิดว่า ตนเองจะหลง แต่ถึงสุดท้ายแล้วคนส่วนใหญ่ก็หลง ตอนนี้เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อาจารย์เปิดดวงตาแห่งปัญญาให้ตื่นแล้ว อย่าหลับอีกเลย อาจารย์หวังว่าไม่ว่าครั้งนี้หรือครั้งหน้า หรือว่าครั้งไหนๆ เราจะเจอกันทุกครั้ง วันหนึ่งที่ศิษย์ไม่มีชีวิตนี้แล้วเราจะกลับไปด้วยกัน หากศิษย์ไม่ทิ้งอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ทิ้งศิษย์ จำไว้ ลาก่อน ดูแลตัวเองให้ดี บำเพ็ญให้ดๆี คำอะไรที่อาจารย์เคยพูดไว้ อย่าลืมอาจารย์รักศิษย์ทุกคน
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านอวี้หนวี่
ฤดูกาลผันเปลี่ยนไม่คอยใคร วันเวลาถูกกลืนหายเป็นเช่นนี้
ประชุมธรรมสามวันใกล้หมดเต็มที หวังฤดีท่านมีธรรมบำเพ็ญต่อไป
เราคือ
อวี้หนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามทุกทุกท่านมีความสุขกันไหม
ลดทอนตัณหาลงบ้าง กระจ่างรู้พอพบสุข
โลกีย์รูปนามสมมุติ ปลุกจิตสงบร่มเย็น
ปัญญาพินิจถ้วนถึง รู้ซึ้งสัทธรรม๑ดั่งเห็น
ยิ่งมียิ่งหลงลำเค็ญ เขย่งยืนเด่นไม่นาน
ยอมถอยจึงกว้างยิ่งใหญ่ ยิ่งให้ยิ่งมีผสาน
บำเพ็ญไม่ติดผลงาน คนเห็นกล่าวขานความดี
ความอ่อนชนะความแข็ง เมตตากล้าแกร่งบัดนี้
ต่อคนน้ำใจไมตรี สักวันย่อมมีเห็นใจ
ไยคนเบียดเบียนกันเอง ข่มเหงรังแกทำร้าย
ใครทำย่อมรับผลได้ รู้แล้วอย่าหมายห่างดี
วันนี้เป็นวันสุดท้าย หวังให้ประเสริฐฤดี
ด้วยการบำเพ็ญชีวี ตราบวินาทีสิ้นกาย
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านอวี้หนวี่
เวลานี้ทุกท่านมีความสุขกัน เวลาเช่นนี้หาได้ยากเพราะเป็นเวลาที่เราไม่ต้องนึกถึงอดีต ไม่ต้องนึกกังวลอนาคต เราลืมไปเลยว่าเรามีหน้าที่อะไร เราเป็นใคร เราสามารถยิ้มแย้มสนุกสนานกับทุกๆ คนได้ บางครั้งเราเกิดเป็นคนหากชีวิตเราไม่ต้องกังวลถึงอนาคต ไม่ต้องเศร้าเสียใจกับอดีต ทำเวลานี้หรือตอนนี้ให้ดีที่สุดก็เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้ แต่บางคนอดไม่ได้ที่จะมัวแต่นึกถึงอดีต มัวแต่กังวลอนาคต ปัจจุบันเลยกลับไม่ได้ทำอะไรเลยวันๆ มัวแต่คิดเรื่องปัจจุบัน อนาคต อดีต ชีวิตในตอนนี้เลยยังไม่สามารถที่จะทำให้ดีได้ เพราะวันหนึ่งๆ ที่จะผ่านไปมัวแต่คิดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อดีตที่ผ่านมาไม่ดีเลย เรามัวกังวลกันเรื่องสามเวลานี้ เราควรคิดเวลาเดียวคือ ปัจจุบัน ทำปัจจุบันหรือทำตอนนี้ให้ดีที่สุด อดีตที่ผ่านไปแล้วจำไว้เป็นบทเรียน อนาคตที่จะมาถึงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่เรากังวล แต่ขึ้นอยู่กับขณะนี้เราจะทำตัวอย่างไรต่างหาก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมนุษย์คิดถึงขณะนี้ดำรงอยู่เพื่อตอนนี้แล้วเราจะมีสุขมากกว่านี้
เราคือ เด็กองค์หนึ่งที่อยู่ข้างๆ พระกวนอิม ชื่อเราหมายถึง หยก หยกก็มาจากหินเหมือนกัน อาจจะมีเนื้อที่แตกต่างกัน อาจจะมีสีที่แตกต่างกัน แต่หยกก็เกิดมาจากหินเหมือนกัน เฉกเช่นเดียวกันพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระโพธิสัตว์ต่างๆ ล้วนเกิดเป็นปุถุชน ล้วนเกิดเป็นมนุษย์เหมือน กัน แต่ท่านคล้ายหยกอยู่กับหินใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วท่านจะทำตัวอย่างไรให้ตนมีค่าและกลายเป็นหยกได้ พุทธะก็เฉกเช่นเดียวกันแต่ก่อนก็เคยเป็นปุถุชนคนธรรมดา แต่ดำรงชีวิตอย่างไรถึงกลายเป็นพุทธะ ถึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อทุกท่านเกิดมาแล้วก็ไม่แตกต่างกัน ตั้งแต่เริ่มมีกายเหมือนกัน แต่ท่านเข้าถึงและรู้แจ้งความเป็นจริงของชีวิต การเข้าถึงและรู้แจ้งถึงความเป็นจริงแห่งชีวิต ทำให้ท่านจากที่เป็นหินกลายเป็นหยกได้ ทำให้ท่านจากคนธรรมดากลายเป็นพุทธะ แล้วทุกท่านทำได้หรือไม่ (ได้) ท่านต้องยอมกัดสีตัวเอง ต้องยอมแกะสลักตัวเอง ต้องยอมเจ็บ ต้องยอมบำเพ็ญธรรม ท่านยอมหรือเปล่า (ยอม)
เรามักจะไปไหนกับพระกวนอิมตลอดเวลา พระกวนอิมเป็นผู้ที่สดับรับฟังเสียงทุกข์ร้อนของเวไนย คนทุกคนแม้จะรู้ถึงชีวิตแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะฝ่าความทุกข์ของชีวิตไปได้ ยังอดไม่ได้ที่จะต้องตกในห้วงแห่งทุกข์ ห้วงแห่งชะตากรรมของชีวิต แต่ถ้าเกิดมนุษย์เราเปิดตาแล้วมองให้กว้าง รู้จักมองสรรพสิ่งให้รอบๆ เราก็จะเห็นชีวิตนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ลองทำตัวสงบนิ่ง แล้วยืน อย่าเพิ่งคิดถึงอะไร อย่าเพิ่งคิดถึงว่าเราใช่หรือไม่ใช่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าเชื่อหรือไม่ ตอนนี้หยุดคิดก่อนทำจิตใจของเราให้นิ่ง แล้วค่อยๆ ลองนึกถึงสิ่งที่แวดล้อมเรา ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร หรือว่าตัวคน หรือฟากฟ้า อากาศ ทุกอย่างหากมองอย่างนิ่งๆ เราจะเห็นความเคลื่อนไหว ท่ามกลางที่เรานิ่งอยู่เราจะเห็นสรรพสิ่งเคลื่อนไหว เราจะเห็นเมฆค่อยๆ เคลื่อนคล้อย เราจะเห็นลำธารค่อยๆ ไหลริน เราจะเห็นต้นไม้เคลื่อนไหวตามแรงลม จะมีกี่คนที่เมื่อยามมีชีวิตสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวตอนที่ตัวเองสงบนิ่งได้ สัมผัสไม่ได้ บางทีเราก็มองไม่เห็นถึงสิ่งที่เคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นรอบตัว สมมติว่ามีน้ำเคลื่อนอย่างนี้ หากมีสิ่งใดตกลงมา ได้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของน้ำ เหมือนท่านโยกซ้ายโยกขวา แล้วเราก็โยกซ้ายโยกขวาด้วย ท่านเห็นชัดหรือไม่ว่าเรานิ่ง (ไม่ชัด) แต่ตัวท่านต้องนิ่งแล้วเราโยกท่านเห็นเราชัดหรือเปล่า (ชัด) เฉกเช่นเดียวกันโลกใบนี้เคลื่อนไหวไปเรื่อย หากตัวเราวางตนให้สงบนิ่งเราจะทะลุทะลวงเรื่องต่างๆ ได้ชัดเจน มองสิ่งต่างๆ ได้อย่างเที่ยงธรรม ปัจจุบันโลกไหวใจเราก็ไหว โลกเคลื่อนใจเราก็เคลื่อน มองอะไรก็จึงเอียงบ้าง เฉบ้าง หากโลกเคลื่อนท่านจงนิ่ง นิ่งแล้วเราจะมองเห็นเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นั่งฟังธรรมไปแล้วจิตใจรู้สึกสงบบ้างหรือไม่ สงบแบบไหน ตัวสงบแต่ใจเป็นม้าหรือเป็นลิง ใจเราวิ่งไวกว่าม้า บินเร็วกว่าเครื่องบิน ดำดิ่งได้ลึกกว่าเวลาดำน้ำอีก เราแค่บอกท่านว่ามหาสมุทร ท่านนึกออกหรือไม่ (นึกออก) ท่านนึกออกทันที ตอนนี้ขึ้นฟ้าท่านนึกออกหรือเปล่า (นึกออก) นึกออกได้ทันที แปลว่าใจเราไวมาก ใจเราไวอย่างนี้ต้องรู้จักวิธีจับให้อยู่ถึงแม้ตัวเราจะหยุดนิ่ง แต่บางครั้งใจเราเคลื่อนไหว ตัวเราเคลื่อนไหวใจเราต้องสงบนิ่ง เหมือนกับเวลาเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้หากเมื่อไรที่เราต้องเคลื่อน หากเมื่อไรที่เราต้องทำงานใจเราต้องนิ่ง ใจนิ่งเวลาเราจะทำอะไรเราย่อมมองเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าเกิดตัวเราเคลื่อนแล้วใจเราเคลื่อนด้วย เวลาทำอะไรก็ผิดพลาดได้ง่าย เมื่อไรที่ตัวเราเคลื่อนใจเราต้อง (นิ่ง) เมื่อไรที่ใจเรานิ่งแปลว่า ตัวเรากำลังเคลื่อนไหว
ฟังธรรมะจากเราง่ายหรือเปล่า ง่ายแต่ทำยาก เพราะว่าจะทำอย่างไรให้เรานิ่งได้ท่ามกลางความเคลื่อนไหว เราต้อง “ลดทอนตัณหาลงบ้าง” เราก็จะหยุดเคลื่อนไหวและความอยากก็จะหยุดลง มนุษย์เรามีความอยากมาก ท่านอยากอะไรกันบ้าง (อยากมีเงินทอง บ้าน ความสุข, อยากให้ครอบครัวมีความสุข ความอบอุ่น มีผู้นำเป็นตัวอย่างที่ดี, อยากเป็นเจ้าของ, อยากมีลูกหลานที่ดี, อยากทำความดี, อยากรู้อยากเห็น, อยากปฏิบัติธรรมให้เจริญ) หากท่านศึกษาหลักธรรมะกันดีๆ จะเห็นว่ามีคนอยู่สองแบบให้ท่านเรียนรู้ นั่นคือ บัณฑิตและคนพาล แม้ไม่ต้องศึกษาธรรมะ จะศึกษาหนังสืออะไรก็ตามก็ทำให้เรารู้ว่าทำอย่างไรเรียกว่าบัณฑิต ทำอย่างไรเรียกว่าคนพาล หลายคนเป็นบัณฑิตแล้ว บางคนเป็นทั้งมหาบัณฑิตด้วย แล้วรู้หรือยังว่าการเป็นบัณฑิตเป็นอย่างไร บัณฑิตในสายตาของพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ คนที่มีชีวิตหนึ่งคำนึงทุกขณะจิตของชีวิตว่าวันนี้มีคุณธรรมเพิ่มพูนขึ้นมาหรือยัง แต่คนพาลกลับไม่คิดอย่างนั้น กลับคิดว่าทุกขณะจิตทำอย่างไรให้ตนเองสบายขึ้น ถ้าอย่างนั้นเราพูดให้ใกล้เข้าไปอีก คนที่เป็นบัณฑิตย่อมเห็นอกเห็นใจคนอื่น นึกถึงผู้อื่น ทำสิ่งใดต้องดูว่ากระทบผู้อื่น เบียดบังผู้อื่นหรือไม่ ดึงผู้อื่นอยู่ด้วยหรือเปล่า แต่คนพาลคิดถึงแต่ตน ทำเพื่อตนและเห็นแก่ตน แล้วคำตอบที่ท่านตอบเรามานี้เป็นอย่างไรกับบ้าง ใกล้เคียงกับบัณฑิตหรือคนพาล แล้วคนที่ไม่ตอบ คิดอยู่ในใจ ความคิดนั้นใกล้เคียงกับบัณฑิตหรือคนพาล ให้ท่านตัดสินใจเอาเองว่าตนเองใกล้เคียงกับอะไร เราเกิดเป็นคนนั้นต้องบำรุงหาเลี้ยงชีวิต แต่ถ้าหาแล้ว บำรุงแล้วไม่รู้จักพอ หาแล้วไปกระทบกระเทือนผู้อื่น ไปเบียดบังผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่าหาแบบคนพาล หาแล้วเอาคนอื่นมาเพื่อให้ตนเองมีให้เต็ม พูนให้สูงยิ่งมากอย่างนี้ไม่ค่อยดี
ระหว่างความสงบนิ่งกับความเคลื่อนไหวนั้น เราได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า ชีวิตกับธรรมชาติล้วนมีสัจธรรมแฝงอยู่ทุกขณะจิต แฝงอยู่ทุกขณะลมหายใจ ถ้าเราเกิดมาแล้วมองแต่รูปกับนามจนเกินไป จะทำให้เราไม่สามารถพบถึงหลักสัจธรรม หรือท่ามกลางที่เราหารูปกับนาม เราจะค่อยๆ พบสัจธรรมในการแสวงหา แต่ก่อนเราเคยไร้ ไม่มีอะไร ความไร้ทำให้เรารู้จักคำว่า “มี” เพราะแต่ก่อนเราไม่มี เพราะคำ “ไม่มี” ทำให้เราต้องเดินไปหาคำว่า “มี” พอเรารู้จักคำว่า ”มี” เราจึงรู้จักคำว่า “ไร้” นี่คือ สัจธรรม ตอนที่เราเกิดทำให้เรารู้จักคำว่า “เจ็บและตาย” และช่วงที่คนตายทำให้เราเห็นการเกิด ดูง่ายๆ ทำไมเราถึงบอกว่าช่วงที่เราเห็นการตายและการเกิด ช่วงที่เกิดเราเห็นการตาย ทุกคนเคยเห็นต้นไม้เวลาที่ใบไม้ร่วงและเห็นเวลาใบไม้ผลิหรือไม่ (เคย) แล้วท่านเห็นการเกิดตายหรือยัง (เห็น) ช่วงที่ใบหนึ่งร่วงหล่นกับมีใบอีกใบหนึ่งผลิแทรกซ้อน ช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เราได้เข้าใจว่า การเกิดกับการดับเป็นช่วงเส้นเดียวกัน นี่ก็คือ สัจธรรมชีวิตอีกข้อหนึ่ง ไม่มีใครหนีเรื่องนี้พ้น ไม่ว่ามีหรือไร้ เกิดหรือดับ ล้วนเป็นภาวะอย่างเดียวกัน อยู่ที่ว่าตอนนี้เราหันหน้าเผชิญกับเรื่องอะไร ตอนนี้เรื่องอะไรมาเผชิญกับหน้าเรา
บางคนเคยเห็นพระกวนอิมในฝัน พระกวนอิมเคยมาหาในฝันหรือมองเห็น มีหลายคนมีบุญกับพระกวนอิม เคยเป็นศิษย์ของพระกวนอิมมาก่อนในชาติที่นับไม่ถ้วน และในอดีตชาติ หลายคนในที่นี้ก็เคยเป็นอย่างที่เราบอก พระกวนอิมให้มาบอกว่า อยากจะกลับคืนไปหาพระกวนอิม ท่านจะต้องรู้จักกระทำตนให้ดีงาม ต้องเป็นผู้ที่มีจริยวัตรที่ไม่ทอดทิ้งผู้คน ไม่ทอดทิ้งเวไนย เพราะพระโพธิสัตว์นั้นจริยวัตรของท่านในทุกขณะจิตล้วนแต่รับฟังเสียงทุกข์ของเวไนย เมื่อใดที่มีทุกข์เมื่อนั้นมีท่านอยู่ แต่ท่านอาจจะมาปรากฏตัวไม่ใช่รูปลักษณ์เหมือนเดิม อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่าคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทอดทิ้ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างกายและอยากช่วยเหลือ แต่อยู่ที่ว่าตัวท่านนั้นปิดกั้นตัวเองหรือเปล่า ถ้าตัวท่านรู้จักทำจิตใจให้สงบ ผ่องใส เบิกบาน ตัวท่านจะพบพุทธะได้ ตัวท่านจะเป็นโพธิสัตว์ได้ แต่จะทำอย่างไรให้เป็นได้ ไม่ใช่แค่ทำตัวดีอย่างเดียว แต่ต้องมีจิตใจที่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่นด้วย มีจิตใจที่รับฟังเสียงทุกข์ยากของผู้อื่นด้วย แล้วตัวท่านนั้นก็จะเป็นพุทธะที่กลับคืนไปหาพระโพธิสัตว์องค์นั้นได้
“ยิ่งมียิ่งหลงลำเค็ญ” เรายิ่งมีเรายิ่งหลงหรือไม่ เราหลงอะไร หลงสิ่งที่มีหรือหลงตัวเอง (ทั้งสองอย่าง) เราพร้อมจะหลงในช่วงที่เราแสวงหา ในช่วงที่เราต้องการมี ทำไมถึงหลงได้ มีใครบ้างเรียนแล้วไม่ติดว่าตนเองเป็นคนเรียน คงหาได้ยาก มีใครบ้างเป็นอาจารย์แล้วไม่หลงว่าตนเองเป็นอาจารย์ มีใครบ้างที่เป็นตัวเองแล้วไม่หลงตัวเอง แต่หลงแล้วได้รู้ว่าตนเองหลงจึงเป็นสิ่งที่ดี ดีกว่าหลงแล้วไม่รู้ว่าตัวเองหลงเป็นสิ่งที่น่าเศร้าสลดยิ่งนัก ฉะนั้นถ้าเราหลงแล้วเรารู้ตัวว่าเราหลง ถ้าเราติดแล้วเรารู้ตัวว่าตัวเองติด เราก็สามารถแกะตัวเองให้หลุดจากตรงนั้นได้ แต่จะมีใครบ้างที่พอหลงแล้วจะแก้ให้ออกได้ทันที ตรงนี้ยาก
มนุษย์เราพอมีคำว่า “ซื่อตรง” เราประคองใจให้ซื่อตรงแล้วแต่จะไม่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนแล้วเราต้องไม่ลืมคำว่า “กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว” เพราะถ้าเกิดถึงคราวที่เราต้องตัดแล้วเราไม่ตัด เรายากที่จะเป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จได้ ถึงคราวที่เราควรจะกล้าหาญ ชูหน้ายืดอกรับความเป็นจริง เรากลับไม่กล้าหาญ เราย่อมไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้ ฉะนั้นมนุษย์เราเมื่อรู้จักคำว่า “ซื่อตรง” รู้จักคำว่า ”เที่ยงธรรม” รู้จักคุณธรรมแล้ว อย่าลืมคำว่า “กล้าหาญและเด็ดขาด” ด้วย เด็ดขาดแบบไหน เด็ดให้ขาดเลย อย่าเด็ดแล้วมีเยื่อใย ไม่อย่างนั้นใยจะทำให้เรากลับมาเหมือนเดิมอีก เหมือนกิเลสถ้าเราคิดจะตัดกิเลสเราต้องตัดให้ขาดทันที
“เขย่งยืนเด่นไม่นาน” ทำไมเราถึงอยากมี เพราะว่าการมีทำให้เราสูงเด่นกว่าใคร ไม่ว่าจะมีชื่อเสียง ลาภยศ มีเงินทอง ทำให้เรารู้สึกว่าเราเด่นกว่าใครจริงหรือไม่ เหมือนถ้าทุกคนนั่งอยู่ตรงนี้แล้วให้คนหนึ่งยืนขึ้น คนที่ยืนขึ้นจะรู้สึกเด่นมาก แต่เราต้องไม่ลืมคำว่า “ยิ่งเด่นหรือยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว” ลองให้ใครสักคนยืนขึ้นสักหนึ่งนาทีดูสิว่าเขาจะรู้สึกหนาวหรือเปล่า (เฉยๆ ,เย็นกว่านั่ง) ทำไมบอกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว เพราะว่ายิ่งสูงก็ยิ่งใกล้กับฟ้า บนฟ้าอากาศเย็นหรือเปล่า (เย็น) เวลานั่งรู้สึกเป็นอย่างไร (อุ่น) เพราะว่ามีคนนั่งเหมือนกัน อากาศของตัวเราถ่ายเทให้แก่กันเราก็รู้สึกอุ่น แต่ผู้ที่ยืนอยู่คนเดียวเป็นอย่างไร (หนาว) คำว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งยืนเขย่งยิ่งยืนอยู่ได้ไม่นาน” นั่นก็หมายถึงว่า สรรพสิ่งในโลกนี้แม้เราจะพยายามไต่เต้าให้สูงมากเพียงใด แต่ยิ่งสูงก็ยิ่งคืนสู่ความเป็นสามัญ ยิ่งเวลาเรายิ่งเรียนสูงวิชาที่เรียนยิ่งเป็นอย่างไร (ยิ่งยาก) แต่ยิ่งเรียนกลับยิ่งน้อยลงๆ บางครั้งวิชาหนึ่งมีแค่เล่มเดียวแต่ต้องไปค้นคว้ามาให้ได้มากที่สุด เฉกเช่นเดียวกันคนยิ่งยืนตำแหน่งสูงมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นอย่างไร เราต้องยืนคนเดียว แล้วต้องนำคนหลายๆ คน แต่จริงๆ แล้วเราทุกคนก็ต้องยืนในตำแหน่งที่สูงของแต่ละคน แต่บางครั้งเราต้องรู้ว่าถ้าเราอยู่ได้สูง เราต้องยืนในที่ต่ำเป็น จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ยืนในที่สูงแล้วลำพองว่าเราเหนือกว่าใคร เราเก่งกว่าใคร เช่นนี้แล้วรับรองได้หนาวเดี่ยวโดดเดี่ยวเอกาแน่ แต่ถ้าอยู่สูงแล้วยิ่งปกคลุม ยิ่งเผื่อแผ่ ยิ่งเมตตา เราก็จะเหมือนกับฟ้าที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ไม่ทอดทิ้ง หากทำได้เช่นนี้แม้เราจะยืนสูง เราก็จะสูงอย่างมีคนรัก ยืนต่ำก็ต่ำอย่างคนไม่ทอดทิ้ง ไม่ใช่สูงแล้วทำตัวหยิ่งผยอง ไม่ใช่ต่ำแล้วทำตัวอย่างไม่กล้าจะขัดแย้งใคร อย่างนี้ก็ไม่ถูก หลายคนเมื่อมีชีวิตพอสูงก็เย่อหยิ่ง พอต่ำก็ลืมคุณธรรม ลืมความเป็นคน ใครว่าอย่างไรก็คล้อยตามเขาไป
เราจะเดินเข้ามาสู่หนทางการบำเพ็ญธรรม เราต้องรู้จักหัวหน้า หัวหน้าของท่านก็คือ อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม หากมีเรื่องไม่เข้าใจ มีเรื่องที่จะต้องบำเพ็ญธรรมหรือมีเรื่องทุกข์ใจในชีวิต อยากรู้ว่าบำเพ็ญธรรมอย่างไร ไปใช้ชีวิตแล้วจะบำเพ็ญธรรมเช่นไรก็หันมาหาอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมได้ อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมจะเป็นหัวหน้าของเหล่าเพนกวินน้อยๆ เหมือนมังกรจะเลื้อยขึ้นสู่ฟ้าหรือจะทะยานลงมาโปรดมนุษย์โลกก็จะต้องมีหัวหน้า การที่เราจะเป็นผู้ตามที่ดีนั้นเราจะต้องรู้จักมองคนข้างหน้าและคำนึงถึงคนข้างหลัง ชีวิตของคนเราก็เฉกเช่นเดียวกันเราจะเดินไปไหน หรือเราจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ย่อมมีคนหนึ่งที่อยู่หน้าเรา และย่อมมีคนหนึ่งที่ตามหลังเรา ฉะนั้นขณะที่เราเขยื้อนหรือทำสิ่งใดเราต้องไม่ลืมว่าเราคือ คนที่พร้อมจะเป็นผู้นำเขาและพร้อมจะเป็นผู้ตามเขาให้ได้และให้ดี
“ความอ่อนชนะความแข็ง” ความอ่อนชนะความแข็งได้หรือไม่ (ได้) ทุกคนมักจะพูดว่า ชีวิตคือ การต่อสู้ ศัตรูคือ ยาชูกำลัง แต่พุทธะไม่คิดเช่นนี้ ชีวิตคือ การไม่สู้ ศัตรูก็เลยไม่มี เพราะว่าการรบที่แท้จริงคือ การไม่ต้องรบ แล้วทำไมถึงบอกว่า ความอ่อนสามารถชนะความแข็ง ความอ่อนเป็นสิ่งที่ดี เพราะความอ่อนคือ การมีชีวิต ความแข็งคือ ความตาย แล้วสังเกตว่าไม่ว่าทหารจะกล้าแกร่งเพียงใด บุรุษจะห้าวหาญในการรบกี่ครั้งก็ตามก็มักจะพ่ายแพ้แก่อิสตรี หัวใจของอิสตรีจะแข็งแกร่งเพียงใดก็พ่ายแพ้ความตื้อของลูกผู้ชาย แต่การบำเพ็ญธรรมมิใช่คิดเพียงเท่านี้ การบำเพ็ญก็คือ ความอ่อน ท่านเคยเห็นน้ำหรือไม่ น้ำมีความอ่อนจึงไหลได้ทุกๆ ที่ ไปได้ทุกๆ แห่ง แต่ถ้าน้ำจากความอ่อนกลายเป็นความแข็งเวลาที่ไหลไปเจอหินก็ชน ไหลไปไม่ได้ ไหลไปก็มีแต่เจ็บ กระทบไปก็มีแต่เดือดร้อน ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนจึงต้องรู้จักรักษาความอ่อนน้อมไว้ เพราะความอ่อนน้อมจะทำให้เราเข้าได้กับทุกคน ไปได้ทุกที่ไม่ว่าจะบำเพ็ญธรรมหรือจะดำรงชีวิตแบบใด หากเราถือความอ่อนน้อมเป็นสรณะ มีจิตใจเมตตาและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม นั่นคือ การดำเนินชีวิตอย่างไม่ทอดทิ้งตนเองและไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก ไม่ต้องโดดเดี่ยวแม้จะไร้ญาติมิตร เพราะไปอยู่ที่ไหนๆ ใครๆ ย่อมรัก
เกิดเป็นคนเมื่อเราสามารถเลือกทางเดินได้ ทำไมเราไม่เลือกทางเดินที่ดี เราไม่อยากอยู่คนเดียว เราอยากไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเมตตาปรานีสงสารและเอ็นดูรักใคร่ ฉะนั้นเราต้องรู้จักประพฤติตนให้ดี มีความอ่อนน้อมเป็นหลักใหญ่ มีจิตใจเมตตาดำเนินสู่หนทางแห่งคุณธรรม เมตตาเปรียบเหมือนบ้านอันร่มเย็น คุณธรรมเปรียบเหมือนหนทางเดินอันสว่างไสว หากบ้านเมตตาไม่คิดจะอยู่ หนทางแห่งคุณธรรมไม่คิดจะเดิน คนๆ นั้นก็เป็นคนที่ทอดทิ้งตนเอง พอดำเนินชีวิตเอ่ยปากก็ทำลายหลักธรรม เอ่ยปากก็เบียดเบียนคนอื่น ทำลายศีลธรรมจรรยาบรรณหรือคุณธรรมที่ดีงาม คนนั้นเรียกว่า คนไม่รักตัวเอง เมื่อตัวเองยังไม่รักตัวเองแล้วตัวเขาจะรักใคร แล้วใครจะรักตัวเขา
เหมือนที่เรารู้ว่าน้ำสะอาดคนย่อมปกปักรักษา น้ำขุ่นคนย่อมกระโดดข้ามทอดทิ้งไม่ดูแล ตัวคนเราก็เหมือนกัน ไม่ว่ากายใจหากรู้จักดำรงสิ่งที่ดีมีคุณค่า ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่รู้จักเพื่อคนอื่นด้วย ใครๆ ก็รักไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกับน้ำสะอาดใครๆ ก็อยากก้มลงไปมอง เพราะมองแล้วสะท้อนให้เห็นตัวเขา นั่นคือ เขาสามารถประพฤติได้จนคนมองมาแล้วรู้จักหันกลับไปมองตัวเองว่าตัวเองดีได้อย่างนี้หรือเปล่า หากเราบำเพ็ญถึงขนาดเป็นน้ำที่ใสและมีคุณค่า คนมองไปเห็นแล้วหันมามองตัวเองกลับ บำเพ็ญถูกทางแล้ว แต่ไม่ใช่ยิ่งดำเนินชีวิตพอคนมองเห็นแล้วเบือนหน้าหนีไม่อยากเข้าใกล้ อย่างนี้ดำเนินผิดทางแล้ว คนเราอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าตัวเราทำตัวไม่เคารพตัวเอง ทำตัวเหยียดหยามตัวเองคนอื่นก็กล้าไม่เคารพเรา เหยียดหยามเราและดูถูกเรา เพราะฉะนั้นหากเรามีชีวิตแล้วไม่มีคนรัก เราต้องมองตัวเองว่าเราทำตัวดีหรือยัง เราทำตัวให้เขาเคารพหรือยัง เราทำตัวให้น่ารักหรือยัง แต่เราจะตัดสินแค่คนเดียวได้หรืไม่ (ไม่ได้) แต่เราต้องดูคนส่วนมาก ถ้าคนสิบคนถ้ามีคนรักห้าคน มีคนชังห้าคน หมายความว่า เราทำตัวเดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ไม่ดี นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถทำตัวได้เด่นชัด
คนที่รู้จักอ่อนน้อมถึงจะสามารถเอาชนะจิตใจของคนที่แข็งที่สุดได้ ทำให้เขาเปลี่ยนใจหันมาเห็นใจเราได้ ถ้าเราเกิดเป็นคนแล้วเราไม่รู้จักคำนึงถึงผู้อื่นบ้าง เราไม่รู้จักเห็นใจผู้อื่นบ้าง รักแต่ตัวเองคนเดียว มองเห็นแต่ตัวเองคนเดียว คนๆ นั้นก็ใกล้กับคนพาล หรือคนๆ นั้นใกล้กับโจร ท่านเคยเห็นหรือไม่ว่า สังคมปัจจุบันนี้คนรังแกคน คนรังแกสัตว์ คนรังแกกันธรรมดาไม่เท่าไรแต่รังแกแล้วยังเบียดเบียน เบียดเบียนแล้วยังทำร้าย ทำร้ายแล้วยังซ้ำเติม ซ้ำเติมแล้วยังข่มเหง และที่น่ากลัวที่สุด ข่มเหง เบียดเบียน ทำร้าย ยังไม่พอกลับฆ่าได้ลงคอ ทำไมคนถึงฆ่ากันได้ลงคอ เพราะเขาไม่มีธรรม จริงๆ ถามว่าเขามีหรือไม่ เขาก็มี แต่เพราะเขาไม่รักคนอื่นเช่นรักตนเอง เขาไม่เห็นคนอื่น เขาเห็นแต่ตนเอง หากในโลกปัจจุบันนี้คนทุกคนหันมาเห็นใจซึ่งกันและกัน หันหน้าเข้าหากัน หันหน้าช่วยเหลือกัน สังคมนี้ก็จะไม่มีโจร ไม่มีคนรังแกกัน ไม่มีคนทำลายกัน ความเห็นใจกันนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเมื่อไรสังคมยังมีโจร แปลว่า คนเป็นเห็นแต่ตัวเอง รักแต่ตัวเอง ไม่รักใครเกินตัวเอง ไม่เห็นใครเกินตัวเอง โลกถึงได้เป็นเช่นปัจจุบันนี้ฆ่ากันให้เห็น แล้วเราก็ยืนเฉยทำอะไรไม่ได้
เพลงเมื่อวานจะมีใครสามารถเข้าใจถึง ความรู้สึกที่แท้จริงของพระอาจารย์ของท่านได้บ้าง บางคนอาจจะร้องแล้วมองผ่านไป แต่ในนั้นสิ่งหนึ่งที่ท่านเรียกร้องก็คือ ความเห็นใจกัน ความเมตตาต่อกัน หรือความเสียสละให้แก่กัน ในโลกนี้ไม่มีใครยอมยื่นมือ ไม่มีใครยอมถอยก่อน เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมฝึกให้รู้จักให้ก่อนอย่าเอาแต่ขอ เพราะท่านยิ่งให้ท่านจะยิ่งมี ท่านยอมถอยท่านจะยิ่งเป็นอย่างไร มีคนอยากเติมให้เต็มเหมือนน้ำ หากมีเต็มแก้วใครอยากเติมหรือไม่ (ไม่อยาก) คนที่รู้จักยอมรับผิด ยอมรู้ว่าตัวเองไม่ดี คนนั้นย่อมมีคนอยากจะเติมให้ คนที่ไม่อวดตนว่าตนเองดี ไม่อวดว่าตนเองเก่ง คนนั้นคือ คนเก่ง คนนั้นคือ คนดี
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้เราต้องเป็นอริยบุรุษที่รักษาสัจธรรมให้เป็นแบบอย่าง เมื่อไรที่เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอริยบุรุษ รักษาสัจธรรมเป็นแบบอย่างให้คนประจักษ์วันนั้นท่านจะเป็นพุทธะได้ วันนั้นท่านจะบำเพ็ญเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ใครไม่ถอยไม่เป็นไรเรายอมถอย ใครไม่ให้ไม่เป็นไรฉันพร้อมจะยื่นให้ ใครโกรธไม่เป็นไรฉันพร้อมจะให้อภัย สังคมกำลังขาดแคลนสิ่งนี้ ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า มีรัฐๆ หนึ่งเรียกว่า รัฐลู่ เป็นเมืองๆ หนึ่งที่มีแต่คนปฏิบัติดี ถ้าสังคมหรือโลกใบนี้ไม่มีรัฐนี้ทำเป็นแบบอย่างคนก็คงไม่คิดจะทำดี เฉกเช่นเดียวกันหากโลกใบนี้ไม่มีใครคิดจะยอมถอย ไม่มีใครคิดจะเสียสละ แล้วใครจะทำดี แล้วโลกจะมีดีให้เห็นหรือไม่ ก็ย่อมไม่มี ขอให้ท่านเป็นเหมือนคนในรัฐลู่ที่ยอมเป็นแบบอย่างที่ดี ยอมปูพื้นฐานความดีงามให้คนอื่นได้คิดที่จะดำเนินตาม เราจะเป็นผู้บำเพ็ญหากทำได้เราสามารถจะฝึกฝนความเป็นพุทธะได้ ขอให้เปิดใจให้กว้าง แล้วโลกก็จะไร้โจรผู้ร้าย คนก็จะไม่ฆ่ากันเอง จริงหรือไม่ (จริง) แล้วตอนนั้นก็ไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ กฎบังคับเพราะคนไม่สามารถรู้จักบังคับตัวเอง จึงต้องมีกฎหมายมาควบคุม ถ้าเมื่อไรคนรู้จักควบคุมกฎก็จะไม่มี
เราคงต้องอำลาจากกันไปเพียงเท่านี้ มีโอกาสอย่าลืมหันหน้าเข้าหาพระบ้าง หันหน้าบำเพ็ญตัวเองบ้าง ดีหรือไม่ (ดี) หันหน้าบำเพ็ญตน บำเพ็ญกาย บำเพ็ญใจ ชีวิตมีคุณค่า คุณค่าอยู่ที่ไหน นับจากนี้ไปท่านต้องเป็นผู้ไปหาเอาเองแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ฝึกจิตฝึกกายให้งดงามที่สุด ประเสริฐที่สุด แล้วสามารถกลับคืนสู่ที่สูงที่สุด เมื่อขึ้นถึงที่สูงที่สุดไม่ต้องมากังวลเรื่องสุดไม่สุดแล้ว เพราะถึงตอนนั้นจะไม่มีแม้รูป ไม่มีแม้รัก ไม่มีแม้เกลียด ไม่มีแม้ชังแล้ว จับสายทองให้มั่นๆ อย่าปล่อย ก่อนที่จะปล่อยขอให้หันมามองพุทธะก่อน อย่าทิ้งไปง่ายๆ รักษาตัวกันให้ดีๆ
[1] อัตตา การถือตนเองเป็นใหญ่
[1] งานหลงฮว๋า งานชุมนุมของผู้ที่พากเพียรบำเพ็ญจนได้บรรลุมรรคผล