วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542

2542-11-13 พุทธสถานฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี



PDF 2542-11-13-ฉงเต๋อ #19.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒                  พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
                                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
  คุมชีวิตให้อยู่ในธรรมครรลอง                   สอบคนตรองยังเผอเรออีกหรือไม่
สามเวลาสร้างคุณค่ามากเพียงใด                 ภูมิมนุษย์ประเสริฐไซร้จงรู้เทอญ
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา                        ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
                                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา
  ขอขจัดความกังขาในใจออก                    ดุจปอกเปลือกให้สะอาดฟื้นฟูจิต
การบำเพ็ญมอบให้แก่ผู้รู้คิด                       หนึ่งชีวิตดั่งความฝันไม่ยาวไกล
ดั่งทางขึ้นทางลงมีเพียงสอง                        ขอรู้ตรองเลือกทางใดคิดถี่ถ้วน
ทุกวันนี้ไม่ต่างถูกล่ามโซ่ตรวน                     ขอทบทวนย้อนสิ่งใดตนต้องการ
แสวงหาลาภยศอีกเงินทอง                        ใช้ก็พร่องเก็บก็เพิ่มทบทวนไซร้
มีอีกสิ่งอยู่เหนือกว่าเหล่านี้ไป                     คือจิตแท้อยู่ภายในคงนิรันดร์
จงรู้ว่าในวันนี้ประชุมธรรม                         ขอรู้นำดวงปัญญาสำแดงออก
เปลี่ยนแปลงตนไม่ต้องรอให้ใครบอก             สิ่งภายนอกรู้เบาลงอย่าหลงตาม
น้องต่างเป็นผู้มีบุญกับพุทธะ                      จะชนะตนเองนั้นได้หรือไม่
อยู่ที่ใจของตนเองตัดสินใจ                        เดินทางไกลย่อมจะเริ่มด้วยก้าวแรก
ธรรมะเป็นธรรมชาติไม่ต้องฝืน                     ลุกขึ้นยืนก้าวก้าวเดียวพ้นโลกีย์
แต่น้องนั้นจะต้องเริ่มในทันที                       จอดดรีรอรับแล้วอย่าเมินไป
ปัจจุบันโลกวุ่นวายใจคนเสื่อม                    ดุจน้ำที่กระเพื่อมขยายวงไปใหญ่
ฟ้าดินจึงเปิดหนทางฉุดญาณใจ                   คืนสู่ฝั่งสุทธาไกลให้พยายาม
สองวันนี้เป็นฤกษ์ดีประชุมธรรม                   ให้รู้นำจิตศรัทธามาเป็นหลัก
เข้าใจใดปฏิบัตินั้นอย่างพร้อมพรัก               แลรู้รักษ์สามัคคีมีให้กัน
เมื่อจบชั้นอย่าบอกว่าฉันไม่ว่าง                   จงหาทางเจียดเวลาศึกษาเพิ่ม
ละกิเลสสร้างบุญเป็นทุนเดิม                       ขอเพิ่มเติมคุณธรรมในใจตน
ในครานี้แม้มีคนไม่มากนัก                         แต่ให้มากคุณภาพไม่เสียหลาย
เมื่อจบชั้นต่างกลับไปบำเพ็ญใหญ่                เป็นพุทธะแดนดินได้สง่างาม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป                    น้องทั้งหลายจงตั้งใจฟังธรรมะ
ใดสงสัยให้ไต่ถามไม่ลดละ                         จงชนะซึ่งใจตนไม่ลังเล
ขอรักษาพุทธระเบียบให้งามพร้อม                จงอ่อนน้อมต่อกันเป็นข้อใหญ่
ศิษย์พี่จดบันทึกไว้ทุกอย่างไป                     ขอให้ใจมั่นคงเสมอต้นปลาย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                                                                    ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒                  พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
  ผู้ทรงภูมิปัญญาไม่อวดโอ้                       ชอบคุยโวย่อมสูญเสียความสุขุม
ทุกเวลาหมั่นสำรวจแลควบคุม                    จิตถูกหุ้มไอโลกีย์จะคืนเสรี
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   แฝงกายอัญชุลีองค์มารดา                    ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ชีวิตมีทุกข์สุขคอยหมุนเวียน                     ดั่งฤดูกาลผันเปลี่ยนไม่พักผ่อน
ชีวิตนี้แม้แสนสั้นดั่งภมร                            แต่ไม่อ่อนผิดหลักการดำรงใด
คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอย่างเพลิดเพลิน             ชีวิตเดินหมายมุ่งสู่ทิศไหน
แขวนชีวิตบนเส้นด้ายประมาทไป                 เร่งงามแสนที่ใจแปรลิขิต
การบำเพ็ญหนทางนี้ต้องปฏิบัติ                   ล้างทั้งใจใสสะอาดด้วยอมฤต
เพราะว่าใจเป็นรากกายชีวิต                      การถอนพิษร้ายใจต้องมั่นคง
ไม่อาจต้องจับเห็นภัยคุกคาม                      นับได้สามทั้งโลภโกรธหลง
ชีวิตเกิดแก่เจ็บตายรู้จักปลง                       ไฉนหลงโกรธโลภไม่รู้พอ
หลงพาทุกข์ที่ใจยากอดทน                        โลภลามลุกเร็วจนกมลท้อ
โกรธความจริงได้ประโยชน์เช่นไรหนอ             หมั่นบางเบายิ่งรอยิ่งระทม
                                                                                        ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ
ตอนนี้เรายังไม่คิดที่อยากเข้าไปข้างใน ทำอย่างไรจะให้พุทธะเข้าไปข้างในได้  ประตูก็เปิด หน้าต่างก็เปิด ทำอย่างไรจะให้พุทธะเข้าไปได้ (จิตใจยังไม่เปิดรับ)
เราไหว้พระกราบพระเพื่อไหว้เพื่อวอนขอหรือเปล่า (ขอจะขออะไร (ขอให้พระคุ้มครองถ้าหากว่าเราเอาตัวเราเข้าไปอยู่ใกล้กับปืนผาหน้าไม้ สิ่งที่เป็นอันตรายกับตัวเรา จะมาโทษพระได้หรือ อย่างนี้แปลว่าคนในโลกนี้ช่างขออย่างเดียวไม่เพียงแต่เท่านั้นยังชอบโทษอีกด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่ถ้าคนในโลกนี้ช่างขอ แล้วพุทธะเป็นผู้ช่างให้เหมือนกันให้ก็ต้องให้อย่างยุติธรรมใช่หรือไม่ (ใช่สมมุติว่ามีคนสองคนกำลังต่อสู้กัน คนหนึ่งขอให้ตนเองชนะ และอีกคนก็ต้องขอให้ชนะเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าพระให้คนหนึ่งแล้วไม่ให้อีกคนหนึ่ง ก็แปลว่าพระองค์นั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่อีกองค์หนึ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ ทั้งที่ไหว้พระองค์เดียวกันไหว้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าบอกว่าแล้วทำไมพระถึงสนองให้อีกคนหนึ่งไม่ให้อีกคนหนึ่ง อาจจะคิดว่าสงสัยเป็นเพราะคนนั้นบนไว้เยอะกว่า เราบนน้อยไปอย่างนั้นหรือเปล่า หรือไม่ก็โทษว่าพระ ลำเอียงไม่เห็นความดีของเราได้ไหม แต่ในความเป็นจริงเมื่อมีคนที่ชนะแล้วย่อมต้องมีคนแพ้ เมื่อมีผู้ได้แล้วก็ต้องมีผู้สูญเสียใช่หรือไม่ ฉะนั้นการดำเนินชีวิตในโลกนี้เหมือนเรื่องพันเงื่อนหมื่นปมใช่ไหม (ใช่เราจะยึดหลักการอันเดียวในการดำเนินชีวิตคงเป็นไปไม่ได้ แต่เราต้องรู้จักยึดหลายๆ หลักการ หลายๆ วิธี เอามาใช้ในการดำเนินชีวิตจึงจะสามารถเป็นผู้ที่คิดเป็น รู้จักมองเป็นและรู้จักดำเนินชีวิตเป็นด้วย การกราบขอพระนั้นแท้ที่จริง
แล้วเรากราบด้วยความเคารพ เรากราบเพราะเราอยากให้พุทธะมาสถิตอยู่ในบ้าน มาคุ้มครองอยู่ในใจเรา  หรือบางคนกราบไหว้พระก็เพราะว่าต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้ เราต้องมองให้ชัดเจนว่าเราไหว้พระเพื่ออะไร เรามีพระตั้งไว้ที่บ้านทำไม ไม่เช่นนั้นไหว้ไปแล้วก็มัวแต่ขอ ขอไม่ได้ก็กล่าวโทษ อย่างนี้ก็เปล่าประโยชน์  การมีพระอยู่ที่บ้านหรือจะให้มีพระมาคุ้มครองใจ ถ้าคนนั้นไม่ศรัทธาพระก็ยากจะคุ้มครองได้จริงหรือไม่ (จริง)
เคยได้ยินสำนวนที่กล่าวไว้ว่า คนมีไม่พูด คนพูดไม่มี  ตอนนี้ที่ท่านไม่พูดแปลว่ามีเต็มเปี่ยมเลยใช่หรือเปล่า อย่าคิดว่าเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดว่าเราเป็นคนๆ หนึ่งแวะมาเยี่ยมเยียนท่านดีหรือไม่ การปฏิบัติต่อกัน การพูดคุยต่อกันจะได้ไม่ต้องมีอะไรมากั้นกลางจะได้กล้าพูดกล้าคุยกับเรา หรือว่าอายเรา  คุยกันปกติไม่น่าอาย  แต่ถ้าแอบไปทำผิดไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ อย่างนี้น่าอายกว่าใช่ไหม (ใช่เรามักจะจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำอะไรมักจะคิดไม่ค่อยเป็น อายในสิ่งที่ไม่ควรอาย ที่ควรอายกลับไม่ยอมอาย เรื่องที่ควรทำกลับไม่ยอมทำ เรื่องที่ไม่ควรทำกลับทำแล้วยังทำอีก ให้เด็กมาว่า ดีหรือเปล่า ถ้านับตามอายุขัยแห่งพุทธะจิตธรรมญาณ เราอายุมากกว่าท่าน แต่ถ้ามองตามสภาพเปลือกนอก เราอายุน้อยกว่าท่านใช่ไหม  เหมือนคำที่กล่าวว่า อยู่ใกล้สิ่งใดก็จะมีสิ่งนั้นติดตัวมา อยู่ใกล้พุทธะย่อมมีความเป็นพุทธะติดตัวมาบ้างไม่มากก็น้อย หรืออยู่ใกล้วัด อยู่ใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องมีสิ่งดีๆ ติดตัวกลับไปบ้าง  อย่าเป็นผู้ที่อยู่ใกล้สิ่งใดแต่กลับได้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความดี อย่างนี้น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)
“ผู้ทรงภูมิปัญญาไม่โอ้อวด  คนโดยทั่วไปมักชอบโอ้อวดใช่หรือไม่ (ใช่ไม่มีก็บอกว่าตัวเองมี หรือดูง่ายๆ เหมือนขวดน้ำหากมีเต็มเปี่ยม เวลาเคาะเสียงจะไม่ดัง ไม่เหมือนขวดที่มีน้ำไม่เต็ม ยิ่งเคาะยิ่งเสียงดังใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดเป็นคนทั้งทีบางครั้งต้องรู้จักเป็นเหมือนดาบที่คมในฝัก เวลาชักออกมาทีถึงเห็นคุณค่า แต่คนที่จะเป็นคนที่คมในฝักได้นั้นท่าทีที่เขาแสดงออกควรจะเป็นเช่นไร (สุขุม รอบคอบ และระมัดระวังแต่ภายในจิตใจต้องมีหลักการและอุดมการณ์ หลักการและอุดมการณ์ต้องเข้มแข็งมั่นคง ท่าทีที่แสดงออกต่อบุคคลภายนอกจะต้องเป็นท่าทีที่อ่อนน้อม สลับหลีก และไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร นี่ถึงจะเรียกว่าคมในฝักอย่างแท้จริง ใช่เป็นการเสแสร้งหลอกลวง ภายในทำอีกอย่างภายนอกทำอีกอย่างไหม (ไม่ใช่แต่ต้องเป็นคนที่รู้จักมีอุดมการณ์ให้กับชีวิตและต่อผู้อื่นก็ไม่แก่งแย่งกับใครรู้จักสลับหลีก เมื่อเรารู้จักสลับหลีก อ่อนน้อม สำรวมและระมัดระวังการอยู่ร่วมกับคนอื่นย่อมเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่การทำแบบนี้ก็เพื่อความสามัคคีในหมู่คณะ ถ้าข้างนอกแข็ง ข้างในอ่อนแอย่อมเป็นการง่ายที่จะก่อเรื่องทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ (ใช่ถ้ารู้จักยอมในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องใหญ่ๆ เขาย่อมทำได้สำเร็จ แต่ถ้าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เอาเป็นสาระ เรื่องใหญ่ๆ มีหวังไม่จบสิ้นแน่ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีมีภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ เราต้องใช้ความฉลาดให้เป็นประโยชน์ ฉลาดต่างจากปัญญาอย่างไร ปัญญาในทางธรรมกล่าวได้ว่าเป็นความรู้จริงอันยิ่งแล้ว แต่ในทางโลกกลับนิยมใช้ความฉลาดมากกว่าใช้ปัญญา มักปฏิบัติต่อคนด้วยความฉลาดมากกว่าปัญญา แล้วความฉลาดในความคิดของท่านคือ การเอาชนะเขาได้ หลอกเขาได้ แล้วเราได้เงิน อย่างนั้นเรียกว่าความฉลาดไหม (ไม่ฉลาดฉลาดเหมือนกันแต่ฉลาดในทางที่ไม่ดี ความฉลาดในทางธรรมนั้นพูดว่า การแสวงหาปัญญาอย่างสมเหตุสมผล เมื่อเราสามารถเจริญความฉลาดได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเราย่อมได้ปัญญา แต่ถ้าเมื่อไรเรานำความฉลาดมาใช้ผิดทาง ความฉลาดนั้นย่อมพาให้เราหลงไปได้ เหมือนคนที่มั่นใจว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดี ตัวเองรอด วันนี้อาจจะยังไม่ลืมหลงตัวเอง แต่นานไปก็เหมือนกับคนที่เดินป่า บอกว่าไม่มีเข็มทิศเราย่อมเดินป่าได้คล่อง เดินได้เหมือนหลับตาเดินก็เดินได้ถูก แต่ถ้าวันใดไม่มีเข็มทิศจริงๆ วันใดเผอเรอจริงๆ เขาจะหลงได้ไหม (ได้นี่คือส่วนต่างของผู้ที่มีปัญญาในทางธรรมกับผู้ที่ฉลาดในทางโลก เราเกิดเป็นคนทั้งทีอยากมีปัญญาหรืออยากมีความฉลาด (ปัญญาเพราะปัญญามาจากความฉลาด และปัญญาก็ไม่ทำให้เราหลงไป แต่ก็ไม่แน่ ตราบใดที่โลกยังมีจอมโจรและจอมปราชญ์ เมื่อนั้นโลกก็ย่อมมีทั้งคนดีและคนเลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใดที่เรารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญา  เมื่อนั้นการรู้จักคิดและใช้ปัญญาบางทีทำให้เราหลงทางได้ เพราะเหตุใดเราถึงบอกว่าย่อมหลงทางได้ หนึ่งคือเราไม่มีความยึดมั่นหรือไม่มีแนวทางให้กับตนเอง การเดินของเราจึงเดินไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราใช้ปัญญาและมีทิศทางมีหลักการของการดำเนินชีวิต แม้จะมีปัญญาหรือจะมีแต่ความฉลาดทิศทางจะทำให้เราไม่หลง เมื่อยามเรามีชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมที่เราบอกไปว่าชีวิตเหมือนพันเรื่องหมื่นปม ฉะนั้นอย่ายึดหลักการเดียวในการดำเนินชีวิตไม่เช่นนั้นจะไปไม่รอด
เรามีชีวิตมีไหมที่บอกว่าเหนื่อยแล้วไม่ทุกข์ อิ่มแล้วมีความสุขขอพักความสุขก่อนมีไหม (ไม่มีฉะนั้นแปลว่าทุกข์สุขนั้นไม่ดีเลย เพราะมีก็ทำให้เราไม่ยอมพักสักที ถ้าเช่นนั้นขจัดทุกข์และสุขทิ้งดีหรือไม่ และโทษที่ตัวทุกข์สุขใช่หรือไม่ (ไม่ใช่ต้องโทษที่ใจเราต่างหากเพราะมีสุขก็ไม่รู้จักพึงพอในความสุขที่ตนเองมี มีทุกข์ก็ไม่รู้จักเข็ดในทุกข์สักที จึงหมุนเปลี่ยนเหมือนฤดูกาลที่หมุนเวียนไปไม่จบไม่สิ้น เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุขเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ในโลกนี้จะมีใครที่อยู่กลางระหว่างรอยยิ้มและคราบน้ำตาได้อย่างมั่นคงก็คงหาได้ยากนี้  แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยเพราะถ้าไม่มีก็คงไม่มีคำว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านกราบไหว้ ฉะนั้นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำได้ แล้วท่านทำได้ไหม อย่าบอกว่าทำไม่ได้เพราะเราก็คนธรรมดาสามัญ กิเลสก็ยังหนาตัณหาก็ยังเขรอะใช่หรือไม่ (ใช่และกิเลสหนาตัณหาเขรอะใครเป็นคนเอามาใส่ และเป็นคนแบกรับ ก็ตัวเราเอง และใครที่ไม่ยอมแก้ไข เข้มงวดตรวจตราก่อนที่จะมีเยอะหรือหนาขนาดนี้ ก็ตัวเราเองอีก  ฉะนั้นจะทำสิ่งใดจึงมีคำกล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้หรอกที่ทำไม่ได้ อยู่ที่ว่ายินดีไหม ยอมทำไหม พยายามเต็มที่หรือยัง ตั้งใจมุ่งมั่นหรือเปล่า ในเมื่องานที่เราว่ายากเรายังทำได้ อย่างเช่นตอนเด็ก การเดินที่เราว่ายากจะเดินยังไงเราก็ยังเดินได้ ในเมื่อการเรียนที่กว่าจะทำเกรดออกมาได้แต่ละครั้งแต่ละชั้นแต่ละปีทำไมเรายังผ่านมาได้ ในเมื่ออาชีพที่บอกว่ายากทำไม่ได้ แต่ทำไมตอนนี้ทำได้และทำได้ชำนาญและสอนคนต่อไปก็ได้  แปลว่าอะไรก็ตามถ้าเราพยายาม หากเรามุ่งมั่นไม่ท้อ ไม่เกินหรอกที่จะทำได้ แต่กลัวอย่าเดียวคือกลัวท่านเกียจคร้าน ไม่มุ่งมั่นตั้งใจจริงใช่หรือไม่ (ใช่)   และนี่คืออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของคน คนเราทำอะไรไม่สำเร็จก็เพราะความเกียจคร้าน ทำอะไรไม่สำเร็จก็เพราะขาดความเด็ดขาด ยอมเป็นผู้บำเพ็ญแบบหยวนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่ผิดก็บอกว่าไม่เป็นไร รกไปหน่อยก็บอกว่าไม่เป็นไร หยวนไปก่อน  พอชีวิตสั้นเท่านี้ก็บอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือเปล่า จริงๆ แล้วเวลาที่ทุกข์เราน่าจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่เรากลับว่าไม่ได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีต้องมุ่งมั่นตั้งใจ สิ่งใดดีขอให้ทำให้ได้ โดยเฉพาะโลกปัจจุบันนี้หากคล้อยตามความไม่ดีของคนอื่น เราก็ต้องละทิ้งอุดมการณ์และความดีงามของตนวิ่งไปตามความผิดพลาดของคนอื่น แต่หากว่าเราอยากจะยืนหยัดอยู่บนความดีงาม แต่เราเอาความดีงามไปต่อต้านผู้อื่น ก็เท่ากับเราสร้างภัยให้กับตนเองใช่หรือไม่ (ใช่ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าโลกปัจจุบันนี้คนไร้น้ำใจ โลกขาดคุณธรรม การดำเนินชีวิตให้ได้จึงเป็นเรื่องลำบาก การดำเนินชีวิตให้เป็นสุขมิใช่เรื่องง่าย หากปล่อยไปตามความไม่ดีก็กลายเป็นคนไม่ดี แต่หากยืนหยัดอยู่บนความดีงามของตน ก็จะกลายเป็นคนขัดแย้งกับคนไม่ดี คือหาภัยให้กับตนเองใช่หรือไม่ (ใช่และเราจะทำอย่างไร คนทั่วไปยินยอมที่จะหันหลังให้ความดีงาม ให้กับความมุ่งมั่นตั้งใจเพราะว่าไม่อยากควบคุมตน ไม่อยากให้ตนเองต้องเป็นภัยกับใคร แท้จริงแล้วที่เราทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่ผู้บำเพ็ญธรรมกลับคิดว่าแม้ผู้อื่นจะหันหลังแต่ตนเองจะไม่ยอมทิ้งอุดมการณ์ความดีงาม แต่เขาต้องยอมที่จะควบคุมตนเองท่ามกลางสภาวะแวดล้อมของคนสองประเภทให้ได้อย่างสอดคล้อง แต่ไม่ใช่คนไม่ดีประจบสอพลอ คนดีก็ปั้นหน้าหลอกลวงหาใช่แบบนั้นไม่ คนบำเพ็ญธรรมแม้คนไม่ดีเราก็ยังทำดีตอบ แสดงความดีให้เขาเห็นแต่ไม่ใช่แสดงแบบต่อต้าน แต่ต้องค่อยๆ รู้จักน้อมนำ นำพาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงและอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข ต่อคนดีด้วยกันต้องรู้จักทำตัวให้ซื่อตรง มั่นคง เช่นนี้จึงจะเป็นคนที่อยู่ในสังคมนี้ได้อย่างเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่แม้คนอื่นจะหันหลังแต่ขอให้ท่านคือผู้หนึ่งที่ยอมยืนหยัดยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งความดีงาม สังคมไม่มีไม่เป็นไร แต่ขอให้ตนเองมีไว้ก่อน คนอื่นเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ช่างเขา แต่ขอให้เราไม่เป็นคนที่เรียกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้เหมือนเขา หากเราทำได้เราย่อมเป็นผู้ที่สามารถนำความดีงามไปพลิกฟื้นให้สังคมได้ปรากฏ เราจะไม่เป็นผู้หนึ่งที่ทำลายสังคมอีกคนหนึ่งด้วย นี่คือสิ่งหนึ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมคิดและอยากทำ นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้จักฝึกฝนตนแม้จะยากจนเพียงใดก็ไม่ละทิ้งอุดมการณ์ แม้จะรวยเพียงใดก็ไม่หลงปล่อยอุดมการณ์ความดีงาม ยังมีใจยึดมั่นอยู่ ยังมีใจมั่นคงอยู่อย่างแข็งกล้า หากทำได้เช่นนี้เราจะเป็นผู้หนึ่งที่สามารถยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง และสามารถแปรเปลี่ยนบุคคลได้โดยที่ไม่ต้องพูดสิ่งใดเลย นี่คือหน้าที่ของผู้บำเพ็ญในกาลยุคขาวนี้ ใครไม่ขาวไม่เป็นไรขอให้ตนเองขาว ใครสกปรกฉันใดขอตนเองสะอาดไว้ก่อน
หากเป็นคนทั้งที แต่ไม่สามารถเป็นคนประเสริฐได้ จะไปทำสิ่งใดได้จริงหรือไม่ (จริงฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักเรียกร้องตนเองก่อน อย่าได้เรียกร้องผู้ใด เคารพตนเองก่อนแล้วคนอื่นจึงจะเคารพเราอย่างแท้จริง รักตนและไม่ทอดทิ้งตน  เราทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าเคารพตน บางครั้งมีคนมาดูหมิ่นเรา ทำท่าไม่รักเรา รังเกียจเรา เดียดฉันท์เรา จนท่านรู้สึกทนไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่อยู่บนโลกนี้ใครๆ ก็อยากเป็นที่รักของทุกคน ไม่อยากให้ใครรังเกียจ แต่บ่อยครั้งการดำเนินชีวิตของเราทำไมกลับกลายเป็นการทำให้คนดีหนีหาย คนร้ายกลับใกล้ชิด  เราเคยสงสัยหรือไม่ว่าบ่อยครั้งในการดำเนินชีวิตคำตำหนิติเตียนยิ่งค่อยๆ หาย  มีแต่คำยกย่องสรรเสริญ เป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า ทำไมเรามีคุณธรรมมากแต่ความเป็นเพื่อนกลับไม่สามารถรักษาไว้ได้ อย่างนี้เรียกว่ามีมากจริงๆ หรือไม่  ทำไมเรามั่งมีศรีสุขแต่พ่อแม่อดๆ อยากๆ อย่างนี้เรียกว่าเคารพตน ทำตนถูกหรือไม่ (ไม่ถูกทำไมคนข้างนอกเรารักเขาได้ เราทนเพื่อเขาได้  แต่พ่อแม่ว่านิดเราทนไม่ได้  พี่น้องว่าเราตักเตือนเราหน่อยเรากลับด่ากลับว่า แต่คนอื่นว่าเราเสียๆ หายๆ เรากลับก้มหน้ารับได้  ทำไมจึงกลับหัวกลับหางกันเช่นนี้  เรามีเงินทองมากๆ แต่ไม่มีใครเคารพเราอย่างจริงจัง คนอื่นมาก็หวังพึ่งแค่เงินๆ ทองๆ แต่ไม่ได้รักเราจริง ไม่ได้เคารพเราอย่างถ่องแท้  นั่นเป็นเพราะว่าเราดำเนินชีวิตแบบไม่รักตน ไม่เคารพตนใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราดำเนินชีวิตเราต้องพิจารณาว่าที่ผ่านมาเราเป็นเช่นนี้หรือเปล่า  สิ่งที่เรายอมเสียเวลามาค่อนชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เรากล่าวมาทั้งหมดล้วนแต่ไม่คุ้มค่าเลยใช่หรือไม่ (ใช่หากชั่งความดีก็คงเบาดั่งเช่นขนนก  หากชั่งเรื่องความชั่วก็คงหนักยิ่งกว่าภูผาใดใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีเราต้องหมั่นตรวจสอบหมั่นวัดดูว่าความดีความชั่วในใจเรา หรือความดีในชีวิตของเรามีมากน้อยแค่ไหน มีพอกับเวลาที่เราสูญเสียไปหรือไม่ คุ้มค่าหรือเปล่า
ท่านลองพิจารณาอย่างง่ายๆ หากดอกไม้ในตะกร้านี้ทุกดอกมีกลีบที่เป็นตำหนิ แล้วในทุกดอกนั้นมีใบที่เว้าแหว่ง ท่านจะรักษาที่ต้นดอกหรือรักษาที่รากดอก (รากดอกเราต้องตรวจสอบว่าเกิดจากต้นหรือเกิดจากปลายใช่หรือไม่ (ใช่ก่อนจะตัดสินใจก่อนจะวิเคราะห์แก้ปัญหา เราต้องรู้จักพิจารณาว่าเหตุเกิดจากอะไร ถ้าเหตุมาจากต้นเราต้องดักที่ต้น ถ้าเหตุมาจากปลายเราต้องแก้ที่ปลายจริงหรือไม่ (จริงแล้วคนเราที่ประพฤติผิดแล้วเลือกทางไม่ถูกนั้นเป็นเพราะว่ากายหรือใจ  มาจากใจมากกว่ากาย มาจากใจมากกว่าเกิดจากภายนอก ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าใจเราไม่มุ่งมั่น ไม่เที่ยงตรงเอง เวลาเกิดปัญหาเราจึงพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะเราไม่มีทิศทางให้กับชีวิต เราไม่ค่อยคิดกันว่าเราต้องสรรสร้างความดีให้กับชีวิต เราจึงพร้อมที่จะประพฤติผิดใช่หรือเปล่า (ใช่อย่างนี้เราจะกล่าวว่าเรารักดีเกลียดชั่วได้หรือไม่ (ไม่ใครๆ ก็รักความดี รักคนดี เกลียดคนชั่วร้าย แต่จะกำจัดคนชั่วด้วยการเด็ดกลีบทิ้งแล้วจะไม่มีคนชั่วอีกคงจะเป็นไปไม่ได้  เวลาเจอคนชั่วก็ประหารคนชั่วทิ้งหรือหนีคนชั่วถูกหรือไม่ (ไม่อยู่ที่ตัวเราเองต่างหาก หากเราเคารพคนดี สรรสร้างคุณความดี ได้คนดียอมอยู่ใกล้และอยากอยู่ใกล้ชิดกับเรา  เฉกเช่นเดียวกัน หากเรารักความดี ใช้ความดีทุกวัน ความดีจะหายไปจากใจไหม (ไม่จะหายไปจากการดำเนินชีวิตหรือไม่ แต่ว่าท่านเกลียดชั่ว ท่านเอาแต่หนีความชั่ว ท่านไม่ได้กำจัดความชั่วอย่างแท้จริง ความชั่วนั้นจะไปจากเราได้หรือไม่ (ไม่ได้เฉกเช่นเดียวกัน เรามีสิ่งผิดที่ต้องแก้ไข เราเป็นคนที่ชอบใช้อารมณ์ แต่ถ้าเราขจัดอารมณ์ไม่หมดสิ้น อารมณ์จะพ้นไปจากใจไหม (ไม่ก็ยากที่จะพ้นใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นการดำเนินชีวิตปฏิบัติตนเองบำเพ็ญตนจึงไม่ยากเลย หากรู้จักคิด รู้จักใช้ แล้วก็ไม่ใช่เป็นคนที่ชอบติดใช่หรือเปล่า (ใช่ติดแล้วแคะไม่ออกใช่หรือเปล่า (ใช่)
เรามีชีวิตเราต้องกลัวต้องประสบภัยใช่หรือไม่ (ใช่ภัยของมนุษย์เกิดได้หลายทาง แต่ทางหนึ่งที่เราไม่ควรจะทำให้เกิดเลยนั่นคือ ทางที่มาจากใจตนเอง ภัยในชีวิตของมนุษย์นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยากจะมองเห็น จับต้องไม่ได้ เวลาเกิดก็เกิดทันที ไม่มีการบอกกล่าว  ภัยจะมาก็มาทันที แต่ภัยของมนุษย์เกิดจากสิ่งใดกันได้บ้าง (ขณะที่เราทำสิ่งใดนั้นอาจจะมีสถานการณ์บีบบังคับให้ตัดสินใจท่านบอกว่าบางครั้งมีเหตุการณ์ที่ปัจจุบันทันทีมาทำให้เราต้องตัดสินใจและพอเราต้องตัดสินใจก็กลับพลาดพลั้งไป แต่เราอย่าลืมว่าเกิดเป็นคนต้องไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท เราต้องไม่ลืมหลักการที่พุทธะสอนไว้ว่า คนเรามีชีวิตอยู่ต้องเตรียมพร้อมเสมอ  ถ้าเรารู้จักเตรียมพร้อมเสมอ เราจะไม่ผิดพลาดแม้จะมาช้ามาเร็วหรือมาแบบบีบบังคับใช่หรือไม่ (ใช่)
เราย่อมยากจะรู้จักผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าตัวเราทำดีก็ได้ดี แต่ถ้าตัวเราพลั้งเผลอผิดพลาดไปก็ได้ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากว่าสิ่งที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมทำให้ตัวเราเป็นเช่นไร (หลงหรือว่าทำให้ใจเรานั้นตามไปถ้าเราวางตนมีแนวทางมีหลักยึด แม้ภายนอกจะสวยอย่างไรหากเราไม่ตามเราจะหลงได้ไหม ถ้าโลกวุ่นวายแต่ถ้าเรายึดหลักการไม่ได้เราต้องกลายเป็นคนประจบสอพลอแล้วตามเขาไปก็มี บางคนต้องเดินตามเขาไปอย่างพูดไม่ได้ก็มีใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าหากว่าทุกคนคิดอย่างนี้ จะมีคนดีให้ชนรุ่นต่อไปได้เห็นหรือเปล่า สิ่งนี้คือประเด็นใหญ่ เพราะว่าบ่อยครั้งที่เรามักจะเลือกไม่ได้ระหว่างสูญเสียกับรักษา คุณธรรมในระหว่างมีชีวิตกับไร้ชีวิต แต่การมีชีวิตแล้วรักษาคุณธรรมไม่ได้กับการไร้ชีวิตแต่รักษาคุณธรรมได้ นี่คือความต่างระหว่างพุทธะกับปุถุชน พุทธะยอมสิ้นชีพเพื่อรักษาคุณธรรม ท่านจึงยกนิ้วให้ท่านจึงกราบไหว้ท่านใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่เราไม่สามารถทำได้ เราจึงต้องรู้จักผันแปรและอะลุ่มอล่วย หากเห็นได้ชัดว่าไม่ดี บางครั้งเราต้องเป็นเปลี่ยนแปรค่อยๆ ปรับสภาพ วันนี้เราอาจจะตามเขา แต่ในวันหน้าเราอาจต้องชักนำเขา ชี้ชัดให้เขาเห็น ดั่งเช่นพ่อแม่เรา บางครั้งท่านทำผิด หากเราว่าทันทีย่อมไม่ได้ ไม่ตามท่านก็ไม่ได้ เราจะต้องใช้ความอะลุ่มอล่วย เราต่อว่าคนที่ผิดทันทีย่อมไม่สามารถแก้ได้ แต่เราต้องรู้จักใช้อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบให้ท่านได้เห็นความเป็นจริง ความถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่คนเราเมื่อยึดมั่นแล้ว ว่าตัวเองมีประสบการณ์มักจะไม่ยอมรับฟังใคร แต่เราจะมีใจเปลี่ยนเขาไหม ถ้าเรามีใจเปลี่ยนตอนนี้ยอมตามไปก่อน แต่ต้องไม่ลืมหลักการแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเขา แล้วใจเราต้องรักษา เมื่อรักษาให้คงมั่นได้แล้วเราย่อมดึงเขาได้ เราช่วยคนไม่ดีให้กลายเป็นคนดีอีกคนหนึ่งในสังคมได้ใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ทำลายตัวเองยังสามารถดึงเขาไปกับเราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่หากเราทำได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เหมือนดอกไม้ แม้เปลือกนอกจะโดนตัวแมลงกัดกิน แต่ใช่ว่าดอกไม้จะไม่บานอีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่ แม้ภายนอกจะถูกกัดกิน จะมีแมลงเกาะหนอนชอนไช แต่ดอกไม้ก็ยังคงทำหน้าที่ผลิบานให้สมบูรณ์ เกิดเป็นคนก็เฉกเช่นเดียวกัน แม้มีอุปสรรคขัดขวางแต่ขอให้เรายืนหยัด อุปสรรคย่อมพ่ายแพ้ คนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง  หากเราตั้งใจแม้ฟ้าทดสอบท่านย่อมจะไม่กลัว ใช่หรือไม่ (ใช่จะกลัวก็เพียงแต่ใจเราต่างหากที่ไม่มั่นคง ใช่หรือเปล่า (ใช่หากเราศึกษาการบำเพ็ญแนวทางอยางพุทธะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างอิสระเสรี พุทธะมักจะกล่าว อารมณ์ทำให้มนุษย์สูญเสีย  การมีชีวิตหรือสูญเสียความเป็นมนุษย์อันประเสริฐ เป็นเพราะอารมณ์มักทำให้มนุษย์เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริง เพราะความโกรธทำให้มนุษย์เราไม่สามารถมองเห็นได้ถูกต้อง เพราะความหลงทำให้มนุษย์เรามองไม่เห็นทั้งที่ตาเปิดกว้าง เพราะความโลภทำให้มนุษย์ไม่รู้จักเหนื่อยไม่รู้จักพอ เมื่อใดที่มนุษย์เราหยุดอารมณ์ได้เมื่อนั้นเราจะสามารถค้นพบชีวิตที่แท้จริง และความอิสระเหนืออื่นใด ต่อให้มนุษย์เรามีแล้วแต่ก็ยังเลิกไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอีกเรื่องหนึ่ง หากว่ามีกฎเกณฑ์ควบคุมบังคับจนมากเกินไปเราจะรู้สึกอึดอัด ใช่หรือไม่ (ใช่นอกจากนี้เราย่อมไม่ชอบให้ใครมาตีกรอบ ถ้าถูกบีบบังคับมากก็จะกลับกลายเป็นเกเรได้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่เหมือนกันเราอยากให้ลูกได้ดี หวังอยากให้เขาได้ดี แต่ถ้าเราใช้กฎเกณฑ์ขอบเขต จำกัดเขามาก จากดีอาจจะกลายเป็นร้ายเป็นไปได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่โลกนี้เหมือนดาบสองคม หากใช้ไม่ถูกทางคมดาบนี้อาจจะฟันและทำร้ายตัวเราเอง จริงหรือไม่ (จริงกฎเกณฑ์ก็เหมือนกันถ้าบังคับไม่ถูก ควบคุมตัวเองไม่เป็น หรือเราใช้กับตนเองไม่เป็น แต่นำไปใช้กับคนอื่นโดยกดขี่ข่มเหงมากคล้ายๆ สัตว์  ถ้าถูกกดขี่ข่มเหงมากย่อมทำร้ายคน ถ้าคนถูกกดขี่ข่มเหงมากย่อมทำลายคนด้วยกันเองจริงหรือเปล่า (จริงในบางครั้งสัตว์ที่เราเลี้ยงอยู่ดีๆ สัตว์นั้นมาทำร้ายเรา ต้องถามตัวเราเองก่อนว่า เรากดขี่ข่มเหงใช้แรงงานเขาเกินไปหรือเปล่าหรือเราอยู่ร่วมกับเพื่อนและเพื่อนย้อนมาทำร้ายเรา เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเรากดขี่ข่มเหงเขาหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่เฉกเช่นที่เรากล่าวไว้แต่ต้นแล้วว่า ทำไมในโลกจึงเต็มไปด้วยจอมปราชญ์และจอมโจร หากคนเราไม่รู้จักใช้ปัญญา ไม่รู้จักใช้ความฉลาดในทางที่ถูกต้อง จอมโจรนั้นจะเอาคุณธรรมมาเป็นเกราะป้องกันตนจริงหรือไม่ (จริงจอมโจรจะเอาคุณธรรมมาใช้หลอกลวงคุณธรรม จริงหรือไม่ (จริงสิ่งนี้คือความมืดมัวของจิตใจมนุษย์ หากเราไม่เริ่มสร้างความกล้าตั้งแต่ที่บ้านเรา แล้วเราจะไปกล้าที่ไหน หากเรานิ่งเฉยเอาแต่ปล่อยให้โลกเลวร้ายเราจะเป็นอย่างไร วันนี้ไฟไหม้บ้านคนอื่น ถ้าไม่ช่วยดับ ไฟจะไม่ไหม้บ้านเราหรือ วันนี้เราทำร้ายคนอื่นแต่อย่าลืมว่าหากวันหนึ่งเขามีอำนาจบารมี เขาย่อมกลับมาทำร้ายเราได้ มีแต่คุณธรรมเท่านั้นที่แปรเปลี่ยนจิตใจของคน นำพาสังคมไปสู่ความสงบสันติ ขอเพียงอย่างเดียวท่านต้องยอมสละก่อน ถ้าไม่มีคนสละ ไม่มีคนเริ่มโลกนี้ก็จะไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่เราฟังเรื่องสัจธรรมชีวิตแล้ว ชีวิตเราไม่ใช่ชีวิตที่ยาวไกล หากนับดูแล้วมันสั้นเพียงนิดเดียว ฉะนั้นเราต้องใช้เวลาแห่งชีวิตให้คุ้มค่าและมีประโยชน์ที่สุด เกิดเป็นคนทั้งทีต้องมีแนวทางให้กับชีวิตตนและแนวทางของชีวิตนั้นต้องเป็นแนวทางที่ไม่ลืมในความดีงามและไม่ลืมสัจจธรรมความเป็นจริง บางครั้งเรารับไม่ได้กับความเป็นจริงของชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่เรานั้นมีอารมณ์ชอบก็มักจะชิดใกล้ เกลียดก็หนีหาย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง จะเป็นผู้บำเพ็ญตนต้องยอมรับฝึกฝนขัดเกลาตน ยิ่งชอบเรายิ่งพร้อมที่จะสละให้คนอื่นได้พบสิ่งที่เราชอบ ยิ่งเกลียดเราต้องพร้อมเป็นคนแรกที่ยอมจะเข้าใกล้ยื่นมือไปช่วยเขาเป็นจิตใจที่ยอมเสียสละ อุทิศและช่วยเหลืออย่างไม่แบ่งเขาแบ่งเรา อย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ เป็นผู้บำเพ็ญเป็นผู้ที่จะฝึกฝนบำเพ็ญ หรือจะเป็นผู้มีคุณธรรมในตนเอง ขอให้รู้จักเห็นอกเห็นใจเขา รักเราเช่นใดก็ต้องรักเขาเช่นนั้น หวังอยากจะมีสิ่งใดให้แก่ตัวเอง ก็ต้องหวังสิ่งนั้นให้แก่คนในรอบด้านด้วย อย่างนี้เรียกว่า มีจิตใจเปิดกว้าง คนเรามักจะใจคับแคบเห็นแก่ตนไม่เคยทำเพื่อใคร ใช่หรือไม่ (ใช่และถ้าหากเกิดทุกคนเห็นแก่ตนผลเสียยกให้ส่วนรวม โลกย่อมวิบัติและวุ่นวายจริงหรือไม่ (จริงทุกคนอยากสบายไม่ยอมลำบากแล้วโลกจะเป็นเช่นไรล่ะ หากทุกคนมุ่งแต่หาความสบายกันหมด แล้วความลำบากมีใครจะยอมรับบ้าง แต่เราซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญธรรม หากมีใครวิ่งไปหาความสบายไม่เป็นไรเราขออยู่ข้างหลังเอง แม้จะลำบากกว่าคนอื่นๆ ไม่เป็นไร แม้คนอื่นไม่รู้แต่ฟ้ารู้ดินรู้ คนอื่นมองไม่เห็นแต่พุทธะเห็น ตัวเราเห็น เราก็ภูมิใจแล้วที่เกิดเป็นคนจริงหรือไม่ (จริงทำดีที่สุดแล้วขอให้เป็นคำๆ นี้ที่ท่านมีชีวิตอยู่ อย่าให้มาเสียเปล่า เรามาก็อยากแนะนำในสิ่งที่ดีและนำพาท่านไปให้ถูกทาง ชีวิตนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าหลงใหลอีกต่อไปแล้ว โลกนับวันยิ่งเลวร้าย คนนับวันยิ่งเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ใครไม่รักเรา ใครไม่เห็นใจเราไม่เป็นไร แต่เราพร้อมจะเห็นใจคนอื่น และพร้อมจะรักคนอื่น นี่คือจิตใจของผู้บำเพ็ญ
ไม่ได้ประชุมธรรมกันมาหลายเดือนแล้ว จิตใจคงเว้าแหว่งกันไปมาก ความตั้งใจก็หายไป ความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญตนเป็นอย่างไร เกียจคร้านเบื่อหน่ายและท้อแท้เป็นเรื่องน่าเศร้านัก เกิดเป็นคนทั้งทียังรักษาต้นกับปลายได้ไม่คงที่เลย แล้วจะทำอะไรได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำอะไรก็ต้องยึดต้นกับปลายเหมือนกัน อย่าได้ย่อท้อ ตั้งใจจะบำเพ็ญแล้ว ตั้งใจจะช่วยเหลือเขาแล้ว ตั้งใจจะนำพาเปลี่ยนแปลงคนอื่นแล้ว ต้องมุ่งมั่นทำไปให้ดี อย่าท้อแท้อย่าอ่อนแอ วันนี้มาฟังวันเดียวต้นไม้คงไม่สามารถออกดอกได้ใช่หรือไม่ (ใช่ขอให้หมั่นรดน้ำพรวนดินในการบำเพ็ญตน อย่าได้เกียจคร้าน อย่าได้ยอมแพ้ และอย่าได้อ่อนแอ อย่าเป็นคนที่ทำข้างหน้าเป็นแต่ทำเบื้องหลังไม่เป็น เป็นผู้บำเพ็ญธรรมต้องอยู่ได้ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเสียสละได้ อุทิศได้ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมและจริงใจ รักษาสัจจะวาจาให้ดี
ขอให้นับจากนี้ไปตั้งใจและมุ่งมั่นบำเพ็ญตนให้ดี เรามาครั้งนี้ไม่ได้มาให้ท่านยึดติดหรือมาเคารพนับถือตัวเราแต่เรามาครั้งนี้เราต้องการให้ท่านรู้ว่าธรรมะมีจริง สัจธรรมเป็นของจริง คนบำเพ็ญธรรมจะเป็นจริงได้ขึ้นอยู่กับตัวท่านแล้วนะ ธรรมะจริง โองการจริงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ถ้าหากว่ามีคนทั้งหมู่บ้านมาต่อว่าเรา เราต้องดูด้วยว่าคนที่ว่าเรานั้นเป็นคนดีหรือคนไม่ดี หากท่านมองเห็นว่าคนที่ว่าเรานั้นเป็นคนที่อิจฉาริษยา ก็อย่าไปเสียใจ ต้องดีใจด้วย เพราะเขาเห็นเราดีเขาเลยอิจฉาเรา แปลว่าเราดีจริงๆ แต่ถ้าเกิดคนที่ว่าเรานั้นเป็นคนที่ดี คนที่ปฏิบัติดีบำเพ็ญดี แต่เขาว่าเรา เราต้องยอมแก้ไขและพร้อมที่จะปรับปรุง มีคนกล้าว่าเรา ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ดีกว่ามีคนประจบสอพลอ แต่ไม่มีใครกล้าตำหนิเรา นั่นเป็นสิ่งที่น่าเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่ทำดีเป็นธรรมดาย่อมมีคนทดสอบย่อมมีคนอิจฉา จริงหรือไม่ (จริงแต่ขอให้ใช้ปัญญามองให้ออกว่าคนที่ว่าเราเขาเป็นคนประเภทไหน ถ้าเป็นคนอิจฉาเราต้องภาคภูมิใจ แต่ถ้าหากเป็นคนดีมาว่าเรา เราต้องรีบปรับปรุงตนอย่าให้มีชีวิตอยู่อย่างคนดีหนีหายคนชั่วชิดใกล้ ไม่มีใครกล้าว่าเราอย่างนี้น่าเศร้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นแต่ใครๆ ก็เกลียดเรา มีสำนวนกล่าวไว้ว่าหากเราเกิดเป็นคน การอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เราใช้ท่าทีที่อ่อนน้อมสำรวม ระมัดระวังตนเมื่อยู่ร่วมกับเขา ทั่วสี่คาบสมุทรเขาย่อมเป็นเพื่อนเรา แต่ถ้าเกิดว่าเรามีชีวิตอยู่ใครๆ ก็รังเกียจเรา ตอนนี้เราขอถามท่านสักนิดว่าท่านพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไหม ลองดูท่าทีที่เราปฏิบัติต่อเขาเป็นท่าทีที่หยิ่งผยองเกินไปหรือเปล่า เป็นท่าทีที่เราใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงเขาหรือไม่ แต่ถ้าเราตรวจสอบแล้วว่าไม่ใช่ เราใช้ท่าทีที่อ่อนน้อม เราอยู่ร่วมกับเขาด้วยความสุภาพนุ่มนวล ไม่เคยใช้อำนาจบาตรใหญ่ ถ้าหากเขาทำไม่ดีกับเรา เราต้องอดทนใช่หรือไม่ (ใช่พุทธะทุกพระองค์สำเร็จได้ แม้แต่พระพุทธองค์ยังมีมารมาขัดขวาง แต่ท่านยังคงทำดีต่อ แม้ขัดขวางถึงขนาดฆ่าเอาชีวิตท่านก็ยังคงมีใจเมตตาตอบ สักวันหนึ่งเขาต้องเปลี่ยนแปลงได้เห็นความดีในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่ขอให้เราตั้งใจบำเพ็ญทำดีอย่างไม่ย่อท้อ  สักวันหนึ่งความดีย่อมชนะความชั่ว อย่าได้ทำดีน้อย แล้วบอกว่าความดีไม่ชนะความชั่ว แต่ต้องทำดีอย่างไม่ย่อท้อเสียสละอ่อนน้อม สุภาพกับเขาให้เต็มที่ วันนี้ไม่เต็มที่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ทำต่อไป ทำไปเรื่อยๆ วันนี้ชนะไม่ได้พรุ่งนี้ย่อมชนะได้ ก็ย่อมมีสักวันหนึ่งจริงหรือไม่ ขอเพียงท่านอย่าท้อใจและต้องยอมรับที่จะแก้ไขถ้าเกิดเขาว่า เราลองถามตัวเราเองว่าเราใช้ท่าทีกับเขาผิดไปหรือเปล่า เราใช้ท่าทีแบบฉันท์มิตรกับเขาไหม แม้วันนี้เขาเห็นเราไม่ดีสักวันหนึ่งเขาย่อมเห็นเราดีได้ ขอเพียงท่านไม่ยอมแพ้ ถ้าท่านไม่อยากทุกข์อีกด้านหนึ่งท่านต้องยอมฝ่าทุกข์ตรงนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นท่านปล่อยทุกข์นี้ท่านต้องไปทุกข์อีกด้านหนึ่งจริงหรือไม่ (จริงและทำอย่างไรให้ทุกข์ในใจแปรเป็นสุขได้ สำคัญที่สุดคือเปิดใจให้กว้างยอมรับให้ได้ ถ้าเราเปิดกว้างเราจะเห็นความดีในใจเขา เกิดเป็นคนก็ยากตรงนี้ใช่ไหม บางทีชนะไม่ได้เพราะว่าใจเราไม่สามารถชนะใจตัวเราเอง ท่านต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้อย่ายอมแพ้ ถ้าเราเปิดใจให้กว้างไม่ยึดมั่นในความรู้สึกว่านี่คือทุกข์นี่คือสุข ไม่แบ่งแยกใจ เราย่อมดำเนินชีวิตอยู่ได้ไม่ว่าทุกข์หรือสุข เราก็ยิ้มได้ เราชนะใจเราได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรท่านย่อมเป็นสุข ทำไมพุทธะจึงอยากชวนให้ท่านบำเพ็ญตน เพราะรู้ว่าโลกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการที่จะดำเนินชีวิตให้ดีงามและให้ดีกับทุกๆ คน บางทีเราว่าเราทำดีที่สุดแล้วแต่ก็ย่อมมีคนเห็นว่าไม่ดี และมีคนรังเกียจใช่หรือไม่ (ใช่แต่ขอเพียงอย่างเดียวเราเปิดใจให้กว้าง ทำไมถึงย้ำว่าต้องเปิดใจให้กว้าง เพราะถ้าเราเปิดใจให้กว้างเราจะรับได้ทุกสภาวะ แต่ถ้าเราเปิดใจไม่กว้างเราจะลำบากและทุกข์ทน อย่ายอมแพ้ ทุกวันนี้ที่ต้องเจอทุกข์บางครั้งหากผ่านไปแล้วอาจจะรู้สึกว่าเป็นทุกข์ที่เล็กน้อย เป็นทุกข์เหมือนผงเข้าตา พอผ่านไปนานๆ เข้า  ชีวิตนี้ยังมีทุกข์ที่ทุกข์กว่านี้อีกจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นขอให้มองให้กว้างๆ เข้าไว้
ยืนหยัดในความดีงามให้ได้ ไม่เสียเวลาท่านมากเกิน ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒                            พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  มีตัวฉันก็มีทุกข์หลีกไม่พ้น                          เกิดเป็นคนอย่าได้กลัวยากลำบาก
บำเพ็ญตนตัดอัตตาใช่เรื่องยาก                     ยามจำพรากสู่ทางใดนะศิษย์เอย
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
  จิตร่มเย็นรู้บำเพ็ญสัทธรรมจริง                ยิ่งให้ยิ่งไม่หมดจิตปฐม
ธรรมแพร่ไปความเป็นคนอุดม                   ข้าระทมไม่รู้ผิดติดอัตตา
อันบ่อเกิดความแท้คืออนิจจัง                   เงี่ยหูฟังใจตนส่งภาษา
เวลาศิษย์แน่แน่วก็เปรียบพุทธา                 เป็นเป้าหมายสุทธาไปดั่งธนู
ปัญหามีเรียนรู้ให้เจ้าเข้าใจ                      อาจารย์หมายความมืดกลายแสงสู่
หลงไปเพราะไกลอาจารย์น้ำตากรู              อาจารย์สู้ทำใจลงได้อย่างไร
กิเลสได้เร้าเสื่อมยังใจพุทธะ                     แบกภาระร่วมกันช่วยก่อนสาย
น้องเดินไม่คลาดพี่บำเพ็ญใจ                    เข้าใจกันทำให้ทางราบรื่นดี
ยุคสามนี้บำเพ็ญใจบำเพ็ญกาย                ขอศิษย์รู้ทบทวนใหม่ชีวิตนี้
แม้ลำบากศิษย์อย่าห่างความดี                 ฟ้าปราณีคนตื่นจริงเสมอไป
                                                                                       ฮา  ฮา  หยุด


          เจ้ารู้ไหมเอย  ในจิตคนทุกคนมีธรรม  เจ้ารู้ไหมเอย  ถ้ำขุมปัญญาหนใดกันเล่า  เจ้ารู้ไหมเอย  การบำเพ็ญหลอมใจในเตา  เจ้ารู้ไหมเอย  ดั่งเขลาจึงเดินแสนจะสบาย
          หากจดจ่อในสิ่งผิดศิษย์จะหลงได้  ความประมาทหากเกิดกับใคร  มิวายต้องช้ำ  เจ้ารู้ไหมเอย  คนบำเพ็ญรักษ์คุณธรรม  เจ้ารู้ไหมเอย  เจ็บช้ำทำอายสอนใจช่วยเตือน
เพลง : เจ้ารู้ไหมเอย
ทำนองเพลง : ช่างร้ายเหลือ




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บทเพลงเมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า ห่วงแต่ศิษย์ยังหลงมิตื่น  ไม่ตื่นจากอะไร (ไม่ตื่นจากกิเลสไม่ตื่นจากกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่หรือว่าเราเต็มใจจะหลับ กิเลสทำให้เราหลับหรือเราเต็มใจจะหลับ คำว่าไม่ตื่นแสดงว่า ไม่ตื่นจากการหลับ หลับจากการที่เรานั้นลุ่มหลงในกิเลสต่างๆ นานา อาจารย์ว่ากิเลสไม่ได้ทำให้เราหลับ แต่ว่าเราเต็มใจที่จะหลับเองใช่ไหม (ใช่อาจารย์จะยกตัวอย่างกิเลสให้ฟัง ผู้ชายชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงคนนี้เป็นกิเลสหรือว่าใจเรามีกิเลส (ใจเราอยู่ที่ใจเรา ความสวยของเขาเป็นกิเลสของเราเพราะว่าเขาสวยอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ที่ไหนมีกิเลส (ใจเราผู้หญิงชอบทอง ทองสีสวยมาก มีค่าด้วย เอาไปแลกก็ได้เงินใช่หรือไม่ (ใช่ทองตั้งอยู่ที่ร้าน แล้วทองวิ่งมาหาเราหรือเราวิ่งไปหาทอง (เราวิ่งไปหาทองกิเลสอยู่ที่ใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างจะขึ้นหรือจะลงอยู่ที่ใจของเรา ใจเรามีกิเลสมากเราก็วิ่งไปหาทองมาก  ถ้าจิตใจของเรามีกิเลสน้อยก็มาสถานธรรมบ่อยหน่อย สถานธรรมมีแต่กำแพง โต๊ะพระ กับคนเล็กๆ น้อยๆ ถ้าหากว่าเราชอบกิเลสมากกว่าก็คงจะวิ่งไปหาทอง ไปหาผู้หญิง  แต่หากว่าเราชอบที่จะบำเพ็ญธรรมมากกว่า ชอบจิตใจที่ใสสงบมากกว่า เราก็มาสถานธรรมใช่หรือไม่ (ใช่ทุกวันนี้ไปทางไหนมากกว่ากัน ไปทางโลกีย์มากกว่าหรือมาทางสวรรค์มากกว่า มีคนบอกว่าอยากไปสวรรค์มากกว่าแต่ไปไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่สวรรค์อยู่ใน (อกนรกอยู่ใน (ใจคำนี้พูดกันมานานแล้ว เพราะฉะนั้นย้อนกลับเข้าไปมองในใจของตัวเองว่า ใจของเราตอนนี้เป็นสวรรค์หรือนรก ใจของเรานั้นจะทำให้เป็นสวรรค์ก็ได้ จะทำให้เป็นนรกก็ได้ อยู่ที่เราเอง บางคนบอกว่าไปไม่ถึงสวรรค์ ถ้าจะไปถึงสวรรค์จริงๆ ต้องตายก่อน ถึงจะไปได้ แต่ถามว่าก่อนที่เราจะไปสวรรค์เราต้องเดินทางไหม (ต้องแล้วเราเดินทางไปไหน สมมติว่าสวรรค์ต้องไปข้างหน้าคือการทำความดี นรกไปข้างหลัง  ถามว่าศิษย์มุ่งจะทำความดีมากกว่าหรือมุ่งจะทำความชั่วมากกว่า ในวันหนึ่งลองทบทวนว่าสิ่งที่เราทำออกมาเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าหรือเป็นสิ่งที่ชั่วมากกว่า ถ้าคนไหนตอบว่าตัวเองทำแต่สิ่งที่ดีมากกว่าคนนั้นก็กำลังมุ่งเดินทางไปสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่หากเราเห็นเงินแล้วตาโต เงินหล่นอยู่ที่พื้นของใครไม่รู้เก็บขึ้นมาเสียหน่อย  การกระทำอย่างนี้ดีหรือไม่ดี (ไม่ดียกตัวอย่างการกระทำแบบนี้ก็คือไม่ดี แม้ว่าใจเราจะเป็นใจสวรรค์ แต่เราก็คงต้องเดินทางไปนรกใช่หรือไม่ (ใช่จึงอยากให้ศิษย์คิดให้ดีๆ สวรรค์อยู่ข้างหน้า นิพพานอยู่ข้างหน้า นรกก็อยู่ข้างหน้า เราเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มจากตัวเราเอง  สมมติข้างหน้ามีทางสามแพร่ง เริ่มจากจุดเดียวกันคือจุดเริ่มต้นตรงนี้ หากว่าเราเดินไปข้างหน้า เราก็คงได้ไปในที่ๆ สว่างไสวใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าเราพยายามเบี่ยงซ้ายหรือเบนขวา เพราะว่าเราห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ที่สุดแล้วต่อให้ใจเราเป็นสวรรค์ก็ต้องไปนรกอยู่ดี เป็นศิษย์อาจารย์จี้กงก็ไปนรกได้ ถอนชื่อแล้วก็ใส่ชื่อไปใหม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นคนไม่ดี ถอนชื่อขึ้นมาก็ใส่ลงไปใหม่ คราวนี้ใครใส่ชื่อลงไป (ตนเองลายมือที่อยู่ในนั้นก็จะเป็นลายมือของศิษย์เอง เราเขียนขึ้นมาทีละตัวเหมือนกับการทำความไม่ดี เขียนความชั่วแต่ละอย่างขึ้นมาทีละเรื่อง เป็นชื่อเราหนึ่งชื่อเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้บำเพ็ญธรรมเดินตามอาจารย์มาดีหรือไม่ (ดี)
ยามจำพรากสู่ทางใดนะศิษย์เอย  ยามจำพรากคือตอนตายใช่หรือเปล่า สมมติว่าชะตาชีวิตของเรามีอายุถึง ๕๐  ตอน ๕๐ นั้นป่วยมากๆ หมอช่วยเราเอาไว้  เราอยู่ต่อไปได้อีก ๑๐ ปี หรือ ๒๐ ปี  แต่ถามว่าในที่สุดแล้วถ้าร่างกายร่วงโรยแก่ชรามาก หมอช่วยเราไหวไหม (ไม่ไหวในที่สุดแล้วหัวใจเหนื่อยหยุดทำงานไปเองก็ตาย เพราะฉะนั้นชีวิตคนถ้าลองได้เกิดก็ต้องได้ตายทุกคน ก่อนที่เราจะตายไปจึงต้องหมั่นสร้างความดีไว้ ในทางที่เรามองเห็นก็เพื่อเป็นการสร้างกุศล ทำให้เรานั้นอาจจะเวียนว่ายไปสู่ภพชาติที่ดีขึ้น ในทางที่เรามองเห็น คือ ความดีส่งผลให้ลูกหลานของเราเป็นคนดีตาม ใช่หรือไม่ (ใช่ส่วนในทางที่มองไม่เห็นคือ ถ้าหากว่าเราดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เราห้ามลูกเราไม่ให้สูบบุหรี่ได้ไหม (ไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าในทางที่เรามองเห็นก็คือลูกหลานของเราเอง
อาจารย์ขอความจริงความขี้สงสัยไม่เอาดีหรือเปล่า คนส่วนใหญ่พูดอะไรมักทำได้ไหม เวลาที่บอกให้รับปากอะไรก็ได้ พอถึงเวลาทำจริงๆ ทำไม (คิดดูก่อนเมื่อสักครู่เราบอกว่าเรารู้จักกัน ใช่หรือไม่ (ใช่รู้จักกันในแง่ไหนบ้างไหนลองบอกหน่อย (ในแง่ที่เป็นลูกศิษย์อาจารย์ถ้าหากว่าจะใช้เวลาดูอาจารย์ให้ใช้เวลามาศึกษาธรรมะ เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ศึกษาเท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่จำเป็นจะต้องพิจารณาว่าเป็นอาจารย์จริงหรือเปล่า ให้พิจารณาว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นศิษย์ทำได้หรือเปล่า ทำได้นำไปปฏิบัติดีไหม  เมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่ารู้จักอะไรกันบ้าง รู้จักอาจารย์ไหม เราต้องพิจารณาดีๆ ว่ามนุษย์โดยทั่วๆ ไปนั้นมีการรู้จักคือ รู้จักหน้าค่าตาใช่หรือไม่ (ใช่รู้จักชื่อใช่หรือเปล่า (ใช่รู้จักความเป็นมาและถิ่นกำเนิดใช่หรือเปล่า (ใช่นี่คือการรู้จักทั่วๆ ไปของมนุษย์  แต่การที่อาจารย์ถามว่าศิษย์รู้จักอาจารย์ไหม การรู้จักนี้ไม่ใช่รู้จักที่หน้าตาเหมือนกับที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นมองรูปลักษณ์อันนี้ ไม่ใช่รู้จักที่เสียงว่าเสียงอย่างนี้ต้องเป็นอาจารย์จี้กง แต่ให้รู้จักว่าอาจารย์มีชื่อว่าจี้กง แปลว่า อนุเคราะห์ชาวโลก เพราะฉะนั้นการรู้จักอาจารย์ต้องรู้จัก ว่าอาจารย์นั้นมีหน้าที่ทำอะไร อาจารย์มีหน้าที่ช่วยคน ถ้าเป็นศิษย์อาจารย์และเรารู้จักกัน ศิษย์ก็ต้องเช่นไร (ศิษย์ก็ต้องช่วยคนจึงเป็นการรู้จักกันอย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าหากว่าอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักแค่ชื่อ รู้จักแค่หน้าตา รู้จักแค่เสียง อาจารย์คงไม่ต้องลำบากมาหาศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นอะไรที่อาจารย์พูดให้นำกลับไปปฏิบัติ เราจึงรู้จักกันจริง ใช่หรือไม่ (ใช่อาจารย์กลัวที่สุดก็คือ วันนี้รู้จักกันวันหน้าตายไปแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะว่าอะไร เพราะว่าเรานั้นไม่ได้ทำในสิ่งที่อาจารย์พูด จึงสำเร็จเป็นพุทธะไม่ได้ น่ากลัวไหม (น่ากลัว)
แม่ครัวทำกับข้าวอร่อยมาก ต้องทำความดีอร่อยๆ ด้วยดีหรือเปล่า ทำความดีอร่อยๆ ทำอย่างไร การทำความดีไม่ได้ทำอย่างลวกๆ ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ คนที่ทำความดีได้ ตัวเราต้องมีความดีมากจึงสามารถทำความดีได้ประสบความสำเร็จ บางคนทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ คิดจะทำความดีสักครั้งหนึ่งก็ดูจะยากเย็นเพราะว่าแต่ก่อนเราไม่เคยทำความดีมาเลย เวลาจะทำความดีแต่ละครั้งจึงยากลำบาก การบำเพ็ญธรรมะอาศัยความจริงใจเป็นหลัก ทำไมอาจารย์มาคราวนี้มาถึงก็เรียกแม่ครัวออกมาเลย คนที่เคยพบอาจารย์บ่อยๆ ก็จะรู้สึกแปลกใจ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าอาจารย์ต้องการเน้นถึงความจริงใจเป็นหลัก คือใจอันแท้จริงของศิษย์ เวลาเรามาที่นี่คนที่ทำครัวให้เราก็ไม่ได้บอกว่าถ้าเขากลัวเหนื่อยเขาก็คงไม่ทำให้เรา  เพราะฉะนั้นแสดงว่าเขาจริงใจ มีเงินทองมากมายจ้างเขามาทำก็ได้ แต่แม่ครัวเหล่านี้ไม่ได้รับเงินทอง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีเงินทองมากมายอีกต่างหาก การที่เราทำความดีบางทีก็ไม่ต้องใช้เงิน บางทีเรามีเงินให้คนอื่นแต่คนอื่นอาจจะไม่เต็มใจทำให้เรา ใช่หรือไม่ (ใช่บางทีมีคนที่อยู่ใกล้เคียงเรา เราอยากจะให้เขาได้รู้ได้เข้าใจได้ดีกว่านี้ เราจึงไปเตือนเขาด้วยความจริงใจ แต่ในที่สุดแล้วเขาไม่เห็นจะดีตอบเราเลยเป็นเพราะอะไร ศิษย์หลายคนเจอปัญหานี้ ทำไมเราดีให้เขาแล้วเขาไม่ดีให้เรา ทำไมเขาถึงว่าเรายุ่ง เพราะอะไรเราถึงโดนคนอื่นว่าทั้งที่เราจริงใจ อันนี้อาจารย์แนะนำให้ศิษย์มองดูตัวเอง เพราะว่าเราดีกับเขาเพียงแค่คำพูดส่วนการกระทำของเราก็พอๆ กับเขา เขาจะเชื่อเราไหม (ไม่เชื่อศิษย์ของอาจารย์ต้องกลับมาดูตัวเอง ดูให้เหมือนศิษย์ส่องกระจก เวลาเราส่องกระจก กระจกตั้งอยู่ข้างหน้าเรามองเห็นชัดไหม (ชัดเรามีจุดด่างดำอยู่ตรงไหน หน้าตาเราบูดเบี้ยวไปทางไหน วันนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงในหน้าของเราบ้าง เรารู้ชัดเจนหรือเปล่า เรารู้ชัดเจนเพราะว่าเราสังเกตแต่ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์ก็เหมือนกันสังเกตแต่ความจริงใจของตัวเองที่เรามีให้เขา แต่ไม่สังเกตความจริงใจของเขาที่มีให้ศิษย์ ฉะนั้นทุกๆ วันจึงไม่แน่เสมอไปที่คนอื่นเขาจะยอมรับและก็เห็นดีกับเราเวลาเราเตือนเขา เพราะฉะนั้นเวลาจะเตือนคนอื่นต้องมาดูตัวเอง ต้องเตือนตนเองให้ดีก่อนอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีตัวฉันก็มีทุกข์หลีกไม่พ้น  ความทุกข์เกิดในใจของเรา ความทุกข์เกิดกับเรา เมื่อมีเราก็มีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่ความทุกข์เป็นสิ่งที่หลีกไม่พ้น ไม่สามารถจะหลีกพ้นได้ แต่เราสามารถทำให้ความทุกข์อยู่ข้างนอกแต่ความสุขอยู่ข้างในได้ มนุษย์นั้นศึกษาศาสตร์มากมายรวมทั้งเรื่องจิตด้วย เรียกว่าจิตวิทยา ใช่หรือเปล่า (ใช่จิตวิทยาก็คือการศึกษาจิตของเราเอง ศึกษาใจของเราเอง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเรามาศึกษาใจ มาพิจารณาใจของเราเองว่าจะทำอย่างไรให้เรามีความทุกข์อยู่ข้างนอก แต่ความสุขอยู่ข้างใน หลายคนบอกว่าฉันมีทุกข์ ฉันลำบาก ฉันตกงาน ฉันไม่มีกิน ฉันไม่มีใช้ ไม่มีเงิน มีความทุกข์ไหม (มีฉันมีความทุกข์มากมายบอกไม่หมด ถ้าหากเราบอกตัวเองบอกว่าฉันทุกข์ๆ ทุกข์หนักขึ้นไหม (หนักฉะนั้นต้องทำอย่างไร (ทำจิตใจให้สบาย เห็นความทุกข์เป็นเรื่องเล็กเป็นวิธีการที่ดีไหม (ดีเราทำจิตใจให้สบายด้วยอะไร บางคนแก้ปัญหาด้วยการหาวัตถุภายนอก ไปเที่ยวบ้าง ไปสังสรรค์บ้าง ไปหาสิ่งโน้นสิ่งนี้มาทำเราให้สบายใจ แต่หารู้ไม่ว่าสบายใจเพียงชั่วครู่เดียวเสร็จแล้วก็กลับมาทุกข์อีก ต้นเหตุอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่บางคนบอกว่าดูทีวีแล้วมีความสุข เราเอาทีวีทั้งเครื่องใส่เข้าไปในใจได้ไหม ให้ใจดูใจจะได้ไม่มีความทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้ตอนที่เราเกิดมาเป็นคนสิ่งที่รู้จักอย่างแรกก็คือตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่พอมีตัวเราเองเราก็เริ่มมีความทุกข์ เพราะว่าเราต้องการหาสิ่งต่างๆ มาส่งเสริมตัวเอง ความรู้ความสามารถ วัตถุต่างๆ สิ่งสวยงามต่างๆ เมื่อเรามีมากขึ้นสิ่งเหล่านี้จะที่ทำให้เรามีความทุกข์ การที่ศิษย์ของอาจารย์บอกว่าหาเหตุก่อนแล้วจึงค่อยดับทุกข์ หากว่าหาเหตุไปเรื่อยๆ จะรู้ว่าความทุกข์เกิดจากตัวเรา เพราะว่าใจของเรามีกิเลสมากมาย ยังอยากจะได้ในสิ่งต่างๆ มากมาย จึงเกิดความทุกข์มากขึ้น  การที่จะดับทุกข์ได้ก็คือ การตัดกิเลสของเราเอง ตัดจิตใจที่มีความอยากได้ต่างๆ นานาของเราทิ้ง อย่างนี้ทุกข์ก็จะน้อยลง เมื่อไม่มีความอยากได้ก็ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อตัดกิเลสมากเข้าก็กลายเป็นพุทธะ พุทธะต้องตัดกิเลส เมื่อศิษย์ตัดกิเลสก็คือเป็นพุทธะ ฉะนั้นคนที่สังเกตชีวิตมาก คนที่รู้ชีวิตมาก จึงเป็นคนที่บำเพ็ญตน จึงไปบวช จึงเป็นนักพรต จึงเป็นผู้บำเพ็ญทั้งสิ้น เพราะว่าเขาสังเกตชีวิต เห็นแล้วว่าชีวิตนี้คือความทุกข์  อยากหมดทุกข์ต้องรู้จักตัดกิเลส ต้องรู้จักบำเพ็ญให้ดีๆ เมื่อบำเพ็ญตนมากจิตใจของเราก็จะเบาขึ้นๆ ใสขึ้นๆ  ต่อให้อยากได้ความทุกข์ ความทุกข์ก็ไม่มาวอแวกับเรา
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมนักเรียนในชั้น)
เราเลือกที่จะต่อสู้กับจิตใจของตนเองให้มีความสบายขึ้นหรือเลือกที่จะให้รวยขึ้นมาใหม่ เวลาที่เราจับปลาสองมือ ปลาก็ดิ้นหลุดทั้งคู่ใช่หรือเปล่า เวลาที่เราจับปลามือเดียวปลาก็แน่นดีใช่หรือเปล่า เวลามีทรัพย์สมบัติมักจะพูดกันว่า "บุญพาวาสนาส่ง" แต่ยามหมดทรัพย์สมบัตินั้นแล้วก็กล่าวได้ว่าหมดบุญแล้ว หมดชะตาที่จะรวยแล้ว ทำใจของเราให้สบาย หากว่าเราไม่มีดวงที่จะมีอีกแล้วต่อให้ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ อาจารย์ไม่ได้มาดูดวง ไม่ได้มารักษาโรค เมื่อกลับไปบ้านขอให้ทำใจให้สบายมองคนอื่นมากๆ แล้วเรานั้นหากไม่รวยชาตินี้เราก็จะรวยชาติหน้า อยากรวยชาตินี้ มนุษย์ทั่วไปหวังอย่างนี้แต่ถามว่าคนมีเงินทองเยอะแล้วสบายไหม ยิ่งมีเงินทองมากมายยิ่งทุกข์ใจเพราะกลัวเงินหาย กลัวเงินหมด ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเดินทางมาถึงช่วงที่บอกว่าเมื่อไม่มีเงินก็มีทุกข์ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันดีที่ศิษย์จะรู้จักสัจธรรมชีวิต แม้เป็นช่วงสั้นๆ ก็ดี คนบำเพ็ญธรรมต้องมีทุกข์บ้าง เพราะทุกข์สอนให้เรารู้จักชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่ไม่เคยมีทุกข์ถามว่าจะรู้จักชีวิตไหม (ไม่รู้ถ้าไม่เคยมีทุกข์ก็ไม่รู้จักชีวิต เพราะฉะนั้นต้องมีทุกข์บ้างจึงรู้จักชีวิตได้ ใครที่ตอนนี้เดินทางมาถึงช่วงที่ตัวเองมีทุกข์ก็ขอให้รักษาช่วงเวลาตรงนี้ให้ดี ย้อนมองใจให้ดีใช้ความทุกข์ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าเอาโทษของความทุกข์มาใส่ใจเรา ให้เอาความทุกข์นี้มาสั่งสอนเราว่าควรที่จะทำอย่างไรบ้าง ให้เรารู้ว่าเวลาที่เราสบายและคนอื่นทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้เรามาทุกข์เหมือนๆ กับเขาเราจะทำอย่างไรให้คนอื่นสบายดีกว่า ไม่ใช่บอกว่าฉันทุกข์แล้วฉันจะกลับไปสบายใหม่ ถ้าหากว่าความสมหวังมีจริงในโลก และทุกคนสามารถสมหวังได้จะยากลำบากอะไร การที่เกิดมาเป็นคนลองพิจารณาว่ามือซ้ายกับมือขวาของเรานั้นเท่ากันไหม (ไม่เท่ามีบางนิ้วยาวบางนิ้วสั้นไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการไม่สมหวังคือการไม่ได้รับสิ่งที่สมบูรณ์ ก็เกิดมาคู่เราตั้งแต่เกิดแล้ว เพียงแต่มนุษย์ไม่เคยสนใจเท่านั้นเอง ไม่เคยมองว่าจริงๆ แล้วเรานั้นควรจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากการที่ไม่เท่าเทียมกัน หลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่สมหวังไม่สมบูรณ์อย่างนี้กลับคืนขึ้นไปสู่ความเที่ยงที่สุด มนุษย์ฉลาดมาก แต่ใช้ความฉลาดของตนเองในทางที่ผิดเหมือนเด็กที่ไม่ประสีประสา หากว่าเราเคยมีมากกว่าคนอื่นสักวันหนึ่งคนอื่นก็อยากจะมีมากกว่าเราใช่หรือไม่ (ใช่หากว่าวันนี้เรามีน้อยกว่าคนอื่น คนอื่นอยากจะมาเอาเปรียบเราไหม (ไม่อยากเพราะฉะนั้นมีน้อยหรือมีมากกว่าดีกว่ากัน (มีน้อยเวลาที่เรามีมากๆ เราจะหลงกับคำที่คนอื่นเขามาสรรเสริญกับเรา จะหลงกับคำหวานของคนอื่นมากๆ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้เราจะมีหน้าไว้ขายหน้าแล้วเราจะรักหน้าของตนเองไว้ทำไมใช่หรือไม่ (ใช่เวลาที่เราโยนก้อนหินขึ้นสู่ท้องฟ้า ถามว่าก้อนหินนี้ตกลงไหม (ตกชีวิตนี้พอขึ้นถึงสูงสุดก็ตกลงได้เหมือนก้อนหินที่โยนขึ้นไป เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ถ้าหากว่ามีแล้วหมดก็ต้องทำใจ ถ้าหากว่าจะให้ก้อนหินวิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ต้องมีคนมารับช่วงต่อ ถ้าหากว่าไม่มีคนมารับช่วงต่อแล้ว แน่นอนก็หมดในที่สุด ไม่ต้องเรียกหา ไม่ต้องอยากจะได้ เพราะว่าอยากจะได้ก็ไม่มา อยากให้มาก็ไม่มี เวลามีแล้วอยากให้หมดไปก็ไม่ได้ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่เวลาศิษย์อยู่ใกล้คนชอบอยู่ใกล้คนโง่กว่าหรือฉลาดกว่า ชอบอยู่ใกล้คนที่โง่กว่าใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าคนโง่กว่าพูดอะไรก็ฟังเรา คนฉลาดพูดอะไรก็เถียงเราใช่หรือเปล่า (ใช่อาจารย์แนะนำให้ศิษย์เป็นคนโง่เขลานิดหน่อย เพราะว่าคนโง่เขลาจึงได้รับสิ่งที่ดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่หากว่าเราฉลาดมากเกินไป เวลาเรามีปัญหาก็ไม่กล้าพูดกับเขา ถ้าเราโง่บ้างคนอื่นเขาก็ชอบเรา อยากอยู่กับเราเพราะว่าพูดอะไรเราก็ฟัง
ในวันนี้อาจารย์มาที่นี่มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์ตื่นขึ้นจากความฝันทั้งมวลอันได้แก่ ลาภยศ เงินทอง ชื่อเสียง สรรเสริญ ความถูกผิดในโลกต่างๆ ให้ศิษย์ของอาจารย์ได้มีปัญญามองเห็นว่าโลกนี้ไม่มีความเที่ยง ให้ศิษย์ของอาจารย์สามารถบำเพ็ญตนเพื่อกลับคืนขึ้นเป็นพุทธะได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าอาจารย์จะทำให้รวยไหม อาจารย์จะแก้ไขโชคชะตาให้ศิษย์ไหม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราได้ผูกมา เก็บมาสะสมมา หากว่าผลกรรมไม่ตามสนองเรา โลกนี้ก็คงจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ไม่ดี ไม่มีความดีความเลวในโลกนี้อีก อย่าบอกว่าเราไม่ได้ทำไม่ดี ชาติก่อนทำอะไรมาเราไม่รู้ ถ้าทำบุญมามาก ชาตินี้เป็นผู้ที่ร่ำรวยมีเงินทองมาก ก็ต้องรู้จักรักษาให้ดี ช่วยคนอื่นให้มาก อายุสั้นก็จะต่อเป็นอายุยาวเอง
ศิษย์ยิ่งมีทุกข์ อาจารย์ยิ่งรู้สึกว่าศิษย์จะตื่นได้เร็วขึ้น คนที่เคยสบาย ไม่เคยเห็นความทุกข์ พอบอกว่าให้บำเพ็ญธรรมก็ไม่รู้จะบำเพ็ญไปทำไม ก็สบายอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่ว่าชีวิตจะขึ้นอย่างสูงสุดหรือชีวิตกำลังตกต่ำอย่างที่สุด เราก็ต้องรู้จักรักษาโอกาสในขณะนั้นๆ ไว้ สังคมในโลกเป็นสังคมปลาใหญ่กินปลาเล็ก บางคราวเราก็เป็นปลาใหญ่ที่กำลังกินปลาเล็ก บางคราวเรากลายเป็นปลาเล็กให้เขากิน ฉะนั้นวันไหนหากเราเป็นปลาใหญ่อยู่ก็อย่าไปกินคนอื่น วันไหนเราเป็นปลาเล็กแล้วรักษาตัวให้ดี กงกรรมกงเกวียนบาปบุญคุณโทษตอบสนองเป็นวงกลม วิ่งเท่าไหร่ก็กลับมาที่เดิม มีทางเดียวที่จะทำให้เราไม่ต้องวิ่งเป็นวงกลมอย่างนี้ก็คือ หลุดพ้นไปจากวงกลมนี้ วงกลมนี้ก็คือวัฏฏะสงสาร อย่าบอกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ทุกคนเกิดมาต้องตาย ตายแล้วต้องเกิดหากไม่เชื่อกฎแห่งกรรมก็ลองมองต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ข้างนอก นั่นก็เป็นชีวิตหนึ่งชีวิตเดียวเหมือนกับศิษย์ ต้นไม้เกิดมาแม้มีอายุเป็นร้อยปีสักวันก็ต้องโค่นหักลง ฉะนั้นมองชีวิตให้ทะลุปรุโปร่งมองให้เห็นสัจธรรม มองให้เห็นว่าเรานั้นควรจะปฏิบัติตนอย่างไร


จุดหมาย ชีวิตของคนเราต้องมีจุดหมายปลายทาง อาจารย์หวังว่าจุดหมายของศิษย์คือกลับไปเป็นพุทธะได้ อย่าบอกว่าเราทำไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธองค์ก็มีร่างกายเป็นคน ศิษย์ของอาจารย์ก็มีร่างกายเป็นคนใช่หรือไม่ 
ที่ ศิษย์คิดว่า ที่หมายความว่าอย่างไร สำหรับอาจารย์แล้วคำว่าที่ หากเติมข้างหน้าเติมข้างหลัง ให้ ”ที่” นั้นอยู่ตรงกลางถึงจะเป็นคำว่า “เที่ยง” ใช่หรือเปล่า (ใช่อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนั้น ชีวิตเราหากว่าทำให้เที่ยงโดยที่เรานั้นอยู่ตรงกลาง ชีวิตนี้ปัญหาจะน้อยลง อยากทำให้ชีวิตนี้ปัญหาน้อยลงจงทำตนให้อยู่ตรงกลางให้เป็นคนที่เที่ยง เวลามอง ตามองออกไปก็มองด้วยความเที่ยง หูฟังอะไรก็ฟังด้วยความเที่ยง ชีวิตนี้ก็จะประสบความสำเร็จได้ เอาทั้งใจมาบำเพ็ญดีหรือเปล่า เวลาที่เรามีชีวิตอยู่มีไม่มากนัก เวลาที่เราบำเพ็ญตนก็มีไม่มากนัก ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่รู้จักชีวิตดี ฉะนั้นจงทำชีวิตของตัวเองให้ราบรื่น บำเพ็ญธรรมให้มากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจเรา จะจนจะรวยก็อยู่ที่ใจเรา หากว่าใจเรารวย ต่อให้ข้างนอกจนเราก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม อยากสบายใจกว่านี้เราไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดที่จะฟื้นฟูตัวเราเองให้เร็ว พอถึงเวลาที่โอกาสมาถึงเราก็จะกลับที่เดิม หวังว่าเรานั้นจะไม่ต้องคิดอีกต่อไป เพราะว่าใจของเราเหมือนกับเนื้อก้อนหนึ่ง คิดมากไปหัวใจก็เหนื่อย เราอาจจะไม่มีชีวิตไปถึงเรื่องนี้ วันนั้นถ้าเราเหนื่อยมากไป อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์รวยหรอกนะ อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นพุทธะ
ลองดูเหรียญบาทอันนี้ วันนี้อาจารย์เอาเหรียญบาทขึ้นมาพูดเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์หลายคนนั้นเป็นคนที่มีความคิดความอ่านดี โดยเฉพาะศิษย์ที่นั่งอยู่หน้าๆ ทำให้อาจารย์ไม่รู้จะพูดอย่างไร ข้างหลังถ้าอาจารย์พูดมากไปก็ฟังไม่รู้เรื่อง ข้างหน้าพูดน้อยไปก็รู้สึกสงสัยไม่ยอมหายสักที เห็นไหมว่าเป็นพุทธะก็ยังทำตัวลำบากใช่ไหม อย่างนั้นเป็นคนก็ลำบากกว่านี้อีกนิดหน่อยได้หรือเปล่า (ได้ลำบากกว่านี้ก็ต้องรับได้ ถ้ากลัวลำบากงานทางโลกก็ทำไม่สำเร็จ เป็นพุทธะก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นความลำบากก็มาคู่กันอยู่แล้ว เหมือนที่อาจารย์บอกแต่แรกเกิดมาเป็นคนร้องอุแว้ๆ ก็รู้จักความทุกข์แล้ว เพียงแต่ว่าตอนที่เราเกิดมาเวลาเราเกิดมาเขาก็ตัดสายสะดือ ถามว่าเราเจ็บไหม ตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไร (ไม่รู้สึกอะไรเลยมีความทุกข์ก็คือไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่แต่ตอนนี้มาตัดใหม่ได้ไหม แค่มีดบาดนิดหนึ่งก็เป็นอย่างไร (เจ็บอาจารย์พูดถึงเหรียญบาทอันนี้ให้ดูอะไร เหรียญบาทอันนี้มีด้านหน้าด้านหลัง สองด้านนี้เปรียบเหมือนอะไร เปรียบเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามกัน เหมือนเหรียญบาทมีหัวมีก้อยใช่หรือไม่ (ใช่ใจของศิษย์ก็มีสีดำและสีขาว ความดีความชั่วที่อยู่ในใจของเรา เปรียบเสมือนอะไรอีก เหรียญบาทอันนี้เปรียบเหมือนความคิดของศิษย์บางทีก็มีความคิดที่ดี บางทีก็มีความคิดที่ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่เหรียญบาทอันนี้เป็นความคิดสองด้าน เวลาเราส่งเงินให้คนเราส่งให้สองด้านได้ไหม (ไม่ได้ต้องส่งด้านใดด้านหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นถามว่าสมมติว่าหัวเป็นความคิดที่ดี ก้อยเป็นความคิดที่ไม่ดีเวลาเราส่งให้คนเราจะส่งด้านไหน เราต้องส่งด้านดีให้เขาใช่หรือไม่ (ใช่แต่ว่าน่าเสียดายที่ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้นเวลาจะส่งเหรียญยังไม่รู้เลยว่าจะส่งด้านหัวหรือด้านก้อย เราสนใจแต่ว่าเขามองเรา เขามาทำร้ายเราหรือทำอย่างไรบ้าง แต่เราไม่มองเลยว่าเมื่อสักครู่นี้เราส่งด้านไหนไปให้เขา ที่เราทำผิดไปเราลืมแต่ทีคนอื่นทำผิดกับเรา เราจำได้ใช่หรือไม่ (ใช่มนุษย์มักจะทำเช่นนี้ประจำ ฉะนั้นเหรียญอันนี้เปรียบไปแล้วก็เตือนใจเราในเมื่อมนุษย์รับเงินทองมาก เวลาขาดเงินทองก็แทบตาย เพราะฉะนั้นเราก็เอาเงินทองนี้มาสอนใจเราบ้าง อาจารย์เลยเอาเหรียญบาทอันนี้มาสอนใจศิษย์ ว่าเวลาที่เราทำสิ่งใดต้องสังเกตให้ดี เราทำสิ่งใดก็ย่อมจะได้สิ่งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าศิษย์ขว้างบอลไปชนกำแพง บอลก็จะเด้งกลับมา แต่ถ้าเราขว้างบอลไปในที่กว้าง บอลก็ย่อมไม่เด้งกลับมาใช่หรือไม่ (ใช่ทีนี้ก็ดูว่าศิษย์นั้นทำอะไรอยู่ ถ้าหากว่าอยู่กับคน  คนก็คือกำแพง ถ้าเราขว้างออกไปก็เหมือนกับเราทำอะไรต่อคนอีกคนหนึ่ง ก็จะมีผลสะท้อนกลับมาใช่หรือไม่ (ใช่นี่คือมนุษย์ที่อยู่กับสังคม ส่วนคนที่บำเพ็ญอยู่ในป่าในเขาหลีกเร้นจากคนจำนวนมาก ก็เหมือนกับบำเพ็ญอยู่ในที่กว้าง เราขว้างไปก็ไม่มีอะไรกลับมาใช่หรือไม่ (ใช่การบำเพ็ญแบบอยู่ในป่า กับบำเพ็ญอยู่กับคนแบบไหนจะได้ดีกว่ากัน ศิษย์ของอาจารย์ก็ยังเลือกที่จะอยู่กับคนใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์เลือกที่จะอยู่กับคน เพราะฉะนั้นอยู่กับคนก็ต้องมีปัญหาบ้าง เราก็ต้องทำใจให้กว้าง รู้จักที่จะดูว่าสิ่งใดที่เราควรปฏิบัติ ควรพิจารณา
ตั้งแต่เกิดมนุษย์ก็รู้จักอารมณ์แล้ว ไม่ต้องเรียนรู้ใดๆ ทั้งสิ้น จะโกรธก็ดี รักก็ดี โลภก็ดี หลงก็ดี ทุกอย่างนั้นรู้มาตลอดเพียงแต่ว่าจะเอาสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่ ถ้าหากอยากเป็นพุทธะศิษย์ก็ต้องรู้จักตัดสิ่งนี้ทิ้ง หากว่าจะใช้ประโยชน์จากความโลภความโกรธเหล่านี้เป็นเรื่องยากมาก ในสิ่งเหล่านี้ที่เป็นความรัก โลภ โกรธ หลง นั้นมีประโยชน์อยู่เพียงแค่หนึ่ง ส่วนโทษนั้นมีอยู่ตั้งเก้าสิบเก้า มนุษย์ผู้มีสติปัญญาไม่เท่าทันก็จะเป็นทาสของความรัก โลภ โกรธ หลงนี้  อาจารย์หวังว่าชาตินี้จะเป็นชาติที่ศิษย์สามารถจะพาตนหลุดพ้นได้ เวลาศิษย์มองไปเห็นหมู หมา กา ไก่ วัว ควาย ทั้งหลายถามว่าเขามีชีวิตเหมือนเราไหม มีแขนมีขา มีตามีจมูกเหมือนเราไหม เขามีเหมือนเราหมด เวลาตีเขาก็ร้องใช่ไหม เขาก็มีความรู้สึก ฉะนั้นจริงๆ แล้วชีวิตทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกัน การบำเพ็ญธรรมก็เพื่อให้เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดกลับมาเกิดเป็นสัตว์เหล่านี้อีกเพื่อให้เรามีสิ่งที่ประเสริฐก็คือการหลุดพ้นเพื่อให้เราเป็นคนที่ประเสริฐ เจ้าต้องมีความดี ทางทั่วๆ ไปในโลกก็สว่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่แต่อาจารย์มีทางเส้นหนึ่งที่สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าทางอันนี้ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่มองด้วยใจจึงเห็นทางนี้ คือทางแห่งการบำเพ็ญหลุดพ้น  ถ้าอยากทำให้ชีวิตนี้ประเสริฐต้องมีความดี ความดีทำให้เราเดินบนทางสว่างไสวได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้เปรียบเหมือนคนตาบอดไม่มีไม้เท้าเดินอยู่บนทางมืดมิดหนักไหม ศิษย์ก็เป็นเช่นนี้เดินอยู่บนทางโดยที่ไม่มีไม้เท้าทางนี้ก็มืดมาก อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่เดินอยู่บนหนทางที่สว่างไสว ศิษย์ต้องรู้จักบำเพ็ญธรรม เอาคุณธรรมมาเป็นไม้เท้า ต้องละกิเลสทั้งหมด ทำได้อย่างนี้เราก็จะเป็นคนที่มีดวงตาปัญญาเดินอยู่บนทางสว่างไสวได้
ศิษย์รู้ไหมว่าคนทุกคนมีธรรมนั่นหมายความว่าตัวศิษย์เองก็มีธรรมด้วย เมื่อเรามีธรรมเราก็ต้องรักษาธรรมนี้ไว้ อาจารย์ยังถามต่อไปว่าถ้ำขุมปัญญาอยู่หนใด บางคนรับธรรมะไปแล้วไม่สนใจที่จะศึกษาเรียนรู้ ไม่สนใจอะไรเลยอาจารย์ถึงถามว่าถ้ำขุมปัญญาของเจ้านี้จำได้ไหมว่าเคยมีอยู่ อาจารย์ขนหินที่ปิดปากถ้ำออกมาแล้ว เจ้าก็เอาหินถมกลับเข้าไปใหม่ จะมีประโยชน์อะไรที่รับธรรมะแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่เป็นศิษย์อาจารย์ อาจารย์ถามว่าการบำเพ็ญหลอมใจในเตา ขนาดความลำบากที่เจอกันอยู่ทุกวันนี้ยังกลัว มัวแต่แก้ปัญหาของตนเอง แล้วจะมีปัญญาที่ไหนไปต่อกรไฟที่อยู่ในเตา เมื่อสักครู่นี้ฟังหัวข้อพระมหากรุณาธิคุณมีคนหลายคนอุทิศตนเพื่อทำงานธรรมะไม่กลัวเป็นไม่กลัวตาย ไม่กลัวเหนื่อยยาก ความสำเร็จของเขาคือได้ช่วยคนแล้ว เขาไม่ได้หวังว่าตัวเองจะสำเร็จเป็นพุทธะ แต่ถึงไม่อยากสำเร็จฟ้าดินก็มอบอริยะฐานะให้กับเขา เขาทำให้ฟ้าดินแพ้ใจเขาได้ แล้วศิษย์ของอาจารย์ ทุกวันนี้การหล่อหลอมเกิดขึ้นอย่างมากมาย เตาแล้วเตาเล่าไฟโหมแล้วโหมเล่า หากว่าศิษย์ยอมให้หลอมไม่ยอมวิ่งหนีออกมาก่อนชนะไฟในเตานั้นได้ หลอมออกมาก็เป็นทองที่บริสุทธิ์สะอาด หากยอมไม่ได้ยังรักความเป็นสิ่งที่จอมปลอมทั้งหลาย ไม่สามารถทนไฟอันนี้ได้ก็จบกัน อนาคตพุทธะแห่งศิษย์ก็จบแค่นั้น ศิษย์จะรักวัตถุภายนอกมากกว่าหรือจะรักจิตใจของตนเองมากกว่า อาจารย์ยังถามต่อไปอีกว่าเจ้ารู้ไหมดั่งเขาจึงเดินแสนจะสบาย เพราะอาจารย์รู้ดีว่าคนโง่ที่แท้ชอบทำตนเป็นคนฉลาด อาจารย์ในสมัยมีชีวิตอยู่นั้นก็โง่ๆ เซ่อๆ อาจารย์ถึงสามารถช่วยคนได้มิใช่หรือ แล้วศิษย์ของอาจารย์จะฉลาดเกินไปทำไม หากจดจ่อในสิ่งผิดศิษย์จะหลงได้ ถามว่าทุกวันนี้จดจ่อในอะไร ทุกคนมีเรื่องจดจ่อทั้งนั้น บางคนจดจ่อหาเงินทอง บางคนจดจ่อเรื่องครอบครัว บางคนจดจ่อเรื่องสุขภาพ บางคนจดจ่อเรื่องชาวบ้าน แต่ละคนมีเรื่องจดจ่อทั้งนั้น แต่อาจารย์บอกว่าจดจ่อในสิ่งผิดศิษย์จะหลงได้ ที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดคือสิ่งผิด อาจารย์อยากให้จดจ่อว่าใจของเรานั้นมีกิเลสมากน้อยเท่าใด ขจัดไปแล้วออกไปหมดไหม ไม่กลับมาแล้วใช่ไหม
ความประมาทหากเกิดกับใครไม่วายต้องช้ำ ถ้าหากว่าศิษย์คิดว่าศิษย์นั้นเก่ง ศิษย์นั้นดี ศิษย์ก็จะเผลอ สักวันหนึ่งก็จะมีคนดีมากกว่า เก่งมากกว่า เราแทบจะไม่รู้ตัว เหมือนกับที่คนชอบพูดว่า “คลื่นลูกหลังแซงคลื่นลูกหน้า”  แล้วเราก็อยู่ข้างหน้าเราไม่เคยดูเลยว่าเราถูกแซงหรือยัง คนบางคนอยากให้คนเคารพ แต่อาจารย์จะบอกว่าอยากให้คนเคารพนั้นก็ต้องมองดูตนเองว่าน่าเคารพหรือเปล่า เราน่าเคารพเราไม่ต้องเรียกร้องเขาก็เคารพเรา
“เจ้ารู้ไหมเอย  คนบำเพ็ญรักษ์คุณธรรม”  รักษ์ตัวนี้คือรักษา รู้ไหมว่าคนบำเพ็ญเป็นผู้รักษาคุณธรรมยิ่งชีวิต การรักษาคุณธรรมเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนในสมัยนี้ แต่ว่ายากก็ต้องทำ ทำไม่ง่ายก็ต้องพยายาม เหมือนกับเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์พยายามจะอธิบายให้กับคนที่เขาเข้าใจผิดเราให้เขาฟัง ถ้าเราอยากจะอธิบายเราก็อยากจะอธิบายไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่แม้ว่าเขาไม่อยากฟังเรายังอธิบาย ถามว่าอธิบายเสร็จแล้วอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ว่าอาจจะมีความคืบหน้ามากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่ดีกว่าเราเงียบอยู่เฉยๆ
“เจ้ารู้ไหมเอย  เจ็บช้ำทำอายสอนใจช่วยเตือน”  บางคนนั้นกลัวอาย กลัวเจ็บช้ำแต่หากไม่เคยโดนมีดบาดจะรู้ไหมว่ามีดคม ก็ไม่รู้ว่ามีดคมต้องระวัง มีไม่กี่คนในโลกนี้ที่ไม่เคยโดนมีดบาด มีไม่กี่คนในโลกนี้ที่หลีกหนีความอายได้สำเร็จ  แม้เจ็บช้ำทำอายก็ไม่ต้องไปกลัว เพราะสิ่งเหล่านี้สอนใจช่วยเตือนใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์จะบอกให้คนบำเพ็ญต้องรักษาสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง ไม่มีสุขภาพที่ดีเสมือนไม่มีเรา หากเราสุขภาพไม่ดีคนอื่นเขาอาจจะว่าเราได้ว่าทำไมบำเพ็ญธรรมแล้วเป็นอย่างนี้  ถ้าร่างกายของเราไม่แข็งแรงจะไปเดินเคียงคู่กับอาจารย์ได้อย่างไร ขอให้รักษาสุขภาพตนเองให้ดี งานหนักงานเบาเก็บเอาไว้ก่อน รักษาชีวิตหนึ่งชีวิตไว้ ถ้าหากสุขภาพยังดีอยู่เวลาสร้างกุศลก็ยังมีอยู่มาก ้าสุขภาพไม่ดีเวลาสร้างกุศลย่อมน้อยลงเรื่อยๆ

อาจารย์ไม่เคยจะคุยกับใครที่นั่งสมาธิแล้วคุยกับอาจารย์ได้  อาจารย์ไม่มีเวลามาคุยด้วย อย่าเชื่ออะไรที่งมงาย ให้เชื่อที่เป็นสัจธรรม อาจารย์อยากพูดอะไรอาจารย์พูดกับศิษย์ได้ไม่ต้องให้คนอื่นพูด สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่งมงาย สิ่งใดเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เรามองไม่เห็นพยายามให้น้อย อย่ากลัวเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า อย่ากลัวตาย เพราะทุกคนเกิดมาต้องตาย ตอนนี้เราช่วยคนอื่นไว้ก่อน ช่วยในสิ่งที่เขาอยากฟัง บำเพ็ญตนทำตัวให้ดีๆ อาวุโสนั้นไม่มีหวังร้ายกับเรา คุยกันให้เข้าใจ คนบำเพ็ญธรรมจะมีแต่ความสุขเพราะมีศิษย์ไม่กี่คนที่บำเพ็ญแล้วยิ่งทุกข์ใช่ไหม รักษาตัวให้ดีๆ บำเพ็ญให้มากๆ ศึกษาธรรมะให้มากๆ สุดท้ายอาจารย์มีคำพูดเพียงคำเดียวเป็นเหตุเดียวที่อาจารย์ต้องมา บำเพ็ญตนให้ดีๆ เป็นที่รักแห่งดินและฟ้ามนุษย์ วันหน้ามีโอกาสเจอกันใหม่ หวังว่าศิษย์จะใช้โอกาสที่มีอยู่นี้ ที่มีมากกว่าอาจารย์ ใช้ให้เป็นประโยชน์


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   หนทางสว่างไสว
      มุ่งหมายเดินบนทางที่แสนงามใส                    ใจทั้งใจต้องถอนพิษร้ายทั้งสาม
ได้แก่โลภ โกรธ หลง ที่เร็วลุกลาม                         ยิ่งเบาบางความร่มเย็นยิ่งแพร่ไป
ความไม่รู้เป็นบ่อเกิดความรู้แท้                             ศิษย์แน่แน่วใจรู้เรียนมีเป้าหมาย
ความมืดกลายแสงจ้าไปเพราะทำได้                    เราสื่อใจไกลยังเดินไม่คลาดกัน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542

2542-11-06 พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา


PDF 2542-11-06-จือเจวี๋ย #18.pdf


วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒                     พุทธสถานจือเจวี๋ย  จ.สงขลา
                                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  สูงสุดล้วนคืนไปสู่ความสามัญ          แลน้องท่านชีวิตนี้คืนหนไหน
หลงติดตาอายตนะพาติดใจ               ย้อนคิดใหม่ในโลกนี้ใดถาวร
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย เคียมคัล
องค์มารดา                     ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                               ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง    ฮวา  ฮวา

  หลงลาภยศจะไม่อาจลดทิฐิ             หลงคิดตนช่างชำนิไม่ยอมอยู่หลัง
หลงรักโลภตนเองจะลืมระวัง              หลงเกลียดชังราศีตนจะเปลี่ยนไป
ในชีวิตหนึ่งชีวิตมีหลายหลาก              ต้องทุกข์ยากปนเปตราบสลาย
แต่มนุษย์พึงหวังแต่ความสบาย           ไม่แก้ไขความผิดตนเคยทำมา
ต่างมีธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายใน     แสวงนอกไกลจิตยากพบหนา
ขอจงรู้พิจารณาด้วยปัญญา                รู้คุณค่าแห่งธรรมะที่ได้ไป
หากชาตินี้รู้บำเพ็ญให้ดีดี                    ฟื้นฟูจิตเดิมแท้มีสว่างไสว
จะเข้าถึงพุทธะตั้งแต่ยังมีกาย             ขอครวญใคร่แลกล้าหาญลงมือทำ
ทำเท่าไรได้เท่านั้นไม่ผิดเพี้ยน              มีบทเรียนจากความผิดอย่าพลาดซ้ำ
บัดนี้ฟ้าดูหมองมัวใจคนดำ                 จงรู้นำพระธรรมมาชะล้างใจ
อวิชชาพามืดมัวกิเลสเกาะ                  เดินลัดเลาะเที่ยวมานานเกินไปแล้ว
ขอย้อนมองใจตนที่ผ่องแผ้ว                จักเป็นแก้วต้องรู้จักหมั่นขัดเกลา
เหล่าเคยชินนิสัยคนหมั่นแปรเปลี่ยน            เป็นดุจเทียนหลอมละลายตนเองเถิด
ไม่มีใครเป็นสิ่งใดตั้งแต่เกิด                 พยายามเถิดบำเพ็ญตนสู่สุทธา
น้องชายหญิงอย่าสงสัยจิตฟุ้งซ่าน       ทรมานมาทุกชาติชาตินี้ตื่น
จะขื่นขมขอให้ใจยั่งยืน                       จิตที่ตื่นจะช่วยคนด้วยเมตตา
สองวันนี้ประชุมธรรมอยู่ให้ครบ           แลเคารพพุทธระเบียบให้ถ้วนหน้า
สง่างามทั่วใจกายดั่งพุทธา                 แม้เวลาสั้นนักรู้ใช้เทอญ
จงตั้งใจจากจิตที่มั่นคง                      ศรัทธาลงรากลึกไปดุจต้นไม้
สิ่งใดฟังให้ปฏิบัติกันให้ได้                  จึงจะไม่เสียเวลาชาติหนึ่งนี้
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป            ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
ขอศิษย์น้องจงตื่นใจทั่วทั้งวัน              ไม่ปล่อยฝันนานออกไปให้ว่ายวน
                                                                                ฮวา  ฮวา  หยุด



วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

  อย่ามองข้ามในสิ่งที่เล็กน้อย             หัวใจคอยห่วงใยไม่แบ่งชั้น
มีเมตตาช่วยเหลือกันทุกทุกวัน             เซียนสวรรค์ลอยลิ่วลิ่วลงแดนดิน
                   เราคือ
  อว๋าอวาเซียนหนวี่                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                                 ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม

  เปรียบโลกใหญ่โบกขรณี[๑] ที่เหี่ยวเฉา       เกณฑ์ยุคขาวบัวเริ่มผลิสล้าง[๒]
ใจเบิกบานความงามสุดอำพราง          เมื่อได้เห็นหนึ่งทางกาลปัจจุบัน
อัตตาตนเด่นชัดสลัดก่อนติด              ทุกชีวิตแก้ไขแถลงไม่ยึดขันธ์
เมื่อไม่ได้รักษาโอกาสต้องจาบัลย์[๓]       กายสำคัญตนเจ้าของเพียงชั่วคราว
ไม่คิดเริ่มหนใดสำเร็จได้                     คนต้องไร้ทางเพียงจิตอับเฉา
จะใกล้ไกลเริ่มจากหัวใจเรา                 ไม่หยุดก้าวจุดหมายใกล้กว่าเดิม


เกิดเป็นคนทุกข์กันถ้วนประสบ            บุญพาพบไม่บรรทุกอารมณ์เสริม
กำลังใจมีใครเป็นเชื้อเติม                    หวังคนเดิมเป็นอย่างให้เวไนย
ยากห้ามเกิดแต่สามารถบรรเทาลง       ไม่บรรจงสิ่งใดเลิศกระหนำ่ใช้
ไม่คิดมั่นตั้งใจจริงสักเท่าไร                 คืออารมณ์ฝนฝึกไปควบคุมดู
เช้ากลายเที่ยงยากแสนจะสกัด            อวดฉลาดง่ายรู้จักความอดสู
บำเพ็ญทานไป่เกินตนพินิจดู               ครานี้สู้ต้องแลกด้วยวิญญาณ
ปราชัยมาค้นเหตุดูไม่ประวิง                เพราะใดใดสรรพสิ่งมีเปลี่ยนผัน
ขาดวินัยยากเกินไปบำเพ็ญนาน           ปัญญาญาณรู้ที่ตรวจสอบตน
                                                                                       ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

เราเป็นใคร มาทำไม มาจากไหน ท่านอยากรู้หรือเปล่า (อยากเรามาจากฟ้าและอยากพาทุกท่านขึ้นไปชมฟ้า ฟ้าที่ทุกคนเห็นไม่ใช่ฟ้าที่โปร่งๆ อย่างนี้ แต่เป็นฟ้าที่มีพุทธะขึ้นไปอยู่บนนั้นได้  ทุกท่านว่าบนฟ้านั้นมีลักษณะอย่างไร (กว้าง,มีก้อนเมฆก้อนเมฆนั้นบางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี  ถ้าเราอยากตากผ้าพอก้อนเมฆมาบังพระอาทิตย์ เราก็บอกว่า ก้อนเมฆไม่ดี  แต่ถ้าเราออกไปเดินข้างนอกอากาศร้อน  ก้อนเมฆดีมาบังพระอาทิตย์ให้เราก็บอกว่า ถ้าเปรียบเทียบกับตัวเราจริงๆ แล้วคนเราก็มีใจที่กว้างได้  แต่บางครั้งก็มีอารมณ์เกิดขึ้นในความใจกว้างได้เหมือนกัน อารมณ์ก็คล้ายๆ กับก้อนเมฆ  ฟ้าที่โปร่งก็คือ ใจของเราที่ปราศจากสิ่งใด ไม่มีอะไรเกาะติดอยู่ในใจ แต่พอมีก้อนเมฆก็เหมือนใจของเราที่มีความคิดหรือมีอารมณ์เกิดขึ้น  ถ้าเราเอาอารมณ์นี้ไปแสดงกับคนอื่นได้ดี เราก็อยู่กับเขาได้ เขาก็ชอบที่เรามีอารมณ์นี้หรือเขาอยู่ร่วมกับเราด้วยใจแบบนี้  ถ้าเราเอาใจหนึ่งไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง  แต่เขาไม่ชอบก็เหมือนกับก้อนเมฆที่บังแสงอาทิตย์เพราะเขาต้องการแสงอาทิตย์  คนเรานั้นก็สามารถมีใจที่กว้างปราศจากก้อนเมฆหรือมีก้อนเมฆก็ได้  แต่ใจที่กว้างนั้นจะให้เป็นเหมือนฟ้าได้แท้จริง ต้องเป็นใจที่กว้างบริสุทธิ์และใส  เราจึงจะสามารถเป็นใจที่ใกล้ชิดกับฟ้ามากที่สุด  ใจฟ้าเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนและไม่ติดในสิ่งที่ตนเองให้นั้น  ใครจะชมหรือจะว่า ฟ้าก็เฉยๆ เหมือนไม่มีตัวตน
ฟ้าอยู่กับคนมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ฉะนั้นเราอยากเหมือนฟ้าเราก็ต้องทำให้ได้เช่นฟ้า  ถ้าทำได้วันนี้ท่านก็เดินไปกับเราได้ถึงฟ้า  ถ้าทำไม่ได้ท่านก็เดินอยู่แค่ครึ่งทางหรืออยู่บนดิน แต่แปลกที่มนุษย์เรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี มีความอยาก อะไรที่ได้มาง่ายๆ เรามักไม่เห็นค่า อะไรที่ได้มายากๆ เรามักเห็นค่า ในสิ่งที่ตัวเองเป็นและตัวเองมีกลับไม่ชอบ แต่ชอบในสิ่งที่คนอื่นเป็นและคนอื่นมี  แล้วทำไมท่านไม่ชอบสิ่งที่พุทธะเป็นและพุทธะมี  พยายามไขว่คว้าอย่างที่พุทธะเป็นและพุทธะมี ท่านมักจะเป็นอย่างไร ชอบเป็นตามที่คนเขาเป็น  เพราะฉะนั้นวันนี้มาสนใจสิ่งที่พุทธะเป็นและพุทธะมีดีหรือไ่ม่ (ดีแล้วทำอย่างไรให้ความอยากไม่เป็นกิเลสทำร้ายตัวเอง เลิกอยากดีหรือไม่ (ดีความอยากบางครั้งเรามีเราปล่อยไม่ได้  แต่ความอยากบางครั้งเราปล่อยได้ เหมือนมือของเราหยิบของเป็น เราก็ต้องวางและปล่อยเป็น ตาเราเปิดได้เราก็ต้องปิดได้  ใจเรารับได้ก็ต้องปล่อยวางได้  เช่นเดียวกันเราอยู่ในโลกนี้เรื่องบางเรื่อง บางครั้งเราต้องรู้จักปล่อยวาง  ทำได้หรือไม่ ง่ายหรือยากอยู่ที่ตัวของเราใจของเรา  เราพร้อมที่จะหยิบขึ้นมาเอง ทำไมเราไม่พร้อมที่จะปล่อยเอง แค่เพียงตัดใจบ้างเท่านั้น  บางครั้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต หากเราย้อนกลับมาคิดบางทีก็สอนใจสอนชีวิตได้เหมือนกัน  
หากเราอยู่ในโลกนี้เรารักทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งชั้น ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เราก็สามารถอยู่กับทุกคนได้อย่างมีความสุข แต่คนปัจจุบันนี้หรือคนในยุคไหนก็ตามยากที่จะกลับคืนขึ้นไปเพราะว่า เขายังอดติดตัวเขา ตัวเรา ของฉัน ของเรา เธอต้องไม่มี ฉันมีได้แต่เธอมีไม่ได้  ฉะนั้นเรื่องของชีวิตนั้นจริงๆ  หากคิดให้ดีเราจะรู้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยาก เราสามารถจะควบคุมชีวิตของเราให้เดินถูกทางได้ ให้เดินแล้วมีมิตรร่วมทางเดินได้ หรือให้เดินแล้วสร้างศัตรูตลอดทางก็ได้ อยู่ที่ใจเรานั้นจะบงการชีวิตเราให้ดำเนินชีวิตไปทางใดกัน  ทุกขณะจิตที่เราดำเนินชีวิตเรารู้จักเห็นใจตัวเอง คำนึงว่าเราทำแล้วเราได้หรือคนอื่นได้  เราทำแล้วเราเคารพตัวเองหรือเคารพผู้อื่นหรือเปล่า  ถ้าทุกขณะที่ทำ ทุกขณะที่คิดมีความละเอียดรอบคอบในการดำเนินชีวิต เราก็จะเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ทำร้ายใคร ไม่ต้องทุกข์ใจ เพราะทุกขณะจิตเราระมัดระวังตั้งแต่ต้น  แต่เรามักปล่อยชีวิตให้เดินไปเรื่อยเปื่อย
 คนเราบางครั้งควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน บางครั้งก็อดพลั้งเผลอ อดผิดพลาดได้เหมือนกัน มีนิทานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคนที่อยู่บนโลกนี้ มีหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านที่ขาดแคลนอาหาร คนในหมู่บ้านต้องออกไปหาอาหารข้างนอก ในหมู่บ้านมีคนอยู่สามคน  คนแรกเวลาออกไปหาอาหาร เขาจะหยิบอาหารมาเฉพาะพอดีพอกิน  คนที่สองเขาจะหยิบอาหารมาเผื่อวันหน้า  คนที่สามมีเท่าไหร่เอามาหมด   ท่านว่าใครเหนื่อยที่สุด (คนที่สามใครใจดีที่สุด คนเรามีเจตนาที่แตกต่างกัน  คนที่หนึ่งดูแล้วเขาอาจจะเป็นคนดี เขาอาจจะหาเฉพาะแค่ตัวเอง แต่ถ้าคิดแบบคนฉลาด คนมีปัญญาต้องบอกว่า คนนี้เหนื่อยเพราะหาวันต่อวัน หาเช้ากินค่ำมีเท่าไหร่ก็หมด  แต่ถ้าคิดอย่างเจตนาที่ดีเขาอาจจะไม่กล้าเอามามาก เพราะถ้าเอามาหมดคนข้างหลังอาจจะไม่ได้กิน  ส่วนคนที่สองเป็นคนที่มีปัญญา  เพราะเขาคิดเผื่อวันหน้า คิดเผื่อถึงวันต่อไปว่าถ้าเกิดเขาไม่มีแรงขึ้นมาหรือถ้ามีใครขอเขาระหว่างทาง เขาอาจจะให้ได้  เขาก็เป็นคนดีเหมือนกัน  คนที่สามเก็บให้หมดต้นเลย เหนื่อยเท่าไหร่ก็ไม่หยุดขอให้หมดต้นก่อน ดีหรือเปล่า (ไม่ดีเพราะเขาดูเหมือนเป็นคนโลภ แต่ไม่แน่เขาอาจเก็บมาเผื่อสองคนนั้นที่เหนื่อย หมดแรง ฉันเก็บไปเผื่อเขา เขาอาจจะมีดีก็ได้หรือไม่เขาเอาเมล็ดและผลนั้นมาทั้งหมด  เพราะเขาอาจจะคิดหาวิธีปลูกในหมู่บ้าน จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลก็เป็นได้  เพราะถ้าเอามาเมล็ดเดียวปลูกไม่ได้ผล ปลูกแล้วตายก็ต้องเอามาเผื่อหลายๆ เมล็ด  แล้วอย่างนี้จะโทษใครดีใครร้ายได้หรือไม่ (ไม่ได้เหมือนกันพุทธะจึงอยากโปรดทุกคนกลับคืนเบื้องฟ้า เพราะเห็นทุกคนดีเหมือนกันหมด  แต่คนเราต่างหากที่อยู่ในโลกก็แบ่งเหลือเกิน โน้นไม่ดี  นี่ก็ไม่ได้เรื่อง นี่ก็ย่ำแย่ โน้นก็ท้อถอย เพราะว่าใจเราคิดเท่านั้นเอง
ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้ เราจะมองเห็นผู้อื่นได้ด้วยสิ่งที่ดี ด้วยน้ำใจที่ดี ก็คือ เราต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง มองให้เห็นให้จงได้ เราก็จะเป็นผู้ที่มองคนแล้วไม่ได้ติดแค่เปลือกนอก มองคนแล้วสามารถมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจและเจตนารมณ์ เมื่อเรามองคนด้วยกันออก แล้วจะยากอะไรกับการมองสรรพสิ่ง มองมายาหรือสัจธรรมในโลกนี้ให้ออก  แต่อยู่ที่ว่าใจเราเปิดกว้างพร้อมที่จะยอมรับเรื่องราวในโลกนี้หรือเปล่า
เปรียบโลกใหญ่โบกขรณีที่เหี่ยวเฉา”  หากกล่าวว่าโลกนี้เปรียบเหมือนสระบัวสระใหญ่  ตัวคนนั้นเหมือนดอกบัว หนึ่งคนก็หนึ่งดอก ดอกบัวนี้จะเติบโตงดงามได้ตามจิตใจของคน หากคนจิตใจดีไม่มุ่งร้ายเข่นฆ่ากัน บัวก็จะผลิดอกได้อย่างงดงาม เปรียบเหมือนดอกบัวที่พุทธองค์ตรัสว่า บัวมีสี่เหล่า บัวนี้จะผลิดอกออกมาได้ต้องผ่านโคลนตม ผ่านชั้นน้ำ จึงจะมาชูช่อเหนือฟ้า  เราเคยคิดหรือไม่ว่าเราอยากเป็นบัวชนิดไหน หากบัวนี้เป็นบัวที่เติบโตด้วยคุณธรรมความดีงาม บัวของเราก็ไม่ค่อยสวยสดเท่าไหร่ เพราะจิตใจของเรานั้นสามวันดีสี่วันร้าย  หากเปรียบเป็นสระบัว สระบัวนี้คงมีดอกบัวที่เหี่ยวเฉา  ทั้งที่ตอนเริ่มต้นออกมาสวยแต่พอเติบโตแล้วเป็นยังไง เหี่ยวและท้อแท้กันเป็นเพราะอะไร เหมือนเราพ่ายแพ้กับโคลนตมสกปรก พอมีนำ้สมมติว่าชนะได้ แต่ก็แพ้เพราะถูกปลากัดกิน เปรียบเสมือนกับความดีหรือคุณธรรมที่อยู่ในจิตใจของเราค่อยๆ ถูกกัดกร่อนไปตามสังคม กิเลส และอารมณ์ จึงหาบัวที่สมบูรณ์ชูช่อพ้นน้ำ พ้นตมได้น้อยเหลือเกิน สระบัวสระนี้จึงมีแต่ดอกบัวที่จมอยู่ใต้น้ำหรือไม่ก็แนบติดดิน  แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะผลักดันให้บัวดอกนี้ขึ้นมาชูช่อได้
เกณฑ์ยุคขาวบัวเริ่มผลิสล้าง”  ตอนนี้เป็นเกณฑ์ยุคขาว เป็นเกณฑ์ที่ให้คนเรารู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน การจะบำเพ็ญตนขัดเกลาตนต้องบำเพ็ญท่ามกลางสังคม ท่ามกลางหมู่ชนนี้ ท่ามกลางโลกใบนี้ บำเพ็ญโดยให้เรายืนหยัดต่อสู้เป็นคนที่ดี เป็นคนที่มีคุณธรรม หากเรามีใจมุ่งมั่นที่จะอยากเป็นคนดีก็คงเหมือนกับดอกบัวที่อยากจะพ้นโคลนตม พ้นน้ำ แต่ถ้าเราพ่ายแพ้ก็เป็นเหมือนกับดอกบัวที่ไม่สู้โคลนตม ไม่สู้น้ำ
การบำเพ็ญยุคนี้เป็นการบำเพ็ญในครัวเรือน  อยู่กับครอบครัวได้อย่างมีความสุข อยู่กับเพื่อนได้อย่างฉันท์มิตร อยู่กับผู้ร่วมงานได้อย่างเกษมเปรมปรีดิ์ หากเราอยู่กับใครก็เป็นสุข อยู่กับใครก็อยู่ได้ นั่นก็คือ การเริ่มต้นบำเพ็ญตน  เพราะตอนนี้ถ้าให้ท่านบำเพ็ญแบบสมัยก่อนคงทำไม่ได้ ต้องทิ้งบ้านเรือนแล้วไปบวชคงทำได้ยาก ทำได้น้อยและคงไม่มีใครคิดที่จะทำ  แต่ถ้าเกิดว่าไม่มีคนคิดจะทำเลย คุณธรรมและพุทธศาสนาย่อมเสื่อมและหดหายไป เพราะทุกคนไม่คิดบวช ไม่คิดบำเพ็ญ  เกณฑ์ยุคสามจึงโปรดให้เราบำเพ็ญท่ามกลางความเป็นมนุษย์ ท่ามกลางความเป็นคนที่อยู่ในสังคม พอเข้าใจหรือเปล่าว่าบำเพ็ญอย่างไร นั่นก็คือ ให้เราบำเพ็ญท่ามกลางที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูก เป็นบุตร เป็นสามี เป็นภรรยา บำเพ็ญคุณธรรมให้สมบูรณ์ เป็นพ่อแม่ก็เป็นพ่อแม่ที่ดีสมบูรณ์มีคุณธรรมของพ่อแม่ที่ควรมี  เป็นบุตรก็ควรเป็นบุตรที่สมบูรณ์มีคุณธรรมของบุตรที่ควรมี  มีคุณธรรมต่อกันแล้ว ยังมีคุณธรรมต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย หากเราทำได้ครบก็สามารถบำเพ็ญเป็นพุทธะบนโลกนี้ได้
อัตตาตนเด่นชัดสลัดก่อนติด อัตตาตน เราเกิดมาเรามักจะมีคำว่า ตัวตนเรามักจะมองแล้วมักจะถามว่า ตนชื่ออะไร มีอะไรเป็นของตน และจะทำอย่างไรเพื่อตน  พุทธะเมื่อมีตนรีบสลัดคำว่า ตนทิ้งก่อนที่จะติดตน แต่ท่านขอมีตนก่อนแล้วค่อยตัดทิ้ง  ใครเหยียบชื่อ ใครมาดูหมิ่นชื่อก็ทนไม่ได้ ใครเอาของเราไปยอมไม่ได้ เวลาของตกหายก็ของๆ เรา แต่พุทธะเวลาที่ท่านทำของตกหายท่านพูดว่า ไม่เป็นไรของนี้ก็เป็นของทุกๆ คน ท่านปล่อยวางทันทีไม่ต้องกังวล แต่พอของเราหาย เราเป็นอย่างไร ของฉันหายใครมาเอาไปก็ไม่รู้ เราปล่อยวางไม่ได้ เขาเป็นของฉัน เขาไปไหนก็ไม่รู้ ฉะนั้นถ้าเราตัดคำว่า ตัวตน ออกก่อนที่จะติด เราคงมีความอิสระเบิกบานมากกว่านี้ ไม่เป็นคนที่ติดตัวเองมากกว่าเมื่อก่อนหรือมากกว่านี้
เด่นชัดสลัดก่อนติดเมื่อไหร่ที่มีตัวตนขึ้นมา พอมีคนเอาของเราไป เราจะพูดว่า นั่นของเรา ก่อนที่จะพูดว่า ของเรา เราต้องคิดก่อนว่า ไม่เป็นไรช่างเขา  เราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงของสิ่งนั้น เวลาเขาตีเรา  เราเจ็บก็คิดว่าไม่เป็นไรเขาช่วยนวดให้เรา  มีใครมาว่าชื่อพ่อแม่เรา ก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาจำชื่อพ่อแม่เราได้ เวลาเขาว่าชื่อเราก็ไม่เป็นไรเพราะเขาจำชื่อเราได้ติดใจ ทำแบบนี้ง่ายหรือเปล่า
ทุกชีวิตแก้ไขแถลงไม่ยึดขันธ์เพราะเราติดในขันธ์ทั้งห้า ความต่างของคนกับพุทธะที่จะฝึกฝนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต่างกันตรงนี้ ท่านจะเริ่มต้นคิดว่า ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อดับ ทุกคนเกิดมาต้องดับทุกคน แต่ความเป็นคนนั้นดับแค่ตัวตน แต่ความเป็นพุทธะดับที่กิเลสอารมณ์ดับตัวตนนความหมายของเราก็คือ ดับแค่กายสังขารนี้ เรารู้แค่การดับเท่านี้ แต่ตอนนี้เราศึกษาบำเพ็ญธรรมและได้รู้ว่า เราสามารถที่จะดับกิเลส ดับอารมณ์ เพื่อดำเนินทางการเป็นพุทธะได้  ทุกคนเกิดมาเพื่อดับ ดับมาเพื่อเกิด ทำไมเราจึงจะต้องสานต่อการเกิดการดับที่ไม่หยุดนิ่งและเวียนวนไปเรื่อยๆ ทำไมเราไม่หยุดก่อนที่เราจะต้องมานั่งเสียใจ หากรู้จักคิดและวางตนให้ถูก รู้จักกระทำให้ถูกทาง หากมีความระมัดระวังเราย่อมมีความสุขในการมีชีวิตได้
เมื่อไม่ได้รักษาโอกาสต้องจาบัลย์เมื่อมีชีวิตไม่รู้จักถนอมชีวิต ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้เป็นและใช้ให้มีค่า เรามีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับคนที่มีความสุขผ่านไปเพียงวันหนึ่งๆ วันต่อไปไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย ชีวิตแขวนเอาไว้บนเส้นด้ายเป็นชีวิตที่อันตราย  หากเรามีชีวิตเราต้องยืนหยัดอยู่ในคุณธรรมและดำเนินไปตามสัจธรรมด้วยความสอดคล้อง เราจะมีชีวิตที่มีคุณค่า  เมื่อเห็นสิ่งผิดก็พร้อมจะแก้ไข เมื่อถูกตำหนิก็พร้อมที่จะตรวจสอบ เมื่อถูกชมก็พร้อมที่จะพิจารณาให้ชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ คนที่รู้จักยืนหยัดอยู่ในคุณธรรม ดำเนินทางแห่งสัจธรรม คนๆ นั้นจะเป็นคนที่มีชีวิตที่เป็นสุขไม่ต้องวิตกกังวล  รักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม  
 คนเรานั้นดีหรือชั่วอยู่ที่ใด ตอนนี้เราเรียกตนเองว่า คนดี ได้หรือเปล่า  คนชั่วต่างกับคนดีอย่างไร  ความดีและความชั่วนั้นไม่ได้มีไว้ตัดสินคน ตำหนิคนหรือต่อว่าคน แต่มีไว้เพื่อตรวจสอบตน อย่างไรที่เรียกว่า จิตใจที่ไม่ดีคิดผิด คิดไม่ดีคิดร้าย  อย่างไรที่เรียกว่า จิตใจที่ดีควรรักษาไว้ ประคองไว้  ส่วนมากเมื่อเรารู้เรื่องดีและไม่ดี เรามักจะเอาไปตัดสินคนมากกว่าที่จะมาตรวจสอบตนเอง จริงหรือไม่ (จริงฉะนั้นเวลาที่เราคิดว่า เรื่องไหนดีและเรื่องไหนไม่ดี ขอให้เราตรวจสอบก่อน ไม่ใช่เอาไปชี้หน้าว่าใครหรือตัดสินใคร นี่คือ การรู้จักดี รู้จักชั่ว แล้วนำไปใช้ให้ถูกทาง แต่เราจะบอกสั้น ๆ ง่ายๆ ว่า คนไม่ดี คือ คนที่ไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่กลัวความผิด เห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม เรื่องใดที่ได้รับประโยชน์ก็ทำ ถ้าไม่ได้รับผลประโยชน์ก็ไม่ทำ เมื่อไม่ถูกบังคับให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงก็ไม่ทำ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เห็นความดีที่เล็กน้อยไร้ค่าก็ไม่ทำ เห็นความชั่วเล็กน้อยก็ว่าไม่เป็นไรจะทำและเห็นตรงกันข้ามกัน  ความชั่วเล็กน้อยรวมกันมากขึ้นย่อมยากที่จะปกปิดแล้วก็กลายเป็นคนที่ผิดมหันต์  ตอนนั้นก็สายเกินการที่จะแก้ไข ฉะนั้นเราเป็นคนเช่นไรขอให้เราตรวจสอบ เผลอไปคิดไม่ดีหรือไม่  หากเรามีใจที่รักดี เราจะเป็นคนที่ไม่กล้าคิดจะทำผิด ถ้าท่านเกลียดความชั่วเหมือนเกลียดคนที่ท่านเกลียดที่สุดในโลก ท่านจะไม่กล้าทำชั่วเลยแม้แต่ครั้งเดียว  แต่เมื่อไรที่ท่านทำความชั่วแปลว่า ท่านแอบไปชอบคนที่ท่านเกลียดที่สุดเข้าแล้ว
คนต้องไร้ทางเพียงจิตอับเฉาทุกคนต่างมีทางในการดำเนินชีวิตและมีคนร่วมทางเดินในชีวิต  ตั้งแต่เกิดมาเราต้องเดิน ต้องคว้านหา และมีความอยาก  เราเคยสังเกตหรือไม่ว่าช่วงที่เดินไปนั้นบางคนเหมือนถอย ซึ่งตรงข้ามกับการเดินที่จิตใจนั้นจะดีขึ้น มีความก้าวหน้าขึ้นหรือรักษาจิตใจให้คงเดิม แต่บางคนจิตใจกลับแย่ลง ชั่วร้ายลง ในช่วงระหว่างที่เราเดินนั้น เราจะพบทั้งคนที่พัฒนาตนเองดีขึ้นแต่จิตใจด้อยลง  แล้วเราหันกลับมามองตัวเราเองบางครั้งช่วงที่เราเดินทางไป การเดินของเรานั้นตัวเราได้เติบโต แต่จิตใจไม่ได้เติบโตไปด้วย จิตใจกลับปลูกฝังเก็บแต่สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น แปลว่า ชีวิตของทุกคนหากดำเนินชีวิตปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม คุณค่า สิ่งชั่วร้าย สิ่งผิด คนๆ นั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปยากเกินกว่าที่เราจะคาดถึงได้  ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมใจตนเอง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนที่พัฒนาแต่ร่างกาย แต่จิตใจไม่ได้พัฒนา
ทำไมบางคนทั้งที่มีทางเดินออกมากมาย แต่จิตใจเขากับมืดมนไร้หนทาง เพราะเขามีความทุกข์ ทุกข์ของมนุษย์เกิดเพราะจิตไม่เบิกบาน ใจไม่ชอบและไม่รัก  เมื่อเราจะหาความสุขได้ เราต้องรู้จักเบิกบานไว้   คำว่า เบิกบาน  ต้องเป็นใจที่เบิกบาน  นั่งตรงนี้มีสุขหรือมีทุกข์ (มีสุขไม่มีใครไม่เคยมีทุกข์ มีทุกข์มากหรือทุกข์น้อย  มนุษย์เราทุกข์เพราะอยากมี อยากได้ อยากเป็น  อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็อยากได้ไปทั้งหมด  ถ้าเราตัดคำว่า ของเรา ทิ้ง เราก็จะไม่ทุกข์ บางคนว่ายังตัดไม่ได้ เราเห็นของคนอื่นแล้วอยากได้ อยากมี เพราะเราไปเปรียบกับเขา  เราต้องตัดคำว่า เปรียบ ทิ้ง  ความทุกข์ก็จะลดไป  อีกหนึ่งอย่างคือ  ทุกข์เพราะชอบมอง ชอบฟัง ชอบสัมผัส ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะเป็นทุกข์ อยากรู้อยากเห็นก็เป็นทุกข์  แต่ถ้าพูดให้ง่ายขึ้น  ขอให้เรามีความสุขในความดี เราก็จะไม่ต้องทุกข์ เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนหากเราพอใจในความพอดี เราก็จะไม่ต้องทุกข์  มนุษย์นั้นเป็นเหมือนนกที่บินทั้งทีก็ต้องบินให้สูงเวลาที่ตกลงมา ไม่ก็ปีกหัก ไม่ก็โดนยิง หรือไม่ก็บินไปไม่ถึงเพราะเห็นนกตัวอื่นสวยกว่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกม โดยให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมถือผ้าไว้ด้านหลัง แล้วให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเดินเกาะหลังทีละคนจนเป็นแถวยาว)
ชีวิตคนเรานั้นก็เหมือนกับเวลาที่เราเดินไปแล้วให้คนมาเกาะหนึ่งคน แล้วเดินไปก็ให้อีกคนหนึ่งมาเกาะ จากตอนเริ่มตนเรามาตัวเปล่า เราสามารถมีความสุขได้ มีอิสระทำอะไรก็ได้ แต่พอมีเพิ่มมาเป็นสอง เป็นสาม เราต้องถือของอีก  ตัวเราก็จะหนักขึ้น ความอิสระเริ่มน้อยลง  ฉะนั้นทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เราจะตัดได้นั่นก็คือ  การมีให้น้อยที่สุด  หากเราเดินไปมีคนมาขอพึ่งบารมี เราไม่อยากยุ่งได้หรือเปล่า (ไม่ได้เพราะเวลาเราอยู่ในสังคมเราต้องอยู่ร่วมกัน พึ่งพากัน เรามีข้าวกิน เรามีเสื้อผ้าใส่  ใช่เราคนเดียวที่ทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ต้องเกิดจากคนอื่นช่วยด้วย  ถึงคราวให้ได้เราก็ให้เขา ถึงคราวที่เราช่วยไม่ได้เราก็ปฏิเสธเขาด้วยความจริงใจว่า ไม่มีจริงๆ ไม่ใช่บอกไม่มี แต่จริงๆ แล้วมีแต่ไม่ให้ อยากจะเอาไปให้คนอื่นแทนอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราอยู่ร่วมกันเราต้องมีกำลังใจให้กัน มีใครเดือดร้อนเราต้องพร้อมที่จะช่วยเหลือกัน
การที่เราหมดทุกข์ได้อีกอย่างหนึ่งคือ เราต้องรู้จักดำเนินเป็นและเราต้องหยุดเป็น  บางคนฉากของชีวิตเราพบแต่สิ่งที่สวยงาม สิ่งที่ถูกใจ แต่ถ้าดำเนินกับสิ่งที่มีแล้วไม่รู้จักถนอมแล ะรักษาโอกาส เมื่อพบสิ่งที่ดีไม่รู้จักแบ่งปันให้คนอื่นเก็บไว้ใช้คนเดียวโอกาสที่มีนับวันก็หมดไป  รู้จักแบ่งปันจึงเรียกว่า รวยได้อย่างแท้จริง  คนขาดแคลนต้องรู้จักเพิ่มเติมไม่ใช่ตอกย้ำให้ตนเองยิ่งขาดแคลนแล้วกระทำผิด  พูดง่ายๆ คือ เมื่อเวลาพบสิ่งดีๆ ต้องรู้จักแบ่งปัน เวลาพบสิ่งร้ายขอให้คิดไตร่ตรองแล้วแก้ไขทำให้ดีขึ้น
คนในโลกนี้เหมือนคนที่มีใจพร่อง เป็นใจที่ไม่ยอมเต็ม เกิดมาก็พร่องแล้ว เช่น ขาดความรัก  แล้วมีคนมาเติมรักให้เราเต็ม มีคนมาเติมความอยากให้เรา อย่างนี้ก็ไม่ดี  เราต้องเป็นคนที่รู้จักสมบูรณ์ได้ในตัวเอง เพราะบางครั้งเขาไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดชีวิต  บางครั้งเราต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่มีใครยอมเติมให้เรา แต่เรายอมเป็นคนเติมให้เขา  ไม่มีใครยอมเติมเชื้อไฟ จุดประทีปไฟในความมืด แต่เรายอมเป็นคนจุดประทีปในความมืดให้กับเขา  คนในโลก ในกลุ่ม ในสังคมบ้านท่านไม่มีใครเป็นคนดี แต่ท่านยังเป็นคนดีให้กับเขาได้  คนเขาจะชี้หน้าด่าว่า ท่านไม่มีดี ท่านก็ยังทำอยู่ทุกวันและท่านก็ยังดีได้  ถ้าเราคิดถึงแต่ความทุกข์ยากของคนอื่น เราจะมีเวลาทุกข์ของตนเองหรือไม่ (ไม่มีนี่คือ การดับทุกข์ได้อีกหนึ่งอย่าง  เพราะคิดแต่ช่วยเหลือคนอื่น เห็นแต่ความทุกข์ของคนอื่นจนลืมไปว่าตัวเราทุกข์  การดับทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก  คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ คุมได้แต่กายแต่คุมความคิดไม่ได้  เราเห็นเขา เราเชื่อว่าเขาดี แต่คนเราน้ำนิ่งไหลลึก หินยังกร่อนได้นับประสาอะไรกับใจคนจะผลิกผันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  ฉะนั้นจึงมีแต่ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยควบคุมเขา  ช่วยดูแลให้เขาเป็นคนดีของสังคม ของครอบครัวและเป็นเงาอันร่มเย็นของหมู่ประชา
เมื่อเรามีความสุข เราต้องคิดถึงคนอื่นด้วยว่าคนอื่นมีหรือเปล่า  เราเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจเขา ปกติเวลาเรามีความสุขเราจะยิ้ม แต่เวลาเราทุกข์เราจะก้มหน้ายอมรับ เวลาเรายิ้มก็ยิ้มให้กับทุกๆ คน แต่วันนี้เราจะส่งมอบยิ้มให้เขา ยิ้มที่ตัวเขาเองแต่เราเป็นผู้ทำ เราเป็นคนก็ต้องมีท่าของความเป็นคน แต่ตอนนี้เราจะมีเพิ่มอีกหนึ่งท่าคือ ท่าแบบอย่างของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเดินแบบไหนก็แสดงว่า ท่านเป็นแบบนั้น
เช้ากลายเที่ยงยากแสนจะสกัด เวลาผ่านไปรวดเร็ว เราไม่สามารถที่จะหยุดยั้งได้  วันนี้ดีใจได้พบกับทุกๆ ท่าน คงจะทำให้ท่านมีความสุข จนกระทั่งลืมนึกถึงบ้านคงเป็นไปไม่ได้  จะให้อยู่ที่นี่สุขเหมือนอยู่บนสวรรค์ก็คงเป็นไปไม่ได้  ต้องอยู่ที่ใจของท่านด้วย  ตบมือข้างเดียวอย่างไรก็ไม่ดัง  ต้องมีท่านมาร่วมประสานถึงจะดังขึ้นได้  วันนี้ถึงแม้ว่าเราจะมาแล้ว แต่ถ้าหากไม่มีพวกท่านนั่งอยู่ที่นี่คงจะไม่เกิดผลอะไร เราก็ต้องขอบคุณท่านด้วยที่มาร่วมงาน ทำให้งานนี้บรรลุเป้าหมายได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านว่า พรุ่งนี้ท่านจะมาหรือไม่มา 
ตัวเรานั้นสามารถบำเพ็ญทานได้สามอย่าง  มีอะไรบ้าง (ทรัพย์เป็นทาน, พูดธรรมะเป็นทาน, แรงกายเป็นทานการบำเพ็ญตนนั้นเริ่มง่ายๆ ไม่กระทำเกินตน ให้ทำเท่าที่ตัวเองทำได้  ทำเท่าที่ตัวเองเข้าใจ หากมีข้อสงสัยก็ให้กลับมาศึกษา ปลูกต้นไม้นั้นปลูกแค่สองวันจะเป็นต้นไม้ที่โตไม่ได้  วันนี้ก็เหมือนกันจะให้เราพูดธรรมะจนกระทั่งท่านบรรลุคงเป็นไปไม่ได้  อย่างน้อยก็พูดให้ท่านรู้ซึ้งถึงชีวิตย่อมดีกว่า  แล้วการจะรู้แจ้งและหลุดพ้นขึ้นไปนั้นอยู่ที่ตัวเราลงแรงในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฝึกฝนตามที่เข้าใจ ปลูกต้นไม้สองวันจะเกิดผลหรือไม่เกิดผล ต้องอยู่ที่ท่านนำไปลงแรง  ทุกวันหมั่นตรวจสอบตน  การตรวจสอบตนช่วยทำให้เราระมัดระวังตนเองมากยิ่งขึ้น ตนเองมีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาเกาะกุมใจหรือมีสิ่งดีก็ควรรักษาไว้ ชีวิตนี้อยู่แค่ลมหายใจเท่านั้นเองวันใดที่ลมหายใจหมดลงวันนั้นชีวิตก็ไม่มีก็หมดไป เราไม่รู้ว่าวันใดลมหายใจจะไปจากเรา  ฉะนั้นเมื่อยามมีชีวิตขอให้รู้จักสร้างแต่สิ่งที่ดี  ไม่เช่นนั้นวันนี้มานั่งฟังธรรมะก็เปล่าประโยชน์  ธรรมะมีค่าก็เพราะได้ลงแรงกระทำ  ไร้ค่าเพราะไร้การกระทำ วันนี้ดีใจได้มาพบท่านและจะดีใจมากยิ่งขึ้นถ้าได้พบทุกท่านที่เบื้องบน บำเพ็ญธรรมดูเหมือนง่าย แต่เวลาทำอาจจะยากสักนิดหนึ่ง
การมีชีวิตอยู่ทางโลกเราหาความสุขได้อย่างไรบ้าง วิ่งไปตามความอยาก  แต่ความอยากที่เราคิดว่าสุขนั้นผลสุดท้ายคือ ความทุกข์  การบำเพ็ญธรรมคือ วิ่งเข้าไปหาความทุกข์ เพื่อดับทุกข์ แล้วพบกับความสุข เราเข้าใจแล้วว่าชีวิตนั้นมีหวานแล้วจึงขม ขมแล้วจึงหวาน  ตัวคนเรานั้นตั้งแต่เกิดมาก็มีอัตตามีความเป็นตัวของตัวเอง มีทิฐิ มีนิสัย มีความเคยชินที่แตกต่างกันออกไป แต่นิสัยความเคยชิน อัตตา ทิฐิ ไม่สามารถที่จะนำพาตัวเรากลับคืนเบื้องฟ้าได้  มีแต่ความเมตตา ความกรุณาและความยุติธรรมเท่านั้นที่จะสามารถนำพาเรานั้นกลับคืนเบื้องฟ้าได้อย่างแท้จริง
 ถ้าถามว่าเรามาจากไหน เราก็มาจากฟ้า ให้เรากลับไปเราก็ขอกลับคืนเบื้องฟ้า แล้วท่านมาจากไหน แล้วจะกลับไปที่ไหน นับจากนี้ไปก็อยู่ที่ท่านเลือกทางให้กับชีวิตแล้วว่า จะขึ้นจากเหวหรือลงนรก เป็นคนดีหรือคนร้ายอยู่ที่เราแล้ว แต่อย่าคิดว่าคนหนึ่งคนจะไม่มีผลกระทบต่อสังคม ทุกคนล้วนมีผลกระทบต่อสังคมด้วยกันทั้งสิ้น  ธรรมะอยู่ที่ไหน  ก็อยู่ที่ใจเรา แต่ต้องเป็นใจที่เที่ยงธรรม ไม่ใช่เป็นใจที่เข้าข้างตัวเอง หรือใจที่ตามอารมณ์ตัวเองอย่างนั้นไม่ใช่ธรรมะ  ผู้บำเพ็ญธรรมอย่าโหมงานมากจนเกินไป ต้องรู้จักพักผ่อนบ้าง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่ชั้นล่าง)
นั่งฟังกันมากี่รอบแล้ว ฟังแล้วได้ไปลงแรงกระทำหรือเปล่า  อยู่บนโลกนี้ทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์ถึงแม้โลกนี้จะมีทุกข์อย่างไร ถ้าเรามีใจเป็นสุข ทุกข์นั้นก็ไม่สามารถทำอะไรกับเราได้  เหมือนคนอื่นจะพูดยังไง ถ้าเราไม่เอามาเป็นอารมณ์ ไม่ถือสา เขาจะทำร้ายใจเราได้หรือไม่ (ไม่ได้มีทุกข์ก็เพราะอย่างนี้ แต่อยู่ที่เราจะจัดการอย่างไรกับชีวิต กับเรื่องทางโลกนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราก็ไม่ใช่อารมณ์ที่แน่นอน วันนี้สุขพรุ่งนี้ทุกข์จะสุขทุกวันก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นต้องปล่อยวางให้ได้ เป็นเด็กต้องอย่ายึดติดพ่อแม่ เป็นคนแก่ก็อย่าขี้บ่นและใจร้าย  นี่เป็นสิ่งที่ต้องการของคนในสังคม  เป็นผู้อาวุโสต้องยิ้มเก่งๆ ยิ้มเข้าไว้ ยิ้มแล้วจะชนะใจลูกหลาน อย่าบ่นเพราะบ่นไปก็เท่านั้น ยิ่งบ่นลูกหลานก็ยิ่งหนีเรา ยิ่งบ่นเขายิ่งไม่รักเรา เขาจะเป็นอย่างไรบางครั้งต้องปล่อยเขาเพราะเขาโตแล้ว เขาคิดเป็นทำเป็น บุญของใครกรรมของใครสักวันเขาต้องได้รับในสิ่งที่เขาทำ เราไปกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ ตอนนี้เหลือแค่ชีวิตของเราเอง เราต้องทำให้ดี อะไรปล่อยได้ก็ปล่อย ถึงคราวที่เราต้องไปจากกายนี้ก็ไปด้วยใจที่เป็นสุข เพราะชีวิตนี้เราได้รู้ทางแล้ว  เราได้รู้แล้วว่า จิตใจที่ดีคือ การมีจิตใจที่โปร่งใส  เมื่อเป็นคนแก่ก็ต้องเป็นคนที่แก่ที่น่ารัก เป็นเด็กก็ไม่ดื้อรั้น อายุมากแล้วยังยิ้มได้ สู้ได้กับทุกเรื่องราวในโลกนี้  เห็นท่านกลับมาเราก็ยังดีใจ  ขอให้รักษาบุญรักษาโอกาสให้ดี มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญธรรม  ลงแรงทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็หยุดพัก  อย่าได้เหนื่อยล้า อย่าได้ท้อแท้ในการบำเพ็ญธรรม ใครทำคนนั้นก็ได้ ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่เป็นไร  ฉันจะทำและฉันยอมถูกชี้แนะ ขอให้อดทน
ขอให้ตั้งใจศึกษากันให้ดี  เราขอให้ทุกท่านมีชีวิตที่เป็นสุข สุขที่แท้จริงไม่ใช่สุขในลาภยศชื่อเสียง เป็นสุขที่สุขสงบ มีความสุขในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีความพอใจ มีความปิติยินดีในสิ่งที่ตนเองมี ตนเองเป็นเท่าที่ตนเองทำได้ หากทำได้เท่านี้เราก็จะไม่ต้องดิ้นรนเดือดร้อนอะไรมากมาย ใครที่มีหน้าที่เรียน เรียนไหวก็เรียนไป  ไม่ใช่ให้หยุดเรียน แต่มีโอกาสก็ต้องแวะมาห้องพระบ้าง แวะมาศึกษาธรรมะบ้าง  ต้นไม้แห่งธรรมะไม่ได้โตได้ในสองวันเท่านั้น  ต้องอยู่ที่ท่านจะนำไปบ่มเพาะให้โตขึ้นได้อย่างไร   สองวันที่ได้มาเรียนรู้คงไม่สามารถปลูกต้นไม้แห่งคุณธรรม ต้นไม้แห่งธรรมะในใจให้โตขึ้นทันทีได้ ถึงโตได้ก็คงเป็นต้นกล้าที่เล็กๆ ไม่แข็งแกร่ง โดนเขาดึง โดนเขาเหยียบย่ำก็หักงอ แล้วก็ตายไป  ฉะนั้นต้องพยายามมารดนำ้คุณธรรม และเติมปุ๋ยแห่งธรรมะลงไปมากๆ  เราไปแล้วนะ



วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

          ถามหาใจยินยอมเป็นดั่งสะพาน  แม้ใครจะไม่เห็นมิเคยลำเค็ญอยู่ในใจ  ของสวยงามน่ามองสะดุดดวงตา ขอบำเพ็ญจิตไว้เท่าทัน ข้ายังคอยเฝ้าชม 
*         หากรอจะสายไป  จะบำเพ็ญธรรม ปัจจัยใดฤๅสำคัญเท่าใจ  ศิษย์ต่างเคยหลงไป หากเจอใครท้อใจ ส่งแรงใจให้กัน แม้ทุกข์ร้อนครอบงำจิตแห่งศิษย์เรา ขอปลงใจไม่ร้อน  มั่นคงบำเพ็ญเสมอไป     (ซ้ำ  *)
ชื่อเพลง : ถามหาใจศิษย์
ทำนองเพลง : โปรดจงตัดสินใจ
                   เราคือ
  จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดา                               ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

  ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันย้อนมองคิด       ยังยึดติดวัตถุและลาภยศถา
ความเป็นจริงวัตถุต่างไร้ราคา              เหล่ามายารอบกายตนพินิจดู
พระกลางใจไม่หวั่นเกรงทั้งลมฝน        มิอับจนเพราะปัญญาได้ตื่นรู้
ใช้ความผิดนานัปการมาเป็นครู           ดุจธนูพุ่งไปสู่ปลายทาง
ศิษย์น้อยเอยละกิเลสทยอยเริ่ม            กุศลเพิ่มแต่ใจจงใสว่างว่าง
ศิษย์รักผู้เป็นดวงใจไม่เคยจาง             รวมพลังฝ่าอุปสรรคที่ใกล้เข้ามา
อายุน้อยค่อยศึกษาอย่าว่าแปลก          ประคองใจดวงแรกที่ศรัทธากล้า
สู่จุดหมายได้หลุดพ้นโลกียา               เป็นดั่งปลาไม่เคยยอมไหลตามธาร
                                                                                    ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครที่คิดว่าจบจากชั้นไปแล้วตนเองจะนำสิ่งที่ได้ศึกษาไปปฏิบัติ  การฝึกเป็นพุทธะนั้นถ้าหากหวังยังไม่กล้าที่จะหวังแล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร  มนุษย์พูดกันเสมอว่า คนเรานั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง   เพราะฉะนั้นการหวังเป็นพุทธะเราก็ควรที่จะหวังได้เหมือนกัน ถ้าหวังยังไม่กล้าที่จะกล้าหวังเป็นคนที่ไร้ความหวังก็ไม่รู้ที่จะทำอะไร   บางคนชอบผัดผ่อนกับตนเอง วันนี้ฉันยังทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่พรุ่งนี้ค่อยทำใหม่  ทำไมเราจึงไม่พูดว่าวันนี้เราจะทำให้ดีที่สุด แล้วพรุ่งนี้เราจะทำให้ดีกว่าวันนี้  เราต้องละนิสัยเก่าๆ ที่ตนเองเคยมีทิ้งไป และต้องพูดกับตนเองว่า วันนี้เราทำดีแล้วพรุ่งนี้เราจะทำให้ดีกว่าเก่า ไม่ใช่พูดว่าวันนี้ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เรารู้เหมือนกันว่า  วันนี้ยังทำไม่ค่อยดีแต่พรุ่งนี้ค่อยทำใหม่ คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้จึงไม่สามารถหลุดพ้นได้ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับดินพอกหางหมู แล้วพอกที่ไหน (ที่ใจ) พอกมากๆ เป็นคนใจใหญ่ ใจมันก็ด้านไปหมด  เพราะฉะนั้นต้องเปลี่ยนตนเองใหม่ เราจะไม่เป็นคนที่มีนิสัยพอกหางหมูเพราะเราไม่ใช่หมู  เราจะไม่เอาอะไรมาพอกไว้ในใจเรา คิดอะไรได้ก็ทำสิ่งนั้น คิดในสิ่งที่ดีก็ต้องทำในสิ่งที่ดี แต่บางคนคิดในสิ่งที่ดีแต่กลัวเสียผลประโยชน์
คำว่า ผลประโยชน์ คำนี้เป็นตัวขัดขวางความดีทั้งหมดที่เราจะกระทำ เพราะหลายคนคิดว่าทำดีแล้วจะเสียเปรียบและเสียผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น  เพราะฉะนั้นทำความชั่วดีกว่า  เราต้องมีความคิดว่าทำความดีถึงแม้จะเสียผลประโยชน์ก็ไม่เป็นอะไร  ถ้าหากเสียผลประโยชน์เราก็ถอยลงมาก้าวหนึ่ง  หากเราได้ผลประโยชน์เราก็ควรที่จะเหลือช่องว่างให้คนอื่นเดินบ้าง  หากคนอื่นไม่ให้ผลประโยชน์กับเรา เราควรทำอย่างไร (ไม่เป็นอะไร ถือเสียว่าไม่ใช่ผลประโยชน์ของเราหากอาจารย์ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะเอาผลประโยชน์ เราควรที่จะรู้จักเสียสละถอยออกมา  ถ้าหากเราไม่ถอยยืนเฉยๆ เขาก็จะชนเรา คนที่รู้จักถอยก็คือ คนที่มีปัญญา หากเป็นผู้ที่เดินหน้าถือว่าเป็นผู้ที่เอาเปรียบ ฉะนั้นจะถอยหรือจะก้าวไปข้างหน้าล้วนแต่ต้องดูไปตามเหตุการณ์ต่างๆ  หรือจะยืนเฉยก็ต้องดูให้ละเอียดลออ  บางคนบอกว่าเดินหน้าเรียกว่า คนเอาเปรียบ ต้องถอยหลังลงมา แต่ถ้าหากถอยหลังในสิ่งที่ไม่ควรถอยเราก็อาจจะทำผิดได้ การที่เรามาประชุมธรรม เพื่อให้เข้าใจธรรมะ หากกลับไปแล้วจะเดินหน้าหรือถอยหลัง หรืออยู่กับที่ก็ต้องดูเหตุการณ์ให้ดี หากเราไม่รู้จักดูให้ดีจะทำให้เรานั้นไม่สามารถบำเพ็ญธรรมได้อย่างตลอดรอดฝั่งได้
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (จือเจวี๋ยแปลว่า รู้ตื่น ตอนนี้ตื่นอยู่หรือหลับอยู่ (ตื่นกายตื่นใจหลับหรือเปล่า (ไม่หลับกายตื่นใจก็ต้องตื่นด้วย
การฟังธรรมะในสองวันนี้ก็เพื่อทำให้เราเข้าใจและนำกลับไปปฏิบัติได้ ถ้ากลับไปบ้านแล้วเรายังทำให้ชีวิตของเราเหมือนเดิมทุกอย่าง ถามว่าการที่เรามาฟังธรรมะจะมีประโยชน์หรือไม่ (ไม่มีไม่มีประโยชน์ที่มานั่งฟังธรรมะไปมากมาย เพราะเราฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เราต้องปฏิบัติบำเพ็ญให้ดี  หากว่าเราปฏิบัติบำเพ็ญไม่ดี เราก็ไปไม่ถึงทิศทางที่อาจารย์พูดถึง จุดหมายของมนุษย์ในชีวิตนี้บางคนมีจุดหมายที่สูงสุด บางคนมีจุดหมายแค่ชีวิตนี้มีกินมีใช้ก็พอแล้ว บางคนชีวิตนี้ไม่มีจุดหมายปลายทาง ปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ ให้พ้นไปวันหนึ่งๆ แต่เรานั้นไม่ใช่อยู่แค่ปุถุชนเท่านั้น เราจะต้องมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ เราต้องการสำเร็จเป็นพุทธะอริยะ  เพราะฉะนั้นบันไดของคนที่ปล่อยชีวิตไปวันหนึ่งๆ ศิษย์จะต้องทำตัวเองให้ไปจากสภาวะเช่นนี้  ส่วนคนที่มุ่งหวังจะมีกินมีใช้ก็พอแล้ว ศิษย์ก็ต้องก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้ ก้าวขึ้นไปให้สูงขึ้นๆ  ถ้าศิษย์พ้นจากสิ่งเหล่านี้ก็จะไปสู่ทิศทางของผู้ที่ทำดีตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเวลาหลับหรือเวลาตื่น ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะน่าวิตกสักเพียงไร ความดีของเรานั้นก็จะจรัสแสงเหมือนดังแสงอาทิตย์ พระอาทิตย์ไม่กลัวเมฆบัง ศิษย์กลัวอุปสรรคความลำบากหรือเปล่า (ไม่กลัว)
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ได้มานั่งฟังธรรมะอยู่ที่นี่ ได้พบกัน ศิษย์ต้องมีความมั่นคงแน่นอนรู้ว่าเรานั้นกำลังทำอะไรอยู่  อาจารย์ให้ความสำคัญกับชีวิตของศิษย์มาก เพราะชีวิตของศิษย์เป็นชีวิตหนึ่งที่สามารถหลุดพ้นได้ และเป็นชีวิตหนึ่งที่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้ ศิษย์อยากจะเลือกหนทางแห่งการเวียนว่ายหรือเลือกหนทางของการหลุดพ้น (หลุดพ้นถ้าอยากจะหลุดพ้นต้องใช้ความพยายามมาก ถ้าศิษย์กลับไปบ้านหาเช้ากินค่ำ มีเวลาว่างก็ดูทีวี นิสัยของเรายังเหมือนเดิม อย่างนี้จะเป็นพุทธะได้หรือไม่ (ไม่ได้) ์ต้องแก้ไขอะไร (นิสัยของตัวเองหลายคนบอกว่าอยากแก้ไขแต่ยังคิดไม่ออก  อาจารย์จะแนะนำให้เย็นนี้กลับไปบ้านแล้วมองกระจกดูว่าเราจะเริ่มต้นแก้ไขอะไรก่อนดี (ใจเราเอง) ใจต้องเป็นอย่างไร (ใจต้องสะอาด)
โดยปกติแล้วมนุษย์รู้จักผู้อื่นแต่ไม่รู้จักตนเอง มนุษย์รู้จักแค่ว่าเกิดมาแล้วชื่ออะไร เกิดมาอยู่ที่ไหน ใครเป็นพ่อแม่ของเรา อย่างนี้เรียกว่า การรู้จักตัวเองใช่หรือไม่ (ไม่ใช่การรู้จักตัวเองต้องเป็นอย่างไร (ย้อนมองส่องตนศิษย์ต้องรู้จักอะไรของตนเอง (หน้าที่ถ้าเราเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ของตนเองแล้ว เราก็จะทำภาระกิจการงานของเราได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี  หากเราไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง มีเวลาว่างก็ไม่รู้จักทบทวนถึงหน้าที่ของเรา  เราทำอะไรก็บกพร่อง เราไม่สามารถทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ได้ ต้องรู้จักอะไรอีก (หมั่นฝึกฝนตนเอง, พอใจในสิ่งที่ตนมี) อะไรๆ ก็ทำได้เพียงแต่เราไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาท "เพลง ถามหาใจศิษย์")
อาจารย์ให้เพลงนี้เพราะชั้นนี้มีวัยรุ่นมาก เราต้องเป็นวัยรุ่นที่มีกำลังและมีความกล้าที่จะแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง วัยรุ่นสมัยนี้เป็นผู้กล้าแสดงออก แต่ว่าแสดงออกในสิ่งที่ไม่แน่ใจว่า เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด  เพราะฉะนั้นการกล้าแสดงออกของเรา เราต้องแยกให้ออกว่าความกล้าของเราเป็นความกล้าที่แท้จริงหรือเป็นความโอ้อวด   การกล้าแสดงออกเรียกว่า ความกล้า
มีใครเข้าใจความหมายของบทเพลงบ้าง  สะพานมีไว้ข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง  สะพานนี้คนทูนไว้อยู่บนบ่าหรือเดินเหยียบย่ำข้ามไป (เหยียบย่ำสะพานคนเทิดทูนอยู่ในใจแต่เหยียบย่ำด้วยปลายเท้า  เพราะฉะนั้นคนที่เป็นได้ดั่งสะพานต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงอดทน  แม้ว่าคนอื่นนั้นจะไม่เห็นคุณค่าความดีของเราเลย เราจะต้องมีใจที่ไม่เป็นทุกข์ บางคนบอกว่าเราเป็นคนดีแต่คนอื่นมองไม่เห็นความดีของเรา เราก็มีความทุกข์อยากให้คนชม อยากให้คนมอง อยากให้คนดู แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ (เป็นไปไม่ได้, เป็นไปได้ยากเพราะฉะนั้นคนที่เป็นดั่งสะพานเหมือนอย่างที่อาจารย์ถามหานั้น  ใจต้องเป็นคนที่มีความอดทนอย่างยิ่ง
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป การบำเพ็ญธรรมนั้นบำเพ็ญที่จิตใจของเรา  ถามว่าจิตใจของเราที่ไม่บำเพ็ญเป็นจิตใจที่งดงามมากพอหรือยัง (ยังฉะนั้นจิตใจของเราจึงต้องบำเพ็ญเพื่อให้จิตใจของเรางดงาม  งามในสายตาของเรา  บางคนอยากจะงดงามในสายตาของผู้อื่น เลยทำบุญเอาหน้าจึงทำให้การบำเพ็ญนั้นกลายเป็นรูปลักษณ์ไปหมด  หากเราบำเพ็ญเช่นนั้นเราจะงามในสายตาคนอื่นแต่จะอัปลักษณ์ในสายตาของเราเอง เพราะเรารู้ว่าเราบำเพ็ญด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ  การบำเพ็ญนั้นต้องบำเพ็ญด้วยความบริสุทธิ์ใจ แก้ไขปรับปรุงตัวเราไม่ว่าจะหลับหรือตื่น เราควรรู้ว่าจะแก้ไขอะไร  เริ่มต้นตรงไหน สิ่งใดบ้างที่เราควรจะแก้ไขเป็นสิ่งแรก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก  หากเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน ไม่รู้จะนับก้าวที่หนึ่งตรงไหน ถามว่าก้าวที่สองจะมีหรือไม่ (ไม่มีเมื่อไม่มีก้าวที่สองก็ย่อมไม่มีก้าวที่สาม  เพราะฉะนั้นก้าวแรกถือเป็นก้าวที่สำคัญมาก 
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์มาประชุมธรรมสองวันถือว่า เป็นก้าวแรกเหมือนกัน ก้าวแรกจะเริ่มต้นได้หรือไม่นั้นต้องดูตอนที่กลับไปบ้าน หากเรามีจิตใจที่ยังสามารถประคองไว้เช่นเดิม  สิ่งใดที่ฟังมาแม้จะยาก หากพยายามปฏิบัติมากๆ  ยากก็กลายเป็นง่ายยิ่งขึ้น  เหมือนกับคนหัดทำกับข้าวใหม่ๆ จะเอากะทะไปตั้งเตา เตาก็ยังติดไม่เป็นเลย ติดเตาเป็นแล้วก็ไม่รู้ว่าใส่น้ำมันมากหรือน้อย จะปรุงรสอย่างไร แต่ถ้าคนที่ทำเป็นแล้วทำง่ายๆ ก็ยังอร่อย   ทำไมถึงง่ายกว่าวันแรกที่เราหัดทำครัว เพราะเราทำสิ่งนั้นบ่อยครั้งจึงทำได้คล่องและอร่อย  เหมือนกับจิตใจของเราที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญ หากเราเป็นคนที่มีอารมณ์ร้ายมาก เวลาโมโหใครก็ห้ามไม่อยู่ แม้แต่อาจารย์ห้ามก็ไม่อยู่  ต้องหน้าของใครมาห้าม (หน้าเรา) ต้องหน้าของเราหน้าของคนอื่นก็ห้ามไม่อยู่  เวลาที่เราส่องกระจกมีหน้าของเรา ทำไมหน้านี้ถึงดุร้ายและอำมหิตอย่างนี้ ให้เราเริ่มเปลี่ยนจากใบหน้าที่บึ้งตึงเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม  เวลาที่เราโมโหก้าวแรกของการหยุดอารมณ์โมโหคือ เราต้องรู้จักดับไฟอารมณ์ของตนเองลง ต้องมีสติ ต้องดูว่าสิ่งที่เราโมโหนั้น เราโมโหเพราะอะไร หากหาสาเหตุศิษย์จะรู้ว่า เราโมโหเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่  ไม่มีเหตุอะไรที่เราต้องโมโห แต่เราโมโหไปเอง  ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อค้นลึกลงไปอาจจะไม่ใช่คนอื่นผิด แต่เป็นตัวเราเองที่กำลังทำผิด  ฉะนั้นหากโกรธก็ต้องโกรธตัวเราเอง เราต้องรู้จักดูตัวเอง โทษตัวเองว่าผิด แต่ไม่ใช่โทษแล้วเหยียบตนเองจมธรณี  เราจะต้องแก้ไข เวลาที่จะแก้ไขอารมณ์ เราควรมองย้อนหาสาเหตุที่ทำลงไป หาสาเหตุมากเท่าไรเราก็จะรู้ว่าคนที่มีอารมณ์มากๆ  ถือว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมจะต้องมาขจัดกิเลสให้สิ้น หากขจัดไม่ได้มากก็ต้องขจัดให้ได้น้อย หากขจัดไม่ได้น้อยก็ต้องขจัดให้ได้นิด ต้องเริ่มทีละหน่อย เหมือนกับการฝึกฝนทำครัวของเรา  หากเราโกรธให้เรากลับมามองตนเองว่าเรากำลังโกรธอยู่ ต่อไปเรายังไม่ทันโกรธก็สามารถดับไฟแห่งความโกรธได้  ถ้าหากเราห้ามอารมณ์โกรธบ่อยๆ วันหน้าไม่ทันมีอารมณ์โกรธ เราก็สามารถระงับความโกรธได้และเป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็นขึ้น  จึงเหมือนผู้บำเพ็ญธรรม 
ศิษย์ลองดูพระพุทธรูปที่อยู่ในห้องพระนี้  สมมติพระพุทธรูปองค์นี้ทำด้วยไม้ ให้ศิษย์เป็นช่างแกะสลักพระพุทธรูป ถือเครื่องมือแล้วแกะสลักตาของพระพุทธรูป ในขณะที่ช่างกำลังแกะสลักอยู่มีอารมณ์โกรธขึ้นมาจะทำให้ตาของพระพุทธรูปเบี้ยว เพราะตาเป็นสื่อสำคัญมากที่สุด  เพราะฉะนั้นเราควรที่จะทำใจของเราให้นิ่ง ทำสิ่งใดให้ตั้งใจทำสิ่งนั้น ใครมายั่วทำให้เราตบะแตกก็ไม่แตก  เช่นนี้ถือว่าเป็นผลจากที่เราได้บำเพ็ญมานานแล้ว จิตใจของเราก็ต้องเป็นจิตใจของพระพุทธรูป คือ เป็นจิตใจที่นิ่งไม่ไหว  หากเอาพระพุทธรูปไปตั้งกลางลม ลมสามารถพัดพระพุทธรูปสั่นไหวหรือไม่ (ไม่ไหวฝนตก แดดออกพระพุทธรูปก็ไม่กลัว  แล้วเรากลัวอะไร (กลัวแดด กลัวฝน กลัวลมถ้าเปรียบลม ฝนและแดดเป็นเหมือนอุปสรรคที่พัดใจเรา พระพุทธรูปนี้อยู่ในใจของเราไม่ใช่อยู่ข้างนอก ศิษย์รู้ตัวหรือเปล่าไม่ว่ามีพระพุทธรูปองค์หนึ่งอยู่ในใจของศิษย์  หากศิษย์ตั้งใจจึงจะรู้ว่า ใจของศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน  แล้วพระพุทธรูปต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะสู้กับอุปสรรคเหล่านี้ได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ทุก ทุกตัวนี้คือ ทุกๆ อย่าง  ทุกถ้าเติมข์เข้าไปก็กลายเป็นทุกข์ใจ แต่ตอนนี้ทุกข์ของศิษย์คือ การบรรทุก ตอนนี้ศิษย์ต้องรู้จักที่จะปล่อยวางให้มากๆ
อย่าง อย่างอะไรดี (เป็นตัวอย่างที่ดีถ้าศิษย์อ่านประโยคนี้ศิษย์ก็จะรู้ความหมาย เพราะว่าเป็นอย่างให้เวไนย เป็นอย่างตัวนี้ก็คือ แบบอย่างเราต้องบำเพ็ญจิตใจ จิตใจของเราต้องเป็นจิตใจที่สงบ เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วชีวิตจะถูกเปลี่ยนไป ทุกอย่างก็จะเริ่มต้นใหม่
แต่ บำเพ็ญไปนานๆ ในหัวใจต้องไม่มีคำว่า แต่
จับ ให้เหมือนกับเรารับธรรมะ แล้วจับธรรมะไว้ให้มั่นคง วันหน้ามีคนว่าก็อย่าท้อใจ ธรรมะต้องศึกษาเอง เข้าใจและปฏิบัติเอง
เกิด หมายความว่า เกิดสิ่งที่ไม่ดีกับตัวเรา แต่คำว่า เกิดหมายความว่า เมื่อเราเกิดแล้วในที่สุดเราจะต้องกลับไปรู้จักบำเพ็ญธรรมแล้วจะได้กลับไปในที่ดี คือ แดนนิพาน
สิ่ง ถ้านึกถึงสิ่งของก็ต้องรู้จักการปล่อยวางสิ่งของนั้น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท เพลง "ถามหาใจศิษย์" )
อาจารย์ให้ร้องเพลงนี้ไม่ได้ให้ร้องเพราะความไพเราะเท่านั้น แต่หวังว่าทุกคนคงรู้ในความหมายภายในของเพลง   และเพื่อให้ที่จะนำไปปฏิบัติ
หากรอจะสายไป  ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า หากรอจะสายไป เพราะว่าคนบำเพ็ญธรรมนั้นปัจจุบันไม่รอนี่ก็รอโน่น ไม่รอโน่นก็รอนั่น บางคนบอกว่ารอให้ลูกโตก่อนค่อยบำเพ็ญธรรม  ถามว่าถ้าเกิดเราตายไปก่อนที่ลูกเราโตจะทำอย่างไร เราก็ไม่ได้บำเพ็ญ  อาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญแต่ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์ต้องมาอยู่ห้องพระทุกวัน ต้องโกนผม ต้องทำสิ่งใดที่เป็นเงื่อนไขต่างๆ นานาปราการ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์กลับไปทำหน้าที่ของตนเองให้ดี เป็นลูกก็ต้องเป็นลูกที่ดี เป็นพ่อก็ต้องเป็นพ่อที่ดี เป็นแม่ก็เป็นแม่ที่ดี อยู่ในวัยเด็กต้องรู้จักศึกษาหาความรู้ แล้วต้องนำความรู้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์  เมื่อโตขึ้นต้องรู้จักทำหน้าที่ของตนให้บรรลุประสบความสำเร็จ เมื่อแก่ตัวต้องสามารถเป็นแบบอย่างกับคนรุ่นหลังได้
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นก็อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้  ท่ามกลางหน้าที่ของเรา ถ้าเรามีหน้าที่ขายของ คนขายของบำเพ็ญธรรมโดยห้ามโกงเงินคนซื้อของ บำเพ็ญธรรมง่ายหรือเปล่า (ง่ายแสดงว่าจิตใจของคนที่เป็นคนขายนั้นต้องมีความซื่อตรง  สิ่งที่คนขายของบำเพ็ญก็คือ บำเพ็ญความซื่อตรง ไม่ใช่ที่ไม่ให้โกงเพราะกลัวบาป บาปมีไว้สำหรับกำราบคนที่เฝ้าแต่โกง เราไม่โกงแต่เราจะเพิ่มพูนการบำเพ็ญความซื่อสัตย์ขึ้นมา เป็นพ่อแม่ต้องสั่งสอนลูกให้ดีเพื่อวันหน้านั้นลูกเราจะได้เป็นคนดีของสังคม ส่วนลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ใช่กตัญญูแค่เป็นหน้าที่ของลูก แต่ต้องกตัญญูจากหัวใจของเรา ไม่ใช่ว่าเรากตัญญูกับพ่อแม่เพราะกลัวว่าอีกหน่อยเราแก่ตัวกรรมจะตามสนองไม่ใช่แค่นั้น แต่เราต้องบำเพ็ญความกตัญญูเพราะคนที่กตัญญจะมีหัวใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ เราอยากมีจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ เราต้องบำเพ็ญสิ่งนี้  สมมติว่าศิษย์เป็นคนทำสวนจะบำเพ็ญธรรมอย่างไร ต้องแบ่งแยกกันให้ถูก แยกอะไรบ้าง  แบ่งเวลาในการมาบำเพ็ญธรรม
 (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ศิษย์ของอาจารย์ทางภาคใต้นี้ แต่ละคนนั้นเป็นคนที่มีความชาญฉลาด แต่ปัญหาก็มีอยู่มากมายรอบตัว ทุกวันเราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับปัญหาทั้งหลาย อาจารย์ไม่มีคำปลอบใจอื่นใดนอกจากคำนี้ "อาจารย์หวังเพียงศิษย์ทุก คนจะรักษาตัว  รักษาใจและรักษาพลังของเราไว้ฉุดช่วยเวไนย สิ่งใดที่คิดแล้วทำให้จิตใจของเราไขว้เขว  ขอให้ศิษย์ขจัดทิ้งไป คงไม่มีใครช่วยศิษย์ได้มากกว่าตัวศิษย์เอง การบำเพ็ญธรรมคือ การขัดเกลา การบำเพ็ญธรรมคือ การที่เราต้องทำตนเป็นคนที่ดีขึ้น หากเราทำตนได้ดีขึ้น เราจะรู้ว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่แท้จริง"  เพราะผู้อื่นจะเรียกเราว่า ผู้บำเพ็ญ ถ้ายังมีคนคอยบอกว่า เรายังไม่ดี เราต้องเปิดใจรับฟัง เต็มใจแก้ไข รู้ผิดรู้ชอบ ไม่โกรธไม่โทษ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน แม้ว่าคนอื่นนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเรา
หากมีเด็กคนหนึ่งคุกเข่ายอมให้ศิษย์ตี ศิษย์จะกล้าตีเขาหรือเปล่า (ไม่กล้าแต่หากเด็กคนนี้ทำผิดแล้วยังวิ่งหนีทำหน้าล้อเลียนเป็นลิงหลอกเจ้า อยากจะตีเขาให้หนักขึ้นหรือเปล่า (อยากตีที่อาจารย์พูดเพราะศิษย์ก็คือ เด็กคนนั้น  กรรมต่างๆ ลงฟาดฟัน เรายอมคุกเข่าให้กรรมเหล่านั้นกระทำด้วยความสำนึกผิด กรรมนั้นจึงไม่กล้าที่จะตีเราเพิ่ม  แต่หากเรานั้นวิ่งหนีทำท่าเป็นลิงหลอกเจ้า เมื่อคนที่คิดจะทำร้ายเรา เขาจับเราได้ เขาคงจะไม่เอาเราไว้แน่  ยิ่งได้รับตำแหน่งสูงเท่าไร ตำแหน่งทางธรรมนั้นเปรียบเสมือนดาบสองคม  ด้านหนึ่งทำให้ศิษย์ได้เจริญปณิธานสร้างกุศล แต่อีกด้านหนึ่งหากศิษย์ยึดติดในตำแหน่งใช้ในทางที่ไม่ถูก  ตำแหน่งก็จะให้ร้ายกับศิษย์
การปีนภูเขาสูงนั้นต้องโน้มตัวลงมา  หากศิษย์ปีนภูเขาแล้วทำตัวเชิดจะพลาดตกลงมาได้  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ทุกคนเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ระวังคำพูด ระวังการกระทำและระวังใจของเราให้ดี  อาจารย์เห็นศิษย์บางคนวันนี้มีใจวันหน้าหมดใจ เห็นแล้วอาจารย์ก็ช้ำใจจึงอยากบอกศิษย์ที่ยังยอมให้อาจารย์สอน ขอให้เรารักษาใจของเราให้มั่นคง การทดสอบที่แรงขึ้นทุกวันจะไม่อาจทำร้ายศิษย์ของอาจารย์ได้ ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
อาจารย์มาเป็นเวลานานแล้ว  ศิษย์คงจะมีความเข้าใจขึ้นบ้าง เปิดใจกว้างก็จะเข้าใจมากขึ้น ศิษย์ที่ไม่เปิดใจให้กว้างก็จะไม่เข้าใจอะไร  อาจารย์ไม่ขอให้ศิษย์เข้าใจในตัวอาจารย์  แต่ขอให้ศิษย์เข้าใจในธรรมะที่ศิษย์จะต้องนำไปใช้และปฏิบัติไปตลอดชีวิต  ชีวิตคนนั้นมีความทุกข์มาก แต่ละปีที่ผ่านไปความทุกข์ที่ศิษย์เผชิญ มีความทุกข์ที่ไม่ซ้ำรูปแบบเข้ามา หนึ่งวันแล้วหนึ่งวันเล่าความทุกข์ไม่เหมือนกันซักวันหนึ่ง ชาตินี้จึงเป็นชาติแห่งความทุกข์ เป็นชาติมนุษย์ที่มีแต่ความทรมาน  อาจารย์ต้องการให้ศิษย์หลุดพ้นจากการทรมานทั้งปวง  ปัจจุบันนี้มองไปทางทิศใด เรามองเห็นคนไม่ดีมากมาย คนอื่นก็มองเห็นคนไม่ดี เขามองเห็นเราไม่ดี เรามองเห็นเขาไม่ดี  โดยสรุปแล้วแม้เป็นตัวเราๆ ยังไม่กล้ารับประกันว่าตัวเราดีพอ  แต่อาจารย์แนะนำ-รับรองในวันที่แนะนำศิษย์มารับธรรมะเขาบอกว่า ศิษย์เป็นคนดี แสดงว่าในโลกนี้ยังมีคนมองเห็นศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดี  แล้วศิษย์ยังไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นคนดีอีกหรือ อาจารย์มั่นใจว่าศิษย์เป็นคนดี  เรามามุ่งทำความดีโดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะทำความดีหรือความชั่ว  เราอย่าสนใจว่าผู้อื่นดีแค่ไหน แต่ให้มาสนใจว่าตัวเรานั้นดีแค่ไหน
ชีวิตคนนั้นแสนสั้น คนที่ตายไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นคนแก่  การบำเพ็ญก็ไม่แยกว่าศิษย์จะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ผู้ชายหรือผู้หญิง ขอเพียงศิษย์มีใจที่จะขัดเกลาตนเอง อย่าเข้าข้างตนเองมาก มองให้เห็นสัจธรรมอันแท้จริงของชีวิตนี้ อย่าปล่อยให้ชีวิตนี้ผ่านไปแล้วผ่านไปอีก  รับปากอาจารย์ได้หรือไม่ว่า หลังจากวันนี้เราจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม (ได้พูดตามอาจารย์ หลังจากวันนี้ ขอเริ่มต้นเป็นคนใหม่ วันนี้จะทำตนให้ดีกว่าเมื่อวานนี้  เมื่อพูดตามอาจารย์แล้วก็จงทำ อย่าใช้อายตนะของเจ้าอันได้แก่ ตา หู จมูก ปาก  สิ่งเหล่านี้เป็นอายตนะภายนอกที่ทำให้ศิษย์มองสิ่งที่สวยก็อยากจะได้สิ่งที่สวย ฟังสิ่งที่ดีมาก็อยากจะได้ในสิ่งนั้นๆ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่า มีสิ่งหนึ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ศิษย์นั้นมองออกไป นั่นก็คือ จิตใจที่อยู่ภายในของตนเอง หากศิษย์ทำจิตใจของตนเองให้ดีขึ้น ศิษย์จะพบกับสิ่งที่ดีขึ้นทุกวัน ไม่ต้องไปนั่งขอพรพระ  พรอันนี้ศิษย์ประสาทให้กับตนเองได้
อาจารย์จะจากไปแล้ว รักษาตัวและรักษาใจให้ดี ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยจิตใจแห่งปัญญา อายุมากแล้วเป็นไม้ใกล้ฝั่ง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ หมั่นบำเพ็ญให้มากๆ อย่าเกี่ยงในการทำความดี ความดีมาเล็กน้อยก็ทำเล็ก ความดีมามากก็ทำมาก ถ้าช้าไปกว่านี้กุศลของเราจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เราหลุดพ้น เป็นเด็กดี รักษาตัวให้ดีๆ  เราบำเพ็ญธรรมแล้วมีคนมองเรา เราก็ต้องยิ่งทำให้ดี วันหน้าเราเจอกันอีก อย่าเป็นคนที่โดนคนเขาว่าแล้วเราก็ไม่อยากจะบำเพ็ญแล้ว หลุดพ้นแล้วก็ไปอยู่กับอาจารย์นะ.





[๑] โบกขรณี          สระบัว
[๒] สล้าง               ที่ตั้งอยู่สูงเด่น, เป็นหมู่เป็นพวก
[๓] จาบัลย์            ทุรนทุราย, สะอึกสะอื้น

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา