สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
สูงสุดล้วนคืนไปสู่ความสามัญ แลน้องท่านชีวิตนี้คืนหนไหน
หลงติดตาอายตนะพาติดใจ ย้อนคิดใหม่ในโลกนี้ใดถาวร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย
เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง
ฮวา ฮวา
หลงลาภยศจะไม่อาจลดทิฐิ หลงคิดตนช่างชำนิไม่ยอมอยู่หลัง
หลงรักโลภตนเองจะลืมระวัง หลงเกลียดชังราศีตนจะเปลี่ยนไป
ในชีวิตหนึ่งชีวิตมีหลายหลาก ต้องทุกข์ยากปนเปตราบสลาย
แต่มนุษย์พึงหวังแต่ความสบาย ไม่แก้ไขความผิดตนเคยทำมา
ต่างมีธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายใน แสวงนอกไกลจิตยากพบหนา
ขอจงรู้พิจารณาด้วยปัญญา รู้คุณค่าแห่งธรรมะที่ได้ไป
หากชาตินี้รู้บำเพ็ญให้ดีดี ฟื้นฟูจิตเดิมแท้มีสว่างไสว
จะเข้าถึงพุทธะตั้งแต่ยังมีกาย ขอครวญใคร่แลกล้าหาญลงมือทำ
ทำเท่าไรได้เท่านั้นไม่ผิดเพี้ยน มีบทเรียนจากความผิดอย่าพลาดซ้ำ
บัดนี้ฟ้าดูหมองมัวใจคนดำ จงรู้นำพระธรรมมาชะล้างใจ
อวิชชาพามืดมัวกิเลสเกาะ เดินลัดเลาะเที่ยวมานานเกินไปแล้ว
ขอย้อนมองใจตนที่ผ่องแผ้ว จักเป็นแก้วต้องรู้จักหมั่นขัดเกลา
เหล่าเคยชินนิสัยคนหมั่นแปรเปลี่ยน เป็นดุจเทียนหลอมละลายตนเองเถิด
ไม่มีใครเป็นสิ่งใดตั้งแต่เกิด พยายามเถิดบำเพ็ญตนสู่สุทธา
น้องชายหญิงอย่าสงสัยจิตฟุ้งซ่าน ทรมานมาทุกชาติชาตินี้ตื่น
จะขื่นขมขอให้ใจยั่งยืน จิตที่ตื่นจะช่วยคนด้วยเมตตา
สองวันนี้ประชุมธรรมอยู่ให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบให้ถ้วนหน้า
สง่างามทั่วใจกายดั่งพุทธา แม้เวลาสั้นนักรู้ใช้เทอญ
จงตั้งใจจากจิตที่มั่นคง ศรัทธาลงรากลึกไปดุจต้นไม้
สิ่งใดฟังให้ปฏิบัติกันให้ได้ จึงจะไม่เสียเวลาชาติหนึ่งนี้
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
ขอศิษย์น้องจงตื่นใจทั่วทั้งวัน ไม่ปล่อยฝันนานออกไปให้ว่ายวน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
อย่ามองข้ามในสิ่งที่เล็กน้อย หัวใจคอยห่วงใยไม่แบ่งชั้น
มีเมตตาช่วยเหลือกันทุกทุกวัน เซียนสวรรค์ลอยลิ่วลิ่วลงแดนดิน
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย
แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม
ใจเบิกบานความงามสุดอำพราง เมื่อได้เห็นหนึ่งทางกาลปัจจุบัน
อัตตาตนเด่นชัดสลัดก่อนติด ทุกชีวิตแก้ไขแถลงไม่ยึดขันธ์
เมื่อไม่ได้รักษาโอกาสต้องจาบัลย์[๓] กายสำคัญตนเจ้าของเพียงชั่วคราว
ไม่คิดเริ่มหนใดสำเร็จได้ คนต้องไร้ทางเพียงจิตอับเฉา
จะใกล้ไกลเริ่มจากหัวใจเรา ไม่หยุดก้าวจุดหมายใกล้กว่าเดิม
เกิดเป็นคนทุกข์กันถ้วนประสบ บุญพาพบไม่บรรทุกอารมณ์เสริม
กำลังใจมีใครเป็นเชื้อเติม หวังคนเดิมเป็นอย่างให้เวไนย
ยากห้ามเกิดแต่สามารถบรรเทาลง ไม่บรรจงสิ่งใดเลิศกระหนำ่ใช้
ไม่คิดมั่นตั้งใจจริงสักเท่าไร คืออารมณ์ฝนฝึกไปควบคุมดู
เช้ากลายเที่ยงยากแสนจะสกัด อวดฉลาดง่ายรู้จักความอดสู
บำเพ็ญทานไป่เกินตนพินิจดู ครานี้สู้ต้องแลกด้วยวิญญาณ
ปราชัยมาค้นเหตุดูไม่ประวิง เพราะใดใดสรรพสิ่งมีเปลี่ยนผัน
ขาดวินัยยากเกินไปบำเพ็ญนาน ปัญญาญาณรู้ที่ตรวจสอบตน
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
เราเป็นใคร มาทำไม มาจากไหน ท่านอยากรู้หรือเปล่า (อยาก) เรามาจากฟ้าและอยากพาทุกท่านขึ้นไปชมฟ้า
ฟ้าที่ทุกคนเห็นไม่ใช่ฟ้าที่โปร่งๆ อย่างนี้
แต่เป็นฟ้าที่มีพุทธะขึ้นไปอยู่บนนั้นได้
ทุกท่านว่าบนฟ้านั้นมีลักษณะอย่างไร (กว้าง,มีก้อนเมฆ) ก้อนเมฆนั้นบางครั้งก็ดี
บางครั้งก็ไม่ดี
ถ้าเราอยากตากผ้าพอก้อนเมฆมาบังพระอาทิตย์ เราก็บอกว่า ก้อนเมฆไม่ดี แต่ถ้าเราออกไปเดินข้างนอกอากาศร้อน ก้อนเมฆดีมาบังพระอาทิตย์ให้เราก็บอกว่า
ถ้าเปรียบเทียบกับตัวเราจริงๆ แล้วคนเราก็มีใจที่กว้างได้
แต่บางครั้งก็มีอารมณ์เกิดขึ้นในความใจกว้างได้เหมือนกัน อารมณ์ก็คล้ายๆ
กับก้อนเมฆ ฟ้าที่โปร่งก็คือ
ใจของเราที่ปราศจากสิ่งใด ไม่มีอะไรเกาะติดอยู่ในใจ แต่พอมีก้อนเมฆก็เหมือนใจของเราที่มีความคิดหรือมีอารมณ์เกิดขึ้น ถ้าเราเอาอารมณ์นี้ไปแสดงกับคนอื่นได้ดี
เราก็อยู่กับเขาได้
เขาก็ชอบที่เรามีอารมณ์นี้หรือเขาอยู่ร่วมกับเราด้วยใจแบบนี้ ถ้าเราเอาใจหนึ่งไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง แต่เขาไม่ชอบก็เหมือนกับก้อนเมฆที่บังแสงอาทิตย์เพราะเขาต้องการแสงอาทิตย์ คนเรานั้นก็สามารถมีใจที่กว้างปราศจากก้อนเมฆหรือมีก้อนเมฆก็ได้ แต่ใจที่กว้างนั้นจะให้เป็นเหมือนฟ้าได้แท้จริง
ต้องเป็นใจที่กว้างบริสุทธิ์และใส
เราจึงจะสามารถเป็นใจที่ใกล้ชิดกับฟ้ามากที่สุด
ใจฟ้าเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนและไม่ติดในสิ่งที่ตนเองให้นั้น ใครจะชมหรือจะว่า ฟ้าก็เฉยๆ เหมือนไม่มีตัวตน
ฟ้าอยู่กับคนมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว
ฉะนั้นเราอยากเหมือนฟ้าเราก็ต้องทำให้ได้เช่นฟ้า
ถ้าทำได้วันนี้ท่านก็เดินไปกับเราได้ถึงฟ้า
ถ้าทำไม่ได้ท่านก็เดินอยู่แค่ครึ่งทางหรืออยู่บนดิน แต่แปลกที่มนุษย์เรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี
มีความอยาก อะไรที่ได้มาง่ายๆ เรามักไม่เห็นค่า อะไรที่ได้มายากๆ เรามักเห็นค่า
ในสิ่งที่ตัวเองเป็นและตัวเองมีกลับไม่ชอบ
แต่ชอบในสิ่งที่คนอื่นเป็นและคนอื่นมี
แล้วทำไมท่านไม่ชอบสิ่งที่พุทธะเป็นและพุทธะมี พยายามไขว่คว้าอย่างที่พุทธะเป็นและพุทธะมี
ท่านมักจะเป็นอย่างไร ชอบเป็นตามที่คนเขาเป็น
เพราะฉะนั้นวันนี้มาสนใจสิ่งที่พุทธะเป็นและพุทธะมีดีหรือไ่ม่ (ดี) แล้วทำอย่างไรให้ความอยากไม่เป็นกิเลสทำร้ายตัวเอง
เลิกอยากดีหรือไม่ (ดี) ความอยากบางครั้งเรามีเราปล่อยไม่ได้ แต่ความอยากบางครั้งเราปล่อยได้
เหมือนมือของเราหยิบของเป็น เราก็ต้องวางและปล่อยเป็น ตาเราเปิดได้เราก็ต้องปิดได้ ใจเรารับได้ก็ต้องปล่อยวางได้ เช่นเดียวกันเราอยู่ในโลกนี้เรื่องบางเรื่อง
บางครั้งเราต้องรู้จักปล่อยวาง ทำได้หรือไม่
ง่ายหรือยากอยู่ที่ตัวของเราใจของเรา
เราพร้อมที่จะหยิบขึ้นมาเอง ทำไมเราไม่พร้อมที่จะปล่อยเอง แค่เพียงตัดใจบ้างเท่านั้น บางครั้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
หากเราย้อนกลับมาคิดบางทีก็สอนใจสอนชีวิตได้เหมือนกัน
หากเราอยู่ในโลกนี้เรารักทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่แบ่งชั้น ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เราก็สามารถอยู่กับทุกคนได้อย่างมีความสุข
แต่คนปัจจุบันนี้หรือคนในยุคไหนก็ตามยากที่จะกลับคืนขึ้นไปเพราะว่า
เขายังอดติดตัวเขา ตัวเรา ของฉัน ของเรา เธอต้องไม่มี ฉันมีได้แต่เธอมีไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องของชีวิตนั้นจริงๆ หากคิดให้ดีเราจะรู้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยาก
เราสามารถจะควบคุมชีวิตของเราให้เดินถูกทางได้ ให้เดินแล้วมีมิตรร่วมทางเดินได้ หรือให้เดินแล้วสร้างศัตรูตลอดทางก็ได้
อยู่ที่ใจเรานั้นจะบงการชีวิตเราให้ดำเนินชีวิตไปทางใดกัน
ทุกขณะจิตที่เราดำเนินชีวิตเรารู้จักเห็นใจตัวเอง
คำนึงว่าเราทำแล้วเราได้หรือคนอื่นได้
เราทำแล้วเราเคารพตัวเองหรือเคารพผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าทุกขณะที่ทำ ทุกขณะที่คิดมีความละเอียดรอบคอบในการดำเนินชีวิต
เราก็จะเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ทำร้ายใคร ไม่ต้องทุกข์ใจ
เพราะทุกขณะจิตเราระมัดระวังตั้งแต่ต้น
แต่เรามักปล่อยชีวิตให้เดินไปเรื่อยเปื่อย
คนเราบางครั้งควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
บางครั้งก็อดพลั้งเผลอ อดผิดพลาดได้เหมือนกัน
มีนิทานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคนที่อยู่บนโลกนี้
มีหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านที่ขาดแคลนอาหาร คนในหมู่บ้านต้องออกไปหาอาหารข้างนอก
ในหมู่บ้านมีคนอยู่สามคน
คนแรกเวลาออกไปหาอาหาร เขาจะหยิบอาหารมาเฉพาะพอดีพอกิน คนที่สองเขาจะหยิบอาหารมาเผื่อวันหน้า คนที่สามมีเท่าไหร่เอามาหมด ท่านว่าใครเหนื่อยที่สุด (คนที่สาม) ใครใจดีที่สุด
คนเรามีเจตนาที่แตกต่างกัน
คนที่หนึ่งดูแล้วเขาอาจจะเป็นคนดี เขาอาจจะหาเฉพาะแค่ตัวเอง
แต่ถ้าคิดแบบคนฉลาด คนมีปัญญาต้องบอกว่า คนนี้เหนื่อยเพราะหาวันต่อวัน
หาเช้ากินค่ำมีเท่าไหร่ก็หมด แต่ถ้าคิดอย่างเจตนาที่ดีเขาอาจจะไม่กล้าเอามามาก
เพราะถ้าเอามาหมดคนข้างหลังอาจจะไม่ได้กิน
ส่วนคนที่สองเป็นคนที่มีปัญญา
เพราะเขาคิดเผื่อวันหน้า คิดเผื่อถึงวันต่อไปว่าถ้าเกิดเขาไม่มีแรงขึ้นมาหรือถ้ามีใครขอเขาระหว่างทาง
เขาอาจจะให้ได้ เขาก็เป็นคนดีเหมือนกัน คนที่สามเก็บให้หมดต้นเลย
เหนื่อยเท่าไหร่ก็ไม่หยุดขอให้หมดต้นก่อน ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เพราะเขาดูเหมือนเป็นคนโลภ
แต่ไม่แน่เขาอาจเก็บมาเผื่อสองคนนั้นที่เหนื่อย หมดแรง ฉันเก็บไปเผื่อเขา
เขาอาจจะมีดีก็ได้หรือไม่เขาเอาเมล็ดและผลนั้นมาทั้งหมด เพราะเขาอาจจะคิดหาวิธีปลูกในหมู่บ้าน
จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลก็เป็นได้
เพราะถ้าเอามาเมล็ดเดียวปลูกไม่ได้ผล ปลูกแล้วตายก็ต้องเอามาเผื่อหลายๆ
เมล็ด
แล้วอย่างนี้จะโทษใครดีใครร้ายได้หรือไม่ (ไม่ได้) เหมือนกันพุทธะจึงอยากโปรดทุกคนกลับคืนเบื้องฟ้า
เพราะเห็นทุกคนดีเหมือนกันหมด
แต่คนเราต่างหากที่อยู่ในโลกก็แบ่งเหลือเกิน โน้นไม่ดี นี่ก็ไม่ได้เรื่อง นี่ก็ย่ำแย่ โน้นก็ท้อถอย
เพราะว่าใจเราคิดเท่านั้นเอง
ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้
เราจะมองเห็นผู้อื่นได้ด้วยสิ่งที่ดี ด้วยน้ำใจที่ดี ก็คือ
เราต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง มองให้เห็นให้จงได้ เราก็จะเป็นผู้ที่มองคนแล้วไม่ได้ติดแค่เปลือกนอก
มองคนแล้วสามารถมองทะลุเข้าไปถึงจิตใจและเจตนารมณ์ เมื่อเรามองคนด้วยกันออก
แล้วจะยากอะไรกับการมองสรรพสิ่ง มองมายาหรือสัจธรรมในโลกนี้ให้ออก แต่อยู่ที่ว่าใจเราเปิดกว้างพร้อมที่จะยอมรับเรื่องราวในโลกนี้หรือเปล่า
“เปรียบโลกใหญ่โบกขรณีที่เหี่ยวเฉา” หากกล่าวว่าโลกนี้เปรียบเหมือนสระบัวสระใหญ่ ตัวคนนั้นเหมือนดอกบัว หนึ่งคนก็หนึ่งดอก
ดอกบัวนี้จะเติบโตงดงามได้ตามจิตใจของคน หากคนจิตใจดีไม่มุ่งร้ายเข่นฆ่ากัน
บัวก็จะผลิดอกได้อย่างงดงาม เปรียบเหมือนดอกบัวที่พุทธองค์ตรัสว่า บัวมีสี่เหล่า
บัวนี้จะผลิดอกออกมาได้ต้องผ่านโคลนตม ผ่านชั้นน้ำ จึงจะมาชูช่อเหนือฟ้า เราเคยคิดหรือไม่ว่าเราอยากเป็นบัวชนิดไหน
หากบัวนี้เป็นบัวที่เติบโตด้วยคุณธรรมความดีงาม บัวของเราก็ไม่ค่อยสวยสดเท่าไหร่
เพราะจิตใจของเรานั้นสามวันดีสี่วันร้าย
หากเปรียบเป็นสระบัว สระบัวนี้คงมีดอกบัวที่เหี่ยวเฉา
ทั้งที่ตอนเริ่มต้นออกมาสวยแต่พอเติบโตแล้วเป็นยังไง
เหี่ยวและท้อแท้กันเป็นเพราะอะไร เหมือนเราพ่ายแพ้กับโคลนตมสกปรก
พอมีนำ้สมมติว่าชนะได้ แต่ก็แพ้เพราะถูกปลากัดกิน เปรียบเสมือนกับความดีหรือคุณธรรมที่อยู่ในจิตใจของเราค่อยๆ
ถูกกัดกร่อนไปตามสังคม กิเลส และอารมณ์ จึงหาบัวที่สมบูรณ์ชูช่อพ้นน้ำ
พ้นตมได้น้อยเหลือเกิน
สระบัวสระนี้จึงมีแต่ดอกบัวที่จมอยู่ใต้น้ำหรือไม่ก็แนบติดดิน
แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะผลักดันให้บัวดอกนี้ขึ้นมาชูช่อได้
“เกณฑ์ยุคขาวบัวเริ่มผลิสล้าง” ตอนนี้เป็นเกณฑ์ยุคขาว
เป็นเกณฑ์ที่ให้คนเรารู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน
การจะบำเพ็ญตนขัดเกลาตนต้องบำเพ็ญท่ามกลางสังคม ท่ามกลางหมู่ชนนี้
ท่ามกลางโลกใบนี้ บำเพ็ญโดยให้เรายืนหยัดต่อสู้เป็นคนที่ดี เป็นคนที่มีคุณธรรม
หากเรามีใจมุ่งมั่นที่จะอยากเป็นคนดีก็คงเหมือนกับดอกบัวที่อยากจะพ้นโคลนตม พ้นน้ำ
แต่ถ้าเราพ่ายแพ้ก็เป็นเหมือนกับดอกบัวที่ไม่สู้โคลนตม ไม่สู้น้ำ
การบำเพ็ญยุคนี้เป็นการบำเพ็ญในครัวเรือน อยู่กับครอบครัวได้อย่างมีความสุข
อยู่กับเพื่อนได้อย่างฉันท์มิตร อยู่กับผู้ร่วมงานได้อย่างเกษมเปรมปรีดิ์
หากเราอยู่กับใครก็เป็นสุข อยู่กับใครก็อยู่ได้ นั่นก็คือ
การเริ่มต้นบำเพ็ญตน
เพราะตอนนี้ถ้าให้ท่านบำเพ็ญแบบสมัยก่อนคงทำไม่ได้
ต้องทิ้งบ้านเรือนแล้วไปบวชคงทำได้ยาก ทำได้น้อยและคงไม่มีใครคิดที่จะทำ แต่ถ้าเกิดว่าไม่มีคนคิดจะทำเลย
คุณธรรมและพุทธศาสนาย่อมเสื่อมและหดหายไป เพราะทุกคนไม่คิดบวช ไม่คิดบำเพ็ญ
เกณฑ์ยุคสามจึงโปรดให้เราบำเพ็ญท่ามกลางความเป็นมนุษย์
ท่ามกลางความเป็นคนที่อยู่ในสังคม พอเข้าใจหรือเปล่าว่าบำเพ็ญอย่างไร นั่นก็คือ
ให้เราบำเพ็ญท่ามกลางที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูก เป็นบุตร เป็นสามี เป็นภรรยา
บำเพ็ญคุณธรรมให้สมบูรณ์ เป็นพ่อแม่ก็เป็นพ่อแม่ที่ดีสมบูรณ์มีคุณธรรมของพ่อแม่ที่ควรมี
เป็นบุตรก็ควรเป็นบุตรที่สมบูรณ์มีคุณธรรมของบุตรที่ควรมี มีคุณธรรมต่อกันแล้ว
ยังมีคุณธรรมต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย หากเราทำได้ครบก็สามารถบำเพ็ญเป็นพุทธะบนโลกนี้ได้
“อัตตาตนเด่นชัดสลัดก่อนติด” “อัตตาตน” เราเกิดมาเรามักจะมีคำว่า “ตัวตน” เรามักจะมองแล้วมักจะถามว่า ตนชื่ออะไร
มีอะไรเป็นของตน และจะทำอย่างไรเพื่อตน พุทธะเมื่อมีตนรีบสลัดคำว่า
“ตน” ทิ้งก่อนที่จะติดตน แต่ท่านขอมีตนก่อนแล้วค่อยตัดทิ้ง
ใครเหยียบชื่อ ใครมาดูหมิ่นชื่อก็ทนไม่ได้ ใครเอาของเราไปยอมไม่ได้
เวลาของตกหายก็ของๆ เรา แต่พุทธะเวลาที่ท่านทำของตกหายท่านพูดว่า
ไม่เป็นไรของนี้ก็เป็นของทุกๆ คน ท่านปล่อยวางทันทีไม่ต้องกังวล แต่พอของเราหาย
เราเป็นอย่างไร ของฉันหายใครมาเอาไปก็ไม่รู้ เราปล่อยวางไม่ได้ เขาเป็นของฉัน
เขาไปไหนก็ไม่รู้ ฉะนั้นถ้าเราตัดคำว่า “ตัวตน”
ออกก่อนที่จะติด เราคงมีความอิสระเบิกบานมากกว่านี้
ไม่เป็นคนที่ติดตัวเองมากกว่าเมื่อก่อนหรือมากกว่านี้
“เด่นชัดสลัดก่อนติด” เมื่อไหร่ที่มีตัวตนขึ้นมา
พอมีคนเอาของเราไป เราจะพูดว่า นั่นของเรา ก่อนที่จะพูดว่า ของเรา
เราต้องคิดก่อนว่า ไม่เป็นไรช่างเขา
เราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงของสิ่งนั้น เวลาเขาตีเรา เราเจ็บก็คิดว่าไม่เป็นไรเขาช่วยนวดให้เรา มีใครมาว่าชื่อพ่อแม่เรา ก็บอกว่าไม่เป็นไร
เขาจำชื่อพ่อแม่เราได้ เวลาเขาว่าชื่อเราก็ไม่เป็นไรเพราะเขาจำชื่อเราได้ติดใจ
ทำแบบนี้ง่ายหรือเปล่า
“ทุกชีวิตแก้ไขแถลงไม่ยึดขันธ์” เพราะเราติดในขันธ์ทั้งห้า
ความต่างของคนกับพุทธะที่จะฝึกฝนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต่างกันตรงนี้
ท่านจะเริ่มต้นคิดว่า ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อดับ ทุกคนเกิดมาต้องดับทุกคน
แต่ความเป็นคนนั้นดับแค่ตัวตน แต่ความเป็นพุทธะดับที่กิเลสอารมณ์ “ดับตัวตน” ในความหมายของเราก็คือ
ดับแค่กายสังขารนี้ เรารู้แค่การดับเท่านี้
แต่ตอนนี้เราศึกษาบำเพ็ญธรรมและได้รู้ว่า เราสามารถที่จะดับกิเลส ดับอารมณ์
เพื่อดำเนินทางการเป็นพุทธะได้ ทุกคนเกิดมาเพื่อดับ
ดับมาเพื่อเกิด ทำไมเราจึงจะต้องสานต่อการเกิดการดับที่ไม่หยุดนิ่งและเวียนวนไปเรื่อยๆ
ทำไมเราไม่หยุดก่อนที่เราจะต้องมานั่งเสียใจ หากรู้จักคิดและวางตนให้ถูก
รู้จักกระทำให้ถูกทาง หากมีความระมัดระวังเราย่อมมีความสุขในการมีชีวิตได้
“เมื่อไม่ได้รักษาโอกาสต้องจาบัลย์” เมื่อมีชีวิตไม่รู้จักถนอมชีวิต ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้เป็นและใช้ให้มีค่า
เรามีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับคนที่มีความสุขผ่านไปเพียงวันหนึ่งๆ
วันต่อไปไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย ชีวิตแขวนเอาไว้บนเส้นด้ายเป็นชีวิตที่อันตราย
หากเรามีชีวิตเราต้องยืนหยัดอยู่ในคุณธรรมและดำเนินไปตามสัจธรรมด้วยความสอดคล้อง
เราจะมีชีวิตที่มีคุณค่า เมื่อเห็นสิ่งผิดก็พร้อมจะแก้ไข
เมื่อถูกตำหนิก็พร้อมที่จะตรวจสอบ
เมื่อถูกชมก็พร้อมที่จะพิจารณาให้ชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่
คนที่รู้จักยืนหยัดอยู่ในคุณธรรม ดำเนินทางแห่งสัจธรรม คนๆ
นั้นจะเป็นคนที่มีชีวิตที่เป็นสุขไม่ต้องวิตกกังวล รักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม
คนเรานั้นดีหรือชั่วอยู่ที่ใด
ตอนนี้เราเรียกตนเองว่า “คนดี” ได้หรือเปล่า คนชั่วต่างกับคนดีอย่างไร ความดีและความชั่วนั้นไม่ได้มีไว้ตัดสินคน
ตำหนิคนหรือต่อว่าคน แต่มีไว้เพื่อตรวจสอบตน อย่างไรที่เรียกว่า “จิตใจที่ไม่ดีคิดผิด คิดไม่ดีคิดร้าย” อย่างไรที่เรียกว่า “จิตใจที่ดีควรรักษาไว้ ประคองไว้” ส่วนมากเมื่อเรารู้เรื่องดีและไม่ดี
เรามักจะเอาไปตัดสินคนมากกว่าที่จะมาตรวจสอบตนเอง จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเวลาที่เราคิดว่า
เรื่องไหนดีและเรื่องไหนไม่ดี ขอให้เราตรวจสอบก่อน
ไม่ใช่เอาไปชี้หน้าว่าใครหรือตัดสินใคร นี่คือ “การรู้จักดี
รู้จักชั่ว” แล้วนำไปใช้ให้ถูกทาง แต่เราจะบอกสั้น ๆ
ง่ายๆ ว่า “คนไม่ดี” คือ
คนที่ไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่กลัวความผิด เห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม
เรื่องใดที่ได้รับประโยชน์ก็ทำ ถ้าไม่ได้รับผลประโยชน์ก็ไม่ทำ
เมื่อไม่ถูกบังคับให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงก็ไม่ทำ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
เห็นความดีที่เล็กน้อยไร้ค่าก็ไม่ทำ
เห็นความชั่วเล็กน้อยก็ว่าไม่เป็นไรจะทำและเห็นตรงกันข้ามกัน
ความชั่วเล็กน้อยรวมกันมากขึ้นย่อมยากที่จะปกปิดแล้วก็กลายเป็นคนที่ผิดมหันต์ ตอนนั้นก็สายเกินการที่จะแก้ไข
ฉะนั้นเราเป็นคนเช่นไรขอให้เราตรวจสอบ เผลอไปคิดไม่ดีหรือไม่ หากเรามีใจที่รักดี
เราจะเป็นคนที่ไม่กล้าคิดจะทำผิด
ถ้าท่านเกลียดความชั่วเหมือนเกลียดคนที่ท่านเกลียดที่สุดในโลก
ท่านจะไม่กล้าทำชั่วเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่เมื่อไรที่ท่านทำความชั่วแปลว่า ท่านแอบไปชอบคนที่ท่านเกลียดที่สุดเข้าแล้ว
“คนต้องไร้ทางเพียงจิตอับเฉา” ทุกคนต่างมีทางในการดำเนินชีวิตและมีคนร่วมทางเดินในชีวิต ตั้งแต่เกิดมาเราต้องเดิน ต้องคว้านหา
และมีความอยาก
เราเคยสังเกตหรือไม่ว่าช่วงที่เดินไปนั้นบางคนเหมือนถอย ซึ่งตรงข้ามกับการเดินที่จิตใจนั้นจะดีขึ้น
มีความก้าวหน้าขึ้นหรือรักษาจิตใจให้คงเดิม แต่บางคนจิตใจกลับแย่ลง ชั่วร้ายลง
ในช่วงระหว่างที่เราเดินนั้น เราจะพบทั้งคนที่พัฒนาตนเองดีขึ้นแต่จิตใจด้อยลง
แล้วเราหันกลับมามองตัวเราเองบางครั้งช่วงที่เราเดินทางไป การเดินของเรานั้นตัวเราได้เติบโต
แต่จิตใจไม่ได้เติบโตไปด้วย จิตใจกลับปลูกฝังเก็บแต่สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น แปลว่า
ชีวิตของทุกคนหากดำเนินชีวิตปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม คุณค่า
สิ่งชั่วร้าย สิ่งผิด คนๆ
นั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปยากเกินกว่าที่เราจะคาดถึงได้ ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมใจตนเอง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนที่พัฒนาแต่ร่างกาย
แต่จิตใจไม่ได้พัฒนา
ทำไมบางคนทั้งที่มีทางเดินออกมากมาย
แต่จิตใจเขากับมืดมนไร้หนทาง เพราะเขามีความทุกข์
ทุกข์ของมนุษย์เกิดเพราะจิตไม่เบิกบาน ใจไม่ชอบและไม่รัก เมื่อเราจะหาความสุขได้
เราต้องรู้จักเบิกบานไว้ คำว่า “เบิกบาน” ต้องเป็นใจที่เบิกบาน
นั่งตรงนี้มีสุขหรือมีทุกข์ (มีสุข) ไม่มีใครไม่เคยมีทุกข์
มีทุกข์มากหรือทุกข์น้อย
มนุษย์เราทุกข์เพราะอยากมี อยากได้ อยากเป็น อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็อยากได้ไปทั้งหมด ถ้าเราตัดคำว่า “ของเรา”
ทิ้ง เราก็จะไม่ทุกข์ บางคนว่ายังตัดไม่ได้ เราเห็นของคนอื่นแล้วอยากได้
อยากมี เพราะเราไปเปรียบกับเขา
เราต้องตัดคำว่า “เปรียบ” ทิ้ง ความทุกข์ก็จะลดไป อีกหนึ่งอย่างคือ ทุกข์เพราะชอบมอง ชอบฟัง ชอบสัมผัส
ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะเป็นทุกข์ อยากรู้อยากเห็นก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าพูดให้ง่ายขึ้น ขอให้เรามีความสุขในความดี เราก็จะไม่ต้องทุกข์
เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนหากเราพอใจในความพอดี เราก็จะไม่ต้องทุกข์
มนุษย์นั้นเป็นเหมือนนกที่บินทั้งทีก็ต้องบินให้สูงเวลาที่ตกลงมา
ไม่ก็ปีกหัก ไม่ก็โดนยิง หรือไม่ก็บินไปไม่ถึงเพราะเห็นนกตัวอื่นสวยกว่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกม
โดยให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมถือผ้าไว้ด้านหลัง
แล้วให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเดินเกาะหลังทีละคนจนเป็นแถวยาว)
ชีวิตคนเรานั้นก็เหมือนกับเวลาที่เราเดินไปแล้วให้คนมาเกาะหนึ่งคน
แล้วเดินไปก็ให้อีกคนหนึ่งมาเกาะ จากตอนเริ่มตนเรามาตัวเปล่า
เราสามารถมีความสุขได้ มีอิสระทำอะไรก็ได้ แต่พอมีเพิ่มมาเป็นสอง เป็นสาม
เราต้องถือของอีก ตัวเราก็จะหนักขึ้น
ความอิสระเริ่มน้อยลง ฉะนั้นทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เราจะตัดได้นั่นก็คือ การมีให้น้อยที่สุด หากเราเดินไปมีคนมาขอพึ่งบารมี
เราไม่อยากยุ่งได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะเวลาเราอยู่ในสังคมเราต้องอยู่ร่วมกัน
พึ่งพากัน เรามีข้าวกิน เรามีเสื้อผ้าใส่
ใช่เราคนเดียวที่ทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ต้องเกิดจากคนอื่นช่วยด้วย
ถึงคราวให้ได้เราก็ให้เขา
ถึงคราวที่เราช่วยไม่ได้เราก็ปฏิเสธเขาด้วยความจริงใจว่า ไม่มีจริงๆ
ไม่ใช่บอกไม่มี แต่จริงๆ แล้วมีแต่ไม่ให้ อยากจะเอาไปให้คนอื่นแทนอย่างนี้ไม่ได้
เพราะเราอยู่ร่วมกันเราต้องมีกำลังใจให้กัน
มีใครเดือดร้อนเราต้องพร้อมที่จะช่วยเหลือกัน
การที่เราหมดทุกข์ได้อีกอย่างหนึ่งคือ
เราต้องรู้จักดำเนินเป็นและเราต้องหยุดเป็น บางคนฉากของชีวิตเราพบแต่สิ่งที่สวยงาม สิ่งที่ถูกใจ
แต่ถ้าดำเนินกับสิ่งที่มีแล้วไม่รู้จักถนอมแล ะรักษาโอกาส
เมื่อพบสิ่งที่ดีไม่รู้จักแบ่งปันให้คนอื่นเก็บไว้ใช้คนเดียวโอกาสที่มีนับวันก็หมดไป รู้จักแบ่งปันจึงเรียกว่า “รวยได้อย่างแท้จริง” คนขาดแคลนต้องรู้จักเพิ่มเติมไม่ใช่ตอกย้ำให้ตนเองยิ่งขาดแคลนแล้วกระทำผิด พูดง่ายๆ คือ เมื่อเวลาพบสิ่งดีๆ
ต้องรู้จักแบ่งปัน เวลาพบสิ่งร้ายขอให้คิดไตร่ตรองแล้วแก้ไขทำให้ดีขึ้น
คนในโลกนี้เหมือนคนที่มีใจพร่อง เป็นใจที่ไม่ยอมเต็ม
เกิดมาก็พร่องแล้ว เช่น ขาดความรัก
แล้วมีคนมาเติมรักให้เราเต็ม มีคนมาเติมความอยากให้เรา อย่างนี้ก็ไม่ดี เราต้องเป็นคนที่รู้จักสมบูรณ์ได้ในตัวเอง
เพราะบางครั้งเขาไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดชีวิต
บางครั้งเราต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่มีใครยอมเติมให้เรา
แต่เรายอมเป็นคนเติมให้เขา
ไม่มีใครยอมเติมเชื้อไฟ จุดประทีปไฟในความมืด
แต่เรายอมเป็นคนจุดประทีปในความมืดให้กับเขา
คนในโลก ในกลุ่ม ในสังคมบ้านท่านไม่มีใครเป็นคนดี
แต่ท่านยังเป็นคนดีให้กับเขาได้
คนเขาจะชี้หน้าด่าว่า ท่านไม่มีดี ท่านก็ยังทำอยู่ทุกวันและท่านก็ยังดีได้ ถ้าเราคิดถึงแต่ความทุกข์ยากของคนอื่น
เราจะมีเวลาทุกข์ของตนเองหรือไม่ (ไม่มี) นี่คือ การดับทุกข์ได้อีกหนึ่งอย่าง เพราะคิดแต่ช่วยเหลือคนอื่น
เห็นแต่ความทุกข์ของคนอื่นจนลืมไปว่าตัวเราทุกข์ การดับทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ
คุมได้แต่กายแต่คุมความคิดไม่ได้
เราเห็นเขา เราเชื่อว่าเขาดี แต่คนเราน้ำนิ่งไหลลึก
หินยังกร่อนได้นับประสาอะไรกับใจคนจะผลิกผันเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ฉะนั้นจึงมีแต่ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยควบคุมเขา ช่วยดูแลให้เขาเป็นคนดีของสังคม
ของครอบครัวและเป็นเงาอันร่มเย็นของหมู่ประชา
เมื่อเรามีความสุข
เราต้องคิดถึงคนอื่นด้วยว่าคนอื่นมีหรือเปล่า
เราเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจเขา ปกติเวลาเรามีความสุขเราจะยิ้ม
แต่เวลาเราทุกข์เราจะก้มหน้ายอมรับ เวลาเรายิ้มก็ยิ้มให้กับทุกๆ คน
แต่วันนี้เราจะส่งมอบยิ้มให้เขา ยิ้มที่ตัวเขาเองแต่เราเป็นผู้ทำ
เราเป็นคนก็ต้องมีท่าของความเป็นคน แต่ตอนนี้เราจะมีเพิ่มอีกหนึ่งท่าคือ
ท่าแบบอย่างของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเดินแบบไหนก็แสดงว่า ท่านเป็นแบบนั้น
“เช้ากลายเที่ยงยากแสนจะสกัด” เวลาผ่านไปรวดเร็ว เราไม่สามารถที่จะหยุดยั้งได้ วันนี้ดีใจได้พบกับทุกๆ ท่าน
คงจะทำให้ท่านมีความสุข จนกระทั่งลืมนึกถึงบ้านคงเป็นไปไม่ได้ จะให้อยู่ที่นี่สุขเหมือนอยู่บนสวรรค์ก็คงเป็นไปไม่ได้ ต้องอยู่ที่ใจของท่านด้วย ตบมือข้างเดียวอย่างไรก็ไม่ดัง ต้องมีท่านมาร่วมประสานถึงจะดังขึ้นได้ วันนี้ถึงแม้ว่าเราจะมาแล้ว
แต่ถ้าหากไม่มีพวกท่านนั่งอยู่ที่นี่คงจะไม่เกิดผลอะไร
เราก็ต้องขอบคุณท่านด้วยที่มาร่วมงาน ทำให้งานนี้บรรลุเป้าหมายได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านว่า
พรุ่งนี้ท่านจะมาหรือไม่มา
ตัวเรานั้นสามารถบำเพ็ญทานได้สามอย่าง มีอะไรบ้าง (ทรัพย์เป็นทาน,
พูดธรรมะเป็นทาน, แรงกายเป็นทาน) การบำเพ็ญตนนั้นเริ่มง่ายๆ
ไม่กระทำเกินตน ให้ทำเท่าที่ตัวเองทำได้
ทำเท่าที่ตัวเองเข้าใจ หากมีข้อสงสัยก็ให้กลับมาศึกษา
ปลูกต้นไม้นั้นปลูกแค่สองวันจะเป็นต้นไม้ที่โตไม่ได้
วันนี้ก็เหมือนกันจะให้เราพูดธรรมะจนกระทั่งท่านบรรลุคงเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็พูดให้ท่านรู้ซึ้งถึงชีวิตย่อมดีกว่า
แล้วการจะรู้แจ้งและหลุดพ้นขึ้นไปนั้นอยู่ที่ตัวเราลงแรงในสิ่งที่ได้ยิน
ได้ฝึกฝนตามที่เข้าใจ ปลูกต้นไม้สองวันจะเกิดผลหรือไม่เกิดผล
ต้องอยู่ที่ท่านนำไปลงแรง
ทุกวันหมั่นตรวจสอบตน
การตรวจสอบตนช่วยทำให้เราระมัดระวังตนเองมากยิ่งขึ้น
ตนเองมีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาเกาะกุมใจหรือมีสิ่งดีก็ควรรักษาไว้
ชีวิตนี้อยู่แค่ลมหายใจเท่านั้นเองวันใดที่ลมหายใจหมดลงวันนั้นชีวิตก็ไม่มีก็หมดไป
เราไม่รู้ว่าวันใดลมหายใจจะไปจากเรา
ฉะนั้นเมื่อยามมีชีวิตขอให้รู้จักสร้างแต่สิ่งที่ดี
ไม่เช่นนั้นวันนี้มานั่งฟังธรรมะก็เปล่าประโยชน์ ธรรมะมีค่าก็เพราะได้ลงแรงกระทำ ไร้ค่าเพราะไร้การกระทำ วันนี้ดีใจได้มาพบท่านและจะดีใจมากยิ่งขึ้นถ้าได้พบทุกท่านที่เบื้องบน
บำเพ็ญธรรมดูเหมือนง่าย แต่เวลาทำอาจจะยากสักนิดหนึ่ง
การมีชีวิตอยู่ทางโลกเราหาความสุขได้อย่างไรบ้าง
วิ่งไปตามความอยาก
แต่ความอยากที่เราคิดว่าสุขนั้นผลสุดท้ายคือ ความทุกข์ การบำเพ็ญธรรมคือ วิ่งเข้าไปหาความทุกข์ เพื่อดับทุกข์
แล้วพบกับความสุข เราเข้าใจแล้วว่าชีวิตนั้นมีหวานแล้วจึงขม ขมแล้วจึงหวาน
ตัวคนเรานั้นตั้งแต่เกิดมาก็มีอัตตามีความเป็นตัวของตัวเอง มีทิฐิ มีนิสัย
มีความเคยชินที่แตกต่างกันออกไป แต่นิสัยความเคยชิน อัตตา ทิฐิ ไม่สามารถที่จะนำพาตัวเรากลับคืนเบื้องฟ้าได้ มีแต่ความเมตตา
ความกรุณาและความยุติธรรมเท่านั้นที่จะสามารถนำพาเรานั้นกลับคืนเบื้องฟ้าได้อย่างแท้จริง
ถ้าถามว่าเรามาจากไหน
เราก็มาจากฟ้า ให้เรากลับไปเราก็ขอกลับคืนเบื้องฟ้า แล้วท่านมาจากไหน
แล้วจะกลับไปที่ไหน นับจากนี้ไปก็อยู่ที่ท่านเลือกทางให้กับชีวิตแล้วว่า
จะขึ้นจากเหวหรือลงนรก เป็นคนดีหรือคนร้ายอยู่ที่เราแล้ว
แต่อย่าคิดว่าคนหนึ่งคนจะไม่มีผลกระทบต่อสังคม
ทุกคนล้วนมีผลกระทบต่อสังคมด้วยกันทั้งสิ้น
ธรรมะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจเรา
แต่ต้องเป็นใจที่เที่ยงธรรม ไม่ใช่เป็นใจที่เข้าข้างตัวเอง หรือใจที่ตามอารมณ์ตัวเองอย่างนั้นไม่ใช่ธรรมะ ผู้บำเพ็ญธรรมอย่าโหมงานมากจนเกินไป
ต้องรู้จักพักผ่อนบ้าง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟังที่ชั้นล่าง)
นั่งฟังกันมากี่รอบแล้ว
ฟังแล้วได้ไปลงแรงกระทำหรือเปล่า
อยู่บนโลกนี้ทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์) ถึงแม้โลกนี้จะมีทุกข์อย่างไร
ถ้าเรามีใจเป็นสุข ทุกข์นั้นก็ไม่สามารถทำอะไรกับเราได้ เหมือนคนอื่นจะพูดยังไง
ถ้าเราไม่เอามาเป็นอารมณ์ ไม่ถือสา เขาจะทำร้ายใจเราได้หรือไม่ (ไม่ได้) มีทุกข์ก็เพราะอย่างนี้
แต่อยู่ที่เราจะจัดการอย่างไรกับชีวิต กับเรื่องทางโลกนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราก็ไม่ใช่อารมณ์ที่แน่นอน
วันนี้สุขพรุ่งนี้ทุกข์จะสุขทุกวันก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นต้องปล่อยวางให้ได้
เป็นเด็กต้องอย่ายึดติดพ่อแม่ เป็นคนแก่ก็อย่าขี้บ่นและใจร้าย นี่เป็นสิ่งที่ต้องการของคนในสังคม เป็นผู้อาวุโสต้องยิ้มเก่งๆ ยิ้มเข้าไว้
ยิ้มแล้วจะชนะใจลูกหลาน อย่าบ่นเพราะบ่นไปก็เท่านั้น ยิ่งบ่นลูกหลานก็ยิ่งหนีเรา
ยิ่งบ่นเขายิ่งไม่รักเรา เขาจะเป็นอย่างไรบางครั้งต้องปล่อยเขาเพราะเขาโตแล้ว
เขาคิดเป็นทำเป็น บุญของใครกรรมของใครสักวันเขาต้องได้รับในสิ่งที่เขาทำ
เราไปกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ ตอนนี้เหลือแค่ชีวิตของเราเอง เราต้องทำให้ดี
อะไรปล่อยได้ก็ปล่อย ถึงคราวที่เราต้องไปจากกายนี้ก็ไปด้วยใจที่เป็นสุข
เพราะชีวิตนี้เราได้รู้ทางแล้ว
เราได้รู้แล้วว่า จิตใจที่ดีคือ การมีจิตใจที่โปร่งใส เมื่อเป็นคนแก่ก็ต้องเป็นคนที่แก่ที่น่ารัก
เป็นเด็กก็ไม่ดื้อรั้น อายุมากแล้วยังยิ้มได้ สู้ได้กับทุกเรื่องราวในโลกนี้ เห็นท่านกลับมาเราก็ยังดีใจ ขอให้รักษาบุญรักษาโอกาสให้ดี
มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญธรรม ลงแรงทำได้ก็ทำ
ทำไม่ได้ก็หยุดพัก อย่าได้เหนื่อยล้า
อย่าได้ท้อแท้ในการบำเพ็ญธรรม ใครทำคนนั้นก็ได้ ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่เป็นไร ฉันจะทำและฉันยอมถูกชี้แนะ ขอให้อดทน
ขอให้ตั้งใจศึกษากันให้ดี เราขอให้ทุกท่านมีชีวิตที่เป็นสุข
สุขที่แท้จริงไม่ใช่สุขในลาภยศชื่อเสียง เป็นสุขที่สุขสงบ
มีความสุขในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีความพอใจ มีความปิติยินดีในสิ่งที่ตนเองมี
ตนเองเป็นเท่าที่ตนเองทำได้ หากทำได้เท่านี้เราก็จะไม่ต้องดิ้นรนเดือดร้อนอะไรมากมาย
ใครที่มีหน้าที่เรียน เรียนไหวก็เรียนไป
ไม่ใช่ให้หยุดเรียน แต่มีโอกาสก็ต้องแวะมาห้องพระบ้าง
แวะมาศึกษาธรรมะบ้าง
ต้นไม้แห่งธรรมะไม่ได้โตได้ในสองวันเท่านั้น
ต้องอยู่ที่ท่านจะนำไปบ่มเพาะให้โตขึ้นได้อย่างไร สองวันที่ได้มาเรียนรู้คงไม่สามารถปลูกต้นไม้แห่งคุณธรรม
ต้นไม้แห่งธรรมะในใจให้โตขึ้นทันทีได้ ถึงโตได้ก็คงเป็นต้นกล้าที่เล็กๆ
ไม่แข็งแกร่ง โดนเขาดึง โดนเขาเหยียบย่ำก็หักงอ แล้วก็ตายไป ฉะนั้นต้องพยายามมารดนำ้คุณธรรม
และเติมปุ๋ยแห่งธรรมะลงไปมากๆ เราไปแล้วนะ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ถามหาใจยินยอมเป็นดั่งสะพาน แม้ใครจะไม่เห็นมิเคยลำเค็ญอยู่ในใจ ของสวยงามน่ามองสะดุดดวงตา
ขอบำเพ็ญจิตไว้เท่าทัน ข้ายังคอยเฝ้าชม
* หากรอจะสายไป จะบำเพ็ญธรรม ปัจจัยใดฤๅสำคัญเท่าใจ ศิษย์ต่างเคยหลงไป หากเจอใครท้อใจ
ส่งแรงใจให้กัน แม้ทุกข์ร้อนครอบงำจิตแห่งศิษย์เรา ขอปลงใจไม่ร้อน มั่นคงบำเพ็ญเสมอไป (ซ้ำ *)
ชื่อเพลง : ถามหาใจศิษย์
ทำนองเพลง : โปรดจงตัดสินใจ
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันย้อนมองคิด ยังยึดติดวัตถุและลาภยศถา
ความเป็นจริงวัตถุต่างไร้ราคา เหล่ามายารอบกายตนพินิจดู
พระกลางใจไม่หวั่นเกรงทั้งลมฝน มิอับจนเพราะปัญญาได้ตื่นรู้
ใช้ความผิดนานัปการมาเป็นครู ดุจธนูพุ่งไปสู่ปลายทาง
ศิษย์น้อยเอยละกิเลสทยอยเริ่ม กุศลเพิ่มแต่ใจจงใสว่างว่าง
ศิษย์รักผู้เป็นดวงใจไม่เคยจาง รวมพลังฝ่าอุปสรรคที่ใกล้เข้ามา
อายุน้อยค่อยศึกษาอย่าว่าแปลก ประคองใจดวงแรกที่ศรัทธากล้า
สู่จุดหมายได้หลุดพ้นโลกียา เป็นดั่งปลาไม่เคยยอมไหลตามธาร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ใครที่คิดว่าจบจากชั้นไปแล้วตนเองจะนำสิ่งที่ได้ศึกษาไปปฏิบัติ
การฝึกเป็นพุทธะนั้นถ้าหากหวังยังไม่กล้าที่จะหวังแล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร มนุษย์พูดกันเสมอว่า คนเรานั้นอยู่ได้ด้วยความหวัง เพราะฉะนั้นการหวังเป็นพุทธะเราก็ควรที่จะหวังได้เหมือนกัน
ถ้าหวังยังไม่กล้าที่จะกล้าหวังเป็นคนที่ไร้ความหวังก็ไม่รู้ที่จะทำอะไร บางคนชอบผัดผ่อนกับตนเอง
วันนี้ฉันยังทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่พรุ่งนี้ค่อยทำใหม่ ทำไมเราจึงไม่พูดว่าวันนี้เราจะทำให้ดีที่สุด
แล้วพรุ่งนี้เราจะทำให้ดีกว่าวันนี้ เราต้องละนิสัยเก่าๆ
ที่ตนเองเคยมีทิ้งไป และต้องพูดกับตนเองว่า
วันนี้เราทำดีแล้วพรุ่งนี้เราจะทำให้ดีกว่าเก่า
ไม่ใช่พูดว่าวันนี้ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เรารู้เหมือนกันว่า วันนี้ยังทำไม่ค่อยดีแต่พรุ่งนี้ค่อยทำใหม่
คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้จึงไม่สามารถหลุดพ้นได้ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับดินพอกหางหมู
แล้วพอกที่ไหน (ที่ใจ) พอกมากๆ
เป็นคนใจใหญ่ ใจมันก็ด้านไปหมด
เพราะฉะนั้นต้องเปลี่ยนตนเองใหม่
เราจะไม่เป็นคนที่มีนิสัยพอกหางหมูเพราะเราไม่ใช่หมู เราจะไม่เอาอะไรมาพอกไว้ในใจเรา
คิดอะไรได้ก็ทำสิ่งนั้น คิดในสิ่งที่ดีก็ต้องทำในสิ่งที่ดี
แต่บางคนคิดในสิ่งที่ดีแต่กลัวเสียผลประโยชน์
คำว่า “ผลประโยชน์”
คำนี้เป็นตัวขัดขวางความดีทั้งหมดที่เราจะกระทำ
เพราะหลายคนคิดว่าทำดีแล้วจะเสียเปรียบและเสียผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น เพราะฉะนั้นทำความชั่วดีกว่า เราต้องมีความคิดว่าทำความดีถึงแม้จะเสียผลประโยชน์ก็ไม่เป็นอะไร
ถ้าหากเสียผลประโยชน์เราก็ถอยลงมาก้าวหนึ่ง
หากเราได้ผลประโยชน์เราก็ควรที่จะเหลือช่องว่างให้คนอื่นเดินบ้าง หากคนอื่นไม่ให้ผลประโยชน์กับเรา
เราควรทำอย่างไร (ไม่เป็นอะไร
ถือเสียว่าไม่ใช่ผลประโยชน์ของเรา)
หากอาจารย์ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะเอาผลประโยชน์
เราควรที่จะรู้จักเสียสละถอยออกมา
ถ้าหากเราไม่ถอยยืนเฉยๆ เขาก็จะชนเรา คนที่รู้จักถอยก็คือ คนที่มีปัญญา
หากเป็นผู้ที่เดินหน้าถือว่าเป็นผู้ที่เอาเปรียบ
ฉะนั้นจะถอยหรือจะก้าวไปข้างหน้าล้วนแต่ต้องดูไปตามเหตุการณ์ต่างๆ หรือจะยืนเฉยก็ต้องดูให้ละเอียดลออ บางคนบอกว่าเดินหน้าเรียกว่า คนเอาเปรียบ
ต้องถอยหลังลงมา แต่ถ้าหากถอยหลังในสิ่งที่ไม่ควรถอยเราก็อาจจะทำผิดได้
การที่เรามาประชุมธรรม เพื่อให้เข้าใจธรรมะ หากกลับไปแล้วจะเดินหน้าหรือถอยหลัง
หรืออยู่กับที่ก็ต้องดูเหตุการณ์ให้ดี หากเราไม่รู้จักดูให้ดีจะทำให้เรานั้นไม่สามารถบำเพ็ญธรรมได้อย่างตลอดรอดฝั่งได้
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (จือเจวี๋ย) แปลว่า รู้ตื่น
ตอนนี้ตื่นอยู่หรือหลับอยู่ (ตื่น) กายตื่นใจหลับหรือเปล่า (ไม่หลับ) กายตื่นใจก็ต้องตื่นด้วย
การฟังธรรมะในสองวันนี้ก็เพื่อทำให้เราเข้าใจและนำกลับไปปฏิบัติได้
ถ้ากลับไปบ้านแล้วเรายังทำให้ชีวิตของเราเหมือนเดิมทุกอย่าง
ถามว่าการที่เรามาฟังธรรมะจะมีประโยชน์หรือไม่ (ไม่มี) ไม่มีประโยชน์ที่มานั่งฟังธรรมะไปมากมาย
เพราะเราฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เราต้องปฏิบัติบำเพ็ญให้ดี หากว่าเราปฏิบัติบำเพ็ญไม่ดี
เราก็ไปไม่ถึงทิศทางที่อาจารย์พูดถึง
จุดหมายของมนุษย์ในชีวิตนี้บางคนมีจุดหมายที่สูงสุด
บางคนมีจุดหมายแค่ชีวิตนี้มีกินมีใช้ก็พอแล้ว บางคนชีวิตนี้ไม่มีจุดหมายปลายทาง
ปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ ให้พ้นไปวันหนึ่งๆ แต่เรานั้นไม่ใช่อยู่แค่ปุถุชนเท่านั้น
เราจะต้องมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ เราต้องการสำเร็จเป็นพุทธะอริยะ เพราะฉะนั้นบันไดของคนที่ปล่อยชีวิตไปวันหนึ่งๆ
ศิษย์จะต้องทำตัวเองให้ไปจากสภาวะเช่นนี้
ส่วนคนที่มุ่งหวังจะมีกินมีใช้ก็พอแล้ว ศิษย์ก็ต้องก้าวขึ้นไปให้สูงกว่านี้
ก้าวขึ้นไปให้สูงขึ้นๆ ถ้าศิษย์พ้นจากสิ่งเหล่านี้ก็จะไปสู่ทิศทางของผู้ที่ทำดีตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นเวลาหลับหรือเวลาตื่น ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะน่าวิตกสักเพียงไร
ความดีของเรานั้นก็จะจรัสแสงเหมือนดังแสงอาทิตย์ พระอาทิตย์ไม่กลัวเมฆบัง
ศิษย์กลัวอุปสรรคความลำบากหรือเปล่า (ไม่กลัว)
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ได้มานั่งฟังธรรมะอยู่ที่นี่
ได้พบกัน ศิษย์ต้องมีความมั่นคงแน่นอนรู้ว่าเรานั้นกำลังทำอะไรอยู่ อาจารย์ให้ความสำคัญกับชีวิตของศิษย์มาก
เพราะชีวิตของศิษย์เป็นชีวิตหนึ่งที่สามารถหลุดพ้นได้ และเป็นชีวิตหนึ่งที่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้
ศิษย์อยากจะเลือกหนทางแห่งการเวียนว่ายหรือเลือกหนทางของการหลุดพ้น (หลุดพ้น) ถ้าอยากจะหลุดพ้นต้องใช้ความพยายามมาก
ถ้าศิษย์กลับไปบ้านหาเช้ากินค่ำ มีเวลาว่างก็ดูทีวี นิสัยของเรายังเหมือนเดิม
อย่างนี้จะเป็นพุทธะได้หรือไม่ (ไม่ได้) ์ต้องแก้ไขอะไร (นิสัยของตัวเอง) หลายคนบอกว่าอยากแก้ไขแต่ยังคิดไม่ออก
อาจารย์จะแนะนำให้เย็นนี้กลับไปบ้านแล้วมองกระจกดูว่าเราจะเริ่มต้นแก้ไขอะไรก่อนดี
(ใจเราเอง) ใจต้องเป็นอย่างไร (ใจต้องสะอาด)
โดยปกติแล้วมนุษย์รู้จักผู้อื่นแต่ไม่รู้จักตนเอง
มนุษย์รู้จักแค่ว่าเกิดมาแล้วชื่ออะไร เกิดมาอยู่ที่ไหน ใครเป็นพ่อแม่ของเรา
อย่างนี้เรียกว่า การรู้จักตัวเองใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) การรู้จักตัวเองต้องเป็นอย่างไร (ย้อนมองส่องตน) ศิษย์ต้องรู้จักอะไรของตนเอง (หน้าที่) ถ้าเราเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ของตนเองแล้ว
เราก็จะทำภาระกิจการงานของเราได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี หากเราไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
มีเวลาว่างก็ไม่รู้จักทบทวนถึงหน้าที่ของเรา
เราทำอะไรก็บกพร่อง เราไม่สามารถทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ได้
ต้องรู้จักอะไรอีก (หมั่นฝึกฝนตนเอง, พอใจในสิ่งที่ตนมี)
อะไรๆ ก็ทำได้เพียงแต่เราไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาท "เพลง ถามหาใจศิษย์")
อาจารย์ให้เพลงนี้เพราะชั้นนี้มีวัยรุ่นมาก
เราต้องเป็นวัยรุ่นที่มีกำลังและมีความกล้าที่จะแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง
วัยรุ่นสมัยนี้เป็นผู้กล้าแสดงออก แต่ว่าแสดงออกในสิ่งที่ไม่แน่ใจว่า
เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด เพราะฉะนั้นการกล้าแสดงออกของเรา
เราต้องแยกให้ออกว่าความกล้าของเราเป็นความกล้าที่แท้จริงหรือเป็นความโอ้อวด การกล้าแสดงออกเรียกว่า ความกล้า
มีใครเข้าใจความหมายของบทเพลงบ้าง
สะพานมีไว้ข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
สะพานนี้คนทูนไว้อยู่บนบ่าหรือเดินเหยียบย่ำข้ามไป (เหยียบย่ำ) สะพานคนเทิดทูนอยู่ในใจแต่เหยียบย่ำด้วยปลายเท้า
เพราะฉะนั้นคนที่เป็นได้ดั่งสะพานต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงอดทน
แม้ว่าคนอื่นนั้นจะไม่เห็นคุณค่าความดีของเราเลย เราจะต้องมีใจที่ไม่เป็นทุกข์
บางคนบอกว่าเราเป็นคนดีแต่คนอื่นมองไม่เห็นความดีของเรา เราก็มีความทุกข์อยากให้คนชม
อยากให้คนมอง อยากให้คนดู แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ (เป็นไปไม่ได้,
เป็นไปได้ยาก) เพราะฉะนั้นคนที่เป็นดั่งสะพานเหมือนอย่างที่อาจารย์ถามหานั้น ใจต้องเป็นคนที่มีความอดทนอย่างยิ่ง
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป การบำเพ็ญธรรมนั้นบำเพ็ญที่จิตใจของเรา
ถามว่าจิตใจของเราที่ไม่บำเพ็ญเป็นจิตใจที่งดงามมากพอหรือยัง (ยัง) ฉะนั้นจิตใจของเราจึงต้องบำเพ็ญเพื่อให้จิตใจของเรางดงาม งามในสายตาของเรา บางคนอยากจะงดงามในสายตาของผู้อื่น
เลยทำบุญเอาหน้าจึงทำให้การบำเพ็ญนั้นกลายเป็นรูปลักษณ์ไปหมด
หากเราบำเพ็ญเช่นนั้นเราจะงามในสายตาคนอื่นแต่จะอัปลักษณ์ในสายตาของเราเอง
เพราะเรารู้ว่าเราบำเพ็ญด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ
การบำเพ็ญนั้นต้องบำเพ็ญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แก้ไขปรับปรุงตัวเราไม่ว่าจะหลับหรือตื่น เราควรรู้ว่าจะแก้ไขอะไร เริ่มต้นตรงไหน
สิ่งใดบ้างที่เราควรจะแก้ไขเป็นสิ่งแรก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน
ไม่รู้จะนับก้าวที่หนึ่งตรงไหน ถามว่าก้าวที่สองจะมีหรือไม่ (ไม่มี) เมื่อไม่มีก้าวที่สองก็ย่อมไม่มีก้าวที่สาม เพราะฉะนั้นก้าวแรกถือเป็นก้าวที่สำคัญมาก
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์มาประชุมธรรมสองวันถือว่า
เป็นก้าวแรกเหมือนกัน ก้าวแรกจะเริ่มต้นได้หรือไม่นั้นต้องดูตอนที่กลับไปบ้าน
หากเรามีจิตใจที่ยังสามารถประคองไว้เช่นเดิม
สิ่งใดที่ฟังมาแม้จะยาก หากพยายามปฏิบัติมากๆ ยากก็กลายเป็นง่ายยิ่งขึ้น เหมือนกับคนหัดทำกับข้าวใหม่ๆ
จะเอากะทะไปตั้งเตา เตาก็ยังติดไม่เป็นเลย
ติดเตาเป็นแล้วก็ไม่รู้ว่าใส่น้ำมันมากหรือน้อย จะปรุงรสอย่างไร
แต่ถ้าคนที่ทำเป็นแล้วทำง่ายๆ ก็ยังอร่อย
ทำไมถึงง่ายกว่าวันแรกที่เราหัดทำครัว เพราะเราทำสิ่งนั้นบ่อยครั้งจึงทำได้คล่องและอร่อย เหมือนกับจิตใจของเราที่เกี่ยวกับการบำเพ็ญ
หากเราเป็นคนที่มีอารมณ์ร้ายมาก เวลาโมโหใครก็ห้ามไม่อยู่
แม้แต่อาจารย์ห้ามก็ไม่อยู่
ต้องหน้าของใครมาห้าม (หน้าเรา) ต้องหน้าของเราหน้าของคนอื่นก็ห้ามไม่อยู่ เวลาที่เราส่องกระจกมีหน้าของเรา
ทำไมหน้านี้ถึงดุร้ายและอำมหิตอย่างนี้ ให้เราเริ่มเปลี่ยนจากใบหน้าที่บึ้งตึงเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เวลาที่เราโมโหก้าวแรกของการหยุดอารมณ์โมโหคือ
เราต้องรู้จักดับไฟอารมณ์ของตนเองลง ต้องมีสติ ต้องดูว่าสิ่งที่เราโมโหนั้น
เราโมโหเพราะอะไร หากหาสาเหตุศิษย์จะรู้ว่า เราโมโหเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ ไม่มีเหตุอะไรที่เราต้องโมโห
แต่เราโมโหไปเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อค้นลึกลงไปอาจจะไม่ใช่คนอื่นผิด
แต่เป็นตัวเราเองที่กำลังทำผิด
ฉะนั้นหากโกรธก็ต้องโกรธตัวเราเอง เราต้องรู้จักดูตัวเอง โทษตัวเองว่าผิด
แต่ไม่ใช่โทษแล้วเหยียบตนเองจมธรณี
เราจะต้องแก้ไข เวลาที่จะแก้ไขอารมณ์ เราควรมองย้อนหาสาเหตุที่ทำลงไป
หาสาเหตุมากเท่าไรเราก็จะรู้ว่าคนที่มีอารมณ์มากๆ
ถือว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมจะต้องมาขจัดกิเลสให้สิ้น
หากขจัดไม่ได้มากก็ต้องขจัดให้ได้น้อย หากขจัดไม่ได้น้อยก็ต้องขจัดให้ได้นิด
ต้องเริ่มทีละหน่อย เหมือนกับการฝึกฝนทำครัวของเรา
หากเราโกรธให้เรากลับมามองตนเองว่าเรากำลังโกรธอยู่
ต่อไปเรายังไม่ทันโกรธก็สามารถดับไฟแห่งความโกรธได้ ถ้าหากเราห้ามอารมณ์โกรธบ่อยๆ
วันหน้าไม่ทันมีอารมณ์โกรธ
เราก็สามารถระงับความโกรธได้และเป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็นขึ้น จึงเหมือนผู้บำเพ็ญธรรม
ศิษย์ลองดูพระพุทธรูปที่อยู่ในห้องพระนี้ สมมติพระพุทธรูปองค์นี้ทำด้วยไม้
ให้ศิษย์เป็นช่างแกะสลักพระพุทธรูป ถือเครื่องมือแล้วแกะสลักตาของพระพุทธรูป
ในขณะที่ช่างกำลังแกะสลักอยู่มีอารมณ์โกรธขึ้นมาจะทำให้ตาของพระพุทธรูปเบี้ยว
เพราะตาเป็นสื่อสำคัญมากที่สุด
เพราะฉะนั้นเราควรที่จะทำใจของเราให้นิ่ง ทำสิ่งใดให้ตั้งใจทำสิ่งนั้น
ใครมายั่วทำให้เราตบะแตกก็ไม่แตก
เช่นนี้ถือว่าเป็นผลจากที่เราได้บำเพ็ญมานานแล้ว จิตใจของเราก็ต้องเป็นจิตใจของพระพุทธรูป
คือ เป็นจิตใจที่นิ่งไม่ไหว
หากเอาพระพุทธรูปไปตั้งกลางลม ลมสามารถพัดพระพุทธรูปสั่นไหวหรือไม่ (ไม่ไหว) ฝนตก
แดดออกพระพุทธรูปก็ไม่กลัว
แล้วเรากลัวอะไร (กลัวแดด กลัวฝน กลัวลม) ถ้าเปรียบลม
ฝนและแดดเป็นเหมือนอุปสรรคที่พัดใจเรา
พระพุทธรูปนี้อยู่ในใจของเราไม่ใช่อยู่ข้างนอก
ศิษย์รู้ตัวหรือเปล่าไม่ว่ามีพระพุทธรูปองค์หนึ่งอยู่ในใจของศิษย์ หากศิษย์ตั้งใจจึงจะรู้ว่า
ใจของศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน
แล้วพระพุทธรูปต้องทำอย่างไรบ้างจึงจะสู้กับอุปสรรคเหล่านี้ได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
“ทุก” ทุกตัวนี้คือ ทุกๆ
อย่าง ทุกถ้าเติม “ข์” เข้าไปก็กลายเป็นทุกข์ใจ
แต่ตอนนี้ทุกข์ของศิษย์คือ การบรรทุก ตอนนี้ศิษย์ต้องรู้จักที่จะปล่อยวางให้มากๆ
“อย่าง” อย่างอะไรดี (เป็นตัวอย่างที่ดี) ถ้าศิษย์อ่านประโยคนี้ศิษย์ก็จะรู้ความหมาย เพราะว่าเป็นอย่างให้เวไนย “เป็นอย่าง” ตัวนี้ก็คือ “แบบอย่าง”
เราต้องบำเพ็ญจิตใจ จิตใจของเราต้องเป็นจิตใจที่สงบ
เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วชีวิตจะถูกเปลี่ยนไป ทุกอย่างก็จะเริ่มต้นใหม่
“แต่” บำเพ็ญไปนานๆ
ในหัวใจต้องไม่มีคำว่า “แต่”
“จับ” ให้เหมือนกับเรารับธรรมะ
แล้วจับธรรมะไว้ให้มั่นคง วันหน้ามีคนว่าก็อย่าท้อใจ ธรรมะต้องศึกษาเอง
เข้าใจและปฏิบัติเอง
“เกิด” หมายความว่า
เกิดสิ่งที่ไม่ดีกับตัวเรา แต่คำว่า “เกิด” หมายความว่า
เมื่อเราเกิดแล้วในที่สุดเราจะต้องกลับไปรู้จักบำเพ็ญธรรมแล้วจะได้กลับไปในที่ดี
คือ แดนนิพาน
“สิ่ง” ถ้านึกถึงสิ่งของก็ต้องรู้จักการปล่อยวางสิ่งของนั้น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท
เพลง "ถามหาใจศิษย์" )
อาจารย์ให้ร้องเพลงนี้ไม่ได้ให้ร้องเพราะความไพเราะเท่านั้น
แต่หวังว่าทุกคนคงรู้ในความหมายภายในของเพลง
และเพื่อให้ที่จะนำไปปฏิบัติ
“หากรอจะสายไป” ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า
หากรอจะสายไป เพราะว่าคนบำเพ็ญธรรมนั้นปัจจุบันไม่รอนี่ก็รอโน่น ไม่รอโน่นก็รอนั่น
บางคนบอกว่ารอให้ลูกโตก่อนค่อยบำเพ็ญธรรม
ถามว่าถ้าเกิดเราตายไปก่อนที่ลูกเราโตจะทำอย่างไร เราก็ไม่ได้บำเพ็ญ อาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญแต่ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์ต้องมาอยู่ห้องพระทุกวัน
ต้องโกนผม ต้องทำสิ่งใดที่เป็นเงื่อนไขต่างๆ นานาปราการ
แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์กลับไปทำหน้าที่ของตนเองให้ดี เป็นลูกก็ต้องเป็นลูกที่ดี
เป็นพ่อก็ต้องเป็นพ่อที่ดี เป็นแม่ก็เป็นแม่ที่ดี
อยู่ในวัยเด็กต้องรู้จักศึกษาหาความรู้
แล้วต้องนำความรู้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์
เมื่อโตขึ้นต้องรู้จักทำหน้าที่ของตนให้บรรลุประสบความสำเร็จ
เมื่อแก่ตัวต้องสามารถเป็นแบบอย่างกับคนรุ่นหลังได้
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นก็อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ท่ามกลางหน้าที่ของเรา ถ้าเรามีหน้าที่ขายของ
คนขายของบำเพ็ญธรรมโดยห้ามโกงเงินคนซื้อของ บำเพ็ญธรรมง่ายหรือเปล่า (ง่าย) แสดงว่าจิตใจของคนที่เป็นคนขายนั้นต้องมีความซื่อตรง สิ่งที่คนขายของบำเพ็ญก็คือ บำเพ็ญความซื่อตรง
ไม่ใช่ที่ไม่ให้โกงเพราะกลัวบาป บาปมีไว้สำหรับกำราบคนที่เฝ้าแต่โกง
เราไม่โกงแต่เราจะเพิ่มพูนการบำเพ็ญความซื่อสัตย์ขึ้นมา เป็นพ่อแม่ต้องสั่งสอนลูกให้ดีเพื่อวันหน้านั้นลูกเราจะได้เป็นคนดีของสังคม
ส่วนลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ใช่กตัญญูแค่เป็นหน้าที่ของลูก
แต่ต้องกตัญญูจากหัวใจของเรา
ไม่ใช่ว่าเรากตัญญูกับพ่อแม่เพราะกลัวว่าอีกหน่อยเราแก่ตัวกรรมจะตามสนองไม่ใช่แค่นั้น
แต่เราต้องบำเพ็ญความกตัญญูเพราะคนที่กตัญญจะมีหัวใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ เราอยากมีจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์
เราต้องบำเพ็ญสิ่งนี้
สมมติว่าศิษย์เป็นคนทำสวนจะบำเพ็ญธรรมอย่างไร ต้องแบ่งแยกกันให้ถูก
แยกอะไรบ้าง แบ่งเวลาในการมาบำเพ็ญธรรม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ศิษย์ของอาจารย์ทางภาคใต้นี้ แต่ละคนนั้นเป็นคนที่มีความชาญฉลาด
แต่ปัญหาก็มีอยู่มากมายรอบตัว
ทุกวันเราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อต่อสู้กับปัญหาทั้งหลาย
อาจารย์ไม่มีคำปลอบใจอื่นใดนอกจากคำนี้ "อาจารย์หวังเพียงศิษย์ทุก
คนจะรักษาตัว
รักษาใจและรักษาพลังของเราไว้ฉุดช่วยเวไนย
สิ่งใดที่คิดแล้วทำให้จิตใจของเราไขว้เขว
ขอให้ศิษย์ขจัดทิ้งไป คงไม่มีใครช่วยศิษย์ได้มากกว่าตัวศิษย์เอง
การบำเพ็ญธรรมคือ การขัดเกลา การบำเพ็ญธรรมคือ การที่เราต้องทำตนเป็นคนที่ดีขึ้น
หากเราทำตนได้ดีขึ้น เราจะรู้ว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่แท้จริง" เพราะผู้อื่นจะเรียกเราว่า
ผู้บำเพ็ญ ถ้ายังมีคนคอยบอกว่า เรายังไม่ดี เราต้องเปิดใจรับฟัง เต็มใจแก้ไข
รู้ผิดรู้ชอบ ไม่โกรธไม่โทษ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน
แม้ว่าคนอื่นนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเรา
หากมีเด็กคนหนึ่งคุกเข่ายอมให้ศิษย์ตี
ศิษย์จะกล้าตีเขาหรือเปล่า (ไม่กล้า) แต่หากเด็กคนนี้ทำผิดแล้วยังวิ่งหนีทำหน้าล้อเลียนเป็นลิงหลอกเจ้า
อยากจะตีเขาให้หนักขึ้นหรือเปล่า (อยากตี) ที่อาจารย์พูดเพราะศิษย์ก็คือ
เด็กคนนั้น กรรมต่างๆ ลงฟาดฟัน
เรายอมคุกเข่าให้กรรมเหล่านั้นกระทำด้วยความสำนึกผิด
กรรมนั้นจึงไม่กล้าที่จะตีเราเพิ่ม
แต่หากเรานั้นวิ่งหนีทำท่าเป็นลิงหลอกเจ้า เมื่อคนที่คิดจะทำร้ายเรา
เขาจับเราได้ เขาคงจะไม่เอาเราไว้แน่
ยิ่งได้รับตำแหน่งสูงเท่าไร ตำแหน่งทางธรรมนั้นเปรียบเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งทำให้ศิษย์ได้เจริญปณิธานสร้างกุศล
แต่อีกด้านหนึ่งหากศิษย์ยึดติดในตำแหน่งใช้ในทางที่ไม่ถูก ตำแหน่งก็จะให้ร้ายกับศิษย์
การปีนภูเขาสูงนั้นต้องโน้มตัวลงมา
หากศิษย์ปีนภูเขาแล้วทำตัวเชิดจะพลาดตกลงมาได้
เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ทุกคนเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ระวังคำพูด
ระวังการกระทำและระวังใจของเราให้ดี
อาจารย์เห็นศิษย์บางคนวันนี้มีใจวันหน้าหมดใจ
เห็นแล้วอาจารย์ก็ช้ำใจจึงอยากบอกศิษย์ที่ยังยอมให้อาจารย์สอน
ขอให้เรารักษาใจของเราให้มั่นคง
การทดสอบที่แรงขึ้นทุกวันจะไม่อาจทำร้ายศิษย์ของอาจารย์ได้ ขอให้ศิษย์ทุกๆ
คนเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
อาจารย์มาเป็นเวลานานแล้ว ศิษย์คงจะมีความเข้าใจขึ้นบ้าง
เปิดใจกว้างก็จะเข้าใจมากขึ้น ศิษย์ที่ไม่เปิดใจให้กว้างก็จะไม่เข้าใจอะไร อาจารย์ไม่ขอให้ศิษย์เข้าใจในตัวอาจารย์
แต่ขอให้ศิษย์เข้าใจในธรรมะที่ศิษย์จะต้องนำไปใช้และปฏิบัติไปตลอดชีวิต ชีวิตคนนั้นมีความทุกข์มาก
แต่ละปีที่ผ่านไปความทุกข์ที่ศิษย์เผชิญ มีความทุกข์ที่ไม่ซ้ำรูปแบบเข้ามา
หนึ่งวันแล้วหนึ่งวันเล่าความทุกข์ไม่เหมือนกันซักวันหนึ่ง
ชาตินี้จึงเป็นชาติแห่งความทุกข์ เป็นชาติมนุษย์ที่มีแต่ความทรมาน
อาจารย์ต้องการให้ศิษย์หลุดพ้นจากการทรมานทั้งปวง ปัจจุบันนี้มองไปทางทิศใด เรามองเห็นคนไม่ดีมากมาย
คนอื่นก็มองเห็นคนไม่ดี เขามองเห็นเราไม่ดี เรามองเห็นเขาไม่ดี โดยสรุปแล้วแม้เป็นตัวเราๆ
ยังไม่กล้ารับประกันว่าตัวเราดีพอ
แต่อาจารย์แนะนำ-รับรองในวันที่แนะนำศิษย์มารับธรรมะเขาบอกว่า
ศิษย์เป็นคนดี แสดงว่าในโลกนี้ยังมีคนมองเห็นศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดี แล้วศิษย์ยังไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นคนดีอีกหรือ
อาจารย์มั่นใจว่าศิษย์เป็นคนดี
เรามามุ่งทำความดีโดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะทำความดีหรือความชั่ว เราอย่าสนใจว่าผู้อื่นดีแค่ไหน
แต่ให้มาสนใจว่าตัวเรานั้นดีแค่ไหน
ชีวิตคนนั้นแสนสั้น
คนที่ตายไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นคนแก่ การบำเพ็ญก็ไม่แยกว่าศิษย์จะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก
ผู้ชายหรือผู้หญิง ขอเพียงศิษย์มีใจที่จะขัดเกลาตนเอง อย่าเข้าข้างตนเองมาก
มองให้เห็นสัจธรรมอันแท้จริงของชีวิตนี้
อย่าปล่อยให้ชีวิตนี้ผ่านไปแล้วผ่านไปอีก
รับปากอาจารย์ได้หรือไม่ว่า หลังจากวันนี้เราจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม (ได้) พูดตามอาจารย์
“หลังจากวันนี้ ขอเริ่มต้นเป็นคนใหม่
วันนี้จะทำตนให้ดีกว่าเมื่อวานนี้”
เมื่อพูดตามอาจารย์แล้วก็จงทำ อย่าใช้อายตนะของเจ้าอันได้แก่
ตา หู จมูก ปาก
สิ่งเหล่านี้เป็นอายตนะภายนอกที่ทำให้ศิษย์มองสิ่งที่สวยก็อยากจะได้สิ่งที่สวย
ฟังสิ่งที่ดีมาก็อยากจะได้ในสิ่งนั้นๆ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่า
มีสิ่งหนึ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ศิษย์นั้นมองออกไป นั่นก็คือ
จิตใจที่อยู่ภายในของตนเอง หากศิษย์ทำจิตใจของตนเองให้ดีขึ้น
ศิษย์จะพบกับสิ่งที่ดีขึ้นทุกวัน ไม่ต้องไปนั่งขอพรพระ พรอันนี้ศิษย์ประสาทให้กับตนเองได้
อาจารย์จะจากไปแล้ว รักษาตัวและรักษาใจให้ดี
ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยจิตใจแห่งปัญญา อายุมากแล้วเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ หมั่นบำเพ็ญให้มากๆ อย่าเกี่ยงในการทำความดี
ความดีมาเล็กน้อยก็ทำเล็ก ความดีมามากก็ทำมาก
ถ้าช้าไปกว่านี้กุศลของเราจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เราหลุดพ้น เป็นเด็กดี รักษาตัวให้ดีๆ เราบำเพ็ญธรรมแล้วมีคนมองเรา
เราก็ต้องยิ่งทำให้ดี วันหน้าเราเจอกันอีก
อย่าเป็นคนที่โดนคนเขาว่าแล้วเราก็ไม่อยากจะบำเพ็ญแล้ว
หลุดพ้นแล้วก็ไปอยู่กับอาจารย์นะ.