วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542

2542-11-20 พุทธสถานอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.


PDF 2542-11-20-อิ่งเซียน #20.pdf


วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒  พุทธสถานอิ๋งเซียน  ดอนเมือง กทม.
                                                                       สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

      ห่วงใยคนรุ่นหลังสร้างคุณธรรม          ไม่เหยียบย่ำความดีบุญส่งผล
หนึ่งชีวิตอย่าใส่ใจอยู่เพียงตน                   หมั่นช่วยคนจึงได้เดินทางพุทธา
                                เราคือ
      องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน เคียมคัล
องค์มารดา                             ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                                  ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง    ฮวา  ฮวา

      หญ้าไม่รกอสรพิษไม่เข้าอาศัย           ในจิตใจแห่งมนุษย์ก็ฉะนี้
ตลอดชีวิตได้เรียนรู้กับความดี                  ไฉนปรี่เผลอทำกรรมอยู่ร่ำไป
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันยังไม่ตื่น                    ความขมขื่นเกิดจากตนหามาให้
วิมุตติ [๑] เกิดจากตนแสวงใน                      รู้เข้าใจเร่งปฏิบัติแต่กรรมดี
ประชุมธรรมสะเทือนไปสามภพกว้าง      ฟ้าปูทางวอนน้องท่านอย่าเดินหนี
มีโอกาสเร่งศึกษาให้จงดี                           วันหน้ามีมรรคผลคืนฟ้าแดนเดิม
หากไม่รู้ทำสิ่งใดให้ตนรู้                              ธรรมะคู่ชีวิตหนึ่งบำเพ็ญง่าย
อย่าตามใจตนเองเกินจึงมีชัย                    ย้อนมองใจทุกวันเร่งกระทำ
มีชีวิตหนึ่งชีวิตเป็นกายคน                         นับว่าโชคดีเหลือล้นอย่าทิ้งขว้าง
หัวชูฟ้าขาเหยียบดินญาณสว่าง               ดำเนินทางแห่งพุทธะคืนนิรันดร์
จุดหมายหลุดพ้นเวียนว่ายวัฏสงสาร       ทรมานครานี้ใช่ครั้งแรก
ธรรมะจริงกลางนัยน์ตาอย่าว่าแปลก      วิสุทธิอาจารย์ลงแบกรับงานยุคปลาย
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม                   ขอสุขุมตั้งใจฟังศรัทธาหลาย
ความจริงใจสะเทือนฟ้าน้องทำได้             ความเกรียงไกรอยู่ที่รู้จริงทำจริง
อย่าสงสัยให้วุ่นวายในจิตตน                    อย่าท้อบ่นยามลำบากสอบใจนี้
วันเวลาไม่คอยใครแม้นาที                        ขอจงมีความตั้งใจบำเพ็ญจริง
หลังจากจบชั้นนี้ไปให้รู้เริ่ม                         ฝึกฝนเพิ่มอริยะไปจากคนนี้
อย่าผัดวันประกันพรุ่งกลายหลายปี        บำเพ็ญดีอยู่ที่กำราบกิเลสในใจ
ให้รู้ว่ายามนี้สู่คับขัน                                   คนเท่าทันจึงอยู่รอดปลอดภัยได้
ดวงปัญญามหาศาลพลังใหญ่                  รู้จักใช้เป็นนิมิตอันดีงาม
ในวันนี้น้องผู้มีบุญกับพุทธะ                      ต่างมา ณ ที่นี้เร่งศึกษา
เมื่อเข้าใจยามใดให้เร่งยิบตา                    กลับคืนฟ้าจิตต้องไร้กิเลสใด
น้องผู้ใดมีชีวิตไม่สมหวัง                            จงรู้สร้างโอกาสให้คนส่วนใหญ่
ไม่นำพาด้วยอารมณ์พาลใดใด                 ด้วยจิตใจอันเมตตาเทียมพุทธา
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป                ศิษย์พี่ไซร้รับบัญชามาคุมชั้น
หวังศิษย์น้องรักษาพุทธระเบียบอย่างครบครัน            คะแนนนั้นศิษย์พี่จดไม่พลาดมือ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                                                             ฮวา  ฮวา  หยุด

[๑] วิมุตติ :  ความพ้น, ความหลุดพ้น, พระนิพพาน


วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒                                                            
พระโอวาทพระนาจา

      เคยมีสุขสมหวังปรารถนา                   ทั้งเงินตราชีวิตไม่ขัดสน
แต่เวลาเปลี่ยนไปดั่งเล่นกล                      กลายอับจนไม่มีเหลือน่าดีใจ
                                เราคือ
      ศิษย์พี่นาจา                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม


          ในราตรีที่ฟ้าสิ้นแสงจันทร์  การแบ่งปันน้ำใจไม่อาจถึง  แต่เวลาเช่นนี้เท่านั้นจึง  เจอธรรมจริงกอบกู้โลกงาม
*        ธารารินหลั่ง เวลาไม่หวนมา  นึกถึงการล้ม เพื่อสอนใจตนเอง
**       จิตอุทิศ ล้วนคิดเพื่อคนอื่น และพร้อมช่วยคนอื่น จุดไฟในใจนี้  ตื่นจากฝัน ไม่คิดไปเป็นอื่น  พุทธะผู้รู้ตื่น ยากเย็นก็ขอพลี
          ในราตรีที่ฟ้าสิ้นแสงจันทร์  การบำเพ็ญที่ใจไม่เคยแพ้  เป็นดวงไฟที่ให้ยามปรวนแปร  นำความดีกลับมาก้าวนำ  ( *,** )
          หันมาใช้ปัญญาให้เป็นเพื่อนร่วมทาง  รอจันทรากลับคืนมาสู่ฟ้า ( ** )
เพลง : ดวงไฟในตน
ทำนองเพลง : ใครคนหนึ่ง

พระโอวาทพระนาจา

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมแสดงละครเป็นหนอน ไก่ เสือ และคน)  ละครเรื่องนี้แสดงให้เรารู้ว่า ถึงแม้จะไม่พูดอะไร แต่หากท่าทางแสดงให้เห็นก็พอเดาได้ แต่ถ้าไม่สนใจก็จะไม่รู้ แต่ถ้าสนใจและตั้งใจฟัง ก็พอค้นหาคำตอบได้ เหมือนละครเมื่อสักครู่แม้ไม่มีคำพูด แต่ศิษย์น้องก็เดาออกว่าเป็นอย่างไร ศิษย์น้องก็ใช้ปัญญาพิจารณาและเข้าใจ การที่ศิษย์น้องมาวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์น้องค่อยๆ ศึกษาก็จะเข้าใจ ละครเมื่อสักครู่มักเกิดขึ้นในสังคมคนเราเป็นส่วนใหญ่ หนอนถูกไก่กิน ไก่ถูกเสือกิน เสือถูกคนทำร้าย  พูดง่ายๆ ในสังคมปัจจุบันนี้ก็เหมือนกับวัฏสงสาร แต่ถ้ามองในแง่สัจธรรมนั่นก็คือ สัตว์ตัวเล็กย่อมเป็นเหยื่อของสัตว์ตัวใหญ่ คนเรามีอำนาจเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกคนที่มีอำนาจมากมากดขี่ข่มเหงรังแก โลกปัจจุบันนี้จึงเป็นเหมือนวัฏสงสารของชีวิตที่ถูกใหญ่กินเล็ก แล้วเราก็จะถูกใหญ่กินเล็กบ้างหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ วันนี้โดนกินไปแล้วก็มี แล้วรู้ไหมว่าหลังจากคนนั้นใครกินคน (คนกินคน) มีทั้งคนกินคน แล้วก็เวลากินคน แล้วคนก็กินตัวเอง ฉะนั้นใครน่ากลัวที่สุด (คน) แล้วเราจะหยุดได้ไหม (ได้) หยุดได้เหมือนกัน ฉะนั้นเราต้องรู้จักวิธีหยุดความน่ากลัว หยุดความเลวร้ายของคนให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้  แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะหยุดความน่ากลัวเหล่านี้ได้ นั่งเฉยๆ หรือเปล่า หรือว่าทำตาปริบๆ เสียใจ  ช่างหัวเขา หรือบอกว่าน่าสงสารจัง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร  บ่อยครั้งที่คนในโลกนี้รู้แล้ว แต่ไม่สามารถทำได้อย่างสิ่งที่รู้ เราเรียนรู้มากมาย แต่ไม่สามารถทำในสิ่งที่รู้ได้ บางทีเราเข้าใจแล้วเราก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่เราเข้าใจได้เหมือนกัน เพราะอะไร อย่างนี้เรียกว่าเรียนรู้ไปไม่มีประโยชน์ เข้าใจไปก็เสียเปล่าใช่หรือไม่ ทั้งที่รู้ว่าชีวิตนี้มีทุกข์มีสุขเป็นเรื่องที่ไม่เที่ยงแท้ มีเงินหรือไม่มีเงินเป็นเรื่องไม่แน่นอนไม่อาจกำหนดได้ มีร้องไห้ ผิดหวัง เศร้าใจ ดีใจเป็นเรื่องที่เราก็ยากที่จะกำหนดได้ว่าวันไหนจะเกิดขึ้น จะมีวันไหนหายไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้เรื่องพวกนี้แต่พอถึงเวลาเรากลับเหมือนไม่เข้าใจ ทำใจไม่ได้ อย่างนี้มีก็ไม่มีประโยชน์เลย เหมือนคนที่รู้ว่ากฎหมายมีอะไรบ้าง รู้กฎฟ้าดินว่าใครทำอะไรก็ได้รับอย่างนั้น  กฎหมายใครประพฤติไม่ดีก็ต้องได้รับโทษเราก็รู้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมบ่อยครั้งเรารู้แล้วแต่เราทำไม่ได้ เรารู้แล้วแต่เหมือนไม่เข้าใจ น่าแปลกไหม
“เคยมีสุขสมหวังปรารถนา  ทั้งเงินตราชีวิตไม่สับสน” ตอนเรามีเงินเราก็ดีใจ ว่ามีเงินเต็มกระเป๋า แต่พอไม่มีเงินขึ้นมาเรากลับทำใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนที่เรามีชีวิตตอนแรกๆ เราก็เป็นคนที่ไม่มีอะไร เหมือนห้องๆ หนึ่ง แต่พออยู่ไปสักพักหนึ่ง เราก็อยากมีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีเตียง นี่คือปัจจัยพื้นฐาน  แต่พอมีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีเตียงแล้ว เราก็อยากมีหมอน มีฟูก มีผ้าห่มอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  จริงๆ มีเสื่อผืนเดียวก็พอแล้ว ใช้มือแทนหมอน ใช้ขาเราแทนหมอนข้างก็สุขแล้วใช่หรือเปล่า แต่มนุษย์ต้องเป็นอย่างไร ต้องมีเตียง เสื่อธรรมดาดูยาจกไป หมอนที่เป็นแขนไม่นุ่มเลย ตื่นขึ้นมาแล้วเมื่อยก็เลยต้องมีฟูก พอมีฟูกก็เลยเสียเงินซื้อผ้าปูที่นอน ผ้าปูที่นอนผืนเดียวไม่พอต้องมีอีกผืนหนึ่ง แต่พอมีผ้าปูที่นอนสองผืนพอไหม (ไม่พอ) จริง ๆ พอแล้ว แต่บอกตัวเองว่าลายนั้นสวยจับใจ ไม่เป็นไรหรอก เรามีเตียงเราก็ต้องมีผ้าปูที่นอนอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เลยมีไปเรื่อยๆ จากห้องเปล่าๆ ก็กลายเป็นห้องที่เต็ม พอมีที่นอนมีหมอนมีเตียงแล้วมีอะไรอีก ตอนแรกมีพัดลมตัวเล็กๆ ก็เปลี่ยนเป็นแอร์ พอเป็นแอร์แล้วมีอะไรอีก เดียวไม่ทันสมัยไม่รู้เรื่องโลกภายนอก ต้องมีทีวี เดี๋ยวนี้ทีวียังไม่ทันสมัยต้องมีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ยังไม่ทันสมัยต้องติดอะไรเพิ่ม (อินเตอร์เน็ต) อินเตอร์เน็ตไม่พอต้องติดอะไรอีก ถ้ายังมีอีกท่านก็คงอยากมีต่อใช่ไหม แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครคิดได้ท่านก็เลยยังไม่มี จากที่เราเคยเป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือย แต่เมื่อเข้ามาในห้องจากที่ไม่มีอะไรเรากลับเป็นอย่างไร อยากมีนั่นมีนี่ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอย่างนี้คนถึงไม่เข้าห้องพระ เพราะว่าห้องพระไม่มีของมากมาย ไม่เหมือนไปข้างนอกได้เดินช้อปปิ้ง เห็นกระเป๋าใบหนึ่งสวย เดินไปซื้อหน่อย นั่นก็ดีไปซื้อหน่อยใช่หรือเปล่า (ใช่) มีกันจนเหนื่อยกับการที่มี เราไม่เคยเห็นใครเหนื่อยกับการไม่มีเลยนะ เห็นแต่มีทีไรก็เหนื่อยทุกที เราก็เลยคิดถามตัวเองในใจว่า เสียใจจริงๆ อยากเดินถอยหลัง เป็นคนที่ไม่มีเหมือนเก่าสบายใจกว่าเยอะ พอมีแล้วจะมีอีกก็ต้องคิดอีก ตอนไม่มีคิดเดี๋ยวเดียวเอง แต่พอมีแล้วคิดมากกว่าตอนไม่มีอีกใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นแหละความทุกข์อันเกิดจากการมี ฉะนั้นบางครั้งเราเป็นคนไม่มีบ้างน่าจะดีกว่าเยอะเลย แค่นี้เองถ้าท่านมีชีวิตอยู่ก็สบายแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราก็ยังอดไม่ได้ ยังมีไม่หยุด แล้วก็เหนื่อยกับการมี แล้วก็มานอนพักเพราะเหนื่อยเหลือเกิน พอมีแล้วเป็นอย่างไรอีก ทั้งห่วง ทั้งหวง ทั้งกังวล ทั้งกลุ้มใจ  ตอนไม่มีก็กลุ้มเหมือนกันแต่กลุ้มน้อยหน่อย ไม่มีแล้วทำอย่างไรดี ต้องมีให้เท่าเขาแค่นั้นเองใช่หรือเปล่า หรืออาจจะคิดว่าทำอย่างไรจะให้มีได้อย่างเขา แต่ชีวิตของคนยากนักที่จะอยู่แต่ในห้อง ยากนักที่จะไม่ต้องไปเจอใคร เราต้องออกไปเจอ ต้องเดินทาง เราต้องเลี้ยงชีวิตใช่หรือไม่ ทำอย่างไรให้สิ่งที่เราเรียนรู้ สิ่งที่เราต้องมีนั้นสามารถมีสุขได้ ไม่เกินเลย ไม่ทำให้มีแล้วต้องทรมานใจเป็นทุกข์ใจ
“เคยมีสุขสมหวังปรารถนา                ทั้งเงินตราชีวิตไม่ขัดสน
แต่เวลาเปลี่ยนไปดั่งเล่นกล              กลายอับจนไม่มีเหลือน่าดีใจ”
ต้องบอกว่าน่าดีใจใช่ไหม เราจะกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่หรือเปล่า เราแต่ก่อนมาเปล่าอย่างไร ตอนนี้เราก็พร้อมที่จะกลับไปเปล่าอย่างนั้น แบบวางใจได้ ปล่อยวางได้แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)
เพราะอะไรบ่อยครั้งที่เรารู้แล้วแต่ยังไม่สามารถทำตามในสิ่งที่เรารู้ได้  (เพราะค่านิยม) ค่านิยมก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าจะชี้ให้ตรงเข้าไปในใจเรา นั่นก็คือเพราะตัวเราเองต่างหาก ตัวเราบังคับตัวเราเองไม่ได้ใช่หรือเปล่า บ่อยครั้งที่ถึงแม้ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ของสังคม กฎเกณฑ์ของฟ้าดิน หรือกฎเกณฑ์ของสัจธรรมความเป็นจริงของชีวิต แต่บางครั้งเราไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์ได้เพราะเรามักจะมีอารมณ์ ความรู้สึก เราก็มักจะปล่อยตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง จึงไม่ยอมทำตามกฎเกณฑ์ในบางครั้ง จึงพร้อมจะละเมิดกฎเกณฑ์ได้ในทุกครั้ง เพราะมนุษย์เรามักจะไม่ยอมควบคุมตัวเอง มีนิสัยชอบอิสระ  อยากทำอะไรก็ทำ ตามใจตัวเองคือไทยแท้ใช่หรือเปล่า เรามักจะปล่อยตามใจตัวเอง พอมีกฎเกณฑ์บังคับเราก็รู้สึกว่าไม่ชอบ อยากจะละเมิด อยากจะข้ามกฎไปใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนดังสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ถ้าตัวเราตรง เงาจะคดได้ไหม" (ไม่ได้)  ถ้าใจเราเที่ยงธรรม ความประพฤติเราจะเหลวแหลกได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเรามีความเที่ยงธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน และกฎเกณฑ์ของมนุษย์ เราก็ยากจะผิดพลาดและทำอะไรตามอารมณ์หรือตามอำเภอใจ ถ้าตามอารมณ์บ่อยๆ เรามักจะเดือดร้อน ไม่ใช่ตนเองอย่างเดียว แต่ทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ระหว่างคนดีกับคนชั่ว ท่านจะเลือกสิ่งใดกัน ท่านก็อยากเลือกคนดี งั้น มองเข้าไปอีก คนที่อยู่ในกรอบรู้จักทำอะไรอย่างผิดชอบชั่วดี รู้จักทำอะไรตามกฎเกณฑ์ของสังคม กับคนอีกประเภทหนึ่งเดี๋ยวบางวันก็ล้ำไปบ้าง บางวันก็ไม่พอดีบ้าง อย่างนี้ท่านชอบคนประเภทไหน  คนที่พอดีใช่หรือเปล่า ล้ำเกินไปเราก็ไม่ชอบขาดเกินไปก็ไม่ดี ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีเราต้องรู้จักทำตามกฎอย่างพอดี กฎของฟ้าดิน และกฎของการอยู่ร่วมกันในสังคม ถ้าเราทำได้เราย่อมเป็นคนที่พอดี แล้วคนที่พอดีก็คือคนที่เป็นคนดีที่น่ารักของสังคม แล้วระหว่างคนดีกับคนเก่ง เอาคนไหน (คนดี)  ถ้าคนดีแต่ทำงานไม่เป็น แต่คนเก่งทำงานเป็นเอาคนไหน เพราะว่าบางครั้งเวลาเราเลือกเรามักเลือกคนเก่งใช่หรือไม่  เพราะคนดีมักอ่อนแอหรือไม่ก็ตัดสินใจไม่เด็ดขาด บ่อยครั้งที่คนดีมักใจอ่อน เวลาทำงานร่วมกันจึงไม่ค่อยเด็ดขาด งานจึงล่าช้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนดีจะไม่เด็ดขาดเลย แต่เราอยู่ในสังคมหรืออยู่ในกลุ่มคนเราต้องรู้จักใช้ให้ถูกต้อง บางครั้งต้องดี บางครั้งต้องเก่ง เช่นเดียวกันถ้าเราไปเป็นผู้นำใครเราก็ต้องรู้จักใช้ให้ถูกต้อง ในสังคมย่อมมีทั้งคนดีและคนเก่ง บางครั้งเราต้องรู้จักใช้คนเก่งให้ถูกกับงาน และใช้คนดีให้เหมาะสมกับสิ่งที่ควรจะให้เขา ถ้าถึงเวลาที่เราต้องเอาเงินไปให้ผู้อื่น เราจะให้คนเก่งหรือให้คนดีเป็นผู้ไปให้ดี (คนดี) เพราะบางครั้งให้คนเก่งไปให้ ก็ให้ไม่ครบ เราให้ห้าร้อย แต่กลายเป็นนำไปส่งแค่สามร้อย แต่ใบเสร็จกลับมาห้าร้อยจริงไหม ฉะนั้นเราอยู่ในสังคมเราต้องช่วงใช้คน และช่วงใช้ตนให้ถูก แล้วเราก็จะไม่ต้องกลัวใครหลอกเรา หรือกลัวเราไปหลอกใคร
แต่คนที่ดีกับคนที่เก่งบางครั้งเวลาเราใช้ได้แล้ว หรืออยู่กับเขาได้แล้ว เราต้องระวังคนที่เก่งสักนิดหนึ่งเพราะคนเก่งนั้นเหมือนเสือ ถ้าไม่ควบคุมให้ดีเขามักจะเหลวไหล แล้วก็ไม่รับผิดชอบใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วในสังคมนี้เต็มไปด้วยคนเก่งหรือคนดี คนเก่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเรียนมาตั้งเยอะมีความรู้มากมาย เราอยากเก่งมากกว่าดีใช่ไหม ในสังคมเต็มไปด้วยคนเก่ง คนดีเหลือน้อยเต็มทีแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรให้เป็นคนดีแล้วเก่งด้วยล่ะ  ยากไหม (ยาก) คนที่เป็นคนเก่งคนดีก็คือคนที่รู้จักดำเนินชีวิตเป็น อยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข ก็คือคนที่รู้จักเอาธรรมะมาใช้ ไม่ใช่เรียนรู้อย่างเดียว แต่รู้จักใช้แล้วรู้จักอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสอดคล้อง อยู่กับฟ้าดินได้อย่างกลมกลืน ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวใคร สามารถแทรกตัวเข้ากับฟ้าดินได้ ถ้าเรามีชีวิตแล้วขัดแย้งกับธรรมชาติ ก็ตายลูกเดียวจริงไหม (จริง) อากาศร้อนแต่เราอยากใส่เสื้อหนาวเป็นเพราะอะไร อย่างนี้เขาเรียกว่าคนไม่สอดคล้องกับธรรมชาติใช่หรือเปล่า คนอื่นเขาเป็นอย่างไร กินข้าวเป็นอย่างไร เราอยากทำอะไร ไม่กินข้าวแต่จะทำงานตายไหม  เหนื่อยตายใช่หรือเปล่า
“ในราตรีที่ฟ้าสิ้นแสงจันทร์”  น่ากลัวไหม สว่างอย่างนี้เพราะมีพระอาทิตย์คอยสาดส่อง แต่ถ้ามืดแล้ว เราไม่มีแม้แต่จันทร์เลย เราจะทำอย่างไรดี (จุดตะเกียง) เป็นความคิดที่ดี แต่ว่าถ้าเกิดฟ้ามืด แต่ใจเราสว่าง เราก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด แต่คนเราในปัจจุบันนี้กลับไม่ใช่ ฟ้ามืดใจเราก็พลอยมืดไปด้วย เพราะฉะนั้นต้องทำตัวให้สอดคล้องอย่าขัดแย้ง
“การแบ่งปันน้ำใจไม่อาจถึง แต่เวลาเช่นนี้เท่านั้นจึงเจอธรรมจริง กอบกู้โลกงาม”  เข้าใจวรรคนี้ไหม ยามฟ้ามืดเราจึงเห็นความสว่าง ยามโลกวุ่นวายสับสนเราจึงจะเห็นใครมีคุณธรรม ใครไม่มีคุณธรรมจริงไหม (จริง)  หรือพูดง่ายๆ ว่า สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่บางครั้งวีรบุรุษก็สามารถสร้างสถานการณ์ได้ นี่แหละน่ากลัว มนุษย์ชอบรู้จักพลิกแพลง แต่พลิกแพลงแล้วไม่ค่อยจะตรงทาง มักจะคดเคี้ยว บางครั้งสถานการณ์สร้างให้เราแข็งแกร่ง กล้าสู้กล้าฝ่าฟันอุปสรรค แต่บางครั้งคนที่ชอบกล้านั่นแหละ มักจะทำให้สถานการณ์นั้นเลวร้ายลง ถ้าคนเราไม่รู้จักควบคุมใจตั้งแต่ตอนแรก ความประพฤติย่อมไม่สามารถที่จะดีงามและตรงทางได้ ฉะนั้นเราต้องรู้จักใช้ธรรม เอาธรรมมาคอยควบคุม มาคอยตรวจสอบ มาคอยเป็นเข็มทิศนำทางให้เรารู้จักดำเนินชีวิต
“ธารารินหลั่ง เวลาไม่หวนมา นึกถึงการล้ม เพื่อสอนใจตนเอง”  บางครั้งความจริงไม่อาจทำให้ชีวิตของเราเข้มแข็ง มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่ทำให้มนุษย์เข้มแข็งและกล้าหาญกว่าเดิม แล้วถ้าเกิดว่าสังคมปัจจุบันนี้เป็นเหมือนฟ้าที่มืดไร้แสงสว่าง ใครจะยอมจุดประทีปของตัวเองพร้อมทั้งนำทางคนอื่นบ้าง คงน้อย ส่วนมากก็จะจุดประทีปเพื่อนำทางตนเองเท่านั้น คนที่ดีมีปัญญาอยู่แล้วมักจะเอาแต่ช่วยตัวเอง ไม่เคยคิดจะไปช่วยใคร เพราะมักจะคิดว่าเราดี เราบริสุทธิ์แล้ว อย่าไปเข้าใกล้คนไม่ดีเลย เดี๋ยวเข้าใกล้คนไม่ดีแล้ว เราจะพลอยโดนกล่าวหา โดนชี้หน้าว่าอยู่ในกลุ่มคนไม่ดีด้วย จึงทำให้สังคมยังมีทั้งคนดีและคนชั่ว ไม่สามารถที่จะมีคนดีทั้งสังคมได้ เพราะทุกคนต่างคิดอย่างนี้ ไม่กล้าที่จะยื่นมือไปช่วยคนไม่ดี เพราะกลัวว่าช่วงที่ยื่นไปนั้นจะโดนหาว่าเป็นพวกเดียวกัน หรือไม่ก็กลัวประคองตัวเองไม่อยู่ พลอยจะเผลอเลวร้ายไปกับเขาด้วย
จิตใจคนก็เหมือนกับน้ำ น้ำย่อมมีทั้งน้ำดีและน้ำเสีย ถ้าเกิดน้ำดีไม่ยอมล้างน้ำเสีย น้ำเสียจะหมดไปไหม (ไม่) ก็ไม่มีวันหมด เฉกเช่นเดียวกันถ้าคนจิตใจดี ไม่คิดจะเอามือไปช่วยเหลือคนที่จิตใจไม่ดี สังคมก็ย่อมเต็มไปด้วยคนที่มีจิตใจไม่ดี แล้วก็อย่าลืมว่าคนที่จิตใจไม่ดีนั้น อาจจะฮึกเหิม แล้วมาทำร้ายเราก็เป็นได้ ฉะนั้นก่อนที่ภัยจะมาหาตัว เราสู้ได้โดย ดับไฟตั้งแต่ต้น หากใครเห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ได้คนนั้นจะเป็นคนที่ทำงานยิ่งใหญ่ได้ แต่มนุษย์เรามักเป็นอย่างไร ตัวของฉันก็จะเอาแทบไม่รอด เลือดแทบกระเด็นออกจากตาแล้ว  ทำไมต้องไปช่วยเขา เรามักจะคิดอย่างนี้ สังคมก็เลยเต็มไปด้วยทั้งดีและไม่ดี แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ ทั้งที่รู้อย่างนี้แล้ว นั่งเฉยๆ เหมือนเดิมอีก หรือยังอยากเป็นคนที่ขาดศูนย์อยู่ตลอดเวลา เข้าใจคำว่า “ขาดศูนย์” ไหม ก็คือไม่เคยมีความสมดุลกับชีวิต คนเรามักจะรู้ความเป็นจริงตรงนี้ ว่าน้ำดีสามารถขจัดน้ำเสียได้ คนดีสามารถช่วยเหลือคนชั่วได้ ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ แต่เรามักจะไม่ทำเพราะว่าเรายังอยากได้อยู่ เรายังอยากมีนั่นมีนี่อยู่ เรายังเห็นแก่ตัวอยู่ เรามักจะไม่นึกถึงคนอื่น เรามักจะบอกว่าก็เรายังไม่พอเลย เรายังไม่รู้จักคำว่าสุขเลย เรายังทุกข์อยู่ ทำไมเราต้องไปช่วยคน เรายังอดโลภไม่ได้ อดอยากไม่ได้ เราจึงปล่อยให้สังคมเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าเกิดเราคิดกลับกัน คิดอยากช่วยเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองถึงจะช่วยเขาได้ นั่นก็คือต้องหยุดความโลภ มีความพอใจ และความสุขในคำว่า "อ่อน บาง จาง จืด" เข้าใจคำนี้ไหม
ถ้าเกิดสมมติว่าเราจะไปช่วยเขาอย่างแรกก็คือ เราต้องอ่อน บาง จาง จืดให้ได้ก่อนใช่หรือไม่ ถามจริงๆ ท่านอยากไปช่วยเขาไหม (อยาก) คนส่วนมากมักจะเป็นอย่างไร ภัยไม่มาถึงตัว ไฟไม่ลนก้น มักไม่คิดช่วยเหลือใช่หรือเปล่า ฉะนั้นต้องรู้จักดับไฟตั้งแต่ต้น การดับไฟได้ที่ตน เราย่อมสามารถไปช่วยดับไฟให้คนได้ แต่เราจะต้องยอมรับก่อนว่า ท่านจะเป็นคนหนึ่งไหม ที่ยอมเอาน้ำดีไปล้างน้ำเสีย ถ้ายอมเราก็ไปกันต่อ ถ้าไม่ยอมเราก็จะเปลี่ยนเรื่องคุยยอมไหม (ยอม) นั่นก็คือรู้จักเป็นอย่างไร ไม่ยอมมีมากมีน้อยๆ ไม่ยอมเข้มข้น ยอมมีจางๆ เข้าใจไหม สังเกตว่าถ้าเรากินอะไรเข้มข้นเรายิ่งเบื่อไว เรายิ่งกินไว แต่ถ้าเรากินบางๆ เราจะรู้สึกว่าลิ้มรสชาติได้เต็มที่ใช่ไหม แต่คนเรามักไม่เป็นอย่างนี้ งั้นมาตีความหมายให้ใกล้เข้ามาอีก คำว่า “อ่อน บาง จาง จืด” นั่นก็คือ รู้จักพึงมีพึงได้ ไม่ขวนขวายเกินตัว เมื่อเรารู้จักพึงมีพึงได้ กิเลสก็ย่อมยากที่จะมาครอบงำใจ อารมณ์ก็ย่อมยากที่จะมาควบคุมความคิด ความประพฤติก็ยากที่จะเป็นคนใจแคบ ขี้อิจฉา ตาก็ไม่พร่ามัว ปัญญาก็จะแจ่มใส เพราะว่าไม่มีความโลภ โกรธ หลงมาครอบงำความคิดและจิตใจ เพราะเราพอใจกับคำว่า "อ่อน บาง จาง จืด" รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี เมื่อทำได้ขนาดนี้เราก็ย่อมมีใจเมตตาใช่ไหม เมื่อเมตตาได้เราย่อมอยากช่วยเหลือเขา แต่จะช่วยคนอย่างไร เราถึงจะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ  ตรงนี้เป็นเรื่องยาก เราจะเอาน้ำดีไปล้างน้ำเสียได้นั้น เราต้องดูความประพฤติที่สามารถทำให้เขาอยากเปลี่ยนแปลง หรืออยากติดตามว่าทำไมท่านถึงกลายเป็นคนดีได้ แล้วเขาก็อยากตามไปดูอีกว่าท่านใช้อะไร ทำไมถึงดีได้ขนาดนี้ ทำไมถึงยอมทุ่มเทเสียสละขนาดนี้จริงไหม (จริง) เราต้องทำความดีให้เขาประทับใจ เสียสละจนเขาสะเทือนใจและอยากรู้ว่าทำไมเราจึงเสียสละได้ขนาดนี้ ถ้าศิษย์น้องทำได้ถึงขนาดนี้ ถึงจะร้ายอย่างไรสักวันเขาต้องตามมา อย่างไรเขาต้องเปลี่ยนแปลงตามศิษย์น้องมา แต่ต้องทำความดีให้สะเทือนใจเขาให้ได้ เขาย่อมเปลี่ยนแปลงจากร้าย แต่จะทำให้เปลี่ยนแปลงโดยการสะเทือนใจและประทับใจนั้นศิษย์น้องต้องนำเขา เสาไม่ตั้งตรง ขื่อแปรจะตั้งตรงได้อย่างไร พ่อแม่ไม่เป็นแบบอย่าง พี่ไม่นำน้อง ลูกหลานหรือน้องจะตามเราได้ไหม  คนรุ่นแรกไม่เป็นแบบอย่างให้ดี รุ่นต่อไปจะดีได้หรือเปล่า ก็ไม่ได้ เช่นเดียวกันหากศิษย์น้องทำตัวอย่างให้ดี เป็นแบบอย่างที่ดี ศิษย์น้องย่อมสามารถทำให้เขาเดินตามมาได้โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรเลย ขอเพียงศิษย์น้องเป็นแบบอย่างที่ดี  และการเป็นแบบอย่างที่ดีนั้นเราต้องพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา ถ้าเขาเดือดร้อนและยิ่งทุกข์แล้วเรายื่นมือเข้าไปช่วย แม้จะไม่มีเงินสักบาท แต่เรามีแรง มีคำพูดที่ดี มีน้ำใจที่งดงาม เรายื่นไปให้ เขาย่อมนับถือศรัทธาและประทับใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ต้องเป็นความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากใจจริงๆ เมื่อใดที่ความรู้สึกกลั่นออกมาจากใจ สิ่งนั้นย่อมสามารถสะเทือนจิตใจคน และถ้าเมื่อใดศิษย์น้องทำดีได้ถึงขนาดสะเทือนใจคน แล้วฟ้าดินจะไม่สะเทือนใจหรือ ก็ต้องสะเทือนใจเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงกล้าทำ มีจิตใจมุ่งมั่น มีปณิธานที่แน่วแน่ มีอุดมการณ์ที่แจ่มใสโชติช่วงชัชวาลย์ และมีชีวิตที่พร้อมจะเสียสละให้คนอื่น เกิดมาชาตินี้ศิษย์น้องก็ไม่เสียชาติเกิดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เกิดเป็นคน ถ้าทำได้ขนาดนี้ แม้จะไม่ค่อยมีกิน เสื้อผ้าไม่ค่อยสวย แต่เต็มไปด้วยน้ำใจอันดีงาม จะกลัวอะไร  ยืนกับคนที่แต่งตัวมีเพชรตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่เป็นไร  เพราะเรามีเพชรเม็ดโตอยู่ในใจ แม้เราจะไม่มีเพชรสักเม็ด แต่เรามีจิตใจงดงาม แม้เราจะไม่มีรถขับ แต่เรามีเท้าเปล่าที่จะเดินไปช่วยคนทั่วโลกจะกลัวอะไร ไปที่ไหนเขาก็ต้อนรับเรา มีบ้านให้เราอยู่ ขอเพียงเรามีจิตใจที่ดีงาม คือเป็นจิตใจที่มีความอ่อนน้อม สุภาพ รู้จักผิดชอบชั่วดี และพร้อมที่จะแก้ไขเมื่อตัวเองทำผิด กล้ายอมรับ เหมือนดวงจันทร์เวลาจันทร์เป็นสุริยคราส ดวงจันทร์เคยแอบไปซ่อนใต้เมฆไหม แต่เวลาเราทำผิด เราไม่อยากให้ใครเห็น อายเขาเดี๋ยวจะเสียชื่อ แต่ถ้าคนทำผิดแล้วกล้ายอมรับผิด ไม่อายและกล้าแก้ไข ผู้อื่นก็ยกย่องนับถือ  เมื่อเกิดเป็นคนและทำได้อย่างที่ศิษย์พี่บอก ก็จะสบาย เหมือนฟ้าที่ไร้เมฆ เหมือนทะเลที่ไร้ขอบเขต ศิษย์น้องก็จะมีความสุข ไปอยู่ที่ไหนก็อิสระ แต่ศิษย์น้องก็อดไม่ได้ ขออยากอีกหน่อยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปช่วยเขา วันนี้ขายดี คงต้องอีกสักหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเมตตาช่วยเหลือ  วันนี้อากาศไม่ดีอย่าเพิ่งไปห้องพระเลย คนเรามีเหตุอ้างเรื่อยๆ พอจะทำดีก็เลยไม่ได้ทำสักทีจริงหรือเปล่า (จริง) หากศิษย์น้องทำได้อย่างนี้ ก็เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว นอกจากจะขจัดกิเลสในตนแล้ว เรายังสามารถเอากิเลสที่ตนเองขจัดทิ้งนั้น ไปช่วยขจัดให้อีกคนหนึ่งได้โดยไม่รู้ตัว บางครั้งเราพูดอะไรดีๆ ไปประโยคหนึ่ง บางทีทำให้คนอื่นประทับใจไปโดยไม่รู้ตัวก็มี และบ่อยครั้งที่เราพูดอะไรไม่รู้จักคิด ก็ทำให้คนอื่นร้องไห้ไปหลายหนก็มี  ฉะนั้นเกิดเป็นคน ต้องรู้จักสร้างคุณค่าให้กับตน แล้วศิษย์น้องก็จะไม่กลัวตายเลย เพราะทำดีมาแล้วตลอดชีวิต ถึงวันนี้ตายฉันก็ภูมิใจ ถามศิษย์น้องจริงๆ ว่าถ้าเราต้องตายไปวันนี้ใครภูมิใจบ้าง ผู้บำเพ็ญธรรมภูมิใจไหม ธรรมะก็รับไปแล้ว บำเพ็ญก็บำเพ็ญไปแล้ว ภูมิใจไหม (ภูมิใจ)  ศิษย์พี่ไม่ภูมิใจด้วย เพราะยังสามวันดีสี่วันไข้อยู่เลย
(ศิษย์พี่เมตตาประทานชื่อเพลง : ดวงไฟในตน)
แม้โลกจะเต็มไปด้วยคนชั่วร้าย สังคมเต็มไปด้วยความชั่วมืดมน แต่ขอให้ศิษย์น้องจุดไฟในตน แม้ตอนนี้จันทราจะยังไม่ฉาย ความดีจะยังไม่บังเกิด แต่เราพร้อมที่จะจุดความดีในใจตน นำทางนำแสงสว่างไปให้เขา นอกจากนำทางไปให้เขาแล้ว เรายังนำทางให้ตัวเองได้ด้วยใช่หรือไม่ ขอเพียงเรากล้าที่จะยื่นมือออกไป เมื่อไรที่เรากล้าที่จะเผชิญกับความชั่วร้ายและฝ่าฟันอุปสรรค เมื่อนั้นเราย่อมเอาชนะและนำพาคนอื่นได้ด้วยใช่หรือไม่ อย่าดูถูกตัวเองว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา บางคนมักจะคิดว่าเราก็เป็นคนธรรมดาเดินดิน จะไปทำดีให้สะเทือนใจเป็นไปไม่ได้หรอก จริงๆ แล้วเป็นไปได้  ฉะนั้นคงจะไม่มีสำนวนที่ว่า “ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา” เมื่อมีสำนวนนี้ ศิษย์น้องก็ต้องเป็นได้เหมือนกัน ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ทำได้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าพร้อมหรือเปล่า กล้าไหม อย่าไปกลัว ถ้าเรามีความมั่นคง มีปณิธานที่แน่วแน่ มีอุดมการณ์ที่แจ่มใสโชติช่วงชัชวาลย์ ศิษย์น้องก็จะสามารถนำพาเขาไปได้
(ศิษย์พี่เมตตาถามนักเรียนชายแถวหน้า)  ที่นั่งมาเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เหนื่อยก็ต้องบอกว่าเหนื่อย ไม่เหนื่อยก็ต้องบอกว่าไม่เหนื่อย ต้องมีใจที่เท่าเทียมกัน มีโอกาสก็ขอให้ตั้งใจฝึกฝนให้ดี จะนำพาคนอื่นได้นั้นสำคัญอย่างแรก ตัวเราต้องรู้จักปล่อยวางเรื่องทางโลกบ้าง รู้จักเบาบางเรื่องทางวัตถุ เมื่อใดที่เราวางได้ เบาได้ เราก็จะมีเวลาพร้อมที่จะนำเวลาที่ว่างนั้น ไปมองคนอื่น ช่วยคนอื่น บางทีคนเราที่ทุกข์ เพราะว่ามองตัวเองมากเกินไป กับอีกแบบมองคนอื่นมากเกินไปก็มี ฉะนั้นอยากสุขบ้างก็ต้องมองแบบพอดี บางครั้งรู้สึกทุกข์ก็ควรมองคนที่ทุกข์กว่า บางครั้งรู้สึกสุขก็ควรรู้จักมองคนที่สุขน้อยกว่า เราจะได้ไม่หลงแล้วก็ไม่ยึดติดเกินไป
เกิดเป็นคนในโลกนี้ ต้องรู้จักรับได้ เราอยู่บนโลกนี้เหมือนกับว่าเราต้องรับตลอดเวลา แต่บางครั้งเมื่อรับเป็นก็ต้องยื่นให้เขาเป็นด้วย อย่าเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว บางครั้งเราต้องรู้จักให้ รู้จักเสียสละ แล้วกล้าตรวจสอบตัวเองด้วย จะนำเขา จะเป็นคนดีให้เขาเห็น จะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมให้เขาเดินตาม ตัวเรานั้นต้องขัดเกลาให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ใหม่ทุกๆ วัน ดีหรือเปล่า อย่าเอาสิ่งที่ค้างเมื่อวานมาใส่ในวันนี้ มันไม่น่ากิน มันไม่น่าดู ต้องเป็นผักที่สด ไม่ฉีดฟอร์มาลิน ไม่เคลือบสาร ไม่แอบมีพิษอยู่ในตัว ทำได้ไหม เป็นผักที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นคนที่รักษาความดีให้ได้ทุกเวลา เมื่อไรที่เรามีพื้นฐานจิตใจดี บำเพ็ญได้ดี เราก็ย่อมเป็นพุทธะที่ดีได้เหมือนกัน แต่ศิษย์น้องก็อย่าลืมว่า ดอกไม้ยังมีแมลง ยังมีผีเสื้อมารบกวน ภูเขาแม้จะสูงก็ยังมีต้นไม้ มีสัตว์ไปอาศัยอยู่ คนเรายิ่งถ้ามีปณิธาน มีความตั้งใจสูงเท่าไรหรือมีจิตใจดีมากเท่าไร หรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ ย่อมมีอุปสรรคและมารมาขัดขวาง แต่ถ้าเราฝ่าฟันได้ เอาชนะได้ ผลสำเร็จเราก็ย่อมได้เชยชมสักวันหนึ่ง จริงหรือไม่ แต่ถ้าเอาชนะไม่ได้แม้ตัวเอง ผลสำเร็จก็ไม่มี มรรคผลก็จะไม่บังเกิด เข้าใจนะ ไปแล้วนะศิษย์น้อง รักษาบุญ รักษาโอกาสให้ดีนะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน  พุทธศักราช ๒๕๔๒                                                      
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
      แสวงหาทรัพย์สินให้มากมี                  เพื่อจะมีชีวิตที่สดใส
แต่ยิ่งหากลับยิ่งพบความจริงที่ยิ่งใหญ่    สุขแท้ใดหาซื้อได้จากเงินทอง
          เราคือ
      หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                                          ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
      เกณฑ์ยุคสามหินหยกแยกชัดเจน      เน้นบำเพ็ญกายใจขุ่นกลับใส
ต้องการพบธรรมะจริงหาที่ใจ                    เมื่อย้อนในพบไม่ความโศกา
ชีวิตด้วยหนังสือคนยึดถือพัง                     ใช้ปัญญาใช่กำลังไกลต้องฝ่า
ขจัดความสับสนแลห่างบาปนา                ปรัชญาพาให้เข้าถึงในธรรม
คุณธรรมความงามเป็นแก่นตนแล            ดวงจิตแจ้งโดยแท้ในประจำ
พลีหรือไม่นั้นดูการกระทำ                         เวียนถลำหรือพ้นส่วนตามบำเพ็ญ
ชีวิตนี้อยู่ที่เรากำหนดเอง                           ทะนงเก่งหมายคืนกลับแสนเข็ญ
ทำอะไรต้องลงแรงสิ่งจำเป็น                     เกษมเย็นเพราะอยู่อย่างรู้พอ
ปลอบตนเมื่อสุดที่ทำใจ                             รู้จักตนกิเลสร้ายหยุดไม่ต่อ
ชนะตนปมคลายไร้ปัญหารอ                    เข้าใจตนเราดีพอย่อมเจริญ
โลภโกรธหลงอับเฉาตาแดงช้ำ                  มีคุณธรรมพาคนอื่นให้สรรเสริญ
แวดล้อมดีตามเราผู้เจริญ                          รู้ประเมินเงาแสงอันคือเวลา
ปล่อยชีวิตคล้อยเคลื่อนไปตามสบาย     สุดท้ายกรรมคืนรูปตามกรรมประสา
เพียงชาติเดียวหมายพ้นโปรดพิจารณา   สอบซึ่งหน้าตามคุณสมบัติแต่บุราณ
                                                                                                                  ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

รอเราอยู่หรือเปล่า แต่รู้สึกว่าจะไม่ได้ร้องเพลงรอเรา ร้องรอใคร  รออาจารย์ของท่านเอง ใช่หรือไม่  เกิดเป็นคนทั้งที เอาแต่รอโอกาส บางทีก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางครั้งเราต้องรู้จักขวนขวายเองบ้าง  เอาแต่รอ มีชีวิตเพื่อรออย่างเดียว ไม่มีประโยชน์เลย  จะรอก็ต่อเมื่อเราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เราได้ลงแรงบากบั่นอย่างเต็มกำลังแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่ผลว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ  แต่บางคนนั้นพยายามก็ไม่ได้พยายาม ลองดูก็ไม่ได้เคยลอง มีชีวิตเอาแต่รอชะตาชีวิต รอให้ความสุขหล่นมาใส่ตน  รอให้ความทุกข์หนีหายไปจากตน เช่นนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย  ฉะนั้นเมื่อมีชีวิต บางครั้งเราต้องถามตนเองก่อนว่าเรากำลังรออะไรอยู่หรือเปล่า แล้วตอนที่เรารอนั้น เราได้เคยลองทำ ลองพยายามแก้ไขดูหรือไม่  หากเราจะรอให้เราหายจากความทุกข์ เราต้องถามก่อนว่าเราได้ลองพยายามหาทางแก้ไขหรือยัง  หากเราพยายามอย่างเต็มกำลังเต็มที่แล้ว ยังไม่หายทุกข์ นั่นก็เป็นชะตาของเรา  แต่ถ้าเกิดทุกข์แล้ว เราไม่ยอมพยายามลงมือแก้ไข ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์ไปจากตนได้  เหมือนคนที่เอาแต่กลัว เปรียบความทุกข์เหมือนน้ำ ถ้าคนกลัวทุกข์เหมือนกลัวน้ำ ชาตินี้เขาก็จะไม่มีวันว่ายน้ำเป็น  ถ้าคนกลัวทุกข์ เอาแต่หนีทุกข์ ชาตินี้ก็ไม่มีวันชนะทุกข์  ฉะนั้นไม่เป็นเรื่องยากเลยในการที่จะขจัดความทุกข์ แล้วแสวงหาความสุขที่แท้จริง  กลัวแต่เพียงมนุษย์เรามักจะชอบแสวงหาความสุขมากกว่า ไม่ยอมขจัดทุกข์อย่างแท้จริง  แล้วสุขที่มนุษย์หานั้นก็ไม่ใช่สุขที่แท้ แต่กลายเป็นสุขที่จอมปลอม  เคยรู้หรือเปล่าว่าสุขที่ตนเองหานั้นไม่ใช่สุขที่แท้จริง ถ้าจริงป่านนี้เราคงเห็นทุกท่านไม่ทำงาน เข้าวัดเข้าวากันไปหมดแล้ว  เรายังคิดว่าสุขในโลกนี้ สุขที่ได้จากการแสวงหาทรัพย์สินชื่อเสียงคือความสุขที่แท้ คือสุขที่ทำให้ใจเรายินดีปรีดาขจัดคราบน้ำตาได้  แต่เราน่าจะมองเข้าไปให้แท้ๆ สักนิดหนึ่ง อย่าได้ไปคว้าสุขอันจอมปลอม ไม่อย่างนั้นชีวิตเราต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เข็ดกันสักที
 ดูง่ายๆ คนเรามักจะเห็นว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เต็มไปด้วยคนที่มีจิตใจคดโกงฉ้อฉล อิจฉาริษยา เอาแต่นินทาว่าร้าย  แต่มีใครบ้างที่หันมามองใจตัวเอง ใจเรามองเห็นคนอื่นไหม เราอิจฉาว่าร้าย คดโกงคนอื่นหรือเปล่า  บางครั้งเรามองเห็นความทุกข์ยากเดือดร้อนภายนอก แต่เราไม่เคยเห็นความทุกข์ยากในใจตน  บางครั้งเราเห็นความโหดร้ายของสังคม แต่เราไม่เคยเห็นความโหดร้ายในจิตใจตน  บางครั้งเราเห็นโลกสวยสดงดงาม เต็มไปด้วยผกา บุปผา และมาลี  แต่เรากลับไม่เคยเห็นความงดงามในจิตใจของตน น่าแปลกใช่ไหม (ใช่)  เรามองเห็นข้างนอกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เรากลับมองไม่เห็นแม้เศษเสี้ยวภายในใจของตัวเองว่าเป็นอย่างไร อย่างนี้มีชีวิตแล้วจะเป็นอย่างไร มองเห็นแต่คนอื่น โทษแต่คนอื่น แต่ไม่เคยมองเห็นตัวเอง โทษตัวเองบ้าง  ไม่เคยให้กำลังใจตัวเองในเวลาท้อแท้ผิดหวัง  ไม่เป็นไรนะ เป็นเพราะท่านยังคงเดียงสาต่อโลกนั่นเอง  ถ้าเมื่อไรท่านเข้าใจโลกอย่างแจ่มแจ้ง เข้าใจตัวตนได้อย่างถ่องแท้ ท่านก็จะมีความสุขที่เสรี  ไม่อยากต่อว่ามากนัก เพราะคนเราก็ผิดพลาดได้  แต่สำคัญอยู่อย่างหนึ่งคือผิดแล้วต้องรีบแก้
หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าอยู่บนโลกนี้หาความสงบให้กับชีวิตไม่ค่อยได้ ตื่นเช้ามาก็วุ่นวาย ได้ยินเสียงคนคละคลุ้งเต็มไปหมด แต่เราขอให้มองกระจก หากระจกให้กับตนเอง เป็นกระจกที่สะท้อนโลกแล้วสะท้อนใจตน  เมื่อไรที่เห็นความไม่ดีของคนอื่น กระจกนั้นต้องพร้อมที่จะสะท้อนให้เห็นความไม่ดีของใจตน  เมื่อใดเห็นความดีของคนอื่น กระจกนั้นย่อมสะท้อนให้เห็นความดีในตัวตน  ถ้าเมื่อใดทุกขณะเรามีชีวิต กระจกของชีวิตคอยสะท้อนให้เห็นจิตใจ เมื่อนั้นเราจะเป็นคนที่ย่างก้าวไปไหนก็เหมือนบุปผาอันงดงามลงสู่ที่นั่น ไปที่ไหนก็มีบุปผาแรกแย้มอยู่ใกล้ๆ ตัว ไปที่ไหนก็ส่งกลิ่นหอมให้กับคนอื่น เราชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  เราชอบ คนอื่นก็ชอบ จริงไหม (จริง)  นั่นก็คือเมื่อเริ่มใช้กระจกสะท้อนตัวเราแล้ว เมื่อเราชอบ คนอื่นก็อาจจะชอบได้  การใช้กระจกสะท้อนตัวเองและสะท้อนคนอื่นได้ นั่นก็คือการรู้จักคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเราใช่หรือไม่ (ใช่)
“แสวงหาทรัพย์สินให้มากมี                 เพื่อจะมีชีวิตที่สดใส
แต่ยิ่งหากลับยิ่งพบความจริงที่ยิ่งใหญ่  สุขแท้ใดหาซื้อได้จากเงินทอง”
 ตอนนี้แม้จะมีเงินเต็มกระเป๋า มีเกียรติยศถา มีตำแหน่ง  แต่ถามว่าเอามาแลกให้ตนเองนั่งตรงนี้มีความสุขได้ไหม บางครั้งก็แลกไม่ได้ บางครั้งก็ซื้อไม่ได้ ถ้าใจเราไม่สุข
อยู่อย่างคนกันเอง จะได้ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก ดีหรือเปล่า (ดี)  เพราะบางคนก็เพิ่งเคยเจอเราครั้งแรก  บางคนก็เจอแล้วหลายๆ ครั้ง  ที่เจอครั้งแรกกับเจอหลายๆ ครั้ง ความรู้สึกย่อมต่างกัน ครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลก แต่หลายๆ ครั้งแล้วรู้สึกอย่างไร เบื่อ กลัวหรือเปล่า  แล้วครั้งแรกที่เจอ กลัวเรากันหรือเปล่า (ไม่กลัว)  เรามาพร้อมกับตะกร้าดอกไม้นี้ ท่านจะได้ไม่กลัว ดอกไม้ใครก็ชอบ ให้ได้ทุกโอกาส โอกาสไหนบ้างที่เรามอบดอกไม้ (โอกาสแสดงความยินดี, เยี่ยมคนป่วย, กราบไหว้พ่อแม่, แสดงความคิดถึง, วันแห่งความรัก)  วันแห่งความรัก อย่างนั้นเราเปลี่ยนเป็นมอบความรักดีไหม (ดี)  ยังมีอะไรอีก (เทศกาลต่างๆ , วันวาเลนไทน์, ดอกไม้ไว้บูชาพระ, เนื่องในวันแม่, วันสงกรานต์, ให้เพราะว่าเราซาบซึ้งใจ) หรือพูดง่ายๆ ให้ด้วยความเคารพนับถือ มีอีกหรือเปล่า (ถวายสิ่งสักการะด้วยดอกไม้)  อีกโอกาสหนึ่งที่คนไม่อยากพูด ดอกไม้คู่กับชีวิตจริงๆ ใช่หรือไม่ ตั้งแต่เกิดก็ได้รับดอกไม้ เจ็บป่วยก็ได้ดอกไม้ เข้าใจแล้วใช่หรือเปล่า ชีวิตคนก็เหมือนดอกไม้เช่นเดียวกัน เราเกิดมาคู่กับดอกไม้จริงไหม แต่บางครั้งเราให้ดอกไม้ไปใช้ในทางที่ผิดก็มี ใช่หรือเปล่า ทั้งที่ดอกไม้เป็นสิ่งสวยงาม แต่พอเราแปะใบมรณะในวันเกิดเป็นอย่างไร ผิดประสงค์ทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตคนก็เฉกเช่นเดียวกัน ทำไมเราถึงกล่าวเช่นนี้ บ่อยครั้งที่ชีวิตคนเรานั้นมีความมุ่งมั่นปรารถนาจะกระทำสิ่งใดให้กับตนเอง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำไปให้ถึงความมุ่งมั่นปรารถนานั้น เราไม่วางตน ไม่ตั้งตนให้อยู่ในทางที่ชอบธรรม ความซื่อตรง ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ความมุ่งมั่นปรารถนานั้นย่อมนำพาให้เราเดินทางผิดได้
ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งที ก่อนที่เราจะไปทางใด ก่อนที่เราจะตัดสินลงมือกระทำสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ ขอให้คิดไตร่ตรองดูว่า สิ่งที่จะกระทำและมุ่งมั่นนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความดีหรือไม่ หากไม่อยู่ขอให้รีบถอยหลังกลับ เพราะชีวิตเรานั้นไม่เคยได้ประสบสุขตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เรามีชีวิต ความผิดพลาดสอนให้เรารู้จักชีวิต สอนให้เรารู้ว่าก่อนจะทำอะไร ต้องรอบคอบสักนิดหนึ่ง ไตร่ตรองให้ดีก่อน อย่าบุ่มบ่าม อย่าใจร้อน เข้มงวดกับตัวเองหน่อย อย่าปล่อยปละ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะบ่อยครั้งที่เราตัดสินใจไปแล้วเราพยายามไปให้ถึงสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้น บางครั้งก็อยู่รอดจนประสบผลสำเร็จ แต่บางครั้งก็ต้องดับก่อนที่จะได้ผลสำเร็จ ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไร ขอให้ยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ควบคุมและตรวจสอบก่อนว่ามีคุณธรรมไหม ถูกต้องหรือเปล่า ทุกขณะเวลามีชีวิตถ้าคิดได้เช่นนี้ ความผิดพลาดย่อมยากจะบังเกิดกับตัวเรา  แล้วเราก็จะไม่สงสัยเลยว่า ทำไมเรามีชีวิตมา ความผิดพลาดจึงไม่เกิดเลย หรือเราอาจจะสงสัยว่า ทำไมเรามีชีวิตดำเนินเริ่มต้นมาก็ดี แต่พอถึงบั้นปลายทำไมล้มเหลว ทำไมไม่ประสบผลสำเร็จ บ่อยครั้งที่เรามีชีวิต ตั้งใจจะทำอะไรแล้ว เริ่มต้นเหมือนดี แต่มีชัยไหม กลับไม่มี ได้สมดังหวังไหม กลับไม่ได้  เพราะเราขาดความระมัดระวังในความคิด ขาดความสำรวมในความประพฤติและการกระทำ จึงทำให้เรายากจะสำเร็จ จึงทำให้เราต้องล้มเหลวก่อนไปถึงปลายทาง อีกอย่างหนึ่งที่เราอยากเตือนไว้ ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะว่าปราชญ์โบราณนั้นเคยกล่าวไว้ว่า “ความสุขในโลกนี้ เบาบางเหมือนขนนก แต่ความทุกข์ยากในโลกนี้ หนักหน่วงยิ่งกว่าหินผาหรือศิลาใดๆ”  ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งที อย่าห่วงแต่สุข ไม่อย่างนั้นความทุกข์ที่เราต้องเผชิญจะหนักยิ่งกว่าที่เราคาดคิดไว้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักระมัดระวัง ตั้งอยู่ในความถูกต้องและดีงาม เวลาดำเนินต้องมีความสำรวมรอบคอบ ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ ผลสำเร็จย่อมอยู่ในมือได้
บางครั้งโรคที่เกิดขึ้นจากตัวเรานั้น บางทีก็ต้องถามตัวเราเองว่า เกิดจากใจเราเอง หรือว่าเกิดจากตัวเรานั้นไม่ยอมดูแลสุขภาพให้ดี แม้วันนี้จะให้ไปเป็นแค่กำลังใจ แต่จะหายหรือไม่หายอยู่ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ ถ้าใจเรากินยานี้หาย ใจเรากลับไปทำแบบเดิม สักวันก็ต้องเป็นเหมือนเดิม จริงหรือไม่ ฉะนั้นยาที่วิเศษที่สุดคือยาที่ใจเราเอง เพราะโรคทุกอย่างแต่ละโรค หากเราหวนกลับไปหาสาเหตุ เราจะรู้ว่าคนนั่นแหล่ะเป็นผู้หาโรคให้ตนเอง ใจเราที่ต้องทุกข์ กายเราที่ต้องเจ็บ เพราะว่าตัวเราไม่รู้จักรักษา ไม่รู้จักบำรุงเลี้ยง แต่บางครั้งโรคบางอย่างก็เกิดจากความเป็นจริงของชีวิตด้วยใช่หรือไม่ อย่างที่เรารู้กันคนเรามีเกิด มีเจ็บ แล้วก็ตาย ฉะนั้นที่รักษาไม่หาย มีบางครั้งที่เราต้องก้มหน้ายอมรับชะตาและความเป็นจริงของชีวิตว่ามีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจว่าทุกข์นี้เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เราก็อาจจะปล่อยวางความทุกข์ไปได้สักเปลาะหนึ่ง แต่ถ้าเกิดเราคิดอีกว่าทุกข์เป็นเรื่องที่ต้องกลุ้มใจ เป็นเรื่องที่ต้องกังวล เสียน้ำตา เราก็จะไม่ดีใจเลยเวลาทุกข์มา แต่พุทธะนักปราชญ์กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะความทุกข์ทำให้พุทธะและนักปราชญ์อยากบรรลุ อยากสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ความทุกข์ของมนุษย์กลับทำให้คนอยากวิ่งหนี  ไม่ยอมรับความจริง ไม่กล้าต่อสู้ เช่นนี้ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่การแก้ไขใช่หรือไม่  (ใช่)
ชีวิตของคนนั้นเหมือนสับปะรดลูกนี้ มีเปลือกหนาที่ห่อหุ้มอยู่ เปลือกหนานี้ถ้ารู้จักดำเนินชีวิตให้ดีก็ไม่ทิ่มแทงทำร้ายใคร ถ้าไม่รู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้องดีงาม เปลือกหนานี้ก็พร้อมจะทิ่มแทงและทำร้ายคน แต่บางครั้งกว่าคนจะเข้าใจสับปะรดลูกนี้ต้องทำอย่างไร (ปอก)  ก่อนจะปอกต้องสนใจเสียก่อนใช่หรือไม่ ถ้าเกิดเราไม่สนใจเดินผ่านไปผ่านมา คิดว่าชีวิตนี้ก็คือสับปะรดธรรมดาๆ ลูกหนึ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ลองผ่าออกดูก็ไม่มีทางเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต ก็เหมือนกัน คนเราอย่ามองแค่เพียงเปลือกนอก บางครั้งเราต้องมองให้เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตว่า ชีวิตเรานั้นไม่ใช่เกิดมาเพื่อกิน อยู่ อาศัย แล้วก็หลับนอน  แต่ชีวิตที่แท้จริงของเราคือการได้เข้าถึงธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะในตัวตน คือการเข้าถึงจิตใจอันแท้จริงแห่งความเป็นคนอันประเสริฐ นี่คือการมองให้เหนือขึ้นไปอีกหรือมองให้ลึกเข้าไปอีก เราอยู่ในโลกนี้อย่าเป็นคนที่มองโลก มองชีวิตเพียงผ่านๆ แต่เราต้องมองโลกและชีวิตให้เข้าถึงและเข้าใจ เมื่อเราเข้าถึงและเข้าใจ เราจะรู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่า สับปะรดปอกออกมาเหลืองอร่าม ชีวิตปอกออกมาเป็นชีวิตที่ขาวบริสุทธิ์งดงาม แต่เพราะอะไรเรากลับไม่สามารถปอกเข้าถึง เพราะว่าเรากลัวเจ็บ เราไม่มีอาวุธ ทำไมถึงกลัวเจ็บ เพราะว่าเรายังมีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง  เพราะว่าเราไม่มีอารมณ์ ไม่มีปัญญาที่จะหาทางทะลุทะลวงให้เข้าถึงความเป็นจริงของชีวิตอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ เรามีปัญญา เรามีอาวุธ แต่เราไม่รู้จักช่วงใช้อาวุธและช่วงใช้ปัญญา เราจึงไม่รู้ว่าปัญญาก็เป็นอาวุธได้ ความเก่งกล้าสามารถ ก็เป็นมีดที่ปอกให้เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตได้เหมือนกัน
 เรายังอดเป็นห่วงในเรื่องอะไรบ้าง ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงชีวิต เข้าถึงแก่นแท้แห่งการบำเพ็ญธรรม  เรายังไม่กล้าที่จะก้าวไปบำเพ็ญ เรายังไม่กล้าที่จะเดินไปสู่หนทางอันสว่างไสว เรายังยอมอยู่กับความมืดบ้างสว่างบ้าง เรายังยอมจมอยู่ในโคลนตมบ้าง ท่านเป็นหนอนที่ชอบอยู่แต่ในอาจมหรือ ก็ไม่ใช่ ท่านเป็นค้างคาวหรือที่ชอบกินแต่ซากหมู ท่านเป็นสุกรหรือที่ชอบกินแต่รำ ก็ไม่ใช่ แต่เราเป็นคน เป็นสัตว์อันประเสริฐ และแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ดียิ่งกว่าเดิมได้ เราไม่ได้เกิดมาแล้วชีวิตถูกกำหนดมาต้องเป็นอย่างนี้ ถอยไม่ได้ แก้ไม่ได้ แต่เราเป็นคนที่สามารถแก้ได้เปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งๆ ขึ้นได้ อยู่ที่ว่าเห็นตัวเองหรือยัง อยู่ที่ว่ายอมหยุด ยอมแก้ไขหรือยัง อารมณ์ กิเลส ความรัก ความโลภ ความอิจฉาริษยา ชื่อเสียง เงินทองทรัพย์สิน เมื่อไรจะพอกันสักที เมื่อไรจะมีความสุขกับสิ่งที่มีบ้าง ถ้าเราหยุดไม่ได้ การที่เราเข้าถึงก็เป็นการยากลำบาก การที่จะตัดกิเลสให้พ้นไปจากตัวก็เป็นการยากยิ่ง  กิเลสในตัวที่ร้ายที่สุดมีอะไรบ้าง (ความโกรธ หลง, ความอยาก, ความเห็นแก่ตัว, อารมณ์, ความโลภ) ถ้าพูดโลภ โกรธ หลง ใครๆ ก็รู้ แต่ถามว่าเวลาเราอยากแล้วเราโลภไหม เวลาเราหน้าแดงเราโกรธไหม โลภแบบไหนที่เรียกว่าโลภ  โลภอยากได้ของคนอื่นเข้ามาในกระเป๋าเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีอะไรอีก (ความอิจฉาริษยา, ความมีมิจฉาทิฐิคือมีความผิดในตัวเอง)  คิดว่าสิ่งที่ตัวเองโลภนั้น ฉันต้องหาเงิน เงินที่อยู่ในกระเป๋าของเขานั้นจริงๆ ต้องเป็นของฉัน บางครั้งเราก็เข้าข้างตัวเอง แล้วปกป้องตัวเองไปในตัว แทนที่จะตัดกิเลสออกจากตัว กลับกลายเป็นยิ่งสร้างเพิ่ม และสร้างกำแพงป้องกันอีก ทั้งที่จะตัดทั้งที่จะแก้ เลยไม่ยอมแก้ หรือไม่ก็บอกว่าเป็นเพราะความเคยชิน เป็นเพราะว่าหน้ามืดไปชั่วขณะ เป็นเพราะอะไรอีก (เป็นเพราะความยึดมั่นในตัวของตัวเรา, ความอิจฉาริษยา)  เห็นตอบคำนี้บ่อยจังเลย ทำไมคนถึงขี้อิจฉากันนัก เขาได้ดี เราก็น่าจะมีความสุขใช่หรือเปล่า เขามีทุกข์เราน่าจะเป็นอย่างไร (มีทุกข์กับเขาด้วย) เห็นใจ ไม่ใช่มีทุกข์กับเขา  เขาทุกข์เราต้องเข้าไปช่วยเขา ไม่ใช่เข้าไปทุกข์ด้วย แก้ให้เขาก็ไม่ได้ แถมยังไปทำให้เขากังวลและไม่สบายใจว่าฉันทุกข์แล้วเธอกลับต้องมาทุกข์ด้วย  ฉะนั้นถ้าเกิดจะเข้าไปเห็นใจเขาก็ต้องปลอบใจเขาให้กำลังใจเขา ดีกว่าจะบอกว่าฉันช่วยทุกข์ด้วย ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  และต้องแก้ปัญหาให้ถูกทางด้วย
เมื่อสักครู่เราถามคำถามอะไร แล้วจะให้ท่านตอบอะไร ทำไมไม่เคยทำอะไรสำเร็จ เพราะลืมจุดมุ่งหมายตอนต้นใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเดินไปครึ่งทางก็เริ่มหลงแล้วว่าเรามาเพื่ออะไร นี่แหละคือปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งของชีวิตคน เมื่อสักครู่เราถามว่าทำอย่างไรเราถึงจะสามารถขจัดกิเลสที่เป็นเปลือกนอกของตัวเรานี้ให้หมด แล้วสามารถมองผ่านเข้าไปเห็นถึงความเป็นพุทธะภายในตัวตน นั่นก็คือเราต้องพยายามขจัดกิเลส นิสัยหรือความเป็นตัวตนของเราให้เบาบางที่สุดหรือแทบจะไม่มีเลย เราถึงจะเห็นความเป็นตัวตนที่แท้จริง การที่จะขจัดได้นั้นเราก็ต้องรู้จักเบาบางตัวตนหนึ่ง เบาบางตัวเขาหนึ่ง ทำได้ไหม (ทำได้)  เมื่อไม่มีเขาไม่มีเรา ก็ย่อมไม่มีให้เปรียบเทียบ ไม่มีให้อยากมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนแรกที่ท่านบอกว่าอิจฉาก็เพราะมีเขามีเรา ท่านอยากได้ก็เพราะมีเขามากกว่า มีเราน้อยกว่า เพราะมีของเขาและของที่ไม่ใช่ของเรา ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตอยู่บนโลก เราตัดคำว่าตัวเขาตัวเราทิ้ง เราก็จะเบาบางความเป็นตัวตนของเราได้ และเราก็จะสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของตนเองได้หนึ่งเปลาะ เพราะว่าตัวเราเองนั้นยังหนาอยู่ใช่หรือไม่ เปลาะนี้อาจจะทำให้เราไม่เห็นได้ทันที แต่จะมีอีกเปลาะหนึ่งนั่นก็คือทำอย่างไร จึงจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีอคติ  การจะไม่มีอคติได้ ก็คือต้องไม่มีอารมณ์ เมื่อไรเราไม่มีอารมณ์ความคิดย่อมเที่ยง ตัวเราย่อมตั้งตรงจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรามีอารมณ์ เราย่อมอคติ ไม่เที่ยง เอนเอียงและหวั่นไหว เมื่อเอนเอียงหวั่นไหว การตัดสินใจเมื่อยามดำเนินหรือเดินทางหรือมีชีวิต ย่อมไม่ยุติธรรม เมื่อไรที่เรามีอารมณ์รัก เราจะเห็นได้ไม่ค่อยเที่ยง เราจะมองได้ไม่ค่อยทะลุปรุโปร่ง เมื่อไรที่เรามีความโกรธ ก็เฉกเช่นเดียวกับรักใช่หรือไม่  ฉะนั้นอีกสิ่งหนึ่งที่ยามมีชีวิตอยู่อย่างไร้อคติ อยู่อย่างว่างตัวเขาตัวเรา ดำเนินไปอย่างไม่มีร่องรอย หากเรามีชีวิตทำได้เช่นนี้ ท่านจะเหมือนน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ ใครมาตัดก็ไม่ขาด ยังคงมุ่งมั่นไปไม่หยุดหย่อน ใครมาทำสกปรกก็ยังกลับมาสะอาดใสได้ ผ่านไปแบบไม่เหลือ ว่างแบบไม่ยึดติด หากมีชีวิตได้เช่นนี้ นับว่ายอดคน จึงเรียกว่า “ผู้บำเพ็ญตน” ฟังดูยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานดอกไม้ และผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ของบางอย่างนั้นต่างกันแค่เปลือกนอก แท้ที่จริงแล้วมีความเหมือนกัน
“ทำอะไรต้องลงแรงสิ่งจำเป็น” หากมนุษย์มองได้เช่นประโยคที่เรากล่าวก็คงไม่ดิ้นรน ไขว่คว้ามาก เพราะทุกอย่างก็เหมือนกันหมด แต่ความเป็นจริงของคนกลับมองไม่เห็นใช่หรือไม่ มองกันแค่เปลือกนอก เวลาจะคบคนก็คบกันแค่เปลือกนอก ไม่ยอมเข้าถึงแก่นแท้ กว่าจะรู้ถึงแก่นแท้ ก็ต้องมาเสียใจ ที่มองเขาแค่เพียงเปลือกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ขอให้มองสรรพสิ่ง มองให้เข้าถึง อย่ามองเพียงรูปแบบภายนอก
“ชีวิตนี้อยู่ที่เรากำหนดเอง”
เข้าใจกลอนบทนี้ไหม ชีวิตของเราจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ จะไปซ้ายหรือไปขวา ล้วนอยู่ที่เรากำหนดทิศทางของตนเองใช่ไหม (ใช่)  จะเป็นคนหรือว่าเป็นพุทธะเดินดินก็อยู่ที่เราเลือกเดินหรือไม่เดิน ตอนนี้ท่านเหมือนผู้ที่เจอทางแยก มีป้ายหนึ่งเขียนไว้ว่า “ฝึกฝนการเป็นพุทธะ”  อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “กลับเป็นเหมือนเดิม” ก็อยู่ที่ว่าท่านจะเลือกทางไหน แต่จะเห็นแท้จริงหรือไม่ ต้องลองก้าวเดิน หนทางไกลแม้พันลี้ เริ่มจากหนึ่งก้าวเดินใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนแม้จะเก่งเพียงใด ก็ต้องไม่ลืมว่า ภูผาสูงเกิดได้จากหินก้อนเล็กๆ แม่น้ำอันยิ่งใหญ่เกิดจากการรวมตัวของลำคลอง คนแม้จะเรียนมามากแค่ไหน ก็ไม่ลืมที่จะร่ำเรียนไปตลอดและไม่รังเกียจการเรียนอยู่สม่ำเสมอ เพราะว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน ฉะนั้นเราต้องรู้จักพากเพียรอยู่ตลอดเวลา
หากเมื่อยามมีชีวิตเรามั่งมีทรัพย์สิน เรามั่งมีชื่อเสียง แต่เราต้องถดถอยในคุณธรรม เราก็คิดว่าการมั่งมีชื่อเสียงนั้น ก็เป็นเหมือนลมเย็นที่มาต้องกาย เมื่อต้องกายตอนแรกเรารู้สึกเย็นสบาย แต่ลมเย็นนี้ ถ้ายิ่งต้องกายมากเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิม เราจะยิ่งรู้สึกหนาวเข้าถึงกระดูก หนาวเหน็บจนเจ็บปวดใจใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้าใจคำพูดตรงนี้ไหม บางครั้งความสุขที่เราได้ มันเป็นการกระทำผิดกฎหมาย สิ่งที่เราได้มาโดยการผิดคุณธรรม คดโกง มันก็เหมือนกับลมหนาวที่ต้องกาย ตอนแรกโดนก็เย็นสบายดี แต่ยิ่งโดนหนักเข้าๆ กลับยิ่งหนาวจนเจ็บกระดูก  ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าแม้จะได้น้อย แม้จะมีสุขช้า แต่เป็นสุขที่ทำให้เราสบายไปตลอด ไม่ต้องมาขื่นขมทีหลัง ยังดีกว่าสุขที่ได้มารวดเร็ว แต่ผิดคุณธรรม ผิดกฎหมาย อย่าได้คิดเอาเลยดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กลัวอย่างเดียวว่ามนุษย์เรากว่าจะเดินไปถึงหนทางอันสว่างไสว กว่าจะคิดบำเพ็ญธรรมก็สายเกินกาล เพราะมักจะผัดวันประกันพรุ่ง บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มจริงหรือไม่ เอาเข้าจริงๆ เราก็ผัดไปเป็นพรุ่งนี้ เพราะบอกว่าพรุ่งนี้ก็คือวันพรุ่งนี้ วันนี้เลยไม่ยอมเริ่ม การคิดจะตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจแล้วต้องเด็ดขาด ต้องมุ่งมั่น เมื่อมุ่งมั่นแล้วต้องลงมือกระทำจริง ไม่เกี่ยงงอน วันนี้ก็คือวันนี้ หากวันนี้มีชีวิต แต่เหลือร่องรอยที่ไม่ดีงามให้ พรุ่งนี้ไร้ชีวิตใครจะเรียกคืนได้ ใครจะให้โอกาสได้ใช่หรือไม่
“ปลอบตนเมื่อสุดที่ทำใจ   รู้จักตนกิเลสร้ายหยุดไม่ต่อ”
กลอนบทนี้คงเข้าใจ เมื่อไรที่เรารู้จักและเข้าใจตน เมื่อนั้นเราจะสามารถดับกิเลสในใจและตัดกิเลสทิ้งจากใจตนได้ แต่ถ้าเมื่อไรเรามองไม่เห็นตน เห็นแต่ผู้อื่น ภายในตนเราก็จะแก้ไขไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในอดีตนั้นการจะบำเพ็ญตนไม่ง่ายเหมือนสมัยนี้ กว่าจะได้รู้ถึงธรรมย่อมยากลำบาก  การโปรดครั้งนี้เป็นการโปรดยุคสาม ให้เราบำเพ็ญธรรมท่ามกลางครัวเรือน  ท่ามกลางที่เรามีชีวิตอยู่ในสังคม แต่มนุษย์เรากลับไม่รู้จักพอใจในสิ่งนี้  กลับยังบอกว่ายากลำบากอีก หากเราบอกว่าในอดีตเราจะบำเพ็ญ เราจะมีชีวิต  กว่าเราจะตัดสินใจบำเพ็ญก็เป็นเรื่องยาก  แต่ถ้าเปรียบเทียบตอนนี้ยังง่ายกว่าตอนนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะในอดีตนั้นต้องตัดขาดทั้งครอบครัว เกียรติยศชื่อเสียง ยอมเป็นคนที่เดินดินกินกับทรายก็ต้องทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เป็นยุคสาม เป็นการโปรดครั้งใหญ่ที่แม้มีเงินก็ยังบำเพ็ญได้  แม้มีเกียรติยศก็ยังฝึกฝนตนได้  แม้อยู่ในสังคมก็ยังเป็นคนที่บริสุทธิ์งดงามได้  ยากกันคนละแบบ แต่ทำไมยังยากที่จะตัดสินใจอีก
สมัยก่อนจะดูเวลานั้นต้องใช้เงาแสง สมัยนี้ดูเวลามองแค่ข้อมือก็รู้แล้ว  แต่สมัยก่อนดูเงาแสงต้องดูว่าแสงเงาตกกระทบทางเหนือหรือทางใต้ ทางตะวันออกหรือทางตะวันตก ถึงจะเดาได้ว่าตอนนี้กี่ทุ่มกี่ยามใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราอยู่ในบ้านเราก็สามารถบำเพ็ญได้  แต่สมัยก่อนจะบำเพ็ญต้องปลูกบ้านเอง ต้องไปอยู่ตามป่าตามเขา ต้องทนสู้ลำบากต่างๆ นานา  ตอนนี้มีโอกาสเราได้บำเพ็ญตนท่ามกลางชีวิตที่เต็มไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ท่ามกลางชีวิตที่มีความสุขสบาย ทำไมกว่าเราจะคิดบำเพ็ญจึงเป็นการยากนัก  เป็นเพราะว่าเรายังเด็กอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะว่าเราไม่มีเวลาว่างอย่างนั้นหรือ  ก็ไม่น่าจะใช่  ทุกคนบำเพ็ญธรรมได้ ตราบใดที่เรายังอายุเท่านี้ เราก็ยังสามารถบำเพ็ญธรรมได้ แล้วตัวท่านล่ะทำไมจะบำเพ็ญไม่ได้  อยู่ที่ว่าท่านจะตัดสินใจหรือไม่ บำเพ็ญไปเพื่ออะไร บำเพ็ญเพื่อให้เราค้นพบการมีชีวิตที่แท้จริง  ค้นพบคุณค่าแห่งการเป็นคนอันประเสริฐ เมื่อเราค้นพบตัวตนได้แล้ว คงไม่ใช่แค่ช่วยตนอย่างเดียว เรายังเป็นแบบอย่างที่ดี เรายังเป็นคนที่ดี  ที่จะนำไปสู่สังคมที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
“ปล่อยชีวิตคล้อยเคลื่อนไปตามสบาย          สุดท้ายกรรมคืนรูปตามกรรมประสา”
ปล่อยชีวิตตามสบายจนเคยชิน เวลาเดือดร้อนก็มาพบหน้าพุทธะ พบหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้  แต่ตลอดชีวิตไม่เคยใฝ่ดี ไม่มีความดีมาต้านทานกรรม แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเอาความยุติธรรมไปทิ้งไว้ที่ไหนได้ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยากหนีกรรมให้พ้นต้องรู้จักทำดี อยากทำให้กรรมเบาบางที่สุด ไม่ต้องเจอกรรมหนัก ไม่ต้องเจอภัยรุนแรง เราต้องรู้จักประคองตนเองให้มั่นคง  สร้างกุศลบำเพ็ญตน แม้กรรมจะมาเราก็ไม่หวาดหวั่น  เพราะว่าเรารู้จักที่จะรับมือ รู้จักที่จะต่อสู้  เรารู้แล้วว่าชีวิตนี้หากเผชิญความทุกข์ยากลำบาก เราจะเอาอะไรไปรับ  เราจะเอาอะไรมาช่วยหนุนใจให้สู้ต่อไปได้  แต่ก่อนไม่เคยมีธรรม อยู่ๆ ทุกข์แล้วจะเอาธรรมมาล้าง เอาธรรมมาช่วยไกล่เกลี่ยก็คงยาก  แต่ถ้าเมื่อก่อนก็รู้จักใช้ธรรม รู้จักศึกษาธรรม เวลามีทุกข์ ธรรมนั้นเองที่จะช่วยปลอบใจ  จะช่วยฝึกปลอบใจให้เราลุก ให้เรากล้าหาญเข้มแข็งต่อสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนคนมีมีด ทุกวันหมั่นใช้มีด เขาย่อมรู้และไม่ประมาท เฉกเช่นเดียวกันถ้าคนมีธรรม ทุกวันหมั่นใช้ธรรม หมั่นเอาธรรมมาตรวจสอบใจ มาดูแลใจมาวัดใจ ธรรมนั่นเองจะช่วยให้เราไม่ผิดพลาด และไม่ก้าวพลาดในชีวิต กลัวอย่างเดียว กลัวท่านเกียจคร้าน อ่อนแอ กลัวความดีไม่สามารถเอาชนะความชั่วในใจ กลัวท่านจะอดรักความชั่วในใจตนไม่ได้ ไม่ยอมรักความดีในใจตนมากกว่า หรือกลัวท่านจะเข้าข้างตน ไม่ยอมแก้ไขตน
 เรามาก็ไม่ได้หวังอะไร แต่เราต้องการให้รู้ว่าคนทุกคนก็เป็นพุทธะได้ คนทุกคนก็เป็นเซียนได้ อยู่ที่ชาตินี้นี่เอง อย่าไปรอชาติหน้า อย่าไปรอวันไหน อยู่ที่วันนี้จะตัดสินใจบำเพ็ญตนหรือไม่ คนทุกคนแม้จะมีรูปลักษณ์ต่างกัน มาจากต่างบ้านต่างเมือง  แต่พุทธจิตธรรมญาณเหมือนกัน แม้จะสกปรกไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าจะล้างไม่ได้  น้ำยังรู้จักกลั่นกรองให้สะอาดได้ แต่ช่วงที่กลั่นกรองต้องยอมเจ็บ ยอมลำบาก ยอมขัดใจตนหน่อย น้ำจึงจะสะอาดได้ จิตใจก็เฉกเช่นเดียวกัน จะฝึกฝนตนเองเป็นพุทธะ จะฝึกฝนตนเองให้บำเพ็ญตนต้องยอมขัดหน่อย  ยิ่งหนัก ยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งสะอาดได้เร็ววัน ยิ่งเจ็บถึงกระดูก ยิ่งลำบากจนเลือดตาแทบกระเด็น เรายิ่งก้าวเป็นพุทธะได้เร็ววัน ขอเพียงอย่างเดียวเมื่อยอมรับทุกข์แล้วอย่าบ่นท้อทีหลัง  มิเช่นนั้นผลบุญหรือผลแห่งมรรคผลจะถูกบั่นทอนไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อตั้งใจบำเพ็ญจะมุ่งมั่นแล้วอย่าท้อถอย เมื่อตั้งใจจะเป็นคนดี เมื่อตั้งใจจะกระทำดี ขอให้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ เราย่อมจะเป็นคนดีได้ แม้จะเป็นพุทธะไม่ได้  เพราะคนทุกคนก็เป็นคนดีอยู่แล้ว อยู่ที่เมื่อไรจะเอาดีชนะชั่ว เอาดีล้างชั่วในใจตน  ความชั่วนั้นก็ยากจะมีอิทธิพลต่อใจเราได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อไรที่เรารู้จักปล่อยวางบ้าง ไม่ติดในรัก โลภ โกรธ หลง  ไม่ติดในชื่อเสียง ไม่ติดในนามตน ไม่ติดในหน้าตา ไม่เห็นแก่ส่วนตนหรือเห็นแก่ทรัพย์สิน มีชีวิตอยู่อย่างมีสุขในคำว่า “รู้พอ”  มีชีวิตอย่างอุทิศเพื่อมวลชน สละผลประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นบ้าง คนนั้นจึงจะเกิดมาเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนดีของสังคม  เมื่อเราตั้งใจ เราคิด เราหวังอยากจะช่วยผู้อื่น หากเขาฟังเราก็พึงพูด แต่ถ้าเขาไม่ฟัง ขอให้รู้จักวางเฉยบ้าง  อย่าได้ลุแก่อารมณ์ ไม่อย่างนั้นแล้ว บำเพ็ญตนไปก็ไม่มีประโยชน์  วันนี้ช่วยเขาได้ แต่ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาจะตามเรามาใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือจิตใจ อย่าให้มารมาครอบงำความคิด อย่าให้มีมิจฉาทิฐิ ความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้องมาครอบงำอารมณ์และจิตใจ ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ทะลุปรุโปร่ง  เกิดเป็นคนอย่างหนึ่งที่สำคัญคือขอให้ซื่อสัตย์ จิตใจขอให้เที่ยงธรรม  ภายในใจรู้จักสำรวมระมัดระวัง  ความประพฤติขอให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าคิดว่าเรามาสอนเลยนะ คิดว่าเรามาคุยกับท่านก็แล้วกัน ให้อะไรก็ไม่สู้ให้ถ้อยคำที่ดี ที่สามารถเก็บไปใช้ได้ตลอดชีวิต  ให้เงินให้ทองก็ไม่มีประโยชน์ สักวันย่อมสูญ  หากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็น่าเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนกับให้คุณธรรมความดี  คุณธรรมความดีนี่แหละช่วยอบรมบ่มนิสัย ขัดเกลาและเชิดชูเราให้เป็นคนที่ดีของสังคม เป็นแบบอย่างที่ดีของเพื่อน
คนที่รับธรรมะแล้ว แต่ไม่มีดวงตาเห็นธรรมและจำไตรรัตน์ได้  กับอีกคนหนึ่งรับธรรมะแล้ว แต่จำไตรรัตน์ไม่ได้และไม่มีดวงตาเห็นธรรม ต้องเข้าใจด้วยว่าผลย่อมต่างกัน  คำว่า "ดวงตาเห็นธรรม" เห็นธรรมระดับไหน เห็นความเป็นธรรมเพียงรู้ตื่น รู้ความเป็นจริงของชีวิต หรือเห็นธรรมแบบเข้าถึงธรรมผล ย่อมต่างกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมาพูดถึงเรื่องอนุตตรธรรม รับธรรมะ จำไตรรัตน์ได้ นั่นก็อยู่อีกระดับหนึ่ง ย่อมแยกให้ชัดเจนว่าการจำไตรรัตน์ได้ นั่นก็คือการรู้จักจำรหัสผ่านในการติดต่อสื่อสาร หรือพูดง่ายๆ ก็คือการจำรหัสผ่านของการเป็นพุทธะ หรือรหัสที่ดึงพุทธจิตเข้ามาอยู่ในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นย่อมต่างกันเวลาที่เขาจำได้หรือไม่ได้ แต่ก็มีหลายๆ คนที่เขาจำไตรรัตน์ไม่ได้ แต่ก็สามารถเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตได้  บางคนเข้าใจธรรมะ จำไตรรัตน์ได้ แต่บางทียังไม่เข้าถึงธรรมะ ย่อมมีความต่าง อาจจะต่างกันแค่ขาวจุดดำ ดำจุดขาวใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราชี้ให้ชัดก็คงยาก เพราะว่าจิตใจของเราจะบอกว่าเป็นแก้ว ก็ไม่อาจใช่แก้ว จะบอกว่าเป็นแสง ก็ไม่อาจจะเรียกว่าแสง ตอนนี้เข้าใจชีวิตให้ได้ก่อน การจะรู้ตื่นนั้นก็คือ การรู้ตื่นความเป็นจริงของชีวิตว่าชีวิตต้องมีทุกข์ ถ้าเราไม่รู้จักขจัดความทุกข์ เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ตื่นชีวิตที่แท้จริงได้ ใช่หรือไม่  ทุกข์เกิดจากการแสวงหาไม่หยุดหย่อน การไม่รู้พอในใจตน ถ้าเรารู้พอในใจตน เราย่อมดับทุกข์ได้ เมื่อเราเริ่มมีสุข เราย่อมสามารถที่จะมีใจ ไปค้นหาความเป็นจริงของชีวิตแล้ว แต่ถ้าเรามีทุกข์ ทำอย่างไรท่านก็คงไม่ยอมไปค้นหา ไม่ยอมบำเพ็ญแน่ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอยากจะคิดบำเพ็ญต้องรู้จักดับทุกข์ในใจตนบ้าง ให้เวลากับคุณธรรม ให้เวลากับการแสวงหาแสงสว่างบ้าง
มีโอกาสกลับมาขอให้ศึกษาเพิ่มเติม สามวันนี้คงไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตได้ เพราะชีวิตของเราเต็มไปด้วยความสงสัย ความเคลือบแคลงและไม่แน่ใจ แม้กระทั่งเรามาวันนี้ ถามว่าท่านเชื่อใจเราไหม ท่านก็ตอบได้ไม่เต็มปาก แต่อยากให้รู้ว่าชีวิตนี้เรามีความสุขที่แท้จริงได้ เป็นสุขที่นิรันดร์ที่ค้นพบได้ในชาตินี้ และสำเร็จได้ในชาตินี้ อยู่ที่ว่าเราจะบำเพ็ญไหม จะลองเดินทางนี้หรือเปล่า อย่าเห็นว่าการควบคุม การเข้มงวด เป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจ เพราะถ้าเราควบคุมได้ เข้มงวดตัวเองได้ คนอื่นย่อมอยากจะทำตาม เรียกร้องตนเองดีกว่าไปเรียกร้องคนอื่น เข้มงวดตนเองดีกว่าไปเข้มงวดผู้อื่น จริงหรือไม่ ฉะนั้นบำเพ็ญที่ตัวเองก่อน ยุติธรรมที่ตัวเองก่อน ดีที่ตัวเองก่อน ไม่ต้องไปเรียกร้องใคร เดี๋ยวเขาก็ตามเรามาเอง เดี๋ยวเขาก็ดีได้เองใช่หรือไม่
วันนี้คงต้องจากกันเท่านี้ ยินดีเมื่อพบ เศร้าเสียใจเมื่อต้องพลัดพราก แต่ก็วางใจ ถ้าเกิดท่านคิดจะบำเพ็ญ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดี ถ้าคิดจะบำเพ็ญแล้ว เดินไปให้สุดทาง ล้มบ้างก็รีบลุก ท้อบ้างก็รีบปลอบใจตน อ่อนแอบ้างก็รีบปลุกตนให้เข้มแข็ง ดีหรือไม่ บำเพ็ญตนอย่างมีความหวัง มีทิศทาง ขอให้รักษาโอกาสให้ดี มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ลาก่อน

วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๒                                                          
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

      ความเมตตากรุณาอยู่ในฤดี               ความยินดีเสียสละอยู่ภายนอก
เร่งบำเพ็ญไม่ต้องรอให้ใครบอก               โพธิสัตว์อยู่ตรอกซอยแคบกาลปัจจุบัน
                                เราคือ
     จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา                 ถามศิษย์รักทุกคนมีความเข้าใจในธรรมมากขึ้นหรือไม่

      เหยียบเมฆาสู่พสุธาหาศิษย์รัก          ผู้ตระหนักคิดบำเพ็ญไม่เคยถอย
ทุกทุกวันอาจารย์แอบเฝ้ารอคอย            ศิษย์น้อยน้อยคิดถึงข้าหรือไม่กัน
ตามรอยเท้าแห่งอริยาดีไหมศิษย์             คนชอบคิดโลภโกรธไม่สุขสันต์
คนชอบคิดรักหลงวุ่นพัลวัน                       คนชอบคิดมากมากนั้นก็ไร้คุณ
จะปล่อยสัตว์หรือพูดธรรมล้วนกุศล        บุญเก่าล้นผลวันนี้คอยเกื้อหนุน
ผู้บำเพ็ญต้องเป็นผู้สำนึกคุณ                   ใจอบอุ่นประหนึ่งเหมือนดวงตะวัน
สามวันนี้เป็นก้าวแรกการบำเพ็ญ            ปฏิบัติเป็นสรณะตามตอนขั้น
ต่อกิเลสทั้งหลายให้เท่าทัน                        เหมือนก่อนนั้นศิษย์ข้ากลับไปคู่เคียง
อาจารย์นี้ยังจะอดห่วงไม่ได้                      ศิษย์หลงใหลทั้งรูปรสและกลิ่นเสียง
ทรัพย์สมบัติไม่เคยรู้จักพอเพียง               ชอบไปเสี่ยงโชคลางไม่รู้จักภัย
หลังจากนี้รู้บำเพ็ญและปฏิบัติ                  หนึ่งทางลัดข้าให้แล้วกลัวแต่สาย
สงบนิ่งท่ามกลางความวุ่นวาย                 มิลืมไปช่วยเวไนยนะศิษย์เอย
จากกันแล้วอย่าลับดั่งใบไม้ร่วง                ข้าสุดห่วงกลัวที่สุดคนเพิกเฉย
คำของข้าเจ้าก็เฝ้าไปละเลย                     โอ้ศิษย์เอยดังราตรีที่ไร้ดาว
                                                                                                                  ฮา  ฮา  หยุด




          ฟ้าทองผ่องอำไพพระวิสุทธิ์แดนไกล  โถมเข้าฉุดเวไนยหวนมา ยุคปลายเก็บงานไป มิประมาทเกินไป ชีวิตทำความดีเป็นหลัก ระวังอย่าเปลืองใจทั้งใจไปเปล่า คิดจนหมดแรงไปหลายคน ฟ้าดินจะอวยพร แก่คนใช้สติ น้อมรับจำใส่ใจ
          ทุกทุกสิ่งดังใจมิลำบากใดใด  เหมือนว่าสุขเลยไปรับมา   ทุกทุกสิ่งเป็นใจ มิมาขัดทางไป  วันนี้เราเดินนำไปก่อน   ฟ้าดินห่างกันไกล หนทางในจิต   ขอให้ศิษย์บำเพ็ญงดงาม  รู้เพียงหนึ่งปัญญา จะพารู้ถึงสิบ  นับนับคงจะมี
                   เพลง : อำนวยพร
                   ทำนองเพลง : เกอเซิงหมั่นสิงหนัง



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อสักครู่พายเรือลำใหญ่ พายเรือลำใหญ่ไปไกลกว่าพายเรือลำเล็กไหม (ไกลกว่า) หากว่าเราจะไปเรือใหญ่ๆ ของเราก็เป็นเรือที่มั่นคงกว่าเรือเล็ก เพราะฉะนั้นไปก็ต้องไปได้ไกลกว่า ถ้าหากไปแล้วไม่ถึงไหนจะไปทำไมใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อลงแรงจะเป็นผู้บำเพ็ญแล้ว จะต้องบำเพ็ญให้ก้าวหน้าให้ยิ่งขึ้นๆ  หากบำเพ็ญแล้วยิ่งถอยหลังๆ บำเพ็ญไปจะมีประโยชน์หรือเปล่า  จนถึงวันสุดท้าย หากเราไม่ได้กลับคืนนิพพาน จะมีประโยชน์ที่จะบำเพ็ญไหม (ไม่มี)  บางคนไม่กล้าหวังที่จะสำเร็จบรรลุธรรมได้ เพื่อไม่กล้าหวัง ความหวังไม่มีก็ไม่สามารถจะสำเร็จได้ ใช่หรือไม่  เพราะมนุษย์หลายคนอยู่ด้วยความหวัง อาจจะสมหวังหรือไม่สมหวัง  แต่ว่ามีความหวังดีกว่าไม่มีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ศิษย์ต้องพิจารณาความหวังของเราด้วยว่าต้องเป็นความหวังที่เรานั้นลงแรง  ถ้าหากว่าไม่ลงแรง คิดอยากให้สำเร็จ สำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ)  ใครหวังที่จะบรรลุธรรม สำเร็จธรรม ก็ต้องบำเพ็ญปฏิบัติซ่อมแซมจิตใจของตนเอง  หากว่าใครหวังที่จะรวยต้องขยันทำมาหากิน หากว่าใครมุ่งหวังให้ตนเองมีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตต้องทำอย่างไร (มีความซื่อสัตย์สุจริต)  เพราะว่าถ้าเกิดคนที่ไม่ซื่อสัตย์อยากเป็นใหญ่เป็นโต ความใหญ่โตนั้นก็จะอยู่แค่เปลือกนอก ไม่สามารถใหญ่โตอยู่ในจิตได้ใช่หรือไม่
สามวันนี้มาประชุมธรรม เข้าใจธรรมะมากขึ้นใช่หรือไม่ ศิษย์คิดดูว่าขนาดศิษย์ของอาจารย์ลงแรงแค่สามวันนี้ ก็มีความเข้าใจธรรมะ แม้จะไม่มากถึงขีดสุด แต่ก็มีความเข้าใจ  มีหลากหลายให้เราคิดมากขึ้น  สามวันที่ศิษย์ลงแรงไปก็ไม่เป็นการเสียเปล่า  ศิษย์คิดดูว่าถ้าหากว่าศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญธรรมอย่างนี้ถึงห้าปีสิบปี ความเข้าใจธรรมของศิษย์ก็ย่อมจะมีมากขึ้นกว่านี้อีก  เพียงแต่เราต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย ทำสิ่งใดแล้วตั้งใจให้สำเร็จจริง สามวันได้เท่านี้ ถ้าห้าปีก็ได้มากกว่านี้ใช่หรือไม่
เมื่อสักครู่อาจารย์ได้พูดในบทเพลงว่า "ศิษย์ยังหลงไม่ตื่น" ไม่ตื่นเป็นอย่างไร  ประชุมธรรมจบสามวันแล้ว กลับไปบ้านก็เหมือนเดิมใช่หรือไม่ บางคนบอกว่าเดิมๆ ของฉันก็ดีอยู่แล้ว แต่อาจารย์ถามว่าทำไมไม่ทำให้ดีกว่านี้ บางคนบอกว่าเดิมๆ ของฉันไม่ค่อยดีเท่าไร อาจารย์บอกว่าก็ทำให้ดีกว่านี้สิ เพราะว่าพุทธะนั้นเป็นคนเหนือคน มีความอดทนมากกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะฟังใครนินทาว่าร้ายอะไรก็ไม่โกรธ ทำได้ไหม (ได้)  ตอนนี้อาจารย์มาแล้ว บอกให้ตอบก็ไม่ยอมพูด อย่างนี้เรียกว่าอะไร (กลัว)  กลัวด้วยหรือ (ไม่กลัว)  ไม่กลัวก็ต้องเอาจิตใจรวมๆ กับอาจารย์ดีหรือเปล่า ทำให้จิตใจของเราเป็นจิตใจดวงเดียวกัน  ถ้าอาจารย์เป็นหัว ศิษย์ก็เป็นแขนขา หัวสมองสั่งให้เดินไปทางไหน แขนขาก็ไปทางนั้นดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)    อย่างนี้ถึงเรียกว่ามีใจดวงเดียวกันได้  ไม่ใช่อาจารย์บอกว่าหัวสมองสั่งให้เดินไปทางซ้าย เราจะเดินไปทางขวา  แขนซ้ายแขนขวาฉีกออกจากกันจะเป็นอย่างไร มีชีวิตได้หรือไม่ (ไม่ได้)  คนนี้ก็เรียกว่าคนป่วยใช่หรือเปล่า อยากมีร่างกายที่ป่วยหรือร่างกายที่แข็งแรง (แข็งแรง)  อยากมีร่างกายที่แข็งแรงต้องรู้จักดูแลตนเอง  เมื่อเราดูแลตนเองเป็น ก็ดูแลผู้อื่นได้ ทุกวันนี้อาจารย์เห็นศิษย์ดูแลตัวเองไม่เป็นเลย สนใจแต่อะไรที่เรารู้ อะไรที่เราเห็น สุขภาพของเราจึงไม่แข็งแรง สุขภาพใจจึงใช้ไม่ได้
“ความเมตตากรุณาอยู่ในฤดี”
มีความเมตตากรุณาอยู่ในใจหรือไม่ สงสารตัวเองมากกว่าหรือสงสารผู้อื่นมากกว่า
“โพธิสัตว์อยู่ตรอกซอยแคบกาลปัจจุบัน”
ทำไมโพธิสัตว์ถึงอยู่ตรอกซอยแคบ คนที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ต้องมีความเมตตากรุณา  สงสารตัวเองหรือสงสารผู้อื่นดี (สงสารผู้อื่น)  ถ้าตัวเองมีกิเลสก็น่าสงสารอยู่  ตอนนี้บำเพ็ญธรรมเร่งละกิเลส  เมื่อขึ้นชื่อจะเป็นโพธิสัตว์ได้ต้องเป็นผู้ไร้กิเลส ปราศจากกิเลส  เพราะฉะนั้นความเมตตาที่ออกมาก็เป็นความเมตตาที่เหมือนแสงสว่าง เป็นแสงสว่างอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่แสงสว่างที่มีเสียงมีรสหรือมีกลิ่น  แต่ต้องเป็นแสงสว่างที่มีแต่แสง  ให้โดยไม่หวังว่าคนที่เราส่องให้เขาจะรังเกียจหรือไม่ โดยไม่ต้องรอให้เขาขอบคุณ  ความเมตตากรุณาอยู่ในใจ  เมื่อแสดงออกมาเป็นความยินดี ความกรุณาแสดงออกมาเป็นการเสียสละ  จึงบอกว่าเมื่อความเมตตากรุณาอยู่ในใจ  ออกมาก็เป็นความยินดีและรู้จักเสียสละให้กับผู้อื่น เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องสอดคล้อง
“เร่งบำเพ็ญไม่ต้องรอให้ใครบอก”
หลังจากที่ศิษย์รับธรรมะแล้ว การที่จะส่งเสริมตนเองนั้นก็เป็นเรื่องที่สมควร จะต้องรอให้ใครมาเรียกมาบอกอีก  เพราะถ้าหากเขาไม่เรียกไม่บอก เราก็ไม่ต้องมาสถานธรรม ไม่ต้องบำเพ็ญธรรม ไม่ต้องบรรลุเป็นพุทธะ แล้วใครเป็นผู้เสียเปรียบ (ตัวเราเอง)  ถ้าหากว่าเรารู้จักที่จะบำเพ็ญตนเอง แล้วเราออกไปเรียกคนอื่นบ้าง ผลประโยชน์อยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง)  เมื่อมนุษย์เป็นผู้รับผลประโยชน์ จงสร้างผลประโยชน์ให้กับตนเองสักครั้งหนึ่ง
ในปัจจุบันนี้พระพุทธอริยะ เซียนทั้งหลายลงมาเกิดนั้น ไม่ได้เลือกเกิดในบ้านคนรวย เพราะว่าบ้านคนรวยมีพร้อมทุกอย่าง  รวยมากก็หลงมาก  เพราะฉะนั้นกาลปัจจุบันนั้น พุทธอริยะ โพธิสัตว์ เซียนทั้งหลาย เมื่ออยากลงมาเกิด จึงมาเกิดในบ้านที่จนจน ไม่ค่อยมีอะไร เพราะยิ่งจนเท่าไหร่ ยิ่งรู้ว่าความลำบากเป็นอย่างไร แสดงว่าพุทธอริยะไม่ได้กลัวความยากลำบาก  ทุกวันนี้อาจารย์เห็นศิษย์อยากจะทำ แต่กลัวเหลือเกินความยากลำบาก เจอนิดก็หลบ เจอหน่อยก็หลีก ถ้าหากไม่เจอความยากลำบาก จะรู้ไหมว่าความทุกข์อยู่ที่ไหน (ไม่รู้)  ถ้าทุกๆ วัน มีแต่สุข ถามว่าอยากที่จะบำเพ็ญธรรมไหม (ไม่)  ก็คิดไม่ออกว่าชีวิตนี้อนิจจังแท้  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า "โพธิสัตว์อยู่ตรอกซอยแคบ" อยู่ในบ้านคนจน  แต่โบราณนั้นต้องออกไปบวช ต้องออกไปถือศีล ต้องออกไปไกลสังคม หลีกลี้ความทันสมัยสะดวกสบายทั้งหลาย  แต่ตอนนี้ ในยามนี้ ธรรมะลงมาสู่ครัวเรือน ธรรมะลงมาสู่สังคม ลงมาสู่โลก บอกให้ศิษย์อยู่ในบ้านของตัวเอง แล้วทำบ้านของเราให้ดี ช่วยคนอื่น ศึกษาธรรมะให้เข้าใจ ให้ความแจ้งเกิดขึ้น ถึงตอนนั้นเราก็จะเลิกสนใจว่าคนอื่นไม่ดีกับเรา เราจะสนใจน้อยลง เราจะสนใจว่าคนที่เขาไม่ดีกับเราคนนั้นเขาเป็นคนดีหรือยัง เราก็ช่วยเขาเร็วๆ เท่านั้นเอง
อิ๋งเซียน แปลว่าอะไร (ยินดีต้อนรับเซียน) มั่นใจว่าเราเป็นเซียนหรือเปล่า สองวันนี้ไม่เหมือนเซียนหรือ อยากกินข้าว ข้าวก็มา อยากจะนั่งเก้าอี้ก็รอ อยากกินน้ำก็มีคนยกให้ ผ้าก็มีคนหยิบมาให้เช็ด นี่ก็คือความสบายแล้วใช่หรือไม่ แต่บางที่เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังสบายอยู่ มนุษย์ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสบายหรือทุกข์กันแน่ เพราะว่าสบายอย่างไร หาความสบายมาให้กับตนเองมากๆ แต่จิตใจยังมีแต่ความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจงมองใจตนเอง ย้อนมองส่องตน ดูสิว่าทำอย่างไรให้จิตใจของเรามีอิสระ หากจิตใจเต็มไปด้วยกิเลส จิตใจที่อิสระนั้นก็จะไม่มี
(นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับพระอาจารย์)  เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ (เอาใจที่สำรวม)  บางคนก็เอาใจดีๆ มารับอาจารย์ บางคนก็เอาใจที่ดำครึ่งขาวครึ่งมารับ บางคนก็เอาใจที่สงสัยบ้างไม่สงสัยบ้างมารับ คิดว่าอาจารย์อยากได้ใจแบบไหน อยากได้จิตใจที่ดีมีความใสสะอาดและมีความศรัทธาใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นศิษย์อาจารย์ทั้งหลาย เจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์จะไปเรียกร้องกับคนอื่นก็ไม่ได้ เรียกร้องได้แต่ศิษย์ของอาจารย์ใช่หรือเปล่า ใครเป็นศิษย์ของอาจารย์ก็ทำจิตใจของตัวเองให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ มีแต่ความศรัทธาดีไหม บำเพ็ญไปนานๆ ก็ยังมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลายดีหรือเปล่า (ดี)  อาจารย์ไม่รู้จะเรียกร้องใคร ก็เรียกร้องเอากับศิษย์ของอาจารย์ได้หรือเปล่า (ได้)
มีความเข้าใจในธรรมมากขึ้นไหม มากขึ้นพอที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์นั้น บำเพ็ญธรรมไปตลอดชีวิตหรือเปล่า คำถามนี้ตอบอาจารย์วันนี้อาจจะเร็วไปนิดหนึ่ง ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของศิษย์มาพิสูจน์ ว่าศิษย์นั้นมีความเข้าใจพอสำหรับชีวิตหนึ่งชีวิตของศิษย์ไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่มีอะไรขาดหายไป มีแต่ความดีเท่านั้นที่จะเพิ่มขึ้นๆ เวลาศิษย์จะคบคนสักคนหนึ่ง ศิษย์จะคบคนที่ดีหรือไม่ดี (ดี)  อาจารย์ก็แค่อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่ดี เป็นที่รักของคนทุกคน พูดสิ่งใดไปคนก็ฟัง บางคนพูดแต่ไม่มีคนฟัง เพราะเราพูดจาไม่เข้าหู พูดจาไม่น่าฟังใช่หรือไม่ อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นพูดแต่สิ่งที่ดี มีคนยอมฟัง ทำแต่สิ่งที่ดี มีคนยอมรับนับถือ คิดแต่สิ่งที่ดีเพราะความคิดนั้นอยู่กับเราคนเดียว หากว่าเราคิดร้ายต่อผู้อื่นพิษร้ายนั้นก็อยู่ในตัวเราเอง ไม่อยู่กับคนอื่นเลย หากว่าศิษย์สะสมพิษไว้มากๆ พิษนั้นก็อาจทำให้ศิษย์ตายได้ใช่หรือไม่ ไม่อยากตายทั้งเป็นก็อย่าสะสมพิษแห่งความคิดอยู่ในใจเรา
“เหยียบเมฆาสู่พสุธาหาศิษย์รัก”
เป็นศิษย์รักของอาจารย์หรือเปล่า (เป็น)  ศิษย์รักของอาจารย์ทำตัวน่ารักหรือเปล่า อยากรู้ว่าน่ารักไหม ต้องให้คนอื่นวิจารณ์ให้ฟังใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาที่เราอยากรู้ว่าเราเป็นคนดีจริงหรือเปล่า ก็ดูที่สายตาคนอื่นเวลามองเรา ดูที่คำพูดของคนอื่นเวลาพูดกับเรา แต่ว่าฟังแล้วดูแล้วอย่าคิดมาก บางคนชอบคิดมากเขามองเราแค่ครึ่งเดียว เราก็ฟุ้งซ่านใช่หรือไม่  เพราะฉะนั้นเราสังเกตได้ ดูได้ พิจารณาคิดด้วยปัญญาแต่ไม่ใช่เอาไปคิดมาก
“ผู้ตระหนักคิดบำเพ็ญไม่เคยถอย”
เคยถอยไหม (ไม่เคย)  คนที่บำเพ็ญเพียงปีสองปี ยังไม่ถอยเท่าไหร่ ต้องถามคนที่บำเพ็ญ สาม ห้า สิบปี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ศิษย์น้อยน้อยคิดถึงข้าหรือไม่กัน”
คิดถึงหรือเปล่า ชื่ออาจารย์นั้นเขียนว่า “จี้กง” แปลว่า อนุเคราะห์ชาวโลก ทำไมถึงบอกว่าอนุเคราะห์ชาวโลก เพราะว่าพุทธะอริยะทุกพระองค์นั้น มีหน้าที่ที่จะช่วยคนอื่น เราช่วยคนอื่นในด้านที่เราถนัด ที่เราช่วยได้ ในด้านที่เราชำนาญ การช่วยนั้นๆ จึงจะประสบความสำเร็จได้ อย่างอาจารย์ในสมัยมีชีวิต ทำไมต้องช่วยคนในลักษณะบ๊องๆ เพราะว่าวิธีนี้เหมาะสมกับคนสมัยนั้น และอาจารย์ก็ทำได้ ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องดูว่าความชำนาญของตัวเองนั้น สิ่งใดเป็นสิ่งที่ตนเองนั้นชำนาญที่สุด ต้องรู้จักตนเองให้มากๆ คนรู้จักตนเองจึงชนะตนเองได้ คนที่ไม่รู้จักตนเองก็ชนะตนเองไม่ได้ แม้จะชนะคนอีกเป็นร้อยเป็นพันคน มีประโยชน์ไหมเมื่อไม่ชนะตนเอง (ไม่มี)  ชัยชนะนั้นๆ ที่ได้มา เราจะมีความภูมิใจไม่ได้เลย เพราะเรานั้นไม่เคยชนะตนเอง เรานั้นไม่รู้จักตนเอง แม้จะมีชัยชนะสิบครั้ง แต่ศิษย์ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง อาจารย์จึงบอกว่าความทุกข์นั้นอยู่ในใจ ความสุขสบายอยู่ข้างนอกก็ไม่มีประโยชน์ สู้ให้ทุกข์ข้างนอกสุขข้างในจะดีกว่าใช่หรือไม่ สิ่งอำนวยความสะดวกสบายทั้งหลายที่เราหามาเพื่อให้เรามีความสบายนั้น ไม่มีประโยชน์เพราะไม่สามารถทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง เพราะสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจของเราเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)
อายุก็มากแล้ว ถามว่าในที่นี้ใครไม่เคยเป็นโรคปวดหลังบ้าง เป็นไหม (เป็น)  ร่างกายของเราใช้มาก็สิบปีแล้ว โรคปวดหลังไม่ใช่เฉพาะคนที่อายุมากเท่านั้นที่ต้องปวด เดี๋ยวนี้สาวๆ หนุ่มๆ ก็ปวดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราต้องรู้จักมองให้ทะลุปรุโปร่ง เราต้องรู้ว่าโรคนั้นเกิดจากอะไร แล้วเราก็กลับไปแก้ แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยเหลือ แต่หากว่าความเคยชินในชีวิตประจำวันของเราเหมือนเดิม เรายังไปยกของหนักเหมือนเดิมก็เป็นอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องดูให้เข้าใจ ปัจจัยต่างๆ ในชีวิตของเรานั้นเล็กน้อยละเอียดลออ ต้องรู้จักที่จะถนอมรักษาไว้ให้ดี
“คนชอบคิดโลภโกรธ”
มีความโลภมีความโกรธเป็นทุกคนไหม (มี)  ความโลภเวลาเราเห็นอะไรก็อยากจะได้ไปหมด แม้กระทั่งนามธรรมอันได้แก่ ความรักของคนอื่น ความดีของคนอื่นเราก็อยากได้  รูปธรรมได้แก่ ทรัพย์สมบัติ สิ่งนี้ทุกๆ คนเห็นชัด สิ่งมีค่าหรือไม่มีค่าก็ดีของคนอื่น เราก็อยากได้ อย่างนี้เรียกว่าความโลภใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าโลภไปถึงนามธรรมด้วย แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นกำลังแย่แล้ว  ความโกรธเป็นอย่างไร คนอื่นทำไม่ดีกับเรานิดหนึ่ง ทำไม่ดีหน่อยเราก็โกรธ คนอื่นยั่วโมโหก็โกรธ เรื่องของคนอื่นก็โกรธ ไม่ไว้หน้าใคร ความโกรธของเราห้ามไม่ได้ เรามักจะบอกว่าความโกรธของเราแก้ไม่ได้หรอก แต่ถามว่าเคยแก้ไขตัวเราเองไหม (เคย)  ใช้ความพยายามเท่าไร เอาชนะความโลภความโกรธนี้ด้วยอะไร (สติ) อย่างนี้ถึงมีใจอยู่กับอาจารย์ ต้องชนะด้วยสติของเรา คนไทยมีคำพูดบอกว่า "ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว" เรียกว่าเป็นคนขาดสติใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราต้องพลิกเปลี่ยนไปคนละด้าน  คือใจอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วเราต้องเอาชนะสิ่งที่เป็นความโลภความโกรธด้วยสติของเรา
“คนชอบคิดโลภโกรธไม่สุขสันต์”
เคยไม่มีความสุขไหม (เคย)  เคยเกือบทุกวันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คนชอบคิดโลภคิดโกรธก็ไม่มีความสุข นี่เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ศิษย์นั้นไม่มีความสุข อยากมีความสุขต้องโลภน้อยลง ต้องโกรธน้อยลง  เราต้องทำให้บ้านของเรานั้นเป็นบ้านที่มีสติใช่หรือไม่  ต้องทำอย่างไร เวลาสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน หากสามีว่านิดหนึ่งภรรยาโกรธได้ไหม (ไม่ได้)  ถามข้างสามีบ้าง หากภรรยาว่านิดโกรธได้ไหม (ได้)  ไม่ยุติธรรมเลย ในเมื่อขอพรพระ ว่าขอให้ครอบครัวมีความสุข ความสุขนั้นเกิดจากการมีสติ หากเรามีสติเวลาใครในครอบครัวว่าเรา ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน จะเป็นสามี จะเป็นภรรยา จะเป็นพ่อ จะเป็นแม่  ว่าเราเราต้องไม่โกรธ  อย่าโลภในความรักของเขา ที่มีให้เราอยากจะได้มากกว่านี้ เราก็จะมีความสุขขึ้น  เราก็จะได้ครอบครัวแห่งความสุข ทีนี้ไม่ต้องขอพรจากพระที่ไหนเราก็มีความสุขได้  เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่กันไปก็ทะเลาะกันไป สองวันทะเลาะที ห้าวันทะเลาะที เจ็ดวันทะเลาะที  เป็นอย่างไรมีความสุขไหม (ไม่มี)  อยากมีความสุขไหม (อยาก)  หลายคนเวลาขอพรพระก็ขอให้ครอบครัวมีความสุข ไม่ได้ขอให้เราคนเดียว เพราะฉะนั้นต้องเอาสตินี้ไปใช้ที่ครอบครัวด้วย
“คนชอบคิดรักหลงวุ่นพัลวัน”
ความรักกับความหลงนั้นใกล้ชิดกันจนเกือบจะแยกไม่ออก  บางทีก็กลายเป็นความหลงจากความรัก บางทีก็กลายเป็นความรักจากความหลง คนที่มีความรัก มีความหลงก็วุ่นกันพัลวันหมด ทำอย่างไรดีจึงจะทำให้ความรักความหลงของเรานั้นจางลง  ทำอย่างไรดี (ตัดกิเลสของตนเอง, ปล่อยวาง, มองความหลงเป็นความว่างเปล่า)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
เห็นทีศิษย์อาจารย์มีปัญญาขึ้นทุกทีๆ มีปัญญากับมีความเจ้าเล่ห์นั้นไม่เหมือนกัน เราต้องแยกให้ออก (ทำใจให้มีเหตุผล)  มีคนหลายคนที่คิดว่าตนเองนั้นมีเหตุผล แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุผลของเราเป็นเหตุผลของเราคนเดียว  ต้องพิจารณาดูให้กว้างๆ ดูให้รอบๆ  (ใช้ปัญญาแห่งธรรมพิจารณา, ละอบายมุขทุกอย่าง)
คนข้างหน้ามีอยู่ ๑๒ คน ได้ผลไม้ ๕ คน เหมือนกับการที่เรานั้นบำเพ็ญธรรม แม้จะบำเพ็ญกันเยอะแยะมากมาย แต่คนสำเร็จธรรมนั้นมีอยู่น้อยคน  คนที่ได้มรรคผลนั้นก็มีอยู่น้อยคน เวลาที่เราบำเพ็ญธรรมนั้น เราลองถามตนเองสิว่าคนที่ได้มรรคผลที่แท้จริงนั้นคือเราหรือเปล่า  อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนที่เป็นพี่น้องกันจะกลับคืนขึ้นไปพร้อมกัน แต่น่าเสียดายเวลาที่ศิษย์นั้นมองเห็นโอกาสอยู่เบื้องหน้า กลับไม่ยอมที่จะไปลงแรง ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ  เมื่อไม่ได้ลงมือทำอะไร แล้วจะได้อะไรไหม (ไม่ได้)
"ทุกๆ สิ่งดังใจ"  ถ้าอยากได้ทุกสิ่งดังใจต้องรู้จักสร้างบุญกุศล มีเมตตาจิตต่อผู้อื่นให้มากๆ  ถ้าหากว่าอย่างที่สองคือ “มิลำบากใดใด” อยากได้ไหม หากว่าเราอยากได้ความสบายก็ต้องรู้จักสร้างความสบายให้กับคนอื่นๆ สบายใจมาเป็นอันดับหนึ่ง และต้องไม่สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้อื่นด้วยการพูด บางคนสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้อื่นด้วยสีหน้า บางคนสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้อื่นด้วยท่าทาง  เราพิจารณาตัวเองว่าเรามีหรือเปล่า บางทีเราทำอะไรโดยไม่ได้ตั้งใจเลย ทำไมเขาถึงได้โกรธเรา ไม่ชอบเรา  เราต้องไปย้อนดูตัวเองว่าเรานั้นได้ทำสิ่งใดผิดไปหรือเปล่า แต่ต้องคิดอย่างพอดี ไม่ใช่เป็นคนคิดมาก
วันนี้มานั่งฟังธรรมะ สามวันนี้ถือเป็นก้าวแรกของการเริ่มบำเพ็ญ การรับธรรมะนั้นถือเป็นก้าวแรกของการสำเร็จธรรม ก้าวแรกของการบำเพ็ญนี้เราทำอย่างไร
“รู้เพียงหนึ่งปัญญาจะพารู้ถึงสิบ” คนโบราณบอกว่าสิบก็คือร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนปัจจุบัน รู้เพียงหนึ่งปัญญาจะพาให้ศิษย์นั้นรู้ไปทุกอย่าง เราต้องรู้จักที่จะใช้ปัญญา  แสดงว่าปัญญานั้นเป็นสิ่งที่คู่กับเรา  บางคนบำเพ็ญธรรมแต่ไม่ใช้ปัญญา  ก็บำเพ็ญเลอะๆ เทอะๆ  เดินปัดไปปัดมา เป๋ไปเป๋มา  บอกว่าตัดกิเลสได้แต่ไม่รู้ว่าในใจของเรานั้นยังมีกิเลสอยู่ เพราะใช้แต่ตามอง “นับนับคงจะมี” อาจารย์นับๆ แล้วคงจะมีสักคนหนึ่งไหม น้อยไปใช่หรือไม่ จะเอาสักกี่คนดี (เอาหมดทั้งห้อง)  อาจารย์ก็หวังว่าอยากจะได้หมดห้องเหมือนกัน นับๆ แล้วศิษย์ทั้งห้องจะเป็นหรือไม่ อยู่ที่ว่าศิษย์นั้นจะใช้ปัญญาหรือเปล่า ปัญญาอยู่ในใจของตนเอง บางคนนั้นมีปัญญาแต่ไม่ยอมเอาออกมาใช้  ถ้าเปรียบเป็นมีด มีดนี้ก็ทื่อลงทุกวันใช่หรือไม่ มีดยิ่งใช้ยิ่งดี หากมีมีดไม่รู้จักใช้ก็ไม่มีประโยชน์  แม้ว่าทุกคนนั้นมีปัญญาแต่หากไม่ใช้ก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นกัน
(พระอาจารย์เมตตาสอนปรบมือ)  เห็นไหมว่าเวลาอาจารย์พูดนั้นมีคนเข้าใจผิดมากมาย นับประสาอะไรกับที่ศิษย์พูดๆ ไปบางทีก็ไม่ได้คิด  เมื่อมีคนเข้าใจผิดก็เป็นเรื่องธรรมดา  พออาจารย์บอกปรบมือก็มีคนปรบมือ พออาจารย์บอกว่าปรบสามจังหวะ ก็ยังปรบไม่ค่อยถูกเลย  พออาจารย์นับหนึ่ง สอง สาม ก็ปรบเลยใช่ไหม  การที่ศิษย์ของอาจารย์ถูกคนอื่นเข้าใจผิดนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องดูว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเราคิดถ้วนถี่หรือยัง  เรานั้นพูดได้ถูกต้องไหม  เวลาศิษย์ออกไปข้างนอกอย่าได้คล้อยตามคนอื่น  ถ้าธรรมะที่เรามาศึกษาเรามีความเข้าใจ ก็ให้คนอื่นมาคล้อยตามเรา ศิษย์อย่าเป็นหญ้าลู่ลมที่คล้อยตามคนอื่นเรื่อยไป อาจารย์กลัวที่สุดก็คือศิษย์ยังหลงไม่ตื่น หลังจากสามวันนี้กลับไปแล้วถูกคนอื่นพูดไปพูดมาก็หมดกัน อาจารย์พูดอยู่สามวัน คนข้างนอกพูดแค่สามคำน่ากลัวไหม (น่ากลัว) เพราะฉะนั้นความศรัทธา ความเข้าใจในธรรมนั้น ต้องเป็นของศิษย์เอง ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลง)
หวังว่าเมื่อศิษย์นั้นได้สมหวัง ไม่มีความยากลำบาก มีความสุขแล้ว ทุกสิ่งเป็นใจให้กับศิษย์แล้ว หนทางราบรื่นแล้ว  ให้ศิษย์นั้นนำทางคนอื่น ชีวิตหนึ่งของการบำเพ็ญนั้นต้องมีสักเวลาหนึ่งที่ศิษย์นั้นเดินนำผู้อื่นได้ อย่าได้เฝ้าแต่เป็นคนตามอยู่ร่ำไป ถึงเวลาควรตามก็ให้ตาม ถึงเวลาควรนำก็ให้นำ หากจะช่วยคนอื่นแล้วต้องมีความกล้าหาญ  แต่ถ้าอยากจะมีความกล้าหาญนั้น การช่วยคนอื่นอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือการที่เรานั้นรู้ว่าเวลาไหนควรนำ เวลาไหนควรตาม ความกล้าหาญต้องรู้จักใช้ให้ถูกเวลาก็ใช้ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาทว่า "เพลงอำนวยพร")
ร้องเพลงไปก็ดูเนื้อหาของเพลงธรรมะไปด้วย อย่าเพียงแต่ร้องๆ ไปเพื่อความบันเทิง ถ้าหากว่าใจของศิษย์บันเทิงมากเกินไปเราก็จะไม่มีธรรมะอยู่ในใจ คนบำเพ็ญธรรมะในสมัยนี้ แม้มีบทเพลงมาเพื่อเป็นการผ่อนคลาย เพื่อเป็นการรู้แจ้งในธรรม แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์ต้องแจ้งในเนื้อหาธรรมะด้วย จึงจะไม่เสียคุณค่าที่เรานั้นอุตส่าห์ได้มีเพลงธรรมะไว้ร้องกัน
(พระอาจารย์เมตตาสอนนักเรียนในชั้นร้องเพลงอีกครั้งหนึ่ง)
เห็นไหมว่าเวลาที่ศิษย์ต้องการจะเริ่มต้นอะไรสักอย่างหนึ่ง แม้ว่าตอนแรกเราจะไม่เป็นเลย แต่เราสามารถหัดจนเรานั้นมีความสามารถได้ แม้ว่าเราจะเสียงไม่เพราะเหมือนนักร้อง แต่เราก็สามารถที่จะร้องเพลงได้เหมือนกัน เป็นผู้บำเพ็ญธรรมก็ให้รู้จักประคองใจเช่นนี้ แม้ว่าเราจะไม่มีความสามารถในการบำเพ็ญได้อย่างถึงที่สุด หรือไม่แน่ใจว่าเราจะหลุดพ้นในชาตินี้ได้ แต่เราก็มีความหวังที่จะหลุดพ้น เพราะเรามีเป้าหมาย ทำตามที่อาจารย์พูดทุกขั้นตอน อาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์นั้นไม่พลาดไปจากทางเส้นนี้
อาจารย์นั้นเห็นหลายครั้งเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์มีใจก็มีใจพร้อมๆ กัน เหมือนกับวิ่งเข้าหากัน แต่พอศิษย์ของอาจารย์ไม่มีใจก็ไม่มีใจพร้อมๆ กัน วิ่งแตกกระสานซ่านเซ็นออกจากกัน ถึงเวลานี้คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือเวไนยสัตว์ จึงบอกว่าเวลาศิษย์มีใจพอที่จะทำให้ศิษย์บำเพ็ญไปสุดทาง เวลาที่ศิษย์ไม่มีใจให้คิดไปถึงผู้อื่นที่คอยศิษย์ อาจารย์ไม่มีกายเนื้อ ไม่มีสังขาร อาจจะเป็นข้อดีที่ไม่ต้องรับทุกข์ทรมานอย่างที่ศิษย์เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่จะเป็นข้อเสียเมื่อเราคิดจะเจริญกุศล แม้อาจารย์นั้นจะมีอภิญญามากมาย ก็สู้ศิษย์ของอาจารย์ไม่ได้ เพราะศิษย์เหนือกว่าอาจารย์ที่มีกายสังขาร จงใช้วันเวลาทุกๆ นาทีให้เป็นประโยชน์ จึงจะได้ชื่อว่าสร้างคุณค่าให้กับชีวิตนี้ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน แม้จะมีความทุกข์มากกว่าความสุขเราก็น้อมรับ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้มีชีวิตเพื่อมีความสุข ไม่ได้มีชีวิตเพื่อตนเอง แต่อยากจะมีชีวิตเพื่อผู้อื่น และอาจารย์จะภาวนาอำนวยพรให้ศิษย์เหมือนกับเพลงนี้ที่อาจารย์ให้ไว้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
“ธรรมะ”  หลังจากวันนี้ให้ใกล้ชิดธรรมะมากๆ แล้วเอาธรรมะนั้นใส่จิตใจเอาไว้
“จริง”   อาจารย์หวังว่าจะเป็นตัวจริง ในโลกมนุษย์ชอบพูดถึงเรื่องตัวจริง ตัวปลอม อาจารย์หวังว่าศิษย์นั้นเป็นตัวจริง
“หา”  หาเวลามาสถานธรรมมากๆ ดีหรือเปล่า แล้วศิษย์ทุกคนกลับไปหาเวลาให้กับตัวเองด้วยดีหรือเปล่า (ดี)
“ไม่”  ไม่มีความสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น บำเพ็ญธรรมะด้วยความบริสุทธิ์ใจ
“พบ”  อาจารย์หวังว่าไม่ว่าจะโดนคนว่าอะไรก็แล้วแต่ จำมีเวลาหรือไม่มีเวลา ก็ขอให้มาสถานธรรมพบหน้าอาจารย์บ่อยๆ ได้ไหม (ได้)
“ใน”  หวังว่าในใจของศิษย์นั้นมีธรรมะ มีใจบำเพ็ญได้ไหม (ได้)
“หนังสือ”  จิตใจคนเหมือนกับหนังสือเล่มใหญ่ กลับไปพลิกหนังสือของตัวเองดูว่า เราเขียนอะไรไว้บ้าง เพื่อให้เรารู้จักหนังสือของตัวเราให้ดี แล้วเราจึงสามารถพูดเหมือนที่หนังสือในใจของเราพูด
เป็นความจำเป็นของคนบำเพ็ญธรรม ที่จะต้องมีอาวุโสคอยนำพา ถ้าหากว่าเป็นผู้บำเพ็ญแล้วไม่สนใจอาวุโส ไม่เคารพอาวุโส ก็เหมือนไม่เคารพอาจารย์ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนต้องรู้เดินตาม จึงจะเป็นงูที่มีหัว มังกรที่มีหัวได้ ศึกษาธรรมะต้องลงแรง ต้องปฏิบัติ  สัจธรรมมีมากมาย ต้องใส่ใจศึกษาให้เข้าใจ มีหลายเรื่องในโลกนี้ที่ศิษย์ของอาจารย์ยังไม่เข้าใจ และอาจจะไม่เข้าใจชั่วชีวิต ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทำตัวให้พร้อมรับทุกสภาพสภาวะที่จะเกิดขึ้น เรื่องทุกเรื่องแก้ไขได้ด้วยสัจธรรม ด้วยความสามัคคี จำคำอาจารย์ไว้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพระโอวาท)
“ฟ้าดินห่างกันไกล หนทางในจิต” หมายความว่าฟ้ามีทางให้เราไป ดินก็มีทางให้คนเดิน  แต่ว่าบำเพ็ญธรรมนั้น ทางอันนี้ไม่มีทั้งบนฟ้าและในดิน แต่หนทางนี้อยู่ในจิตของเราเอง ให้กลับไปเดินเข้าไปให้ถึงใจของตนเอง  ใจของเราที่เป็นใจแท้ๆ ก็เปรียบเสมือนนิพพาน  การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่บอกว่าอยากให้ศิษย์บรรลุธรรม อยากให้ศิษย์เป็นพุทธอริยะ  แต่ว่าการเป็นพุทธอริยะ ไม่ได้อยู่ที่ตอนเราเสียชีวิต แต่ต้องเป็นตั้งแต่ตอนที่มีชีวิตอยู่ เราจึงจะไปถึงในจุดที่เรามุ่งหวังไว้ได้  เพราะฉะนั้นการที่เราจะเดินให้ถึง ต้องถึงตั้งแต่ตอนมีชีวิต อย่าคิดว่าศิษย์จะฝึกความเมตตา ไม่มีอารมณ์โลภ โกรธ หลงนั้น ตายไปเราก็จะเป็นได้  ถ้าหากตอนที่เรามีชีวิตอยู่ เราไม่เคยกำจัดความรัก โลภ โกรธ หลง  เราไม่เคยสิ้นกิเลสเลยสักวันหนึ่ง ไม่เคยมีความเมตตาต่อใคร ตายไปเราก็ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่  เราก็ยังเป็นผู้ที่มีความรัก โลภ โกรธ หลงเต็มที่  ถ้าหากว่ามีอบายมุขอยู่ในใจ หนทางนรกก็เปิดกว้าง  ถ้ามีแต่ความเมตตาในจิตใจอันดีงามนี้ หนทางสว่างก็เปิดกว้าง
มนุษย์พูดว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” คำนี้ก็มีมาตั้งนานแล้ว  ตอนนี้อยากให้ศิษย์รู้ว่าสวรรค์นรกก็อยู่ในใจของเรา หนทางการเป็นพุทธะก็อยู่ในใจ  อาจารย์บอกว่าฟ้าดินห่างกันไกล ไม่ได้ให้ศิษย์มุ่งไปฟ้าที่เป็นฟ้าสีครามนี้ ไม่ได้ให้ศิษย์มุ่งไปที่ดินซึ่งหมายถึงนรกนี้  แต่ให้ศิษย์มุ่งไปหนทางที่อยู่ในใจของเราเอง  ทางอยู่ในจิตของเราขอให้ศิษย์บำเพ็ญงดงามทั้งกาย ใจ วาจา เพียบพร้อม  ถึงตอนนั้นอาจารย์ก็ไม่ขายหน้าที่จะบอกใครว่าศิษย์คนนี้เป็นศิษย์ของอาจารย์  เราเป็นเกียรติให้กันและกัน อาจารย์เป็นความภูมิใจของศิษย์ ศิษย์ก็เป็นความภูมิใจของอาจารย์  ทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง คิดเริ่มคิดจบ คิดให้รอบคอบ
“ฟ้าทองผ่องอำไพ” หมายความว่าฟ้าสีทองนั้นเริ่มขึ้นแล้ว ฟ้าสีทองแห่งการฉุดโปรด
“พระวิสุทธิ์แดนไกล” หมายความว่าอย่างไร พระวิสุทธิอาจารย์จากแดนไกล สมัยนี้มีสององค์ไม่ใช่แค่อาจารย์เพียงองค์เดียว
“โถมเข้าฉุดเวไนยหวนมา” อาจารย์นั้นช่วยศิษย์ด้วยความรีบเร่ง แต่เป็นรีบเร่งที่ดูตาม้าตาเรือ ศิษย์ของอาจารย์หลายคนเวลาชวนคนรับธรรมะ จิตใจรีบเร่งไม่ดูอะไรเลย ถึงเวลาก็จับปัญหาเข้ามาหาตัว ศิษย์อย่าลืมเวลาที่ศิษย์จะให้เขารับธรรมะ ศิษย์ต้องไปคุกเข่าบอกพระมารดาว่าคนที่ศิษย์พามานั้นเป็นคนดี ศิษย์ต้องรู้จริงๆ ถึงกล้าที่จะพูดกับท่าน ถ้าไม่รู้พูดไปก็คือโกหก บาปใดๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อเราไม่รู้มีบาปไหม (มี) ก็ยังมี แม้ไม่รู้ทำผิดไปก็มีบาป มากหรือน้อยก็ดูกันอีกที
“ยุคปลายเก็บงานไป” ยุคปลายนี้การเก็บงานครั้งนี้ การโปรดครั้งนี้คนมีกายสังขารก็เอา คนที่ไม่มีกายสังขารทั้งเทวดาและนรกภูตผี ก็โปรดหมด
“มิประมาทเกินไป” การเก็บงานยุคสามนี้อยากให้ศิษย์ทำงานด้วยความรอบคอบ ยังไม่ถึงเวลาที่จะเก็บธรรมะกลับคืน แต่หากศิษย์ประมาทเกินไปปัญหาสร้างรุมเร้าศิษย์มากมาย ต่อให้ภายนอกนั้นยังสะอาดดี แต่ใจของศิษย์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นปัญหา แล้วศิษย์จะทำงานธรรมะต่อได้อย่างไร จึงบอกว่ายุคปลายการเก็บงานนี้อย่าประมาททำงานรู้จักระมัดระวัง เริ่มต้นที่ตัวเราเป็นผู้ที่บำเพ็ญอย่างแท้จริง
“ชีวิตทำความดีเป็นหลัก”  ให้ถือหลักครองชีวิตด้วยคุณธรรมความดี
วันนี้อาจารย์มาที่นี่พูดเรื่องคิดมากหลายครั้ง จะบอกให้ว่าศิษย์ของอาจารย์หลายคนคิดมาก ตอนนี้เศรษฐกิจก็ไม่ดี เงินก็ไม่มี ครอบครัวก็ไม่มีความสุข บำเพ็ญธรรมะก็รู้สึกว่าตัวเองจะแย่ ทำอะไรก็ดูจะเป็นอุปสรรคไปหมด คิดไปคิดมาสุดท้ายหมดแรงไม่มีอะไรดีกว่านี้ อาจารย์นั้นจะเอาคำพูดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อวานนี้มาบอกให้ฟัง “ทำอะไรต้องลงแรง” หากอยากประสบความสำเร็จไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ต้องลงแรง มีแรงกายและแรงใจ ดูว่าเราจะใช้แรงอันไหน ดูว่าเราควรที่จะได้รับผลที่เราอยากจะได้ไหม ถ้าเราไม่ควรจะได้ อยากได้ไปจะได้ไหม (ไม่ได้) หลอกคนอื่นหลอกได้ หลอกตัวเองหลอกไม่ได้จึงบอกว่า
“ระวังอย่าเปลืองใจทั้งใจไปเปล่า” เปล่ากับความคิด ความคิดอันเป็นพิษ ความคิดที่ไม่รู้จักจบ คิดแต่พอประมาณ คิดแต่พอหาทางออก เป็นคนบำเพ็ญธรรม เป็นคนคิดมากด้วย เอาอันไหนกันแน่
“ฟ้าดินจะอวยพรแก่คนใช้สติ” เมื่อมีสติก็จะมีปัญญา ฟ้าดินจะอวยพรแก่คนที่ใช่สติเท่านั้น คนที่ไม่ใช้สติเวลาที่อาจารย์โยนผลไม้ไปข้างหน้า ต้องมีคนรับถึงจะรับได้ใช่หรือไม่ แต่ว่าคนรับไม่ยอมแบมือ หันหลังให้ รับได้ไหม (ไม่ได้)  ฟ้าดินนั้นอวยพรให้ศิษย์อยู่แล้ว อาจารย์อวยพรให้ศิษย์อยู่แล้ว ไม่ต้องขอ ถ้าอาจารย์เห็นสมควรว่าศิษย์นั้นเป็นผู้ที่บำเพ็ญจริง ศรัทธาจริงควรจะฝ่าพ้นอุปสรรคนี้จริงๆ ฟ้าดินก็ช่วยศิษย์อยู่แล้ว หากว่าศิษย์ไม่สมควรที่จะได้ วันๆ ก็เอาแต่ขอ  ก็เอาแต่เฉยนั่งๆ นอนๆ ไม่เคยแก้ไขตัวเองเลย ก็เหมือนกันคนที่หันหลังให้อาจารย์ โยนไปก็ไม่ถึง
“น้อมรับจำใส่ใจ”  อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นจำไว้ดีๆ คำอวยพรทั้งหมดก็อยู่ในเพลงที่อาจารย์นั้นให้ไว้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เข้าถึงแก่นแท้”)
เวลาที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นมองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนี้มองเปลือกนอกก็เห็นแต่เปลือก  แต่ศิษย์ของอาจารย์รู้อยู่แล้วว่าต้นไม้ต้นนี้มีแก่น แต่การที่เราจะเข้าไปให้ถึงแก่นแท้ ต้องศึกษา ต้องบำเพ็ญและปฏิบัติ หากไม่ศึกษา ไม่บำเพ็ญ ไม่ปฏิบัติแล้ว ก็ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนศึกษาอย่างเดียวไม่ยอมบำเพ็ญ บางคนศึกษาจนเข้าใจหมด แต่รู้แค่ตัวหนังสือ ไม่สามารถบำเพ็ญได้ ก็เป็นอันว่าคนๆ นี้ยังไม่ถึง ไม่เข้าขั้น บางคนศึกษาแต่ไม่ยอมบำเพ็ญ บางคนบำเพ็ญแต่ไม่ยอมปฏิบัติ
บางคนนั้นการบำเพ็ญก็อยู่ที่การซ่อมแซมตัวเอง ถ้าบำเพ็ญอยู่แค่ตัวเราคนเดียว ไม่เคยคิดจะช่วยคนอื่น ทำแต่พอประมาณ  อะไรที่เหนือสุดที่สูงสุดไม่คิดจะไขว่คว้า ชีวิตนั้นขาดเป้าหมาย ไม่มีเป้าหมายแห่งพุทธะก็ไม่สามารถจะหลุดพ้นได้ เพราะฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญและการปฏิบัติเป็นของคู่กัน คู่กับใจศิษย์  ในตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์มองดูต้นไม้เห็นแก่น ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องมองดูตัวเองให้เห็นใจ มองดูธรรมะก็รู้ว่าธรรมะมีแก่นก็เข้าให้ถึงแก่น อย่ามาติดรูปลักษณ์ที่อาจารย์เอามาใช้ การยืมร่างไม่ใช่สิ่งที่ถาวร หากว่าอาจารย์พูดไปแล้ว ศิษย์ไม่ปฏิบัติก็ไม่มีประโยชน์ อาจารย์ไม่ชอบให้ศิษย์มาติดที่รูปลักษณ์ตรงนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์ศึกษาสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอภินิหาร เรื่องภัยใดๆ นั้น หรือความคิดฟุ้งเฟ้อเติมแต่งไปเอง ไม่ถาวรทั้งนั้น  ศิษย์นั้นพาตนเองให้บำเพ็ญดีๆ แล้วกลับคืนเท่านั้นจึงจะเป็นเรื่องที่ถาวร แล้วอย่าตัดสินว่าคนไหนบำเพ็ญดีกว่ากัน อย่าเปรียบเทียบกัน  หากว่าไม่สิ้นลมหายใจนี้ ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าคนไหนเป็นพุทธะที่แท้จริง
“จากกันแล้วอย่าลับดั่งใบไม้ร่วง”  หลังจากวันนี้เราจากกันแล้วจะกลับมาพบกันอีก ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะไม่จากกันแล้วจากกันลับ เหมือนใบไม้ร่วงหล่นแล้วไม่สามารถจะคืนต้นได้
“ข้าสุดห่วงกลัวที่สุดคนเพิกเฉย”  รู้ไหมว่าอาจารย์กลัวคนประเภทไหนที่สุด คงมีคนรู้ใจอาจารย์ ศิษย์กลัวไหมเวลาที่ศิษย์พูดกับใครสักคนหนึ่ง แล้วคนๆ นั้นทำเฉยๆ (กลัว)
ศิษย์มากมายเช่นนี้ อาจารย์มีคำพูดที่จะพูดกับศิษย์เป็นคนๆ ไป แต่เวลาไม่อำนวยแล้ว เห็นไหมว่าอาจารย์มาหาศิษย์ได้เพียงครู่เดียว เวลาที่เหลือทั้งหมดศิษย์ต้องอาศัยตนเอง ต้องสู้ด้วยตนเอง รักษาตัวกันให้ดีๆ บำเพ็ญกันให้ดีๆ  อาจารย์ไม่มีคำพูดอะไรที่มากกว่านี้ วันหน้าเราเจอกันใหม่ ถ้าหากว่าศิษย์ไม่กลับมาเจออาจารย์ก็เป็นเหมือนค่ำคืนที่ไม่มีดาว โดดเดี่ยวอ้างว้าง  วันหน้าเราจะกลับมาเจอกันใหม่ รักษาตัวให้ดีๆ สามัคคีกันให้ดีนะ  หนทางคืนบ้านไม่ใช่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก เข้าใจตนเองให้มากๆ รู้จักตนเองให้มากๆ ลาก่อนนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เข้าถึงแก่นแท้”

            ธรรมะจริงหาไม่พบในหนังสือ                   คนยึดถือต้องไกลห่างแลสับสน
ให้เข้าถึงแก่นแท้โดยแจ้งในตน                               ในส่วนพ้นหรือไม่นั้นอยู่ที่เรา
หมายคืนกลับต้องลงแรงอย่างที่สุด                      เมื่อรู้หยุดร้ายกิเลสคลายอับเฉา
เราดีพอพาคนอื่นดีตามเรา                                    อันแสงเงาเคลื่อนตามรูปคนตามกรรม
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา