วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2542

2542-04-10 พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา


PDF 2542-04-10-จือเจวี๋ย #3.pdf

วันศุกร์ที่ ๙ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๔๒                         พุทธสถานจือเจวี๋ย  จ.สงขลา
พระโอวาทพระนาจา
  มีใครบำเพ็ญแล้วใจไม่ท้อ                       มีใครบ้างเอาแต่รอวันสำเร็จ
แต่ไม่เคยคิดลงแรงแยกสิ่งจริงเท็จ                 ชอบระเห็จระหกไปฝั่งมายา
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจาของน้องน้อง                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา           ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์น้องทุกคนบำเพ็ญแล้วท้อถอยกันบ้างไหม
  ยากลำบากเพียงใดน้องไม่บ่น                   เพียรขยันอดทนแม้ใครไม่เห็น
เลิศวาจามิเท่าเลิศกระทำเป็น                      พร้อมบำเพ็ญทุกสภาวะฝึกใจเรา
ธรรมหนึ่งศอกมารหนึ่งวาธรรมไม่สิ้น              อ่อนน้อมน้ำเป็นอาจิณทูตยุคขาว
ไร้อคติความชังจิตชอบเดา                        เคารพเขาเขาเคารพเราไม่จาง
บำเพ็ญนานใจต้องว่างแลพิสุทธิ์                  เพื่อพ้นหลุดเรื่องเลวร้ายที่คอยขวาง
อารมณ์ร้อนสอนวู่วามยากเบาบาง               กุศลล้างว่างในเย็นเห็นเท่าทัน
อย่าได้ถอยแม้หนทางยากเพียงไหน               อย่าได้พ่ายต่อโลกีย์ที่แปรผัน
ระยะทางแพ้ผู้มีใจบากบั่น                         ผู้คงมั่นเห็นทุกข์ดั่งลมผ่านกาย
ความศรัทธาความเข้าใจท้อไม่ถอย               มรรคผลคอยผู้สำเร็จแห่งสมัย
กลัวลำบากทั้งเกียจคร้านไม่ยอมใคร             บำเพ็ญไปก็มีแต่ช้ำเศร้าตรม
ปลงให้ตกอย่าโกหกใจตนเอง                     ผ่อนคลายใจความเครียดเคร่งก็พาล่ม
มีคุณธรรมต่อกันพลันเกลียวกลม                 ใช้ปัญญาอันเฉียบคมชนะภัย
                                                                                          ฮิ  ฮิ  หยุด

หมายเหตุ บทกลอนพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันออกมาเขียนบนกระดานดำ




พระโอวาทพระนาจา

……….ต้องให้ศิษย์พี่มากี่รอบ คราวนี้มาโดยเฉพาะเลยดีไหม ใครผิดอย่างไรต้องแก้ไขดีหรือเปล่า ใครทำผิดต้องโดนลงโทษเลยดีไหม (ดีแล้วต้องใช้อะไรตีถึงจะทำให้ศิษย์น้องจำได้แม่นยำแล้วไม่ทำผิดกันอีก ต้องใช้มโนธรรมสำนึก  ใช้คุณธรรมที่อยู่ในตัวเราตีเราเอง ดีไหม (ดีทำให้เราไม่ทำผิดอีก ทำให้เราไม่เป็นศิษย์น้องที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองอีก
กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ต้องใช้เวลานาน  บางคนต้องพบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย  บางคนเจอความทุกข์ยากลำบาก เจอความไม่ถูกใจบ้าง ไม่สมใจบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่หลายๆ คนเมื่อเวลาผ่านไปจิตใจก็เปลี่ยนแปลงไป  บางคนก็ท้อถอยไป  บางคนก็หลบหนีหายไปจากวงการธรรม  เหลือแต่ศิษย์น้องที่อยู่ในที่นี้เพียงไม่กี่คน ใช่หรือไม่ (ใช่น้องๆ ที่อยู่ในที่นี้หากมีใจก้าวต่อไปเรื่อยๆ  แม้เวลาจะผ่านไปเท่าไรแต่น้องก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ ยังคงมีใจอยู่  ยิ่งนับวันขบวนกองทัพธรรมก็จะยิ่งเข้มแข็งขึ้น บริสุทธิ์ขึ้นและสะอาดขึ้น  เพราะเวลาที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ผ่านไปอย่างธรรมดา  แต่ผ่านไปโดยช่วยขัดเกลาเราด้วย ทดสอบเราด้วย  ฉะนั้น ผู้ที่เมื่อเวลาผ่านไปแต่ใจยังอยู่ ตัวยังอยู่ ก็เท่ากับว่าเขาได้ผ่านสิ่งยากลำบากเหล่านี้มาได้  ส่วนผู้ที่ตัวและใจไม่อยู่แล้วนั้นก็เท่ากับว่าเขาไม่สามารถผ่านได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เขายังมีเรื่องที่ทำใจไม่ได้  มีเรื่องที่ยังวางไม่ลง  จึงไม่สามารถกลับมายืนตรงนี้ได้ไหวใช่ไหม (ใช่แล้วศิษย์น้องที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรกันบ้าง  บ่อยครั้งที่เราเคยรู้สึกท้อ  บ่อยครั้งที่เรามักถามตัวเองว่าเราก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว  เราบำเพ็ญธรรมมีคุณธรรมอะไรเพิ่มเติมขึ้นบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่
บางครั้งเราก็อดท้อใจไม่ได้และรู้สึกว่าการบำเพ็ญช่างยากเหลือเกิน  ศิษย์น้องนอกจากจะมีภาระในการทำงานแล้ว  ศิษย์น้องยังมีภาระในการบำเพ็ญตนเอง และยังมีภาระหน้าที่ของผู้บำเพ็ญด้วย ใช่ไหม (ใช่ทุกคนมีหน้าที่แตกต่างกันไป  บางคนก็เป็นญาติธรรม บางคนก็เป็นผู้ดูแลพุทธสถาน บางคนก็เป็นผู้ช่วยดูแลพุทธสถาน บางคนก็เป็นอาจารย์บรรยายธรรม  มีภาระแตกต่างกันออกไป  แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงความยากตรงจุดนี้  ศิษย์พี่ขอถามก่อนว่าใครยังพนมมือลัญจกรไม่เป็นบ้าง  ใครยังชันเจี้ย-ฉือเจี้ยไม่เป็นบ้าง  บางคนยังจำชื่อพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลยว่าองค์นี้คือใคร องค์นั้นคือใคร  ฉะนั้น หน้าที่เริ่มแรกของการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมขั้นพื้นฐานก็คือ เราต้องกราบพระให้เป็น และจำไตรรัตน์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ขั้นต่อไป ศิษย์น้องก็ต้องดูว่านอกจากศิษย์น้องจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว ศิษย์น้องยังต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง ใช่ไหม (ใช่หน้าที่ทางโลกกับทางธรรมของศิษย์น้องมีอะไรบ้าง  การบำเพ็ญธรรมในทางโลกนั้น ศิษย์น้องต้องรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร  เมื่อเรารู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไรเราย่อมสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ดี ใช่ไหม (ใช่แต่หากศิษย์น้องไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรก็ยากที่จะทำได้ดี  บ่อยครั้งที่ศิษย์น้องต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องนำพาผู้อื่น  เมื่อต้องนำพาผู้อื่นนั้นข้อสำคัญก็คือจิตใจของเราต้องนิ่งและสงบ  สติของเราจะต้องมั่นคงในความนิ่ง  ความคิดของเราต้องใสบริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)ธรรมะเราต้องหมั่นศึกษา  คุณธรรมต้องหมั่นสั่งสม  สัจธรรมต้องหมั่นศึกษาให้เข้าใจ  กุศลต้องหมั่นสร้าง  เรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ดีเราต้องหมั่นกระทำ  เรื่องใดเป็นเรื่องเลวร้ายเราต้องรีบหนี ไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง  เรื่องใดที่ควรต้องศึกษาต้องไม่มีใจเกียจคร้าน  เรื่องใดที่ศึกษามาแล้วต้องไม่ลืมที่จะนำมาทบทวน  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ศิษย์น้องจะต้องทำให้ได้  หากศิษย์น้องทำได้ก็จะทำให้รู้ว่าจะต้องทำตนอย่างไรและวางจิตใจอย่างไร ใช่ไหม (ใช่ทำไมศิษย์พี่จึงพูดว่าใจเราต้องนิ่ง  ญาณต้องสงบ  ความคิดต้องใส  ก็เป็นเพราะว่าเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับคนหลายๆ คน  หากใจเราแบ่งเป็นเกลียดและชอบ  ใครที่เราเกลียดก็อยากให้เขาไปให้พ้นๆ  โอกาสที่เราจะได้ส่งเสริมเขาหรือโอกาสที่เราจะได้ขัดเกลาจิตใจตัวเองก็ยาก  แต่หากเรารักเขา  โอกาสที่เราจะช่วยแก้ไขเขาก็ยากอีกเหมือนกัน  เพราะเมื่อเรารักเขา มองดูอะไรก็ดีไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่โอกาสที่จะช่วยตักเตือนชี้นำเขาไปในทางที่ถูกก็น้อย  เพราะความรักทำให้เราตาบอด  นำเขาไปผิดทางได้ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้น หากใจเรานิ่ง ญาณเราสงบ ความคิดเราแจ่มใส  เมื่อเราไปอยู่กับใครก็ย่อมนำพาเขาได้ง่าย  จะพูดอะไรเพื่อนำพาเขาหรือให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราพูดก็ย่อมประสบผลสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่หากเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วใจเราไม่สงบ  ความคิดของเราสับสนแล้วเราจะพูดกับคนอื่นรู้เรื่องไหม  เพราะแม้แต่ตัวเราเองยังเรียงลำดับเรื่องราวต่างๆ ไปพูดกับเขาไม่รู้เรื่องเลย ใช่ไหม (ใช่และตัวเราก็ยากที่จะน้อมนำเขาได้เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก  ไม่รู้จะน้อมนำเขาอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้น การวางใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ  หากใจเรานิ่ง ญาณเราสงบ ความคิดเราแจ่มใส  เมื่อเราไปพูดกับใครก็ย่อมง่าย ใช่ไหม (ใช่แต่เมื่อศิษย์น้องออกไปทางโลกก็มักจะอดเห็นคนนั้นคนนี้มีนิสัยอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วเราก็รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้กับเขา  คำว่า อย่างนั้นอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร  ตัวอย่างเช่น เรามีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเราย่อมสามารถบอกได้ว่าคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไร  เมื่อเราไปคุยกับเขา  ความจริงใจของเราจึงไม่เต็มเปี่ยมเพราะใจของเราแฝงความรู้สึกทั้งดีและไม่ดีต่อเขา ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อใจของเราไม่เที่ยงธรรมเราจะนำผู้อื่นได้ไม่ถูกต้อง  แต่หากใจของเราเที่ยงธรรม วางใจได้อย่างถูกต้องเหมาะควร  เมื่อเวลาจะไปนำใครก็จะนำได้อย่างถูกต้อง  แบ่งแยกได้ชัดเจน  แล้วหากนำเขาแล้วเขาเชื่อฟังเรา คล้อยตามเรา  เท่ากับว่าการตัดสินใจและการแสดงออกของเราเริ่มเข้าใกล้ความถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่แต่บ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกับคนในสังคมย่อมมีทั้งผู้ที่ตามเราและผู้ที่ไม่ตามเรา  ผู้ที่ตามเราก็จะเชื่อเรา  ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไรก็จะตามเราตลอด  แต่ผู้ที่ไม่ตามเราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าจะไม่เข้าใกล้เรา และบางครั้งยังพูดว่าเราอีกว่าทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ชอบทำตัวเด่น ใช่ไหม (ใช่แล้วเราจะละทิ้งคนเหล่านี้แล้วให้ความสนใจเฉพาะคนที่ตามเราได้ไหม (ไม่ได้เราจะต้องทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนแปลงคนที่ไม่เข้าใจเราให้เขาเปลี่ยนมาเห็นด้วยกับเรา  จุดนี้ก็เป็นจุดสำคัญ  อย่าคิดว่าตัวใครตัวมัน  เพราะเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม  จิตใจของเราต้องเปิดกว้าง  เราจะเห็นแก่ตัว  มองแต่ทุกข์ของเรา ไม่มองทุกข์ของผู้อื่นไม่ได้  เพราะนี่ไม่ใช่จิตของผู้บำเพ็ญ  ฉะนั้นเราจะต้องทำอย่างไร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาร่วมเขียนบทพระโอวาทบนกระดานดำ) เมื่อมีโอกาสสร้างความดีต้องมีความกล้าหาญและพร้อมที่จะยืนหยัดกระทำ  นี่คือคุณธรรมข้อหนึ่งของผู้บำเพ็ญธรรม  คุณธรรมของเราจะเพิ่มพูนได้ก็ต่อเมื่อเรามีความกล้าที่จะยืนหยัดรักษาคุณธรรมโดยไม่กลัวอันตรายใดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่ศิษย์น้องอย่าได้ขาดคุณธรรมข้อนี้เด็ดขาด  ถ้าขาด ความกล้าหาญแล้วบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้า  ไม่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้
พร้อมบำเพ็ญทุกสภาวะฝึกใจเราเราต้องไม่กลัวไม่ว่าสภาวะฝนตก แดดออก น้ำท่วม หิมะตกใช่ไหม (ใช่เราต้องไม่หวั่นและเราต้องไม่กลัวสิ่งใดเมื่อเราคิดที่จะบำเพ็ญตน ยังมีหลายคนที่ผ่านการประชุมธรรมมารอบเดียวแล้วก็มีคนชวนมาฟังชั้นอาวุโสใช่หรือไม่
แล้วเราจะแก้ไขยังไงเมื่อกี๊ศิษย์พี่ตั้งคำถาม เราจะแก้ไขอย่างไรดีที่จะสามารถนำพาคนทุกคนได้ นำพาคนทุกระดับไปกับเราได้ พร้อมไปกับเราได้ หากเราบำเพ็ญตนคนอยู่ใกล้ก็อุ่นใจ คนอยู่ไกลก็อยากมาหา มาร่วมศึกษา นี่ไม่ใช่เป็นการบำเพ็ญที่ถูกแนวทางหรอกหรือใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ใช่ว่าเราบำเพ็ญตน คนอยู่ใกล้ก็เข็ดขยาด คนอยู่ไกลไม่เอาแล้วคนนี้ อย่างนี้แปลว่าเราบำเพ็ญได้ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่ถึงแม้จะใจมาช่วยงาน มีแรงมาช่วยงาน แต่ว่านิสัยหรืออบรมการบ่มเพาะนิสัยของตัวเราเองยังวางได้ไม่ถูกทางใช่หรือไม่ จึงมีคำกล่าวว่าถ้าตัวเราดำเนินชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม อยู่ในความชอบธรรม การที่ผู้อื่นจะตามเรามาและเห็นชอบด้วย จะยากอะไรใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าเกิดว่าเราวางตนเองอยู่ตรงนี้แล้ว แต่คนอื่นไม่เห็นชอบด้วย เราจะต้องถามตัวเราเองว่าเราบกพร่องเรื่องอะไรใช่หรือไม่ (ใช่หากเขาเกลียดเรา เราต้องถามตัวเราเองว่าเราบกพร่องในการที่เราอยู่ร่วมเขาหรือเปล่า เราขาดคุณธรรมข้อไหนไปที่ต้องให้เขาใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราอย่าปัดความคิดหรืออย่าปัดความรู้สึก หรือปัดอารมณ์ของทุกๆ คนที่มากระทบใจเรา เพราะหลายครั้งอารมณ์หลายๆ คนที่มากระทบใจเราหรือมาแสดงออกให้เราเห็น บางครั้งก็ช่วยทำให้เรารู้ชัดด้วยว่าเรานั้นขาดตกบกพร่องเรื่องอะไรใช่หรือไม่ (ใช่เราขาดคุณธรรมในการจะไปส่งเสริมเขา เราขาดคุณธรรมในการดำรงชีวิตในข้อไหนใช่ไหม (ใช่น้อยครั้งนักที่ศิษย์พี่จะเห็นศิษย์น้องทุกคนอยู่ร่วมกับใครแล้วไม่มีการขัดแย้งกันใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อไรที่ยังมีการขัดแยังแปลว่าเมื่อนั้นจิตของน้องยังขาดคุณธรรม ยังบกพร่องคุณธรรมในข้อนั้นกับเขาอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่หากคุยกันทีไรเป็นอันต้องทะเลาะกันทุกที เราต้องถามซิว่าเรายอมเขาได้แท้จริงหรือไม่ใช่หรือเปล่า (ใช่อย่าบอกว่าเรายอมเขาแล้ว เราอภัยเขาแล้ว เราอุตส่าห์ง้อไปคุยกับเขาแล้ว แต่อย่างนี้เราก็ยังยอมเขาได้ไม่หมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่พอกลับไปคุยแล้วก็ยังเหมือนเดิม ก็แปลว่าเรายังทำได้ไม่ถูกต้อง เรายังทำได้ไม่ถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่ยิ่งมีคนขัดใจเรามากเท่าไหร่ยิ่งต้องดีใจสิ เพราะทำให้เรารู้ว่าตัวเรายังมีข้อบกพร่อง ตัวเรายังได้รู้จักแก้ไขสิ่งที่ตนเองยังทำไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเราต้องไปพูดอย่างไร นอกจากการที่จะทำให้เรามีคุณธรรมก้าวหน้าแล้ว ผู้อื่นยังสามารถทำให้เรารู้จักว่าตัวเรานั้นยังมีความคิดอะไรที่ผิดๆ ในตัวเองบ้างด้วยใช่หรือไม่ (ใช่บ่อยครั้งที่เรามักจะลบความคิดที่ผิดๆ ของตัวเองออกไปจากหัวสมองไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นเราต้องถามก่อนว่าเพราะอะไรล่ะเราถึงมีความคิดที่ผิดๆ อยู่ในใจเรา อยู่ในสมองเรา อยู่ในความคิดเราอยู่ทุกขณะ บางครั้งเรามีความคิดที่ไม่ดีของคนโน้นบ้าง ของคนนี้บ้าง ซึ่งเป็นการไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่บำเพ็ญไปก็มีแต่ข้อไม่ดีของคนโน้น ข้อไม่ดีของคนนี้มากมายเต็มไปหมด ก็เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักปิดตาตัวเองซะบ้าง ปิดหูตัวเองซะบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่จะมีใครบ้างที่ฟังเรื่องราวของคนอื่น แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ดีแต่เราสามารถวางใจให้ยังคงนิ่งได้ น้อยคนนักที่เวลาฟังเรื่องของคนอื่นแล้วเวลามองเขาแล้วใจเราจะยังตรงได้ใช่หรือไม่ (ใช่เราอดไม่ได้พอรู้เรื่องไม่ดีเรา ….. ทัศนะคติของเราเปลี่ยนไปจากเดิมใช่ไหม (ใช่ผู้ที่มีความคิดไกลและผู้ที่ฉลาดในการคิด ไม่ว่าใครพูดอย่างไร แม้จะกลับมามองคนนั้นก็ยังมองได้เหมือนเดิม นี่แหละคือการที่เราบำเพ็ญได้ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่เรามีความคิดที่เที่ยงธรรมอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะฟังซ้าย ฟังขวามากอย่างไร เพียงใด แต่ใจเราก็ยังคงนิ่ง มองเขาได้ใสบริสุทธิ์เหมือนเดิม เมื่อมองเขาใสมีหรือใจเราจะไม่ใสใช่ไหม (ใช่ถ้ามองเขาขุ่น ใจเรานั่นแหละขุ่นก่อนคนแรกใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นการมองคนอื่น การได้ดูคนอื่น นอกจากจะเป็นกระจกส่องเราแล้วยังเป็นกระจกที่ส่องไปถึงก้นลึกแห่งนิสัย และก้นแห่งจิตใจของเราด้วยใช่ไหม (ใช่เมื่อไหร่ที่เราสามารถเบาบางเรื่องของคนอื่นได้ เบาบางเรื่องเลวร้ายได้ มีหรือเราจะเบาบางจิตใจที่ไม่ดีออกไปได้บ้างล่ะใช่หรือเปล่า (ใช่
ธรรมหนึ่งศอกมารหนึ่งวาธรรมไม่สิ้นมีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า คุณธรรมสูงระดับหนึ่ง กิเลสหรือมารก็สูงมากกว่าอีกระดับหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าเกิดว่าแม้กิเลสจะสูงมากกว่าเรากี่ระดับก็ตามแต่ธรรมเราก็ยังคงอยู่ไม่เคยสิ้น ห่างไปจากใจเรา ความชั่วร้ายนี้จะทำอะไรเราได้ไหม (ไม่ได้จะมากดทับทำให้ธรรมเราหายไปได้ไหม (ไม่ได้ฉะนั้นแม้กิเลสจะอยู่เหนือคุณธรรมมากเท่าไร เราก็เอาคุณธรรมปัดกิเลสตกได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่ขอเพียงกิเลสมาคุณธรรมยังอยู่ อย่าเป็นกิเลสมาแล้วคุณธรรมมองหาไม่เจอ อย่างนั้นไม่ใช่การบำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่บ่อยครั้งที่ศิษย์น้องเวลามีอารมณ์ขึ้นมา ลืมแม้กระทั่งตนเองและลืมแม้กระทั่งความรู้สึกของคนอื่นใช่ไหม (ใช่เวลาโกรธทีหนึ่งลืมไปเลยว่าตนเองต้องรักตนเองนะ ต้องเคารพตนเองนะแล้วเราก็ต้องเคารพเขาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่แต่พอเราโกรธขึ้นมา ตนเองก็ไม่สนใจ จะเอาให้ได้ เขาก็ไม่สนใจจะว่าให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วเวลาเราอยากขึ้นมาทีหนึ่งก็ลืมไปเลยว่าตนเองต้องเป็นคนบำเพ็ญธรรมนะใช่หรือเปล่า (ใช่ขอให้เพียงเราอยากไว้ก่อนแล้วลืมไปเลยว่าคนอื่นจะเดือดร้อนแค่ไหน อย่างเช่นเราอยากอะไรขึ้นมา ฉันจะทำหน้าที่นี้ เธอมาทีหลังฉันเธอจะมาแย่งฉันได้อย่างไรล่ะ ฉันจะทำใช่หรือไม่ (ใช่อย่างนี้เรียกว่าไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่แปลว่าอารมณ์มา แต่คุณธรรมหายหมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อทำอะไรแล้วก็ต้องมีความมั่นใจเป็นของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่ได้คุณธรรมอีกข้อหนึ่งแล้ว ความมั่นใจความมั่นใจจะช่วยเสริมอย่างไรในการบำเพ็ญธรรมรู้ไหม เวลาใครติฉินนินทาเราหรือใครชมเรา หากเรามีความมั่นใจในตนเอง คำติฉินและคำนินทาก็ยากจะมาทำร้ายใจเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่แต่มั่นใจในตนเองต้องเข้าใจให้ถูกด้วยว่าไม่ใช่หลงตัวเอง  บ่อยครั้งที่เรามั่นใจในตัวเองแล้วอดหลงตัวเองไม่ได้  ทุกคนต่างชอบคำชมเชย  แต่คำชมนั้นจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อศิษย์น้องรู้จักวิเคราะห์คำชมให้เป็น  ส่วนคำติเตียนนั้นนอกจากจะทำให้เรารู้จักตัวเองแล้วเราก็ยังจะต้องรู้จักตรวจสอบให้เป็น  และในคำชมเราก็ต้องวิเคราะห์คำชมให้เป็นด้วย  เพราะคำชมนั้นจะมีคุณค่าก็เมื่อคนเรารู้จักวิเคราะห์คำชมว่าจริงเท็จเพียงใด  เขาชมเพราะหลงรักเราหรือเปล่า  หรือชมเพราะต้องการให้เราช่วยเหลือหรือไม่  ฉะนั้น ฟังคำใดก็ตามเราจะต้องรู้จักวิเคราะห์และตรวจสอบเป็น และด้วยความเชื่อมั่นในตนเองด้วย ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแสดงท่าประกอบเพลงพายเรือธรรมบ่อยครั้งที่เรื่องราวในชีวิตเรามักจะมาแบบเหนือเมฆ  ฉะนั้นเราจะต้องตั้งตัวรับมือให้ทันแม้จะมาแบบเหนือเมฆหรือใต้เมฆก็ตาม  การเป็นผู้พร้อมอยู่เสมอและรู้จักระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอย่อมเป็นผู้ที่ยากจะผิดพลาดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่จึงมีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้บำเพ็ญนอกจากจะต้องมีคุณธรรมแล้วยังจะต้องมีความรอบคอบด้วย”  เมื่อรอบคอบแล้วจะทำการใดก็ยากจะผิดพลาด  และในการทำงานนั้นยังจะต้องมีความอ่อนน้อมด้วย  พร้อมที่จะเปิดใจให้กว้างรับเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปต่างๆ  และไม่มีอคติต่อเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย  ถ้าเมื่อใดที่เราเกิดอคติเราก็ยากที่จะต้านรับต่อเรื่องราวที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้  เพราะเมื่อใจเรามีอคติเราก็ยากที่จะมองสิ่งนั้นๆ ได้ชัดเจน ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้องทุกคนต่างเกลียดการผิดพลาด เกลียดความผิดหวัง  แม้ว่าศิษย์น้องจะทำงานอย่างสุขุมรอบคอบ มีความระมัดระวังก็ตาม  แต่เมื่อมีอคติกลัวความผิดพลาดผิดหวัง  ก็ยากที่จะทำงานผ่านไปได้  ฉะนั้น เราจะต้องไม่มีอคติต่อเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา  หากเรามีอคติเราก็ยากที่จะแก้ไขหรือมองสิ่งนั้นๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใช่ไหม (ใช่เหมือนกับเราไม่ชอบคนๆ นี้  ไม่ชอบเรื่องๆ นี้  เมื่อถึงคราวที่เราต้องแก้ปัญหา เราก็ไม่พร้อมจึงขอพักไว้ก่อน  และเมื่อเราพักไว้แล้วปัญหาก็ใหญ่ขึ้น ใช่ไหม (ใช่ฉะนั้น เมื่อรู้จักรอบคอบแล้ว รู้จักระมัดระวังแล้ว รู้จักเปิดใจกว้างพร้อมที่จะรับเรื่องราวแล้ว เราก็ยังจะต้องรู้จักอ่อนน้อม  เพราะความอ่อนน้อมจะเป็นเกราะป้องกันให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้  อยู่ที่ไหนใครก็รัก ใช่ไหม (ใช่และใจก็จะต้องเปิดกว้างด้วย  และที่สำคัญคือจะต้องไม่มีอคติต่อเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไป  เราจะต้องรับให้ได้ทุกเรื่อง  พร้อมที่จะขัดเกลาจิตใจของตนเอง  เป็นผู้บำเพ็ญจะต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ใช่ไหม (ใช่)
เพราะเหตุใดจึงต้องบำเพ็ญธรรม (ต้องการหลุดพ้นจุดมุ่งหมายใหญ่คือต้องการหลุดพ้น  จุดมุ่งหมายรองลงมาก็คือเพื่อต้องการค้นพบพุทธจิตดวงเดิมที่อยู่ในตัวเรา  ไม่ว่าจะอยู่ในทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม  หากศิษย์น้องนำสิ่งที่ศิษย์พี่พูดไปปฏิบัติได้  ศิษย์น้องก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข  เมื่อเราเป็นสุขกับเรื่องทางโลกแล้วเราก็จะมีเวลาให้กับจิตใจ  เพราะเหตุใดตอนนี้ศิษย์น้องจึงยากที่จะค้นพบพุทธจิตดวงเดิม  ก็เพราะศิษย์น้องมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องราวภายนอก  จึงไม่มีเวลาที่จะมาตรวจสอบค้นหาจิตใจที่เป็นพุทธจิตดวงเดิมของเรา  เรามัวแต่เสียเวลาเกือบค่อนชีวิตไปกับผู้อื่น ไปกับเงินทอง ไปกับลูกหลาน ไปกับเกียรติยศมามากมายเท่าใดแล้ว  การมาบำเพ็ญธรรมนอกจากจะขัดเกลาให้เราอยู่กับผู้อื่นเป็นแล้ว  ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการบำเพ็ญก็เพื่อให้เรามีเวลากลับมาฟื้นฟูพุทธจิตที่อยู่ในตัวเรา  เมื่อใดที่เราค้นพบ  เมื่อใดที่เราเข้าใจ  เมื่อนั้นเองศิษย์น้องก็จะรู้ว่าภาวะของการเป็นพุทธะนั้นเป็นอย่างไร  แดนนิพพานสุขสงบเพียงไหน  แต่ตอนนี้น้องมัวแต่ยุ่งกับเรื่องภายนอกจึงไม่มีเวลาตรวจสอบค้นหาพุทธจิตดวงเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่มัวแต่ยุ่งและจัดการกับปัญหาภายนอกจนลืมไปว่าตัวเราเองมีปณิธาน  ตัวเราเองมีความเป็นพุทธะอยู่  บ่อยครั้งที่มัวแต่สนใจความรู้สึกคนอื่น  มัวแต่กังวลเรื่องทางบ้าน  กังวลเรื่องทรัพย์สินเงินทองจนลืมไปว่าเรานั้นมีปณิธานที่เคยตั้งไว้  เรานั้นมีพุทธจิตธรรมญาณที่เราทอดทิ้งไปไม่ดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้น ตอนนี้ศิษย์พี่มาบอกให้รู้แล้ว  ศิษย์น้องก็ต้องรู้จักบำเพ็ญตน  นอกจากจะต้องบำเพ็ญให้ตนเองกลับคืนเบื้องบนแล้ว  ยังจะต้องบำเพ็ญตนเองให้ฟื้นฟูกลับมาสู่จิตใจอันกลมใสเหมือนเดิมด้วย
พุทธะมีปณิธานแล้วดำเนินตามปณิธานที่ได้ตั้งไว้จนสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ก็เพราะว่าปณิธานที่ท่านตั้งไว้นั้นย้ำอยู่ในใจว่าตัวเราจะต้องเดินไปทางนี้  ต้องทำหน้าที่นี้  จึงทำให้ท่านมุ่งไปถูกทางแล้วไปถึงจุดหมายได้ ใช่ไหม (ใช่แต่หากศิษย์น้องบำเพ็ญตนแล้วรู้แต่เพียงว่า บำเพ็ญ บำเพ็ญ”  แต่ไม่รู้ว่าปณิธานที่ตั้งไปนั้นเป็นเข็มทิศ เป็นแนวทางให้เราดำเนิน  ก็ไม่มีประโยชน์แม้ว่าจะตั้งปณิธานไป ๖ ข้อหรือ ๑๖ ข้อก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้น ต้องจำให้ได้ว่าปณิธานที่ตนเองตั้งไปนั้นมีอะไรบ้าง  ไม่ใช่เอาแต่คิด  การเอาแต่คิดเอาแต่พูดนั้นน่าอับอาย  เป็นผู้บำเพ็ญจะต้องทำมากกว่าพูด  การเอาแต่คิดไม่มีประโยชน์  คิดแล้วต้องทำด้วยถึงจะมีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้น ศิษย์น้องจะต้องจำให้ได้ว่าตัวเองมีปณิธานอะไร  ตัวเองต้องทำอะไร  ศิษย์น้องบางคนทำมากกว่าพูด  ทำโดยไม่เคยปริปากบ่นเลยศิษย์พี่ก็รู้และเห็น  ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้องไว้อย่างหนึ่งว่า  จงทำไปเถอะถ้าศิษย์น้องทำได้  ผลตอบแทนเมื่อศิษย์น้องกลับคืนขึ้นไปเบื้องบนจะมากกว่าที่ศิษย์น้องคิดไว้หลายเท่า  แม้จะไม่มีใครเห็น ไม่มีใครพูดถึงความดีในสิ่งที่ศิษย์น้องทำหรือลงแรง  แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า อาจารย์เห็น ศิษย์พี่ก็เห็น  หรือแม้ศิษย์น้องจะทำผิดแล้วแอบปกปิดไว้  แต่แม้จะซ่อนไว้อย่างไรศิษย์พี่ก็เห็น  แม้ไม่อยากเห็นแต่ศิษย์พี่ก็เห็น  ฉะนั้น อย่าทำผิดนะ
เวลาที่ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องท้อ เหนื่อยหน่าย พ่ายแพ้ต่ออุปสรรคความยากลำบาก  ศิษย์พี่ก็อยากเข้าไปช่วย  แต่เมื่อไหร่ศิษย์น้องจะปลงเรื่องทางโลกบ้าง ปลงเรื่องที่ไม่ควรจะนำมาคิดบ้าง  บางครั้งแค่เรื่องเล็กน้อยศิษย์น้องก็ปล่อยวางไม่ได้  เมื่อใดที่ปล่อยได้ศิษย์น้องก็จะพบรอยยิ้มบนใบหน้า  แม้ไม่ต้องยิ้มให้คนอื่นเห็น  แต่เราก็จะเห็นรอยยิ้มในจิตใจของเรา  เป็นรอยยิ้มที่อิ่มในความสุข  เมื่อเลือกที่จะบำเพ็ญแล้วขอให้สู้ไม่ถอย  เมื่อนั้นศิษย์น้องก็จะพบกับความสำเร็จได้ ใช่ไหม (ใช่ฉะนั้นไม่ว่าจะทำงานใดขอเพียงเรารักที่จะทำและสู้ไม่ถอย  ศิษย์น้องก็จะพบความสำเร็จได้ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
เคารพเขาเขาเคารพเราไม่จาง”  บางครั้งเป็นผู้ใหญ่ แต่ทำไมเด็กตัวน้อยๆ หรืออายุไล่เลี่ยกับเราไม่ยอมเคารพเรา การจะให้คนๆ หนึ่งเคารพเรา การจะให้คนๆ นับถือเรา เราจะต้องเป็นแบบอย่างนำที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญแล้วศิษย์จะหนีคำนี้ไม่ได้ เขาไม่เคารพไม่สนใจไม่ได้ เพราะเป็นผู้บำเพ็ญถ้าไม่มีใครเคารพ แปลว่าเราบำเพ็ญได้ไม่ดีใช่ไหม (ใช่เป็นผู้บำเพ็ญแล้วอย่างน้อยเราต้องรู้จักขัดเกลาตน คนที่รู้จักขัดเกลาตน ได้รู้จักควบคุมตน อย่างน้อยต้องเป็นคนที่น่าเคารพใช่หรือไม่ ดังนั้นถ้าเกิดตั้งแต่ศิษย์น้องบำเพ็ญมาไม่มีใครยกมือไหว้





วันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๔๒                      พุทธสถานจือเจวี๋ย  จ.สงขลา
                                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

   ไม้ซีกเล็กรวมตัวกันใครยากบั่น                 รู้เท่าทันมวลกิเลสมิลุ่มหลง
เรื่องกังวลลดลงได้เพียงรู้ปลง                      บุษบง[๑] ย่อมร่วงโรยไปตามกาล
                   เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                       ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย   เคียมคัล
องค์มารดา                                  ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                               ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  เมื่อมีใจสงสัยทางย่อมหลงทาง                  จิตว่างว่างกลางวุ่นวายจึงได้เที่ยง
จิตบำเพ็ญเป็นกุศลอันร้อยเรียง                   รู้แค่เพียงปลดหนี้กรรมญาณได้เบา
ก้าวเท้าสู่พุทธสถานทำใจนิ่ง                       อย่าโลดแล่นเป็นลิงม้าตามวิสัย
พุทธะแท้สถิตอยู่ที่ภายใน                          จงตั้งใจศึกษาอย่างมั่นคง
ชีวิตหนึ่งแสนสั้นสร้างคุณค่า                       อย่ามัวท้าไปเสี่ยงภัยจะสับสน
ถนอมโอกาสฟ้าเมตตาฉุดช่วยคน                 ไม่อับจนด้วยปัญญาท่านเมธี
เวียนว่ายมาก็นานนับกลางทะเล                  จงหักเหสู่ฝั่งใจคงที่
เมื่อแสวงทางคืนกลับใจต้องดี                     น้องยังมีเรื่องให้แก้ไขอีกมากมาย

จงรู้ว่าสีสันพาตาพร่า                              ใช้ปัญญาแห่งพุทธะคนขยัน
หมั่นตรวจสอบซึ่งตนเองอยู่ทุกวัน                 สารพันจะตัดลดเพียงหนึ่งเดียว
ในวันนี้โอกาสดีประชุมธรรม                       ขอให้นำจิตศรัทธามิคดเคี้ยว
บำเพ็ญธรรมใช้ใจดวงเดียว                        จะปราดเปรียวต้องด้วยสติแกร่ง
ประชุมธรรมสะเทือนไปในสามภพ                ขอเคารพตนเองคนประเสริฐ
พุทธระเบียบเฝ้ารักษาให้งามเลิศ                  และไม่เกิดจิตง่วงนอนขอตั้งใจ
ภัยโดยมากออกจากปากให้ระวัง                 ขอจริงจังการปฏิบัติใช่ทำเล่น
แม้บำเพ็ญจะมากมายในกฎเกณฑ์               แต่ชัดเจนเพื่อคนเดิมไม่เฉื่อยชา
ในสองวันจงตั้งใจมาให้ครบ                       เรียนให้จบพาตนเองให้ก้าวหน้า
จงอย่าหลงไปกับรูปอวิชชา                       ด้วยเมตตาจงมีให้ผู้อื่นเสมอ
ช่วยตนเองให้ถึงฝั่งพ้นปวงภัย                     และมิลืมช่วยเวไนยเต็มห้วงน้ำ
อย่าคิดถึงแต่ตนเองจงจดจำ                       อาตมัน[๒] นำยิ่งไม่ตัดจะยิ่งยาว
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป                    ขอน้องจงตั้งใจให้แน่วแน่
ขอให้เกิดจิตกุศลอันปรกแผ่                       มอบแด่บรรพชนผู้ยังรอ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                                  ฮวา   ฮวา   หยุด



วันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๔๒                      พุทธสถานจือเจวี๋ย  จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

  ยามบ่ายคล้อยสายลมเย็นเป็นสุขี              แต่นาทีแห่งสุขนั้นนานเพียงไหน
สุขแลทุกข์รุกสลับรับกันไป                         ปล่อยสบายเพลินตามใจไหลดั่งธาร
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             ลงสู่พุทธสถาน  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา                                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  เกิดเป็นคนชาตินี้ใช่ง่ายดาย                     รักสบายให้ทุกข์รู้ไว้เถิด
บัดนี้กาลฟ้าคัดคนประเสริฐ                       ดั่งจันทราเด่นบรรเจิดบนฟ้าไกล
ปณิธานไม่หลงทางถ้ามีไว้                          อัคคีไปหล่อหลอมทองอัคคีพ่าย
สู่ปรมัตถ์[๓] วัดที่ง่ายไม่ใช่                           เหมือนยากไปทองแท้เรืองสำแดง
บำเพ็ญธรรมจะเดินง่ายถือสัจจะ                  ดีชนะร้ายตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ก่อนอื่นอดทนคนต้องแกร่ง                     จนคงที่เกิดแจ้งในฤทัย
วจีกล่น[๔] ผู้อื่นกลับเป็นเอง                         ฝึกฝนเร่งแต่วจีกระทำหน่าย
ละกิเลสทั้งกายและจิตใจ                          งามใช่งามในรูปทรัพย์บริบูรณ์

ท้องนภาวิรุฬห์[๕] พรำก็จะงาม                      ได้ขึ้นเรือเมตตาธรรมมิสูญ
ด้วยส่งเสริมอบรมธรรมนำเกื้อกูล                 ได้เพิ่มพูนก้าวหน้าการบำเพ็ญ
                                                                                       ฮา  ฮา  หยุด




พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

การสวมใส่เสื้อผ้าวิจิตรพิสดารหรือเรียบง่ายก็ต้องเดินบนพื้นเป็นปกติเหมือนกันทุกคน ใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้นเราจะห่วงสวยห่วงหล่อไปทำไม สำคัญที่จิตใจมากกว่า จิตใจเป็นอย่างไรย่อมแสดงผลออกมาอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นการเดิน สีหน้า คำพูด หรือการกระทำใช่หรือไม่  เราไม่สามารถหลอกลวงตัวเองได้ ใจคิดอย่างไร บ่อยครั้งเราจะแสดงออกอย่างนั้น  การปล่อยตัวตามใจตามสบายคิดอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น นึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะให้ผลดีตลอด ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมความคิดและระมัดระวังความคิดด้วย อย่าคิดว่าเป็นสิ่งที่อยู่ภายในไม่มีใครเห็นไม่เป็นไร เหมือนตอนนี้ท่านคิดอย่างไร นัยน์ตาก็จะถ่ายทอดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ปกปิดไม่ได้ หลอกลวงกันไม่ได้  ในเมื่อเราไม่อยากให้คนอื่นหลอกเรา เราเองก็อย่าหลอกตัวเองก่อน  ถ้าเราหลอกตัวเราเองได้เราก็สามารถหลอกคนอื่นได้เหมือนกัน
เกิดเป็นคนนั้นมีความเป็นอิสระในการดำรงชีวิตไหม ใครคิดว่าไม่มีอิสระบ้าง (การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่มีอิสระเนื่องจากว่ามนุษย์นั้นมีกฎเกณฑ์มากมายแต่บางครั้งกฎเกณฑ์ก็บีบบังคับเราไม่ได้ ฉะนั้นชีวิตจะอิสระหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเรารู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่มาสัมผัสในชีวิตต่างหาก บางคนไม่มีกฎเกณฑ์แต่เขาอาจรู้สึกไม่มีอิสระก็เป็นไปได้ กฎเกณฑ์ข้อบังคับบางทีก็อาจจะทำให้เรามีความสุขได้ แต่บางทีไร้กฎเกณฑ์ไร้ข้อบังคับก็อาจนำมาซึ่งความทุกข์ก็ได้ แต่คนที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้ต่อเมื่อเขาทำตัวไร้กฎเกณฑ์ใช่หรือไม่ (ใช่ผลของการไร้กฎเกณฑ์ จึงทำให้เขารู้ว่าการมีกฎเกณฑ์การมีข้อบังคับมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตในโลกนี้ บางครั้งเราต้องคิดด้วยว่าอย่าได้ยึดติดความคิดใดความคิดหนึ่งให้อยู่เหนือปัญญาของเรา อย่าได้นำสิ่งที่เรามองหรือสิ่งที่เรารับฟังอยู่เหนือความคิดของเรา บ่อยครั้งที่มนุษย์จะให้ความคิดเป็นหลักใหญ่มากกว่าสิ่งที่มองเห็น หรือบางคนอาจจะให้สิ่งที่มองเห็นมีอำนาจมากกว่าความคิดในตัวตน ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากเรามีความคิดอย่างหนึ่ง และเราเชื่อความคิดมากกว่าสิ่งที่ตาเราเห็น อย่างเช่นมีชายคนหนึ่งอยากจะซื้อรองเท้าคู่หนึ่ง เขาจึงนำเชือกวัดเท้าตนเอง เมื่อไปถึงร้านขายรองเท้าที่ตลาดแล้วปรากฏว่า เขาไม่ยอมซื้อ เขาบอกว่าเชือกนั้นคือขนาดของเท้าเขา แต่บังเอิญเขาลืมติดเชือกเส้นนั้นมา จึงกลับบ้านไปเอาเชือกนั้นมาใหม่ แต่ปรากฏว่าอดซื้อรองเท้าเพราะตลาดได้ปิดไปแล้ว นั่นก็คือเขายึดมั่นกับความคิดของตนเอง พอเข้าใจตรงนี้ไหม เราอย่าได้ยึดติดกับความคิดใดความคิดหนึ่ง พอมีเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงความคิดหรือเรื่องราวที่มาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรารับรู้เราก็ไม่ยอมรับความคิดอื่น ปิดใจไปเสียหมดเพราะคิดว่าสิ่งที่ตนเองรู้มานั้นถูกต้องแล้ว ก็ทำให้เราเป็นเหมือนคนที่ซื้อรองเท้าคนนี้ พอเข้าใจไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าได้ใช้ความคิดหรือเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่งตัดสินใจกับชีวิต แต่เราต้องใช้องค์ประกอบหลายๆ อย่างร่วมกันตัดสินใจในชีวิต เวลาของชีวิตนั้นมีไม่มาก การตัดสินใจจึงต้องคิดให้รอบคอบ อย่าได้มั่นใจในความคิด เรื่องราวที่ตนเองรับรู้มากจนเกินไป มิเช่นนั้น จะพลาดโอกาสดีๆ ได้ตลอดเวลา
เรื่องที่เรากล่าวเมื่อสักครู่ใครยังไม่แจ้งในใจบ้าง ยกตัวอย่าง เหมือนดอกไม้ในตะกร้านี้ ถ้าเราจะเลือกซื้อดอกไม้หรือเลือกซื้อสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง เรามั่นใจว่าร้านนี้ถูกที่สุดแล้ว แต่เรามักจะได้ยินคนอื่นพูดว่า อีกร้านหนึ่งก็ถูกเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีต้องรู้จักเปิดใจกว้าง ตาเราเปิดกว้างแล้วใจเราต้องเปิดกว้างด้วย ต้องรับเรื่องราวทุกเรื่องราวให้ได้ อย่าได้มั่นใจว่าเราคิดถูกเสมอไป บ่อยครั้งตัวเราก็คิดผิดได้เข้าใจผิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่
เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้เรามักจะเกิดความโลภ ความโกรธและความหลง แต่จะมีใครในโลกนี้บ้างมีความอยากแล้วจะไม่กลายเป็นความโลภ มีความไม่พอใจแล้วจะไม่กลายเป็นความโกรธ มีความเข้าใจแล้วจะไม่กลายเป็นความหลงตน เพราะมนุษย์เมื่อเกิดความอยากขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะต้องอยากได้มากกว่าเดิม ให้ได้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนทำให้เราเกิดความเห็นแก่ตน ซึ่งเป็นกิเลสมาเกาะกุมจิตใจ เมื่อเราเกิดความขัดเคืองใจไม่สบใจ มีใครบ้างที่จะไม่โกรธ และมีใครบ้างที่เวลาเข้าใจเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่งแล้วจะไม่หลงตนเองว่าเป็นผู้รู้ คงหาได้ยากในโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่
มนุษย์มักจะเคยชินกับการปล่อยตัวเองเป็นอิสระ ปล่อยตัวเองไปตามเสรี พอปล่อยตัวเองตามอิสระแห่งความอยากเราก็รู้จักความโลภ พอปล่อยตัวเองไปกับความไม่พอใจ ไม่พึงใจ เราก็ได้รู้จักความโกรธ พอปล่อยตัวเองไปกับความเข้าใจก็อดไม่ได้ที่จะหลงตนใช่หรือไม่ (ใช่เกิดมิจฉาทิฐิขึ้นในตัวเรา ทำให้มีกิเลสเกาะกุมใจ แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถเกิดความคิดที่ถูกต้องควบคุมตนเองได้ถูกทาง จากมิจฉาทิฐิก็จะกลายเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อมีความอยากก็จะหยุดตัวเองไม่ให้เกิดความโลภ เมื่อมีความไม่พอใจ ก็จะหยุดตัวเองเสียก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ขี้โมโห แล้วเมื่อมีความเข้าใจก็จะอ่อนน้อมตนเอง ไม่ทำให้ตนเองกลายเป็นคนหลงหรือยึดมั่นในความรู้ของตน เมื่อใดที่เรามีความคิดที่ถูกต้องนำพาชีวิตได้เราก็จะเกิดความปิติยินดีมีความสุขในการดำเนินชีวิต มีชีวิตที่ปราศจากกิเลสเครื่องรั้งจิตใจให้เกิดทุกข์ได้ การดำเนินชีวิตเช่นนี้ฟังดูแล้วก็จะง่ายยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถยับยั้งตนเองได้ เพราะหากจะให้เมธีทุกท่านในที่นี้ไม่มีความอยากเลยก็เป็นไปไม่ได้ จะไม่ให้มีเรื่องขัดใจเลยก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ให้เป็นคนไม่เรียนรู้อะไรเลยไม่เข้าใจอะไรเลย ดำเนินชีวิตอย่างธรรมชาติ ก็คงไม่ยอม เพราะไม่อยากเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะดำเนินชีวิตให้มีสามอย่างนี้แต่เป็นสัมมาทิฐิที่ดีงามและถูกต้อง ถ้าเราดำเนินถูกทางชีวิตย่อมราบรื่นไร้อุปสรรค ไร้ศัตรู ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ตอนนี้ชีวิตของทุกคนเป็นอย่างไร ไม่รู้วันไหนจะพบศัตรู ไม่รู้วันไหนจะมีอุปสรรค ไม่รู้วันไหนจะเจอเภทภัยเข้ามาหาตัว ฉะนั้น เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรดี (ดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรม ตามแนวทาง ตาม
สัจธรรมวันนี้เราดำเนินชีวิตมาได้อย่างปลอดภัย มาถึงที่หมายโดยไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นต้องมีวิถีทางดำเนินชีวิต นั่นก็คือไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ สมาธิและปัญญา บางคนมักจะคิดว่าสมาธิก็คือการนั่งหลับตาอย่างเดียว แต่การฝึกสมาธิที่แท้จริงก็คือมีสมาธิในขณะที่ยังลืมตา นี่จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกสมาธิได้จริงๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานดอกไม้และผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม) ท่านต้องการผลไม้หรือดอกไม้(ดอกไม้,ความว่างเปล่า) ความว่างเปล่าของจิตใจจะบังเกิดได้คือเราไม่ยึดแม้แต่คำว่าว่างเปล่า
หลักการในการดำเนินชีวิตของท่านคืออะไร บ่อยครั้งที่เราใช้อยู่เสมอแต่บางทีเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นรวมกันแล้วเรียกว่าอะไร การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท การรู้จักระมัดระวัง การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อยากจนเกินไป ไม่โลภจนเกินไป การรู้อะไรดีอะไรชอบ การรู้จักไม่เอาสิ่งของของผู้อื่น สิ่งนี้หากเรารวมเรียกว่า "ธรรม" เรามีธรรมในการดำเนินชีวิต เราใช้ธรรมในการช่วยนำพาชีวิต แต่มนุษย์เรามักจะลืมไปว่านั่นคือ ธรรมและมักจะลืมไปว่าชีวิตเราขาดธรรมไม่ได้ จนกระทั่งเราขาดจริงๆ แล้วเราถึงจะรู้สึกว่าชีวิตเราไม่ควรขาด
คุณธรรม สังคมหรือครอบครัวถ้าขาดคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่งไปอาจจะพบความวุ่นวาย อาจจะพบความไม่สงบสุขก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราดำเนินชีวิตอย่างรู้จักความถูกต้อง เราคงดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุขขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง การดำเนินชีวิตด้วยความถูกต้องมากกว่าอารมณ์ มากกว่าความอยาก ย่อมเป็นการดำเนินชีวิตที่ดีงามใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะรู้กันอยู่ แต่เราก็มักจะหลอกตัวเอง บ่อยครั้งที่เรามักใช้อารมณ์เหนือคุณธรรม เหนือความถูกต้อง ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุมตนตามไปด้วย แล้วรู้จักโทษของการไม่ควบคุมตนด้วย การรู้จักโทษจะทำให้เราไม่กล้าที่จะปล่อยตัวเองตามอารมณ์ ตามความอยาก หรือตามจิตใจที่ผิด ๆ ไป ใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินชีวิตตามความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือตามความชอบธรรมนั้นยังต้องรู้จักอีกสามอย่างในการดำเนินอีกด้วย คืออะไร
(หัวหน้าชั้น : การได้รู้จักตน รู้จักคน และรู้จักงานการดำเนินชีวิตให้รู้จักความถูกต้องนั้น ต้องรู้จักอย่างหนึ่งก็คือ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่สอดคล้อง ถูกต้องด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและถูกต้องด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ  แต่ที่หัวหน้าตอบนั้น รู้จักตน รู้จักผู้อื่นแล้วก็รู้จักงานนั้นก็คือเมื่อเราต้องประสบเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง เราจะแก้ปัญหาได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักงานที่เราทำนั้นเป็นอะไร แล้วเรารู้จักคนที่ร่วมงานกับเรานั้นเป็นคนเช่นไร เราถึงจะสามารถทำงานร่วมกับเขาได้อย่างประสบผลสำเร็จ แต่สิ่งที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้ก็คือการดำเนินชีวิตอย่างรวม ๆ ที่จะทำอย่างไรให้สามารถมีชีวิตที่ถูกต้องและไม่บังเกิดกิเลส ไม่กลายเป็นมิจฉาทิฐิ หรือการดำเนินชีวิตที่ผิดหนทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
บำเพ็ญธรรมเราควรพยายามรักษาความถูกต้อง รักษาความชอบธรรม แต่คนที่อยู่รอบข้างเรานั้นมักจะไม่ปฏิบัติตามความถูกต้องและความชอบธรรม หรือเราไม่สามารถที่จะโน้มน้าวให้เขาปฏิบัติตามความถูกต้องและความชอบธรรมได้ เราจะตัดสินว่าความดีสู้ความร้าย ได้ไหม (ได้ถ้าคิดว่าสู้ได้แปลว่าทุกวันเราต้องปฏิบัติ ฉะนั้นทุกวันที่เราปฏิบัติเรายากที่จะเจอศัตรู แต่บ่อยครั้งที่เราปฏิบัติอย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ยังมีศัตรูมาระราน แสดงว่าคุณธรรมของเราไม่พอหรือเปล่า ความดีของเราไม่เต็มที่ใช่หรือไม่ (ไม่แน่) เมื่อกระทำแล้วไม่แน่ใจแสดงว่าสิ่งที่กระทำยังไม่ชัดเจนยังดีไม่เต็มที่หรือเปล่า เอาอะไรมาเป็นระดับวัดว่าแน่วแน่หรือมั่นคงในชีวิต เพราะว่าระดับของจิตใจแต่ละคน ก็แตกต่างกันความรู้สึกที่เขามีต่อใครหนึ่งก็ยังต่างกันไปอีก ฉะนั้นเราจะใช้ระดับอะไรเป็นการวัดดี หากเราวัดระดับแค่ตัวเราทำเต็มที่ พอไหม (ไม่พอแล้วใช้ตัวเขาวัดได้หรือไม่ (ไม่ได้แต่ละคนมีระดับการรับรู้ความรู้สึกแตกต่างกันไป ฉะนั้นเราจะเอาเกณฑ์ของเรามาวัดแแล้วนำมาตัดสินคนอื่นย่อมไม่ได้ แต่ถ้าเราทำให้ถึงเกณฑ์ของเขา เราก็ย่อมชนะเขาได้
คนเราทุกคนมีปัญญาที่จะรู้เกณฑ์ของผู้อื่นได้โดยการที่เราดูความเปลี่ยนแปลงของเขา ถ้าเมื่อไหร่เขาเปลี่ยนจากร้ายมาเป็นดีเมื่อนั้นย่อมหมายถึงเกณฑ์ในการทำความดีเราถึงแล้ว แต่ถ้าหากเราทำแล้วเขายังไม่เปลี่ยนแปลง เท่ากับว่าเกณฑ์ในการทำความดีของเรานั้นยังไม่ถึงเกณฑ์ แต่มนุษย์นั้นมักจะอดทนไม่พอ พูดง่ายๆ ก็คือให้เขาได้ไม่แกร่งพอ อดทนได้ไม่พอ เราจึงพ่ายแพ้เรื่อยๆ ยกตัวอย่างนิทานง่ายๆ จะได้เข้าใจมากขึ้น มีคนบอกว่าหินก้อนนี้ถ้าขัดกันแล้วจะเกิดไฟ แต่ท่านขัดอย่างไรก็ไม่เกิดไฟ จะโทษคนบอกหรือโทษหินได้หรือไม่ (ไม่ได้แต่ต้องโทษความพยายามความอดทนไม่พอใช่หรือไม่ ถ้าเราอดทนจนถึงที่สุดไฟย่อมบังเกิดได้ ถ้าเราอดทนถึงที่สุดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตย่อมมีขึ้นมาได้ แต่ก็ต้องมีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ขัดใจ นั่นก็คือเรื่องเหนือความคาดเดาเรื่องเหนือชะตาชีวิตของเรา บางครั้งเราทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่ของเรา เราต้องทำใจยอมปล่อยวาง
เรื่องในโลกนี้มีเรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แและเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเรารู้ว่าเราทำเต็มที่แล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้เราก็ต้องปล่อย ไม่แน่สักวันหนึ่งการไม่ทำอะไรเลยก็อาจเอาชนะเขาได้ บางทีการไม่สนใจอะไรเลยอาจจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกวิธีใดในการดำเนินชีวิต เราเลือกวิธีใดในการนำพาตนเอง หากเข้าใจคำว่ามองโลกให้กว้างอีกสักนิดหนึ่งก็จะเข้าใจในการมองชีวิตคนยิ่งขึ้น แต่เป็นเพราะว่าหูเราฟังได้ระยะสั้น ตาเรามองได้จำกัด ปากเราพูดเสียงดังได้เท่านี้ เราจึงมักจำกัดใจของตนเองตามไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่รับได้เฉพาะเรื่องนี้ เข้าใจได้เฉพาะเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วหากลองดูใหม่  อาจจะรับได้มากกว่านี้ ฉะนั้นถ้านำพาชีวิตให้ถูกต้อง  เราย่อมมีเสรีได้ ย่อมมีความสุขที่หาได้เหมือนกัน เมื่อเราสามารถเอาชนะเรื่องที่ขัดใจเราได้ เราก็จะเปิดปัญญาได้ครั้งหนึ่ง เมื่อไหร่ที่เราสามารถชนะเรื่องที่ไม่สบอารมณ์ได้จิตใจของเราก็จะสว่างได้ขณะหนึ่ง แต่บ่อยครั้งเมื่อไม่สบอารมณ์เมื่อไม่ถูกใจเรามักจะยอมแพ้ใช่ไหม (ใช่)
ต้นไม้ต้นหนึ่งถ้าหากรากถูกละเลยไม่มีคนสนใจ จะเจริญเติบโตได้อย่างสวยงามไหม (ไม่สวยงาม)ภายในจิตใจของเราเองก็เปรียบได้กับราก จิตใจมักจะเคลื่อนไหวไปตามความคิดที่คอยเพิ่มเติม ฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าแม้ภายนอกจะสวยเพียงใด แต่ถ้าภายในคิดไม่ดีเพียงชั่วขณะหนึ่ง แม้ภายนอกจะสวยก็สวยได้ไม่เต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเมื่อส่องกระจกแล้วอย่าได้ลืมที่จะส่องดูจิตใจของตนเอง เมื่อเราแต่งเติมความงามให้กับร่างกายแล้ว เราต้องไม่ลืมที่จะให้ความงามกับจิตใจของเราด้วย ความงามที่ทำให้จิตใจเรานั้นงดงามจนออกมาสู่ร่างกายนั้นคือการเติมอะไรให้กับชีวิต (ทำดี, ถ้าคนเราจะทำจิตใจให้สวยต้องเติมธรรมะเข้าไปเราจะทำให้จิตใจงามได้โดยหมั่นเติมคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกๆ คนมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้วแต่จะงามได้ต้องขึ้นอยู่กับการแสดงออก ไม่ใช่เก็บเอาไว้อยู่ภายในอย่างเดียว การแสดงออกเป็นส่วนที่ชี้ชัดว่าเรามีความงามแท้จริงหรือไม่  บางครั้งเราตอบว่าใจเรามีความเมตตา ใจเรามีความดี แต่เวลาถึงคราวทำเรากลับทำได้ช้ากว่าคนอื่นเคยเป็นไหม (เคย) บางทีใจเรามีความซื่อ ใจเรามีความยุติธรรม แต่คนอื่นกลับแสดงความยุติธรรมปรากฏออกมาก่อนที่เราจะปรากฏเคยเป็นไหม (เคยแปลว่าเราก้าวไม่ทันหรือพูดง่ายๆ ก็คือเราไม่ค่อยกล้าจะแสดงออกซึ่งจิตใจแห่งความดี การแสดงออกจึงช้า การเป็นคนดีจึงต้องตามหลังผู้อื่นอยู่ร่ำไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) ประโยคหนึ่งที่ปราชญ์มักจะพูดเวลาจะฝึกตนเอง บำเพ็ญตนเองเป็นคนดี "เมื่อพูดถึงความดีไม่รอช้า ไม่เกี่ยงแม้คนนั้นจะเป็นอาจารย์ ก็ขอให้ตัวเองได้ทำก่อน" นั่นก็คือว่า ไม่รอช้าที่จะฉกฉวยในการกระทำ ไม่รอช้าไม่เกี่ยงงอนที่จะทำ หากทุกคนทำเช่นนี้ความดีความงามย่อมบังเกิดในจิตใจ ย่อมปรากฏได้ในทุกๆ คนใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนภายในงามแล้วแม้กายภายนอกจะไม่สวย คนก็ย่อมจะรักได้เหมือนกัน
ท่านเคยตำหนิติเตียนคนอื่นหรือเปล่า แล้วเคยรู้สึกไหมว่าเราตำหนิเขาแต่ตัวเราเองก็ยังทำไม่ได้เลย แปลว่าการที่เรามองคนอื่น ช่วยให้เห็นตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นเวลาเห็นคนอื่นไม่ดีต้องเร่งรีบตรวจสอบตัวเองเสียก่อนว่าตนเองมีสิ่งนั้นหรือเปล่า ไม่เช่นนั้นว่าไปอายเขาเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นถ้าเราอยากควบคุมตนเองเราจะทำอย่างไรดี เพราะคนที่รู้จักควบคุมตนเองยากที่จะทำผิดพลาด ย่อมยากที่จะเกิดความทุกข์ร้อนใจ การปล่อยตนเองไปเรื่อยๆ ตามกระแสแห่งโลก มักจะนำพาให้เราเวียนวนไม่พบความสิ้นสุด ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะหยุดเรื่องราวภายนอกของโลกได้ต่อเมื่อเราหยุดใจของเรานี้ สรรพสิ่งล้วนเกิดที่จิตแล้วจะดับที่ไหน (ดับที่จิตฉะนั้น จึงมีสำนวนจีนว่า "ไม่ต้องออกนอกบ้าน ก็สามารถรู้เรื่องราวในโลกได้" แรกๆ เราศึกษาธรรม เราก็เหมือนกับท่าน เรามองเห็นเรื่องสัจธรรมเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องแปลก ดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่เมื่อเราไปประสบพบความเป็นจริง เราจึงรู้ว่าเรื่องราวในโลกนั้นสามารถจะหยุดได้ที่ตัวเรา สามารถจะดับได้ที่ตัวเรา และสามารถที่จะรู้เรื่องทุกอย่างได้ด้วยตัวเราเองเหมือนกัน  ทำไมเราถึงพูดเช่นนี้ เรื่องราวในโลกนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็นทั้งเรื่องราวที่เรียกว่าทุกข์ สุข ทรัพย์ เกียรติยศ ชื่อเสียง แต่ในปัจจุบันนี้ หากเราเรียกร้องให้ท่านทำก็คงกระทำกันได้ยาก ให้บำเพ็ญอยู่แต่ในบ้านอย่าออกไปไหน แล้วท่านจะบำเพ็ญได้บรรลุ สงสัยว่าท่านคงจะอึดอัดตายเสียก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่แค่วันหนึ่งไม่ได้ออกจากบ้านอยู่แต่ในบ้านปิดหน้าต่างปิดประตู เป็นอย่างไร (อึดอัดเมื่อเราเปิดหน้าต่างเปิดประตูก็จะออกไปรับรู้เรื่องราวได้อย่างเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่นั่นก็คือเราต้องรู้จักเปิดและปิดใจของเรา รับและหยุดด้วย เข้าใจตรงนี้ไหม คำว่า"รับ"และ"หยุด" เปิดและปิดกายใจเป็น
ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ากล้าหาญไม่ถูกทางย่อมไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่ทุกคนต่างเจอเรื่องราวในชีวิตต่างกันออกไป แต่ที่สำคัญขอให้ถือสัจจะเป็นหลัก แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีแล้วหมั่นกระทำสิ่งที่ดีนี่ก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม ส่งเสริมคุณธรรมในตนเอง แก้ไขสิ่งไม่ดีนั่นก็คือรีบลบล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากใจ ขัดออกไปจากใจตนเอง แล้วหมั่นสร้างที่ดีให้บังเกิดแก่ใจตน
ถ้าเกิดว่าคนกล้าหาญคนนั้นเป็นคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงจะเกิดอะไรขึ้น กับคนที่ไม่มีตำแหน่ง ถ้าเกิดเขามีความกล้าจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่ที่ว่าเขากล้าแบบไหน ถ้ากล้าอย่างถูกต้องคนที่เป็นผู้นำก็นำพาผู้ตามได้อย่างถูกต้องและดีงาม แล้วถ้าท่านกล้าหาญถูกต้องคนก็ต้องตามท่าน แต่ถ้าคนไม่ตามท่านแปลว่าสิ่งที่ท่านกล้าหาญหรือสิ่งที่ท่านตัดสินใจดำเนินนั้นต้องมีอะไรผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่ถ้ากล้าหาญอย่างไม่ถูกต้องจะเป็นเช่นไร (สิ่งที่เราตัดสินใจไว้แล้วพิจารณาตัดสินใจผิดเกิดโทษทั้งระบบแต่พูดง่ายๆ คนอยู่หลังจะว่าคนข้างหน้าว่า ดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเองไม่มองคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่าเป็นคนไม่มีตำแหน่งแล้วกล้าหาญขึ้นมาล่ะ (ถ้าไม่มีตำแหน่งอาจจะไม่มีคนตามแต่เขาอาจจะก่อผลอะไรขึ้นมาได้ถ้าเกิดเขากล้าหาญขึ้นมาแต่ลืมคำนึงถึงความถูกต้องความดีงามคุณธรรม ความกล้าหาญของเขาอาจจะสร้างสิ่งที่ผิดและก่อโทษให้กับสังคม
ในโลกนี้มีคนสองประเภทคือคนกล้าและคนนิ่งเฉย คนที่นิ่งเฉยย่อมไม่สามารถทำให้สังคมเป็นอะไรได้ แต่คนที่กล้าหาญนั้นสามารถทำให้สังคมเกิดความสงบหรือเกิดความวิบัติได้ใช่หรือไม่ (ใช่แล้วคนที่นิ่งเฉยนั้นจะเฉยตลอดได้หรือไม่ ถ้าเกิดมีคนประเภทนี้เกิดขึ้นมา ท่านก็ยากจะเดาได้ว่าเมื่อไหร่เขากล้าเมื่อไหร่เขาไม่กล้า  ฉะนั้นการดำรงชีวิตเราอย่าได้มองเห็นว่าเหตุการณ์สงบๆ อย่างนี้ พรุ่งนี้อาจจะยังสงบ แต่ยังไม่แน่เสมอไป พรุ่งนี้ถ้าคนไม่มีตำแหน่งเกิดกล้าขึ้นมาความวุ่นวายย่อมบังเกิดได้ ทำไมเราต้องพูดถึงคำว่ากล้าหาญกับท่านตอนนี้ เพราะบ่อยครั้งมนุษย์มีความกล้าขึ้นมาอย่างหนึ่ง อาจทำให้สังคมสงบหรือวิบัติได้ ถ้าคนนั้นเป็นคนที่ไม่มีตำแหน่งสังคมนั้นจะเป็นเช่นไร ถ้าเขากล้าอย่างไม่ถูกต้องและหลงลืมคุณธรรมก็ย่อมเกิดภัยพิบัติหรืออาจจะเป็นโจรผู้ร้ายก็เป็นได้
แล้วปัจจุบันมีคนกล้าแบบนี้เยอะหรือไม่ (เยอะแล้วคนนิ่งเฉยล่ะ นิ่งเฉยตลอดไปดีหรือเปล่า (ไม่ดีเพราะเราไม่รู้ว่าวันใดเขากล้าวันใดเขาไม่กล้า ฉะนั้นการแก้ก่อนเหตุย่อมจะดีกว่าการแก้ตอนเกิดเหตุแล้ว ใช่หรือไม่  (ใช่ให้ทุกคนในที่นี้เห็นภัยพิบัติ หรือพูดว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นทุกคนย่อมกลัวเริ่มขยาด แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะแก้ภัยพิบัติไม่ให้เกิดขึ้นได้นั่นก็คือไม่นิ่งเฉย การไม่นิ่งเฉยก็คือการรู้จักนำคุณธรรมไปกระเตื้องฟื้นฟูให้คนในสังคมมีความคิดที่ถูกต้องเที่ยงธรรมยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่ฉะนั้นตอนนี้ท่านยังจะเอาแต่นิ่งเฉยไม่สนใจที่จะช่วยฟื้นฟูคุณธรรมในโลก หรือมีโอกาสต้องนำธรรมไปส่งเสริมนำธรรมไปฉุดช่วยเขา มีโอกาสตัวเองต้องแสดงธรรมโดยการปฏิบัติให้เขาเห็นและประจักษ์ผล คนบำเพ็ญต้องรู้จักปฏิบัติและพูดให้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาถึงจะเชื่อถือและเขาถึงจะทำตามเรา
วันนี้แม้เราจะพูดมามากมาย แต่ที่สำคัญอย่างเดียวก็คืออยากให้คนในโลกนี้มีความคิดที่ถูกต้องในเรื่องคุณธรรมการดำเนินชีวิต เพราะคนยุคนี้เต็มไปด้วยคนที่เอาแต่ได้ เห็นแก่ตน โลภไม่มีที่สิ้นสุด สัจจะแม้จะพูดกันเต็มปากเต็มคำแต่ปฏิบัติไม่มีสัจจะ กายแม้จะบอกว่าดูเป็นคนดีดูสวยงามแต่ไม่งามจริง ฉะนั้นอย่าปล่อยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เดือดร้อนแต่เพียงผู้เดียว เราผู้เป็นมนุษย์ เราผู้ต้องดำเนินชีวิต เราผู้ต้องประสบเคราะห์ภัย อย่าได้นิ่งเฉยคิดว่าภัยยังไม่มาใกล้ตัว ชีวิตนี้ก็ปล่อยให้ผ่านไปวันหนึ่งอย่างนั้นก็ไร้ค่า ช่างน่าเสียดายในการมาฟังธรรมในวันนี้ เพราะการบำเพ็ญตนแล้วจะช่วยโลกได้ ช่วยตนเองและสังคมได้ ใช่หรือไม่
คำพูดของเราแม้จะกล่าวออกมามากมาย แต่ขอเพียงมีประโยชน์กับใจท่านสักนิดหนึ่ง อย่าได้ฟังแล้วก็ผ่านหูไป กลับบ้านก็ยังเหมือนเดิม เอาแต่ใจตน เอาแต่อารมณ์ตน อย่างนั้นไม่มีประโยชน์ การให้อภัยคนอื่น การลดทิฐิของตน การปล่อยวางบ้าง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ย่อมทำให้ใจเราเบิกบาน
มาร่วมฟังกันกี่ครั้งแล้วต้องปฏิบัติให้ได้อย่าได้แต่ฟัง ฟังแล้วไปทำให้เกิดประโยชน์ด้วย
มานั่งฟังวันแรกต้องอดทนมากหน่อย เพราะไม่เคยนั่งฟังนานขนาดนี้ หรือพูดง่าย ๆ ไม่เคยอดทนได้นานขนาดนี้เลย ฉะนั้นวันนี้ผ่านไปตนเองต้องฝึกฝนความอดทนใช่หรือไม่ (ใช่
มีคำหนึ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดอยู่ประจำคือมนุษย์ต่างจากพระพุทธะตรงที่ว่า ปณิธานของพุทธะนั้นช่วยเวไนยแต่ปณิธานของมนุษย์นั้นช่วยตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่วันนี้เรามาศึกษาธรรม ปณิธานที่ท่านจะได้ยินล้วนเป็นปณิธานที่ทำเพื่อเวไนย ทำเพื่อมวลชน คนๆ หนึ่งหากมีปณิธานที่จะทำเพื่อผู้อื่น คนนั้นเป็นคนน่านับถือไหม (น่านับถือคนนั้นจะป็นคนที่น่าเคารพได้ก็ต่อเมื่อปณิธานที่เขามีแล้วเขาทำได้ถึงจริง ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่โดยปกติคนทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิต จุดมุ่งหมายหรือเข็มทิศในการดำเนินชีวิตก็คล้าย ๆ กับปณิธาน แต่ปณิธานนั้นเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจจริงในการดำเนินชีวิต ชีวิตของเราถ้าหากเอาแต่เดินอยู่ร่ำไปย่อมยากที่จะเดินได้ถูกทางมักจะไขว้เขว ใช่หรือไม่ (ใช่
หนึ่งคำอาจมีความหมายได้หลายความหมาย ตอนนี้คงมีหลายคนอยากกลับบ้าน แล้วถ้าตอนนี้เราพูดว่ากลับบ้านท่านจะกลับบ้านไหนกัน บางคนมีบ้านหลายหลัง แล้วเราเป็นเจ้าของบ้านหรือบ้านเป็นเจ้าของเรา เราเป็นเจ้าของทรัพย์ หรือทรัพย์เป็นเจ้าของเรา แต่เรามักจะคิดถูกกลายเป็นคิดผิด คิดผิดกลายเป็นคิดถูกอยู่ร่ำไป เวลาดำเนินชีวิตอะไรควรที่จะให้ความสำคัญมากกว่าเรากลับให้ความสำคัญน้อย อะไรควรให้ความสำคัญน้อยเรากลับไปให้สำคัญมาก ชีวิตเราเคยสับสนเช่นนั้นไหม หากเราคิดประกอบกับคำที่พูดว่าเราเป็นเจ้าของบ้านหรือบ้านเป็นเจ้าของเรา กับเราเป็นเจ้าของทรัพย์หรือทรัพย์เป็นเจ้าของเรา ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ ก็เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า หนึ่งที่นาร้อยเจ้าของร้อยชื่อนามก็เพราะว่าคนเปลี่ยนแปลงไป แต่บ้านยังคงอยู่ คนอาศัยเปลี่ยนไปสิบคนแต่บ้านยังคงอยู่ เงินทองที่เราได้เปลี่ยนไปกี่มือแล้วกว่าจะมาอยู่ในมือเรา  ฉะนั้นเราต้องให้ความสำคัญที่ถูกต้อง อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวทรัพย์หรือตัวบ้านจนเกินไปจนลืมชีวิตที่แท้จริงของตนเองใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราก็มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน ขอให้ศึกษาตั้งใจ ค้นคว้าให้ดีว่าคุณธรรมในการบำเพ็ญธรรม หรือคุณธรรมที่วันนี้ท่านได้ฟังมีความสำคัญอย่างไร ทุกคนสามารถบำเพ็ญธรรมได้ สามารถเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ขอเพียงไม่ดูเบาตนเอง กล้าที่จะขัดเกลากิเลสภายในจิตใจของตน
แม้วันนี้เราอาจจะไม่ได้ส่งมอบดอกไม้ให้กับทุกท่านถึงมือ แต่วันนี้เราก็ภาคภูมิใจแล้วว่า เราได้ส่งมอบคุณธรรมที่ตั้งใจจะนำมาให้ท่านเต็มที่แล้วขอให้รับและให้ค้นให้พบ อย่ามัวสงสัยว่าเรามาอย่างไร ไปอย่างไรเลย ตอนนี้สิ่งที่ควรสงสัยก็คือตัวท่านเองต่างหากที่มาได้อย่างไรแล้วจะกลับอย่างไร ใช่ไหม (ใช่กลับบ้านในที่นี้เป็นบ้านที่แท้จริงของชีวิต หากทุกคนรู้ว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นไม่ได้สุขเสมอไป มีทั้งทุกข์ และสุข แล้วไยเราจะต้องเวียนวนต่อไปอีก ควรจะหาทางหลุดพ้นกันบ้าง หากหาได้ท่านก็มีความสุข ท่านก็เป็นผู้บรรลุ คนประเสริฐได้ต้องรู้จักดำเนินชีวิตได้ถูกทาง นำพาตนเองได้ถูกหนทางและสามารถช่วยเหลือผองชนได้เขาก็จะเป็นพุทธะได้เหมือนกัน เพียงแต่อดทนไปให้ถึงใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมอยู่ในตัว อยู่ในใจท่านแล้วและคุณธรรมก็อยู่ที่การตัดสินใจของวันนี้ว่า วันนี้ท่านเจอทางแยกหนึ่ง ที่มีคนมาบอกว่า ทางแยกนี้หากท่านยังคงเลือกหนทางกลับคืนบ้านเดิมท่านก็สามารถกลับคืนได้ แต่หากท่านยังคงเลือกเดินทางเวียนว่ายก็ต้องเวียนว่ายต่อไป อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินเช่นใด มีโอกาสคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่



วันอาทิตย์ที่ ๑๑ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๔๒                   พุทธสถานจือเจวี๋ย  จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ขอตัวเองง่ายกว่าการขอผู้อื่น                 แม้ค่ำคืนพุทธจิตเป็นประทีปส่อง
ดำเนินชีวิตถูกต้องตามครรลอง                 ถือหลักการสอดคล้องสัจธรรม
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

  ให้อภัยไว้เถิดประเสริฐนัก                     ศิษย์รู้จักอภัยตนมิเหน็บหนาว
ธรรมะสิ่งล้ำค่ามิดูเบา                            บำเพ็ญเข้าศิษย์เอ๋ยมิไกลเกิน
ฝนตกพรำจำสู้ฝนที่กระหน่ำ                     ฟ้ามืดดำอย่ามองไปแค่ผิวเผิน
ฝ่าอุปสรรคที่หนักลงกล้าเผชิญ                 อย่ามัวเพลินเล่นน้ำฝนอย่างเด็กเล็ก
ลองใคร่ครวญด้วยปัญญาค้นหาตน            ฟ้าเบื้องบนนำไฟลงหลอมเหล็ก
ในครานี้ฟ้าเก็บงานใช่เรื่องเล็ก                  จิตดั่งเด็กบริสุทธิ์งามฟ้าเก็บคืน
นำฝนมาดับไฟร้อนผ่อนโทสะ                   ปัญญาชนะความวู่วามมิขมขื่น
หลังจากจบสองวันนี้หวังศิษย์คืน               นำคนพันนำคนหมื่นคืนสุทธา
ฝนหยุดตกสะทกสะท้านกลัวศิษย์ลืมคำ          ถ้าเคยพร่ำเอ่ยสิ่งใดขอศิษย์รักษา
ทวนกระแสสู่ต้นธารอย่าได้ช้า                     ดั่งฝูงปลาไม่ไกลน้ำธรรมในใจ
ใจของศิษย์เป็นเช่นไรยากจะเดา                  เปลี่ยนออกเข้าพาชีวิตไร้จุดหมาย
ดั่งใบไม้หลุดร่วงตามแรงลมไป                     ศิษย์รักเอ๋ยอย่าได้หลงโลกีย์อีกเลย
อาจารย์หวังเพียงศิษย์งามคืนกลับ                อายุนับลงถอยหลังแล้วศิษย์เอ๋ย
โลกงามตาไร้สิ่งใดน่าชิดเชย                       ความคุ้นเคยพาศิษย์ห่างอาจารย์ไป
                                                                                        ฮา ฮา หยุด



          เวลาวารีเลยล่วงไปไม่คอยท่า จะทำเฉื่อยชาไม่ได้การ กลับไปกลับมา ดีร้ายแม้ใจหวั่น มิบั่นทอนตั้งใจ
          จะยอมเผชิญความยากโดยใจกล้า จะเพียรได้มาการน้อมใจ ถูกคำผิดคำโต้เถียงลุกเป็นไฟ เสียคนที่วู่วาม
          หนทางที่ยิ่งสูงชัน ผลพลันก็ยิ่งสูงตาม เกิดความสู้ทน ใจดวงนี้มีกายเป็นผู้ตาม ทุกวันก็ยิ่งเพียร

ชื่อเพลง : ศิษย์เอยอย่าวู่วาม
ทำนองเพลง : รักเธอประเทศไทย



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์ร้องเพลงว่า "ใจที่เฝ้ารอคอยไม่ห่าง"  ศิษย์ใช้ใจอะไรมาเฝ้าคอยอาจารย์  ใช้ใจที่ศรัทธาหรือใช้ใจที่คิดเล็กคิดน้อยไม่เป็นเรื่อง (ใช้ใจศรัทธาศรัทธามากหรือน้อย (มากในความศรัทธามีสิ่งอื่นเจือปนไหม (ไม่มีหากว่าไม่มีสิ่งอื่นเจือปนศิษย์ก็คงจะบำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่ง ใช่ไหม (ใช่แล้วตอนนี้ศิษย์มั่นใจไหมว่าจะสามารถพายเรือธรรมไปได้ตลอดรอดฝั่ง (มั่นใจหากว่าเรือที่เราพายอยู่เกิดไปชนโขดหินศิษย์จะทำอย่างไร  โขดหินเปรียบเหมือนกับอะไร (อุปสรรคแล้วศิษย์ทุกคนมีอุปสรรคหรือเปล่า (มี)   ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขดีไหม (ไม่ดีเป็นเพราะมีอุปสรรคใช่ไหม (ใช่ทางโลกก็มีอุปสรรค แล้วพายเรือธรรมจะมีอุปสรรคไหม (มีแล้วถ้าเรือไปชนกับโขดหินแล้วจะทำอย่างไร (ถอยก่อนเพื่อตั้งหลักใหม่, หาทางกำจัดโขดหินก้อนนั้น, หยุดพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเราสามารถแก้ด้วยตัวเราเองได้ไหม, ฟันฝ่าอุปสรรคการฟันฝ่าต่อไปและการถอยก่อนเพื่อตั้งหลักใหม่นั้น  ในเมื่อเรือชนโขดหินและเกิดรอยรั่วแล้วนั้น  หากเราฟันฝ่าต่อไปเรื่อยๆ ได้สักพักเรือก็จะจมลง ใช่ไหม (ใช่ส่วนคำตอบที่ว่าหยุดพิจารณาเหตุการณ์ก่อนนั้น  หากมีอุปสรรคบางอย่างที่ยาก  เมื่อเราพิจารณาก็จะยิ่งมองแล้วยิ่งยาก  เมื่อยิ่งยากขึ้นก็แก้ไขไม่ได้แล้วก็หยุดอยู่กับที่ ใช่ไหม (ใช่มีคำตอบอื่นอีกไหม (จะต้องซ่อมที่รอยรั่วนั้นก่อนพังแล้วก็ซ่อม  วิธีแก้ปัญหานี้อาจจะไม่ง่าย  แต่เป็นวิธีที่ถูกต้อง  วิธีนี้คนเรามักจะคิดกันไม่ออก  เป็นเพราะว่ามนุษย์มีความฉลาดมาก คิดวิธีการต่างๆ ได้อย่างแยบยล  แต่หารู้ไม่ว่าวิธีการพื้นฐานง่ายๆ นี้เองจึงจะเป็นวิธีที่จะพาศิษย์ไปสู่ฝั่งได้  ใจที่เรียบง่าย ดีงาม ใจที่ยอมเสียเปรียบนี้เอง  จึงจะเป็นจิตใจที่งดงามและพาเราถึงฝั่งได้ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
การซ่อมสิ่งที่พังนั้นทำได้ไม่ง่าย แต่จำเป็นต้องทำ  ก่อนอื่นศิษย์ต้องเรียนรู้เรือทั้งลำของตนเองเสียก่อน  เรือทั้งลำนั้นเปรียบไปแล้วก็เป็นเสมือนร่างกายของเรา  ผู้ที่พายเรือนั้นก็คือจิต  เรือก็คือสังขาร  เมื่อพายเรือถึงฝั่งแล้ว  สังขารหมดอายุแล้ว  เราจะต้องทิ้งเรือ ทิ้งสังขารนี้ไหม (ทิ้งอาจารย์ขอถามว่า ทำไมเราจึงต้องเรียนรู้กายตัวนี้ล่ะ  เราต้องเรียนรู้กายว่าตาของเราชอบมองแต่สิ่งที่สวยงาม  แต่พุทธะกลับมองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นกิเลส ฉะนั้น การที่เราชอบมองสิ่งที่สวยงามนั้นก็คือเราชอบมองสิ่งที่เป็นกิเลส  ถ้าเราไม่รู้ว่าตาเราชอบมองอะไรแล้วเราจะควบคุมตาของเราได้ไหม (ไม่ได้หูของเราชอบฟังเสียงไพเราะ  ฟังแล้วติดไหม (ติดเราต้องรู้ก่อนว่าหูของเราชอบฟังอะไรเราจึงจะห้ามได้  ปากของเราชอบกินของอร่อย  เราต้องรู้ว่าปากของเราชอบอะไรเราจึงจะควบคุมได้เช่นกัน  เมื่อตาของเราพาเราไปพบอุปสรรค  เหมือนเรือของเราไปชนโขดหิน  ถามว่าเราควรที่จะซ่อมเรือของเราเองไหม (ควรเราจะให้ผู้อื่นมาซ่อมเรือของเราได้ไหม (ไม่ได้เรือของเราเราก็ต้องซ่อมเอง  เพราะเราจะรู้ว่าเรือของเราชนโขดหินแล้วรั่วตรงจุดไหน ใช่ไหม (ใช่
ฉะนั้น เราต้องยอมรับว่าอุปสรรคต่างๆ นั้นส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากตัวเราเอง  หากว่าเราไม่พาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราไปพบเจออุปสรรค  เราก็จะไม่ต้องเผชิญกับอุปสรรค  หากว่าเราสามารถควบคุมตาของเราได้  อุปสรรคที่เกิดก็จะน้อยลงไปหนึ่งอย่าง ใช่ไหม (ใช่ฉะนั้น หลักง่ายๆ ซึ่งเป็นหลักที่มีมานานแล้วก็คือ เมื่อชนแล้วก็ต้องซ่อม  ทุกวันนี้เราคิดจะซ่อมกันบ้างไหม (คิดทุกวันนี้อายตนะทั้งหกของเราพังหรือยัง (พังแล้วทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนแต่พังแล้วทั้งสิ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ทำให้ใจเราพังมากที่สุดก็คือความทุกข์  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็คือกิเลส  หากว่าเราวิ่งหนีกิเลสแล้วกิเลสจะวิ่งตามเราหรือไม่ (ไม่ตามแต่ทุกวันนี้เรากลับเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหากิเลส ใช่ไหม (ใช่ถ้าเรารักเขา เราก็ต้องแผ่เมตตาให้เขามากๆ  ใจของเราก็จะไม่ต้องทุกข์ร้อนต่อกิเลส  ผลที่สุดแล้ว เมื่อเราไม่มีกรรมสัมพันธ์กับกิเลสทั้งหลาย  หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจของเราถูกบังคับไว้ด้วยจิตที่เป็นพุทธะของเรา  เราก็ไม่ต้องเสาะแสวงหากิเลสเหล่านั้นมาเป็นสมบัติของเรา ดีไหม (ดี
ผู้ที่ตัดกิเลสได้เรียกว่าพุทธะ  แล้วศิษย์ของอาจารย์อยากเป็นพุทธะไหม (อยากอยากเป็นพุทธะต้องทำอย่างไร (ตัดกิเลสแล้วศิษย์จะเริ่มตัดเมื่อไหร่ดี  หรือคิดว่าตอนนี้ยังเป็นวัยหนุ่มสาวอยู่ยังตัดไม่ได้  ใครคิดว่าตัดพรุ่งนี้ดี หรือใครที่ยังไม่รู้ว่าตัดเมื่อไหร่ดี ขนาดสัญญาที่ให้กับตนเองยังให้สัญญาไม่ได้ แล้วจะมาให้สัญญากับพุทธะได้อย่างไร ใ่ช่ไหม (ใช่)   การให้สัญญากับตนเองจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก การผิดสัญญากับตนเองนั้นน่าละอายใจที่สุด ฉะนั้นก่อนที่จะให้สัญญากับผู้อื่นจะต้องรู้จักให้สัญญากับตนเองก่อนว่าศิษย์ของอาจารย์จะไปเป็นพุทธะได้อย่างไร  ศิษย์บอกว่าเราเป็นอย่างนี้มาตั้งกี่สิบปีแล้วอยู่ดีๆ จะให้เราเปลี่ยนได้อย่างไร อาจารย์ขอบอกว่าคนอื่นเปลี่ยนได้อย่างไร ศิษย์ของอาจารย์ก็เปลี่ยนได้อย่างนั้น วันนี้ไม่เริ่มเปลี่ยน แล้ววันไหนจะเริ่มเปลี่ยน  ผัดวันประกันพรุ่งคนไทยเรียกว่าอะไร (ดินพอกหางหมู) แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นคนหรือเป็นหมู (เป็นคนฉะนั้นอย่าลดตัวของเราไปเท่าหมู คนเดินสองเท้าหมูเดินสี่เท้า เราโชคดีกว่าไหม (โชคดีกว่า) แล้วศิษย์ใช้ความโชคดีของตนเองพอไหม (ยังไม่พอ) ทุกวันนี้เราใช้ความโชคดีของตัวเองไปในทางลบ ฉะนั้นควรเริ่มชีวิตใหม่ได้แล้ว ชีวิตใหม่ยังไม่เคยมี ชีวิตดีๆ ยังไม่เคยเริ่มต้น ถ้าหากว่าเราตั้งจุดมุ่งหมายให้กับชีวิตไว้แล้ว แต่เมื่อถึงพรุ่งนี้ก็บอกว่าเดี๋ยวค่อยตั้งใหม่ ถามว่าเราทำให้ชีวิตเราประสบความล้มเหลวหรือเปล่า (ใช่เป็นชีวิตใหม่ที่ล้มเหลวยิ่งกว่าเดิมอีก  เป็นคนที่ไม่รู้ตื่นอย่างแท้จริง  ฉะนั้นเราควรที่จะเริ่ม
แก้ไขตัวเอง  โดยเริ่มที่ไหน (เริ่มที่ใจถ้าใจเราคิดร้ายเป็นผลเสียต่อใคร (ตัวเอง) เราคิดดีเป็นผลดีต่อใคร (ตัวเอง) แล้วจะคิดร้ายไปทำไม เราคิดร้ายก็เหมือนกับวางยาพิษให้กับตัวเองกินทุกวันๆ  ตอนนี้รู้แล้วว่าจิตใจของเราต้องควบคุม ความคิดของเราก็ต้องควบคุม การกระทำนั้นก็จะเป็นผลสืบเนื่องความคิดและจิตใจ ทุกวันๆ คิดดี ทุกวันๆ จิตใจดี แล้วการกระทำของเราดีไหม (ดีไม่ต้องกลัวว่าการทำดีกับคนอื่นแล้วเราจะเสียเปรียบ อยากเป็นคนดีคนใหม่ไหม (อยากแม้ว่าเราจะวิ่งช้ากว่าคนอื่นแต่ก็ต้องพยายามวิ่งให้ทันใช่หรือไม่ (ใช่ไม่ใช่ว่าวิ่งแข่งกันสิบคน แล้วคนอื่นวิ่งไปเกือบถึงเส้นชัยอยู่แล้ว แต่เราเพิ่งจะออกจากจุดเริ่มต้น อย่างนี้ถือว่าช้ากว่าคนอื่นมากเกินไป อาจารย์เคยพูดว่า ก้าวทีละก้าวก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน แต่ศิษย์ก็ต้องดูเพื่อนพ้องด้วยว่าเขาเร็วกว่าเรามากเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเขาไปรับรางวัลเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังวิ่งเหยาะๆ อยู่เลย ถึงเวลานั้นจะมีใครรอไหม เขานึกว่าศิษย์ลงไปวิ่งเล่น ไม่ได้ลงวิ่งแข่ง ฉะนั้นควรที่จะฝึกตนเองให้คล่องแคล่วว่องไวกว่านี้ ขอคนอื่นง่ายหรือว่าขอตนเองง่าย
(ขอตัวเองเพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ไปขอคนอื่นดีหรือไม่ (ดี)
นั่งฟังมาเป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว เหนื่อยไหม อยากฟังอีกไหม (อยาก) ตอนนี้ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนเก่ง มีความคิด มีความสามารถ แต่เวลาเรามาฟังเราก็เป็นนักเรียน ถึงเราจะเก่งกว่าครูแต่เราก็ยังถือเป็นนักเรียน ฉะนั้นโดนครูว่าครูตีเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราไม่พอใจเราจะเป็นนักเรียนได้ไหม (ไม่ได้ถูกครูว่าครูตี เด็กก็ให้ตีเฉยๆ  เพราะว่ากลัวโดนหักคะแนน แต่ว่าเราไม่มีคะแนนให้หัก
ไม่รู้ว่าคะแนนของเราอยู่ตรงไหน  เราก็ไม่ใช่เป็นคนคุมคะแนน  เพราะฉะนั้นเราถึงได้ไม่กลัว
การเข้ามาที่นี่บางทีก็มีความคิดไม่ตรงกัน บางทีอาจจะพูดแรงไปหน่อย ก็ต้องรู้จักการให้อภัย  การให้อภัยเป็นคุณธรรมของพระโพธิสัตว์ ศิษย์ของอาจารย์ให้อภัยได้หรือเปล่า  ต้องให้อภัยจากจิตใจ  เมื่อผู้อื่นทำผิดแล้วเราให้อภัยได้ ใครจะเป็นคนได้รับผลดี (ตัวเรา)  ถ้าให้อภัยไม่ได้ ใครจะได้รับผลเสีย (ตัวเราฉะนั้นควรให้อภัยผู้อื่น หากว่าเราเป็นคนที่อายุมากเรายิ่งต้องให้อภัยให้หมด เพราะว่าผมของเรานั้นเป็นสีขาวทั้งศีรษะแล้ว ช่วงเวลาของผมสีดำก็น้อยลงทุกวันๆ ความเป็นหนุ่มเป็นสาวของเรานั้นแทบจะไม่มี แสดงว่าวัยแห่งดอกไม้แรกผลิเกือบจะหมดลงทุกวัน ชีวิตที่สั้นลงทุกวันก็จำเป็นต้องให้อภัยกับผู้อื่นทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที แล้วถ้าหากไม่ยอมให้อภัย จิตของเราก็เหมือนกับฟองน้ำที่ดูดซับน้ำสกปรกไว้ เมื่อดูดซับไว้มากๆ ฟองน้ำอันนี้ก็หนักมากขึ้นจนไม่สามารถจะอุ้มน้ำได้อีก หากศิษย์ของอาจารย์มีจิตที่ขุ่นและหนักก็จะไม่สามารถกลับขึ้นสู่นิพพานได้ เพราะเหตุนี้จึงต้องหัดอภัย ไม่เช่นนั้นจิตจะมีความหนักขุ่น  ในที่สุดแล้วก็ตกลงสู่พื้น  ตอนนี้จิตของเราเบาเหมือนฟองน้ำอาจจะสามารถลอยขึ้นได้ใช่ไหม
การอภัยต้องฝึกทุกวันไหม แล้วต้องฝึกวันละกี่รอบ (ทุกเวลานาที)  กินข้าววันละกี่มื้อ บางคนกินมื้อค่ำด้วยเป็นกี่มื้อ (๔ มื้อ) กินข้าวทำไมขยันกิน การให้อภัยก็ต้องขยันทำ บำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน  การที่เราช่วยเหลือผู้อื่นนั้น มีผลตอบแทนไหม (ไม่มี) ทำความดีมีผลตอบแทน แต่ผลตอบแทนนั้นเป็นนามธรรมไม่ได้ออกมาเป็นรูปธรรม  เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกคนต้องรู้จักทำความดี เวลาทำความดีไม่ให้หวัง ก็เหมือนกับไม่มีใช่หรือไม่ เมื่อเราไม่หวังแล้วเรารู้สึกอุ่นใจไหม (อุ่นใจ) เรียกอิ่มบุญ เพราะฉะนั้นเราก็จงอิ่มบุญ แต่เราอย่าได้อิ่มตา อิ่มการรับรส การบำเพ็ญเปรียบเสมือนการกินข้าว การให้อภัยเปรียบเสมือนการตักข้าวลงจาน  หากเราไม่รู้จักเริ่มตักข้าวลงจาน ก็ไม่รู้จักการให้อภัยคนอื่น  หากวันนี้ไม่ได้ทำพรุ่งนี้ทำดีไหม ถ้าหากพรุ่งนี้ไม่ได้ทำวันหน้าทำดีไหม แต่อย่าผัดวันประกันพรุ่ง จิตใจของคนเรานั้นก็จะปลอดโปร่งโล่งสบาย บางคนบอกว่าความสุขนั้นต้องเอาเงินซื้อ เห็นเงินเป็นพระเจ้า แท้จริงนั้น ความสุขเกิดจากการรู้จักให้อภัยคน การให้อภัยเป็นความสุขอันสูงสุด ไม่จำเป็นต้องซื้อหา เพราะความสุขเกิดจากใจ  ไม่ใช่เกิดจากวัตถุรอบนอก เช่น โทรทัศน์ วีดีโอ เครื่องปรับอากาศ ที่นอนสบายๆ รถคันสวย  หากศิษย์ลองเดินเท้าดูก็จะรับรู้ถึงความสุขของการเดินเท้า  หากศิษย์ลองลด ก็จะรู้ถึงความสุขของการละ  หากว่าจิตใจไม่ฟุ้งซ่านไปกับสิ่งบันเทิงมากมายศิษย์ก็จะมีความสุขกับความว่าง ความสะอาด ใช่ไหม (ใช่ทุกวันนี้ตา หู ปากของเราสะอาดหรือเปล่า
ทุกวันนี้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากมาย ศิษย์กลัวไหม (กลัวแล้วศิษย์เชื่อไหมว่าตัวเราเองเป็นผู้ที่โชคดี (เชื่อ)  บนโลกใบเดียวกันนี้มีหลายประเทศที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย  แต่ศิษย์ได้เกิดอยู่ในประเทศที่ร่มเย็นถือว่าโชคดีมาก  ในจักรวาลอันกว้างไกล  พิภพหลายพิภพที่เกิดขึ้น มีทั้งสามภูมิคือเทวดา มนุษย์ และผีนรก แต่ศิษย์มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ถือว่าโชคดีไหม (โชคดีในสังคมนี้ยังมีคนที่พิการ มีคนที่ทุกข์ยาก แต่ศิษย์ได้เกิดมามีองค์ประกอบครบสมบูรณ์ถือว่าโชคดีไหม (โชคดีแล้วศิษย์ยังจะใส่ใจกับเรื่องหน้าตาว่าจะสวยหรือไม่สวยไหม (ไม่เพียงเท่านี้เราก็ควรจะพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว  หากเกิดมาเป็นคนหน้าตาดี ครอบครัวดี ยิ่งถือว่าโชคดีขึ้นอีก  ฉะนั้น เราควรจะถนอมรักษาโชควาสนาของเราไว้ด้วยการทำอย่างไร (ทำความดี , เร่งปฏิบัติธรรม , ช่วยคนที่ยังไม่รู้ถึงธรรมะ , บำเพ็ญธรรม , สร้างความดีมากๆ คนไทยรู้จักคำว่า "ทำความดี" มานานแล้ว  แต่ตั้งแต่เล็กจนโตมาศิษย์ทำความดีพอหรือยัง และความดีที่เคยทำไปนั้นได้ทำจริงๆ หรือยัง (ยังแสดงว่าศิษย์ยังทำความดีได้ไม่ถึงความดี  ฉะนั้น ตอนนี้ควรจะทำความดีให้ถึงความดีไหม (ควรแล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าทำความดีได้ถึงความดี  ก็คือจะต้องทำความดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์  ข้อนี้ศิษย์ต่างก็รู้แต่ก็ยังไม่เคยทำความดีด้วยจิตใจบริสุทธิ์สักที  ส่วนใหญ่ก็ยังคงคิดเล็กคิดน้อย คิดเรื่อยเปื่อย คิดฟุ้งซ่าน คิดไร้สาระ และบางครั้งก็ยังคิดหวังผลด้วย  ทั้งๆ ที่รู้กันว่าการทำความดีที่แท้จริงนั้นไม่มีผลตอบแทนกลับมาเป็นรูปธรรม ใช่ไหม (ใช่) หากเราทำบุญไป ๑๐ บาทแล้วจะหวังให้เงินกลับมา ๑๐๐ บาทได้ไหม (ไม่ได้ถ้าเราทำบุญแล้วยังหวังผลตอบแทนแม้แต่เพียงบาทเดียวก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่หวังผล
วันนี้ฟ้าผ่าลงมา น่ากลัวไหม (น่ากลัว) อาจารย์จะบอกให้น่ากลัวกว่านี้ต้องไปนรก พูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น  วันนี้ฟ้าผ่าลงมาบอกน่ากลัวแล้ววันหน้าลงไปอยู่ในนรก ทั้งฟ้าผ่าฟ้าร้อง พิโรธคนชั่วทั้งหลาย ถามว่าน่ากลัวกว่านี้ไหม
(น่ากลัว) คนบนโลกนี้มีทั้งดีและชั่ว คนในนรกน่ากลัวกว่านี้ ฉะนั้นวันนี้เราอยู่บนโลกนี้ต้องไม่กลัวฟ้าผ่า ถ้าหากเราถือว่าเราเป็นคนไม่ดีวันหน้าเราก็ไปรวมกับพวกเดียวกันในนรก แล้ววันนั้นอาจจะมีฟ้าผ่าฟ้าร้องตอนที่เขากำลังเคี่ยวอยู่ก็ได้ แล้วก็เปรี้ยงฟาดลงมาเป็นการซ้ำเติม ตอนนี้อยู่บนโลกทั้งดีทั้งชั่วยังบอกน่ากลัว อย่างนี้เราช่วยคนอยู่บนโลกด้วยกัน วันหน้าเราก็ต้องไปช่วยคนที่อยู่ในนรกด้วยดีหรือไม่ แต่อย่าลืมว่าช่วงเวลาที่ฝนตกนั้นมีไม่นาน เวลาที่ธรรมะแพร่ไปก็ไม่ใช่ว่าจะยืนยาว ฉะนั้นจงรู้จักช่วยคนเท่าที่เราช่วยได้ เวลาเราช่วยไม่ได้แล้วเราจะได้ไม่รู้สึกละอายใจ ดีไหม (ดี)
ตั้งแต่โบราณกาลมามีคนถูกฟ้าผ่าตายเป็นจำนวนมาก คนเหล่านั้นล้วนมีกรรมในชาติเก่าหรือชาติปัจจุบันที่ไม่ดี หวังว่าศิษย์ของอาจารย์คงจะไม่เผลอไปทำกรรมที่ชั่วหนักขนาดนั้น
ศิษย์ในที่นี้มีใครเป็นคนใจร้อนบ้าง  การเป็นคนใจร้อนไม่ใช่เรื่องดี  ความใจร้อนทำให้เราเสียโอกาสไปมาก  ความใจร้อนสามารถดับได้ด้วยปัญญา เพราะปัญญาเปรียบเสมือนน้ำ  เมื่อดับความใจร้อนลงได้ โอกาสของเราก็จะมีมากขึ้น  โอกาสของเราแต่ละครั้งไม่ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ  คนมีวาสนาก็จะได้พบโอกาสมากกว่า   แต่ไม่ได้หมายความว่าโอกาสนั้นจะไม่มีวันสิ้นสุด  ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะมีโอกาสทางด้านชีวิตครอบครัว ด้านอาชีพการงาน ด้านงานธรรมะ  ทุกๆ โอกาสล้วนแต่เป็นโอกาสที่ศิษย์ต้องรักษาไว้อย่างรู้จักคุณค่า  ไม่ใช่ว่าปล่อยให้เสียโอกาสไปแล้วจึงรู้ว่าน่าเสียดายจริงๆ  เช่นนั้นเรียกได้ว่ารู้เมื่อสายเกิน  ทุกๆ ครั้งที่มีโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิต  ขอให้รักษาไว้อย่างทะนุถนอม  รู้จักสร้างโอกาสให้เป็นโอกาสที่ใหญ่ขึ้นสำหรับตัวเอง  แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการเอารัด
เอาเปรียบผู้อื่น  เพราะผู้บำเพ็ญธรรมถือว่าเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ที่แสวงหาทางหลุดพ้นกลับคืน  จะต้องเป็นผู้ที่รู้จักตนเอง  บางคนรู้จักตนเองเฉพาะรูปลักษณ์ที่เห็นในกระจก รู้จักแค่หน้าตาเราเป็นอย่างไร  รู้จักตนเองเพียงเท่านี้ยังไม่พอ  ยังจะต้องรู้ด้วยว่าจิตใจของเรามีความโกรธมากเท่าไหร่ จำเป็นต้องลดเท่าไหร่  ต้องรู้ว่าจิตใจของเรามีความหลงมากเท่าไหร่ จำเป็นจะต้องลดลงอีกเท่าไหร่  เช่นนี้จึงจะเป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง  เรายังต้องรู้ด้วยว่าเรายังขาดคุณธรรมในข้อใด  เกินอะไรไปบ้าง  ต้องรู้จักประมาณตน รู้จักดูแลตน  นี่จึงเรียกได้ว่ารู้จักตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง "รักเธอประเทศไทยชื่อเพลง "ศิษย์เอยอย่าวู่วาม")
"เสียคนที่วู่วามบางครั้งเราก็เสียคนเพราะความวู่วาม ความประมาท ใช่ไหม (ใช่ความวู่วามเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เราก็ยังวู่วามกัน  ผู้ใหญ่ว่าเด็กที่เล่นซน  แต่ผู้ใหญ่ก็ซนแบบวู่วาม  เมื่อพบเจอปัญหาก็ร้อนตัว  เมื่อปัญหาเข้ามาใกล้ตัวก็ทำอะไรลงไปได้ทุกอย่าง ขอเพียงให้หลุดจากปัญหาไปก่อน
ใช่ไหม (ใช่แต่รู้ไหมว่าเมื่อเราหลุดจากปัญหานี้แล้วเรากลับไปผูกกับอีกปัญหาหนึ่ง  ทำไมเราจึงไม่รู้จักใช้สติ และคลายปัญหาทุกอย่างด้วยความละมุนละม่อม  อาจารย์เคยสอนวิธีการผูกเชือกไว้  เวลาผูกเชือกผูกอย่างไร เวลาแก้ก็ต้องแก้ออกให้หมด ศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้ เวลาเจอเรื่องร้อนตัวแก้ได้ไหม เชือกข้างหนึ่งจะเป็นปัญหาแต่ละปัญหา ผูกปัญหาเข้าด้วยกันปัญหาก็ยิ่งแน่น เวลาแก้ควรจะดึงออกทั้งสอง ถ้าหากว่าศิษย์สามารถแก้ปัญหาแรกได้ อันที่ใกล้ที่ง่ายกว่าก็จะคลี่คลายไปเอง แต่ว่าถ้ายิ่งร้อนตัวยิ่งผูกก็ยิ่งมาก การแก้ปัญหานี้รู้ว่า
ได้ผูกปัญหาใหม่เอาไว้ด้วย  ในที่สุดแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ อาจารย์พูดถึงแต่เรื่องของพุทธะแต่ไม่ได้ให้ศิษย์ทอดทิ้งเรื่องของความเป็นคน  ทุกวันนี้เราบำเพ็ญเพื่อที่จะเป็นพุทธะ แต่สิบปีนี้เรายังเป็นคนไม่สามารถที่จะเป็นพุทธะได้  ฉะนั้นจะต้องจัดการเรื่องของคนให้ดีก่อน ถึงจะจัดการเรื่องของการเป็นพุทธะในวันข้างหน้าได้
การอยู่ร่วมกันนั้นจะต้องอาศัยอะไร (คุณธรรม) อยู่กันด้วยคุณธรรมอาจจะดีแต่ก็ยังไม่พอ เมตตาธรรมดีไหม ร่างกาย มีหู ตา จมูก แขน ขา มีอวัยวะภายในและภายนอก ภายในคือความเข้มแข็ง ต้องรู้จักอดทน มั่นคง  ภายนอกต้องรู้จักเมตตา อภัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่บางคนชอบเอาภายในมาอยู่ภายนอก ภายนอกมาอยู่ภายใน เอาความเข้มแข็งมาอยู่ภายนอก แล้วภายในอ่อนแอ  ภายในเราคิดอะไรใครรู้ไหม การให้อภัย มีเมตตา  การรู้จักหันหน้า
เข้าหากัน ใส่ใจกัน ด้านของความเข้มแข็ง รู้จักอดทน มั่นคง เชื่อใจผู้อื่น 
การมีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ต่อกัน สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เหมือนกับมีมือแต่ไม่มีเท้า
ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อม รู้จักการหันหน้าเข้าหากัน รู้จักถอย รู้จักการเข้าใจ รู้จักความสบาย สบายที่ไม่ใช่สบายแบบนอนเตียงนุ่มๆ
นั่งรถคันงามๆ  แต่ความสบายคือ ความสบายใจที่เราไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น เอาความสบายตรงนี้ออกมาสู่ครอบครัวของเราให้ทุกคนในบ้านสบายใจ และให้ถือส่วนรวมเป็นหลักไม่ถือส่วนตนเป็นหลัก ทุกวันนี้มีเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพราะเห็นแก่ตนเป็นหลัก เราจะต้องเอาส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญต้องถือ
สัจธรรมเป็นแนวทาง อย่าปล่อยชีวิตไปทางไหนก็ได้ ชีวิตของเรานั้นมีบรรพชนเป็นผู้ให้ มีพ่อแม่เป็นผู้ให้ ถ้าไม่มีบรรพชนไม่มีพ่อแม่จะมีเราไหม (ไม่มี) ไม่มีเราจะมีลูกหลานไหม ชีวิตไม่ได้เป็นของเราคนเดียว แต่เป็นของผู้อื่นด้วย ต้อง
ตอบแทนผู้อื่นด้วย แต่อย่าได้วอนขอนะ ถ้าวอนขอศิษย์จะต้องทุกข์ใจ
"ใจดวงนี้มีกายเป็นผู้ตามต้องมีใจเป็นผู้นำ มีกายเป็นผู้ตาม แต่ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์เอากายเป็นผู้นำ แล้วเอาใจเป็นผู้ตามใช่ไหม (ใช่) เวลา
อยู่ในโลกนี้ถึงได้แต่งตัวสวยงาม สุดท้ายร่างกายตัวนี้ก็ทิ้งไปเหลือแต่ใจใช่ไหม (ใช่ใจก็คือจิตของเรา เพราะฉะนั้นรักษาใจอันนี้ดีกว่า
สองวันนี้อาจารย์เน้นเรื่องเดียวคือเรื่องการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญแก้ไขจิตใจของเรา  เคยโมโหร้ายก็ขอให้โมโหน้อยลงนิดหนึ่ง อารมณ์ร้อนให้ลดลงหน่อยดีไหม หากทุกวันลดลงวันละนิด ผ่านไปหนึ่งปีศิษย์ของอาจารย์ก็จะกลายเป็นคนอารมณ์ดี กิเลสของเราก็มีเยอะไปนิดหนึ่ง ตอนนี้ตาเรือก็ชนกับตาเรือ
หูเรือก็ไปชนจนหูพัง ใจเรือก็ชนจนใจพัง เพราะฉะนั้นเราก็มาเรียนวิธีการซ่อมเรือของเรากันดีไหม ไม่ต้องให้คนอื่นมาซ่อม เราซ่อมใจของเราให้ปกติหน่อย กิเลสที่มันมากไป เพราะเราส่ง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกไปข้างนอก ก็ให้มันน้อยลง ภายในหนี่งปีก็ให้น้อยลง  มีรัก โลภ โกรธ หลง อีก เวลารักใครก็รักเขาจนมาก เวลาเกลียดก็เลยเกลียดมาก โลภก็โลภมาก เวลาไม่มีก็เลยผิดหวังมาก เวลาหลงก็หลงมาก เวลาไม่ได้ดังใจก็เลยทำลายมาก  ฉะนั้นจงรู้สติ รู้ตัวให้มากขึ้น จะได้เป็นคนที่มี รัก โลภ โกรธ หลงน้อยลง  สิ่งเหล่านี้ทำได้ด้วยผู้อื่นบอกให้เราทำหรือเราทำเอง (ทำเอง) ถ้าเราไม่แก้ไขเองผู้อื่นจะแก้ไขได้ไหม (ไม่ได้ฉะนั้นอย่าเห็นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนแก่ การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคน  ถ้าศิษย์ไม่อยากจะตายอย่างไร้คุณค่า ก็ต้องรู้จักสร้างคุณค่าให้กับชีวิต  อยากจะเป็นเหมือนอย่างวีรชนไหม  แม้ท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็มีคนตั้งรูปบูชา  หรืออยากให้เมื่อเราตายไป ลูกหลานทุกคนก็ลืม  ขอให้เลือกทางเดินชีวิตให้ตนเองดีหรือเปล่า (ดี)
จริงๆ แล้วไม่มีสิ่งใดทำให้ศิษย์อาจารย์นั้นห่างกันได้  มีก็เพียงความคุ้นเคยของศิษย์ที่บอกว่ายังแก้ไม่ได้  แล้วจะให้อาจารย์นั้นพาศิษย์กลับไปเป็นพุทธะอย่างไร ตอบอาจารย์หน่อย  สุดท้ายแล้วทุกข์ใจไปก็เท่านั้น ดีใจไปก็
เท่านั้น ก็ศิษย์อาจารย์เป็นแบบนี้ อาจารย์ก็ห่วงแบบนี้
เกิดเป็นคนแก้ไขยาก  นิสัยต่างๆ แก้ไขยากอาจารย์ก็รู้ แต่หากวันนี้ไม่แก้ไข แล้วจะแก้ไขวันไหน รอให้วันหน้ากิเลสติดแน่นกว่านี้ แข็งกว่านี้ เหมือนกับจานข้าวที่ไม่ได้ล้างมานับเดือน  ถึงเวลาจะใช้ค่อยมาล้าง  ถึงตอนนั้นจะล้างออกหรือ  ถ้าหากอาจารย์ใช้อุปสรรคมาทดสอบศิษย์เพื่อให้รู้ตัวสักที ทดสอบแรงเกินไปศิษย์ก็เจ็บและท้อ  ถึงตอนนั้นอาจารย์อยากจะช่วยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  อาจารย์เคยบอกแล้วว่าให้แก้ไขเสียเนิ่นๆ ศิษย์ก็ไม่เคยเชื่อ  ถึงเวลาเจ็บแล้วมาร้องเรียกอาจารย์  ถึงตอนนั้นแม้อาจารย์หวังดีก็ต้องปล่อยให้เจ็บ  มนุษย์เป็นผู้ที่เจ็บแล้วถึงค่อยรู้ตัวใช่หรือเปล่า (ใช่)  เจ็บแล้วค่อยรู้ว่าตั้งแต่แรกไม่น่าจะทำแบบนี้
ก่อนสงสารคนอื่นต้องสงสารตนเองก่อน  ต้องดูตนเองว่าเรานั้นเป็นอย่างไร ต้องแก้ไขอะไรบ้าง ดูตนเองว่าเราบำเพ็ญจิตไปแค่ไหน เราจะได้ย้อนมองส่องตน  ไม่ใช่รอคนอื่นมาพูดตรงๆ หรือให้คนอื่นเขาใช้สายตาตำหนิแล้วค่อยมารู้ตัวเอง  ถึงตอนนั้นก็น่าสงสารตนเองที่สุดใช่ไหม (ใช่)
ชาตินี้อยากหลุดพ้นไหม เกิดเป็นคนทุกข์ใช่ไหม หลุดพ้นแล้วไม่ทุกข์หลุดพ้นดีไหม  เกิดมาเป็นคนชาตินี้ก็ทุกข์ ชาติหน้าทำบุญมากกว่านี้อีกก็ยังต้องทุกข์อยู่ดี  ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ที่มีความทุกข์  เด็กๆ ก็มีทุกข์เช่นกัน  ฉะนั้นอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ อาจารย์อยากให้ศิษย์หลุดพ้น  ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นขยันบำเพ็ญทุกคนเลยดีไหม (ดี) มีเวลาน้อยก็บำเพ็ญน้อย  มีเวลามากก็บำเพ็ญมาก  ลงแรงที่ใจของตัวเอง  ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นเขาจะดีหรือไม่ดี  ดูแค่เรานั้น
ดีพอหรือยัง  พุทธะนั้นอยู่ไกล ก็รีบๆ พยายามเอื้อมเข้า  จะมัวนั่งแหงนหน้ามองฟ้าแล้วรอให้พุทธะตกลงมาเป็นของตัวเองไม่ได้ พยายามหน่อยดีไหม (ดีอาจารย์เคยเกิดเป็นคน  บำเพ็ญแล้วจึงสำเร็จเป็นพุทธะ  ศิษย์ก็จงบำเพ็ญให้สำเร็จไปเป็นพุทธะดีไหม (ดี)
หลังจากจบชั้นสองวันนี้ไปแล้ว  ถ้าใครสามารถมาไหว้พระ  มาฝึกพุทธระเบียบได้ก็ขอให้ทำ  คนที่อยู่ในภาคใต้ส่วนใหญ่ใจร้อน  อาจารย์ขอให้รู้จักยอมกันบ้าง  ถอยกันคนละหนึ่งก้าว  ฝึกอ่อนน้อมเข้าไว้ ตามแบบอย่างพุทธะ  แล้วศิษย์ของอาจารย์ก็จะไม่ห่างไกลพุทธะ  หากว่าปล่อยตนเองเกียจคร้านไปหนึ่งวัน ปล่อยเวลาผ่านไปหนึ่งวัน สองวัน  ในที่สุดแล้วก็จะห่างไกลพุทธะออกไปทุกที  ฉะนั้น ต้องมีความขยันหมั่นเพียร มีความพยายาม  เมื่อกลับบ้านไปแล้วต้องหมั่นตรวจสอบตนเอง  เมื่อมาห้องพระต้องหมั่นฝึกฝนพุทธระเบียบเพิ่มพูน  ศิษย์ก็จะได้รับความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นทุกวัน  จะไม่เสียแรงที่เกิดมาในชาตินี้  แม้ว่าศิษย์จะไม่ได้เป็นพุทธะองค์ใหญ่  แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็จะได้เป็นพุทธะองค์น้อยๆ  จะได้สมกับที่อาจารย์เฝ้ารอคอยศิษย์ทุกๆ คนกลับไป  ทำได้ไหม (ทำได้หวังว่าวันหน้าจะพบกันอีก  ขอให้ศิษย์ศึกษาให้ดีๆนะ.




[๑] บุษบง                  ดอกไม้
[๒] อาตมัน                                อัตตา หรือ การถือตนเองเป็นใหญ่
[๓] ปรมัตถ์               ประโยชน์อย่างยิ่ง
[๔] กล่น                     เกลื่อนกลาด , ดื่นดาษ
[๕] วิรุฬห์                   เจริญ , งอกงาม


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท     ทอง
      จิตใจงามใช่จะงามขึ้นได้เอง                                   เป็นคนเก่งต้องฝึกฝนจนคงที่
ทางที่เดินถ้าง่ายง่ายใช่จะดี                                         เหมือนอัคคีไว้หลอมทองตลอดไป

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2542

2542-03-27 พุทธสถานฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีฯ


PDF 2542-03-27-ฉือฮุ่ย #2.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีฯ

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ



ชีวิตหนึ่งเพียงความฝันไม่ยืนยง จงมั่นคงบำเพ็ญธรรมเป็นทางแท้

สิ่งที่ผิดใดใดเข้าเร่งแก้ ไม่เปลี่ยนแปรใจพุทธะญาณดวงเดิม

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา ฮวา ฮวา



คืนบ้านเดิมได้หรือไม่อยู่ที่ตน ตั้งใจทนตั้งใจเดินมากเพียงไหน

ระยะทางวัดค่าคนแท้ที่ใจ เป็นคนใหม่ผู้ทำจริงเพราะรู้จริง

ชีวิตหนึ่งไม่ยาวนานต้องดับสูญ มัวหมกมุ่นมวลกิเลสยากก้าวสูง

ขอให้ใช้ธรรมะเข้าชักจูง ปมที่ยุ่งต้องคลายออกทีละหนึ่ง

อย่าใจร้อนจะผ่อนหนักให้เป็นเบา สู่ยุคขาวใจต้องขาวบริสุทธิ์

เป็นพุทธะกลางพิภพ[๑]ใจวิมุตติ[๒] อย่าได้ขุดเรื่องผู้อื่นมานินทา



อันรักโลภพาชีวิตให้ตกต่ำ ยั้งสติด้วยการนำเมตตาสู่

โกรธหลงมียากมีหนึ่งใครชื่นชู ขอย้อนดูตนเองทุกเช้าค่ำ

เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐนัก ขอให้รักษ์โอกาสตนบำเพ็ญเถิด

พุทธะล้วนมาจากคนผู้งามเลิศ น้องเพียรเถิดไม่เกินความพยายาม

เคยเวียนว่ายตายเกิดมาก็นานนัก ทุกข์ที่หนักนั้นไม่ใช่เป็นครั้งแรก

ดีท่ามกลางคนชั่วนั้นใช่สิ่งแปลก ขอเร่งแบกภาระหนักเดินตามฟ้า

ในสองวันคราวนี้ให้ศึกษา เมื่อได้มาค้นคว้าลึกถึงแก่นสาร

เพื่อหลุดพ้นการเวียนว่ายทรมาน แม้ทุกข์นานสุขสั้นสั้นไม่ท้อใจ

เกิดเป็นชายควบคุมกายควบคุมใจ เกิดเป็นหญิงเดินตรงได้งามสง่า

ใจดวงนี้ไม่ติดยึดคำวาจา อันเวลาไม่เคยที่จะคอยใคร

จงศึกษาอย่างตั้งใจใจเปิดออก เรื่องภายนอกหยุดชั่วครู่สำรวมจิต

ทั้งสองวันอยู่ครบเลิศนิมิต ไม่ทำผิดอย่างจงใจต่อพุทธระเบียบ

สองวันนี้พี่ยืนคุมข้างสถาน ทำจิตใจให้ชื่นบานมีกุศล

ไม่ถูกใจเรื่องใดใดให้อดทน ไม่อับจนทางพุทธะจึงเป็นพุทธา

ขอจงรู้เวลาสั้นควรศึกษา กลับออกไปปฏิปทา[๓]โพธิสัตว์

ในบัดนี้ฟ้าดินโปรดซึ่งทางลัด ขอให้หัดทั้งยากง่ายไม่เกี่ยงงอน

จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน

ฮวา ฮวา หยุด








วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี



อ่อนมีแข็งจึงเห็นเป็นสิ่งอ่อน เพราะมีก่อนจึงมีหลังอย่าสงสัย

เพราะมีหลังจึงมีก่อนพากันไป ใจกว้างใหญ่รู้เขารู้เราไม่อับจน

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ



กฎธรรมชาติปรับทุกสิ่งให้สมดุล ขาดก็พูนเกินก็ลดฉะนี้

ต่างจากคนรู้จักแต่ความมี ทั้งชีวีจึงระส่ำอยู่เรื่อยไป

มีจุดหมายจึงบำเพ็ญได้ถึงฝั่ง ธาราหลั่งน้ำมีทิศระรินไหล

ชนะหลงเพียงแต่ตื่นยืนสบาย ลืมคล้ายไร้ทิศในดวงชีวา

พาจิตตามครรลองแฝงกำเนิดฐาน แม้สร้างสรรค์มีไม่ขาดทิศา

ฝนก่อตัวพลิกแพลงแห่งเวลา ขจัดบ่วงปัญญามามีในตน

ชีพดุจแสงจิตสำนึกดุจรัศมี ดวงรพี[๔]ตามลงขึ้นไม่สับสน

ชีวิตหนึ่งเวลาหนึ่งเย็นใจทน สงบกลางวุ่นวายดลใจหมองคลาย



เมื่อขัดฝืนไม่สงบขัดธรรมชาติ ใช้ธรรมชาติสอนชีพคนงามได้

บำเพ็ญยาวอย่าบำเพ็ญสูงต้องพ่าย พินิจได้หมายยิ่งค่าเร่งเดิน

บรรลุแท้เหนือวาจาเที่ยงซึ่งใจ สงบในหนึ่งถึงกล่าวความผิวเผิน

ธรรมซึ้งไป่ต่างมานัยนาเมิน ธรรมเจริญกลมกลืนสอดคล้องธรรมชาติ

อย่าได้คิดว่าตนดีเสมอ เป็นการเผลอเป็นวินิจฉัยคนประมาท

ใช้ธรรมชาติพินิจสรรพสิ่งไม่ผิดพลาด อีกเลิกสาดวาจาทำระกำใจ

ฮา ฮา หยุด





พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี



ใครๆ ก็อยากเป็นคนฉลาด แต่โง่ก่อนแล้วค่อยฉลาดดีกว่าฉลาดแล้วค่อยมาโง่ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเลือกเป็นอย่างไหน (โง่ก่อนฉลาด) แต่เวลาเราดำเนินชีวิตเรามักจะไม่ยอมโง่ง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ในโลกนี้มีคนรู้ก่อนกับคนรู้หลัง คนรู้ก่อนจะเอาแต่ปิดบังความรู้ไม่ถ่ายทอดความรู้ให้คนเบื้องหลังได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถ้าคนรุ่นก่อนๆ ปิดบังความรู้ไม่ถ่ายทอดความรู้ คนรุ่นต่อมาก็ยากจะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงกว่าลูกเก่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนที่รู้ก่อน มีโอกาสต้องถ่ายทอดความรู้หรือสิ่งที่เรารับรู้ให้คนอื่น ในการถ่ายทอดความรู้ของตนที่มีอยู่ให้ผู้อื่น เป็นการช่วยตรวจสอบความรู้ในตัวเองว่าถูกต้องเท็จจริงเพียงใดด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยไหมที่เราพูดว่าเรารู้แล้วแต่เวลาเราไปสอนเขา กลายเป็นสอนสังฆราชไป ฉะนั้นการรู้ก่อนหรือรู้หลังก็มีส่วนสำคัญ แต่รู้แล้วไม่สอนนั้นยิ่งมีส่วนสำคัญยิ่งขึ้นไปใหญ่ ฉะนั้นเรารู้ก่อนแล้วเราต้องให้ความสำคัญในความรู้ของเรา รีบสอนเขารีบบอกเขา ถ่ายทอดความรู้ที่เรามีอยู่ ตรวจสอบความรู้ที่เรามีอยู่ว่าถูกต้องเพียงใด การเรียนจึงทำให้เรารู้ตนเองว่าด้อยความรู้ การสอนจึงทำให้เรารู้ความยากลำบากของการสอน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่เรารู้ว่าเราด้อยความรู้เราจึงจะได้รู้จักเตือนตนเองเป็น และเมื่อไรที่เรารู้ว่าตัวเราเองพบความยากลำบากเราจึงจะแข็งแรงเป็น นี่เป็นสำนวนปราชญ์ของคนโบราณที่บอกเล่าต่อกันมา แต่บ่อยครั้งเรื่องราวที่บอกต่อกันมา ความรู้ที่สืบต่อกันมามักจะไม่ประจักษ์ได้แค่เพียงเราอ่าน แต่จะประจักษ์ได้เมื่อเราใช้ประสบการณ์ของชีวิตมาพินิจพิจารณาเรื่องที่เรารู้

เคยได้ยินสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ไหมว่า “รบร้อยครั้งก็สามารถชนะร้อยครั้งได้” (เคย) แล้วเราจะชนะร้อยครั้งได้เมื่อเราเป็นอย่างไร (รู้เขารู้เรา) ในโลกนี้เหมือนสนามรบสนามหนึ่ง บางคนมีศัสตราวุธมากมาย บางคนไร้ศัสตราวุธ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีชีวิตเราต้องการจะประหัตประหารใครไหม (ไม่) เราต้องการจะก่อสงครามหรือเปล่า (ไม่ต้องการ) อยู่ในโลกทุกคนต่างหวังความสงบ สันติสุขและความร่มเย็น แล้วทำไมจิตใจเรายากที่จะสงบได้ท่ามกลางภูมิอากาศร่มรื่นสภาพแวดล้อมที่ร่มเย็น ทำไมจิตใจเรายังวุ่นวายเหมือนสนามรบ สนามหนึ่งกันล่ะ เคยถามตนเองไหม เคยออกรบกันบ้างหรือเปล่า ถ้ามีศัตรูก็แปลว่าต้องออกรบใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบอกว่าไม่เคยออกรบก็แสดงว่าอยู่บนโลกเราไม่มีศัตรูหรือคู่อริเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เราอยู่ในโลกนี้ใครตอบได้ว่าเราไม่มีศัตรูเลยแม้สักคนเดียว ไม่มีคู่อริเลย บางครั้งเราบอกว่ามือเราไม่ได้ถืออาวุธ แต่อะไรสามารถเป็นอาวุธได้ (ปาก) มีปากเป็นอาวุธมีร่างกายเป็นเกราะกำบัง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วตามหลักพุทธศาสนาสอนให้เราใช้คุณธรรมเป็นเกราะกำบัง ใช้ความดีเป็นอาวุธป้องกันกายใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกท่านก็นับถือพุทธศาสนาแต่ไม่ได้เอาหลักธรรมไปใช้ให้ถูกต้อง บ่อยครั้งที่เรารู้อย่างหนึ่งแต่เราทำอีกอย่างหนึ่งซ้ำๆ เรื่อยๆ ไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)

เรื่องสงครามดูแล้วเหมือนไม่เกี่ยวกับชีวิต แต่ชีวิตเราก็สร้างสงครามให้กับชีวิตได้เหมือนกัน ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ เวลาเรามีสงครามภายนอก จิตใจเราทุกคนก็อยู่ที่ศัตรูที่มารบราฆ่าฟันเรา แต่เวลาที่ไม่มีสงคราม บ้านเมืองสงบสุข ทำไมเรายังเห็นการเข่นฆ่าประหัตประหารไม่เคยหยุดนิ่ง ก็แปลว่าต้องมีสงครามในเมือง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสงครามในเมืองเกิดจากอะไร (จิตใจ, เกิดจากตัวเราเอง) ท่านลองคิดดูว่าคนคนหนึ่งสามารถก่อสงครามให้กับบ้านเมืองให้กับครอบครัว เพราะเขาขาดคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วที่ทำให้เกิดการขาดคุณธรรมคืออะไร เราลืมความละอายเกรงกลัวต่อบาปไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเพราะอะไรเราจึงลืมความละอายเกรงกลัวต่อบาป เพราะความโลภ โกรธ หลงนั่นเอง ทำให้มนุษย์พร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองปรารถนาและต้องการ พร้อมจะเข่นฆ่าคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ได้ถือมีดถืออาวุธอะไรก็ตาม เป็นเพราะว่าเราลืมและทอดทิ้งคุณธรรมไป มัวสนใจกับอารมณ์ที่เกิดอยู่ในใจ ความต้องการที่เราต้องการสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อมีชีวิตเราอย่าได้ปล่อยไปตามอารมณ์และทอดทิ้งคุณธรรม ไม่เช่นนั้นเรานั่นแหละจะเป็นผู้สร้างสงครามให้กับตัวเอง สร้างสงครามให้กับครอบครัว สร้างสงครามให้กับบ้านเมือง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าเราต้องประสบพบเจอกับคนที่ชอบก่อสงครามเป็นนิจ เราจะทำเช่นไร คนที่ก่อสงครามให้กับตัวเราอย่างแรกก็คือชอบทำให้เราโมโหใช่หรือไม่ หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นคนโลภโมโทสัน หรือไม่ก็เป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ คดโกงใช่หรือไม่ (ใช่) คนประเภทนี้ถ้าเราพบเจอเราจะทำเช่นไร (ให้ธรรมทาน, หลีกเลี่ยง, ให้ความเมตตา) ถ้าเกิดว่าท่านต้องอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แล้วท่านเป็นผู้หนึ่งที่เห็นเขากระทำผิด กระทำไม่ชอบ ถ้าท่านใช้ความเมตตากับเขา ความเมตตานั้นจะสามารถยับยั้งจิตใจเขาได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการจะใช้คุณธรรมใดไปช่วยขัดเกลาขัดล้าง หรือช่วยยับยั้งความชั่วร้ายในสังคม เราต้องรู้จักนำไปใช้ให้เหมาะสม หากเขาโกรธมาท่านใช้คุณธรรมในด้านความเมตตาความกรุณา ก็ถือว่าเหมาะสมใช่หรือไม่ (ใช่) ความเมตตาก็คือเราไม่โกรธตอบ เรากรุณา เราเสียสละ ไม่โกรธแค้น ไม่เจ็บแค้นแม้ว่าสิ่งที่เขาจะทำกับเราไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่ในสังคมนี้ไม่ใช่มีคนประเภทนี้ประเภทเดียว ยังมีทั้งคนไม่ซื่อสัตย์ คนที่เอาแต่ได้ คนที่ไม่ยอมทำงานด้วยตัวเอง ให้คนอื่นทำแล้วตัวเองรับผล ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็เรียนรู้มาว่าต้นไม้นั้นถ้าขึ้นมาต้นหนึ่ง ไม่ให้ดอกไม่ให้ผล แถมชอบทำร้ายผู้อื่น เรามักจะถอนทิ้งกันใช่หรือไม่ (ใช่)

เราก็เรียนรู้เพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งว่าหากเราฆ่าคนไม่ดีคนหนึ่ง ก็ช่วยลดคนไม่ดีในสังคมได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าในทางกลับกัน เราสามารถทำคนไม่ดีคนหนึ่งให้เปลี่ยนแปลงเป็นคนดีได้ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มคนดีในสังคม แต่กว่าเราจะเพิ่มคนดีในสังคม ไม่รู้ว่าคนนั้นไปทำร้ายคนมากี่คนแล้ว ไม่รู้ว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์ที่เรามองเห็นนั้นจะกลับมาทำร้ายเราหรือเปล่า แปลว่าจิตมนุษย์น่ากลัวเช่นนี้ เรายากจะหยั่งรู้ได้ แต่ทุกวันนี้เราต้องเจอคนเช่นนี้ วันนี้แม้ท่านจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่ถ้าวันหนึ่งท่านรับรู้ ท่านต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการรับรู้นี้ท่านจะทำอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวในสังคมปัจจุบันที่ทุกคนจะต้องเจอ เรายากจะทำอะไรกับคนเลวร้าย เรายากจะแก้ไขกับคนที่เต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลงในสังคมใบนี้ เราไม่รู้จะทำเช่นไร แต่ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าหากคุณธรรมสามารถพลิกฟื้นกลับมาสู่จิตใจใครได้ คนๆ นั้นย่อมมีมโนธรรมสำนึก มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่กล้าที่จะทำผิด แล้วเราก็สามารถจะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่สงบสุข คนที่อยู่รอบข้างก็เป็นสุข ปลอดภัย โล่งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้เรากลับทำอะไรไม่ได้ มีคุณธรรมแต่กลับไปช่วยเขาไม่ได้ ไปแก้ไขอะไรเขาไม่ได้ เพราะทุกคนคิดว่าเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ภัยยังอยู่นอกบ้าน เราอยู่ในบ้าน ไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่พอภัยมาหาเรามีไหมจะมาเคาะประตูบอกว่าภัยมาแล้วนะ (ไม่มี) ฉะนั้นตอนนี้เรายังนิ่งนอนใจไม่ได้ เมื่อมีโอกาสรีบเอาธรรมไปส่งเสริม เมื่อมีโอกาสรีบนำธรรมนี้ไปให้เขารับรู้

การพูดด้วยธรรมไม่เท่ากับปฏิบัติด้วยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่เราพูดด้วยธรรม เมื่อนั้นย่อมมีการโต้เถียง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราปฏิบัติด้วยธรรม เมื่อนั้นยากที่จะมีใครโต้เถียงได้ เพราะเราทำเราก็ได้ แล้วเราก็เป็นส่วนที่ช่วยประจักษ์ผลให้เขารับรู้ ฉะนั้นตอนนี้เราอย่านิ่งดูดายในการปฏิบัติธรรม แม้ธรรมเล็กๆ น้อยๆ ทำได้ก็จงรีบทำ ดีหรือไม่ (ดี) แม้ความผิดชั่วร้ายที่ดูเป็นเพียงรูเล็กๆ แต่รูเล็กๆ ก็สามารถล่มเรือที่ยิ่งใหญ่ให้จมลงได้ ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในใจเราแม้จะไม่มีใครรับรู้ แต่ทุกวันก็ทำให้เราเจ็บปวดได้ ถ้ามีใครพูดถึง แตะถึง แม้เขาจะไม่รู้ว่าเราทำ แต่พอใครมาพูดถึงว่าเราเคยโกหก แม้เขาจะพูดโกหก เราก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าได้ละเลยไม่ว่าจะทำดี หรือว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ในการสร้างคุณธรรม จิตใจที่ใฝ่ดีขอให้รักษาไว้ให้ดี อย่าใฝ่ดีเพียงแค่วันเดียว หรือเพียงครั้งเดียวในชีวิต ไม่คุ้มค่าเลย จะใฝ่ดีทั้งทีต้องใฝ่ดีให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าเป็นต้นตรงแต่ปลายคด อย่างนั้นไม่น่าสนใจเลยใช่หรือไม่

ถ้าเจอคนที่ไม่ซื่อสัตย์คดโกง เราจะกระทำเช่นไรดี แล้วถ้าเกิดว่าคนไม่ซื่อสัตย์คดโกง ชอบลักเล็กขโมยน้อยนี้ เป็นประเภทชอบผัดวันประกันพรุ่งด้วย เราจะทำอย่างไรดี พอบอกว่าให้แก้ เราจับได้แล้ว เขาก็บอกว่าวันนี้ขอทำอีกวันหนึ่ง เดือนหนึ่งทำสักครั้งหนึ่งไม่เป็นไรหรอก ได้ไหม (ไม่ได้) หรือไม่ก็บอกว่าปีหนึ่งของแค่ครั้งหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้) ให้อภัยหรือเปล่า (อภัย) แล้วถ้าเกิดว่ามารู้ทีหลังว่าคนที่เป็นเจ้าทุกข์คือตัวท่านเอง จะให้อภัยเขาอีกไหม บ่อยครั้งที่เวลาคนเราทำผิด เรามักจะผัดวันประกันพรุ่งในการที่จะเลิกทำความผิดนั้น พอเราโกหก เราก็บอกว่ายังโกหกไม่เสร็จเลย ขอไปโกหกอีกคนหนึ่งก็พอใจแล้ว ใช่หรือเปล่า หรือไม่ก็บอกว่าเพิ่งขโมยมา เพิ่งหมดไปเอง ขออีกครั้งหนึ่งแล้วจะไม่ขโมยอีกต่อไปแล้ว แล้วถ้าเราให้อภัยเขา เราปล่อยให้เขาแก้ตัวอย่างนี้ แล้วก็ทำเหมือนเดิม แต่คนที่เป็นเจ้าทุกข์คือบ้านเราเอง ตอนนั้นเราคงอยากจะฆ่าเขาทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราเจอคนแบบนี้ เราต้องใช้ความเที่ยงตรงตอบ ถ้าเกิดว่าเขายังทำผิดอีก ก็ต้องมีการขู่สักเล็กน้อย เมื่อถึงคราวขู่แล้วเขาทำผิด ต้องลงโทษให้จริงจัง เพราะถ้าเราแค่ขู่แต่เราไม่ลงโทษจริงจัง ต่อไปเขาก็กล้าทำผิดอีกใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเวลาท่านมีกิเลส มีสิ่งผิด มีความผิดในตัวตนไม่ว่าจะเป็นโลภโกรธหลง โกรธทีก็ให้ฟ้าผ่าสักเปรี้ยงหนึ่งดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เวลาหลงทีหนึ่ง เราก็ให้น้ำท่วมท่านเลย ดีไหม (ไม่ดี) ความหลงทำให้เป็นอย่างไร หน้ามืดตามัวแยกไม่ออกแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาเราเจอคนผิด เราอย่ามองแค่คนอื่น แต่เราต้องมองตัวเราเองด้วย เราตรวจสอบคนอื่นได้ เราก็ต้องตรวจสอบตัวเราเองเป็นด้วยว่าเรามีสิ่งผิดพร้อมจะแก้ไข เรามีสิ่งดีมากน้อยเท่าไหร่ อย่าถนัดในการมองออกแต่ไม่ถนัดในการมองเข้า อย่าเป็นผู้ที่ให้อภัยตนเองได้แต่ให้อภัยคนอื่นไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนมีความยุติธรรมได้หรือเปล่า (ไม่ได้)

คุณธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นมีกล่าวไว้ว่า ๑.ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน ๒.ต้องยุติธรรมต่อกัน ๓.ต้องเห็นอกเห็นใจกัน ๔.ต้องคำนึงถึงส่วนรวมเป็นใหญ่ ส่วนตัวเป็นย่อย หากทุกคนกระทำเช่นนี้ สังคมย่อมสันติสุข แต่หากใครคนใดคนหนึ่งละเมิดสิ่งที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้ความวุ่นวายย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ว่าในใจหรือในสังคมที่เขาไปอยู่

มนุษย์เรานั้นมีชีวิตอยู่ไม่ใช่นึกจะเดินก็เดิน นึกจะหยุดก็หยุด นึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว นึกจะลดก็ลด มันไม่ใช่แบบนี้ คนทุกคนเวลามีชีวิตก็ย่อมมีจุดหมายของชีวิต จุดหมายของบางคนสูง แต่บางคนราบต่ำ บางคนดูผิวเผิน จุดหมายบางครั้งวัดคนได้ คนที่ไม่มีจุดหมายก็เหมือนเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรเลย ฉะนั้นเป็นคนหนึ่งมีชีวิตหนึ่งชีวิต แม้จะยาวไกลหรือสั้น แต่ค่าอยู่ที่ไหน เคยถามไหม (คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่จิตใจและการกระทำ) คุณค่าอะไรของท่านที่ทำให้ท่านคิดว่ามีคุณค่า (คุณธรรมอันเยอะแยะ ไม่เสียชาติที่เกิดเป็นคนรักชาติ รักบิดามารดา รักลูกรักเมีย เข้าวัดเข้าวา ฟังแสดงธรรม ทำสิ่งที่ดีทุกๆ อย่าง,พฤติกรรมที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม) คุณธรรมนั้นบางครั้งดูเหมือนอาจจะไม่มีในการดำรงชีวิตแต่ถ้าเราไม่เห็นแก่ตน เราก็สามารถสร้างคุณค่าในสังคมได้ ชีวิตของมนุษย์นั้น หากเพิกเฉยคุณธรรมสักนิดหนึ่งเราก็สามารถจะไปจับความชั่วร้ายได้ทันที เราขยับตัวนิดหนึ่งหากเราคิดไตร่ตรองพิจารณาว่าถูกต้องไหมว่า นั่นคือการประกอบคุณธรรม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแม้จะมีเพียงเพื่อตนเอง แม้จะทำเพื่อบำรุงร่างกายครอบครัวตนเอง แต่ถ้าหากการบำรุงเลี้ยงชีวิตครอบครัวไม่ได้ไปมุ่งทำร้ายใครก็เป็นการสร้างคุณค่าที่ดีได้เหมือนกัน

คุณค่าของมนุษย์นั้นโดยปกติมีได้หลายระดับ ระดับหนึ่งอาจจะเพื่อตนเอง ระดับหนึ่งอาจจะเพื่อญาติพี่น้องด้วย แต่ระดับที่สูงส่งยิ่งใหญ่นั่นก็คือไม่เลือกนับพี่น้องหรือคนในครอบครัวเลือกได้ทุกๆ คน พร้อมจะกระทำให้ทุกๆ คนไม่เรียกน้องแล้วเราจะเกลียด เรียกน้องเราจะรัก ทำเท่าเทียมกันหมดคือคุณค่าที่สูงส่งของการเป็นคนเมื่อมีชีวิตอยู่ แต่อย่างน้อยก่อนที่เราจะทำให้คนอื่นได้ เราต้องทำให้คนที่เราควรจะทำก่อนเป็นอันดับแรกและไม่ควรทอดทิ้งคือพ่อแม่ บ่อยครั้งที่เราคิดว่าการกระทำของเรานั้นคือความสุขความพอดี แต่บางครั้งเราต้องคิดต้องทบทวนว่าความสุขที่เราได้มา ความสนุกสนานที่เราได้มา จากที่เราไปเที่ยวมานั้นคำนึงถึงคนรอบข้างหรือเปล่า เราเคยลืมคนที่เคยดูแลเอาใจใส่หรือไม่ ครั้งที่เรามีความสุขแต่อยู่บนความทุกข์กังวลของคนชิดใกล้อย่างนั้นเป็นการกระทำไม่ถูกต้อง เป็นการแสดงคุณค่าที่ลืมคุณค่าของคนชิดใกล้ไป

ฉะนั้นเวลาที่เราจะทำอะไรหรือแม้จะไปฉุดช่วยผู้อื่นอย่างไร ก็อย่าได้ลืมคนที่ชิดใกล้ให้ความสำคัญกับเขาก่อน แล้วค่อยออกไปให้ความสำคัญกับคนไกล ไม่เช่นนั้นอยู่กับคนอื่นเป็นคนดีได้ แต่อยู่บ้านตัวเองกลับหาซึ่งความดีความยุติธรรมไม่ได้ อย่าได้ทำเช่นนั้น อย่าได้รักผู้อื่นมากกว่ารักพ่อแม่ของตนเอง อย่าได้มัวเป็นห่วงผู้อื่นจนลืมห่วงพ่อแม่ของตน บ่อยครั้งที่เรามัวแต่หวังผลประโยชน์ข้างหน้าจนลืมคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ บ่อยครั้งไปที่เรามัวแต่มองประโยชน์เฉพาะหน้าจนลืมผลประโยชน์ที่เราจะหาได้ในระยะใกล้ๆ แล้วเราก็มักจะพบกับคำว่าเสียใจภายหลังเป็นนิจศีลใช่ไหม (ใช่) แล้วเราก็มักจะลืมไปว่าคนที่รักเราแท้ๆ จริงๆ แล้วไม่ห่างไปจากสายตาเลย เรามักไปรักคนอื่นคนไกลกว่า ฉะนั้นไม่ว่าเราจะดำรงดีงามเช่นไร เราต้องไม่ลืมคนใกล้เราด้วย (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชี้แนะเรื่องความกตัญญู)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)

อยากได้กันบ้างหรือเปล่า หรือว่าไปซื้อข้างนอกก็ได้ แต่แอปเปิ้ลเราไม่เหมือนแอปเปิ้ลข้างนอก เป็นแอปเปิ้ลที่แลกมาด้วยภูมิปัญญาและความรู้ในคุณธรรม ท่านตอบออกมาได้ครั้งหนึ่งก็แปลว่าท่านคิดได้ในเรื่องปัญญาหรือคุณธรรมที่มีอยู่ในตัว ทำไมบ้างครั้งคำถามที่ดูเหมือนยาก แต่ตอบดูแล้วเหมือนง่ายใช่ไหม (ใช่) แล้วทำไมเขาถึงสามารถหยิบออกมาพูดได้ง่ายๆ แต่ทำไมเราถึงไม่กล้าเอาออกมาพูดได้ง่ายๆ บ้าง เคยถามไหม ผู้บำเพ็ญธรรมเคยรู้สึกไหม บางคนตั้งแต่ประชุมธรรมมา เป็นผู้ปฏิบัติธรรมก็แล้วไม่เคยได้รับผลไม้จากการตอบคำถามเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมเขาถึงสามารถพูดได้ เป็นเพราะเขาพูดเก่งและมีความกล้าใช่หรือเปล่า (ใช่) แม้ตอบถูกตอบผิดก็ไม่เป็นไร บางครั้งเรากล้าทำในสิ่งที่ควรกล้า ต้องควรกล้าด้วยใช่ไหม แม้จะทำผิดไปบ้างถูกไปบ้างคนเขาก็ให้อภัย เพราะการแสดงออกที่ผิดบ้างถูกบ้างเราจะมองเห็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าประเภทกล้าแล้วบ้าบิ่นอย่างนี้อันตรายใช่หรือเปล่า (ใช่) กล้าโดยที่ไม่ดูเลยใช่ไหม ตอนนี้อยู่กับเราลองกล้าขึ้นหน่อยดีหรือไม่ เราถามอะไรก็ตอบดีไหม (ดี) แปลว่านับจากนี้ไปเราถามอะไรก็ตอบให้ได้

วันนี้มาฟังการบำเพ็ญธรรมมีข้อดีเช่นไร การบำเพ็ญธรรมก็คือการขัดเกลาตนเองแล้วพยายามประกอบแต่สิ่งที่ดี สิ่งใดที่เป็นข้อผิดพลาดในตัวเราต้องแก้ใช่หรือเปล่า แล้วการบำเพ็ญธรรมดีอย่างไรต่อชีวิตบ้าง บำเพ็ญแล้วเป็นอย่างไร ถึงแม้จะยังไม่ไปลองบำเพ็ญมา แต่ถ้าบำเพ็ญแล้วจะเป็นเช่นไร (เราจะได้ความสบายใจ, สามารถดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง) แปลว่าทุกคนคาดหวังว่าเมื่อบำเพ็ญธรรมแล้วผลที่ได้ย่อมดี แต่มีหลายครั้งที่เราทำดี แม้จะยังไม่เรียกว่าบำเพ็ญธรรมแต่เรามักจะได้ยินอะไรกลับมาบ้าง มักจะได้ยินทั้งดีและไม่ดีตามมาด้วย หรือไม่ก็นินทาเรา แล้วถ้าเกิดเขานินทา เขาว่าเราแล้ว หรือผลกลับมาไม่ดีอย่างที่คาดคิดแล้ว ท่านจะเลิกบำเพ็ญดีไหม (ไม่ดี)

เราจะพูดธรรมะข้อหนึ่งให้ท่านคิด ถ้ามีคนๆ หนึ่งบ่นว่าเขาจะทำดีก็ต่อเมื่อคนให้โอกาส ให้เวลา คนเห็นคุณค่า เขาถึงจะทำดี เขาจึงจะมีใจคิดทำดี แล้วอีกคนหนึ่งก็บ่นอีกว่าเขาจะมีคุณค่าหรือเขาจะเห็นคุณค่าของการทำดีนั้นก็ต่อเมื่อการทำดีนั้นต้องมีสิ่งที่ดีให้เขาเห็น ไม่อย่างนั้นเขาไม่ทำ แปลว่าเขาเอาความดีที่เขารับรู้หรือเอาคุณค่าของความดีของเขาที่สามารถแสดงออกได้ ไปวัดไปผูกไปยึดกับวาจาคน ไปยึดกับโอกาสที่คนอื่นสร้างให้ เช่นนั้นเป็นการกระทำที่ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) แปลว่าเราจะทำดีปฏิบัติดีก็ต่อเมื่อใจเราคิดสร้างดีเอง ไม่ใช่เพราะวาจาใคร ไม่ใช่เพราะความคิดใคร แต่เพราะกลั่นกรองออกมาจากปัญญาความรู้ความสามารถที่เราได้ฝึกฝนที่เราได้เรียนรู้ และถึงโอกาสเหมาะสมที่เราพร้อมจะกระทำ ฉะนั้นเวลาเราทำดีแล้วไม่ได้ดีเราอย่าได้กังวล เพราะการกระทำดีของเรานั้นไม่ได้ไปผูก ไปแขวนกับวาจาใคร

พระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าเวลาทำดีก็มีทั้งฝ่ายหนึ่งที่เห็นด้วยและอีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย ถึงขนาดลอบฆ่าท่าน แปลว่าการกระทำดีของคนเราก็เหมือนการสร้างงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ย่อมเป็นธรรมดาที่มีคนบอกว่าชอบและชัง แต่ขอให้คนที่บอกว่าชอบคือคนดี และคนที่บอกว่าชังคือคนไม่ดี อย่าให้คนที่บอกว่าชอบในการกระทำของเราเป็นคนไม่ดีของสังคม อย่างนั้นแปลว่าการกระทำของเราไม่ค่อยถูกต้อง บ่อยครั้งในสังคมเราจะประกอบไปด้วยคนสองประเภท ประเภทหนึ่งคือ อดริษยาไม่ได้ ตามธรรมดาของมนุษย์เวลาเห็นใครดีแล้วอดอิจฉาไม่ได้ ถ้าคนอิจฉาตัดสินว่าเราไม่ดี ไม่เป็นไร เราไม่ต้องย่อท้อ แต่ว่าถ้าคนที่ไม่อิจฉา เป็นคนมีเมตตาเหมือนกับเรา แต่เขาว่าเราทำไม่ดีทำไม่ถูก เราก็ต้องตรวจสอบและแก้ไข ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้เวลาเราจะตัดสินใจทำอะไรอย่าได้มองแต่ผลด้านเดียว แต่ต้องมองผลให้รอบๆ ด้าน แล้วเราจึงจะสามารถดำเนินรอยทางในการบำเพ็ญไปได้ตลอดรอดฝั่ง ขอเพียงมีจุดหมายแม้ฟ้ายังยอมแพ้ แต่ถ้าคนนั้นบำเพ็ญอย่างไร้จุดหมายไม่มีแม้แต่ปณิธาน ท่านก็ต้องพ่ายแพ้ต่อฟ้า คนอื่นท่านก็ยากจะเอาชนะได้ คนที่มีจุดหมายในการดำเนินชีวิต มีความกล้าหาญในการตัดสินใจ มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้ฟ้ายังต้องยอมแพ้เลย แต่ถ้าคนนั้นเป็นคนหวาดกลัว จะทำอะไรก็ไม่กล้า แม้ฟ้าเขาก็ยากที่จะเอาชนะได้ แม้คนด้วยกันเองเขาก็ยากที่จะสู้ได้

เราบอกวิธีการสู้รบทั้งต่อคุณธรรมในตัวเอง และคุณธรรมที่จะเอาออกไปข้างนอก คงสามารถมีชีวิตและบำเพ็ญธรรมได้อย่างมีความสุข แต่บ่อยครั้งกลับมีน้ำตามาหาเราเพราะอะไรกัน บ่อยครั้งที่ท่านมาคุกเข่าภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บอกว่าขอสุขเยอะหน่อยทุกข์น้อยหน่อย บางครั้งหวังดีหน่อยบอกว่าฉันไม่เอาก็ได้แต่ให้ลูกหลานฉัน อย่างนี้ไม่เรียกเป็นการฝืนธรรมชาติหรือ ทำไมเราจึงเรียกว่าเป็นการฝืนธรรมชาติ ในการขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าขอสุขเยอะหน่อยขอทุกข์น้อยหน่อย แต่ผลที่ได้เวลาเราขอกลับมาได้สุขไหม (ไม่ได้) เวลาอยู่ในวัดก็ยังรู้สึกสุขใจ แต่พอออกไปก็เริ่มตุ๊มๆ ต่อมๆ แล้วผลกลับเป็นอย่างไร ทุกข์กว่าอีกใช่หรือไม่ (ใช่) แถมเพิ่มกิเลสมาอีกอย่างหนึ่งคือต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่เห็นได้อะไรเลย บนก็แล้วถวายโน่นก็แล้วถวายนี่ก็แล้ว เราขอความสุขต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไปเอาความทุกข์ยากของคนอื่นมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเอาคราบน้ำตาขอคนอื่นมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่าเอาหมูเห็ดเป็ดไก่มาไหว้อีกดีหรือเปล่า (ดี) จะขอสุขจากคนอื่นแต่ไปเบียดเบียนทุกข์เขาเมื่อกี้นี้เองจะได้สุขไหม (ไม่ได้) แล้วจะขอสุขให้ตัวเองแต่ตัวเองยังไม่รู้จักคำว่าสุขเลย ตัวเองยังลืมทุกข์ไม่ลงเลยแล้วจะสุขได้ไหม แล้วอย่างนี้ไม่เท่ากับฝืนความรู้สึกตนเองหรือ แล้วตอนนี้ท่านจะบอกว่ามีทุกข์มากเหลือเกิน ต่อไปขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้มีสุขเยอะๆ แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่า เสกมาให้แล้วเป็นสิบรอบยี่สิบรอบแล้ว ท่านก็ยังร้องไห้เหมือนเดิม อย่างนี้จะโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะตอนเสกให้ก็ไม่รู้ว่าเสกให้ มัวคิดถึงคำว่าทุกข์ไม่ยอมเปิดใจรองรับความสุขสักทีใช่ไหม (ใช่)

ในโลกนี้ธรรมชาติที่เรารู้กันมีขึ้นก็มีลง มีสูงก็มีต่ำ มีได้ก็มีเสีย มีทุกข์ก็มีสุข แล้วอย่างนี้เข้าใจหรือยังว่าฝืนธรรมชาติเป็นอย่างไร จะหวังด้านหนึ่งแต่ไม่รับอีกด้านหนึ่งได้หรือไม่ จะหวังแต่สว่างไม่พบความมืดได้หรือเปล่า (ไม่ได้) คำว่าฝืนธรรมชาติก็คือเราเลือกที่จะรับอย่างเดียว แต่อีกด้านหนึ่งเราไม่ยอมรับ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นไปไม่ได้ แล้วตัวเราเองบ่อยครั้งไปที่วันนี้ดี พรุ่งนี้ไม่ดีใช่ไหม (ใช่) แล้วใครล่ะที่ทำให้เราดีและสุขได้ (ตัวเราเอง) ถ้าตอนนี้ใจท่านไม่ยินดีปรีดา แม้เขาจะร้องเพลงเต้นรำให้ท่านเห็น ท่านจะยิ้มออกไหม (ไม่ออก) ฉะนั้นความทุกข์แม้เราจะรู้วิธีแก้ แต่ถ้าตัวเราไม่เป็นคนแก้ออกจากใจ ใครจะช่วยให้เราคลายทุกข์ได้ จะทุกข์หรือจะสุขขึ้นอยู่ที่ตัวเรา หยิบขึ้นมาได้ทำไมปล่อยกันไม่ลง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ความทุกข์ก็เหมือนกับการกำมือและแบมือ ตอนนี้ทุกข์ก็เหมือนกำมือไว้แน่นๆ ค่อยๆ ปล่อยออกมาทีละนิ้วๆ ก็ได้นี่ หรือถ้าตัดใจได้ทีเดียวก็ปล่อยทันทีก็ได้นี่ ต้องรู้จักปลงเป็นวางเป็น อยู่ในโลกนี้อย่ารู้จักคำว่า “ได้” เป็นเพียงอย่างเดียว ต้องรู้จักคำว่า “เสีย” เป็นด้วยถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้เป็น แล้วอย่าเป็นผู้ที่รับได้ด้านเดียว อีกด้านรับไม่ได้ไม่อย่างนั้นท่านก็เป็นผู้สร้างความทุกข์ให้ตนเองเปล่าๆ ต่อไปคงไม่เห็นใครทุกข์อีกแล้วนะ คงเริ่มที่จะปล่อยเป็นแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)

เรารู้ว่าโลกนี้เมื่อขึ้นชื่อว่าคนหรือมนุษย์ต้องมีคำว่าทุกข์ตามมาทุกผู้ทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วคำว่าสุขนั้นไม่มีในโลกนี้หรอก มีแค่เพียงทุกข์มากทุกข์น้อยเท่านั้นเอง สุขที่เราพบนั้นก็คือความทุกข์ที่มีน้อยต่างหาก แต่เราจะทำอย่างไรให้เราพบคำว่าสุขได้หลังจากมีทุกข์ หากเราฝึกได้เมื่อไรเราก็เป็นสุขได้ก่อนคนแรก แล้วคราวนี้ก็คงไม่ต้องมาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็ยังเห็นอยู่ร่ำไป ถ้าอย่างนั้นจะขอเราช่วยแนะให้ว่าจะขออะไรดีไหม (ศีล สมาธิ ปัญญา, ขออธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอให้มีสติและมีสมาธิและมีปัญญาสามารถพาตนให้พ้นจากทุกข์ถึงพระนิพพานโดยเร็ว) หากเราจะแนะให้ทุกท่านในการดำเนินชีวิต ขอให้มีอดทนความกล้าหาญในการที่จะต่อสู้ความทุกข์ยาก เป็นการขอที่ดีไหม เพราะโลกใบนี้บ่อยครั้งเรามีสติมีปัญญาแต่ขาดซึ่งความอดทนกล้าหาญ เราเจอทุกข์ทนไม่ได้รับไม่ไหว ฉะนั้นต่อไปหากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ตนเองมีความอดทนกล้าหาญและพร้อมที่จะรับได้ทุกสภาพของชีวิตย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ พร้อมแล้วต้องรับให้ทัน เพราะบ่อยครั้งทุกข์มาโดยไม่รู้ตัวเลย สุขไปไม่เคยรู้เวลา ฉะนั้นต้องรับให้ดี

“ใช้ธรรมชาติสอนชีวิตคนงามได้” มีใครเข้าใจความหมายนี้ไหม เราชอบวรรคนี้มากที่สุด และเราอยากให้ท่านเข้าใจวรรคนี้ คำว่าใช้ธรรมชาติสอนชีวิตแล้วทำให้คนงามได้ หากเราพาเด็กมาคนหนึ่งหรือตัวเราเองก็ได้ไปอยู่ในธรรมชาติเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าสงบร่มเย็นใช่หรือไม่ แต่ถ้าไปอยู่ในสังคมในเวลาเดียวกันรู้สึกเป็นอย่างไร วุ่นวายแก่งแย่งแข่งขันชิงดีกันใช่หรือไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถย้ายธรรมชาติมาอยู่ในสังคมนี้ได้ (เอาความเมตตามาใส่ใจซึ่งกันและกัน, ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เบื้องบนได้สร้างสรรค์ไว้และเป็นสัจธรรมที่ทุกคนนำมาปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดความสุขในสังคม) เรายังถามต่อไปว่าเราจะทำอย่างไรให้ธรรมชาติอยู่ในสังคม ปัจจุบันนี้เรายากจะมีชีวิตอยู่แต่ในธรรมชาติ อยู่ในภูเขา อยู่ในลำธารใสได้ใช่ไหม เราต้องมีชีวิตค่อนชีวิตที่อยู่กับสังคมและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เราจะทำอย่างไรถึงจะเอาความสงบนี้ย้ายเข้าไปอยู่ในสังคม (เราต้องทำจิตใจของเราให้สบาย, เราจะได้ธรรมชาติที่ดีเราต้องปฏิบัติบำเพ็ญ ขัดเกลาจิตตัวเองให้มีคุณธรรมและก็มีเมตตาซึ่งกันและกัน, ทำจิตใจให้สว่างและสงบ ละกิเลส ละโลภโกรธหลง, เราต้องเปิดใจรับธรรมชาติ) เปิดใจรับธรรมชาติเข้ามาสู่จิตตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราอยากได้ความสงบแต่กลับมาจากธรรมชาติแล้วไม่มีความสงบติดมาด้วย พอมาอยู่ในสังคมความสงบหายไปหมดแล้ว จึงต้องเปิดรับและเอาไปให้ได้ (ถ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์เราก็จะสามารถยอมรับความเป็นธรรมชาติได้) แต่ธรรมธรรมชาตินั้นมีนัยหนึ่งทำให้เราได้รู้ ถึงธรรมชาตินั้นเป็นกลางแล้วท่านอื่นละ (รู้จักปล่อยวาง เพราะในธรรมชาติไม่มีอะไรให้เรายึดหนี่ยวรั้งว่าเป็นของเรา ถ้าเราปล่อยวางได้เราก็จะอยู่ได้เหมือนในธรรมชาติ) ในธรรมชาติมีจุดหลักหนึ่งที่เราสามารถจะปฏิบัติได้ นั่นก็คือในธรรมชาติไม่ว่าคนประเภทใดธรรมชาติก็รับได้ แต่ว่าการเป็นธรรมชาติหรือการที่จะมีจิตใจสงบและรองรับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างธรรมชาตินั้นก็คือจิตใจที่รับได้ทุกสภาวะ เพราะว่าธรรมชาตินั้นคนจะบ่นคนจะเหยียบคนจะด่าทอ ธรรมชาติก็ยังนิ่งเฉยไม่ว่าคนจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ธรรมชาติก็ไม่เคยมานั่งบอกว่าอย่าเปลี่ยนนะถ้าเปลี่ยนแล้วจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่เคยพูดอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) อีกอันหนึ่งธรรมชาติทำให้เรารู้ความไร้ซึ่งตัวตน เพราะธรรมชาติไม่มีตัวตนจึงไม่ต้องกังวลว่าผลจะเป็นอย่างไร แล้วจะทำอย่างไร เขาจะทำอย่างไร การที่ไม่มีตัวตนทำให้เราไม่มีที่ให้ทุกข์จับ ไม่มีที่ให้กิเลสเกาะ ไม่มีที่ให้คนว่าใช่หรือไม่ ถ้าเราสามารถเอาจิตใจของธรรมชาติมาได้สักส่วนหนึ่ง เราก็สามารถเป็นสุขหรือหาความสงบได้ในตัวเอง

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลงสายธารแห่งชีวิต) ได้อะไรในเพลงกันบ้างหรือไม่ หยกฤๅหินอยู่ที่เราเลือกเดิน เข้าใจความหมายโดยนัยในประโยคนี้ไหม (คือเลือกเดินในทางที่ไม่ดีหรือทางที่ดี, เลือกเดินในทางที่มีค่าหรือไม่มีค่าก็แล้วแต่ตัวเอง) แล้วทางไหนมีค่า ทางไหนที่ดี ทางหยกหรือทางหิน หยกจะมีค่าและค่าสูงยิ่งนั้นต้องเป็นอย่างไร (ต้องไปในทางที่ถูกต้อง, ต้องขัดเกลา, หยกจะมีค่าก็ต่อเมื่อคนที่รู้ค่าของมันนำไปใช้) หยกจะมีค่าก็ต่อเมื่อคนนั้นเห็นค่าด้วยใช่หรือไม่ หยกก็คือหิน หินก็คือหยก แล้วหยกมีสีต่างจากหิน กว่าจะเป็นหยกที่มีคุณค่าสูงต้องถูกเจียระไน แปลว่าคนเราเลือกทางถูกแล้วจะไปได้สูงยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อยอมผ่านร้อนผ่านหนาวได้ ค่าถึงจะประจักษ์ชัดยิ่งขึ้น

ทำไมเราถึงบอกว่า “บำเพ็ญยาวอย่าบำเพ็ญสูงต้องพ่าย” โดยปกติคนยิ่งมีค่าสูงยิ่งมีคุณค่า เคยได้ยินไหมว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งสูงก็ยิ่งโดดเดี่ยว แล้วสูงมากเท่าไหร่คนก็ยิ่งอิจฉาแล้วก็ตกต่ำได้ไวมาก หากเดินทางเรียบกับเดินทางสูง หากมีปณิธานที่เรียบง่ายกับมีปณิธานที่สูง เราก็ต้องเลือกปณิธานที่สูง แต่ถ้าเกิดบำเพ็ญยาวกับบำเพ็ญสูง เราขอเลือกให้ท่านบำเพ็ญยาวดีกว่า ฉะนั้นตรงนี้คงเข้าใจความหมายของคำว่าสูงนะ

บ่อยครั้งมนุษย์เรามักจะฆ่าธรรมชาติของตัวเองเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศและเงินทอง ทำไมเราถึงบอกว่าฆ่าธรรมชาติของตนเอง บางครั้งเราต้องการให้คนๆ หนึ่งรักเรา เราต้องการให้ของสิ่งหนึ่งเป็นของเรา เรายอมทำร้ายร่างกายตนเอง ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งคนที่เรารัก แต่เงินทองและสิ่งที่เขารัก เขารักที่ตัวเรา รักที่ธรรมชาติของเรา หรือรักที่เราตกแต่งแล้วกันล่ะ ก็กลายเป็นรักที่ตกแต่งใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราอยู่ในโลกนี้ เราจะกระทำสิ่งใดก็ตามต้องไม่ลืมความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของตนเอง อย่าปล่อยให้ชีวิตเรามีลาภยศชื่อเสียงแต่ยอมทำร้ายดวงจิตดวงใจของตนเอง ยอมทำร้ายความบริสุทธิ์งดงามของตนเอง เช่นนี้เป็นการทำที่ไม่ถูกต้อง หากต้นไม้ต้นหนึ่งอยากให้คนอื่นเห็นคุณค่า อยากมีราคาสูงส่ง ยอมตัดชีวิตของตนเองจากรากที่ฝังอยู่บนดิน เป็นต้นไม้ที่แกะสลักแล้วฝังมุกฝังเพชร ถ้าให้เลือกสองอย่างนี้ท่านอยากเลือกต้นไม้หรือเก้าอี้ที่ฝังมุกฝังเพชรอยู่กันล่ะ (ต้นไม้) คงต้องเลือกต้นไม้ที่มีชีวิตอิสระ ท่านเคยอ่านนิทานโบราณเรื่องหนึ่งไหม ว่าระหว่างเป็นเต่าให้คนกราบไหว้กับเป็นเต่าที่ว่ายอยู่ในแม่น้ำโคลนตม เราอยากเป็นเต่าแบบไหนกัน (เป็นเต่าที่อยู่ในโคลนตม) ถ้าเรามองในทางธรรมะการเป็นเต่าให้คนกราบไหว้กับการเป็นเต่าในโคลนตม เรายอมเป็นเต่าในโคลนตมกันหรือ ถ้าคิดในทางธรรมะเราย่อมอยากเป็นเต่าให้คนกราบไหว้ คือยอมสละชีวิตตนเองเพื่อรักษาซึ่งคุณธรรม แต่ถ้าเรามองทางโลกเราต้องอย่าทำเช่นนี้ นั่นก็คืออย่ายอมสูญเสียชีวิตตนเองเพียงเพื่อลาภยศสักการะ นี่คือการตีความหมายให้ถูก มองให้ออกในแง่ทางโลก และมองให้ออกในแง่ทางธรรม ไม่ใช่เราบอกว่ายอมตัดต้นไม้ เรายอมเป็นเต่าเวียนว่ายอยู่ในโคลนตม อย่างนั้นก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) หากคิดจะบำเพ็ญธรรม แม้จะเสียชีวิตแต่รักษาได้ซึ่งคุณธรรมความดี ทำไมไม่เอากันล่ะ ทำไมอยากเป็นเต่าในโคลนตมกันอีก ขอให้คิดให้ดี แม้จะมีอิสระแต่ถูกเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น กับการทิ้งชื่อไว้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้จะสูญเสียชีวิตๆ หนึ่งก็กลับไปมีความสุขได้โดยไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ใครอยากมีชีวิตต่อไปอย่างที่เวียนไม่รู้จบบ้าง แค่นี้สุขพอหรือยัง ถ้ายังไม่พอรับรองต้องเวียนต่อ

คนที่ยังมีอายุน้อย เวลากระทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ อย่าได้ก้าวทางผิด คนอายุน้อยตอนนี้เขายังมีโอกาสก้าวเดิน แต่เราก็อย่าลืมว่าการก้าวเดินแต่ละก้าวนั้นต้องมีค่ามีความหมาย แม้วันนี้จะไม่มีลมหายใจเราก็หลับสบายใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนคนอายุมากแล้ว ก้าวต่อไปคงไม่ไหวแล้ว แม้จะไม่ไหวแต่ถ้านับจากนี้ไปรู้จักคิดในสิ่งที่ดี รู้จักสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดี ลมหายใจนี้ก็ยังมีค่า ดับไปก็ปลอดภัยแล้วก็สบายใจ อย่าได้ดูเบาตนเองว่าอายุมากแล้วสร้างคุณค่าไม่ได้ หากอายุมากแล้วรู้จักพูดดี คิดดี แล้วก็ไปทำแต่สิ่งที่ดี เขาก็หลับได้อย่างสงบ ใครๆ ก็หวังให้บั้นปลายชีวิตคือความสงบและคือการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีใครรู้ได้ว่าเวียนไปแล้วจะได้เกิดมาเป็นคนหรือเปล่า เวียนไปแล้วเราจะไปรับผลในนรกหรือไม่ ฉะนั้นตอนนี้มีลมหายใจอยู่ มีคุณค่าได้ก็รีบสร้างคุณค่าที่ดี หมดลมหายใจจะได้เบาจะได้สบาย หากเราเป็นแบบอย่างที่ดีเขาย่อมทำตาม แต่หากเราเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี เขาย่อมไม่คิดจะเดินตาม ขอให้มีเวลาให้โอกาสตนเองในการสร้างสิ่งที่ดี มีโอกาสขอให้หมั่นขัดเกลาแก้ไขตนเอง ยอมรับตนเองบ้างว่าบางครั้งตนเองก็เป็นทั้งดีและไม่ดีได้

วันนี้เรามาเป็นเรื่องธรรมดาของโลกมนุษย์ที่มีพบก็ต้องมีการจากกัน เราหลีกหนีกันไม่ได้ แต่ตอนพบกัน ขอให้พบกันและพูดกัน และผูกสัมพันธ์กันแต่สิ่งที่ดี เวลาจากกันก็ไม่ต้องเหลืออะไรให้เป็นห่วงอีก ฉะนั้นขอให้สร้างแต่สิ่งที่ดี เวลาเราจากโลกใบนี้ไป เราจะได้ไม่ต้องกังวล เราไม่ต้องกลัวว่าเราจะไปยืนอยู่บนหุบเหวแห่งนรกหรือเปล่า เราดีใจด้วยที่คนทางใต้นี้เป็นคนที่ใฝ่คุณธรรม ขอให้รักษาจิตใจในการใฝ่คุณธรรมนี้ไปตลอด แล้วเราก็จะได้ไปเจอกันข้างบน อย่าเจอกันบนโลกนี้เลย เจอกันบนโลกนี้ก็มีแต่ทุกข์แล้วก็ทุกข์ เจอบนสวรรค์เจอบนแดนนิพพานที่เป็นแดนที่สงบที่สุด ทุกคนเคยไปมาแล้ว แต่ไปแล้วก็ลืมแล้ว มัวแต่หลงอยู่กับความสุขที่อยู่บนคิ้ว นั่นก็คือความสุขที่ลวงหลอกตาเท่านั้นเอง ตั้งใจอะไรไว้อย่าได้ยอมแพ้ หากเราไม่ยอมแพ้ในจุดมุ่งหมายในการกระทำ เรานั่นแหละจะเป็นผู้ที่เอาชนะฟ้าได้ แต่ถ้าเรายอมแพ้ไม่มีความตั้งใจ ฟ้านั่นแหละจะเอาชนะเราได้ อยากเป็นผู้ชนะฟ้าได้ต้องเป็นคนที่ตั้งใจแล้วเด็ดเดี่ยว และมั่นใจในสิ่งที่ตนเองกระทำ แล้วการกระทำนั้นก็จะสามารถสะเทือนได้ทั้งฟ้าและสะเทือนได้ทั้งจิตใจของคน วันนี้คงต้องไปแล้วล่ะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ลมกระพือมาก่อนสายฝนหลั่ง ศิษย์ข้าฟังธรรมะแล้วตั้งใจไหม

วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ฝ่าไป ทางกว้างใหญ่แม้อุปสรรคมากอย่าท้อเลย

เราคือ

จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

ใจงดงามตามวิสัยแห่งพุทธะ ผู้ลดละเลิกเด็ดขาดไม่ถวิลหา

แม้ว่ายากเพียงศิษย์เราสู้ยิบตา ไม่กล้วว่าจะพ่ายถ้ายังไม่เริ่ม

ไม่เปรียบเทียบเขาหรือเราให้ยุ่งจิต ไม่คอยคิดแบ่งแยกกันอย่างฮึกเหิม

เอาเมตตาชโลมจิตญาณดวงเดิม ปัญญาเพิ่มฝ่าพ้นภัยที่รอบกาย

ความอดทนคนรู้ใช้ได้ประโยชน์ มิควรโทษผู้อื่นจนชีพสลาย

ย้อนมองตนในลำบากพบสบาย สู้ยุคปลายใจต้องเริ่มเพิ่มความดี

อาจารย์นี้ห่วงใยในศิษย์รัก จงรู้จักตนเองให้ถ้วนถี่

วันเวลาไม่เคยจะรอรี ให้ศิษย์มีความพร้อมจึงจากจร

ทองคำผ่านการหล่อหลอมนับนานปี ขอศิษย์นี้เอาความผิดเป็นครูสอน

ไม่ท้อถอยแม้น้ำตามาตัดทอน ทุกขั้นตอนเป็นพุทธาต้องระวัง

สุดท้ายนี้มีคำฝากถึงศิษย์รัก รู้ผ่อนหนักให้เป็นเบาเปิดใจกว้าง

ธรรมชาติคือธรรมะคือหนทาง มาว่างว่างไปว่างว่างดีไหมเอย

ฮา ฮา หยุด



หมื่นพันคำเตือนใจไร้ความหมายใดใด ถ้าหากใจยังคงไม่ฟังเหมือนดังเดิม อาจมีทุกข์นับไม่ถ้วน คอยเติมจิตดวงเดิมหม่นหมองหมองหม่น รับน้ำใจแลรับฟัง

หนึ่งราตรีมีเพียงมืดมนไม่เรืองรอง หากลำพองเพราะเจนหนทางย่อมมีภัย อาจมีเท็จแท้ยากแยกมาลวงใจ อยู่ที่ใครจะมิประมาท หลอมแล้วใจจึงมีความตรง

* ถูกหล่อหลอม น้อมใจไม่เคยขื่นขมใจยังเป็นกลาง ถูกหล่อหลอมน้อมใจไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นความทุกข์ใจ ไม่อ่อนล้าเพราะรู้แล้วว่า วันพรุ่งนี้ช่างมีคุณค่า ถึงเจออุปสรรคไม่ยอมท้อและจากลา

ถูกเวลาถอยลงทุกวันไม่คอยคน ใช่ว่าตนทุกข์ทนมากมายและลำพัง โปรดได้มองวันนี้ทุกคนกลืนกล้ำ ฉุดให้ใจตนนี้ถึงฝั่ง และไม่ลืมช่วยผองเวไนย (ซ้ำ *)

เพลง : หล่อหลอมน้อมใจให้เป็นกลาง

ทำนองเพลง : สุดท้ายด้วยรัก






พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



(พระอาจารย์เมตตากับแม่ครัว)

คนเรามีทุกข์ มีใครพยายามจะดับทุกข์บ้าง ตอนนี้บำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะ แล้วบำเพ็ญเสียเวลาหรือเปล่า เพราะว่ายังไม่ได้ทำคุณค่าที่แท้จริง เวลาไม่เคยคอยใคร มีความผิดก็ควรแก้ ถ้ามีถูกก็ควรดีใจ อาจารย์มาถึงห้องครัว ขอข้าวสารสักสองถ้วยซิ

การจะทำอะไรต้องเข้าไปทำจริงๆ ต้องรู้จริงๆ อาจารย์เคยพูดไว้อาทิตย์ก่อน เวลาข้าวในถ้วยพูนเป็นของเกิน อีกถ้วยเป็นของขาด ทุกวันลงแรงแต่เหมือนขาดๆ เกินๆ ที่ขาดนั้นขาดเมตตา เวลาช่วยคนอื่นเต็มใจจริงใจหรือเปล่า บางทีคิดดีบางทีคิดไม่ดี แล้วพุทธะเอาคนที่ดีบ้างไม่ดีบ้างอย่างนี้ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม แล้วบางคนเกิน เกินอะไร เกินอารมณ์ บางทีร้ายบางทีดี คนทำไม่ถูกใจไม่ได้ ฉะนั้นควรทำอย่างไร ควรทำให้เรียบใช่หรือเปล่า ทำใจให้เรียบต้องลงแรงที่ใจ บำเพ็ญใจเราให้ราบเรียบ ที่ยังไม่เต็มก็หากุศลมาเติมด้วย ทุกวันทำกุศล แต่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงใจหรือเปล่า การเกลี่ยไมใช่ใช้เวลาน้อยๆ อาจารย์หวังให้ศิษย์เป็นเหมือนข้าวที่ทั้งเรียบทั้งขาว อายุเยอะแล้วตอนนี้สนใจอะไร อาจารย์ให้สนใจแค่สัจธรรม สนแต่ตัวเองหรือเปล่า แล้วสนใจคนอื่น สนไปสนมากลายเป็นอะไร (นินทา) มองคนนี้ก็ไม่ดี คนนั้นก็ไม่ดี ศิษย์อาจารย์ไม่ดีเลยสักคนใช่ไหม ที่จริงแล้วศิษย์อาจารย์ดีไหม ศิษย์อาจารย์ก็ดีทุกคน อยู่ด้วยกันอย่างดีไม่มีแยกชัดเจน เพราะเราแยกเราก็จะไม่ดีเอง อยู่สถานธรรมทำตัวให้เป็นพุทธะ กลับไปบ้านเป็นอะไร ก็ยังต้องเป็นพุทธะ ไม่ใช่กลับไปเขางอกสองข้าง เขี้ยวงอกสองข้าง ตอนนี้ปาดใจตนเองให้เรียบดีไหม กินเจคือกินให้บริสุทธิ์สะอาด เวลากินไม่สะอาดก็รู้สึกผิดใช่หรือไม่ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็ต้องบำเพ็ญให้ดี ไม่ให้เปล่าประโยชน์ ศิษย์ทำไม่ทำศิษย์รู้ดี

คนที่ใจไม่ดีผ่านเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันได้ไหม (ไม่ได้) แล้วกลับมาเวียนว่ายตายเกิดทุกข์แล้วทุกข์อีกหรือเปล่า ฉะนั้นทำอะไรให้จริงจัง ทำให้ดีที่สุด แล้วอย่าเห็นว่าข้าวสองชามนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ ที่จริงใจเราศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ตัวเราเตือนตัวเองดีที่สุด แล้วคนอื่นเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ถ้าเตือนเรา เราฟังไหม น่าฟังไหม ถ้าคนอื่นไม่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ฟังธรรมแล้ว ปฏิบัติด้วย ไม่อย่างนั้นก็เสียแรงเปล่าที่ฟัง

(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนในชั้น)

ตอนนี้ศึกษามาเป็นวันที่สองแล้วเข้าใจมากขึ้นหรือน้อยลง (มากขึ้น) แล้วจะให้เวลากับการปฏิบัติมากขึ้นหรือน้อยลง (มากขึ้น) เวลาแห่งการปฏิบัติมีมากมายเท่าไร (น้อย) เวลาของการศึกษามีกี่วัน (สองวัน) เวลาของการปฏิบัติมีกี่วัน (ชั่วชีวิต) เรานั้นมีเวลาปฏิบัติได้ตลอดชีวิตใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาปฏิบัติของเรายาวไหม (ยาว) เมื่อเวลาปฏิบัติของเรายาวเราจะเผลอไหม (ไม่เผลอ) เป็นธรรมดาที่เวลาทำอะไรนานๆ ก็จะขี้เกียจ แต่ถามเวลาเราขี้เกียจบ่อยไหม (ไม่บ่อย) ถ้าขี้เกียจบ่อยๆ ก็กลายเป็นคนขี้เกียจ ถ้าขยันบ่อยๆ ก็กลายเป็นคนขยัน แล้วเราจะขยันทำอะไรล่ะ (บำเพ็ญธรรม, ทำตัวเป็นคนดี, ปฏิบัติ)

ก้าวสูงกับก้าวนานต่างกันอย่างไร เวลาที่เราทำความดีหมายถึงเราก้าวธรรมดา ส่วนคนที่ไม่ทำความดีเลยเปรียบเสมือนคนไม่ก้าว เวลาที่เราทำความดีแล้วรู้จักบำเพ็ญเปรียบเสมือนคนก้าวสูงเพราะอะไร เพราะเราคิดแต่ว่าเราบำเพ็ญ แต่ในที่สุดแล้วคำว่าบำเพ็ญเป็นอุปสรรคทำให้เราบำเพ็ญไม่ยอมดี กลายเป็นคนที่ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเลอะเทอะ เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าก้าวนานดีกว่าก้าวสูง เพราะการที่เราก้าวนานๆ เปรียบเสมือนเรามุ่งหน้าว่าเราปฏิบัติ เราไม่มีอัตตากับคำว่าบำเพ็ญอยู่ จึงจะสามารถก้าวได้นานตลอดไป ฉะนั้นคนที่ก้าวสูงอยู่ตอนนี้ก็ต้องรู้จักระวังตน เปลี่ยนจากก้าวสูงมาเป็นก้าวนาน ดีหรือเปล่า (ดี) แต่การที่เราต้องเริ่มจากการก้าวธรรมดาเป็นก้าวสูงเพื่ออะไร (เพื่อฝึกตน) อันว่าคนต้องมีความทะเยอทะยาน เมื่อไม่มีความทะเยอทะยานแล้วก็ไม่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้น แต่ว่าในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ส่วนมากใช้ความทะเยอทะยานไปในทางไหน ทะเยอทะยานอยากได้เงินเยอะ อยากได้หน้าที่สูง อยากได้บ้านสักหลัง รถสักคัน บ้านหลังเล็กมีอยู่แล้วก็จะเอาหลังใหญ่กว่านี้ รถมอเตอร์ไซด์ไม่เอาจะเอารถยนต์ รถยนต์ไม่เอาจะเอารถเก๋ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรามีความทะเยอทะยานไว้เหลือเฟือสำหรับการเป็นปุถุชนผู้ยิ่งใหญ่ แล้วมีใครบ้างคิดว่าจะมีความทะเยอทะยานเพื่อเป็นพุทธะที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อมีความทะเยอทะยานอยู่ช่วงหนึ่งก็ต้องรู้จักวางลงได้คืออะไร เวลาที่เราใช้ความทะเยอทะยานเปรียบเสมือนเรือ เราพายเรือไปถึงฝั่งแล้วยังต้องแบกเรือขึ้นบ่าหรือไม่ (ไม่) ฉะนั้นผู้บำเพ็ญเวลามีคนมาดูถูกดูแคลน ลบหลู่ดูหมิ่นทำอย่างไร (อยู่เฉยๆ, หลีกเลี่ยง, ไม่โต้ตอบ) จริงๆ แล้วเวลามีคนว่า มีคนไม่พอใจในตัวเรา เราต้องเฝ้าย้อนมองตน ยิ่งมองตนเท่าไหร่ยิ่งไม่มีเวลาไปโต้ตอบกับเขาใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งนี้ไม่ใช่สำหรับคนที่บำเพ็ญจะนำไปใช้เท่านั้น คนที่อยู่ข้างนอกก็นำไปใช้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ในวันนี้หลายๆ คนบอกว่าถ้าเราไม่ได้รับธรรมะ ถ้าเราไม่ได้กินเจ เราก็ไม่ได้ลำบากอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องเจอกรรมหนักขนาดนี้ แต่จริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่) ถ้าหากว่าเราไม่บำเพ็ญธรรม เราไม่ตั้งหน้าล้างกรรมเข้าไป ในที่สุดกรรมนี้ก็โหมทวีเหมือนคลื่นที่ซัดเราให้ล้มลง เพราะฉะนั้นในวันนี้เราบำเพ็ญธรรมแล้ว แม้เราจะเจอความลำบากในตอนแรกก็จะสบายในตอนหลัง ดีกว่าคนลำบากในตอนหลังแต่สบายในตอนแรกหรือเปล่า (ดีกว่า) ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์มองแค่ความสุขสบายเบื้องหน้า อะไรสบายก็เอาไว้ก่อน ในที่สุดความสบายกอบโกยมาหมดแล้วความลำบากก็อยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นจงใช้ปัญญามองให้ถ่องแท้ ในวันนี้เราบำเพ็ญธรรม แล้วผจญกรรมมากมาย ผจญคลื่นผจญฝนมากมาย แต่ว่าเป็นการผจญเพื่อล้าง เวลาศิษย์จะล้างชามต้องออกแรงขัดไหม ยิ่งเลอะมากยิ่งต้องขัดมาก ถ้าไม่เลอะก็ไม่ต้องขัดใช่ไหม (ใช่) แต่ถามว่าชีวิตหนึ่งของเราแค่ชาตินี้ชาติเดียวสร้างกรรมเยอะหรือเปล่า (เยอะ) ชาตินี้สร้างกรรมเยอะก็เหมือนชามข้าวที่เพิ่งกินข้าวไปหมาดๆ สามารถล้างออกได้ง่ายๆ แล้วชาติก่อนๆ นี้ก็เปรียบเสมือนชามที่ทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน เวลาขัดยากไหม (ยาก) ใช้น้ำยาแรงหรือเปล่า สมมติว่าชามเป็นตัวเราจะเจ็บไหม (เจ็บ) น้ำยาก็แรง น้ำก็แรง คราบก็เยอะ ยิ่งกินอาหารเลอะเทอะมากเท่าไรก็ยิ่งยากมากเท่านั้น การบำเพ็ญธรรมขึ้นอยู่กับศิษย์ของอาจารย์ว่าชาติก่อนเคยทำอะไรมาเท่าไร ถ้าชาตินี้ไม่พยายามจะล้าง ชาติที่แล้วก็ยิ่งไม่พยายามล้าง ในที่สุดชามเป็นชามบ้านใคร (บ้านเรา) เวลาบ้านเราไม่สะอาดก็มีทั้งหนูทั้งแมลงใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนบอกว่ามดมาเราต้องฆ่าให้ตาย หนูมาต้องจับให้หมด หนูมาเพราะบ้านเราสกปรก น้อยคนมากที่จะเจอนอกบ้านสกปรกส่วนใหญ่จะในบ้านสกปรก เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร (ต้องกำจัดในบ้านก่อน)

อยากนั่งไหม เป็นมนุษย์มีร่างกายมีแขนมีขา ปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดหัว ปวดท้องใช่ไหม (ใช่) ทำอย่างไรดีมันเป็นความทุกข์ ตอนนี้เราไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้) ไม่มียาชนิดไหนในโลกสร้างขึ้นมาแล้วทำให้ไม่ตาย ถ้าเราไม่ตายไม่แก่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นจะอยู่เป็นร้อยปีแล้วสังขารเหี่ยวย่น บ้างกระโพกกระเพกไม่ไหว บ้างฟันร่วงเอาไหม (ไม่เอา) เพราะฉะนั้นไม่ตายทำไม่ได้ ไม่เกิดทำได้ไหม (ได้)

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่ง) นั่งให้สบายทำอย่างไร นั่งให้สบายต้องนั่งให้เหมือนพุทธะ พุทธะนั้นนั่งสัปหงกหรือเปล่า พุทธะนั่งหลังงอหรือเปล่า (ไม่) พุทธะนั่งเอามือกอดอกไหม (ไม่) นั่งแบบพุทธะนั้นนั่งให้สง่างาม เมื่อเราสง่างามก็จะมีสมาธิในการฟังดีหรือเปล่า (ดี)

ที่นี่สถานธรรม “ฉือฮุ่ย” “ฉือ” หมายถึงความเมตตาใช่หรือเปล่าเพราะฉะนั้นเมื่อเรามาสถานธรรมนี้ต้องฝึกให้มีใจเมตตา ใจเมตตาทำด้วยอะไรบ้าง (มีจิตใจที่ดีงาม, ปรารถนาให้เขามีความสุข, ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น, รักเขาให้เหมือนรักเรา, ทำให้จิตใจสงบ, ให้อภัยเขา, ไม่ฟุ้งเฟ้อรู้จักพอ, ช่วยเหลือสรรพสัตว์, ไม่โกรธและไม่เกลียดผู้อื่น) มรรคผลจริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ที่เล็กที่ใหญ่ หัวใจที่อยู่ในร่างกายของเรานั้นก็แค่กำปั้นเดียว แต่ถ้าหัวใจหยุดเต้นเป็นอย่างไร (ตาย) สมมติว่าแอปเปิ้ลผลนี้เปรียบเสมือนมรรคผล กว่าที่ผลไม้ลูกนี้จะโตเราต้องทำอะไรบ้าง (ต้องใช้ความพยายามอดทนในการรดน้ำพรวนดิน) กว่าที่ต้นไม้จะงอกต้องใส่อะไรลงไปก่อน (ใส่เมล็ด) ต่อไปทำอย่างไร (รดน้ำพรวนดิน) แล้วทำอย่างไรต่อ (ใส่ปุ๋ย) ถ้าหากว่าให้ปุ๋ยเร็วเกินไปต้นไม้ตายหรือเปล่า (ตาย) ตอนนี้ต้นไม้ยังไม่งอกยังรอเวลางอกอยู่ เพราะฉะนั้นรออาจารย์พูดไปก่อนดีไหม อันว่าเมล็ดพันธุ์นั้นใส่ลงไปเปรียบเสมือนศิษย์ของอาจารย์นั้น ในวันแรกที่มาสถานธรรมแล้วได้รับธรรมะ อาจารย์ชี้หนึ่งจุดให้ก็คือการเอาเมล็ดใส่ลงไป ทีนี้อาจารย์ใส่ลงไปแล้ว กลบดินเรียบร้อย ต้นไม้จะขึ้นดีไม่ดีอยู่ที่ดินก็คือตัวของศิษย์เอง ว่าเรานั้นเป็นคนดีมากเท่าไหร่ จะทำให้ตนเองนั้นมีบุญมากหรือกลายเป็นคนมีบุญน้อย เพราะฉะนั้นอาจารย์ให้ใส่เมล็ดลงไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็คือตัวของศิษย์เองนั่นแหละที่เป็นคนกลบเมล็ด รดน้ำ พรวนดิน เอาใจใส่ใช่ไหม (ใช่) เราก็ต้องรู้จักรอเวลาเป็น ไม่ใช่ผลุนผลันแล้วก็ใส่ปุ๋ย จะบำรุงท่าเดียวก็เปรียบเสมือนคนที่ก้าวไวใจร้อน พอก้าวไปยังไม่รู้ว่าทางนี้เป็นทางอะไรเลย เพราะฉะนั้นก็คือมาศึกษาสองวันนี้ ทีนี้ต้นไม้จะงอกแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง (หมั่นดูแลรักษา)

หวังว่าเมื่อเราฟังธรรมะไปสองวันนี้เราต้องรักษาจิตใจของเราให้เป็นอย่างไร (ใสสะอาดเที่ยงตรง) ทำได้ไหม ตอนนี้จิตใจของเราหลังจากที่ใกล้จะจบสองวันนี้แล้ว กลับไปจะยิ่งสงสัยยิ่งลังเลไหม ต้องตอบตนเองว่าเราแน่วแน่มั่นคง เมื่อเรารักษาจิตใจของเราอันนี้ไว้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องประเสริฐหรือเปล่า เมื่อต้นไม้ขึ้นมาแล้วดูแลเอาใจใส่อย่างไรบ้าง (รดน้ำ,ใส่ปุ๋ย) เรารดน้ำพรวนดินเปรียบเสมือนอะไร เวลาที่นี่มีชั้นเรียนบ่อยๆ ใครที่มาได้รู้จักมา ถ้าหากว่าถ่วงเวลาพรวนดินช้าเป็นยังไง เวลาที่ควรจะมาสถานธรรมเดี๋ยวค่อยมาเป็นอย่างไร ต้นไม้ถ้าใส่ปุ๋ยช้าเป็นอย่างไร เจริญเติบโตช้า ต้นไม้มีใบมีลูก ต้องทำยังไง (พยายามหมั่นดูแล) วิธีการที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์ทำก็คือเวียนไป เวียนมาคือดูแลเอาใจใส่ ใครดูแลเอาใจใส่ (ตนเอง) ให้ผู้อื่นบำเพ็ญแทนได้ไหม (ไม่ได้) ธรรมะที่ดีให้คนอื่นมาบอกแทนได้ไหม เราต้องทำเอง แล้วพอลูกออกมาเราควรจะทำอย่างไร (แบ่งให้เพื่อน) อย่างนั้นลูกนี้อาจารย์เอาไว้ก่อน (เอาเมล็ดไปเพาะอีกก็ได้หลายๆ ต้นอีก) การจะเป็นพุทธะไม่ได้อยู่ที่โง่หรือฉลาดหรือรวย แต่อยู่ที่คิดได้หรือเปล่า ทำได้หรือเปล่า หลายๆ คนบอกว่าเอาลูกของฉันไปแบ่งให้คนอื่นมี แต่มีใครคิดได้ว่าเอาเมล็ดไปเพาะอีก เพาะเพื่อขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์พุทธะไม่ใช่ขยายผลไม้ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักชวนคนมารับธรรมะ เรามีกุศลเราควรจะยึดติดในกุศลนั้นไหม ถ้าเรายึดติดในกุศล กุศลจะมีหรือเปล่า ถ้าเรามีกุศลมีบุญแต่ยึดติดในบุญกุศลนั้น กุศลนั้นก็จะไม่อยู่กับเรา กลายเป็นความยึดติดของเราเสียสิ้น เหมือนกับเราให้เงินกับขอทานไป ๕ บาท เราจำได้ไหมว่าเราให้ไป ๕ บาท (จำได้,จำไม่ได้) บางคนจำได้ บางคนจำไม่ได้ เสร็จแล้วเลยไม่มีบุญเพราะว่าใจมันไปอยู่ที่เงิน ๕ บาท เหมือนกับเวลาที่เราไปทำบุญที่วัดเสร็จแล้วต้องเขียนชื่อสลักไว้ที่กำแพง แล้วบุญของเราอยู่ที่ไหน (กำแพง) บุญก็อยู่ที่กำแพง มีประโยชน์ไหม เพราะฉะนั้นจึงต้องพิจารณาให้ดีๆ เวลาทำบุญอย่ายึดติดในบุญกุศล มีบุญกุศลเท่าไหร่รีบอุทิศชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ใช่ว่ามีบุญแล้วมากักตุนไว้หมด มีเท่าไหร่ฉันก็กักเก็บไว้ ไปๆมาๆ บุญทับตาย เวลาสุขสบายมากเกินไป มีบุญมากเราก็หลงมาก บุญนั้นตอบแทนในรูปของอะไรบ้าง (ลูกหลานดี,มีเงินมีทอง, มีลาภมียศ) ในทางกลับกันมีการตอบแทนของกรรมคืออะไรบ้าง (มีการเจ็บไข้) ทุกๆ วันนี้เวลาเราเจ็บป่วยเรารู้ไหมว่ากรรมตามมาแล้ว เราไม่รู้ แต่เราคิดได้ไหม เพราะฉะนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็เป็นผลตอบแทนของกรรม ถ้าหากเป็นผู้ชายชอบสูบบุหรี่มากจะเป็นโรคปอดดำปอดแดงเป็นกรรมหรือเปล่า (กรรม) อันนั้นเป็นกรรมที่เราทำใช่ไหม เพราะว่ากรรมเป็นการกระทำ หรือกรรมเป็นสิ่งที่เป็นผลสนองของสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เป็นผลสนองของอะไรโดยตรงเป็นผลของบุหรี่โดยตรง เป็นผู้หญิงชอบเล่นหวยแล้วไม่มีเงินใช้เป็นผลของกรรมไหม เล่นเมือไหร่แล้วเราจะรวย รวยหรือไม่รวย พระอาจารย์ได้ยินว่าไม่รวยใครเล่นบ้างยอมรับไหม คนไม่ยกอยู่ด้านหน้า ดูๆ ไว้เล่นหวยไม่มีทางรวยจะไปขูดให้มันออกเลขหรือจะไปกราบขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอาจารย์จี้กงออกมาเป็นเลขอะไร มีทางออกไหม ที่ออกมาคือความเพ้อฝันของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาบอกว่าเราจะรวยก็รวยถึงเวลาจะจนก็จนเองใช่ไหม ขอแต่เพียงเราไม่เกียจคร้านการงาน เราจะจนก็จนอย่างภูมิใจ จะรวยก็รวยอย่างภาคภูมิ เอาไม่เอาภาคภูมิ ภูมิใจ หรือจะหลับหูหลับตารวยหลับหูหลับตาจน เอาอันไหน ต้องภาคภูมิ ภูมิใจ เพราะฉะนั้นดีไม่ดี มีวิธีการเล่นหวยอยู่แบบหนึ่งเล่นแล้วรวยเอาไม่เอา (เอา) ช่างเป็นคนที่ใจแข็ง

อาจารย์บอกว่าเอาท๊อฟฟี่นับแล้วจะออกมาเป็นเบอร์หวยเชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ) เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทดสอบทีหนึ่งก็ตกกันไปเป็นทีละแถว เหมือนกับปลาร้อยพวงเชือกเป็นตับเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนที่เล่นหวยเป็นพุทธะไม่ได้ วันนี้เราอยากซื้อหวยหรือเปล่า ซื้อไม่ซื้อ ไม่ซื้อไม่สอนนะ (ไม่ซื้อ) เสียดายหรือเปล่า อาจารย์จะให้วิธีซื้อหวย งวดนี้อยากซื้อเท่าไหร่ ๕๐๐ ๕๐๐X๓๐ ได้เท่าไหร่ งวดนี้อยากซื้อ ๒๐ ต้องการเท่าไหร่ก็เอาเงิน ๒๐ ม้วนใส่ในกระปุกไว้ พอหวยออกเราถูกไหม คนอื่นถูกอะไร (ถูกกิน) อยากได้ถูกเยอะๆ หน่อย งวดนี้ซื้อ ๒๐ บาท ใส่เข้าไป ๒๐ บาท งวดนี้ยังไม่ถูกงวดหน้าใส่เข้าไปใหม่สักสิบหนได้เท่าไหร่ ๒๐๐ เยอะหรือเปล่า ทีนี้ถูกหวยหรือยัง กลับไปทำแล้วดีหรือเปล่า วันนี้เราจะเอาเงินไปส่งให้เจ้ามือเราก็ไปส่งที่ กระปุกออมสิน วันนี้เราจะเดินออกไปก็ไม่ไหวแล้วเลี้ยวกลับเข้ามาใส่ที่ไหน อย่างนี้ก็จะถูกทุกงวด ไม่มีพลาดร้อยเปอร์เซ็นต์ดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นใครเล่นหวยอาจารย์บอกให้ไปคำนวณดูที่เสียไปไม่เท่ากับที่ได้มา ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะจนลงทุกวันๆ ว่าอะไร ไม่เหล้าก็หวยและบุหรี่ ทุกๆ วันนี้มีแต่จนลงอยากจะรวยก็ต้องทำ

ในยุคนี้เป็นยุคสามวาระปลายที่มีภัยพิบัติลงทั่วโลก ศิษย์ของอาจารย์อยู่เมืองไทยเป็นเมืองสงบสุข ทุกๆ วันนี้ภัยพิบัติที่เราเห็นอยู่ต่างประเทศน่ากลัวไหม (น่ากลัว) เรานั้นจะทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วก็ปล่อยชีวิตปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ โดยไม่รู้ความทุกข์ร้อนของเราได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วเราควรจะทำอย่างไร เราควรที่จะเอาบทเรียนต่างๆ ที่เราได้ดูมาเป็นบทเรียนสอนใจ ที่เขาเดินทางไปถึงจุดนั้นเพราะจิตใจของมนุษย์ไม่ดีใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเราควรที่จะเริ่มที่จะทำจิตใจของเราให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่) หลายๆ คนบอกว่าตนเองเป็นคนดี ศิษย์ของอาจารย์เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นคนดีทั้งนั้น แต่ทว่าเป็นคนดีที่ไม่รู้จักทำให้ผู้อื่นดีตามหรือดีด้วย ดีแค่ตนเองคนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) เราดีเราก็ดีแค่ตัวเราดีกับคนใกล้ๆ เรา แล้วก็ดีกับคนในครอบครัวเรา แล้วเราดีกับคนอื่นที่ไม่รู้จักเราหรือเปล่า ก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะฉะนั้นดีอย่างนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เราต้องเป็นคนดีที่รู้จักที่จะทำให้ผู้อื่นนั้นทำดีตามเรา หรืออย่างน้อยเราก็ทำดีที่ให้คนอื่นนั้นเขารู้สึกอยากจะทำดี เพราะฉะนั้นเราจะแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ ศิษย์ของอาจารย์ต้องแก้ไขเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิด ในสังคมของเรารอบๆ บ้านเรา พี่น้องของเรา ดูดูไปสักวันหนึ่งอาจจะไม่ดีก็ได้ เราก็ควรที่จะทำตัวเราให้ดี แล้วทำเขาให้เขาดีตามเราได้ อย่ามัวดีกับตนเองกับคนในบ้านเท่านั้น เพราะว่าคนที่รู้จักคิดถึงแต่ตนเองคนเดียวนั้นไม่สามารถเป็นพุทธะได้

ในสองวันนี้ได้ยินคำว่าพุทธะและการบำเพ็ญกี่ครั้ง หลายครั้งใช่ไหม (ใช่) ถามว่าอยากจะเป็นพุทธะไหม (อยาก) แล้วต้องทำอะไร (ปฏิบัติ) อยากเป็นพุทธะก็ต้องบำเพ็ญใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่จะบำเพ็ญด้วยการบอกตัวเองว่าบำเพ็ญๆ โดยที่ตัวเองยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงต้องออกไปปฏิบัติใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่เราปฏิบัติเรื่องราวมีทั้งยากทั้งง่าย ศิษย์ของอาจารย์จะเลือกทำแต่เรื่องง่ายๆ เรื่องยากๆ ไม่อยากทำได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องทำทั้งเรื่องยากและง่ายสลับกันไปใช่หรือไม่ (ใช่) เราเลือกงานได้ไหม (ไม่ได้) เพราะถ้าเราเลือกแล้วคนอื่นก็เลือกด้วย

มาที่นี่อย่าแบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครชั่วกว่าใคร ทุกๆ คนก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น จะผิวสีอะไร จะเป็นคนรวยหรือคนจนก็เป็นคนเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ตาของเราก็จะเป็นตาอะไรขึ้น (ตาสว่าง) ตาของเราก็จะเป็นตาเนื้อของพุทธะ ปกตินั้นจะบอกว่าเป็นตาทิพย์ แต่อาจารย์บอกว่าเป็นตาเนื้อของพุทธะ หมายความว่าพุทธะนั้นมองใครก็มองให้เหมือนๆ กัน เมื่อศิษย์อยากเป็นพุทธะก็ต้องเป็นพุทธะตั้งแต่อยู่ที่ไหน ตายไปแล้วเป็นพุทธะใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) จะเป็นเทวดายังต้องทำบุญทำทานตั้งแต่อยู่ในโลกใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเป็นพุทธะก็ต้องทำกิจของพุทธะตั้งแต่อยู่ในโลก ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วฉันจะเป็นพุทธะ แต่ตอนอยู่บนโลกฉันยังทำตัวเหมือนปุถุชนเลย การเป็นพุทธะนั้นยากแต่ทำได้ไหม (ได้) เมื่อก่อนนี้พระพุทธองค์มีร่างกายเป็นคนหรือเปล่า (มี) แล้วพระพุทธองค์ได้รับความยากลำบากต่างๆ นานา ศิษย์ทนได้สักเสี้ยวหนึ่งไหม

ปัญญานั้นมีความสำคัญตรงไหน แม้ว่าเราทุกๆ คนนั้นจะมีความฉลาดและไม่ฉลาดต่างกันก็แล้วแต่ แต่ปัญญาหาใช่ความฉลาดและโง่ ความมีปัญญานั้นอยู่ที่ไหน ความมีปัญญาเริ่มด้วยการรู้จักมีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์ทำผิดแล้วยั้งมือไว้ทันก็เรียกว่าเป็นผู้มีปัญญา การที่ศิษย์ทำผิดแล้วเรายั้งมืออันนี้เรียกว่าสติ แต่หากว่ายั้งมือแล้ว อดรนทนไม่ไหวต่อกิเลสที่มาต่อกร ศิษย์ก็พลั้งมือทำลงไป เหมือนกับคนที่โมโหโกรธาแล้วบอกว่า เราจะไปว่าเขาแล้วเราก็ยั้งปากของเราไว้ได้เราก็ไม่ว่าเขา อันนี้เรียกว่าการมีสติ แต่เสร็จแล้วถ้ามันรู้สึกว่าอดรนทนไม่ไหว ข้างในมันร้อนเหลือเกิน ร้อนไปด้วยไฟของอารมณ์ แล้วเราก็เดินออกไปว่าเขาทั้งๆ ที่เราบอกว่าเราจะไม่ว่า จะว่าผู้นี้มีปัญญาไหม (ไม่มี) เหมือนคนเขามาตบตีเราถ้าเรารู้จักที่จะอภัย เราก็เป็นผู้มีปัญญาเช่นเดียวกัน เพราะเราไม่รู้จักตีตอบ คนไม่รู้จักตีตอบคนเป็นคนโง่หรือเปล่า (ไม่โง่)

ตอนนี้มาพูดเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เวลาที่เราอยากที่จะบำเพ็ญธรรม มีคนมากล่าวว่าเราทั้งๆ ที่เราไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เราจะทนได้ไหม (ได้) หรือว่าขี้เกียจทนก็เลิกบำเพ็ญ เสร็จแล้วใครกันที่ไม่ได้เป็นพุทธะ (ตัวเราเอง) เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า เมื่อสักครู่อาจารย์บอกไว้ว่าเรานั้นสามารถหยุดการตายไม่ได้ แต่เราสามารถหยุดการเกิดได้ ศิษย์ของอาจารย์คิดจะหยุดการเกิดไหม หยุดการเกิดด้วยการหยุดอะไรก่อน (หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง) หยุดอะไรดี (กิเลส) ถ้าศิษย์สามารถหยุดกิเลสได้ก็เป็นพุทธะแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลงอะไรหยุดง่ายที่สุด (ความโกรธ) ความโกรธหยุดง่ายที่สุดแล้วความโกรธก็เป็นกิเลสที่รุนแรงที่สุดด้วย ดีใจไหมที่ของยากที่สุด ของแรงที่สุด แต่เป็นของที่ง่ายที่สุด ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะหยุดใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วจะหยุดไหม (หยุด) มีคนเขาเดินมาตบหน้าเราโดยไม่บอกสาเหตุ โกรธไม่โกรธ (โกรธ, ไม่โกรธ) คนที่ไม่โกรธได้ก็เป็นอนาคตพุทธะ แต่ว่าในอนาคตยังต้องมี มีความโลภอีกใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเอาโลภมาผสมกับโกรธ มีคนเขาขโมยเงินเราไป โกรธไม่โกรธ (โกรธ) แตะตัวเราไม่ว่า แตะเงินไม่ได้ใช่ไหม มนุษย์ไม่กลัวตายแต่กลัวจนใช่ไหม แต่ทุกวันนี้ก็อยู่กับความจนใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นกลัวมันทำไม เงินทองของนอกกาย เมื่อหายไปแล้วก็หาใหม่ได้ แล้วคนขโมยเงินเราไปโกรธไม่โกรธ (ไม่โกรธ) ถ้าหากว่าใครโดนขโมยเงินไปต้องจำไว้ว่าชาติที่แล้วเราไปเอาเงินเขามา เขาถึงได้มาเอาเงินเราคืน เพราะฉะนั้นเป็นคนขี้เหนียวดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนอย่างไรดี เป็นคนรู้จักพอดีหรือเปล่า (ดี) มีร้อยจะเอาพัน มีพันเอาหมื่น มีหมื่นเอาแสน มีแสนเอาล้านไหม (ไม่เอา) ต้องรู้ว่าเรานั้นถ้าหากว่ามีความสุขสบายมากเกินไปก็ไม่ใช่พุทธะ มีความสุขสบายมากเกินไปก็ไม่รู้จักพุทธะที่แท้จริงเป็นอย่างไร

(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงพายเรือและทำท่าประกอบเพลง) พายไปถึงไหนแล้ว พายไปวนอยู่กับที่แสดงว่าไม้พายของเรานั้นมาชนกันใช่ไหม ก็จะเป็นการพายอยู่กับที่ เปรียบไปเหมือนกับคนที่อยู่สถานธรรมเดียวกัน อยู่ร่วมเรือลำเดียวกันก็ชอบขัดแย้งกันบ่อยๆ เวลาขัดแย้งกันไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญธรรม ถามว่าก้าวหน้าไหม (ไม่ก้าวหน้า) เพราะฉะนั้นขัดแย้งกันดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ถ้าหากว่าขัดแย้งกันหนึ่งครั้งก็เสียประโยชน์ส่วนรวมหนึ่งครั้งใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าเรายอมได้ ถอยได้ ถอยหนึ่งก้าวดีไหม (ดี) เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าเรานั้นอยากจะได้รับความก้าวหน้า ไม่ว่าจะสิ่งใดก็แล้วแต่ควรที่จะเปิดใจให้กว้างๆ ดีหรือไม่ (ดี) มนุษย์จำนวนมากมักเป็นคนใจแคบ เวลาที่เราใจแคบนั้นถามว่าเราเสียผลประโยชน์ด้วยหรือเปล่า (เสีย) แม้ว่าการงานสิ่งที่เราตกลงกันไว้จะไม่เป็นไปดังที่เราปรารถนา แต่ทว่างานได้รับการเดินหน้า เราก็ควรที่จะยอมใช่หรือไม่ ในตอนนี้บางคนก็คิดว่าแล้วถ้าเขาไม่ยอมล่ะ เขาเดินหน้าท่าเดียว เราก็ถอยหลังลูกเดียวหรือ ใช่ไหม เพราะถ้าหากว่าหน้าที่การงานที่เขาไม่ยอมถอยให้เรา แต่ถ้าหน้าที่การงานสิ่งต่างๆ เสียหายไปใครรับผิดชอบ เขาต้องเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่เราใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นควรที่จะให้เขาเกิดความสำนึกและละอายใจเอง คนบำเพ็ญธรรมควรที่จะมีความอดทนถึงระดับนั้น หลายๆ คนนั้นทนไม่ได้ ครั้งแรกทนไม่ได้ ครั้งที่สองทนไม่ได้ แล้วถามว่าครั้งที่สามที่สี่จะทนได้หรือ แล้วถ้าก้าวไปก้าวที่สูงกว่านี้แล้วศิษย์จะทนได้หรือ ตอนนี้อยู่ด้วยกันก็มีปัญหา ต่อไปศิษย์ของอาจารย์จะออกไปนำคนข้างนอกไม่ยิ่งมีปัญหาหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสิ่งใดที่ไม่ได้ผิดไปจากทำนองคลองธรรมควรหรือไม่ที่จะยอมกัน (ควร) หรือไม่ก็อย่าใช้วาจาห่ำหั่น ควรใช้ความนิ่งความสงบเข้าหากันบ้าง อาจารย์เคยให้โอวาทไว้ที่นี่บอกว่า “เจริญรุ่งเรือง” ภายหลังคำว่าเจริญรุ่งเรืองต้องมีสิ่งใด ต้องมีความสามัคคี ความสามัคคีมาก่อนความเจริญรุ่งเรืองใช่หรือเปล่า ถ้าหากว่าวันนี้ไม่มีความสามัคคีจะรุ่งเรืองได้ไหม ถึงแม้จะเจริญรุ่งเรืองมาแล้วแต่ถ้าว่ากลับไปแตกร้าวอีก ก็ไปสู่ความตกอับอีกครั้งหนึ่งได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดต้องเป็นใจของเราเอง สิ่งใดกว้างไม่เท่าใจกว้าง สิ่งใดสูงไม่เท่าใจสูง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าศิษย์จะคิดว่าใครที่มีจิตใจต่ำก็แล้วแต่ เราต้องอยู่กับเขาให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่ำไว้เปรียบเสมือนผืนดินที่หนักข้นแต่ว่าสามารถปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้น ใสกว้างเหมือนดังฟ้าก็ทำให้มีเมฆฝนชุ่มฉ่ำๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนก็หนักเหมือนแผ่นดิน บางคนก็ใสโปร่งเหมือนฟ้า เราก็ทำตัวเป็นมนุษย์ที่อยู่ตรงกลางได้ทั้งฟ้าและดินดีหรือไม่ (ดี) ทำได้ไหม (ได้) ความ อดทนต้องใช้มาก ยิ่งอยากเป็นพุทธะยิ่งต้องมีความอดทนให้มากกว่าปกติ เราควรที่จะเริ่มอดทนตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ได้แล้ว ถ้าเรื่องเล็กๆ ทนไม่ได้ เรื่องใหญ่ๆ ก็ทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นลองถอยหนึ่งก้าว ถอยก้าวสั้นๆ แล้วก็พายเรือดีไหม หมายความว่าเราจะถอยหนึ่งก้าวให้กับตัวเราเอง เพื่อที่จะรู้จักยอมคนอื่น แล้วเราจะพายเรือไปข้างหน้าดีไหม (ดี)

(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าประกอบเพลงพายเรือ) พายถึงไหนแล้ว พายถึงฝั่งหรือยัง อันว่าคนที่ถึงฝั่งแล้วจึงจะรู้ว่าฝั่งเป็นอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับว่าเรานั้นถึงฝั่งแล้วก็ควรที่จะรู้ว่าบนฝั่งนั้นมีอะไรบ้าง ถ้าไม่ถึงก็ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ถึงฝั่งแล้วหรือยัง ยังไม่ถึงเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงควรที่จะรู้แต่ว่าตนเองนั้นมีอะไรบ้าง มีอะไรต้องแก้ไข มีอะไรต้องปรับปรุง มีอะไรต้องเพิ่มเติม มีอะไรต้องลดลง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ารู้จักคนอื่นดีกว่ารู้จักตนเอง กระจกส่องหน้าเห็นใคร (เห็นตัวเราเอง) แล้วดูแต่ว่าเรานั้นเป็นคนหน้าตาประเภทไหนหรือเปล่า จริงๆ แล้วต้องดูให้ลึกถึงจิตใจว่าเรานั้นเป็นคนที่มีจิตใจประเภทไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)

นั่งนานๆ เมื่อยไหม มีร่างกายเป็นคนนั้นย่อมปวดเมื่อยเป็นธรรมดา เวลาที่เราอยู่ที่บ้านต้องรู้จักออกกำลังกายบ้าง ถ้าหากไม่ออกกำลังกายบ้าง ร่างกายก็จะฝืดๆ เคืองๆ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วต้องมีร่างกายแข็งแรงต้องมีการบริโภคที่สะอาด ต้องมีจิตใจที่ดีงาม ต้องมีวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ คือวาจาที่พูดแต่สิ่งที่ดีถือเป็นวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เวลามาสถานธรรมมีผู้น้อยและมีผู้อาวุโส อาจารย์อยากจะถามว่า ใครกันเรียกว่าผู้น้อย ใครกันเรียกว่าผู้อาวุโส คนที่มาก่อนและรับธรรมะก่อนเป็นอิ่นซือ เจี่ยงซือ ถือเป็นผู้อาวุโสใช่หรือเปล่า ถ้าหากมองแต่ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น แต่ผู้อาวุโสที่แท้จริงแล้วต้องพาผู้น้อยขึ้นถึงฝั่งนิพพานได้ แสดงว่าจิตใจของเราต้องประเสริฐจึงจะเป็นผู้อาวุโสที่สมบูรณ์ได้ การที่จะเป็นผู้อาวุโสที่สมบูรณ์จิตใจต้องเที่ยงตรง ทุกอย่างได้เที่ยงแท้ เที่ยงตรงแน่วแน่ การที่มาบำเพ็ญธรรมอย่างนี้แล้วใครกันเรียกว่าผู้น้อย เป็นคนที่มาทีหลังอย่างนั้นหรือ (ไม่ใช่) คำว่าผู้น้อยนั้นมองกันภายนอก ผู้น้อยก็คือผู้ที่มาทีหลังแต่ถ้ามองกันโดยนัยแล้วผู้น้อยหมายถึงใคร หมายถึงคนที่ต้องการการนำพา แล้วเราผู้ไปนำพาเขาถือเป็นผู้อาวุโสได้ ถ้าหากว่าเรานั้นเป็นผู้ไม่สนใจไม่ดูแลแล้วจะเรียกว่าผู้อาวุโสได้อย่างไร คุณธรรมเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังต้องดูแลให้มีให้เป็น หากว่าเราไม่มีคุณธรรมแล้วคนอื่นมาเรียกเราว่าผู้อาวุโสเราไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ เราจะต้องดูแลจิตใจของเราให้งาม หากไม่มีคุณธรรมแล้ว ต่อให้เป็นผู้อาวุโสต่อเขาก็ไม่สามารถจะขึ้นสู่ฝั่งนิพพานได้เข้าใจไหม อาจารย์พูดอย่างนี้เพื่ออยากให้ศิษย์มีความกลมเกลียวกันว่าการบำเพ็ญมีความยากลำบากเพียงใด เป็นเรื่องของคนกับคน ไม่ใช่คนกับฟ้า ในเวลาที่ศิษย์ทะเลาะกันเป็นเรื่องของคนกับคน เพราะฉะนั้นเอาอะไรล่ะมาเชื่อมตรงกลางให้เกิดความสามัคคีต่อกันได้ เวลาเราจะดูอะไร ฟังอะไร ต้องมีที่มาที่ไป รู้และเข้าใจในสิ่งที่เห็น ต้องทำความเข้าใจได้ ต้องเอาไปปฏิบัติได้ จึงจะเรียกว่าเป็นหลักธรรมที่ดี ถ้าหากว่าได้รับการฝืนเกินไป ได้รับการโอนอ่อนตามมากเกินไป ไม่เรียกว่าธรรมะ เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมชาติ

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงพระโอวาท)

“แต่” ศรัทธาแต่มีสิ่งต่างๆ เยอะแยะไปหมด ในที่สุดสิ่งที่อาจารย์พูดก็แค่พูด อาจารย์มาก็แค่มา อาจารย์ไปก็กลับแล้ว สิ่งที่มุ่งหวังอยากให้ศิษย์ของอาจารย์ที่นี่ทุกคนบำเพ็ญ ถ้าเรามีคำว่า “แต่” คนที่ไม่สำเร็จเป็นพุทธะ ก็มีแต่เราคนเดียวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นดูไว้ มองดูและพิจารณา อย่ามองดูแล้วก็ผ่านเลยไป อันว่าหลักธรรมศึกษากว่าจะเข้าใจไม่ใช่ศึกษาแค่สองวัน ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่ทำให้ “แต่” อันนี้มาขัดขวางใจของเรา ไม่ใช่เพียงแต่ว่าศิษย์ตั้งใจศรัทธามาก็จะมีผลต่อการบำเพ็ญ ยังมีอีกว่าศิษย์จะคว้าธรรมะนี้ได้อยู่มือหรือไม่ด้วย เพราะฉะนั้นรีบๆ ที่จะชนะอุปสรรคที่อยู่ในตัวของเราเร็วๆ เข้า

“ตื่น” ตื่นหรือยัง ตื่นแต่ตา ตื่นใจด้วยไหม (ใจกำลังจะตื่น) แล้วกลับไปใจก็กำลังจะหลับด้วยหรือเปล่า ตื่นแล้วต้องตื่นให้ตลอดดีไหม (ดีครับ) การบำเพ็ญต้องการความเสมอต้นเสมอปลาย ตื่นวันนี้ก็ต้องตื่นวันหน้าตื่นวันพรุ่งตื่นวันรุ่ง

(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรม : เพราะว่าทุกครั้งเรามีใจมากกว่าคนอื่น เลยไม่สนใจคนอื่นว่าจะทำอะไร ถึงได้โดนคนอื่นเขม่นเข่นเคี้ยว เพราะว่าเราเด่นกว่าเขา เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร เราต้องถอยหนึ่งก้าวฟ้ากว้างทะเลไกล ถ้าเราทำได้อย่างนี้ก็มีความสุขกันทุกคน)

“รพี” รพีแปลว่าดวงตะวัน คนหนึ่งคนจะเปรียบเป็นได้ดั่งดวงตะวันเพราะอะไร คนหนึ่งคนจะเป็นตะวันได้ต้องรู้จักมองคนอื่นและเสียสละเพื่อคนอื่นจึงจะเป็นดวงตะวันได้ จริงๆ แล้วดวงตะวันเป็นสัญลักษณ์ของอาจารย์ แสดงว่าเราต้องเจริญรอยตามอย่างพุทธะอริยะ

พุทธะนั่งสูบหรี่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วจะเอาบุหรี่หรือเอาพุทธะ ดูว่าตัวเองจะเลิกได้หรือเปล่า

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมตั้งชื่อเพลงพระโอวาท)

(ผู้ปฏิบัติงานธรรม : ตั้งชื่อเพลงว่า “หล่อหลอมน้อมใจให้เป็นกลาง”)

ชื่อนี้อาจารย์ชอบนะ แสดงว่าเราจะต้องหล่อหลอมด้วยทำใจให้เป็นกลางด้วย เวลาที่เรานำคนก็มีความลำบากมากมายแต่ว่าคนอื่นก็เหมือนกันเราก็เห็นใจกันไปเห็นใจกันมาเราก็รักกันเอง เวลาเรารักคนอื่น คนอื่นก็รักเรา ตอนนี้เราอาจจะรักเขาไม่ลง ไม่เป็นไรอีกหน่อยก็รักลงเอง ทุกคนก็เหมือนพี่น้องกัน ไตรรัตน์จำไม่ได้แล้วจะขึ้นไปได้อย่างไรนะ จะเอาอะไรนะ การที่เรานั้นได้อะไรมาฟรีๆ ได้หรือเปล่า เงินทองได้มาฟรีๆ ได้หรือเปล่า แสดงว่าต้องมีเบื้องหลัง รู้ไหมว่าอาจารย์อยากได้อะไร ก็อยากจะทดสอบว่ากิเลสของเรามีเยอะหรือเปล่า ได้ลูกที่หนึ่งอยากได้ลูกที่สองหมายความว่าอย่างไร หมายความว่ามีกิเลส

(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาท) ชอบร้องเพลงหรือเปล่าแต่เพลงนี้ยากไปหน่อยใช่ไหม ให้เรียกคนที่อยู่นครฯขึ้นมาด้วย ตอนนี้เพลงพระโอวาทก็ร้องเป็นแล้ว มีคำกล่าวไว้ว่า

“ธรรมะก็คือธรรมชาติ” ในวันนี้อาจารย์ก็พูดแบบนี้ เพราะว่าอะไรทุกๆ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่ที่บ้านแล้วบำเพ็ญธรรมได้ไหม ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติจริงๆ ศิษย์ก็คงจะสามารถเอาไปบำเพ็ญที่บ้านได้ใช่หรือไม่ อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่อยู่ที่บ้านแต่ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้ดีที่สุด เมื่อมาสถานธรรมก็ให้รู้จักจะศึกษาหาความรู้ฝึกฝนเป็นพุทธะให้ดีที่สุด อันว่าชีวิตของเรานี้ไม่ยืนยาวแต่ก็ไม่สั้น ทุกๆ วันทำอะไรไปก็ต้องรู้จักระมัดระวัง ธรรมะคือธรรมชาติก็ขอให้ศิษย์นำไปปฏิบัติที่บ้านทุกๆ วัน และระวังตนเองให้ดีๆ มีโอกาสก็ต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมดีไหม ไม่ใช่ว่ามีโอกาสแล้วฉันจะไปโมโหคนนี้ จะไปนินทาคนนี้ หรือจะไปว่าคนนี้ วันนี้ฉันจะไปทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่เคยคิดถึงว่าพุทธะต้องทำอะไรบ้าง ถ้าทำเช่นนี้แล้วชีวิตนี้จะเป็นพุทธะได้ไหม อยากเป็นพุทธะหรือไม่ อยากเป็นต้องบำเพ็ญต้องปฏิบัติใช่หรือไม่ อย่าบำเพ็ญแต่คำพูด ต้องรู้จักบำเพ็ญด้วยการปฏิบัติ พูดเก่งมากๆ แต่บำเพ็ญไม่ได้เลย ทุกๆ วันนี้ธรรมะอยู่กับเรา ไม่ต้องไปหาที่อื่น พระศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งที่อยู่กับศิษย์ตลอดเวลาก็คือตัวศิษย์ อยากได้เงิน ศิษย์ก็ไปหาเงินมา อยากได้ทอง ก็ไปหามา อยากกินอาหารอร่อยพระองค์นี้ก็เสกให้ได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นพระศักดิ์สิทธิ์หรือเราศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ แล้วเมื่ออยากได้สิ่งใดที่ถูกทำนองคลองธรรมก็จงทำไป พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์คือพระในตัวของศิษย์เอง บางทีเราขอพระไปสิบครั้ง เราอาจจะไม่ได้สักครั้งหนึ่ง แต่ว่าใครให้เราได้ (ตัวเราเอง)

“มาว่างว่างไปว่างว่างดีไหมเอย” ไม่ใช่มาว่างๆ แต่ไปเอากิเลส เอาลูกเอาหลานไปด้วย เอาไปได้ไหม (ไม่ได้) ขอให้รู้ว่าการบำเพ็ญนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยาก พุทธะนั้นไม่ใช่ว่าตายไปถึงเป็นพุทธะ แต่ต้องเป็นพุทธะตั้งแต่ในโลก หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้จักลงแรง ไม่รู้จักลงพลังอะไรแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่งอกเงยออกมา การบำเพ็ญธรรมะก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้องการให้ศิษย์นั้นเอาใจใส่ดูแลให้ดี ถ้าหากไม่รู้จักเอาใจใส่ดูแลให้ดี ก็ไม่มีผลสำเร็จใช่หรือเปล่า (ใช่) ชาตินี้แม้ว่าเรื่องเล็กๆ การงานหน้าที่ อะไรทำไม่สำเร็จ ไม่เป็นไร ลองลงแรงสักครั้งหนึ่ง เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คือสำเร็จเป็นพุทธะสักครั้งหนึ่งดีไหม (ดี)

วันหน้าถ้าอาจารย์มาอีกครั้งได้เจอศิษย์ไหม (เจอ) ส่วนใหญ่ก็รับปากแบบนี้ พอถึงเวลาจริงๆ แล้วมาบ้าง ไม่มาบ้าง ใครเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ก็ล้วนแต่อยู่ที่ตนเองทั้งนั้น อาจารย์มีคำนิดหน่อยจะพูดก่อนที่อาจารย์จะไป ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่เข้าใจว่าชีวิตคนนั้นทุกข์ยากลำบากเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นระหว่างคนกับคนด้วยกัน มีความทุกข์ยากลำบากเท่าไหร่ แต่เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์มีความอดทนเหมือนอริยะ มีรอยเท้าก้าวไปเหมือนกับอริยะ เพราะฉะนั้นความเป็นธรรมชาติอย่าแยกตัวออกจากสิ่งที่ไร้ค่า เพราะถ้าเราแยกตัวออกมาจากสิ่งที่ไร้ค่า เราจะเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเอง อย่าแยกตัวออกมาจากสิ่งที่ดีเลิศ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยหนุนนำเราไป ไม่ว่าจะเจอความทุกข์ยากลำบากเท่าไหร่ ขอให้ศิษย์ของอาจารย์สู้ได้ไหม (ได้) มีอะไรก็คุยกัน หันหน้าเข้าหากัน ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ขอให้ศิษย์ของอาจารย์จำไว้ เป็นคนทุกข์ยากมากเท่าไหร่ เป็นพุทธะได้ยิ่งสูงยิ่งส่งมากเท่านั้น ขอให้รักษาตัวให้ดีๆ เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์นะศิษย์นะ








[๑] พิภพ โลก


[๒] วิมุตติ ความหลุดพ้น พระนิพพาน


[๓] ปฏิปทา ทางดำเนิน ความประพฤติ


[๔] รพี ดวงอาทิตย์




พระอาจารย์เมตตาประทาน

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมชาติ” 


น้ำหลั่งลงคล้ายไร้ทิศแต่มีทิศ ตื่นในจิตสร้างสรรค์มีครรลองแฝง

ไม่ก่อบ่วงปัญญามาพลิกแพลง มีขึ้นลงรพีแสงตามเวลา

กลางวุ่นวายดลใจสงบไม่ฝืนขัด ธรรมชาติสอนชีพคนงามสูงค่า

ยิ่งหมายได้ถึงหนึ่งแท้เหนือวาจา ที่กล่าวมาต่างไปซึ้งซึ่งความนัย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา