PDF 2542-04-10-จือเจวี๋ย #3.pdf
วันศุกร์ที่ ๙
เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทพระนาจา
มีใครบำเพ็ญแล้วใจไม่ท้อ มีใครบ้างเอาแต่รอวันสำเร็จ
แต่ไม่เคยคิดลงแรงแยกสิ่งจริงเท็จ ชอบระเห็จระหกไปฝั่งมายา
เราคือ
ศิษย์พี่นาจาของน้องน้อง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย
แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนบำเพ็ญแล้วท้อถอยกันบ้างไหม
ยากลำบากเพียงใดน้องไม่บ่น เพียรขยันอดทนแม้ใครไม่เห็น
เลิศวาจามิเท่าเลิศกระทำเป็น พร้อมบำเพ็ญทุกสภาวะฝึกใจเรา
ธรรมหนึ่งศอกมารหนึ่งวาธรรมไม่สิ้น อ่อนน้อมน้ำเป็นอาจิณทูตยุคขาว
ไร้อคติความชังจิตชอบเดา เคารพเขาเขาเคารพเราไม่จาง
บำเพ็ญนานใจต้องว่างแลพิสุทธิ์ เพื่อพ้นหลุดเรื่องเลวร้ายที่คอยขวาง
อารมณ์ร้อนสอนวู่วามยากเบาบาง กุศลล้างว่างในเย็นเห็นเท่าทัน
อย่าได้ถอยแม้หนทางยากเพียงไหน อย่าได้พ่ายต่อโลกีย์ที่แปรผัน
ระยะทางแพ้ผู้มีใจบากบั่น ผู้คงมั่นเห็นทุกข์ดั่งลมผ่านกาย
ความศรัทธาความเข้าใจท้อไม่ถอย มรรคผลคอยผู้สำเร็จแห่งสมัย
กลัวลำบากทั้งเกียจคร้านไม่ยอมใคร บำเพ็ญไปก็มีแต่ช้ำเศร้าตรม
ปลงให้ตกอย่าโกหกใจตนเอง ผ่อนคลายใจความเครียดเคร่งก็พาล่ม
มีคุณธรรมต่อกันพลันเกลียวกลม ใช้ปัญญาอันเฉียบคมชนะภัย
ฮิ ฮิ หยุด
หมายเหตุ
บทกลอนพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันออกมาเขียนบนกระดานดำ
พระโอวาทพระนาจา
……….ต้องให้ศิษย์พี่มากี่รอบ
คราวนี้มาโดยเฉพาะเลยดีไหม ใครผิดอย่างไรต้องแก้ไขดีหรือเปล่า
ใครทำผิดต้องโดนลงโทษเลยดีไหม (ดี) แล้วต้องใช้อะไรตีถึงจะทำให้ศิษย์น้องจำได้แม่นยำแล้วไม่ทำผิดกันอีก
ต้องใช้มโนธรรมสำนึก
ใช้คุณธรรมที่อยู่ในตัวเราตีเราเอง ดีไหม (ดี) ทำให้เราไม่ทำผิดอีก
ทำให้เราไม่เป็นศิษย์น้องที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองอีก
กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ต้องใช้เวลานาน บางคนต้องพบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย บางคนเจอความทุกข์ยากลำบาก เจอความไม่ถูกใจบ้าง
ไม่สมใจบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) หลายๆ
คนเมื่อเวลาผ่านไปจิตใจก็เปลี่ยนแปลงไป
บางคนก็ท้อถอยไป
บางคนก็หลบหนีหายไปจากวงการธรรม
เหลือแต่ศิษย์น้องที่อยู่ในที่นี้เพียงไม่กี่คน ใช่หรือไม่ (ใช่) น้องๆ
ที่อยู่ในที่นี้หากมีใจก้าวต่อไปเรื่อยๆ
แม้เวลาจะผ่านไปเท่าไรแต่น้องก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ ยังคงมีใจอยู่ ยิ่งนับวันขบวนกองทัพธรรมก็จะยิ่งเข้มแข็งขึ้น
บริสุทธิ์ขึ้นและสะอาดขึ้น เพราะเวลาที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ผ่านไปอย่างธรรมดา แต่ผ่านไปโดยช่วยขัดเกลาเราด้วย
ทดสอบเราด้วย ฉะนั้น
ผู้ที่เมื่อเวลาผ่านไปแต่ใจยังอยู่ ตัวยังอยู่
ก็เท่ากับว่าเขาได้ผ่านสิ่งยากลำบากเหล่านี้มาได้
ส่วนผู้ที่ตัวและใจไม่อยู่แล้วนั้นก็เท่ากับว่าเขาไม่สามารถผ่านได้ ใช่หรือไม่
(ใช่) เขายังมีเรื่องที่ทำใจไม่ได้
มีเรื่องที่ยังวางไม่ลง
จึงไม่สามารถกลับมายืนตรงนี้ได้ไหวใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์น้องที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรกันบ้าง บ่อยครั้งที่เราเคยรู้สึกท้อ
บ่อยครั้งที่เรามักถามตัวเองว่าเราก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว เราบำเพ็ญธรรมมีคุณธรรมอะไรเพิ่มเติมขึ้นบ้าง
ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราก็อดท้อใจไม่ได้และรู้สึกว่าการบำเพ็ญช่างยากเหลือเกิน ศิษย์น้องนอกจากจะมีภาระในการทำงานแล้ว ศิษย์น้องยังมีภาระในการบำเพ็ญตนเอง
และยังมีภาระหน้าที่ของผู้บำเพ็ญด้วย ใช่ไหม (ใช่) ทุกคนมีหน้าที่แตกต่างกันไป บางคนก็เป็นญาติธรรม
บางคนก็เป็นผู้ดูแลพุทธสถาน บางคนก็เป็นผู้ช่วยดูแลพุทธสถาน
บางคนก็เป็นอาจารย์บรรยายธรรม
มีภาระแตกต่างกันออกไป
แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงความยากตรงจุดนี้
ศิษย์พี่ขอถามก่อนว่าใครยังพนมมือลัญจกรไม่เป็นบ้าง ใครยังชันเจี้ย-ฉือเจี้ยไม่เป็นบ้าง
บางคนยังจำชื่อพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลยว่าองค์นี้คือใคร
องค์นั้นคือใคร ฉะนั้น
หน้าที่เริ่มแรกของการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมขั้นพื้นฐานก็คือ เราต้องกราบพระให้เป็น
และจำไตรรัตน์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขั้นต่อไป
ศิษย์น้องก็ต้องดูว่านอกจากศิษย์น้องจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว
ศิษย์น้องยังต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง ใช่ไหม (ใช่) หน้าที่ทางโลกกับทางธรรมของศิษย์น้องมีอะไรบ้าง การบำเพ็ญธรรมในทางโลกนั้น
ศิษย์น้องต้องรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
เมื่อเรารู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไรเราย่อมสามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ดี ใช่ไหม
(ใช่) แต่หากศิษย์น้องไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรก็ยากที่จะทำได้ดี
บ่อยครั้งที่ศิษย์น้องต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องนำพาผู้อื่น
เมื่อต้องนำพาผู้อื่นนั้นข้อสำคัญก็คือจิตใจของเราต้องนิ่งและสงบ สติของเราจะต้องมั่นคงในความนิ่ง ความคิดของเราต้องใสบริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)ธรรมะเราต้องหมั่นศึกษา คุณธรรมต้องหมั่นสั่งสม สัจธรรมต้องหมั่นศึกษาให้เข้าใจ กุศลต้องหมั่นสร้าง เรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ดีเราต้องหมั่นกระทำ เรื่องใดเป็นเรื่องเลวร้ายเราต้องรีบหนี
ไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง
เรื่องใดที่ควรต้องศึกษาต้องไม่มีใจเกียจคร้าน
เรื่องใดที่ศึกษามาแล้วต้องไม่ลืมที่จะนำมาทบทวน
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ศิษย์น้องจะต้องทำให้ได้ หากศิษย์น้องทำได้ก็จะทำให้รู้ว่าจะต้องทำตนอย่างไรและวางจิตใจอย่างไร
ใช่ไหม (ใช่)
ทำไมศิษย์พี่จึงพูดว่าใจเราต้องนิ่ง ญาณต้องสงบ
ความคิดต้องใส ก็เป็นเพราะว่าเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกับคนหลายๆ
คน หากใจเราแบ่งเป็นเกลียดและชอบ ใครที่เราเกลียดก็อยากให้เขาไปให้พ้นๆ โอกาสที่เราจะได้ส่งเสริมเขาหรือโอกาสที่เราจะได้ขัดเกลาจิตใจตัวเองก็ยาก แต่หากเรารักเขา
โอกาสที่เราจะช่วยแก้ไขเขาก็ยากอีกเหมือนกัน เพราะเมื่อเรารักเขา มองดูอะไรก็ดีไปหมด
ใช่หรือไม่ (ใช่)
โอกาสที่จะช่วยตักเตือนชี้นำเขาไปในทางที่ถูกก็น้อย เพราะความรักทำให้เราตาบอด นำเขาไปผิดทางได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น
หากใจเรานิ่ง ญาณเราสงบ ความคิดเราแจ่มใส
เมื่อเราไปอยู่กับใครก็ย่อมนำพาเขาได้ง่าย
จะพูดอะไรเพื่อนำพาเขาหรือให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราพูดก็ย่อมประสบผลสำเร็จ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วใจเราไม่สงบ
ความคิดของเราสับสนแล้วเราจะพูดกับคนอื่นรู้เรื่องไหม
เพราะแม้แต่ตัวเราเองยังเรียงลำดับเรื่องราวต่างๆ
ไปพูดกับเขาไม่รู้เรื่องเลย ใช่ไหม (ใช่) และตัวเราก็ยากที่จะน้อมนำเขาได้เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะน้อมนำเขาอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น
การวางใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากใจเรานิ่ง
ญาณเราสงบ ความคิดเราแจ่มใส
เมื่อเราไปพูดกับใครก็ย่อมง่าย ใช่ไหม (ใช่) แต่เมื่อศิษย์น้องออกไปทางโลกก็มักจะอดเห็นคนนั้นคนนี้มีนิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราก็รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้กับเขา คำว่า “อย่างนั้นอย่างนี้”
หมายความว่าอย่างไร
ตัวอย่างเช่น
เรามีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเราย่อมสามารถบอกได้ว่าคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไร เมื่อเราไปคุยกับเขา ความจริงใจของเราจึงไม่เต็มเปี่ยมเพราะใจของเราแฝงความรู้สึกทั้งดีและไม่ดีต่อเขา
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อใจของเราไม่เที่ยงธรรมเราจะนำผู้อื่นได้ไม่ถูกต้อง แต่หากใจของเราเที่ยงธรรม
วางใจได้อย่างถูกต้องเหมาะควร
เมื่อเวลาจะไปนำใครก็จะนำได้อย่างถูกต้อง
แบ่งแยกได้ชัดเจน แล้วหากนำเขาแล้วเขาเชื่อฟังเรา
คล้อยตามเรา
เท่ากับว่าการตัดสินใจและการแสดงออกของเราเริ่มเข้าใกล้ความถูกต้อง
ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่บ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกับคนในสังคมย่อมมีทั้งผู้ที่ตามเราและผู้ที่ไม่ตามเรา ผู้ที่ตามเราก็จะเชื่อเรา ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไรก็จะตามเราตลอด
แต่ผู้ที่ไม่ตามเราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าจะไม่เข้าใกล้เรา
และบางครั้งยังพูดว่าเราอีกว่าทำตัวไม่เหมือนคนอื่น ชอบทำตัวเด่น ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะละทิ้งคนเหล่านี้แล้วให้ความสนใจเฉพาะคนที่ตามเราได้ไหม
(ไม่ได้) เราจะต้องทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนแปลงคนที่ไม่เข้าใจเราให้เขาเปลี่ยนมาเห็นด้วยกับเรา จุดนี้ก็เป็นจุดสำคัญ อย่าคิดว่าตัวใครตัวมัน เพราะเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม จิตใจของเราต้องเปิดกว้าง เราจะเห็นแก่ตัว มองแต่ทุกข์ของเรา
ไม่มองทุกข์ของผู้อื่นไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่จิตของผู้บำเพ็ญ ฉะนั้นเราจะต้องทำอย่างไร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาร่วมเขียนบทพระโอวาทบนกระดานดำ)
เมื่อมีโอกาสสร้างความดีต้องมีความกล้าหาญและพร้อมที่จะยืนหยัดกระทำ นี่คือคุณธรรมข้อหนึ่งของผู้บำเพ็ญธรรม
คุณธรรมของเราจะเพิ่มพูนได้ก็ต่อเมื่อเรามีความกล้าที่จะยืนหยัดรักษาคุณธรรมโดยไม่กลัวอันตรายใดๆ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องอย่าได้ขาดคุณธรรมข้อนี้เด็ดขาด ถ้าขาด “ความกล้าหาญ”
แล้วบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้า
ไม่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้
“พร้อมบำเพ็ญทุกสภาวะฝึกใจเรา” เราต้องไม่กลัวไม่ว่าสภาวะฝนตก
แดดออก น้ำท่วม หิมะตกใช่ไหม (ใช่) เราต้องไม่หวั่นและเราต้องไม่กลัวสิ่งใดเมื่อเราคิดที่จะบำเพ็ญตน
ยังมีหลายคนที่ผ่านการประชุมธรรมมารอบเดียวแล้วก็มีคนชวนมาฟังชั้นอาวุโสใช่หรือไม่
แล้วเราจะแก้ไขยังไงเมื่อกี๊ศิษย์พี่ตั้งคำถาม
เราจะแก้ไขอย่างไรดีที่จะสามารถนำพาคนทุกคนได้ นำพาคนทุกระดับไปกับเราได้
พร้อมไปกับเราได้ หากเราบำเพ็ญตนคนอยู่ใกล้ก็อุ่นใจ คนอยู่ไกลก็อยากมาหา
มาร่วมศึกษา นี่ไม่ใช่เป็นการบำเพ็ญที่ถูกแนวทางหรอกหรือใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ว่าเราบำเพ็ญตน
คนอยู่ใกล้ก็เข็ดขยาด คนอยู่ไกลไม่เอาแล้วคนนี้
อย่างนี้แปลว่าเราบำเพ็ญได้ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้จะใจมาช่วยงาน
มีแรงมาช่วยงาน
แต่ว่านิสัยหรืออบรมการบ่มเพาะนิสัยของตัวเราเองยังวางได้ไม่ถูกทางใช่หรือไม่
จึงมีคำกล่าวว่าถ้าตัวเราดำเนินชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม อยู่ในความชอบธรรม
การที่ผู้อื่นจะตามเรามาและเห็นชอบด้วย จะยากอะไรใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเราวางตนเองอยู่ตรงนี้แล้ว
แต่คนอื่นไม่เห็นชอบด้วย เราจะต้องถามตัวเราเองว่าเราบกพร่องเรื่องอะไรใช่หรือไม่ (ใช่) หากเขาเกลียดเรา
เราต้องถามตัวเราเองว่าเราบกพร่องในการที่เราอยู่ร่วมเขาหรือเปล่า
เราขาดคุณธรรมข้อไหนไปที่ต้องให้เขาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอย่าปัดความคิดหรืออย่าปัดความรู้สึก
หรือปัดอารมณ์ของทุกๆ คนที่มากระทบใจเรา เพราะหลายครั้งอารมณ์หลายๆ
คนที่มากระทบใจเราหรือมาแสดงออกให้เราเห็น
บางครั้งก็ช่วยทำให้เรารู้ชัดด้วยว่าเรานั้นขาดตกบกพร่องเรื่องอะไรใช่หรือไม่ (ใช่) เราขาดคุณธรรมในการจะไปส่งเสริมเขา
เราขาดคุณธรรมในการดำรงชีวิตในข้อไหนใช่ไหม (ใช่) น้อยครั้งนักที่ศิษย์พี่จะเห็นศิษย์น้องทุกคนอยู่ร่วมกับใครแล้วไม่มีการขัดแย้งกันใช่หรือไม่
(ใช่) เมื่อไรที่ยังมีการขัดแยังแปลว่าเมื่อนั้นจิตของน้องยังขาดคุณธรรม
ยังบกพร่องคุณธรรมในข้อนั้นกับเขาอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) หากคุยกันทีไรเป็นอันต้องทะเลาะกันทุกที
เราต้องถามซิว่าเรายอมเขาได้แท้จริงหรือไม่ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าบอกว่าเรายอมเขาแล้ว
เราอภัยเขาแล้ว เราอุตส่าห์ง้อไปคุยกับเขาแล้ว
แต่อย่างนี้เราก็ยังยอมเขาได้ไม่หมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) พอกลับไปคุยแล้วก็ยังเหมือนเดิม
ก็แปลว่าเรายังทำได้ไม่ถูกต้อง เรายังทำได้ไม่ถูกทางใช่หรือเปล่า (ใช่) ยิ่งมีคนขัดใจเรามากเท่าไหร่ยิ่งต้องดีใจสิ
เพราะทำให้เรารู้ว่าตัวเรายังมีข้อบกพร่อง
ตัวเรายังได้รู้จักแก้ไขสิ่งที่ตนเองยังทำไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราต้องไปพูดอย่างไร
นอกจากการที่จะทำให้เรามีคุณธรรมก้าวหน้าแล้ว
ผู้อื่นยังสามารถทำให้เรารู้จักว่าตัวเรานั้นยังมีความคิดอะไรที่ผิดๆ
ในตัวเองบ้างด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เรามักจะลบความคิดที่ผิดๆ
ของตัวเองออกไปจากหัวสมองไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราต้องถามก่อนว่าเพราะอะไรล่ะเราถึงมีความคิดที่ผิดๆ
อยู่ในใจเรา อยู่ในสมองเรา อยู่ในความคิดเราอยู่ทุกขณะ
บางครั้งเรามีความคิดที่ไม่ดีของคนโน้นบ้าง ของคนนี้บ้าง
ซึ่งเป็นการไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่) บำเพ็ญไปก็มีแต่ข้อไม่ดีของคนโน้น
ข้อไม่ดีของคนนี้มากมายเต็มไปหมด ก็เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักปิดตาตัวเองซะบ้าง
ปิดหูตัวเองซะบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่) จะมีใครบ้างที่ฟังเรื่องราวของคนอื่น
แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ดีแต่เราสามารถวางใจให้ยังคงนิ่งได้
น้อยคนนักที่เวลาฟังเรื่องของคนอื่นแล้วเวลามองเขาแล้วใจเราจะยังตรงได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอดไม่ได้พอรู้เรื่องไม่ดีเรา
….. ทัศนะคติของเราเปลี่ยนไปจากเดิมใช่ไหม (ใช่) ผู้ที่มีความคิดไกลและผู้ที่ฉลาดในการคิด
ไม่ว่าใครพูดอย่างไร แม้จะกลับมามองคนนั้นก็ยังมองได้เหมือนเดิม
นี่แหละคือการที่เราบำเพ็ญได้ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) เรามีความคิดที่เที่ยงธรรมอยู่เหมือนเดิม
ไม่ว่าจะฟังซ้าย ฟังขวามากอย่างไร เพียงใด แต่ใจเราก็ยังคงนิ่ง
มองเขาได้ใสบริสุทธิ์เหมือนเดิม เมื่อมองเขาใสมีหรือใจเราจะไม่ใสใช่ไหม (ใช่) ถ้ามองเขาขุ่น
ใจเรานั่นแหละขุ่นก่อนคนแรกใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นการมองคนอื่น
การได้ดูคนอื่น นอกจากจะเป็นกระจกส่องเราแล้วยังเป็นกระจกที่ส่องไปถึงก้นลึกแห่งนิสัย
และก้นแห่งจิตใจของเราด้วยใช่ไหม (ใช่) เมื่อไหร่ที่เราสามารถเบาบางเรื่องของคนอื่นได้
เบาบางเรื่องเลวร้ายได้
มีหรือเราจะเบาบางจิตใจที่ไม่ดีออกไปได้บ้างล่ะใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ธรรมหนึ่งศอกมารหนึ่งวาธรรมไม่สิ้น” มีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า คุณธรรมสูงระดับหนึ่ง
กิเลสหรือมารก็สูงมากกว่าอีกระดับหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าแม้กิเลสจะสูงมากกว่าเรากี่ระดับก็ตามแต่ธรรมเราก็ยังคงอยู่ไม่เคยสิ้น
ห่างไปจากใจเรา ความชั่วร้ายนี้จะทำอะไรเราได้ไหม (ไม่ได้) จะมากดทับทำให้ธรรมเราหายไปได้ไหม
(ไม่ได้) ฉะนั้นแม้กิเลสจะอยู่เหนือคุณธรรมมากเท่าไร
เราก็เอาคุณธรรมปัดกิเลสตกได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ขอเพียงกิเลสมาคุณธรรมยังอยู่
อย่าเป็นกิเลสมาแล้วคุณธรรมมองหาไม่เจอ อย่างนั้นไม่ใช่การบำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่) บ่อยครั้งที่ศิษย์น้องเวลามีอารมณ์ขึ้นมา
ลืมแม้กระทั่งตนเองและลืมแม้กระทั่งความรู้สึกของคนอื่นใช่ไหม (ใช่) เวลาโกรธทีหนึ่งลืมไปเลยว่าตนเองต้องรักตนเองนะ
ต้องเคารพตนเองนะแล้วเราก็ต้องเคารพเขาด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอเราโกรธขึ้นมา
ตนเองก็ไม่สนใจ จะเอาให้ได้ เขาก็ไม่สนใจจะว่าให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเวลาเราอยากขึ้นมาทีหนึ่งก็ลืมไปเลยว่าตนเองต้องเป็นคนบำเพ็ญธรรมนะใช่หรือเปล่า
(ใช่) ขอให้เพียงเราอยากไว้ก่อนแล้วลืมไปเลยว่าคนอื่นจะเดือดร้อนแค่ไหน
อย่างเช่นเราอยากอะไรขึ้นมา ฉันจะทำหน้าที่นี้ เธอมาทีหลังฉันเธอจะมาแย่งฉันได้อย่างไรล่ะ
ฉันจะทำใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้เรียกว่าไม่ถูกต้องใช่หรือไม่
(ใช่) แปลว่าอารมณ์มา แต่คุณธรรมหายหมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทำอะไรแล้วก็ต้องมีความมั่นใจเป็นของตนเองใช่หรือไม่
(ใช่) ได้คุณธรรมอีกข้อหนึ่งแล้ว “ความมั่นใจ” ความมั่นใจจะช่วยเสริมอย่างไรในการบำเพ็ญธรรมรู้ไหม
เวลาใครติฉินนินทาเราหรือใครชมเรา หากเรามีความมั่นใจในตนเอง
คำติฉินและคำนินทาก็ยากจะมาทำร้ายใจเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มั่นใจในตนเองต้องเข้าใจให้ถูกด้วยว่าไม่ใช่หลงตัวเอง บ่อยครั้งที่เรามั่นใจในตัวเองแล้วอดหลงตัวเองไม่ได้ ทุกคนต่างชอบคำชมเชย
แต่คำชมนั้นจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อศิษย์น้องรู้จักวิเคราะห์คำชมให้เป็น ส่วนคำติเตียนนั้นนอกจากจะทำให้เรารู้จักตัวเองแล้วเราก็ยังจะต้องรู้จักตรวจสอบให้เป็น
และในคำชมเราก็ต้องวิเคราะห์คำชมให้เป็นด้วย เพราะคำชมนั้นจะมีคุณค่าก็เมื่อคนเรารู้จักวิเคราะห์คำชมว่าจริงเท็จเพียงใด เขาชมเพราะหลงรักเราหรือเปล่า หรือชมเพราะต้องการให้เราช่วยเหลือหรือไม่ ฉะนั้น ฟังคำใดก็ตามเราจะต้องรู้จักวิเคราะห์และตรวจสอบเป็น
และด้วยความเชื่อมั่นในตนเองด้วย ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแสดงท่าประกอบเพลงพายเรือธรรม) บ่อยครั้งที่เรื่องราวในชีวิตเรามักจะมาแบบเหนือเมฆ
ฉะนั้นเราจะต้องตั้งตัวรับมือให้ทันแม้จะมาแบบเหนือเมฆหรือใต้เมฆก็ตาม
การเป็นผู้พร้อมอยู่เสมอและรู้จักระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอย่อมเป็นผู้ที่ยากจะผิดพลาดได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
จึงมีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ผู้บำเพ็ญนอกจากจะต้องมีคุณธรรมแล้วยังจะต้องมีความรอบคอบด้วย” เมื่อรอบคอบแล้วจะทำการใดก็ยากจะผิดพลาด
และในการทำงานนั้นยังจะต้องมีความอ่อนน้อมด้วย
พร้อมที่จะเปิดใจให้กว้างรับเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปต่างๆ และไม่มีอคติต่อเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
ถ้าเมื่อใดที่เราเกิดอคติเราก็ยากที่จะต้านรับต่อเรื่องราวที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้
เพราะเมื่อใจเรามีอคติเราก็ยากที่จะมองสิ่งนั้นๆ ได้ชัดเจน ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้องทุกคนต่างเกลียดการผิดพลาด
เกลียดความผิดหวัง แม้ว่าศิษย์น้องจะทำงานอย่างสุขุมรอบคอบ
มีความระมัดระวังก็ตาม
แต่เมื่อมีอคติกลัวความผิดพลาดผิดหวัง
ก็ยากที่จะทำงานผ่านไปได้ ฉะนั้น
เราจะต้องไม่มีอคติต่อเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา
หากเรามีอคติเราก็ยากที่จะแก้ไขหรือมองสิ่งนั้นๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนกับเราไม่ชอบคนๆ นี้
ไม่ชอบเรื่องๆ นี้
เมื่อถึงคราวที่เราต้องแก้ปัญหา เราก็ไม่พร้อมจึงขอพักไว้ก่อน และเมื่อเราพักไว้แล้วปัญหาก็ใหญ่ขึ้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น
เมื่อรู้จักรอบคอบแล้ว รู้จักระมัดระวังแล้ว
รู้จักเปิดใจกว้างพร้อมที่จะรับเรื่องราวแล้ว เราก็ยังจะต้องรู้จักอ่อนน้อม
เพราะความอ่อนน้อมจะเป็นเกราะป้องกันให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อยู่ที่ไหนใครก็รัก ใช่ไหม (ใช่) และใจก็จะต้องเปิดกว้างด้วย
และที่สำคัญคือจะต้องไม่มีอคติต่อเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไป เราจะต้องรับให้ได้ทุกเรื่อง พร้อมที่จะขัดเกลาจิตใจของตนเอง เป็นผู้บำเพ็ญจะต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ใช่ไหม (ใช่)
เพราะเหตุใดจึงต้องบำเพ็ญธรรม (ต้องการหลุดพ้น) จุดมุ่งหมายใหญ่คือต้องการหลุดพ้น
จุดมุ่งหมายรองลงมาก็คือเพื่อต้องการค้นพบพุทธจิตดวงเดิมที่อยู่ในตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ในทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม หากศิษย์น้องนำสิ่งที่ศิษย์พี่พูดไปปฏิบัติได้
ศิษย์น้องก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
เมื่อเราเป็นสุขกับเรื่องทางโลกแล้วเราก็จะมีเวลาให้กับจิตใจ
เพราะเหตุใดตอนนี้ศิษย์น้องจึงยากที่จะค้นพบพุทธจิตดวงเดิม
ก็เพราะศิษย์น้องมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องราวภายนอก จึงไม่มีเวลาที่จะมาตรวจสอบค้นหาจิตใจที่เป็นพุทธจิตดวงเดิมของเรา เรามัวแต่เสียเวลาเกือบค่อนชีวิตไปกับผู้อื่น
ไปกับเงินทอง ไปกับลูกหลาน ไปกับเกียรติยศมามากมายเท่าใดแล้ว การมาบำเพ็ญธรรมนอกจากจะขัดเกลาให้เราอยู่กับผู้อื่นเป็นแล้ว ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการบำเพ็ญก็เพื่อให้เรามีเวลากลับมาฟื้นฟูพุทธจิตที่อยู่ในตัวเรา เมื่อใดที่เราค้นพบ เมื่อใดที่เราเข้าใจ เมื่อนั้นเองศิษย์น้องก็จะรู้ว่าภาวะของการเป็นพุทธะนั้นเป็นอย่างไร แดนนิพพานสุขสงบเพียงไหน
แต่ตอนนี้น้องมัวแต่ยุ่งกับเรื่องภายนอกจึงไม่มีเวลาตรวจสอบค้นหาพุทธจิตดวงเดิม
ใช่หรือไม่ (ใช่)
มัวแต่ยุ่งและจัดการกับปัญหาภายนอกจนลืมไปว่าตัวเราเองมีปณิธาน ตัวเราเองมีความเป็นพุทธะอยู่ บ่อยครั้งที่มัวแต่สนใจความรู้สึกคนอื่น มัวแต่กังวลเรื่องทางบ้าน
กังวลเรื่องทรัพย์สินเงินทองจนลืมไปว่าเรานั้นมีปณิธานที่เคยตั้งไว้ เรานั้นมีพุทธจิตธรรมญาณที่เราทอดทิ้งไปไม่ดูแล
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ตอนนี้ศิษย์พี่มาบอกให้รู้แล้ว ศิษย์น้องก็ต้องรู้จักบำเพ็ญตน
นอกจากจะต้องบำเพ็ญให้ตนเองกลับคืนเบื้องบนแล้ว ยังจะต้องบำเพ็ญตนเองให้ฟื้นฟูกลับมาสู่จิตใจอันกลมใสเหมือนเดิมด้วย
พุทธะมีปณิธานแล้วดำเนินตามปณิธานที่ได้ตั้งไว้จนสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ก็เพราะว่าปณิธานที่ท่านตั้งไว้นั้นย้ำอยู่ในใจว่าตัวเราจะต้องเดินไปทางนี้ ต้องทำหน้าที่นี้ จึงทำให้ท่านมุ่งไปถูกทางแล้วไปถึงจุดหมายได้
ใช่ไหม (ใช่)
แต่หากศิษย์น้องบำเพ็ญตนแล้วรู้แต่เพียงว่า “บำเพ็ญ บำเพ็ญ” แต่ไม่รู้ว่าปณิธานที่ตั้งไปนั้นเป็นเข็มทิศ เป็นแนวทางให้เราดำเนิน ก็ไม่มีประโยชน์แม้ว่าจะตั้งปณิธานไป ๖ ข้อหรือ
๑๖ ข้อก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น
ต้องจำให้ได้ว่าปณิธานที่ตนเองตั้งไปนั้นมีอะไรบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คิด การเอาแต่คิดเอาแต่พูดนั้นน่าอับอาย เป็นผู้บำเพ็ญจะต้องทำมากกว่าพูด การเอาแต่คิดไม่มีประโยชน์ คิดแล้วต้องทำด้วยถึงจะมีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น
ศิษย์น้องจะต้องจำให้ได้ว่าตัวเองมีปณิธานอะไร
ตัวเองต้องทำอะไร
ศิษย์น้องบางคนทำมากกว่าพูด
ทำโดยไม่เคยปริปากบ่นเลยศิษย์พี่ก็รู้และเห็น ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้องไว้อย่างหนึ่งว่า จงทำไปเถอะถ้าศิษย์น้องทำได้
ผลตอบแทนเมื่อศิษย์น้องกลับคืนขึ้นไปเบื้องบนจะมากกว่าที่ศิษย์น้องคิดไว้หลายเท่า แม้จะไม่มีใครเห็น
ไม่มีใครพูดถึงความดีในสิ่งที่ศิษย์น้องทำหรือลงแรง แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า อาจารย์เห็น
ศิษย์พี่ก็เห็น
หรือแม้ศิษย์น้องจะทำผิดแล้วแอบปกปิดไว้
แต่แม้จะซ่อนไว้อย่างไรศิษย์พี่ก็เห็น
แม้ไม่อยากเห็นแต่ศิษย์พี่ก็เห็น
ฉะนั้น อย่าทำผิดนะ
เวลาที่ศิษย์พี่เห็นศิษย์น้องท้อ เหนื่อยหน่าย
พ่ายแพ้ต่ออุปสรรคความยากลำบาก
ศิษย์พี่ก็อยากเข้าไปช่วย
แต่เมื่อไหร่ศิษย์น้องจะปลงเรื่องทางโลกบ้าง
ปลงเรื่องที่ไม่ควรจะนำมาคิดบ้าง
บางครั้งแค่เรื่องเล็กน้อยศิษย์น้องก็ปล่อยวางไม่ได้ เมื่อใดที่ปล่อยได้ศิษย์น้องก็จะพบรอยยิ้มบนใบหน้า แม้ไม่ต้องยิ้มให้คนอื่นเห็น แต่เราก็จะเห็นรอยยิ้มในจิตใจของเรา เป็นรอยยิ้มที่อิ่มในความสุข เมื่อเลือกที่จะบำเพ็ญแล้วขอให้สู้ไม่ถอย เมื่อนั้นศิษย์น้องก็จะพบกับความสำเร็จได้
ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำงานใดขอเพียงเรารักที่จะทำและสู้ไม่ถอย
ศิษย์น้องก็จะพบความสำเร็จได้ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
“เคารพเขาเขาเคารพเราไม่จาง” บางครั้งเป็นผู้ใหญ่
แต่ทำไมเด็กตัวน้อยๆ หรืออายุไล่เลี่ยกับเราไม่ยอมเคารพเรา การจะให้คนๆ
หนึ่งเคารพเรา การจะให้คนๆ นับถือเรา เราจะต้องเป็นแบบอย่างนำที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญแล้วศิษย์จะหนีคำนี้ไม่ได้
เขาไม่เคารพไม่สนใจไม่ได้ เพราะเป็นผู้บำเพ็ญถ้าไม่มีใครเคารพ
แปลว่าเราบำเพ็ญได้ไม่ดีใช่ไหม (ใช่) เป็นผู้บำเพ็ญแล้วอย่างน้อยเราต้องรู้จักขัดเกลาตน
คนที่รู้จักขัดเกลาตน ได้รู้จักควบคุมตน อย่างน้อยต้องเป็นคนที่น่าเคารพใช่หรือไม่
ดังนั้นถ้าเกิดตั้งแต่ศิษย์น้องบำเพ็ญมาไม่มีใครยกมือไหว้
วันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ไม้ซีกเล็กรวมตัวกันใครยากบั่น รู้เท่าทันมวลกิเลสมิลุ่มหลง
เรื่องกังวลลดลงได้เพียงรู้ปลง บุษบง[๑]
ย่อมร่วงโรยไปตามกาล
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง
ฮวา ฮวา
เมื่อมีใจสงสัยทางย่อมหลงทาง จิตว่างว่างกลางวุ่นวายจึงได้เที่ยง
จิตบำเพ็ญเป็นกุศลอันร้อยเรียง รู้แค่เพียงปลดหนี้กรรมญาณได้เบา
ก้าวเท้าสู่พุทธสถานทำใจนิ่ง อย่าโลดแล่นเป็นลิงม้าตามวิสัย
พุทธะแท้สถิตอยู่ที่ภายใน จงตั้งใจศึกษาอย่างมั่นคง
ชีวิตหนึ่งแสนสั้นสร้างคุณค่า อย่ามัวท้าไปเสี่ยงภัยจะสับสน
ถนอมโอกาสฟ้าเมตตาฉุดช่วยคน ไม่อับจนด้วยปัญญาท่านเมธี
เวียนว่ายมาก็นานนับกลางทะเล จงหักเหสู่ฝั่งใจคงที่
เมื่อแสวงทางคืนกลับใจต้องดี น้องยังมีเรื่องให้แก้ไขอีกมากมาย
จงรู้ว่าสีสันพาตาพร่า ใช้ปัญญาแห่งพุทธะคนขยัน
หมั่นตรวจสอบซึ่งตนเองอยู่ทุกวัน สารพันจะตัดลดเพียงหนึ่งเดียว
ในวันนี้โอกาสดีประชุมธรรม ขอให้นำจิตศรัทธามิคดเคี้ยว
บำเพ็ญธรรมใช้ใจดวงเดียว จะปราดเปรียวต้องด้วยสติแกร่ง
ประชุมธรรมสะเทือนไปในสามภพ ขอเคารพตนเองคนประเสริฐ
พุทธระเบียบเฝ้ารักษาให้งามเลิศ และไม่เกิดจิตง่วงนอนขอตั้งใจ
ภัยโดยมากออกจากปากให้ระวัง ขอจริงจังการปฏิบัติใช่ทำเล่น
แม้บำเพ็ญจะมากมายในกฎเกณฑ์ แต่ชัดเจนเพื่อคนเดิมไม่เฉื่อยชา
ในสองวันจงตั้งใจมาให้ครบ เรียนให้จบพาตนเองให้ก้าวหน้า
จงอย่าหลงไปกับรูปอวิชชา ด้วยเมตตาจงมีให้ผู้อื่นเสมอ
ช่วยตนเองให้ถึงฝั่งพ้นปวงภัย และมิลืมช่วยเวไนยเต็มห้วงน้ำ
อย่าคิดถึงแต่ตนเองจงจดจำ อาตมัน[๒]
นำยิ่งไม่ตัดจะยิ่งยาว
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอน้องจงตั้งใจให้แน่วแน่
ขอให้เกิดจิตกุศลอันปรกแผ่ มอบแด่บรรพชนผู้ยังรอ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
ยามบ่ายคล้อยสายลมเย็นเป็นสุขี แต่นาทีแห่งสุขนั้นนานเพียงไหน
สุขแลทุกข์รุกสลับรับกันไป ปล่อยสบายเพลินตามใจไหลดั่งธาร
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
เกิดเป็นคนชาตินี้ใช่ง่ายดาย รักสบายให้ทุกข์รู้ไว้เถิด
บัดนี้กาลฟ้าคัดคนประเสริฐ ดั่งจันทราเด่นบรรเจิดบนฟ้าไกล
ปณิธานไม่หลงทางถ้ามีไว้ อัคคีไปหล่อหลอมทองอัคคีพ่าย
สู่ปรมัตถ์[๓]
วัดที่ง่ายไม่ใช่ เหมือนยากไปทองแท้เรืองสำแดง
บำเพ็ญธรรมจะเดินง่ายถือสัจจะ ดีชนะร้ายตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ก่อนอื่นอดทนคนต้องแกร่ง จนคงที่เกิดแจ้งในฤทัย
วจีกล่น[๔]
ผู้อื่นกลับเป็นเอง ฝึกฝนเร่งแต่วจีกระทำหน่าย
ละกิเลสทั้งกายและจิตใจ งามใช่งามในรูปทรัพย์บริบูรณ์
ท้องนภาวิรุฬห์[๕]
พรำก็จะงาม ได้ขึ้นเรือเมตตาธรรมมิสูญ
ด้วยส่งเสริมอบรมธรรมนำเกื้อกูล ได้เพิ่มพูนก้าวหน้าการบำเพ็ญ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
การสวมใส่เสื้อผ้าวิจิตรพิสดารหรือเรียบง่ายก็ต้องเดินบนพื้นเป็นปกติเหมือนกันทุกคน
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเราจะห่วงสวยห่วงหล่อไปทำไม สำคัญที่จิตใจมากกว่า
จิตใจเป็นอย่างไรย่อมแสดงผลออกมาอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นการเดิน สีหน้า คำพูด
หรือการกระทำใช่หรือไม่
เราไม่สามารถหลอกลวงตัวเองได้ ใจคิดอย่างไร
บ่อยครั้งเราจะแสดงออกอย่างนั้น
การปล่อยตัวตามใจตามสบายคิดอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น
นึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะให้ผลดีตลอด
ฉะนั้นเราต้องรู้จักควบคุมความคิดและระมัดระวังความคิดด้วย
อย่าคิดว่าเป็นสิ่งที่อยู่ภายในไม่มีใครเห็นไม่เป็นไร เหมือนตอนนี้ท่านคิดอย่างไร
นัยน์ตาก็จะถ่ายทอดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ปกปิดไม่ได้ หลอกลวงกันไม่ได้ ในเมื่อเราไม่อยากให้คนอื่นหลอกเรา เราเองก็อย่าหลอกตัวเองก่อน
ถ้าเราหลอกตัวเราเองได้เราก็สามารถหลอกคนอื่นได้เหมือนกัน
เกิดเป็นคนนั้นมีความเป็นอิสระในการดำรงชีวิตไหม
ใครคิดว่าไม่มีอิสระบ้าง (การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่มีอิสระเนื่องจากว่ามนุษย์นั้นมีกฎเกณฑ์มากมาย) แต่บางครั้งกฎเกณฑ์ก็บีบบังคับเราไม่ได้
ฉะนั้นชีวิตจะอิสระหรือไม่
ขึ้นอยู่กับเรารู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่มาสัมผัสในชีวิตต่างหาก
บางคนไม่มีกฎเกณฑ์แต่เขาอาจรู้สึกไม่มีอิสระก็เป็นไปได้
กฎเกณฑ์ข้อบังคับบางทีก็อาจจะทำให้เรามีความสุขได้
แต่บางทีไร้กฎเกณฑ์ไร้ข้อบังคับก็อาจนำมาซึ่งความทุกข์ก็ได้
แต่คนที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้ต่อเมื่อเขาทำตัวไร้กฎเกณฑ์ใช่หรือไม่ (ใช่) ผลของการไร้กฎเกณฑ์
จึงทำให้เขารู้ว่าการมีกฎเกณฑ์การมีข้อบังคับมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตในโลกนี้
บางครั้งเราต้องคิดด้วยว่าอย่าได้ยึดติดความคิดใดความคิดหนึ่งให้อยู่เหนือปัญญาของเรา
อย่าได้นำสิ่งที่เรามองหรือสิ่งที่เรารับฟังอยู่เหนือความคิดของเรา
บ่อยครั้งที่มนุษย์จะให้ความคิดเป็นหลักใหญ่มากกว่าสิ่งที่มองเห็น
หรือบางคนอาจจะให้สิ่งที่มองเห็นมีอำนาจมากกว่าความคิดในตัวตน ยกตัวอย่างง่าย ๆ
หากเรามีความคิดอย่างหนึ่ง และเราเชื่อความคิดมากกว่าสิ่งที่ตาเราเห็น
อย่างเช่นมีชายคนหนึ่งอยากจะซื้อรองเท้าคู่หนึ่ง เขาจึงนำเชือกวัดเท้าตนเอง
เมื่อไปถึงร้านขายรองเท้าที่ตลาดแล้วปรากฏว่า เขาไม่ยอมซื้อ
เขาบอกว่าเชือกนั้นคือขนาดของเท้าเขา แต่บังเอิญเขาลืมติดเชือกเส้นนั้นมา
จึงกลับบ้านไปเอาเชือกนั้นมาใหม่ แต่ปรากฏว่าอดซื้อรองเท้าเพราะตลาดได้ปิดไปแล้ว
นั่นก็คือเขายึดมั่นกับความคิดของตนเอง พอเข้าใจตรงนี้ไหม
เราอย่าได้ยึดติดกับความคิดใดความคิดหนึ่ง
พอมีเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงความคิดหรือเรื่องราวที่มาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรารับรู้เราก็ไม่ยอมรับความคิดอื่น
ปิดใจไปเสียหมดเพราะคิดว่าสิ่งที่ตนเองรู้มานั้นถูกต้องแล้ว
ก็ทำให้เราเป็นเหมือนคนที่ซื้อรองเท้าคนนี้ พอเข้าใจไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าได้ใช้ความคิดหรือเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่งตัดสินใจกับชีวิต
แต่เราต้องใช้องค์ประกอบหลายๆ อย่างร่วมกันตัดสินใจในชีวิต เวลาของชีวิตนั้นมีไม่มาก
การตัดสินใจจึงต้องคิดให้รอบคอบ อย่าได้มั่นใจในความคิด
เรื่องราวที่ตนเองรับรู้มากจนเกินไป มิเช่นนั้น จะพลาดโอกาสดีๆ ได้ตลอดเวลา
เรื่องที่เรากล่าวเมื่อสักครู่ใครยังไม่แจ้งในใจบ้าง
ยกตัวอย่าง เหมือนดอกไม้ในตะกร้านี้ ถ้าเราจะเลือกซื้อดอกไม้หรือเลือกซื้อสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
เรามั่นใจว่าร้านนี้ถูกที่สุดแล้ว แต่เรามักจะได้ยินคนอื่นพูดว่า
อีกร้านหนึ่งก็ถูกเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งทีต้องรู้จักเปิดใจกว้าง
ตาเราเปิดกว้างแล้วใจเราต้องเปิดกว้างด้วย ต้องรับเรื่องราวทุกเรื่องราวให้ได้ อย่าได้มั่นใจว่าเราคิดถูกเสมอไป
บ่อยครั้งตัวเราก็คิดผิดได้เข้าใจผิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้เรามักจะเกิดความโลภ
ความโกรธและความหลง แต่จะมีใครในโลกนี้บ้างมีความอยากแล้วจะไม่กลายเป็นความโลภ
มีความไม่พอใจแล้วจะไม่กลายเป็นความโกรธ มีความเข้าใจแล้วจะไม่กลายเป็นความหลงตน
เพราะมนุษย์เมื่อเกิดความอยากขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะต้องอยากได้มากกว่าเดิม
ให้ได้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนทำให้เราเกิดความเห็นแก่ตน
ซึ่งเป็นกิเลสมาเกาะกุมจิตใจ เมื่อเราเกิดความขัดเคืองใจไม่สบใจ
มีใครบ้างที่จะไม่โกรธ และมีใครบ้างที่เวลาเข้าใจเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่งแล้วจะไม่หลงตนเองว่าเป็นผู้รู้
คงหาได้ยากในโลกนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์มักจะเคยชินกับการปล่อยตัวเองเป็นอิสระ
ปล่อยตัวเองไปตามเสรี พอปล่อยตัวเองตามอิสระแห่งความอยากเราก็รู้จักความโลภ
พอปล่อยตัวเองไปกับความไม่พอใจ ไม่พึงใจ เราก็ได้รู้จักความโกรธ
พอปล่อยตัวเองไปกับความเข้าใจก็อดไม่ได้ที่จะหลงตนใช่หรือไม่ (ใช่) เกิดมิจฉาทิฐิขึ้นในตัวเรา
ทำให้มีกิเลสเกาะกุมใจ
แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถเกิดความคิดที่ถูกต้องควบคุมตนเองได้ถูกทาง
จากมิจฉาทิฐิก็จะกลายเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อมีความอยากก็จะหยุดตัวเองไม่ให้เกิดความโลภ
เมื่อมีความไม่พอใจ ก็จะหยุดตัวเองเสียก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ขี้โมโห
แล้วเมื่อมีความเข้าใจก็จะอ่อนน้อมตนเอง
ไม่ทำให้ตนเองกลายเป็นคนหลงหรือยึดมั่นในความรู้ของตน
เมื่อใดที่เรามีความคิดที่ถูกต้องนำพาชีวิตได้เราก็จะเกิดความปิติยินดีมีความสุขในการดำเนินชีวิต
มีชีวิตที่ปราศจากกิเลสเครื่องรั้งจิตใจให้เกิดทุกข์ได้
การดำเนินชีวิตเช่นนี้ฟังดูแล้วก็จะง่ายยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่เราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถยับยั้งตนเองได้
เพราะหากจะให้เมธีทุกท่านในที่นี้ไม่มีความอยากเลยก็เป็นไปไม่ได้
จะไม่ให้มีเรื่องขัดใจเลยก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
ให้เป็นคนไม่เรียนรู้อะไรเลยไม่เข้าใจอะไรเลย ดำเนินชีวิตอย่างธรรมชาติ ก็คงไม่ยอม
เพราะไม่อยากเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะดำเนินชีวิตให้มีสามอย่างนี้แต่เป็นสัมมาทิฐิที่ดีงามและถูกต้อง
ถ้าเราดำเนินถูกทางชีวิตย่อมราบรื่นไร้อุปสรรค ไร้ศัตรู ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้ชีวิตของทุกคนเป็นอย่างไร
ไม่รู้วันไหนจะพบศัตรู ไม่รู้วันไหนจะมีอุปสรรค
ไม่รู้วันไหนจะเจอเภทภัยเข้ามาหาตัว ฉะนั้น เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรดี (ดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรม ตามแนวทาง ตาม
สัจธรรม) วันนี้เราดำเนินชีวิตมาได้อย่างปลอดภัย มาถึงที่หมายโดยไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นต้องมีวิถีทางดำเนินชีวิต นั่นก็คือไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ สมาธิและปัญญา บางคนมักจะคิดว่าสมาธิก็คือการนั่งหลับตาอย่างเดียว แต่การฝึกสมาธิที่แท้จริงก็คือมีสมาธิในขณะที่ยังลืมตา นี่จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกสมาธิได้จริงๆ
สัจธรรม) วันนี้เราดำเนินชีวิตมาได้อย่างปลอดภัย มาถึงที่หมายโดยไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นต้องมีวิถีทางดำเนินชีวิต นั่นก็คือไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ สมาธิและปัญญา บางคนมักจะคิดว่าสมาธิก็คือการนั่งหลับตาอย่างเดียว แต่การฝึกสมาธิที่แท้จริงก็คือมีสมาธิในขณะที่ยังลืมตา นี่จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกสมาธิได้จริงๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานดอกไม้และผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)
ท่านต้องการผลไม้หรือดอกไม้(ดอกไม้,ความว่างเปล่า) ความว่างเปล่าของจิตใจจะบังเกิดได้คือเราไม่ยึดแม้แต่คำว่าว่างเปล่า
หลักการในการดำเนินชีวิตของท่านคืออะไร
บ่อยครั้งที่เราใช้อยู่เสมอแต่บางทีเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นรวมกันแล้วเรียกว่าอะไร
การตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท การรู้จักระมัดระวัง การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ไม่อยากจนเกินไป ไม่โลภจนเกินไป การรู้อะไรดีอะไรชอบ
การรู้จักไม่เอาสิ่งของของผู้อื่น สิ่งนี้หากเรารวมเรียกว่า "ธรรม" เรามีธรรมในการดำเนินชีวิต
เราใช้ธรรมในการช่วยนำพาชีวิต แต่มนุษย์เรามักจะลืมไปว่านั่นคือ “ธรรม” และมักจะลืมไปว่าชีวิตเราขาดธรรมไม่ได้
จนกระทั่งเราขาดจริงๆ แล้วเราถึงจะรู้สึกว่าชีวิตเราไม่ควรขาด
คุณธรรม สังคมหรือครอบครัวถ้าขาดคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่งไปอาจจะพบความวุ่นวาย อาจจะพบความไม่สงบสุขก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราดำเนินชีวิตอย่างรู้จักความถูกต้อง เราคงดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุขขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง การดำเนินชีวิตด้วยความถูกต้องมากกว่าอารมณ์ มากกว่าความอยาก ย่อมเป็นการดำเนินชีวิตที่ดีงามใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะรู้กันอยู่ แต่เราก็มักจะหลอกตัวเอง บ่อยครั้งที่เรามักใช้อารมณ์เหนือคุณธรรม เหนือความถูกต้อง ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุมตนตามไปด้วย แล้วรู้จักโทษของการไม่ควบคุมตนด้วย การรู้จักโทษจะทำให้เราไม่กล้าที่จะปล่อยตัวเองตามอารมณ์ ตามความอยาก หรือตามจิตใจที่ผิด ๆ ไป ใช่ไหม (ใช่)
คุณธรรม สังคมหรือครอบครัวถ้าขาดคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่งไปอาจจะพบความวุ่นวาย อาจจะพบความไม่สงบสุขก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราดำเนินชีวิตอย่างรู้จักความถูกต้อง เราคงดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุขขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง การดำเนินชีวิตด้วยความถูกต้องมากกว่าอารมณ์ มากกว่าความอยาก ย่อมเป็นการดำเนินชีวิตที่ดีงามใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะรู้กันอยู่ แต่เราก็มักจะหลอกตัวเอง บ่อยครั้งที่เรามักใช้อารมณ์เหนือคุณธรรม เหนือความถูกต้อง ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุมตนตามไปด้วย แล้วรู้จักโทษของการไม่ควบคุมตนด้วย การรู้จักโทษจะทำให้เราไม่กล้าที่จะปล่อยตัวเองตามอารมณ์ ตามความอยาก หรือตามจิตใจที่ผิด ๆ ไป ใช่ไหม (ใช่)
การดำเนินชีวิตตามความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือตามความชอบธรรมนั้นยังต้องรู้จักอีกสามอย่างในการดำเนินอีกด้วย
คืออะไร
(หัวหน้าชั้น : การได้รู้จักตน
รู้จักคน และรู้จักงาน) การดำเนินชีวิตให้รู้จักความถูกต้องนั้น ต้องรู้จักอย่างหนึ่งก็คือ
ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่สอดคล้อง
ถูกต้องด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและถูกต้องด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ แต่ที่หัวหน้าตอบนั้น รู้จักตน
รู้จักผู้อื่นแล้วก็รู้จักงานนั้นก็คือเมื่อเราต้องประสบเรื่องราวใดเรื่องราวหนึ่ง
เราจะแก้ปัญหาได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักงานที่เราทำนั้นเป็นอะไร
แล้วเรารู้จักคนที่ร่วมงานกับเรานั้นเป็นคนเช่นไร
เราถึงจะสามารถทำงานร่วมกับเขาได้อย่างประสบผลสำเร็จ
แต่สิ่งที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้ก็คือการดำเนินชีวิตอย่างรวม ๆ
ที่จะทำอย่างไรให้สามารถมีชีวิตที่ถูกต้องและไม่บังเกิดกิเลส ไม่กลายเป็นมิจฉาทิฐิ
หรือการดำเนินชีวิตที่ผิดหนทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
บำเพ็ญธรรมเราควรพยายามรักษาความถูกต้อง
รักษาความชอบธรรม แต่คนที่อยู่รอบข้างเรานั้นมักจะไม่ปฏิบัติตามความถูกต้องและความชอบธรรม
หรือเราไม่สามารถที่จะโน้มน้าวให้เขาปฏิบัติตามความถูกต้องและความชอบธรรมได้
เราจะตัดสินว่าความดีสู้ความร้าย ได้ไหม (ได้) ถ้าคิดว่าสู้ได้แปลว่าทุกวันเราต้องปฏิบัติ
ฉะนั้นทุกวันที่เราปฏิบัติเรายากที่จะเจอศัตรู
แต่บ่อยครั้งที่เราปฏิบัติอย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ยังมีศัตรูมาระราน
แสดงว่าคุณธรรมของเราไม่พอหรือเปล่า ความดีของเราไม่เต็มที่ใช่หรือไม่ (ไม่แน่) เมื่อกระทำแล้วไม่แน่ใจแสดงว่าสิ่งที่กระทำยังไม่ชัดเจนยังดีไม่เต็มที่หรือเปล่า
เอาอะไรมาเป็นระดับวัดว่าแน่วแน่หรือมั่นคงในชีวิต เพราะว่าระดับของจิตใจแต่ละคน
ก็แตกต่างกันความรู้สึกที่เขามีต่อใครหนึ่งก็ยังต่างกันไปอีก
ฉะนั้นเราจะใช้ระดับอะไรเป็นการวัดดี หากเราวัดระดับแค่ตัวเราทำเต็มที่ พอไหม (ไม่พอ) แล้วใช้ตัวเขาวัดได้หรือไม่
(ไม่ได้) แต่ละคนมีระดับการรับรู้ความรู้สึกแตกต่างกันไป
ฉะนั้นเราจะเอาเกณฑ์ของเรามาวัดแแล้วนำมาตัดสินคนอื่นย่อมไม่ได้
แต่ถ้าเราทำให้ถึงเกณฑ์ของเขา เราก็ย่อมชนะเขาได้
คนเราทุกคนมีปัญญาที่จะรู้เกณฑ์ของผู้อื่นได้โดยการที่เราดูความเปลี่ยนแปลงของเขา
ถ้าเมื่อไหร่เขาเปลี่ยนจากร้ายมาเป็นดีเมื่อนั้นย่อมหมายถึงเกณฑ์ในการทำความดีเราถึงแล้ว
แต่ถ้าหากเราทำแล้วเขายังไม่เปลี่ยนแปลง
เท่ากับว่าเกณฑ์ในการทำความดีของเรานั้นยังไม่ถึงเกณฑ์
แต่มนุษย์นั้นมักจะอดทนไม่พอ พูดง่ายๆ ก็คือให้เขาได้ไม่แกร่งพอ อดทนได้ไม่พอ
เราจึงพ่ายแพ้เรื่อยๆ ยกตัวอย่างนิทานง่ายๆ จะได้เข้าใจมากขึ้น
มีคนบอกว่าหินก้อนนี้ถ้าขัดกันแล้วจะเกิดไฟ แต่ท่านขัดอย่างไรก็ไม่เกิดไฟ
จะโทษคนบอกหรือโทษหินได้หรือไม่ (ไม่ได้) แต่ต้องโทษความพยายามความอดทนไม่พอใช่หรือไม่
ถ้าเราอดทนจนถึงที่สุดไฟย่อมบังเกิดได้
ถ้าเราอดทนถึงที่สุดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตย่อมมีขึ้นมาได้
แต่ก็ต้องมีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ขัดใจ นั่นก็คือเรื่องเหนือความคาดเดาเรื่องเหนือชะตาชีวิตของเรา
บางครั้งเราทำเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่ของเรา เราต้องทำใจยอมปล่อยวาง
เรื่องในโลกนี้มีเรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แและเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าเรารู้ว่าเราทำเต็มที่แล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้เราก็ต้องปล่อย
ไม่แน่สักวันหนึ่งการไม่ทำอะไรเลยก็อาจเอาชนะเขาได้
บางทีการไม่สนใจอะไรเลยอาจจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตก็เป็นได้
ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกวิธีใดในการดำเนินชีวิต เราเลือกวิธีใดในการนำพาตนเอง
หากเข้าใจคำว่ามองโลกให้กว้างอีกสักนิดหนึ่งก็จะเข้าใจในการมองชีวิตคนยิ่งขึ้น
แต่เป็นเพราะว่าหูเราฟังได้ระยะสั้น ตาเรามองได้จำกัด ปากเราพูดเสียงดังได้เท่านี้
เราจึงมักจำกัดใจของตนเองตามไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) รับได้เฉพาะเรื่องนี้
เข้าใจได้เฉพาะเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วหากลองดูใหม่ อาจจะรับได้มากกว่านี้ ฉะนั้นถ้านำพาชีวิตให้ถูกต้อง เราย่อมมีเสรีได้
ย่อมมีความสุขที่หาได้เหมือนกัน เมื่อเราสามารถเอาชนะเรื่องที่ขัดใจเราได้
เราก็จะเปิดปัญญาได้ครั้งหนึ่ง
เมื่อไหร่ที่เราสามารถชนะเรื่องที่ไม่สบอารมณ์ได้จิตใจของเราก็จะสว่างได้ขณะหนึ่ง
แต่บ่อยครั้งเมื่อไม่สบอารมณ์เมื่อไม่ถูกใจเรามักจะยอมแพ้ใช่ไหม (ใช่)
ต้นไม้ต้นหนึ่งถ้าหากรากถูกละเลยไม่มีคนสนใจ
จะเจริญเติบโตได้อย่างสวยงามไหม (ไม่สวยงาม)ภายในจิตใจของเราเองก็เปรียบได้กับราก
จิตใจมักจะเคลื่อนไหวไปตามความคิดที่คอยเพิ่มเติม
ฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าแม้ภายนอกจะสวยเพียงใด แต่ถ้าภายในคิดไม่ดีเพียงชั่วขณะหนึ่ง
แม้ภายนอกจะสวยก็สวยได้ไม่เต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อส่องกระจกแล้วอย่าได้ลืมที่จะส่องดูจิตใจของตนเอง
เมื่อเราแต่งเติมความงามให้กับร่างกายแล้ว
เราต้องไม่ลืมที่จะให้ความงามกับจิตใจของเราด้วย
ความงามที่ทำให้จิตใจเรานั้นงดงามจนออกมาสู่ร่างกายนั้นคือการเติมอะไรให้กับชีวิต (ทำดี, ถ้าคนเราจะทำจิตใจให้สวยต้องเติมธรรมะเข้าไป) เราจะทำให้จิตใจงามได้โดยหมั่นเติมคุณธรรมใช่หรือไม่
(ใช่)
ทุกๆ
คนมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้วแต่จะงามได้ต้องขึ้นอยู่กับการแสดงออก
ไม่ใช่เก็บเอาไว้อยู่ภายในอย่างเดียว การแสดงออกเป็นส่วนที่ชี้ชัดว่าเรามีความงามแท้จริงหรือไม่ บางครั้งเราตอบว่าใจเรามีความเมตตา
ใจเรามีความดี แต่เวลาถึงคราวทำเรากลับทำได้ช้ากว่าคนอื่นเคยเป็นไหม (เคย) บางทีใจเรามีความซื่อ ใจเรามีความยุติธรรม
แต่คนอื่นกลับแสดงความยุติธรรมปรากฏออกมาก่อนที่เราจะปรากฏเคยเป็นไหม (เคย) แปลว่าเราก้าวไม่ทันหรือพูดง่ายๆ
ก็คือเราไม่ค่อยกล้าจะแสดงออกซึ่งจิตใจแห่งความดี การแสดงออกจึงช้า
การเป็นคนดีจึงต้องตามหลังผู้อื่นอยู่ร่ำไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ประโยคหนึ่งที่ปราชญ์มักจะพูดเวลาจะฝึกตนเอง บำเพ็ญตนเองเป็นคนดี "เมื่อพูดถึงความดีไม่รอช้า ไม่เกี่ยงแม้คนนั้นจะเป็นอาจารย์
ก็ขอให้ตัวเองได้ทำก่อน" นั่นก็คือว่า
ไม่รอช้าที่จะฉกฉวยในการกระทำ ไม่รอช้าไม่เกี่ยงงอนที่จะทำ
หากทุกคนทำเช่นนี้ความดีความงามย่อมบังเกิดในจิตใจ ย่อมปรากฏได้ในทุกๆ
คนใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนภายในงามแล้วแม้กายภายนอกจะไม่สวย
คนก็ย่อมจะรักได้เหมือนกัน
ท่านเคยตำหนิติเตียนคนอื่นหรือเปล่า
แล้วเคยรู้สึกไหมว่าเราตำหนิเขาแต่ตัวเราเองก็ยังทำไม่ได้เลย
แปลว่าการที่เรามองคนอื่น ช่วยให้เห็นตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเห็นคนอื่นไม่ดีต้องเร่งรีบตรวจสอบตัวเองเสียก่อนว่าตนเองมีสิ่งนั้นหรือเปล่า
ไม่เช่นนั้นว่าไปอายเขาเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราอยากควบคุมตนเองเราจะทำอย่างไรดี
เพราะคนที่รู้จักควบคุมตนเองยากที่จะทำผิดพลาด ย่อมยากที่จะเกิดความทุกข์ร้อนใจ
การปล่อยตนเองไปเรื่อยๆ ตามกระแสแห่งโลก มักจะนำพาให้เราเวียนวนไม่พบความสิ้นสุด
ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะหยุดเรื่องราวภายนอกของโลกได้ต่อเมื่อเราหยุดใจของเรานี้
สรรพสิ่งล้วนเกิดที่จิตแล้วจะดับที่ไหน (ดับที่จิต) ฉะนั้น จึงมีสำนวนจีนว่า "ไม่ต้องออกนอกบ้าน ก็สามารถรู้เรื่องราวในโลกได้" แรกๆ เราศึกษาธรรม เราก็เหมือนกับท่าน เรามองเห็นเรื่องสัจธรรมเป็นเรื่องตลก
เป็นเรื่องแปลก ดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่เมื่อเราไปประสบพบความเป็นจริง
เราจึงรู้ว่าเรื่องราวในโลกนั้นสามารถจะหยุดได้ที่ตัวเรา สามารถจะดับได้ที่ตัวเรา
และสามารถที่จะรู้เรื่องทุกอย่างได้ด้วยตัวเราเองเหมือนกัน ทำไมเราถึงพูดเช่นนี้
เรื่องราวในโลกนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่แค่ร่างกาย
แต่เป็นทั้งเรื่องราวที่เรียกว่าทุกข์ สุข ทรัพย์ เกียรติยศ ชื่อเสียง
แต่ในปัจจุบันนี้ หากเราเรียกร้องให้ท่านทำก็คงกระทำกันได้ยาก
ให้บำเพ็ญอยู่แต่ในบ้านอย่าออกไปไหน แล้วท่านจะบำเพ็ญได้บรรลุ
สงสัยว่าท่านคงจะอึดอัดตายเสียก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่วันหนึ่งไม่ได้ออกจากบ้านอยู่แต่ในบ้านปิดหน้าต่างปิดประตู
เป็นอย่างไร (อึดอัด) เมื่อเราเปิดหน้าต่างเปิดประตูก็จะออกไปรับรู้เรื่องราวได้อย่างเป็นสุข
ใช่หรือไม่ (ใช่)
นั่นก็คือเราต้องรู้จักเปิดและปิดใจของเรา รับและหยุดด้วย
เข้าใจตรงนี้ไหม คำว่า"รับ"และ"หยุด" เปิดและปิดกายใจเป็น
ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้ากล้าหาญไม่ถูกทางย่อมไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนต่างเจอเรื่องราวในชีวิตต่างกันออกไป
แต่ที่สำคัญขอให้ถือสัจจะเป็นหลัก แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีแล้วหมั่นกระทำสิ่งที่ดีนี่ก็คือการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม
ส่งเสริมคุณธรรมในตนเอง แก้ไขสิ่งไม่ดีนั่นก็คือรีบลบล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากใจ
ขัดออกไปจากใจตนเอง แล้วหมั่นสร้างที่ดีให้บังเกิดแก่ใจตน
ถ้าเกิดว่าคนกล้าหาญคนนั้นเป็นคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงจะเกิดอะไรขึ้น
กับคนที่ไม่มีตำแหน่ง ถ้าเกิดเขามีความกล้าจะเป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่ที่ว่าเขากล้าแบบไหน
ถ้ากล้าอย่างถูกต้องคนที่เป็นผู้นำก็นำพาผู้ตามได้อย่างถูกต้องและดีงาม
แล้วถ้าท่านกล้าหาญถูกต้องคนก็ต้องตามท่าน
แต่ถ้าคนไม่ตามท่านแปลว่าสิ่งที่ท่านกล้าหาญหรือสิ่งที่ท่านตัดสินใจดำเนินนั้นต้องมีอะไรผิดพลาดใช่หรือไม่
(ใช่) ถ้ากล้าหาญอย่างไม่ถูกต้องจะเป็นเช่นไร (สิ่งที่เราตัดสินใจไว้แล้วพิจารณาตัดสินใจผิดเกิดโทษทั้งระบบ) แต่พูดง่ายๆ
คนอยู่หลังจะว่าคนข้างหน้าว่า ดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเองไม่มองคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าเป็นคนไม่มีตำแหน่งแล้วกล้าหาญขึ้นมาล่ะ
(ถ้าไม่มีตำแหน่งอาจจะไม่มีคนตาม) แต่เขาอาจจะก่อผลอะไรขึ้นมาได้ถ้าเกิดเขากล้าหาญขึ้นมาแต่ลืมคำนึงถึงความถูกต้องความดีงามคุณธรรม
ความกล้าหาญของเขาอาจจะสร้างสิ่งที่ผิดและก่อโทษให้กับสังคม
ในโลกนี้มีคนสองประเภทคือคนกล้าและคนนิ่งเฉย
คนที่นิ่งเฉยย่อมไม่สามารถทำให้สังคมเป็นอะไรได้
แต่คนที่กล้าหาญนั้นสามารถทำให้สังคมเกิดความสงบหรือเกิดความวิบัติได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่นิ่งเฉยนั้นจะเฉยตลอดได้หรือไม่
ถ้าเกิดมีคนประเภทนี้เกิดขึ้นมา ท่านก็ยากจะเดาได้ว่าเมื่อไหร่เขากล้าเมื่อไหร่เขาไม่กล้า
ฉะนั้นการดำรงชีวิตเราอย่าได้มองเห็นว่าเหตุการณ์สงบๆ อย่างนี้
พรุ่งนี้อาจจะยังสงบ แต่ยังไม่แน่เสมอไป
พรุ่งนี้ถ้าคนไม่มีตำแหน่งเกิดกล้าขึ้นมาความวุ่นวายย่อมบังเกิดได้
ทำไมเราต้องพูดถึงคำว่ากล้าหาญกับท่านตอนนี้ เพราะบ่อยครั้งมนุษย์มีความกล้าขึ้นมาอย่างหนึ่ง
อาจทำให้สังคมสงบหรือวิบัติได้
ถ้าคนนั้นเป็นคนที่ไม่มีตำแหน่งสังคมนั้นจะเป็นเช่นไร
ถ้าเขากล้าอย่างไม่ถูกต้องและหลงลืมคุณธรรมก็ย่อมเกิดภัยพิบัติหรืออาจจะเป็นโจรผู้ร้ายก็เป็นได้
แล้วปัจจุบันมีคนกล้าแบบนี้เยอะหรือไม่ (เยอะ) แล้วคนนิ่งเฉยล่ะ
นิ่งเฉยตลอดไปดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เพราะเราไม่รู้ว่าวันใดเขากล้าวันใดเขาไม่กล้า
ฉะนั้นการแก้ก่อนเหตุย่อมจะดีกว่าการแก้ตอนเกิดเหตุแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้ทุกคนในที่นี้เห็นภัยพิบัติ
หรือพูดว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นทุกคนย่อมกลัวเริ่มขยาด แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะแก้ภัยพิบัติไม่ให้เกิดขึ้นได้นั่นก็คือไม่นิ่งเฉย
การไม่นิ่งเฉยก็คือการรู้จักนำคุณธรรมไปกระเตื้องฟื้นฟูให้คนในสังคมมีความคิดที่ถูกต้องเที่ยงธรรมยิ่งขึ้นใช่หรือไม่
(ใช่) ฉะนั้นตอนนี้ท่านยังจะเอาแต่นิ่งเฉยไม่สนใจที่จะช่วยฟื้นฟูคุณธรรมในโลก
หรือมีโอกาสต้องนำธรรมไปส่งเสริมนำธรรมไปฉุดช่วยเขา
มีโอกาสตัวเองต้องแสดงธรรมโดยการปฏิบัติให้เขาเห็นและประจักษ์ผล
คนบำเพ็ญต้องรู้จักปฏิบัติและพูดให้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
เขาถึงจะเชื่อถือและเขาถึงจะทำตามเรา
วันนี้แม้เราจะพูดมามากมาย
แต่ที่สำคัญอย่างเดียวก็คืออยากให้คนในโลกนี้มีความคิดที่ถูกต้องในเรื่องคุณธรรมการดำเนินชีวิต
เพราะคนยุคนี้เต็มไปด้วยคนที่เอาแต่ได้ เห็นแก่ตน โลภไม่มีที่สิ้นสุด
สัจจะแม้จะพูดกันเต็มปากเต็มคำแต่ปฏิบัติไม่มีสัจจะ
กายแม้จะบอกว่าดูเป็นคนดีดูสวยงามแต่ไม่งามจริง ฉะนั้นอย่าปล่อยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เดือดร้อนแต่เพียงผู้เดียว
เราผู้เป็นมนุษย์ เราผู้ต้องดำเนินชีวิต เราผู้ต้องประสบเคราะห์ภัย
อย่าได้นิ่งเฉยคิดว่าภัยยังไม่มาใกล้ตัว
ชีวิตนี้ก็ปล่อยให้ผ่านไปวันหนึ่งอย่างนั้นก็ไร้ค่า
ช่างน่าเสียดายในการมาฟังธรรมในวันนี้ เพราะการบำเพ็ญตนแล้วจะช่วยโลกได้ ช่วยตนเองและสังคมได้
ใช่หรือไม่
คำพูดของเราแม้จะกล่าวออกมามากมาย
แต่ขอเพียงมีประโยชน์กับใจท่านสักนิดหนึ่ง อย่าได้ฟังแล้วก็ผ่านหูไป
กลับบ้านก็ยังเหมือนเดิม เอาแต่ใจตน เอาแต่อารมณ์ตน อย่างนั้นไม่มีประโยชน์
การให้อภัยคนอื่น การลดทิฐิของตน การปล่อยวางบ้าง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
ย่อมทำให้ใจเราเบิกบาน
มาร่วมฟังกันกี่ครั้งแล้วต้องปฏิบัติให้ได้อย่าได้แต่ฟัง
ฟังแล้วไปทำให้เกิดประโยชน์ด้วย
มานั่งฟังวันแรกต้องอดทนมากหน่อย
เพราะไม่เคยนั่งฟังนานขนาดนี้ หรือพูดง่าย ๆ ไม่เคยอดทนได้นานขนาดนี้เลย
ฉะนั้นวันนี้ผ่านไปตนเองต้องฝึกฝนความอดทนใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำหนึ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดอยู่ประจำคือมนุษย์ต่างจากพระพุทธะตรงที่ว่า
ปณิธานของพุทธะนั้นช่วยเวไนยแต่ปณิธานของมนุษย์นั้นช่วยตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เรามาศึกษาธรรม
ปณิธานที่ท่านจะได้ยินล้วนเป็นปณิธานที่ทำเพื่อเวไนย ทำเพื่อมวลชน คนๆ
หนึ่งหากมีปณิธานที่จะทำเพื่อผู้อื่น คนนั้นเป็นคนน่านับถือไหม (น่านับถือ) คนนั้นจะป็นคนที่น่าเคารพได้ก็ต่อเมื่อปณิธานที่เขามีแล้วเขาทำได้ถึงจริง
ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยปกติคนทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิต
จุดมุ่งหมายหรือเข็มทิศในการดำเนินชีวิตก็คล้าย ๆ กับปณิธาน
แต่ปณิธานนั้นเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจจริงในการดำเนินชีวิต
ชีวิตของเราถ้าหากเอาแต่เดินอยู่ร่ำไปย่อมยากที่จะเดินได้ถูกทางมักจะไขว้เขว
ใช่หรือไม่ (ใช่)
หนึ่งคำอาจมีความหมายได้หลายความหมาย
ตอนนี้คงมีหลายคนอยากกลับบ้าน แล้วถ้าตอนนี้เราพูดว่ากลับบ้านท่านจะกลับบ้านไหนกัน
บางคนมีบ้านหลายหลัง แล้วเราเป็นเจ้าของบ้านหรือบ้านเป็นเจ้าของเรา
เราเป็นเจ้าของทรัพย์ หรือทรัพย์เป็นเจ้าของเรา แต่เรามักจะคิดถูกกลายเป็นคิดผิด
คิดผิดกลายเป็นคิดถูกอยู่ร่ำไป เวลาดำเนินชีวิตอะไรควรที่จะให้ความสำคัญมากกว่าเรากลับให้ความสำคัญน้อย
อะไรควรให้ความสำคัญน้อยเรากลับไปให้สำคัญมาก ชีวิตเราเคยสับสนเช่นนั้นไหม
หากเราคิดประกอบกับคำที่พูดว่าเราเป็นเจ้าของบ้านหรือบ้านเป็นเจ้าของเรา
กับเราเป็นเจ้าของทรัพย์หรือทรัพย์เป็นเจ้าของเรา ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้
ก็เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า “หนึ่งที่นาร้อยเจ้าของร้อยชื่อนาม”
ก็เพราะว่าคนเปลี่ยนแปลงไป แต่บ้านยังคงอยู่
คนอาศัยเปลี่ยนไปสิบคนแต่บ้านยังคงอยู่
เงินทองที่เราได้เปลี่ยนไปกี่มือแล้วกว่าจะมาอยู่ในมือเรา ฉะนั้นเราต้องให้ความสำคัญที่ถูกต้อง
อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวทรัพย์หรือตัวบ้านจนเกินไปจนลืมชีวิตที่แท้จริงของตนเองใช่ไหม
(ใช่)
วันนี้เราก็มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน ขอให้ศึกษาตั้งใจ
ค้นคว้าให้ดีว่าคุณธรรมในการบำเพ็ญธรรม
หรือคุณธรรมที่วันนี้ท่านได้ฟังมีความสำคัญอย่างไร ทุกคนสามารถบำเพ็ญธรรมได้
สามารถเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ขอเพียงไม่ดูเบาตนเอง
กล้าที่จะขัดเกลากิเลสภายในจิตใจของตน
แม้วันนี้เราอาจจะไม่ได้ส่งมอบดอกไม้ให้กับทุกท่านถึงมือ
แต่วันนี้เราก็ภาคภูมิใจแล้วว่า
เราได้ส่งมอบคุณธรรมที่ตั้งใจจะนำมาให้ท่านเต็มที่แล้วขอให้รับและให้ค้นให้พบ
อย่ามัวสงสัยว่าเรามาอย่างไร ไปอย่างไรเลย
ตอนนี้สิ่งที่ควรสงสัยก็คือตัวท่านเองต่างหากที่มาได้อย่างไรแล้วจะกลับอย่างไร
ใช่ไหม (ใช่)
กลับบ้านในที่นี้เป็นบ้านที่แท้จริงของชีวิต
หากทุกคนรู้ว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นไม่ได้สุขเสมอไป มีทั้งทุกข์ และสุข
แล้วไยเราจะต้องเวียนวนต่อไปอีก ควรจะหาทางหลุดพ้นกันบ้าง หากหาได้ท่านก็มีความสุข
ท่านก็เป็นผู้บรรลุ คนประเสริฐได้ต้องรู้จักดำเนินชีวิตได้ถูกทาง
นำพาตนเองได้ถูกหนทางและสามารถช่วยเหลือผองชนได้เขาก็จะเป็นพุทธะได้เหมือนกัน
เพียงแต่อดทนไปให้ถึงใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมอยู่ในตัว
อยู่ในใจท่านแล้วและคุณธรรมก็อยู่ที่การตัดสินใจของวันนี้ว่า
วันนี้ท่านเจอทางแยกหนึ่ง ที่มีคนมาบอกว่า
ทางแยกนี้หากท่านยังคงเลือกหนทางกลับคืนบ้านเดิมท่านก็สามารถกลับคืนได้
แต่หากท่านยังคงเลือกเดินทางเวียนว่ายก็ต้องเวียนว่ายต่อไป
อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินเช่นใด มีโอกาสคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานจือเจวี๋ย จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ขอตัวเองง่ายกว่าการขอผู้อื่น แม้ค่ำคืนพุทธจิตเป็นประทีปส่อง
ดำเนินชีวิตถูกต้องตามครรลอง ถือหลักการสอดคล้องสัจธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย
แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ให้อภัยไว้เถิดประเสริฐนัก ศิษย์รู้จักอภัยตนมิเหน็บหนาว
ธรรมะสิ่งล้ำค่ามิดูเบา บำเพ็ญเข้าศิษย์เอ๋ยมิไกลเกิน
ฝนตกพรำจำสู้ฝนที่กระหน่ำ ฟ้ามืดดำอย่ามองไปแค่ผิวเผิน
ฝ่าอุปสรรคที่หนักลงกล้าเผชิญ อย่ามัวเพลินเล่นน้ำฝนอย่างเด็กเล็ก
ลองใคร่ครวญด้วยปัญญาค้นหาตน ฟ้าเบื้องบนนำไฟลงหลอมเหล็ก
ในครานี้ฟ้าเก็บงานใช่เรื่องเล็ก จิตดั่งเด็กบริสุทธิ์งามฟ้าเก็บคืน
นำฝนมาดับไฟร้อนผ่อนโทสะ ปัญญาชนะความวู่วามมิขมขื่น
หลังจากจบสองวันนี้หวังศิษย์คืน นำคนพันนำคนหมื่นคืนสุทธา
ฝนหยุดตกสะทกสะท้านกลัวศิษย์ลืมคำ ถ้าเคยพร่ำเอ่ยสิ่งใดขอศิษย์รักษา
ทวนกระแสสู่ต้นธารอย่าได้ช้า ดั่งฝูงปลาไม่ไกลน้ำธรรมในใจ
ใจของศิษย์เป็นเช่นไรยากจะเดา เปลี่ยนออกเข้าพาชีวิตไร้จุดหมาย
ดั่งใบไม้หลุดร่วงตามแรงลมไป ศิษย์รักเอ๋ยอย่าได้หลงโลกีย์อีกเลย
อาจารย์หวังเพียงศิษย์งามคืนกลับ อายุนับลงถอยหลังแล้วศิษย์เอ๋ย
โลกงามตาไร้สิ่งใดน่าชิดเชย ความคุ้นเคยพาศิษย์ห่างอาจารย์ไป
ฮา ฮา หยุด
เวลาวารีเลยล่วงไปไม่คอยท่า
จะทำเฉื่อยชาไม่ได้การ กลับไปกลับมา ดีร้ายแม้ใจหวั่น มิบั่นทอนตั้งใจ
จะยอมเผชิญความยากโดยใจกล้า
จะเพียรได้มาการน้อมใจ ถูกคำผิดคำโต้เถียงลุกเป็นไฟ เสียคนที่วู่วาม
หนทางที่ยิ่งสูงชัน
ผลพลันก็ยิ่งสูงตาม เกิดความสู้ทน ใจดวงนี้มีกายเป็นผู้ตาม ทุกวันก็ยิ่งเพียร
ชื่อเพลง : ศิษย์เอยอย่าวู่วาม
ทำนองเพลง : รักเธอประเทศไทย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์ร้องเพลงว่า "ใจที่เฝ้ารอคอยไม่ห่าง" ศิษย์ใช้ใจอะไรมาเฝ้าคอยอาจารย์
ใช้ใจที่ศรัทธาหรือใช้ใจที่คิดเล็กคิดน้อยไม่เป็นเรื่อง (ใช้ใจศรัทธา) ศรัทธามากหรือน้อย (มาก) ในความศรัทธามีสิ่งอื่นเจือปนไหม
(ไม่มี) หากว่าไม่มีสิ่งอื่นเจือปนศิษย์ก็คงจะบำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่ง ใช่ไหม (ใช่) แล้วตอนนี้ศิษย์มั่นใจไหมว่าจะสามารถพายเรือธรรมไปได้ตลอดรอดฝั่ง
(มั่นใจ) หากว่าเรือที่เราพายอยู่เกิดไปชนโขดหินศิษย์จะทำอย่างไร โขดหินเปรียบเหมือนกับอะไร (อุปสรรค) แล้วศิษย์ทุกคนมีอุปสรรคหรือเปล่า
(มี) ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขดีไหม (ไม่ดี) เป็นเพราะมีอุปสรรคใช่ไหม (ใช่) ทางโลกก็มีอุปสรรค
แล้วพายเรือธรรมจะมีอุปสรรคไหม (มี) แล้วถ้าเรือไปชนกับโขดหินแล้วจะทำอย่างไร
(ถอยก่อนเพื่อตั้งหลักใหม่, หาทางกำจัดโขดหินก้อนนั้น,
หยุดพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเราสามารถแก้ด้วยตัวเราเองได้ไหม,
ฟันฝ่าอุปสรรค) การฟันฝ่าต่อไปและการถอยก่อนเพื่อตั้งหลักใหม่นั้น
ในเมื่อเรือชนโขดหินและเกิดรอยรั่วแล้วนั้น หากเราฟันฝ่าต่อไปเรื่อยๆ
ได้สักพักเรือก็จะจมลง ใช่ไหม (ใช่) ส่วนคำตอบที่ว่าหยุดพิจารณาเหตุการณ์ก่อนนั้น หากมีอุปสรรคบางอย่างที่ยาก เมื่อเราพิจารณาก็จะยิ่งมองแล้วยิ่งยาก
เมื่อยิ่งยากขึ้นก็แก้ไขไม่ได้แล้วก็หยุดอยู่กับที่ ใช่ไหม (ใช่) มีคำตอบอื่นอีกไหม
(จะต้องซ่อมที่รอยรั่วนั้นก่อน) พังแล้วก็ซ่อม วิธีแก้ปัญหานี้อาจจะไม่ง่าย แต่เป็นวิธีที่ถูกต้อง วิธีนี้คนเรามักจะคิดกันไม่ออก เป็นเพราะว่ามนุษย์มีความฉลาดมาก
คิดวิธีการต่างๆ ได้อย่างแยบยล
แต่หารู้ไม่ว่าวิธีการพื้นฐานง่ายๆ
นี้เองจึงจะเป็นวิธีที่จะพาศิษย์ไปสู่ฝั่งได้
ใจที่เรียบง่าย ดีงาม ใจที่ยอมเสียเปรียบนี้เอง จึงจะเป็นจิตใจที่งดงามและพาเราถึงฝั่งได้ง่ายที่สุด
ใช่หรือไม่ (ใช่)
การซ่อมสิ่งที่พังนั้นทำได้ไม่ง่าย
แต่จำเป็นต้องทำ
ก่อนอื่นศิษย์ต้องเรียนรู้เรือทั้งลำของตนเองเสียก่อน
เรือทั้งลำนั้นเปรียบไปแล้วก็เป็นเสมือนร่างกายของเรา ผู้ที่พายเรือนั้นก็คือจิต เรือก็คือสังขาร เมื่อพายเรือถึงฝั่งแล้ว สังขารหมดอายุแล้ว เราจะต้องทิ้งเรือ ทิ้งสังขารนี้ไหม (ทิ้ง) อาจารย์ขอถามว่า
ทำไมเราจึงต้องเรียนรู้กายตัวนี้ล่ะ
เราต้องเรียนรู้กายว่าตาของเราชอบมองแต่สิ่งที่สวยงาม แต่พุทธะกลับมองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นกิเลส
ฉะนั้น การที่เราชอบมองสิ่งที่สวยงามนั้นก็คือเราชอบมองสิ่งที่เป็นกิเลส
ถ้าเราไม่รู้ว่าตาเราชอบมองอะไรแล้วเราจะควบคุมตาของเราได้ไหม (ไม่ได้) หูของเราชอบฟังเสียงไพเราะ ฟังแล้วติดไหม (ติด) เราต้องรู้ก่อนว่าหูของเราชอบฟังอะไรเราจึงจะห้ามได้ ปากของเราชอบกินของอร่อย เราต้องรู้ว่าปากของเราชอบอะไรเราจึงจะควบคุมได้เช่นกัน เมื่อตาของเราพาเราไปพบอุปสรรค เหมือนเรือของเราไปชนโขดหิน ถามว่าเราควรที่จะซ่อมเรือของเราเองไหม (ควร) เราจะให้ผู้อื่นมาซ่อมเรือของเราได้ไหม
(ไม่ได้) เรือของเราเราก็ต้องซ่อมเอง
เพราะเราจะรู้ว่าเรือของเราชนโขดหินแล้วรั่วตรงจุดไหน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้น เราต้องยอมรับว่าอุปสรรคต่างๆ
นั้นส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากตัวเราเอง
หากว่าเราไม่พาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราไปพบเจออุปสรรค เราก็จะไม่ต้องเผชิญกับอุปสรรค หากว่าเราสามารถควบคุมตาของเราได้ อุปสรรคที่เกิดก็จะน้อยลงไปหนึ่งอย่าง ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น
หลักง่ายๆ ซึ่งเป็นหลักที่มีมานานแล้วก็คือ เมื่อชนแล้วก็ต้องซ่อม ทุกวันนี้เราคิดจะซ่อมกันบ้างไหม (คิด) ทุกวันนี้อายตนะทั้งหกของเราพังหรือยัง
(พังแล้ว) ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนแต่พังแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ทำให้ใจเราพังมากที่สุดก็คือความทุกข์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็คือกิเลส
หากว่าเราวิ่งหนีกิเลสแล้วกิเลสจะวิ่งตามเราหรือไม่ (ไม่ตาม) แต่ทุกวันนี้เรากลับเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหากิเลส
ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรารักเขา เราก็ต้องแผ่เมตตาให้เขามากๆ ใจของเราก็จะไม่ต้องทุกข์ร้อนต่อกิเลส ผลที่สุดแล้ว
เมื่อเราไม่มีกรรมสัมพันธ์กับกิเลสทั้งหลาย
หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจของเราถูกบังคับไว้ด้วยจิตที่เป็นพุทธะของเรา เราก็ไม่ต้องเสาะแสวงหากิเลสเหล่านั้นมาเป็นสมบัติของเรา
ดีไหม (ดี)
ผู้ที่ตัดกิเลสได้เรียกว่าพุทธะ แล้วศิษย์ของอาจารย์อยากเป็นพุทธะไหม (อยาก) อยากเป็นพุทธะต้องทำอย่างไร
(ตัดกิเลส) แล้วศิษย์จะเริ่มตัดเมื่อไหร่ดี
หรือคิดว่าตอนนี้ยังเป็นวัยหนุ่มสาวอยู่ยังตัดไม่ได้ ใครคิดว่าตัดพรุ่งนี้ดี
หรือใครที่ยังไม่รู้ว่าตัดเมื่อไหร่ดี ขนาดสัญญาที่ให้กับตนเองยังให้สัญญาไม่ได้
แล้วจะมาให้สัญญากับพุทธะได้อย่างไร ใ่ช่ไหม (ใช่) การให้สัญญากับตนเองจะว่าง่ายก็ง่าย
จะว่ายากก็ยาก การผิดสัญญากับตนเองนั้นน่าละอายใจที่สุด
ฉะนั้นก่อนที่จะให้สัญญากับผู้อื่นจะต้องรู้จักให้สัญญากับตนเองก่อนว่าศิษย์ของอาจารย์จะไปเป็นพุทธะได้อย่างไร ศิษย์บอกว่าเราเป็นอย่างนี้มาตั้งกี่สิบปีแล้วอยู่ดีๆ
จะให้เราเปลี่ยนได้อย่างไร อาจารย์ขอบอกว่าคนอื่นเปลี่ยนได้อย่างไร
ศิษย์ของอาจารย์ก็เปลี่ยนได้อย่างนั้น วันนี้ไม่เริ่มเปลี่ยน
แล้ววันไหนจะเริ่มเปลี่ยน
ผัดวันประกันพรุ่งคนไทยเรียกว่าอะไร (ดินพอกหางหมู)
แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นคนหรือเป็นหมู (เป็นคน) ฉะนั้นอย่าลดตัวของเราไปเท่าหมู
คนเดินสองเท้าหมูเดินสี่เท้า เราโชคดีกว่าไหม (โชคดีกว่า)
แล้วศิษย์ใช้ความโชคดีของตนเองพอไหม (ยังไม่พอ)
ทุกวันนี้เราใช้ความโชคดีของตัวเองไปในทางลบ
ฉะนั้นควรเริ่มชีวิตใหม่ได้แล้ว ชีวิตใหม่ยังไม่เคยมี ชีวิตดีๆ ยังไม่เคยเริ่มต้น
ถ้าหากว่าเราตั้งจุดมุ่งหมายให้กับชีวิตไว้แล้ว
แต่เมื่อถึงพรุ่งนี้ก็บอกว่าเดี๋ยวค่อยตั้งใหม่
ถามว่าเราทำให้ชีวิตเราประสบความล้มเหลวหรือเปล่า (ใช่) เป็นชีวิตใหม่ที่ล้มเหลวยิ่งกว่าเดิมอีก เป็นคนที่ไม่รู้ตื่นอย่างแท้จริง ฉะนั้นเราควรที่จะเริ่ม
แก้ไขตัวเอง โดยเริ่มที่ไหน (เริ่มที่ใจ) ถ้าใจเราคิดร้ายเป็นผลเสียต่อใคร (ตัวเอง) เราคิดดีเป็นผลดีต่อใคร (ตัวเอง) แล้วจะคิดร้ายไปทำไม เราคิดร้ายก็เหมือนกับวางยาพิษให้กับตัวเองกินทุกวันๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าจิตใจของเราต้องควบคุม ความคิดของเราก็ต้องควบคุม การกระทำนั้นก็จะเป็นผลสืบเนื่องความคิดและจิตใจ ทุกวันๆ คิดดี ทุกวันๆ จิตใจดี แล้วการกระทำของเราดีไหม (ดี) ไม่ต้องกลัวว่าการทำดีกับคนอื่นแล้วเราจะเสียเปรียบ อยากเป็นคนดีคนใหม่ไหม (อยาก) แม้ว่าเราจะวิ่งช้ากว่าคนอื่นแต่ก็ต้องพยายามวิ่งให้ทันใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ว่าวิ่งแข่งกันสิบคน แล้วคนอื่นวิ่งไปเกือบถึงเส้นชัยอยู่แล้ว แต่เราเพิ่งจะออกจากจุดเริ่มต้น อย่างนี้ถือว่าช้ากว่าคนอื่นมากเกินไป อาจารย์เคยพูดว่า ก้าวทีละก้าวก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน แต่ศิษย์ก็ต้องดูเพื่อนพ้องด้วยว่าเขาเร็วกว่าเรามากเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเขาไปรับรางวัลเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังวิ่งเหยาะๆ อยู่เลย ถึงเวลานั้นจะมีใครรอไหม เขานึกว่าศิษย์ลงไปวิ่งเล่น ไม่ได้ลงวิ่งแข่ง ฉะนั้นควรที่จะฝึกตนเองให้คล่องแคล่วว่องไวกว่านี้ ขอคนอื่นง่ายหรือว่าขอตนเองง่าย
(ขอตัวเอง) เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ไปขอคนอื่นดีหรือไม่ (ดี)
แก้ไขตัวเอง โดยเริ่มที่ไหน (เริ่มที่ใจ) ถ้าใจเราคิดร้ายเป็นผลเสียต่อใคร (ตัวเอง) เราคิดดีเป็นผลดีต่อใคร (ตัวเอง) แล้วจะคิดร้ายไปทำไม เราคิดร้ายก็เหมือนกับวางยาพิษให้กับตัวเองกินทุกวันๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าจิตใจของเราต้องควบคุม ความคิดของเราก็ต้องควบคุม การกระทำนั้นก็จะเป็นผลสืบเนื่องความคิดและจิตใจ ทุกวันๆ คิดดี ทุกวันๆ จิตใจดี แล้วการกระทำของเราดีไหม (ดี) ไม่ต้องกลัวว่าการทำดีกับคนอื่นแล้วเราจะเสียเปรียบ อยากเป็นคนดีคนใหม่ไหม (อยาก) แม้ว่าเราจะวิ่งช้ากว่าคนอื่นแต่ก็ต้องพยายามวิ่งให้ทันใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ว่าวิ่งแข่งกันสิบคน แล้วคนอื่นวิ่งไปเกือบถึงเส้นชัยอยู่แล้ว แต่เราเพิ่งจะออกจากจุดเริ่มต้น อย่างนี้ถือว่าช้ากว่าคนอื่นมากเกินไป อาจารย์เคยพูดว่า ก้าวทีละก้าวก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน แต่ศิษย์ก็ต้องดูเพื่อนพ้องด้วยว่าเขาเร็วกว่าเรามากเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเขาไปรับรางวัลเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังวิ่งเหยาะๆ อยู่เลย ถึงเวลานั้นจะมีใครรอไหม เขานึกว่าศิษย์ลงไปวิ่งเล่น ไม่ได้ลงวิ่งแข่ง ฉะนั้นควรที่จะฝึกตนเองให้คล่องแคล่วว่องไวกว่านี้ ขอคนอื่นง่ายหรือว่าขอตนเองง่าย
(ขอตัวเอง) เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ไปขอคนอื่นดีหรือไม่ (ดี)
นั่งฟังมาเป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว เหนื่อยไหม
อยากฟังอีกไหม (อยาก) ตอนนี้ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนเก่ง
มีความคิด มีความสามารถ แต่เวลาเรามาฟังเราก็เป็นนักเรียน
ถึงเราจะเก่งกว่าครูแต่เราก็ยังถือเป็นนักเรียน
ฉะนั้นโดนครูว่าครูตีเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราไม่พอใจเราจะเป็นนักเรียนได้ไหม (ไม่ได้) ถูกครูว่าครูตี
เด็กก็ให้ตีเฉยๆ เพราะว่ากลัวโดนหักคะแนน
แต่ว่าเราไม่มีคะแนนให้หัก
ไม่รู้ว่าคะแนนของเราอยู่ตรงไหน เราก็ไม่ใช่เป็นคนคุมคะแนน เพราะฉะนั้นเราถึงได้ไม่กลัว
ไม่รู้ว่าคะแนนของเราอยู่ตรงไหน เราก็ไม่ใช่เป็นคนคุมคะแนน เพราะฉะนั้นเราถึงได้ไม่กลัว
การเข้ามาที่นี่บางทีก็มีความคิดไม่ตรงกัน บางทีอาจจะพูดแรงไปหน่อย
ก็ต้องรู้จักการให้อภัย
การให้อภัยเป็นคุณธรรมของพระโพธิสัตว์
ศิษย์ของอาจารย์ให้อภัยได้หรือเปล่า
ต้องให้อภัยจากจิตใจ เมื่อผู้อื่นทำผิดแล้วเราให้อภัยได้
ใครจะเป็นคนได้รับผลดี (ตัวเรา) ถ้าให้อภัยไม่ได้
ใครจะได้รับผลเสีย (ตัวเรา) ฉะนั้นควรให้อภัยผู้อื่น
หากว่าเราเป็นคนที่อายุมากเรายิ่งต้องให้อภัยให้หมด
เพราะว่าผมของเรานั้นเป็นสีขาวทั้งศีรษะแล้ว ช่วงเวลาของผมสีดำก็น้อยลงทุกวันๆ
ความเป็นหนุ่มเป็นสาวของเรานั้นแทบจะไม่มี
แสดงว่าวัยแห่งดอกไม้แรกผลิเกือบจะหมดลงทุกวัน ชีวิตที่สั้นลงทุกวันก็จำเป็นต้องให้อภัยกับผู้อื่นทุกๆ
เวลา ทุกๆ นาที แล้วถ้าหากไม่ยอมให้อภัย
จิตของเราก็เหมือนกับฟองน้ำที่ดูดซับน้ำสกปรกไว้ เมื่อดูดซับไว้มากๆ
ฟองน้ำอันนี้ก็หนักมากขึ้นจนไม่สามารถจะอุ้มน้ำได้อีก
หากศิษย์ของอาจารย์มีจิตที่ขุ่นและหนักก็จะไม่สามารถกลับขึ้นสู่นิพพานได้ เพราะเหตุนี้จึงต้องหัดอภัย
ไม่เช่นนั้นจิตจะมีความหนักขุ่น
ในที่สุดแล้วก็ตกลงสู่พื้น
ตอนนี้จิตของเราเบาเหมือนฟองน้ำอาจจะสามารถลอยขึ้นได้ใช่ไหม
การอภัยต้องฝึกทุกวันไหม แล้วต้องฝึกวันละกี่รอบ (ทุกเวลานาที) กินข้าววันละกี่มื้อ บางคนกินมื้อค่ำด้วยเป็นกี่มื้อ (๔ มื้อ) กินข้าวทำไมขยันกิน การให้อภัยก็ต้องขยันทำ
บำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน
การที่เราช่วยเหลือผู้อื่นนั้น มีผลตอบแทนไหม (ไม่มี)
ทำความดีมีผลตอบแทน
แต่ผลตอบแทนนั้นเป็นนามธรรมไม่ได้ออกมาเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นศิษย์ทุกคนต้องรู้จักทำความดี
เวลาทำความดีไม่ให้หวัง ก็เหมือนกับไม่มีใช่หรือไม่
เมื่อเราไม่หวังแล้วเรารู้สึกอุ่นใจไหม (อุ่นใจ) เรียกอิ่มบุญ เพราะฉะนั้นเราก็จงอิ่มบุญ แต่เราอย่าได้อิ่มตา อิ่มการรับรส
การบำเพ็ญเปรียบเสมือนการกินข้าว การให้อภัยเปรียบเสมือนการตักข้าวลงจาน หากเราไม่รู้จักเริ่มตักข้าวลงจาน ก็ไม่รู้จักการให้อภัยคนอื่น หากวันนี้ไม่ได้ทำพรุ่งนี้ทำดีไหม
ถ้าหากพรุ่งนี้ไม่ได้ทำวันหน้าทำดีไหม แต่อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
จิตใจของคนเรานั้นก็จะปลอดโปร่งโล่งสบาย บางคนบอกว่าความสุขนั้นต้องเอาเงินซื้อ
เห็นเงินเป็นพระเจ้า แท้จริงนั้น ความสุขเกิดจากการรู้จักให้อภัยคน
การให้อภัยเป็นความสุขอันสูงสุด ไม่จำเป็นต้องซื้อหา เพราะความสุขเกิดจากใจ ไม่ใช่เกิดจากวัตถุรอบนอก เช่น
โทรทัศน์ วีดีโอ เครื่องปรับอากาศ ที่นอนสบายๆ รถคันสวย
หากศิษย์ลองเดินเท้าดูก็จะรับรู้ถึงความสุขของการเดินเท้า หากศิษย์ลองลด ก็จะรู้ถึงความสุขของการละ
หากว่าจิตใจไม่ฟุ้งซ่านไปกับสิ่งบันเทิงมากมายศิษย์ก็จะมีความสุขกับความว่าง
ความสะอาด ใช่ไหม (ใช่) ทุกวันนี้ตา หู
ปากของเราสะอาดหรือเปล่า
ทุกวันนี้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากมาย ศิษย์กลัวไหม (กลัว) แล้วศิษย์เชื่อไหมว่าตัวเราเองเป็นผู้ที่โชคดี
(เชื่อ) บนโลกใบเดียวกันนี้มีหลายประเทศที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย
แต่ศิษย์ได้เกิดอยู่ในประเทศที่ร่มเย็นถือว่าโชคดีมาก ในจักรวาลอันกว้างไกล พิภพหลายพิภพที่เกิดขึ้น มีทั้งสามภูมิคือเทวดา
มนุษย์ และผีนรก แต่ศิษย์มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ถือว่าโชคดีไหม (โชคดี) ในสังคมนี้ยังมีคนที่พิการ
มีคนที่ทุกข์ยาก แต่ศิษย์ได้เกิดมามีองค์ประกอบครบสมบูรณ์ถือว่าโชคดีไหม (โชคดี) แล้วศิษย์ยังจะใส่ใจกับเรื่องหน้าตาว่าจะสวยหรือไม่สวยไหม
(ไม่) เพียงเท่านี้เราก็ควรจะพอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว หากเกิดมาเป็นคนหน้าตาดี ครอบครัวดี
ยิ่งถือว่าโชคดีขึ้นอีก ฉะนั้น
เราควรจะถนอมรักษาโชควาสนาของเราไว้ด้วยการทำอย่างไร (ทำความดี
, เร่งปฏิบัติธรรม , ช่วยคนที่ยังไม่รู้ถึงธรรมะ
, บำเพ็ญธรรม , สร้างความดีมากๆ ) คนไทยรู้จักคำว่า "ทำความดี" มานานแล้ว แต่ตั้งแต่เล็กจนโตมาศิษย์ทำความดีพอหรือยัง
และความดีที่เคยทำไปนั้นได้ทำจริงๆ หรือยัง (ยัง) แสดงว่าศิษย์ยังทำความดีได้ไม่ถึงความดี ฉะนั้น ตอนนี้ควรจะทำความดีให้ถึงความดีไหม (ควร) แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าทำความดีได้ถึงความดี ก็คือจะต้องทำความดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ข้อนี้ศิษย์ต่างก็รู้แต่ก็ยังไม่เคยทำความดีด้วยจิตใจบริสุทธิ์สักที ส่วนใหญ่ก็ยังคงคิดเล็กคิดน้อย คิดเรื่อยเปื่อย
คิดฟุ้งซ่าน คิดไร้สาระ และบางครั้งก็ยังคิดหวังผลด้วย ทั้งๆ
ที่รู้กันว่าการทำความดีที่แท้จริงนั้นไม่มีผลตอบแทนกลับมาเป็นรูปธรรม ใช่ไหม (ใช่) หากเราทำบุญไป ๑๐ บาทแล้วจะหวังให้เงินกลับมา
๑๐๐ บาทได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราทำบุญแล้วยังหวังผลตอบแทนแม้แต่เพียงบาทเดียวก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่หวังผล
วันนี้ฟ้าผ่าลงมา น่ากลัวไหม (น่ากลัว)
อาจารย์จะบอกให้น่ากลัวกว่านี้ต้องไปนรก พูดจริงๆ
ไม่ได้พูดเล่น
วันนี้ฟ้าผ่าลงมาบอกน่ากลัวแล้ววันหน้าลงไปอยู่ในนรก ทั้งฟ้าผ่าฟ้าร้อง
พิโรธคนชั่วทั้งหลาย ถามว่าน่ากลัวกว่านี้ไหม
(น่ากลัว) คนบนโลกนี้มีทั้งดีและชั่ว คนในนรกน่ากลัวกว่านี้ ฉะนั้นวันนี้เราอยู่บนโลกนี้ต้องไม่กลัวฟ้าผ่า ถ้าหากเราถือว่าเราเป็นคนไม่ดีวันหน้าเราก็ไปรวมกับพวกเดียวกันในนรก แล้ววันนั้นอาจจะมีฟ้าผ่าฟ้าร้องตอนที่เขากำลังเคี่ยวอยู่ก็ได้ แล้วก็เปรี้ยงฟาดลงมาเป็นการซ้ำเติม ตอนนี้อยู่บนโลกทั้งดีทั้งชั่วยังบอกน่ากลัว อย่างนี้เราช่วยคนอยู่บนโลกด้วยกัน วันหน้าเราก็ต้องไปช่วยคนที่อยู่ในนรกด้วยดีหรือไม่ แต่อย่าลืมว่าช่วงเวลาที่ฝนตกนั้นมีไม่นาน เวลาที่ธรรมะแพร่ไปก็ไม่ใช่ว่าจะยืนยาว ฉะนั้นจงรู้จักช่วยคนเท่าที่เราช่วยได้ เวลาเราช่วยไม่ได้แล้วเราจะได้ไม่รู้สึกละอายใจ ดีไหม (ดี)
(น่ากลัว) คนบนโลกนี้มีทั้งดีและชั่ว คนในนรกน่ากลัวกว่านี้ ฉะนั้นวันนี้เราอยู่บนโลกนี้ต้องไม่กลัวฟ้าผ่า ถ้าหากเราถือว่าเราเป็นคนไม่ดีวันหน้าเราก็ไปรวมกับพวกเดียวกันในนรก แล้ววันนั้นอาจจะมีฟ้าผ่าฟ้าร้องตอนที่เขากำลังเคี่ยวอยู่ก็ได้ แล้วก็เปรี้ยงฟาดลงมาเป็นการซ้ำเติม ตอนนี้อยู่บนโลกทั้งดีทั้งชั่วยังบอกน่ากลัว อย่างนี้เราช่วยคนอยู่บนโลกด้วยกัน วันหน้าเราก็ต้องไปช่วยคนที่อยู่ในนรกด้วยดีหรือไม่ แต่อย่าลืมว่าช่วงเวลาที่ฝนตกนั้นมีไม่นาน เวลาที่ธรรมะแพร่ไปก็ไม่ใช่ว่าจะยืนยาว ฉะนั้นจงรู้จักช่วยคนเท่าที่เราช่วยได้ เวลาเราช่วยไม่ได้แล้วเราจะได้ไม่รู้สึกละอายใจ ดีไหม (ดี)
ตั้งแต่โบราณกาลมามีคนถูกฟ้าผ่าตายเป็นจำนวนมาก
คนเหล่านั้นล้วนมีกรรมในชาติเก่าหรือชาติปัจจุบันที่ไม่ดี
หวังว่าศิษย์ของอาจารย์คงจะไม่เผลอไปทำกรรมที่ชั่วหนักขนาดนั้น
ศิษย์ในที่นี้มีใครเป็นคนใจร้อนบ้าง การเป็นคนใจร้อนไม่ใช่เรื่องดี ความใจร้อนทำให้เราเสียโอกาสไปมาก ความใจร้อนสามารถดับได้ด้วยปัญญา เพราะปัญญาเปรียบเสมือนน้ำ เมื่อดับความใจร้อนลงได้
โอกาสของเราก็จะมีมากขึ้น
โอกาสของเราแต่ละครั้งไม่ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ คนมีวาสนาก็จะได้พบโอกาสมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าโอกาสนั้นจะไม่มีวันสิ้นสุด ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะมีโอกาสทางด้านชีวิตครอบครัว
ด้านอาชีพการงาน ด้านงานธรรมะ ทุกๆ
โอกาสล้วนแต่เป็นโอกาสที่ศิษย์ต้องรักษาไว้อย่างรู้จักคุณค่า ไม่ใช่ว่าปล่อยให้เสียโอกาสไปแล้วจึงรู้ว่าน่าเสียดายจริงๆ
เช่นนั้นเรียกได้ว่ารู้เมื่อสายเกิน ทุกๆ ครั้งที่มีโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิต ขอให้รักษาไว้อย่างทะนุถนอม
รู้จักสร้างโอกาสให้เป็นโอกาสที่ใหญ่ขึ้นสำหรับตัวเอง แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการเอารัด
เอาเปรียบผู้อื่น เพราะผู้บำเพ็ญธรรมถือว่าเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ที่แสวงหาทางหลุดพ้นกลับคืน จะต้องเป็นผู้ที่รู้จักตนเอง บางคนรู้จักตนเองเฉพาะรูปลักษณ์ที่เห็นในกระจก รู้จักแค่หน้าตาเราเป็นอย่างไร รู้จักตนเองเพียงเท่านี้ยังไม่พอ ยังจะต้องรู้ด้วยว่าจิตใจของเรามีความโกรธมากเท่าไหร่ จำเป็นต้องลดเท่าไหร่ ต้องรู้ว่าจิตใจของเรามีความหลงมากเท่าไหร่ จำเป็นจะต้องลดลงอีกเท่าไหร่ เช่นนี้จึงจะเป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง เรายังต้องรู้ด้วยว่าเรายังขาดคุณธรรมในข้อใด เกินอะไรไปบ้าง ต้องรู้จักประมาณตน รู้จักดูแลตน นี่จึงเรียกได้ว่ารู้จักตนเอง
เอาเปรียบผู้อื่น เพราะผู้บำเพ็ญธรรมถือว่าเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ที่แสวงหาทางหลุดพ้นกลับคืน จะต้องเป็นผู้ที่รู้จักตนเอง บางคนรู้จักตนเองเฉพาะรูปลักษณ์ที่เห็นในกระจก รู้จักแค่หน้าตาเราเป็นอย่างไร รู้จักตนเองเพียงเท่านี้ยังไม่พอ ยังจะต้องรู้ด้วยว่าจิตใจของเรามีความโกรธมากเท่าไหร่ จำเป็นต้องลดเท่าไหร่ ต้องรู้ว่าจิตใจของเรามีความหลงมากเท่าไหร่ จำเป็นจะต้องลดลงอีกเท่าไหร่ เช่นนี้จึงจะเป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง เรายังต้องรู้ด้วยว่าเรายังขาดคุณธรรมในข้อใด เกินอะไรไปบ้าง ต้องรู้จักประมาณตน รู้จักดูแลตน นี่จึงเรียกได้ว่ารู้จักตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง "รักเธอประเทศไทย" ชื่อเพลง "ศิษย์เอยอย่าวู่วาม")
"เสียคนที่วู่วาม" บางครั้งเราก็เสียคนเพราะความวู่วาม
ความประมาท ใช่ไหม (ใช่) ความวู่วามเป็นสิ่งที่ไม่ดี
แต่เราก็ยังวู่วามกัน
ผู้ใหญ่ว่าเด็กที่เล่นซน แต่ผู้ใหญ่ก็ซนแบบวู่วาม เมื่อพบเจอปัญหาก็ร้อนตัว
เมื่อปัญหาเข้ามาใกล้ตัวก็ทำอะไรลงไปได้ทุกอย่าง
ขอเพียงให้หลุดจากปัญหาไปก่อน
ใช่ไหม (ใช่) แต่รู้ไหมว่าเมื่อเราหลุดจากปัญหานี้แล้วเรากลับไปผูกกับอีกปัญหาหนึ่ง ทำไมเราจึงไม่รู้จักใช้สติ และคลายปัญหาทุกอย่างด้วยความละมุนละม่อม อาจารย์เคยสอนวิธีการผูกเชือกไว้ เวลาผูกเชือกผูกอย่างไร เวลาแก้ก็ต้องแก้ออกให้หมด ศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้ เวลาเจอเรื่องร้อนตัวแก้ได้ไหม เชือกข้างหนึ่งจะเป็นปัญหาแต่ละปัญหา ผูกปัญหาเข้าด้วยกันปัญหาก็ยิ่งแน่น เวลาแก้ควรจะดึงออกทั้งสอง ถ้าหากว่าศิษย์สามารถแก้ปัญหาแรกได้ อันที่ใกล้ที่ง่ายกว่าก็จะคลี่คลายไปเอง แต่ว่าถ้ายิ่งร้อนตัวยิ่งผูกก็ยิ่งมาก การแก้ปัญหานี้รู้ว่า
ได้ผูกปัญหาใหม่เอาไว้ด้วย ในที่สุดแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ อาจารย์พูดถึงแต่เรื่องของพุทธะแต่ไม่ได้ให้ศิษย์ทอดทิ้งเรื่องของความเป็นคน ทุกวันนี้เราบำเพ็ญเพื่อที่จะเป็นพุทธะ แต่สิบปีนี้เรายังเป็นคนไม่สามารถที่จะเป็นพุทธะได้ ฉะนั้นจะต้องจัดการเรื่องของคนให้ดีก่อน ถึงจะจัดการเรื่องของการเป็นพุทธะในวันข้างหน้าได้
ใช่ไหม (ใช่) แต่รู้ไหมว่าเมื่อเราหลุดจากปัญหานี้แล้วเรากลับไปผูกกับอีกปัญหาหนึ่ง ทำไมเราจึงไม่รู้จักใช้สติ และคลายปัญหาทุกอย่างด้วยความละมุนละม่อม อาจารย์เคยสอนวิธีการผูกเชือกไว้ เวลาผูกเชือกผูกอย่างไร เวลาแก้ก็ต้องแก้ออกให้หมด ศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้ เวลาเจอเรื่องร้อนตัวแก้ได้ไหม เชือกข้างหนึ่งจะเป็นปัญหาแต่ละปัญหา ผูกปัญหาเข้าด้วยกันปัญหาก็ยิ่งแน่น เวลาแก้ควรจะดึงออกทั้งสอง ถ้าหากว่าศิษย์สามารถแก้ปัญหาแรกได้ อันที่ใกล้ที่ง่ายกว่าก็จะคลี่คลายไปเอง แต่ว่าถ้ายิ่งร้อนตัวยิ่งผูกก็ยิ่งมาก การแก้ปัญหานี้รู้ว่า
ได้ผูกปัญหาใหม่เอาไว้ด้วย ในที่สุดแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ อาจารย์พูดถึงแต่เรื่องของพุทธะแต่ไม่ได้ให้ศิษย์ทอดทิ้งเรื่องของความเป็นคน ทุกวันนี้เราบำเพ็ญเพื่อที่จะเป็นพุทธะ แต่สิบปีนี้เรายังเป็นคนไม่สามารถที่จะเป็นพุทธะได้ ฉะนั้นจะต้องจัดการเรื่องของคนให้ดีก่อน ถึงจะจัดการเรื่องของการเป็นพุทธะในวันข้างหน้าได้
การอยู่ร่วมกันนั้นจะต้องอาศัยอะไร (คุณธรรม) อยู่กันด้วยคุณธรรมอาจจะดีแต่ก็ยังไม่พอ
เมตตาธรรมดีไหม ร่างกาย มีหู ตา จมูก แขน ขา มีอวัยวะภายในและภายนอก
ภายในคือความเข้มแข็ง ต้องรู้จักอดทน มั่นคง
ภายนอกต้องรู้จักเมตตา อภัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แต่บางคนชอบเอาภายในมาอยู่ภายนอก ภายนอกมาอยู่ภายใน เอาความเข้มแข็งมาอยู่ภายนอก
แล้วภายในอ่อนแอ ภายในเราคิดอะไรใครรู้ไหม
การให้อภัย มีเมตตา การรู้จักหันหน้า
เข้าหากัน ใส่ใจกัน ด้านของความเข้มแข็ง รู้จักอดทน มั่นคง เชื่อใจผู้อื่น
การมีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ต่อกัน สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เหมือนกับมีมือแต่ไม่มีเท้า
เข้าหากัน ใส่ใจกัน ด้านของความเข้มแข็ง รู้จักอดทน มั่นคง เชื่อใจผู้อื่น
การมีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ต่อกัน สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก ถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เหมือนกับมีมือแต่ไม่มีเท้า
ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อม
รู้จักการหันหน้าเข้าหากัน รู้จักถอย รู้จักการเข้าใจ รู้จักความสบาย
สบายที่ไม่ใช่สบายแบบนอนเตียงนุ่มๆ
นั่งรถคันงามๆ แต่ความสบายคือ ความสบายใจที่เราไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น เอาความสบายตรงนี้ออกมาสู่ครอบครัวของเราให้ทุกคนในบ้านสบายใจ และให้ถือส่วนรวมเป็นหลักไม่ถือส่วนตนเป็นหลัก ทุกวันนี้มีเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพราะเห็นแก่ตนเป็นหลัก เราจะต้องเอาส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญต้องถือ
สัจธรรมเป็นแนวทาง อย่าปล่อยชีวิตไปทางไหนก็ได้ ชีวิตของเรานั้นมีบรรพชนเป็นผู้ให้ มีพ่อแม่เป็นผู้ให้ ถ้าไม่มีบรรพชนไม่มีพ่อแม่จะมีเราไหม (ไม่มี) ไม่มีเราจะมีลูกหลานไหม ชีวิตไม่ได้เป็นของเราคนเดียว แต่เป็นของผู้อื่นด้วย ต้อง
ตอบแทนผู้อื่นด้วย แต่อย่าได้วอนขอนะ ถ้าวอนขอศิษย์จะต้องทุกข์ใจ
นั่งรถคันงามๆ แต่ความสบายคือ ความสบายใจที่เราไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น เอาความสบายตรงนี้ออกมาสู่ครอบครัวของเราให้ทุกคนในบ้านสบายใจ และให้ถือส่วนรวมเป็นหลักไม่ถือส่วนตนเป็นหลัก ทุกวันนี้มีเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพราะเห็นแก่ตนเป็นหลัก เราจะต้องเอาส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญต้องถือ
สัจธรรมเป็นแนวทาง อย่าปล่อยชีวิตไปทางไหนก็ได้ ชีวิตของเรานั้นมีบรรพชนเป็นผู้ให้ มีพ่อแม่เป็นผู้ให้ ถ้าไม่มีบรรพชนไม่มีพ่อแม่จะมีเราไหม (ไม่มี) ไม่มีเราจะมีลูกหลานไหม ชีวิตไม่ได้เป็นของเราคนเดียว แต่เป็นของผู้อื่นด้วย ต้อง
ตอบแทนผู้อื่นด้วย แต่อย่าได้วอนขอนะ ถ้าวอนขอศิษย์จะต้องทุกข์ใจ
"ใจดวงนี้มีกายเป็นผู้ตาม" ต้องมีใจเป็นผู้นำ
มีกายเป็นผู้ตาม แต่ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์เอากายเป็นผู้นำ
แล้วเอาใจเป็นผู้ตามใช่ไหม (ใช่) เวลา
อยู่ในโลกนี้ถึงได้แต่งตัวสวยงาม สุดท้ายร่างกายตัวนี้ก็ทิ้งไปเหลือแต่ใจใช่ไหม (ใช่) ใจก็คือจิตของเรา เพราะฉะนั้นรักษาใจอันนี้ดีกว่า
อยู่ในโลกนี้ถึงได้แต่งตัวสวยงาม สุดท้ายร่างกายตัวนี้ก็ทิ้งไปเหลือแต่ใจใช่ไหม (ใช่) ใจก็คือจิตของเรา เพราะฉะนั้นรักษาใจอันนี้ดีกว่า
สองวันนี้อาจารย์เน้นเรื่องเดียวคือเรื่องการบำเพ็ญธรรม
บำเพ็ญแก้ไขจิตใจของเรา
เคยโมโหร้ายก็ขอให้โมโหน้อยลงนิดหนึ่ง อารมณ์ร้อนให้ลดลงหน่อยดีไหม
หากทุกวันลดลงวันละนิด ผ่านไปหนึ่งปีศิษย์ของอาจารย์ก็จะกลายเป็นคนอารมณ์ดี
กิเลสของเราก็มีเยอะไปนิดหนึ่ง ตอนนี้ตาเรือก็ชนกับตาเรือ
หูเรือก็ไปชนจนหูพัง ใจเรือก็ชนจนใจพัง เพราะฉะนั้นเราก็มาเรียนวิธีการซ่อมเรือของเรากันดีไหม ไม่ต้องให้คนอื่นมาซ่อม เราซ่อมใจของเราให้ปกติหน่อย กิเลสที่มันมากไป เพราะเราส่ง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกไปข้างนอก ก็ให้มันน้อยลง ภายในหนี่งปีก็ให้น้อยลง มีรัก โลภ โกรธ หลง อีก เวลารักใครก็รักเขาจนมาก เวลาเกลียดก็เลยเกลียดมาก โลภก็โลภมาก เวลาไม่มีก็เลยผิดหวังมาก เวลาหลงก็หลงมาก เวลาไม่ได้ดังใจก็เลยทำลายมาก ฉะนั้นจงรู้สติ รู้ตัวให้มากขึ้น จะได้เป็นคนที่มี รัก โลภ โกรธ หลงน้อยลง สิ่งเหล่านี้ทำได้ด้วยผู้อื่นบอกให้เราทำหรือเราทำเอง (ทำเอง) ถ้าเราไม่แก้ไขเองผู้อื่นจะแก้ไขได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่าเห็นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนแก่ การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคน ถ้าศิษย์ไม่อยากจะตายอย่างไร้คุณค่า ก็ต้องรู้จักสร้างคุณค่าให้กับชีวิต อยากจะเป็นเหมือนอย่างวีรชนไหม แม้ท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็มีคนตั้งรูปบูชา หรืออยากให้เมื่อเราตายไป ลูกหลานทุกคนก็ลืม ขอให้เลือกทางเดินชีวิตให้ตนเองดีหรือเปล่า (ดี)
หูเรือก็ไปชนจนหูพัง ใจเรือก็ชนจนใจพัง เพราะฉะนั้นเราก็มาเรียนวิธีการซ่อมเรือของเรากันดีไหม ไม่ต้องให้คนอื่นมาซ่อม เราซ่อมใจของเราให้ปกติหน่อย กิเลสที่มันมากไป เพราะเราส่ง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกไปข้างนอก ก็ให้มันน้อยลง ภายในหนี่งปีก็ให้น้อยลง มีรัก โลภ โกรธ หลง อีก เวลารักใครก็รักเขาจนมาก เวลาเกลียดก็เลยเกลียดมาก โลภก็โลภมาก เวลาไม่มีก็เลยผิดหวังมาก เวลาหลงก็หลงมาก เวลาไม่ได้ดังใจก็เลยทำลายมาก ฉะนั้นจงรู้สติ รู้ตัวให้มากขึ้น จะได้เป็นคนที่มี รัก โลภ โกรธ หลงน้อยลง สิ่งเหล่านี้ทำได้ด้วยผู้อื่นบอกให้เราทำหรือเราทำเอง (ทำเอง) ถ้าเราไม่แก้ไขเองผู้อื่นจะแก้ไขได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่าเห็นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนแก่ การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคน ถ้าศิษย์ไม่อยากจะตายอย่างไร้คุณค่า ก็ต้องรู้จักสร้างคุณค่าให้กับชีวิต อยากจะเป็นเหมือนอย่างวีรชนไหม แม้ท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็มีคนตั้งรูปบูชา หรืออยากให้เมื่อเราตายไป ลูกหลานทุกคนก็ลืม ขอให้เลือกทางเดินชีวิตให้ตนเองดีหรือเปล่า (ดี)
จริงๆ
แล้วไม่มีสิ่งใดทำให้ศิษย์อาจารย์นั้นห่างกันได้
มีก็เพียงความคุ้นเคยของศิษย์ที่บอกว่ายังแก้ไม่ได้ แล้วจะให้อาจารย์นั้นพาศิษย์กลับไปเป็นพุทธะอย่างไร
ตอบอาจารย์หน่อย
สุดท้ายแล้วทุกข์ใจไปก็เท่านั้น ดีใจไปก็
เท่านั้น ก็ศิษย์อาจารย์เป็นแบบนี้ อาจารย์ก็ห่วงแบบนี้
เท่านั้น ก็ศิษย์อาจารย์เป็นแบบนี้ อาจารย์ก็ห่วงแบบนี้
เกิดเป็นคนแก้ไขยาก
นิสัยต่างๆ แก้ไขยากอาจารย์ก็รู้ แต่หากวันนี้ไม่แก้ไข แล้วจะแก้ไขวันไหน
รอให้วันหน้ากิเลสติดแน่นกว่านี้ แข็งกว่านี้ เหมือนกับจานข้าวที่ไม่ได้ล้างมานับเดือน ถึงเวลาจะใช้ค่อยมาล้าง ถึงตอนนั้นจะล้างออกหรือ
ถ้าหากอาจารย์ใช้อุปสรรคมาทดสอบศิษย์เพื่อให้รู้ตัวสักที
ทดสอบแรงเกินไปศิษย์ก็เจ็บและท้อ
ถึงตอนนั้นอาจารย์อยากจะช่วยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาจารย์เคยบอกแล้วว่าให้แก้ไขเสียเนิ่นๆ
ศิษย์ก็ไม่เคยเชื่อ
ถึงเวลาเจ็บแล้วมาร้องเรียกอาจารย์
ถึงตอนนั้นแม้อาจารย์หวังดีก็ต้องปล่อยให้เจ็บ มนุษย์เป็นผู้ที่เจ็บแล้วถึงค่อยรู้ตัวใช่หรือเปล่า
(ใช่) เจ็บแล้วค่อยรู้ว่าตั้งแต่แรกไม่น่าจะทำแบบนี้
ก่อนสงสารคนอื่นต้องสงสารตนเองก่อน ต้องดูตนเองว่าเรานั้นเป็นอย่างไร
ต้องแก้ไขอะไรบ้าง ดูตนเองว่าเราบำเพ็ญจิตไปแค่ไหน เราจะได้ย้อนมองส่องตน ไม่ใช่รอคนอื่นมาพูดตรงๆ
หรือให้คนอื่นเขาใช้สายตาตำหนิแล้วค่อยมารู้ตัวเอง ถึงตอนนั้นก็น่าสงสารตนเองที่สุดใช่ไหม (ใช่)
ชาตินี้อยากหลุดพ้นไหม เกิดเป็นคนทุกข์ใช่ไหม หลุดพ้นแล้วไม่ทุกข์หลุดพ้นดีไหม เกิดมาเป็นคนชาตินี้ก็ทุกข์
ชาติหน้าทำบุญมากกว่านี้อีกก็ยังต้องทุกข์อยู่ดี
ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ที่มีความทุกข์ เด็กๆ
ก็มีทุกข์เช่นกัน
ฉะนั้นอาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ อาจารย์อยากให้ศิษย์หลุดพ้น ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นขยันบำเพ็ญทุกคนเลยดีไหม
(ดี) มีเวลาน้อยก็บำเพ็ญน้อย มีเวลามากก็บำเพ็ญมาก ลงแรงที่ใจของตัวเอง ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นเขาจะดีหรือไม่ดี ดูแค่เรานั้น
ดีพอหรือยัง พุทธะนั้นอยู่ไกล ก็รีบๆ พยายามเอื้อมเข้า จะมัวนั่งแหงนหน้ามองฟ้าแล้วรอให้พุทธะตกลงมาเป็นของตัวเองไม่ได้ พยายามหน่อยดีไหม (ดี) อาจารย์เคยเกิดเป็นคน บำเพ็ญแล้วจึงสำเร็จเป็นพุทธะ ศิษย์ก็จงบำเพ็ญให้สำเร็จไปเป็นพุทธะดีไหม (ดี)
ดีพอหรือยัง พุทธะนั้นอยู่ไกล ก็รีบๆ พยายามเอื้อมเข้า จะมัวนั่งแหงนหน้ามองฟ้าแล้วรอให้พุทธะตกลงมาเป็นของตัวเองไม่ได้ พยายามหน่อยดีไหม (ดี) อาจารย์เคยเกิดเป็นคน บำเพ็ญแล้วจึงสำเร็จเป็นพุทธะ ศิษย์ก็จงบำเพ็ญให้สำเร็จไปเป็นพุทธะดีไหม (ดี)
หลังจากจบชั้นสองวันนี้ไปแล้ว ถ้าใครสามารถมาไหว้พระ มาฝึกพุทธระเบียบได้ก็ขอให้ทำ คนที่อยู่ในภาคใต้ส่วนใหญ่ใจร้อน อาจารย์ขอให้รู้จักยอมกันบ้าง ถอยกันคนละหนึ่งก้าว ฝึกอ่อนน้อมเข้าไว้ ตามแบบอย่างพุทธะ แล้วศิษย์ของอาจารย์ก็จะไม่ห่างไกลพุทธะ หากว่าปล่อยตนเองเกียจคร้านไปหนึ่งวัน
ปล่อยเวลาผ่านไปหนึ่งวัน สองวัน
ในที่สุดแล้วก็จะห่างไกลพุทธะออกไปทุกที
ฉะนั้น ต้องมีความขยันหมั่นเพียร มีความพยายาม เมื่อกลับบ้านไปแล้วต้องหมั่นตรวจสอบตนเอง
เมื่อมาห้องพระต้องหมั่นฝึกฝนพุทธระเบียบเพิ่มพูน ศิษย์ก็จะได้รับความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นทุกวัน จะไม่เสียแรงที่เกิดมาในชาตินี้ แม้ว่าศิษย์จะไม่ได้เป็นพุทธะองค์ใหญ่ แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็จะได้เป็นพุทธะองค์น้อยๆ จะได้สมกับที่อาจารย์เฝ้ารอคอยศิษย์ทุกๆ
คนกลับไป ทำได้ไหม (ทำได้) หวังว่าวันหน้าจะพบกันอีก ขอให้ศิษย์ศึกษาให้ดีๆนะ.
[๑] บุษบง ดอกไม้
[๒] อาตมัน อัตตา
หรือ การถือตนเองเป็นใหญ่
[๓] ปรมัตถ์ ประโยชน์อย่างยิ่ง
[๔] กล่น เกลื่อนกลาด ,
ดื่นดาษ
[๕] วิรุฬห์ เจริญ , งอกงาม
พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท ทอง
จิตใจงามใช่จะงามขึ้นได้เอง เป็นคนเก่งต้องฝึกฝนจนคงที่
ทางที่เดินถ้าง่ายง่ายใช่จะดี เหมือนอัคคีไว้หลอมทองตลอดไป