วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

2552-03-07 สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก


วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมหมิงเฉิง อ.สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

ครองความมั่นคงตื่นรู้ สติเคียงคู่รักษา
ตามทันกิเลสฉันทา พาใจสู่ความปกติ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

วัฏฏะ เวียนดับถือเกิดหน่อเนื้อใน ดั่งใบไม้ร่วงบ่มเพาะต้นกล้า
ธำรงไว้พลังชีวิตแม้เปลี่ยนกี่ครา ฟากต้นอ่อนซ่อนร่วงราวัฏฏะวาย
สังขารโรยความในสูงต่ำปลงบ้าง ชีวิตทางสามัญคือกินอยู่เรียบง่าย
วันคืนทุกข์สุดสุขสุดสลายไป เข้มแข็งสิ่งนี้คงไว้ประเสริฐดี
มนุษย์ปวงไม่ติดห่วงโลภโกรธหลง ชีวิตคงพ้นบ่วงตรมทุกข์เช่นนี้
ปองร้ายทำมายากิเลสล้มคนดี พาใจมีปัญหาทุกข์ซ้ำร่ำไป
แสวงหาทุกสิ่งอย่างไม่เคยพอ ขวัญยืนสิ่งทั้งหลายหนอถาวรไหม
ใช้ไม่คืนยืมเขามาน่าละอาย โลกไม่เที่ยงใครครองได้แท้จริง
อยากมาเกิดได้ธรรมเพื่อบำเพ็ญพ้น อยู่เพื่อคนอื่นในโลกสละยิ่ง
พ้นทุกข์แล้วพบแล้วไม่ยึดสิ่ง มุ่งสู่ความไร้ต้องทิ้งซึ่งอัตตา
เดินทางกลับแต่ก้าวหน้าใช่ถอย มีสติมาประเดิมถ้อยคำพูดหนา
ภาวะคู่รับมือคิดอย่าเอียงนา คนใช้ปัญญาอยู่ได้กลางเปลี่ยนแปลง
ถูกผันแปรเรื่องมองมากจะโทสะ ไม่ทันที่ทุกข์ชนะละปรุงแต่ง
ขับไม่ออกนั้นทำให้อารมณ์แรง เคยใจแจ้งกลับสูญเพราะรู้ดี
ฮิ ฮิ  หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาถามนักเรียนว่า เหนื่อย, เมื่อย, ง่วงไหม)
ไหนบอกไม่ชอบคนหลอกไง แล้วหลอกตัวเองทำไม ใช่หรือเปล่า ไม่ชอบให้คนอื่นหลอก ก็อย่าหลอกตัวเอง เหนื่อยก็บอกว่าเหนื่อยเถอะ เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ง่วงไหม (ง่วง) แปลว่าอะไร ไม่เหนื่อยแต่ง่วง ส่วนใหญ่เพลียมากๆ ง่วงหลับไปเลยไม่ใช่หรือ (ใช่)  เป็นธรรมดาอยู่ๆ ให้มานั่งอย่างนี้ ตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เราก็ยังง่วงอยู่ ฝืนแล้วฝืนอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ทนแล้วก็ทนอีก ใช่หรือเปล่า แล้วรู้สึกว่ายากเกินทนไหม (ไม่ยาก)  เคยเห็นคนย้อมสีผ้าไหมหรือไม่ (เคย)  ไหมขาวๆ ด้ายขาวๆ เวลาไปจุ่มสีดำก็เป็น (สีดำ) จุ่มสีน้ำเงินก็เป็น (สีน้ำเงิน)  แล้วมนุษย์อยู่ภาวะแบบไหนก็เป็นภาวะแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันนี้น้ำสีขาวก็เป็นสี (ขาว)  อันนี้น้ำสีดำก็เป็นสี (ดำ)  อันนี้น้ำสีแดงก็เป็นสี (แดง)  จริงหรือ
ผ้าไหมกับมนุษย์ต่างกันตรงไหน ด้ายกับมนุษย์ต่างกันตรงไหน ด้ายไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึก เค้าย้อมให้เป็นสีใดก็เป็นสีนั้น แต่มนุษย์มีความรู้สึกมีสติสัมปชัญญะมีอะไรที่เหนือกว่าด้าย มีอะไรที่เหนือกว่าสัตว์คือ จิตสำนึกผิดชอบชั่วดี ที่เรียกว่ามนุษย์ที่ประเสริฐ รู้ว่าสีขาวสวยแต่จะเป็นสีขาวดีไหมหนอ ยังคิดแล้วคิดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เห็นสีดำมันจะเลวได้ไหมนะ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าถามว่าตัวเองดีไหม (ดี) เลวไหม (ไม่เลว) จริงหรอ ไหนใครว่าตัวเองดียกมือขึ้น ไม่มีข้อยุติว่าดีหรือไม่ดีนะ คนดีทำดีง่ายหรือทำดียาก (ง่าย, ยาก)  ทำบ่อยไหม (ไม่บ่อย)  ทำไมล่ะ จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าตัวเองดีไม่ดี ต้องดูตอนทำดี ถ้าบอกว่าให้ทำดีก็สามารถทำได้ทันที ไม่เคยบอกว่ายาก นั่นล่ะเค้าเรียกว่าทำดี ทำดีบ่อยๆ จะทำก็เลยง่าย ถูกไหม (ถูก)  ถ้าบอกว่า “ฉันเป็นคนดี” แต่พอให้ทำดีบอกว่า “ยากจังเลย” เลยตอบว่า “ถนัดทำไม่ดีบ่อยพอจะทำดีเลยยากจัง” ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าสภาวะแวดล้อมไม่ดีแล้วเราจะต้องไม่ดีด้วย อย่าบอกว่าสภาวะแวดล้อมดีแล้วเราจะดีด้วย ก็ไม่แน่เหมือนกัน มนุษย์สมัยนี้พูดยาก เพราะเรื่องราวในโลกถึงมีดีก็มี ( ไม่ดี )  ถึงแม้ว่าเขาเลว แต่ในความเลวของเขาก็ยังดูเหมือนมีดี ฉะนั้นเราจะเอาอะไรเป็นบรรทัดฐานในโลกสมมุติใบนี้ ใช้ความดีความชั่วบางทีไม่พอแล้ว
ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้ตอบได้ง่ายมากที่สุดก็คือเมื่อทำสิ่งใดแล้วทำเพื่อ ส่วนรวมหรือส่วนตัว ทำแล้วดีก็จริง แต่ดีแล้วเพื่อส่วนรวมน้อยๆ หรือเพื่อส่วนตัวเยอะๆ สิ่งที่เขาทำเลวก็จริง แต่เลวแล้วเขายอมทำเพื่อส่วนตัวน้อยแต่เพื่อส่วนรวมเยอะหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เราต้องเอามาขบคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนในโลกทุกคน มีดีมีเลว ใช่ไหม แต่เวลาตัดสินทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราต้องเอาอะไรพิจารณาอีก นั่นก็คือ เขาทำเพื่อส่วนตัวหรือส่วนรวม สิ่งที่เขาทำผลกระทบส่วนรวม หรือผลกระทบส่วนตัว ถ้าทำให้ส่วนตัวต้องเสียแต่ส่วนรวมได้ผลประโยชน์ ทำไปเถอะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะมนุษย์มักจะพูดว่า ทำไมฉันต้องเสียสละ จริงไหม (จริง)  ทำไมฉันต้องยอม ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ถ้าวันนี้ท่านไม่อยากดี ไม่อยากเลว สมมติ คนดีคนหนึ่งเดินผ่านมา เรารู้สึกว่า “คนที่ผ่านไปดีจังเลยเนอะ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคนไม่ดีเดินผ่านมา แล้วเราไปว่าเขา “ไอ้ทุเรศ ไอ้หน้าเกลียด ไอ้หัวหงอก ไอ้หัวขาว ไอ้ไม่ดี” แค่คนเลวหนึ่งคนสามารถทำคนดีให้ไม่อยากเอาดีได้ จริงไหม (จริง)  แค่มีคนเลวในสังคมหนึ่งคน ทำให้คนดีหวั่นไหวไปกี่หมื่น เพราะเหตุใด ธรรมะจึงอยากปลุกสำนึกให้มนุษย์พยายามเป็นคนดีให้ได้ พยายามมีธรรมะยับยั้งอารมณ์ไว้ให้อยู่ ก็เพื่อให้เรามั่นคงในการเป็นคนดี เพราะคนเลวหนึ่งคนนั้นแค่หนึ่งนะ สามารถทำลายหมู่บ้านแห่งความดีได้ทันที จริงไหม ( จริง )  แต่คนดีหนึ่งคน จะปลุกให้คนในหมู่บ้านเป็นคนดีสักคนหนึ่งยากมาก จริงไหม ( จริง )  เราพยายามพูดดี แล้วให้ท่านเห็นว่าดีด้วย ท่านว่าเหนื่อยไหม ( เหนื่อย )  แต่ถ้าพูดให้เลวร้ายชั่วเวลาเดี๋ยวเดียว เรารู้สึกเขาเลวตามไหม (ตาม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทำไมจึงต้องศึกษาธรรมะ ทำไมจึงต้องมีศีลธรรม ก็เพราะว่าธรรมะและศีลธรรมช่วยยับยั้งและปลุกจิตสำนึกเราให้อยู่กับเรามั่นคง เพราะมนุษย์เราจิตสำนึกหาย ธรรมที่คอยยับยั้งชั่งใจไม่มี จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะเพื่อปลุกจิตสำนึกดีๆ สิ่งดีๆ ให้กลับคืนมาสู่เรา แล้วถามจริงๆ ความดีกับความชั่ว พื้นฐานเดิมเราน่าจะมีสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนมองน้ำ มองต้นไม้ มองสรรพสิ่งในโลกเกิดมาก็เลวร้ายเลยไหม (ไม่)  แม้ต้นไม้ที่เหม็นที่สุด ต้นไม้ที่มีหนาม มากที่สุดก็ยังมีประโยชน์ แล้วคนที่เลวร้ายที่บอกว่าตัวเองเลวร้ายแน่ใจหรือว่าจะไม่มีดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  คนที่บอกว่าตัวเองดีนักหนาแล้วประณามคนอื่น “เลว ชั่ว บ้า ไม่ดี” แน่ใจหรือว่าเธอไม่มีเลว คนที่บอกว่า “ฉันไม่เคยหลอกลวงใคร” แน่ใจหรือไม่เคยหลอกตัวเอง ใช่ไหม ( ใช่ )  ฉะนั้นการที่เราศึกษาหลักธรรมเพื่อให้เรา ปรับหูปรับตาให้มันกว้างขึ้น อย่ามองอะไรอย่างแคบๆ และตีกรอบตายตัว เข้าใจไหม
ครองความมั่นคงตื่นรู้ สติเคียงคู่รักษา
ตามทันกิเลสฉันทา พาใจสู่ความปรกติ
พูดเล่นพูดมากพูดไป ทำคนเสียใจไม่รู้
แอปเปิ้ลจากอาจารย์ ศิษย์ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ ศิษย์อยากได้มาก็ต้องดิ้นรนคิดให้ออกๆ คิดไม่ออกก็กลายเป็นคิดหนัก แล้วก็หนักอกหนักใจว่าเมื่อไหร่จะคิดออก ถูกไหม (ถูก)  ก่อนจะได้ก็หนักใจคิดมากแล้ว พอได้มาศิษย์ก็หวังว่าต้องคงอยู่ ต้องเป็นไปดั่งใจ และต้องมีประโยชน์สูงสุด  แต่อาจารย์ถามว่าสิ่งที่ศิษย์ครอบครอง สิ่งที่ศิษย์ปรารถนามีนั้น มีอะไรบ้างที่เชื่อฟังเรา มีอะไรบ้างที่เป็นดั่งใจหวัง

มนุษย์ทุกคนมีความปกติ ความปกติทำให้เราเป็นสุข แต่อารมณ์ที่จรมาทำให้มนุษย์ผิดปกติและกลายเป็นทุกข์จริงไหม (จริง)  ดีใจ แต่ดีใจมากๆ ลึกๆ ก็กลัวเสียใจ กลัวว่า “วันนี้ฉันดีใจ พรุ่งนี้ฉันจะเสียใจไหม” “วันนี้ผมได้พบผลสำเร็จแต่วันหน้าผมจะผิดหวังไหม” ฉะนั้นการมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองจะทำให้เราสามารถรักษาความเป็นปกติของชีวิตได้อย่างมั่นคง ถูกไหม (ถูก)  เวลามีเรื่องอะไรมากระทบ เอาสติมาก่อน ท่านก็เคยเห็น ข่าวที่ออกครึกโครมว่าถ้าเกิดไฟไหม้แล้วไม่มีสติก็ตายแน่ๆ ใช่ไหม (ใช่)  มีปัญหาเกิดขึ้นถ้าไม่มีสติอยู่กับตัว ก็ (ตาย)  เราก็คงลุกลี้รุกรนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะแก้ตรงไหนดี ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ในหนึ่งวันบางทีเราเจออารมณ์ที่มากระทบชีวิตเราร้อยแปดพันเก้า ถ้าเราไม่มีสติครองกับชีวิตสู่ความปรกติ เราก็คงหมุนวนไปตามอารมณ์ไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แล้วอารมณ์อะไรที่เราชอบมากกว่ากัน (อารมณ์ดี)  อารมณ์ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วส่วนใหญ่เราให้อารมณ์ดีอยู่กับเราหรืออารมณ์ร้ายอยู่กับเรา (อารมณ์ร้าย)  ถามว่ามีนิสัยไม่ดีอะไรตอบได้ แต่มีอะไรดีบางทีคิดตั้งนานคิดไม่ออก ฉันมีดีอะไรบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  
การฝึกฝนอะไรถ้าฝึกฝนบ่อยๆ เวลาทำก็ไม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียนรู้ปฏิบัติธรรมอย่าเอาแค่รู้ ผู้รู้จะไม่มีวันชำนาญถ้าไม่ปฏิบัติ มนุษย์ทุกคนรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี รู้ว่าอารมณ์โกรธอย่างนี้ต้องหยุดยั้ง อย่าปล่อยให้มากเกินไป ถ้ามากเกินไปจะทำให้เป็นทุกข์หรือมีผลเสียภายหลังใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางครั้งเรากลับห้ามไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เวลาเจอคนด่ามา เราก็ (ด่าตอบ)  ตีมาเราก็ (ตีตอบ)  ตบมาเราก็ (ตบตอบ) ฉะนั้นในโลกจึงเต็มไปด้วงแรงมาก็แรงกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ แล้วจะบอกว่าเขาผิด ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อต่างคนก็ต่างแรง จะให้เขาผิดแล้วเราไม่ผิดได้ ก็คือเขาแรงมาแล้วเราดีตอบ ถ้าเขาตีมาแล้วเราตีตอบ เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน มนุษย์มักจะบอกว่า ถ้าเขาตีมาแล้วด่าเราด้วย เราจะเป็นอย่างไร ความดีของเราหายเลย
แต่เคยเจอไหมมนุษย์สมัยนี้ คำด่าเป็นคำทักทาย เขาไม่ได้ด่าแต่เขาทักทาย ใช่ไหม ถ้าเราไม่มีสติยั้งคิด ด่ากลับ จบความเป็นเพื่อนไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงต้องรู้จักมีสติยั้งคิด ทำอะไรต้องมีสติเท่าทันอารมณ์หรือสิ่งที่มากระทบหัวจิตหัวใจ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะกลายเป็นสุดท้ายแล้วอยู่ตัวคนเดียว เหลือแต่ตัวคนเดียว ไม่รู้จะรักใคร เพราะไม่มีใครให้เรารัก แต่เพราะเราไม่เคยรักใครจริงๆ ต่างหาก ถูกหรือเปล่า ( ถูก )  ไม่ใช่ไม่มีใครให้เรารัก แต่เราไม่เคยรักเขาจริงๆ เรามักจะรักให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากจะให้เป็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์ในโลกจึงสนใจสิ่งที่มีมากกว่าสิ่งที่เป็น  เช่นเวลาเราอยู่กับใคร เราสนใจไหมว่าเขาเป็นอย่างไร (ไม่)  เราบอกว่า “ฉันต้องการให้เธอเป็นแบบนี้ เธอก็ต้องเป็นแบบนี้ เราพบเขาครั้งแรก เราปิ๊งเพราะเขามีสิ่งที่ถูกใจเรา แล้วก็คิดว่าเขาจะต้องมีสิ่งที่ถูกใจเราไปตลอดใช่หรือไม่ (ใช่)  เขามีอย่างไร ต้องมีมากกว่านั้น ห้ามต่าง ห้ามน้อย หรือห้ามลด ถูกไหม (ถูก)  อย่างเช่นเธอสวยอย่างไร เธอก็ต้องคงความ (สวย)  “วันนี้เธอให้ดอกไม้ฉันกี่ดอก พรุ่งนี้เธอก็ต้อง ให้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่มีเซอร์ไพร์สเป็นดอกไม้ก็ต้องมีเป็นอย่างอื่น เมื่อวันใดไม่มี “ทำไมไม่มีล่ะ” หรืออย่างเช่นเราเป็นคนมีความรู้ แต่พอมาคุยกับเขาเรากลายเป็นคนไม่มี “ทำไมไม่มี ไม่รู้ จะต้องเถียงให้รู้ให้ได้เลยว่าฉันมีๆ ฉันไม่แพ้ๆ” ใช่ไหม (ใช่)  “ฉันเคยชนะมาก่อน ฉันก็ต้องชนะ แพ้ไม่ได้”  ใช่ไหม (ใช่)  
มนุษย์อยู่ในโลกมักจะสนใจแต่สิ่งที่เราอยากมีมากกว่าสิ่งที่ควรเป็น ถ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไร ตัวตนแท้จริงเราเป็นอะไรรู้ไหม รู้แต่ว่า “ฉันมีกระเป๋า ฉันมีสร้อยทอง ฉันมีลูก ฉันมีหลาน” แต่ฉันเป็นอะไรไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเราอย่ามัวสนใจแต่สิ่งที่มี จนลืมคุณค่าของสิ่งที่เป็น เราอย่ามัวแต่ปรารถนาในความมี จนลืมสิ่งที่เขาควรจะเป็น จริงไหม (จริง)  ดังที่มนุษย์มักจะพูดว่า “ถ้าเขาเป็นขาวก็ต้องเป็นขาววันยังค่ำ ถ้าเขาเป็นดำเขาก็ต้องเป็น (ดำ)  ซึ่งเป็นจริงไหม (ไม่จริง)  ถ้าวันนี้ฉันประสบผลสำเร็จ ต่อไปฉันก็ต้องประสบผลสำเร็จ ต่อไปฉันก็ต้องได้ที่หนึ่ง “วันนี้อาจารย์ชมฉัน วันนี้เพื่อนชมฉัน ต่อไปเขาต้องชมต่อนะ อย่าว่าฉันเลย เพราะฉันรับไม่ได้”  เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเราอย่าสนใจแต่สิ่งที่มี เราต้องสนใจความเป็นจริงโดยพื้นฐานด้วย และความเป็นจริงโดยพื้นฐานคือ โลกใบนี้มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย มีชมก็มีติ มีสรรเสริญก็มี (นินทา) มีสวยก็ต้องมี (ขี้เหร่)  มีหล่อก็ต้องมี (ขี้เหร่)  มีเก่งก็ต้องมี (ไม่เก่ง)  มีคนหนุ่มสาวก็ต้องมีคน (แก่)  ใช่หรือไม่ มีผมดำก็ต้องมี (ผมขาว) ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรารับได้ไหม (ได้)  มีได้แล้วก็มี (ไม่ได้)  มีโชคดีก็มี (โชคร้าย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนขี้บ่นก็ต้องมีคน (เงียบ)  ถ้ามีคนขี้บ่นก็ต้องมีคนเงียบ ไม่ใช่มีคนขี้บ่น ก็มีคนขี้บ่นกว่า อย่างนี้มันก็ไม่สมดุลถูกหรือไม่ ( ถูก )  ถ้าอยากให้โลกสมดุลก็คือมีสิ่งหนึ่งเราก็ยอมเป็นอีกสิ่งหนึ่งได้ไหม ( ได้ )  บางครั้งเรายอมเป็นคนร้ายเพื่อให้คนอื่นเป็นคนดี บางครั้งเรายอมเป็นผู้ผิดเพื่อให้คนอื่นเป็นผู้ถูก แต่คนในโลก “ฉันต้องถูก แกผิดไป”
การศึกษาธรรมะจะสอนให้เรารู้ว่าบางครั้งเราต้องยอมรับผิดบ้างเพื่อให้ผู้อื่นมีสุข ฉะนั้นต้องเรียนรู้บทเรียนนี้ไว้บ้างนะ บางครั้งก็ต้องยอมผิด ยอมแย่ เพื่อให้คนอื่นมีคุณค่าและรู้สึกดีที่มีชีวิตอยู่ ถูกไหม (ถูก)  มีนิทานเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ท่านฟัง เพราะเห็นแล้วทำให้นึกถึงทุกท่านในนี้หรือทุกท่านในโลกนี้ มีขโมยสองคนคิดว่าอยากจะไปขโมยระฆังที่วัด แต่ระฆังพอถือมันออกไปมันก็ต้องดังเหง่ง เหง่ง เหง่ง ใช่ไหม (ใช่)  อีกคนก็บอก “ก็ไม่ยากนี่ เธอก็อุดหูไว้ฉันก็อุดหูจะมีใครได้ยินไหม” อีกคนก็บอกว่าไม่มี สุดท้ายทั้งคู่ก็ไปขโมยระฆัง ปรากฏว่าเมื่อขโมยมาระฆังมันก็ดัง วิ่งไปกี่ที่มันก็ดัง เหง่ง เหง่ง เหง่ง ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครได้ยิน เพราะอะไร เพราะคนขโมยอุดหูไว้เองใช่หรือไม่แล้วจริงๆมีคนได้ยินไหม (มี)  แล้วมีคนรู้ไหม (รู้)  ท่านว่าเรื่องนี้ เรากำลังจะบอกอะไร ฟังเราพูดมาเยอะลองดูซิจะคิดออกไหม ท่านว่าได้อะไรในเรื่องนี้ (ทำสิ่งใดอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้)
มนุษย์ในโลกรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บางครั้งพอมีโอกาส ลับหลังคนอื่นก็แอบทำไม่ดี พอมีโอกาสมองซ้ายขวาไม่มีใครรู้ขอทำไม่ดีสักหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เลยคิดว่าไม่มีใครรู้ แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดีจริงหรือไม่ (ไม่จริง)  เช่นเวลาเราดื้อดึงดันทุรังจะทำบางสิ่งที่คนเขาบอกว่า “อย่าทำมันไม่ดี”   มีคนแจกแจงให้ชัดเจนเลยว่าอันนี้ไม่ดี แต่เราไม่ฟัง เราปิดหูตัวเองไว้ เช่นคนกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือคนที่ทำในสิ่งที่ไม่ดีแต่จริงๆ แล้วแน่ใจหรือว่าไม่รู้ว่าไม่ดี เป็นประเภทไม่รู้ตัวเองปิดบังตัวเองหลอกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราดื้อดึงดันทุรังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง “ก็คิดว่าไม่มีใครเห็นหรอกไม่มีใครรู้หรอกที่เราแอบทำไม่ดีแต่จริงๆ ไม่รู้จริงๆ ไหม (ไม่จริง)  
ในโลกนี้กรรมใดใครก่อกรรมนั้นก็ต้องสนอง กรรมคือการกระทำใครทำสิ่งใดก็ต้องได้รับสิ่งนั้นตอบแทนอย่าคิดว่าปิดตาปิดใจตัวเองไว้จะปิดตาปิดใจผู้อื่นได้ เหมือนเวลามือเรากำแล้วแบได้ไหม (ได้)  เมื่อไรที่กำแล้วแบได้นั่นเรียกว่าธรรมชาติคือความเป็นจริงของมนุษย์ ถ้าเรากำลังยึดมั่นถือมั่นอะไรที่เหมือนกับกำมือแล้วแบมือไม่ได้ เรียกว่าปล่อยวางไม่ลง เกลียดยังไงก็เกลียดอย่างนั้น ชอบยังไงก็ไม่เคยเห็นความน่าเกลียดอย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  เกลียดใครแล้วก็หาความดีไม่เจอได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นก็เท่ากับเราก็กำมือไปตลอดชีวิต คือเรากำลังยึดติดความรู้สึกอะไรที่ทำให้เราไม่สามารถมองโลกได้กว้าง มองคนได้แจ่มชัด มองชีวิตได้กระจ่างเพราะเรากำลังยึดมั่นอะไรอยู่ ท่านเคยได้ยินคำว่านกน้อยทำรังแต่พอตัวไหม มนุษย์เราเป็นเหมือนนกน้อยไหม เราเกิดมาเพื่อแสวงหา หรือแสวงหาเพื่อมีชีวิต มีชีวิตเพื่อแสวงหาหรือแสวงหาเพื่อพอประทังชีวิต เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ถ้าถามความหมายของคำว่าบ้านในหัวใจของทุกคนถ้ามีบ้าน บ้านท่านเป็นอย่างไร ความหมายของคำว่าบ้านของท่านคืออะไร (ที่อยู่,ความมั่นคง,)
บ้านคือ (ที่ให้ความสุข)  ที่ให้ความสุขใช่หรือไม่ (มีสองนิยามนะครับ หนึ่ง บ้านคือวิมาน สอง บ้านคือที่ซุกหัวนอน) บ้านคือวิมาน กับ บ้านคือที่ซุกหัวนอน ถ้าบอกว่าบ้านคือที่ซุกหัวนอน ก็คือนกน้อยควรทำรังแต่พอตัว แต่ถ้าบอกว่าบ้านคือวิมาน เมื่อนั้นแหละ “เมื่อไหร่วิมานจะสร้างเสร็จสักที”  รอไปเถอะบ้านหลังนั้นฉันไม่มีวันได้เจอหรอก ถูกไหม (ถูก)  เราเป็นเจ้าของบ้านนะ ไม่ได้เป็นทาสของบ้าน ฉะนั้นนิยามของบ้านในความคิดของมนุษย์คือ เข้าไปอยู่แล้ว เย็น สบาย โปร่งโล่ง นี่คือนิยามของคำว่าบ้าน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่มนุษย์ปัจจุบันกลายเป็นคนสร้างบ้านที่เป็นทาสของบ้าน แล้วจะเอาบ้านเป็นวิมาน จากที่เราจะเป็นเจ้าของบ้าน แต่กลายเป็นทาสของบ้าน บ้านคือที่ๆ ทำให้เราอยู่แล้วสบายใจ แต่ทำไมพอมาอยู่บ้าน “กลับร้อน อึดอัด เบื่อ น่ารำคาญ”  ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ เพราะคนสร้างบ้านลืมความหมายของคำว่าบ้านไป พอแสวงหาไปเรื่อยๆ เราเริ่มหลงแล้วว่า เรากำลังต้องการบ้านแบบใดกันแน่ ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์เราเลยตกเป็นทาสของทุกๆ สิ่งที่ตัวเองแสวงหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพื้นฐานของคำว่าบ้านคือความโปร่ง โล่ง สบาย สงบ
พื้นฐานของคำว่าธรรมก็ไม่ต่างกับการสร้างบ้าน โปร่ง โล่ง สบาย สงบ สร้างบ้านในโลกเป็น ก็สร้างบ้านในใจเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เรากลับกลายเป็นสร้างบ้านในโลกไม่เป็น บ้านในใจเลยอยู่อย่างไม่มีความสุข ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นกลับไปบ้าน อย่าลืมถามตัวเราเองว่า เราต้องการบ้านแบบไหน และเราควรจะเริ่มสร้างที่ตัวเราก่อน ใช่หรือไม่ ( ใช่ )  อย่าเอาแต่เรียกร้องผู้อื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)
แสวงหาทุกสิ่งอย่างไม่เคยพอ ขวัญยืนสิ่งทั้งหลายหนอถาวรไหม
พอหาไปเรื่อยๆ เราก็เหนื่อย พอเหนื่อยเราก็พัก พอหายเหนื่อยก็กลับมาหาใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใช้ไม่คืนยืมเขามาน่าละอาย
คนบางคนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหา แต่คนบางคนถ้าเข้าใจชีวิตแล้ว เขาจะแสวงหาเพื่อมีชีวิตเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบางคนอยู่เพื่อผ่านไปวันๆ แต่คนบางคนเป็นได้มากกว่านั้น
โลกใบนี้ สิ่งที่เราครอบครองว่าเป็นของเรา แท้จริงแล้วเป็นของเราไหม  (ไม่ใช่)  เราหาเงินมาแปลเป็นบ้านแปลเป็นอิฐ แปลเป็นปูน สักพักหนึ่งปูน อิฐ ก็จะกลายเป็นของคนอื่นไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  เคยได้ยินไหมว่า  “หนึ่งสถานที่ร้อยพันเจ้าของ”  “เงินหนึ่งพันบาทร้อยพันคนผ่านมือ”  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ใครล่ะที่ครองได้แท้จริง  ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน  เราครองตัวเองได้อย่างแท้จริงมากสุดกี่ปี (ร้อยปี)  ไม่ถึงร้อยด้วย แต่เราก็ยังหลงหน้าชื่นตาบานกับร่างกายนี้ แล้วถึงที่สุดเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง ถึงเวลาก็เอาตัวนี้ไปไม่ได้  แต่ตัวนี้เก่งไม่เก่งสามารถทำสิ่งที่ประเสริฐได้  ท่ามกลางการแสวงหา เราทำสิ่งที่ประเสริฐได้มากกว่านั้น แล้วเป็นมากกว่านั้นเป็นตอนไหนล่ะ ไม่ยาก ตอนอยู่กับผู้อื่นนั่นแหละ
เมื่อเราอยากจะสนิทกับใคร เราให้ที่ว่างกับเขามากแค่ไหน  ยิ่งให้ที่ว่างมาก การที่เขาจะอยู่กับเราเป็นตัวเป็นตนและสร้างสรรค์ สิ่งต่างๆ ย่อมได้มาก  แต่ถ้าเราให้ที่ว่างกับเขาแคบจำกัด และมีขอบเขต  คนที่อยู่กับเราจะไม่มีความสุข  ฉะนั้นเมื่อเรารู้จักกับใครสักคนก็เหมือนกับการที่เราสร้างบ้าน  เราสร้างบ้านกับเขากว้างหรือแคบ โปร่งหรืออึดอัด  เราอยู่กับอะไรก็ตามเช่นอยู่กับความรู้  อยู่กับวิชา  อยู่กับเพื่อน  อยู่กับพ่อแม่  เราให้ที่ว่างเขามากแค่ไหน ให้ที่ว่างเขามาก เมื่อเขาอยู่กับเราก็กระทบกระทั่งกันได้ยาก  ให้ที่ว่างเขาแคบ เขาอยู่กับเราเมื่อเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  เราก็จะรู้สึกไม่ชอบ รำคาญ เกลียด จริงไหม (จริง)  เขาจะเป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ได้  เธอต้องเป็นอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนั้น  อึดอัดไหม (อึดอัด)  เพราะฉะนั้นเวลาเราอยู่กับใคร  หรือเรารู้จักกับใคร เมื่อเราคิดจะมีใครก็เหมือนจะสร้างบ้านหลังหนึ่ง จะให้บ้านเขาอย่างโปร่ง โล่ง สบาย หรือจะให้บ้านเขาอย่าง แคบ เล็ก อึดอัด ตัวลีบ บังคับลูกต้องซ้าย ต้องขวา ต้องเลี้ยว ใครจะอยากอยู่กับเราใช่หรือไม่  (ใช่) เราอยู่กับใครก็ตามต้องรู้จักให้ช่องว่างเขาเยอะๆ และให้อิสระเขาเต็มที่ เมื่อเขาอิสระเต็มที่พลังในการสร้างสรรค์  พลังในความเป็นตัวตนเขาย่อมเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าบอกว่า “ลูกแม่ให้แค่นี้นะ ลูกต้องเป็นแบบนี้ คุณฉันให้คุณเท่านี้นะ คุณต้องเป็นแบบนี้ และเป็นแบบนี้” เราเป็นแบบนี้ต่อให้รักกันแค่ไหนก็อยู่ไม่รอด  ดีแค่ไหนก็ไม่เอา  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะที่ว่างในหัวใจเราที่ให้กับเขาแคบเหลือเกิน ตายตัวเหลือดี ฉะนั้นเหมือนกัน เราให้นิยามความหมายของคำว่าชีวิต กว้างหรือแคบ เราให้นิยามความสุขของตัวเรากว้างหรือจำกัดจำเขี่ย มนุษย์ทุกคนนิยามความสุขว่า “รอยยิ้มของคน คนนั้น คือความสุขของฉัน”  “ความสำเร็จ ปริญญาใบนั้นคือความสุขของฉัน” แต่กว่าจะได้ปริญญาสักใบ ตาเหลือกตาปลิ้นเลย  ฉะนั้นทุกก้าวก่อนจะได้ปริญญาก็คือความสุขแล้ว  เพราะอย่างน้อยไม่มีใครเป็นได้  แต่มีเราเป็นได้ที่ก้าวไป  อย่าจำกัดความสุขให้แคบ ไม่อย่างนั้นชีวิตเราจะหาความสุขได้ยากเหลือเกิน แล้วความสุขของเราคืออะไร
อะไรก็ได้คือความสุข เขาโกรธ เขาด่า เราก็สุขใช่ไหม ( ใช่ ) เดี๋ยวเราก็ไปแล้ว ท่านกำลังคิดว่าจะเชื่อดีไม่เชื่อดี จริงหรือปลอม ใช่หรือเปล่า ตอนนี้เราไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อท่านนะ แต่เรากำลังพูดถึงความเป็นจริงในปัจจุบัน หรือพูดถึงความเป็นจริงของชีวิตทุกคน เราไม่ได้จะล้มล้างความเชื่ออะไรของท่าน ท่านเป็นชาวพุทธก็ยังเป็นพุทธอยู่ ท่านนับถือคริสต์ก็ยังเป็นคริสต์อยู่ ท่านมีพุทธศาสนา ท่านก็ยังมีพุทธศาสนาอยู่ แต่สิ่งที่เรากำลังพูดคือ ความเป็นจริงที่เราต้องสนใจ มากกว่าสิ่งที่เราพยายามอยากจะมีกันแทบเป็นแทบตาย ถูกไหม (ถูก)  เราอยากมีแทบเป็นแทบตาย แต่เราลืมสิ่งที่เป็นจริงที่มีอยู่ในตัวเรา ถ้าเราเข้าใจ ความสุขไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ความทุกข์ไม่ได้ยากเกินที่จะหาทางแก้ ใช่ไหม (ใช่)  
ภาวะคู่รับมือคิดอย่าเอียงนา คนใช้ปัญญาอยู่ได้กลางเปลี่ยนแปลง
ถูกผันแปรเรื่องมองมากจะโทสะ ไม่ทันทีทุกข์ชนะละปรุงแต่ง
ขับไม่ออกนั้นทำให้อารมณ์แรง เคยใจแจ้งกลับสูญเพราะรู้ดี
โลกนี้จะผันแปรไปสักแค่ไหน เราจะมีดีมีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุขมากเพียงใด ถ้ารู้จักดำเนินชีวิตให้เป็นด้วยการมีหลักธรรม เรื่องบนโลกทุกข์สุขกี่ร้อยกี่พัน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฟันฝ่าหาทางออกใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของมนุษย์บางคนบอกว่า เกิดมาเพื่อเป็นเหมือนสะพาน สะพานข้ามไปสู่ฝั่งที่ดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นสะพานที่ข้ามไปสู่ฝั่งที่เรียกว่าสวรรค์หรือเป็นสะพานที่ข้ามไปสู่หุบเหวอันน่ากลัว เคยไหมที่ในชีวิต คนบางคนไม่อยากเข้าใกล้เรา เพราะเขารู้สึกว่าสะพานของคนๆนี้เป็นสะพานที่น่ากลัวมากกว่าสะพานที่น่าเดิน ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ชีวิตของเราเปรียบเหมือนสะพานที่ทอดไปสู่สวรรค์ ทอดไปสู่ความโปร่งโล่งสบาย หรือทอดไปสู่ความอึดอัดน่าเบื่อรำคาญใจ ถามตัวเองนะชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมา คนเขาอยู่กับเราแล้วโปร่งโล่งสบาย หรืออยู่แล้วอึดอัดน่าเบื่อ ไม่ต้องหามนต์เสน่ห์อะไร ไม่ต้องหาน้ำทิพย์อะไรดีๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดได้ด้วยตัวเรา ถ้าเราเป็นสิ่งนั้นให้ดี แล้วพลังวิเศษจะออกมาจากตัวเราเอง เพราะเราเป็นด้วยหัวใจใช่หรือไม่ ( ใช่ )  ไม่ใช่ทำเลียนแบบใคร ถ้าเราจะเป็นสิ่งใดจงเป็นด้วยหัวใจแล้วพลังแห่งการสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นมาได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องรอขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นพ่อเป็นแม่ก็จงเป็นพ่อแม่ที่เป็นด้วยหัวใจ ไม่ใช่เป็นไปเพราะทำตามหน้าที่ เพราะอะไรก็ตามที่ทำตามหน้าที่จะหาพลังสร้างสรรค์ที่ดีงามนั้นยาก แต่ถ้าเป็นด้วยหัวใจมองยังไงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า
ฉะนั้นวันนี้ไม่ว่าเราจะเป็นคนอย่างไรก็ตาม ขอให้เป็นด้วยหัวใจและออกมาจากจิตใจเราจริงๆ คุณค่าและพลังแห่งการสร้างสรรค์ย่อมเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องกราบไหว้วอนขอฟ้าดินเลย มนุษย์ทุกคนมีพลังวิเศษอยู่ที่หัวใจ ศรัทธาเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ก็ทำได้ ถ้าไม่ศรัทธาเชื่อมั่นในตัวเองคิดแต่ว่าทำไม่ได้ ยังไงก็ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำไว้นะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยอยากแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ สิ่งที่ท่านอยากให้เกิดปาฏิหาริย์นั้นก็คือ กล่าวคำพูดแล้วทำให้คนรู้แจ้งและหลุดพ้นได้  นี้คืออิทธิปาฏิหาริย์ที่พุทธะทุกพระองค์อยากให้ทุกคนมี ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการพูดธรรมะแล้ว คนเอาไปใช้แล้วรู้แจ้งได้ โชคสองตัว โชคสามตัว โชคสี่ตัว วันหนึ่งมีโชคแต่อีกวันหนึ่งต้องอับโชค สู้ไม่มีโชคเลยดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  โชคที่วันหนึ่งทำให้ท่านแข็งแรงแต่เมื่อแข็งแรงแล้วท่านไปปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้กลายเป็นคนไม่แข็งแรง อย่างนั้นจะแข็งแรงทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงจำไว้ว่า ในโลกนี้มีได้ก็ต้องมีเสีย ถึงเสียก็มีได้ ไม่มีอะไรในโลกน่ารังเกียจหรอก ถ้ามนุษย์ไม่ตั้งใจรังเกียจมันเอง เพราะทุกสิ่งล้วนมีคุณมีโทษอยู่ในตัวเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่ผู้ที่เข้าใจแล้วยืนตรงกลางระหว่างเรื่องดีเรื่องร้ายได้ คนนั่นคือคนที่มีโชคอันนิจนิรันดร์ คือคนที่สร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้ด้วยการแปรทุกเรื่องทุกราวให้เป็นปาฏิหาริย์ แล้วปาฏิหาริย์จะเกิดได้อย่างไร เกิดได้ด้วยตัวเราเป็นผู้สรรสร้าง ไม่รังเกียจเรื่องดีไม่รังเกียจเรื่องร้าย ทั้งดีและร้ายมีคุณและโทษในตัว เราสามารถประยุกต์และดูดซับและถอนทิ้งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นนักเก็บที่แย่กว่านักเก็บขยะ เคยเห็นคนเก็บขยะไหม (เคย)  คนเก็บขยะยังรู้จักแยกขยะและทำให้ขยะกลายเป็นสตางค์ แต่มนุษย์เราเก็บอะไรไว้ในใจแต่แยกมันไม่ออกและทิ้งมันไม่เป็น เพราะฉะนั้นเราจึงแย่ยิ่งกว่าคนเก็บขยะไว้ เพราะขยะนั้นมันก็ไม่ได้หายไปไหนมันอยู่ใน (ใจ)  แล้วเราแย่ยิ่งกว่าคนเก็บขยะอีกไหม (แย่กว่า)  เพราะเราแยกไม่ออกว่าอะไรควรเก็บอะไรควรทิ้ง บอกว่าจะทิ้งแล้วก็ไม่ทิ้ง ยังเก็บจนมันเน่าอยู่ใจนี้ เราไปแล้วนะ คนเก็บขยะ


วันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมหมิงเฉิง อ.สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พูดน้อยทำมากย่อมดี ก่อนพูดคิดดีได้ไหม
พูดเล่นพูดมากพูดไป ทำคนเสียใจไม่รู้
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเฉิง แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสุขสบายดีไหม
คนที่เหนือทุกด้านรอบรู้ชำนาญ  เก่งงานมากพรสวรรค์  กร้านงานสังคม  มีมนุษยสัมพันธ์  ดุจของสวยงามน่าสงสารเรื่องชีวิต  สวยสำเร็จรูปดั่งไร้หัวใจ
* หากไม่เห็นข้อนี้ก็คงกัดฟัน  ดิ้นรนเพื่อเป็นแบบใคร  แลกด้วยเหงื่อเคล้าน้ำตา
** รูปลักษณ์ทั้งนั้นที่คนมีใจ  บำเพ็ญธรรมข้างในไม่มีให้เห็น  เฝ้าความคิดตัวเราเอง  ดึงชีวิตที่หายที่ลืมเลือนไป  ธรรมดารับได้ย่อมมองหลักธรรมเห็น  จะต้องบำเพ็ญนอกในเป็นผืนเดียว  (เหนื่อยอีกนิดบำเพ็ญให้เป็นคนเหนือดวง)
คนย่อมเหนือเพราะชาติ  แต่ถึงเรามีมาน้อยไม่พลอยต้องตื่นกลัวให้ความสนใจ  เพราะวันนี้สำคัญกว่าทุกเรื่องราวมากมายที่เลยล่วงไป  ใช้ช่วงที่เหลือด้วยความระวัง     ( ซ้ำ  * / ** / ** / __ )
ชื่อเพลง : คนเหนือดวง
ทำนองเพลง : หนอนผีเสื้อ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ความอดทนของคนเรานั้นมีจำกัดไหม (จำกัด, ไม่จำกัด)  บางคนก็จำกัด บางคนก็ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ความอดทนได้มากแค่ไหน หรือขึ้นอยู่กับว่าเรามีใจที่จะอดทนหรือไม่ ถ้าคนมีใจจะทำอะไรแล้ว แม้ยากลำบากขนาดไหนก็พยายามทำจนเสร็จไปได้ แต่ถ้าไร้ใจแล้วแม้ง่ายสักนิดหนึ่ง เขาก็ไม่คิดจะไปเลย ถูกหรือไม่ (ถูก)  วันนี้คนที่ยังอยู่ครบถึงสองวันนี้ เรียกว่ามีใจแล้วก็ใช้ความอดทนอย่างเต็มที่ถูกไหม (ถูก)  ชมตัวเองใช่ไหม (ใช่)  ใช้เต็มที่เลยหรือ จะมีใครตอบแบบหน้าชื่นตาบานบ้างว่า มีใจแต่ไม่ได้ใช้ความอดทนเลย จึงนั่งฟังไปได้เรื่อยๆ เมื่อไรที่ต้องใช้ความอดทนแปลว่าฝืนใจ ถูกไหม (ถูก)  เหมือนเวลาที่เราไม่ชอบฟัง เราต้องใช้ความอดทนในการฟัง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วต้องใช้ความอดทนอย่างมากเพื่อฟังให้ (จบ)  แต่ถ้ามีใจจริงๆ ต้องอดทนไหม (ไม่)  มนุษย์เราในโลกนี้มีเรื่องราวหลายอย่าง บางเรื่องดีบางเรื่องร้าย แต่เรื่องดีเรื่องร้ายจะไม่มาสู่เราก็ต่อเมื่อเราปราศจากซึ่งอะไร เราอาจจะมีชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ ธรรมดาสามัญ แต่ทำไมชีวิตมนุษย์ของทุกคนเดี๋ยวมีเรื่องดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวมีเรื่องที่ทำให้เรายิ้ม เดี๋ยวมีเรื่องที่ทำให้เราเสียใจ นั่นก็เพราะว่ามนุษย์ยังหนีไม่พ้นเรื่อง (กิเลส)  กิเลสเป็นตัวชักพาที่ทำให้มนุษย์ต้องเจอปัญหา เจอความทุกข์ เจอโชคดีโชคร้าย ถ้าไม่อยากโดนหลอก อย่ามีความโลภ ถ้าไม่อยากมีปัญหาอย่ามีความโกรธ ถ้าไม่อยากเสียใจภายหลังอย่ามีความรัก ความหลงเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากหนีภัยอันตรายในโลกก็หยุดสร้างเรื่อง (โลภ, โกรธ, หลง)  เพราะความโลภเราจึงถูกหลอกได้ง่าย เราจึงถูกลวงได้สำเร็จ เพราะอารมณ์วู่วามใจร้อน เราจึงง่ายที่จะพบปัญหาและความยากลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความหลงจึงทำให้เราต้องเสียใจภายหลัง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมนุษย์อยู่ในโลกนี้ยังหยุด (โลภ, โกรธ,หลง) ไม่ได้
ถึงรู้ขนาดนี้ เราก็เป็นแค่รู้แต่เราหยุดความปรารถนา ความต้องการในใจไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  เรามาช่วยกันหาวิธีการที่ถึงแม้จะโกรธแต่ความโกรธไม่กลายมาเป็นผลร้าย  ถึงแม้จะโลภแต่ความโลภนั้นไม่ทำให้ถูกหลอกเอาไหม (เอา)  เอาใช่ไหม ถึงแม้มีความหลงแต่ความหลงนั้นไม่ทำให้กลับต้องเสียใจภายหลังเอาไหม คิดว่าทำได้ไหม แล้วคิดว่าจะมีวิธีไหม (มี)  แล้วเคยไปหาหรือยัง (ยัง)  ได้แต่คิดใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยได้ยินไหมพูดน้อยเรื่องก็น้อย วุ่นวายน้อยปัญหาก็น้อย คิดดีเข้าไว้อย่าคิดร้าย ก็จะไม่มีเรื่องต้องกลุ้มกังวลภายหลังใช่หรือเปล่า (ใช่)  
พูดน้อยทำมากย่อมดี ก่อนพูดคิดดีได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า ทำคนเสียใจไม่รู้อะไร)
(ไม่รู้ตัว)  สนิทขนาดไหน รู้จักมาแรมปีขนาดไหน แต่สิ่งที่ต้องมีก็คือให้เกียรติซึ่งกันและกัน อย่าสนิทมากจนลืมซึ่ง (ความเกรงใจ) ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ผู้ปฏิบัติงานธรรมต่อไปอาจารย์ขอนะ ถ้าเมื่อไรที่มีงานประชุมธรรม ข้างล่างพยายามรักษาความสงบ ไม่ใช่ไม่เจอกันนานปีเหมือนนกกระจอกนกกระจิบแตกรัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ว่าที่ไหน อาจารย์ขอให้รักษาความสงบ ทำงานทำการอะไรก็ถือความเงียบและความสงบเป็นพื้นฐาน อย่างน้อยอยู่ข้างนอกเราก็วุ่นวายมามากพอแล้ว เมื่อมาถึงสถานธรรมควรปฏิบัติด้วยความมีสติ มีสมาธิในการทำงาน ไม่ใช่พูดไปทำงานไป พูดมากไปทำร้ายกันไปโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นขอให้มีความสงบขณะปฏิบัติงานธรรม พูดน้อยๆ ยิ้มเยอะๆ ได้หรือเปล่า (ได้)  ไม่มีคนว่าศิษย์หรอกว่า “พูดหน่อยสิพิกุลจะได้ร่วง”  มีใครพูดแบบนี้กับศิษย์ไหม (ไม่มี)  มีแต่จะบอกว่าอย่าพูดเลย ใช่หรือเปล่า
เราขึ้นชื่อว่ากำลังปฏิบัติงานธรรม พูดน้อยๆ รักษาความสงบทั้งภายนอกและภายใน เริ่มต้นที่ตัวเราก่อนได้ไหม (ได้)  เมื่อเริ่มต้นที่ตัวเราแล้วแผ่ขยายไปสู่ข้างนอก บรรยากาศแห่งความสงบและร่มรื่นจะปรากฏ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่ใช่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความอึกทึก เสียงดังโวยวาย เจื้อยแจ้วไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์แจ้งพระนาม)
เมื่อครู่อาจารย์บอกไว้ว่า ทำอย่างไรให้เรามีความโลภแล้วโลภนั้นไม่ทำให้เรากลายเป็นคนที่โดนหลอกลวง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราโลภอยากได้ ขอให้มีสติคอยกำกับและมีปัญญาคอยยั้งคิด สติและปัญญาจะช่วยไตร่ตรองว่า ควรจะโลภไหม ควรจะโกรธไหม  นั่นก็คือมีสติเท่าทันอารมณ์ที่มากระทบใจ หรือที่มาถึงตัวถึงใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามีสติความโลภก็ไม่อาจทำให้กลายเป็นคนที่ถูกหลอกลวงได้ง่าย ความโกรธก็จะไม่ทำให้เกิดปัญหาภายหลัง ใช่หรือไม่  ความหลงก็จะทำให้เราไม่เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ส่วนใหญ่เวลาที่ศิษย์เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งแรกที่อยากได้ก็คือ “ขอ” ขอให้รวย ขอให้แข็งแรง ขอให้ลูกหลานเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ดีไหม (ดี)  แต่แปลกนะอาจารย์ก็ให้ทุกที แต่ไม่เห็นมีใครทำสำเร็จสักที ให้ไปแล้วก็ไม่ทำให้รวยใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากรวยต้องทำอย่างไรถึงจะรวย (ขยัน, ประหยัดอดออม, อดทน)  แล้วศิษย์มีสามอย่างนี้ไหม ศิษย์ก็รู้วิธีที่จะทำให้เรารวยใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ได้เงินร้อนๆ มาโดยไม่ได้สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง ศิษย์ก็จะใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้มาเยอะก็ใช้เยอะสักวันก็สูญเยอะ
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า เกิดมาเป็นคนสามารถลืมตาอ้าปากได้แต่ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือใคร คนนั้นคุณค่าก็ไม่ต่างจากกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งที่บันทึกอะไรไม่ได้ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้ามั่งมีแล้ว แต่ตระหนี่ เก่งแต่เย่อหยิ่งถือดี มีเกียรติยศแต่ดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นเช่นนี้ไม่สู้เป็นคนธรรมดาแต่มีน้ำใจ ไม่ฉลาดแต่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีเกียรติยศเลิศหรูแต่รู้จักให้เกียรติคน แบบนี้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากจะให้คนเป็นมากกว่า ไม่มีใครในโลกนี้รวยแล้วไม่งก ไม่ดูถูกคน รวยแล้วไม่ทำผิดใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์รวยขนาดไหนแต่เพื่อจะได้รู้ทางพ้นทุกข์ยอมมาจน เพราะคิดว่าความรวยนั้นทำให้คนจิตใจหลงฟุ้งเฟ้อได้ง่าย ทำให้ถือยศถืออย่างโดยไม่รู้ตัว  ฉะนั้นศิษย์ที่ธรรมดา ไม่รวย นั่นแหละดีแล้วเพราะศิษย์ใกล้สู่ความพ้นทุกข์ แล้วสามารถหาทางพ้นทุกข์ได้ง่าย  หากศิษย์มีลูกรวยแต่ไม่เคยมาดูแลพ่อแม่ มีลูกเก่งแต่เมื่อพ่อแม่พูดคำ ก็พูดกับพ่อแม่ว่า “แม่หยุดเถอะแม่ไม่รู้ พ่อหยุดเถอะ พ่อไม่ได้เรียนมา พ่อไม่รู้ผมรู้เยอะ” ลูกแบบนี้เอาไหม (ไม่เอา)
กับลูกอีกแบบหนึ่ง แม้จะโง่ๆ เซ่อๆ แต่พูดจา “แม่จ๊ะ แม่จ๋า พ่อครับ พ่อขา” เอาแบบไหน (แบบหลัง)  เอาแบบหลังแต่พอถึงเวลาก็บอกลูกว่า ลูกต้องเก่ง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกก็คือว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม  ศิษย์ดูดอกไม้ดอกหนึ่งก็ได้ ดอกที่สวยบางทีไม่มีกลิ่น ดอกที่กลิ่นหอมบางทีไม่สวย ดอกที่ทั้งสวยทั้งมีกลิ่นหอมก็ปลูกได้ยาก ทั้งสวยทั้งหอมทั้งราคาแพง กว่าจะได้ดอกหนึ่งนานไหม (นาน)  ดอกไม้แพงเพราะอะไร (หายาก)
ฉะนั้นตามปกติถ้าศิษย์อยากได้คนๆ หนึ่งมาเดินเคียงคู่ศิษย์ ทั้งสวยทั้งรวยทั้งเก่งสมบูรณ์แบบ มาเดินด้วยเอาไหม (เอา)  ตอนแรกศิษย์ก็บอกว่าเอา พอเอาไปแล้วศิษย์บอกว่าอยากคืน เพราะเขาเก่งแล้วถ้าเราไม่เก่งเท่าเขา เราจะรู้สึกด้อย เขารวยแล้วถ้าเราไม่รวยเท่าเขา เราก็จะรู้สึกว่าเราเกาะเขากิน แต่ตอนนี้ศิษย์ยังไม่รู้อยู่เพราะศิษย์ยังหลงอยู่ ตอนนี้รักเขาเต็มเปาเลยไม่รู้ รู้แต่เพียงว่ารัก
เราปิดหูตัวเองได้แต่ถึงเวลาเราจะปิดหูตัวเองได้ตลอดไหม สิ่งที่ตัวเองถือนั้นล้ำค่า แต่ถ้าเราไม่ล้ำค่าไม่สูงส่งเท่าเขา ก็เหมือนขาวกับดำมาอยู่ใกล้กัน เขายิ่งขาวเท่าไร ศิษย์ก็ยิ่งดูดำเตี้ยต้อยต่ำเท่านั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นพอได้สิ่งที่เราคิดว่าสมบูรณ์แบบมาก็จะรู้สึกว่าจะกลืนก็กลืนไม่ได้ จะอยู่ก็อยู่ไม่สุข  ดังนั้นการที่ทำให้เรากับคนๆ หนึ่งอยู่ด้วยกันได้ก็คือ ความดี ความจริงใจ ความสามัญและเรียบง่าย ไม่ใช่ความโลภ หรู สูงส่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนมีสามีเป็นนายพัน เป็นนายตำรวจใหญ่ ถึงเวลาใช้ภรรยาอย่างกับขี้ข้า เพราะว่าอยู่ที่ทำงานใช้คนจนชินปากใช่ไหม (ใช่)  เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นเมื่อเวลาศิษย์มองอะไรในโลกใบนี้อย่ามองแค่หัว แต่ไม่มองปลาย หรืออย่ามองแค่หัวกลางแล้วทิ้งปลาย
มองอะไรต้องมองให้ถึงที่สุด อย่ามองภายนอกจนไม่เห็นภายใน หรืออย่ามองข้างในจนลืมดูข้างนอก  เวลาคบกันใหม่ๆ มองข้างนอก พอคบกันไปนานๆ เห็นข้างในลืมข้างนอก จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการอยู่ในโลกนี้ อยากหาความสมบูรณ์ หาได้ยากนะ จำไว้ว่าต้องได้อย่างเสียอย่าง เสียอย่างหนึ่งอาจจะได้อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ขอถามเรื่องใกล้ตัวศิษย์ ชีวิตเรามีอะไรที่เราต้องเสียไปทุกๆ วัน ไม่อยากเสียก็ต้องเสียทุกๆ วัน (เสียเวลา)  เสียอะไรอีก (เสียโอกาส)  มีอะไรอีก แล้ววันนี้เสียเวลาไหม (ไม่เสีย)
อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ทุกวันนี้สิ่งที่ศิษย์เสียไปและต้องพยายามรักษา และสร้างให้เกิดคุณค่ามากที่สุด นั่นก็คือ เสียเวลาแห่งชีวิต  ทุกขณะที่หายใจออก หายใจเข้า คือเวลาแห่งชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเสียไปกับสิ่งใด ถ้าเสียไปเพื่อตัวเองอย่างเดียวที่ผ่านมา เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เห็นแก่ตัวนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวันที่เสียเวลาไปนั้น ยังมีโอกาสที่แบ่งปันเพื่อผู้อื่น ที่เสียไปก็ยังมีประโยชน์ให้คงคุณค่า ให้กล่าวถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คุณค่าที่จะเกิดและประเสริฐที่สุดนั่นก็คือ การทำโดยไม่หวังผล การให้โดยไม่ร้องขอ  นั่นคือการเสียที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงเป็นการเสียที่สมคุณค่าที่เกิดมามีชีวิตๆ หนึ่ง หรือมีชีวิตอยู่เพื่อมีจุดยืนและเป้าหมายเพื่อเสียสละให้ผู้อื่น เป็นคุณค่าที่เกิดมาแล้วดูไม่เสียเวลาที่เสียไปใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทุกขณะคือเวลาแห่งชีวิต ฉะนั้นนับจากนี้ไปอาจารย์ไม่พูดสิ่งที่แล้วมา แต่นับจากนี้ไปขอให้คิดไตร่ตรองให้ดีว่า เวลาเสียไปนั้นคิดเพื่อผู้อื่นบ้างได้ไหม สละให้คนอื่นบ้างได้ไหม เพราะคนที่คิดเพื่อผู้อื่นมากกว่าคิดถึงตัวเอง คนนั้นจะเป็นคนที่ทำร้ายใครได้ยาก เบียดบังผู้อื่นได้น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าว่ามนุษย์เราอยู่บนโลกนี้ คิดถึงตัวเองมากกว่าคิดถึงผู้อื่น จึงง่ายที่จะทำร้ายซึ่งกันและกัน ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ได้บอกไว้แล้วว่า เวลาจะมองอะไรต้องมองตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีเริ่มต้น แล้วก็มีเปลี่ยนแปลงแล้วก็จะสิ้นสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ถามว่าเราอยู่ในโลก มีอะไรเป็นของเราบ้าง มีใครตอบได้ไหม (ไม่มี, คุณงามความดีที่เราทำ)
ตอบได้ดีทั้งคู่นะ อีกคนบอกว่าไม่มี แต่อีกคนบอกว่า คุณงามความดีที่เราทำอยู่ทุกวัน  ในโลกนี้ถ้าพูดไปถึงที่สุดไม่มีอะไรเป็นของเรา ถึงเวลาเราเป็นผู้ที่ยืมเขามาใช้ทั้งนั้นใช่ไหม (ใช่)  อะไรอีกเรายืมเขามาใช้ (ร่างกายสังขาร ยืมความรู้ กาลเวลา ยืมลมหายใจ)  ยืมสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติรอบตัวเรามาใช้ ยืมอากาศ ยืมผืนดิน ยืมผืนฟ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ ถึงเวลาก็ครอบครองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีใครยืมภรรยามาใช้ ยืมสามีมาใช้  ศิษย์บอกว่าศิษย์ยืมร่างกายมาใช้แล้วศิษย์ไม่ได้ยืมภรรยามาใช้หรือ คิดให้ดีๆ ถึงศิษย์จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแต่ศิษย์ก็ครอบครองร่างกายเขาไม่ได้ ใจศิษย์ยังครอบครองเขาไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อถึงเวลาสังขารของทุกคนก็ต้องคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องคืนสู่ที่ๆเคยมา แม้แต่เสื้อผ้าเรานำมาจากธรรมชาติถึงเวลาก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นำเงินนำทองมาจากธรรมชาติถึงเวลาก็ต้องคืนธรรมชาติ แล้วเราคิดว่าเราจะยึดได้ไหม ครอบครองได้ไหม เขียนไว้เป็นของเราได้ไหม
เวลาที่ศิษย์ครอบครองสิ่งใดแล้ว เปรียบเหมือนศิษย์อยากได้
ศิษย์อย่าลืมว่าทุกสิ่งในโลกที่ศิษย์ครอบครองล้วนมีทุกข์ เมื่อไรที่ยึดมั่น เมื่อไรที่อยากมีก็เกิดทุกข์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา  นั่นคือมีความไม่เที่ยงอยากให้คงอยู่กลับเปลี่ยนแปลง อยากให้ไม่เปลี่ยนแปลงกลับแตกสลายหายไป
ฉะนั้นเมื่อไรที่อยากครอบครองสิ่งใดศิษย์จะต้องไม่ลืมว่า เมื่อไรที่คิดครอบครอง เมื่อไรที่คิดมี เมื่อนั้นศิษย์ต้องพร้อมจะกลุ้มใจหนักใจและรับสภาวะเปลี่ยนแปลงให้ได้
เมื่อไรที่มนุษย์เดินไปสู่ความพอ เมื่อนั้นมนุษย์จะรู้จักความสงบ  เมื่อใดมนุษย์เดินไปสู่ความพอและพบความสงบที่มั่นคง มนุษย์จะเกิดปัญญารู้แจ้ง สามารถพ้นทุกข์อันนิรันดร์ได้ และกลับคืนสู่หัวใจอันบริสุทธิ์ด้วยปัญญาแห่งการรู้แจ้ง  นี่คือจุดหลักแห่งการพ้นทุกข์
แต่เพราะอะไรมนุษย์เราจึงหยุดพอไม่ได้ เมื่อหยุดพอไม่ได้ก็หาความสงบไม่ได้ เมื่อสงบไม่ได้ก็จะไม่มีความมั่นคง ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร  ถึงจะเกิดก็เป็นปัญญาที่เกิดชั่วครู่ชั่วคราวแต่ไม่สามารถดับหรือพ้นทุกข์ได้อย่างถาวร ไม่สามารถเป็นความรู้แจ้งที่คลายความกำหนัดได้อย่างแท้จริง ถูกหรือไม่ (ถูก)
แล้วเมื่อไรเราจะพอ ถ้าเมื่อไรเรารู้พอ เมื่อนั้นเราจะรู้แล้วว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรน่าเอา ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่าเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรที่อยากเอา อยากเป็น เมื่อนั้นก็คือคนที่พร้อมจะวนไปสู่วัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด วัฏฏะแห่งความเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวสมหวัง เดี๋ยวผิดหวัง จะตัดได้ก็ต่อเมื่อเราพอ ใช่หรือไม่
แต่ไม่ใช่บอกให้ศิษย์ทุกคนไม่ต้องอยากมีอะไร ไม่ต้องอยากเป็นอะไร แต่อยากอย่างรู้พอ เป็นอย่างเข้าใจ ไม่ใช่เป็นอย่างยึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งเป็นคนดีถ้าเป็นไม่ถูก ความดีก็ทำให้เราทุกข์ได้ ถูกไหม (ถูก)  เหมือนวันนี้ได้ดีแต่พอมีคนมาบอกว่าไม่เห็นดีเลย นี่หรือเรียกว่าดี ศิษย์ก็ทุกข์เพราะศิษย์ยึดมั่นถือมั่นในความดี
ได้ชื่อว่าผู้บำเพ็ญ พอเขาพูดว่า “นี่หรือผู้บำเพ็ญ” “นี่หรือคนกินเจ”  โกรธไหม  ฉะนั้นยิ่งขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ กินเจแล้ว พูดหรือทำต้องระมัดระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในโลกยังมีอะไรน่าเอาอีกไหม (ไม่มี)  ยังมีอะไรน่าเป็นอีกไหม (ไม่มี)
ถ้าสิ่งที่ศิษย์ขอ คือขอให้ถูกล๊อตเตอรี่ จะได้เอาเงินมาสร้างกุศล เอาเงินมาช่วยงานธรรมะ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าก็สร้างบ้าน (สถานธรรม)  ให้มันเล็กๆ ภาระจะได้ไม่หนักอึ้ง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อาจารย์เคยเรียกร้องให้สร้างใหญ่ๆ ไหม (ไม่เคย)  สร้างใหญ่ภาระก็หนัก หาคนก็เหนื่อย ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
อาจารย์อยากได้ศิษย์ที่เป็นคนธรรมดาสามัญ ไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็ต้อนรับ พูดอะไรใครๆ ก็อยากฟัง ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องดี ไม่ต้องรวยก็ได้ เพราะเก่งแล้วศิษย์ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งมากความสามารถก็ยิ่งมีเวลาน้อยเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์อยากได้ศิษย์ที่ธรรมดาๆ ลุยไปทุกที่ ไปได้ทุกงาน กินก็ง่าย อยู่ก็ง่าย  ถ้าดีเกินไปสมบูรณ์เกินไป อาจารย์ต้องมานั่งประคบประหงม ไม่ไหวใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ก็เหมือนกัน ถามหัวอกลึกๆ มีคนดีสวยสมบูรณ์แบบเดินไปข้างๆ ศิษย์ เดินไปนานๆ เข้าศิษย์ก็เริ่มห่อเหี่ยว เพราะอะไร เพราะเขาสวยเกินไป ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์จึงบอกว่าสิ่งที่ธรรมดาสามัญที่สุดนั่นแหละคือสิ่งที่มนุษย์ทุกผู้ทุกคนล้วนปรารถนา
แล้วอะไรที่ธรรมดาสามัญที่สุด มีน้ำใจ รู้จักพูด รู้จักจา ไม่ใช่ขวานผ่าซาก ถึงเวลาเสียสละได้ ไม่คิดถึงตัวเองแต่รู้จักคิดถึงหัวอกคนอื่น ถูกหรือไม่  (ถูก)  พูดอย่างไรก็รักษาคำพูด ไม่ใช่พูดอย่างทำอย่าง หรือปากหวานก้นเปรี้ยว
การเป็นคนในโลกจึงไม่ใช่เรื่องยาก แค่ใช้ความธรรมดาสามัญที่ศิษย์มีอยู่ให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในโลกนี้ศิษย์มักจะเป็นแบบ เสือแอบหลับ แล้วว่างๆ ก็ลับเขี้ยวเล่น  ถึงเวลาไม่พอใจก็ทำร้ายเขาทีหนึ่ง ถูกหรือเปล่า แล้วดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นเวลาที่เราสงบราบเรียบไม่มีปัญหาอะไร ก็ขอให้พยายามบ่มเพาะซึ่งจิตใจแห่งความเมตตา รู้จักให้อภัยไม่ถือโกรธ  เมื่อไรที่เขาทำเราเจ็บคิดเสียว่าคนที่ทำร้ายตัวเองก็คือเขา เขาไม่ได้ทำเราเจ็บ แต่เขาทำตัวเองเจ็บยิ่งกว่า ถ้าคิดได้อย่างนี้ศิษย์ก็จะโกรธ จะเกลียดคนได้ยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)
อาจารย์ถามนะว่าทำอย่างไรให้เป็นคนน่ารัก (ทำความดี รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า อ่อนน้อมถ่อมตน รู้คุณบิดามารดา)  ถ้ารู้อย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วต้องทำอย่างไร ไปมาลาไหว้ใช่ไหม ถึงเวลาไปหาท่านบ่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(คิดดีเข้าไว้, มีความเมตตากรุณา, พูดจาอ่อนหวาน, ยิ้มเข้าไว้)  มีความเคารพต่อทุกคนก็ได้นะ  (อ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตเมตตากับผู้อื่น)  เมตตาจริงๆ นะ ถ้ามีคนมาขอเงินให้ไหม (ให้)  แล้วถ้าเขาขอครั้งที่สองล่ะ (ให้)  ครั้งที่สามล่ะ (ให้)  จริงๆนะ ครั้งที่สี่ล่ะ (ได้)  ให้ได้จริงๆ นะ ครั้งที่สองให้แต่ครั้งที่สามต้องบอกเขาแล้วเป็นการเตือน ใช่หรือเปล่า เดี๋ยวกลายเป็นช่างขอ (คุยกันดีรักกันดี)  แต่คุยกันมากๆบางทีก็มีเรื่องใช่ไหม (ใช่)  ทำอย่างไรดี (รักกัน)
(รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักขยัน เป็นคนเรียบร้อย)  เรียบร้อยจริงไหม แต่เวลาโมโหไม่เรียบร้อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  (อดทน ใจเย็น)  ทำให้ได้อย่างที่พูดกันนะ (รู้จักให้อภัยคนอื่น)  ให้อภัยได้แน่นะ ถ้าเขาขโมยงานเราไปส่งอาจารย์แล้วเขียนชื่อเขาแทน อภัยได้ไหม
(เสียสละ, เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน, มีน้ำใจกับผู้อื่น, เชื่อฟังเคารพพ่อแม่และผู้มีพระคุณ, เคารพกฎระเบียบทางสังคม, ให้สติกับผู้หลงผิด)  ให้สติกับผู้หลงผิด การพูดไม่สู้เท่าการทำนะ ทำให้เขาดูยังดีกว่าใช่หรือไม่ (ทำความดี)  จะเป็นอะไรก็แล้วแต่อาจารย์ไม่ว่า ขอให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องก็พอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงโอวาท ชื่อเพลง “คนเหนือดวง” ทำนองเพลง “หนอนผีเสื้อ”)
เพลงนี้เปรียบเหมือนคนที่ฝันว่าอยากมีทุกสิ่งทุกอย่าง อยากเป็นคนเก่ง อยากเป็นคนมีพรสวรรค์ อยากเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์  ไปไหนใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ปรารถนา แต่อาจารย์อยากบอกว่า คนที่เก่งและรอบรู้ทุกด้านในโลกนี้ ล้วนเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะยิ่งเก่งมากเท่าใด ก็จะมีเวลาเป็นของตัวเองได้น้อยเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์บอกศิษย์ไปตั้งแต่แรกแล้วว่า เก่งขนาดไหนดีขนาดไหน ก็เหมือนของสวยสำเร็จรูปแต่ไร้หัวใจ ใช่ไหม (ใช่)  แต่อาจารย์อยากได้คนธรรมดาดีกว่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท และให้ร้องเพลงต้นฉบับเดิมด้วย)
ความหมายของเพลงนี้ก็คือ หนอนที่หลงดอกไม้ หนอนปกติต้องกินดอกไม้ แต่บังเอิญหนอนตัวนี้กลับไม่กิน เพราะหลงความสวยของดอกไม้แล้วก็ยอมไม่กิน เป็นความรักที่เสียสละตัวเองตายไม่เป็นไร ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ยอมเสียสละ ไม่กินความโกรธ ไม่กินความโลภ ไม่กินความหลง เพราะรักมากเลยกินไม่ลง เลยไม่เป็นสิ่งนั้นเลยดีไหม (ดี)
มนุษย์มักจะติดในโลภ โกรธ หลง วางไม่ลงปลงไม่ได้ แต่เมื่อไรศิษย์รักรู้จักพอ ศิษย์รักจะรู้ว่าในโลกนี้ไม่ว่าอยากเป็นอะไร อยากมีอะไร ล้วนนำความทุกข์มาสู่ชีวิตทั้งนั้น  เหมือนดอกไม้บานเต็มที่แล้ว ที่สุดของดอกไม้คือความสวยงาม แต่เมื่อบานเต็มที่แล้วก็ใกล้กับความร่วงโรย ใช่หรือเปล่า
เพลงก็เอาไปหัดร้องดีไหม (ดี)  อาจารย์ลงแรงครึ่งหนึ่ง ศิษย์ลงแรงอีกครึ่งหนึ่งได้ไหม
อย่างที่อาจารย์บอกศิษย์ไว้ตั้งแต่ต้น ความธรรมดาสามัญนั้น คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ทำให้เราพบความสุขได้ ถ้าในความธรรมดาศิษย์สามารถมีความสุขได้ ยอมรับในความเป็นตัวตนเองในปัจจุบันที่ตัวเองเป็น อย่างน้อยเราก็มีความสุขได้ใกล้ๆ ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็ไม่ใช่บอกศิษย์ว่าไม่ต้องพยายามอะไรเลย ไม่ต้องเป็นอะไรเลย  ถ้าจนถึงที่สุดแล้ว เราไม่ได้ความเป็นธรรมดาเราก็รับได้ แต่ถ้าเป็นไปจนถึงที่สุดแล้ว ความธรรมดาเรารับไม่ได้ ศิษย์ก็ต้องทุกข์สองเท่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พยายามถึงที่สุดแค่ไหน เมื่อผลออกมาไม่ได้ เราก็ต้องก้มหน้ารับความจริง เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ไม่สามารถควบคุมได้ แม้แต่ชะตาชีวิตเรา  เรารู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตาย สักวันหนึ่งเราก็ต้องคืนร่างกายนี้ให้กับธรรมชาติ ฉะนั้นอย่ากลัวตายเลย ถ้าทำดีที่สุดแล้ว เกิดมาก็ต้องตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะเราไม่ใช่เป็นคนที่เสียทีที่ได้เกิดมา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในการศึกษาหลักธรรม แต่อาจารย์ก็หวังว่าจะไม่ใช่วันสุดท้ายของศิษย์บางคนที่ได้แค่นี้ก็พอแล้ว แต่คงเป็นวันสุดท้ายที่พร้อมจะเริ่มต้นเพื่อวันใหม่  ดังเช่นพระอาทิตย์ตก แม้จะดับแต่ก็คือการเริ่มต้นของอีกวันหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้วันนี้เราจะผิดหวังเสียใจ แต่ความผิดหวังนี้จะเป็นแรงผลักดัน ทำให้เรามีกำลังใจเริ่มต้นใหม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ได้มาไม่ยึดติด” )
อาจารย์ให้คำว่า “ได้มาไม่ยึดติด” แม้แต่ร่างกายก็ไม่ยึดติด แม้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ยึดติด ทุกสิ่งทุกอย่างศิษย์ล้วนยืมเขามาใช้ ถึงเวลาก็ต้องคืนกลับไปตามที่เคยมาเคยเป็น ถูกไหม (ถูก)  ถ้ายึดมั่นถือมั่นเมื่อไรเราก็ทุกข์เมื่อนั้น เพราะในโลกนี้เกิดมาพร้อมกับความทุกข์ แล้วก็ดับไปพร้อมกับความทุกข์ แต่เราจะเอาชนะทุกข์ได้อย่างไร ก็คือผู้ที่มองเห็นอุปสรรคและความราบรื่นเป็นสิ่งเดียวกัน
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์สามารถมองเห็นทุกข์และสุขเป็นสิ่งเดียวกัน ชีวิตนี้ไม่ว่าจะพบทุกข์กี่แบบสุขกี่แบบ ศิษย์ก็จะมองเห็นว่าคือด้านเดียวกันและยอมรับได้ เพราะว่าอุปสรรคและความราบรื่นเป็นเสมือนด้านเดียวกัน แค่วันนี้เขาหันด้านหน้าให้ศิษย์เห็น แล้ววันต่อไปเขาหันด้านหลังให้ศิษย์เห็น ฉะนั้นความเสียใจและความทุกข์ก็เลยเข้ามาเกาะกินใจศิษย์ไม่ได้ เพราะว่าได้มาหรือเสียไปก็คือสิ่งเดียวกัน การเกิดก็คือการตาย การตายก็คือการเกิด วันนี้เราได้แต่คนอื่นเขาเสีย ฉะนั้นวันนี้เราเสียเพื่อให้คนอื่นได้ อย่ายึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น
ศิษย์อย่าได้กลัวความทุกข์ อย่าได้กลัวความลำบาก เพราะความทุกข์ ความลำบากสามารถทำให้มนุษย์เห็นแจ้งจริงซึ่งชีวิต
วันนี้อาจารย์ถึงเวลาก็คงต้องไป อาจารย์รู้เวลามาและรู้เวลาไป ศิษย์รู้เวลามาแต่ไม่รู้เวลาไป ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์รู้ว่าอาจารย์มาจากไหนและจะกลับที่ใด แต่วันนี้ศิษย์รู้กันหรือยัง  ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกรรม กรรมดีก็ผลักคนไปสู่ที่ดีๆ แต่ถ้าชีวิตไม่เคยสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ต่อให้อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรก็ไปได้ไม่ถึง  เพราะฉะนั้นชะตาชีวิตไม่ได้อยู่ที่หมอดูแต่อยู่ที่ตัวศิษย์กำหนดเอง  สภาวะแวดล้อมไม่สามารถทำให้ศิษย์ทุกข์ได้ถ้าใจศิษย์ไม่พร้อมที่จะทุกข์
ไม่มีใครบีบบังคับให้เลวร้ายได้ถ้าใจเราไม่พร้อมจะเลวร้าย  ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเมื่อไรที่คิดจะทำอะไรขอให้ถามจิตสำนึกลึก ๆ ในใจ ถามความเมตตาในใจ ถามคุณธรรมในใจว่าทำแล้วสมไหมกับความเป็นคน ทำแล้วตายไปจะเงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้าไม่อายดินไหม  ถ้าทุกขณะทำ ทุกขณะคิด ความผิดพลาดในชีวิต ความเลวร้ายในสังคมก็ไม่เกิดกับคนในโลกใบนี้
ขอให้มีสติยั้งคิดทำอะไรไตร่ตรองให้ดี ทำแล้วผิดบาปไหม ทำแล้วสมไหมกับความเป็นคน  ถ้าทำแล้วความเป็นคนหายไปอย่าทำ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นครูอาจารย์ เป็นหมอ คุณธรรมแห่งความเป็นคนขอให้มีและทำให้ได้นะ
อาจารย์ก็ให้ได้แค่คำพูด แต่คนที่ไปถึงคำพูดของอาจารย์ก็คือตัวศิษย์  ถึงที่สุดแล้วก็คงต้องจากกัน ดูแลกายดีแล้วอย่าลืมดูแลใจ  กายศิษย์รัก ศิษย์ทะนุถนอมแต่ใจศิษย์ล่ะทำไมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความทุกข์ ทำไมไม่มีความสุข  ทำไมเราจึงไม่สามารถปลื้มปิติได้ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้และชีวิตนี้  แม้จะตายวันนี้ในขณะนี้เราจะดีได้ แต่ถึงเวลาเราไม่เลือกทำดีเราเลือกทำตามอารมณ์มากกว่าความถูกต้อง จริงไหม (จริง)  อารมณ์ทำชีวิตคนพังไปกี่คนแล้ว อารมณ์ทำให้คนเสียคนมากี่คนแล้ว ศิษย์ก็รู้  ฉะนั้นดูแลใจตัวเองให้ดี  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก  ขอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ได้มาไม่ยึดติด”
ใบไม้ร่วงบ่มเพาะหน่ออ่อนไว้ พลังชีวิตซ่อนในความโรยร่วง
สูงสุดคืนสามัญทุกสิ่งปวง ไม่ติดบ่วงมายาทำร้ายใจ
มีปัญหาทุกข์ซ้ำล้มทั้งยืน ทุกสิ่งคืนไม่เที่ยงใครครองได้
เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วพบธรรมใน แล้วกลับสู่ความไร้แต่เดิมมา
สติปัญญาคู่ รับมืออยู่เรื่องแปรผัน
คิดได้มองออกทัน ที่ทุกข์นั้นกลับแจ้งใจ


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา