西元二00九年 嵗次己丑二月二十五日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมฉือฮุ่ย จังหวัดนครศรีธรรมราช
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
การเรียนรู้มีอยู่ไปตลอดชีวิต ใช้ความคิดอันสะอาดและสดใส
ทำเรื่องยากใดใดเป็นเรื่องง่าย เรื่องวุ่นวายใจสงบใช่บังเอิญ
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง (大笑佛童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามทุกคนวันนี้ยิ้มแล้วหรือยัง
อยากมั่งมีแฝงใจทางสายตึง คาดไว้ซึ่งอาจทุกข์ใช่แค่นี้
ขยันสร้างความดีซ่อนไม่ร้อนที ละวิตกเรื่องดีพกพามาเอง
สังขารหากระวังไว้ยังจะป่วยไข้ ใจปล่อยไว้ไม่สบายล้วนเพราะเก่ง
อารมณ์ตัวทำร้ายไม่ดีขึ้นเอง ดวงใจเล็งเห็นก่อนมีปัญหาจริง
จับจุดจับร้ายจับผิดอะไรเขา ไม่ทันเท่าใจนี้หลงเพลินยิ่ง
จงใช้ปัญญากล้าเรียนเท่าความจริง คนรู้ความจริงสตินิ่งปัญหาวาย
เรื่องบางเรื่องพลิกผันเหนือคาดเดา สติรับแปรทันเฝ้าหูตาไว้
ปัญหาทุกข์ผันเปลี่ยนจนเป็นธรรมดาไป บำเพ็ญปรับดวงใจทนทุกเรื่องราว
การอภัยได้ให้ใช่โทษรุมสุม ยอมกันได้จากเรื่องกลุ้มเป็นสันติ
ไม่ปลงตกนั้นยากผ่านโทษตำหนิ โกรธสลายใจอยู่ดีหัวโล่งเบา
หนองน้ำกว้างกลับแห้งขอดลงไป ชีวิตไม่เคยไหลเงียบความอยากเย้า
ผสานให้ปัจจุบันกับตนเห็นจริงเข้า อยากได้ใช่ต้องเอาทุกสิ่งไป
มาทุกสิ่งผ่านมาเพื่อส่งต่อ เสียไปไม่เหลือก็อย่ายึดไว้
ทำใจผ่านสิ่งเดิมให้ผ่านไป ไม่คาค้างใดใดล้วนแล้วอนิจจัง
ฮิ ฮิ หยุด
ก็วันนั้นศิษย์ย่อมได้ดี
เก็บตัวหลบมุม เดินกุมแต่มือเดินไป หากว่าไม่เอาใคร ที่ไหนเรียกบำเพ็ญธรรม
คนกล้ามีเยอะ ปัญญาแผ่วไม่อยู่ทั่ว ขัดเกลาไม่เต็มตัว จะให้ช่วยใคร
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
เหนื่อยหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย) เมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย) เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย เมื่อยก็ไม่เมื่อย เรายิ้มกันไปเรื่อยๆ เราไม่เหนื่อย เราไม่เมื่อย ถึงเวลาไม่ให้พูดก็อยากพูด เวลาให้พูดก็ไม่พูด เวลาให้ทำดีเราไม่ทำ ถึงเวลาทำไม่ดีเรากลับทำ พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “บุคคลกระทำอะไรก็แล้วแต่ ทำแล้วไม่เดือดร้อน ทำแล้วปิติสุขเมื่อระลึกได้ บุคคลนั้นจงพยายามเพียรทำกรรมนั่นเถิด” หรือแปลเป็นภาษาเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “การกระทำอะไรก็ตามที่เราทำแล้วไม่เดือดร้อน พอทำเสร็จนึกถึงการกระทำนั้นก็มีสุข สบายใจ พยายามทำสิ่งนั้นเถอะ” ทำให้บ่อยๆ เพราะเหมือนกระทำดี หรือทำกรรมดีใช่ไหม (ใช่) วันนี้ที่เราร้องเพลง เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย เมื่อยก็ไม่เมื่อย เรายิ้มได้เรื่อยๆ เราไม่เหนื่อย เราไม่เมื่อย เหมือนวันนี้เรานั่งแล้วทำให้เรามีความสุข ถ้าเรานั่งรู้สึกดีจัง ตั้งใจฟัง พูดดีจังเลย เชื่อไหมว่านอกจากเราจะให้กำลังใจตัวเอง จนทำให้คนข้างๆ คิดว่าเขาฟังอะไรหนักหนา มันดีอะไรหนักหนา เขาก็จะรู้สึกว่าอยากฟังบ้าง ถูกไหม (ถูก) ถ้าเรานั่งฟังเองนะ ถ้าเรานั่งไปยิ้มไป คนที่ยืนพูดก็ได้กำลังใจ คนที่อยู่ข้างๆ ก็นึกว่าเรายิ้มอะไรหนักหนาถูกไหม เหมือนกันเราอยู่ในครอบครัว พ่อมา แม่มา ลูกมา มีความสุขไหมครอบครัวอย่างนี้ พบกันมีแต่รอยยิ้มให้แก่กัน แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์ในสังคมนั้นยิ้มยาก ทั้งที่จริงๆ แล้วการยิ้มนั่นแหละเป็นการทำกรรมดีที่ง่ายที่สุด และดีที่สุดใช่ไหม (ใช่) ลองเดินผ่านไปแล้วยิ้ม คนที่เดินสวนมาห้าหกคนก็คิดว่าคนนี้เขาเป็นอะไร ยิ้มอยู่ได้ แค่เราเดินผ่านเราก็ยังรู้สึกอยากยิ้มตาม แต่ตอนนี้ท่านนั่ง ไม่ให้กำลังใจตัวเองไม่พอ แล้วยังทำให้คนรอบข้างเหี่ยวไปด้วย
ฉะนั้นโดยปกติชีวิตของมนุษย์ก็ทุกข์อยู่แล้ว ใครบอกได้บ้างว่าไม่มีวันไหนที่เราไม่ทุกข์ ทุกข์ทุกๆ วัน ใช่หรือไม่ (ใช่) หิวแล้วไม่ได้กิน ง่วงแล้วไม่ได้นอน อยากพูดแล้วไม่ได้พูด ทุกข์ไหม (ทุกข์)
ฉะนั้นทำไมเราต้องซ้ำเติมชีวิตด้วยการทำหน้าแบกทุกข์ไว้ทั้งโลกด้วย ใครที่มีฟ้าใสอยู่ในหัวใจบ้างตอนนี้ ถามดูซิว่าชีวิตเราที่ผ่านมา เคยมีฟ้าที่สดใสมาก่อนไหม (เคย) แต่ทำไมยิ่งใช้ชีวิตยิ่งดำเนินชีวิต ฟ้ากลับยิ่งขุ่นมัว หัวใจที่เคยสดใส กลับห่อเหี่ยวแห้งแล้ง เหมือนใบไม้ร่วงที่รอวันดับสลาย รอยยิ้มหายไปไหน ความสดชื่นความงดงามในจิตใจหายไปไหนกัน ทำไมเราอยู่ในครอบครัวอย่างหวานอมขมกลืน ทำไมเราไม่อยู่อย่างหน้าชื่นตาบาน ทำไมเราไม่เอาเรื่องง่ายๆ ที่อยู่ใกล้ตัว เช่น รอยยิ้ม ยากไหม (ไม่ยาก) แล้วทำไมยิ้มไม่ออก ฟันหลอหรือเปล่า หรือใครฟันดำ ทำไมถึงยิ้มกันยาก ฉะนั้นกลับไปบ้านหรือไปอยู่ที่ไหน แจกรอยยิ้มไปเยอะๆ ไม่ใช่ให้วันนี้แล้วเราจะไม่มีรอยยิ้มอีกเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ให้แล้วมีวันหมดไหม (ไม่มี) แล้วทำไมหวงจังเลย แล้วความสุขอยู่ไกลเกินไปไหม (ไม่ไกล) อยู่ที่ว่าเรายิ้มได้ เรายิ้มง่าย เราก็มีความสุขง่ายใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นยิ้มได้ไหม (ได้) ยังยิ้มไม่ออกอีกหรือ อะไรล่ะที่ทำให้มนุษย์นั้นยิ้มไม่ออก นั่นคือความคิดในใจ บางทีเราอยู่ร่วมกันในโลกเรามักระแวงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะบอกว่าอยู่กับคนเยอะๆ หรืออยู่กับใครก็ตาม ระมัดระวังได้แต่อย่าระแวงเพราะระแวงปุ๊บจะทำให้เราคิดมาก พอเค้ายิ้มมายังไม่มั่นใจ คนนี้ยิ้มดีหรือยิ้มร้าย ยิ้มแบบมีเลศนัย หรือยิ้มแบบจะเอาอะไรใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จและสำคัญที่ใจนะ ถ้าใจเราคิดดี และทำอะไรรู้จักระมัดระวัง ก็ยากที่ใครจะมาหลอกลวงและทำร้ายเราได้ นอกจากตัวเราไม่หลอกเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) อันนั้นน่ากลัวกว่า
ฉะนั้นจงเป็นมนุษย์ที่ยิ้มง่ายและมีความสดชื่น ลองเดินเข้าไปในหมู่ดอกไม้สิ โอ้โหดอกไม้ทุกดอกชูช่อบานสะพรั่ง เราอยู่ด้วยก็มีความสดชื่นมีชีวิตชีวา แต่เราไปอีกที่หนึ่งดอกไม้คอตก ดูแล้วเป็นอย่างไร ห่อเหี่ยวรันทดใจใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถึงแม้เราจะเป็นดอกไม้ที่สดชื่นดอกเดียวในบ้าน แล้วดอกอื่นเหี่ยวหมดก็จงเข้มแข็งไว้หน่อยนะ ใช่ไหม (ใช่) สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าวันนี้ฟังธรรมะแล้วเอากลับไปใช้ที่บ้าน โอ้โห บานมาเต็มที่ พอมาถึงบ้าน โน่นก็ตก นี่ก็เหี่ยว นั่นก็หดหู่ ไม่ไหวแล้ว เราเลยทนเข้มแข็งไม่ไหวใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ท่านเคยเห็นไหม ที่ๆ แห้งแล้งแต่กลับมีดอกไม้ดอกหนึ่งสดชื่นและเบ่งบาน ดอกไม้ดอกนั้นแหละที่เป็นกำลังใจให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าสิ่งใดทำแล้วระลึกได้และปิติสุข จงพยามยามเพียรกระทำเถิด เพราะนั่นแหละเรียกว่ากรรมดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรายิ้มสู้ เราเข้มแข็ง แม้เรื่องวุ่นวายขนาดไหนผ่านเข้ามาอาจจะแปรเป็นเรื่องง่ายได้ด้วยใจที่ (สงบ) แล้วเราสามารถสงบได้ไหม (ได้) เราอยากบอกท่านอยู่อย่างหนึ่งว่า ความสงบนิ่งเป็นรากฐานแห่งความเห็นแจ้งและประจักษ์จริง มนุษย์ถ้ารู้จักความสงบได้พอ จะสามารถเรียนรู้และเข้าใจสรรพสิ่งในโลกได้อย่างไม่บิดเบือน แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์เราอยู่บนโลกนี้แล้ว กลับไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเป็นจริง มักจะเสียใจเสมอเพราะว่าเห็นผิดไป มองพลาดไป แล้วอะไรทำให้เราอยู่บนโลกนี้ เห็นเขาแต่กลับเห็นผิดไป ดำเนินชีวิตแต่ก้าวพลาดไป เดี๋ยวเรามาเรียนรู้กันดีไหม ว่าเราอยู่บนโลกนี้อยู่อย่างคนที่มองเห็นตามความเป็นจริง หรือว่าอยู่อย่างคนที่คิดเอาเอง หลงเอาเอง หลอกตัวเอง
นั่งฟังธรรมะวันนี้ ใครคิดว่าฟังเท่านี้พอแล้ว หลังจากนี้ไม่ฟังอีกแล้ว ใครว่าวันนี้มาพรุ่งนี้จะมาอีก ยกมือขึ้น ไหนใครบอกว่าวันนี้มาพรุ่งนี้ไม่มาแล้ว ยกมือขึ้น ดูว่านั่งฟังธรรมะมีสติหรือเปล่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นทำตามคำสั่ง หัว ไหล่ เอว เข่า) จับได้ถูกไหม คราวนี้มนุษย์ชอบติดกับสัญลักษณ์ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราจะไม่บอกว่าหัวนะ เราจะบอกว่าหนึ่ง สอง สาม สี่ จะดูว่าเมื่อเปลี่ยนสัญลักษณ์ขึ้นมา มนุษย์จะสับสนในการดำรงชีวิตไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่นจับหัว ไหล่ เอว เข่า โดยนับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ตามลำดับ)
มนุษย์ทุกคนมีกฎเกณฑ์ ความเชื่อถือ และความยึดมั่นที่ยืนอยู่บนความพึงพอใจของตัวเองถูกหรือไม่ (ถูก) เราเรียกสิ่งนี้ว่าดี และบางทีเราเรียกสิ่งนี้ว่าไม่ดี เพราะเราเข้าใจว่าอย่างนี้เราเรียกว่าดีสำหรับเรา แต่ถ้าแบบนี้เรียกว่าไม่ดีสำหรับเรา หรือมนุษย์ทุกคนมีกฎเกณฑ์ความดีงามไม่เหมือนกัน กฎเกณฑ์ความสวยไม่สวยก็แตกต่างกันถูกหรือเปล่า (ถูก) ถ้าเราถามว่าหากว่าคนๆ หนึ่งที่ท่านคิดว่าเขาดี หรือตัวเราคนหนึ่งที่เราบอกว่าเราดีแล้ว เราเก่งแล้ว เรารู้แล้ว มั่นใจหรือว่าสิ่งที่ท่านบอกว่าดี เก่ง รู้นั้น เราไม่ได้หลอกตัวเอง ความเชื่อหรือความมั่นใจที่เรามีนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราหลอกตัวเอง ปิดบังตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ถามว่าทุกคนเชื่อไหมว่าทุกคนเป็นคนดี (เชื่อ) ตัวเองเป็นคนดี ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่) มีทั้งบอกว่าใช่และไม่ใช่ คนที่มั่นใจว่าตัวเองดี ถามว่าท่านกำลังเทียบกับใคร ถ้าเราเทียบกับคนด้วยกัน เขาอาจจะแย่กว่าเรา เราอาจจะดีกว่าเขา ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเทียบกับพระพุทธองค์ มาร้อยความดีก็พ่ายแพ้ กลับกันถ้าเราบอกว่าเราเลว เราไม่ดี แต่ถ้าเทียบกับท่านเทวทัต เราก็ยัง (ดีกว่า) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์ยึดมั่นว่าตัวเองดี ตัวเองสวย ตัวเองเก่ง และสิ่งที่มนุษย์เชื่อมั่นว่าตัวเองแย่ เรากำลังเทียบกับอะไร และการเทียบนั้นเราเทียบถึงที่สุดแล้วหรือยัง เคยไหมว่าเมื่อทะเลาะกันแล้ว วันนี้เราอาจจะเป็นคนถูก แต่พอผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เราอาจจะเป็นคนผิด เขาอาจจะกลายเป็นคนถูก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราควรจะหลงดีใจไหมว่าวันนี้ฉันถูก วันนี้ฉันชนะ วันนี้ฉันเก่ง วันนี้ฉันได้
ถ้าบอกว่าเรามั่นใจว่าสวย หุ่นดี เรียนเก่ง ถ้าเกิดว่าเดินไปสักพักหนึ่ง เจอคนที่ดีกว่าเรา สิ่งที่เราเคยมั่นใจ เราจะแน่ใจได้หรือว่าเราสวยที่สุดแล้ว แน่ใจหรือว่าเราหุ่นดีจริงๆ ความมั่นใจเริ่มหดหาย ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์หลงใหลได้ปลื้มในชั่วขณะหนึ่ง สิ่งที่มนุษย์ภาคภูมิใจว่าตัวเองดีขณะหนึ่งนั้น เป็นภาพจริงหรือภาพลวง (ภาพลวง) เป็นของจริงหรือของลวง (ของลวง) เหมือนท่านนี้ท่านบอกว่าท่านสูงที่สุดแล้ว เดินไปที่ไหนก็ภูมิใจ ฉันสูง ฉันขาว ฉันดีแล้ว แน่ใจไหม ฉะนั้นคนที่มั่นใจว่าตัวเองสวย เรากำลังเทียบอยู่กับอะไร และเรากำลังหลอกตัวเองหรืออยู่บนความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่) ให้ท่านถามตัวท่านเองที่มั่นใจว่าตัวเองหล่อนักหล่อหนา เก่งนักเก่งหนา ท่านเทียบกับใคร เทียบกับคนกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่ๆ ตอนนี้ท่านบอกว่าท่านชนะทุกๆ คน ท่านชนะได้แค่ตอนนี้แล้วต่อไปล่ะ
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกใบนี้ เราอยู่อย่างเห็นจริงหรืออยู่อย่างหลอกลวงตัวเรา ใช่ไหม (ใช่) เหมือนที่เรามั่นใจว่าเรามีเงิน มีเกียรติยศ ไปไหนมาไหนก็มีคนนับหน้าถือตา อันนี้เป็นภาพจริงหรือภาพลวง (ภาพลวง) ใช่ตอนนี้ท่านอาจจะมีเงิน แต่ถ้าท่านไปเจอกับคนที่รวยกว่า ตำแหน่งที่สูงกว่า สิ่งที่ท่านเคยมั่นใจตัวเอง ท่านแน่ใจหรือว่าจะเทียบเขาได้ ใช่ไหม (ใช่) ท่านก็ยิ่งใหญ่ได้แค่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น และที่มนุษย์เสียอกเสียใจว่าฉันโชคไม่ดี ฉันแย่ ฉันไม่มีอะไรจะกิน ท่านเทียบกับใคร ท่านเทียบกับอดีตใช่ไหม อดีตเคยมี แต่ปัจจุบันไม่มี เลยทำให้รู้สึกแย่ แต่ลองไปเทียบกับคนที่แย่กว่าสิ ถูกหรือเปล่า
การที่เรามองหรือมีชีวิตอยู่นี้ ถามว่านั่งทรมานไหม (ทรมาน) ที่บอกว่าทรมานเพราะเอาไปเทียบกับการอยู่บ้าน อยากไปไหนก็ไป อยากจะเดินก็เดิน ไม่ต้องมานั่งแช่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ที่บอกว่าทุกข์เพราะเราเทียบกับอะไรล่ะถึงทุกข์ ถ้าเทียบกับตอนอยู่บ้าน ก็ต้องบอกว่าที่นั่งแช่อยู่นี้ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราเทียบกับคนที่ยืนอยู่นี้ เราดีกว่าเขาไหม (ดีกว่า) ลองหันไปมองซิ พี่เลี้ยงยืนแต่ฉันนั่ง มีสุขขึ้นมาทันที ใช่ไหม (ใช่) คนอื่นทำงานฉันกินอย่างเดียว ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น สุขหรือทุกข์ ดีหรือร้าย ได้หรือเสีย เราอย่าหลอกตัวเอง แต่เราต้องมองให้เห็นความเป็นจริง จะได้ จะเสีย จะดี จะร้าย เราจงมองที่ปัจจุบัน ถ้าเปรียบเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามัวแต่จมอยู่กับอดีตแล้วไม่มองปัจจุบัน เราก็ปล่อยให้ปัจจุบันเป็นอดีตที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ยกตัวอย่างง่ายๆ มีคนสามคนอยากไปดูละคร คนหนึ่งตาบอดแต่หูดี อีกคนหนึ่งตาดีแต่หูหนวก ส่วนอีกคนหนึ่งคอเอียง สามคนนี้ไปดูละครจะสนุกไหม (ไม่สนุก) คนที่ตาบอด ก็บอกว่าละครนี้เสียงดังจริงๆ ส่วนคนที่ตาดีแต่หูหนวกก็เลยบอกว่า แสดงดีแต่เสียงไม่ดี ส่วนคนที่คอเอียง กลับบอกว่าจอเอียง อะไรก็ดีหมด แต่ที่ไม่ดี ทำไมตั้งเวทีเอียง แต่ความหมายของเราอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์เราอยู่ในโลก บางคนตาดี มองอะไร มองเห็นได้ชัด แต่ไม่ค่อยเชื่อมั่นในสิ่งที่ตาเห็น มากกว่าสิ่งที่หูได้ยิน กับคนอีกประเภทหนึ่งคือ เชื่อมั่นในสิ่งที่หูได้ยินมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น และอีกประเภทหนึ่งก็คือ ทั้งตาเห็นทั้งหูฟัง แต่ใจเอียง ใจบอด มนุษย์เราในโลกนี้ก็เหมือนกัน ทำไมเราจึงไม่สามารถเห็นสรรพสิ่งได้อย่างเป็นจริง เราใช้ทั้งตา ทั้งหู และทั้งใจ บางคนตามองเห็นชัดเจน หูก็รู้อย่างดีหมด แต่หัวใจกลับไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม บางคนใจบริสุทธิ์ ยุติธรรม แต่มักจะเชื่อกับคำพูดคนมากเกินไป ไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็น ฉะนั้นเราอยู่ในโลกต้องใช้ทั้งตา ใช้ทั้งหู และใช้ทั้งใจ แต่อะไรที่ทำให้เรามักจะตาดี หูดี แต่ใจบอด เรากลับมาถามท่านแล้วนะ ตาก็ดี หูก็ดี แต่ทำไมใจเราถึงมองอะไรได้ไม่เที่ยงตรง มองอะไรแล้วมองได้ไม่ชัดเจน
อะไรทำให้เรามองเห็นได้ไม่ชัดเจน (ความไม่เป็นธรรม) อะไรทำให้ใจเราไม่เป็นธรรม (ลำเอียง) ทำไมใจเราไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ใจเราทำไมมันถึงเอียง มันเอียงเพราะอะไร มีใครตอบได้บ้าง ลำเอียงเพราะ (กิเลส) กิเลสตัวไหน ทำให้เราลำเอียง รู้ว่าใจทำให้เอียง ใจยังไงที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่แต่ก่อนก็มองอะไรได้แจ่มชัด แต่ทำไมกลายเป็นคนมองไม่ชัด (ความยึดติด) ยึดติดอะไร (ยึดติดสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด, เพราะไม่มีสติ) อะไรทำให้เราไม่มีสติ อะไรทำให้เราลำเอียง ลำเอียงก็คือ ไม่กลาง ไม่เที่ยง ไม่บริสุทธิ์ ไม่ยุติธรรม ปัญญาหรือความคิด (อวิชชา, โมหะ, ความไม่รู้, เพราะใจไม่มีธรรมะ, ตัวเองต้องได้ก่อนคนอื่นค่อยเอาทีหลัง, จิตไม่เป็นกลาง, มีทิฐิยึดมั่นถือมั่น, ยึดอัตตาตัวตน, ความรู้ความเข้าใจในตัวตน, ความรัก, ใจมีปัญหาไม่เปิดกว้าง, มีความอยาก, ความหลง, ไม่มีจุดยืนที่แน่นอน, กิเลส, รักโลภโกรธหลง, อคติ, ไม่เปิดใจยอมรับในสิ่งที่เราไม่รู้, ความเขลา, ไม่รู้จักบังคับจิตใจตัวเอง, ความดี) เขาว่าอย่างไรเราก็ลำเอียงไปตามนั้นใช่หรือไม่ เขาพูดว่าเลวเราก็เลว เขาพูดว่าดีเราก็ดีใช่หรือเปล่า ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ความดีทำให้เราลำเอียงได้ พอเห็นคนนี้ดีกว่าคนนี้ เราก็ให้คนที่ดีกว่า แต่พอคนที่แย่กว่าเรา เราไม่ให้ สิ่งนี้ทำให้คนที่แย่ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ คนที่ดี ยิ่งดีขึ้น มีทั้งข้อดีข้อเสีย ฉะนั้นต้องให้เท่าๆ กัน ดีกับไม่ดีเราจะได้รู้สึกมีกำลังใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ดีก็มีกำลังใจ เสียก็มีกำลังใจ
เราลำเอียงเพราะอะไร (ความกลัว) ถูกต้อง จริงๆ มนุษย์ทุกคนมีปัญญา พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า มนุษย์ลำเอียงเพราะสี่อย่างคือ ชอบ ชัง กลัว เขลา ความหวาดกลัว และความเขลาก็คือ ความไม่รู้ มนุษย์เราใจไม่เที่ยงก็เพราะสี่อย่างนี้ หรือเปรียบง่ายๆ ถามทุกคนว่าที่มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้แล้วไม่กล้าเผชิญความเป็นจริง เพราะว่าลึกๆ เรากลัวใช่ไหม (ใช่) จะทำอะไรก็กลัวเจ็บ กลัวเสียชื่อ กลัวตาย กลัวไปหมด เวลาเรากลัวมากๆ เรื่องเกิดกับเราร้อยวันเราต้องกลัวร้อยวัน เจอวันที่ร้อยหนึ่งความกลัวมาครั้งหนึ่งเท่ากับเราต้องกลัวไปร้อยหนึ่งวัน แต่ถ้าเราตั้งสติ ตายก็ตาย เจ็บก็เจ็บ เป็นอะไรก็เป็น จะร้อยวันก็ไม่กลัวเลย แต่เราจะมากลัววันที่ร้อยหนึ่งเท่านั้นถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ากลัว ต้องมีความกล้า เอาความกล้าชนะความกลัว และถ้าจะกลัวให้หันไปมองซิว่าเราจะกลัวอะไร มนุษย์ทุกคนกลัวตายใช่ไหม (ใช่) ทำไมต้องกลัวตาย การตายทำให้เราได้หมดทุกข์สักที กลัวทำไม ที่กลัวอยู่ก็เพราะว่ายังดีไม่พอ ก็เลยไม่กล้าตายใช่ไหม มนุษย์กลัวเจ็บไหม ถามจริงๆ เถอะ ถ้าคนสมัยก่อนไม่เจ็บไม่ป่วย สมัยนี้จะมียาให้เรากินไหม ฉะนั้นความเจ็บคือ ยารักษาชีวิต ฉะนั้นอย่ากลัวเจ็บ เพราะการเจ็บของเราจะทำให้เรามียารักษาชีวิต เมื่อรักษาชีวิตคนหนึ่งได้ เราจงเอาความเจ็บของเรา แปรเป็นการรักษาชีวิตผู้อื่น ความเจ็บของเราจึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเลยถูกไหม กลัวอะไรอีก กลัวแก่ใช่ไหม ถ้าเกิดมามีชีวิตใบหน้านี้มีอายุตั้งแต่หนึ่งขวบจนถึงร้อยขวบไม่เปลี่ยนเลย ไม่แก่เลยเอาไหม แน่นอนตอนนี้ก็บอกว่าเอา แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ท่านจะรู้ว่าการที่ตัวเองมีอายุยืน แต่จะต้องมองคนอื่นตายทุกๆ วันทรมานขนาดไหน อยากมีอายุยืนไปทำไม ถ้ายืนแล้วต้องมองเห็นคนอื่นตายไปวันแล้ววันเล่า ฉะนั้นการที่เรามีชีวิตผันเปลี่ยนไปตามสภาพความเป็นจริงเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ เกิดมาแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ตายอยู่ยงคงกระพันเอาไหม การเกิดแก่เจ็บตายเป็นความจริงที่เราไม่ควรหลอกลวงตัวเอง เราต้องกล้าที่จะเผชิญ อย่าหนี อย่าไปดึงหน้าตึง อย่าไปย้อมผมขาวเลย
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถยืนอยู่บนโลกนี้แล้วมองเห็นความเป็นจริงก็คืออารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ทุกข์ ชัง มนุษย์แปลก อารมณ์ไม่มีแรงเลย แต่เมื่อเกิดขึ้นมาในใจแล้วอารมณ์มันดึงเราไป ชีวิตเราต้องรักเขา เราก็เลยต้องรักเขาตลอดชีวิต จนกว่าเขาจะตายกันไปข้างหนึ่งฉันถึงจะเลิกรักได้ ใช่ไหม (ใช่) ชีวิตดึงให้เกลียด ก็ต้องเกลียดเขาไปตลอดชีวิต จนกว่าเขาจะตายกันไปข้างหนึ่ง ถ้าอารมณ์เราไม่ตาย เราก็หยุดอารมณ์เราไม่ได้ใช่หรือไม่ ถ้าชีวิตนี้ไม่รักแล้วเราจะต้องตาย จริงหรือ (ไม่จริง) มนุษย์หัวใจอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือ อำนาจของอารมณ์น่ากลัวขนาดนั้น มันบังคับให้ท่านรัก ท่านก็ต้องรัก รักจนตาย เลิกรัก มันบังคับให้ท่านเกลียด ท่านก็ต้องเกลียด ไปตลอดชีวิตจริงหรือ ชีวิตเราเกิดมาเป็นคนเกียจคร้าน เราก็ต้องเกียจคร้าน เราฝืนตัวเองไม่ได้หรือ ธรรมชาติไม้อ่อน มนุษย์ยังดัดให้มันกลมได้ น้ำที่อยู่ไกลขนาดไหนมนุษย์ยังสูบเอามาใช้ได้ แล้วจิตใจที่อยู่กับตัวเองตรงนี้ ทำไมถึงดัด ถึงบังคับ ถึงลาก ถึงตักใช้ไม่ได้ล่ะ ใช่ไหม (ใช่)
บางคนเกิดมาตายเพราะอารมณ์เดียวคือ อารมณ์รัก ชีวิตมีค่าอยู่อย่างเดียวคือ เกิดมาเพื่อรัก รักแล้วไม่ได้รักตอบเราต้องตายหรือ ภูมิใจไหม เกิดมาเพื่อรักคนหนึ่งคน พอเขาไม่รักก็ตาย ท่านอ่อนแอขนาดนั้นจริงหรือ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ชีวิตถูกอารมณ์ผูกมัดจนแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรชั่ว แบบนี้รักหรือว่าหลง ใช่ไหม (ใช่) จนแยกไม่ออกแล้วว่าใครกันแน่ที่รักเราจริง แล้วใครกันแน่ที่กำลังทำร้ายเรา ใช่ไหมท่านที่มีคู่ทั้งหลาย ช้ำเพราะคนรักไหม ลูกล่ะช้ำไหม รักมากขนาดไหนก็ช้ำขนาดนั้น ถึงเวลาเราควบคุมเขาได้ไหมล่ะ (ไม่ได้) จริงหรือเปล่า สอนขนาดไหนปากเปียก ปากแฉะ รักแทบเป็นแทบตาย ถึงเวลาถ้าไม่ตัดอกตัดใจบ้าง คนที่ทุกข์ก็คือเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)
อีกเรื่องหนึ่งที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นความเป็นจริง คือนักสะสม นักแสวงหาตัวยง ใครชอบสะสมวัว สะสมนก สะสมบุหรี่ไว้ในตัว มนุษย์ทุกคนชอบแสวงหา และคิดว่าการแสวงหาทำให้เรามีความสุข แต่ถ้าท่านได้ศึกษาหลักธรรมท่านจะรู้ว่าการปลดปล่อยคือความสุข การแสวงหานั่นแหละคือความทุกข์ เราอยากจะบอกว่าเมื่อไหร่ที่เรารู้จักลด เมื่อนั้นของที่เรามีจะเพิ่มคุณค่า แต่เมื่อไหร่ที่เราคิดแต่จะเพิ่ม เมื่อนั้นของที่เรามีก็จะลดคุณค่า
เหตุที่เราพยายามแสวงหา ก็เพราะเราคิดว่าสิ่งที่เรามีด้อยค่ากว่าสิ่งที่ไม่มี แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้จักลด เราจะเห็นว่าสิ่งที่เรามีนั้นแท้จริงเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นทรัพย์อนันต์ แต่มนุษย์เรามองไม่เห็น ใช้ประโยชน์ได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น มนุษย์เราอยู่กับชีวิตอยู่กับตัวเอง แต่เราใช้ชีวิตใช้ตัวเองได้แค่เพียงครึ่งเดียว เรายังมองหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตไม่เจอ และเราคิดว่าอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตต้องอยู่ที่คนนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมพอเอาคนนั้นมาเติมแล้วชีวิตแหว่งยิ่งกว่าเดิมอีก ฉะนั้นอยากเอาใครมาเติมควรมีความสมบูรณ์ในตัวก่อน ควรหาตัวเองให้เจอเพราะไม่มีใครในโลกหรือไม่มีสิ่งใดในโลกเติมชีวิตเราได้เต็ม หรือทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้นอกจากตัวเราเอง จริงไหม (จริง)
มนุษย์มักจะพูดบอกว่า ฉันทุกข์ ฉันแย่ ฉันไม่ดี เรากำลังเอาชีวิตเราไปเทียบกับใคร ถ้าเราไม่เทียบเราก็ไม่ทุกข์ ไม่ต้องรู้สึกแย่ และไม่ต้องรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตเราก็เก็บตัวเงียบไม่ต้องสัมพันธ์กับใคร ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ฉะนั้นเราต้องเข้าใจตัวเอง มนุษย์ถ้ารู้จักบริหารชีวิตตัวเองให้ดีก็จะไม่มีความยากจน ถ้าเรารู้จักดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง ก็จะไม่ก้าวผิดและไม่กลายเป็นคนไม่ดีได้ ถึงจะพลาดผิดไปใครว่าเราก็เอามาแก้ตัว เอามาปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ แต่สิ่งที่เราบอกไปตั้งแต่ต้นนั้น ไม่ใช่หมายความว่าให้ท่านเก็บตัวไม่ต้องไปเทียบใครไม่ต้องไปสนใจใคร แต่อย่าจมอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกอย่างนั้นจนตายตัวแล้วพลิกไม่ได้ หรืออย่าหลงเชื่อมั่นตัวเองจนไม่ฟังใคร ใช่หรือเปล่า
เหมือนเราเรียนมามาก พุทธศาสนาเรียนไหม (เรียน) เกิด แก่ เจ็บ ตาย รู้ไหม (รู้) แต่ถึงเวลายังไม่ทันอ้าปาก ไม่ต้องพูดหรอก อย่างนี้เท่ากับเราไม่ฟังใครเลย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นต้องรู้จักฟัง รู้จักปล่อย เราถึงจะมีชีวิตได้อย่างเป็นสุข ตามีสองข้างมองอะไรมองให้ชัด อย่ามองข้างเดียว หูก็มีสองข้าง ปากมีหนึ่งเดียวอย่าพูดมาก อย่าให้กลายเป็นปากมาก ฉะนั้นทำอะไรก็ให้คิดพิจารณาให้รอบคอบ ถ้าทำแล้วระลึกได้ว่าเป็นสุข เป็นสิ่งที่ดีก็จงทำ แล้วสิ่งดีๆ ที่ทำง่ายตอนนี้คือ (ยิ้ม) ใช่ไหม (ใช่) ได้อะไรไปบ้างไหม ได้ไปเพื่อปล่อย ไม่ใช่ได้ไปเพื่อยึดมั่นถือมั่นนะ ถูกไหม (ถูก) ถึงมองสองตาแต่ถ้าใจปิด มองก็ไม่เห็นชัด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงสองตา สองหู ทั้งมองทั้งฟังแล้วแต่ถ้าใจไม่เชื่อ ฟังยังไงมันก็ไม่เข้า ถูกหรือเปล่า (ถูก) แถมฟังไปนั่งหลับอีก น่าเสียดายนะ
เรามาได้พักใหญ่แล้วใช่ไหม แล้วถ้าเรากลับได้ไหม (ไม่ได้) นี่แหละพวกหลอกตัวเอง ไม่ยืนอยู่บนความจริง ถึงเวลามีวันมาก็ต้องมีวันไป สรรพสิ่งในโลกก็เฉกเช่นเดียวกันนะ ถึงเวลาไปก็ต้องควรปล่อยไปตามทางของเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ตัวเราเองไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอย่าหลอกลวงตัวเอง มีชีวิตยืนอยู่บนความเป็นจริง อะไรล่ะคือความเป็นจริง คนเราเกิดมาต้องเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา มีพบก็ต้องมีจากใช่หรือไม่ (ใช่) มีดีใจก็ต้องมี (เสียใจ) เป็นธรรมดาใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอย่าไปอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจนทำให้ตนเองทุกข์จนเกินไป เพราะอารมณ์แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราหัวเราะได้เรามีเรื่องยิ้มได้ แต่วันหน้าถ้ามีเรื่องให้เสียใจได้ ก็อย่าเสียใจจนลืมสิ่งที่เคยหัวเราะไปถูกไหม (ถูก) เวลาเสียใจเอาเรื่องที่หัวเราะมาคอยดึงสิ ความเสียใจจะได้ไม่ทำให้เรานั้นจมอยู่ในความทุกข์นานเกินไป เพราะชีวิตผ่านมาแล้วก็ผ่านไปใช่ไหม
มนุษย์มีสิ่งที่รักมากมายใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้ารักนั้นทำให้เรายืนอยู่บนความลวงหลอก เราก็ต้องถอนตัวจากรักนั้นมายืนอยู่บนความจริง ถ้ารักนั้นทำให้เราเป็นคนปิดหูปิดตา เราก็ต้องปล่อยรักนั้นไปเพื่อทำให้เราเห็นแจ้งแจ่มจริง ไม่อย่างนั้นแล้วความรักนั่นแหละจะทำให้เราทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ชีวิตไม่เที่ยงนะ อย่าปล่อยเพลินเกินไป อย่ามัวแต่สนุกจนลืมความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่) คนผมขาวใช่ต้องไปก่อนคนผมดำหรือ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นวันนี้ที่ท่านมาฟังคือธรรมะในการดำเนินชีวิต ไม่ใช่ธรรมะเพื่อให้ชีวิตร่ำรวย เข้าใจไหม (เข้าใจ) วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่มาฟังธรรมะเพื่อชีวิตร่ำรวย ได้หวยได้เลขไม่ใช่นะเข้าใจให้ถูก มาฟังเพื่อปล่อยวาง ปลงตก และรู้จักคิดให้ได้ เราเรียนรู้โลกข้างนอกมาเยอะแล้ว เรื่องการมี การได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่วันนี้มาเรียนเรื่องการไม่มี ไม่ได้ก็มีสุขเข้าใจไหม (เข้าใจ) หากมีเวลาคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ฟังไว้บ้างนะ อย่าคิดว่ามาเล่นละครเลย ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ มีขึ้นก็มีลง มีพบก็มีพรากเป็นธรรมดา ฉะนั้นจงกล้าที่จะเผชิญความเป็นจริงแห่งชีวิต ไม่ว่าชีวิตนั้นจะหันมาด้านใดก็ตาม ให้เราพบสิ่งที่แย่หรือสิ่งที่ดี จงยิ้มสู้เข้าไว้นะ มีโอกาสคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ยิ้มเข้าไว้
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ สถานธรรมฉือฮุ่ย จังหวัดนครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่ารอให้มีทุกข์ค่อยบำเพ็ญ อย่าได้เป็นคนเรื่อยเรื่อยไหลตามน้ำ
เรื่องแย่แย่สู้ทั้งแย่ยิ้มประจำ ผิดซ้ำซ้ำคิดดีแล้วเร่งแก้เทอญ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
หนึ่งวันผ่านเรื่อยเรื่อยไป หนึ่งปีอย่างไม่ตั้งใจ พรุ่งนี้วันไหนรู้ตัวแก้ทัน
เพิ่มขึ้นคน บำเพ็ญกายใจ เหมือนในความต่างได้ ต้องรู้ใจกัน เจ้าต้องรู้ใจคน มองเห็นต่างกัน เหมือนทุกวัน แต่ว่าเป้าหมายแน่นอน
โลกวันนี้ คนแสนชิงชังกัน เหลือคนอย่างเจ้านั้น แต่ว่าไม่ทำอะไร
โลกหม่นหมอง ช่วยด้วยธรรมจะกู้ไหว ทิฐิมีง่าย ปราบคนกันในใจตัว
ชื่อเพลง : อย่าปล่อยไปวันวัน
ทำนองเพลง : ปักษ์ใต้บ้านเรา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมมาวันหนึ่งแล้ว วันนี้ก็เกือบจะเป็นวันที่สอง ถ้าถามว่าบำเพ็ญธรรมเราควรบำเพ็ญตอนไหนบำเพ็ญได้ตลอดเวลาหรือตอนที่มีทุกข์เหมือนศิษย์ของอาจารย์หลายคนในที่นี้ หรือแม้แต่คนบนโลกใบนี้ชอบเป็นแบบไหนกันล่ะ ชอบเป็นประเภทที่พอว่ายน้ำแล้วค่อยคิดถึงความตื้นลึกของน้ำ พอเข้าป่าแล้วค่อยคิดถึงหนทางใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ในโลกได้ทุกข์แล้วจึงคิดจะหาทางพ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) อีกแบบหนึ่งไม่ต้องหาทาง อยากหลงก็ปล่อยให้หลงไปใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน พอทุกข์แล้วค่อยคิดหาทางพ้นทุกข์ จึงรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นสำคัญแค่ไหน อย่างนั้นไม่เรียกว่าสายไปหรือใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้แสวงหา แสวงหาอะไรกัน บางคนบอกว่าว่างเกินไปชีวิตก็ดูไร้ค่า วุ่นเกินไปชีวิตก็เหนื่อยไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าหากว่ามนุษย์รู้จักว่างบ้างก็ไม่เสียหายอะไร ไม่ใช่วุ่นจนว่างไม่เป็น พอว่างแล้วทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำอะไร เคยเป็นอย่างนั้นไหม ชีวิตแต่ก่อนวุ่นๆ มาตลอด พอถึงเวลาว่างจะทำอะไรดี อยู่กับความว่างไม่เป็น กลับมีความสุขอยู่กับความว่างไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) หรือคนบางคนชีวิตต้องเร่งรีบตลอด ต้องเร็วๆ ช้าๆ รู้สึกว่าไม่ทันใจ คิดอย่างไรต้องรีบทำทันทีใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเร็วไปไม่รู้จักช้าก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็ไม่ใช่ว่าช้าจนไม่รู้จักเร็วก็ไม่ดี ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นมีชีวิตไม่ใช่วุ่นจนว่างไม่เป็น ไม่ใช่เร็วจนช้าไม่ได้ ต้องรู้จัก (พอดี) ต้องรู้จักพอดีบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
แล้วความทุกข์ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดบนโลกใบนี้ไหม (ไม่ใช่) มีอะไรที่น่ากลัวกว่าความทุกข์ (ความไม่รู้, กลัวบาป) ถ้ารู้จักระมัดระวังการกระทำก็ไม่ต้องกลัวบาป ใช่หรือไม่ (ใช่) ระวังตา ระวังหู ระวังใจ บาปก็ไม่เกิด ถ้าทุกอย่างมอง คิด ทำแต่สิ่งที่ดี กลัวอะไร สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คืออะไรรู้ไหม (ความไม่เคยทุกข์) ตอบได้แปลกดีนะศิษย์คนนี้ ก็เป็นไปได้ เพราะไม่เคยทุกข์ก็เลยไม่กลัวทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์ ก็คือ จิตใจที่ไม่รู้ จิตใจที่หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือการวางตัวเอง วางชีวิตอยู่บนความประมาท หรือการดำเนินชีวิตอย่างคนที่หลงอยู่ในความโลภ โกรธ หลงจนไม่มีสติรู้เท่าทันตัวเอง นั่นแหละน่ากลัวกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่ดำเนินชีวิตประมาท คนที่ปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์โลภ โกรธ หลง จนควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่มีสติรู้เท่าทัน คนนั้นแหละน่ากลัวกว่า ความทุกข์ยังไม่น่ากลัวเท่ากับคนที่วางตัวเองอย่างประมาท คนที่ปล่อยตัวเองตามอารมณ์แล้วไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่คนที่ประมาทในการดำเนินชีวิตนั้นน่ากลัวกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราประมาทในการดำเนินชีวิตไหม เรามีสติในการดำเนินชีวิตบ้างหรือเปล่า
สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งคือความหลงผิด หลงผิดว่าในโลกใบนี้มีสิ่งที่น่าครอบครองเยอะแยะเต็มไปหมด ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่คิดครอบครอง เมื่อนั้นแหละ เราย่อมพบทุกข์เป็นแน่ ถามศิษย์ในที่นี้ ในโลกใบนี้มีอะไรเป็นของเราบ้าง (ไม่มี) ในโลกนี้มีอะไรเป็นของศิษย์ได้ มีแต่ผลของการกระทำของเรา นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ดีและชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ทรัพย์สินใช่ของเราไหม (ไม่ใช่) ลูก สามี ภรรยาใช่ของเราไหม (ใช่, ไม่ใช่) ท่านนี้บอกว่าใช่ ท่านนี้บอกว่าไม่ใช่ วันนี้อาจจะบอกว่าใช่ แต่วันต่อไปแน่ใจหรือว่าใช่ ถูกไหม (ถูก) หรือวันนี้ท่านบอกว่าใช่ แต่ใจเขาอาจจะบอกว่าไม่ใช่แล้วก็ได้ ฉะนั้นอย่ามั่นใจอะไร แม้แต่ของที่อยู่ในมือแม้แต่ร่างกายที่อยู่กับเรา เราอย่าคิดว่าครอบครองได้นะ พอถึงเวลาฟ้าเอาไป ท่านจะยื้อท่านจะยุด ท่านจะต่อรองจะยื้อยุดก็ไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้หลงผิดคิดครอบครองอะไรในโลกนี้เลย เพราะโลกนี้สิ่งที่ครอบครองได้มีแต่กรรมดี กับกรรมชั่ว เท่านั้น ใช่หรือไม่ ไม่มีอะไรที่ศิษย์สามารถครอบครองได้แท้จริง ถ้าศิษย์รู้อย่างนี้ อะไรล่ะที่เรียกว่าความทุกข์ ถ้าศิษย์หมั่นพึงเตือนตนอยู่เสมอว่าอย่าประมาท มีสติรู้เท่าทัน ตามทันอารมณ์ของตน ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ถูกหรือไม่ แต่เพราะอะไรที่เรายังกลัวทุกข์ เกิด แก่ เจ็บและกลัวตายอยู่อย่างนี้
สบายดีไหม (สบายดี) ภาษาใต้พูดว่าอย่างไรนะ (บายดี) บายดีไหม ถึงจะสุขบ้างทุกข์บ้างในการนั่งฟังธรรมก็ตาม ใช่ไหม (ใช่) ถ้าถามว่าสบายดีไหม ถึงจะนั่งลำบากก็ต้องบอกว่า (สบายดี) โกหกหรือเปล่า (ไม่โกหก) ลำบากไหมนั่งฟังอย่างนี้ (ไม่ลำบาก) จริงหรือ (จริง) อย่างนั้นเพิ่มเป็นอีกหนึ่งวันไหวไหม (ไหว) ถ้าอย่างนั้นลองทดสอบหน่อยดีกว่านะ ปกติอาจารย์มากี่ชั่วโมงนะ (๓ ชั่วโมง) แล้วอาจารย์ได้นั่งไหม (ไม่ได้นั่ง) แปลว่าอาจารย์นั่งศิษย์จะ (ยืน) ตามมารยาทคนไทยนะ ถ้าผู้ใหญ่นั่งศิษย์จึงจะ (นั่ง) ถ้าผู้ใหญ่ยืนศิษย์จึงจะ (นั่ง, ยืน) ไปที่ไหนก็ตอบอย่างนี้ รอบแรกตอบอย่างนี้เหมือนกันหมด ไปที่ไหนถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็จะนั่ง ถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ก็นั่ง อันนี้คือมารยาทคนไทย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ผู้ใหญ่นั่งเด็กต้องนั่งต่ำกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าผู้ใหญ่ยืนเด็กต้องยืน แต่ยืนด้วยความนอบน้อม ไม่ใช่ยืนอย่างค้ำหัวผู้ใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นถ้าอาจารย์นั่งศิษย์ก็นั่ง ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ยืน ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คืออะไร จำได้ไหม อาจารย์เพิ่งพูดจบไป ไหนใครจำได้บ้าง ถ้าแถวไหนตอบได้ แถวนั้นจะได้นั่งทั้งแถว แต่ถ้าแถวไหนตอบไม่ได้ ก็จงยืนทั้งแถว อาจารย์เพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่เองใช่ไหม ไหนทดสอบความรู้ของศิษย์หน่อยนะ สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คืออะไร แต่ถ้าหัวหน้ากับรองหัวหน้าตอบจะได้นั่งทั้งชั้น (สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์ คือการไม่รู้หนทางกลับ) คำตอบหน้าใกล้เคียง แต่อันหลังรู้สึกจะไม่ค่อยเหมือนใช่ไหม รองหัวหน้าลองซ่อมคำตอบของหัวหน้าหน่อยซิ สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คืออะไร (ความประมาท) ความประมาทใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรอีก (อารมณ์) การปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์โดยไม่มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่มากระทบใจ ถ้าปล่อยชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท แล้วปล่อยชีวิตหลงเพลินไปตามอารมณ์โลภโกรธหลง แล้วขาดสติรู้เท่าทัน เมื่อนั้นสิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์ก็บังเกิดในชีวิตเราใช่หรือไม่ (ใช่)
(ผู้ดำเนินรายการนำนักเรียนในชั้นเรียนเชิญพระอาจารย์นั่ง) ตอนนี้พระอาจารย์เป็นแขกใช่ไหม ศิษย์เป็นเจ้าบ้านใช่ไหม เจ้าบ้านนั่งแล้วก็ต้องรีบเรียกแขกใช่หรือเปล่า มารยาทคนไทย ถ้าศิษย์เป็นเจ้าของบ้านแล้วปล่อยให้แขกเดินไปเดินมาได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมต้องรอให้เขาเรียกสติเราล่ะ ฟังมาจนเบื่อแล้วแต่วันนี้ก็ต้องฟังต่อไปดีไหม (ดี)
อยากฟังอาจารย์พูดบ้างไหม (อยาก) บ้านเมืองก็ต้องมีกฎของบ้านเมือง ชีวิตของศิษย์ก็ต้องเดินไปตามกฎ กฎของศิษย์ก็คือกฎแห่งกรรม ใครทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยหนุนนำ ไม่ใช่นึกจะเกิดก็เกิด ศิษย์ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ก็เพราะแต่ก่อนเคยทำมา แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับกรรมอย่างเดียว กรรมแปลว่าอะไร (การกระทำ) แล้วการกระทำตอนไหนล่ะที่บ่งบอกอนาคตเป็นเช่นไร (ตอนนี้) ฉะนั้นเรามีวันนี้ เราอยากให้อนาคตเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เราจะทำสิ่งใดใช่หรือไม่ (ใช่)
กฎของสังคมศิษย์รู้ แล้วกฎของชีวิตใครทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ยังมีอะไรอีก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกฎของธรรมชาติคืออะไร กฎของธรรมชาติคือทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป กฎของธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของสัจธรรมที่ทุกชีวิตต้องรู้และจำให้ขึ้นใจก็คือ ความไม่เที่ยง มีทุกข์ และไร้ตัวตน ฉะนั้นเราขึ้นชื่อว่าได้เป็นผู้ศึกษาธรรม ย่อมที่จะบำเพ็ญธรรม เราย่อมต้องมองให้เห็นถึงธรรมชาติ แท้จริงของตัวตน และธรรมชาติแท้จริงของสรรพสิ่ง ไม่เช่นนั้น ถ้าเรามองไม่เห็น เรานั่นแหละที่จะเป็นผู้ที่อับจนปัญญาตัวเอง มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ถามว่าสิ่งนี้ ศิษย์รู้ไหม รู้กันทุกคน คนทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย คนทุกคนล้วนมีทุกข์เป็นสิ่งเริ่มต้น ท่ามกลางและที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้แต่ตัวเราเองก็ยังครอบครองไม่ได้ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังมีทุกข์เป็นพื้นฐาน ถ้าเรารู้แค่นี้ เราเอาตัวรอดไหม (ไม่รอด) ทำไมยังทุกข์อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่เรามองเห็นเช่นนี้ แล้วเรายังทุกข์อยู่เพราะมนุษย์ลืมไปว่ามนุษย์ทุกคนมีความเป็นธรรมชาติของตัวเอง แต่มนุษย์ทุกคนก็มีความเป็นเช่นนั้นของเขาใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ คนทุกคนมีความเป็นตัวของตัวเอง มองดูเหมือนๆ กัน แต่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน มีนิสัยที่บ่มเพาะมาทำให้การประพฤติปฏิบัติแตกแยกออกไป ศิษย์ลองหันไปมองรอบๆ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) เรามองเห็นว่าทุกคนเหมือนกัน คือ มีความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ในความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นยังมีลึกๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะบุคคลที่เราต้องมองให้ออกและเห็นให้ชัด ถ้าเรามองออกเห็นชัดก็อยู่กันอย่างสันติ แต่ถ้ามองไม่ออกเห็นไม่ชัด เรานั่นแหละที่ต้องทุกข์เอง ลองยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนศิษย์ของอาจารย์บางคนนั้น เป็นอย่างไร มือก็ดี ขาก็ดี แต่บางครั้งชอบทำมือง่อย ชอบตาเข
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงให้ดู) แต่ถ้ามองปกติ ตาปกติ เราก็ดูเหมือนเขาปกติ แต่จริงๆ คนทุกคนมีนิสัยบ่มเพาะลึกๆ ที่ทำให้มีนิสัยแตกต่างกัน แต่คนในโลกนี้มีแค่ไหนที่จะมองออก เราอยู่โนโลกด้วยกันเรามองเห็น ว่าเขาเป็นอย่างนี้ แต่ลึกๆ แล้วเขามีอะไรที่ลึกแฝงบอกความเป็นนิสัย เป็นตัวตนของเขา ถ้าเรารับได้ และเราก็มองเห็นนิสัยความเป็นตัวตนของเรา ต่างคนต่างรับกันได้ ต่างคนต่างมองกันออก อยู่ด้วยกันสันติ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่านิสัยนี้ มองออกได้เห็นชัดเหมือนที่อาจารย์บอกให้ทำไหมล่ะ ต้องอยู่กันนานๆ ถึงรู้ว่ามีมือแต่มือพิการ มีตาแต่ชอบทำตาเข มีปากแต่ชอบทำปากโป้ง มีหูแต่ชอบทำหูหนวก มีตาดีแต่ชอบทำตาเข เราไม่มองความเป็นตัวตนแค่ภายนอก ว่าคนเราเกิดมา ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่ไหม แต่ศิษย์ต้องมองความเป็นตัวตนของเขาให้ออก เมื่อมองออกแล้ว ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าศิษย์มองเขาออก มองตัวตนออก รักกันได้ ยอมกันได้ก็สันติ แต่จริงๆ มันจบแค่นั้นไหมศิษย์ ปากก็บอกว่ารัก แต่ใจก็แอบบ่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ของอาจารย์ก็เลยเป็นแบบ ร้ายมาก็ร้ายไป แรงมาก็แรงไป บ่นมาก็บ่นไป เขาด่ามาศิษย์ก็ด่าไป เขาขี้เกียจมา เราก็ขี้เกียจไป เขาโกงมาเราก็โกงไป บ้านเมืองล่มจม ถ้าสังคมเป็นอย่างนี้ เขาร้ายมา ศิษย์ก็ร้ายตอบ แล้วที่ศิษย์มองเห็น มีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่
การบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่ให้มองเห็นคนเป็นคน แต่ให้มองเห็นคนเป็นธรรม นี่แหละผู้บำเพ็ญ เขาขี้เกียจมา เราจะขยันตอบ เมตตาตอบ เขาด่าเรามาเราจะอดทนอดกลั้นต่อคำล่วงเกินของเขา นี่แหละผู้ประเสริฐตอบ เขาโกรธมา ด่ามา เราจะฝึกยอดแห่งการให้ทานคือให้ (อภัยทาน) สุดยอดของการให้ธรรมะเป็นทาน คือ การให้อภัยทาน ช่วยลดทั้งโทสะ ทั้งได้เจริญเมตตา ฉะนั้นเขาด่ามา เราอดทนได้ เราได้ฝึกธรรมอันยอดธรรม เขาโมโหมา เขาแรงมา ศิษย์อดทน อดกลั้น เจริญเมตตาเข้าไว้ นอกจากจะช่วยเราแล้ว เรายังช่วยเขา แต่ศิษย์หลายคนมักบอกว่า อาจารย์ทนไม่ไหวจริงๆ คนในโลกนี้ปากว่า มือถึงด้วย ปากว่ามือถึงไม่พอ ขาถึง ตัวขยับด้วย จนลืมความเมตตาต่อกันจนเราเมตตาไม่ออก
ศิษย์เคยดูทีวี คนหนึ่งโดนหลายคนทำร้าย ศิษย์บอกว่ามัน ใจร้ายใจดำ แต่ถึงเวลาพวกเขาทำเรา เราก็ทำด้วยได้ไหม (ไม่ได้) เมตตาหายไปไหน มโนธรรมสำนึก หายไปไหน ฉะนั้นเมื่อเราพบเรื่อง ร้ายแรงเกิดขึ้นกับเรา ศิษย์จงจำไว้ว่า คนที่บันดาลโทสะ ศิษย์คิดว่าศิษย์เป็นผู้รับโทสะจากเขา ศิษย์ทุกข์คนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่) เขาก็ทุกข์ไม่ต่างกับเรา ถ้าเขามีสุขเขาจะทำเราทุกข์ได้ลงไหม เหมือนง่ายๆ ถ้าศิษย์ร้องไห้ ศิษย์จะทำให้ใครยิ้มได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าศิษย์หัวเราะศิษย์จะทำให้ใครร้องไห้ ได้ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ที่เขาทำให้ศิษย์ทุกข์ เขาก็ทุกข์ไม่ต่างจากศิษย์ ถ้าใจเขามีสันติ เขาจะทำให้ศิษย์เกิดสงครามได้ไหม ฉะนั้นเมื่อไรที่โดนคนต่อว่า โดนคนทำให้เจ็บปวด อย่าคิดว่าเราทุกข์ฝ่ายเดียว เขากับเราก็ทุกข์ไม่ต่างกัน ถ้าคิดเช่นนี้เราก็เกิดจิตใจที่เมตตา
เขาเย็นแบบไหน ถ้าเขาเย็นแบบเย็นชาตายด้าน แล้วศิษย์ก็เย็นชาตายด้านตอบ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง ฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันก็ต้องมองให้ออก อย่ามองเห็นแค่เพียงเปลือกนอก แต่ต้องเห็นความเป็นเช่นนั้นของเขาให้ออกด้วย เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ใช่เอามากระแหนะกระแหน ประจานกัน ถูกไหม (ถูก) เวลาอยู่ด้วยกันพอเห็นเขาออก ศิษย์จะเอามาพูดไหม (ไม่พูด) สิ่งที่ดีไม่ค่อยพูด แต่ชอบพูดในสิ่งที่ (ไม่ดี) ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยู่ด้วยกันควรส่งเสริมขยายสิ่งที่ดีต่อกัน ไม่ใช่เอาสิ่งที่ไม่ดีมาประจานกัน ครอบครัวและสังคมจะเป็นสุขก็ต่อเมื่อไฟในอย่านำออก ไฟนอก (อย่านำเข้า)
เรื่องที่ไม่ดีในบ้านอย่าให้คนอื่นรับรู้ เรื่องที่คนข้างนอกนินทาคนในบ้าน ก็อย่ามาเล่าให้คนในบ้านเสียใจ เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าถ้าตอบไม่ได้ต้อง (ยืน) ถ้าตอบได้จะได้ (นั่ง) อยากจะช่วยคนทั้งชั้นหรือว่าปล่อยให้คนทั้งชั้นยืนแต่เราได้รับผลไม้คนเดียว อาจารย์ให้คิดนะ
ศิษย์ท่านนั้นว่าอย่างไร จะรับผลไม้ลูกนี้แล้วให้ทุกคนในชั้นยืน หรือว่าจะไม่รับผลไม้ลูกนี้แต่ทุกคนในชั้นนั่ง (ไม่รับ) ปรบมือให้กับความคิดของเขาหน่อยนะ ขอให้เป็นอย่างนี้ได้ตลอดนะ คิดถึงส่วนรวมมากกว่าคิดถึงส่วนตัว (สิ่งศักดิ์เมตตาให้ผลไม้นักเรียนท่านนี้) คำนับอาจารย์เหมือนคนจีนคำนับกัน เพราะเห็นอาจารย์มาจากเมืองจีน จีนหรือไทยก็อยู่ในโลกนี้ เป็นพี่น้องกันได้ ไม่เห็นต้องแบ่งแยกกัน อยู่ในโลกนี้ไม่ง่ายเลยใช่ไหม (ใช่) แล้วการที่จะอยู่กับใครสักคนให้ตลอดรอดฝั่งก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะว่ามีเสือให้ศิษย์เลี้ยงสักตัว ศิษย์เอาไหม (ไม่เอา) ถามฝ่ายชายลูกเสือตัวเมียด้วย (ไม่เอา) ไม่เอาหรือ น่ารักนะ ศิษย์ฝ่ายหญิงล่ะ ลูกเสือตัวผู้นะ (ไม่เอา) ทำไมล่ะ (น่ากลัว) เอาไหม เอาหรือไม่เอา
ตอนแรกๆ อาจจะเป็นแค่แมวน่ารักๆ ศิษย์ก็บอกว่าน่ารัก อาจารย์ไม่เห็นว่าไม่เอา ถึงเวลาก็เอากันหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นเป็นลูกแมวน่ารักๆ แต่พอเลี้ยงไปเลี้ยงมาเอาไหม (ไม่เอา) เปรียบเทียบเหมือนคู่ชีวิต เหมือนทรัพย์สินเงินทอง เหมือนเกียรติยศชื่อเสียง เมื่อไหร่ที่ศิษย์อยากจะแสวงหาเกียรติยศ ชื่อเสียง คู่ครอง ทรัพย์สิน ก็ไม่ต่างจากเลี้ยงเสือหนึ่งตัว การเลี้ยงเสือหนึ่งตัว เราต้องรู้จักธรรมชาติของเสือเป็นอะไร ธรรมชาติของคนที่เรารักเป็นอย่างไร ถ้าดูไม่ออกชีวิตก็ไปไม่รอด แล้วถ้าเลี้ยงไม่เป็นก็กลายเป็นลับเขี้ยว ลับเล็บให้เสือ แถมปล่อยให้เสือติดปีกออกอาละวาดอีกถูกไหม (ถูก)
ทรัพย์สินก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์หาไม่ถูก ทรัพย์สินก็สร้างภัยพิบัติอันใหญ่หลวงให้ตัวเราเหมือนกัน เกียรติยศชื่อเสียง ถ้าหาอย่างไม่ถูกทาง ไม่รู้ธรรมชาติของการหาทรัพย์สินด้วยความถูกต้องแล้ว ทรัพย์สินนั้นหรือเกียรติยศนั้นก็จะสามารถฆ่าชีวิตคนหาได้
ธรรมชาติของเสือ ศิษย์ว่ามีอะไรบ้าง เลี้ยงเสือจะทำยังไงให้เสือนั้นเชื่อง (เลี้ยงแมวดีกว่า) อาจารย์ถามหน่อยว่าคู่ครองของศิษย์เป็นแมวหรือเป็นเสือ ตอนแรกๆ ที่คบกัน ดูออกไหมว่าเป็นเสือหรือเป็นแมว ดูไม่ออกมองอย่างไรก็เป็นแมว แต่พออยู่ไปนานๆ กลายเป็นเสือจริงไหมล่ะ (จริง) เงินทองที่ศิษย์หาตอนแรกก็มีความสุข แต่ทำไมพอยิ่งหามากทุกข์ยิ่งเพิ่ม วิตกกังวลยิ่งมาก กลุ้มกังวลก็ยิ่งมากใหญ่ใช่ไหม (ใช่) เรารู้ไหมว่าเงินจะเป็นเสือทำร้ายเรารู้ไหม (ไม่รู้) ไม่ค่อยรู้ ฉะนั้นจะทำอย่างไรให้เสือกลัว (ปล่อยไปเลย) คงไม่รู้ใช่ไหม (ใช่) เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดี ทำตัวเองอย่างไรไม่ให้ดุ อาจารย์ถามว่าเลี้ยงเสืออย่างไรไม่ให้ดุรู้ไหม (ถ้ารู้ว่าเสือดุแล้วอย่าเก็บมาเลี้ยง) แล้วเรารู้ไหมล่ะว่าเสือมันดุ ถ้าไม่เลี้ยง แล้วคนที่เรารักล่ะดุไหม ไม่ดุหรือ เพราะเราดุกว่า ฉะนั้นเราต้องรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง มองให้ออก
ถ้าอยากจะเลี้ยงเสือให้เชื่อง เลี้ยงเสือให้ว่าง่าย ต้องให้ความรักและความเมตตา ก็เหมือนคำพูดอยากให้คนที่เรารักเป็นคนน่ารัก สิ่งสำคัญก็คือ คำพูด อยากให้เสือน่ารักตลอด เราก็ต้องระวังคำพูด เคยได้ยินไหมที่มนุษย์ชอบพูดบอกว่าพูดดีเป็นศรี (แก่ปาก) พูดมากๆ ปากมี (สี) สีอะไร (แดง) ถ้าพูดแล้วเพียงเพื่อสะใจ เพียงเพื่อระบายอารมณ์ ไม่พูดดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะพูดไปแล้วก็ทำให้เขาเจ็บ แล้วตัวเราก็ (เจ็บ) เคยไหมว่าคำพูดทำให้สะเทือนหลายคนและผลสุดท้ายความสะเทือนนั้นก็กลับมาสะเทือนใจเรา ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยู่กับใคร พูดให้น้อย ปัญหาก็ (น้อย) ใช่ไหม (ใช่) อีกเรื่องหนึ่งคืออย่าคิดจะรู้ทุกเรื่อง เมื่อมีใครที่เรารักแล้ว อย่าคิดว่าเราจะต้องรู้เรื่องของเขาไปทุกเรื่องบางครั้งทำโง่ๆ ซื่อๆ บ้าง ได้ก็ดีใช่ไหม (ใช่) ฉลาดเกินไปเขาก็ (เกลียด) ชอบไหม (ไม่ชอบ) โง่เกินไปเขาก็ (ไม่ชอบ) แล้วเอาอย่างไร เราอยู่ในสังคมนี้เก่งไปทุกเรื่องคนเขาก็ไม่ชอบ แต่ถ้าโง่เกินไปคนเขาก็รำคาญ ฉะนั้นจึงต้องรู้จักเก่งและรู้จักถอย การฟังก็เหมือนกัน อย่าคิดจะฟังไปทุกเรื่อง ถ้าเขาไม่อยากให้เรารู้เรื่อง เราก็ไม่ต้องไปอยากรู้เรื่อง เพราะเมื่อไหร่ที่อยากรู้เรื่องมาก เราก็ทุกข์มากใช่ไหม (ใช่)
อีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์ต้องรู้ไว้ เมื่อเวลาอยู่ร่วมกัน นั่นก็คือ ใครๆ ก็อยากเป็นคนดี อยู่กับใครอยู่ที่ไหนก็อยากให้คนว่าเราเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ไปอยู่ที่ไหนก็อยากให้ใครๆ ชอบ ใครๆ รัก แต่ถ้าเกิดทุกครั้งที่ทำแล้ว ไปพิจารณาแล้วว่า ไม่ได้เดือดร้อนใคร ไม่ได้เห็นแก่ตัว ก็จงทำไปเถอะ แต่ถ้าเกิดว่าทำแล้วโดนคนไม่ชอบอีก ถึงขนาดยอมที่จะเสียคุณธรรมความเป็นคน แล้วทำให้คนอื่นชอบ เช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์ถามหน่อย เมื่อเราอยู่ร่วมกันในสังคม เราควรจะเอาสิ่งที่ดีๆ ออกมาใช่หรือไม่ สิ่งที่ดีๆ เราควรที่จะนำมามอบสู่กัน เกื้อกูลกัน ส่งเสริมกัน แต่สิ่งที่ไม่ดีเราควรชะล้างออกไปจากใจ ไม่ใช่เอาไปโยนความผิดให้ใคร ใช่หรือไม่ อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ ในตัวศิษย์ทุกคนมีอะไรดี และมีอะไรไม่ดี (มีใจดีแต่มีโลภโกรธหลงไม่ดี) โลภ โกรธ หลง มันอยู่ในใจศิษย์ไหม แล้วใจนั้นดีหรือไม่ดี พูดเองสับสนเองใช่ไหม เขาบอกว่าเขามีใจดี แล้วโลภ โกรธ หลง มาจากไหน แปลว่าศิษย์มีสองใจใช่ไหม ใจหนึ่งฝ่ายดี แต่อีกใจหนึ่งฝ่ายไม่ดี ถ้าศิษย์สามารถครองใจให้เป็นหนึ่ง ไม่แบ่งแยกเป็นสองถึงจะเรียกว่ารักษาความดีได้ เมื่อมุ่งมั่นจะทำอะไร เป็นคนดีจงดีให้ถึงที่สุด อย่าดีแล้วแอบหวังอะไร แอบหวังผลใช่หรือไม่ แล้วการกระทำอะไร ที่เรียกว่าดี การกระทำอะไร ที่เรียกว่าไม่ดี นั่นก็คือบางครั้งก็คิดดีและบางครั้งก็คิดร้าย เก็บความคิดร้ายดีไหม
มีใครตอบได้อีก มีอะไรนะ (อยากมีจิตสำนึกรับผิดชอบชั่วดี) พูดได้ต้องทำได้ด้วย (ให้มันผ่านไป) ถ้าผ่านไปแล้วอย่าเรียกกลับมานะ ศิษย์หลายคนพอปล่อยให้สิ่งไม่ดีออกไปแล้ว มักจะกวักมือเรียกกลับมาทำใหม่ ปล่อยแล้วก็ต้องปล่อยเลย ใครตอบได้อีกลุกขึ้น (พูดจริงทำจริง) พูดได้ก็ทำได้ใช่ไหม ฉะนั้นก่อนพูดอะไรก็ต้องคิดก่อนว่าทำได้หรือเปล่า ไม่เช่นนั้นจะเป็นคนที่โกหก ทำต้องทำแล้วอย่าหวังผล ถ้าทำแล้วหวังผลมักจะไม่ดี อะไรที่ไม่ดีในตัวเรา ความคิดและการกระทำที่มีทั้งดีและไม่ดี (ใจมีธรรมะ จิตใจที่ดี, อารมณ์ดี กับอารมณ์ไม่ดี) แล้วอะไรคืออารมณ์ดี ใครทำถูกใจก็อารมณ์ดี ใครทำไม่ถูกใจก็อารมณ์ไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)
ใครอยากตอบอาจารย์อีกหรือเปล่า (ความรู้สึกดีและชั่ว) มีความรู้สึกที่ดีและชั่ว มีใครจะตอบอาจารย์นะว่า เป็นคนที่ขี้โมโห แต่ว่าหายไว ตอบว่า (ทราบว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี แต่เราก็ยังปฏิบัติ) แล้วอะไรล่ะที่ดี และอะไรที่ไม่ดี คิดก่อนนะ มีใครอยากตอบอีก ตอบว่า (ถ้าเราอยากทำดีแต่ว่าทำไม่ได้) เพราะอะไร (เราอยากจะทำแต่ว่าบางทีเราทำไม่ได้) ทำไมทำไม่ได้ล่ะ เลิก เหล้า เลิกบุหรี่ทำได้ไหม (เราอยากทำแต่บางทีก็ทำไม่ได้) ทำไมทำไม่ได้ล่ะ (เพราะเราอยากทำความดีแต่จิตใจเราไม่กล้าพอ) เพราะคนที่บอกว่าความดีทำยาก ทุกวันจึงไม่อยากทำดี ถูกไหม คนที่บอกว่าความดีทำง่ายเพราะทุกวันหมั่นทำดี (มีความดีแต่แฝงไปด้วยความชั่ว) น่ากลัวจริงๆ นะ มนุษย์ทุกคนในโลกนี้มีจิตใจที่ดี แต่ลึกๆ ก็แอบคิดร้าย เหมือนเราใส่บาตร ในใจคิดว่า พระรูปนี้จะเอาของเราไปทำอะไร เมื่อได้เห็นคนสวย คนเก่งคนหนึ่ง เรากล้าไหมที่จะเอ่ยปากชมโดยที่ในใจเราไม่คิดว่า สวยไปอย่างนั้นแหละ ฉะนั้นเมื่อชมใคร ถ้าคิดจะชม ต้องชมทั้งปากทั้งใจ เรียกว่าทำดีอย่างแท้จริง ชมด้วยใจที่เป็นกลางและบริสุทธิ์ ชมแล้วได้ขัดเกลาใจตัวเอง แต่ถ้าชมแล้วแอบว่าในใจ อย่าชม เพราะว่าคำพูดกับใจมันสื่อกันออก เวลาน้ำเสียงมันออกมามันจะออกมาได้ชัดเจน ออกมาเลยว่าชมไปอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าพูดแล้วใจคิดไปอีกอย่างปากว่าอีกอย่าง ยิ้มไว้ดีกว่านะ เพราะว่าในโลกนี้ทำดีไม่ยากหรอก แต่ยากตรงที่จะเอาชนะใจตัวเองที่ไม่ดีให้ดีได้
แล้วทำไมเราต้องศึกษาบำเพ็ญธรรม ต้องฟังธรรมะบ่อยๆ ต้องอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ ต้องรู้จักมีศีล เพราะว่าศีลช่วยควบคุมความประพฤติ ทำให้เรารู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป เพราะว่าการรู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปช่วยให้เรายับยั้ง ไม่ให้เราคิดผิดทำร้ายคน ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ตอนนี้มนุษย์ ศีลก็ไม่เอา ความละอายเกรงกลัวต่อบาปก็ไม่มี ฉะนั้นสังคมจึงวุ่นวาย เพราะบางทีความคิดชั่วของคนชั่ว แค่คนเดียวก็สามารถทำร้ายคนดีให้ราพณาสูรได้ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วยิ่งเราส่งเสริมให้คนชั่วมีอำนาจ คนดีก็เลยได้แต่คิดว่าทำดีไปทำไม ทำดีก็ไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอให้กล้าเถอะ สิ่งดีๆ ถ้าไม่กล้าทำ แล้วเมื่อไหร่โลกนี้จะมีคนดีที่แท้จริง ถ้าสิ่งดีๆ ศิษย์ไม่มีความเพียร ไม่มีความมั่นคงที่จะกระทำ แล้วศิษย์จะไปเรียกลูก เรียกหลาน ให้มาทำดีได้อย่างไร ในเมื่อศิษย์เองยังไม่ทำ เรียกคนอื่นทำความดี แต่ทำไมเธอยังทำไม่ดี ทำไมเธอไม่ยุติธรรม ถามสิว่า เธอทำแล้วหรือยัง เราเกลียดที่เขาไม่ดี เกลียดที่เขาไม่ยุติธรรม ทำไมไม่เกลียดตัวเองบ้างล่ะ ยุติธรรมหรือยัง ดีหรือยัง เมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถเข้าใจตัวเอง ศิษย์ก็จะสามารถเข้าใจผู้อื่น ศิษย์โกรธเป็นไหม ขี้เกียจเป็นไหม เอาเปรียบคนเป็นไหม ด่าคนเป็นไหม แล้วคนอื่นล่ะ ฉะนั้นโกรธ เกลียดเขา ที่เขาเอาเปรียบ เขาด่า แล้วศิษย์ล่ะ เป็นไหม เราจะไปโกรธเขาทำไม “เห็นใจเราก็ต้องเห็นใจเขา” คำพูดก็บอกอยู่แล้ว
แต่ถึงเวลาศิษย์พูดเพราะหรือพูดไม่เพราะ ศิษย์ชอบคนดีไหม ชอบคนซื่อตรงไหม ชอบคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ไหม (ชอบ) แต่ถึงเวลาศิษย์ขี้เกียจ ถึงเวลาศิษย์ขอคดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นว่าเขาก็อย่าลืมหันมาว่าตัวเอง แต่ก่อนที่จะไปเข้มงวดกับใคร ก็ต้องมาเข้มงวดกับตัวเอง
เมื่อวานเซียนน้อยบอกไว้ว่า “ถ้ามีหนึ่งคนยิ้มก็จะทำให้มีเสียงสะท้อนยิ้มตอบ” จำไว้ว่า “หนึ่งตรงทำร้ายร้อยคด แต่หนึ่งคดทำร้ายหมื่นตรง” เข้าใจคำที่อาจารย์พูดไหม หนึ่งตรงทำร้ายร้อยคดให้เป็นคนตรง ถ้าศิษย์มุ่งมั่นทำดี ทำดีเพื่อความดี ทำดีเพื่ออะไร ทำดีเพื่อตัวเอง ไม่ต้องไปเพื่อใคร ศิษย์ชอบคนดีไหม ชอบคนซื่อตรงไหม ชอบคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ไหม (ชอบ) แต่ถึงเวลาศิษย์ ทำดีเพื่อให้ตัวเองมีดี และมุ่งมั่นที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ ศิษย์จะสามารถแปรคนคดให้เป็นคนตรงได้ในร้อยคน แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เป็นคนคด ศิษย์จะสร้างคนคดให้เป็นหมื่นคนได้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้ท่านไปชี้หน้าว่าใคร ไปตัดสินพิพากษาใคร แต่การบำเพ็ญธรรมคือ ชี้หน้าแล้วหันกลับมามองพิพากษาตัวเองก่อน แล้วเริ่มต้นทำที่ตัวเองก่อนได้ไหม (ได้) ยากเกินไปไหม
วันสุดท้ายแล้วจะได้กลับบ้านแล้วไม่ดีใจหรือ ดีใจไหม (ดีใจ) อาจารย์รู้ว่าศิษย์ดีใจ แต่อาจารย์เสียใจ เพราะไม่รู้ว่าคนในนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ท้ายสุดจริงหรือเปล่า บางคนอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นที่จะเข้ามาฝึกฝนบำเพ็ญตัวเอง เข้ามาปรับปรุงแก้ไขแล้วกล้าที่จะทำดีด้วยตัวเราเอง แต่อาจารย์ก็กลัวว่าในที่นี้ วันนี้คือวันสุดท้ายและท้ายสุดจะไม่มาอีกแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่) เป็นธรรมดา ถึงที่สุดแล้วศิษย์ก็จะเห็นเงินสำคัญกว่าจิตใจอันดี ถึงที่สุดแล้วศิษย์ก็จะต้องเห็นรูปลักษณ์ภายนอกสำคัญกว่าจิตใจใช่ไหม (ใช่) เพราะศิษย์กลัวจน กลัวไม่มีใช่หรือเปล่า ทรัพย์ที่ประเสริฐที่สุดไม่ใช่เงิน แต่ทรัพย์ที่ประเสริฐที่สุดคือ ภูมิปัญญาและปัญญาจะออกได้อย่างไรเมื่อคนๆ นั้นหาความสงบในชีวิตไม่ได้เลยถูกหรือไม่ คนที่มีปัญญาคือคนที่รู้จักนิ่งเป็น ช้าได้ แล้วปล่อยวางได้ ถ้าทุกวันเอาแต่วุ่นวาย นิ่งไม่เป็น ช้าไม่ได้ คนนั้นยากจะเกิดปัญญา ปัญญาคือ ทรัพย์อนันต์ที่สุดรู้ไหม คนที่มาวันนี้วันสุดท้ายและก็ท้ายสุดรู้บ้างไหม
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าคนบางคนนั้นตลอดชีวิตไม่เคยเลือกที่จะทำดี พอถึงเวลาเสี้ยวสุดท้ายของชีวิตเพิ่งมาสำนึกแก้ตัวได้ แต่ต่อให้ใครเอาพระมาสวดเรียกให้เขาระลึกแต่สิ่งที่ดี เขาก็ระลึกไม่ออก เพราะตลอดชีวิตเขาทำแต่บาป ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ศิษย์เห็นกันบ่อยๆ คือคนที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พอเขาใกล้ตาย แม้จะเอาพระมานำให้เขาคิดดี เพื่อจะได้ไปสู่สุคติเขาก็ยังคิดไปถึงสัตว์ที่เขาฆ่า ฉะนั้นวิบากกรรมก็เลยทำให้เขากลับมาเป็นสัตว์ตัวนั้นแล้วก็ถูกฆ่า แล้วรอให้ตัวเองใกล้ถึงวันมอดม้วย เราถึงจะคิดสร้างบุญสร้างความดีหรือ บุญกุศลที่มนุษย์สามารถสร้างได้และทำได้นั่นก็คือให้ธรรมะเป็นทาน ฝึกเมตตาจิตตอบ ใครไม่ดีมาฝึกเมตตากรุณาให้ ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องเสียเงินด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าใครเป็นคนตระหนี่มาก อาจารย์อยากบอกว่าให้ฝึกเมตตาให้มากๆ เมตตาด้วยการให้ เพราะยิ่งตระหนี่สักวันหนึ่งศิษย์จะกลายเป็นจิ้งจกมาเฝ้าทรัพย์ เพราะว่าเหนียวเกินไปให้ไม่ลง ใช่ไหม (ใช่) แล้วอยากไหม เกิดมาเพราะห่วงทรัพย์มากตายไปเลยต้องเกิดมาเป็นจิ้งจก ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ถ้าวันนี้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วแต่ยังไม่กล้าทำ ศิษย์ก็จงรับผลของสิ่งที่ศิษย์ไม่กล้าทำไปเถอะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามุ่งมั่นจะทำอะไรก็ขอให้รักษาให้ครบ เป็นมนุษย์ศีลห้ายังไม่ครบเลย จริงไหม เรื่องง่ายที่สุดคือไม่โกหก ศิษย์ยังทำไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่าควบคุมตัวเองให้ได้ กายควบคุมได้ แต่ใจทำไมควบคุมไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) อยากได้คนดีตัวเองดีหรือยัง
(พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เสียไปไม่ยื้อยุด”) แปลว่า ในโลกนี้ไม่มีวันมีแต่สมหวัง บางวันเราต้องผิดหวัง บางวันเราต้องเป็นผู้เสีย บางวันเราต้องเป็นผู้ทุกข์ บางวันเรื่องบางเรื่องไม่สมหวังศิษย์รับได้ไหม และยอมปล่อยได้ไหม อาจารย์บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า โลกใบนี้มีอะไรที่ศิษย์ครอบครองได้บ้าง แล้วมีอะไรที่ศิษย์ควบคุมได้บ้าง จำไว้ว่าอย่าคิดควบคุมคนอื่นถ้ายังควบคุมตัวเองไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าไปคิดควบคุมใครควบคุมตัวเองให้ดีก็พอ
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะ มีโอกาสลองกลับมาศึกษาบำเพ็ญดีไหม จับมือลากับอาจารย์ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์เป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างยั่งยืนนาน ไม่ใช่แค่สองวันนี้ไปแล้วก็ไปลับ
กลับมาศึกษาอีกนะ เป็นความหวังของอาจารย์ กลับมาดูแลกายใจของตัวเอง เป็นมนุษย์ที่งดงามแท้ๆ มีแต่จิตใจที่งดงาม เข้าใจไหม ใจที่งดงามถึงจะเที่ยงแท้กว่ากายที่งดงาม ศิษย์อยากให้อาจารย์รักษาศิษย์ แต่ถ้าศิษย์ไม่รักษาตัวเองให้ดี ถึงวันนี้อาจารย์จะรักษาหาย ศิษย์ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม จะมีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่ดูแลตัวเองได้ดีไม่ใช่เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่คือตัวศิษย์เอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) คิดในสิ่งที่ควรจะคิด อย่าไปคิดร้าย ร่างกายที่ไม่ดี เพราะเอาแต่ตามใจตัวเอง กินในสิ่งที่ไม่ควรจะกินใช่หรือไม่ รู้แล้วก็ยังปล่อยให้ตัวเองทำในสิ่งที่ไม่น่าทำ อะไรดีแล้วก็จงทำต่อไปนะ ปิดทองหลังพระประเสริฐนัก เข้าใจไหม อาจารย์เป็นห่วงศิษย์ทุกคนและอาจารย์ก็อยู่ข้างศิษย์ทุกคน ขอเพียงแต่ศิษย์ทุกคนต้องเข้มแข็งและรับให้ได้ทุกเรื่องราว แม้เรื่องราวบนโลกนี้จะทุกข์แค่ไหนก็ตาม จำไว้นะ ความทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับจิตใจที่ไม่รู้จักระมัดระวัง ใช่หรือเปล่า ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ กลับไปหาอาจารย์ข้างบนเถอะ โลกนี้ไม่น่าอยู่หรอก ตั้งใจบำเพ็ญตัวเองให้ดีแล้วกลับขึ้นไปหาอาจารย์ให้ได้
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เสียไปไม่ยื้อยุด”
มั่งมีแฝงไว้ซึ่งความวิตก เรื่องดีดีอาจพกทุกข์ซ่อนไว้
ระวังหากปล่อยตัวทำร้ายใจ เล็งเห็นก่อนมีดีร้ายจับจุดทัน
ใช้ปัญญากล้าเรียนรู้ความจริง สตินิ่งเท่าทันรับเรื่องแปรผัน
ปรับดวงใจทนให้ได้อภัยกัน ปลงตกนั้นใช่เรื่องยากผ่านหัวใจ
สายน้ำไม่เคยไหลกลับ อยู่กับปัจจุบันให้ได้
ทุกสิ่งผ่านมาผ่านไป ไม่เหลือสิ่งใดค้างคา