西元二○一一年 歲次辛卯十一月廿三日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
เมื่อเรื่องราวไม่เป็นอย่างที่คิด ในดวงจิตรับไม่ได้แทบแดดิ้น
เมื่อไม่เป็นดั่งเก่าที่เราชิน ไม่ถูกทำให้สิ้นก็สิ้นไปเอง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ความเมตตายามมีทำใจให้กล้า ความเมตตาคนมีทำโลกให้อุ่น
ชีวิตมีจุดหมายจะทำให้ลุ้น ความเมตตามีไม่อุ่นไม่ใช่เมตตา
คนที่หลงนานอะไรก็ดียาก เมื่อหลงนักทุกข์เกิดเสียหลักหนา
ความหลงจากรักคนใจมีล้า ละหลงเพื่ออยู่จึงว่าด้วยปราณีต
การฝึกฝนไร้อุปสรรคไม่ก้าวหน้า จงรักษาตัวตนเองหนามลมฉีก
จงเป็นคนมีจุดหมายต่อชีวิต คนเห็นผิดหน่ายศึกษาชอบเดาเอา
จงบำเพ็ญใจนี้จากภายในเถิด เรื่องยากไม่อาจรู้เกิดระวังก้าว
หากปัญญามารู้ใช้ผู้ใดเขลา อะไรเอามาแลกใจมีแต่กล้ำกลืน
การไม่เช้าอุตส่าห์ต้องยิ่งกว่าอุตส่าห์ ตื่นขึ้นมาบำเพ็ญบำเพ็ญไม่เป็นอื่น
คนไม่คิดบำเพ็ญเพราะยังไม่ตื่น หลงในความทันรู้ดาษดื่นประดุจพลอย
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
เราอยู่ในโลกมักมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้น เราเรียนรู้วิธีทำงานเป็น เราเรียนรู้วิธีปลูกข้าวเป็น เราเรียนรู้วิธีทำตัวให้เด่นเป็น แต่เราไม่เคยเรียนรู้วิธีทำใจตัวเองให้ปลง ถามว่าทำอย่างไรให้เก่ง ก็ขยันเรียน ทำอย่างไรให้มีกินมีใช้ ก็ขยันทำมาหากิน ไม่รักสบาย ไม่เอาแต่เกียจคร้าน ทำอย่างไรให้มีกิน เราก็รู้ว่าทำได้ ทำอย่างไรให้เก่งเราก็รู้วิธีทำ แต่จะมีบุญวาสนาได้ เก่งได้ รวยได้ มีกินมีใช้เหมือนคนอื่นหรือเปล่าก็ไม่แน่ แต่วิธีทำใจเราไม่เคยเรียนเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำใจกับเรื่องไม่คาดคิด ทำใจกับเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในชีวิต เราเคยเรียนวิชาทำใจไหม (ไม่เคย) วิชาทำใจนี้ทำอย่างไร วิชาทำใจของเรามี ๓ ข้อเอง คือ
๑.ไม่ยึดมั่นถือมั่น ๒.ไม่ปรุงแต่ง ๓.ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ได้ ข้อสามจะเป็นวิชาที่ผ่านได้ยากที่สุด หรือว่ายากทั้งสามข้อเลย ถ้ามีเรื่องที่ไม่คาดคิด เราคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ แต่กลายเป็นแบบนั้น เราน่าจะได้ดีกว่าดีแต่กลายเป็นแย่ นั่นก็คือเราไม่สามารถทำใจกับ
สิ่งที่เรายึดมั่นว่าน่าจะเกิดแต่กลับไม่เกิด ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)
๑.ไม่ยึดมั่นถือมั่น ๒.ไม่ปรุงแต่ง ๓.ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ได้ ข้อสามจะเป็นวิชาที่ผ่านได้ยากที่สุด หรือว่ายากทั้งสามข้อเลย ถ้ามีเรื่องที่ไม่คาดคิด เราคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ แต่กลายเป็นแบบนั้น เราน่าจะได้ดีกว่าดีแต่กลายเป็นแย่ นั่นก็คือเราไม่สามารถทำใจกับ
สิ่งที่เรายึดมั่นว่าน่าจะเกิดแต่กลับไม่เกิด ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)
อยากเรียนวิธีทำใจไหม มีแค่ ๓ ข้อเอง ต้องสูญเสียเราก็รู้สึกว่าฉันไม่เคยสูญเสียทำไมฉันต้องสูญเสีย ฉันไม่เคยหมดตัวทำไมฉันต้องหมดตัว เราก็คิดปรุงแต่งไปต่างๆ นานา ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าฉันไม่มีที่นา ถ้าฉัน
น้ำท่วมฉันจะอยู่อย่างไร อยู่ได้ไหม (ได้) ที่กลับมาเจอเราไม่ใช่โดน
น้ำท่วมมาก่อนหรือ ทำไมยังอยู่ได้ ฉะนั้นวิชาทำใจของเรานั้นไม่ยาก เหมือนวันนี้ท่านไม่เคยนั่งฟังใครพูดนานๆ ท่านทำใจได้ไหมที่ต้องเป็นผู้ฟังและห้ามพูด (ได้) เห็นหลายคนอึดอัดเหลือเกิน พอได้ออกไปจากห้องก็ขอได้พูดหน่อย ฉะนั้นถ้าเราไม่คิดมากหัดเป็นผู้ฟังบ้างก็จะดี ถ้าพูดมากก็จะเรื่องเยอะ และเจ็บตัวเยอะ ฟังมากๆ ก็จะดีกว่า อยากเรียนวิธีทำใจของเราต้องจำสามข้อให้ได้ขึ้นใจ และวิธีทำใจจะไม่ใช่เรื่องยากเลย
น้ำท่วมฉันจะอยู่อย่างไร อยู่ได้ไหม (ได้) ที่กลับมาเจอเราไม่ใช่โดน
น้ำท่วมมาก่อนหรือ ทำไมยังอยู่ได้ ฉะนั้นวิชาทำใจของเรานั้นไม่ยาก เหมือนวันนี้ท่านไม่เคยนั่งฟังใครพูดนานๆ ท่านทำใจได้ไหมที่ต้องเป็นผู้ฟังและห้ามพูด (ได้) เห็นหลายคนอึดอัดเหลือเกิน พอได้ออกไปจากห้องก็ขอได้พูดหน่อย ฉะนั้นถ้าเราไม่คิดมากหัดเป็นผู้ฟังบ้างก็จะดี ถ้าพูดมากก็จะเรื่องเยอะ และเจ็บตัวเยอะ ฟังมากๆ ก็จะดีกว่า อยากเรียนวิธีทำใจของเราต้องจำสามข้อให้ได้ขึ้นใจ และวิธีทำใจจะไม่ใช่เรื่องยากเลย
ข้อดีของคนต่างจังหวัดที่คนเมืองหาได้ยากนั้นคือ ความมีน้ำใจ ความสงบและรักความเรียบง่าย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนใกล้เคียงกับความเป็นปราชญ์โบราณ ปราชญ์โบราณล้วนปรารถนาความสงบเรียบง่าย และดำรงชีวิตอย่างเป็นผู้ให้ และให้ความเป็นกันเองกับทุกๆ คน แต่ในเมืองหาเรื่องพวกนี้ได้ยาก ฉะนั้นสิ่งที่ท่านมีนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นปราชญ์
ปราชญ์โบราณท่านกล่าวไว้ว่า “จางจืดจึงรู้รสแท้ สามัญจึงเป็นยอดคน” แปลว่า ความเป็นสามัญธรรมดาจะทำให้เราเป็นคนที่เหนือคน สามัญคือ การดำเนินชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย แม้ความร่ำรวยหรือความยากจนก็ไม่ทำให้เราลืมความสงบและความเรียบง่าย แต่คนในปัจจุบันนี้ ไขว่คว้าและปรารถนามากมายจนลืมความสามัญ ทั้งๆ ที่เมื่อถึงที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนก็หนีไม่พ้นเรื่อง “สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญ” เรามาจากที่ใด
สักวันหนึ่งเราก็ต้องกลับคืนสู่ที่นั้น จะรวยขนาดไหน จะจนขนาดไหนจะมีตำแหน่งยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ถึงที่สุดแล้วเมื่อถอดหมวก ถอดชฎา ถอดตราประจำตำแหน่ง เขาก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไปที่ต้องกิน ต้องนอน หนีไม่พ้นการเกิดการตายเหมือนกัน
สักวันหนึ่งเราก็ต้องกลับคืนสู่ที่นั้น จะรวยขนาดไหน จะจนขนาดไหนจะมีตำแหน่งยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ถึงที่สุดแล้วเมื่อถอดหมวก ถอดชฎา ถอดตราประจำตำแหน่ง เขาก็เหมือนกับคนทั่วๆ ไปที่ต้องกิน ต้องนอน หนีไม่พ้นการเกิดการตายเหมือนกัน
ฉะนั้นท่านเกิดเป็นคนที่อยู่ในต่างจังหวัดแล้ว ไม่ควรลืมคุณค่าของการเป็นคนต่างจังหวัด นั่นก็คือ ความมีน้ำใจ ความสงบ และรักความเรียบง่าย แต่คนปัจจุบันนี้มักทิ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วไปแสวงหาความฟุ้งเฟ้อภายนอก อะไรเล่าที่ทำให้มนุษย์ต่างจากปราชญ์โบราณ เราสรุปง่ายๆ ภายนอกพยายามไขว่คว้าหาอย่างวุ่นวาย แต่ปราชญ์จะพอใจในสิ่งที่ตนเองมีแม้จะเล็กน้อย คนภายนอกวุ่นวายสับสน แต่ปราชญ์นั้นกลับสงบไตร่ตรองและหยั่งลึกเที่ยงตรง คนภายนอกหวั่นไหวไปกับสิ่งกระตุ้นเร้าและสิ่งแปลกใหม่ แต่ปราชญ์โบราณกลับสงบนิ่งอยู่กับความสามัญและธรรมชาติ ฉะนั้นท่านมีโอกาสใกล้ความเป็นปราชญ์มาก และความเป็นปราชญ์นี้ทำให้สามารถเข้าใกล้หรือความสงบได้ง่าย เราอยู่ในโลกที่เรียกว่าโลกของคนต่างจังหวัด จะต้องอายด้วยหรือที่จะพูดว่า ฉันมาจากต่างจังหวัด เวลาโดนเขาว่าหรือมาจากต่างจังหวัด มาจากบ้านนอก เขินไหม (ไม่เขิน) ไม่เขินจริงๆ หรือ (จริง)
ฉะนั้นจงภูมิใจและจงดีใจว่า แม้เราจะมาจากต่างจังหวัด แต่สิ่งหนึ่งที่ความเป็นต่างจังหวัดมีและคนในเมืองไม่สามารถมีได้เหมือนเราคือ น้ำใจ ฉะนั้นเมื่อเข้าไปในเมืองอย่าเผลอทำตัวไม่ต่างจากคนในเมือง และลืมความเป็นต่างจังหวัดไปเสีย แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น) เห็นเขามีอะไรเราก็อยากมีอย่างนั้น เขาวุ่นวายอะไร แต่ก่อนเราไม่เคยวุ่นก็พยายามวุ่นให้เหมือนเขา น่าเสียดายจริงๆ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ความเป็นต่างจังหวัดนั้นทำให้เราใกล้ชิดความเป็นธรรมะ ใกล้ชิดความสงบได้มากกว่าคนในเมืองเสียด้วยซ้ำไป
ฉะนั้นถ้าท่านสามารถดำรงสิ่งที่เรียกว่า ความดีงามได้ แม้จะไปอยู่ในสังคม เราก็คงไม่วุ่นวาย ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่น้อยคนนักที่จะเข้าถึง พอเขาวุ่นวาย ท่านก็วุ่นวาย พอเขาแสวงหา ท่านก็วิ่งแสวงหาเลยกลายเป็นคนต่างจังหวัดที่หลงแสงสีในเมือง และหลงลืมความสามัญ
อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ไป จริงๆ แล้วคนในเมืองก็มีความสงบเรียบง่าย มีน้ำใจได้เหมือนกัน ไม่มีความต่างกันเลย แต่เพราะอะไรที่ทำให้คนในเมืองสู้คนต่างจังหวัดไม่ได้ ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ที่บอกว่า
ยิ่งอ่อนน้อมกลับได้คงอยู่ ยิ่งให้กลับได้เต็มเปี่ยม ช่องที่เรียกว่าว่างที่สุดคือช่องที่คนอยากเติมเต็มที่สุด คนที่ถูกผลักดันให้ล้าหลังที่สุด กลับได้รับความเจริญที่สุด
อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ไป จริงๆ แล้วคนในเมืองก็มีความสงบเรียบง่าย มีน้ำใจได้เหมือนกัน ไม่มีความต่างกันเลย แต่เพราะอะไรที่ทำให้คนในเมืองสู้คนต่างจังหวัดไม่ได้ ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ที่บอกว่า
ยิ่งอ่อนน้อมกลับได้คงอยู่ ยิ่งให้กลับได้เต็มเปี่ยม ช่องที่เรียกว่าว่างที่สุดคือช่องที่คนอยากเติมเต็มที่สุด คนที่ถูกผลักดันให้ล้าหลังที่สุด กลับได้รับความเจริญที่สุด
คนที่เจริญทางด้านจิตใจแปลว่าต้องเป็นคนที่เข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะกลับไปอยู่ในโลกแห่งแสงสีก็ไม่ไหลลื่นไปกับแสงสี ยังมีความสงบและรักความเรียบง่ายอยู่ได้
สิ่งของบางอย่างใช้เป็นแต่บางทีก็ควบคุมไม่เป็น ถ้าปล่อยให้โทรศัพท์ล้ำหน้ากว่าตัวเรา การมีโทรศัพท์ก็บ่งบอกถึงความไม่รู้อย่างแท้จริง เรามีของที่ล้ำสมัยแต่ตัวเรากับล้าสมัยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) มีสิ่งหนึ่งที่ล้ำสมัยอยู่กับตัว แต่สมองเรากลับสู้สิ่งนี้ไม่ได้ ฉะนั้นการมีบางสิ่งบางอย่างก็ทำให้มองสะท้อนเห็นใจเราได้เหมือนกัน ถ้ารักความเรียบง่ายทำไมต้องมีโทรศัพท์ เราจงพอใจกับความธรรมดาสามัญโดยไม่มีทีวี ตู้เย็น เรายกตัวอย่างให้ท่านเห็น ไม่ใช่ให้ท่านเอาไปพูดว่าเราดีกว่าเขา
เรายกตัวอย่างให้ท่านเห็น เพื่อให้ท่านเข้าถึงซึ่งความดีที่ตัวเองมีอยู่หรือยัง มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ แต่ไม่รักความเรียบง่าย ความเป็นปราชญ์เมธีคือวิถีทางอีกวิถีทางหนึ่งที่จะนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้
เรายกตัวอย่างให้ท่านเห็น เพื่อให้ท่านเข้าถึงซึ่งความดีที่ตัวเองมีอยู่หรือยัง มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ แต่ไม่รักความเรียบง่าย ความเป็นปราชญ์เมธีคือวิถีทางอีกวิถีทางหนึ่งที่จะนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้
มนุษย์รู้แต่เพียงว่าต้องเป็นพระพุทธะถึงจะพ้นทุกข์ แต่หารู้ไม่ว่าการเป็นปราชญ์เมธีที่เป็นมนุษย์เดินดิน และเข้าใจการเดินดินที่แท้จริงนั้น ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ วิธีที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ก็คือ รู้จักทำใจให้เป็นก่อน การทำใจให้เป็นต้องยึดหลักสามอย่างคือ ไม่ยึดมั่น ไม่ปรุงแต่ง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัจจุบันที่เกิด แต่มนุษย์จะเข้าถึงได้อย่างไรในเมื่อมนุษย์ยังไม่รู้แก่นแท้ของความเป็นจริงในโลกใบนี้ เราจะเข้าถึงได้ต่อเมื่อเรานิ่งและสงบ แต่มนุษย์ยังคงวุ่นวายอยู่ คนในโลกวุ่นวายแสวงหาภายนอก ปราชญ์เมธีกลับพอใจในสิ่งที่มีเล็กๆ น้อยๆ คนในโลกวุ่นวายสับสน ปราชญ์เมธีกลับสงบไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งและเข้าถึงความจริงแท้ คนในโลกหัวใจดิ้นเร้าไปกับสิ่งที่กระตุ้นแปลกใหม่ พระพุทธะหรือปราชญ์เมธีกลับพอใจในสิ่งที่สามัญและธรรมชาติ ซึ่งตรงกันข้ามกับเราทั้งสิ้น เมื่อมีอะไรใหม่ๆ มาเราก็อยากมีตาม มีอะไรเชิญชวนเร้าใจมาเราก็อยากวิ่งไปตามสิ่งที่เร้าใจนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วความเป็นจริงแห่งธรรมะกลับสอนเราอีกด้านหนึ่งว่า “ยิ่งอ่อนน้อมกลับยิ่งคงอยู่ ช่องที่ว่างที่สุดกลับคือ ช่องที่เต็มที่สุด ยิ่งให้ยิ่งได้รับ ยิ่งยอมอยู่ต่ำกลับยิ่งได้เต็ม” แต่มนุษย์ในโลกกลับยิ่งต้องเข้มแข็ง ต้องแข็งแกร่ง ต้องเป็นที่หนึ่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งเก่ง ยิ่งเป็นหนึ่ง กลับยิ่งมีคนอิจฉาอยากล้มเขา อยากเหนือเขา มีคนเก่งคนหนึ่งก็ต้องมีคนที่เก่งกว่าอีกคนหนึ่ง ฉะนั้นความเป็นปราชญ์จึงสอนว่า “จงรู้จักอ่อนยิ่งอ่อนก็กลับยิ่งอยู่ยง ยิ่งแข็งก็มีแต่คนอยากล้มคว่ำ” ฉะนั้นเรายังอยากเป็นที่หนึ่งไหม
ใครๆ ก็อยากเด่นอยากดังไม่ใช่หรือ ยิ่งมีคนบ่นกับคนอื่นยิ่งรู้สึกภูมิใจ แต่ลืมไปว่าเสียงบ่นยิ่งดังยิ่งมีคนอยากรู้ว่าเขามีอะไรไม่ดีบ้าง ยิ่งแข็ง ยิ่งทำตัวเด่นดังคนยิ่งอยากเห็น
ปราชญ์โบราณจึงสอนว่า ข้อหนึ่ง จงอ่อนน้อมจึงคงอยู่ มีไหมสิ่งที่แข็งชนะทุกๆ สิ่ง ได้ ไม่มี มีแต่ความอ่อนที่ชนะทุกๆ สิ่ง ฉะนั้น “ยิ่งอ่อนน้อมยิ่งคงอยู่” “ช่องที่ว่างที่สุดคือช่องที่เต็มที่สุด” น้ำหรือทะเลที่ต่ำที่สุดกลับมีแม่น้ำหลายสายไหลลงมา แปลว่ายิ่งต่ำคนยิ่งอยากเติมให้เต็ม เหมือนวันนี้เรายอมแต่งตัวใส่เสื้อผ้าเก่าๆ รองเท้าเก่าๆ แม่เห็นแม่ก็ทนไม่ไหวและก็พาไปซื้อเสื้อใหม่ โดยที่เราไม่ต้องบอกแม่ว่าหนูอยากได้เสื้อใหม่ ยิ่งใส่เสื้อขาดๆ มากเท่าไรเพื่อนที่ไม่อยากซื้อเสื้อให้กลับจะบอกว่าแกไปซื้อเสื้อเถอะ แต่เมื่อไรที่เราใส่เสื้อใหม่แต่งตัวดีๆ เขาก็จะบอกว่าก็อย่างนั้นแหละ ใช่ไหม (ใช่)
ข้อสอง ยิ่งทำตัวให้เป็นช่องที่ว่างที่สุด คนยิ่งอยากจะเติมเต็มมากที่สุด แต่มนุษย์กลับทำตรงกันข้าม หาเงินให้มากๆ มีให้มากๆ แต่ทำไมยิ่งมีมาก ยิ่งหามากกลับยิ่งพร่องมากขึ้น ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม ถ้าเราทำตัวสมถะกินง่ายอยู่ง่าย มีสิบบาทก็อยู่ได้ แม่จะกวักมือเรียกให้เอาไปอีกสิบบาท ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามนุษย์เข้าใจหลักแห่งความเป็นจริง เราจะไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปตามสังคม
ข้อสาม ยิ่งให้ยิ่งได้รับ แต่มนุษย์กลับคิดว่าทำไมฉันต้องให้ ทำไมต้องเป็นคนเสียสละ ทำไมต้องยอมเสียเปรียบคน เราถามกลับกันนะ ยิ่งเอาแต่ได้ ยิ่งมีแต่จะเอาจากคนอื่น ทำไมยิ่งโกรธเกลียด คนที่รู้จักแต่จะให้ มีน้อยก็ให้ มีอะไรนิดอะไรหน่อยก็ให้ ทำไมมีแต่คนรัก เหมือนเขาบอกว่าให้อาหารทานสักวันก็หมด แต่ไม่สู้สอนให้เขาเอาอาหารนั้นแบ่งปันให้ทุกๆ คนกิน เขาจะได้กินไม่มีวันหมด
ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าใจหลักแห่งธรรมชาติเข้าใจหลักแห่งความเป็นจริง เราจะแสวงหาไปทำไม เพราะยิ่งแสวงหาก็ยิ่งบ่งบอกถึงความพร่อง ยิ่งทำตัวยิ่งใหญ่ก็ยิ่งมีแต่คนรังเกียจอยากกดขี่ ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่า ทำไมเกิดเป็นคน ความเรียบง่ายความสามัญคือสิ่งที่สุขที่สุดแล้ว คือสิ่งที่นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้แล้ว แต่มนุษย์กลับมองไม่เห็นความสามัญนั้นอยู่ที่ใด และความสามัญนี้คืออะไร
จะยกตัวอย่างง่ายๆ เคยเห็นเด็กไหม เด็กจะติดอะไรเป็นบางอย่าง ตอนที่อายุน้อยๆ เด็กบางคนติดหมอน ไม่ว่าจะอยู่ไหนต้องมีหมอนกอดถึงจะหลับ บางคนติดผ้าห่มไปไหนมาไหนต้องมีผ้าห่มผืนนี้เหม็นขนาดไหนก็จะเอา กลิ่นแบบนี้คือ กลิ่นที่ชอบ ถ้าแม่ซักเมื่อไหร่หนูจะรับไม่ได้เพราะไม่ใช่ผ้าของหนูอีกต่อไป เวลาเราให้ของขวัญอะไรเด็ก เด็กก็จะเล่นได้ทั้งวันแม้เป็นของชิ้นเดียวที่ดูธรรมดา รถธรรมดาไม่ติดมอเตอร์เครื่อง ไม่ติดอะไร แต่เขาก็เล่นได้ทั้งวัน มีความสุขกับแค่สิ่งๆ เดียว และบางทีก็หลับได้กับหมอนเน่าๆ ใบเดียว ใช่ไหม (ใช่) แต่พอเราโตขึ้นเราจึงรู้ว่าแบบนั้นสำหรับเด็กๆ โลกนี้ยังมีอะไรอีกเยอะแยะ ที่ทำให้เรามีความสุขได้ ทำให้เราหลับได้ เดี๋ยวนี้หมอนเก่าๆ ก็ทำให้นอนไม่หลับแล้ว ต้องหมอนดีๆ เตียงนุ่มๆ บ้านต้องหลังใหญ่ๆ ไม่ใหญ่ก็ต้องติดแอร์ เมื่อเราโตขึ้นเราเริ่มรู้สึกไหมว่า เรากินยาก อยู่ยาก นอนยาก ทำไมหมอนใบเดียวเรานอน
ไม่หลับแล้ว ทำไมเครื่องเล่นเครื่องเดียวเรากลับไม่เป็นสุขแล้ว แล้วเราทุกคนเป็นอย่างนี้ไหม (เป็น) สู้กลับไปเป็นเด็กที่หลงหมอนเน่าๆ ยังดีกว่าหลงหมอนราคาแพง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมเรารู้จนถึงที่สุดแล้ว เรายังเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ เพราะมนุษย์บอกว่า “ชีวิตของฉันอยู่ได้ด้วยความหวัง” ไม่ใช่ความเรียบง่าย ไม่ใช่ความสามัญ เหมือนบอกว่า ถ้าฉันมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหนึ่งคัน มีภรรยาที่สวยๆ สักหนึ่งคน ความสุขในชีวิตคงมีได้แน่ บางทีบอกว่าขอให้รวย รวยเมื่อไหร่คงมีความสุข คนหล่อๆ
ขับรถมารับเราแล้วเราคงมีความสุข ให้ถูกลอตเตอรี่แล้วเราคงจะมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่หลับแล้ว ทำไมเครื่องเล่นเครื่องเดียวเรากลับไม่เป็นสุขแล้ว แล้วเราทุกคนเป็นอย่างนี้ไหม (เป็น) สู้กลับไปเป็นเด็กที่หลงหมอนเน่าๆ ยังดีกว่าหลงหมอนราคาแพง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมเรารู้จนถึงที่สุดแล้ว เรายังเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ เพราะมนุษย์บอกว่า “ชีวิตของฉันอยู่ได้ด้วยความหวัง” ไม่ใช่ความเรียบง่าย ไม่ใช่ความสามัญ เหมือนบอกว่า ถ้าฉันมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหนึ่งคัน มีภรรยาที่สวยๆ สักหนึ่งคน ความสุขในชีวิตคงมีได้แน่ บางทีบอกว่าขอให้รวย รวยเมื่อไหร่คงมีความสุข คนหล่อๆ
ขับรถมารับเราแล้วเราคงมีความสุข ให้ถูกลอตเตอรี่แล้วเราคงจะมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงเราจะรู้เรื่องพวกนี้ แต่ถึงเวลามนุษย์ก็ยังอดหวังไม่ได้ แล้วคำว่าสักวันหนึ่งจะมีความสุข สักวันหนึ่งของท่านต้องเหนื่อยและต้องพยายามอีกเท่าไหร่ ต้องทำอีกเท่าไหร่ สักวันนั้นถึงจะเป็นจริง ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักพอใจในความอ่อนจางบางจืด ไม่รู้จักพอใจในความสามัญ มนุษย์ก็จะวิ่งไปตามความหวัง แต่เราเคยถามไหมว่า คำว่าสักวันของท่าน ต้องเหนื่อยเท่าไหร่ ต้องพยายามเท่าไร ต้องลงแรงอีกเท่าไหร่ แล้วสุขของท่านจะเป็นจริง สักวันหนึ่งถ้ามีรถสักคันฉันคงโก้ มีบ้านหลังโตๆ ฉันคงดูดี แต่งตัวใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ๆ คนคงนับหน้าถือตา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราต้องพยายามเท่าไหร่เล่า
ฉะนั้นความหวังคือส่วนหนึ่งของชีวิตได้ แต่ชีวิตไม่ใช่คือความหวัง ต้องเข้าใจให้ถูกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะถ้าวันหนึ่งสิ่งที่ท่านหวังเกิดทำให้ท่านผิดหวัง ท่านต้องถึงกับดับแดดิ้นไหม หวังว่าสักวันจะรวย รวยแล้วคงสบาย สบายแล้วคงมีความสุข แล้วเมื่อไหร่จะได้รวย แล้วเมื่อไหร่จะได้สุข พระพุทธะจึงอยากบอกท่านว่า กราบไหว้พระพุทธะเป็นร้อยเป็นพันองค์ ไม่สู้กราบไหว้บูชาพระที่ไร้ใจแค่หนึ่งองค์ เข้าใจความหมายของเราไหม คงไม่เข้าใจ เพราะมนุษย์ยึดติดกับความรวย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มนุษย์ปรารถนาสิ่งต่างๆ มากมาย ในชีวิตนิยามมายาหรือเรื่องราวไว้ร้อยแปด และผูกพันอยู่กับเงื่อนไขเป็นพันๆ อย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉันจะสุขได้ก็ต่อเมื่อมีคนๆ หนึ่งหน้าตาดีๆ มารับฉัน ฉันจะสุขได้ก็ต่อเมื่อฉันมีเงินเป็นร้อยๆ พันๆ ล้าน ฉะนั้นเราก็เลยเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ แต่หาความสุขไม่เคยเจอ ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่สุขที่สุดก็คือการยอมรับความจริงที่เป็นความสามัญธรรมชาติ แต่เรายอมรับได้ไหม
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มนุษย์ปรารถนาสิ่งต่างๆ มากมาย ในชีวิตนิยามมายาหรือเรื่องราวไว้ร้อยแปด และผูกพันอยู่กับเงื่อนไขเป็นพันๆ อย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉันจะสุขได้ก็ต่อเมื่อมีคนๆ หนึ่งหน้าตาดีๆ มารับฉัน ฉันจะสุขได้ก็ต่อเมื่อฉันมีเงินเป็นร้อยๆ พันๆ ล้าน ฉะนั้นเราก็เลยเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ แต่หาความสุขไม่เคยเจอ ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่สุขที่สุดก็คือการยอมรับความจริงที่เป็นความสามัญธรรมชาติ แต่เรายอมรับได้ไหม
เรามาสอนให้ท่านไม่เป็นคนก้าวหน้าหรือเปล่า ยอมรับกับความสามัญและไม่ต้องขวนขวายทำอะไรเลย อยู่ง่ายๆ กินง่ายๆ ดีไหม แต่จริงๆ เราอยากบอกท่านว่าดีนะ ถ้ายิ่งวุ่นวายกับคน เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ เพื่อให้ได้เป็นคนมีคุณค่า ประโยชน์ต่อประโยชน์ คุณค่าต่อคุณค่า เราหวังประโยชน์จากเขา เขาก็หวังประโยชน์จากเรา เรามีคุณค่าต่อเขา เขาก็มีคุณค่ากับเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)
มีนิทานเรื่องหนึ่งที่เมื่อปราชญ์มองเห็นแล้ว ท่านก็ถอยหลังไม่อยากแสวงประโยชน์และคุณค่าเลย เพราะท่านเห็นอะไร ท่านเคยเห็นไหม มีหนอนตัวหนึ่งบนใบไม้ แมลงกำลังจะมากินหนอน แต่ช่วงที่แมลงกำลังจะกินหนอนนั้นก็มีตั๊กแตนกำลังจะมากินแมลง แต่ถ้าหันไปมองหลังตั๊กแตนก็ยังเห็นนกกำลังจะกินตั๊กแตน เมื่อหันมองไปหลังนก ก็มีคนกำลังจะจับนก และรู้ไหมว่าคนที่กำลังจะจับนกนั้น อาจจะมีคนอีกคนหนึ่งที่กำลังจะยิงคนๆ นั้น โดยคิดว่าเธอมายุ่งอะไรกับต้นไม้ฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราแสวงหาผลประโยชน์ต่อผลประโยชน์ และไม่เห็นผลประโยชน์จากท่าน ท่านก็ต้องถูกกำจัดทิ้ง แต่การที่ดำรงอยู่ด้วยความเรียบง่ายนั้น เป็นการต่อความเรียบง่ายกับเรียบง่าย สามัญกับสามัญ ปราชญ์จึงดำเนินชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีอะไรให้หวัง แต่มนุษย์อยู่เพื่อจับหวัง ใช่หรือไม่ แต่ปราชญ์อยู่โดยไม่มีอะไรให้หวัง และทำตัวสมานกลมกลืนกับสรรพสิ่งโดยไม่เอาแต่งอมืองอเท้า รู้จักขยันทำมาหากิน สร้างแต่เหตุที่ดี เมื่อถึงที่สุดผลจะเป็นอย่างไรท่านพร้อมยอมรับ เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของความ
เป็นจริง ส่วนหนึ่งแห่งความเข้าใจชีวิต ขอเพียงมนุษย์รักความเรียบง่าย คงอยู่กับความสามัญ ไม่สูญเสียใจอันสงบ ความทุกข์ในโลกก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ความทุกข์เป็นเรื่องที่เราสามารถพ้นได้และเข้าใจแจ่มแจ้งได้
เป็นจริง ส่วนหนึ่งแห่งความเข้าใจชีวิต ขอเพียงมนุษย์รักความเรียบง่าย คงอยู่กับความสามัญ ไม่สูญเสียใจอันสงบ ความทุกข์ในโลกก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ความทุกข์เป็นเรื่องที่เราสามารถพ้นได้และเข้าใจแจ่มแจ้งได้
ถ้าท่านเข้าใจความหมายโดยนัยยะของสิ่งที่เราพูด ท่านจะรู้เลยว่าการเกิดเป็นคนนั้นยิ่งแสวงหากลับยิ่งทุกข์ เมื่อใดเรารู้จักพึงพอใจในสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมดาสามัญ” เราจะทุกข์น้อยและเราจะไม่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ดังที่เรากล่าวไว้กับท่านว่า “บูชาพระพุทธะเป็นร้อยองค์ ไม่สู้บูชาพระพุทธะหนึ่งองค์ที่ไร้ใจ” เพราะมีตัวมีตนมันจึงทุกข์อยู่ทุกวันนี้
ถ้าไร้ตัวไร้ตนเราก็คงไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป มนุษย์ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก กินก็ยาก นอนก็ยาก อยู่ก็ยาก แต่ถ้าเมื่อใดหวนกลับคืนสู่ใจเด็ก หมอนใบเดียวก็หลับ ผ้าผืนเดียวเน่าๆ ก็อุ่น ของเล่นชิ้นเดียวแม้จะเก่าจะโทรมอย่างไรก็มีความสุข และอะไรเล่าคือความสามัญของมนุษย์ที่หลงลืมไป นั่นคือ “มาคนเดียว กลับก็กลับคนเดียว เกิดมาตัวเปล่า ไปก็ต้องไปตัวเปล่า” และสิ่งที่เป็นสามัญที่เรียกว่าชีวิตคืออะไร มีเกิด มีดับ มีเจ็บปวด มีเปลี่ยนแปลง มีพลัดพราก ล้วนเป็นสามัญธรรมดา แต่เรามักจะรับไม่ได้กับความสามัญธรรมดานี้ แล้วก็ร้องไห้เสียใจ
ถ้าไร้ตัวไร้ตนเราก็คงไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป มนุษย์ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก กินก็ยาก นอนก็ยาก อยู่ก็ยาก แต่ถ้าเมื่อใดหวนกลับคืนสู่ใจเด็ก หมอนใบเดียวก็หลับ ผ้าผืนเดียวเน่าๆ ก็อุ่น ของเล่นชิ้นเดียวแม้จะเก่าจะโทรมอย่างไรก็มีความสุข และอะไรเล่าคือความสามัญของมนุษย์ที่หลงลืมไป นั่นคือ “มาคนเดียว กลับก็กลับคนเดียว เกิดมาตัวเปล่า ไปก็ต้องไปตัวเปล่า” และสิ่งที่เป็นสามัญที่เรียกว่าชีวิตคืออะไร มีเกิด มีดับ มีเจ็บปวด มีเปลี่ยนแปลง มีพลัดพราก ล้วนเป็นสามัญธรรมดา แต่เรามักจะรับไม่ได้กับความสามัญธรรมดานี้ แล้วก็ร้องไห้เสียใจ
เรื่องที่เรายากทนแต่เราทนได้นั่นก็คือ การฝึกใจ ถ้าชีวิตนี้ไม่เคยฝึกใจที่จะทนอะไรเลย ต่อไปท่านต้องพบกับความยุ่งยากเป็นแน่แท้ จริงไหม (จริง) แค่นั่งฟังคนพูดยังทนไม่ได้แล้วถ้าต่อไปเจอคนว่า จะรับไหวไหม แล้วคิดว่าจะหนีเขาพ้นหรือ ใช่หรือไม่ คำชมคำด่าก็เป็นความธรรมดาสามัญ
ฉะนั้นถ้าเราเกิดเป็นคน เราไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดของชีวิต แล้วเราจะอยู่กับชีวิตนี้ให้รอดได้อย่างไร อยู่ด้วยความหวังหรือควรอยู่ด้วยความเป็นจริง คนที่กล้าฝึกใจ คือคนที่กล้ารับในทุกๆ เรื่อง และมองเห็นว่านี่คือความเป็นธรรมดาของชีวิต นี่คือพื้นฐานของความเป็นคน ถ้าพื้นฐานของความเป็นคน อดทนยังมีไม่ได้ แล้วเราจะไปอดทนอยู่กับใครได้ ตัวเองยังอดทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ แล้วท่านจะไปอดทนอยู่กับใครที่ท่านรักได้หรือ อยู่กับตัวเองได้ไหม วันนี้ลองอดทนอยู่กับตัวเองให้ได้
ถ้าอยู่ไม่ได้ ท่านก็อยู่กับใครในโลกนี้ไม่ได้
ถ้าอยู่ไม่ได้ ท่านก็อยู่กับใครในโลกนี้ไม่ได้
วันนี้สิ่งที่เราพูดก็คงมีเพียงแค่นี้ เป็นธรรมดานะ มีคนฟังรู้เรื่อง
ก็ต้องมีคนฟังไม่รู้เรื่อง มีคนชอบ ก็ต้องมีคนรังเกียจเรา นั่นคือ ความธรรมดา ถ้ามนุษย์เรายอมรับความธรรมดานี้ได้ เราก็จะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้ามนุษย์ยอมรับความอึดอัดคับใจไม่ได้ หวังแต่ความสบายใจ ท่านก็จะหาความสุขที่ใดแท้จริงไม่ได้หรอก ปลูกต้นไม้วันเดียว
ไม่มีวันเติบโต เข้าใจธรรมะวันเดียว ไม่มีวันแจ่มแจ้ง เพราะมนุษย์ยังมีอัตตาความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ท่านได้เรียนรู้อะไรจากเราบ้าง อย่างน้อยได้ความสงบก็ยังดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สุด แล้วมนุษย์ทุกคนก็หนีความธรรมดานี้ไม่พ้น วุ่นวายขนาดไหน หวังอยากจะสนุกข้างนอกเพียงใด
แต่ถึงที่สุดก็ต้องกลับมาสู่ความสงบในใจตนให้ได้ เพราะถ้าในใจตนยังหาความสงบไม่ได้ ท่านก็คือคนที่หาเหตุให้ตัวเองต้องทุกข์ไม่จบสิ้น แล้วจะสงบได้อย่างไรเล่า ถ้ายังไม่พอใจความเรียบง่ายอันเป็นสามัญ จงพอใจความเรียบง่ายสามัญเถิด หน้าตาอย่างนี้หรือจะแก่แบบนี้ ก็คือความสามัญที่ใครๆ ก็ต้องเจอ ใช่หรือไม่ วันนี้โดนเขาว่า วันต่อไปโดนเขาด่า
ก็คือความเป็นสามัญ วันนี้มีคนรัก พรุ่งนี้มีคนเกลียด ก็คือความเป็นสามัญ เช่นนั้นเราก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ท่านอยู่ พรุ่งนี้ท่านอาจไม่อยู่ เพราะนี่คือความเป็นสามัญ
ก็ต้องมีคนฟังไม่รู้เรื่อง มีคนชอบ ก็ต้องมีคนรังเกียจเรา นั่นคือ ความธรรมดา ถ้ามนุษย์เรายอมรับความธรรมดานี้ได้ เราก็จะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้ามนุษย์ยอมรับความอึดอัดคับใจไม่ได้ หวังแต่ความสบายใจ ท่านก็จะหาความสุขที่ใดแท้จริงไม่ได้หรอก ปลูกต้นไม้วันเดียว
ไม่มีวันเติบโต เข้าใจธรรมะวันเดียว ไม่มีวันแจ่มแจ้ง เพราะมนุษย์ยังมีอัตตาความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ท่านได้เรียนรู้อะไรจากเราบ้าง อย่างน้อยได้ความสงบก็ยังดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สุด แล้วมนุษย์ทุกคนก็หนีความธรรมดานี้ไม่พ้น วุ่นวายขนาดไหน หวังอยากจะสนุกข้างนอกเพียงใด
แต่ถึงที่สุดก็ต้องกลับมาสู่ความสงบในใจตนให้ได้ เพราะถ้าในใจตนยังหาความสงบไม่ได้ ท่านก็คือคนที่หาเหตุให้ตัวเองต้องทุกข์ไม่จบสิ้น แล้วจะสงบได้อย่างไรเล่า ถ้ายังไม่พอใจความเรียบง่ายอันเป็นสามัญ จงพอใจความเรียบง่ายสามัญเถิด หน้าตาอย่างนี้หรือจะแก่แบบนี้ ก็คือความสามัญที่ใครๆ ก็ต้องเจอ ใช่หรือไม่ วันนี้โดนเขาว่า วันต่อไปโดนเขาด่า
ก็คือความเป็นสามัญ วันนี้มีคนรัก พรุ่งนี้มีคนเกลียด ก็คือความเป็นสามัญ เช่นนั้นเราก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ท่านอยู่ พรุ่งนี้ท่านอาจไม่อยู่ เพราะนี่คือความเป็นสามัญ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่าตัดรอนบุญวาสนาของตัวเองในการฝึกฝนบำเพ็ญตน บำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก บำเพ็ญคือหวนกลับไปสู่ความเป็นสามัญอันสงบแท้จริง
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กั้นกิเลสสู่จิตให้ผิดแล้วจำ มีหลายเรื่องบำเพ็ญประจำถลำไม่น้อย
ต้องจับหลักของอกรรมบำเพ็ญบ่อยบ่อย คนวางปล่อยไม่กระทำคำพูดวุ่นวาย
ธรรมแผ้วผ่องเย็นใจฟ้าคุณาเหลือ เป็นน้ำใสจะทำเพื่อเวไนยทั้งหลาย
ความน่ารักเป็นฑูตความหงุดหงิดเป็นมารร้าย ดูดูเหมือนเหมือนอะไรให้ตรวจสอบ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีบ่
คนมีจุดหมายจะทำอะไรหลงไม่นานนัก ทุกข์เกิดจากรักคนใจมีหลัก
จึงอยู่เพื่อไร้ ตัวตนเองหนา
จึงอยู่เพื่อไร้ ตัวตนเองหนา
คนมีจุดหมายต่อลมหายใจนี้จากศึกษา รู้ไม่อาจรู้ใช้ใจแลกมา
ผู้มีอุตส่าห์ เช้ามาบำเพ็ญ
ผู้มีอุตส่าห์ เช้ามาบำเพ็ญ
บำเพ็ญต้องรู้ทันความคิด บำเพ็ญสู่จิตให้ประจำ บำเพ็ญเรื่องของกระทำ ไม่ปล่อยถลำบำเพ็ญคำพูด ใจเย็นผ่องใสจะทำอะไรเหมือนเหมือนเป็นฑูต
และแม้วันนี้ทุกข์ยากที่สุดบำเพ็ญ ต้องรุดก้าวหน้าด้วยธรรม
ชื่อเพลง : เช้ามาบำเพ็ญ
ทำนองเพลง : คนเดียวในดวงใจ
(เพลงพระโอวาทสามวรรคแรก มาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“ลมไฟใจต้องเที่ยง”)
“ลมไฟใจต้องเที่ยง”)
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ว่าเวลาที่อากาศหนาวคนมักไม่ค่อยอาบน้ำ วันเดียวไม่อาบก็ยังพอไหว สองวันไม่อาบก็พอทำใจ สามวันไม่อาบก็ไปให้ไกลๆ ตัวเหม็นแค่วันหนึ่งถึงสองวันศิษย์ก็จะทนไม่ได้อยู่แล้ว แล้วถ้าเหม็นทั้งกายทั้งใจเล่า เราไม่มีอะไรไปชำระล้างหรือตรวจสอบบ้างเลย กายหรือตัวเราเวลาทำอะไรเคยเหม็นบ้างไหม (เหม็น) มนุษย์มักพูดว่าเวลาคนทำความดีชื่อจะหอมทั้งตามลมและทวนลม แต่ถ้าทำไม่ดีชื่อก็จะเหม็นทั้งตามลมและทวนลมเช่นเดียวกัน แปลว่าตัวเรานั้นไม่อาบน้ำตัวก็เหม็นแล้วและถ้าทำอะไรไม่ดีก็เหม็นได้เหมือนกัน คนที่ชอบบ่นไม่หยุด ศิษย์จะเรียกว่าคนขี้บ่น วันๆ เอาแต่โม้ เรื่องคนนั้นคนนี้ วันๆ ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันศิษย์เรียกเขาว่า (ขี้โม้) นิดๆ หน่อยๆ ก็หงุดหงิด รำคาญ มีอารมณ์อย่างนี้เรียกว่าทั้งขี้หงุดหงิด โมโห แล้วถ้าหากใช้เขาทำงานนิดๆ หน่อยๆ แล้วเขาไม่ทำให้ เราก็รู้สึกเสียใจ รำคาญ อย่างนี้เรียกว่า ขี้งอนขี้น้อยใจ เห็นไหมศิษย์ ในตัวเราถ้าทำไม่ถูกไม่ดียังเรียก “ขี้” นำหน้า เหมือนที่อาจารย์บอกว่าในตัวมนุษย์สิ่งออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา) ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก) ออกจากมือเรียกว่า (ขี้มือ) ฉะนั้นตัวศิษย์ถ้าไม่รู้จักประพฤติปฏิบัติตนศิษย์ก็คือ “ขี้” และก็ปล่อยเหม็นๆ ไปทั่วตามที่ตัวเองอยากจะปล่อย พูดอะไรไม่รู้จักพูดไม่รู้จักทำก็เรียกว่า ขี้โม้ ขี้คุย อาจารย์อาจจะพูดแล้วดูสกปรก แต่สิ่งที่ศิษย์ทำแล้วไม่รู้จักระมัดระวังในการกระทำ หรือในการพูดนั้นสกปรกยิ่งกว่า อย่าลืมว่ากายเหม็นก็ยังรู้จักอาบน้ำ แต่การกระทำที่เหม็นๆ ถ้าไม่รู้จักหันมาสำรวจกายใจ เราก็คือคนที่ปล่อยขี้ไปสู่สังคม ตัวของศิษย์ก็เหมือนถุงขี้ อาจารย์พูดผิดหรือสกปรกไหม (ไม่) ถ้าเราทำอะไรไม่ถูกไม่ควรเท่ากับเราปล่อยขี้เรี่ยราด แล้วคนที่ปล่อยขี้เรี่ยราดก็จะมีแต่คนร้องยี้ ไม่เอา ศิษย์เอ๋ยเราเกิดเป็นคนไม่ใช่นึกจะพูดก็พูด นึกจะทำอะไรก็ทำ เกิดเป็นคนต้องรู้จักสำรวมระมัดระวัง เมื่อไรที่เราทำอะไรแล้วรู้จักสำรวมระมัดระวัง เราก็คือคนที่รู้จักควบคุม ศิษย์อย่าว่าอาจารย์พูดน่าเกลียดนะ เพราะเวลาสุนัขขี้ไม่เป็นที่เป็นทาง เรายังรู้จักว่าสุนัขเลย แล้วเกิดเป็นคนนึกอยากจะพูดก็พูด นึกอยากจะทำอะไรแล้วปล่อยพิษภัยให้ไปกระทบกับคนอื่น อย่างนี้ศิษย์ก็คือคนที่ขี้แล้วเป็นขี้ ถ้าเรากินแล้วไม่ขี้ ทรมานไหม (ทรมาน) ขี้ไม่เป็นที่เป็นทางเรี่ยราด คนนั้นก็น่ารำคาญ
ฉะนั้นศิษย์เกิดเป็นคน อย่ารู้จักแต่ทำความสะอาดร่างกาย แต่ไม่รู้จักระมัดระวังในการปล่อยทุกข์ เพราะไม่เช่นนั้นศิษย์จะปล่อยทุกข์และทำให้คนอื่นทุกข์ไปทั่วบ้านทั่วเมืองได้ เพราะว่าศิษย์ไม่รู้จักขี้ (ระบาย) ให้เป็นที่เป็นทาง มนุษย์เป็นคนกำหนดเองว่า พูดมาก เรียกว่า ขี้โม้ ชอบแอบนินทาเรื่องของคนอื่น เรียกว่า ขี้นินทา ชอบโกหก เรียกว่า ขี้ตั๊ว
(ขี้โกหก) ทำไมคนโบราณจึงพูดว่า ขี้ ก็เพราะว่ามันไม่ดี มันเหม็น แต่ศิษย์ก็ยังทำใช่ไหม (ใช่) ศิษย์จึงได้เป็นแค่ถุงขี้ตลอดชีวิต ศิษย์เป็นคนที่เรียกว่าคนประเสริฐ แล้วทำไมเมื่อเป็นคนประเสริฐแล้วจึงชอบปล่อยขี้เรี่ยราด
(ขี้โกหก) ทำไมคนโบราณจึงพูดว่า ขี้ ก็เพราะว่ามันไม่ดี มันเหม็น แต่ศิษย์ก็ยังทำใช่ไหม (ใช่) ศิษย์จึงได้เป็นแค่ถุงขี้ตลอดชีวิต ศิษย์เป็นคนที่เรียกว่าคนประเสริฐ แล้วทำไมเมื่อเป็นคนประเสริฐแล้วจึงชอบปล่อยขี้เรี่ยราด
ดังนั้นศิษย์ก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง แต่ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์บ่อยๆ ว่า อาจารย์ ถึงศิษย์จะเป็นคนขี้บ่น ขี้น้อยใจ ขี้โมโห แถมขี้งก แต่เมื่อมีเวลาว่างๆ ศิษย์ก็ยังทำบุญ ช่วยเหลือคน มีน้ำใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่เข้าใจนะอาจารย์ ศิษย์ว่าศิษย์ก็ทำบุญแล้ว ช่วยคนก็ช่วยแล้ว แต่ทำไมยังโชคไม่ค่อยดี ยังเจอคนนิสัยไม่ดีอีก ศิษย์ไม่เข้าใจจริงๆ เลย ศิษย์เคยได้ยินไหมที่พระพุทธะเมตตากล่าวเอาไว้คำหนึ่งว่า ถึงใครจะทำอะไรเลวร้าย ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับจิตเราที่คิดร้ายตามเขา ถึงใครจะทำให้เราดีขนาดไหน ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับจิตเราที่ตั้งไว้ดีประเสริฐยิ่งแล้ว
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้ามีคนๆ หนึ่งจะผลักศิษย์ตกนรก แต่ในใจศิษย์มีเมตตา ให้อภัย แผ่เมตตาจิต ถึงแม้เขาจะผลักศิษย์ตกนรก ศิษย์ก็ทำนรกให้กลายเป็นสวรรค์ได้ แต่ถ้าวันนี้อาจารย์จะส่งศิษย์ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าศิษย์คิดร้ายว่า อาจารย์จี้กงนี้ปลอม อาจารย์ จี้กงไม่ดี อาจารย์จี้กงหลอกลวง ถึงแม้อาจารย์จะพาศิษย์ไปสวรรค์ สวรรค์นั้นก็กลับกลายเป็นนรกได้ ศิษย์จำไว้นะ ไม่มีใครทำเราให้เลวร้ายได้เท่ากับจิตของเราตั้งไว้ผิดที่ ไม่ใครที่จะสามารถช่วยเราให้ดีได้เท่ากับจิตของเราที่ตั้งให้ดีด้วยความมั่นคง ศิษย์ดูตัวอย่างองคุลิมาลที่เคยทำผิดมาก่อน แต่เมื่อวางดาบ วางการเป็นเพชฌฆาตได้ ท่านก็สำเร็จเป็นอรหันต์ ถึงแม้คนจะทำให้ท่านหลงผิดไป แต่เมื่อท่านได้รู้ตื่น ตั้งจิตถูกต้อง ดำเนินตามหนทางที่ถูก ท่านก็กลับกลายเป็นอรหันต์และสำเร็จได้ แต่ในทางกลับกันพระเทวทัตต์ถึงจะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าที่สุด ได้ฟังการโปรดจากพระพุทธเจ้าบ่อยที่สุด แต่เกิดจิตคิดผิด คิดร้าย เขาก็ถูกธรณีสูบ และตกนรกได้ เห็นหรือไม่ถึงแม้ศิษย์จะทำบุญขนาดไหน ถึงจะสวดมนต์มนต์คล่องหรือเก่งเพียงใด แต่ถ้าศิษย์วางจิตใจของตัวเองไม่ถูกต้อง
ไม่สามารถดำรงจิตใจของตัวเองให้สะอาด ศิษย์ก็ยังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นพระพุทธะคงไม่สอนไว้ว่า ให้ละชั่ว สร้างบุญกุศลถึงที่สุด และต้องชำระจิตใจให้ผ่องใส ทำไมต้องชำระจิตใจให้ผ่องใส ไม่ใช่เพียงแต่เป็นคนดี ทำบุญ สวดมนต์เก่ง เท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่สำคัญคือ ต้องลงแรงที่จิตใจด้วย เพราะถ้าศิษย์ทำดีแต่ในใจคิดว่า ทำไมคนโน้นถึงไม่ทำ ทำไมฉันต้องทำคนเดียว ทำไมฉันต้องเหนื่อยคนเดียว ถ้าศิษย์คิดอย่างนี้ สิ่งที่ได้ทำไปก็ไม่ได้ทำให้ขึ้นสวรรค์หรอกนะ แต่ถ้าตอนนี้เขาด่าเรา เขาว่าเรา แต่ศิษย์บอกว่า ไม่เป็นไร เมตตา ให้อภัย ฉันไม่ถือโกรธ เพราะเธอไม่เข้าใจฉัน สักวันเธอคงเข้าใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเบียดบังให้เราตกนรก แต่ถ้าเราคิดดี แผ่เมตตาจิต เราก็ทำให้นรกเป็นสวรรค์ แล้วก็ทำให้พญามารเปลี่ยนเป็นเทวทูตได้ ในทางกลับกันคนทำให้สวรรค์กลายเป็นนรกได้ แล้วทำให้พุทธะกลายเป็นพญามารได้ ศิษย์เห็นหรือไม่แค่ชั่วขณะจิต มิใช่เกิดมาเป็นคนทำบุญอย่างเดียวก็พอ สวดมนต์เก่งอย่างเดียวก็พอ แท้จริงแล้วไม่พอ ต้องลงแรงที่จิตใจด้วย วางจิตวางใจให้ถูกต้องด้วย มิเช่นนั้นพระพุทธะจะสอนไว้ทำไมว่า ละชั่วทำบุญกุศลถึงที่สุด และต้องชำระจิตใจให้ผ่องใส นี่คือแก่นของพุทธศาสนา
ไม่สามารถดำรงจิตใจของตัวเองให้สะอาด ศิษย์ก็ยังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นพระพุทธะคงไม่สอนไว้ว่า ให้ละชั่ว สร้างบุญกุศลถึงที่สุด และต้องชำระจิตใจให้ผ่องใส ทำไมต้องชำระจิตใจให้ผ่องใส ไม่ใช่เพียงแต่เป็นคนดี ทำบุญ สวดมนต์เก่ง เท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่สำคัญคือ ต้องลงแรงที่จิตใจด้วย เพราะถ้าศิษย์ทำดีแต่ในใจคิดว่า ทำไมคนโน้นถึงไม่ทำ ทำไมฉันต้องทำคนเดียว ทำไมฉันต้องเหนื่อยคนเดียว ถ้าศิษย์คิดอย่างนี้ สิ่งที่ได้ทำไปก็ไม่ได้ทำให้ขึ้นสวรรค์หรอกนะ แต่ถ้าตอนนี้เขาด่าเรา เขาว่าเรา แต่ศิษย์บอกว่า ไม่เป็นไร เมตตา ให้อภัย ฉันไม่ถือโกรธ เพราะเธอไม่เข้าใจฉัน สักวันเธอคงเข้าใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเบียดบังให้เราตกนรก แต่ถ้าเราคิดดี แผ่เมตตาจิต เราก็ทำให้นรกเป็นสวรรค์ แล้วก็ทำให้พญามารเปลี่ยนเป็นเทวทูตได้ ในทางกลับกันคนทำให้สวรรค์กลายเป็นนรกได้ แล้วทำให้พุทธะกลายเป็นพญามารได้ ศิษย์เห็นหรือไม่แค่ชั่วขณะจิต มิใช่เกิดมาเป็นคนทำบุญอย่างเดียวก็พอ สวดมนต์เก่งอย่างเดียวก็พอ แท้จริงแล้วไม่พอ ต้องลงแรงที่จิตใจด้วย วางจิตวางใจให้ถูกต้องด้วย มิเช่นนั้นพระพุทธะจะสอนไว้ทำไมว่า ละชั่วทำบุญกุศลถึงที่สุด และต้องชำระจิตใจให้ผ่องใส นี่คือแก่นของพุทธศาสนา
เมื่อสักครู่ศิษย์บอกว่า ถึงศิษย์ของอาจารย์จะเป็นคนขี้โม้ ขี้เอาแต่ใจ ขี้น้อยใจ ขี้โมโห ขี้บ่น แต่ว่าศิษย์ก็ยังเป็นคนที่ชอบทำบุญชอบสวดมนต์ งานบุญงานกุศลศิษย์ก็ไปช่วยตลอด อาจารย์บอกศิษย์ว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ศิษย์ก็ทำบุญออกบ่อย ช่วยคนก็ช่วย มีเมตตาก็มี น้ำใจก็มี แต่ทำไมบางครั้งศิษย์ถึงโชคร้ายเจอคนไม่น่ารัก หรือทำดีแล้วโดนคนว่า อาจารย์เลยจะบอกศิษย์ว่า ใครทำศิษย์เลวร้ายก็ไม่น่ากลัวเท่ากับจิตใจที่ตั้งไว้ในที่ที่ผิด เพราะนั่นจะทำเราเลวร้ายยิ่งกว่า ใครทำดีกับศิษย์ก็ไม่ดีเท่ากับศิษย์ต้องทำดีด้วยตัวเอง ตั้งจิตไว้ให้ถูกต้อง เหมือนเวลาเขาชี้นิ้วว่าเราชั่วเราเลว แต่ตัวเรารู้ตัวเราดีว่าเราชั่วหรือเลวหรือไม่ แล้วเราจำเป็นต้องไปตามเขาพูดไหม (ไม่จำเป็น) ถึงเขาจะชั่วเขาจะเลวเขาจะเป็นปีศาจที่ว่าเรา แต่ถ้าเราคิดแผ่เมตตาให้อภัยไม่ถือโกรธและตั้งมั่นในความดีอย่างไม่ยอมแพ้ ศิษย์ก็จะทำให้ที่ที่เลวกลายเป็นสวรรค์ และคนที่เป็นปีศาจกลายเป็นเทวฑูต แต่ถ้าในทางกลับกัน เขาบอกว่า เราดี แต่เราคิดว่าเขาชมเราเพราะเขาคิดจะเอาประโยชน์จากเรา เขามาพูดดีกับเราเพราะจะมาขอเงินเรา ถ้าเขาบอกว่าเราดี แต่เราคิดร้าย คนที่กำลังจะเป็นเทวฑูตก็กลายเป็นปีศาจ ที่ที่จะกลายเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรก และคนที่ควบคุมให้สวรรค์กลายเป็นนรกก็คือ ตัวเราเอง ฉะนั้นถึงศิษย์จะโดนคนทำไม่ดีด้วยก็ตาม ศิษย์ยังต้องมุ่งมั่นในความดี เพราะขนาดองคุลิมาล ที่ฆ่าคนจำนวนมากมาย ก็ยังสามารถวางดาบ และกลับเป็นอรหันต์ได้เมื่อเปลี่ยนจิตและคิดให้ถูกต้อง แต่พระเทวทัตต์แม้ท่านได้อยู่กับพระพุทธเจ้า ฟังพระพุทธเจ้าโปรด เพียงแค่คิดผิดคิดอิจฉาคิดสงสัยคิดไม่เชื่อใจพระพุทธเจ้า ที่ที่น่าจะทำให้เขาสำเร็จเป็นพุทธะกลับกลายเป็นที่ทำให้เขาตกนรก และถูกธรณีสูบ
ฉะนั้นนรกหรือสวรรค์ ดีหรือชั่ว อย่ากลัวคนพูด แต่ต้องกลัวที่ใจของศิษย์เอง อย่าลงแรงเพียงแค่เปลือกกายภายนอก แต่ไม่ได้ลงแรงที่จิตใจ มิเช่นนั้นแล้วศิษย์อาจไปไม่ถึงซึ่งความดีอย่างถ่องแท้ ศิษย์จะไม่มีวันพบความสว่างแห่งความสงบเย็นในการบำเพ็ญธรรมได้ เพราะในใจศิษย์มักจะชอบคิดผิดคิดร้ายคิดลงต่ำ ใครทำดีก็คิดระแวง ใครทำชั่วก็คิดร้ายตาม แล้ววันไหนเราจะได้ขึ้นสูงและเจริญ
ห้องพระนี้ชื่อว่า “เจิ้งซิน” เจิ้งซินแปลว่าอะไร รู้หรือไม่ (เที่ยงตรง) แปลว่าใจที่เที่ยงตรง มนุษย์ตัวตรงแต่บางครั้งใจคด ศีรษะชูฟ้าเท้าเหยียบดินแต่หัวใจนั้นบิดเบี้ยวคดงอ เราชอบความบริสุทธิ์ยุติธรรมแต่ตัวเราบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือยัง เราชอบความเที่ยงตรงแล้วตัวเราเที่ยงตรงหรือไม่ เราเกลียดคนลำเอียงแล้วตัวเราลำเอียงหรือเปล่า เราเกลียดคนคดโกงแล้วตัวเราแอบคดโกงไม่ซื่อสัตย์หรือไม่ เราเป็นมนุษย์ประเสริฐหัวตั้งตรง แล้วใจเราตรงจริงๆ ไหม น่าเสียดาย ถ้ากายอย่างแต่ใจอย่าง อย่างนี้เรียกว่าคนคดในข้อ งอในกระดูก คบไม่ได้ แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ปากว่าตาขยิบ ปากหวานก้นเปรี้ยว เราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ พูดอย่างทำอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเป็นคนดีไหม แต่พอถึงเวลาทำความดีกลับบอกว่าเอาไว้ทีหลัง
กลับไปเมื่อคืนนอนไม่หลับแปลว่าตอนอยู่ในห้องเอาแต่หลับ ไม่ได้ฟังเลย กินก็อิ่ม นอนก็หลับ นั่งก็เมื่อย อย่างนั้นยืนไปก่อนดีไหม (ดี) จนกว่าจะตอบคำถามอาจารย์ได้ โดยส่วนใหญ่เวลาศิษย์เจอหน้าอาจารย์สิ่งที่ศิษย์อยากขอมากที่สุดคือ ขอให้รวย ขอให้สวยๆ ขอให้แข็งแรง รวยแต่ไม่แข็งแรงดีไหม (ไม่ดี) ถึงรวยแล้วแข็งแรงแต่อายุสั้นดีไหม (ไม่ดี) แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์คือต้องรวย แข็งแรงและอายุยืน ต้องสวยและดูดีด้วย อาจารย์ว่าถ้าอายุยืน แข็งแรง รวยแต่หน้าตาไม่ดีก็ไม่มีใครอยากคบ หน้าตาบูดบึ้งก็ไม่มีใครเอา ดูว่าศิษย์จะขออะไรอาจารย์อีกนอกสวย รวย แข็งแรง อายุยืน ดูดี แต่ถ้าโง่ (ไม่เอา) สวยแต่โง่ก็ไม่ดีใช่ไหม (ใช่) รวยแล้วโง่ก็ไม่ดีเพราะหากรวยแล้วโง่ก็อาจใช้เงินให้หมดในวันเดียวหรือหมดตัวได้ อาจารย์จะสอนให้ทำให้ได้ในสิ่งที่ศิษย์ขอเอาไหมวันนี้ (เอา) พอไหม (ไม่พอ) (ขอให้มีความสุขและขอให้พ้นทุกข์) แต่จริงๆ อาจารย์ว่าสิ่งที่ศิษย์ขอไม่ใช่อันนี้หรอก ถ้ารู้ว่าขอให้มีความสุข ให้พ้นทุกข์ ศิษย์ก็คงมาศึกษาธรรมะบ่อยๆ แต่นี่พอมาฟังธรรมะ ไม่เอา พอชวนไปเที่ยว เอา เหมือนอาจารย์บอกว่าให้ไปสวยไปไหม ไป ให้ไปพ้นทุกข์ไปไหม ไม่ไป ที่จริงอาจารย์อยากจะบอกว่าถ้าศิษย์เอาพ้นทุกข์ไว้อันแรกส่วนสิ่งต่างๆ ที่ขอมาก็ไม่ใช่สาระสำคัญเลย ศิษย์ลองดูพระพุทธะที่พ้นทุกข์ไม่ต้องกังวลเรื่องสวย รวย จน ใครจะว่าฉันโง่หรือฉลาด ไม่ต้องกังวลเรื่องอายุยืนหรืออายุสั้น แข็งแรงหรือไม่แข็งแรง เพราะท่านมีชีวิตที่เป็นอมตะ
แค่ศิษย์ขออาจารย์ก็รู้เลยว่าศิษย์ให้ความสำคัญอะไรๆ ผิดไปกับชีวิตหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญที่สุดศิษย์กลับไว้หลังสุด ถ้าขอได้ศิษย์ขอสวยที่สุดก่อน ใช่หรือไม่ (ไม่) ส่วนคนอายุมากก็ขอรวยก่อน แต่ถ้ารวยแล้วไม่มีปัญญาก็โดนเขาหลอกและหมดตัวได้ในวันเดียวนะ หรือถ้ารวยแล้วไอจนหัวใจวายตายก็ไม่มีประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อสักครู่สิ่งที่ศิษย์ขออาจารย์ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ถึงจะรวยหน้าตาดี ถึงจะอายุยืน ถึงจะแข็งแรง แต่ถ้าศิษย์ไม่มีอีกสิ่งหนึ่งชีวิตนี้ไม่ครบสมบูรณ์นั่นคืออะไรรู้ไหม นั่นคือ วาสนา ถึงจะรวยแต่ถ้าวาสนาไม่ดีก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากได้อะไรอันแรก แข็งแรง ปัญญาดี แข็งแรงแต่ถ้าไม่มีปัญญาดี แข็งแรงแล้วอายุยืนศิษย์ก็อยู่ไปคนเดียว สุดท้ายศิษย์ก็ไม่อยากอายุยืนแล้ว (แข็งแรง ปัญญาดี อายุยืน วาสนา) ศิษย์ทำบุญสิบบาทแต่วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นกระบุงเลย อย่างนี้เรียกว่า ทำบุญหรือขอบุญ ถ้าทำบุญแบบนี้ไม่มีวันได้บุญหรอกนะ เพราะทำเสร็จก็ขอทันที
อยากนั่งแล้วหรือยัง (อยาก) อย่าเพิ่งนั่งเลยดีไหมศิษย์ เพราะอะไรที่ได้มายากๆ ศิษย์จะได้ดีใจ เพราะเวลาที่เขาร้องเพลงเรียกให้ศิษย์เข้ามานั่งศิษย์ก็บอกว่า เดี๋ยวก่อนยังเมื่อยอยู่ ไม่อยากนั่งแล้วเบื่อแล้วเก้าอี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจารย์จะทำให้เก้าอี้ดูมีค่าดีไหม (ดี)
พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนยืนขึ้น นั่งลง อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าแข็งแรง เพราะถ้าอาจารย์บอกให้ศิษย์ยืนขึ้น แล้วศิษย์บอกว่าอาจารย์ศิษย์ไม่ไหวแล้ว อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าไม่แข็งแรง แต่ถ้าอาจารย์บอกให้ศิษย์ยืนก็ยังยืนได้ นั่งก็ยังนั่งได้ นี่จึงจะเรียกว่าแข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นไหมว่าท่านก็ยังสุขภาพดี เพราะหูยังได้ยินชัด ปฏิบัติยังปฏิบัติได้ถูกต้อง ปัญญาก็ดี ในเมื่อศิษย์แข็งแรงแล้ว สุขภาพดีแล้ว สมองดีแล้ว หูก็ยังรับฟังได้ชัดเจน อย่างนั้นอาจารย์ไม่ต้องให้พรแล้วนะ เพราะสมองก็ยังใช้ได้ แปลว่าปัญญาไม่มืดบอด แล้วอาจารย์ยังต้องให้พรอีกไหม ศิษย์ก็ยังแข็งแรงและสุขภาพก็ยังดีอยู่ และสมองก็ยังใช้ได้ อาจารย์ไม่ต้องอวยพร ไม่ต้องให้วิธีที่ทำให้แข็งแรงแล้ว ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้นนั่งลง)
แสดงว่าปัญญายังดีอยู่ แม้อาจารย์คิดเรื่องที่บอกให้ศิษย์ยืนขึ้นนั่งลงเปลี่ยนเป็นหนึ่งสองศิษย์ก็ยังคิดได้ ศิษย์ยังแข็งแรงสุขภาพดีและปัญญาดี ไม่ต้องให้พรแล้วได้ไหม ไม่ได้ คนเราพูดต้องเป็นคำพูด พูดจะให้ก็ต้องให้ ถึงแม้จะดูแข็งแรงแล้วก็ตาม ศิษย์เคยได้ยินไหมอยากแข็งแรง อยากสุขภาพดี อยากมีวาสนา, ปัญญาดี, ผิวพรรณดีต้องทำอย่างไร ไม่ยากเลย อาจารย์ให้ศิษย์ได้แต่ศิษย์ต้องลงมือปฏิบัติ ศิษย์เคยได้ยินไหมอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่ศิษย์เป็นในวันนี้คือสิ่งที่อดีตศิษย์ทำมา ฉะนั้นอนาคตจะได้อย่างไรขึ้นอยู่ที่ตัวศิษย์เป็นผู้กระทำ อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น ใครทำให้ศิษย์ดีก็ไม่ประเสริฐเท่ากับจิตเราตั้งไว้ถูกต้อง ใครทำให้ศิษย์ชั่วร้ายก็ไม่เท่ากับศิษย์ตั้งผิดทิศผิดทางใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอยากจะอายุยืนและแข็งแรง ไม่ยากเลย ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งทางตรงทางอ้อม ไม่เบียดเบียนให้คนอื่นได้รับความทุกข์ทรมานทั้งทางตรงทางอ้อม ไม่เบียดเบียนให้คนอื่นได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ คนนั้นจะมีสุขภาพแข็งแรง คนที่ชอบเบียดเบียนเข่นฆ่าผู้อื่น เบียดเบียนให้ผู้อื่นทุกข์ยากลำบาก คนนั้นจะอายุสั้นเจ็บออดๆ แอดๆ บ่อย อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ไม่ว่าเวลาที่ทำอะไรให้เขาต้องลำบากใจเราจะไม่ทำ ช่วยได้ก็จะช่วยเต็มที่ เราจะไม่รักสบายเพื่อความสุขของตัวเอง ทำงานก็จะทำร่วมกัน แต่ถ้ามีโอกาสศิษย์ เอาแต่กินแรงและปล่อยให้คนอื่นทำ แล้วเวลาพูดก็พูดแบบเชือดเฉือนน้ำใจ ด่าให้เขาเจ็บปวด ใครเขาจะอยากให้ศิษย์อายุยืน เขาจะบอกว่าให้เราตายไวๆ เพราะปากร้าย ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเราอยู่กับคนหรือกับสัตว์และไม่เคยเบียดเบียนให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจถึงชีวิต ไม่เบียดเบียนให้ใครต้องทุกข์ทรมานกายใจ เขาจะอวยพรให้ศิษย์แข็งแรง ไปอยู่ที่ไหนก็เจริญๆ อยากแข็งแรงและอายุยืนจำไว้เลยว่าอย่าเบียดเบียนคนทั้งกายวาจาใจ อย่าทำให้คนอื่นต้องทุกข์เพื่อตัวเองมีสุข ยากไหม (ไม่ยาก) แปลว่าจะมีคนไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว
ถ้าศิษย์จำคำพูดอาจารย์ได้ว่าอันนี้เรียกว่า “ถุงขี้” ศิษย์พยายามฆ่าสัตว์มากมายเพื่อมาบำรุงถุงขี้ พูดไม่ระวังทำอะไรไม่ระวังแล้วอยากให้ถุงขี้อายุยืนไหม ไม่มีใครอยากให้อายุยืนหรอก
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอายุยืน อยากแข็งแรง ศิษย์ต้องไม่เบียดเบียนใครให้เจ็บปวดทั้งกายและใจ เพียงเพื่อความสบายใจของตัวเอง เพียงเพื่อตัวเองได้สุขใจ ใครจะเหนื่อยใครจะทุกข์ใครจะร้อนก็ไม่สนใจ ถ้าอยากเป็นคนอายุยืนไม่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ให้ถามตัวเราว่า ชีวิตนี้เราเลยฆ่าเขาไหม คนเราบางทีไม่ได้ฆ่าด้วยการลงมีดลงหอกลงดาบ แต่ฆ่าด้วยคำพูดด้วยสายตาที่เกลียดชัง ด้วยใจคิด เวลาเราโดนเขาทำให้เจ็บปวด เราก็สาปแช่งเขาขอให้เขาตายไวๆ อย่างนี้เรียกว่า ผูกใจเจ็บ
อยากวาสนาดีทำอย่างไร เห็นใครได้ดีหรือดีกว่าอย่าคิดอิจฉาริษยา ถ้าใครได้ดีแล้วศิษย์อิจฉาริษยาต่อไปศิษย์เกิดมาจะเป็นคนวาสนาไม่ดี หรือต่อไปในอนาคตศิษย์จะทำอะไรไม่ขึ้นเพราะความขี้อิจฉา แล้วศิษย์เป็นไหมเวลาที่ยามตนเองได้เป็นใหญ่แต่กลับไปกดคนอื่นไว้ ผู้ที่ชอบดูถูกผู้อื่นชอบ กดขี่ข่มเหงผู้อื่น คนประเภทนี้อนาคตไม่รุ่งเรืองหรอก สักวันย่อมตกต่ำเพราะใครทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น
อยากผิวพรรณดีหน้าตาผ่องใสเต่งตึง ต้องทำอย่างไร พระพุทธะท่านสอนไว้ว่า “อย่าเป็นคนมักโกรธ” คนที่มักโกรธหงุดหงิดง่ายผิวพรรณจะไม่ดี หน้าตาจะไม่ผ่องใส ฉะนั้นไม่ต้องไปซื้อครีมบำรุงผิวราคาแพงแต่ให้ยิ้มเข้าไว้ ใครว่าอะไรเราเราก็ยิ้ม มีความสุข ยิ้มไว้บ่อยๆ เป็นสิ่งที่ดี ไม่ต้องเสียเงินซื้อครีมบำรุงผิวเลย การเป็นคนสวยแต่เชิดหยิ่งคอระหงไม่มีใครชอบ ผู้ชายหล่อๆ แต่ขี้เหล้าเมายาไม่มีใครเอา ทำอย่างไรให้รวย (ขยันทำมาหากินประหยัดอดออม) อาจารย์จะบอกให้ว่าอยู่กับอาจารย์ไม่มีจน ต้องทำอย่างไรรู้ไหม ทำให้รอบบ้านเป็นที่ปลูกของสิ่งที่กินได้ แล้วต่อไปถ้าเกิดนาล่มศิษย์ก็ไม่เป็นไรเพราะยังมีผักให้กิน โอ่ง ไห ให้ซื้อติดบ้านไว้บ้าง อย่าซื้อแต่ถังพลาสติกเพราะมันแตกได้ เวลาไม่มีน้ำกินยังมีโอ่ง ไห ที่ยังเก็บน้ำได้ ฉะนั้นเชื่ออาจารย์จี้กงและจำไว้นะศิษย์ยามไม่มีนายังมีผักรอบบ้านให้กินได้ กระถิน ชะอมก็ปลูกได้ มะนาวปลูกเป็นไหม (เป็น) ไม่ตั้งใจปลูกยังขึ้นเลย พริกหว่านๆ ไป เดี๋ยวก็ขึ้นง่ายๆ ฉะนั้นนาจะล่มก็ไม่เป็นไร ไม่อดตายเพราะฉันยังมีผักกิน
อยากรวยทำอย่างไร ต้องรู้จักแต่ให้ หากเพื่อนบ้านจำได้ว่าตอนเรามี เราให้ไม่เคยหยุด เราทำแกงเราก็ยกแกงมาให้ ทำแกงจืดก็ยกมาให้ ต้มอะไรก็ยกมาให้กินตลอดเวลา เมื่อเวลาเราลำบากเขาจะมาช่วยเรา จึงมีคำกล่าวว่า “ทำบุญกับคนรอบข้างดีกว่าไปทำบุญกับญาติที่อยู่ไกล” ศิษย์ไปทำดีกับญาติที่อยู่ไกล เวลาเราลำบาก น้ำไกลย่อมดับไฟใกล้ไม่ทัน คนที่จะช่วยศิษย์ได้คือเพื่อนรอบข้าง แต่ศิษย์บางคนโง่ กลับไปมีเรื่องกับคนรอบบ้านไปเสียหมด แต่ดีกับญาติตนเองที่อยู่ไกลมาก ยามเวลาลำบาก บอกญาติให้กลับมาช่วย จะช่วยทันไหม ดังนั้นจงทำดีกับทุกๆ คนให้เท่ากัน เวลาเราลำบากเขาก็ไม่ทอดทิ้ง ฉะนั้นอยากรวยก็ต้องรู้จักที่จะให้ อย่าตระหนี่เพราะยิ่งตระหนี่ก็ยิ่งยากไร้
การกระทำเรียกว่ากรรม กรรมเป็นตัวจำแนกมนุษย์ เผ่าพันธุ์ แต่มนุษย์บอกว่าเกิดมาเป็นทาสของกรรม กรรมเป็นคนกำหนดให้เราเกิด ดังนั้นชีวิตนี้เราต้องปล่อยไปตามยถากรรม อาจารย์จะบอกว่านี่คือความโง่และโง่จริงๆ ที่คิดอย่างนี้ กรรมคืออะไร กรรมก็คือสิ่งที่เรากระทำขึ้นมา อยากจะได้อนาคตดีมันต้องทำตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่รอฟ้า ขอให้รวย อย่างนี้เขาเรียกว่าโง่ ฟ้าไม่ใช่เป็นคนลิขิตเรา ฟ้าเป็นแค่ตราชั่ง แต่คนที่ลิขิตชีวิตของศิษย์คือตัวศิษย์เอง และเราสามารถมีอำนาจเหนือกรรมและควบคุมกรรมได้ กรรมที่เป็นตัวจำแนกให้ศิษย์แตกต่างกันนั้นมันขึ้นอยู่กับการกระทำ แล้วทำอย่างไรที่เราจะสามารถควบคุมกรรม มีอำนาจเหนือกรรมและเอาชนะพ้นกรรมได้ (ละชั่ว ทำบุญสร้างบุญกุศล ทำจิตใจให้ผ่องใส) แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)
ง่ายนิดเดียว ก็ไม่ต้องทำอะไรที่ไปเบียดเบียนเขา ไปทำให้เขาทุกข์ แล้วผลจะไม่ย้อนกลับมาเป็นกรรมทำร้ายเรา (ควบคุมใจตัวเอง) แค่ดูแลใจตัวเองให้ดี จะคิด จะพูด จะทำอะไรต้องระมัดระวังอารมณ์
เราจะควบคุมกรรมนี้ให้เป็นไปดั่งที่เราคิดได้อย่างไร เราต้องรู้จักควบคุม (อารมณ์และจิตใจ) ตอบได้ดี (ทำจิตใจให้บริสุทธิ์) รู้จักรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยเมตตา ถ้าเรามีเมตตาเป็นหลักเราจะเบียดเบียนคนด้วยคำพูดหรือทำร้ายคนด้วยคำพูดไหม (ไม่) (ควบคุมการกระทำทุกอย่างด้วยตนเอง) รู้จักสำรวมระมัดระวังกายวาจาใจ ไม่ตกเป็นทาสของมาร (กระทำดีตลอด) รู้จักควบคุมกระทำสิ่งที่ดี อะไรที่เป็นตัวควบคุมให้เราคิดดีกระทำดี (จิตใจ) ต้องระวังเพราะจิตใจมนุษย์ง่ายที่ไหลลงต่ำ อะไรที่เป็นตัวควบคุมตรวจสอบไม่ให้เราเผลอทำผิดคิดร้าย
(ปฏิบัติตนยึดในความดี) รู้จักควบคุมปฏิบัติและมั่นคงในการทำความดี อะไรที่ทำให้เรามั่นคงในกรรมความดีและไม่หลุดกรอบไปทำความชั่ว (ก่อนจะทำดีต้องคิดดีก่อน) คิดดีแล้วต้องมั่นคงด้วย ต้องกล้าหาญด้วย เพราะเอาแต่คิดไม่มั่นคงไม่กล้าก็ไม่ออกมาเป็นผลดี จริงไหม
(นำธรรมะที่ได้ในวันนี้มาควบคุมจิตใจ, ระงับความอยากและกิเลสตัณหาที่มีในจิตใจเรา) กรรมที่น่ากลัวที่สุดที่พระพุทธะมักจะกำหนดคือ กรรมคือตัณหา ถ้าอยากหยุดกรรมต้องหยุดตัณหา (ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว) ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วบริสุทธิ์ แล้วถ้าเห็นผู้หญิงเต้นตุ้มๆๆๆ ใจจะบริสุทธิ์ได้ไหม ทำอย่างไร ไปดูให้ชัดเลยใช่หรือไม่ (ต้องอยู่เฉยๆ) หนีสิศิษย์อย่าเฉย เพราะถ้าเฉยเราจะหวั่นไหว พอมันหวั่นไหวแล้วใจก็ไหลไปตามอารมณ์ ถ้ายังควบคุมไม่ได้ ก็พยายามหนีสิ่งที่เป็นอบายมุข สิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ซื่อตรง (ตั้งสติ) ตั้งสติก่อนสตาร์ทใช่ไหม
(ทำจิตใจให้แน่วแน่มั่นคงในความดี, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น) พยายามไม่เบียดเบียนทั้งกาย วาจา ใจ กินสัตว์ใหญ่น้อยๆ สัตว์เล็กก็ไม่กิน ได้ไหม อาจารย์ขอให้ศิษย์ไม่กินสัตว์สามอย่างได้ไหม (ได้) ศิษย์จะได้อายุยืน และไม่เบียดเบียนสัตว์ มีสัตว์ที่อยู่บนฟ้าไม่กิน บนดินไม่กิน ในน้ำไม่กิน ไหนใครรับปากไปแล้วบ้างนะ (ไม่ให้ใจเกิดกิเลส) ทำจิตใจเราควบคุมไม่ให้เกิดกิเลส รู้จักพอ (คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน) ไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าเดือนร้อนผู้อื่นไหม เห็นแก่ตัวหรือเปล่า ดื้อไปไหม เอาแต่ใจตัวเองไปไหม (รู้จักแบ่งปัน) ถ้ารู้จักแบ่งปันเราก็คงไม่เบียดเบียนทำให้คนอื่นเจ็บปวดใช่หรือไม่ (ไม่โกรธ) อดทนไม่โกรธให้ได้นะศิษย์นะ แล้วเวลาโกรธทำอย่างไร (ยิ้ม) ฉะนั้นเกิดเป็นคนไม่ใช่แค่ละความชั่ว ทำความดี แต่ต้องทำให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ จะบริสุทธิ์แห่งจิตใจได้นั้น จะสามารถมีชีวิตอยู่เหนือกรรมได้นั้น ต้องทำดีอย่างไรหรือศิษย์ (ขัดเกลาจิตใจ) เอาอะไรมาขัด เอาอะไรมาเกลา (คุณธรรม) เอาศีล เอาธรรม มาเป็นตัวกำหนดความประพฤติ และควบคุมความประพฤติไม่ให้เราออกนอกศีล ออกนอกธรรม
ฉะนั้นถ้ามนุษย์เรามีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต มีศีลธรรมเป็นตัวควบคุมความประพฤติ เราจะทำผิดคิดร้ายไหม (ไม่) (ความอยากได้อยากมี, ทำอะไรรู้จักใช้สติ, หนักแน่นและปล่อยวาง) บางครั้งถ้าทำดีจนถึงที่สุดแล้วเขาไม่เชื่อก็ต้องปล่อย (รู้จักเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน, รู้จักทำจิตใจให้ดี, รู้จักแบ่งปัน, การให้อภัยช่วยเหลือและไม่เบียดเบียนสัตว์) แต่ยังแอบกินไก่ทอดไก่ย่างอยู่ไหม กินให้น้อยๆ ดีไหม ศิษย์ลองคิดดูถ้าศิษย์มีชีวิตอยู่ และชีวิตของศิษย์คือการเข่นฆ่าเพื่อทำให้ศิษย์มีชีวิต เท่ากับศิษย์กำลังมีชีวิตอยู่เพื่อฆ่าและดำรงชีวิต ใครฆ่าใครคนนั้นก็ต้องโดนฆ่ากลับ ใครเมตตาต่อใครคนนั้นก็จะต้องได้เมตตากลับ ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อฆ่าหรือเกิดมาเพื่อฝึกฝนเมตตาจิต เราเกิดมาเพื่อตามกิเลสอารมณ์หรือรู้จักลดกิเลสอารมณ์ แล้วเดินไปสู่ความเป็นพุทธะอันเย็นสงบ เราอยากเป็นมนุษย์ต่อไปใช่ไหม (ไม่) ถ้าไม่อยากอย่างนั้นพร้อมที่จะเดินตามอาจารย์ไหม คนดีเราต้องให้กำลังใจ ถ้าไปกดขี่เขา ข่มเขา เขาอาจจะไม่ดี พอไม่ดีและกลายเป็นคนเลวร้าย เราก็ต้องรับผลเอี่ยวด้วยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นใครทำดีเราต้องสนับสนุน ใครทำไม่ดีเราต้องใช้ความยุติธรรมตอบ ไม่ใช่ใครทำไม่ดีว่ากลับเลยถูกไหม (ไม่) ฉะนั้นอย่าทำให้คนไม่ดียิ่งไม่ดีด้วยการที่เขาไม่ดีแต่เราต้องดี เราต้องใช้ความเที่ยงตรง
(รู้จักไม่เบียดเบียนผู้อื่น) ก็คือมีเมตตาจิต ศิษย์เคยได้ยินไหมการให้ทานบ่อยๆ จะทำให้เราได้โภคทรัพย์ ถือศีลสวดมนต์แผ่เมตตาจิตได้ทิพย์สมบัติ แต่เข้าถึงความรู้แจ้งเห็นจริงและปล่อยวางเข้าถึงอริยะสมบัติ ต้องรออาจารย์บอกทุกรอบ ที่เขาพูดว่าทำบุญบ่อยๆ ชาติหน้าเกิดมาจะได้ร่ำรวย ศิษย์เคยเห็นไหมรวยแต่ไม่มีปัญญาใช้เงิน แต่งตัวปอนๆ ไม่กล้าใช้เงินเก็บไว้ให้ลูกกิน นั่นคือตอนที่เวลามีชีวิตอยู่ทำบุญแล้วชอบเสียดาย พอมีโอกาสได้ใช้เงินเกิดเสียดายอย่าไปใช้เลยกลัวลูกจะอดกิน ทำบุญอย่าเสียดาย อยากเข้าถึงการพ้นทุกข์จงทำโดยไม่หวังผล จงบำเพ็ญตนเพื่อลดอัตตาตัวจนเข้าถึงความว่างที่เรียกว่าสภาวะธรรมที่แท้จริง ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และถึงที่สุดคือความว่างเปล่า เมื่อไรเราเข้าถึงความบริสุทธิ์อันว่างเปล่าได้เราก็คือสภาวะธรรมที่แท้จริง เพราะยังมีตัวมีตนจึงมีที่ให้ทุกข์ให้รับผลแห่งกรรม แต่ถ้าเราบำเพ็ญจนไร้ตัวตนเราก็ไม่มีทุกข์ไม่ต้องมารับกรรม
เพลงที่อาจารย์ให้เมื่อสักครู่มีเนื้อหาอยู่ในกลอนของเมื่อวาน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้น และร่วมผู้ปฏิบัติงานธรรมร้องเพลงธรรม)
จะพูดกับอาจารย์ต่อ หรือจะเล่นอะไรกันดี สงสารผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) อาจารย์มาทีไรต้องยืนจนขาแข็งทุกทีเลยใช่หรือเปล่า (ไม่) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามต่อนะ เอาศีลมาควบคุมความประพฤติ มาเป็นตัวกำหนดควบคุมชะตากรรมของศิษย์ ถ้าศิษย์รู้จักดำเนินชีวิตให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ศิษย์ก็คงไม่เป็นคนทำผิดคิดร้าย แล้วศีลมีกี่ข้อ (ห้าข้อ) ห้าข้อมีอะไรบ้าง (ปาณาฯ, อทินนาฯ, กาเมฯ, มุสาฯ, สุราฯ) เมื่อมีศีลเป็นกรอบความประพฤติแล้ว ก็ต้องมีธรรมด้วย เกิดเป็นคนมีศีลอย่างเดียว แต่ไร้ธรรมก็ไม่มีประโยชน์ แล้วธรรมทั้งห้ามีอะไรบ้าง
(ข้อหนึ่งมีเมตตากรุณาต่อสัตว์ ข้อสองไม่ลักทรัพย์ของผู้อื่น) ต้องมีอะไรอีก ข้อหนึ่งไม่ฆ่าสัตว์เท่ากับเมตตาธรรม ข้อสองไม่ลักทรัพย์เท่ากับมโนธรรม ข้อสามไม่ประพฤติผิดในกามเท่ากับจริยธรรม ข้อสี่ไม่พูดปดเท่ากับสัตย์ธรรม ข้อห้าไม่ดื่มของมึนเมาเท่ากับปัญญาธรรม แปลว่าถ้าอยากควบคุมชะตากรรมของเราเราต้องรู้จักดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์เราส่วนใหญ่มีศีลครบไหม (ไม่ครบ) ฉะนั้นชะตาชีวิตจึงอยู่ที่อะไรก็ไม่รู้ อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าชะตากรรมอยู่ที่ตัวเรา และเราเป็นผู้ควบคุมชะตากรรมของเราเอง เราจึงต้องรู้จักเท่าทันจิต ถ้าศิษย์สามารถควบคุมจิตของตนเองได้ ศีลก็มิใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัวและยากลำบากในการเข้าใจเลย มีอยู่อย่างเดียวคือ “รู้เท่าทันจิต” ก่อนที่เวลาศิษย์โดนกระทบ ตาเห็น หูได้ยิน ปากจะพูดอะไรให้คิดก่อนว่า หากพูดแล้ว ว่าแล้ว เราทำด้วยความเมตตาไหม พูดแล้วทำให้เราเป็นคนไม่ซื่อตรงหรือไม่ ถ้าทำแล้วทำให้เรากลายเป็นคนผิดลูกผิดเมียไหม ถ้าทุกขณะพูด ทำอะไรก็ตามศิษย์คิดอยู่ในกรอบของศีลธรรมเสมอ เราก็จะไม่เดินผิดพลาดได้ ขอเพียงรู้เท่าทันจิต ต้องมีสติควบคุมชีวิต สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมเล่มเกม)
ทำอะไรต้องมีสติรู้เท่าทันทุกขณะจิตเวลาเราโดนกระทบ ไม่ว่าจะกระทบทางตา หู ร่างกาย ศิษย์ต้องรู้จักเท่าทันตัวเอง เรามาบำเพ็ญเพื่อควบคุมกายใจของตัวเองให้ชะตากรรมอยู่ในมือเรา ถ้าเราสามารถควบคุมชะตากรรมได้และมองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตได้ ศิษย์ก็สามารถก้าวพ้นทุกข์ได้ แต่มนุษย์มักขาดความสำรวมระมัดระวังใจตัวเอง คอยระวังคนอื่นแต่ไม่ค่อยระวังใจตัวเอง ชอบแต่จะควบคุมผู้อื่นแต่ลืมควบคุมใจตัวเอง ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมะเพื่อจะได้พ้นทุกข์และมีชีวิตเหนือชะตากรรม มีโอกาสให้เอาความรู้นี้ไปช่วยผู้คนได้ไหม (ได้) ถ้ารู้ว่าทำตัวเองอย่างไรให้ดี มีหรือจะไม่รู้ว่าช่วยผู้อื่นอย่างไรให้ดี ถ้ารู้ว่าช่วยผู้อื่นให้ดีอย่างไร มีหรือจะไม่รู้วิธีช่วยตนเองให้ดีได้อย่างไร กลัวอย่างเดียวมัวแต่ไปจับผิดคนอื่นและเอาตัวเองไม่รอด
กลอนของอาจารย์ที่เป็นกลอนซ้อนของวันนี้จะต่อกับกลอนของงานประชุมธรรมที่จังหวัดชัยนาท ซึ่งได้คำว่า “ดินน้ำทำใจปลง” มนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้งสี่ทำให้เกิดเป็นกายคน ธาตุทั้งสี่มีวันแตกสลายได้ แต่จิตไม่ได้ประกอบไปด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ฉะนั้นกายแตกสลายได้แต่จิตไม่มีวันแตกสลาย กายมีวันเกิดดับได้แต่จิตไม่เกิดดับ จะเปลี่ยนสภาวะไปสู่ที่ใดนั้นแล้วแต่จิตที่สั่งสม มนุษย์คิดว่าตายแล้วจบแล้วจบกัน ตายแล้วเป็นไปตามจิตสิ่งที่ศิษย์สั่งสม ถ้าศิษย์
สั่งสมกรรมชั่วก็พาลงสู่นรก ถ้าศิษย์สั่งสมกรรมดีก็นำพาสู่สวรรค์ แต่ถ้าพ้นดีพ้นชั่วนั่นก็คือ นำสู่แดนนิพพาน ฉะนั้นทำบุญก็ยังต้องกลับมาเกิด แต่ถ้าบำเพ็ญจะสามารถตัดแล้วซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด หากทำโดยไม่หวังผลและบำเพ็ญจนเข้าสู่สภาวะไร้อันว่างเปล่าอันบริสุทธิ์
สั่งสมกรรมชั่วก็พาลงสู่นรก ถ้าศิษย์สั่งสมกรรมดีก็นำพาสู่สวรรค์ แต่ถ้าพ้นดีพ้นชั่วนั่นก็คือ นำสู่แดนนิพพาน ฉะนั้นทำบุญก็ยังต้องกลับมาเกิด แต่ถ้าบำเพ็ญจะสามารถตัดแล้วซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด หากทำโดยไม่หวังผลและบำเพ็ญจนเข้าสู่สภาวะไร้อันว่างเปล่าอันบริสุทธิ์
วันนี้ศิษย์มาฟังธรรมะไม่ใช่แค่เป็นคนดี ไม่ใช่แค่ขยันทำบุญ แต่ต้องลงแรงที่จิตด้วย โอวาทของอาจารย์ปลายปีนี้ถ้าศิษย์สังเกตดีๆ ทุกอันจะมีคำว่า “ใจ” อาจารย์อยากให้ศิษย์อย่าลงแรงแค่เพียงกายแต่ต้องลงแรงที่จิต เพราะจิตเป็นตัวนำพาให้เราพ้นหรือไม่พ้นทุกข์ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “ถ้าชั่วขณะจิตคิดร้ายก็นำพาไปสู่ทุกขคติภูมิ แต่ถ้าชั่วขณะจิตคิดดีก็นำพาเราไปสู่ความพ้นทุกข์” ฉะนั้นถึงศิษย์จะสั่งสมมาดีแต่ชั่วขณะจิตก่อนที่ศิษย์จะดับสิ้นซึ่งร่างกายนี้แล้ว คิดไม่ดีคิดจองล้างคิดโกรธ เชื่อไหมว่าจะนำพาศิษย์ไปสู่นรกภูมิได้ทันที หรือนำพาศิษย์ไปสู่ภูมิแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้นก็เป็นได้
อาจารย์จะยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องหนึ่ง ถ้าสมมติว่าอาจารย์เป็นฤาษีกำลังบำเพ็ญศีลอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง แล้วมีวานรตัวหนึ่งเกิดจิตสำนึกรู้ ในเมื่อตัวเองไม่มีโอกาสได้มีร่างกายเป็นคน ก็เลยเป็นวานรที่อุปัฏฐากฤาษีนี้ อุปัฏฐากแปลว่าผู้ที่ดูแลรับใช้คนที่บำเพ็ญเพียร วานรก็ช่วยอุปัฏฐากฤาษี ถึงเวลามีผลไม้อะไร ก็ไปเด็ดผลไม้มาให้กิน ถึงเวลาฤาษีหิวน้ำก็เอาน้ำมาให้กิน ทำทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ เพื่อได้อาศัยใบบุญของฤาษี แต่ช่วงหนึ่งที่ฤาษีบำเพ็ญอยู่นั้นเกิดป่วย แล้วเกิดอาการกระสันอยากกินเนื้อ ก็เลยบอกแก่วานรว่าตนอยากกินเนื้อ วานรตัวนั้นก็เกิดจิตหยั่งรู้ใจของฤาษี ก็เลยยอมเฉือนเนื้อของตัวเองให้ฤาษีกิน ฤาษีก็กินไปโดยไม่รู้ว่าเป็นเนื้อของวานร เมื่อได้กินไปแล้วจากอาการป่วยทันที คนเราพอติดในรสชาติ ลิ้นมันได้ลิ้มรสสิ่งที่ไม่เคยกิน ก็เกิดอาการอยากกินอีก จิตของวานรคิดเพียงอย่างเดียวว่า อยากทำให้ฤาษีบำเพ็ญได้จนถึงที่สุด อะไรที่ทำให้ฤาษีสามารถบำเพ็ญได้ถึงที่สุด ตนยินดีสละให้ทุกอย่าง เทียบกับคนพอได้กินครั้งหนึ่งแล้ว จะอยากกินอีกไหม (อยาก) อยากกินแล้วกินเล่า แล้วฤาษีจะยังอยากกินผลไม้อีกไหม (ไม่อยาก) เพราะอะไรที่หากินได้ยากๆ ก็อยากกินอีก เมื่อติดในรสแล้ว วานรก็ยอมเฉือนเนื้อตัวเองจนเกือบจะหมดตัว ฤาษีก็ไม่เคยมองเลยว่าวานรได้ซูบผอมและเจ็บป่วย จนกระทั่งวันหนึ่งวานรทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงตายไป อาจารย์ถามศิษย์นะว่า ฤาษีจะนำวานรตัวนี้ไปฝังหรือนำเนื้อของมันมากิน (เอาเนื้อมากิน) แค่เพียงความอยากเองนะศิษย์ สามารถทำลายความเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แล้วทำร้ายคนดีคนหนึ่งที่ยอมทุ่มทั้งชีวิตให้กับเขา ปรากฏว่าคนๆ หนึ่งได้ไปสวรรค์ และคนๆ หนึ่งตกนรกทันที การอยู่ร่วมกันของคนทำไมถึงทำให้คนๆ หนึ่งเป็นคนชั่ว และทำให้อีกคนหนึ่งกลายเป็นคนดีที่น่าสงสาร เกิดจากอะไรหรือศิษย์ แค่เพียงอยากติดรสชาติแค่นั้นเองนะศิษย์ ทำให้แม้จะบำเพ็ญเพียรมากี่ปีก็ตามก็มลายหายหมด เพราะเพียงแค่อยาก จึงลืมความเมตตา จนลืมจิตสำนึกแห่งความดีงามของคนๆ หนึ่งที่ทำเพื่อเรา อาจารย์ลองกลับกันนะ ถ้าวานรตัวนั้นคือคนๆ หนึ่งที่ดูแลศิษย์ ศิษย์เกิดมาวันๆ เรียนหนังสืออย่างเดียว อยู่ๆ มา แม่หนูป่วย แม่ต่อให้เหนื่อยอย่างไรก็ต้องรีบกลับมาดูแล พ่อหนูป่วย พ่อเหนื่อยอย่างไรก็ต้องรีบกลับมาดูแล ทำทุกอย่างเพื่อลูกคนเดียว แล้วลูกมีชีวิตอยู่อย่างเดียวคือ กิน เที่ยว เรียนหนังสือ และก็ขอเงิน
อาจารย์อยากจะถามว่าศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม บางครั้งเพียงแค่ความต้องการของเรา แล้วทำให้คนดีต้องหายไปจากโลก เพียงเพื่อความต้องการของเรา จิตสำนึกเราหายไปเลยโดยที่ไม่สนใจคนที่ทำความดีแทบตาย เราเป็นอย่างนั้นไหม เพียงเพื่อเราปรารถนา ฉันเก่ง,ได้เรียน ฉันมีความสุข อีกคนหนึ่งจะเหนื่อยขนาดไหนก็หน้าที่พ่อแม่ หนูมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว แต่แม่ทั้งทำงานทำกับข้าวและดูแลลูก ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตสำนึกเราหายไปไหน เกิดเป็นคนสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้คือความชอบธรรม เกิดเป็นคนถ้าขาดความชอบธรรมแล้วคนๆ นั้นสามารถที่จะทำเรื่องเลวร้ายได้ มีศีลธรรมแล้วอย่าลืมความชอบธรรมด้วย ถูกต้องชอบธรรมไหม อย่าเพียงเพื่อความสุขของตัวเองจนลืมความชอบธรรมในจิตใจ จริงหรือไม่ศิษย์ แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม มัวแต่เที่ยวเคยสนใจพ่อแม่ไหม มัวแต่ห่วงความสุขของตัวเอง มัวแต่ห่วงรักข้างนอก แล้วเคยสนใจรักของพ่อแม่ที่ให้ทุกวันไหม ต้องรอให้ท่านตายก่อนใช่ไหมถึงจะเห็นคุณค่า แต่ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าศิษย์อย่าเป็นวานรที่สอนให้ฤาษีทำนิสัยผิดๆ เราอย่าสอนลูกให้ตามใจจนเคยตัว ส่วนหนึ่งที่เขาหลงผิดไปก็เราด้วยจริงไหม ฉะนั้นคนเป็นพ่อแม่อย่าตามใจลูกจนเคยตัว ถึงเวลาต้องสอน ถึงเวลาที่เขารับฟัง ศิษย์ไม่สอนเอาแต่เงินให้พอโตแล้วเขาจะฟังไหม (ไม่ฟัง) ตอนที่สมควรสอนไม่สอนมาสอนตอนที่โตแล้ว เขาจะฟังไหม (ไม่ฟัง) ไม้แก่ดัดยากนะ แต่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งที่มีอิทธิพลต่อจิตใจมากที่สุดคือความดีงาม เกิดเป็นคนศีลธรรมพยายามมีให้ครบ อย่าได้เป็นคนที่ชอบพูดปด ขี้โม้ โกหกก็น่าเสียดายนะ เกิดเป็นคนต้องรู้จักซื่อตรง ถ้าพูดแล้วทำร้ายจิตใจคนไม่พูดดีไหม ใช้ยิ้มเอา ถ้าพูดแล้วโกหกก็อย่าพูด ถ้าพูดแล้วกลายเป็นคนตลบตะแลงก็อย่าพูด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“ลมไฟใจต้องเที่ยง”)
“ลมไฟใจต้องเที่ยง”)
ลมกับไฟก็เปรียบได้กับอารมณ์ของมนุษย์ ไฟที่น่ากลัวที่สุดก็คือไฟแห่งอารมณ์ ลมไฟเย็นได้แต่ว่าลมไฟก็เผาผลาญคนได้เหมือนกัน แต่อาจารย์อยากจะเตือนอีกอย่างนะ หน้าหนาว เมื่อหนาวก็หนาวจัด ร้อนก็ร้อนจัด ฉะนั้นเราอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันสิ่งที่ต้องระวังคือฟืนไฟ เพราะเมื่อไรที่ร้อนจัดก็จะเกิดอัคคีภัย อย่าคิดว่าไม่ใช่ธุระของตัวเอง ต้องช่วยกันดูแล เห็นไฟเล็กไฟน้อยต้องช่วยกันระมัดระวัง ช่วงนี้ลมแรงกว่าที่เคยเป็น ถ้าลมแรงเวลาไฟมาก็แรงจึงต้องช่วยกันดูแล เดี๋ยวนี้ดินน้ำลมไฟล้วนแปรปรวนเพราะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เป็นผู้กระทำ อย่าโทษกันแต่เราต้องช่วยกันแก้ แก้ที่เหตุอย่ามามัวรอแก้ที่ผล การที่โลกปัจจุบันนี้ไม่สามารถที่จะเหมือนเดิมได้ก็เพราะความโลภของมนุษย์ที่แสวงจนทำร้ายธรรมชาติ แต่อาจารย์ก็บอกแล้วว่า เมื่อฟ้าให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นหรือเมื่อโลกใบนี้ปั่นป่วน ถ้ามนุษย์ยังไม่มีกรรมก็ยังพอหลีกหนีได้ แต่ถ้าเป็นกรรมที่มนุษย์ถึงคราวต้องรับก็จะโดนเก็บไปพร้อมกับดินน้ำลมไฟ ฉะนั้นศิษย์เกิดเป็นคนสิ่งสำคัญคือใจต้องเที่ยงตรง ถ้าเราไม่เที่ยงตรงจิตไม่บริสุทธิ์จิตไม่งดงามก็ง่ายที่จะหวั่นไหวไปกับสิ่งที่กระตุ้นเร้า
อาจารย์อยากบอกกับศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ น้ำมีสภาวะเย็นเปรียบเหมือนความดี ถ้าความดีที่ศิษย์ทำแล้วหลงในความดีและตายเพราะความดี อาจารย์ว่าก็ยังประเสริฐกว่าปล่อยให้ไฟแห่งความโลภ โกรธ หลง เผาผลาญ แม้จะยังไม่ตายแต่มีชีวิตอยู่ศิษย์ก็คือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นเกิดเป็นคนจะต้องรู้จักระมัดระวังควบคุมโลภโกรธหลงและรู้เท่าทันใจตัวเองให้ดี
สิ่งที่ศิษย์ครอบคือ เพลงที่อาจารย์ให้จะมีเกินมานิดหน่อยอาจารย์เพิ่มไว้ทีหลัง
ฉะนั้นถ้าศิษย์รู้จักตั้งตัวเองอยู่ในศีลธรรม รู้จักมีเมตตาจิตแผ่เมตตา และตั้งสัจจะอธิษฐานว่าเราจะตั้งใจและมุ่งมั่นเป็นคนที่ดีงาม เราก็สามารถควบคุมชะตากรรมและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ วันนี้อาจารย์ถามเป็นเรื่องสุดท้าย “ชีวิตนี้เราอยากทำดีอะไรและสิ่งไม่ดีอะไรที่เราอยากเลิกให้เด็ดขาดไปจากชีวิต” ตอบอาจารย์ได้ไหม เหล้าบุหรี่ จิตใจที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น และสิ่งดีงามคืออะไร ความถูกต้อง ศีลธรรม จิตใจเมตตา มโนธรรมสำนึก ความละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่ยากเลยล้วนอยู่ในใจของตัวเอง แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะมีจิตสำนึกรู้มากแค่ไหน วันนี้อาจารย์เปิดประตูแห่งศีลธรรมในใจศิษย์แล้ว แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะไปบ่มเพาะใจแห่งศีลธรรมนี้ให้คงอยู่ตลอดไปไหว
อาจารย์คงต้องไปแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อาจารย์ขอให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์กันอีกนะอย่าไปแล้วไปเลยได้ไหม อาจารย์กลัวอย่างเดียวกลัวใจศิษย์ไม่มั่นคง วันนี้ศิษย์อยู่กับอาจารย์แต่พอนานไปก็ทิ้งอาจารย์ ถ้าศิษย์ตั้งใจแล้วต้องทำให้ได้ ถ้าจะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี อาจารย์ไม่ทิ้งศิษย์หรอกกลัวแต่ศิษย์จะทิ้งอาจารย์ เอาธรรมะไปช่วยคน เป็นตัวแทนอาจารย์เอาสิ่งที่ดีไปช่วยคน เข้มแข็งอย่าอ่อนแอ อาจารย์รอศิษย์กลับมานะ
ตั้งมั่นในความดีที่เรามีใช่หรือไหม เป็นคนดียากหรือ ยากตรงที่ไม่อยากเป็นใช่ไหม กตัญญูรู้คุณไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหมศิษย์ เป็นคนดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่ขยัน อาจารย์ไปแล้วนะ ได้ยินใช่ไหม รู้เรื่องใช่ไหม รับปากอาจารย์แล้วนะว่าจะรักษาศีลให้ครบ เป็นคนดี อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อช่วยคนที่ยังตกทุกข์ได้ยากให้เขารู้ตื่น นำพาให้เขาพ้นทุกข์ ถ้าศิษย์รู้จักนำพาเขาให้ดีได้ ศิษย์ทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ก็นำพาชีวิตให้ดีและพ้นทุกข์ได้ มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ บำเพ็ญให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้ อาจารย์ไปแล้วนะ กลับมาอีกนะ อย่าทิ้งอาจารย์ไป
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ลมไฟใจต้องเที่ยง”
คนมีจุดหมายจะทำอะไรหลงไม่นานนัก ทุกข์เกิดจากรักคนใจมีหลัก จึงอยู่เพื่อไร้
ตัวตนเองหนา
คนมีจุดหมายต่อลมหายใจนี้จากศึกษา รู้ไม่อาจรู้ใช้ใจแลกมา ผู้มีอุตส่าห์ เช้ามาบำเพ็ญ
บำเพ็ญต้องรู้ทันความคิด บำเพ็ญสู่จิตให้ประจำ บำเพ็ญเรื่องของกระทำ ไม่ปล่อยถลำบำเพ็ญคำพูด ใจเย็นผ่องใสจะทำอะไรเหมือนเหมือนเป็นฑูต
แก้ไขพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๔
หน้า ๑๘ เพลงพระโอวาท
เดิม ในยุคท้ายโลกที่เพิ่มภาระใจ ขอศิษย์ช่วยยกโลกนี้ขึ้นใส่บ่า ให้ศิษย์กู้โลกนี้โดยธรรมา ฝึกฝนสละย่อมชนะซึ่งจิตตน
แก้ไขเป็น ในยุคท้ายโลกที่คุ้นเพิ่มภาระใจ ขอศิษย์ช่วยยกโลกนี้ขึ้นใส่บ่า ให้ศิษย์กู้โลกนี้โดยธรรมะ ฝึกฝนสละย่อมชนะซึ่งจิตตน