วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

2554-12-03 สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท


西元二○一一年 歲次辛卯十一月初九日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่

บุญวาสนามาจากการให้ทาน บารมีนั้นมาจากสร้างคุณธรรมสั่งสม
อาภัพเพราะขี้ระแวงเจ้าอารมณ์ ถูกกดข่มเพราะอิจฉาว่าคนดี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ปลงยังแต่สิ่งที่เหี่ยวเฉาหนี ในฤดีการนึกร้ายนึกเพื่อป้อง
คิดร้ายก็ใจร้ายแต่งมุมมอง คิดดีก็ใจดีว่องไวเมตตา
หากปัญญาไม่ยอมกลับมาสู่ใจ ท่องไปไกลเที่ยวเพลินเดินทั่วหล้า
ปฏิบัติไม่ตามธรรมรู้อยู่โลภนา ขาดปัญญาเป็นจริงคืออริยทรัพย์ไป
คนเมื่อถึงความตื่นใจหยุดเอง อัตตาไม่ปราบย่อมได้เบ่งเป็นวิสัย
แต่คนเหนืออยู่ปรามตนเป็นวินัย ความจริงในกาลเวลาไม่มิดกำ
คนบำเพ็ญแล้วแจ้งใจไม่แย่แน่ คนเคยแย่เคยหลงปลงย้ำย้ำ
แก้ซ้ำซ้ำอยู่ผิดผิดเผลอประจำ เศร้าซ้ำซ้ำตาแดงก่ำเพราะงมงาย
ใจเป็นทุกข์ใจเหนื่อยเพลียไม่สิ้น ชีวิตบินไปเพ้อฝันหวั่นเวียนว่าย
วิ่งตามกับตามวิ่งเพื่อสิ่งใด นำใครวิ่งนำไม่เท่านำตน
ฮา ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่
นั่งฟังธรรมะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  มนุษย์กลัวความลำบาก
ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้มีคนลำบากเป็นเพื่อนท่านนะ ดีไหม แล้วมานั่งฟังวันนี้ลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  เราจะรู้สึกไม่ลำบากก็ต่อเมื่อเห็นคนที่ลำบากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้คนที่ลำบากกว่าท่าน ขาก็ไม่ดี แถมยังอยากมาคุยกับท่าน ท่านคงรู้สึกว่าโชคดีแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  
อย่าคิดว่าตัวเองลำบากอยู่คนเดียว อย่าคิดว่ามานั่งฟังธรรมะแล้วลำบากเหลือเกิน จริงๆ แล้วถ้าเราเปิดตาให้กว้าง มองโลกให้กว้างยิ่งขึ้น เราก็ยังเห็นว่าสิ่งที่เราว่าลำบาก สิ่งที่เราว่าทุกข์ ยังมีคนที่ลำบากและทุกข์กว่า
“บุญวาสนามาจากการให้ทาน
บารมีนั้นมาจากสร้างคุณธรรมสั่งสม
อาภัพเพราะขี้ระแวงเจ้าอารมณ์
ถูกกดข่มเพราะอิจฉาว่าคนดี”
บางทีเราอดตัดพ้อต่อว่าฟ้าดินไม่ได้ว่า “ทำไมฉันวาสนาไม่ค่อยดีนะ ทำอะไรก็ไม่ค่อยขึ้นนะ” เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  เคยไหม (เคย)  บางทีรู้สึกว่า “ทำดีเหมือนไม่ได้ดีเลยนะ” ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งทำแล้วยังถูกว่าอีก  หรือบางทีทำแล้วเป็นอย่างไร ไม่มีดีให้เห็นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เรามาคุยกันเรื่องทำไมมนุษย์บางคนจึงมีวาสนาดี ทำไมบางคนจึงมีบุญบารมี แต่ทำไมตัวเราจึงอาภัพถูกกดขี่ก็ไม่รู้นะ
การจะได้อะไรสักอย่างหนึ่งหรือการจะสำเร็จ ทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างหนึ่งต้องกล้าเหนื่อย ต้องกล้าเพลียแต่ห้ามท้อใช่ไหม เพราะเราลงแรงแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อยแล้ว ท้อก็ท้อแล้ว เพลียก็เพลียแล้ว แต่ถ้าท้อมากๆ มันก็ไม่มีอะไรดี ไม่ใช่หรือ เปลี่ยนจากท้อเป็นพลัง แล้วลุกขึ้นเดินต่อไปไม่ดีกว่าหรือ ท่านยังมีขาที่สมประกอบ แต่ขาเราไม่สมประกอบเรายังสู้เลย ตัวท่านอย่าเป็นคนที่สมบูรณ์ทางร่างกายแต่พิการจิตใจ อย่าเป็นคนเต็มแต่ตัว แต่หัวใจเปล่าไร้ซึ่งความถูกต้องและดีงาม น่าเสียดายนะ    ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เจอทุกข์แล้วเดินหนี การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เจอลำบากแล้วไม่เอา แต่ยิ่งทุกข์เรายิ่งต้องเอาชนะ ยิ่งลำบากเรายิ่งต้องอดทน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ปลงยังแต่สิ่งที่เหี่ยวเฉาหนี ในฤดีการนึกร้ายนึกเพื่อป้อง
(นักเรียนในชั้นเรียนเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่ง)
เราไม่นั่งหรอก เราบอกไปตั้งแต่ต้นแล้ว เราต้องรักษาคำพูด ถ้าท่านทุกข์เราจะทุกข์กว่า ถ้าท่านลำบากเราจะลำบากกว่า เพื่อจะได้ทำให้ท่านได้รู้ว่าสิ่งที่ท่านกำลังทุกข์อยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย สิ่งที่ท่านลำบากนั้นเป็นเรื่องเบาบาง
“คิดร้ายก็ใจร้ายแต่งมุมมอง คิดดีก็ใจดีว่องไวเมตตา”
ฉะนั้นอยู่กับเราคิดร้ายก็จิตร้าย ชั่วขณะหนึ่งที่เราเป็นอย่างนี้อาจจะมีบางคนสมน้ำหน้าก็ได้ใช่ไหม (ไม่ใช่) ไม่เป็นไรหรอกมันเป็นเรื่องธรรมดาใช่หรือไม่
เริ่มต้นไว้ว่าทำไมเราอยู่ในโลกนี้ทำดีแล้วเหมือนไม่ได้ดี ทำดีแล้วเหมือนไม่มีใครเห็นดี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรายังอยากจะทำดีต่อไหม (อยาก)  ดูเราเป็นตัวอย่างก็ได้ เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รูปงามที่สุดแล้วก็อัปลักษณ์ที่สุด
เรามาคุยกันก่อนในเรื่องทั่วๆ ไปที่ท่านมักจะค้างคาใจ เพราะในความคิดของมนุษย์เรามีความเชื่อว่า ทำดีต้องได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรทำดีไม่ได้ดีเราหวั่นไหวกับการทำดีอันนี้  แล้วพอหวั่นไหวมากทำดีบ่อยๆ แล้วยิ่งโดนว่าไม่ดีมากๆ จนไม่เหลืออะไรดีเลย บางทีเราอยากเลิกทำดีไปเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
“จำไว้นะลูก จำไว้นะหนูๆ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว”  เราจำไว้ตลอดชีวิต และเป็นความสมบูรณ์ที่เรารู้สึกว่าคงไม่มีใครมาทำร้ายความเข้าใจในธรรมอันสมบูรณ์ของเราได้ คนที่บอกท่านว่า “การทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว” เหมือนกับคนที่กำลังชี้ให้ท่านเห็นพระจันทร์ แต่คนบางคนมัวแต่ไปมองคนที่ชี้ สนใจแต่ตัวบุคคลผู้ชี้ จึงทำให้เขามองไม่เห็นธรรมะหรือพระจันทร์ที่แท้จริง ส่วนคนบางคนไม่สนใจคนพูดแต่มองไปที่ตัวธรรมะ แล้วคิดว่าดีต้องได้ดี ชั่วต้องได้ชั่ว และเห็นว่าจันทร์ต้องเป็นจันทร์กลมๆ เราก็ยึดมั่นถือมั่นว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แต่ถ้าเรามองให้จริงๆ มองไปให้ถึงพระจันทร์ แล้วใช้เวลามองสักนิดหนึ่ง จะเห็นว่าพระจันทร์นอกจากจะกลมแล้วยังมีพระจันทร์เสี้ยว มองไปนานๆ อีกสักพักหนึ่งก็จะเห็นว่าพระจันทร์หายไป พอมองให้นานอีก พระจันทร์กลับเป็นพระอาทิตย์ เราจึงอย่ามองธรรมะอย่างตายตัว อย่ามองธรรมะแบบพลิกไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเมื่อมีพระจันทร์กลม ก็ต้องมีพระจันทร์เสี้ยว เมื่อมีพระจันทร์เสี้ยวก็ต้องไม่มีพระจันทร์ แต่จริงๆ มีพระจันทร์ไหม (มี)  นั่นแปลว่า เมื่อทำดีได้ดีเหมือนพระจันทร์กลม เมื่อทำดีแล้วได้ดีบ้าง ไม่ได้ดีบ้างเปรียบเหมือนจันทร์เสี้ยว เมื่อทำดีคนไม่เห็นในความดีเปรียบเหมือนพระจันทร์ที่ถูกเมฆบดบัง แต่ความดีของพระจันทร์ยังอยู่ไหม (อยู่)  รอวันหนึ่งที่พระจันทร์กลับมาเปล่งแสงอีกครั้งหนึ่ง
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราทำดีก็ตาม จงดูแบบพระจันทร์ไว้ก็ได้ เป็นธรรมดาที่วันนี้ทำแล้วอิ่มใจ วันนี้ทำแล้วโดนคนว่าก็อิ่มใจได้แค่นิดเดียว หรือวันนี้ทำแล้วไม่เหลือดีให้อิ่มใจเลยก็เพราะว่ามีเมฆมาบัง แต่จะยอมแพ้ไหม ต้องไม่ยอมแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้นบางครั้งทำดีคนเดียวทำให้เราดูยิ่งใหญ่ อิ่มเอิบใจ แต่บางครั้งเราก็ต้องรู้จักทำดีร่วมกับผู้อื่น และบางครั้งเราก็ต้องรู้จักทำดีแบบปิดทองหลังพระ ใช่ไหม (ใช่)
เห็นไหมว่าจันทร์กลม จันทร์เสี้ยว จันทร์ถูกเมฆบัง ยังให้แง่คิดเราได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ การทำดีก็คือบางครั้งทำกับคนด้วยกัน แต่บางครั้งทำกับสิ่งที่มีแค่ครึ่งความเป็นคน และบางครั้งทำกับสิ่งที่ไม่เหลือตัวตนของคน เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แน่ใจหรือ นั่นก็คือท่านต้องรู้จักทำดีกับคน บางครั้งต้องรู้จักทำดีกับสรรพสัตว์ และบางครั้งต้องรู้จักทำดีกับวิญญาณที่ไร้ร่างกาย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเรามองการทำความดีหนึ่งอย่าง อย่ามองแค่หนึ่งแล้วเป็นหนึ่ง แต่จงสามารถขยายความรู้ความเข้าใจให้ได้มากกว่าหนึ่ง และเราจะเป็นคนที่สามารถอยู่บนโลกนี้แล้วเห็นความเป็นจริงได้อย่างถ่องแท้ ไม่ถูกความรู้บดบังปัญญา  
ฉะนั้นถ้าต่อไปทำดีแล้วโดนว่าก็คิดเสียว่าเป็นจันทร์ (เสี้ยว)  ทำดีแล้วไม่มีใครเห็นก็คิดว่าเป็นจันทร์ (ถูกเมฆบัง)  หรือบางครั้งต้องรู้จักทำดีกับคน และบางครั้งก็ต้องรู้จักทำดีกับ (สรรพสัตว์)  และบางครั้งก็ต้องรู้จักทำบุญทำทานอุทิศให้กับ (วิญญาณ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางครั้งมนุษย์มักจะมีความรู้ความเข้าใจว่าบุญทานที่ยิ่งใหญ่ต้องประกอบไปด้วยสามอย่างทั้งคนเริ่มต้น และสามอย่างของคนรับเคยได้ยินไหม บริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และบริสุทธิ์ทั้งผู้รับ จึงจะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์อย่างแท้จริง นั่นก็คือก่อนให้ ระหว่างให้ และให้ไปแล้วต้องจิตเบิกบาน ไม่เสียใจภายหลัง และคนที่จะให้ต้องเป็นคนที่ปราศจากซึ่งโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าเรายึดมั่นในคำสอนนี้ เราคงหาคนทำบุญทำทานไม่ได้เลยจริงไหม “ถ้าฉันจะทำทานต้องทำทานที่ยิ่งใหญ่ทานเล็กๆ ไม่เอา” แล้วชีวิตนี้จะได้ทำทานไหม คงไม่ได้ทำ ฉะนั้นเล็กๆ เราก็ต้องรู้จักที่จะทำ อย่าปล่อยให้ความรู้บดบังความจริงแท้ อย่าปล่อยให้กลายเป็นคนที่สิ่งเล็กๆ ไม่รู้จักกระทำ เพราะบุญเล็กๆ น้อยๆ ทำบ่อยๆ สักวันยังมีวันเต็มและยิ่งใหญ่ได้ ความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ ที่รู้จักเมตตาต่อสรรพสัตว์สักวันก็ย่อมขยายไปสู่ผู้คนได้ จริงหรือไม่ (จริง)  คนบางคนทำบุญแต่กับพระ กับมนุษย์เดินดินด้วยกันไม่ยอมทำ เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  คนบางคนเลือกทำดีแต่อ่อนน้อมถ่อมตนกับคนใหญ่โต แต่กับเด็กๆ กลับขาดความเมตตากรุณา เช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง  ฉะนั้นวันใดจันทร์จะเต็ม วันใดจันทร์จะแหว่ง หรือวันใดจะไร้จันทร์ก็จงรู้จักที่จะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี ทำได้หรือเปล่า (ได้)  แต่คงจะยากหน่อยนะ  เพราะอะไรจึงยาก มนุษย์ทำบุญมักหวังผลใช่ไหม (ใช่)  ทำสิบบาทแต่ขอเกือบร้อยบาท   ทำร้อยบาทแต่ขอเกือบพันบาท
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญยังเป็นบุญที่เจือไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าทำโดยไม่หวังผล ทำโดยจะได้ลดความตระหนี่ถี่เหนียว ทำเพื่อจะได้ลดความยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สิน บุญนั้นก็สามารถกลายเป็นกุศลได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าบุญนั้นยังเจือไปด้วยความหลง ความโลภ ความโกรธ บุญนั้นก็เป็นบุญที่เจือไปด้วยอกุศล ไม่บริสุทธิ์อย่างถ่องแท้
มนุษย์มักจะพูดว่าคนทุกคนเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมดีและก็กรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมดีทำอย่างไรถึงจะดีท่านรู้ แต่กรรมชั่วทำอย่างไรเราถึงจะรับมือกับกรรมชั่วในโลกได้ มนุษย์ทุกคนพยายามทำดีเพื่อหลีกหนีกรรมชั่วใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่ากรรมชั่วไม่น่ากลัวถ้าเมื่อไรที่เรากล้าเผชิญกรรมชั่ว กรรมชั่วกลับทำให้เราสามารถละลายหนี้บาปเวรกรรมได้ และสามารถหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ ถามว่ามนุษย์เกิดมาสิ่งที่มนุษย์ปรารถนาคือมีแต่กรรมดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรทำดีเรารู้ อย่างนั้นถ้าเราถามท่านว่าอะไรคือกรรมชั่วรู้ไหม (รู้)  อย่างเช่นแค่นั่งฟังแล้วคิดว่าไม่น่าเชื่อ แบบนี้ก็จะเป็นในกรรมดีก็มีกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนถ้าเราให้เงินทำบุญเป็นการทำดี  แต่เรารู้สึกว่าคนที่จะรับนั้นจะเอาไปใช้ดีไหมระแวงสงสัย บุญนั้นก็เจือไปด้วยความคลางแคลงสงสัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เวลาเราถูกชมก็ยังมีคนแอบว่าเรา นี่เป็นกรรมย้อนกรรมใช่ไหม (ใช่)  เพราะเราทำอย่างไม่บริสุทธิ์  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอยากให้ชีวิตไม่ต้องเจอกับสิ่งใด เราก็อย่าทำสิ่งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าเรามาพูดทำอย่างไรเรียกว่าทำกรรมดี ท่านคงรู้อยู่แล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ทำอย่างไรล่ะ เมื่อเราต้องเจอกรรมชั่วแล้วเราจะหยุดกรรมนั้นให้สิ้นสุดลงไม่เป็นการก่อเวรก่อกรรมต่อ อยากรู้เรื่องนี้ไหม (อยากรู้)  สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไปไม่ถึงซึ่งความดีอย่างถ่องแท้คือศัตรู และศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือมนุษย์ด้วยกันเองทำร้ายกันเอง ใช่ไหม (ใช่)  เคยถูกคนทำร้ายไหม เคยถูกคนโกง เคยถูกกดขี่ข่มเหง เคยถูกคนดูถูก
เหยียดหยามไหม (เคย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แค้นไหม (แค้น)  อยากหยุดกรรมไหม (อยาก)  เราจะบอกวิธีง่ายๆ ถ้าเขาทำเราจนเจ็บปางตาย ถ้าเขาเอาเราจนหมดตัว ถ้าเขาทำเราจนทุกข์สาหัสสากรรจ์ เราจะเผชิญหน้ากับกรรมนี้อย่างไรดี จะได้จบสิ้นกันเสียที จำฝังใจเลยดีไหม ผูกใจเจ็บเลยดีไหม (ไม่ดี)  แล้วทำอย่างไรดีล่ะ ให้อภัย
แผ่เมตตา ใช่ไหม (ใช่)  แต่กว่าจะทำได้ด่าเขาไปกี่รอบแล้ว ชกเขาไปกี่ทีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า คนที่ถูกฆ่าโดยที่ไม่ผิดอะไรเลย ถูกทำร้ายโดยที่เขาไม่มีความผิดเลย แต่ในชั่วจิตขณะนั้น เขาให้อภัย เขาแผ่เมตตา เขาคือประทีปส่องความสว่างสู่โลกมนุษย์ เขาคือผู้พ้นทุกข์ที่นำให้มนุษย์ได้พ้นทุกข์ เขาคือบุตรของพุทธะโดยแท้จริง
แต่ถ้าเมื่อไรเราถูกเขาฆ่า เบียดเบียนและทำร้าย แต่ใจเรายังมีทิฐิ ใจเรายังแบ่งเขา แบ่งเรา ใจเรายังบอกว่า “นี่เขาด่าเรา ทำเรา นี่เราโกรธเขา” เราก็จะไม่ใช่บุตรพุทธะ เราคือผู้ที่ทำให้โลกมืดมัวต่อไป และไม่ใช่มืดแค่โลกแต่มืดทั้งภพนี้และภพต่อไป เพราะเราทำเวรกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นพระพุทธองค์ในพันๆ ปี เคยมีพระภาคหนึ่งที่ท่านโดนหั่นที่ละท่อนๆ หั่น
ทีละแขน ทีละขา ทีละตัว ทีละช่วง แต่พระพุทธองค์คิดว่าไม่มีเขา ไม่มีเรา เราก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ เพราะเขาทุกข์จึงทำเราทุกข์ มีใครบ้างมีความสุขแล้วทำให้คนอื่นทุกข์ ไม่มี เพราะท่านเห็นว่าเขาก็ทุกข์ ฉะนั้นถ้าเรามีความสุข เผื่อความสุขของเราจะทำให้เขาเบาบางความทุกข์ แม้เขาจะทำตัวเราเจ็บก็ตาม ตัวเราจะไม่โกรธ เราก็จะให้อภัย นั่นคือ
พระพุทธองค์เข้าถึงขันติบารมี และท่านเข้าถึงทานบารมี ศีลสมบูรณ์และกุศลถึงพร้อมในชั่วขณะเดียวที่โดนฆ่า ทำร้าย ฉะนั้นเมื่อไรที่มีชีวิตแล้วเราเจอเคราะห์กรรม เจอคนด่าทอ เจอคนทำร้าย เจอคนทำให้เจ็บปวด เรากำลังจะเดินไปสู่หนทางแห่งการเป็นบุตรพุทธะ เราคือคนที่กำลังจะเดินไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ และทำโลกนี้ให้พ้นทุกข์ได้ จงอย่ากลัวเคราะห์กรรม โชคร้าย น้ำท่วม อย่าลืมว่ามีพระจันทร์เต็มก็ต้องมีพระจันทร์พร่อง
ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น เราจะเป็นผู้ที่สามารถหยุดกระแสกรรมที่เรียกว่า “กรรมชั่ว” ได้ด้วยตัวเราเอง และกรรมชั่วก็จะไม่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เป็นบุตรพุทธะอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างถ่องแท้ จริงไหม (จริง)  ถ้าท่านรู้จักประวัติของเรา เราเคยมีรูปที่สมประกอบ มีรูปที่งดงาม เราสามารถบำเพ็ญได้ถึงขนาดถอดจิตออกไปท่องเที่ยว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรายังตัดจากโลกใบนี้ไม่ได้คือ ความห่วงในกายสังขาร เมื่อเราฝากร่างไว้กับลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์มีเรื่องด่วนต้องเผาร่างเราก่อนที่เราจะกลับ ช่วงนั้นแหละเป็นช่วงที่ทำให้เราได้รู้ว่า สิ้นกายสังขารและสิ้นห่วงในใจคืออะไร สิ้นทุกข์ที่แท้และสว่างโพรงอย่างแท้จริงคืออะไร ฉะนั้นอย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวความเจ็บปวด เพราะความทุกข์และความเจ็บปวด ทำให้เราเข้าถึงชีวิตอย่างถ่องแท้ และเข้าใจถึงสรรพสิ่งในโลกนี้ ทำให้เราได้ดวงตาที่สาม ดวงตาที่เห็นโลก เหนือโลกพ้นมายาทั้งปวง เราเชื่อว่าทุกท่านก็เข้าถึงได้แต่อยู่ที่ว่า มนุษย์มองเห็นชีวิตเป็นอะไร เป็นเพียงเพื่อเกิดมาหาความรู้ หาเงินทอง สะสมให้มากมายและมีความสุขให้เต็มที่ หนีทุกข์ให้พ้น ใช่ไหม (ใช่)  หนีทุกข์อย่างนั้นถูกหรือ หนีทุกข์ที่แท้คืออะไร  
หนีทุกข์ที่แท้คือก้าวเผชิญกับความทุกข์และเอาชนะทุกข์ให้ได้ มองเห็นให้ออกว่าทุกข์คืออะไร ทุกข์มาจากไหน ใช่ไหม (ใช่)  เวลาน้ำท่วม ท่านไม่ซึ้งคำว่า “มีไม่มีก็ทุกข์ไม่ต่างกันหรือ” แถมบางครั้งมีแล้วทุกข์ยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเห็นคนที่มีกระท่อมหลังหนึ่ง มีทีวี มีตู้เย็น นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย เวลาน้ำท่วมหยิบสองอย่าง ทีวี ตู้เย็น หนีน้ำใช่ไหม (ใช่)  แต่บ้านเศรษฐีทุกอย่างมันแพงหมด ไม่รู้จะหยิบอะไรหนีน้ำดี ใช่ไหม (ใช่)  เหตุการณ์นี้เราถึงได้รู้ว่า มีหรือไม่มีก็ทุกข์ไม่ต่างกัน แถมบางทีมีแล้วยังทุกข์และเจ็บมากกว่ากันด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตที่แท้คืออะไร คือหายใจเข้าแล้วไม่ต้องหายใจออกไหม แล้วปัจจุบันนี้เราไม่ใช่เป็นอย่างนี้หรือ มีแต่เอาเข้า เอาเข้า ไม่ต้องเอาออก ใช่ไหม (ใช่)  มีแต่เก็บ เห็นแก่ตัว เอาแต่ตัวเอง ไม่ต้องเสียสละให้ใคร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ตลอดชีวิตหาเงินมาทั้งชีวิตแต่ทำบุญนับครั้งได้ อย่างนี้เรียกว่าคนที่หายใจเข้าแล้วรู้จักหายใจออกไหม (ไม่)  เห็นคนใกล้ตายไหม หายใจเข้าเยอะกว่าหายใจออก ในใจเต็มไปแต่เรื่องอะไร เห็นแก่ตัวแต่ไม่เคยเห็นแก่ผู้คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่ในใจก็เก็บแต่สิ่งเน่าๆ สิ่งดีๆ ไม่ค่อยมี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตคืออะไรหนอ ทำไมมนุษย์กับพุทธะจึงต่างกัน ต่างกันตรงไหนรู้ไหม ต่างกันตรงที่จิตเองนะ จิตหนึ่งตื่นรู้ พ้นแล้ว แต่จิตหนึ่งยังหลงงมงาย งมงายในทรัพย์สินไม่พอ ยังงมงายในตัวตนอีกใช่ไหม (ใช่) ใครคิดว่าตัวเองดีแล้วยกมือขึ้น ว่าอย่างไร ไหนใครคิดว่าตัวเองดีแล้ว ยกมือขึ้น ไม่กล้าหรือ แต่พุทธะเมตตาว่าเมื่อไรที่มนุษย์กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี เมื่อนั้นเขาก็พร้อมที่จะดีและเป็นคนดีได้ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์ยังพูดว่าตัวเองดี เมื่อนั้นเขาจะยังไม่ถึงซึ่งความดี ใช่ไหม (ใช่)  
เราจะบอกให้ท่านรู้ว่าพุทธะต่างจากมนุษย์ตรงไหน แล้วอะไรทำให้พุทธะเป็นพุทธะที่แท้จริง หรืออะไรที่ทำให้มนุษย์เป็นพุทธะได้ ถ้าชีวิตต้องทุกข์แล้วเราจำเป็นต้องทุกข์ไหม (ไม่)  เราเลือกได้ว่าเราจะทุกข์กับความทุกข์ หรือเราจะรู้จักสุขในความทุกข์ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
“คนบำเพ็ญแล้วแจ้งใจไม่แย่แน่ คนเคยแย่เคยหลงปลงย้ำย้ำ”
ท่านเคยได้ยินไหม พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่าทำบุญตอนเช้าด้วยอาหารร้อยหม้อ กลางวันร้อยหม้อ ตกเย็นอีกร้อยหม้อ ก็ยังไม่ประเสริฐและยิ่งใหญ่เท่ากับความเมตตาเพียงน้ำนมหยดเดียว
เห็นไหมว่าความเมตตายังยิ่งใหญ่กว่าทำบุญร้อยหม้อพันหม้อ เพราะจิตเมตตาคือ จิตที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นจิตที่สามารถเห็นแจ้งซึ่งความผิดความถูก รักษาซึ่งสัตยธรรม เพราะจิตเมตตาจึงรู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป
อะไรที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นพุทธะได้ หรือพุทธะกลายเป็นพุทธะที่ยิ่งใหญ่ได้ ท่านรู้ไม่กี่เรื่องเองนะ (กรรมกับบาป)  ขอให้กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าไปกล้าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เหล้ากับบุหรี่ห่างให้ไกลนะ อะไรที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นพุทธะได้ หรือพุทธะกลายเป็นพุทธะที่ยิ่งใหญ่ได้ พูดง่ายๆ คือความเมตตา มหาเมตตา เมตตาที่ไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา เมตตาอย่างเท่าเทียมกัน และเมตตาแม้กระทั่งคนที่ทำร้ายตัวท่าน เพราะคนที่กดเรามากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เราแสงจ้ามากเท่านั้น ท่านดูง่ายๆ เหมือนพระจันทร์ ถ้ารอบๆ มืดมากเท่าไร พระจันทร์ยิ่งเด่น ยิ่งสว่างมากเท่านั้น คนอยู่รอบข้างเราไม่ดีมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้เราได้ดีและเด่นมากขึ้นเท่านั้น แต่กลัวอย่างเดียวกลัวมนุษย์นั้นง่ายที่จะไหลไปตามอิทธิพลแวดล้อมกายใจ สิ่งที่ทำให้พุทธะเป็นพุทธะคือเมื่อมองเห็นความเป็นหนึ่งท่านจึงสิ้นความขื่นขมยินดี เมื่อท่านมองเห็นโลกนี้เปลี่ยนแปลง ท่านจึงสิ้นความยึดมั่นถือมั่น สองอย่างนี้เองที่ทำให้ท่านกลายเป็นพระพุทธะได้ แต่ถ้าพูดจนจบท่านก็ยังไม่ตื่น ใช่ไหม
“เมื่อเห็นว่าสรรพสิ่งคือหนึ่งเดียวกัน จึงสิ้นซึ่งความชื่นชมยินดีและเศร้าเสียใจ เมื่อเห็นว่าโลกยังคงเปลี่ยนแปลง จึงสิ้นความยึดมั่นถือมั่นใดๆ”
ถามว่า สองอย่างนี้มนุษย์เคยมองเห็นไหม เคยแต่ยังเข้าไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  (การยึดมั่นถือมั่นคืออะไร)  อยากรู้คำตอบไหม (อยาก)  โลกนี้ฟ้ากับดินเหมือนเตาหลอม ธรรมชาติคือ ผู้สร้างมนุษย์ เรามองเห็นสรรพสิ่งเราพยายามจ้องมองมัน เราคิดว่ามันต้องเปลี่ยนแปลง แต่ยิ่งจ้องก็ไม่เห็นว่าเปลี่ยน แต่เมื่อไรเราลืมจ้องเมื่อนั้นเราเริ่มรู้ว่ามันเปลี่ยน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อท่านเห็นว่าในความแน่นอนมีความไม่แน่นอน ในความไม่แน่นอนมีความแน่นอนอยู่ แม้จะมีอะไรมากระทบมากมายก็กระทบเพียงกายแต่ไม่กระทบใจ ความเปลี่ยนแปลงคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกๆ สิ่ง โลกมันเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย เราจะยึดมั่นถือมั่นให้ทุกข์ทำไมเล่า เหมือนเราถามท่าน “น้ำอึกเดียวดื่มนิดเดียวก็หมด แต่ถ้าเกิดว่าน้ำเป็นโอ่งกับน้ำอึกเดียว ท่านเลือกน้ำอันใด” (น้ำอึกเดียว)  จริงหรือ เวลาหิวน้ำอึกเดียวก็ไม่พอ เวลาอิ่มน้ำอึกเดียวก็เหลือแหล่  ในทุกสรรพสิ่งถ้าเราไม่มืดบอดจริงๆ มนุษย์พยายามยึดมั่นเงินทองยึดมั่นชื่อเสียง ยึดมั่นเกียรติยศ ยึดมั่นตัวตน แต่มนุษย์มองเห็นไหมว่า สิ่งที่มนุษย์ยึดมั่นนั้นแท้จริงแล้ว หาความเที่ยงแท้ไม่ได้
มองเห็นไหม ไม่เห็นใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นถามว่าระหว่างดอกไม้กับผลไม้ให้เราจับยึด เราจับยึดอะไร (ผลไม้)  เพราะอะไร เพราะคิดว่าดอกไม้ดูอายุสั้น ผลไม้ดูอายุยาวกว่าแล้วกินมีประโยชน์กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างให้มนุษย์เป็นที่พึ่งพิงเรา กับใช้ไม้เท้าเป็นที่พึ่งพิงเรา ท่านเลือกสิ่งใด (ไม้เท้า)  ทำไมเลือกไม้เท้าไม่เลือกมนุษย์ ทำไมเลือกมนุษย์ไม่เลือกไม้เท้า คนบางคนถ้ารู้จักตัวมนุษย์อย่างถ่องแท้จะเลือกไม้เท้า เพราะไม้เท้าพึ่งได้มากกว่าตัวคน เพราะคนมีอะไรที่เราไม่กล้าพึ่ง นั่นคือหัวใจที่มักเปลี่ยนแปลง ตัวอยู่แต่ใจไม่อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเหมือนดี แต่ใจกลับหามีดีที่มั่นใจไม่ได้  ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้พูดกับเราดี แต่พอลับหลังเรา มีใครบ้างไม่นินทา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อมนุษย์เห็นว่ามนุษย์เปลี่ยนแปลง อะไรที่มนุษย์ควรยึดพึ่ง ไม้หรือ บางทีเราก็ว่าไม้ยึดพึ่งได้ แต่ถึงเวลาถ้าวางไม่ดีรักษาไม่ดีไม้ก็พึ่งไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าใจถึงถ่องแท้ ตัวเรายึดพึ่งได้ไหม (คิดได้สองอย่าง)  ก็แปลว่ามีความไม่แน่ เมื่อรู้ไม่แน่เราจะยึดทำไม เมื่อไม่ยึดเราก็ปล่อยวาง เมื่อปล่อยวางนั่นก็คือ ประโยคที่เราบอกเมื่อสักครู่นี้ เมื่อเห็นโลกยังเปลี่ยนแปลง เราจึงสิ้นความยึดมั่นถือมั่น เข้าใจหรือยัง
มนุษย์เราก็ไม่ต่างกัน เราว่าบางทีลูกเป็นที่พึ่งได้ พ่อแม่พึ่งได้ ถ้าวันหนึ่งพ่อแม่บุญสั้นชะตาชีวิตสั้นเราพึ่งใครเล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยคิดว่าร่างกายเราพึ่งได้ ร่างกายคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข แต่เมื่อร่างกายมีความเจ็บป่วย มีความทุกข์ มีโรค เราพึ่งสิ่งใด สิ่งที่พึ่งได้แท้จริงคืออะไร สิ่งที่พึ่งได้แท้จริงคือธรรมะ ธรรมะที่สอนให้มนุษย์รู้ว่าโลกนี้ไม่เที่ยง โลกนี้เป็นทุกข์ และโลกนี้ถึงที่สุดต้องเดินไปสู่ความว่างเปล่า
หรือเรียกง่ายๆ ว่าวันใดมีพระจันทร์เต็ม วันนั้นมีพระจันทร์พร่อง วันใดมีพระจันทร์พร่อง วันนั้นอาจจะไม่มีพระจันทร์ เมื่อเรามองเห็นเช่นนี้ เราจึงเห็นว่า เกิดหรือตาย สูงหรือต่ำ ไม่ใช่แตกต่างกันแต่เป็นสิ่งเดียวกัน มองให้ดีๆ แล้วเราจะเห็นว่า มันคือสิ่งเดียวกัน แต่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นกำหนดกฎเกณฑ์ จึงทำให้มันต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่แท้ที่จริงแล้ว เมื่อความตายมาจ่อตรงหน้า ท่านจึงได้รู้ว่าเกิดกับตายคือเรื่องเรื่องเดียวกัน มีเกิดก็มีตาย และดูเหมือนตายแล้วจะจบสิ้น ไม่ใช่ ความตายก็เหมือนเมฆบังพระจันทร์ แค่พระจันทร์หายไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อปัจจัยถึงพร้อมพระจันทร์ก็จะกลับมาใหม่ เหมือนมนุษย์คิดว่าทำไมต้องทำดีไม่จำเป็น ทำชั่วไปเถอะ เดี๋ยวก็ตายแล้ว แต่พอตายไปแล้วเมฆบดบัง เมื่อถึงคราวกลับมาครบกรรมครบบุญ ท่านอาจจะต้องกลับมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ แล้วแต่สิ่งที่ท่านสรรค์สร้างและกำหนดกฎเกณฑ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่าสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกัน เราจึงสิ้นความชื่นชมยินดี แต่เราพูดจนจบแล้วเราก็เชื่อว่า มีทั้งบัวใต้น้ำ แล้วก็บัวปิ่มน้ำ แล้วก็บัวพ้นน้ำ
ใช่ไหม (ใช่)  ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจธรรมารมณ์ที่แท้จริง เข้าใจสรรพสิ่งในโลกแท้จริง เราจะไม่ถูกมายาบนโลกหลอกลวง เราจะไม่ดีใจเลยที่เมื่อมีคนชมว่าเก่งจริงๆ นะ เราจะไม่เสียใจเลยที่มีคนชมว่าแย่จริงๆ นะ เพราะคำชมกับคำด่า มันก็ไม่ต่างอะไรกัน จริงไหม เหมือนกัน ได้มากับการเสียไปต่างกันหรือ
เรากับท่านต่างกันเพียงแค่กาย แต่จิตท่านจิตเราเหมือนกันได้
อยู่ที่ว่าท่านมีปัญญาหยั่งรู้ได้หรือยัง รู้ตื่นหรือยัง เพราะความไม่เชื่อ เหมือนเรากำลังชี้ให้ท่านเห็นพระจันทร์ที่แท้จริง พระจันทร์ที่มากกว่าพระจันทร์ แต่ท่านไม่ได้มองพระจันทร์ ท่านมองแต่เรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามนุษย์มองให้ดีๆ ให้ลึกซึ้ง ความเป็นจริงของสรรพสิ่งในโลกนี้จะไม่มีทางบดบังดวงปัญญาที่แท้ได้ ความเป็นจริงของโลกนี้อะไรที่ซ่อนอยู่ในนั้น คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และความว่างเปล่า ไม่รู้เลยหรือและต้องวิ่งวนกับสิ่งนี้ไปอีกเท่าไร
ฉะนั้นเราจึงอยากถามท่านเป็นเรื่องสุดท้ายว่า ชีวิตคือสิ่งใด หาเงินไปวันๆ หรือมีร่างกายเพื่อเป็นกองเก็บความรู้ เป็นขุมทรัพย์ที่เก็บเงินทอง หรือมีร่างกายเพื่อเข้าใจเรียนรู้ดำรงอยู่และปล่อยวาง หรือมีชีวิตเพื่อช่วยเขาก็คือช่วยเรา ให้เขาก็คือให้เรา หรือมีชีวิตเพื่อกินเขาแล้วเขาก็กินเรา คิดให้ดีๆ นะ ทุกครั้งที่เราให้คนอื่นไป คือการได้ให้ตัวเอง ทุกครั้งที่เรากินเขาไป เรากำลังกินความเป็นคนของตัวเอง พุทธะเป็นผู้ที่ชี้หนทางเท่านั้น ส่วนคนจะเดินไปให้ถึงเส้นทางพ้นทุกข์คือตัวท่านเอง ยังมีคนแอบหลับได้ตอนที่เราอยู่ อย่าหัวเราะเลย เพราะท่านก็คือคนที่ยังหลับอยู่นั่นเอง ตาตื่นแต่ใจยังหลับใหล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ท่านคงไม่มัวแต่หาเงินทองหรอก แต่ท่านควรจะทำตัวเองให้พ้นทุกข์ และก็ช่วยคนรอบข้างให้พ้นทุกข์ จำไว้นะท่านคือบุตรแห่งพุทธะได้ ท่านคือแสงแห่งตะเกียงที่นำความพ้นทุกข์ให้มนุษย์ในโลกและตนเองได้ ฉะนั้นอย่ากลัวเคราะห์กรรมและโชคร้าย เพราะเคราะห์กรรมและโชคร้ายคือสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นบุตรพุทธะอย่างแท้จริง และสิ่งที่เรียกว่า เคราะห์กรรมและโชคร้าย คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ได้พ้นทุกข์และนำพาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ขอเพียงมีเมตตา อภัย ขันติ อดทน ด้วยศีลธรรมในใจตน
วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ ทุกข์แล้วอย่าทุกข์อีกเลย ทุกข์แล้วต้องมีปัญญารู้ตื่นและพ้นทุกข์ด้วยตนเองประเสริฐกว่า ท่านก็ฉลาดไม่ได้โง่ เราเชื่อว่าพุทธะที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้ฉลาด แต่คนฉลาดจะทำตนเองให้จมอยู่กับทุกข์หรือหาทางพ้นทุกข์ คิดเอาเองดีไหม ฉะนั้นวันนี้จะนั่งฟังอย่างคนที่มีความสุขหรือนั่งฟังอย่างคนอมทุกข์ อยู่ที่ตัวท่านแล้วนะ เชื่อเถอะว่าทุกข์แล้วยังมีทุกข์ที่น่ากลัวกว่านี้อีก จงเอาชนะทุกข์เล็กๆ นี้ให้ได้ มันน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีกนะ และทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร คือการสร้างกรรมให้ตัวเองต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่ไหม (ใช่)  กรรมที่ทำให้ท่านต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก แล้วกรรมนั้นเกิดจากอะไร ก็เกิดจากการที่เป็นคนที่รักษาศีลได้ไม่ครบ ไม่รู้จักปล่อยวางใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่เคืองแค้นผูกใจเจ็บ  
ไปแล้วนะมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ถึงที่สุดแล้วร่างกายนี้ก็ต้องกลับไปสู่ความว่างเปล่า แต่จำไว้นะจันทร์อาจถูกเมฆบังในเวลาหนึ่ง แต่เมื่อบุญถึงพร้อม จันทร์ก็จะกลับมาใหม่ได้ในอีกคราหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจสิ่งที่เราหมายถึงไหม


วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนเท่ากันรู้สูงต่ำใช่ปัญหา มีปัญญาเท่ากันแต่ต้องฝึกฝน
เกิดเป็นคนต่างคนต่างบำเพ็ญตน นิ่มน้อมที่อยู่ต่ำล้นคนการุณย์
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเต๋อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนยังง่วงนอนอีกไหม
ศิษย์ชอบหลงทางไป กับส่วนดีของตน ศิษย์ชอบหลงกังวล ควันลางลางไกลไกล เจ้าแค่ชอบบำเพ็ญ ไม่ฝึกตัวข้างใน บอกแค่ให้ทำใจ ศิษย์ยังไม่ปลง
* ตื่นจากความฝันที่ ฝังตัวมานาน เพราะฝันไม่ได้มีสักอย่าง สร้างใจศิษย์ให้ตรง กิเลสตัณหา ฟุ้งหาใจรุนแรง ถึงแย้งในเดิมทีแต่แล้วโดน กัดไปและเซาะไป ศิษย์ยังไม่ทาน ทนพอ
** ศิษย์ต้องหันมาดู จิตหนึ่งนี้ในตน โกรธทีละคนคน จนเดียวดายลำพัง หากยังไม่บำเพ็ญ ย่อมเกิดใจชอบชัง ฝึกได้บ้างบางบาง ตั้งไปล้มไป  (ซ้ำ *)
กลัวใจศิษย์จะสับสน น้ำล้นแล้วล้นยังเทอีก ศิษย์จะต้องเหนื่อยอีกสักเท่าไหร่ ศิษย์จะถึงพอ  (ซ้ำ *, ***)
*** เจ้าจงรีบรู้ตัว แก่ตัวจะสายไป ตื่นกันก็ลุยทันที
ชื่อเพลง : อย่าหลงตัวเอง
ทำนองเพลง : อย่าฝากความหวัง
หมายเหตุ  ประโยคที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเป็นผู้แต่ง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อเราอยากอยู่กับคนหมู่มากและเป็นที่รักของคนหมู่มาก ก็จงรู้จักคลายปมที่ยุ่งเหยิง จางแสงที่แสบจ้าและอยู่ร่วมกับฝุ่นธุลี” เคยได้ยินคำนี้ไหม (ไม่เคย)  แต่อาจารย์ก็ไม่ใช่ปราชญ์เมธี อาจารย์จึงขอเลือกประโยคเดียวคือ “อยู่ร่วมกับฝุ่นธุลี” อยู่ร่วมกับฝุ่นธุลีคือการกดตัวเองให้ต่ำ คือการยอมเป็นคนโง่ คนซื่อ อ่อนน้อมถ่อมตน เพราะจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตนและจิตใจที่ยอมให้ตัวเองเป็นคนโง่ คนซื่อ ย่อมมีหลายๆ คนที่อยากจะชิดใกล้ และแนะนำสั่งสอน ย่อมมีหลายๆ คนที่อยากจะบอกกล่าวให้ความรู้ แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นเช่นนั้นไหม ชอบทำตัวโดดเด่น ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ไม่ยอมอยู่ต่ำเตี้ยกว่าใคร อย่างนั้นศิษย์ก็ยังไม่ใช่ศิษย์ของอาจารย์จี้กง ถ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ต้องยอมโง่ ยอมอ่อนน้อมถ่อมตนทำได้ไหม ไม่
ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนเกินไปได้หรือเปล่า
ศิษย์เอ๋ย ถ้าเราคิดว่า “ฉันแน่ ฉันเก่ง มีอะไรไหม”  ท่าทีแบบนี้ใครอยากจะบอกอะไรดีๆ ไหม (ไม่มี)  ถ้าเราเป็นคนฉลาดแต่เรายอมเป็นคนโง่ เวลาเราทำอะไรผิด เขาก็จะรีบบอก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่คนสมัยนี้ยอมโง่ไหม ไม่ยอมหรอก เรื่องอะไรจะโง่ โง่แล้วเดี๋ยวโดนหลอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  โง่แล้วโดนหลอก แต่ว่าโดนหลอกทีหนึ่งแล้วฉลาดทีหนึ่ง ดีกว่าทำตัวฉลาดแต่โง่ไม่รู้ตัว ใช่ไหม (ใช่) ถ้าคนในโลกนี้มีแต่คนฉลาดหมด ไม่มีคนโง่ แล้วเราจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมไหม (ไม่ได้)  แล้วจะมีใครมาบอกอะไรดีๆ มาเตือนอะไรเราไหม (ไม่มี)  เพราะบางทียังไม่ทันอ้าปาก หน้าเราก็บอกบุญไม่รับแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้หน้าศิษย์บอกบุญไม่รับ ที่ฟังไปมันก็ไม่ได้เข้าหัวเลยถูกหรือเปล่า (ถูก)  มันแค่ผ่านหูซ้ายแล้วทะลุ (หูขวา)  แต่เข้าไม่ถึง (ใจ)  จริงหรือไม่ (จริง)  เข้าไม่ถึงใจ ฉะนั้นจะไปว่าเขาพูดไม่โดนใจไม่ได้นะ แต่หน้าเรามันไม่ให้เลย หน้าเรามันไม่เอาอะไรเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ในโลกนี้สิ่งใดหรือที่คุมยากที่สุด (จิตใจ)  ใจมนุษย์คุมยากสุดจริงหรือ (จริง)  อาจารย์ขอถามหน่อยนะ ถ้าใจมนุษย์คุมยากทำไมศิษย์ถึงโดนหลอกอยู่บ่อยๆ
ใจมนุษย์แท้จริงนั้นคุมยาก แต่ใจมนุษย์อิงแอบไปด้วยนิสัยความเป็นตัวตนจึงง่ายที่จะถูกหลอกลวง  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เห็นสัตว์ที่ดุร้าย ถ้าเราจับจุดได้เราก็เอามันอยู่หมัด เพราะเราเห็นพฤติกรรมเห็นนิสัยเห็นความเคยชินของมัน สัตว์ที่ว่องไวที่สุด ปราดเปรียวที่สุด เร็วที่สุด กระโดดไวที่สุด พอเราจับจุดมันได้ว่ามันแพ้อะไร ศิษย์ก็จับตัวมันอยู่และใช้งานได้เป็น เสือที่ดุร้ายยังสิ้นลายได้ด้วยน้ำมือมนุษย์ ฉะนั้นหัวใจของคน คนถ้ามีนิสัยความเคยชินก็อาจจะถูกจับ และหลอกใช้ได้โดยไม่รู้ตัว  
พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์รู้ซึ้งถึงความสงบนิ่งอันแท้จริง สิ่งใดๆ ก็คุมเราไม่ได้ อะไรก็มาทำให้เราวุ่นวายไม่ออก” แต่เราอยู่ในโลกนี้เรามักวุ่นไปตามคนพูด เหนื่อยไปตามคนด่า แล้วก็วิ่งไปตามกระแสโลก เพราะว่าเราไม่สามารถสงบใจได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราสงบใจได้อะไรก็ตีโต้ไม่ได้ ถ้าหัวใจเราว่างได้อย่างแท้จริงอะไรก็ยึดกุมเราไม่อยู่ เพราะเราคือส่วนหนึ่งแห่งธรรมชาติ จะเดินจะเหินก็ไม่ต้องกลัวทุกข์ไม่กลัวสุข แต่ศิษย์จะเข้าใจตรงนี้หรือเปล่ายังเป็นเรื่องยากอยู่ดี สงบก็ยากแล้วให้ว่างเลยยิ่งยากกว่า
โง่แล้วเสียศักดิ์ศรีหรือ  กว่าศิษย์จะได้เป็นคนฉลาด ศิษย์ก็ต้องโง่ที่จะเรียนรู้กับคนที่ฉลาดก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากบำเพ็ญธรรมยุคนี้เป็นธรรมดาที่ต้องโดนดูถูก เป็นธรรมดาที่ต้องยอมอยู่เบื้องต่ำ แต่เมื่อยอมอยู่เบื้องต่ำ  ยอมถูกคนดูถูก สักวันหนึ่งถ้าศิษย์ยังมุ่งมั่นในความดี คนจะเข้าใจความหมายของการบำเพ็ญของศิษย์   ศิษย์ดูประวัติอาจารย์ ทุกครั้งที่อาจารย์จะช่วยคน ต้องโดนดูถูกก่อนเป็นครั้งแรกเสมอ ทุกครั้งที่อาจารย์จะช่วยใครต้องโดนดูหมิ่นก่อนบ่อยๆ ไป แต่เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาจึงรู้ว่าสิ่งที่ต่ำสิ่งที่สกปรกก็มีคุณค่าความดีงามอยู่ เพราะไม่มีดินที่ต่ำหรือจะมีฟ้าที่สูงส่ง เพราะไม่มีคนที่กล้าเกลือกกลั้วอยู่กับคนที่ทุกข์ หรือจะมีพุทธะที่ไปสู่แดนฟ้า
มีศิษย์หลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นคนดี ทำไมเราต้องฝึกฝนบำเพ็ญ และต้องช่วยเหลือคน ในเมื่อตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ทำไมยังต้องไปช่วยคนอื่นอีก ศิษย์สงสัยไหม พอมาตอนนี้มานั่งฟังเป็นคนดียังไม่พอต้องบำเพ็ญอีกนะ บำเพ็ญคืออะไร แล้วทำไมต้องบำเพ็ญ เป็นคนดีก็ไม่เข้าใจแล้วนะ แล้วยังต้องบำเพ็ญและช่วยคนอีก ตัวเองยังไม่รอดแล้วจะไปช่วยใคร
ศิษย์อย่าลืมนะ คำถามที่ตัวเองคิดขึ้นมารอให้คนอื่นตอบก็
คลายปมเราได้แค่ชั่วคราว แต่ถ้าปมนั้นเกิดมาจากตัวศิษย์เอง แล้วศิษย์คลายด้วยตัวเอง เชื่อไหมว่ามันจะเป็นปมที่คลายได้ถาวรและไม่กลับมาผูกใหม่ จริงไหม (จริง)  คุณค่ามันต่างกันนะ เหมือนเวลาเรามีปัญหา รอคนแก้ รอคนช่วย ก็ช่วยได้แค่ครั้งคราว แต่ถ้าเราไม่ได้แก้ด้วยตัวเอง เราไม่ได้เห็นปัญหาด้วยตัวเองแล้วแก้ด้วยตัวเอง เราก็ยังกลับมา ต้องมาผูกใหม่ แต่ถ้าเราเห็นด้วยตัวเอง แก้ด้วยตัวเอง เราจะไม่ผูกมันอีกเพราะมันจะจำได้ไม่ลืม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ก่อนที่อาจารย์จะให้คำตอบ อาจารย์ก็เลยอยากถามศิษย์ว่า  ทำไมคนเราต้องเป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดีหนึ่งคน คนข้างๆ ก็อาจอยากจะเป็นคนดีกับเราด้วย แต่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเราตั้งใจจะเป็นคนดีและเวลาเราทำดี คนมักจะบอกว่า “เธอดีไปเถอะเรื่องของเธอ ฉันยังเลวอยู่” ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมคนเราต้องเป็นคนดี ก็เหมือนศิษย์ยืนอยู่อย่างนี้ ยืนไปเรื่อย แล้วอาจารย์ก็ไม่สนใจว่าจะต้องทำดี ศิษย์ก็จะยืนไปเรื่อยๆ อยากยืนก็ยืนไป มันเกี่ยวอะไรกัน ยืนไปเลยตัวเธอก็ตัวเธอ ตัวฉันก็ตัวฉันใช่ไหม
อาจารย์ยกตัวอย่างอีกหนึ่งตัวอย่าง ถ้ามีคนสองคนทำงานกับศิษย์ คนหนึ่งขยันตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่เคยอู้ไม่เคยพักทำทุกอย่างไม่เคยพัก สั่งให้ทำอะไรก็ทำเสร็จสรรพ แต่อีกคนหนึ่งอู้ได้เป็นอู้ ทิ้งได้เป็นทิ้ง โดดได้เป็นโดด พอถึงเวลาให้เงิน เราให้เงินสองคนเท่ากันเลย ศิษย์ว่าดีไหม (ไม่ดี)
ศิษย์รู้ไหมว่าการตัดสินใจผิดแค่ครั้งเดียว ทำให้ศิษย์กำลังฆ่าคนโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะเรามองไม่เห็นคุณค่าของความดีที่มีอยู่ในตัวคน ศิษย์จะบอกว่า “ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันมีหน้าที่ให้เงินเดือน ฉันเป็นหัวหน้าเขา ถึงเวลาก็ให้เงินเดือน ใครขยันใครขี้เกียจ เกี่ยวกับฉันไหม ไม่เกี่ยว แกดี ก็ดีไป แกชั่วก็ชั่วไป ไม่เกี่ยวกับฉัน” ดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นทำไมจึงต้องดี ตอบคำถามอาจารย์ได้หรือยัง
เวลาเราเคารพคนในสังคม เราเคารพที่อะไรบ้าง ๑. คือความรู้
๒. คือตำแหน่งหน้าที่  ๓. คืออายุ
อายุมากๆ เราก็รู้สึกต้องเคารพไว้ก่อน ตำแหน่งดี คนนี้เป็นหัวหน้า ก็ตามเคารพไว้ก่อน คนมีความรู้  เราเคารพไหม เราก็เคารพ ถ้าตำแหน่งดีมีความรู้ดี มีอายุ แต่ไม่มีธรรมะเลยสักข้อ เคารพไหม (ไม่)
ศิษย์เคยได้ยินสำนวนปราชญ์โบราณกล่าวไว้ไหม ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมเสือแล้ว ปล่อยเสือออกมา มันจะกัดผู้คน ยิ่งถ้าเราติดปีกให้เสือมันจะไม่กัดคนแค่ในป่า แต่จะมากัดคนในเมือง
ฉะนั้นคนที่ร้ายไม่มีศีลธรรมแต่กลับมีตำแหน่ง แล้วเรายังเคารพกราบไหว้และเชื่อฟัง ศิษย์ไม่เท่ากับติดปีกให้เสือมาฆ่าคนในเมืองหรือ พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราต้องดีและต้องถนอมคนดี
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ  ศิษย์คิดว่าคนร้ายคนหนึ่งสามารถฆ่าคนดีได้กี่คน (หลายคน)  แล้วทำไมคนถึงร้ายได้ เพราะขาดความดี ศีลธรรม เหมือนตัวบุคคลเมื่อพูดผิดแค่ครั้งเดียว เชื่อไหมทำให้เจ็บตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีวันลืมเลย ถ้าเราพูดอะไรไม่ระวัง คำพูดเราแค่หนึ่งครั้งสามารถทำให้คนตายทั้งเป็นได้ตลอดชีวิต คนยิ่งชั่วร้ายมีความโลภ ความโกรธ ความหลงมากเท่าไร สังคมยิ่งปั่นป่วนมากเท่านั้น
แล้วทำไมเราต้องบำเพ็ญ เพราะว่าจิตของมนุษย์เหมือนนาผืนหนึ่ง ถ้าหมั่นบ่มเพาะดูแลก็จะเติบโต แต่ถ้าทอดทิ้งไม่ดูแลก็จะไม่มีอะไรให้เกิดขึ้น
จิตที่เป็นเนื้อในที่เราต้องบ่มเพาะคืออะไร ลองนึกในใจว่าชีวิตนี้ขอเพียงซื่อตรง บ่มเพาะความซื่อตรงอยู่ในใจ ศิษย์เชื่อไหมว่าความซื่อตรงนี่แหละจะเติบโตและจะยิ่งใหญ่ทำให้เรารู้สึกละอายไม่กล้าทำผิด
เพราะถ้าเราซื่อตรง เราก็จะไม่ปากว่าตาขยิบ วันนี้ว่าเขาแต่พอเจอเขาเราก็สวัสดี เราจะเป็นอย่างนั้นไหม ไม่เป็น ใช่หรือไม่ เราคงบอกเขาตรงๆ ว่าอย่าทำอย่างนั้นจะดูน่าเกลียด หรือถ้าเรามีหัวใจแห่งความเมตตาอยู่ในใจ ศิษย์เชื่อไหมว่าศิษย์จะไม่กล้าทำร้ายใคร  
ฉะนั้นจำไว้ว่า “ทำไมต้องบำเพ็ญ” เพราะนิสัยและจิตใจคนเหมือนนา ถ้าบ่มเพาะจะเติบโต ถ้าทอดทิ้งจะไม่มีวันมีสิ่งนั้น แล้วสิ่งที่ศิษย์สามารถบ่มเพาะได้คืออะไร เมตตามีไหม (มี)  เห็นคนน่าสงสารเราอยากช่วยไหม (อยาก)  เวลาทำผิดใจเราเต้นแรงไหม ตาจะลอกแลกไหม ทำเสร็จแล้วเราก็กลัวว่าจะมีคนรู้ไหม (ใช่)
ฉะนั้นจำไว้นะว่า ทำไมเราถึงต้องบำเพ็ญ เพราะหัวใจของมนุษย์มีใจเมตตาอยู่ มีนโนธรรมสำนึกอยู่ มีจิตใจที่รู้จักเคารพนบนอบอยู่ และมีหัวใจที่ซื่อตรงอยู่  ฉะนั้นถ้าจะซื่อตรงก็ต้องรู้จักฉลาดในการซื่อตรง เพราะคำตรงๆ ฟังแล้วบางทีมันก็เจ็บ ทำให้เราตายไวได้เหมือนกัน ใช่ไหม
ศิษย์เคยสงสัยไหม ทำไมเราต้องช่วยคน ตัวเราเอาตัวเองก็ยังไม่รอดเลย อย่างที่เมื่อสักครู่อาจารย์บอกศิษย์ “หนึ่งคนร้ายสามารถทำลายร้อยคนดี” แต่ถ้าพูดอย่างนี้ศิษย์ก็ยังไม่เข้าใจ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ “ถ้าวันนี้อาจารย์เลี้ยงไก่ ปลูกผัก อาจารย์ให้ไก่กินสารเร่งโต เร่งออกไข่ อาจารย์โปรยสารเคมีทำให้ผักเขียวและสดใหม่ ๑๐ วันถึงจะเก็บได้ แต่เผอิญว่าช่วงนี้ผักขาดตลาด ยังไม่ถึง๑๐ วันเลย ก็เก็บมาขาย ถ้าศิษย์กินไปเป็นอย่างไร ไก่เมื่อกินสารเร่งเติบโตก็จะตกค้างอยู่ในไข่ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนขายบอกว่า “กินไปเลยไม่เกี่ยวกับฉัน” ใช่หรือไม่
แล้วถ้าสมมติอาจารย์เป็นหมอ อาจารย์เรียนจะจบไม่จบแหล่ จะตกไม่ตกแหล่ เรียนพอผ่านๆ ไป พอถึงเวลาตรวจคน “เอ๊ะ! อันนี้มันใช่หรือไม่ใช่ แต่เป็นหมอ อาจารย์สอนไว้ว่า มีแต่ใช่และก็มีแต่ถูก และต้องมีแต่ความมั่นใจ เพราะถ้าไม่มั่นใจคนไข้ก็จะไม่กล้ารักษา ก็เลยใช่ๆ ไปก่อน” รักษาแบบนี้คนไข้จะตายไหม (ตาย)  แล้วก็ตอบไปมั่วๆ เพราะว่าเรียนมาแบบตกบ้างไม่ตกบ้าง ตายไหม (ตาย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าวันนี้อาจารย์เป็นคนสร้างถนน อาจารย์อยากกินดินกินทราย แม้ถนนจะต้องหนาสัก ๔ เซนติเมตร อาจารย์ก็ลดเหลือแค่ ๒ เซนติเมตร แล้วที่เหลืออาจารย์ก็เก็บเข้ากระเป๋า ส่วนใครจะขับรถ รถจะคว่ำ ถนนจะเป็นหลุมก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ดีไหม (ไม่ดี)  
ถ้าวันนี้อาจารย์เป็นคนขับรถ แต่เมื่อคืนอาจารย์ดื่มกับเพื่อนเยอะไปหน่อย ก็เลยเมา ขับไปขับมาชนคนอื่นก็บอกว่าช่างเขาไม่เกี่ยวกับเรา ถูกไหม (ไม่ถูก)  
ทำไมเราถึงต้องช่วยคน ทำไมเราถึงต้องเป็นคนดี และทำไมเราถึงต้องบำเพ็ญ ศิษย์บอกอาจารย์ว่าศิษย์ดีแล้วอาจารย์ บุญก็ทำ ทานก็ให้ ใครน่าสงสารศิษย์ก็ช่วยเหลือ แค่นี้พอ จริงหรือ (ไม่จริง)  ฉะนั้นเราควรจะปลูกอะไรไว้ ที่เรียกว่าความดีที่แท้ ที่ทำให้โลกไม่ต้องเรียกร้องคนดี และทำให้โลกไม่ต้องช่วยเหลือกัน เพราะทุกคนต่างช่วยเหลือตัวเอง และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และรับผิดชอบตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด เมื่อทุกคนต่างดำรงตนได้สมบูรณ์เหมาะสมถูกต้องดีงาม จะมีใครให้ศิษย์ต้องช่วยเหลือไหม เมื่อทุกคนเป็นคนดี โลกจะต้องเรียกร้องหาคนดีอีกไหม (ไม่)  ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์นะว่า เกิดเป็นคนได้ทำบุญก็พอแล้ว ได้ทำทานก็ดีแล้ว ยังไม่พอ สิ่งที่ดีที่สุด ที่เราควรปลูกไว้ในจิตใจของเราก็คือ จิตสำนึกในหน้าที่ของความเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นพ่อคน สำนึกที่ดีคืออะไร เมตตา ซื่อสัตย์ต่อภรรยา แล้วเมื่อพ่อทำงาน พ่อก็ต้องมีจิตซื่อตรงรับผิดชอบต่องานให้ดี ไม่กินแรงคนอื่น ไม่เบียดเบียนคนอื่น ถูกไหม (ถูก)  เมื่อพ่ออยู่ในกลุ่มของเพื่อน พ่อก็ต้องซื่อตรงต่อเพื่อน จริงใจต่อเพื่อน ถูกไหม (ถูก)  เมื่อพ่อเป็นน้องของครอบครัว พ่อก็ต้องรู้จักเคารพพี่ ให้เกียรติพี่และดูแลครอบครัวและพี่น้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเกิดเป็นคนแค่ทำบุญทำทานยังไม่พอ แต่เราต้องมีจิตสำนึกแห่งความเป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ แล้วในตัวเรานั้น มีกี่หน้าที่ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถสมบูรณ์ในหน้าที่ก็เพราะอะไร ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่ไม่เอาตัวเองให้รอด ใช่ไหม (ใช่)  มัวแต่ไปควบคุมคนอื่น แต่ตัวเองควบคุมตัวเองได้หรือยัง (ยัง)  ตัวเองทำหน้าที่สมบูรณ์หรือยัง (ยัง)  ถึงอาจารย์จะพูดได้ดีเท่าไร แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถเอาชนะความเคยชินผิดๆ เอาชนะความขี้เกียจได้ และไม่สามารถเอาชนะความรักสบายและกินแรงคนอื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  และก็ไม่สามารถเอาชนะความประมาทในใจของศิษย์ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นอย่างนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดมาก็คงเหลวไปเลย
เวลาเราจะทำอะไรดีสักอย่างเรามักจะถูกทดสอบ เราต้องมีจิตสำนึกของความเป็นสามีใช่ไหม (ใช่)  อยากเป็นสามีที่ดีอยู่กับบ้าน อย่างนั้นถ้าวันนี้มีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนไปจิบๆ กันไหม แล้วมีสาวห้อมล้อมด้วยไปไหม (ไม่ไป)  จริงหรือ ไม่มีใครรู้หรอก “แกมันไม่แน่เลย ไอ้ธรรมะธรรมโม ไม่เจ๋งนี่หว่า ปอด” ใช่ไหม  อยากเป็นลูกที่ดีไม่ไปเที่ยว ก็มักจะถูกเพื่อนชวนไปซิ่งมอเตอร์ไซค์ ถ้าไม่ไปก็โดนว่า “ไม่แน่นี่หว่า ไอ้ลูกแหง่ แกมันไม่แน่เลย ไม่เจ๋งนี่หว่า ปอด”  สุดท้าย ไปก็ไป ใช่ไหม (ใช่)  อุตส่าห์ฟังธรรมะมาจะดีสักหน่อย โดนเพื่อนพูดแทงใจก็ไปกับเขาเลย
ฉะนั้นมนุษย์ไม่สามารถเอาชนะความเคยชินที่ผิดๆ ได้ แม้ว่าเราจะรู้อยู่กับอกว่าทำไมต้องทำดี เรารู้ว่าความดีมีค่าตรงไหน แล้วทำไมต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญต้องเป็นคนดีและทำไมต้องช่วยผู้อื่น เพราะถ้าเรารู้จักช่วยตัวเอง เราก็ไม่มีคนให้ต้องมาช่วย
คนรู้จักมีจิตสำนึกรู้จักในหน้าที่และรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี จะมีคนเดือดร้อนในสังคมไหม จะมีพ่อแม่ที่ถูกทิ้งไหม จะมีคนที่ยากจนและถูกคนรังแกไหม เพราะทุกคนต่างรักษาจิตสำนึกในหน้าที่ให้ถูกต้อง
เป็นคนพุทธนับถือพุทธ อย่าแค่ทำบุญตักบาตร ไม่พอ แต่สิ่งที่เราต้องเพิ่มลงไปคือ ปลูกจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงามในหน้าที่ของความเป็นคนให้อยู่และต้องให้ได้ดีด้วย ถ้าอยู่แล้วไม่ดีท่านก็คือคนร้ายที่พร้อมจะทำร้ายคนดี และถ้าอยู่และไม่เอาดีท่านก็คือคนร้ายที่พร้อมจะฆ่าคนดีในสังคม อาจารย์พูดอย่างนี้ยังกลัวอะไรอีก ที่ต้องกลัวคือใจตัวเองมากกว่า
ศิษย์รู้ไหม ทำไมฟ้าจึงส่งพระพุทธะลงมาช่วยคน แล้วทำไมอาจารย์จี้กงต้องลงมาช่วยศิษย์ เพราะไม่อยากให้ศิษย์ทอดทิ้งคุณงามความดี อยากให้ศิษย์มั่นใจว่าคนที่ทำดีมีคุณค่า คนที่ทำดีและมุ่งมั่นในความดีอย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจอคนด่าทออะไรก็ตาม แต่ศิษย์มุ่งมั่นไปเรื่อย ความดีนั้นย่อมส่งผล แต่ขอให้ศิษย์อดทนและสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด คนดีที่แท้ต้องไม่กลัวการหล่อหลอม มีดจะคมได้และมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้รับการฝน คนจะดีได้อย่างถ่องแท้ก็ต้องได้รับการขัดเกลาฝึกฝนเฉกเช่นเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ปัจจุบันถ้าไม่ได้ฟังธรรมะ ดีก็ไม่อยากเอา ร้ายก็เอาไปหมด ถามว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นอย่างไร สามวันดีสี่วันร้าย ใช่ไหม แล้วดีร้ายหาความแน่นอนไม่เจอ อย่างนี้จะอบรม
บ่มเพาะอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วการเกิดเป็นมนุษย์ใกล้เคียงกับพุทธะที่สุด แต่มนุษย์ชอบดูเบาตัวเองว่า “เป็นไม่ได้หรอก ยังดีไม่พอ” แล้วเราดีไม่พอจริงๆ หรือ ทำไม่ได้จริงๆ หรือ ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักจุดยืนของความเป็นคนที่ถูกต้อง การก้าวต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ามนุษย์ยังไม่รู้จุดยืนของความเป็นคนที่ถูกต้อง และต้องไปอยู่ในสังคมที่แวดล้อมไปด้วยเสือสิงห์กระทิงแรด ศิษย์จะเอาตัวรอดได้ไหม ในเมื่อตัวเราเองยังไม่นิ่ง เมื่อเราไม่นิ่งพอ แล้วเราจะมั่นคงอะไรได้ เมื่อไม่มั่นคงก็ย่อมง่ายจะหวั่นไหว เมื่อไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของจิตใจ แล้วศิษย์จะคิดไปควบคุมกฎเกณฑ์อะไรได้ ตอนนี้พอเข้าใจกฎเกณฑ์ของจิตใจบ้างหรือยัง กฎเกณฑ์ของการควบคุมจิตใจก็คือ หมั่นนึกถึงและกระทำแต่สิ่งที่ดีงามถูกต้อง หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เมตตา มโนธรรมสำนึก จริยธรรม สัตยธรรม และปัญญาธรรม”
อาจารย์บอกแล้วคุณธรรมต้องรีบบ่มเพาะ ถ้าบ่มเพาะช้าเราจะทอดทิ้ง เมื่อทอดทิ้งเราจะไม่มีสิ่งนั้น ในสิ่งที่เขาตอบเป็นคุณธรรมที่เราควรบ่มเพาะไว้ในใจใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีคุณธรรมต้องมีศีลธรรมตรงกับศีลข้อใดบ้าง ใครตอบได้อาจารย์จะให้นั่ง ใครยังตอบไม่ได้ยืนต่อไป ศิษย์รีบช่วยตนเอง (ปัญญาธรรม,มุสาวาทา,กาเมสุมิจฉา)  (พระอาจารย์ยังดื่มเหล้า)  แค่สิ่งเล่าต่อๆ กันมา ศิษย์แน่ใจหรือว่าสิ่งที่เล่าต่อๆ กันมามันไม่ผิดเพี้ยน คนสมัยก่อนอาจจะดื่มเหล้าเพื่อแก้ความหนาว แต่เขาไม่ได้ดื่มเหล้าแล้วเป็นทาสของเหล้า ถ้าอาจารย์พูดประโยคหนึ่งแล้วถ่ายทอดต่อไปยังคนข้างหลัง ข้อความแรกยังเพี้ยนจนไม่ได้ความ แล้วประวัติของอาจารย์ศิษย์แน่ใจหรือว่าถูกต้อง เขาบอกว่า อาจารย์ยังดื่มสุราเลย แล้วอาจารย์ดื่มสุรา แต่อาจารย์พ้นทุกข์กลับนิพพาน แต่ถ้าศิษย์ดื่มสุราศิษย์ไม่มีวันพ้นทุกข์หรอก ดื่มแบบไม่หลงกับดื่มแบบหลง ต่างกันนะศิษย์
(ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)  มีอะไรอีก (ไม่พูดโกหก)  แต่โกหกเกือบทุกวัน (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  แต่บางทีก็แอบหลงคนอื่นที่หน้าตาดีๆ (นิดหนึ่ง) นิดหนึ่งหรืออย่าเผลอใจแล้วกัน (ไม่ดื่มเครื่องดองของเมา, ไม่ลักทรัพย์)  
ถ้าศิษย์ฟังจนถึงขนาดนี้ ศิษย์ยังไม่กล้าบ่มเพาะความดีลงในใจศิษย์ ศิษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับคนข้างนอกที่เหมือนไม่ได้ฟังอะไรเลย รู้ก็เหมือนไม่รู้ เพราะไม่ได้ลงแรงกระทำอะไร ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นการมานั่งฟังก็เสียเปล่า เพราะเราไม่กล้า ทั้งที่เป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง เพียงแค่ไม่กล้าเลยทำให้เราอดทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามหรือเรียกว่าสำนึกของความเป็นคน เรายอมทิ้งไปเลยหรือ เพียงเพราะว่าไม่กล้าแค่นั้นเองใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบแล้วอยากช่วยคนที่ไม่ตอบไหม (อยาก)  อย่างนั้นคนที่ไม่ได้ตอบได้นั่ง คนที่อยากช่วยยืนต่อ ดีไหม (ดี)  ลงแรงแล้วต้องกล้าเสียสละไม่ใช่หรือ (ใช่)  สลับกันเลย อาจารย์รังแกคนทำดีหรือเปล่านะ ถูกไหม (ถูก)  คนดียิ่งโดนฟ้ารังแกแล้วยังมุ่งมั่นในความดีจะเกิดผลสะท้อนให้คนที่ไม่ทำความดีแต่ได้รับผลดีไป ได้รู้สึกละอายใจ พวกเขาอุตส่าห์ตอบ จนได้นั่ง แล้วอุตส่าห์สละไม่นั่ง ยอมยืน แล้วให้ทุกคนได้นั่ง แล้วเรายังจะหัวเราะพวกเขาได้อีกไหม แล้วเราจะทำอย่างไร จริงๆ เราไม่ควรนั่ง แต่เราควรขอบคุณ แล้วบอกว่าไม่เป็นไรพวกเรายืนต่อก็ได้ ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์เพิ่งพูดจบ อาจารย์เปลี่ยนเป็นภาคปฏิบัติ ศิษย์ยังคิดไม่ได้เลย คนได้ทำดีได้ลงแรงทำดี นอกจากเขาไม่ได้รับผล แต่ต้องซวยไปกับศิษย์ แล้วศิษย์จะไม่ช่วยอะไรเขาเลยหรือ  ใช่ไหม (ใช่)   เหมือนการตัดต้นไม้ของคนหนึ่งคน การทิ้งขยะไม่เลือกที่แล้วทำให้ท่ออุดตัน จนทำให้น้ำท่วมไปทั้งประเทศ สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากใคร เกิดจากคนตัดต้นไม้คนเดียวไหม (ไม่)  เราทิ้งขยะไม่เป็นที่หรือเปล่า เกิดจากเราหวังแต่เงินทอง เลยตัดต้นไม้เพื่อสร้างบ้านจริงไหม อยากทำตามใจ อยากได้ที่ ต้นไม้ก็ขี้เกียจปลูก เพราะปลูกแล้วต้องมานั่งกวาดใบไม้เลยไม่อยากปลูก เราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกเดือดร้อนไหม (ใช่)  เมื่อน้ำท่วมเราไม่ควรว่าใครทั้งนั้น ให้หันกลับมาว่าตัวเอง “ฉันก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกเดือดร้อน และฉันก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศวุ่นวาย” ไม่ต้องไปเรียกร้องความดีจากใคร ถามตัวเองก่อนว่าเราดีหรือยัง และเมื่อมีคนข้างๆ ดี เราสนับสนุนไหม หรือเรากดข่ม รำคาญเขา อาจารย์เห็นเวลามีใครทำดี เราจะรำคาญ รู้สึกว่าคนๆ นั้นเกะกะ เวลาใครอ่อนน้อม มีเมตตามากๆ เราจะรู้สึกว่าเขาน่ารำคาญ ใช่หรือไม่ นั่นก็คือ เขาทุกข์เราก็ต้องไปร่วมทุกข์ และช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ใช่นั่งมองตาปริบๆ อยู่ ศิษย์อยากมีชีวิตอยู่แบบเวลาเราเดือดร้อนแล้วไม่มีใครดูดำดูดีเลยหรือ แล้วเราเคยโดนไหม เคย เพราะเวลาคนอื่นเดือดร้อนเราก็ไม่เข้าไปช่วยเขา ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมอย่าเอาแต่สุขสบาย ไม่สนใจคนเดือดร้อน
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง อย่าฝากความหวัง ชื่อเพลง อย่าหลงตัวเอง)
ถึงด้านหนึ่งอาจารย์จะส่งเสริมศิษย์ แต่อีกด้านหนึ่งอาจารย์ก็ให้อะไรดีๆ ซ่อนไว้ในเพลง ซึ่งอยากให้ศิษย์เก็บเอาไว้ แล้วเมื่อไหร่ที่นึกถึงอาจารย์ก็ลองร้องเพลง เพลงนี่จะทำให้ศิษย์กับอาจารย์สื่อถึงกันได้ และศิษย์ของอาจารย์ก็จะมีอาจารย์ให้กำลังใจอยู่ในเนื้อเพลงเสมอ ขอเพียงศิษย์ไม่ทิ้งธรรมะไปไกล ศิษย์ก็ไม่ทิ้งอาจารย์ไปไกลหรอก ใช่ไหม (ใช่)
อยากฟังอาจารย์พูดธรรมะต่อไหม (อยาก)  เมื่อเราเข้าใจกฎเกณฑ์ของชีวิต สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งและเพิ่มเติมในชีวิตก็คือ กฎเกณฑ์ของโลกหรือเรียกว่ากฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราหนีไม่พ้นเราต้องอยู่กับโลกใบนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจกฎเกณฑ์เราก็จะไม่ทุกข์กับความผันแปรและเป็น
มายาในโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็คือผู้ที่ทุกข์ที่สุด ทุกข์ทั้งตัวเองและก็ทุกข์ทั้งต้องไปเผชิญกับโลกที่มันไม่มีความแน่นอน ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์อยากจะบอกว่าถ้ามนุษย์เข้าใจกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง รู้ตั้งแต่ต้นไปยังท้าย รู้ตั้งแต่ต้น ท้าย กลาง หรือต้น กลาง ท้าย เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรมองให้เห็นถึงที่สุด เมื่อเราเข้าใจเราจะยอมรับ เมื่อเรายอมรับเราจะเปิดใจกว้าง เมื่อเราเปิดใจกว้างเราจะสอดคล้องกลมกลืน เมื่อเราสอดคล้องกลมกลืนเราจะดำเนินได้ถูกต้องและดีงาม ฟังแล้วเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้ามนุษย์เราเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกที่มีความไม่เที่ยงแท้ ที่มีความปั่นป่วน มีมายา เป็นความเพ้อฝัน ถ้ามนุษย์มองให้ออกเราก็จะเข้าใจ เมื่อเข้าใจเราก็จะยอมรับ เมื่อยอมรับเราก็จะเปิดใจกว้าง เมื่อเปิดใจกว้างเราก็สามารถประสานกลมกลืน เมื่อเราประสานกลมกลืนเราก็จะดำรงสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและดีงาม ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจถึงสรรพสิ่งเราก็อาจจะถูกสรรพสิ่งปั่นหัวและทำให้เราทำผิดได้ ถูกหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียน ๓ คน ออกมาถือแคนตาลูปคนละลูก)
ศิษย์ว่าแคนตาลูปสามลูกนี้เท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ดูโดยประมาณ อย่าให้สายตามันลวงหลอก จริงๆ แล้วมันเท่ากันหรือเกือบจะเท่ากัน ต่างกันแค่นิดเดียว แต่เพราะมือบังเลยทำให้ดูไม่เท่ากัน นี่แหละปล่อยให้มายาลวงหลอก มองไม่เห็นความจริง มองดูแล้วเหมือนจะเท่า แต่ถ้ามองใกล้ๆ เราอาจจะได้รู้ว่ามันไม่เท่ากัน ศิษย์ดูนะอาจารย์จะทำให้มันดูไม่เท่ากัน และต่างกันราวฟ้ากับดิน ทำอย่างไรรู้ไหม ถ้าอาจารย์บอกว่าในแคนตาลูปสามลูกนี้ มีลูกหนึ่งที่กินแล้วรักษาโรคอะไรก็หาย ใครกินแล้วจะรวย แต่อีกลูกหนึ่งกินแล้วจะป่วย มีมิตรมิตรจะหนี มีคนรักคนรักจะพรากจาก ทำอะไรก็ต้องลำบาก แต่อีกลูกหนึ่งไม่มีอะไรกินแล้วธรรมดา แคนตาลูปสามลูกนี้ต่างกันไหม (ต่าง)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันต่างไหม แต่อะไรทำให้มันต่าง  ถ้ามนุษย์เข้าใจกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง เราจะยอมรับเปิดใจกว้าง และสมานกลมกลืนสอดคล้อง และสามารถดำรงตนถูกต้อง  เวลาเรามองอะไร ถ้าเราไม่มีความอยาก เราก็จะมองเห็นเป็นแคนตาลูปเหมือนกัน แต่เมื่อเราเพิ่มใจที่อยากขึ้น แคนตาลูปเริ่มไม่เท่ากัน เอาลูกไหนดีนะ ใช่ไหม (ใช่)  น้ำหนักเริ่มไม่เท่ากันทันที
ฉะนั้นการมองสิ่งใดก็ตาม ถ้าเราอยากมองให้เห็นชัด มองแล้วไม่โดนลวงหลอก ศิษย์ต้องอย่าปล่อยให้ความอยากมาบดบังปัญญา อย่าปล่อยให้ความอยากทำให้เรามองไม่เห็นความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วกินเหมือนกันไหม กินแล้วจะซวยจริงไหม (ไม่จริง)  เมื่อไรที่ศิษย์เชื่อว่า “ซวยแน่ๆ” ศิษย์ได้มาศิษย์ก็ซวยแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินไหม หมอดูว่าเราจะโชคดี แต่ถ้าเราเอาแต่นอนกินนั่งกิน จะโชคดีไหม (ไม่)  ถ้าหมอดูว่าเราจะโชคร้าย แต่เราไปทำสิ่งที่ดี เราจะโชคร้ายไหม (ไม่)  จำไว้นะ ชะตาฟ้ากำหนด แต่ชีวิตมนุษย์สามารถลิขิตแล้วเปลี่ยนแปลงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้ต้องมีสูงต่ำดำขาวดีร้ายได้เสีย แต่ถ้ามนุษย์มองเห็นด้วยความเป็นจริง ก็คือเท่าๆ กัน ถึงเราจะได้แคนตาลูปที่บอกว่าโชคร้าย แต่ถ้าเรารู้จักแปลโชคร้ายให้เป็นดี อาจารย์บอกว่าได้แคนตาลูปลูกนี้ไป มีคนรักก็จะต้องจาก จะทำอะไรก็ต้องลำบาก ทำอะไรก็จะซวย เอาไหม (ไม่เอา)  
อาจารย์เอาลูกอมมาเสี่ยงดวง ในลูกอมนี้จะมีลูกอมแห่งความโชคดี ลูกอมแห่งความธรรมดา และลูกอมแห่งความซวย ใครอยากเล่นกับอาจารย์ จะให้จับลูกอม เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าในโลกนี้มีใครบ้างไม่ซวย ถ้าวันนี้ศิษย์ไม่ซวย คนอื่นก็ซวย จริงไหม (จริง)  แล้วในชีวิตนี้ศิษย์อยากช่วยคน ศิษย์ยอมซวยไม่ดีกว่าหรือ ยอมเอาลูกที่ซวย ยอมเอาลูกที่ลำบากเพื่อให้คนอื่นเขาโชคดี เอาไหม ไม่พูดใช้ถลึงตา ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ถาม มีใครบ้าง มีพบแล้วไม่พราก มีใครบ้างที่ได้รักคนแล้วไม่ต้องจากคนรัก แก่ตัวไปศิษย์ไม่ตายไหม ไม่เขาตายเราก็ตาย อาจารย์พูดถูกไหม (ถูก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซวยไม่ซวยอยู่ที่เรากำหนดไหม คนบางคนถูกลอตเตอรี่ แต่รถคว่ำตาย เอาไหม (ไม่เอา)  นึกว่าเอา ฉะนั้นดีไม่ดี ซวยไม่ซวย มันอยู่ที่ไหน แม้ฟ้าจะกำหนดชะตามาตอนแรก แต่เราเป็นผู้ลิขิตทางเดิน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อวานท่านแปดเซียนก็พูดไว้ไม่ใช่หรือ สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ทุกข์ที่สุด คือหนทางที่นำไปสู่ความเป็นพุทธะได้ไวที่สุด สิ่งที่มืดที่สุดกลับทำให้เราเห็นแสงสว่างแห่งความพ้นทุกข์ได้แจ่มชัดที่สุด ฉะนั้นกลัวไหมกับความซวย (ไม่กลัว)  เอาไหม (เอา)  อาจารย์แค่พูดแต่คนจะเดินไปทางดีหรือร้าย มันอยู่ที่ตัวศิษย์ลิขิต ฟ้ากลัวที่สุดคือกลัวคนที่ลิขิตชีวิตตัวเอง ฟ้ากลัวที่สุดคือกลัวคนที่ไม่ยอมแพ้ จำไว้นะ ฟ้ากลัวที่สุดก็คือคนดีที่ไม่ยอมแพ้ ฟ้าไม่สามารถกุมชะตาคนคนนั้นได้ คนที่ไม่ยอมแพ้ ถึงจะทำให้ผมจน ผมก็จะขยัน ถึงจะทำให้ผมอด ผมก็จะขยันหาให้มี ฟ้ากลัวคนแบบนี้ที่สุด และฟ้าไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตคนแบบนี้ได้ เพราะคนแบบนี้คือคนที่ไม่ยอมแพ้ สู้คนถึงที่สุด
ฉะนั้นอย่ากลัวความซวย อย่ากลัวความพลัดพราก อย่ากลัวความลำบาก เพราะถึงที่สุดแล้ว มันก็คือสิ่งเดียวกัน แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร เรามองแล้วเราจะทำอย่างไรกับมัน จะจมอยู่กับมันหรือจะทำมันให้ดีขึ้น จะจมอยู่กับมันหรือจะทำให้มันเป็นบันไดก้าวข้ามพ้นทุกข์ ถูกหรือไม่ศิษย์ (ถูก)  ฉะนั้นโลกนี้ไม่ใช่มาเพื่อให้ศิษย์สวยไปวันๆ หนึ่ง หล่อไปวันๆ บิดมอเตอร์ไซค์เที่ยวไปวันๆ โลกนี้มีแค่นี้เองหรือ คุณค่าที่มากกว่าชีวิต คือรู้จักกฎเกณฑ์ของจิตใจและกฎเกณฑ์ของสังคม แล้วเดินไปสู่ความกระจ่างถ่องแท้และกลมกลืนสอดคล้องเพื่อเดินกลับไปสู่ความว่างอย่างแท้จริง ความสงบอันนิจนิรันดร์ ซึ่งจริงๆ แล้วมนุษย์มีความว่างและสงบได้ แต่มนุษย์กลับมองไม่เห็น อาจารย์ขอดูลูกอมของอาจารย์หน่อย ขอสามสีพอ สีแดงคือสีแห่งมงคล มนุษย์ชอบเพราะจะถูกจะแพงขอแดงไว้ก่อน แล้วสีแห่งอัปมงคล คือ สีฟ้า เป็นสีไม่ดี สีส้มเป็นสีกลางๆ อยากได้ลูกอมอาจารย์จี้กงไหม (อยาก)  ทั้งที่ในความอยากนั้นศิษย์ต้องเสี่ยงกับดี ร้าย ได้ เสีย โชคดี โชคร้าย และธรรมดา เอาไหม (เอา)  นี่แหละมนุษย์ รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตมีความเสี่ยงแต่ก็ยังอยากกระโดดลงไปแล้วก็เอาตัวไม่รอด
ถ้าใครไม่เอาก็อยู่เฉยๆ แต่ศิษย์เชื่อไหมว่า ลูกอมนี้อย่าพยายามคว้าแล้วศิษย์จะเห็นชะตาตัวเอง ถ้าพยายามคว้าศิษย์อาจจะไม่ได้เห็นชะตาตัวเอง อยากลองเสี่ยงดวงดูไหม ดูสิว่าเม็ดสีอะไรจะไปตกอยู่กับเรา ถ้าเกิดว่าเรายอมคว้า เม็ดร้ายๆ ก็อาจจะไม่ตกกับเรา ใช่ไหม เราหนีได้แค่ชั่วคราวเราต้องกล้าสู้ความจริง  ฉะนั้นฟังธรรมะกับอาจารย์จี้กงมาแล้ว แม้ในร้ายที่สุดก็มีดี แม้ในดีที่สุดก็อาจจะมีร้าย ถ้าเราดำรงตนไม่เป็น
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาหันหลังโยนลูกอมให้นักเรียน)
ศิษย์ชอบเสี่ยงดวงไม่ใช่หรือ อยากรู้ว่าดวงเป็นอย่างไร มีพุทธะมาช่วยเสี่ยงดวงก็ไม่แปลกนี่

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“ดินน้ำทำใจปลง”)
เมื่อสักครู่อาจารย์ก็เพิ่งบอกเองนะเราหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน เราอยู่ระหว่างดินกับน้ำที่เราต้องเคยต้องเจอกับความทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะเจอน้ำมาก เจอดินแยกศิษย์ก็ต้องทำใจให้ปลงนะ จริงๆ อาจารย์อยากต่อธรรมะอีกอันหนึ่ง เข้าสู่ความสงบแล้วเดินไปสู่ซึ่งความว่าง แต่อาจารย์ว่าศิษย์จะไหวไหมนะ (ไหว)  
(พระอาจารย์เมตตาอ่านพระโอวาทซ้อนพระโอวาทให้นักเรียนในชั้นฟัง)
“นึกแต่สิ่งที่ร้ายๆ ใจก็เหี่ยว นึกแต่ดีใจก็เที่ยวไม่ยอมกลับ
รู้ธรรมตามความเป็นจริงคืออริยทรัพย์ หยุดตื่นได้ย่อมปราบปรามอยู่เหนือกาล
ใจแจ้งแล้วไม่หลงผิดอยู่ซ้ำซ้ำ ตาแดงก่ำเพราะเผลอใจไปเพ้อฝัน
เหนื่อยวิ่งตามกับวิ่งนำไม่เท่ากัน รู้เท่ากันแต่สูงต่ำอยู่ที่คน”
ฉะนั้นอาจารย์ก็บอกแล้วเราหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ มีดี
มีร้าย มีได้ มีเสีย มีสูง มีต่ำ แต่อยู่ที่ว่าเราจะวิ่งตามโลก หรือเราจะวิ่งนำโลก เราจะมองโลกให้ออกหรือเราจะจมอยู่กับกระแสของโลกใบนี้ เคราะห์ดีเคราะห์ร้ายไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือใจที่ไม่รู้จักสู้กับเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อย่าปล่อยให้กระแสของความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาบดบังปัญญาทำให้ศิษย์ไม่เห็นความจริงแท้ เพราะถึงที่สุด ทุกชีวิตต้องเดินกลับไปสู่ความสงบและความว่าง แต่ถ้าศิษย์ยังยึดมั่นอยู่ในตัวตน ความมีตัวตนทำให้เกิดแดน พอมีแดนเกิดก็ทำให้มีแดนทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์สามารถเข้าถึงตัวตนที่เดินไปสู่ความว่างได้ แดนเกิดก็จะไม่มี
แดนทุกข์ก็จะอันตรธานหายไป ชีวิตทุกชีวิตล้วนเดินไปสู่ความว่าง หรือเรียกง่ายๆ ว่าทุกชีวิตล้วนเดินไปสู่ความตาย แต่ถ้ามนุษย์ยังปลงไม่ได้ก่อนตาย ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราก็คือคนที่สร้างแดนเกิดและ
แดนทุกข์ในภพต่อไป
ฟ้าล้วนสร้างสรรค์มนุษย์ให้มนุษย์เห็นว่า มนุษย์หนีไม่พ้นเกิดมาคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว และไม่สามารถเอาอะไรไปได้ ถึงที่สุดต้องเดินกลับไปสู่ความว่าง แต่ถ้าเรายังหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ เราก็คือคนที่สร้างแดนเกิดและแดนทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์สามารถเข้าสู่ความว่าง ปลงและปล่อยวางได้ และเดินไปสู่ความสงบ มนุษย์คือ
ผู้ตัดภพตัดทุกข์ได้
มนุษย์ยึดมั่นในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนก็คือความว่าง ใช่ไหม (ใช่)  แต่เรามองเห็นไหมว่ามีอะไรว่างอยู่ ไม่เห็นเลย เห็นแต่ความมี
รู้เยอะแต่เอาตัวไม่รอดก็น่าเสียใจ ที่สุดของวัฏจักรดอกไม้ก็คือเมื่อบาน
ถึงที่สุดก็ต้องเหี่ยวเฉา และร่วงโรยราและกลับคืนสู่พื้นดิน มนุษย์บอกว่านี่คือตัวตนของดอกไม้ แต่อาจารย์บอกว่าในดอกไม้มีความว่างอยู่ คือ ว่างจากตัวตนที่แท้จริงของดอกไม้
ในดอกไม้มีอะไร (กลีบ)  ในกลีบเรียกว่า (เกสร)  ถ้าอาจารย์ดึงกลีบหมดเหลือ (เกสร)  ดึงเกสรออกหมดเหลือ (ก้าน)  ดึงก้านออกหมดเหลืออะไร (ใบ)  แล้วมีอะไรที่เรียกว่าดอกไม้ ดอกไม้คือสิ่งที่ต้องประกอบไปด้วย กลีบ เกสร ก้าน ใบ ไม่มีอะไรเรียกว่าดอกไม้ มันจึงว่างจากตัวเอง ตัวตนที่แท้จริงของดอกไม้คือ “ไม่มี” เหมือนอาจารย์ชี้ว่านี่คือตัวของเรา แต่ถ้าอาจารย์เอาแขน ผม หัวออก ตัวตน (ไม่มี)  แต่เพราะมนุษย์ยึดมั่นถือมั่นจึงไม่สงบ เมื่อไม่สงบจึงไม่เห็นความว่าง เมื่อไม่เห็นความว่างจึงไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์เห็นความสงบแล้วกลับคืนสู่ความว่างมนุษย์จะตัดแดนเกิดและตัดหนทางแห่งการนำตัวเองไปสู่ความทุกข์ได้
อาจารย์พูดแค่ว่า ร่างกายนี้คือถุงขี้ ศิษย์ก็ยังงกกับการหาขี้ใส่ตัว ใช่ไหม (ใช่)  ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา)  ออกจากหู เรียกว่า (ขี้หู)  ออกจากจมูก เรียกว่า (ขี้มูก)  ออกจากมือเรียกว่า (ขี้มือ)  อย่างนั้นทุกวันนี้
ที่พยายามทำคือ ทำให้ถุงขี้ และทุกวันนี้ที่พยายามแปะหน้าให้สวยๆ ดึงหน้าให้เด้งๆ ทำหน้าให้ใสๆ เพื่อบำรุงถุงขี้ และที่พยายามมองกระจกทุกวันเพื่อมองถุงขี้ และหลงอยู่กับถุงขี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็คือ “ถุงขี้”
ถึงเวลามันก็คือ “ขี้ดิน” คือส่วนหนึ่งของขี้ดินที่ศิษย์เหยียบย่ำและศิษย์
ทับถม แล้วตัวตนที่แท้จริงอยู่ไหน
ฉะนั้นศิษย์อย่าสร้างความเคยชินผิดๆ ด้วยการหลง โลภ โกรธ ไปตามหูตา แล้วก็สร้างนิสัยที่มันเกิดเป็นตัวตน เมื่อมีตัวตนที่เรียกว่า
“คนสร้างกรรม” มันก็จะมีกรรมไปสร้างคนต่อ แต่ถ้าเราไม่มีตัวตนที่สร้างกรรม แล้วจะมีกรรมมาสร้างตัวตนให้เราต้องมาเวียนว่ายต่อไหม
อาจารย์อยากให้ศิษย์คิดให้ดีๆ นะ ชีวิตถึงจะมองเป็นเรื่องขี้ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ขี้ ถ้าเราทำตัวให้ถูกเราก็สามารถนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ และทำคนรอบข้างให้พ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราทำตัวไม่ถูกเราก็เป็นคนที่สร้างปัญหา และความทุกข์ให้ตัวเองไม่จบสิ้น ไม่ต้องเชื่อมั่นอาจารย์ก็ได้ ขอให้ศิษย์เชื่อมั่นในรากฐานความดีที่ตัวของศิษย์มีทุกคน และอาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีรากฐานแห่งความดีงามอยู่ มีหน่อเนื้อแห่งความสงบและความว่างอยู่ แต่อยู่ที่ว่าศิษย์รู้จักหันมามองตนบ้างไหม หันมาแล้ว
บ่มเพาะความดีให้ชีวิตมีคุณค่าที่เรียกว่า “มนุษย์ประเสริฐ” ได้หรือยัง
อย่าเกิดเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐเพียงแค่กาย แต่หัวใจหาคุณธรรมไม่เจอ อย่าเกิดเป็นคนที่รู้จักแต่ทำบุญสุนทาน แต่กลับชอบว่าคนอื่นให้เจ็บปวดไม่ดี อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองแล้วทำร้ายคนอื่น อย่างนี้ก็ไม่น่ารัก  เวลาผ่านไปทุกวันๆ ศิษย์ทำอะไรให้แก่ชีวิตที่เรียกว่า “ภาคภูมิใจ” หรือยัง
ไม่มีใครจะหายจากโรคได้หรอกนะ แม้แต่พระพุทธะเองก็ยังต้องป่วย แต่ป่วยเพื่อปลงไม่ใช่ป่วยเพื่อยึดมั่น เรียนรู้เพื่อปล่อยวางแต่ไม่ใช่เรียนรู้แล้วเอาไปโอ้อวดคน มันไม่มีประโยชน์ อย่างที่อาจารย์บอก “คนเราเคารพกันที่ไหน” ไม่ใช่อายุ ไม่ใช่ตำแหน่ง แต่เคารพกันที่คุณงามความดีในหัวใจ ฉะนั้นป่วยเพื่อปลงและปล่อยวาง ไม่ใช่ป่วยเพื่อให้ยึดมั่นถือมั่น แน่ใจหรือว่ามีชีวิตดีกว่าการตาย อาจารย์ว่าถ้ามีชีวิตแล้วหาคุณค่าแห่งความเป็นคนไม่เจอ สู้ตายแล้วทำกรรมน้อยยังดีกว่า ดีกว่าอยู่แล้วสร้างกรรมไปทั่ว ศิษย์คิดให้ดีๆ แล้วศิษย์จะรู้ว่าบางทีอายุสั้นดีกว่าอายุยืน ถ้าอายุยืนแล้วยังทำตัวได้ไม่น่ารักพอ ไม่มีคุณธรรมแห่งความเป็นคนพอ สู้อายุสั้นแล้วรู้จักระวังตัวเอง ไม่ทำตัวเองให้เดือดร้อนไม่ได้ บำเพ็ญธรรมก็แค่รักษาศีลให้ครบ พูดให้น้อยๆ ใช้ความนิ่งให้เยอะๆ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
มีโอกาสมาบำเพ็ญนะ อย่ามัวแต่ห่วงครอบครัวมาก อย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง อย่าทำสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง ยังสู้ต่อใช่ไหม อาจารย์ช่วยศิษย์เต็มที่ ขอเพียงศิษย์อย่ายอมแพ้ ใช้ความอ่อนชนะความแข็งนะศิษย์นะ อย่าทิ้งอาจารย์ก่อนนะ อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ ขอเพียงตั้งใจบำเพ็ญทำสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์นะ อย่ายอมแพ้นะ ตั้งใจบำเพ็ญแล้วเข้มแข็งให้ถึงที่สุด ทำสิ่งที่ถูกต้องนะ อย่าคิดว่าเหงา อย่าคิดว่าอยู่คนเดียว อย่าคิดว่าเหนื่อยคนเดียว อาจารย์รู้นะ
ช่วยเขาก็เหมือนช่วยเรา เมื่อเลือกเดินทางนี้แล้วขอให้ไปให้ถึงที่สุดแม้ทางจะไกลแต่ขอให้ใจอยู่ใกล้อาจารย์เสมอนะ อาจารย์รอศิษย์อยู่ รอความมุ่งมั่น รอความตั้งใจ บำเพ็ญไม่มีอะไรง่าย แต่อาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์ยอมฝ่าทุกอย่างได้เพื่อเวไนย ลำบากจนลืมกระทั่งตัวตน อุทิศเสียสละเต็มที่ด้วยจิตใจที่ไม่หวังผลนั่นคือสิ่งที่ประเสริฐสุด อย่ามัวแต่ให้แม่ทำแต่ตัวเองไม่ทำอะไรเลย เสียดายนะศิษย์
มีโอกาสกลับมาเจออีกได้ไหม กลับมาช่วยงานอาจารย์ กลับมาเป็นผู้เสียสละที่กล้าจะช่วยคน รู้จักเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เป็นเด็กดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นคนดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากตรงที่จะทำไหม ใช่ไหม รักพ่อแม่ให้มากๆ อย่ามัวแต่รักตัวเอง
ตั้งใจทำนะ ตามที่ตัวเองตั้งใจ ชีวิตนี้เหลือไม่มากแล้วนะศิษย์ รู้จักประกอบแต่สิ่งที่ดีงาม มีโอกาสให้ได้ก็จงให้ ช่วยได้ก็จงช่วย อายุมากแล้วรู้จักทำบุญสุนทานรักษาศีลให้ครบ ยากตรงที่ต้องทำให้ถึงที่สุด ตั้งใจบำเพ็ญนะ ใช้ความซื่อตรงนั่นแหละเอาชนะอุปสรรคทั้งมวล ยอมได้ก็ยอม อะไรดีแล้วรักษาต่อไป อย่ายอมแพ้เข้าใจไหม สู้ให้ถึงที่สุด ใช้ชีวิตให้มีค่าที่สุด ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์อาจารย์ ใช่ไหม ทำได้ดีแล้ว รักษาความดีให้เต็มที่ ศิษย์เอ๋ยอย่ามัวแต่เพลินมาก สงสารคนรอบข้างด้วยนะ
อาจารย์ไปแล้วนะ ศิษย์ทำดีอาจารย์ดีใจด้วย แต่ถ้าศิษย์ทำผิดพลาดขอให้รีบแก้ไข ตั้งสติให้ดีทำอะไรคิดให้รอบคอบ เพราะชีวิตนี้มันไม่ใช่แค่เราคนเดียวยังมีคนรอบข้างอีก ใช่ไหม กว่าจะเอาตัวเองได้ก็ยาก แต่จะนำพาให้คนในบ้านไปด้วยก็ยิ่งยากใหญ่ แต่ต้องตั้งสติให้ดี เข้าใจไหม ทำชีวิตที่เหลืออยู่ให้เต็มที่ที่สุด ดีแล้วช่วยเขาให้เต็มที่นะศิษย์ ขอเพียงหัวใจเข้มแข็งให้ได้ ไปแล้วนะ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรม ครั้งที่ ๑๖ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา
หน้า ๑๘ เพลงธรรม ย่อหน้าสุดท้าย
เดิม
ฉลาดกันจนเป็นพิษ ดีเดี๋ยวก็รู้แต่ใจหมองมัว การรู้ธรรมแค่หัว ทำตัวอย่างนี้ไม่ดีไม่ดี มีปัญญาเถิดหนา เก่งจริงต้องขอทำดี ความรู้กับการ ตื่นนี้ ใกล้เคียงแต่ไม่เดียวกัน (ซ้ำ *, **, *, **)
แก้ไขเป็น
ฉลาดกันจนเป็นพิษ ดีหรือก็รู้แต่ใจหมองมัว การรู้ธรรมแค่หัว ทำตัวอย่างนี้ไม่ดีไม่ดี มีปัญญาเถิดหนา เก่งจริงต้องขอทำดี ความรู้กับการ ตื่นนี้ ใกล้เคียงแต่ไม่เดียวกัน (ซ้ำ *, **, *, **)
ท่อนซ้ำเดิม
** คนก็พร้อม หัวใจก็พร้อม หลักธรรมต้องคอยเก็บเกี่ยว เส้นทางพระต้องเด็ดเดี่ยว จึงจะสู้มารไหว คนก็เรื่องเดิมเดิม หัวก็ใช่จะไป ปล่อยวางหลังทำใจ  ความรู้จริงหมายไปถึงธรรม
เพิ่มคำว่า (ใจพุทธา) ต่อท้าย
** คนก็พร้อม หัวใจก็พร้อม หลักธรรมต้องคอยเก็บเกี่ยว เส้นทางพระต้องเด็ดเดี่ยว จึงจะสู้มารไหว คนก็เรื่องเดิมเดิม หัวก็ใช่จะไป ปล่อยวางหลังทำใจ  ความรู้จริงหมายไปถึงธรรม (ใจพุทธา)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเป็นผู้แต่งคำในวงเล็บ)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรม ครั้งที่ ๑๕ ประจำปี ๒๕๕๔ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี อีกครั้ง
แก้ไขกลอนหน้า ๑๘ กลอนนำ
เดิม
น้ำท่วมกรุงเป็นทุ่งน้ำอลหม่าน น้ำรอบด้านกลืนทนคนก็หาย
แต่ใจที่จมน้ำนี่สิเรื่องใหญ่ แม้ยังได้มีชีวิตแต่ติดโคลน
แก้ไขเป็น
น้ำท่วมกรุงเป็นทุ่งน้ำอลหม่าน น้ำรอบด้านกลืนคนทนก็หาย
แต่ใจที่จมน้ำนี่สิเรื่องใหญ่ แม้ยังได้มีชีวิตแต่ติดโคลน

(พระอาจารย์จี้กงได้มาเมตตาที่แผนกเหวินซูอีกครั้ง)
อาจารย์เพิ่มอีกคำหนึ่งแล้วกันคือ คือคำว่า “หยุด” หยุดตนได้ย่อมปราบปรามอยู่เหนือกาล
คราวหน้าถ้าแก้กลอนให้นำมาทั้งบทเลยเพื่ออ่านได้เข้าใจ เวลาศิษย์พิมพ์ไม่ได้แจกนักเรียนอยู่แล้วใช่ไหม แจกแต่ผู้ปฏิบัติงานธรรม
ถ้ามีอะไรผิดอาจารย์ก็รับอยู่แล้ว แต่ก็ให้ช่วยๆ กันดู
ดีแล้วที่ถาม ถ้าอาจารย์มาได้ อาจารย์ก็มา การจัดทำพระโอวาท ทำอย่างไรให้เขาเข้าใจง่ายที่สุด เราต้องทำงานร่วมกัน ช่วยๆ กัน ช่วยกันแก้ว่าอะไรจะทำให้เขาเข้าใจ ไม่ใช่เร่งๆ ให้ทัน แต่มีข้อผิดพลาดมากมาย ถูกไหม (ถูก)  ฟ้าก็คือ ฟ้าดินมนุษย์ร่วมกัน ช่วยอาจารย์หน่อยนะ ไปแล้วนะ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ดินน้ำทำใจปลง”
นึกแต่สิ่งที่ร้ายร้ายใจก็เหี่ยว
นึกแต่ดีใจก็เที่ยวไม่ยอมกลับ
รู้ธรรมตามความเป็นจริงคืออริยทรัพย์
หยุดตนได้ย่อมปราบปรามอยู่เหนือกาล
ใจแจ้งแล้วไม่หลงผิดอยู่ซ้ำซ้ำ
ตาแดงก่ำเพราะเผลอใจไปเพ้อฝัน

เหนื่อยวิ่งตามกับวิ่งนำไม่เท่ากัน
รู้เท่ากันแต่สูงต่ำอยู่ที่คน






(พระอาจารย์จี้กงเมตตากับเจี่ยงซือ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทำเพลงธรรม)
อาจารย์มีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ช่วยอาจารย์ คือ เพลงบางเพลงทำนองมันเป็นทางโลก แล้วอาจารย์คิดว่ามีศิษย์บางคนที่เขาเล่นเปียโนเป็น ใช่หรือไม่ อาจารย์ก็เลยอยากให้เปลี่ยนทำนองที่เป็นทางโลกเป็นเสียงเปียโนแทน แล้วเวลาศิษย์ไปอัดเพลง คนฟังก็สบายทั้งเนื้อแล้วก็ไม่รำคาญทำนอง ศิษย์เคยฟังเพลงบางเพลง ทำนองไม่ให้กับธรรมะไหม (เคย)  อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เพิ่มแค่ว่า ถ้าสมมติว่าเราเปลี่ยนทำนองที่เป็นทำนองทางโลกให้เป็นเสียงดนตรีของเปียโน หรือเสียงดนตรีที่ศิษย์สามารถจะช่วยอาจารย์เปลี่ยนได้ ให้เป็นทำนองที่นุ่มลง ฟังแล้วง่ายขึ้น ย่อมดีกว่าใช่ไหม (ใช่)

(ไม่ต้องมีเสียงประสานทางโลกเข้ามาด้วยใช่ไหมครับ)  คือ บางคนเขามองว่า นี่เพลงธรรมะหรือ ถ้ามองแล้วทำให้คนอื่นรู้สึกว่า อือ! ไม่น่าใช่ บางทีเราก็ต้องเปลี่ยนบ้าง แต่ถ้าเปลี่ยนแล้ว ทำให้คนฟังแล้วใจเย็นขึ้น สงบขึ้น มันก็เป็นการโน้มนำไปสู่สิ่งที่ดีถูกไหม และอาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ได้ลงแรงด้วย เพราะว่าเพลงบางอย่าง ถ้าเราใช้ทำนองเดิม อาจารย์คิดว่าบางทีก็ไม่เหมาะ แต่ถ้าเราเปลี่ยนเสียงเครื่องดนตรี แต่เป็นทำนองเดิม จะไปได้ง่ายกว่า และฟังได้ง่ายกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้วัยรุ่นก็เยอะ ลองจับมารวมกันร้องเพลงประสานเสียงแล้วอัดดู ก็ได้อีกบรรยากาศหนึ่งถูกไหม (ถูก)  ในหนึ่งอย่างสามารถแตกได้เป็นหลายอย่างไม่ใช่หรือ แล้วแตกอย่างไรที่ทำให้คนฟังแล้วอยากฟังแล้วฟังอีก แต่เดี๋ยวนี้ศิษย์ของอาจารย์ฟังธรรมะ เทปธรรมะ ฟังครั้งเดียว พอฟังบ่อยๆ ไม่ฟังแล้ว น่าเสียดายนะ เพราะจริงๆ ความหมายมันมีความหมายที่ดี ใช่หรือไม่ อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์เข้าใจตรงความหมาย


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา