西元二〇一一年 歲次辛卯四月廿六日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
กลัวคือความรู้สึกอยู่ภายใน ภัยยิ่งลงมากเท่าไหร่คนยิ่งหวั่น
รีบเอาตัวรอดอย่างดีแค่หนีทัน บำเพ็ญกันจึงพ้นไม่เวียนมาเจอ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
จะเป็นมากกว่าคำว่าความมีมารยาท มากกว่าความเกรงใจจัดที่เรียกหล่น
มากกว่าสมบัติผู้ดีความเป็นคน ผู้ฝึกฝนจริยะต้องใช้ใจแห่งเด็ก
เมื่อรู้รู้มีลำดับขั้นตอนก่อนหลัง รู้ระวังจิตนี้สิ่งหนึ่งแม้สิ่งเล็ก
ว่างวายไปมีแทนที่ใจคือเหล็ก ในเรื่องเล็กคนมักถือสาหาความ
รู้ทั้งควรและไม่ควรอย่าชวนหลง คนตรงตรงหากขาดธรรมก็เล่าขาด
ถูกไม่ทำทำไม่ถูกย่อมโดนบาด คนนิสัยเคยชินพลาดอย่านิ่งนอนใจ
เป็นคนสุภาพเรียบร้อยพูดจาพาที อ่อนน้อมดีถึงแม้คนไปแล้วไกล
ต้องยังดีปัญหาจึงไม่ตามหลังไล่ รู้ควบคุมกายใจเพราะฝึกหัดมา
จริยะย่อมนำส่งผลซันชิงซื่อเจิ้ง ผู้ใดเหลิงคิดว่าบำเพ็ญตกจากฟ้า
ไม่สุขุมขาดเที่ยงตรงย่อมต้องเสียเวลา สติปัญญามาควบคุมไม่เดินใจลอย
แม้แต่การแต่งกายต้องดูเหมาะสม กระแสสังคมชวนคนหลงไปไม่น้อย
บำเพ็ญต้องคุมกายใจให้อยู่บ่อยบ่อย เสื้อผ้าน้อยแต่สะอาดตาย่อมสุขใจ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
การทำสิ่งดีย่อมมีอุปสรรค การทำสิ่งดีย่อมทดสอบจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) โดยเฉพาะเรื่องดีๆ เรื่องที่ทวนกระแสอารมณ์ ทวนกระแสจิตใจ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ง่าย แต่อย่างน้อยวันนี้ท่านก็เก่งไม่ใช่น้อย อดทนฟังได้ตั้ง (หนึ่งวัน) ใช้ความอดทนหรือใช้ความตั้งใจ (ความตั้งใจ) แล้วพรุ่งนี้พร้อมจะฟังอีกวันหนึ่งไหม (พร้อม) เต็มใจไหม (เต็มใจ) ตั้งใจไหม (ตั้งใจ) เราตั้งใจเพื่ออะไรเพื่อจะได้นำสิ่งดีที่เราฟัง มาใช้ให้เกิดประโยชน์
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ไม่มีใครรู้ไปหมดทุกเรื่อง ไม่มีใครที่จะฉลาดไปเสียทุกสิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราจะรู้สิ่งใดได้ การที่เราจะเข้าใจสิ่งใดได้ ต้องยอมรับว่าเราไม่รู้ เราเขลา เราเบาปัญญา จึงได้เรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเรายอมรับว่าเราไม่เก่ง เราจึงได้เป็นคนเก่ง เพราะเรายอมรับว่าเราเป็นคนไม่ดี จึงได้เป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะยอมรับว่าไม่ดีจึงพยายามอยากเป็นคนดียิ่งๆ ขึ้นไป แต่ถ้าคนทุกคนคิดว่าตัวเองดีแล้ว การจะเรียนรู้ฟังสิ่งที่ดียิ่งขึ้นก็คงไม่เอา เพราะคิดว่าตัวเองดีแล้ว พอแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีใครบ้างที่รู้แล้ว แล้วบอกว่าตัวเองดีแล้ว ส่วนใหญ่จะบอกว่ายังไม่รู้ ยังไม่ดี จึงอยากรู้ยิ่งขึ้น จึงอยากดียิ่งขึ้น ถูกหรือไม่ (ถูก) อย่างนั้นในที่นี้ก็เป็นคนรู้น้อยและยังไม่ดีพอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) กล้าถ่อมตัวเองนะ คนโดยส่วนใหญ่ให้บอกว่าเป็นคนเขลาเบาปัญญายอมรับไหม ไม่ค่อยยอม พอบอกว่าเราเป็นคนไม่ดี ยอมรับไหม ก็ยิ่งไม่ยอมใหญ่
มนุษย์นั้นมีสิ่งที่เรียกว่า “สิ่งที่ดีงาม” และสิ่งที่เรียกว่า “ไม่ดีงาม” มีสิ่งที่เรียกว่า “สุข” และมีสิ่งที่เรียกว่า “ทุกข์” ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อนำสิ่งดีงามไปใช้และหาทางพ้นทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่จะถามว่าให้พ้นทุกข์วันนี้เลย ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากอยู่ อย่างนั้นตอนนี้ขอเริ่มต้นทำสิ่งที่ถูกต้องและดำรงรักษาสิ่งที่ถูกต้องให้มั่นคงไม่หวั่นไหวก็คงดีไม่น้อย จริงหรือไม่ (จริง)
เกิดเป็นคนคนหนึ่งไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ มีแต่ตากับยาย น่าอายไหม ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ ต้องใส่เสื้อผ้ามอซอ ไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยเราอายไหม จะเรียนก็เรียนได้ไม่สูง ถึงเวลาก็ประกอบอาชีพคือทำไร่ไถนาเราอายไหม แม้จะแต่งตัวธรรมดา ไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยก็ไม่อาย แม้จะเป็นคนที่ทำไร่
ไถนา ไม่มีเกียรติยศชื่อเสียงก็ไม่อาย ต้องกินข้าวเปล่าๆ กับผักต้มผักลวก นอนในบ้านหลังคามุงจาก เราก็มีความสุขได้ ถ้ามนุษย์สามารถพึงพอใจและไม่อายในสิ่งพื้นฐาน หรือไม่อายในสิ่งที่ไม่น่าจะอาย หรือไม่อายในสิ่งที่ธรรมดาสามัญ คนๆ นั้นก็คงมีความอยากในหัวใจน้อย โลภโกรธหลงก็คงมาย่ำยีหัวใจได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราอายไหม บ้านใครไม่มีโทรทัศน์บ้าง บ้านใครไม่มีโทรศัพท์มือถือบ้าง บ้านใครที่มีเสื้อผ้าในตู้แล้วไม่คิดซื้อผ้าใหม่บ้าง เวลาเดินไปกับคนที่แต่งตัวดีๆ ทันสมัย ใครกล้าเดินเคียงคู่กับคนแต่งตัวดีทันสมัยบ้าง
ไถนา ไม่มีเกียรติยศชื่อเสียงก็ไม่อาย ต้องกินข้าวเปล่าๆ กับผักต้มผักลวก นอนในบ้านหลังคามุงจาก เราก็มีความสุขได้ ถ้ามนุษย์สามารถพึงพอใจและไม่อายในสิ่งพื้นฐาน หรือไม่อายในสิ่งที่ไม่น่าจะอาย หรือไม่อายในสิ่งที่ธรรมดาสามัญ คนๆ นั้นก็คงมีความอยากในหัวใจน้อย โลภโกรธหลงก็คงมาย่ำยีหัวใจได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราอายไหม บ้านใครไม่มีโทรทัศน์บ้าง บ้านใครไม่มีโทรศัพท์มือถือบ้าง บ้านใครที่มีเสื้อผ้าในตู้แล้วไม่คิดซื้อผ้าใหม่บ้าง เวลาเดินไปกับคนที่แต่งตัวดีๆ ทันสมัย ใครกล้าเดินเคียงคู่กับคนแต่งตัวดีทันสมัยบ้าง
อยากมีความสุขไม่ใช่เรื่องยาก ขอวางใจให้ถูกทำใจให้เป็น ไม่ว่าเป็นอะไรก็สามารถมีความสุขได้ แต่กลัวอย่างเดียวคืออายในสิ่งที่ตัวเองมี รังเกียจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ความสุขก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นอยากจะมีความสุข ขอเพียงเรากล้ายอมรับในสิ่งที่เรามีเราเป็น ไม่รังเกียจและยอมรับในสิ่งที่เป็น เราก็สามารถมีความสุขได้ ถ้าเราวางใจเป็นวางใจถูก รู้จักคิดได้เป็น สิ่งที่เป็นทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างในโลก แม้จะเป็นสิ่งที่สามัญที่สุด ต่ำเตี้ยที่สุด เราก็สามารถสร้างสรรค์ให้มีความสุขได้ ถ้าไม่ยอมรับสิ่งที่ธรรมดาที่สุด ไม่สามารถเป็นสุขในสิ่งที่ธรรมดาที่สุด ในโลกนี้เขาก็หาความสุขใดๆ ในโลกไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนรักคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ บางคนอภัยให้คนอื่นได้เป็นร้อยเป็นพัน แต่กับพ่อแม่พูดผิดหูคำเดียวไม่เคยให้อภัยสักครั้ง อย่างนี้น่าอายกว่าอีกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดง่ายๆ ก็คือคนบางคนพยายามทำตัวเองให้สวยงามภายนอก ดูถูกเหยียดหยามคน แต่ภายในใจดูถูกเหยียดหยาม
พ่อแม่ อย่างนี้น่าอายยิ่งกว่าแต่งตัวมอซอเสียอีก
พ่อแม่ อย่างนี้น่าอายยิ่งกว่าแต่งตัวมอซอเสียอีก
คนบางคนวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง ได้แต่ว่าคนอื่นแต่ว่าตัวเองไม่เป็นเช่นนี้สิคือสิ่งที่เราต้องอาย พยายามจะทำดีแต่ตัวเองทำดีไม่ได้ แล้วบังคับให้คนอื่นดี
อย่างนี้สิน่าอาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนี้สิน่าอาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราถามท่านว่าระหว่างเป็นที่รักของมวลชนกับยอมไม่มีกิน สองสิ่งนี้ท่านเลือกอะไร (ที่รักของมวลชน) แล้วท่านทำให้พ่อ แม่ เพื่อน รักได้หรือยัง คนทุกคนถึงแม้จะตอบได้ แต่สิ่งที่น่าอายก็คือพูดได้ทำไม่ได้ น่าอายกว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เกิดเป็นคนนั้นสิ่งสำคัญก็คือ ถ้าเกิดเป็นคนแล้วไม่มีใครรักไม่มีใครชอบ แม้จะกินอิ่มหมีพีมัน แต่งกายอย่างงดงามก็ปราศจากคุณค่า
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าหวังแต่ตกแต่งภายนอกแต่ภายในกลับหาคุณค่าความดีงามไม่เจอ เช่นนั้นแล้วน่าอายยิ่งกว่าคนที่แต่งตัวไม่ดี แต่รักษาคุณธรรมแห่งความเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามทุกท่านในที่นี้ห่วงท้องมากกว่าห่วงประชา ขอกินอิ่มก่อนถึงแม้คนอื่นจะได้หรือไม่ก็ไม่สนใจ ขอให้ท้องอิ่มก่อนถึงแม้ว่าจะเป็นการทำร้ายใครกี่คนก็ไม่สนใจได้ไหม (ไม่ได้)
ความสุขจะหาไม่ยากถ้ามนุษย์รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่เป็นพื้นฐาน แต่คนรวยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพอใจและเห็นในสิ่งที่ตัวเองมีพื้นฐานเป็นเรื่อง น่าละอาย ความสุขก็เลยเป็นเรื่องที่หาได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่น่าอายสำหรับพุทธะก็คือ
๑. พูดได้แล้วทำไม่ได้
๒. วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นได้เป็นฉากเป็นตอน แต่กลับควบคุมตัวเองเวลาคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองไม่ได้สักครั้งเดียว
๓. คนในโลกนั้นอยากให้ใครๆ เห็นความสำคัญและให้เกียรติเรา อยากเป็นที่รักของใครๆ แต่ถ้าเป็นที่รักแล้ว เขาให้เกียรติแล้ว เขาให้ความสำคัญแล้ว แต่เรามีคุณค่าไม่เท่ากับเขารัก เขาให้เกียรติ เขาให้ความสำคัญ อันไหนน่าอายกว่ากัน สู้เขาไม่รักไม่สนใจยังดีกว่า ใช่หรือไม่
มนุษย์เราอายที่จะต้องแต่งตัวปอนๆ อายที่จะไม่มีเครื่องครัว เครื่องของทันสมัย บ้านทรุดโทรม เราอยากจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่สิ่งที่ควรอายก็คือมีเครื่องทันสมัย มีเสื้อผ้าทันสมัย มีหน้าตาสวยทันสมัย แต่ว่าหัวใจกลับหาความดีงามไม่ได้ อย่างนั้นน่าอายกว่า พยายามมีทุกสิ่งทุกอย่างแต่สูญเสียความเป็นคน คนนั้นน่าอายกว่า หรือรักคนอื่นในโลกได้ แต่รักบิดามารดาไม่ได้อย่างนี้ก็น่าอาย ใช่หรือไม่ (ใช่) จำความดีของคนอื่นได้แต่จำความดีของคนผู้มีบุญคุณไม่ได้อย่างนี้ก็น่าอาย ฉะนั้นเกิดเป็นคนดำรงชีวิตความสุขและความดีงามไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงวางใจให้ถูก ดำรงชีวิตให้เป็น ชีวิตนี้ก็ไม่ควรที่จะต้องอายอะไร แม้จะเสื่อผื่นหมอนใบ กินข้าวกับน้ำเปล่าก็ตาม เพราะทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน
มนุษย์นั้นถึงแม้จะพยายามดีภายนอกเพียงใด แต่ถ้าภายในไม่ดีก็เปล่าประโยชน์ ดังที่คำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ปราบโจรภายนอกปราบง่าย แต่ปราบโจรภายในปราบได้ยาก” เพราะว่ามนุษย์เรานั้นทำดีภายนอก ทำดีง่าย แต่ทำดีทั้งภายนอกและภายในหัวใจนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าคนที่ไม่รู้จักทำดีนั้นจะเปลี่ยนเป็นคนดีไม่ได้
ดังเช่นเรื่องขององคุลีมาลเคยได้ยินใช่หรือไม่ (ใช่) คำพูดหนึ่งว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด” แค่เพียงประโยคเดียวก็ทำให้องคุลีมาล จากความคิดร้าย ประพฤติร้ายเปลี่ยนมาเป็นคนที่พยายามจะทำดี
คำว่า “หยุด” ของพระพุทธองค์คือหยุดอะไร ใช่หยุดเดินไหม (ไม่ใช่) คำว่า “หยุด” ของท่านคือ “หยุดทำบาป หยุดเบียดเบียนผู้อื่น” ท่านบอกว่าเรา “หยุดนานแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด ท่านยังไม่สำรวมกายสำรวมใจ หยุดการเบียดเบียนเสียที” แปลว่ามนุษย์คนใดก็ตามแม้เคยทำผิด แม้เคยทำร้าย แต่ถ้ากลับตัวกลับใจ มุ่งมั่นทำดี คนนั้นก็ทำโลกให้สว่างเหมือนจันทร์ที่พ้นเมฆหมอกฉันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า คนที่เคยประมาทในการดำเนินชีวิต ถ้าตอนนี้รู้ว่าชีวิตอย่าได้ดำรงความประมาท จงรู้จักสำรวมระมัดระวังในการดำเนินชีวิต คนๆ นั้นก็สามารถกลับกลายเป็นคนดีที่ทำให้โลกนี้ร่มเย็นได้
แต่ว่าช่วงที่องคุลีมาลเริ่มเปลี่ยนตัวเอง ตั้งใจมาเป็นผู้บำเพ็ญฝึกฝนปฏิบัติธรรม เป็นธรรมดาที่พอเวลาออกไปบิณฑบาต ย่อมเจอคนบางคนที่เขวี้ยงด้วยก้อนหิน ตีด้วยไม้ และด่าทอด้วยคำพิพาทต่างๆ นานา หากเจอแบบนั้นเรารับได้ไหม
คนๆ หนึ่งเปลี่ยนจากคนไม่ดีมาเป็นคนดี เมื่อมุ่งมั่นจะทำดีแล้วย่อมเจออุปสรรค ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วท่านคิดว่าองคุลีมาลสำเร็จเป็นอรหันต์ไหม (สำเร็จ) แต่หนทางที่จะสำเร็จนั้น ท่านคิดว่าจะไม่เจออุปสรรคเลยไหม ก็เป็นไปไม่ได้ ท่านยังต้องเจอ เมื่อท่านตั้งใจจะบวช การบวชนั้นท่านต้องออกบิณฑบาต เมื่อออกบิณฑบาตท่านต้องเจอคู่กรณี คนที่เคยทำร้าย และเคยไปทำร้ายญาติพี่น้องเขาถึงชีวิต เคยทำร้ายคนรักเขาถึงชีวิต เขาจะแค่ตีไหม (ไม่) ทำทุกอย่างได้ ที่ทำให้เจ็บปวดปางตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าทุกครั้งที่องคุลีมาลไปบิณฑบาตนั้น ท่านจะต้องยอมทนรับกรรมเช่นนี้ จนกว่าท่านจะบรรลุ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านโดนหนักที่สุด หัวก็แตกเนื้อตัวเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ท่านเดินไปหาพระพุทธองค์ด้วยสภาพที่เลือดไหลโทรมกาย ในหัวใจเราถ้ามุ่งมั่นจะทำดีเปลี่ยนแปลงจากคนไม่ดีเป็นคนดี แต่กลับเจอคนกระทำต่อเราเช่นนี้เรายังมั่นคงที่จะทำดีต่อไป เจอคนที่เกลียดเจอคนไม่ดีทำร้ายเราจนเจ็บปวดปางตาย เรายังมั่นคงที่จะทำความดีต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพุทธองค์จึงให้กำลังใจว่า “จงอดทน” เพราะว่าเวรกรรมของท่านที่เคยไปทำกับเขามาซึ่งจะทำให้ท่านนั้นต้องได้รับผล กรรมในนรกเป็นร้อยครั้งพันครั้งจะจบได้ด้วยครั้งนี้ครั้งเดียว ขอเพียงให้อดทนให้ได้ ซึ่งหมายความว่า คนๆ หนึ่งถ้ามุ่งมั่นจะทำสิ่งดีเจอความเจ็บปวดจนกระทั่งปางตาย เจอความทุกข์ยากจนแสนสาหัส ถ้าทนได้เขาจะสามารถละลายกรรมได้ เขาจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ ฉะนั้นในเมื่อเรามีชีวิตหนึ่งเราจะไม่ลองเป็นคนดีจนถึงที่สุดหรือ เกิดเป็นคนมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี นอกจากจะทำให้เราสามารถละลายหนี้บาปเวรกรรม การทำสิ่งที่ดียังทำให้เรา ทำแล้วก็มีความอิ่มใจ ทำแล้วก็มีความสุขใจ และทำแล้วก็สามารถไปถึงซึ่งความพ้นทุกข์ใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเลือกทำสิ่งที่ผิด ทำสิ่งที่ไม่ดี ที่สุดของหนทางก็คือ นรกภูมิ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอยากเป็นสุขทั้งภพนี้และภพไหนๆ ก็จงเลือกที่จะทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงามให้มั่นคง เพราะคนทำชั่ว ผลที่สุดแล้วก็คือหนีไม่พ้นนรกและทุคติภูมิ แต่คนทำดี ถึงที่สุดแล้วก็ยังได้ไปสวรรค์ หรือที่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามว่าระหว่างมนุษย์กับพุทธะเป็นอะไรดี (พุทธะ) ระหว่างคนดีกับคนชั่วเป็นอะไรดี (คนดี) ระหว่างนรกกับสวรรค์ไปไหนดี (สวรรค์) ฉะนั้นตอบหัวใจตัวเองได้หรือยังว่า ทำไมเกิดเป็นคนคนหนึ่งจึงต้องพยายามมีสิ่งดีในหัวใจ ถ้าเราไม่อยากทุกข์ทั้งภพนี้และภพไหนๆ ไม่อยากต้องตกนรกเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ก็จงมุ่งมั่นและศรัทธาความดีงาม เพราะความดีงามนั้นย่อมคุ้มครองคนที่ประพฤติความดีนั้นอย่างมั่นคง แต่ว่าการมุ่งมั่นทำดีแล้วพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น) ขึ้นแค่สวรรค์แต่ยังไปไม่ถึงซึ่งหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด คนที่ยังละกิเลส โลภ โกรธ หลง ไปจากหัวใจไม่ได้ แม้ทุกวันจะทำความดีงามขนาดไหน แต่ก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ทำดี มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา ก็เป็นได้แค่เทพพรหม เมื่อเสวยบุญหมดแล้วก็ยังต้องกลับมาเกิดใหม่ เพราะเรายังมีอีกตัวหนึ่งที่เป็นตัวสำคัญที่เราจะทำให้เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้นั่นคือ
คนสิ้นกิเลสได้จึงสิ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นถึงจะทำดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้ากิเลสยังไม่ตัด กิเลสยังไม่เบาบาง มนุษย์ก็ยังไม่มีวันที่จะสิ้นทุกข์ได้
คนสิ้นกิเลสได้จึงสิ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นถึงจะทำดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้ากิเลสยังไม่ตัด กิเลสยังไม่เบาบาง มนุษย์ก็ยังไม่มีวันที่จะสิ้นทุกข์ได้
กิเลสที่ดีสามารถทำให้มนุษย์ไปสู่สวรรค์ได้ แต่กิเลสไม่ดีก็สามารถทำให้มนุษย์ไปยังนรกได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) ถึงแม้ว่าเราจะทำบุญตักบาตรขนาดไหน มีเมตตาขนาดไหน แต่ความโกรธเรายังไม่เบาบาง ความโลภเรายังไม่บั่นทอน ความหลงเรายังยึดติด ต้นเหตุแห่งความทุกข์เราก็ยังไม่มีวันที่จะล่วงพ้นหรือสิ้นสุดได้
กิเลสที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถล่วงพ้นทุกข์ได้ นอกจากโลภ โกรธ หลงแล้วยังมีอะไรอีก เขาด่าเราแต่เราด่าเขาไม่ได้ นอกจากเราโกรธแล้วเรายังรู้สึกยังไง ความโกรธที่จำไม่ลืมเรียกว่า “ผูกใจเจ็บ” ใช่หรือไม่ (ใช่) กิเลสตัวนี้แหละก็เป็นตัวสำคัญที่ทำให้มนุษย์แม้จะขึ้นสวรรค์แต่ก็ไปไม่ถึงสวรรค์ เห็นเขาดีแต่เราไม่ได้ดี ทำเหมือนๆ กัน เขาได้รับคำชมแต่เราไม่ได้รับคำชม นี่คือเรียกว่า “ริษยา” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกิเลสที่ขวางกั้นให้มนุษย์ไปไม่ถึงซึ่งความดี นอกจากโลภ โกรธ หลงแล้วยังมีหลายอย่าง ในตัวเรา อะไรที่ขวางกั้นทำให้เวลาเห็นสิ่งที่ดีแล้วเราไม่อยากทำมีอะไรบ้าง (ความเกียจคร้าน) ปรบมือให้หน่อยนะ สิ่งที่น่าอายอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์คือเกียจคร้าน รักสบาย พอถึงเวลาบังคับให้ต้องทำงานก็ทำอย่างลวกๆ เช่นนี้เกิดมาก็น่าอายนะ
สิ่งที่ขวางกั้นให้มนุษย์ไม่สามารถไปถึงซึ่งความดีงาม มีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น โลภ โกรธ หลง ผูกใจเจ็บ อิจฉาริษยา น้อยเนื้อต่ำใจ หรือดูหมิ่นดูแคลนตัวเอง คิดว่าตัวเองคงไม่สามารถดีได้หรือท้อถอย พอทำดีสักครั้งหนึ่งเจอคนว่า เจอคนกล่าว เราก็ถอดใจแล้ว นี่คือคนที่ไม่มุ่งมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านลองคิดดูนะ ท่านองคุลีมาลฆ่าคนกี่คน เก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ท่านยังแปรเปลี่ยนตัวเองยังกลับเป็นคนดีได้ แล้วตัวเราล่ะ เราเลวร้ายถึงขนาดท่านไหม ฉะนั้นถูกคนต่อว่านิดหนึ่ง ถูกคนดูถูกนิดหนึ่ง เจอคนเข้าใจผิดนิดหนึ่งไยเราจึงต้องหวาดกลัว ขอเพียงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอายเลย ขอเพียงกล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราถ้ารู้จักทำดีเพื่อตัวเองแล้ว แล้วยังรู้จักทำดีเพื่อผู้อื่นก็เป็นสิ่งประเสริฐ เวลาเราทำดีสักอย่างหนึ่ง เราปลื้มใจ เราปิติใจ เราเป็นสุขใจ แต่อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นในหัวใจ เพราะไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนหลงดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) หลายครั้งที่เวลาเราทำดีแล้ว พอคนชมเราก็มั่นใจว่าเราเป็นคนดีไม่น้อย พอเจอคนว่า เรารับได้ไหม ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพอทำดีน้อยกว่าคนอื่นเรารู้สึกเสียหน้าไหม นี่แหละเรียกว่าทำดีอย่างหลงดี
ฉะนั้นยิ่งพยายามมุ่งมั่นทำดี สิ่งที่ต้องระวังให้ลงลึกยิ่งขึ้นก็คือทำแล้วต้องไม่ติดในความหลง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นหลุดจากความชั่วแต่มาติดความดี ก็ไม่พ้นทุกข์เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
จงทำดีเพื่อดี ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังวอนขอ ถ้าทำดีแล้วยังหวังวอนขอก็ยังหนีไม่พ้นความทุกข์ยาก มนุษย์ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น ถ้าอยากไม่ทุกข์จงปล่อยวางแม้กระทั่งความดีก็ยึดถือไม่ได้ และสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีใน เวลาเดียวกัน มนุษย์หนีไม่พ้นความรัก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับนักเรียนที่เป็นชาวจีน)
ถึงแม้ว่าคนที่ฟังไม่รู้เรื่องยังอยู่จนครบได้เลย อย่างนั้นเราฟังรู้เรื่องอย่ายอมแพ้นะ ดูแลตัวเองเป็นแล้วเราต้องรู้จักดูแลผู้อื่นเป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
หลายคนมักพูดว่าเกิดเป็นคนก็ยากแล้ว ยิ่งพยายามเป็นคนดียิ่งยากใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ลองทำสักครั้งหนึ่ง เพราะการเป็นคนดีนั้นคือการปูทางให้เราพ้นทุกข์ เพราะโลกใบนี้เป็นไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก คนที่มุ่งมั่นทำความดีก็คือคนที่หาหนทางพ้นทุกข์ แต่คนที่ไม่เคยคิดจะทำความดีเลยคือคนที่ไปสู่ความทุกข์ยากไม่จบสิ้น ฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่ท่านต้องทำและต้องเข้าใจให้ได้คือทำไมเราจึงต้องเป็นคนดีที่มั่นคง เพราะถ้าเราเข้าใจว่าการเป็นคนดีที่มั่นคงเป็นไปด้วยอะไร เราก็จะเดินไปได้จนถึงสุดทาง แต่ถ้าเราไม่เข้าใจว่าเป็นคนดีไปเพื่ออะไร พอทำไปสักพักเราเจออุปสรรคเราก็จะเลิกล้มทันที
ระหว่างนรกกับสวรรค์เราเลือกอะไร (สวรรค์) ถ้าเราเลือกสวรรค์ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมคนเราจึงต้องเป็นคนดี ถามว่า “กรรม” มนุษย์กลัวไหม (กลัว) ถามว่า “ทุกข์” กลัวไหม (กลัว) แล้วเราจะ
สิ้นกรรมได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักสิ้นกิเลสในใจเสียก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)
สิ้นกรรมได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักสิ้นกิเลสในใจเสียก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)
อยากหนีกรรมให้พ้น อยากพ้นทุกข์ในโลกนี้ให้ได้ เริ่มต้นก็คือต้องเป็นคนดีและละลายบาปเวรกรรมด้วยตัวเองคือเบาบางซึ่งกิเลส เพราะกิเลสคือตัวต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์ประพฤติผิดคิดร้ายและยากจะเป็นคนดี อย่าคิดว่าเป็นคนดีก็พ้นทุกข์แล้ว เป็นคนดีก็สบายแล้ว ถ้าเป็นคนดีแต่ยังตัดโลภ โกรธ หลง ผูกใจเจ็บ อิจฉาริษยา เกียจคร้าน ตัดออกไปจากใจ
ไม่หมด คนนั้นก็ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ คนนั้นก็ยังไม่สามารถเป็นคนดีถึงที่สุดได้ กิเลสที่ขัดขวางกั้นไม่ให้คนสามารถบรรลุถึงซึ่งความดีมี ๑๖ อย่างด้วยกัน เรียกว่า “อุปกิเลส ๑๖”
ไม่หมด คนนั้นก็ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ คนนั้นก็ยังไม่สามารถเป็นคนดีถึงที่สุดได้ กิเลสที่ขัดขวางกั้นไม่ให้คนสามารถบรรลุถึงซึ่งความดีมี ๑๖ อย่างด้วยกัน เรียกว่า “อุปกิเลส ๑๖”
เมื่อตั้งใจจะทำสิ่งใด ขอให้ทำและไปให้ถึง อย่ายอมแพ้กิเลสที่อยู่ในใจตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วมนุษย์แต่เดิมหามีกิเลสไม่ แต่ที่มีกิเลสก็เพราะความยึดมั่นหลงมั่นอย่างผิดๆ ดอกไม้มีวันเต็มตะกร้าได้ ก็มีวันหมดตะกร้าได้ ชีวิตเกิดมามีวันได้รับคำชมได้ ก็ต้องมีวันได้รับคำต่อว่าได้ แต่ถูกว่าแล้วแก้ไขให้ดีขึ้นย่อมประเสริฐกว่าต่อว่าไม่ได้แล้วยังไม่มีอะไรดี ขึ้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่าดูเบาคุณค่าและความดีงามในหัวใจของตัวเองนะ มีอยู่สิ่งหนึ่งถ้ารักษาได้ดี เราก็ไปถึงซึ่งความดีได้ นั่นคือคำว่า “อดทน อดกลั้น”
ยืนก็เมื่อย นั่งก็เมื่อย ก็ต้องมียอมเมื่อยบ้าง แต่เมื่อยแล้วได้ดี อดทนแล้วเป็นคนได้ดีก็น่าจะลองอดทนสักตั้งหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านเพียงแค่นี้นะ
หมายเหตุ
อุปกิเลส หรือ จิตตอุปกิเลส ๑๖ (ธรรมเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก ดุจผ้าเปรอะเปื้อนสกปรก ย้อมได้ไม่ดี)
๑. อภิชฌาวิสมโลภะ (คิดเพ่งเล็งอยากได้ โลภไม่สมควร, โลภกล้า จ้องจะเอา ไม่เลือกควรไม่ควร)
๒. พยาบาท (คิดร้ายเขา)
๓. โกธะ (ความโกรธ)
๔. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ)
๕. มักขะ (ความหลบลู่คุณท่าน, ความหลู่ความดีของผู้อื่น, การลบล้างปิดซ่อนคุณค่าความดีของผู้อื่น)
๖. ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมท่าน, เอาตัวขึ้นตั้งขวางไว้ ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน)
๗. อิสสา (ความริษยา)
๘. มัจฉริยะ (ความตระหนี่)
๙. มายา (มารยา)
๑๐. สาเถยยะ (ความโอ้อวดหลอกเขา, หลอกด้วยคำโอ้อวด)
๑๑. ถัมภะ (ความหัวดื้อ, กระด้าง)
๑๒. สารัมภะ (ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะ)
๑๓. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน)
๑๔. อติมานะ (ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา, ดูหมิ่นเขา)
๑๕. มทะ (ความมัวเมา)
๑๖. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ)
อ้างอิงจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม ของท่าน พระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตโต)
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อันดนตรีกล่อมเกลาจริยะ จิตสาระเข้มงวดคมกลมเกลี้ยง
ความน่ามองน่าฟังร้อยจำเรียง เพลงคือเสียงดังเบาที่เข้ากัน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนกินข้าวอิ่มไหม
* รู้อยู่แล้วต้องทำอะไร ชอบคิดใหม่ไหนเร็วกลับช้า รู้จริงไม่ห่างปัญญา รู้หมดฟ้าไม่ทำก็คง...
เห็นไหมคนเรา ชอบไฟเผาตัวเอง รีบเหมือนเร่งไม่เดินตรงตรง เมื่อสุขสันต์ก็ทำไป ไม่สุขทำยังไงอยากเดินก็งง มีสิ่งแรกตั้งหลายอย่าง ที่ยังไม่ยักมีศิษย์มั่นคง (ซ้ำ *)
หัวใสมีเชาวน์ กิเลสมิเผาด้วยแรง ชีวิตแต่งจิตใจให้งง ศิษย์ไม่ใช่พวกกำมะลอ ควรฝึกอย่าท้อแต่จงมั่นคง บางสิ่งหัวใจอึดอัด ในความผูกมัดช่วยให้ใจปลดปลง (ซ้ำ *)
ชื่อเพลง: ศิษย์กำมะลอ ?
ทำนองเพลง: รักสิบล้อ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กินอิ่มไหม (อิ่ม) กินอะไรหรือ (ส้มตำ) ส้มตำอร่อยได้มันต้องมีอะไรบ้าง (มะละกอ, พริก, มะนาว, มะเขือเทศ, ซีอิ้ว) มีเครื่องครบ แต่ถ้าไม่มีครกกับสากจะตำได้ไหม (ไม่ได้) อย่ามัวแต่หาเครื่องจนครบแต่ครกกับสากหายไปไหนละ ถ้าไม่ได้ตำ เอามาคลุกมันก็ไม่แซบ ใช่ไหม (ใช่) เห็นไหมว่าส้มตำอร่อยได้มันก็ต้องประกอบไปด้วยหลายๆ อย่างรวมกัน ไม่มีอะไรมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ต้องลงตัวพอดีๆ รสจึงจะกลมกล่อม ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วคนทุกคนก็มีรสปากแตกต่างกัน แต่ทำไมแม่ครัวจึงรู้ว่ารสตรงนี้เป็นรสพอดีที่ใครๆ ก็ชอบ แล้วเรารู้ได้ไหม (ไม่รู้) จริงหรือ เราเคยทำกับข้าวให้คนที่บ้านกินไหม (เคย) แล้วจะบอกว่าไม่รู้ได้หรือ
แต่ว่ามนุษย์สามารถมีปัญญารู้รสพอดีได้ ครั้งแรกอาจจะลองผิดลองถูก แต่พอครั้งสองครั้งสามก็รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ารสพอดี และอะไรที่เรียกว่ารสกลมกล่อมและเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ตำอย่างไรไม่ให้แรงเกินไป ไม่ให้เละเกินไป แล้วก็ไม่ให้แข็งเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นกว่าจะเป็นส้มตำหนึ่งครกก็ต้องอาศัยหลายๆ อย่างรวมกัน ถึงจะได้รสกลมกล่อมที่ลงพอดี ถูกหรือไม่ (ถูก) ชีวิตก็เหมือนกันกว่าจะลงตัวพอดีๆ ก็ต้องอาศัยหลายๆ อย่าง แต่พออาศัยหลายๆ อย่างแล้วถ้ามันมีอะไรมากเกินไปก็อาจจะทำให้กลายเป็นไม่พอดี กลายเป็นเค็มเกิน กลายเป็น (หวานเกิน, เปรี้ยวเกิน, เผ็ดเกิน) อย่างนั้นตัวเราล่ะ ปรุงแต่งรสชาติของชีวิตได้พอดีไหม (ไม่พอดี) ปรุงมากเกินไปคนก็ว่าหลอกลวง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เผ็ดไปคนก็เข็ดฟัน ใช่หรือไม่ (ใช่) หวานเกินไปก็ดูน่าลิ้มลองแต่นานๆ ไปมันก็เลี่ยน แถมทำให้คนที่อยู่ข้างๆ เป็นโรคเบาหวาน ถูกหรือไม่ (ถูก) เค็มเกินไปก็ไตวายตายไว ใช่หรือเปล่า
ตำอย่างไรไม่ให้แรงเกินไป ไม่ให้เละเกินไป แล้วก็ไม่ให้แข็งเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นกว่าจะเป็นส้มตำหนึ่งครกก็ต้องอาศัยหลายๆ อย่างรวมกัน ถึงจะได้รสกลมกล่อมที่ลงพอดี ถูกหรือไม่ (ถูก) ชีวิตก็เหมือนกันกว่าจะลงตัวพอดีๆ ก็ต้องอาศัยหลายๆ อย่าง แต่พออาศัยหลายๆ อย่างแล้วถ้ามันมีอะไรมากเกินไปก็อาจจะทำให้กลายเป็นไม่พอดี กลายเป็นเค็มเกิน กลายเป็น (หวานเกิน, เปรี้ยวเกิน, เผ็ดเกิน) อย่างนั้นตัวเราล่ะ ปรุงแต่งรสชาติของชีวิตได้พอดีไหม (ไม่พอดี) ปรุงมากเกินไปคนก็ว่าหลอกลวง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เผ็ดไปคนก็เข็ดฟัน ใช่หรือไม่ (ใช่) หวานเกินไปก็ดูน่าลิ้มลองแต่นานๆ ไปมันก็เลี่ยน แถมทำให้คนที่อยู่ข้างๆ เป็นโรคเบาหวาน ถูกหรือไม่ (ถูก) เค็มเกินไปก็ไตวายตายไว ใช่หรือเปล่า
ชีวิตก็เหมือนกันนะอยากจะเติมแต่งอะไรต้องไม่ลืมว่า อย่ามากเกินไป อย่าปล่อยให้อะไรมันมากเกิน อย่าปล่อยให้อะไรมันน้อยเกิน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นไม่กลมกล่อมและกลายเป็นโทษกับร่างกายไป จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราปรุงแต่งรสวันนี้ได้อร่อยไหม ชีวิตเราตอนนี้ปรุงแต่งรสได้พอดีไหม (ไม่พอดี) ถ้าปรุงไปปรุงมาบางทีมันก็สุกเกินไป บางทีมันก็กลายเป็นสุกๆ ดิบๆ บางทีมันก็กลายเป็นดิบจนกินไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตนี้สิ่งสำคัญคือความลงตัวอย่างพอดี แล้วอะไรล่ะเรียกว่าลงตัวอย่างพอดี ปรุงมะละกอ ปรุงอาหาร ปรุงง่ายแต่ปรุงชีวิตให้ลงตัวพอดีรู้สึกว่าจะปรุงได้ยากไหม (ยาก) เหมือนเวลาเรากินส้มตำเราบอกว่าอร่อย แต่ถ้ากินมากเกินไปก็จุกท้อง กินน้ำมากเกินไปก็ปวดท้อง ฉะนั้นเราต้องรู้จักพอดีทั้งกายและพอดีทั้งใจ ถ้าไม่พอดีกายไม่พอดีใจ ความโลภมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดโทษทั้งกายและใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตนี้ครอบครัวเรานี้เหมือนการตำส้มตำหนึ่งครก อาจารย์ถามศิษย์นะใครเป็นสาก ใครเป็นครก ใครเป็นมะละกอ ใครเป็นมะเขือเทศ ใครเป็นซีอิ้ว ใครเป็นเครื่องปรุงรส ออกมาเบ็ดเสร็จ ก็กลายเป็นครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งก็เหมือนอาหารจานๆ หนึ่ง ถ้าครอบครัวนี้เลี้ยงลูกได้ดี อบรมได้ดี ไม่ว่าสามี ไม่ว่าภรรยา ไม่ว่าลูกไปอยู่ที่ไหนก็ชวนมองชวนกิน แต่ถ้าปรุงไม่ดี ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนไม่เอา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์ตอบอาจารย์ได้ไหมว่า ชีวิตๆ หนึ่งอะไรคือครก อะไรคือสาก อะไรคือมะละกอ อะไรคือเครื่องปรุงรส อาจารย์ว่าบางทีภรรยาก็เหมือนครก สามีเหมือนสาก ตำได้ตำเอาใช่ไหม หรือบางทีบางบ้านสามีเหมือนสาก ภรรยาเหมือนครก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นศิษย์ต้องจำไว้ว่าอยากให้ครอบครัวมีความสุข วันไหนสามีเป็นสาก วันนั้นศิษย์ก็อย่าเป็นสากเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นมันจะตำไม่ได้แต่จะทะเลาะกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) และถ้าวันไหนสามียอมเป็นครกวันนั้นเรายอมเป็นสากดีไหม (ดี) แต่เราต้องมองให้ออกใช่หรือเปล่า (ใช่) ชีวิตยากเกินไปจนมองไม่ออกหรือไม่ แล้วใครล่ะเป็นมะละกอ (ลูก) ใช่หรือเปล่า ถ้าเราอบรมกล่อมเกลาเขาได้ดี ลูกก็ออกมาน่ากินชวนมอง ใครๆ ก็ชื่นชม ครกกับสากที่คนตำเจ้านี้ ตำได้อร่อยจริงๆ แต่ถ้าตำออกมาแล้วบอกว่าคนกินแล้ว “อุ้ย เค็มเหลือเกิน” บ้านนี้ตระหนี่ถี่เหนียวจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือว่าหวานเกินไปบ้านนี้ก็เป็นอย่างไร (เลี่ยน) ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอาหารจานหนึ่งก็ทำให้เรามองเห็นชีวิตคนๆ หนึ่งได้เหมือนกัน เหมือนชีวิตเราบางครั้งก็ต้องเป็นครก บางครั้งก็ต้องเป็นสาก บางครั้งก็ต้องยอมเป็นมะละกอ ตอนนี้เราอยู่บ้านเราได้เป็นครก อยู่บ้านเราได้เป็นสาก แต่ถ้าไปอยู่โรงเรียน บางครั้งเราจะเป็นครกเป็นสากเหมือนที่อยู่บ้านไม่ได้ บางทีเราต้องกลายเป็นเครื่องปรุงรส จะไปทำตัวเก่งเหมือนอยู่ที่บ้านเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) บางทีอาจจะเป็นเครื่องปรุงรสที่แม้แต่เป็นเพียงพริกเม็ดเล็กๆ หนึ่งเม็ด หรืออาจจะเป็นมะนาวหนึ่งลูกก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนเราจะเก่งไปทุกเรื่องหรือจะยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเป็นในทุกๆ ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะในเรื่องราวๆ หนึ่งคนย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะ จะยืนยันนั่งยันให้ตัวเองเป็นครกแล้วก็ต้องเป็นครกทุกๆ ที่ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าไม่มีสากครกก็ไม่น่าสนใจแล้ว แล้วถ้าไม่มีมะละกอ ไม่มีเครื่องปรุงรส ก็อาจจะไม่ได้ส้มตำออกมาเพราะทุกคนต่างไม่สนใจซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนวันนี้ห้องพระนี้เหมือนครกใบใหญ่ๆ ไหม (เหมือน) อาจารย์ผู้พูดธรรมะเหมือนสากคอยกวนมะละกอนี้ให้เข้ากันเพื่อให้ได้รสชาติ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่เราทำอะไรอยู่ร่วมกับคนอื่น คนอื่นก็มองไม่ค่อยจะเห็นว่าเรามั่ว เราทำผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าวันหนึ่งชีวิตเราต้องอยู่คนเดียวจะมามั่วไม่ได้นะ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องระวังในการดำเนินชีวิตนั้นก็คือความระมัดระวังสุขุมรอบคอบ ใจเย็นๆ ทำอะไรอย่าใจร้อน ในโลกใบนี้มีความทุกข์เป็นที่ตั้ง ถ้าคิดพลาดคิดผิดมนุษย์ก็ทุกข์ เป็นเรื่องที่ต้องเจออย่างหนีไม่พ้น แล้วเราจะหนีจากวัฏฏะทุกข์ของโลกใบนี้ได้อย่างไร
อาจารย์อยากกล่าวกับศิษย์ว่า ถ้ามนุษย์รู้จักวางเฉยไม่ยินดี
ยินร้ายในโลกใบนี้ รู้จักมีสติสัมปชัญญะด้วยความเห็นแจ้งจริง เราก็คงไม่ปล่อยให้โลกใบนี้ทำร้ายเราให้ทุกข์แล้วทุกข์เล่าหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) สติจะช่วยทำให้เราระลึกรู้ถึงความเป็นจริงใจชีวิต
ยินร้ายในโลกใบนี้ รู้จักมีสติสัมปชัญญะด้วยความเห็นแจ้งจริง เราก็คงไม่ปล่อยให้โลกใบนี้ทำร้ายเราให้ทุกข์แล้วทุกข์เล่าหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) สติจะช่วยทำให้เราระลึกรู้ถึงความเป็นจริงใจชีวิต
ในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ มีเรื่องที่น่ายินดีและไม่น่ายินดี มีเรื่องที่เรียกว่าได้และเสีย สุขและทุกข์เป็นเรื่องปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงแม้เราจะพยายามขับเคี่ยวกับคนอื่นให้เป็นคนเก่งขนาดไหน แต่ก็ยังมีคนที่เก่งกว่าและไม่เก่งกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้นสามคน โดยมอบแอปเปิ้ลให้คนแรกหนึ่งผล คนที่สองได้ผลไม้น้อยกว่าคนแรก คนที่สามได้ผลไม้มากกว่าคนแรก)
ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกนี้ จงจำไว้คำหนึ่งว่า “แก่นของการศึกษาหลักธรรม แก่นของความเป็นจริงก็คือ ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นว่าเราหรือของเรา” เพราะว่าคำว่า “เราได้” ศิษย์ได้แอปเปิ้ล ดีใจไหม (ดีใจ) แต่ถ้าเทียบกับคนได้มากกว่า เราก็เหมือนไม่ได้เลย แต่ถ้าเราคิดว่าก็ยังดีเพราะยังมีคนอื่นได้แค่ครึ่ง หรือถ้าเราได้แค่ครึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ก็คือ ในโลกความเป็นจริงใบนี้มีความเป็นกลางอยู่ในทุกๆ ที่ ถ้าศิษย์สามารถมีจิตตระหนักรู้ในความเป็นจริง เราจะไม่หลงยินดียินร้ายกับอะไรในโลกใบนี้ เวลามีคนมาชมศิษย์สวยจัง เก่งจัง ดีใจไหม (ดีใจ) แต่ถ้าศิษย์มองให้ดีๆ ศิษย์จะรู้ว่าสิ่งที่บอกว่าสวยจัง เก่งจัง มันก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง แต่พอมองให้จริงๆ แล้วมันมีคนสวยกว่าศิษย์ไหม (มี) แล้วเราควรจะดีใจไหม (ไม่ควร) แล้วมีคนเก่งกว่าศิษย์ไหม (มี) แล้วเราควรจะชื่นใจไหม (ไม่ควร)
ฉะนั้นในความเป็นจริงของโลกใบนี้ มีทั้งความแข็งกับความอ่อน แล้วสิ่งที่เรียกว่าชีวิตคือสิ่งที่อยู่ตรงกลางไม่แข็งไม่อ่อน สิ่งที่เรียกว่าชีวิตที่แท้จริงคือ ไม่ดี ไม่ร้าย ไม่ยึดด้านดี แล้วก็ไม่เป็นคนร้าย แต่อยู่ระหว่างกลาง เมื่อเราอยู่ในโลกนี้เรายึดมั่นตัวเองไม่สนใจคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เรายึดมั่นคนอื่นไม่สนใจตัวเองได้ไหม (ไม่ได้) ขึ้นชื่อว่าชีวิตคือไม่ว่าเขาไม่ว่าเราต้องพบกันตรงกลางถึงจะไปได้รอด แล้วถ้าวันนี้เราไปพบเขาโดยเราอยู่ตรงกลาง แต่เขายังยืนยันเป็นแบบเขาอยู่เราก็ต้องวางเฉย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นควรหรือที่เราจะยินดีเมื่อได้รับ ควรหรือที่จะเศร้าเสียในเมื่อเราต้องสูญเสีย เพราะเมื่อมีคนได้ก็มีคนได้มากกว่า เราเป็นคนเสียแต่ ก็ยังมีคนเสียมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) วันหนึ่งเราโดนด่าก็ยังมีคนอื่นถูกด่า แล้วเราจะเสียใจทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่) จงประคองจิตเราให้อยู่ตรงกลาง เพราะสิ่งที่เรียกว่าตรงกลางคือความสมดุล คือสิ่งที่เรียกว่าชีวิต แต่ถ้าเมื่อใดเราเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งเราก็คือคนที่ไม่อยู่ในความเป็นจริง ขาดสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนเวลาศิษย์เลือกซื้อผลไม้สักอย่างหนึ่ง ถ้าเลือกได้ศิษย์คงมองตั้งแต่หัวยันท้าย แล้วก็รอบ ๆ ผล ฉะนั้นเมื่อความทุกข์มาทำไมไม่มองมันให้รอบๆ ก่อนที่จะรับมันมาทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเราโดนว่าเราบอกว่าทุกข์ใจจังเลย เหมือนเวลาเราเสียเงินก็บอกว่าทุกข์ใจจังเลย ก่อนจะบอกว่าทุกข์มองให้ทั่วจนหัวท้ายแล้วก็มองให้รอบๆ แล้วเราจะทุกข์กับมันไหม (ไม่)
เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็โดนว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ย่อมสูญเสีย เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ต้องเจ็บป่วยแล้วก็ต้องมีการพลัดพราก และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเจอกับตัวเองก็ไม่ต้องทุกข์ เพราะเราเข้าใจแล้วว่า “เป็นเช่นนั้นเอง”
ชีวิตต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครบ้างเกิดแล้วไม่ตาย ความแก่ความตายเป็นทุกข์ธรรมดา ไม่น่ากลัวเลย เมื่อความสุขมาศิษย์ควรเลือก ฉะนั้นถ้ามีความทุกข์มา ทำไมไม่รู้จักเลือกแล้วมองให้ดี เราจะได้ไม่ปิดบังตาตัวเองแล้วปล่อยตัวเองให้ทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การที่เราจะชนะทุกข์ได้นั้น เราต้องมีสติรู้เท่าทันและยืนอยู่บนความเป็นจริง เพราะถ้าเราไม่มีสติเราก็จะพบกับทุกข์เดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
มนุษย์มักจะยึดติดกับความยึดมั่นถือมั่น นี่ตัวเรา นี่ของเรา แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้แล้ว ศิษย์จะมองว่าไม่มีอะไรเป็นของเราได้อย่างแท้จริง ถูกหรือไม่ (ถูก) แน่ใจหรือว่าทองกับเงินมันจะอยู่กับเราตลอด ที่มันอยู่กับเราเพราะว่าได้มาและเสียไป
ใช่หรือไม่ (ใช่) และการยอมเสียไปแล้วอาจจะไม่ได้มาก็มี หรือเก็บจนได้แต่ผลสุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นต้องเสียไปก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ใช่หรือไม่ (ใช่) และการยอมเสียไปแล้วอาจจะไม่ได้มาก็มี หรือเก็บจนได้แต่ผลสุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นต้องเสียไปก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ ศิษย์จะมองว่า ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะถึงที่สุดแล้วมีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี เข้าใจไหม ศิษย์ว่าศิษย์มีเงินไหม (มี) แต่ถ้าไปเทียบกับ
มหาเศรษฐีศิษย์ว่ามีไหม มันก็เหมือนไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอไปเทียบกับยาจก นั่นแหละมั่งมีแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นสุขหรือทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดียินร้ายเลย แต่เป็นสิ่งที่มันผ่านมาให้เราเรียนรู้และเข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เพราะผู้ใดที่คิดยึด ผู้นั้นคือคนที่หาทุกข์ใส่ตัว หาเหาใส่หัว แล้วเรายึดไหม (ยึด) โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” ใช่ไหม (ใช่) ไหนใครมีความรักยกมือขึ้น ศิษย์ก็รู้ “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” แต่อยากมีไหม (อยาก) อาจารย์จึงอยากบอกว่ามนุษย์นั้นแปลก รู้ก็รู้แต่ถึงเวลาก็ทำไม่ได้ดั่งที่รู้ ฉะนั้นสิ่งที่รู้มันก็เลยกลายเป็นแค่รู้แต่ไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวใจเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)
มหาเศรษฐีศิษย์ว่ามีไหม มันก็เหมือนไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอไปเทียบกับยาจก นั่นแหละมั่งมีแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นสุขหรือทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดียินร้ายเลย แต่เป็นสิ่งที่มันผ่านมาให้เราเรียนรู้และเข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เพราะผู้ใดที่คิดยึด ผู้นั้นคือคนที่หาทุกข์ใส่ตัว หาเหาใส่หัว แล้วเรายึดไหม (ยึด) โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” ใช่ไหม (ใช่) ไหนใครมีความรักยกมือขึ้น ศิษย์ก็รู้ “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” แต่อยากมีไหม (อยาก) อาจารย์จึงอยากบอกว่ามนุษย์นั้นแปลก รู้ก็รู้แต่ถึงเวลาก็ทำไม่ได้ดั่งที่รู้ ฉะนั้นสิ่งที่รู้มันก็เลยกลายเป็นแค่รู้แต่ไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวใจเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)
อาจารย์ยกตัวอย่างนะว่า มนุษย์ทุกคนหัวใจเหมือนโหยหาความรัก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์คิดว่ามีใครเติมใจศิษย์ให้เต็มได้บ้าง ขนาดพ่อแม่ยังไม่เต็มเลย เพราะถ้าพ่อแม่เติมให้เต็มเราอิ่มแล้ว เราสุขแล้ว ศิษย์จะวิ่งไปหาข้างนอกไหม อาจารย์จึงบอกว่าความรักเหมือนดาบสองคม ความรักเหมือนยาขม กินดีๆ ก็บำรุงกำลัง กินไม่ดีก็ขมติดคอตาย ใช่หรือเปล่า
จริงๆ แล้วความรักเหมือนกองไฟ อยู่ใกล้ๆ ก็อุ่นดี แต่เมื่อไหร่ที่คิดครอบครองเป็นเจ้าของ มันจะไหม้คนๆ นั้นทันที ใช่ไหม (ใช่) แล้วมีใครบ้างล่ะได้กองไฟแล้วไม่อยากครอบครอง
เงินเผาใจไหม (เผา) บุรุษรักสตรีเผาใจไหม (เผา) สตรีรักบุรุษเผาใจไหม (เผา) แค่หน้าตา ขอให้หน้าตาสวย ขอให้หน้าตาหล่อ เผาเลยไหม (เผา) ฉะนั้นที่ใดมีรักก็เหมือนกำลังจุดกองไฟ อยู่ห่างๆ ก็พออบอุ่น แต่เมื่อไหร่คิดครอบครองเราก็คือคนที่กำลังก่อกองไฟ ยิ่งถ้าพยายามครอบครองกองไฟมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งร้อนรนใจมากเท่านั้น และศิษย์รู้ไหมว่ากองไฟยังมีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อยู่ๆ มันจะจุดติดก็ติดขึ้นมา หรืออยู่ๆ มันจะดับ มันก็ (ดับ) แม้เราจะเติมฟืนเติมเชื้ออย่างไรมันก็ไม่ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ๆ เขาจะรักเราจะหาเหตุผลร้อยแปดประการบางทีก็หาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอยู่ๆ เขาหมดรักเรา เราทำ ให้ความรักเกิดขึ้นใหม่ขึ้นไหม (ไม่ขึ้น) ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือต้อง (ทำใจ)
ผู้ชายกับผู้หญิง อาจารย์ก็เปรียบได้กับตะเกียบกับช้อน ถูกฝาถูกคู่ก็กินกับข้าวได้อร่อยก็มีชีวิตรอดไปมื้อหนึ่ง แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งเขาไม่อยากเป็นตะเกียบแต่เขาอยากเป็นช้อนส้อม เจอกับช้อนกลาง เป็นอย่างไร มันก็กินไม่อร่อย จะใช้กินมันก็ตีกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) จากที่จะทำให้ชีวิตรอดก็กลายเป็นไม่รอด ลำบาก เป็นทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าสิ่งที่ศิษย์ก่อกองไฟขึ้นมาแล้ว เราเป็นช้อนแล้วเขาจะยอมเป็นตะเกียบ เราเป็นช้อนแล้วจะเจอช้อนส้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าคิดจะมีรักศิษย์ต้องพร้อมเสี่ยงกับความทุกข์ แล้วที่สุดของความทุกข์ที่น่ากลัวก็คือความฟุ้งซ่านจนเป็นบาป และที่สุดของความรักก็คืออะไรอีกอย่างหนึ่งรู้ไหม ที่น่ากลัวที่สุดก็คือประหัตประหารกันจนตายไปข้างหนึ่ง หรือตายด้วยกันทั้งคู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์อยากจะเสี่ยงมีรักไหม (เสี่ยงไปแล้ว) แล้วเป็นอย่างไร สงครามชีวิตจบไหม
(ไม่จบ) ไปได้เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเห็นพ่อแม่เราเป็นอย่างไร แล้วเราอยากมีไหม ศิษย์บอกว่า ตอนนี้ใหม่ๆ มันมีความสุข อาจารย์อยากจะบอกว่าสุขนั้นนะ มันเหมือนแก้วบางนะศิษย์ ถ้าขาดความระวังหลงลืมตัวมันก็พร้อมแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ ได้ทันที
(ไม่จบ) ไปได้เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเห็นพ่อแม่เราเป็นอย่างไร แล้วเราอยากมีไหม ศิษย์บอกว่า ตอนนี้ใหม่ๆ มันมีความสุข อาจารย์อยากจะบอกว่าสุขนั้นนะ มันเหมือนแก้วบางนะศิษย์ ถ้าขาดความระวังหลงลืมตัวมันก็พร้อมแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ ได้ทันที
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าโลกใบนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า น่ารัก น่ายินดี มนุษย์ก็จะหนีพ้นความทุกข์โศกเศร้าเสียใจได้ แต่ถ้าเมื่อใดเรายังพึงพอใจกับความรักความยินดี เมื่อนั้นมนุษย์ก็หนี้ไม่พ้นความทุกข์โศกเศร้าเสียใจในโลกนี้ไปได้
อาจารย์พูดถึงขนาดนี้แล้ว ที่สุดของความรักถ้าไม่ควบคุมสติปัญญา ก็คือบ้า ก็คือฆ่า ศิษย์เลือกเองแล้วกัน ขนาดตัวเองยังประคองไม่ค่อยดี แน่ใจหรือว่าจะไปอยู่กับเขา หน้าแบบนี้ สวย หล่อ แล้วแน่ใจหรือว่าศิษย์จะเอาตัวรอดได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากจะรักต้องพร้อมที่จะเสี่ยง เพราะที่สุดของความเสี่ยงคือคำว่าบ้าและตาย และอาจจะเป็นตายทั้งเป็น ไม่ใช่ตายจริงๆ
ศิษย์เคยได้ยินไหม การผูกใจเจ็บที่ทำให้เราเวียนเจอเขาอีก น่ากลัวกว่าอีก เขารักศิษย์ แต่ศิษย์ไม่รักเขา แต่ไปหลอกใช้ ถึงเวลาเขาผูกใจเจ็บขึ้นมา เขาฝังใจจำ ศิษย์ก็ต้องกลับมาชดใช้เขา จะดีจะร้ายก็ยังต้องรัก นั่นคือมาเกิดเป็นลูก ลูกที่ปัจจุบันเราดูแลอยู่ ไม่แน่เมื่ออดีตเขาอาจเคยเป็นคนรักของเรา ที่ศิษย์เคยทอดทิ้งมาก่อนก็ได้ ฉะนั้นเห็นไหมว่ากรรมต่อไม่จบไม่สิ้น คิดจะตัดสินใจมีความรัก มีความอยาก มีความโลภ ก็คิดให้ดี ถ้าคิดไม่ดีอาจไม่จบแค่บ้า แต่เป็นกรรมได้ไม่จบไม่สิ้นก็เป็นไปได้ เพราะความน่ากลัวของคนไม่ได้อยู่ที่การพูดด่า ความน่ากลัวของคนอยู่ที่การผูกใจเจ็บและไม่ปล่อยวาง เพราะจิตที่ตั้งมั่นไว้ว่าจะผูกใจเจ็บน่ากลัวกว่าอื่นใด แล้วถ้าถึงขั้นอธิษฐาน “ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนขอตามไปจองล้างจองผลาญ” จิตที่ตั้งมั่นอธิษฐานยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่า
ฉะนั้นศิษย์จำไว้ว่าอย่าคิดว่าชีวิตนี้เรามีสุขก็พอ แต่คนอื่นได้รับทุกข์ไม่เป็นไร ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ไม่ต้องให้หมอดูทำนาย ร้อยละ ๓๐ เป็นผลมาจากอดีต และร้อยละ ๗๐ คืออนาคตที่กำหนดชีวิต พระพุทธะกล่าวไว้ว่า มนุษย์ใช้ธรรมะเป็นกระจกส่องกรรม และสามารถกำหนดชะตาชีวิต แต่โบราณกล่าวไว้ว่า ไม่ต้องโทษฟ้า ไม่ต้องโทษคน ศึกษาเบื้องล่างเข้าใจถึงเบื้องบน แปลว่า ๓๐ ลิขิตฟ้า ๗๐ ต้องฝ่าฟันใช่ไหม (ใช่) แต่จริงๆ แล้วอาจารย์จะบอกว่าสามสิบที่ฟ้าลิขิตก็มาจากสามสิบที่อดีตเราทำมา เจ็ดสิบจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบันนี้ศิษย์จะกำหนดชีวิตตัวเองเช่นไร ศิษย์มักจะถามอาจารย์ว่าทำไมศิษย์เจ็บปวดบ่อยๆ ไม่หายสักที ใช่ไหม (ใช่) ชีวิตนี้เราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร ศึกษาเบื้องล่างเข้าถึงเบื้องบน ธรรมะสามารถเป็นกระจกส่องชีวิต และกำหนดชะตาชีวิตอนาคตได้ หมายความว่าอย่างไร ศิษย์เข้าใจประโยคนี้ไหม ถ้าศิษย์เข้าใจประโยคนี้ศิษย์จะรู้ว่าทำไมคนๆ หนึ่งจึงต้องมีธรรม
ธรรมะข้อไหนที่สามารถเป็นกระจกสะท้อนกลับคืนมาที่เราได้ (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ใช่หรือไม่ แม้ผลของการกระทำนั้นจะช้าสักนิดหนึ่ง ก็อย่ายอมแพ้แล้วท้อถอย
อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้ามีอายุยืนได้เราก็อยากจะมีอายุยืนและมีสุขภาพแข็งแรง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่เบียดเบียนทำร้ายชีวิตผู้อื่น เราจะเป็นคนที่อายุมั่นขวัญยืนไหม (เป็น) คิดให้ดีๆ นะ ไม่ใช่การมีชีวิตอยู่ของเราคือการเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อบำรุงบำเรอชีวิตเรา อย่างนี้ตัวเราจากอายุยืนก็อาจจะกลายเป็นอายุสั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาชีวิตผู้อื่นมาต่อชีวิตเรา แน่ใจหรือว่าจะทำให้ชีวิตเรายิ่งยืนขึ้น คนที่ป่วยบ่อยๆ ไม่สบายบ่อยๆ แม้จะเริ่มฝึกกินเจ แต่ก็ยังมีเศษของกรรมอยู่ที่ทำให้ต้องเจ็บป่วย
อาจารย์อยากบอกว่า “ไม่ต้องโทษฟ้าไม่ต้องโทษดิน ศึกษาเบื้องล่างเข้าถึงเบื้องบน นั่นหมายความว่า ธรรมะเปรียบเหมือนกระจกส่องสะท้อนกำหนดชะตาชีวิตได้” ง่ายๆ นั่นก็คือคุณธรรมของความเป็นคน เกิดเป็นคนถ้าเราไม่รู้จักเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศิษย์จะเป็นคนที่มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง
อาจารย์จะบอกว่า ศีลทั้งห้าถ้ารู้จักประพฤติครบจะทำให้เรารู้จักคุณธรรมทั้งห้า และคุณธรรมทั้งห้าจะทำให้เราเข้าใจชีวิตของการเป็นอยู่บนโลกใบนี้ พอเข้าใจไหม อย่างนั้นต้องเขียนเพราะอาจารย์อยากให้ศิษย์เห็นความสำคัญของศีลห้า แต่มนุษย์มักจะมองข้ามศีลห้า ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วศีลห้าถ้าถือได้ครบ จะสามารถกำหนดชะตาชีวิตทั้งชาตินี้และชาติหน้า รู้ไหม
ข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์
ข้อสอง ไม่ลักทรัพย์ ก็รวมไปถึงไม่อยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง ใช่หรือไม่ ทำไมเวลาเราทำอะไรมักจะเจอคนคดโกงเอาเปรียบ นั่นก็แปลว่า เราชอบลงทุนต่ำๆ แล้วหวังผลสูงๆ เราอยากได้เงินของผู้อื่นร่ำไปหรือเปล่า ถ้าอยากได้เงินของผู้อื่นร่ำไป เราก็หนีไม่พ้นต้องเจอคนคดโกง และเจอคนเอาเปรียบ จริงหรือเปล่า (จริง)
ข้อสาม (ไม่ประพฤติผิดในกาม) คนที่ไม่ประพฤติผิดในกาม คนที่รู้จักให้เกียรติผู้อื่น เคารพในความเป็นคนของผู้อื่น เราจะเบียดบังทำร้ายแล้วดูถูกใครไหม (ไม่) ฉะนั้นการไม่ประพฤติผิดในกามยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า คือการให้เกียรติในความเป็นคนของคนในทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ข้อสี่ (ไม่พูดปด) ไม่พูดเท็จ คือคนที่รู้จักรักษาสัจจะวาจา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ข้อห้า (ไม่ดื่มสุรา) ไม่ดื่มสุราคือคนที่ ตรงกับคุณธรรมข้ออะไร อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ ที่และจำให้ได้แล้วมีให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสลับตอบกับนักเรียน)
รักษาศีลห้า คือ มีคุณธรรมสามัญห้า
๑. ไม่ฆ่าสัตว์ คือ มีคุณธรรมข้อเมตตา
๒. ไม่ลักทรัพย์ คือ มีคุณธรรมข้อมโนธรรม
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม คือ มีคุณธรรมข้อจริยธรรม
๔. ไม่พูดปด คือ มีคุณธรรมข้อสัตยธรรม
๕. ไม่ดื่มสุรา คือ มีคุณธรรมข้อปัญญา
ฉะนั้นถ้าในชีวิตหนึ่งศิษย์มีความเมตตาเป็นหลัก ไม่ถือการเบียดเบียนผู้อื่น ศิษย์จะสามารถเป็นคนที่มีอายุมั่นขวัญยืน หรือมีสุขภาพที่ดีงามมั่นคงไม่เจ็บป่วยบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่เกิดมาเป็นโรคตั้งแต่เด็ก เจ็บป่วยตั้งแต่เด็กเพราะว่าชาติที่แล้วเขาประกอบกรรมด้วยการทำร้ายผู้อื่น มาเยอะ ทำให้พอชาตินี้เขาเกิดมาจึงต้องเจ็บป่วยรักษาไม่หาย ถึงต้องกับฝากชีวิตไว้กับพระ คำว่าฝากชีวิตไว้กับพระนั่นก็คือฝากชีวิตให้ธรรมะช่วยอบรมกล่อมเกลาดูแล ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นชีวิตนี้ศิษย์รู้จักไม่เบียดเบียนสัตว์ ชาติหน้าศิษย์ต้องเกิดมาศิษย์ก็จะเป็นคนที่มีสุขภาพ (แข็งแรง) ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าไม่ต้องโทษฟ้า ไม่ต้องโทษดิน ไม่ต้องโทษผู้คน โทษตัวเองที่เกิดเป็นคนแล้วไม่รู้จักรักษาธรรมแห่งความเป็นคน เพราะถ้าเรารู้จักรักษาธรรมแห่งความเป็นคนครบทั้งห้า ไม่ว่าชาติหน้าจะเกิดมาอย่างไรเราก็จะไม่ต้องทุกข์กับปัญหาทั้งห้านี้ เคยไหมสุขภาพไม่แข็งแรงทำอะไรก็ถูกคนเอาเปรียบคดโกง มีครอบครัวก็ครอบครัวไม่ร่มเย็น ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ค่อยมีใครรักไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ เพราะว่าชอบโกหกเป็นนิจ คิดให้ดีๆ ตอนนี้เราไม่ได้โกหก แต่สามสิบที่ทำมาอย่าลืมอย่ามองแค่เจ็ดสิบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอนาคตจะเป็นอย่างไรจะมีชาติหน้าหรือไม่ขึ้นอยู่กับอันนี้ด้วยนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าถือได้ครบมีทั้งเมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม แล้วถือเมตตาเป็นหลัก เมตตานั้นยังแผ่ไปทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถึงที่สุดถ้าลุถึงเมตตาจะได้เกิดเป็นเทพพรหม แต่หมดจากการเสวยบุญ เสวยภูมิของเทพพรหมแล้วก็ยังต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อสร้างใหม่
ฉะนั้นวันนี้เราศึกษาธรรมะไม่ใช่ไปแค่เทพพรหม แต่เราศึกษาธรรมะเพื่อพ้นจากการเวียนว่าย คุณธรรมคือการดำรงตนให้เป็นคนที่ดีงาม แต่การรู้แจ้งเห็นสัจธรรมจึงทำให้เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจคุณธรรมอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องลุถึงสัจธรรม แจ้งถึงสัจธรรม จึงจะสามารถพ้นเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าไม่อยากพูดโกหก เพราะรู้ว่าพูดจริงแล้วมันลำบากใจก็ไม่ต้องพูดแล้วถ้าพูดจริง แล้วมันทำให้คนไม่สบายใจก็บอกว่าขอไม่พูดแล้วกัน ถ้าฉันไม่พูดเธอคงรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ฉะนั้นถ้าพูดแล้วมันทำให้เราสูญเสียคนที่รักอย่าพูดดีกว่า พูดน้อยๆ ดีที่สุด ถูกหรือไม่ (ถูก) (ไม่ดื่มสุรา) หัวหน้าดื่มไหม บุหรี่สูบไหม (ไม่สูบ) ไม่สูบและก็ไม่ดื่ม (ไม่ดื่ม) เล่นการพนันไหม (เลี้ยงไก่) ตีไก่ไหม ถ้าตีไก่นี่ตายแน่เลยนะ แล้วคนต่อไปละ สูบไหม (ไม่สูบ) ดื่มไหม (นิดหน่อย) (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนว่าใครไม่ดื่มสุรายกมือขึ้น) ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่ชอบดื่มสุรา อาจารย์เชื่อว่าในที่นี้ไม่มากก็น้อย อายุยังน้อยแต่ถ้าโตไปลองดื่มสิจะกลายเป็นคนอับจนปัญญา เหมือนจะคิดออกแต่คิดไม่ออกเพราะดื่มน้อยๆ นั่นแหละทำให้คิดไม่ออกสักที เหมือนจะทำอะไรแล้วจะคิดออกอยู่แล้ว แต่ทำไมยังคิดไม่ออก นั่นแหละเพราะฤทธิ์สุรา แล้วทำไมคนบางคนเกิดมาปัญญาดี เรียนนิดหน่อยก็จำได้ เรียนนิดหน่อยก็เข้าใจ เพราะว่าไม่ดื่มสุรา นี่แค่ส่วนหนึ่งนะ แต่ถ้าอบรมคุณธรรมอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าชาติไหนเกิดมาปัญญาก็จะดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ ธรรมะคือกระจกสะท้อนเงาและเป็นกระจกที่กำหนดชะตาชีวิตเราได้ ทั้งปัจจุบันและภพนี้หรือภพไหนๆ อยาก แข็งแรงจงอย่าเบียดเบียน ไม่อยากถูกคนคดโกง จงรู้จักมีมโนธรรมสำนึก อย่าอยากได้ของผู้อื่นอยู่ร่ำไป เพราะคนที่อยากได้ของผู้อื่นอยู่ร่ำไป คนนั้นจะหนีไม่พ้นการถูกคดโกง เอาเปรียบและหลอกลวง เข้าใจไหม (เข้าใจ) อยากให้ใครๆ ก็ซื่อสัตย์ต่อเรา ไม่หลอกลวงเรา ไม่ผิดต่อเรา ตัวเราก็ต้องซื่อตรงต่อตัวเอง แต่ถ้าวันใดเจอคนไม่ซื่อตรงก็จงก้มหน้ารับกรรมสามสิบไป ใช่หรือไม่ (ใช่) จำไว้นะศิษย์ สามสิบคือสิ่งที่เราทำมา เจ็ดสิบคือสิ่งที่เราจะกำหนดไปและไปไหนก็ขึ้นอยู่กับเรามีคุณธรรมมากเพียงใด และเมื่อมีคุณธรรมแล้วสิ่งที่ลืมไม่ได้คือ สัจจะความเป็นจริงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะถึงที่สุดแล้วทุกๆ สิ่งไม่มีสิ่งใดที่ยึดมั่นได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ตอนนี้ศิษย์รู้แล้วนะชีวิตไม่ได้อยู่ที่ฟ้าแต่อยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนด ชีวิตตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอเพียงศิษย์อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต อาจารย์ได้นำพระโอวาทของท่านหลันต้าเซียนเมื่อวานมาแบ่งเป็น ๓๖ คงต้องให้ศิษย์ช่วยวง แต่ว่าคนที่จะวงได้นั้นมีเพียงไม่กี่คน ไม่ใช่ว่าทุกๆ คนจะวงได้ เพราะคำที่อาจารย์ให้ครั้งนี้เป็นคำสั้นๆ แต่มีความหมาย ชั้นนี้อาจารย์ให้พิเศษไม่ต้องตอบก็ได้ผลไม้ แต่ต้องแข่งกันหน่อยนะ คำที่อาจารย์ให้มีทั้งหมด ๒๐ คำ ในชั้นนี้จะมีคนวงได้แค่ ๒๐ คน และได้ผลไม้ ๒๐ ลูกนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนแข่งขันกันยืนขึ้นโดยนับ หนึ่ง สอง สาม เพื่อวงพระโอวาทครอบ ถ้าใครยืนเป็นคนแรกจะได้ออกไปวงพระโอวาทและได้แอปเปิ้ลหนึ่งลูก)
อาจารย์บอกแล้วในโลกนี้ไม่มีเรื่องดีใจและน่าเสียใจ แม้เราจะไม่ได้แต่อาจารย์มีวิธีให้ศิษย์ได้นะ ได้แล้วเอาไปให้ใคร (ให้ตัวเอง) อาจารย์ไม่ให้ ได้แล้วเอาไปให้ใครคิดให้ดีๆ (ให้คนที่บ้าน) เยอะไปหมดเลย ให้ใคร ยังคิดไม่ออกอีกนะ ได้ไปแล้วไปให้พ่อให้แม่ ให้ท่านชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์อายุยังน้อยยังมีแรงอยู่ ไม่เสียสละให้ผู้ใหญ่บ้างเลยหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะอยากได้จึงมีคนพยายามคิดจะโกง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเรารู้จักเสียสละให้ผู้อื่นบ้าง ไม่แน่สิ่งที่ยอมให้ก็อาจจะเป็นการได้โดยไม่รู้ตัว แต่ยิ่งแก่งแย่งบางทีแทนที่จะได้กลับกลายเป็นไม่ได้ อย่าลืมนะ ถูกหรือเปล่า จะยอมสละให้ผู้ใหญ่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้สูงอายุได้ออกไปวงคำในพระโอวาท)
ศิษย์ยังมีเวลาอีกเยอะแต่เขาเวลาน้อยแล้วใช่ไหม (ใช่) ตรงนี้ก็ยังมีอีกสามท่านที่อายุมากๆ ใช่ไหม อาจารย์ให้แอปเปิ้ลฟรีๆ เลย ให้เป็นขวัญกำลังใจนะ อายุปูนนี้แล้ว ศิษย์แน่ใจหรือว่าศิษย์อายุน้อยแล้วจะอายุได้ยืนขนาดนี้ ไม่แน่ ใช่หรือเปล่า ขนาดได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง ก็ยังมานั่งฟังจนจบเลยนะ
ยังอยากได้อีกไหม อยากได้แอปเปิ้ลอาจารย์ไหม บอกอาจารย์หน่อย อยากได้แอปเปิ้ลไปเพื่ออะไร ถ้าตอบได้อาจารย์จะให้
(เอาไปฝากพ่อบ้าน) ฟืนมอดไปแล้วแต่ถ้าเติมบ่อยๆ ความรักก็กลับมาสดชื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาไปให้แม่) แล้วจะพูดกับแม่ว่า (หนูมีสิ่งดีๆ มาฝาก)
(เอาไปฝากลูกสาว) แล้วจะบอกเขาว่า (มีของดีมาฝาก) อย่าตอบลอกเลียนแบบ แค่บอกว่าแม่รักลูกเสมอ ใช่ไหม (ใช่)
(เอาไปฝากลูก) แล้วจะบอกเขาว่า (แม่ได้ของดีมาฝาก) ตอบแต่ของดี บอกว่าอย่างไรแม่ก็รักลูก จะดีจะชั่วก็ลูกของแม่ ใช่ไหม (ใช่)
(เอาไปฝากยาย) จะบอกคุณยายว่า (เอาผลไม้มาฝาก) หนูรักยายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีคำว่ารักพูดกับคนอื่นได้เรื่อยเปื่อย แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดกับเราที่สุดกลับพูดไม่ออก
(เอาไปรักษาตา) ไหนบอกว่าไม่เอา (อยากให้ตาหาย) วันเวลามันผ่านไปแล้วนะศิษย์ ตอนนี้จะเอากลับมามันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์อยากจะรักษาตา ศิษย์รู้ไหมตาเกิดจากมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง เพราะเราเคยมองในสิ่งที่ไม่ควรมองมาก่อน เราจึงป่วยที่ตาไวกว่าคนอื่น แล้วถ้าเรายังประพฤติผิดในการมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ตานั้นแหละจะนำพาให้ศิษย์ต้องไปภพภูมิที่เกี่ยวกับตา ฉะนั้นจงระวังนะ รู้จักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รักษาศีลให้มั่นคง ตาก็ยังต้องรักษาแต่ถ้ามีคุณธรรม คุณธรรมจะช่วยรักษาตาได้ด้วย ใช่หรือไม่ ขอให้หายไวๆ นะ แต่หมอก็ต้องไปหานะ
(เอาไปแบ่งกับครอบครัว) มีกี่คน (มีแม่, น้องอีกสาม) สี่ชิ้นห้าชิ้นแบ่งพอไหม (คือให้กินเป็นสิริมงคล) แล้วจะบอกเขาว่า (เอาของสิริมงคลมาฝาก)
(เอาไปฝากพ่อกับแม่) แล้วจะบอกท่านว่า (ให้คืนดีกันไวๆ) บอกพ่อแม่ แอปเปิ้ลนี้เป็นแอปเปิ้ลที่สวยได้เพราะว่ามันเป็นลูกเดียวกัน
ถ้าแบ่งแล้วมันก็ดูไม่สวย ผมเลยอยากให้พ่อกับแม่กินแอปเปิ้ลในลูกเดียวกัน ใช่หรือไม่
ถ้าแบ่งแล้วมันก็ดูไม่สวย ผมเลยอยากให้พ่อกับแม่กินแอปเปิ้ลในลูกเดียวกัน ใช่หรือไม่
(เอาไปให้น้องที่บ้าน) ให้น้องอย่างเดียวเองหรือ ทำไมถึงให้น้อง (สงสารน้อง) คิดได้อย่างนี้ก็ดีนะ
(เอาไปให้แม่) จะบอกแม่ว่า (ให้แม่มีสุขภาพแข็งแรง)
(เอาไปให้ตา) แล้วบอกท่านว่า (หนูรักตา) แล้วก็กอดท่านแรงๆ จุ๊บหนึ่งทีใช่ไหม บางทีของก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจที่เราพยายามเพียรทำให้ท่านอยู่เสมอๆ นะรักวันเดียวไม่เท่ากับรักทุกๆ วัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาไปให้คุณพ่อ) วันนี้รู้สึกคนพูดกตัญญูจะเป็นผู้ชาย บุตรสาวเลยมีแต่คนบอกว่ารักพ่อ ไม่ค่อยมีบอกว่ารักแม่เลยนะ
(ให้พี่) เอาให้ใคร (ให้กับตัวเอง) ทำไมล่ะ (กล้าแสดงออก) ให้กับตัวเองที่กล้าแสดงออก ใช่หรือเปล่า แล้วพ่อแม่ล่ะ (มีลูกเดียว) ลูกหนึ่งมันก็แบ่งได้นะ ใช่หรือไม่ อย่างน้อยก็บอกพ่อแม่ว่า หนูกล้าแสดงออกและได้ดีคือได้แอปเปิ้ลมาหนึ่งใบ หนูกินหนึ่งชิ้น และแม่กินหนึ่งชิ้น พ่อกินหนึ่งชิ้น ในหนึ่งลูกจะแบ่งไม่ได้หรือ ใช่ไหม
(ให้พ่อ) แล้วบอกท่านว่า (รักท่านมาก) ตอบว่า (ให้สามี) บอกว่า (ความสามารถในการมาอบรม นั่งทน) ดูสิ ฉันไม่เคยนั่งทนฟังใครได้นานขนาดนี้ ชีวิตนี้ฉันทนได้ตั้งสองวัน ฉะนั้นฉันเจอเธอฉันก็จะทนให้ได้ ใช่ไหม ให้สามีใช่หรือเปล่า
(เอาไปฝากพ่อบ้าน) แล้วบอกเขาว่า ไม่ต้องพูดอะไรยาวหรอก บอกฉันรักเธอก็พอแล้ว ไฟมันมีวันมอดได้แต่ถ้าเกิดดวงต้องคู่กันแล้ว จะเติมอย่างไร เขาไม่เติม แต่เราเติมทุกวันก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เขาไม่รักเรา เรารักเขา แต่ถึงเวลาถ้าเขาไม่รักเรา เราก็ต้องทำใจ ใช่ไหม เหมือนช้อนกับตะเกียบ ถ้าวันหนึ่งไม่มีตะเกียบเหลือแต่ช้อน วันหนึ่งไม่มีช้อนเหลือแต่ส้อม ศิษย์ว่าศิษย์ยังกินข้าวได้ไหม (ได้) จำไว้นะ มันก็ยังกินได้ ไม่ใช่กินไม่ได้ อย่าคิดว่าต้องมีช้อนแล้วมีส้อมจึงคิดว่าชีวิตสมบูรณ์ ไม่จำเป็น เหลือตะเกียบก็ยังคุ้ยข้าวเข้าปากได้ เหลือแต่ช้อนก็ยังสาวบะหมี่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นชีวิตต้องยอมรับความเป็นจริง สัจธรรมแห่งความเป็นจริงสอนให้เรารู้ว่า เราอย่าประมาท ถึงเวลาต่างคนต่างไป ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราได้อย่างแท้จริง แม้จะตีตราจองแล้ว ถึงเวลาถ้าเขาไม่รักเรา เราก็ต้องทำใจ ใช่ไหม (ใช่)
ตอบว่า (เอาไปฝากลูกสาว) แล้วบอกเขาว่า (แม่ได้ไปรับธรรมะแล้วได้ผลไม้ เอามาให้ลูกสาวจะได้เป็นเด็กดี) ตอบว่า (เอาไปฝากย่า) แล้วบอกท่านว่า (ไปรับธรรมะมา เอาผลไม้กลับมาฝาก) เอาสิ่งที่เป็นสิ่งที่ดีเป็นมงคลมาฝากให้คุณย่าแข็งแรง ใช่ไหม ตอบว่า (เอาไปฝากย่า) แล้วบอกท่านว่า (ผมรักย่ามากที่สุดในโลก) แต่ถึงเวลามีสาวจะบอกว่า ผมรักสาวมากกว่าย่าครับ ไม่ได้นะ ถึงเวลามีสาวก็อย่าทิ้งย่า ไม่ต้องหัวเราะ พูดแบบนี้แหละตัวดีเลย ใช่หรือเปล่า (ไปให้พ่อแม่) แล้วบอกท่านว่า (เอาผลไม้พระอาจารย์มาฝาก) อาจารย์ขอให้คนที่ศิษย์ตั้งใจจะให้จงมีสุขภาพแข็งแรง และศิษย์จงเป็นที่รักของครอบครัวตลอดกาลนาน ดีไหม (ดี)
(ให้ครอบครัว) คนสุดท้ายได้แล้วไม่ใช่หรือ (ขอให้น้า) คนเราต้องช่วยตัวเอง ศิษย์ช่วยเขาไม่ได้ตลอดนะ อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักช่วยนะ เพราะถึงเวลาคนที่ศิษย์รัก ศิษย์ห่วงถ้าถึงเวลาเขาไม่ช่วยตัวเอง ศิษย์ก็ดันเขาไปไม่ถึงฝั่งหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ศิษย์จะชี้ทางประเสริฐสุด ทางดีสุด ทางพ้นทุกข์สุข แต่ถ้าเขาไม่เลือกศิษย์ทำอะไรได้ เหมือนอาจารย์ชี้ให้ศิษย์รู้ทางพ้นทุกข์ ทางกำหนดชีวิต แต่ถ้าศิษย์ไม่ทำเอง ศิษย์ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องช่วยตัวเองนะ
จะเอาแอปเปิ้ลไปทำอะไร (จะเอาไปใส่บาตรตอนเช้า) ปรบมือหน่อย เขาเรียกว่าต่อยอดบุญ ได้มาแล้วยังรู้จักให้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่อาจารย์ว่าให้กินดีกว่านะ (ใส่บาตรให้พ่อแม่กิน) คิดได้ก็ประเสริฐแล้วนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “จริยะ”)
ได้คำว่าอะไร (จริยะ) วันนี้ได้คำสั้นๆ แต่ได้ใจความนะ จริยะ คือหนึ่งในศีลห้าข้อ คือข้อสาม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า “หากแม้ขาดสิ่งนี้ไปแล้วเล่าก็ แม้สิ่งที่เรียกว่าถูกต้องยังไม่วายมีปัญหา” ฉะนั้นถึงแม้ศิษย์จะพูดได้ดีแต่ขาดจริยะอันงดงาม คำพูดนั้นก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะทำได้ดีแต่เวลาทำนั้นขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่ทำได้ดีก็ดูเหมือนกระด้างไปสักนิดหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเกิดเป็นคนความสุภาพอ่อนน้อมอย่าขาดไปจากหัวใจ การรู้จักให้เกียรติผู้อื่นและการรู้จักเคารพในความเป็นคนของผู้อื่น จะทำให้เรามี
จริยะที่งดงาม เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้บำเพ็ญได้สุขุมรอบคอบ ทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน คำนี้ยากสำหรับศิษย์ในชั้นนี้ไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากนะ เกิดเป็นคนต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะจิตที่อ่อนน้อมถ่อมตนไปอยู่ที่ใดใครๆ ก็รัก แต่จิตที่แข็งกระด้างกระเดื่องยึดมั่นถือมันหลงตน ไปอยู่ที่ใดใครๆ ก็รังเกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
จริยะที่งดงาม เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้บำเพ็ญได้สุขุมรอบคอบ ทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน คำนี้ยากสำหรับศิษย์ในชั้นนี้ไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากนะ เกิดเป็นคนต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะจิตที่อ่อนน้อมถ่อมตนไปอยู่ที่ใดใครๆ ก็รัก แต่จิตที่แข็งกระด้างกระเดื่องยึดมั่นถือมันหลงตน ไปอยู่ที่ใดใครๆ ก็รังเกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำไว้นะศิษย์ ชีวิตนี้สามสิบคือสิ่งที่ศิษย์เคยทำเขามา เจ็ดสิบที่เหลือคือศิษย์ต้องกำหนดตัวเอง ไม่ต้องไปโทษใคร ไม่ต้องไปมองฟ้า ไม่ต้องไปมองดิน ถ้าเรารู้จักประพฤติชีวิตให้มีคุณธรรมครบทั้งห้าข้อ ศิษย์ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าอนาคตศิษย์จะไม่เป็นที่รักของใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอเพียงรู้จักมีเมตตา มีมโนธรรมสำนึกละอายเกรงกลัวต่อบาป มีจริยะ รู้จักสุภาพอ่อนน้อม เคารพให้เกียรติผู้คน มีวาจาสัตย์พูดคำไหนรักษาคำนั้น มีปัญญาอันงดงาม ไปอยู่ที่ใดไม่จำเป็นต้องรดน้ำมนต์ก็สามารถทำน้ำธรรมดาให้เป็นน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ได้ เชื่ออาจารย์เถอะนะ ประพฤติดี ปฏิบัติดี ไปอยู่ที่ใดก็เป็นที่ที่ดี เป็นวันไหนก็เป็นวันที่ดีเพราะเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
จำไว้นะโลกนี้ไม่มีอะไรยึดมั่นได้แม้แต่ตัวของเราก็ยึดมั่นไม่ได้ เพราะอย่างที่อาจารย์บอก ถึงเราจะเก่งแต่ยังมีคนเก่งกว่า ถึงเราจะแย่แต่ยังมีคนแย่กว่า ฉะนั้นอะไรล่ะคือสิ่งที่เป็นของศิษย์จริงๆ ถึงศิษย์บอกว่าศิษย์จะมีแต่ถึงเวลาก็เหมือนไม่มี ใช่ไหม (ใช่) ถึงจะบอกว่าไม่มีแต่จริงๆ แล้วถ้ามองคนที่แย่กว่าก็มั่งมีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดจะรัก คิดจะมี คิดจะเป็นอะไรขอให้คิดให้ดีๆ เพราะถึงที่สุดแล้ว มีก็เหมือนไม่มี ชีวิตเราก็เหมือนกัน สวยๆ แบบนี้ หน้าตาน่ารักอย่างนี้ แต่ถึงเวลามันก็มีวันแตกสลายได้ แต่ความงามในหัวใจไม่มีวันสลายได้ แถมทำให้เราไม่ว่ากลับไปเกิดชาติไหนหรือตายไปแล้วก็ไม่ต้องทุกข์ทรมาน เพราะหัวใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงมีชีวิตอยู่ด้วยการดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม ประเสริฐยิ่งกว่าดำรงไว้ซึ่งทรัพย์สินเงินทองอีกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นจำไว้นะ เกิดเป็นคนถ้ารู้แจ้งในปัญญาแห่งตนจะไม่มีวัน ลังเลสงสัยอะไรในโลกนี้ ถ้ารู้แจ้งในคุณธรรมแห่งความเป็นคนจะไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนในโลกใบนี้ ถ้ารู้แจ้งถึงความกล้าหาญในหัวใจตน ในโลกนี้จะไม่มีอะไรน่าหวาดกลัวเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือความจริงที่ทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่) จำไว้นะ อาจารย์ถึงเวลาก็พูดได้แค่นี้ แต่ถึงเวลาศิษย์ต้องดำเนินชีวิตตัวเอง จะพ้นทุกข์ได้ไหม จะพ้นจากโลกใบนี้ได้ไหม ก็อยู่ที่ศิษย์จะเอาคุณธรรมไปประพฤติปฏิบัติกันหรือเปล่านะ ไม่มีใครกำหนดชีวิตเราได้นอกจากตัวเอง จะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่ตัวศิษย์เอง ไม่ใช่ที่ฟ้า จำคำอาจารย์ไว้นะ
อาจารย์หวังดีกับศิษย์เสมอ ไม่มีใครรักแต่จงจำไว้ว่าอาจารย์รักศิษย์นะ รู้จักรักตัวเองและรักผู้อื่น รู้จักทำเพื่อตัวเองก็ต้องทำเพื่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ อาจารย์ไปแล้วนะ จำไว้นะศิษย์ชีวิตนี้ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนดแต่อยู่ที่ตัวศิษย์กำหนดตัวเอง สามสิบคืออดีตที่ศิษย์ทำมา เจ็ดสิบคือสิ่งที่เราต้องกำหนดไป ฉะนั้นจงดำรงชีวิตอยู่ในคุณธรรมแห่งความเป็นคน และดำรงตนไม่ประมาทในสัตยธรรมความเป็นจริง หรือสัจธรรมนะ ไปล่ะนะ
พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “จริยะ”
“หากแม้ขาดสิ่งนี้ไปแล้วเล่าก็
แม้สิ่งที่เรียกว่าถูกต้องยังไม่วายมีปัญหา”
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท ประชุมธรรม ณ สถานธรรม
หมิงเฉิง จ.ตาก เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
หมิงเฉิง จ.ตาก เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
เพลงพระโอวาท หน้าที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๓ จากล่าง
จากเดิม ยังหลงตัวใจตนมั่วส่ง
แก้เป็น ยังหลอกแม้ใจตัวมั่วส่ง