วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

2553-12-18 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี


วันเสาร์ที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

สถานการณ์สร้างจิตใจให้เข้มแข็ง ความเปลี่ยนแปลงมีโอกาสมองไม่เห็น
นึกแต่สิ่งดีไว้เมื่อจำเป็น ฝึกเยือกเย็นช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมายา แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม

คนสมัยปัจจุบันบำเพ็ญยาก เพราะห่วงปากห่วงท้องห่วงตัวเลข
พอใจเรื่องฉาบฉวยรวยยกเมฆ สุขสบายเหมือนเป่าเสกไม่พยายาม
คนฉลาดมากขึ้นแต่ไม่ธุระ ให้มานะเหมือนคนใกล้ตายไม่แบกหาม
ไม่บังคับตนเองกินเกียรติกาม ติดความงามความน่าเกลียดอยู่ภายใน
หลอกผู้อื่นง่ายดายไร้ตำหนิ หลอกตัวเองนี่สิทำไปได้
ผู้อื่นไม่รู้จักเราไม่เท่าไหร่ นี่กระไรเราไม่รู้จักตัวเอง
แม้มีพร้อมบุญญาและอำนาจ แต่ถ้าขาดวาสนาป่วยการเร่ง
อันความดีมีไม่พร้อมในตัวเอง รู้ตัวเก่งแต่เกรงไม่บำเพ็ญ
การเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นไม่ยาก เรื่องที่ดีอย่าให้ขาดมองให้เห็น
เรื่องไม่ดีรีบแก้ไขเพราะจำเป็น ฝึกบำเพ็ญหมั่นขัดเกลาเท่าที่ควร
เรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ถึงมีขั้นมีตอนยังปั่นป่วน
เมื่อใจไม่สงบรบเรรวน แม้ทบทวนฟังพูดทำคนละเรื่องกัน
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
ถ้าท่านท้องใหญ่ใจกว้าง เรื่องราวในโลกแม้จะเปลี่ยนแปลงแค่ไหนเราก็รับได้ แต่ถ้าเราท้องเล็กและใจแคบ เรื่องราวเล็กน้อยมากระทบกระทั่ง เราจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตัวท่านมีท้องใหญ่ใจกว้าง หรือท้องเล็กใจแคบ (ท้องใหญ่  ใจกว้าง)  จริงหรือ
ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกและรับได้กับทุกเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปเราต้องรู้จักเปิดใจให้ (กว้าง)  แล้วตอนนี้ท่านใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  ฉะนั้นคนใจกว้างจะเป็นคนที่รับฟังทุกเรื่องราวได้ ไม่ว่าจะมาแบบไหนก็ได้ ถ้าท่านโดนว่า ไอ้บ้า ไอ้โง่ ท่านจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ให้จริงอย่างนี้ไปตลอดนะ
วันนี้เรามาฟังธรรมะจะเข้าสู่ประตูแห่งธรรมะแล้ว อย่าเกาะอยู่แค่นอกประตูแล้วมอง แต่ต้องก้าวไปให้ถึงข้างใน เข้ามาแล้วต้องเข้าไปให้ถึง เหมือนคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ฟ้ามีกฎเกณฑ์ บ้านเมืองมีกฎเกณฑ์ ถ้าเราจับกฎเกณฑ์ของฟ้าของบ้านเมืองได้ เราจะอยู่บนโลกนี้อย่างสันติสุข” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าบ้านเมืองต้องมีกฎเกณฑ์ เหมือนกัน ฟ้ากับดินก็ต้องมีกฎเกณฑ์ ถ้ามนุษย์เข้าใจกฎเกณฑ์ของฟ้าและดินได้ มนุษย์จะสามารถช่วงใช้ประโยชน์ของฟ้าดินได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักกฎเกณฑ์ของฟ้าดินของโลกมนุษย์ มนุษย์จะสามารถช่วงใช้ผลประโยชน์ในโลกใบนี้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
แต่ทำไมมนุษย์แม้จะเรียนรู้กฎเกณฑ์ยังไม่สามารถช่วงใช้ได้เต็มที่ เราไหว้ฟ้าดินไหม (ไหว้)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “อย่ามัวแต่ไหว้ สู้เรียนรู้กฎเกณฑ์และเอากฎเกณฑ์นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์” การเอาแต่ไหว้วอนขอโดยที่ไม่เรียนรู้ก็เท่ากับเป็นคนเขลา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหากเรียนรู้กฎเกณฑ์ของฟ้าแล้วเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ การไหว้ฟ้าไหว้ดินจึงมีประโยชน์และมีคุณค่า
เหมือนวันนี้ท่านไหว้พระไหม (ไหว้)  มีใครบ้างในบ้านไม่มีพระ (ไม่มี)  ไหว้ไหม (ไหว้)  ขอไหม (ขอ)  เมื่อสักครู่บอกว่าถ้าไหว้ฟ้าไหว้ดินไหว้เพื่อวอนขอ คนนั้นก็เรียกว่า คนเขลา แต่เราไหว้ฟ้าดินเพื่อมองให้เห็นกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแล้วใช้กฎเกณฑ์นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่เรามีพระไว้ทำไม แค่เพื่อไหว้ขอนั่นขอนี่ นี่หรือเรียกว่าคนที่เข้าถึงพระ จุดประสงค์ของการไหว้พระคือเข้าให้ถึง (นิพพาน)  นิพพานหรือ ไม่ต้องไกลขนาดนั้นก็ได้ หากตั้งองค์พระแล้วมีแต่ไหว้และขอก็ไม่ต่างอะไรกับคนงมงาย ฉะนั้นเราควรจะไหว้แล้วพยายามเรียนรู้ความเป็นพุทธะ พยายามมองว่าอะไรที่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ อะไรที่ทำให้ท่านหมดสิ้นวิบากกรรม ทำไมท่านถึงเป็นพระพุทธะแล้วคนกราบไหว้ เพราะท่านทำอะไร (ความดี) ก่อนที่ท่านจะไปทำความดีท่านทำอะไร (บวช) ก่อนที่จะไปบวชท่านทำอะไร (ศึกษา) ศึกษาอะไร (พระธรรม) ศึกษาพระธรรมไปทำไม (เรียนรู้) เรียนรู้อะไรเล่า
สมมติว่าท่านต้องการเรียนรู้กระถางธูปใบนี้ ท่านต้องเรียนรู้ว่ามันทำมาจากอะไร และจะใช้ประโยชน์อย่างไร ท่านไหว้พระทุกวัน ท่านรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ท่านไหว้พระ ท่านไหว้พระเพราะอะไร ศรัทธาอะไร เคารพอะไร ไม่ใช่เคารพว่าองค์พระองค์ใหญ่ๆ สวยดีนะ อย่างนั้นหรือ
ท่านไหว้พระเพราะท่านเคารพและศรัทธาอะไรในตัวพระพุทธะ (คำสั่งสอน, ความดี)  ก่อนที่พระพุทธะจะสั่งสอน ท่านจะทำความดี ท่านพยายามเอาชนะอะไร (ตัวเอง)  ท่านพยายามค้นหาอะไร (ตัวเอง)  แต่ดูสิว่าพระพุทธะที่ยอมเป็นพระพุทธะเพื่ออะไร ก่อนที่ท่านจะยอมทิ้งทุกอย่างแล้วบำเพ็ญตัวเอง ท่านเห็นอะไร (ตัวเราเอง,ความจริง)  ความจริงอะไรล่ะ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  เกิด แก่ เจ็บ ตาย คืออะไร (ความทุกข์)  แล้วทำไมทุกคนต้องมีทุกข์ ทำไมทุกคนต้องเจ็บป่วย มันเหมือนเป็นกรรม ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งแรกที่พระพุทธะพยายามจะไปให้ถึง หรือยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อค้นหาให้เจอ คือ “ความทุกข์” ใช่ไหม (ใช่)  ท่านเห็นว่าแม้จะมีเงินทองมากมายแค่ไหน ท่านก็หนีทุกข์ไม่พ้น หนีวิบากกรรมไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านก็พยายามค้นว่าทุกข์อยู่ที่ไหน เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร เราจะอยู่บนโลกอย่างสิ้นทุกข์หมดทุกข์ได้อย่างไร  เมื่อท่านค้นหาทางพ้นทุกข์แล้วท่านถึงได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่า “ความดีงาม”  และอะไรเรียกว่า “พุทธะโพธิสัตว์” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้เราจะมาคุยกับท่านเรื่อง “ความทุกข์และกรรม” เราต้องเข้าใจเรียนรู้ตรงนี้ก่อน ถ้าเราเข้าใจกฎเกณฑ์ของความทุกข์ และเราเอาชนะทุกข์ได้แล้ว ทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวในชีวิต แล้วกรรมก็ไม่ใช่เรื่องที่ (น่ากลัว)  กรรมน่ากลัวไหม (ไม่) เคราะห์ร้ายน่ากลัวไหม (ไม่)  วิบากกรรมน่ากลัวไหม (ไม่)  จริงหรือ เราอยากจะบอกว่ากรรมไม่น่ากลัว เคราะห์ร้ายก็ไม่น่ากลัว โชคร้ายก็ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ “ใจของตัวเราเอง” ที่ทำอะไรโดยไม่กลัวบาปไม่กลัวกรรม   ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจของตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่รู้จักยั้งคิดผิดชอบชั่วดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้เราต้องกลัวบาปกลัวกรรม แต่หากทุกวันเราทำดีแล้ว เราต้องกลัวกรรมไหม (ไม่)  เคยได้ยินไหมว่า “ถ้าปัจจุบันทำดีแล้วก็ไม่ต้องกลัวอนาคต” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้กรรมจะมาถึง แต่ตอนนี้เราทำดี กรรมที่มาถึงก็อาจจะเบาบางจนกลายเป็นไม่มีได้ ท่านจงจำไว้นะว่าศึกษาอะไรก็ตาม อย่าศึกษาแค่เพียงมองเปลือกนอก แต่ต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ หากเราสามารถเข้าใจกฎเกณฑ์ของทุกสิ่ง เรียนรู้การอยู่ร่วมกับสิ่งนั้น ท่านจะสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด หากท่านเข้าใจกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ท่านจะสามารถช่วงใช้ฟ้าดินได้ หากท่านไหว้พระทุกวัน แต่ไม่รู้จักเรียนรู้กฎเกณฑ์ของการเป็นพุทธะที่พ้นทุกข์ เราจะหนีไม่พ้นความทุกข์และวิบากกรรม เราจะหนีพ้นความทุกข์และวิบากกรรมได้อย่างไร
ไม่ใช่เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วมัวแต่ขอหวย บางทีให้ไปแล้วก็อาจจะทำผิดคิดร้ายได้ นึกว่ามีเงินแล้วตัวเองใหญ่กว่าคนอื่นเสียเต็มประดา แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากคนอื่นสักเท่าไร เคยไหมยามจนก็เจียมตัวดี แต่พอมีเงินมากกว่าเดิมนิดหน่อย ทำเป็นเบ่ง ตอนยังไม่รู้ก็ทำหงอยๆ แต่พอรู้มากกว่าคนอื่นหน่อย ก็ทำเป็นอวด ชูคอ เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  เวลาไปทำบุญกลับมาก็บอกว่าฉันดี คนอื่นไม่ได้เรื่องเลย อย่างนี้ได้ไหม มนุษย์มีนิสัยแปลกที่พอก้าวล้ำมากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ก็อดหลงตัวเองไม่ได้ แล้วก็หันกลับไปมองเขาแล้วหัวเราะเยาะ ทั้งที่คราวตนเองกระจอกก็ไม่ชอบให้ใครมาหัวเราะเยาะ ดูถูก แต่เราหันกลับไปดูถูกคนอื่น ในโลกนี้ย่อมมีคนที่ต่ำกว่าและคนที่สูงกว่า อย่าคิดว่าเราชนะเขาได้ก้าวหนึ่งแล้วเราจะชนะทุกคนในโลก เราชนะเพียงแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้นเวลาผ่านไปเราอาจจะเป็นผู้แพ้ ดังคำกล่าวที่ว่า “เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า”
เรากลัวทุกข์ไหม (กลัว)  ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่เรากลัวใจตัวเองที่ไม่รู้จักสู้กับความทุกข์มากกว่า กรรมก็ไม่น่ากลัว แต่กลัวใจของตนเองที่ไม่รู้จักกระทำตนต่างหาก โลกนี้มีมายาลวงตามากมาย มีตาก็เหมือนตาบอด มีแขนก็เหมือนแขนด้วน มีขาก็เหมือนขาพิการ เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์แจ้งพระนาม “ต้าเซี่ยวฝอถง”  ต้า แปลว่า ใหญ่ เซี่ยว แปลว่า หัวเราะ ฝอถง แปลว่า เซียนน้อย ต้าเซี่ยว แปลว่า หัวเราะเสียงดัง)
หากจะหัวเราะ เราไม่หัวเราะเบาๆ ต้องหัวเราะ (ดัง)  หัวเราะแล้วทำให้คนอยากหัวเราะตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราลองมาฝึกยิ้มกันดีไหม (ดี)  มนุษย์ในโลกชอบทำหน้าบึ้งมากกว่า จะยิ้มทีก็ยิ้มยากเหลือเกิน แล้วรู้ไหมว่าคนที่รู้จักยิ้มเป็นนิจ วันนี้เจอใครก็ยิ้มเป็นคนมีเสน่ห์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ตอนนี้เราเจอใครเรายิ้มไหม (ยิ้ม)  จริงหรือ ยิ้มเฉพาะคนที่อยากยิ้ม คนที่ไม่อยากยิ้มเราก็บึ้งใช่หรือเปล่า (ใช่)   
(ท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตาให้นักเรียนในชั้นหัวเราะเสียงดัง)
เหมือนคนบ้าไหม เรามีความสุขเขาจะว่าเราบ้าก็ไม่เป็นไร  เราได้ทำให้คนอื่นเขามีความสุขด้วยจะกลัวอะไร รู้ตัวเราเองว่าไม่บ้าก็พอจริงไหม (จริง)  ในโลกนี้เราบอกแล้วว่าทุกอย่างล้วนมีกฎเกณฑ์ หากเราจับกฎเกณฑ์ได้ การช่วงใช้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ชีวิตมนุษย์มีระดับที่เรียกว่าสูงสุด ระดับกลางและระดับต่ำ มีช่วงที่ควรหยุด ควรไป เดินหน้า ถอยหลัง ไม่ใช่เดินหน้าแล้วถอยหลังไม่เป็น ไม่ใช่เอาแต่ถอยหลังแล้วไม่รู้จักเดินหน้า
เราพร้อมจะศึกษาธรรมกันหรือยัง (พร้อมแล้ว)  วันนี้เราบอกว่าจะมาพูดธรรมะให้ท่านฟังสองเรื่องคือทุกข์และวิบากกรรม  หากมนุษย์เข้าใจว่า ทุกข์มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะดับทุกข์และพ้นทุกข์ได้อย่างไร การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้และเผชิญความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอะไร แต่เราต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกที่เรียกว่าความจริง หรือสัจธรรม เพราะจะทำให้เราเอาชนะหรือมองเห็นความทุกข์ได้อย่างแจ่มชัด และปล่อยวางได้ลง
กฎเกณฑ์ของมนุษย์หรือกฎเกณฑ์ของสัจธรรมนั้นมีอะไรบ้าง กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือกฎเกณฑ์ของชีวิต ที่เรียก “สัจธรรม” นั้นคือ มีเกิดขึ้น (ตั้งอยู่ และดับไป)  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนิจจัง (ทุกขัง อนัตตา)  ถ้าเราเข้าใจกฎเกณฑ์ตรงนี้เราจะไม่ทุกข์จริงไหม (จริง)  แล้วเราเข้าใจกฎเกณฑ์ตรงนี้ไหม มนุษย์รู้อยู่เต็มอกว่าในโลกใบนี้  มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่เพราะอะไรที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปถึงและรู้แจ้ง และทำให้ปลดทุกข์ได้ พระพุทธะบอกว่าความรู้แจ้งจริงๆ แล้วมีอยู่ในตัวทุกคน มีอยู่ในตน แต่มนุษย์ไม่เคยหันกลับไปมองตน เอาแต่วิ่งหาคำตอบอยู่ข้างนอก
ฉะนั้นเราจึงอยากบอกว่า จริงๆ แล้วความรู้แจ้งนั้นมีอยู่ในตัวเรา ขอแค่เพียงเรานิ่ง ใจเย็นสักหน่อยแล้วลองมองให้ออก แล้วเราจะรู้ แล้วเราจะปล่อยวาง แล้วเราจะปลงได้ เอาง่ายๆ นะ บางทีเราบอกคนๆ หนึ่งให้ซ้ายเขาไป (ขวา) เราบอกขวาเขาไป (ซ้าย)  เราบอกเดินหน้าเขาไป (ถอยหลัง)  เราบอกถอยหลังเขาไป (เดินหน้า)  โมโหไหม (โมโห)  ทำไมถึงโมโห (ไม่ได้ดั่งใจ)  ไม่ได้ดั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามท่านจริงๆ เวลาที่เขาบอกให้ท่านเลี้ยวซ้าย ท่านบอกว่ามันน่าจะขวานะ จริงไหม (จริง)  พอบอกเลี้ยวขวามันน่าจะซ้ายไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงตัวเราบอกว่าต้องเดินตามนะแต่หัวใจมันอยากจะไปทางอื่นเต็มทีแล้ว ทำไมถึงขวาไม่ได้ ทำไมต้องซ้ายล่ะ เราจะแย้งอย่างนี้ตลอดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนี่แหละถ้ามนุษย์เข้าใจว่าขนาดตัวเราเองพอมีใครมาสั่ง เรายังเชื่อไม่หมดใจ ฉะนั้นเวลาเราสั่งใครไป บอกใครไป หวังดีกับใคร เขาจะเชื่อเราหมดใจไหม (ไม่)  ตอนนี้เรายังเห็นอยู่เขาก็ซ้ายตามเราบอก แต่พอพ้นสายตาเราเขาซ้ายไหม เขาอาจจะขวาเป๋ไปเป๋มาใช่หรือไม่ (ใช่)
ขึ้นชื่อว่า “สรรพสิ่งหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ของสัจธรรม” เราอยากให้เที่ยง แต่เขาไม่เที่ยง เราอยากให้เขาซ้ายแต่เขาไม่ซ้าย เราก็คิดเสียว่าเออมันเป็นอย่างนี้เองนะ เมื่อเราไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ทุกข์จะทำอะไรเราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะโกรธใครไหม (ไม่โกรธ)  เราจะสามารถปล่อยวาง ปลดปลงได้ทันที อย่าลืมนะทุกข์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ทุกข์ขัง” มีทุกข์เมื่อไรถ้าเรายึดมั่นถือมั่นมันจะขังเราเมื่อนั้น ฉะนั้นถ้ามองให้ดีๆ เรื่องราวในโลก ให้แง่คิดได้ ถ้าตัวเรายังเปลี่ยนแปร ตัวเรายังไม่เชื่อ นับประสาอะไรกับคนรัก ลูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์ท่านเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  วันนี้ยิ้มเดี๋ยวร้องไห้ไหม แล้วกลับมายิ้มไหม (ยิ้ม)  บางทีหัวเราะทั้งน้ำตาก็มีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงควรคิดว่า อารมณ์มันก็ไม่แน่ คนมันก็ไม่แน่ แล้วมีอะไรที่แน่
การที่เราคิดยึดติดว่ามันต้องแน่นอนไม่เปลี่ยนแปรนั่นแหละ เรากำลังทุกข์ขัง เราเอาทุกข์มาขังตัวเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ จากนี้ไปเราจะโกรธไหมที่เขาไม่เชื่อเรา (ไม่โกรธ)  เราจะโมโหไหมที่เรื่องราวมันเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง (ไม่โกรธ)  เราจะมองว่า “มันก็เป็นเช่นนั้นเอง” หรือที่เรียกว่า “มันเป็นธรรมชาติ”  พอเราบอก “มันเป็นเช่นนั้นเอง มันก็เป็นธรรมชาติ”  เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก มีจากก็ต้องกลับมาพบ มีเกิดก็ต้องมีดับ มีคนชมก็ต้องมีคนนินทา ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่คนที่พยายามบอกว่าเจอกันแล้วอย่าจากกันเลย คนนั้นคือคนที่กำลังผิดธรรมชาติ และตอนนี้เรากำลังทุกข์กับความผิดธรรมชาติ ใช่ไหม (ใช่)  เจอคนด่าเราก็เสียใจว่าเขาด่าเรา อย่างนี้แสดงว่าเรากำลังผิดปกติ เพราะเมื่อมีการชมก็มีการด่าเป็นเรื่องปกติ มีพบก็มีพรากเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วตอนนี้เรากำลังฝืนธรรมชาติอยู่ไหม ถ้าฝืนธรรมชาติเราก็กำลังสร้างทุกข์ขัง ง่ายไหม (ง่าย)  เห็นไหมว่าถ้าเราเข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นหลังจากนี้หากมีคนด่าเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  มีคนอยากได้ก็ย่อมมีคนอยากให้ ตัวเราเองยังมีความอยากอยู่เรื่อยไป เห็นใครเสื้อสวยเราอยากได้ไหม (อยาก)  ถ้าวันหนึ่งมีคนมาขอเสื้อเราเราให้ไหม (ให้)  ถ้าให้ก็จบ แต่ถ้าไม่ให้ก็จะกลายเป็นการสร้างทุกข์ขังทันทีเลย และทุกข์ขังอาจจะเกิดเป็นวิบากกรรมหรือผูกกรรม ฉะนั้นยอมลดอัตตาหน่อยและเราก็จะไม่สร้างทุกข์ขังและวิบากกรรมไม่ดีกว่าหรือ แต่มนุษย์มักจะเป็นอย่างไร
ไม่ว่าฟ้าดิน หรือแม้แต่ตัวเราเองล้วนมาจากธรรมชาติ มนุษย์ก็มาจาก ธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาเราต้องคืนกลับไปสู่ธรรมชาติที่เรียกว่าธาตุทั้ง 4 แล้วเราจะหวงอะไร ถ้าหวงแล้วเกิดกรรม เกิดวิบากกรรม เกิดการเกี่ยวกรรม เกิดกองทุกข์ เราจะเอาไหม (ไม่เอา)  เรายอมลดน้อยหน่อยดีกว่าไหม ต่อไปนี้ บอกว่าหากมีคนมาขอเงินหน่อย จะให้ไหม (ไม่ให้) ขอด่าหน่อย ให้ไหม (ไม่ให้) นี่แหละถึงบอกว่าเรามีทุกข์เพราะเรายึดมั่น ถือมั่น ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น และคิดได้ว่า ตัวจริงของเรานี้สุดท้ายก็กลับคืนไปกับฟ้า ร่างกายนี้ก็ไปตามดิน ตามน้ำ ตามลม แล้วเราจะยึดไปทำไมให้เป็นทุกข์ เมื่อเราไม่ยึด เราก็ลดอัตตาตัวตน เมื่อลดอัตตาตัวตน ความอยากที่เราจะยึดมั่นถือมั่นก็น้อยลง เมื่อน้อยลงแล้วเราก็เกี่ยวกรรมน้อย วิบากกรรมก็เกิดยาก ทุกข์ก็ไม่ขังเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ยาก) แต่ทำอย่างไรเล่าที่เราจะสามารถไม่ลืมกฎเกณฑ์ของความเป็นจริงของโลกได้
ยกตัวอย่าง เงินทองนั้น ถึงเวลาก็ต้องใช้ไป วันนี้ได้มา แน่ใจหรือว่าไม่ต้องคืนเขาไป มนุษย์มักจะปรารถนาความสุขสบายในชีวิต แต่เคยได้ยินไหมว่า ความสุขและความสบายมักจะมาไม่ค่อยพร้อมกัน จริงไหม (จริง) เราเคยคิดว่าถ้าเราสบายแล้วเราคงมีความสุข แต่จริงๆ แล้วพอเราซื้อความสบายแล้ว ความสุขกลับ (ไม่มี)  ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาถนนเป็นหลุม เป็นบ่อ คนขับจะไม่ค่อยประสบอุบัติเหตุ เพราะเขาจะไม่ขับรถไวๆ แต่ถ้าถนนเรียบ กลับมีอุบัติเหตุมากขึ้น สบายที่ไหนก็มีอันตรายที่นั่น เราซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่างมา เพื่อทำให้เรามีความสุข ผ้าก็ไม่ต้องซัก ใช้เครื่องซักผ้าแทน ถูบ้านบางทีก็ไม่ต้องถู ใช้เครื่องดูดฝุ่น จานไม่ต้องล้างเพราะออกไปกินนอกบ้าน แต่พอนานๆ ไปก็กลายเป็นโรคขี้เกียจ เราเคยคิดว่าเรามีเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย แล้วเราจะมีเวลามากขึ้น ที่ไหนได้เรากลับมีหนี้ท่วมหัว เราคิดว่าถ้ามีรถเราจะสะดวกสบาย แต่รถก็ทำให้เงินเราลดจริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าสบายแล้วจะมีสุข ไม่แน่สบายแล้วอาจจะกลายเป็นหนี้สิน อย่าคิดว่ามั่งมีเงินทอง มั่งมีทรัพย์สิน แล้วจะมีสุข บางทีอาจจะไม่ใช่สุขแต่กลายเป็นทุกข์
จำไว้นะ ทุกข์ขัง มีทุกข์เมื่อไรก็โดนขังเมื่อนั้น ฉะนั้นก่อนที่จะให้ทุกข์มันมาขังเรา เราก็ต้องไม่ลืม แม้เราจะเข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติมากมายขนาดไหนจะเรียนรู้ท่องจำได้ขนาดไหน แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องไม่ลืมสติ
กฎเกณฑ์ธรรมชาติที่เราลืมไม่ได้ก็คือ
1. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปรไปอยู่เสมอ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าพยายามอยากจะเอาแน่เอานอนเรากำลังสร้างทุกข์ขัง
2. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากธรรมชาติ ถึงเวลาก็ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ เราเป็นเพียงผู้ที่ยืมร่างกายนี้มาใช้ อย่าเผลอตกเป็นทาสของเงิน อย่าเผลอตกเป็นทาสของอัตตากิเลส เพราะกิเลสนั่นแหละทำให้มนุษย์นั้นกลายเป็นคนที่สร้างทุกข์ขัง วิบากกรรมและตกสู่อบายภูมิได้ รู้ไหม (รู้) จริงหรือ (จริง)  ไม่จริงหรอกเพราะถ้าท่านรู้ท่านคงไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หนทางแห่งบาปนั้นเกิดจากโลภ โกรธ หลงและหนทางแห่งโลภ โกรธ หลงก็นำพามนุษย์ไปสู่อบายภูมิ นรก เรียนธรรมะต้องเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ว่าสิ่งที่พระพุทธะต้องการคืออะไร ท่านต้องการแค่ให้หวยไหม รักษาโรคไหม ถ้าเกิดว่าท่านต้องการให้คนในโลกไม่ต้องป่วยเลยแล้วพระพุทธะท่านจะป่วยไหม (ป่วย)  ท่านป่วยเพราะวิบากกรรม ป่วยกายแต่ไม่ป่วยใจ ท่านทุกข์เพียงกายแต่ไม่ทุกข์ใจ ฉะนั้นเราศึกษาธรรมะเรากราบพระพุทธะอย่าเป็นคนงมงาย อย่าหลอกลวงตัวเอง ต้องยืนอยู่บนความเป็นจริงไม่อย่างนั้นจะโดนผู้อื่นหลอกได้  เราต้องเข้าใจให้ถูก เงินทองได้มา ถึงเวลาถ้าไม่รู้จักใช้ สักวันก็ต้องคืนเขาไป ความเจ็บป่วยในโลกมีใครบ้างไม่เจ็บป่วย แต่เราเจ็บป่วยเพื่ออะไร ถ้าเราได้ลดวิบากกรรม ได้ปลงสังขาร ก็น่าจะลองเจ็บป่วยบ้าง จริงไหม (จริง)  บางทีเจ็บป่วยแล้วก็ทำให้เราแข็งแรง ได้รู้ว่าใครรักเราไม่รักเรา
ฉะนั้นต้องมองให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างมีทางออกเสมอ กลัวอย่างเดียวก็คือมนุษย์อับจนปัญญา จึงกลายเป็นคนที่มีตาก็เหมือนตาบอด มีแขนเหมือนแขนด้วน มีขาเหมือนเดินไม่ได้ เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ถ้าเรามีสติ สติจะช่วยกำกับชีวิตและทำให้มองเห็นความจริงในโลกนี้ เราก็จะไม่ทุกข์ มนุษย์ชอบลืมตัวเอง ชอบอยากจะไปคุมคนนั้นคนนี้ คิดว่าตนเองถูก คนอื่นผิด ตัวเองผิดไม่ได้ คนอื่นต้องผิดอย่างเดียว ได้ไหม (ไม่ได้) เรายอมผิดบ้างจะเป็นอะไร เพราะถ้าตนเองผิด ให้คนอื่นถูกและสบายใจก็ไม่ได้เสียหายอะไร สักวันคนถูกก็อาจจะกลายเป็นคนผิด คนผิดก็อาจจะกลายเป็นคนถูก ยกตัวอย่างง่ายๆ ชายคนหนึ่งหัวล้าน ตัวเตี้ย ผิวดำ ปากเบี้ยว แต่เวลาไปไหนมาไหน ใครให้ทำอะไรเขาก็ทำ ใครให้เขาช่วยอะไรเขาก็ช่วย งานไหนที่เขาต้องรับผิดชอบเขาก็ทำเต็มที่ แม้เวลาไปยืนกับคนอื่นเขาจะโดนเปรียบเทียบหรือโดนคนอื่นหัวเราะก็ตาม เขาก็ไม่สนใจ เขาก็มีความสุขได้ แต่ถ้าเป็นเรา หัวล้าน ตัวเตี้ย ผิวดำ ปากเบี้ยว อายไหม (อาย)  ไม่น่าอายเลย
บางทีเรายึดมั่นถือมั่นกับการเปรียบเทียบ เปรียบเปรยเกินไป เราจึงรู้สึกว่าเรามีน้อยกว่าคนอื่น เราชอบโดนคนอื่นตำหนิ พุทธะสอนว่า “มนุษย์มีตา เพื่อดู มีหู เพื่อฟัง” เราหวังจะเอามือเราไปปิดตา ปิดหูผู้อื่นแล้ว บอกว่าอย่ามองฉันนะ อย่าเปรียบเทียบฉันนะ อย่าว่าฉันนะ ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นคนที่มีปัญญาจึงไม่หลีกหนีภาวะเหตุการณ์ แต่หลีกหนีการปรุงแต่ง แต่คนไร้ปัญญาไม่หลีกหนีการปรุงแต่ง แต่หลีกหนีภาวะเหตุการณ์
เราจึงบอกว่ามนุษย์มีตา แล้วห้ามคนดูได้ไหม (ไม่ได้)  มีหูแล้วห้ามคนฟังได้ไหม (ไม่ได้)  มีใจแล้วห้ามเขาคิดได้ไหม (ไม่ได้) เราเอามือปิดตาไม่ให้เขาเห็น ไม่ให้เขาปรุงแต่งได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นคนฉลาดจึงไม่หลีกหนีภาวการณ์ แต่หลีกหนีการปรุงแต่ง แต่คนโง่หลีกหนีภาวการณ์ แต่ไม่หลีกหนีการปรุงแต่ง เราห้ามเขาไม่ได้แต่สิ่งที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกับเขาได้ ก็คือใจเราต้องไม่คิดปรุงแต่ง เราจะเอาแต่หลบอยู่กับบ้าน บอกว่าฉันหัวล้าน ฉันปากเบี้ยว ฉันผิวดำ  ฉันเลยไม่ต้องไปเจอใครเลยได้ไหม จะได้ไม่ต้องโดนคนว่า ทำอย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าชีวิตเรายังต้องอยู่ร่วมกับผู้คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเราห้ามการปรุงแต่งของเขาไม่ได้ แต่เราหยุดการปรุงแต่งของเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราหนีภาวการณ์ที่จะต้องเจอร่วมกับคนไม่ได้ แต่เราหยุดไม่ปรุงแต่งเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราเรียนรู้ทุกข์ เราจึงต้องเข้าใจความทุกข์ให้กระจ่าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้มาฟังธรรมะ เพื่อปลดทุกข์ เพื่อรู้วิถีทางดับทุกข์ เพื่อเรียนรู้เอาไปใช้ในชีวิตและจิตใจ มนุษย์หลายคนเมื่อเจอเรื่องพลัดพราก เรื่องสูญเสีย ก็ตั้งสติไม่อยู่ สติกระเจิงไป ฉะนั้นเรามาฟังธรรมะเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจ และเรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าภูมิคุ้มกันนี้ไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่อยู่ข้างใน ขอเพียงเราไม่ลืมที่จะมีสติ แล้วหันกลับมามองว่าเวลาเจอสิ่งกระทบ ไม่ว่าจะเจอคนว่า เจอเรื่องสูญเสีย เจอเรื่องพลัดพราก เจอเรื่องผิดหวัง เราอย่าปล่อยให้ทุกข์ขัง ได้ไหม (ได้)  พอทุกข์มา เราก็กลับมามองก่อน อย่าเพิ่งเอาหน้าและใจไปรับ วันนี้เราเจอเรื่องผิดหวัง เป็นเรื่องธรรมดาไหม ใครๆ ก็ผิดหวัง แล้วเราผิดหวังบ้างจะเป็นอะไร ถ้าเราพยายามยื้อยุดเราก็กำลังผิดปกติ ฝืนธรรมชาติ เราอยากเป็นคนที่ผิดปกติ ฝืนธรรมชาติไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเรารู้จักทำให้สอดคล้อง เราจะสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ แต่ถ้าเราเอาแต่ฝืนเราคือคนที่ผิดปกติ อย่าลืมถ้าเราเข้าใจหลักธรรม เข้าใจกฎเกณฑ์ของชีวิต การมีทุกข์จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่จะทำให้เรารับมือและเอาชนะทุกข์ได้
แล้วตอนนี้เอาชนะทุกข์ได้หรือยัง (ยัง)  เมื่อสักครู่เราบอกไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากธรรมชาติ ถึงเวลาต้องคืนเขาไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลง อย่างนั้นจำไว้ อีกกฎเกณฑ์หนึ่ง
3. ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติเท่านั้น  วันนี้มีคนชมว่าสวย ดีใจไหม (ดีใจ)  เขาเรียกว่าแค่สมมติ เขากำลังเปรียบเทียบเรากับใครล่ะ แล้วแน่ใจหรือว่าเราควรจะดีใจ วันนี้มีคนชมว่าเก่งว่าหล่อเราจะดีใจไหม (ไม่)  ถ้าดีใจแล้ว วันหนึ่งเขาบอกว่าเราสู้อีกคนไม่ได้แล้วเพราะอีกคนสวยกว่า เราเสียใจไหม (เสียใจ)  นี่แหละคือการฝืนธรรมชาติ ฉะนั้นอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรลืมก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติ วันนี้เราดีกว่าเขาเราเก่งกว่าเขา เป็นแค่เพียงสมมติ สักวันหนึ่งมันก็เปลี่ยนไป ฉะนั้นอย่าลืม
4. ต่างคนมาต่างคนไป  แม้จะรักเป็นแฟนกันขนาดไหน แม้เงินจะอยู่ในกระเป๋าขนาดไหน แม้ของจะเป็นของเราขนาดไหน แต่ถึงเวลามันก็ต้องไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราคิดว่าต่างคนมาต่างคนไป เราจะไม่ยื้อยุดกับเขาเลย
ฉะนั้นจำไว้กฎเกณฑ์ธรรมชาติมีไม่กี่อย่าง ถ้าเรามีสติไม่ลืมเราก็จะไม่ทุกข์ขัง กฎเกณฑ์ของธรรมชาติมีอะไรบ้าง
กฎข้อแรกคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนไม่เที่ยง เราอย่าพยายามคิดว่ามันเที่ยง
กฎข้อที่สองคือ เรามาจากอะไร (ธรรมชาติ)  เราจะยึดมั่น ถือมั่นไปทำไม ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก็คือธรรมชาติ เขาด่าเรา ก็เป็นธรรมชาติ วันนี้เราได้ เราเสีย ก็เป็นธรรมชาติ ถ้าเราพยายามยื้อยุดว่าอย่าเสีย แต่กลับได้ขึ้นมา เราจะเป็นอย่างไร (ผิดธรรมชาติ)  เราฝืนธรรมชาติ ผิดปกติและสร้างทุกข์ขัง
มีอะไรอีก (มีสติ)  มีสติตลอดแต่เราต้องไม่ลืมว่าเรามีสติกับเรื่องอะไร ธรรมะมีเรื่องอะไรบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เมื่อเรามองว่าไม่เที่ยงแล้วเราจะโลภ จะโกรธคนไหม เพราะคนก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ เราจะหลงเขาไหมว่าเขาดีจังเลย เราจะคิดได้ว่า ไม่หรอกเดี๋ยวมันก็ร้าย แล้วเราจะโกรธคนที่เขาร้ายไหม ไม่หรอกเพราะเดี๋ยวเขาก็ดี เห็นไหมถ้าเราเข้าใจความไม่เที่ยง โรคก็จะไม่มี โกรธก็จะไม่เกิด หลงก็จะไม่เป็น เราจะไม่โลภมากไป เพราะถึงเวลาก็ต้องคืนฟ้า เราควรจะดีใจไหม ถ้าวันนี้มีคนบอกว่าเก่งจังเลย เสียใจไหมถ้ามีคนบอกว่าวันนี้โง่จังเลย เราไม่ควรดีใจ ไม่ควรเสียใจ เพราะมันเป็นเรื่องสมมติ สิ่งที่เราดีใจถึงเวลาก็อาจกลายเป็น (เสียใจ)  เพราะมันคือสิ่ง (สมมติ)  วันนี้โดนเขาด่า เราทำใจได้ไหม (ได้)
มนุษย์บอกว่าชีวิตอย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือทุกข์ที่สุดแล้ว ท่านแน่ใจหรือ ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ เราอาจจะมีทุกข์แบบนี้หรือไม่เจอทุกข์หนัก ฉะนั้นอย่ามัวเสียใจกับทุกข์อันนี้ วันนี้ท่านบอกว่าท่านมีความสุข ดีใจมีคนชมว่าสวย เวลาผ่านไป อาจจะได้มากกว่าคำว่า “สวย”  อาจจะได้เป็นนางงาม ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างคือ (เรื่องสมมติ)
อีกอย่างก็คือ ต่างคนมาต่างคนไป วันนี้เขาด่าเราเดี๋ยวเขาก็ไป จะด่าเราได้นานไหม เราจะโกรธเขาไหม ไม่หรอกต่างคนมาก็ต่างคนไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะโลภไปทำไม เพื่อเก็บไว้ให้ลูกหลานหรือ ทั้งที่จริงๆ แล้วก็คือต่างคนมาต่างคนไป ไม่แน่เก็บไว้ให้ ลูกหลานอาจจะตายก่อนเราก็ได้ กฎเกณฑ์มีกี่อย่าง (สี่อย่าง)  จำได้หรือยัง (จำได้)  ถึงจะจำได้ แต่อย่าลืมขาดสติ อย่าลืมตัวตน บางทีเราชอบลืมตัวใช่ไหม (ใช่)  อยากจะคุมคนอื่นเขา อยากจะคิดว่าคนอื่นต้องคนเป็นอย่างนี้และต้องเป็นอย่างนั้น
(ท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตาให้นักเรียนทบทวนเรื่องกฎเกณฑ์)
ข้อที่หนึ่งคือ (ทุกอย่างไม่เที่ยง, ทุกอย่างคืนสู่ธรรมชาติ, ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติ, ต่างคนมาต่างคนไป) ตัวเราก็คือสิ่งสมมติ ทุกอย่างคืนสู่ธรรมชาติ
“เรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีขั้นมีตอนจอมปั่นป่วน”  
ใจคือตัวจอมปั่นป่วนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ชอบคิดดี แต่ชอบคิดร้าย ไม่ชอบคิดสูง แต่ชอบคิดต่ำ สวรรค์ไม่คิดชอบตกนรก ดีไม่ทำชอบทำชั่ว
ใครสูบบุหรี่ยกมือขึ้น วันนี้สูบไปกี่มวนแล้ว (ห้ามวน,  หนึ่งมวน)  เขาให้เบาๆ แต่เราไม่ลดเลย ใครยังดื่มเหล้ายกมือขึ้น อายุยังน้อยไม่น่าดื่มเลยนะ ท่านเป็นอนาคตของชาติ ใครเล่นการพนันยกมือขึ้น มีผลต่อ ชะตาชีวิตนะ
มนุษย์มักจะพูดว่า “คนเราตายแล้วสูญ ตายแล้วจบ” ใช่ไหม (ใช่)  เราเลยไม่กลัวบาป กลัวกรรม เราเลยไม่มีจิตละอายสำนึกผิดชอบชั่วดี เพราะคิดว่าตายแล้วสูญ จบแล้วจบกัน อย่างนั้นเราถามท่านนะ ทำไมคนบางคนเกิดมาวาสนาดี บางคนเกิดมาวาสนาไม่ดี ทำไมเราพยายามหาเงินอย่างมาก แต่ไม่เคยรวยกับเขาสักที เพราะอะไร เพราะขยันแต่ไร้วาสนา ไร้บุญกุศล เรียนเท่าไรก็ยังไม่ฉลาด ถ้าตายแล้วสูญก็หมายความว่าคนที่เกิดมาใหม่ก็ต้องเหมือนกันหมด แต่ทำไมคนเกิดมาใหม่ถึงแตกต่างกัน บางท่านดีเหมือนฟ้า บางท่านมีนิสัยเหมือนลงหุบเหวเลย บางท่านเกิดมาโชคดีมีทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์หมด บางท่านเกิดมาวาสนาอาภัพอับโชค แล้วแน่ใจหรือว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วหมดกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีๆ ตายแล้วไม่สูญนะ ตายแล้วยังเป็นการเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เรายกตัวอย่างง่ายๆ สมมติท่านบอกว่าตายแล้วสูญ วันนี้เราโมโหอยากชกหน้าใครบางคน แล้วชกเลยอย่างนี้ เราบอกว่าจบแล้วจบกัน ชีวิตนี้ฉันจบแล้วจบกัน ไม่เกี่ยวกัน แต่ถ้าบังเอิญเจอคนที่เราชกแล้วเขาผูกใจเจ็บ จำหน้า จองเวรอาฆาตว่าเธอก่อกรรมกับฉัน ฉันต้องเอาคืน เราเป็นไหม (เป็น)  ถ้าหากคนที่โดนชกเขาอยากผูกกรรม เพราะแค้นฝังใจจดจำไม่ลืม แรงอาฆาตนั้นจะทำให้เรากลับมาเจอกันไหม (เจอ)
ฉะนั้นสิ่งที่จะสามารถหลีกหนีวิบากกรรมได้คืออะไร (หยุดจองเวรซึ่งกันและกัน)  เราหยุดแต่ถ้าเกิดคนที่เราไปทำกับเขาบอกไม่หยุดฉันจำได้ เหมือนในหัวใจเราจำได้ ใครดีกับเราเท่าไรเราจำไม่ได้ แต่ใครเลวกับเราเท่าไรเราจำได้หมด เราอาจจำไม่ได้ว่าเขาด่าอะไรแต่รู้ว่าเขาด่า หรือด่าเพราะสาเหตุอะไร หรือจำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรเรา รู้แต่ว่าเราโกรธ ใช่ไหม (ใช่)  เช่นนั้นจะทำอย่างไรจึงจะสามารถหลีกหนีวิบากกรรมได้ ชีวิตเรายังต้องเกี่ยวกรรมกับคนอยู่ แต่เกี่ยวกรรมอย่างไรที่เกี่ยวแล้วไม่ผูกกรรม (เราหยุดก่อนไม่คิดที่จะไปทำเขา, มีสติ)
(คิดก่อนทำ, ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง)  ถ้าเราไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลงก็อาจจะทำให้เราไม่เกี่ยวกรรมได้ไหม (ได้)  ถ้าเราไม่โลภเราก็คงไม่เบียดเบียนเขา ถ้าเราไม่โกรธเราก็คงไม่ด่าเขา แต่ทำอย่างไรถ้าบางทีเราก็ไม่ได้โลภ เราก็ไม่ได้ด่า เราพูดดีๆ หวังดีกับเขา แต่ทำไมเขาโกรธเรา ฉะนั้นทำอย่างไร (คิดก่อนพูดก่อนทำ) แค่นั้นหรือ บางทีเราก็ว่าเราคิดดีแล้วที่ไปพูดกับเขา แต่เขาก็โกรธ ใช่ไหม (ใช่)  คำตอบคือ “ทาน ศีล ภาวนา”
เวลาเราทำงานอะไรกับใครถ้าเราถือตัวตนเป็นหลักก็ง่ายที่จะกระทบกระทั่ง ถ้าเราถือความคิดเราถูกต้องเป็นหลักก็ง่ายที่จะโกรธเคืองกัน
ฉะนั้นเวลาเราทำอะไรกับใคร เพื่อนก็มีความคิดเห็น เราก็มีความคิดเห็น ถ้าเพื่อนบอกว่าให้เราฟังเขา แต่เราบอกไม่ได้เขาต้องฟังเรา นี่แหละมันไม่จบ แต่ถ้าเราบอกว่าฉันฟังเธอก็ได้ ถึงแม้ว่าเรารู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิด แต่ถ้าเราพูดว่าเธอไม่ถูกหรอก เขาจะเชื่อเราไหม อาจต้องปล่อยให้ผลของเหตุการณ์ประจักษ์ด้วยตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายอมสูญเสียสักนิดหน่อย แต่ทำให้เขารู้ซึ้งว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นไม่ถูกด้วยตัวเขาเองยังดีกว่าที่เราพยายามบังคับให้เขาไปตามที่เราพูด เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ทาน เกิดขึ้นได้ด้วยการรู้จักสละตัวตนบ้าง รู้จักให้อภัยบ้าง รู้จักให้ธรรมะเป็นทานบ้าง รู้จักให้ตัวตนปล่อยวางเป็นทานบ้าง
เคยได้ยินไหมที่บอกว่า “ทานทำให้รวย ศีลทำให้สวย ภาวนาทำให้งาม” ภาวนาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รู้แจ้งจนเกิดปัญญา”
แล้วศีลทำให้สวยอย่างไร คนเราที่ตั้งอยู่ในศีลไม่เคยผิดศีลเลย เราจะไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร เราจะถือความเมตตาเป็นหลัก มีมนุษยธรรม มีมโนธรรม มีจริยธรรม มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ดื่มสุราเมรัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่มีศีลได้บริสุทธิ์ จะทำให้คนนั้นเป็นคนที่สวยทั้งภายนอกและภายใน เมื่อทาน ศีล ภาวนาครบ เราจะไม่สามารถก่อกรรมกับใครโดยไม่รู้ตัว
ทุกขณะที่เรามีอะไรมากระทบ เราจะคิดว่า เราควรจะยอมให้เขาไหม เราอยู่ในศีลไหม ทำแล้วเกิดปัญญารู้แจ้ง แบบนี้ถึงเรียกว่า ทุกขณะจิตความเคลื่อนไหวนั้น เราไม่ผูกกรรมเวร แต่ถ้าเราก็ยังสูบบุหรี่ กินเหล้า ด่าคน เราก็เกี่ยวกรรมต่อไป เราพูดถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังอยากสูบก็ตามใจนะ เพราะว่าหนทางของคนสูบบุหรี่ กินเหล้า ประพฤติผิดในกาม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ล้วนหนีไม่พ้นอบายภูมิ หรือเรียกอีกอย่างว่า เปรต สัตว์นรก หรืออสูรกาย เราอยากเป็นอย่างนั้นไหม การตายแค่เปลี่ยนร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้านะ ตอนนี้ท่านได้เสื้อผ้าเป็นคน แต่ถ้าท่านไม่สามารถครองมนุษยธรรมของความเป็นคนได้ ศีลห้าของความเป็นคนยังไม่ครบ หมดกายไปนี้ท่านอาจไม่ได้กายที่เป็นมนุษย์ ท่านอาจจะได้หนังเสือ หนังลิง หนังวัว หนังควายก็ได้ จะเอาหรือไม่ก็แล้วแต่ท่านแล้ว ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ศีลห้าต้องมีให้ครบ ถ้ารักษาศีลห้าไม่ครบก็สามารถจะเปลี่ยนแปรไปเป็นสัตว์หรืออื่นๆ
ฉะนั้นเราชี้หนทางที่หลุดพ้นจากทุกข์ หลุดพ้นจากการผูกเวรกรรมแล้ว ท่านจะเดินหรือไม่เดินก็แล้วแต่ตัวท่าน เอาง่ายๆ อยากสูบบุหรี่ มันเหมือนเผาใจไหม ทรมานไหม ถ้าหากกายนี้เรายังไม่สามารถตัดได้ เวลาตายไปท่านก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น นี่ยังก้าวไปไม่ถึงระดับขั้นที่แยกกายออกจากจิตนะ เพราะเมื่อไรที่สามารถปลดทุกข์ได้ ไม่ผูกกรรมได้ ก้าวต่อไปก็คือ กายกับจิตต้องแยกออกจากกันให้ได้ ถ้าหากกายกับจิตยังแยกออกจากกันไม่ได้ เมื่อไรยังยึดติดในกายอยู่ ท่านก็ยังหนีไม่พ้นที่จะต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด
วันนี้ท่านมาฟังธรรมะ ไม่ใช่มาขอหวย ไม่ใช่เสกมนต์รักษาโรค แต่เรามาศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจกฎเกณฑ์ของการพ้นทุกข์ ไม่ใช่มาศึกษาแค่ผิวเผิน แต่ต้องเอาให้ถึงเนื้อข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากยังอยากทุกข์อยู่ ก็จงทุกข์ขังต่อไป
ฟังธรรมะแล้ว นับจากนี้ไปเอาธรรมะไปใช้ในชีวิต จงมีสติและจำกฎเกณฑ์ของความเป็นจริงบนโลกนี้ให้ได้ และเราจะไม่ฝืนธรรมชาติทำตัวผิดปกติและติดอยู่ในทุกข์ขังอีกต่อไป เพราะเราเข้าใจกฎเกณฑ์ว่าโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปร ถึงที่สุดแล้วต้องคืนสู่ธรรมชาติ เป็นแค่สิ่งสมมติ ไม่ควรดีใจหรือเศร้าเสียใจจนเกินไป และถึงสุดท้ายตัวใครตัวมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครช่วยท่านได้ อยากสูบก็สูบไปเลยนรกเปิดประตูรออยู่ อยากเลวก็เลวไปเลย ไปเป็นภพภูมิที่ต่ำกว่าการเป็นคน ท่านเลือกเอง อย่างที่มนุษย์ชอบพูด “สวรรค์มีทางแต่ไม่เดิน นรกไม่มีทางแต่อยากเดิน”  ตอนนี้พูดได้เพราะยังไม่ทุกข์ยังไม่เจอนรก แต่พอถึงเวลานรกมาจริงๆ เรียกองค์ไหนก็ช่วยไม่ได้ แต่จำไว้นะแค่ชั่วขณะจิตที่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนดี และตอกย้ำว่าจะต้องดีให้ได้แม้จะล้มไปสักสองสามครั้งแล้วกลับมาดีใหม่ เชื่อไหมว่าชั่วขณะจิตนั้นก็ยังมีบุญกุศล บุญกุศลที่มุ่งมั่นจะเป็นคนดี บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่กว่า ทาน ศีล คือปัญญารู้แจ้งแห่งการภาวนา มนุษย์ชอบพูดว่าไปนั่งสมาธิ ยามโดนอะไรกระทบเราสามารถจิตสงบและตั้งมั่นอยู่ในศีลนั่นแหละเรียกว่า “สมาธิ” แล้ว และถ้ามั่นคงในสมาธิและสามารถมองเห็นแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่มากระทบควรจะจัดการอย่างไรและแก้อย่างไร นี่เรียกว่าวิปัสสนาและเกิดปัญญา เราประมาทไม่ได้เพราะแน่ใจหรือว่าวันพรุ่งนี้จะยังมีอยู่ แน่ใจหรือชีวิตจะมีวันพรุ่งนี้ให้เป็นของเรา คนที่ประมาทคือ คนที่เดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นตอนนี้ทำไมไม่มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แค่ตอนนี้ได้ฟังและเกิดใจมุ่งมั่น นี่ก็เป็นกุศลแล้วนะ แค่ตอนนี้เองนะรีบๆ คิด ฟังจนถึงตอนนี้หากยังไม่คิดก็น่าเสียดาย
ต่างคนมาต่างคนไป ใช่หรือเปล่า เราชี้ทางพ้นทุกข์แล้วนะ ธรรมะประเสริฐอยู่ที่ไหน นำไปปฏิบัติ มุ่งมั่นทำ ตอนนี้บุหรี่มันยังแค่ครึ่งตัว อย่าปล่อยให้เป็นทั้งตัว เหล้ายังไม่กวักมือหาเรา เราอย่าไปกวักมือหาเหล้า หยุดไม่ได้หรือ หยุดได้ไหม หยุดอะไร (หยุดเหล้า บุหรี่)  หยุดได้ทั้งสองเลยหรือ
(ท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตาให้ดื่มน้ำที่ถวายให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์)
ต้องกินน้ำร่วมสาบานก่อน สัญญาแล้วนะ ถ้ากินน้ำนี้แล้วต้องทำให้ได้ น้ำพระอาจารย์รวมกับน้ำของเรา ถ้าทำไม่ได้อย่ามาเรียกเราตอนตกนรกนะ สาบานแล้วนะ เพราะดื่มน้ำร่วมสาบานนี้แล้วห้ามกลับไปดื่มสุราอีก ถ้ากลับไปดื่มอีก ท่านจะรับไหวไหม ฉะนั้นตั้งใจกินแล้วอย่ากลัวว่าจะมีอันเป็นไป กลัวทำไม ใครๆ ก็ตาย มีคนๆ หนึ่งตั้งใจแล้วว่า จะไม่กินจนกระทั่งเขาลงแดงตาย ถึงเวลาเขากลับไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ ขอให้ผ่านให้ได้ ขอให้พ้นความทุกข์ทรมานให้ได้ ปรบมือให้กำลังใจเขาด้วย


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

หมั่นสร้างบุญแต่ไม่ยึดติดในผล สร้างกุศลแต่ไม่ผูกยึดมั่นหมาย
ฉุดช่วยคนหว่านเมล็ดพันธุ์โปรดเวไนย หวังวันหนึ่งบัวบานได้ทั่วโลกา
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนรู้ตื่นหรือยัง

รู้ถึงไหนอับอายแค่ไหนรู้ไหม หากบำเพ็ญไปแล้วทำตัวแย่ ลดละรู้ก็ทำไม่รู้ซะงั้น เมื่อโดนคาดคั้นชักทำตัวแย่
ลับหลังมักจะทำประชดซะงั้น ต่างเหน็ดเหนื่อยกันแล้วทำตัวแย่ เป็นคนดีแต่ดีชนิดหุนหัน ชอบไปสวรรค์ไหงทำแย่แย่
ผู้คนสมัยนี้มักเป็นผ้าย้อม นั่งจ้องคอมแล้วหวังว่าจะรู้ จิตเป็นสุสานของ ความจริงต้องรู้ ฉลาดจริงจริงมองฟ้าไม่ยอมสู้
ท้อถึงไหนไม่ทงไม่ท้อทั้งนั้น ไม่เข้าใจกันถึงบำเพ็ญแย่ บำเพ็ญธรรมอย่าเป็นด้วยเพราะคับขัน ถ้าเป็นอย่างนั้นเห็นทีคงแย่ (เฮ้อ...เหนื่อย)

ชื่อเพลง : บำเพ็ญเกือบแย่
ทำนองเพลง : รักต้องสู้
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังเขาพูดก็ดี แต่ฟังอาจารย์พูดก็ดี ใครพูดก็ดีทั้งนั้น ไม่มีใครพูดดีกว่าใคร หรือว่าเราดีกว่าคนอื่น เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ถ้าเห็นตนเองสำคัญ คนอื่นๆ ก็ดูไม่สำคัญ มนุษย์ก็แปลกหาความเป็นกลางไม่ค่อยเจอ พอให้ความสำคัญกับคนอื่นก็กลายเป็นตัวเองไร้ความสำคัญไปเลย เป็นอย่างนั้นกันไหม (เป็น)  เวลายกหัวใจให้ใครแล้วเขาสำคัญกว่าตัวเราอีก แต่เวลาที่เราห่วงตัวเองมาก คนอื่นก็สำคัญสู้ตัวเราไม่ได้เลย แล้วเราเห็นคนอื่นสำคัญกว่าตัวเรา หรือเห็นตัวเราสำคัญกว่าคนอื่น
เห็นคนอื่นสำคัญกว่าเราจริงไหม (จริง)  เราสู้คนอื่นไม่ได้เลยใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์นี่แปลกทั้งที่เรียนรู้ว่าเกิดมาต้องรักษาความเป็นกลางให้ได้ดี แต่บางครั้งพอให้ความสำคัญกับคนอื่นก็ลืมให้ความสำคัญกับตัวเอง พอสนใจตัวเองก็ลืมให้ความสำคัญกับคนอื่น ฉะนั้นเราเรียนรู้ทางสายกลางมาเพื่ออะไร เพื่อให้รู้จักความพอเหมาะพอควร ไม่ให้คนอื่นสำคัญจนทำร้ายตัวเองและไม่ให้ตัวเองสำคัญจนไปทำร้ายคนอื่น อย่างนั้นการเห็นแก่ตัวการเบียดบังทำร้ายกันก็คงไม่มีในโลก ศิษย์หวังอยากให้โลกนี้สงบสุขไหม (อยาก)  แต่ถ้าเราเอาแต่เรียกร้องให้โลกสงบสุข แต่หัวใจเรายังไม่สงบสุข เราจะเรียกร้องใครได้ เราหวังอยากให้โลกยุติธรรม แต่ถ้าหัวใจเรายังไม่ยุติธรรมเราจะเรียกร้องให้คนอื่นยุติธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  เราหวังจะให้โลกนี้มีคนดี แต่ถ้าเกิดตัวเองยังไม่ดีแล้วเราจะไปเรียกร้องให้ใครดีได้อย่างไร
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงได้ที่ตัวเรา จิตเกิดทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิด จิตดับทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถดับได้ ฉะนั้นศิษย์จำไว้เลย เราศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นคนดี เพื่อจะเป็นคนรวยเท่านั้นหรือ ศึกษาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อหนีกรรม แต่ศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อฉุดช่วยตนและฉุดช่วยผู้คน นำพาตนและนำพาผู้อื่นด้วยแสงแห่งธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่ใช่ศึกษาธรรมว่าจะหนีกรรม แล้วหวังตัวเองรวย แม้ขนาดพระพุทธองค์หรือพระพุทธะทุกพระองค์ต่างมีเวรมีกรรม ถึงท่านจะทำบุญทำกุศลขนาดไหน ถ้าเวรกรรมมาถึงตัว ท่านก็ต้องยินดีรับกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราแค่ทำให้กรรมที่มีมากนั้นบางลง แต่ไม่ใช่จะทำแล้วไม่มีกรรมเลย เป็นไปไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แค่ทำให้บางจนเหลือน้อยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และกรรมที่เหลือน้อยที่สุดนั้นเราก็ต้องยินดีที่ชดใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าเราศึกษาธรรมแล้วกรรมไม่ต้องแบก มีกรรมอีกก็ต้องแบกต้องรับ แม้ชีวิตก็ต้องยอม ถ้าทำแล้วหมดสิ้นกรรม
เมื่อวานศิษย์ฟังเซียนน้อยแล้วว่าทำอย่างไรที่จะหนีวิบากกรรม พ้นทุกข์ได้ ทำอย่างไรมีวิบากกรรมที่มีอยู่นั้นจะเป็นวิบากกรรมที่จะไม่สร้างเพิ่มขึ้น แต่เราหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เคยทำมาก่อน ความหมายของเซียนน้อยหมายถึง ไม่ทำวิบากกรรมเพิ่มในอนาคต แต่วิบากกรรมในอดีตศิษย์ลบไม่ได้ แค่ให้มาช้าลง หรือมาเมื่อศิษย์พร้อมแม้ตายก็ไม่หวาดหวั่น
ฉะนั้นฟังแล้วต้องฟังให้เข้าใจนะ ไม่ใช่ไปจับผิดจับถูก มีทาน มีศีล มีภาวนา และเราจะหนีกรรมหมดเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แค่ไม่สร้างกรรมในอนาคตแต่กรรมในอดีตนั้นยังต้องชดใช้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  อย่างนั้นอาจารย์ขอเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ มีอีกอันหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ เกิดมาตัวเปล่า ไปก็ต้องไปตัวเปล่า ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิต รดลมหายใจทิ้งไปวันวันเพื่อมีแค่เงินทอง หรือเพื่อฉุดช่วยเวไนยบ้าง ศิษย์แสวงหาเพียงแค่เงินทองความสะดวกสบาย หรือว่าในการแสวงหาเงินทองนั้นยังมีโอกาสนำธรรมะไปฉุดช่วยคนให้พ้นทุกข์บ้าง
วันนี้เราฟังธรรมะเพื่อฉุดช่วยตน และฉุดช่วยคน เราช่วยตนเองอย่างเดียวไม่พอ เรายังต้องรู้จักนำธรรมะไปช่วยคนด้วย มีชีวิตแค่กินอยู่หลับนอน แค่นั้นพอไหม คุณค่าชีวิตที่มีแค่กินอยู่หลับนอนนั้นต่างอะไรกับ (สัตว์เดรัจฉาน)  มนุษย์ประเสริฐที่ตรงไหน ตรงที่ไม่ใช่แค่ กิน อยู่ หลับนอน แต่ยังรู้จักสร้างคุณค่าของชีวิตให้สู่หนทางอันประเสริฐ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่โดยหายใจรดทิ้งไปวันวัน แต่ไม่เคยสร้างคุณค่าให้กับชีวิตนั้นเลย
เราศึกษาธรรมแล้วสิ่งที่เราควรทำเริ่มต้นและมีไว้ในการดำเนินชีวิต ก็คือคุณงามความดีและความถูกต้อง ไหนใครคิดว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว  ยกมือขึ้น
(คิดว่าตนเองดีแล้ว)  มียกมือเพียงหนึ่งคนเอง ที่เหลือล่ะไม่ดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ก็ยังพอจะสอนได้นะ เพราะถ้าคิดว่าตัวเองดีแล้วการจะฟังคนอื่นก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเกิดคิดว่าตัวเองยังไม่ดี ก็ยังพร้อมที่จะฟังบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือนึกว่าโอ๊ยศิษย์ไม่ดี อาจารย์ไม่ต้องสอนหรอก ศิษย์เตรียมไปนรกเต็มที่แล้วอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นไม่ดีกี่เปอร์เซ็นต์ (ห้าสิบห้าสิบ)  ห้าสิบห้าสิบหรือ อย่างนั้นแปลว่าครึ่งผีครึ่งคน ถูกไหม (ถูก)  เพราะคนที่ไม่ดี คือ คนที่ตกนรก  คนที่ตกนรกก็ไม่ต่างอะไรกับภูตผีปีศาจ คนดีก็คือคนที่เป็นมนุษย์แล้วพร้อมที่จะดียิ่งขึ้นเพื่อก้าวไปเป็นเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้ศิษย์ก็เป็นพวกก้ำกึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะต้องระวังถ้าพูดไม่ดีเดี๋ยวปีศาจจะกัดศีรษะอาจารย์เอา อย่างนั้นไหม (ไม่)  หรือไม่ปีศาจจะ ออกมาอาละวาด เป็นอย่างนั้นหรือไม่ (ไม่)  แล้วปีศาจมีอะไรเป็นอาวุธ (จิตใจ,ความชั่ว,ปาก)  แล้วมนุษย์มีอะไรเป็นอาวุธ (มีสติ)  อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ มนุษย์มีสติเป็นอาวุธแล้วปีศาจมีอะไรเป็นอาวุธ ปีศาจมีจิตใจเป็นอาวุธจริงหรือ จริงไหม
อย่างนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าปีศาจและสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์และสิ่งที่เรียกพุทธะ ดีไหมศิษย์ (ดี)  เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ถามง่ายๆ นะ ศิษย์ว่าคนที่เป็นปีศาจนี่เขามีอะไรเป็นอาวุธ ปีศาจใช้อะไรเป็นอาวุธและทำให้ตนเองยิ่งใช้ยิ่งกลายเป็นปีศาจ ความชั่วร้ายอะไรที่ทำให้คนๆ หนึ่งจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นปีศาจที่น่ากลัวได้ (ความโกรธ)  ความโกรธเมื่อครอบงำจิตใจใครแล้ว มนุษย์ธรรมดาก็กลายเป็นปีศาจ
มีไหม (มี)  วันหนึ่งมีความโกรธกี่ครั้ง แล้วนำมาใช้กี่ครั้ง (บางครั้ง)  ควักออกมาใช้แล้วเคยทิ้งบ้างไหม (ทิ้ง)  เห็นยังเก็บความโกรธคนนั้น คนนี้ไว้ในใจอยู่เลย ความโกรธบางทีได้จบไปแล้ว แต่ตัวเราไม่ค่อยยอมจบ ความอิจฉาริษยา จริงไหม (จริง)  เวลาเราเห็นใครได้ดีแล้วอิจฉา ตัวเราเป็นปีศาจร้ายไหม แถมเป็นปีศาจร้ายที่ชอบแทงคนข้างหลังด้วย น่ากลัวกว่าความโกรธ เพราะความโกรธได้แสดงออกมาตรงๆ ว่าฉันโกรธ แต่อิจฉาริษยาน่ากลัว เพราะได้เก็บซ่อนไว้อยู่ภายใน เป็นปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในคราบของมนุษย์
อาจารย์จะบอกให้ จริงๆ แล้วความโกรธน่ากลัว แต่ไม่น่ากลัวมากไปกว่าความอิจฉาที่เก็บไว้อยู่ภายใน แล้วแสร้งปั้นหน้าว่าไม่มีอะไร แต่ในใจลึกๆ แอบว่าเขาไหม นินทาเขาไหม ความโลภและความหลงผิด ความโลภสามารถทำให้มนุษย์เป็นปีศาจที่กินไม่มีวันอิ่ม หรือเรียกง่ายๆ ว่าคล้ายกับเปรต แล้วเรามีไหม (มี)  แล้วความหลงเรามีไหม (มี)  ความหลงคล้ายกับปีศาจในร่างมนุษย์ ความหลงก็เทียบได้กับเดรัจฉาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งถ้ามัวแต่ห่วงความสุขของตนเองไม่สนใจความถูกต้องดีงาม มีชีวิตอยู่แค่เอาตัวรอดไปวันๆ ความถูกต้องดีงามไม่เคยคิดจะนำพามาประพฤติปฏิบัติ
ศิษย์ลองมองสัตว์ตัวหนึ่ง ชีวิตของมันเป็นอย่างไร เอาแต่ตัวรอดขอให้ชีวิตผ่านไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น คุณงามความดีไม่ต้องสนใจ อย่างนั้นเรากำลังเดินสู่หนทางของการเป็นอะไร ถ้าวันๆ เอาแต่ตัวรอดแต่ไม่สนใจความถูกต้องดีงาม แล้วตัวศิษย์ของอาจารย์เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  แล้วมีความดีงามอะไรในหัวใจบ้างบอกอาจารย์มา ถ้ามีประจำจะนึกยากไหม ถ้ามุ่งมั่นจะเป็นคนดีอยู่เสมอ คิดไม่ออกหรือว่าอะไรเรียกว่าความดีในหัวใจ แต่ทำไมนึกทีไรก็มีแต่สิ่งที่ไม่ดีเอาแต่ใจตัวเอง ความหมายของอาจารย์คือ รู้ตื่นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ในโลกนี้บ้างหรือยัง ยังงกอยู่ทุกๆ วัน เพราะบางวันยังห่วงแต่ท้อง ห่วงแต่เรื่องไม่มีกิน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่กลัวว่าสิ่งที่กินเข้าไปแล้ว หามาตั้งมากมาย แต่สุดท้ายก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
จะต้อนรับอาจารย์ด้วยอะไรดี (รอยยิ้ม)  ยิ้มแบบไหน (ยิ้มใหญ่)  แปลว่าถ้ายิ้มเล็กๆ ไม่ค่อยมีความจริงใจ ไหนลองยิ้มใหญ่ให้อาจารย์ดูหน่อย เป็นอย่างนี้เอง ใครสอน (ท่านต้าเซี่ยวฝอถง)  พอยิ้มใหญ่ๆ อย่างนี้ก็ทำให้คนอื่นยิ้มได้ ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์อนุญาตให้คนที่อายุ 60 ขึ้นไปได้นั่งก่อน ส่วนคนที่อายุยังไม่ถึง 60 ปียืนต่อไป ดีหรือเปล่า (ดี)  อาจารย์นับหนึ่ง สอง สามก็ให้นั่ง ศิษย์บอกว่า ศิษย์เป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ ปีศาจชอบทำอะไรไวๆ มนุษย์จะทำอะไรช้านิดหนึ่งแต่มีความรอบคอบ และไม่มีผลกระทบย่อมปลอดภัยกว่า แต่ปีศาจทำอะไรหุนหันพลันแล่น มักจะเสียใจภายหลังเสมอ ฉะนั้นตอนนี้อยากทำอะไรช้าๆ หรือไวๆ ช้าๆ
เมื่อวานเซียนน้อยสอนว่าอะไร ต่างคนต่างไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรคิดอยากจะเกาะเกี่ยวใครเมื่อนั้นก็หาทุกข์ใส่ตัวหาเหาใส่หัวใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราชอบเกี่ยวไหม ชอบใช่หรือเปล่า (ใช่)  เกี่ยวไว้ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังเกี่ยวหมดเลย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเอาแขนซ้ายโอบบ่าคนข้างๆ ไว้และให้ยืนนั่งไปพร้อมๆ กัน)
เวลารักใครแล้วเกี่ยวพันอะไรในโลกนี้แล้วศิษย์แค่แตะเฉยๆ ไหม (ไม่)  ทั้งโอบทั้งกอดเลย ทั้งผูกพันทั้งยึดติดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะให้ดูว่ายิ่งผูกพันยิ่งยึดติดเหนี่ยวแน่นขนาดไหนก็ยิ่งทุกข์ยากมากยิ่งขึ้น
เป็นอย่างไร มีความสุขไหม (สุข)  สบายไหม (สบาย)  แรกๆ มันก็มีความสุขแต่พอได้เกาะเกี่ยวแล้ว ศิษย์แค่ได้เกาะเกี่ยวข้างเดียวไหม ยิ่งรักก็ยิ่งยึด ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวงใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตมันง่ายแบบนี้ไหมหนอ ง่ายไหม (ง่าย)  ศิษย์คิดว่าการมีเงินได้ผูกพันหรือยึดติดกับเงินอาจทำให้ศิษย์มีความสุข การมีคนรัก การมีลูกหลาน การมีบ้าน การมีรถ ถ้ามีตำแหน่งหน้าที่ทำให้เรามีความสุข แรกๆเราก็มีความสุข แต่พออยู่ไปอยู่มา ทำไมยิ่งมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรล่ะ เราลืมไปแล้วว่าต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง บางครั้งอยู่ร่วม แต่บางครั้งก็ต้องผ่านไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราเกิดมาในโลกนี้มาเพื่อยืมใช้แล้วปล่อยวาง หรือเกี่ยวแล้วเกี่ยวจนตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้ให้ดีๆ จะผูกพันกับใครก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง แต่พอถึงเวลาเมื่อหมดกรรมดีเป็นวิบากกรรมแล้วเราก็ต้องทำใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เคยไหมแรกๆ อยู่ด้วยกันก็หวาน ต่อหวานๆ ไปแล้วมันก็ขม ขมแล้วกลายเป็นขื่น ขื่นแล้วกลายเป็นกล้ำกลืน กล้ำกลืนแล้วกลายเป็นฝืนทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์จงจำคำนี้ไว้นะ ใครที่ยังไม่มีคู่จำไว้ให้ดีนะ หวานแล้วเดี๋ยวมันจะขม และมันจะขื่น เดี๋ยวมันจะกล้ำกลืน แล้วเดี๋ยวจะฝืนทน พอถึงเวลาฝืนทนแล้วก็ตัวใครตัวมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ช่างมันเถอะหมดเวรหมดกรรมมันเท่านี้นะ จริงไหม (จริง)  ศิษย์ก็พูดเองใช่ไหม (ใช่)  แต่บางคนไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจ ทำใจไม่ได้ รับไม่ทัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำอะไรศิษย์มีสติ รู้อยู่ทุกขณะก็คงจะดี ไม่ว่าจะเดี่ยวหรือจะเกี่ยวก็ไม่ทุกข์มาก
แล้วเวลาเราอยู่ในโลกนี้มองคนสักคนหนึ่ง ศิษย์ว่าควรจะมองเพียงแค่ภายนอกหรือมองภายใน (ภายใน)  อาจารย์บอกว่าเวลาเราจะอยู่ร่วมกับใครนั้น เวลาเรามองคนเรามองเขาแค่เพียงภายนอกหรือภายในดี (ภายใน)  ส่วนใหญ่จะมอง (ภายนอก)  แล้วค่อยมอง (ภายใน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลาเรามองภายนอกอย่างเดียวโดยไม่มองภายในนั้นเรารำคาญไหม (รำคาญ)  แต่คนบางคนแปลกโดยเฉพาะศิษย์ของอาจารย์นั้นแปลก อยู่ร่วมกันก็มองแต่ข้างนอก แรกๆ คบกันเห็นแต่ข้างนอก แต่พอนานไปนานไปข้างนอกมองไม่เห็นเห็นแต่ (ภายใน)  จริงไหม ยิ่งอยู่กันนานๆ เข้า นานๆ เข้า ข้างนอกแทบจะมองไม่เห็นเห็นแต่ (ภายใน)  ศิษย์ว่าดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนั้นควรจะมองอย่างไร ข้างนอกต้อง (มอง)  ข้างในก็ต้อง (มอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีศิษย์หลายคนไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ศิษย์หลายคนถ้าเคยมีคู่จะเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไรอาจารย์ถึงพูดอย่างนี้ เพราะว่ามนุษย์เราหนีไม่พ้นต้องอยู่ร่วมกันต้องเกี่ยวเนื่องกัน ไม่สังคมในครอบครัวก็สังคมที่ทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่สังคมที่ทำงานก็เป็นสังคมของประเทศหนึ่ง หรือเมืองๆ หนึ่ง หรืออำเภอหนึ่ง หรือจังหวัดหนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนแรกเราอยู่ร่วมกันเราก็เห็นเขาดีหรอก แต่พออยู่นานไป เริ่มเห็นไส้เห็นพุง เรารับได้ไหม มนุษย์ก็แปลกแรกๆ ก็ดี พอเริ่มเห็นไส้เห็นพุงก็เริ่มเหม็น รับได้ไหม ไม่ชอบอะไรเขา ไม่ชอบตับ ไต ไส้พุงหรือไม่ชอบที่นิสัย
ฉะนั้นองค์ประกอบภายนอกแม้จะดูดีอย่างไร แต่นิสัยเน่าข้างในเอาไหม (ไม่เอา)  ขึ้นชื่อว่าคน นิสัยถึงจะเน่าในขนาดไหน เปลี่ยนได้ไหม (ได้)  แต่เราจะมองเห็นเขาเปลี่ยนไหม เรามักจะมองเห็นว่าเขาไม่เปลี่ยน พออ้าปากจะพูด ก็บอกว่าแกไม่ต้องพูด ฉันรู้นิสัยแกแล้ว คุณไม่ต้องบ่น ผมรู้ว่าคุณจะพูดอะไร ซึ่งเป็นการดีไหม บางครั้งเราอยากจะบอกเขาว่า นิสัยฉันก็มีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่เสีย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนที่เสียตอนนี้ก็พร้อมจะดีแล้ว แต่ขอโอกาสและให้โอกาสฉันบ้าง แต่มนุษย์ให้โอกาสกันไหม มั่นใจว่าเลวอย่างไรก็เลวอย่างนั้น กลายเป็นว่าคนที่รู้ว่าตัวเองเลว แล้วอยากจะกลับตัว จะมีโอกาสได้แก้ตัวให้ดีขึ้นไหม
ถ้าวันหนึ่งศิษย์อยู่กับใครก็ตาม เห็นเขาเน่านอกหรือเห็นเขาเน่าใน อย่ายืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าที่เห็นนั้นมันเที่ยง ไม่อย่างนั้นศิษย์ก็จะมีทุกข์ขัง เมื่อวานเซียนน้อยก็ได้สอนไม่ใช่หรือ ถ้าเรารู้จักปฏิบัติตัวกับเขาให้ดียิ่งขึ้น ให้โอกาสเขา ไม่แน่เขาอาจจะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีได้ทั้งภายนอกและภายใน แต่มนุษย์มีความแปลก เห็นอย่างไรไม่เคยคิดจะปรับเปลี่ยนสายตาตัวเองบ้างเลย
วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีเป็นมนุษย์ เป็นปีศาจ หรือเป็นพุทธะ  เมื่อสักครู่ศิษย์พอจะรู้ไปแล้วบ้างว่าการเป็นปีศาจก็คือ การมีอารมณ์โลภ โกรธ หลง ครอบงำจิตใจจนขาดซึ่งคุณธรรมความดี การยับยั้งชั่งใจ แล้วถ้าเกิดเป็นคนดี คนดีเป็นคนอย่างไร คนดีคือ คนที่เบาบางเรื่องโลภ โกรธ หลง ดำเนินชีวิตอยู่ในความเรียบง่ายและมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะให้ แต่คนที่ง่ายที่จะเป็นปีศาจคือ มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะเอา สรุปง่ายๆ คนที่จะเป็นปีศาจคือ คนที่วันๆ มีแต่อยากเอาอยากได้จนไม่รู้จักพอ แต่คนที่เป็นพุทธะหรือเป็นมนุษย์คือ มีแต่จะให้ๆ ยากไหม (ไม่ยาก)
อย่างนั้นเรามาลองดูง่ายๆ ก่อนว่า ตอนนี้เรามีความเป็นปีศาจหรือพุทธะมากแค่ไหน สังเกตได้จากการพูด ทำ คิด เมื่อเวลาเราอ้าปากพูด หรือทุกครั้งที่อ้าปากพูด เราพูดแต่เรื่องอะไร เราพูดแต่ติคนโน้นว่าคนนี้ เล่าเรื่องร้ายๆ ของคนนั้น วิพากษ์วิจารณ์คนโน้น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเป็นอย่างนี้บ่งบอกว่าเราเป็น (ปีศาจ)  แต่ถ้าเกิดว่าทุกขณะที่ศิษย์จะพูด คิดแล้วคิดอีกจนกลายเป็นคนพูดน้อย แล้วเวลาพูดนั้นต้องมีสาระมีประโยชน์ อย่างนี้เรียกว่าเป็นมนุษย์  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ ขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐยิ่งนัก สามารถสร้างสมบุญให้กลายเป็นเทพเทวา หรือพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ และก็สามารถสร้างสมบาปให้กลายเป็นปีศาจ สัตว์นรกหรือเดรัจฉาน หรือเปรต ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชั่วขณะที่มีชีวิตเราสามารถสั่งสมได้สองอย่างคือ สั่งสมสิ่งที่ดีงามกับสั่งสมสิ่งที่เรียกว่า บาป อาสวะ หรือความชั่วร้าย ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่า คนดี แล้วก้าวเข้าไปเป็นพุทธะเป็นเทพเป็นเซียน แล้วถึงจะเป็นพุทธะ อยากจะเป็นคนดีและเป็นมนุษย์ที่ดีถ่องแท้ เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐก็ต้องเริ่มต้นจากการเป็นคนดีให้สมบูรณ์ก่อน (ใช่หรือไม่)
แต่มนุษย์มักจะพูดกับอาจารย์ว่าเป็นคนดีนะเป็นยาก และทำดีมักทำดีไม่ขึ้น ดีก็ดียาก (ใช่หรือไม่)  แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าจะเป็นคนดีทำดีไม่ยาก ความดีมีหลากหลายรูปแบบ เอาง่ายๆ เกิดเป็นคนรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  พูดจาสุภาพมีสัมมาคารวะ นี่ก็เป็นบุญแล้วนะศิษย์ เจอใครไม่ถือตัว ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ถือตัว ไม่อวดตัว แต่รู้จักอ่อนน้อมมีสัมมาคารวะ สุภาพ นิ่มนวล อ่อนหวานเวลาพูดจา นี่ก็ถือว่าสร้างบุญเล็กๆแล้ว (ใช่หรือไม่)  สิ่งใดที่เป็นบุญเป็นทานก็หมั่นทำอยู่เนืองนิตย์ ไม่เคยขาด นี่ก็เป็นบุญแห่งการทำดีแล้ว ใครไปทำบุญทำทาน ในใจเรานึกอนุโมทนายินดีด้วย นี่ก็เป็นบุญแล้ว แต่ปีศาจมักจะแอบมาบอกแกดีไปเถอะฉันขอชั่ว อันนี้แหละ ปีศาจ (ใช่หรือไม่)
ฉะนั้นต่างกันแค่คิดเองนะศิษย์  ใครไปทำดีแล้วเราอนุโมทนา นี่แหละบุญ แต่ถ้าใครไปทำดีแล้วบอก ไปเหอะๆ ฉันยังชั่วอยู่ นั่นแหละบาป และกำลังนำตัวเองตกนรก (ใช่หรือไม่)  แค่มาฟังธรรมะแล้วได้ความคิดอันถูกต้องไม่หลงผิด และรู้จักพูดสิ่งที่ดีให้กับคนอื่น นี่ก็เรียกว่า บุญ เห็นไหมว่าการเป็นคนดีเพื่อไปให้ถึงซึ่งบุญอันงดงาม หรือความถูกต้องอันงดงามเป็นเรื่องยากไหม  (ไม่ยาก)  ไม่ยากเลยใช่หรือไม่ แต่ขอให้เป็นคนดีที่อดทน หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นคนดีที่มีเมตตา มีขันติ มีอภัย มีสัจจะ และมีใจวางเฉย ถ้าศิษย์สามารถทำได้อย่างนี้แม้ว่าจะโดนคนรังแกเมื่อยามทำดี แม้ว่าจะทำดีแล้วมีคนต่อว่า หรือทำดีแล้วต้องเจอลำบาก ศิษย์ก็จะไม่หวาดหวั่น เมื่อไม่หวาดหวั่นศิษย์ย่อมสามารถถึงความดีอันประเสริฐ กว่าจะก้าวเป็นคนดีได้ก็ยากแล้วใช่ไหม และถ้าเกิดตอนที่เป็นคนดีนั้นเจออุปสรรค เจอความยากลำบากแล้วศิษย์ยังมั่นคง นั่นแหละคือตัวทดสอบว่าศิษย์จะเป็นมนุษย์หรือเป็นปีศาจใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรามุ่งมั่นทำดีอย่างไม่ย่อท้อการเป็นคนดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงอย่างเดียวต้อง เอาชนะใจตัวเองให้ได้ อย่าเกียจคร้าน อย่าขาดความเพียร ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์คือคนที่มีศีล ศีล ๕ หรือศีลธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามง่ายๆ ว่าศีล ๕ มีอะไรบ้าง ในศีลย่อมมีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) นอกจากตอบได้ว่าศีล ยังตอบได้ว่าคุณธรรมด้วยมากกว่าห้าก็ได้นะ แล้วหวังว่าจะรู้ (ให้นักเรียนตอบ) (นักเรียนตอบ...ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามดื่มสุรา ไม่ประพฤติผิดในกาม ห้ามพูดปด)  ถ้าศีลไม่ได้ก็ตอบธรรมนะ
(รู้จักคุณคน, ห้ามลักทรัพย์ตรงข้ามกับขโมย)  อาจารย์ชวนไปสวรรค์จะชวนดึงตกนรกทุกวันเลย (มีสัจจะ)  บอกว่าเขาจะไปนรกศิษย์ไม่ต้องตามเขาไปนะ (ความอดทน)  เป็นคนดีต้องรู้จักอดทน (รู้จักให้อภัย, ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง, กรุณา)  ถ้าหากไม่ฆ่าสัตว์ต้องมีคุณธรรมคือ ความเมตตาในหัวใจ เกิดเป็นคนต้องมีความเมตตาจิตอยู่เสมอ เราจะเบียดบังและจะทำร้ายใครไหม เพียงเพื่อให้ตัวเราได้กิน เราจะเบียดบังทำร้ายใครไหม (ไม่)  คนที่ชื่อว่าเป็นปีศาจนั้นเป็นแบบไหนรู้ไหม อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นปีศาจคือคนที่เพียงเพื่อได้กิน ก็ไม่สนใจว่าจะถูกฆ่าด้วยวิธีใด เพียงเพื่อตัวเองมีความสุขก็ไม่สนใจว่าตัวเองนั้นจะโกหกเบียดบังทำร้ายใคร เพียงเพื่อให้ตัวเองได้มั่งมีเงินทอง ก็ไม่สนใจว่าคุณธรรมความเป็นคนจะเหลืออยู่แค่ไหน นี่แหละเรียกว่า หัวใจของคนที่เป็นปีศาจ เพียงเพื่อกินตามใจปากไม่สนใจว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าต้องถูกฆ่าถูกทำร้ายมาด้วยวิธีใด เรามีหัวใจของปีศาจอยู่ในนั้นไหม เพียงเพื่อกินตามใจลิ้น เพียงเพื่อจมูกบอกว่าหอมๆ แล้วเราก็ไปกินโดยไม่สนใจว่า ก่อนที่จะมาเป็นหมูปิ้ง ไก่ย่าง ลาบ น้ำตก ต้องฆ่าเขาด้วยวิธีใด ศิษย์ไม่สนใจว่าเมตตาจะต้องมีไหม ไม่สนใจทั้งสิ้นแต่ขอกินไว้ก่อน กินไว้ก่อนไม่สนใจว่าวิธีการที่ได้จะถูก จะผิด หรือชอบธรรมไหม เพียงเพื่อตัวเองมีความสุข พ่อแม่จะต้องเสียน้ำตา จะต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน ฉันก็ไม่สนใจ เราเป็นอย่างนั้นไหม
ฉะนั้นศิษย์มีหัวใจของปีศาจอยู่ในใจเราไหม (มี)  ถ้ายังอยากจะมีมันก็จะชวนศิษย์ไปเป็นเพื่อน เพราะว่ามนุษย์มีน้อย แต่สัตว์นรกมีมากมาย อย่างนั้นก็ต้องมีตัวตายตัวแทน ถ้ามันรอดแล้วมันต้องหาอีกคนหนึ่งมา (แทน)  ถึงจะสาแก่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าศิษย์
ฉะนั้นศิษย์มาฟังธรรมะไม่ใช่แค่เพียงเป็นคนดีเอาตัวรอด แต่ศิษย์มาฟังธรรมะเพื่ออะไร (ช่วยตนเอง)  เพื่อช่วยตนและช่วยผู้คนด้วยหนทางอันประเสริฐ คือ การมีธรรม ธรรมนี้แหละที่ทำให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหลุดพ้นจากการเป็นภพภูมิของสัตว์เดรัจฉานและเปรต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดในโลกไม่ใช่ทุกข์แห่งการเป็นคน แต่คือทุกข์จากการเวียนว่ายอย่างไม่จบสิ้น น่ากลัวกว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นกลับมาต่อ หัวใจของคนที่จะเป็นพุทธะต้องมีคุณธรรมเป็นรากฐานคือ
1. มีเมตตาในจิตใจ
เมตตาในจิตใจ เหมือนถ้าวันนี้มีคนมาบอกว่า “หัวหน้าขอเงินห้าร้อย” ให้ไหม (ให้)  ให้นะ เขาดีใจ เขากระหยิ่มยิ้มย่องไหม ดีใจหัวหน้าใจดีจริงๆ อยากขออีกไหม (อยาก)  ศิษย์จำไว้นะทำอย่างไรล่ะที่จะอยู่ร่วมกันแล้วความเมตตานี้จะไม่กลายเป็นความ (โกรธ) ถ้าเกิดเขากลับมาขอหัวหน้าอีก “หัวหน้าพันหนึ่ง” (ให้ครับผม)  ห้าร้อยก็ให้หนึ่งพันก็ให้ ผ่านไปอีกสักครึ่งปี “หัวหน้าหมื่นหนึ่ง” (ผมก็ให้เขาอยู่ดีถ้ามี)  ศิษย์เอยมีเมตตาในหัวใจเป็นสิ่งที่ดี แต่เมตตาในหัวใจต้องไม่ฆ่าคนด้วยความดีงามนะ ให้อย่างไรที่จะให้เขารู้จักมีแง่คิด ไม่ใช่ให้เขามาเกี่ยวกรรมศิษย์แล้วก็ติดหนี้ศิษย์ แล้วศิษย์ต้องกลับมาเจอเขาเพราะเขาต้องมาใช้กรรมกับศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดขอครั้งที่สองศิษย์ต้องให้อย่างคนที่ให้ปัญญากลับไปด้วย ศิษย์บอกเขาไปเลยว่า “ให้ได้ แต่ให้ไม่ใช่เพราะอยากตามใจ แต่ให้เพราะอยากช่วยเหลือเพราะเป็นเพื่อนกัน แต่เธอสัญญากับชั้นได้ไหมว่านับจากนี้เอาไปแล้ว แม้ไม่คืนแต่จะไม่ขออีกเลย”  นี่คือให้แล้วให้แง่คิด ให้แล้วให้ธรรมสอนเขาไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันศิษย์ ฉะนั้นเวลาสอนหรือให้ ไม่ใช่ให้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ศิษย์จะเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แต่ศิษย์จะเกี่ยวกรรมอย่างไรแล้วให้เขาได้แง่คิด นั่นคือ ต้องให้ธรรมอิงแอบไปด้วย เงินช่วยคนไม่ได้ตลอดเท่ากับให้เขามีปัญญาทางธรรม ฉะนั้นศิษย์จำให้ดี เกิดเป็นคนต้องมีเมตตา ต้องสงสารคนให้เป็น อย่าสงสารคนจนทำให้เกิดนิสัยเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัวและช่างขอ ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นพุทธะสอนให้คนเป็นพญามาร เพราะอาจารย์บอกว่า คนที่เป็นพุทธะคือ คนที่มีแต่ให้ แต่คนที่เป็นพญามารคือ คนที่เอาแต่ขอ
ฉะนั้นการจะเข้าถึงความเป็นพุทธะ สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องจำให้ได้ก็คือ ให้แล้วอย่าหวังผล ให้แล้วอย่ายึดติดหวังวอนขอ เพราะไม่อย่างนั้นการให้ก็จะเป็นการให้ที่ทั้งเป็นการให้และเป็นปีศาจไปในตัว เป็นการให้ที่ไม่บริสุทธิ์ ทำบุญทำอะไรก็ตาม ให้เพื่อให้ ให้เพื่ออุทิศ ให้เพื่อสละ ให้เพื่อขอนี่แปลว่าไม่ใช่ให้ที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ให้ที่ถูกต้อง แต่ยิ่งให้ยิ่งต้องเป็นอิสระจากการให้ ยิ่งให้ยิ่งทำดียิ่งเป็นสุขและสงบ ยิ่งโปร่งยิ่งเบา ไม่ใช่ยิ่งให้แล้วยิ่งหนัก อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าให้ที่ถูกต้อง  (มีคุณธรรม, รู้จักยับยั้งชั่งใจ, มีจริยธรรม)
(ไม่เบียดเบียนตัวเองและคนอื่น)  คุณธรรมข้อไหนที่เรียกว่าไม่ประพฤติผิดในกาม (มีปัญญาธรรม)  ปัญญาธรรมนี้อยู่ตรงไหน ทำให้เกิดปัญญาอยู่ข้อไหน ระหว่างไม่ประพฤติผิดในกามจะทำให้เกิดปัญญาหรือไม่ดื่มสุราทำให้เกิดปัญญาธรรม (ข้อห้า)  ถ้าไม่ดื่มสุราจะทำให้เป็นคนมีปัญญาดี อยากรู้ไหมว่าชาตินี้เราปัญญาดีไหม เรียนอะไรก็รู้ไปหมดไหม ถ้าไม่ค่อยรู้แปลว่า ที่แล้วมาเอาแต่ดื่มสุรา แล้วตอนนี้ถ้าอยากปัญญาดีก็อย่าดื่มสุรา อย่าติดอบายมุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเรามีเมตตาในหัวใจ ศิษย์ก็เป็นคนที่ไม่ฆ่าสัตว์ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่อายุยืนได้นะ เพราะเป็นที่รักของทุกๆ คน ใครก็อวยพรอยากให้คนนี้อายุยืน เพราะหัวใจของเขามีแต่ความเมตตา เป็นคนซื่อตรงใครๆ ก็อยากทำงานร่วมด้วย เริ่มเป็นที่รักของทุกคน ใครๆ ก็อยากให้อยู่ด้วย เป็นที่รักเป็นที่ชื่นชอบ ไม่ประพฤติผิดในกาม ครอบครัวนั้นร่มเย็นมีความสุข แต่ทำไมเรามีครอบครัว แต่ครอบครัวเรามักจะแตกร้าว อาจจะเกิดจากอดีตชาติได้ไปแย่งสามีเขามาก็ได้ ถ้าวันนี้โดนเขาแย่งไปก็ต้องทำใจนะ ไม่ประพฤติผิดในกามเป็นธรรมะข้อไหน ข้อจริยธรรม ไม่ลักทรัพย์ก็คือมีมโนธรรมสำนึก ถ้าทุกขณะจิตไม่ว่าศิษย์ทำอะไรก็ตามคำนึงถึงความเมตตาไหม มีมโนธรรมไหม มีจริยธรรมไหม มีสัจจะไหม และก่อเกิดปัญญาไหม เราก็คงยากที่จะตกไปสู่การเป็นผี ปีศาจร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่แค่ศีลห้าศิษย์ยังถือได้ไม่ครบเลย อาจารย์ให้เลือกเอาข้อใดข้อหนึ่งแล้วถือไปจนตัวตาย แม้หมดลมหายใจก็ถือสิ่งนี้มีค่ายิ่งกว่าชีวิต ได้หรือไม่ (ได้)  พุทธะที่เป็นพุทธะเพราะท่านได้ถือคุณธรรมสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ตอนนี้ศิษย์พอจะรู้แล้วว่า ทำอย่างไรจึงเรียกว่ามนุษย์ที่ประเสริฐ ทำอย่างไรที่เรียกว่าผีปีศาจร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถตัดจากความโลภ โกรธ หลง ได้ก็คือความหลงมัวเมา
เบญจศีล เบญจธรรม
ไม่ฆ่าสัตว์ เมตตาธรรม
ไม่ลักทรัพย์ มีมโนธรรม มีความซื่อสัตย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม จริยธรรม
ไม่พูดปด สัตยธรรม
ไม่ดื่มสุรา ปัญญาธรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยได้ยินเรื่ององคุลิมาลไหม ก่อนที่เกิดเป็นองคุลิมาลแล้วพระพุทธเจ้าได้มาโปรด แม้ในอดีตชาติพระพุทธเจ้าก็เคยช่วยองคุลิมาลอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เป็นองคุลิมาลท่านได้ฆ่าคน แต่ในอดีตก่อนจะเกิดมาเป็นองคุลิมาลพระพุทธเจ้าก็ได้โปรดองคุลิมาลครั้งหนึ่ง แต่มีความหลงมาบดบังอยู่ และความหลงนั้นเป็นความหลงที่น่ากลัวยิ่งนัก อยากรู้ไหม (อยาก)  การรู้จักศึกษาหลักธรรมและทำความหลงผิดให้เป็นความถูกต้องเห็นชอบนั้นให้เป็นบุญได้หรือไหม อยากฟังอาจารย์หรือจะไปหาเอาเอง ความขี้เกียจและความไม่เพียรเป็นอุปสรรคใหญ่ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาเล่าเรื่ององคุลิมาล)
องคุลิมาลนั้นได้กลับมาเกิดเป็นกษัตริย์ และตอนที่เป็นกษัตริย์ต้องไปศึกษาเล่าเรียน และได้เจอพระพุทธเจ้าซึ่งกลับชาติมาเกิดเป็นกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง ที่ท่านได้ลงมาเกิดเพื่อสะสมบุญบารมี ทำให้ท่านมีปัญญา เรียนรู้อะไรก็เรียนรู้ได้ไว เข้าใจอะไรก็เข้าใจได้แจ่มแจ้งกว่าคนอื่น แต่
องคุลิมาลก็เรียนรู้ในที่ๆเดียวกัน แต่รู้ได้ช้า พอพระพุทธเจ้ารู้ไวก็ช่วยสอน ทำให้องคุลิมาลที่เป็นกษัตริย์อีกองค์หนึ่งนั้นรู้สึกเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าที่เป็นกษัตริย์ และนับถือว่าเป็นเหมือนอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ก็เลยตั้งใจว่าถ้าเรียนจบแล้วเราจะตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าทุกๆวันพระจะถืออุโบสถศีล นั้นก็คือไม่ฆ่าสัตว์ แล้วก็มีศีลแปด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าวันนั้นเมืองของ
องคุลิมาลที่เป็นกษัตริย์วันพระจะถืออุโบสถศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ใช่หรือไหม (ใช่) แต่นิสัยขององคุลิมาลมีนิสัยที่แก้ไม่ได้คือ ชอบกินเนื้อ ขอบไหม พอดีเผอิญวันนั้นเป็นวันถืออุโบสถศีล เนื้อที่พ่อครัวเก็บเอาไว้เกิดโดนม้าขโมยไปกิน พ่อครัวก็คิดว่า จะทำอย่างไรดี กษัตริย์เรียกให้เอาอาหารไปส่งแล้ว แต่เนื้อไม่มี ฆ่าก็ไม่ได้เพราะถืออุโบสถศีล ใช่หรือไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมคนถืออุโบสถศีลแม้แค่ครึ่งวัน เผลอตายไปในช่วงที่ถืออุโบสถศีลครึ่งวัน ยังได้ไปเป็นเทพเลย แต่มนุษย์เราศีลห้า ยังไม่ครบเลย แต่คงยังไม่ได้เป็นอะไร ที่แน่ๆ ไปเป็นเดรัจฉานแน่ใช่หรือไม่ (ไม่) ทำอย่างไรดีที่จะหาเนื้อไปให้องคุลิมาลที่เป็นกษัตริย์ คิดยังไงก็คิดไม่ออก เดินไปเดินมา ฆ่าก็ไม่ได้มันบาป ทำอย่างไรดี เห็นคนตาย เอาเนื้อคนตายแล้วกัน กษัตริย์คงไม่รู้ เฉือนเนื้อไปก้อนหนึ่งแล้วไปทำให้กษัตริย์กิน วันนั้น
องคุลิมาลกินแล้วเกิดเป็นอย่างไร (ติดใจ)  ใช่เลยทำไมศิษย์รู้ล่ะศิษย์ไปกินมาหรือ กษัตริย์ติดใจพอคราวต่อไปเขาจะทำเนื้อให้กินอีก กษัตริย์บอกไม่เหมือนวันนั้นเลย ทำไมวันนั้นเนื้อถึงรสชาติแปลกเอาแบบวันนั้นสิ พ่อครัวทำอย่างไรดีจะบอกก็กลัวโดนฆ่า จะไม่บอกเดี๋ยวเอาเนื้อให้ก็ไม่เหมือนก็เลยจำใจบอกไปว่าวันนั้นคือเนื้อ (คน)  มนุษย์  องคุลิมาลก็เลยกระซิบบอกว่าอย่างนั้นต่อไปเอาเนื้อมนุษย์อีก แค่ลิ้นติดในรสชาติเองนะ
จากที่ตอนแรกเอาศพคนตาย มากินนิด อิ่มไหมศิษย์ อยากทำเนื้อแดดเดียว อยากทำไส้กรอก อยากทำโน่นอยากทำนี่ ใช่ไหม (ใช่)  ท่านก็เหมือนกันคนตายมีไม่พอแล้ว เอาอย่างไรล่ะเอานักโทษ นักโทษพอกินไหม ไม่พอ เอาคนที่ทำผิดแค่ขโมยก็โดนฆ่าแล้ว แล้วต่อไปใครจะกล้าขโมย ขโมยเสร็จก็โดนฆ่า ใช่หรือไม่ เขาเลยทำอย่างไรต่อ คราวนี้ตอนกลางคืนไปดักซุ่มใครออกมาก็ฆ่า เอาเนื้อมาให้กษัตริย์กิน แต่คนในพระราชสำนักรู้ไหม จนมีวันหนึ่งเขาเห็นว่าประชาชนทำไมลดน้อยลง คนหวาดกลัว คนหายไปเกิดจากอะไร ผลสุดท้ายก็จับตัวพอครัวได้ แล้วพอครัวบอกว่ากษัตริย์ของเรานี่แหละอยากกินเนื้อมนุษย์ ข้าราชบริพารเห็นอย่างนี้ก็บอกว่าท่านทำอย่างนี้ไม่ได้ ท่านต้องเลิกถ้าไม่เลิกเราจะปลดท่านจากเป็นกษัตริย์ ทรัพย์สมบัติเราจะไม่ให้ท่านยอมไหม เขายอมเลิกไหม (ไม่ยอม)  ไม่ยอม ศิษย์ดูนะแค่ความหลงในรสที่ลิ้นแค่ไม่กี่นิ้วเอง ลูกก็ทิ้งเมียก็ทิ้ง หน้าที่ของการเป็นกษัตริย์ก็ยอมทิ้ง ถูกขับไล่ไปให้อยู่ในป่าพร้อมกับพ่อครัว ในป่านี้จะมีคนมาให้กินบ่อยไหมศิษย์ (ไม่) ไปๆมาๆ ก็จับพ่อครัวกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อจับพ่อครัวกินแล้ว มีให้กินอีกไหม (ไม่มี)  ชีวิตก็อาศัยอยู่ในป่า แล้วทำอย่างไรดีล่ะ นานๆ ก็แอบมีใครขนของผ่านมาก็ลักลอบฆ่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  
จนกระทั่งวันหนึ่งจะฆ่าคนคนหนึ่งแต่บังเอิญกรรมมันคงหนักแล้วนะ สะดุดล้มเท้าถูกตอไม้ทิ่มทะลุ ยาก็ไม่มี เลือดก็ไหลทิ้งไหลทิ้ง หากินอะไรก็ไม่ได้ต้องอด เพราะติดใจแต่เนื้อ ก็เลยบนกับเจ้าที่ตรงต้นไม้ว่า ถ้าภายในเจ็ดวันแผลที่เท้าหาย จะทำพลีกรรมด้วยการเอาเลือดของกษัตริย์อีก 101 คนมาล้างต้นไม้ต้นนี้ ศิษย์ดูนะจากความอยากกินจากไม่ฆ่าก็เริ่มฆ่า จากฆ่าน้อยๆก็เป็นฆ่ามากๆ จากฆ่ามากๆ บาปก็มากขึ้น หลงก็หนักขึ้นเพียงแค่ลิ้นที่ติดรสเท่านั้นเองนะศิษย์ แล้วรุกขเทวดาที่เฝ้าต้นไม้ต้นนี้ร้อนไหม ฆ่ากษัตริย์องค์เดียวก็ร้อนแล้ว เพราะสมัยก่อนคนที่เป็นกษัตริย์ได้ต้องมีบุญญาธิการมาก นี่ฆ่า 101 องค์เชียวนะศิษย์ แล้วเอามาล้างต้นไม้ต้นนี้เพื่อบนว่าให้แผลตัวเองหาย แล้วบังเอิญที่บนนั้นเป็นจริงเจ็ดวันแผลแห้ง ศิษย์เอยไม่เคยกินเลือดตอนนั้นกินเลือดกินเนื้อแผลมันก็หายยาก แต่เผอิญป่วยแล้วไม่มีแรงไปกินเลือดกินเนื้อแผลมันก็หายตามปกติ ใครบ้างเป็นแผลแล้วเจ็ดวันไม่แห้ง ใช่เพราะว่ารุกขเทวดาศักดิ์สิทธิ์ไหม นี่แหละความหลงของคนอะไรมันก็เชื่อไปหมด (ใช่หรือไม่)  ขาดปัญญา (ใช่หรือเปล่า)  บังเอิญว่าองคุลิมาลในพระภาคที่เป็นกษัตริย์และหลงติดเนื้อ ได้ไปรู้จักกับยักษ์ตนหนึ่งและเรียนวิชาที่เดินเร็ว สามารถเดินแล้วไม่มีใครวิ่งทันได้ เดินข้ามจากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่ง เขาก็เลยบอกว่าขอทำพลีกรรมในเจ็ดวันจะจับกษัตริย์ 101 คนมาฆ่าและเอาเลือดมาล้างต้นไม้ต้นนี้ รุกขเทวดาก็รีบไปปรึกษาเทวดาแต่ละองค์ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี ฉันไม่อยากร่วมกรรมกับเขาด้วย ดูซิว่าคนชั่วขนาดองค์เทวดายังไม่อยากอยู่ใกล้ ยังไม่อยากชิดใกล้กับเรื่องเลวร้ายขนาดนี้เลย ท่านก็เลยบอกว่าไปปรึกษาพระอินทร์พระพรหม ท่านก็ให้คำปรึกษาว่าเราก็ช่วยไม่ได้แต่คนที่จะช่วยได้ต้องเป็นคนที่มีบุญกรรมหนุนเนื่องกันก็คือคนที่เป็นพระพุทธเจ้าที่มาเป็นกษัตริย์ที่เขานับถือเป็นอาจารย์ อยากฟังต่อไหม
กลับไปอ่านเองดีไหม ดีหรือเปล่าศิษย์ เพราะอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าคนเราเพียงแค่ความหลงเองนะ อยากฟังต่อไหม พอรู้อย่างนั้นรุกขเทวดาก็เลยมาบอกเขาด้วยการปลอมมาเป็นกษัตริย์องค์หนึ่ง เขาเห็นคนที่เป็นกษัตริย์องค์หนึ่งเขาก็วิ่งเพื่อจะไปฆ่าใช่หรือไม่ แต่เผอิญว่า
รุกขเทวดาก็ถอนร่างจากกษัตริย์และบอกเขาว่าถ้าท่านอยากจะทำพลีกรรมต้นนี้ ฉันเป็นรุกขเทวดาต้นนี้เอง คนที่ฉันต้องการมากที่สุดก็คือคนที่ท่านบอกว่าเป็นอาจารย์นั่นแหละอีกคนหนึ่งก็ครบ 101 พอดี เอาคนนั้นแหละมา แล้วพิธีกรรมจะเสร็จ เขาก็ยิ่งเชื่อใหญ่ (ใช่หรือไม่)  ว่าสิ่งที่เขาบนรุกขเทวดามีจริง แผลเขาหายจริงเพราะอันนี้ พอเขาจะไปจับคนคนนี้มาในใจเขาก็คิด เขาเคยนับถือเป็นอาจารย์จะเอาดีไหม แต่ว่าตั้งใจไว้แล้วนี่ก็ต้องทำให้สำเร็จ (ใช่ไหม)  ไปเอาท่านมา ช่วงที่ไปจับกษัตริย์มาเรียบร้อยแล้ว แล้วเวลาจับเขาเอากษัตริย์ห้อยกับต้นไม้ ห้อยอย่างไรรู้ไหม ดูสิว่าอำนาจมืดเวลาครอบงำจิตใจคนแล้วผิดชอบชั่วดี เมตตาสงสารหายไปหมด เอาเข็มเจาะทะลุทั้งมือซ้ายและขวาห้อยไว้กับต้นไม้ ปลายเท้าจะแตะพื้นแต่ไม่แตะพื้นลอยห่างจากพื้นดินนิดเดียว ไม่ตายนะศิษย์แต่ห้อยอยู่อย่างนี้ เวรกรรมอะไรทำให้คนๆ หนึ่งหลงผิดได้
แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม อย่าได้เป็นเชียวนะ ช่วงที่ไปเอาพระพุทธเจ้าที่ภาคหนึ่งเป็นกษัตริย์มานั้น พระพุทธเจ้าก็พูดกับเขาว่า “ขอชั้นกลับไปก่อนได้ไหม แล้วเดี๋ยวจะกลับมาให้ท่านฆ่า เพราะว่าชั้นนัดกับพราหมณ์องค์หนึ่งไว้ว่าท่านจะมาสอนธรรมะให้กับชั้น ขอชั้นไปรักษาสัจจะกับพราหมณ์องค์นั้นก่อน ขอไปรับธรรมจากพราหมณ์องค์นั้นก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมาให้เขาฆ่า”  หัวใจลึกๆ เขายังนับถือพระพุทธองค์เป็นอาจารย์อยู่เขาก็เลยอนุญาตให้กลับไป แล้วถ้าเกิดพระพุทธองค์ในพระภาคที่เป็นกษัตริย์ไม่กลับมา เขาก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเขาจะเอาเลือดตัวเองผสม แต่ปรากฏว่าพอพระพุทธเจ้าไปฟังธรรมจากพระองค์นั้นจบได้รับพรมาเรียบร้อยสี่ประการ ท่านก็ยอมกลับมาคนที่เคยนับถือคนๆ นี้อยู่ในใจลึกๆ ก็ยังนับถืออยู่ ใช่ไหม (ใช่)  เลยหันกลับไปถามพระพุทธเจ้าว่า “ท่านมีโอกาสรอดทำไมท่านยังยอมรักษาคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต คำสัตย์นั้นมีดีอย่างไรหรือ ท่านจึงยอมพลีชีวิตเพื่อรักษาคำสัตย์ที่ตกลงกับเราไว้ว่าจะมายอมให้ฆ่า”  พระพุทธองค์ตอบว่า “คำสัตย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐ รับปากใครไว้จะต้องทำให้ได้ แม้ตัวเองจะต้องตายก็ต้องถือคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต” แล้วเขาก็เลยถามต่ออีกว่า “ไม่กลัวตายหรือ”  พระพุทธองค์ตอบว่า “พ่อแม่เราก็บำรุงดีแล้ว เพื่อนเราก็ให้ธรรมที่ดีแก่เพื่อนแล้วไม่เคยขาดตกบกพร่อง ทานเราก็ทำอยู่เนืองนิตย์ไม่เคยขาด ศีลในความเป็นคนก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง ถ้าวันนี้เราต้องตายเราก็ไม่เคยคิดกลัวเลยว่าเราจะตกอบายภูมิ”  พูดแค่นี้เอง องคุลิมาลที่ตอนแรกคิดจะฆ่าท่านคิดในใจว่า “คนนี้มีบุญนะ ถึงพร้อมทุกอย่างไม่กลัวตาย ถ้าเรากินเนื้อเขา เอาเนื้อเขา หัวเราคงแตกเป็นเสี่ยงๆ” เลยไม่ฆ่า เลยบอกว่า “อย่างนั้นเราขอพรจากท่านหน่อยได้ไหม”  ส่วนใหญ่เราเจอคนมีบุญมีวาสนาเราอยากขอพรใช่ไหม องคุลิมาลในภาคที่เป็นกษัตริย์ที่จะฆ่ากษัตริย์อีกร้อยหนึ่งคนก็เลยขอพร แล้วพระพุทธเจ้าให้พรอะไรเขาไหม ไม่เล่าต่อแล้วให้ศิษย์ไปหาเอง อาจารย์เล่าไปเกือบค่อนเรื่องแล้ว แล้วค่อนเรื่องที่อาจารย์อยากได้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่างที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้นั่นก็คือ เกิดเป็นคนทำไมพระพุทธองค์จึงไม่กลัวตาย เพราะท่านทำความดีถึงพร้อม เพื่อนไม่เสียสัจจะมีคุณธรรมอยู่เนืองนิตย์ พ่อแม่ไม่ขาดความกตัญญูรู้คุณ ทานไม่เคยบกพร่อง ศีลไม่เคยผิด ทุกอย่างทำครบท่านจึงไม่กลัวตาย รักษาสัจจะยิ่งกว่าชีวิต จึงทำให้คนๆ หนึ่งคิดไม่ดีหลงผิดแต่ได้รู้ตื่น
ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ วันนี้ฟังธรรมะไปเพื่อจะเป็นหน่อเนื้อหน่อหนึ่งที่มุ่งมั่นทำความดีงามโดยไม่ย่อท้อ ไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวตาย เห็นธรรมะมีค่ายิ่งกว่าชีวิต และการมุ่งมั่นทำเช่นนี้แหละจะไปปลุกให้คนที่หลงได้รู้ตื่น เพียงแค่ศิษย์มุ่งมั่นทำความดีไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวตาย นอกจากศิษย์ช่วยตัวเองแล้ว ศิษย์ยังช่วยคนอื่นด้วย ช่วยคนให้พ้นทุกข์ไม่ตกอบายภูมิ ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใดจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากรู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร ศิษย์จงไปศึกษาต่อดีไหม อาจารย์ช่วยศิษย์มากแล้วนะ ต่อไปศิษย์ต้องรู้จักช่วยตัวเอง
คนบางคนพยายามจะทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้อะไรผิดรู้อะไรถูก แต่บางทีก็ชอบเอาอารมณ์ตัวเองเป็นหลัก ฉะนั้นทำอะไรขอให้ถือศีลธรรมเป็นหลัก มีเมตตา มีมโนธรรมสำนึก มีสัจจะวาจาไหม ถ้าทำแล้วขาดข้อใดข้อหนึ่งหยุดทำได้ไหม อย่าเผลอก้าวไปเป็นปีศาจร้ายในคราบมนุษย์เลย น่าเสียดาย   
ศิษย์รู้แล้วนะว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ฉะนั้นอีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันปีใหม่ จะให้อาจารย์ให้พรดีๆ แต่ศิษย์ทำตัวไม่ดีไม่น่ารัก พรนั้นไม่มีวันสัมฤทธิ์ผลหรอก แต่อาจารย์ก็ยังหวังอยู่ว่าอยากให้ศิษย์ของอาจารย์มีจิตใจที่เข้มแข็งมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม โดยไม่ย่อท้อ โดยไม่หวาดหวั่นกลัวความยากลำบาก หนทางแห่งความเป็นมนุษย์ยังมีอีกหนทางหนึ่งคือ หนทางแห่งการเป็นโพธิสัตว์ คือช่วยเขามากกว่าช่วยตน หวังปลดทุกข์เขามากกว่าหวังปลดทุกข์ตน หวังจะรื้อค้นสรรพสัตว์ในโลกนี้ให้ข้ามพ้นทะเลทุกข์เพื่อกลับสู่นิพพานโดยไม่กลัวความยากลำบาก นี่เรียกว่าจิตใจของโพธิสัตว์และอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ต้องมีใจแบบนี้ทำโดยไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบาก หวังจะฉุดช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  แต่ที่คนที่จะช่วยคนให้พ้นทุกข์ต้องอย่าอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจตัวเอง อย่าทำอย่างนั้นจะได้ไหม (ได้)  อาจารย์เคยเห็นนะศิษย์ของอาจารย์อยู่บนเรือเพื่อหวังอยากจะให้คนขึ้นมาที่เรือ แต่พอคนขึ้นช้าก็เคาะอยู่นั่นแหละว่าไวๆ หน่อย นั่งก็นั่งให้ดีๆ อย่าทำตัวอย่างนั้น โพธิสัตว์เอ๋ยทำไมถึงได้ดุจัง ศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม เราขึ้นเรือมาก่อนเพื่อหวังจะช่วยคนแต่ทำไมเจ้ากี้เจ้าการอย่างนี้ เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนี้มีใครอยากจะขึ้นเรือและอยากจะอยู่บนเรือกับศิษย์ไหม กว่าจะช่วยมาได้คนหนึ่งก็ยากแล้ว กว่าเขาจะนั่งและอยู่บนเรือนานๆ ก็ยากยิ่งกว่า อย่าเพียงเพราะคำพูดคำเดียวทำให้เขาต้องกลับไปอยู่ในทะเลทุกข์อีกต่อไปเลย ศิษย์ของอาจารย์จะพูดอะไรต้องคิดให้มากๆ ได้ไหม อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เพราะว่าคนดีของอาจารย์ต้องมีแต่ให้ ไม่ใช่มีแต่จะเอา แล้วเรื่องอัตตาตัวตนให้มีน้อยๆ อย่าปล่อยให้อัตตาตัวตนนั้นมีมากเกินไป คับที่คับทางก็ไม่น่ารัก
จะปีใหม่อาจารย์จะให้พรศิษย์ แต่ก็ดุศิษย์อีกแล้ว เพราะความเป็นห่วงเลยทำให้อาจารย์ต้องขี้บ่น วันนี้แม้จะไม่ได้โอวาทครอบก็คงไม่เสียใจ มีโอกาสก็ลองนำเพลงไปหัดร้องด้วย
คนสมัยนี้มักเป็นผ้าย้อมเอาแต่นั่งจ้องคอมพิวเตอร์ หวังว่าจะได้รู้ทุกอย่าง ในจิตใจก็เลยเป็นการสื่อสารของความจริงที่ตัวเองคิดว่าตัวเองรู้ไปหมด แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ตัวเองรู้ก็คือกากเดน ถึงคัมภีร์จะทำให้เราบรรลุพุทธะ แต่ถึงที่สุดแล้วคัมภีร์ก็คือกากเดน เพราะเป็นสิ่งที่อย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ไม่ใช่รู้แล้วก็เป็นคนอวดรู้อย่างนี้ไม่ถูกต้อง วันๆ มัวแต่นั่งจ้องคอมพิวเตอร์ได้อะไรขึ้นมา นั่งจ้องคอมพิวเตอร์แล้วทำให้จิตใจสงบไหม มีแต่ยิ่งกระเจิงอยากรู้อยากมีอยากเป็นอยากทันสมัย ฉลาดๆ แต่เอยมองฟ้าแล้วไม่สู้   
ศิษย์ของอาจารย์เป็นอย่างนั้น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นศิษย์บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญเพื่ออะไร ง่ายๆ เลยนะ ลดจนไม่มีตัวตนให้ลด จนไม่มีอะไรให้ยึดแล้ว พอถึงที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างคือ ความว่าง และการเข้าถึงความว่างได้เมื่อไรนั่นก็คือ การเข้าถึงหนทางแห่งพุทธะเมื่อนั้น สิ่งที่เอาไปกับศิษย์มีแค่บาป บุญ แต่ถ้าศิษย์ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ศิษย์ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ อาจารย์คงต้องไปแล้ว
อาจารย์อยากให้พรศิษย์ทุกคนของอาจารย์ก่อนไป เกิดเป็นคนสิ่งสำคัญคือ ความมุ่งมั่น ถ้าเกิดเป็นคนแล้วไร้ความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีงาม คนนั้นก็อาจจะกลายเป็นปีศาจได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ขาดไม่ได้คือ ความมุ่งมั่น มุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีงามที่ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก ยินดีชดใช้กรรมทุกรูปแบบ อดทนต่อคำกล่าวร้ายของผู้อื่นด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง แค่นี้แหละนะ ทำได้ไหม (ได้)  ขอให้ศิษย์ของอาจารย์มีหัวใจที่เข้มแข็งต่อสู้อยู่กับโลกใบนี้ด้วยปัญญาอย่างคนรู้ตื่น และมีจุดยืนในการมีชีวิตที่ถูกต้องและดีงาม ไม่หันกลับไปเป็นปีศาจอีกต่อไป ได้ไหม (ได้)  อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก
(พระอาจารย์เดินเมตตาและจับมือนักเรียนและญาติธรรมในชั้น)
น่าเสียดายนะที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีความรู้มีความเก่งมีความมั่นใจแต่ถ้าดื้อเกินไปก็ไม่ดี ชีวิตนี้คุณค่าของชีวิตคืออะไร ที่เงินทองที่ทรัพย์สินหรือที่ความดีงาม เป็นเด็กดีนะ ถ้าการจับครั้งนี้สามารถดึงศิษย์กลับไปหาอาจารย์ได้ไม่ต้องทำให้ศิษย์เวียนว่ายตายเกิด อาจารย์ก็อยากฉุดศิษย์ทุกคนให้กลับขึ้นไปกับอาจารย์ แต่กลัวอย่างเดียวกลัวศิษย์ของอาจารย์ไม่รักดี ทางที่ดีทางที่ประเสริฐกลับไม่เลือกทำ กลับไม่เลือกเดิน มีโอกาสก็กลับมาเจอกันอีกนะ กลัวอย่างเดียวทางที่ดีศิษย์ไม่เดิน พยายามอยากจะเดินลงนรกมันก็น่าเสียใจ หนทางที่ประเสริฐมีไม่เลือกที่จะเอา แต่กลับไปเลือกหนทางที่จะตกนรก อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดก็จะนำพาจิตใจของศิษย์ได้รู้ตื่น ไม่หลงเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้อีกต่อไป กลัวอย่างเดียวกลัวใจของศิษย์เอง ไม่หนักแน่นและไม่มั่นคง เมื่อเลือกบำเพ็ญธรรมแล้วต้องเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร มาฟังธรรมะแล้วต้องนำไปปฏิบัติ อย่าเพียงแค่ฟังแต่ไม่คิดจะทำอะไรเลยมันน่าเสียใจนะศิษย์ กลับมาหาอาจารย์นะ ต้องเข้าใจนะบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร อย่ามัวหลงในโลกนี้อยู่เลย ถ้าศิษย์ไม่รู้จักนำพาตัวเองอาจารย์ก็จนใจที่จะพูดแล้ว ขอเพียงศิษย์เข้มแข็งและรู้จักทางออกของชีวิต อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนกลับไปกับอาจารย์ กลัวอย่างเดียวกลัวศิษย์จะปล่อยมืออาจารย์ทิ้ง จับมือกับอาจารย์แล้วอย่าปล่อยมืออาจารย์ทิ้งนะ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา