西元二〇一〇年 歲次庚寅十一月初五日 仙佛慈悲訓….
วันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา……..
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
สามพลังเพื่อชนะอุปสรรค ต่อให้หนักเพียงใดอย่าได้เกี่ยง
เหตุการณ์ใดต้องลุยหรือต้องเลี่ยง อย่าได้เอียงออกจากใจไกลจากธรรม
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม
เอ้าฮุยเลฮุยถึงเวลาลุย เอ้าฮุยเลฮุยถึงเวลาแกร่ง
กำลังกายแรงใช้มาอย่าแพง กำลังแรงใจกองไม้ก่อพลัง
นาวามุ่งเอาชัยพายต้องย้ำ เปียกกระดูกเปียกลำตัวน้ำตาขัง
หลอมเหล็กหนาทั้งละลายสนิมกรัง โลกคนเต็มนาวากว้างเพื่อเวไนย
หันหัวเรือเคลื่อนไปสู่วิมุติ เป้าหมายหยุดไม่ได้พึงขวนขวาย
ด่านหลายจุดแต่อุปสรรคเผยฤทัย ใช้เพียงตาเข้าใจไม่ครบความ
ทุกทุกยุคฉุดเวไนยไม่หมด กรรมหนักคนพายจดอย่างผลีผลาม
งัดๆ จ้วงๆ อารมณ์อย่างวู่วาม ไม่ประสาความไร้ในความมี
มีมารยาทอยู่ในทีนี้สง่า ล่องเรือธรรมใส่สุริยาสง่าศรี
แสงลำนี้สาดน่านน้ำนที ชื่นชมๆๆ วิถีสุภาพชน
จาบจ้วงงัดทุกเรื่องเสียเวลา ให้คนยิ้มจนกว่าปัญหาพ้น
คนสุขใจหน้าตาละม้ายตน ทิวน้ำยกลมด้นเย็นอุรา
ความเกลียวกลมดันปัญหาปิดตาย ท้องเอยใหญ่เรือแล่นทั่วทิศา
เรียนรู้จักมีชีวิตเผชิญหน้า ด้วยรักษาคุณความดีในหัวใจ
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกหรือเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายใน อย่างไหนดีกว่า ภายนอกแค่ตาเห็น หรือ ภายในตัวตนเอง ก่อนที่ท่านจะสำเร็จเป็นพุทธะ ล้วนต้องมีกายเป็นคนมาก่อน ถูกไหม (ถูก) แต่สิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปและกลายเป็นพุทธะคือ ท่านไม่มัวแต่แสวงหาสุขทุกข์ แต่ท่านหาทางพ้นทุกข์ ท่านไม่มัวแต่แสวงหาเงินทอง แต่ท่านพยายามหาทางหลุดพ้น
แล้ววันนี้เรามาหาทางพ้นทุกข์หลุดพ้น หรือมานั่งฟังธรรมะเพื่อจะรวยๆ เรามานั่งฟังธรรมะเพื่อพ้นทุกข์ หรือมานั่งฟังธรรมะเพื่อมีทุกข์ เรามาฟังธรรมะเพื่อเอาธรรมะนี้มาปลดทุกข์ในใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมวันนี้ยิ่งฟังธรรมะ ทุกข์กลับยิ่งมากขึ้น อย่างนี้โทษใคร โทษคนพูดได้ไหม ว่าทำไมไม่หยุดพูดสักที ฉันทุกข์แย่แล้ว ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
ทุกข์หรือสุข ดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ฟ้าเป็นคนกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครๆ ก็พูดว่าฟ้าเป็นคนกำหนด ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมตอนน้ำท่วมไม่ปล่อยให้ตัวเองจมน้ำ ทำไมถึงว่ายน้ำหนี ถ้าเกิดว่าฟ้าเป็นคนกำหนด ไม่ว่าฟ้าจะให้ท่านทุกข์อย่างไร ท่านก็ต้องทุกข์อย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้าตอนนี้ฟ้าให้ท่านหนาว ท่านก็ไม่ต้องใส่เสื้อปล่อยให้หนาวตาย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ฟ้าทำให้ท่านอด ท่านก็อดตายเลย ไม่ต้องหาอะไรกินแล้ว ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แล้วเมื่อสักครู่ใครบอกเราว่าฟ้าบอกให้เราทุกข์ บอกให้เราสุข ฟ้าเป็นคนกำหนดหมดเลย ฟ้าทำให้เรามี ฟ้าทำให้เราจน ฟ้าทำให้หมดเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่) ในเมื่อไม่ใช่แล้วใครเป็นคนกำหนด (ตัวเราเอง)
คนที่กำหนดว่าจะทุกข์หรือสุข จะดีหรือร้าย จะได้หรือเสีย ไม่ใช่ฟ้าแต่เป็นตัวเราเอง แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์ไหว้ฟ้าดินอย่างงมงาย ไหว้พระอย่างงมงายใช่ไหม (ใช่) เราถามง่ายๆ ว่าเวลาไหว้พระ อย่างแรกที่ขอคืออะไร (รวย) อย่างที่สองที่ขอคือ (ขอให้มีความสุข, อย่ามีทุกข์) อย่างที่สามที่ขอคือ (ขอให้แข็งแรง, ขอให้ประสบผลสำเร็จ, ขอให้เจอแต่เรื่องดีๆ ขอให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข) นั่นแปลว่าถ้าเราขออะไรแล้วฟ้าต้องให้อย่างนั้นใช่หรือไม่
เราถามท่านนะ ท่านเคยเห็นไหมอากาศหนาวๆ หนาวจนสั่น แล้วเราบอกว่า ฟ้าหยุดหนาวเถอะ ฉันจะตายอยู่แล้ว ฟ้าให้เราไหม (ไม่) ฝนตกท่วมบ้านไปชั้นหนึ่งก็แล้ว จะขึ้นชั้นสองแล้ว เราบอกว่าฟ้าหยุดเถอะ อย่าตกเลย ฟ้าฟังเราไหม (ไม่ฟัง) เดินทางไกลเราหิวจะแย่ บอกว่าฟ้าส่งอาหารมาสักทีหนึ่งเถอะ ไม่อย่างนั้นเราต้องตายแน่เลย ฟ้าส่งไหม (ไม่) แปลว่าฟ้าโหดร้ายมากเลยใช่หรือไม่ (ไม่)
ฟ้าเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตให้มนุษย์สุขทุกข์ใช่หรือไม่ ฟ้าเป็นผู้กำหนดให้คนดีคนร้ายใช่หรือไม่ (ไม่) ฟ้าเป็นคนที่กำหนดให้เรามีหรือจนใช่หรือไม่ (ไม่) แล้วอย่างนี้ทำไมยังขอฟ้าอีกละ เราต้องเข้าใจให้ถูกว่า ฟ้าดินมีเพื่ออะไร มีฟ้ามีดินจึงเรียกว่าชีวิต ถ้าไม่มีฟ้าไม่มีดิน ก็ยากจะมีชีวิตได้ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นมนุษย์ควรจะเข้าใจให้ถูกว่าฟ้าดินมีเพื่ออะไร แล้วฟ้าดินมีไว้เพื่อเอาแต่ขอหรือไม่ ฟ้าดินต้องการให้มนุษย์รู้อยู่อย่างหนึ่งว่า มีส่วนหนึ่งที่ฟ้ากำหนด แต่อีกส่วนหนึ่งคือมนุษย์ต้องรู้จักสร้างด้วยตัวเอง จะหวังขอฟ้าหมดเป็นไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
เราอยู่บนโลกนี้จำไว้เลย อย่าลืมว่ามีฟ้ามีดินจึงมีชีวิต ฟ้ากำหนดให้เราเป็นอย่างนี้ แต่ว่าฟ้าไม่ได้กำหนดให้เราต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด เราเปลี่ยนแปลงได้ เราแก้ไขได้ อย่าลืมว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิต มีส่วนหนึ่งฟ้ากำหนด แต่อีกส่วนหนึ่งเราต้องรู้จักกำหนดเอง แต่มนุษย์หาใช่คิดอย่างนั้น มนุษย์บอกว่ารอฟ้าแล้วกันใช่ไหม (ใช่) ฉันจะรวย รอฟ้าให้หวยละกันใช่หรือไม่ (ใช่) ลูกจะดีไม่ดีก็รอฟ้าให้ละกันใช่หรือไม่ อย่างนี้เรียกว่าถูกไหม (ไม่ถูก)
สิ่งที่มนุษย์ปรารถนากันมากที่สุดก็คือ อยากให้ตัวเองมีอนาคตและครอบครัวสดใส อยากได้อะไรต้องได้อย่างนั้นใช่ไหม ชีวิตอยากจะมีแต่เรื่องดีๆ ไม่มีเรื่องร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือสิ่งที่ปรารถนาของมนุษย์และหวังที่จะขอจากฟ้าใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ต้องขอจากฟ้าหรอก ขอจากตัวเองดีกว่า ฟ้าให้แรง ฟ้าให้กายมา แต่ถ้าเราพึ่งฟ้าหมด คนนั้นเรียกว่า คนงมงายใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากจะบอกท่านอย่างหนึ่งว่า “ถ้าอยากให้อนาคตสดใส ทำวันนี้ให้ดีที่สุด “ จริงไหม (จริง)
ถ้าอยากได้นั่นอยากได้นี่มากมายก็ให้ขยัน ไม่งอมืองอเท้า มีหรือสิ่งที่อยากได้จะไม่มา ใช่หรือไม่ อยากได้แต่สิ่งที่ดี ไม่พบสิ่งที่ร้ายก็เลิกทำสิ่งที่ผิดๆ สักที ถ้าอยากพบสิ่งที่ดีไม่พบสิ่งที่ร้าย เราต้องเข้าใจว่าโลกนี้มีขาวมีดำ มีดีมีร้าย มีปัญญาย่อมแปรร้ายเป็นดี แปรดีเป็นดียิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) เอาแต่ขอไม่ลงมือกระทำ เรียกว่างมงาย เอาแต่พึ่งฟ้าไม่พึ่งตัวเองเรียกว่าโง่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตขึ้นอยู่กับตัวเรา จะเอาแต่พึ่งฟ้า ไม่พึ่งตัวเองนั้นเป็นไปไม่ได้ แล้วเราก็จะมีอนาคตสดใส แม้เจอสิ่งร้ายเราก็แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องดีได้ แม้อยากได้อะไรก็สามารถสมหวังได้ถ้าเรารู้จักกำหนดสิ่งที่มีอยู่ในตัวเองเป็น จริงไหม (จริง)
ศิษย์น้องเห็นไหมว่าธรรมะแผ่ไปทุกที่ ไปทุกจังหวัด เหนือ ใต้ อีสาน ต้องหัดพายเรือให้เป็น เพราะเวลาน้ำท่วมมาเราจะได้พายเรือเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครจะคาดคิด น้ำท่วมก็ทำให้เห็นจิตใจคนได้ และน้ำท่วมก็ทำให้เห็นจิตใจเราได้เฉกเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
น้ำท่วมแล้วใจเราโดนน้ำท่วมไปด้วยไหม น้ำแห้งแล้งใจเราแห้งแล้งไปด้วยไหม แม้เหตุการณ์ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นมากมายเพียงใด เป็นเพราะฟ้าโหดร้ายหรือเปล่า ที่ฟ้าแปรปรวนนั่นเกิดจากฟ้าเป็นคนกำหนดหรือมนุษย์เป็นผู้กำหนดกันแน่ ถึงแม้ว่าฟ้าจะแปรปรวนแต่ถ้าเราไม่มีกรรม ฟ้าก็พรากชีวิตเราไปไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์น้องเคยได้ยินใช่ไหม มีคำพูดหนึ่งว่าถ้าฟ้ากำหนดให้ศิษย์น้องยากจน ฟ้ากำหนดให้ศิษย์น้องต้องเจ็บป่วย ฟ้ากำหนดให้ศิษย์น้องต้องทุกข์ แล้วเราต้องทุกข์ตามฟ้าไหม เราต้องยากจนตามฟ้าไหม (ไม่) ฟ้าทำให้เราประสบอุทกภัย แล้วเราต้องรู้สึกสูญเสียไปตามสิ่งที่เราสูญเสียไปไหม (ไม่) ฉะนั้นจำไว้นะ เกิดเป็นคนฟ้ากำหนดแค่หนึ่งส่วน ที่เหลืออีกเก้าสิบเก้าส่วนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์มักจะบอกว่าฟ้ากำหนดสามส่วน ที่เหลือเจ็ดส่วนมนุษย์กำหนด แต่ศิษย์พี่อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้ว ฟ้ากำหนดแค่หนึ่งส่วน แต่ที่เหลือมนุษย์ทำทั้งนั้นเลย
ทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ ก็เพราะแต่ก่อนทำมา แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ปัจจุบันเราจะทำแบบไหน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ศิษย์พี่อยากจะบอกศิษย์น้องว่าถึงแม้ใครจะรังแกให้เรายืน ไม่ให้เรานั่ง แต่เราก็ยืนอย่างมีความสุขได้ และถึงแม้ว่าใครจะรังแกเราให้นั่งแล้วไม่ได้พูด เราก็สามารถนั่งแล้วไม่ได้พูดอย่างมีความสุขได้ เพราะชีวิตนี้เรากำหนดเอง ชีวิตนี้จะสุขหรือทุกข์เราเลือกเอง ใครจะมาทำอะไรเราไม่ได้ ใครมาว่าร้ายเรา เราก็ไม่จำเป็นจะต้องร้ายตามเขา ถ้าเรารู้ว่าเรามีดี
ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ล้มเหลวหรือสำเร็จ ไม่ใช่ไหว้วอนขอ ไม่ใช่บนบานสานกล่าว แต่มันอยู่ที่ตอนนี้ เรามีจุดมุ่งหมาย และพยายามเดินไปให้ถึงไหม
มีอะไรบ้างที่ทำแล้วไม่พบอุปสรรค มีอะไรบ้างที่ทำแล้วสำเร็จง่ายๆ ฉะนั้นเวลาพบความยากลำบาก เวลาพบอุปสรรคก็อย่าได้กลัว ถ้ามุ่งมั่นแล้วก็ต้องไปให้ถึงที่สุด ถ้าไปถึงที่สุดแล้วไม่สำเร็จ เราควรจะร้องไห้ไหม เราควรจะทุกข์ทนไหม (ไม่) แต่เราควรจะดีใจว่าอย่างน้อยก็ได้ (ประสบการณ์) ใช่หรือไม่ แล้วกลับมาเริ่มต้นก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์น้องจำไว้ว่า แม้ฟ้าจะให้เราทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ทุกข์ ฟ้าจะทำอะไรเราได้ ใช่ไหม (ใช่) แม้ฟ้าจะพลิกแพลงขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ลืมว่าชีวิตนี้ หนึ่งส่วนฟ้ากำหนดแต่อีก (เก้าสิบเก้าส่วน) เรากำหนดได้ เราก็จะไม่กลัวว่าฟ้าจะเล่นเล่ห์เพทุบายกับเราเพียงใด ฟ้าจะหมุนด้านไหนก็ตามเราก็จะสามารถรับมือได้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นจำไว้ แม้ฟ้าจะทำให้เรายากไร้ แต่ถ้าเราขยัน อดออม มันจะอดตายไหม (ไม่) กลัวอย่างเดียวถ้าเจอคนขี้เกียจ ตายแน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟ้าทำให้เรายากไร้แล้วเรายังยอมแพ้ อย่างนี้เราก็อดตายจริงๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
แม้ฟ้าจะทำให้เราหมดตัว แต่หัวใจเราไม่หมด และอีกอย่างหนึ่งถ้าฟ้าจะทำให้เราต้องเจ็บป่วยปางตาย เราต้องตายตามความเจ็บป่วยไหม ตายไหมล่ะ (ไม่ตาย) ตาย อย่าโกหกตัวเองสิ คนเราเกิดมาก็ต้องตาย ยอมรับเสียอย่างไรเราก็ตาย แต่วันนี้ยังไม่ขอตาย ขอสู้สักเฮือกหนึ่งก่อน แล้วถ้าสู้แล้วมันจะตายก็ตาย เกิดมาไม่ตายเป็นไปได้หรือ (ไม่ได้) เกิดมาไม่เจ็บเป็นไปได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราต้องยอมรับความจริง เกิดมาต้องเจ็บ เกิดมาต้องตาย แต่ขอสู้สักเฮือกหนึ่งก่อนเจ็บ ก่อนตายว่าจะอยู่ได้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถึงแม้ว่าฟ้าจะให้ความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยนั้นเราก็จะพยายามบำรุงรักษา รู้จักกิน รู้จักทำงาน รู้จักพักผ่อนให้เป็นเวลา แล้วรู้จักออกกำลังกาย เราก็จะไม่ตายหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)
โรคภัยนี้แหละยิ่งทำให้ฉันแข็งแรง โรคภัยนี้แหละทำให้เราทราบว่า เรากินหวานมากไป เลิกกินหวานได้แล้ว เรากินเค็มมากไป เลิกกินเค็มได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เราโมโหมากเกินไปเส้นเลือดอาจจะแตกแล้วอัมพาตได้ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นความเจ็บปวดก็มีข้อดี คือเป็นข้อเตือนใจให้เรารู้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิด
ถ้าเกิดวันหนึ่งชีวิตเราต้องสุขแล้วต้องกลายเป็นทุกข์ ทุกข์แล้วก็ยิ่งทุกข์อีกล่ะ เราจำเป็นต้องทุกข์ตามที่ฟ้ากำหนดไหม ชะตาชีวิตเราลิขิตใช่หรือไม่ (ใช่) เราลิขิตแต่เราเปลี่ยนแปลงได้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดว่าอยู่แล้วต้องทุกข์ ก็ต้องอยู่กับคนนี้ล่ะ เราจะทำอย่างไร อย่างไรเขาก็เหมือนเดิม ขี้เหล้าเมายา ขี้บ่นไม่หยุด เราต้องทำใจและต้องอยู่กับเขาใช่ไหม (ใช่)
แล้วการพยายามทำใจนั้นสุขไหมล่ะ (ไม่สุข) แล้วทำใจอย่างไรที่เรียกว่าทำใจจริง ทำใจให้เป็นสุขน่ะ บ่นอีกแล้ว พูดอีกแล้ว เมื่อไหร่แม่จะหยุดพูดสักทีนะ สามีกลับมา กลับมาดึกอีกแล้ว เราเจอลูก เจอเพื่อนเจอคนรอบข้าง รำคาญจริงๆ เลย เกลียดจริงๆ เลย
เราจะทำอย่างไรถ้าชีวิตเราเจอสิ่งที่น่ารังเกียจ คนที่เราไม่ชอบ คิดได้ไหม (พาเขามารับธรรม) เกลียดอย่างกับอะไรจะพาเขามารับธรรมได้หรือ (ครับ) ฉันเกลียดเธอ แต่ฉันก็อยากให้เธอได้พบสิ่งที่ดี พูดกับเขาไปตรงๆ เลย ใช่ไหม เผื่อเธอกับฉันจะได้หมดเวรหมดกรรมกันสักที ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเกิดเขาบอกไม่มา เรื่องของเธอไม่เกี่ยวกับฉัน เราจะทำอย่างไร (วางเฉย) ตอบได้ดี เราควรจะหันกลับมา ไม่ใช่หันไปมองเขา เพราะว่ามองเขามากมันก็ทุกข์
หันกลับมาแล้วลดปริมาณความเกลียดของเราให้น้อยลงหน่อยเขาน่าเกลียดอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ทำให้ฉันรู้จักตัวเองว่า ความเกลียดคืออะไรและอะไรคือความรัก
หันกลับมามองแล้วพยายามรับสภาพจากความเป็นจริงด้าน ตรง กันข้ามกับที่เราไม่ชอบให้ได้ นี่คือสิ่งที่มนุษย์เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งที่ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องเป็น คือเมื่อไม่มีสิ่งที่รักมากจะมีสิ่งที่เกลียดมากไหม (ไม่มี) เมื่อไม่มีสิ่งที่เรากำหนดว่าน่ารักจะมีสิ่งที่เรากำหนดว่าน่าเกลียดไหม (ไม่มี)
สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างหนึ่งในการเกิดเป็นคนก็คือ ทำไมในโลกนี้จึงมีคนที่รักและมีคนที่เกลียด ก็เพราะหัวใจเรากำหนดมากเกินไป ยึดติดกับสิ่งที่รักจึงเกิดด้านตรงข้ามที่เรียกว่าเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่มีสิ่งที่รักแล้วเราจะมีสิ่งที่เกลียดไหม (ไม่มี) เราต้องมองให้ออกว่าเราเกิดมาเพื่อมีรักแล้วจะได้มีเกลียด หรือไม่ต้องรักเลยแล้วก็ไม่ต้องเกลียดเลย ดีกว่ากันใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์กำหนดได้คืออะไร สิ่งแรกคือฝึกจิตใจของตัวเองให้อยู่บนโลกนี้ให้ได้อย่างเข้มแข็ง
สิ่งที่สองคือ สร้างปัญญาให้แจ่มแจ้งในการมองเห็นความเป็นจริง ฝึกใจให้เข้มแข็งอย่างเดียวไม่พอ จะต้องฝึกสร้างปัญญาให้แจ่มแจ้ง เพื่อมองสรรพสิ่งในโลกได้อย่างเห็นแจ้งและฉลาดที่จะอยู่ด้วย
อย่างที่สามที่ขาดไม่ได้ ที่เราสามารถกำหนดได้แม้โลกจะพลิกแพลงไปขนาดไหนก็ตามคือ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน สามอย่างนี้เอง คือสิ่งที่มนุษย์เอาไปรับมือเมื่อเจอโลกเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ก็ตาม
เรามักจะบอกว่า ทำไมไม่เห็นดีเหมือนเมื่อก่อนเลย หน้าฉันทำไมไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อก่อนเลย นี่คือเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันใช่ไหม (ใช่) แต่ก่อนเรามีทอง แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ทองหายไปละ ปัจจุบันสอนให้เราไม่มี เราก็ต้องยอมรับความไม่มี ปัจจุบันต้นยางถูกน้ำท่วม เราก็ต้องยอมรับว่าต้นยางน้ำท่วม ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้น้ำลดแล้วใจเราลดด้วยหรือยัง เรียกขวัญกำลังใจกลับมาหรือยัง
วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ไม่ใช่มาถือมั่นในตัวตน เรามาฟังธรรมะเพื่อปลดทุกข์ ปลดความยึดมั่น เพราะอุปสรรคและปัญหาของมนุษย์ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะแบกทุกข์มากเกินไป ยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป ถือไปทุกอย่าง
ฉะนั้นเวลามองเราใช้แค่ตาพิสูจน์มิได้ แต่ต้องใช้ปัญญาหยั่งสิ่งที่เราพูดด้วยว่าสิ่งที่เราพูดหลอกลวงไหม งมงายเกินไปหรือเปล่า แล้วให้ท่านเชื่อเราหรือเชื่อ (ตัวเอง) ให้ท่านมาพึ่งเราหรือพึ่งตัวเอง (ตัวเอง) ฉะนั้นฟังให้ดีๆ ก่อนที่จะตัดสินอะไรอย่าใช้แค่ตา แต่ต้องใช้ปัญญาหยั่งลงสิ่งที่เราพูดด้วย ท่านชอบไหม ถ้ามีใครมาปฏิบัติต่อท่านโดยมองแค่ตาก็ตัดสินว่าไม่ดีหรอก ท่านยังไม่ชอบเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์พี่บอกศิษย์น้องไปแล้วนะ ฉะนั้นจำไว้เลย แม้ฟ้าจะพลิกเปลี่ยนแปลงให้เราเจอทุกข์เจอสุข เจอสุขเจอทุกข์มากแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อจิตใจ เพราะเรารู้ว่าชีวิตนี้เรากำหนด เราเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าศิษย์น้องเข้าใจ ศิษย์น้องจะค้นพบที่มาของชะตากรรม เข้าใจชะตากรรมของตัวเอง และแปรเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองให้ร้ายกลายเป็นดี ให้ดีแล้วดียิ่งขึ้นได้ด้วยนะ
มนุษย์ทุกคนหวังอยากจะมีชะตาชีวิตที่ดี อยากมีแต่โชคไม่มีภัย อยากมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เราฝึกใจให้เข้มแข็งได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้ ก็คือปัญญาในการแจ่มแจ้งในการมองเห็นสรรพสิ่งอย่างเป็นจริง
จะเป็นไปได้หรือที่เราอยู่ในโลกนี้มีสุขไม่มีทุกข์ มีร้ายแล้วไม่มีดี มีดีแล้วไม่มีร้าย มีมืดแล้วไม่มีสว่างได้ไหม (ไม่ได้) แต่ทำอย่างไรล่ะ แม้เราจะเจอด้านร้ายด้านมืดด้านทุกข์ แต่เราสามารถแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาและภูมิพลังให้เราฮึกเหิมและกลับมายืนใหม่ได้ นี่คือสิ่งสำคัญมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนเราอย่าแค่มีจิตใจที่เข้มแข็งอย่างเดียว อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือปัญญาในความแจ่มแจ้งเรียนรู้สรรพสิ่งมองเห็นอย่างเป็นจริง และยืนอยู่กับ (สัจจธรรม) เราจึงสามารถค้นพบประตูแห่งชะตาชีวิต ค้นพบที่มาของชะตาชีวิต และเปลี่ยนได้ดั่งใจเรา
อยากจะไปดูหมออีกไหม (ไม่อยาก) หมอบอกว่าโชคร้าย ถ้าเราเปิดใจรับโชคร้ายก็มาได้ หมอบอกว่าโชคดีแต่ถ้าเราเอาแต่นอนไม่ทำอะไร โชคดีไหม ฉะนั้นชะตาชีวิตไม่ใช่อยู่ที่ฟ้ากำหนดเพียงอย่างเดียว แต่มนุษย์ก็สามารถกำหนดชะตาตัวเอง ขอเพียงแต่อย่าหลอกตัวเองและมีชีวิตยืนอยู่กับความเป็นจริงและมองปัจจุบันเป็นหลัก
ระหว่างเป็นต้นถั่วงอกกับเป็นต้นสัก ศิษย์น้องเลือกเป็นอะไร
(ต้นสัก) ทำไมอยากเป็นต้นสัก เพราะต้นสักมีคุณค่าขายได้ราคา ถั่วงอกราคาถูก ใครๆ ก็ปลูกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเป็นศิษย์พี่ ต้นสักศิษย์พี่ก็เป็น ถั่วงอกศิษย์พี่ก็เอา เพราะอะไร เพราะถั่วงอกใครๆ ก็ปลูกได้ แปลว่านิสัยของถั่วงอกนั้นอยู่กับใครๆ ก็อยู่ได้ แต่ต้นสักถึงแม้จะราคาแพงแต่ปลูกยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) และใครๆ ก็อยากตัดเพราะมันมีราคา
(ต้นสัก) ทำไมอยากเป็นต้นสัก เพราะต้นสักมีคุณค่าขายได้ราคา ถั่วงอกราคาถูก ใครๆ ก็ปลูกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเป็นศิษย์พี่ ต้นสักศิษย์พี่ก็เป็น ถั่วงอกศิษย์พี่ก็เอา เพราะอะไร เพราะถั่วงอกใครๆ ก็ปลูกได้ แปลว่านิสัยของถั่วงอกนั้นอยู่กับใครๆ ก็อยู่ได้ แต่ต้นสักถึงแม้จะราคาแพงแต่ปลูกยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) และใครๆ ก็อยากตัดเพราะมันมีราคา
ระหว่างเป็นเต่าสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกกับเป็นนกบินอยู่บนฟ้า เราอยากเลือกเป็นอะไร (เป็นทั้งสองอย่าง) ใช่ ควรเป็นได้ทั้งสองอย่าง น้ำฉันก็อยู่ได้ บกฉันก็อยู่ได้ ฟ้าฉันก็ไปได้ นี่แหละเรียกว่า ปัญญาของมนุษย์ ปัญญาที่เห็นแล้วต้องเอามาใช้ให้เกิดความแจ่มแจ้งในตัวเอง รู้จักเรียกใจให้เข้มแข็ง แต่ถ้าปัญญาทึบมันก็อยู่บนโลกนี้ไม่รอดหรอก จริงไหม (จริง)
ถ้ามองเห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า เห็นแต่สิ่งที่เปรียบเทียบ ศิษย์น้องก็ตายอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าคิดแต่ว่าเต่าไม่เอา เต่าโง่ ช้า แล้วคนเราเป็นอย่างนั้นไหม บางครั้งต้องมีช้า บ้างครั้งต้องมีไว ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเดินได้ แต่บางครั้งก็บินได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้จงอย่าปล่อยให้ปัญญาแห่งความรู้ทำให้เรานั้นตีกรอบอย่างตายตัว เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ แม้ว่าฟ้าจะบีบให้ทุกข์ แต่เราไม่จำเป็นต้องทุกข์ เพราะเรามีปัญญาและจิตใจที่เข้มแข็ง รู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่บนความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเอง
สมมติว่าเขาทำให้เราอกหัก ฟ้าทำให้เราสูญเสียพลัดพรากล่ะ เราจะดันทุรังอีกไหม (ไม่) ฆ่าตัวตายเลยใช่ไหม (ไม่) ศิษย์น้องจะต้องคิดให้ได้ คิดให้ออก แล้วทำปัญญาให้ถึงแจ่มแจ้ง เพราะแม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยศิษย์น้องไม่ได้ แต่ปัญญาที่มันมีอยู่ในตัวศิษย์น้องเองนี่แหละที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ แล้วอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ได้อย่างพลิกชะตาให้อยู่ในกำมือ กุมชะตาให้เป็นได้ดั่งอย่างใจนึก จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นฟังธรรมะต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง ทำเป็นคนที่มีโอ่งสามารถรับทุกเรื่องทุกราวได้ และต้องสามารถเป็นนักเก็บขยะได้ดี รู้ว่าอันไหนเก็บ รู้อันไหนทิ้ง ไม่อย่างนั้นท่านจะโง่ยิ่งกว่าคนเก็บขยะ เพราะเก็บทุกอย่างใส่ในใจใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดมองแคบๆ ท่านก็เห็นแคบ มีชีวิตอยู่เอาแต่ตีบตันอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดตัวเองฝัน คนนั้นก็คือคนที่โง่ ต้องเปิดใจให้กว้างแล้วมองเห็นสรรพสิ่งอย่างเป็นจริง แล้วเราจะไม่ถูกเล่ห์กลของมายาโลกใบนี้หลอกลวงให้เราทุกข์ได้ใช่ไหม (ใช่)
ตั้งแต่ศิษย์พี่พูดจนถึงตอนนี้ คุยอยู่เรื่องเดียวเองก็คือว่า ชีวิตแม้จะถูกฟ้ากำหนดให้เปลี่ยนซ้ายแปรขวา แต่ซ้ายขวาก็ไม่ทำให้เราหวั่นไหว ถ้าเรารู้จักกำหนดชีวิตตัวเองด้วยปัญญาแห่งการรู้โลกใบนี้อย่างแจ่มแจ้งและยืนอยู่บนความเป็นจริง ฉะนั้นแม้ศิษย์พี่จะไปซ้ายไปขวา แต่จุดเดียวที่ศิษย์พี่ต้องการเน้นให้ศิษย์น้องรู้เรื่องนี้เรื่องเดียวเอง
ฉะนั้นต่อไปนี้ถ้าน้ำจะท่วมอีกศิษย์น้องก็จะหัวเราะใช่หรือเปล่า เพราะอะไร (เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา) คิดแต่ธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ศิษย์น้องต้องคิดแล้วมองให้เห็น แล้วไปให้ทะลุทะลวงด้วย น้ำท่วมเดี๋ยวก็ลด ต้นยางตายเดี๋ยวฉันก็ปลูกใหม่ ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดวันหนึ่งศิษย์น้องไปตรวจพบเป็นมะเร็ง ศิษย์น้องก็หัวเราะได้ วันหนึ่งกลับไปบ้านไฟไหม้ ขับรถไปขับรถมาแขนหาย เราทำใจได้ไหม
จำไว้นะศิษย์น้อง มีแขน มีบ้านให้อยู่ มีต้นไม้ มีที่ให้ทำกิน รีบๆหัวเราะมีความสุข ถ้าวันหนึ่งแขนหายไปอย่างน้อยฉันก็ได้สุขกับแขนแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์นั้นโง่ที่มีแขนอยู่ไม่ค่อยภูมิใจ มีที่ดินอยู่แต่เหนื่อย มีแฟนอยู่แต่เบื่อ แต่เวลาสูญเสียไปกลับรู้สึกว่าไม่น่าไปเลย
ฉะนั้นจงมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมีตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่ที่สูญเสีย เราก็จะบอกไปเถอะว่าไม่เป็นไร ฉันใช้กับมันคุ้มแล้ว แต่ตอนนี้เราใช้ให้คุ้มค่ากับสิ่งที่ตัวเองมีหรือยัง (ยัง) หวังแต่สุขข้างหน้า แต่สุขแล้วหรือยัง ฉะนั้นศิษย์น้องอย่ามัวแต่หวังวอนขอโน่นขอนี่ สิ่งที่ศิษย์น้องควรจะขอไว้ก่อนคือ ขอให้ตัวเองรู้จักคุณค่าของตัวเองและใช้คุณค่าของตัวเองให้สูงสุด แล้ววันหนึ่งต้องสูญเสียตัวเองไป ก็ไม่กลัว จริงไหม
วันนี้เราใช้คุณค่าของตัวเองได้สูงสุดและดีที่สุดแล้วหรือยัง (ยัง) พอจะตายบอกว่าอย่าเพิ่งเพราะกลัวตกนรก เพราะไม่ยอมทำวันนี้ให้ดีที่สุด หวังแต่อนาคตสดใส พรุ่งนี้มีความสุขแล้ววันนี้มีหรือยัง (ยัง)
เราจะพ้นทุกข์ก็ต่อเมื่อเรามีความสุขกับสิ่งที่มีที่เป็นที่ทำได้ เหี่ยวก็สุขได้ที่เหี่ยว มีร้อยบาทก็สุขได้ที่ร้อยบาท สามีขี้บ่นก็สุขได้ที่สามีขี้บ่น สามีกินเหล้าก็สุขได้ที่สามีกินเหล้า แต่ก่อนกินเหล้ากลับมา เราเคยบ่นใช่ไหม ต่อไปพอสามีกลับมาเรากอดเขาเลย เวลากลับบ้านแฟนบ่นใช่ไหม กอดเขาเลย บอกรักนะ ดูสิที่กินเหล้าเผื่อจะตาสว่าง ขี้บ่นอาจจะตกใจ จนบ่นไม่ออกเลย ไม่ยากเลยใช่ไหมศิษย์น้อง ความสุขหาไม่ยากเลย แล้วเมื่อนั้นชะตาชีวิตไม่ต้องดูหมอแล้วเรากำหนดได้เอง เราค้นพบการควบคุมชะตาชีวิตได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งหมอดู
ศิษย์น้องเป็นคนดีไหม (ไม่ดีพอ) แล้วคิดจะดีบ้างหรือยัง แล้วเคยคิดทำดีบ้างไหม (คิด) ได้แต่คิดแต่ไม่เคยทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ศิษย์พี่อยากจะบอกศิษย์น้องว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว มนุษย์ทุกคนล้วนรักแต่ความสุขของตัวเอง แต่ในความเห็นแก่ตัวและรักความสุขของตัวเองนั้น มีสิ่งหนึ่งที่สถิตย์อยู่กลางใจของคนที่เห็นแก่ตัวและรักตัวเองและเหมือนๆ กันอยู่ทุกคน คือโหยหาความดี
ถึงจะเห็นแก่ตัวแค่ไหน ถึงจะรักสบายเอาเปรียบคนมากเพียงใด แต่ก็อยากให้คนพูดดีๆ ทำดีๆ ปฏิบัติต่อตัวเองดีๆ และมีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่าตัวเองคิดจะทำดีไหม แต่อยากให้คนอื่นทำดีกับตัวเองทันที จริงไหม (จริง) มันน่าแปลกนะศิษย์น้อง เรียกร้องให้คนอื่นดีกับเรา แต่ทีตัวเองบอกเดี๋ยวก่อน คอยแต่เรียกให้คนอื่นทำ ถึงจะเห็นแก่ตัว รักสบาย หวังให้ผู้อื่นทำดี แต่ก็คิดอยากจะทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราควรทำดีตอนคนเขาเดือดร้อนแล้วค่อยทำ หรือทำดีได้ทุกๆ ขณะ (ทุกๆ ขณะ) เราทำดีได้ทุกขณะ อย่างเช่นตอนกินข้าว กับข้าวอร่อย เราเคยตักเผื่อคนอื่นบ้างไหม หรือว่าเลื่อนจานที่อร่อยมาตรงหน้าเรา แล้วจานไม่อร่อยเอาไปไกลๆ ใช่ไหม ถ้าเราปวดห้องน้ำจะแย่แล้ว แต่ป้าบอกว่าปวดห้องน้ำจะแย่แล้ว ขอป้าเข้าก่อน แซงคิวเลย ได้ไหม (ไม่ได้) และที่เขายืนปวดอยู่ เขาจะไหวไหมล่ะ
มีคนทำดีกับเราแล้วเราก็แค่รับรู้ เราภูมิใจไหมที่มีคนทำดีกับเราแล้วเราก็แค่รับรู้ แต่ถ้ามีคนทำดีกับเรา แล้วเราบอกขอบคุณนะ มีคนยกอาหารมาให้ ยกน้ำมาให้ ขอบคุณนะ นี่คือเขาทำดีมา เรารีบทำดีตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่นิสัยมนุษย์เขาทำดีมาเรารับอย่างเดียว
ถ้ายิ่งเราถนัดรับมากเท่าไหร่ ก็แปลว่าหัวใจเราขาดความรักมากแค่นั้น ยิ่งเรารับความดีมามากแค่ไหน แปลว่าหัวใจเราขาดความดีมากแค่นั้น แต่คนที่รู้จักให้คนอื่น โดยเฉพาะเรื่องดี ให้ไม่หยุด แม้จะดีตอบหรือไม่ดีตอบก็ยังให้ นั่นแปลว่าหัวใจเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเป็นคนแบบไหน ผู้ให้หรือผู้รับ ระหว่างให้กับรับอย่างไหนมากกว่ากัน
ศิษย์พี่ถามว่าตื่นมาทำงานวันละกี่ชั่วโมง (แปดชั่วโมง) ทำงานตั้งแต่เช้าจนเย็น พอทำงานเสร็จกลับเข้าบ้านนอน ไม่ก็ทำภาระกิจอื่นเช่นดูแลลูก มีแต่ให้ตัวเองทั้งนั้นเลย แล้วเวลาไหนจะให้คนอื่น แล้วเวลาไหนเรียกว่าดี สิ่งที่ให้สิ่งที่ดีเราทำตอนไหน (ทำได้ตลอดเวลา) ทำได้ตลอดเวลาอย่างตอนทำงาน ตอนเช้าตื่นขึ้นมา พูดดีกับลูก กับคนในบ้าน ต่อไปนี้เราลองหวานกับทุกคนพบคนข้างนอกเป็นอย่างไร ไปทำงานแล้วเหรอ เราไปทำงานแล้วนะ เพราะวันหนึ่งถ้าเกิดลูกหลานไม่อยู่บ้าน เราหัดดีกับคนรอบบ้านไว้ ถ้าลูกหลานไม่อยู่คนรอบบ้านจะได้ดูแล จะได้ช่วยเราใช่ไหม เราหวังให้เขาดูแลเราใช่ไหม (ไม่ใช่)
มนุษย์รู้จักความสุขที่อิงอาศัยวัตถุ ความสุขที่ตามใจตัวเอง แต่ มนุษย์ลืมไปว่ายังมีความสุขอีกประเภทหนึ่ง คือความสุขแบบพุทธะ โพธิสัตว์ นั่นคืออะไรรู้ไหม ไม่ใช่ความสุขที่อิงอาศัยใครสักคนหนึ่ง แต่เป็นความสุขแบบพุทธะโพธิสัตว์ นั่นคือความสุขจากการให้ ทำให้คนทุกข์ กลายเป็นมีความสุข ทำให้โลกที่แห้งแล้งกลายเป็นโลกที่สดใส ทำให้โลกที่วุ่นวายกลายเป็นโลกที่สงบด้วยหัวใจเรา นั่นคือรู้จักให้สุขแก่โลกบ้าง รู้จักตอบแทนโลกบ้าง
ศิษย์น้องลองหันไปมองซิเห็นอะไร สิ่งที่เราเห็นกันทุกวันๆ คือเราเห็นต้นไม้ ศิษย์น้องรู้ไหมว่า แม้ต้นไม้จะยืนอยู่บนพื้นดิน รับอากาศอยู่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้นไม้สอนให้มนุษย์รู้คุณค่า คือแม้จะดูดแร่ธาตุจากพื้นดิน มันก็ไม่เคยหวงใบเพื่อที่จะทิ้งกลับเป็นปุ๋ยดินเหมือนเดิม แม้จะเอาน้ำจากพื้นดินจากอากาศ แต่ก็คายน้ำสู่ฟ้ากลับไปเหมือนเดิม แม้จะเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านกว้างไกลขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยรังเกียจที่จะมีนกมาอาศัยเกาะพึ่งพิง แต่มนุษย์หามาแล้ว เอามาจากโลกแล้ว เคยตอบแทนโลกบ้างไหม เราเอาเขามาแล้วเคยสำนึกคุณแล้วตอบแทนฟ้าดินบ้างไหม เอาของคนอื่นเขามาแล้ว เคยรู้จักแบ่งบันบ้างหรือเปล่า
ต้นไม้ดูดแค่ไหนก็คืนแค่นั้น แม้อาจจะไม่เท่าเดิม แต่ตัวมนุษย์เราล่ะ เอามากกว่าให้อีกนะ แล้วศิษย์น้องไม่เคยได้ยินหรือว่า ให้ความสุขคนอื่นมากเท่าไร ก็จะได้รับความสุขมากแค่นั้น เคยสัมผัสความสุขตรงนี้บ้างไหม
บางทีเราไปช่วยคน เราคิดว่าเราช่วยเขา เราเหนื่อยไหม เราท้อไหม เราเอามากกว่าให้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเอามา เอาเป็นร้อยเอาเป็นพัน เวลาให้ให้สิบบาท ในกระเป๋ามีเท่าไหร่ ทำบุญเท่าไหร่ มีหนึ่งพันบาทให้หนึ่งร้อยบาท ใช่ไหม (ใช่) ว่าคนเป็นชุดๆ แต่ชมคน นานๆ ชมที ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้สู้อะไรกับต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ได้เลย (ใช่) ต้นไม้ยังให้คุณค่ากับธรรมชาติ ยังตอบแทนฟ้าดินกลับ แล้วตัวเราล่ะ
บางครั้งการให้อาจจะทำให้เราเหนื่อย แต่รู้ไหมว่าทุกขณะที่ให้ก็ได้การเติมเต็มโดยไม่รู้ตัว แม้การให้อาจจะทำให้เราต้องฝืนหัวใจบ้าง แต่เมื่อฝืนไปแล้วแต่สักพักหนึ่งเราจะรู้ว่า เราจะได้ความเต็มตื้นใจได้โดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)
เหมือนเราคิดว่าเราไปช่วยเขา เราไปช่วยเขาให้เติมเต็ม แต่รู้ไหมว่าตอนที่เราช่วยเขาให้เติมเต็มนั้น เขากลับเติมเต็มให้หัวใจเรากลับมาปิติสุข แล้วสุขนี้หาไม่ได้ในโลกนี้ได้ด้วยนะ แล้วสุขนี้แม้จะผ่านไปกี่ปีๆ เราก็ยังจำได้ว่ารอยยิ้มนั้นที่เราเคยไปช่วยเขา แล้วเขาพูดบอกว่า “ขอบคุณนะลูก “ ผ่านไปกี่วันๆ คำว่าขอบคุณนะลูก มันยังเก็บอยู่ในใจ สุขยิ่งกว่าได้เงินทอง โทรศัพท์เครื่องใหม่ ถูกล็อตเตอรี่อีกใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นสุขที่แท้จริงแล้วทำให้เราเติมเต็มให้กับชีวิตก็คือ “การมีแล้วรู้จักให้ “
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบพระคุณศิษย์พี่ที่เมตตา)
ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะให้ศิษย์น้องศิษย์พี่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะมันทำให้ศิษย์พี่มองเห็นว่า มีทั้งคนที่ได้รับและคนที่ไม่ยอมรับอะไร ใช่ไหม (ใช่) นี่แหละทำให้ “การให้ “ ทำให้เราเห็นปัญญาแจ่มแจ้งของความเป็นจริงของคนในโลกนี้ จริงหรือเปล่า (จริง)
ศิษย์พี่พูดอยู่แค่สองเรื่องเอง อย่ากลัวกับชะตาชีวิต กับ มีชีวิตอยู่ให้รู้จักความสุขที่รู้จักให้ แม้จะตายไปความสุขนั้นก็ยังทำให้เราเต็มตื้นไม่รู้ลืม ไม่เหมือนความสุขของหญิงชายหรอก ได้วันนี้เดี๋ยวอีกวันเขาก็เปลี่ยน แต่ความสุขจากการที่เรารู้จักทำดีแล้วให้คนอื่นสิ เป็นความสุขที่นิจนิรันดร์และเป็นความสุขที่ทำให้เราบังเกิดคุณธรรมในหัวใจ ยิ่งให้ก็ช่วยลดตระหนี่ ยิ่งให้ก็ช่วยลดความยึดมั่นถือมั่นในเงินทอง และยิ่งให้ก็ทำให้เรายิ่งสุขเต็มตื้นในหัวใจ มีคุณค่าที่ได้เกิดมา ไม่ใช่เพียงเพื่อตน แต่ยังรู้จักสละเพื่อช่วยคน
เรามาศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ชีวิตและหาทางพ้นทุกข์ ซึ่งไม่มีได้ในโลกนี้ เพราะข้างนอกมีแต่หาทุกข์ ศิษย์พี่มาไม่ได้ให้ศิษย์น้องเชื่อศิษย์พี่ แต่ให้เชื่อตัวเอง ไม่ใช่ให้ไหว้ศิษย์พี่แต่ให้ไหว้ตัวเอง คนเราถ้าทำดีได้เราก็ไหว้ตัวเองลง แต่ถ้าทำดีไม่ได้ไหว้ตัวเองก็ไม่ลง จริงไหม (จริง)
วันเสาร์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา “
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กำลังใจมีในลมหายใจ กำลังใจมีในคนคิดสู้
สร้างพลังขึ้นมาจากการเรียนรู้ ชีพยังอยู่ขออย่าแพ้ใจตนเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนกินข้าวอิ่มไหม
ยิ้มแย้มแจ่มใสหน่อยศิษย์ หน้าตาครุ่นคิดแก่เฒ่า
หัวคิ้วชนกันนั้นเล่า เรื่องราวในความเงียบงัน
เล่าว่าศิษย์มีความทุกข์ เล่าว่าสุขก็อย่างนั้น
ก็เพราะศิษย์ไม่รู้ทัน โลกนั้นเปลี่ยนแปลงเหลือใจ
คุมกายคุมใจให้ดี หยุดทีชอบจับผิดใคร
ใจคนน่ากลัวกว่าไหม ก็ไหลไปตามสังคม
ยึดมั่นถือนั่นถือนี่ อยากมีอยากเป็นสั่งสม
หลงตามกระแสนิยม ชื่นชมมายาลวงตา
รู้น้อยแต่ว่ารู้จริง รู้หยิ่งนั้นโง่หนักหนา
คิดเป็นย่อมรู้ดีกว่า รักษาหลักธรรมในตน
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ร้อนไหม อากาศเย็นใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) คิดเสียว่าเย็นเดี๋ยวก็เย็นเองถูกไหม (ถูก) ถ้าคิดว่าเย็น นั่งตรงไหนมันก็เย็น เหมือนเวลาที่เรารู้สึกร้อน ใจมันก็จะไปจับแต่ตรงที่ร้อน ใจก็จะไปผูกอยู่แต่ตรงนั้น ยิ่งนั่งก็เลยยิ่งรู้สึกร้อนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเวลาที่เราร้อน แล้วเราพยายามหาที่ๆเย็น แล้วจับที่ๆ เย็นให้อยู่ ที่ๆ ร้อนก็กลายเป็นที่ๆ เย็นใช่ไหม (ใช่) เหมือนกับเวลาคนเขาทำเราเจ็บ เราก็มองแต่ตรงที่เจ็บ ก็เลยเจ็บแล้วเจ็บอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาใครทำเราเจ็บเราก็มองที่ๆ ไม่เจ็บ เราจะได้ไม่เจ็บซ้ำเจ็บซาก
เรากินเพื่ออยู่หรือเราอยู่เพื่อกิน (กินเพื่ออยู่) เรามีชีวิตเพื่อหาเงิน หรือหาเงินเพื่อดำรงชีวิต (หาเงินเพื่อดำรงชีวิต) พูดได้ดีเหลือเกิน แต่ถึงเวลากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน (อยู่เพื่อกิน) หาเงินเพื่อแค่ดำรงชีวิต หรือมีชีวิตเพื่อแค่หาเงิน (หาเงิน) อาจารย์ก็ว่าอย่างนั้นนะ เราเลือกกินอย่างกับอะไร อะไรไม่ถูกปากถูกใจบ่นไหม (บ่น) แล้วบางทีเจอบ่อยๆ ซ้ำๆ ก็เบื่อใช่หรือเปล่า (ใช่) นี่แหละเรียกว่ามนุษย์
ถ้าเราเข้าใจว่าเรามีชีวิตเพื่ออะไร เราก็คงไม่เกิดมาเพื่อแสวงหาแต่กิน แสวงหาแต่เงินทองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะถ้าเกิดเราเข้าใจผิดไปแล้ว หลงไปตามอำนาจกิเลสตัณหาอัตตาแล้ว เราก็ยากที่จะเป็นคนสมบูรณ์
มนุษย์เลือกกินไหม บางทีเลือก บางทีไม่เลือก ต้องแบบนี้ พูดว่าเลือกกินนะใช่ แต่บางทีก็กินไม่เลือกเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) อะไรที่อยาก กินได้ก็กินหมด อะไรที่ไม่เคยกิน ก็อยากกิน จึงเป็นประเภทอะไร กินได้ตั้งแต่ท้องฟ้า บนบก ยันใต้น้ำ มนุษย์น่ากลัวจริงๆ เลย เกิดมาเพื่อกินหรือเกิดมาเพื่ออยู่ (เกิดมาเพื่ออยู่) แล้วมีชีวิตอยู่เพื่อกิน ใช่หรือเปล่า
รู้ไหมว่าพุทธะคิดต่างจากมนุษย์อย่างหนึ่ง เพราะพุทธะรู้ว่าในโลกนี้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตคืออะไร (คือธรรมะ) ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตคือธรรมะ แล้วธรรมะข้อไหน ทุกข้อหรือเปล่า เราคงทำไม่ได้หมด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ที่มีค่ามากกว่าชีวิตเราคือธรรมะข้อไหน ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคือธรรมะ แปลว่าแม้จะสูญเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรมเราก็ยอม แต่มนุษย์กลับเห็นตรงกันข้าม สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าธรรมคือชีวิต สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคือเงินทอง ตรงกันข้ามกันหมดเลย แต่พุทธะเห็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทองคือชีวิต สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคือคุณธรรม
ฉะนั้น ทุกขณะจิตพุทธะรู้ว่าสิ่งที่มีค่ามากว่าชีวิตคือคุณธรรม แปลว่าทุกขณะจิตที่กิน พูด มีชีวิตต้องไม่สูญเสียคุณธรรม อย่างนั้นแค่ขณะกินเราสูญเสียคุณธรรมไหม (เสีย) ข้ออะไร (ฆ่าสัตว์) บางครั้งเพื่อให้ได้กิน ตามใจลิ้น ตามใจอารมณ์ ตามใจความอยาก เรายอมเสียคุณธรรมในเรื่องเมตตา แล้ว ศิษย์ก็อ้างว่า “ก็อยากเมตตาหรอกนะ แต่ว่าอาหารเจมันหายาก” แล้วยิ่งถ้าเกิดทำยากแล้วทำได้ อย่างนี้เรียกว่าผู้ประเสริฐหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดทำแล้วทำสบาย ใครๆ ก็ทำได้ อย่างนี้จะเรียกว่าพุทธะไหม ฉะนั้น แค่กินเราสามารถคำนึงได้ถึงมีเมตตาไหม เรารักสบายไหม ถ้าเกิดเป็นคนเอาแต่รักสบาย มักง่าย นี่คือคุณสมบัติที่ดีของความเป็นคนไหม ไม่ใช่เลย
คุณสมบัติที่ดีของความเป็นคน ไม่มักง่าย ไม่เอาสบายจนเกินตัว ลำบากหน่อยแต่ไม่เสียคุณธรรม แต่มนุษย์ให้เหตุผลง่ายๆ ที่ไม่กินเจเพราะ (หากินยาก) หายาก ทำยาก จริงหรือ (ไม่จริง) กินเจกินยากไหม (ไม่ยาก) มีผักกี่อย่างลวกให้หมด มีผักกี่อย่าง สดๆ ล้างให้สะอาดก็กินได้แล้ว ฉะนั้น ศิษย์บอกอาจารย์เอง ศิษย์มีชีวิตอยู่เพื่อกินหรือ (กินเพื่ออยู่) ถ้าศิษย์รู้ว่าเริ่มต้นชีวิต อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต ชีวิตหรือคุณธรรม เงินหรือชีวิต ถ้าเริ่มต้นถูก ก้าวต่อไปก็ก้าวถูก แต่ถ้าเริ่มต้นไม่ถูก ก้าวต่อไปก็ผิด
ฉะนั้น ถ้าเราเริ่มต้นถูก การดำเนินชีวิตก็ไม่ใช่ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ แล้วตอนนี้เราเริ่มต้นถูกหรือเราเริ่มต้นผิด (ถูก) ต้นเหตุของความทุกข์เกิดจากความไม่รู้และหลงผิด หรือเรียกว่า อวิชชา ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้ง ที่จริงๆ แล้วศิษย์ของอาจารย์มีหน่อเนื้อแห่งพุทธะอยู่ในตัวตน แต่เพราะกิเลส ความโลภ ความหลง ความเข้าใจผิด ความไม่รู้และความยึดมั่นถือมั่น จึงทำให้มองไม่เห็นภาวะพุทธะในตัวตน แล้วก็บอกว่าไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนอาจารย์ถามว่าในน้ำสกปรกมีน้ำสะอาดอยู่ไหม (มี) และในน้ำที่สะอาดมีน้ำที่บริสุทธิ์ไหม (มี)
ศิษย์บอกว่าศิษย์นั้นมีกิเลสมาก ปัญหามาก อบายมุขก็มาก สิ่งไม่ดีก็มาก แต่อาจารย์ถามว่าคนที่เลวที่สุด จะไม่มีหน่อเนื้อแห่งความดีงามอยู่เลยหรือ มีไหม (มี) ใจหน่อเนื้อของพุทธะ หรือที่เรียกว่าพุทธะ มนุษย์เข้าใจว่า พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่อาจารย์บอกว่า พุทธะคือผู้ที่หมดจากกิเลส สิ้นกิเลส ละวางตัวตนเข้าถึงความว่าง ถ้ามนุษย์หมดจากกิเลสได้มากเท่าไหร่ พุทธะก็ปรากฎได้มากเท่านั้น ถ้ามนุษย์ทิ้งกิเลสทันที ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทันที มนุษย์ก็จะสามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะได้ทันทีได้เช่นกัน ดังนั้นความเป็นพุทธะไม่ใช่เรื่องที่จะไปคว้าข้างนอก ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย แค่ลงแรงที่ (ใจ)
การทำบุญเพื่อที่จะขึ้นสวรรค์ยังต้องพยายามหาเงินเพื่อทำบุญ ออกแรงเพื่อสร้างกุศล เราอยากขึ้นสวรรค์เรายังต้องพยายามทำบุญมากๆ ถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ มีบุญได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ส่วนความชั่ว เราต้องลงแรงหรือไม่ จะไปตบหน้าคนทั้งทีจะต้องลงแรงหรือไม่ จะด่าคนทั้งทีต้องมีความโกรธหรือไม่ จะอิจฉาคนทั้งทีจะต้องมีความคิดริษยา ความหลงตัวเองไหม (มี) แต่ว่าการเข้าถึงพุทธะ แค่ลดตัวตน ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง และปล่อยวาง
การเข้าถึงพุทธะคือแค่ถอยลด ถอยลด แต่การอยากจะมีบาปไปนรก ต้องก้าวให้มาก ต้องมีโลภ โกรธ หลงและยึดมั่นมากๆ ถึงจะไปลงนรกได้ ถ้าโลภน้อยๆ หลงน้อยๆ ยึดมั่นน้อยๆ ก็เข้าถึงพุทธะได้ แต่ถ้าโลภมาก หลงมาก ยึดมาก ก็ไปนรกมากเท่านั้น
เห็นไหมว่า แค่ทำบาปยังต้องลงแรงมากขนาดนี้ แต่การเข้าถึงพุทธะ แค่ลดให้น้อยจนไปสู่ความว่าง ลงแรงมากไหม (มาก) อันไหนมากกว่ากัน บาปหรือเป็นพุทธะ (บาป) แล้วเวลาเป็นคนดีต้องลงแรงไหม (ลงแรง) ต้องเสียสละมากๆ ต้องให้มากๆ ต้องอดทนอดกลั้นกับการเป็นพุทธะมากๆ จึงจะถึงซึ่งความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความดีพอทำถึงไปสวรรค์แล้ว เสวยสุขแล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่นะ ศิษย์น้อยของอาจารย์ลืมไปหรือเปล่าว่า หนทางพุทธะอยู่ตรงนี้ ลดให้น้อยจนไม่มี จนไม่เหลือแม้ตัวตน เข้าถึงความว่าง นั้นแหละคือหนทางพุทธะ
อาจารย์ถามว่าทางไหนเดินง่ายกว่ากัน (พุทธะ) ศิษย์ยังบอกว่าเป็นคนชั่วง่ายกว่าไหม เวลาคิดชั่วอยากจะฆ่าใคร ยังต้องคิดมากเลย ต้องมองซ้ายมองขวาว่าจะทำดีหรือไม่ทำดี ใช่ไหม (ใช่) ต้องมีความกล้า ความหลงมากๆ ใช่ไหม (ใช่) แต่เป็นพุทธะ ลดให้เหลือน้อยที่สุดจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือแล้ว ตกลงหนทางอะไรง่ายกว่ากัน (พุทธะ)
หนทางของพุทธะนั้น อาจารย์บอกไว้แล้วหนทางบุญไปสวรรค์ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด หนทางบาปไปนรก นรกมีกี่ทาง มีมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) โกรธมากๆ ก็โดนไฟนรกเผาไหม้ ไฟใจยังดับไม่ได้ ตายไปไฟก็จะนำพาไปสู่นรก โลภมากๆ คืออะไร คือกินไม่มีวันอิ่ม (เหมือนเปรต) แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ปากเล็กๆ ก็เหมือนรูเข็ม กินเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่ม ตอนนี้บอกอิ่มแต่พอผ่านเย็นไปก็ค่อยๆ หิวไหม (หิว) แล้วเวลาหิวสามารถกินได้ทุกอย่างในโลกไหม อันนี้ก็อยากกินอันโน้นก็อยากกิน ฉะนั้นถ้ามีความโลภมากๆ ไม่รู้จักพอก็ไม่ต่างอะไรกับเปรต ถ้ามีความหลงมัวเอาแต่ตัวรอดไม่คิดถึงคุณธรรมก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน
ศิษย์เอย การเป็นพุทธะนั้นถ้าสามารถลดน้อยจนไม่มีได้ จนเข้าถึงความว่างได้ นอกจากศิษย์จะสามารถพ้นทุกข์ ตัดกองทุกข์ได้ ศิษย์ยังสามารถตัดภพตัดชาติการเวียนว่ายตายเกิดอีกด้วย ฉะนั้นตอนนี้คิดอยู่ไหม อยากเดินทางไหน คิดก่อนตอบอาจารย์ เดี๋ยวปากพูดอย่างแต่เท้ากับใจทำคนละอย่างกัน แล้วจะกลายเป็นคนไม่รักษาคำพูด อาจารย์พูดเข้าใจยากไหม วันนี้เรามาฟังธรรมะถึงต้องรู้จักหนทางพุทธะ
วันนี้เรามาศึกษาเพื่อนำ ไปปฏิบัติธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์มักจะมองว่าการปฏิบัติธรรมคือการนั่งอะไร (สมาธิ) และหลับตาใช่ไหม (ใช่) แต่อาจารย์จะบอกว่า การนั่งสมาธิและหลับตายังมีความอยากอยู่ การนั่งสมาธิหลับตาก็หาใช่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องไม่ แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ต้องวางใจให้ถูก ครองใจให้เป็น เราก็สามารถปฏิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา เหมือนตอนนี้ถ้ายืนอยู่แล้วนึกในใจว่า เมื่อไหร่อาจารย์จะให้ฉันนั่ง เมื่อไหร่จะให้ผมนั่ง ผมอยากนั่งเต็มที ยืนนี้ก็ไม่สามารถเรียกว่ายืนอย่างคนปฏิบัติธรรมได้ แต่ถ้ายืนแล้วนึกว่าดี เราก็ได้ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ได้ปล่อยวางตัวตน จึงเป็นการยืนที่ได้เกิดการปฏิบัติธรรม
ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมอย่าคิดว่าต้องนั่งสมาธิ แล้วเรียกว่าปฏิบัติธรรมอย่างเดียว แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วยังมีความหลงไม่รู้เท่าทันกิเลส ก็หาได้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไม่ แต่ถ้าเกิดไม่ว่ายืน ไม่ว่าเดิน ไม่ว่านั่ง หรือไม่ว่าทำงาน แต่กายอยู่ไหน ใจอยู่นั่น มีสติรู้เท่ารู้ทัน รู้จักเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและเสียสละ ไม่ปล่อยให้อารมณ์กิเลสครอบงำ แม้ยืนพูดทำงานก็สามารถเป็นการปฏิบัติธรรมได้ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
การปฏิบัติธรรมขึ้นอยู่ที่การวางใจให้เป็น วางอย่างคนยึดมั่นถือมั่น ไม่เช่นนั้นแม้นั่งสมาธิก็ไม่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม ถ้าทำงานแต่รู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น รู้เท่าทันกิเลส การทำงานนั้นก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมได้ ตัวตนมีแต่ทุกข์ ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นปล่อยมันบ้าง วางมันบ้างก็ได้ ทุกข์ก็จะน้อยลงบ้าง
เรา อยู่ในโลกนี้ บางครั้งเราพูดมากเกินไปก็ทำให้เกิดเรื่อง ลองฝึกการไม่พูดบ้าง ดีไหม (ดี) อยากฝึกสติให้รู้เท่า รู้ทัน ยืน นั่ง ก็มีธรรม ไม่พูดก็บังเกิดธรรม สิ่งที่ขาดไม่ได้ต้องมีสติ ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่ศิษย์ต้องการเมื่อยังมีชีวิต ก็คืออยากได้ครอบครัวร่มเย็น อยากทำงานทำการอะไรก็มีสติปัญญาดี อยากไปไหนก็มีแต่คนรัก อยากมีอายุยืนยาวด้วย ขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วทุกๆ ชีวิตปรารถนากันก็คือ อยากเป็นที่รักของทุกคน อยากมีอายุยืนสักหน่อยก็ดี อายุยืนแต่ไม่มีคนรักก็ไม่ดี ใช่ไหม ฉะนั้นอายุยืนแล้วต้องมีคนรักด้วย มีคนรักแล้วครอบครัวต้องปรองดองด้วย อายุยืนเป็นที่รัก มีปัญญาดีด้วย
แล้วศิษย์รู้ไหมว่า สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้สามารถหาได้ในไหน แล้วปฏิบัติเช่นไร เราถึงจะกลายเป็นคนที่ไปที่ไหนก็มีคนรัก ทำอะไรมีปัญญาดี ทำอย่างไรล่ะ ที่ทำให้เราเป็นคน หนึ่งอายุยืน สองมีแต่คนจริงใจ ไม่เสแสร้ง หลอกลวง สามคือเป็นที่รัก เป็นที่เคารพ แล้วก็ทำให้ครอบครัวร่มเย็น สี่คือมีปัญญาดี ห้าคือพูดอะไรใครก็อยากฟัง หาได้ในไหน หาได้ที่ตัวเองด้วยการปฏิบัติอย่างไรล่ะ วันนี้อาจารย์ชี้ทางแล้ว แต่คนที่จะช่วยให้ตัวเองพ้นทุกข์แล้วไปถึงทางคือตัวศิษย์เองใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำอย่างไรให้อายุยืน ไปที่ไหนก็มีคนรัก ทำอย่างไร (มีศีลธรรม, มีเมตตา) มีเมตตาทำให้อายุยืนได้นะ ถ้ารู้จักมีเมตตาเป็นหลักไม่เบียดเบียนฆ่าสัตว์ (ให้รู้จักมีสัจจะ) เกิดเป็นคน ถ้าขาดสัจจะก็ไร้ซึ่งความเป็นคน ใช่หรือไม่ ถ้าอยากจะหายจากโรคต้องทำอะไร เลิกกินเนื้อสัตว์ได้แล้ว แล้วอุทิศบุญกุศลให้เขา เพราะเขาทวง ตามมาถึงที่นี่แล้ว อยู่ใกล้ๆ แล้วนะ ถ้าศิษย์ยังทำไม่ได้เขาจะมาเอาไปทั้งครึ่งตัวเลยนะ รีบๆ ทำ
(คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม, เสียสละ, กตัญญูรู้คุณ, เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ, รู้จักเสียสละ, มีสัมมาคารวะ, มีน้ำใจ, กตัญญู, เจตนาดี, คิดดีทำดี, มีความเป็นธรรม, แสดงความจริงใจต่อผู้อื่น, คิดดี ทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น, ไม่พูดปดมดเท็จ) แต่โกหกบ่อยไหม แอบขโมยเงินพ่อแม่ไหม (ใจเย็น ไม่โมโหร้าย) แล้วใจร้อนไหม ชอบบ่นไหม ให้ลดน้อยๆ (ไม่คิดแค้น พยาบาท) แม้เพื่อนจะแอบว่าเรา แอบนินทาเรา โกรธไหม
(เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่) แล้วเราเป็นลูกที่ดีหรือยัง มีเวลาดูแลไหม หรือมัวแต่ห่วงหาเงินมากกว่า (มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนรอบข้าง, รู้จักการแบ่งปัน, ช่วยเหลือผู้อื่น, ทำบุญทำทาน, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น, รักษาศีล) รู้จักทำบุญให้มากๆ แต่ศีลไม่เคยรักษาก็ไม่มีประโยชน์นะ (มีความเมตตากรุณา, ช่วยเหลือสังคม, มีสัจจะในคำพูด, กตัญญู, ไม่นินทาว่าร้าย, มีความเมตตากรุณา, มีความเคารพรักบุพการีและผู้ใหญ่) เคารพแต่พ่อแม่เรา ไม่เคารพคนอื่นแล้วเขาจะมาเคารพรักเราไหมละ (ไม่)
(ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด, มีเมตตาต่อผู้อื่น, ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง, มีความยุติธรรมไม่เห็นแก่ตัว, รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานและครอบครัว) และมีส่วนช่วยเหลือสังคมด้วย ถ้าเอาตัวรอดบ้านเดียวแล้วบ้านอื่นเดือดร้อนไม่สนใจ ได้ไหม (ไม่ได้)
ถ้าวันหนึ่งอาจารย์เอาศิษย์ไปใส่กรง แล้วบอกว่าขันเร็วลูกๆ เอาไหมๆ ใจเขาใจเรานะศิษย์นะ ชอบไปกักขังสัตว์ ระวังเถอะ เดี๋ยวจะถูกกักขังบ้าง การกักขังที่น่ากลัวที่สุดคือการเป็นอัมพฤกษ์เป็นอัมพาต กักขังให้เราตายทั้งเป็น แม้มีลมหายใจอยู่แต่ขยับเขยื้อนไม่ได้ อยากเป็นไหม ไม่อยากเป็นก็รีบหลีกเลี่ยงเสียนะศิษย์
มนุษย์ทุกคนล้วน มีคุณธรรมในหัวใจ ขอให้แค่หยั่งคิดด้วยสติ คุณธรรมก็จะออกมาได้ แต่มนุษย์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทำอะไรตามอารมณ์ ตามตา ตามหู เมื่อปล่อยไปตาม ตา หู ก็ง่ายที่จะผิดมากกว่าถูก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด และอยู่ในกรอบของคุณงามความดีที่เรียกว่า “ศีลห้า”
คนทุกคนอยากมีอายุยืน ถ้าอยากมีอายุยืน เราเมตตาคนไหม เราเบียดเบียนทำร้ายคนไหม เราเบียดเบียนทำร้ายสัตว์ไหม ถ้าเราไม่เบียดเบียนคนและสัตว์ แล้วใครจะกลับมาเบียดเบียนศิษย์ มีชีวิตอยู่มีแต่ความเมตตา มีหรือคนจะไม่สรรเสริญให้ศิษย์เจริญอายุยืน แต่ถ้ามีชีวิตอยู่ ไปอยู่กับใคร วงนั้นก็แตก วงนั้นก็ไม่เอา แปลว่าเราเห็นแก่ตัวไม่มีเมตตาต่อใคร ฉะนั้นอยู่แล้วต้องอยู่ให้คน รัก จากไปก็ต้องให้คนสรรเสริญ นี่แหละเรียกว่ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนอายุยืน เมื่อจากไปแล้วคนก็ยังนึกถึงคุณงามความดี
สิ่งที่มนุษย์ชอบเป็นอีกอย่างคือลักทรัพย์ เราลักไหม มีแฟนแล้วแต่พอเห็นคนหล่อๆ สวยๆ ชอบไหม มองไหม เห็นของคนอื่นชอบไหม (ชอบ) อยากได้ อิจฉาไหม อย่างนี้แหละเขาเรียกว่า ลักทาง หู ตา และใจ
อยากให้คนอื่นเขาซื่อตรงจริงใจ มีไหมทำงานด้วยกันแล้วเพื่อนแอบว่าเรา แอบโกงเรา เราชอบไหม (ไม่ชอบ) ตัวเราต้องควบคุมตัวเราให้ดี ถ้าเราควบคุมตัวเราไม่ดี การที่โดนคนโกง โดนคนใส่ไคล้นินทาก็เป็นกรรมของเราที่เราก่อเอง
มีอะไรอีก ข้อที่สามของศีลห้าก็คือ ไม่ประพฤติผิดในกามใช่หรือไม่ คนที่รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น ของของใครใครก็รัก ภรรยาใครใครก็รัก ไม่แอบไปเป็นชู้ทางใจ เป็นไหม ฟังน้ำเสียงเขาหยดย้อย ฟังวาจาเขาหวานอยากพบหน้าไหม (อยาก) พออยากพบ อยากได้ตัวไหม แล้วเราผิดไหม ฉะนั้นอยากให้ครอบครัวร่มเย็นก็อย่าผิดข้อนี้ อยากให้เป็นที่เคารพรักเราก็ต้องรู้จักเคารพรักให้เกียรติตัวเอง แล้วคนอื่นก็จะให้เกียรติเคารพรักเรา และเราต้องรู้จักเคารพรักผู้อื่นด้วย ไม่ใช่เห็นใคร เป็นอยากได้เป็นแฟนหมดได้ไหม (ไม่ได้)
อีกอย่างหนึ่งก็ คือไม่ดื่มสุรา ไม่เสพของมึนเมา คนที่ชาตินี้ปัญญาไม่ค่อยดีเพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะติดเหล้าติดยา ถ้าชาตินี้อยากปัญญาดีก็อย่าเสพของมึนเมา ข้อสุดท้ายคือไม่โกหก ถ้าเป็นคนพูดคำไหนเป็นคำนั้น นั่นแหละเรียกว่าพุทธะได้
ฉะนั้นศีลห้าที่ศิษย์มองข้าม แท้จริงแล้วเป็นตัวกำหนดชีวิตเราได้ ถ้าเรารักษาได้ดี ก็จะเป็นตัวกำหนดอนาคตข้างหน้าเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้เรามีครบไหม (ไม่ครบ) แล้วอยากมีให้ครบหรือยัง (อยาก)
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ปรารถนาความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) สุขในโลกนี้ถ้าอาจารย์แบ่งมีสามระดับ สุขอย่างหยาบ สุขอย่างปานกลาง และสุขอย่างละเอียด แต่มนุษย์ทุกคนมักจะติดในความสุขอย่างหยาบมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
สุขอย่างหยาบหรือที่มนุษย์เรียกว่า “สุขที่ตาได้เห็นอย่างที่ชอบ หูได้ยินสิ่งที่อยากฟัง ใจได้สิ่งที่ตัวเองปรารถนาและต้องการ” นี่ แหละเรียกว่าสุขอย่างหยาบ แต่พุทธะบอกว่า สุขอย่างหยาบควรจะลดละเลิกให้มาก เพราะสุขอย่างหยาบกว่าจะได้มาต้องเหนื่อย มาสั้นไปสั้น แล้วก็ง่ายที่จะผิดบาป ใช่หรือเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ สุขที่มนุษย์ชอบปรารถนากันก็คือ สมมติว่าอยากกิน ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวนึกถึงร้านไหน เวลาศิษย์อยากกินอะไรขึ้นมาก็ต้องร้านนี้ แบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) จะสมอยากศิษย์ต้องไปลำบากก่อนใช่ไหม พอสมอยากแล้วก็ต้องกลับมาลำบากอีก อยากที่เป็นความสุขทางกายนี่ กว่าจะได้มาก็ได้มาแป๊บเดียว แต่กว่าจะได้ก็ต้องผ่านความยากลำบาก แล้วง่ายที่จะก่อทุกข์มากกว่าก่อสุขอย่างแท้จริง ง่ายที่จะสร้างเหตุและเภทภัยมากกว่าที่จะสร้างความสงบให้กับจิตใจ พอไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้น ติดใจอยากกินอีกไหม ฉะนั้นสุขอย่างหยาบ จึงต้องเป็นสุขที่ควรจะลดละเลิกให้มาก แต่เราลดไหม ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวก็ก๋วยเตี๋ยวเจ้านั้นจริงไหม ก๋วยเตี๋ยวเนื้อใช่ไหม ต่อไปถ้าอยากกินก๋วยเตี๋ยวเจ้านั้นเดินไปเลย ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง เนื้อไม่เอา เอาแต่เส้นกับผักดีไหม (ดี) ค่อยๆ ลดได้ไหมศิษย์ (ได้)
มนุษย์รู้จักสุขทางตา สุขทางใจ ยังมีสุขอีกทางหนึ่งเขาเรียกว่า “สุขสงบ” สุขสงบนี้ไม่ต้องลงทุนไปวิ่งหาก๋วยเตี๋ยวอร่อย ไม่ต้องวิ่งไปหาคนสวยๆ หล่อๆ ไม่ต้องวิ่งไปหาเงินทอง สุขสงบเป็นสุขที่หาได้จากตัวเอง คือมีสติแล้วรู้อยู่กับลมหายใจและพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
มนุษย์ที่พยายามหาสุขข้างนอกมากมายก็เพราะว่าไม่พอใจในลมหายใจและชีวิต ที่ตัวเองมี แต่ถ้าเมื่อไรเรามีความสุขในตัวเอง การที่จะแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มนุษย์ในโลกชอบทำตัวเป็นแก้วเปล่าแล้วหวังให้คนอื่นมาเติมเต็ม ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) วันนี้อาจจะเติมเต็มได้ แต่ต่อไปเขาจะเติมเต็มให้เราได้ทุกวันไหม รับบ่อยๆ เขาจะบอกว่าเมื่อไหร่เธอจะให้ฉันบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจงรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ยินดีในสิ่งที่ตัวเองเป็น สุขสงบก็หาได้ไม่ (ยาก) หรือดังคำกล่าวที่ว่า ถ้ามนุษย์รู้จักรักทุกคน แปลว่าเขามีรักที่เต็มเปี่ยม แต่ถ้ามนุษย์เอาแต่รอความรักของใครบางคน แปลว่าหัวใจนั้นขาดแคลนความรัก ใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์อยากเป็นคนมีรักเต็มเปี่ยมแล้วพร้อมจะให้รักทุกคน หรือเอาแต่รอรักใครบางคน คุณค่ามันต่างกันนะ ทุกคนล้วนแต่มีใครอยากจะรักทั้งนั้น ใช่หรือไม่ แต่ศิษย์น้อยของอาจารย์ ยิ่งอายุน้อยๆ หน้าตาสวยๆ ชอบรอให้ใครมารัก ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่รอให้ใครมารักจะไม่มีวันรักใครแม้กระทั่งตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ บอกว่าเราเกิดเป็นคน อยากมีอายุยืน อยากเป็นที่รักของคนอื่น พูดอะไรก็อยากให้คนฟัง ทำอะไรก็อยากมีสติปัญญาดี เราหาได้จากที่ไหน (เริ่มจากตัวเองก่อน) เริ่มจากตัวเองก่อนเริ่มจากมีอะไร (ความมานะ)
ศิษย์รู้ไหมถ้ามานะบวกกับตัณหา มันจะมีแต่กิเลสเป็นหนทางชั่ว แต่ถ้ามานะบวกอะไร ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีแล้วหลุดพ้น เป็นที่รักอายุยืน มีปัญญาดี พูดอะไรใครก็เชื่อถือ หาได้จากตรงไหน ด้วยการทำอะไร คิดออกไหม
มนุษย์ส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นคนก็อยากมีอายุยืน อยากเป็นที่รักของผู้อื่น และอยากพูดอะไรใครๆ ก็ฟัง อยากทำอะไรปัญญาก็เกิด แล้วเวลาทำอะไรก็ไม่อยากให้ใครมาโกงเอาเปรียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ซึ่งสิ่งนี้หาได้จากไหนและทำอย่างไรถึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนั้นได้ด้วยการมีศีลห้า มีเมตตาแล้วจะมีใครบ้างอยากให้ศิษย์อายุสั้น มีแต่คนอวยพรอยากให้อายุยืน ทำอะไรก็ถือเมตตาเป็นหลัก ถือกรุณาเป็นที่ตั้ง ไปที่ไหนก็มีแต่คนสรรเสริญอยากให้อายุยืนยาว ถูกไหม (ถูก) ไม่เสพของมึนเมา ไม่ติดอบายมุข ปัญญาย่อมดี ใช่หรือไม่ พูดคำไหนเป็นคำนั้น นี้แหละที่ว่าพูดแล้วมีคนเชื่อถือ ให้เกียรติเคารพผู้อื่น ไปที่ไหนมีแต่คนเคารพรัก สิ่งต่างๆ ที่อาจารย์พูดอยู่ในศีลห้าทั้งนั้นเลย
อีกเรื่องหนึ่งใครจำได้เรื่องแรกที่อาจารย์พูด ที่อาจารย์บอกว่าวันนี้เรามีสามทางที่ให้เลือกเดิน ช่วยบอกหน่อยว่าสามทางนั้นมีอะไรบ้าง อาจารย์บอกว่าในโลกนี้มีอยู่สามทางให้เลือกเดิน ทางบุญทำแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แต่ขึ้นสวรรค์แล้วศิษย์ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด และทางบุญก็ยังต้องทำดี อดทน ให้ทานมากๆ มีศีลให้ครบ ผิดพลาดมิได้ นี่คือทางบุญ อีกทางหนึ่งคือทางบาปหรือทางนรก ทำได้ก็ต้องเป็นคนโลภมากๆ โกรธมากๆ ผิดบาปมากๆ ผิดบาปมีให้มากๆ ได้ตกนรกแน่ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่มีอีกทางหนึ่งคือทางพุทธะ ไม่ต้องมีโลภ ไม่ต้องมีโกรธ ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางและเข้าถึงความว่าง ศิษย์เลือกทางไหน ทางพุทธะนั้นสามารถตัดกองทุกข์ หลุดพ้นเวียนว่าย ทางบุญยังต้องพยายามหาเพื่อที่จะทำบุญ แต่ทางพุทธะไม่ต้องหาแค่รู้จักลดและควบคุมตนคิดให้ดีนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง ฮุยเลฮุยเรือธรรมมาแล้ว ทำนองเพลง รำวงดาวพระศุกร์)
“น้ำยกลมก็ดันเรือใหญ่เอย” ศิษย์นึกออกไหม น้ำก็หนุนช่วย ลมก็ดันไป เรือก็จะได้เคลื่อนหน้าได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าน้ำไม่ยก ลมไม่ดัน เรือจะไปได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนมีเรือของตัวเองพายไปให้ถึงฝั่งนะ
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า สุขที่แท้จริงหรือสุขที่ละเอียด เกิดได้ด้วยการไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เป็นสุขที่เกิดจากอิสระ มนุษย์รู้จักสุขที่เสพได้ทางตาหู แต่ยังมีสุขอีกอย่างหนึ่งคือ สุขสงบกับสุขที่เป็นอิสระ อิสระจากอะไร อิสระจากกิเลส อารมณ์และความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึก มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราสามารถเป็นสุขที่อิสระได้ก็ต่อเมื่อเราอยู่เหนืออารมณ์และกิเลส
สุขอย่างหยาบ ถ้าอาจารย์จะเทียบก็ง่ายๆ ในโลกนี้มีสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีถ้าศิษย์สามารถมองเห็นและปลงและทำใจได้ มีสติอยู่กับลมหายใจเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีจะทำให้เกิดความสุขสงบ แต่สุขละเอียดคืออยู่เหนือดีเหนือไม่ดี รู้เท่าทันว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด เวลาเจอคนเกลียดก็ไม่โกรธ สงบใจได้ เวลาเจอคนรักก็ไม่หลงดีใจ วางใจธรรมดาได้ นี่คือเรียกว่าสุขละเอียด รู้เท่าทันความเป็นไปของโลกใบนี้
มีขาวก็ต้องมีดำ มีคนชมก็ต้องมีคนชัง ถูกหรือไม่ ถ้ายังปลื้มใจกับคนชม ศิษย์ก็ต้องทุกข์ใจกับคนอีกมาก ต่อไปนี้ศิษย์เปลี่ยน แม้คนด่าศิษย์ก็สงบได้ หรือแม้คนไม่ชมไม่ด่า ศิษย์ก็เป็นสุขที่รู้เท่าทันได้ เพราะว่าโลกใบนี้ มีด้านหน้าก็ต้องมีด้านหลัง มีคนชมก็ต้องมีคนชัง มีได้ก็ต้องมีเสีย ถึงแม้วันนี้เราจะมีเรื่องเสียใจ เราก็ไม่เสียใจ แต่เราสามารถอยู่เหนือความเสียใจได้ วางใจให้เท่าทันกิเลสอารมณ์ได้ ทำยากไหม (ไม่ยาก)
สิ่งที่ศิษย์มองเห็นว่าต่าง แท้ที่จริงแล้วนั้นคือหนึ่งเดียวกัน เพราะคือโลกของความเปลี่ยนแปลง ศิษย์จะเลือกแต่หนุ่มไม่มีวันแก่ได้ไหม ศิษย์จะเลือกแต่เต่งตึงไม่มีวันเหี่ยวได้ไหม นี่คือความเป็นจริงของโลก ถ้า เราสามารถมองเห็นว่าในร้ายก็มีดี ในดีก็มีร้าย เราจะไม่ติดสุขอย่างหยาบ แต่เราจะสามารถไปสู่สุขอันสงบและเดินไปสู่สุขอันละเอียดได้ เพราะเรามองเห็นความเป็นจริงด้วยปัญญา อย่าเห็นเพียงแค่เห็น อย่ารู้แค่ว่าคนเรามีเกิดแก่เจ็บตาย แต่รู้แล้วต้องทำปัญญาให้เกิดและละวางตัวตนให้ได้ ละวางความยึดมั่นให้ลง เพราะถึงที่สุดในจริงในเท็จมีความว่างอยู่
ในความว่างของแท้จริง ซึ่งมนุษย์ยึดไม่ได้ จับได้ไหม จับได้แต่เขาอยู่กับเราไหม แม้แต่ตัวตนเรายังจับไม่ได้ ยั้งไม่อยู่ แล้วนับประสาอะไรกับคนรักกับเงินทอง นับประสาอะไรกับผมหงอกผมขาว นับประสาอะไรกับลูก ฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อยึดมั่นถือมั่น หรือเราเกิดมาเพื่อช่วงใช้แล้วปล่อยวาง เราเกิดมาเพื่อมีให้เต็มสมบูรณ์ หรือเราเกิดมาเพื่อมีแล้วปล่อยวาง เจ็บก็ไม่ดีใช่ไหม ป่วยก็ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่) แล้วเป็นอะไรดีที่สุด เป็นคนดีก็ยังโดนว่า เป็นคนเลวก็ยังโดนด่า ไม่ทำอะไรเลยก็โดน ฉะนั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรดีที่สุด ห่วงตัวเองก็จะมีแต่กิเลสเต็มตัว ใช่หรือไม่
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเกิดมาเป็นคนอยู่ที่ไหน เลือกอะไรเป็นหลัก เลือกชีวิตหรือเลือกคุณธรรม พุทธะเลือกคุณธรรมสำคัญกว่าชีวิต แต่มนุษย์ถ้าอยากเวียนว่ายต่อไป สัตว์กี่ตัวอยากกินก็กินไปเลยอาจารย์ไม่ว่า แต่ถึงเวลาตกนรกอย่ามาเรียกอาจารย์
มาฟังธรรมะไปเพื่ออะไร เพื่อรู้หนทางอีกทางหนึ่งที่ประเสริฐ มีค่ายิ่งกว่าชีวิต คือการรู้จักบำเพ็ญธรรม วางใจให้เป็น ดำรงชีวิตให้ถูก ศิษย์ก็สามารถเดินอยู่บนหนทางแห่งพุทธะ อันเป็นหนทางเก่าแก่ที่มนุษย์ลืมเลือนไป แล้วไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจของศิษย์เอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เพื่อชนะอุปสรรค” ซึ่งต่อเนื่องมาจากพระโอวาทในชั้นประชุมธรรมครั้งก่อนหน้า มีคำว่า “พลังธรรม” จากสถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี, “พลังจิต” จากสถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์, “พลังกุศล” จากสถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา และ คำว่า “กลมกลืนสอดคล้องกัน” จากสถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท)
จะชนะอุปสรรคได้นั้น ศิษย์ต้องมีพลังแห่งธรรม พลังแห่งจิตใจ พลังแห่งกุศล ที่กลมกลืนสอดคล้องกัน จึงจะชนะอุปสรรคในโลกใบนี้ได้ มีแต่ความเข้มแข็งของจิตใจ แต่ถ้าไม่มีพลังแห่งปัญญาธรรมก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีความเข้มแข็งของจิตใจ มีพลังแห่งปัญญาธรรม แต่ไร้ซึ่งพลังกุศลในการดำรงชีวิตอยู่ ศิษย์ก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตให้พบความสำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนบางคนมีความสามารถมีปัญญา แต่ขาดซึ่งบุญหนุนนำ เคยเจอไหมทำอะไรก็ทำไม่ขึ้น ทั้งที่ความคิดก็ดี คนก็เป็นคนจิตใจดี แต่ขาดบุญหนุนนำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ถ้าศิษย์จะทำอะไรก็ขาดไม่ได้ซึ่งสามพลังนี้ ถ้าสามพลังนี้ไม่กลมกลืนกันรวมเป็นหนึ่งแล้ว ศิษย์จะไม่มีวันเอาชนะอุปสรรคในโลกใบนี้ได้เลย คนบางคนมีจิตใจเข้มแข็งแต่ขาดปัญญาธรรม ก็เปล่าประโยชน์ คนบางคนมีกุศลหนุนนำดีแต่ขาดจิตใจเข้มแข็งก็ไม่สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากทำอะไรในโลกให้สำเร็จต้องมีทั้ง พลังจิต พลังธรรม พลังกุศล ถ้าขาดพลังกุศล ก็ไม่มีแรงหนุน อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์มีครบทั้งสามอย่างนี้ และสามอย่างนี้จะครบได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักมีศีลมีธรรม รู้จักวางใจตัวเองให้เป็น อย่าปล่อยให้กิเลส มานำใจตน ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถเป็นคนที่ดีได้
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานชื่อสถานธรรมสร้างใหม่ที่ ต.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา)
จริงๆ แล้วประชุมธรรมปีนี้ของสงขลาเขาตั้งใจจัดที่ใหม่ แต่เผอิญที่ใหม่สร้างเสร็จไม่ทัน อาจารย์ทางด้านหน้าของศิษย์ก็เลยอยากให้อาจารย์ให้ชื่อ ที่นี่ชื่อว่า “จือเจวี๋ย” (知覺) ที่เกิดจากความรู้ ดังนั้นอาจารย์ก็ให้ชื่อว่า “จื้อเจวี๋ย” (智覺) ที่เกิดจากปัญญา เพราะศิษย์มีพลังจิตที่เข้าใจธรรมะแล้ว จึงยอมเสียสละที่ให้ บุญกุศลนี้ยิ่งใหญ่นะ ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว บรรพชนก็ได้รับด้วย เรือลำใหญ่นี้แค่เริ่มต้น ศิษย์ต้องลงมือทำต่อไปอีกนะ ขอให้อดทนอุทิศเพื่อประชา เมตตาเพื่อผองชนนะศิษย์นะ ทำให้ได้ ฟ้าช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง ฟ้าหนุนนำ และส่งเสริมคนที่รู้จักทำสิ่งที่ดีงาม ฟ้าไม่เคยทอดทิ้งคนบุญคนดี ยิ่งมีศีลมีธรรมครบฟ้ายิ่งคุ้มครอง กลัวอย่างเดียว ศีลธรรมรักษาไม่ครบ อารมณ์ชอบมาเป็นใหญ่ ต้องรู้จักเบาบางอารมณ์และต้องรู้จักเป็น ยอมรับในสิ่งที่เป็นและมีสุขให้ได้ คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจเรา คนบางคนอาจไม่หนุนนำเรา แต่เราจะทำอย่างไรล่ะ เมื่อวานพระนาจาบอกว่าอย่างไร ถ้าสามีบ่นให้ทำอย่างไรนะ กอด กอดแล้วทำอย่างไรต่อ กอดแล้วหอมแก้มเขาทั้งซ้ายขวา เพื่อเขาจะหายบ่น เพราะจะทำอย่างไรได้ล่ะ เพราะเขาขี้โมโห ชอบหาเรื่องเราใช่ไหม บอกว่าเปลี่ยนนิสัยเสียทีเปลี่ยนไหม (ไม่เปลี่ยน)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมท่านหนึ่ง)
หัวดื้อ แต่ดื้อคนนี้ก็ไม่ดื้อเท่าคนนี้ กลับมาหาอีก เพื่ออะไร เพื่อนำสิ่งที่ดีไปให้ผู้อื่นบ้างได้ไหม ให้ธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐกว่าให้สิ่งใด ความดีงามภายนอกไม่สู้ความดีงามภายใน รักตัวเองก็ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง รับปากแล้วจะมาช่วยก็ต้องมาให้ได้นะ รู้จักเลือกทำสิ่งที่ดี ชีวิตไม่ใช่ของประมาท เข้มแข็งนะศิษย์ รู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตั้งสติให้ดี อย่าใช้อารมณ์ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง
กลับมาเจออาจารย์อีก หรือเปล่า เป็นคนดื้อไหม ศิษย์อายุยังน้อยอย่าเห็นความรักสำคัญกว่าชีวิต จำไว้อย่าดื้อ ศิษย์เอ๋ย มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ศึกษาธรรมะเพื่อตัวศิษย์เอง ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ แล้วบำเพ็ญธรรมเพื่อความหลุดพ้นของตัวเอง
โลกใบนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ ทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะหยุดทุกข์นี้ได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้จักการหยุดความยึดมั่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงในใจตัวเองบ้าง ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวศิษย์ลงบ้าง เพื่อตัวศิษย์เอง ไม่ใช่เพื่อตัวอาจารย์ บำเพ็ญเพื่อตัวเอง เพื่อหาทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง สุขที่แสวงหามันเป็นสุขอย่างหยาบเป็นสุขอันจอมปลอม สุขที่แท้จริงคือสุขที่รู้เท่าทันจิต และปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถยึดถืออะไรก็ได้ มีแต่คุณงามความดีเท่านั้นที่ศิษย์เอาไปได้ และทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้ได้นะ แล้วมีโอกาสเราคงไปเจอกันข้างบนดีกว่านะ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เพื่อชนะอุปสรรค”
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เพื่อชนะอุปสรรค”
ฮุยเลฮุย ใช้แรงกายใจมุ่งเอาชัยมา ไม้พายต้องเปียก กระดูกเหล็กหนา ทั้งลำนาวาเต็มคน หัวเรือเคลื่อนไปไม่หยุด หมายตาหลายจุดแต่ฉุดทุกคน หนักๆจ้วงๆพายงัด ไร้ความประมาทอยู่ในที เรือธรรมลำนี้สดใสน่าชม จ้วงงัดๆๆ ทุกคนสุขใจยิ้มจนหน้ากลม น้ำ ยกลมดันเรือใหญ่เอย
ชื่อเพลง : ฮุยเลฮุยเรือธรรมมาแล้ว
ทำนองเพลง : รำวงดาวพระศุกร์