วันเสาร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
จิตสงบดั่งธารน้ำอันใสเย็น ยังคนเห็นร่มเย็นสะท้อนยิ่ง
จิตรุ่มร้อนดั่งไฟแผดเผาจริง ยังคนเห็นอยากทิ้งไปให้ไกล
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
เวลาฟังดั่งฟังไม่เคยฟัง เวลาเห็นเห็นดั่งไม่เคยเห็น
แค่หูฟังตาเห็นใจลำเค็ญ อะไรเห็นไม่ดั่งเห็นในตน
เห็นในตนชนะเห็นทุกอย่าง วางจึงว่างรู้ไม่ทำอกุศล
ปฏิบัติแจ้งไม่ยากหากฝึกฝน เดินทางกลางจึงรู้ตนลำเอียง
พญาในมีหลงด้วยโลภโกรธ ทั้งลิงโลดไร้ใจประสานเสียง
ตื่นก็วางยอมไม่ดำรงเคียง ลมสว้านตวัดเกลี้ยงมีตัวตน
ศึกษานี้ในว่างใจรับง่าย ฟ้าไม่ใสจิตหลากมีสับสน
นาวาธรรมพากลับสุขทุกข์ทน อันตรธานไปอยู่อยู่ที่ทนมา
ชีวิตไม่ไม่มาไม่ไม่ไป ไปไม่ไปไม่เกิดดับปรารถนา
กระทบแต่ไม่กระเทือนหลุดด้วยปัญญา ลักขณาเหมือนแลธรรมพ้นฝุ่นโคลน
คนไม่วางอัตตาถ่อแพคว่ำ แพสนธรรมแพดั่งกายาคน
มลายตนนี้สิ้นไปบำเพ็ญตน ภัยเก็บคนเจ้ามัวทำอะไร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ท่านว่าสิ่งภายนอกมีผลกระทบต่อจิตใจเราไหม (มี) สังเกตว่าถ้าคนข้างๆ นั่งฟังอย่างตั้งใจก็ดีไป แต่ถ้าเกิดคนข้างๆ ขณะนั่งฟังโยกแล้วโยกอีก จากที่เราตั้งใจเราก็รู้สึกอยากจะโยกตาม หรือถ้าเห็นใครตั้งใจมากๆ เราก็รู้สึกว่าทำไมเราเอาแต่หลับ เราสู้เขาไม่ได้เลย เป็นอย่างนั้นบ้างไหม (เป็น) ฉะนั้นอย่าคิดว่าต่างคนต่างนั่ง ต่างคนต่างไม่มีผลกระทบกัน ที่จริงไม่ใช่ เรานั่งอย่างตั้งใจก็มีผลกระทบต่อคนข้างๆ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองตั้งใจสู้เขาก็ไม่ได้ และถ้าเรานั่งแบบไม่ตั้งใจ เราก็อาจจะมีผลทำให้คนข้างๆ ที่ตั้งใจเลิกตั้งใจก็เป็นได้
เวลาเรามองสายน้ำ เรารู้สึกเย็นสบาย แต่กลับกันถ้าเราลองหันไปมองเปลวเพลิงที่กำลังคุปะทุรุนแรง เรากลับหวาดกลัวและไม่อยากชิดใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และภายในใจของมนุษย์ถ้าเจอเรื่องราวร้อยแปดนานา เราสามารถรักษาความใสเย็นสงบได้ไหม หรือเรากลายเป็นคนร้อนระอุ จนหาความใจเย็นไม่เจอ
ทั้งที่จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ ความร่มเย็น ความสบายใจ แต่สุดท้ายมนุษย์กลับไม่เดินเข้าไปหา กลับเลือกที่จะรับเรื่องวุ่นวาย เรื่องร้อนใจ แล้วผลที่สุดคนที่ต้องรับผลของความทุกข์ที่ตัวเองก่อก็คือตัวท่านเอง
มีคำกล่าวว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนไปทั้งโลก” เคยได้ยินคำนี้ไหม (เคย) การเด็ดดอกไม้หนึ่งดอก ทำไมถึงสะเทือนทั้งโลกได้ หรือถ้าเทียบง่ายๆ หนึ่งคดทำร้ายร้อยตรง รูรั่วเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้เรือใหญ่ล่มได้ น้ำที่หกโดยไม่ตั้งใจอาจจะทำให้คนที่เดินไม่ระมัดระวังนั้นสะดุดลื่นล้มได้ นั่นหมายความว่า การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของมนุษย์ การกระทำที่ตั้งอยู่บนความประมาทของมนุษย์ อาจยังผลอันตรายสู่โลกได้ แม้มนุษย์จะมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ตาม
เหมือนปัจจุบันนี้ หากถามท่านว่า บ้านหลังโตๆ รถคันงามๆ มีเงินใช้ไม่หมดไม่สิ้น ทุกคนต่างปรารถนา ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่อให้ทรัพย์สินเทมาดั่งห่าฝน ก็หาเติมเต็มหัวใจของมนุษย์ให้รู้จักอิ่มรู้จักพอไม่ เพราะมนุษย์มีความอยากที่ไม่เคยพอ เชื้อแห่งความอยากนั้น ยิ่งอยากมีก็ยิ่งอยากได้ไม่เคยจบสิ้น เมื่อความอยากถมไม่เคยเต็ม ความอยากก็อาจจะกลายเป็นเหตุแห่งการทำร้ายคุณธรรมในหัวใจ และความอยากก็อาจจะเป็นเหตุทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากทำร้ายและเหยียบย่ำคุณธรรมความดีในหัวใจ ตอนนี้อาจจะนึกไม่ออกว่าความอยากทำร้ายความดีในหัวใจขนาดไหน อย่างนั้นเราถามท่านง่ายๆ ถ้าคนกลัวงูมากๆจะกล้าจับปลาไหลไหม (ไม่กล้า) แต่ถ้าเกิดว่าใครจับงูแล้วได้เงินหนึ่งพัน จับไหม (ไม่จับ) เพิ่มอีก ถ้ากล้าจับให้สองพัน จับไหม (ไม่จับ) จริงๆ แล้วไม่ต้องบอกว่าหนึ่งพันหรือสองพัน ถ้ามีผลประโยชน์คนก็กล้าทำแล้ว
เมื่อมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า แม้จะต้องไปทำสิ่งน่ากลัวขนาดไหน มนุษย์ก็กล้าที่จะไปทำ คนโบราณกล่าวไว้ว่า ให้หนึ่งคนเลี้ยงม้าหนึ่งตัว ม้าจะอ้วนไหม (ไม่อ้วน) ส่งคนไปเป็นคนที่สองไปดูแลม้าแค่ตัวเดียว ท่านว่าม้าจะอ้วนไหม ก็ไม่อ้วน คนเลี้ยงม้าทำอย่างไรดี เขาก็เลยสั่งคนที่สามไปเลี้ยงม้าอีก ท่านว่าจะอ้วนขึ้นไหม (ไม่อ้วน) ถ้าเราส่งคนที่สี่ไป ท่านว่าม้าจะอ้วนไหม (ไม่อ้วน) ผลสุดท้ายม้ากลับตาย ถ้าใครรู้จักคำสอนของคนโบราณ จะเข้าใจคำพูดของเราคำนี้ ขึ้นชื่อว่าผลประโยชน์แล้ว ใครๆ ก็รักตัวเอง แต่ถ้ารักตัวเองแล้ว ทำให้สังคมเดือดร้อน เราก็ควรจะเก็บความรักตัวเองไว้แล้วรู้จักคิดคำนึงถึงผู้อื่นบ้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)
แล้วปัจจุบันนี้เหมือนกับอะไร มีหนอนอยู่หนึ่งตัว แต่มีหัวอยู่สองหัว ถ้าแต่ละหัวต่างมีของกินก็คงไม่กัดกัน ก็คงไม่ทำร้ายกัน แต่ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่อีกหัวหนึ่งมีของกิน แต่อีกหัวหนึ่งไม่มี แล้วหัวที่มีจะให้หัวที่ไม่มี กินไหม ไม่ให้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีหัวหนึ่งได้กิน แต่อีกหัวหนึ่งไม่ได้กิน หัวที่ไม่ได้กินจะกัดหัวที่กินไหม (กัด) เมื่อกัดแล้วใครเดือดร้อน หมายความว่า คนในโลกนี้ล้วนคิดว่า เอาตัวเองให้รอดก็พอ คนอื่นไม่เป็นไร ต่างอะไรกับหนอนหนึ่งตัวที่มีสองหัว ถ้าทุกคนต่างคิดเอาตัวรอด แต่ไม่เคยคิดถึงส่วนรวมว่าจะเป็นอย่างไร คงไม่มีโลกใบนี้ให้ยืนอยู่หรอก เพราะทุกคนต่างตักตวงผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเอง
เหมือนง่ายๆ ถ้าคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ แต่งงานกัน วันหนึ่งพ่อคิดถึงแต่ตัวพ่อ แม่คิดถึงแต่ตัวแม่ จะมีคำว่า “ครอบครัว” ไหม (ไม่มี) เหมือนกันถ้าพี่กับน้อง พี่คิดถึงแต่ตัวพี่ น้องคิดถึงแต่ตัวน้อง จะมีคำว่า “พี่น้องสมานปรองดอง” ไหม (ไม่มี) ถ้าคนในสังคมต่างคนต่างคิดถึงแต่ตัวเอง จะมีคำว่า “สังคมสันติ” ไหม (ไม่มี) เพราะทุกคนต่างคิดถึงแต่ตัวเอง แล้วปัจจุบันนี้ คนทุกคนคิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงส่วนรวม ใช่ไหม (ใช่) ปัจจุบันนี้ก็ไม่ต่างกับหนอนที่มีสองหัวแต่กัดกัน ผลสุดท้ายคนที่เดือดร้อนก็คือตนเอง ใช่หรือเปล่า
เราคิดแค่เพียงว่าเราต้องอยู่รอด แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าความอยู่รอดของเราอาจทำให้เราไม่มีผืนดินให้อยู่อีกต่อไปก็ได้ ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองดีก็พอแล้ว ตัวเองรอดก็ดีแล้ว ถ้าตัวเองรอดแต่ไม่มีพื้นดินอยู่ ถ้าตัวเองรอดแต่ไม่มีผู้อื่นอยู่ ท่านจะอยู่ในโลกได้อย่างไร ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วต้องมีมนุษย์อยู่ร่วมกัน เราไม่สามารถทำอะไรเสร็จได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วเราไม่สามารถดีได้เพราะเกิดจากเราคนเดียว แต่ต้องเกิดจากทุกคนร่วมแรงร่วมใจ แต่ตอนนี้ใครล่ะจะยอมใคร เพราะทุกคนก็ต่างไม่ยอมกันทั้งนั้น
ทุกท่านมีความสุขดีไหม มีความสุขจริงหรือ (จริง) เราเพิ่งรู้ว่าหน้าตาหวานอมขมกลืน เรียกว่าหน้าตาผู้มีความสุขนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็พูดเหมือนกันทุกที่ ถ้าไม่อยากให้ผู้อื่นหลอกเรา เราก็อย่าหลอกตัวเอง นั่งจนเบื่อแล้วลองยืนจนเบื่อบ้างดีไหม (ดี) ขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่นั่งมากจนเกินไปและไม่ยืนมากจนเกินไป เรียกว่าชีวิตได้ก็เพราะมีการเคลื่อนไหว ถ้านั่งแล้วไม่ได้ยืนหรือยืนแล้วไม่ได้นั่ง ก็อาจจะไม่ได้เรียกว่าชีวิตอีกต่อไปก็ได้ ตอนนี้พร้อมจะยืนหรือพร้อมจะนั่ง (นั่ง) ถ้าไม่หวังก็คงไม่ผิดหวัง บางทีเรื่องราวในโลกหวังอย่างมักได้อีกอย่าง มักจะผิดหวังมากกว่าสมหวัง แล้วฟ้าก็มักจะเล่นตลกกับเราเสมอ ว่าอย่างไรอยากยืนหรืออยากนั่ง (ยืน, นั่ง) จิตใจของมนุษย์เป็นอย่างนี้นี่เองโลเลไม่แน่นอน จริงๆ ถ้าท่านหยัดยืนว่าจะนั่ง แม้เจอข้อทดสอบ แม้เจอสิ่งขัดขวาง เชื่อเถอะว่าคนที่หยัดยืนสักครั้งต้องได้นั่ง แต่กับคนที่โลเล เอาแน่เอานอนไม่ได้ ฟ้าก็ตามใจไม่ถูกนะ
ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง ต้องมีความมุ่งมั่น อย่ากลัวข้อทดสอบ อย่ากลัวคนพูด เพราะเมื่อท่านไม่มุ่งมั่นแล้วจะไปว่าคนอื่นก็ไม่ได้ เห็นในสิ่งที่คนมองไม่เห็นเรียกว่าตาดี ฟังเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นฟังแล้วไม่เข้าใจเรียกว่าหูไว การจะนำพาชีวิตของตัวเองจึงต้องรู้จักที่จะกล้าตัดสินใจ และสุขุมรอบคอบระมัดระวังในการดำเนินชีวิต แต่เป็นการยากอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ ถ้ามนุษย์ยังเห็นแก่ผลประโยชน์ เห็นแก่ความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นที่ตั้งก็ง่ายที่จะตัดสินดำเนินชีวิตผิดพลาด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราพูดอย่างนี้ท่านก็คงยังนึกไม่ค่อยออก เราจะยกตัวอย่างเผื่อจะทำให้มนุษย์นี้หรือตัวท่านนี้ มองเห็นความผิดพลาดหรือต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวลก็ได้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีหน้าที่ แต่ถ้าเกิดว่าเราทำงานอะไรก็ตามเราคิดถึงส่วนตัวเป็นใหญ่แล้วลืมหน้าที่ อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง
เรายกตัวอย่างง่ายๆ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง จุดธูปเพื่อจะกราบไหว้ฟ้าดิน เวลาเราจุดธูปกราบไหว้ฟ้าดินเราก็หวังขอพร ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วท่านรู้ไหมว่าผู้หญิงขออะไร ส่วนใหญ่ก็บอกว่าขอให้รวย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ผู้หญิงคนนี้กลับขอพรว่า “ขอให้มีแรงต่อสู้กับชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไม่ยอมแพ้” สามีได้ยินประโยคนี้ก็หันกลับมาถามภรรยาว่า “ทำไมเธอไม่ขอให้รวย” ภรรยาหันกลับมาตอบสามีว่า “ถ้าฉันรวยแล้ว คิดว่าฉันจะเอาแกไหมล่ะ” ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ผลประโยชน์ตรงหน้ามาทำให้เราลืมเลือนหน้าที่สิ่งที่ตัวเองมี สิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ตอนนี้พูดว่าไม่ แต่ถึงเวลาก็เป็นกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนหวังให้โลกนี้มีแต่คนดี และตัวเราเองก็อยากให้มีคนดีอยู่ใกล้ๆ เรา แต่ทุกวันเราเรียกหาคนดีหรือไม่ดี (ดี) ไม่จริง แค่อ้าปากก็ว่าแต่เรื่องเสียๆ ของเขา แล้วคนดีอยากจะดีไหมล่ะ จริงไหม (จริง) ถึงแม้ท่านจะมีดีอยู่กับตัว แต่ทุกวันโดนว่าว่าไม่ดี ท่านจะอยากดีให้เขาเห็นไหม หรือง่ายๆ เวลาท่านอยู่ร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม เราก็รู้ว่าเราเรียนเก่งขนาดไหน เราก็รู้ว่าเรามีความสามารถขนาดไหน แต่ถ้าเกิดเราเห็นอีกคนหนึ่งเก่งกว่าเรามีความสามารถกว่าเรา เราอยากนำเขามาอยู่ในกลุ่มเราไหม อยากไหม (อยาก, ไม่อยาก) มีบางคนบอกว่าอยากและมีบางคนบอกว่าไม่อยาก แต่ถ้าเกิดว่าในกลุ่มนั้นเราต้องหาผู้นำ แล้วตอนนั้นเราเก่งที่สุดเป็นผู้นำในกลุ่ม แล้วบังเอิญเรามารู้อีกทีว่ามีอีกคนที่เก่งกว่า เราจะยอมปล่อยตำแหน่งผู้นำของเรา แล้วบอกกับเพื่อนว่า “คนนั้นเก่งกว่า” ไหม ปล่อยไหม (ไม่ปล่อย, ปล่อย)
ทำไมเวลาเราขายของ เราทำเองกับมือ แต่เห็นอีกคนทำเหมือนกัน ลอกเลียนเรา แต่ทำได้ดีกว่า ทำไมเราถึงไม่ส่งเสริมเขาล่ะ เห็นไหมว่าผลประโยชน์ยังไงก็ต้องมาก่อน ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเขาผลิตได้ดีกว่า เราผลิตได้ด้อยกว่า มีใครล่ะจะยอมถอย เมื่อต่างคนต่างไม่ยอมถอย คนดีไม่ถูกผลักดัน คนดีน้อยกลับพยายามดันตัวเองให้เป็นคนดีมาก สังคมจึงขาดคนดีที่แท้จริง ขาดคนดีที่ส่งเสริมคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคนทำลอกเลียนแบบเรา แล้วทำได้เหมือน ผิดอย่างไรก็ยังทำเหมือนอย่างนั้น อย่างนี้จะเรียกว่าลอกเลียนแบบไปทำไม ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเขาจะเลียนแบบ เขาก็ต้องทำให้ดีกว่า เมื่อมีคนที่ดีกว่าเราก็ต้องแข่งขันตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไม่ใช่เหยียบย่ำคนที่ดีแล้วตัวเองก็ไม่พัฒนาตัวเอง เช่นนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง) แล้วเราเป็นแบบไหน กดคนดีไว้ ใช่หรือไม่ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำไมคนปัจจุบันแม้มีคนดีขนาดไหนคนดีก็ไม่ได้ถูกผลักดันให้มาอยู่ข้างหน้า เพราะคนที่เก่งน้อยกว่าเขาไม่ยอมให้คนเก่งกว่าแซงหน้า ฉะนั้นคนที่อยู่ข้างๆ จึงเป็นคนที่เก่งน้อยกว่าท่านเสมอ มีไหมที่เก่งกว่าท่านแล้วนำท่าน ท่านก็ไม่ยอม ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์เรียกร้องคนในสังคมก็คือ ความยุติธรรม เราเกลียดคนอยุติธรรม เราเกลียดคนคดโกง เราเกลียดคนที่ตัดสินใจลำเอียงเข้าข้างพวกตัวเองเป็นใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเป็นไหม บางคนบอกว่าไม่เป็น แล้วท่านรู้ไหมว่าสาเหตุของความลำเอียงมาจากอะไร ความรัก ความเกลียด แต่อีกอย่างหนึ่งก็คือ การเห็นแก่ตนและเอาแต่ได้
ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ มีชายคนหนึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน เขาชอบหยก คนที่เป็นลูกบ้านคนหนึ่งรู้แบบนี้จึงอยากจะมอบหยกให้กับผู้ใหญ่บ้าน แล้วท่านคิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะรับหยกไหม เขาไม่รับ เขากลับตอบคนที่ให้หยกว่า “การให้หยกของท่านเป็นสิ่งมีค่า แต่การไม่รับหยกจากท่านเป็นสิ่งมีค่าสำหรับเรา” เมื่อผู้ใหญ่บ้านไม่รับ คนให้หยกก็เดินกลับไป คนในบ้านก็เลยถามเขาว่า “ทำไมท่านไม่รับหยกล่ะ หยกนั้นถ้าเอามาแกะสลักมีมูลค่ามากมายเชียวนะ” ผู้ใหญ่บ้านตอบว่า “ถ้ารับหยกแล้วต้องเห็นแก่หน้าคนนั้น เวลามีเรื่องร้อนใจอะไรก็ไม่อาจสามารถตัดสินใจให้ยุติธรรมได้ เพราะต้องเห็นแก่หน้าคนนั้น” ฉะนั้นถ้าเขารับหยกมา เขาก็จะกลายคนเป็นที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม แม้เขาจะมีหยกเป็นร้อยๆ พันๆ ก้อน ถึงที่สุดเขาก็จะรักษาหยกไว้ไม่ได้สักก้อนเดียว เพราะการเห็นแก่ได้เล็กๆ น้อยๆ จะทำให้เขาต้องสูญเสียการใหญ่ก็เป็นได้
มนุษย์ทุกคนเวลาใครให้อะไรรับไหม (รับ) แล้วเวลารับแล้วเราลำเอียงไหม แล้วเวลารับของเขามากินแสลงใจไหมถ้าจะไม่ยิ้มให้เขา ไม่ดีกับเขา แล้วตอนนั้นท่านจะบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม อย่าเห็นแก่ได้ อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นแต่ผลประโยชน์ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วความไม่ยุติธรรมจะเกิดขึ้นในหัวใจท่าน อย่าว่าคนอื่นลำเอียง ตัวเราเองถ้าเห็นแก่ได้ เห็นแต่ผลประโยชน์เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่ลำเอียงได้ อีกอย่างที่มนุษย์ชอบพูดก็คือ ลึกๆ มนุษย์มีคนที่รักและลึกๆ มนุษย์เรามีคนที่เกลียด ถ้าเราสามารถมองเห็นคนที่เกลียดมีดีอะไร ความเกลียดนั้นจะไม่ให้โทษ ถ้าเราสามารถมองเห็นคนที่รักมีข้อเสียอะไร ความรักจะไม่ทำให้เราหน้ามืดตาบอด แต่มนุษย์เรารักแล้วก็มองไม่เห็นสิ่งที่น่าเกลียด เกลียดแล้วก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่น่ารัก จึงทำให้เราไม่สามารถส่งเสริมหรือมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่อาจสามารถแยกแยะว่าในกรวดอาจจะมีหยกมีทองคำก็ได้ เพราะมนุษย์ทุกคนในส่วนลึกแล้วมีทั้งดีและไม่ดี ฉะนั้นถ้ามนุษย์สามารถมองเห็นทั้งมีน่ารักและมีน่าเกลียด ในความน่าเกลียดก็มีน่ารัก เราก็จะสามารถบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ จึงทำให้เป็นคนที่ยากจะบริสุทธิ์ยุติธรรม เอาแต่ว่าคนอื่นแต่ไม่เคยหันกลับมามองตัวเอง เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแต่กลับไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง
ฉะนั้นปราชญ์จึงยกย่องผู้ที่รู้จักรับฟัง ถึงจะเก่งขนาดไหนแต่ถ้าไม่รู้จักรับฟัง ก็ยากจะมีสติปัญญาแยกแยะได้ แต่ถ้าเกิดว่ามนุษย์ไม่รู้จักรับฟัง ยังเลือกที่รักมักที่ชัง ชีวิตก็ย่อมลำบากเป็นแน่แท้ ดังคำกล่าวว่า “ยาดีมักขมปาก” ถ้าเรารังเกียจความขมเราก็เลยไม่ยอมกินยา เช่นนี้เรียกว่าให้ความสำคัญผิด ฉะนั้นเมื่อเรารู้จักรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำติ ล้วนมีคุณค่า แต่ถ้าเราเห็นว่าเราฟังแต่คำชมก็พอ คำติไม่ต้องฟัง นั่นก็เท่ากับเราไม่รู้จักชั่งความสำคัญ มนุษย์ทุกคนชอบดูทีวี แต่พอมีรายการธรรมะรีบเปลี่ยนช่องทันที เหมือนเวลาฟังธรรมะวันนี้ก็อดทนจะแย่แล้ว แต่บางครั้งต้องรู้จักฟังในสิ่งที่ขัดใจ เพราะว่าสิ่งที่ขัดใจมักเป็นยาดีรักษาใจ มนุษย์เราตามใจตัวเองจนเคยตัว ตามใจตัวเองจนเสียนิสัย
คุณธรรมช่วยยับยั้งใจของเราให้รู้จักเข้มแข็งและไม่ปล่อยตามใจตัวเองจนเคยตัว คุณธรรมช่วยทำให้เรารู้จักดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง คุณธรรมทำให้เรามองเห็นแจ้งในความเป็นคน และคุณธรรมทำให้เราเข้าใจตัวตน แต่คนปัจจุบันนี้เห็นคุณธรรมต่ำ เห็นลาภยศ เงินทองสูง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าเห็นคุณธรรมต่ำขาดคุณธรรมความเป็นคน แล้วท่านจะอยู่ร่วมกับคนได้อย่างไร
เรายกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ อีกเรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมีหน้าที่ทอผ้า วันหนึ่งขณะที่เขากำลังทอผ้าอยู่นั้น เครื่องที่ทอนั้นเกิดหักลงมา ทำให้ไม่สามารถทอผ้าต่อได้ เขาก็เลยคิดว่า จะเข้าป่าเพื่อไปหาไม้มาทำเครื่องทอผ้าใหม่ แต่ช่วงขณะที่เขาเดินไปแล้วเลือกต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาไปเจอต้นไม้ใหญ่ เป็นไม้ตรง และงดงามดีมาก ช่วงขณะที่เขากำลังจะเอาขวานจามต้นไม้นี้ รุกขเทวดาก็ออกมาให้เขาเห็นแล้วบอกว่า “อย่าตัดต้นไม้เลย ท่านจะขออะไรเราจะให้ทั้งนั้น ขอเพียงอย่างเดียวท่านอย่าตัดต้นไม้ของเรา” ท่านคิดว่าชายคนนี้จะขออะไรรุกขเทวดาไหม (ขอ) ไม่ขอ เขาบอกว่า “ขอกลับไปปรึกษาภรรยาที่บ้านก่อน” เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะคิดไม่รอบคอบ แต่ช่วงที่เขากำลังจะเดินกลับไปปรึกษาภรรยา เขาไปเจอเพื่อนบ้านแล้วเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพื่อนบ้านรีบพูดทันทีว่า “ทำไมไม่ขอให้เป็นเศรษฐีไปเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องมาทอผ้าหลังขดหลังแข็งอีก” เขาก็กลับไปแล้วก็คิด “ก็น่าสนดีนะ” จนกระทั่งกลับไปเจอภรรยา ภรรยาบอกเขาว่า “อย่าไปเชื่อเพื่อน เพราะเมื่อไรที่ท่านเป็นเศรษฐี เดี๋ยวคนนั้นก็มาขอ เดี๋ยวคนนี้ก็มาขอ นอนก็ไม่เป็นสุข ตื่นก็ไม่เป็นสุข เพราะกลัวคนมาขอ” เขาก็เห็นด้วยเลยคิดว่า อย่างนั้นควรขออะไรดี ภรรยาก็เลยบอกว่า “ขอเครื่องทอผ้าที่ดีที่สุด ทอได้ไวที่สุด” เพราะกว่าจะทอเสร็จสักผืนหนึ่งใช้ระยะเวลาเป็นแรมเดือน สามีเดินไปก็คิดไป “เชื่อเพื่อนดีหรือเชื่อภรรยาดี” จนถึงที่สุด ไปถึงหน้าต้นไม้ ให้ท่านทายว่าเขาขออะไร (ไม่ขอ) เราเฉลยนะ เขากลับขอเพียงเครื่องทอผ้าธรรมดา ทุกคนคงบอกว่าน่าเสียดายทำไมไม่ขอให้รวย ขอให้ได้เครื่องทอผ้าดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าขอแล้วเขาจะสามารถมีครอบครัวที่ร่มเย็นเหมือนเดิมไหม ก็ไม่แน่เราไม่อาจรับประกันได้ แล้วทำไมเขาตัดสินใจขอเครื่องทอผ้าธรรมดา เพราะเขาบอกว่า ถ้าได้เครื่องทอผ้าดี เขาก็จะไม่ภูมิใจกับสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ เพราะว่าสร้างออกมาไม่ใช่จากความคิดเขา แต่เกิดขึ้นมาเพราะเครื่องจักรล้วนๆ ทุกขณะที่ทำทุกขณะที่ทอดัวยเครื่องธรรมดา เขากลับภาคภูมิใจต่อผ้าลายต่างๆ แบบต่างๆ ที่เขาคิดขึ้นจนกระทั่งชายคนนี้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้านทอผ้าเป็นอันดับหนึ่งของโลก เพราะทุกขณะที่เขาสร้าง เขาใส่จิตใส่ใจ ทุกขณะที่เขาทำเขาทุ่มเทเป็นหนึ่งเดียวกับงานที่เขาสร้าง ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ทุกคนเป็นมหาเศรษฐีหมดเช่นนั้น เราคงไม่ได้กินข้าวจากชาวนา คงไม่มีคนยอมเก็บขยะ คงไม่มีคนทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริง มนุษย์ต้องภาคภูมิใจในหน้าที่ที่ตัวเองเป็น และสามารถรังสรรค์สิ่งที่ตัวเองเป็นให้เกิดคุณค่าที่แม้เศรษฐีก็ยังทัดเทียมไม่ได้ นี่แหละคือความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่มนุษย์กลับหลงลืมไป อยากเป็นแบบคนอื่นตามคนอื่น แต่ลืมคุณค่าของที่ตัวเองมีและตัวเองเป็น แล้วที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าอยากตามคนอื่น แต่ไม่ได้ตามและเข้าใจตนเอง หรือใช่ไหม
ฉะนั้นจงมองเห็นคุณค่าของตัวเองให้ออก และสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ไม่ว่าคนนั้นจะมีหน้าที่อะไร ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ขอเพียงทำงานหน้าที่นั้นด้วยความสุข และสร้างสรรค์ด้วยจิตใจที่ยินดีปรีดา ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมเลย ใช่ไหม (ใช่) อย่าพยายามวิ่งเป็นมหาเศรษฐีเลย ยาจกก็เป็นคนมีความสุขได้ แล้วเราก็เห็นบ่อยไปที่เศรษฐีกลับเป็นทุกข์มากกว่ายาจก เพราะยาจกแค่ได้ผักกินต้มกับน้ำแกงก็อยู่รอดไปวันหนึ่งแล้ว แต่เศรษฐีกินผักต้มน้ำแกงไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่) ยาจกมีเตียงเป็นแคร่อันหนึ่งมีมือเป็นหมอนก็สบายแล้ว แต่คนมีเงินกลับนอนไม่หลับ แม้จะมีหมอนราคาแพง ที่นอนอย่างดี เพราะไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีและเป็น มนุษย์จึงทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะพยายามแต่ตามผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้ท่านมาฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อน้อมนำสิ่งที่ดีไปปฏิบัติและหลีกหนีสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่ามนุษย์เราในโลกนี้สิ่งที่ดีกลับไม่เร่งรีบทำ สิ่งที่ไม่ดีกลับไม่เร่งรีบละทิ้ง จึงทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบไม่สิ้น มีคำกล่าวคำหนึ่งอยากพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “มนุษย์ แม้จะมีเวรกรรมมาร้อยภพร้อยพันชาติ แต่สามารถจบได้ในชาติเดียว ถ้ารู้จักลดละความโลภ โกรธ หลง และรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมดาสามัญ” มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ ความทุกข์ที่วันนี้เรารับอยู่ยังน้อยและเทียบไม่ได้กับความทุกข์ที่มนุษย์ ต้องเวียนเกิดเวียนดับไม่จบสิ้น แล้วเราจะหยุดได้อย่างไรล่ะ ถ้าสิ่งที่ดีเราไม่ทำ สิ่งที่ไม่ดีเราไม่เลิกทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่เราจะบอกท่านย้ำเป็นคำรบที่สองก็คือ เวรกรรมแห่งร้อยภพร้อยชาติจบได้ในชาติเดียว ถ้ามนุษย์รู้จักเบารัก โลภ โกรธ หลง และพอใจในความธรรมดาสามัญ
วันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ เชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่ว่าสิ่งที่เราพูดนั้น ท่านลองเอาไปพิจารณาดูและลองไปปฏิบัติดู ถ้าทำได้ดีก็จงรีบทำ มนุษย์รู้มาเยอะแล้วแต่ขาดคนลงแรงกระทำจริง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพินิจพิจารณาคนอื่น แต่ตอนนี้คือเวลาที่ต้องพินิจพิจารณาตัวเอง ในโลกมีแต่คนเอาแต่ว่ากันเต็มไปหมด แต่ขาดคนที่ชมเชยกันให้กำลังใจกัน และลงแรงทำดีกันเสียที จริงไหม (จริง) รีบๆ ทำเถอะนะ ก่อนที่จะไม่มีความดีเหลือให้เราเห็นอีกต่อไป
ถามใจลึกๆ ของท่านว่าท่านมีความดีอะไรที่น่าภาคภูมิใจให้นึกออกไหม แทบจะเหลือน้อยเต็มที ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อตัวท่านเหลือน้อยขนาดนี้ แล้วรุ่นหลังจะเหลืออะไร จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นเราขอย้ำอีก ครั้งหนึ่ง ส่งเสริมคนดีด้วยการพูดแต่สิ่งที่ดีงาม และเร่งรีบกระทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่ามัวแต่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน จนลืมนึกถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะไม่มีบ้านมีเมืองให้อยู่อีกต่อไปก็ได้ เพราะมนุษย์ทุกคนต่างเห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อารมณ์ดีทำอะไรก็มีสุข แต่ยามทุกข์อะไรอะไรก็วิ่งหนี
ตามใจตนมาแล้วกี่หมื่นปี ฝึกบำเพ็ญจากวันนี้อยู่ด้วยธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม
ติดอยู่กับทุกข์นานมากจนก้าวไม่ออก ติดกับความจริงที่ตนฟังเพื่อรู้ บำเพ็ญจิตใจที่อยู่ในความไม่รู้ ลุ่มหลงและงมงาย
จิตใจคับขันมาเรื่อยจนแยกไม่ออก บำเพ็ญกายใจเท่าไรยังขาดใส น้ำตาไม่ได้ระบาย ติดเป็นจำเลย โลกเหมือนค้ำตำคอ
* เหนือกว่าความขวนขวายไม่ยอมพักกาย กว่าความแข็งใจเมื่อลำบากเผา ก็คือปัญญาจากใจโง่เขลา หักเอาฝืนเอาไม่เคยสมปอง
โชคดีโชคร้ายเป็นไรความทุกข์ล้วนต่าง เรื่องดีไม่ดีเท่าไรมีอยู่เสมอ ร้อนมาไม่เอาร้อนเจอ ฝึกมาจึงเจอเรื่องไหนล้วนสบาย (ซ้ำ *)
น้ำที่ใสปัญญาก็อยู่พร้อม ฝุ่นผงย่อมเห็นชัดจึงแก้ทันที หากถามว่าใครทำไมหงุดหงิดนี้ ใกล้ไปไม่เห็นให้ถอยดูจึงสวยงาม
(ซ้ำ *,*)
ชื่อเพลง : ทำใจให้เป็น
ทำนองเพลง : สายลมที่หวังดี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อิ่มไหม (อิ่ม) อิ่มบุญอิ่มใจหรืออิ่มท้อง (อิ่มหมดเลย) อิ่มแล้วยังอยากอีกไหม หรือว่าพอแล้ว (อยากอีก) ใจของศิษย์นี้เหมือนมีก้นบึ้งบางทีก็ไม่มีก้นบึ้ง เวลาอารมณ์ดีให้ยืนครึ่งชั่วโมงก็ยืนไหว ให้ทำอะไรเป็นวันๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าเกิดอารมณ์ไม่ดีแล้วแค่หนึ่งนาทีก็ไม่อยากอยู่ แค่ครึ่งชั่วโมงก็ไม่อยากฟัง เหมือนที่เราชอบพูดว่า ถ้าชอบแล้วอะไรเราก็ทำได้ แต่ถ้าไม่ชอบแล้วแม้สักนิดสักหน่อยเราก็ไม่คิดที่จะทำ จริงไหม (จริง) อารมณ์ดีทำอะไรก็มีสุข แต่ยามทุกข์อะไรอะไรก็วิ่งหนี
ฉะนั้นอย่าบอกเลยว่าฟ้ากำหนดให้เราทุกข์ คนอื่นทำให้เราเจ็บปวด ไม่จริงหรอก อยู่ที่อารมณ์ของเราเองต่างหาก ถ้าอารมณ์ดีใครด่าเราก็ยังยิ้ม ใครชมก็ยิ่งยิ้มใหญ่ แต่ถ้าอารมณ์เสียใครชมก็ยังยิ้มไม่ออก เพราะไม่เชื่อใจ และไม่มีอารมณ์จะรับฟังใคร หัวใจของมนุษย์ไม่มีก้นบึ้ง แต่บทจะมีก็มีทันที
มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร คนบางคนมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่คนบางคนมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจพ่อแม่ คุณค่าต่างกันเยอะนะ ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ)
You can know one. You can know everything. You can control one. You can control everything.
เพราะทุกสิ่งเกิดจากใจเรา เมื่อใจเราสามารถควบคุมได้ เราก็สามารถควบคุมคนทั้งโลกได้ แต่ถ้าเราควบคุมใจเราไม่ได้ เราก็ง่ายที่จะแปรเปลี่ยนไปตามคนทั้งโลกได้ หรือที่เขาพูดกันว่า ทุกสิ่งล้วนมาจากหนึ่ง และเพราะหนึ่งจึงเกิดสรรพสิ่ง
เราศึกษาธรรมเพื่อสะสมบุญเพื่อให้เกิดอีกในชาติหน้า ใช่ไหม (ไม่ใช่) เราศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ความเป็นจริงแห่งชีวิตและเอาชนะทุกข์ให้ได้ เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นี่คือแก่นของการศึกษาธรรม แต่ทำไมคนปัจจุบันนี้ศึกษาธรรมเพียงแค่สะสมบุญเพื่อให้ได้ขึ้นสวรรค์ ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)
ถ้าเราศึกษาให้ดี เราจะได้ยินคำว่า ทำบุญร้อยครั้งไม่สู้รักษาศีลหนึ่งครั้ง รักษาศีลร้อยครั้งพันครั้ง ไม่สู้เจริญสมถกรรมฐาน รักษาจิตให้บริสุทธิ์ร้อยพันครั้ง ก็ไม่สู้วิปัสสนา
วิปัสสนา แปลว่า รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต เข้าถึงความทุกข์และหลุดพ้นทุกข์ ฉะนั้นการทำบุญก็ดี การรักษาศีลก็ดี การเจริญสติสมถกรรมฐานก็ดี วิปัสสนากรรมฐานก็ดี ถึงที่สุดแล้ว ไม่ได้ทำเพื่อจะสร้างสวรรค์ แต่ทำเพื่อตัดกิเลสและค้นหาทางดับทุกข์ซึ่งเป็นแก่นแท้หรือเรียกว่า นิพพาน
นิพพาน แปลว่า ดับร้อน ฉะนั้น เราศึกษาหลักธรรม เราจึงต้องรู้จักแก่นแท้ของหลักธรรม เราไม่ได้มาศึกษาหลักธรรมเพื่อสั่งสมบุญ เพื่อมีชาติหน้าภพหน้า แต่เราศึกษาหลักธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์ อันเป็นแก่นแท้และเป็นนิพพาน แต่พอพูดคำว่า นิพพาน ทุกคนก็จะบอกว่า ศิษย์ยังไกล ศิษย์ยังทำไม่ได้หรอก ศิษย์ยังกิเลสหนาอยู่
แล้วศิษย์รู้ไหมว่ากิเลสของมนุษย์มีสามอย่าง ถ้ารู้จักลดละสามอย่างนี้ได้ ศิษย์ก็สามารถค้นพบจิตเดิมแท้และเข้าใจหนทางแห่งการดับทุกข์ได้ ตัวมารทั้งสามที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถค้นพบหนทางเดิมแท้ นั่นคือโลภ โกรธ หลง คนไม่อาบน้ำศิษย์ว่าเหม็นไหม (เหม็น) แต่จิตที่ไม่เคยชำระล้างโลภ โกรธ หลง อาจารย์ว่าเหม็นยิ่งกว่าคนไม่อาบน้ำ พุทธะยังประณามเลยว่า คนที่มีโลภ โกรธ หลง แอบแฝงอยู่ในใจ นั้นเหม็นยิ่งกว่าคนไม่อาบน้ำอีก
แล้วศิษย์รู้ไหมว่า ที่สุดของความโลภแล้วตัดโลภไม่ได้คือหนทางแห่งเปรต ที่สุดของความโกรธตัดโทสะไม่ได้คือนรก ที่สุดแห่งความหลงตัดไม่ได้คือเดรัจฉาน มีชีวิตอยู่เพื่อกินแล้วก็กินทุกอย่างในโลกที่ไม่เคยกิน ศิษย์ก็ไปเกิดเป็นตัวอะไรรู้ไหม (หมู)
เกิดมาเพื่อมองดูว่าตัวเองจะต้องสวยๆ ก็ต้องไปเกิดเป็นนก ศิษย์เห็นนกไหม วันๆ มองแต่กระจก แล้วเกิดมาเพื่อแสวงไม่เคยพอ ตัดไม่ได้ยังติดในกายในรูป ในทรัพย์สินเงินทอง ตายไปเป็นวัวควาย ต้องหาเช้ายันค่ำแบกสัมภาระของผู้อื่น โลภโกรธหลง ตัดได้ง่ายๆ ด้วยสิ่งที่ศิษย์รู้เสมอก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ความโลภตัดด้วยอนิจจัง ความโกรธตัดด้วยทุกขัง ทุกข์เป็นสิ่งที่มีแล้วทำให้เราเป็นทุกข์ ความโกรธมีแล้วทำให้เราเป็นทุกข์ แล้วเรายังมีไหม (มี) เห็นอยู่ว่าเป็นทุกข์แล้วเราตัดไหม เราเลิกไหม (ไม่) โลภโกรธหลงมันน่ารัก น่าปรารถนาไหม (ไม่) ถ้ายิ่งมีแล้วก็ไม่เคยมีความสุข แต่ทำไมศิษย์ยังเพียรพยายามเก็บไว้ทุกวัน เก็บไว้ข้างตัว เกลียดใครจดไว้ จำไว้ไม่ลืม ใช่ไหม (ใช่)
เงินเหมือนกันไหม แบงค์ร้อยใบนี้กับแบงค์ร้อยอีกใบหนึ่งก็เป็นแบงค์ร้อยเหมือนกัน แต่ถามว่าอยากได้ไหม (อยากได้) แบงค์พันเหมือนกันทุกใบไหม (เหมือน) แต่ก็อยากได้อีก แต่ถึงที่สุดแล้วศิษย์ตัดโลภโกรธหลงไม่ได้ ผลของการตัดไม่ได้ จะเป็นอย่างไร ศิษย์เคยเห็นไหมนกสวยงามแต่อยู่ในกรงทอง นั่นคือบุญเขาก็สร้าง แต่บาปเขาก็ยังไม่ตัด ฉะนั้นเรื่องของเวรกรรมฟ้าดินตัดสินได้ชัดเจน เราศึกษาธรรมศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่า เรามาศึกษาธรรมเพื่อหาเหตุแห่งทุกข์ และเรียนรู้เข้าใจทุกข์จนแจ่มแจ้งแล้ว ศิษย์จะสามารถตัดภพตัดชาติ แล้วจะรู้ว่าวันนี้อยู่ แล้วพรุ่งนี้จะไปไหน
เราศึกษาธรรมเราจึงต้องเข้าใจแก่นแท้ของหลักธรรม หรือสิ่งที่พุทธะต้องการสอนเรา อย่าฟังเพียงแค่ฟัง แต่ฟังแล้วต้องฟังให้เข้าใจ ฟังแล้วต้องให้รู้ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นศิษย์ช่างทุกข์ ทุกข์ได้ทุกเรื่อง ไม่มีกระดาษทิชชูทุกข์ไหม กินข้าวแล้วไม่มีกระดาษทิชชูเช็ดปากก็รู้สึกหงุดหงิดเพราะปากมัน หรือกินข้าวไม่มีไม้จิ้มฟันบางคนก็ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราทุกข์ได้ทุกเรื่อง เหมือนวันนี้อาจารย์ให้ยืนแล้วไม่ให้นั่งทุกข์ไหม (ทุกข์)
อยากนั่งหรือไม่อยากนั่ง (อยาก) แล้วศิษย์ไม่กลัวหรือ นั่งแล้วอาจจะไม่ได้ยืนตลอดชีวิตเลย กลัวไหม (ไม่กลัว) แต่ชีวิตนี้ก็เป็นอย่างนี้ ศิษย์อย่าหวังว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะดี หวังว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะรวย มีวันนี้ศิษย์แน่ใจหรือว่าจะมีวันพรุ่ง ฉะนั้นชีวิตไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่อยู่ที่เรากำหนด ศิษย์เคยโดน โลภ โกรธ หลง ปั่นหัวออกบ่อยๆ ศิษย์ยังเคยโดน โลภ โกรธ หลง ตบซ้ายตบขวาไหม (เคย) พอใครชมหน่อยดีใจ พอใครว่าหน่อยเสียใจ ชีวิตของเราก็แกว่งไปตามคำพูดของคน ทั้งที่จริงๆ แล้วชีวิตคือมายา วาจาคือสิ่งสมมติ แต่เราก็อดหลงไปตามสิ่งต่างๆ ที่เขาพูดไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วก็คือสิ่งสมมติเท่านั้น
อาจารย์จะบอกวิธีแก้ทุกข์ ง่ายๆ ดีไหม (ดี) ศิษย์ว่ามีชีวิตก็เหมือนไม่มีชีวิต แล้วตัวเราเป็นแบบนั้นไหม บางครั้งมีตาแต่ก็เหมือนมองไม่เห็น มีหู แต่ก็เหมือนฟังไม่ได้ยิน มีใจก็เหมือนไม่รับรู้อะไร เพราะบางที โลภ โกรธ หลง มันครอบงำ ทำให้เห็นเหมือนมองไม่เห็น ได้ยินเหมือนไม่ได้ยิน ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลกนี้เห็นแล้วต้องเห็นให้ชัด ฟังแล้วต้องฟังให้แจ่มแจ้ง เรียนรู้อะไรต้องรู้ให้ถ่องแท้ถึงแก่นแท้ เพราะสาเหตุของทุกข์เกิดจากอะไร หนึ่งคือความไม่รู้ สองคือไม่กล้ารับความจริง
นอกจากนี้แล้วอะไรอีกล่ะที่ทำให้เราทุกข์ ทุกข์เพราะอัตตาตัวตน ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ว่าฟ้า ไม่ว่าดิน ไม่ว่ามนุษย์ และสรรพสิ่ง ล้วนสอนให้มนุษย์รู้จักสัจจะความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือที่ทางธรรมะเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ร่างกายนี้ก็ล้วนตกอยู่ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้แต่อารมณ์เราเดี๋ยวตอนนี้อยากกิน แต่พอได้กินแล้วเดี๋ยวก็เบื่อเดี๋ยวก็หายอยาก เสื้อผ้าของเราก็ตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ เดี๋ยวอยู่กับเราเดี๋ยวสักพักก็เสื่อม เดี๋ยวก็ขาดสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และหาตัวตนไม่เจอ ใครที่คิดครอบครองคนนั้นคือคนโง่ แล้วเราครอบครองไหม (ครอบครอง) แล้วเราโง่ไหม (โง่) แล้วเราจะอยู่อย่างไรล่ะ อยู่แบบยืมเขาใช้ ช่วงใช้แต่ไม่ครอบครองได้ไหม
โลกนี้อะไรเป็นของศิษย์ มีไหม (ไม่มี) พอคิดๆ ไปไม่มีอะไรเป็นของเราเลย หนึ่งที่นาร้อยพันเจ้าของ เงินหนึ่งพันบาทผ่านร้อยมือคน วันนี้อยู่กับเรา วันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของเรา เมื่อไหร่ที่เราคิดครอบครอง เราคิดเป็นเจ้าของ เมื่อนั้นเราพร้อมที่จะหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์ เพราะเมื่อไหร่ที่เราครอบครองแล้วสิ่งที่ครอบครองไม่เป็นดั่งใจคิด หรือสิ่งที่ครอบครองไม่เป็นดั่งใจหวัง ศิษย์ก็หาเหตุให้ตัวเองทุกข์ เมื่อไหร่ที่เราคิดเป็นเจ้าของแล้วเราเกิดความคิดว่า “เขาจะรักเราไหม จะอยู่กับเราไหม จะไปจากเราไหม” แค่นี้ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว ฉะนั้นจงอยู่เพื่อรู้จักที่จะให้บ้าง เพราะการให้นั้นเป็นความรู้สึกที่ให้แล้วเราก็ปิติสุข แม้จะเสียอะไรไปเราก็รู้สึกอิ่มใจ เพราะนั่นคือการเสียสละ เมื่ออยู่ในโลกนี้ช่วงใช้แล้วใช้ให้ถูกต้อง ช่วงใช้แล้วให้เขาอยู่ในความเป็นสิ่งที่เขาเป็น ไม่ได้ช่วงใช้แล้วบังคับให้เขาต้องเป็นอย่างที่เราอยากเป็น อย่างนั้นเรียกว่าหาเหตุให้ทุกข์ ถึงที่สุดแล้ว ทุกสิ่งคือความว่าง แล้วในความว่างมีอะไรอยู่ล่ะ อย่างนั้น “ศิษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะถึงเวลาตายไปศิษย์ก็ว่างหมด หน้าที่ก็ไม่ต้องทำ อะไรก็ไม่ต้องทำ” ได้ไหม (ไม่ได้) หน้าที่ยังต้องรับผิดชอบยังต้องทำ แต่ทำอย่างคนที่รู้จักปล่อยวางบ้าง มิฉะนั้นเวลาเราทำอะไรขึ้นมาถ้าใครชมเราก็ยิ้มดีใจ ใครว่าเราก็เหมือนตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจเราขึ้นๆ ลงๆ กับคำชม อย่างนี้ไม่เรียกว่าหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์หรือ เพราะในโลกนี้มีคนชมก็ต้องมีคนว่า สร้างสรรค์อะไรมาแล้ว มีหรือที่จะมีคนชมแล้วไม่มีคนติ เมื่อมีคนติเราต้องนำคำตินั้นมาพัฒนาตัวเอง เมื่อมีคนชมเราต้องนำมาพิจารณาว่าเขาชมเพื่อหวังผลประโยชน์ไหม แล้วคำติคำชมนั้นก็จะทำให้เรานั้นไม่เป็นทุกข์ หรือที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า อย่าเพลินดูการเกิดดับ แต่จงเพียรดับการเกิด
เรามองให้ลึกลงไปอีกในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ล้วนมีความเป็นคู่ มีดีก็มี (ไม่ดี) มีมืดก็มี (สว่าง) มีชมก็มี (ติ) มีได้ก็มี (เสีย) เราหนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้ เราปรารถนาสิ่งหนึ่งแล้วไม่ต้องการอีกสิ่งหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนชีวิตปรารถนาแต่ความสว่างแต่ไม่ต้องการราตรีมืด ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้น อย่าปรารถนาอย่างยึดมั่นถือมั่นเพราะถ้าปรารถนาอย่างยึดมั่นถือมั่นและ อย่างตายตัวนั่นก็หาเหตุให้ตัวเองทุกข์ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ชม ติ ได้ เสีย ดี ร้าย ล้วนเป็นสิ่งๆ เดียวกัน
ศิษย์ทุกคนปรารถนาอะไร ความสำเร็จ คำชม ชัยชนะ กว่าจะได้มาก็ยากแล้ว แต่รักษาให้อยู่ยากไหม (ยาก) เราอยากได้ความสุข ความสำเร็จ เราอยากได้ชัยชนะเพื่อให้คนล้มเหลวผิดหวังพ่ายแพ้และเป็นทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่) แล้วยังอยากได้ชัยชนะอีกไหม (ไม่อยาก) ฉะนั้นศิษย์อย่าลืมนะ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ได้เป็นที่หนึ่ง แปลว่าศิษย์กำลังยัดเยียดที่สองที่สามที่สี่ให้ผู้อื่น เมื่อไรที่ศิษย์อยากเป็นผู้ชนะ เป็นคนเก่ง ศิษย์กำลังทำให้คนอื่นเป็นผู้แพ้ เราลืมนึกไปหรือเปล่า ถ้าศิษย์อยากได้ความสุข ศิษย์อย่าลืมว่าความสุขของศิษย์ทำให้อีกคนหนึ่งต้องทุกข์ ศิษย์ก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น อย่างนั้นอาจารย์บอกใหม่ ศิษย์เป็นคนทุกข์เป็นคนพ่ายแพ้เป็นคนล้มเหลวเป็นผู้เสีย แล้วให้คนอื่นเป็นคนชนะเป็นคนสำเร็จเป็นคนมีความสุข แต่เราเป็นคนทุกข์ล้มเหลวพ่ายแพ้ เอาไหม (ไม่เอา) ถ้าอย่างนั้นศิษย์ก็หาเรื่องทุกข์ใส่หัว เป็นไปได้หรือที่เราจะไม่เอา เพราะถ้าศิษย์รู้จักคำว่า “ชนะ” ศิษย์ก็ต้องรู้จักคำว่า “แพ้” วันไหนศิษย์อยากมีสุขวันนั้นศิษย์ต้องรู้จักคำว่าทุกข์ก่อน อย่าหาเรื่อง อย่าแบ่ง จะเอาแต่อันนี้ อันนั้นไม่เอา อาจารย์เพิ่งบอกไปว่ามันอยู่ด้วยกัน
เพราะสรรพสิ่งนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป มีใครที่สุขอย่างเดียวตลอดไป เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) สุขสักพักหนึ่ง ก็สุขน้อย แล้วก็ไม่สุข แล้วก็ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) อารมณ์ศิษย์ยังเปลี่ยนเลย วันนี้เขาให้ดอกไม้หนึ่งดอกดีใจ ใช่ไหม แต่ถ้าทุกวันได้รับหนึ่งดอก เราก็เบื่อ ไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่เร้าใจแล้ว ใช่ไหม (ใช่) เห็นไหมว่าสุขทุกข์แม้ศิษย์จะมีสุขมากขนาดไหน แต่ถ้าสุข สุขต่อมาก็ทุกข์ และก็ไม่แน่พบทุกข์ ทุกข์ ต่อมาสุขก็ได้ ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่าในโลกนี้เป็นภาวะคู่ อย่ารังเกียจสิ่งใด เพราะสิ่งใดที่เรารังเกียจไม่แน่สิ่งนั้นอาจจะมีคุณค่า และสิ่งที่เรารักไม่แน่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่าในวันหนึ่งก็ได้ เพราะใจศิษย์นั้นโลเลเหลือเกิน
ธรรมะจึงสอนว่า “เฝ้าหวังเพื่อไม่ให้เฝ้าหวัง” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า “กระทบแต่ไม่กระเทือน” เช่น วันใดที่ศิษย์ดีใจที่มีคนชม ดีใจที่ตัวเองสำเร็จ ดีใจที่ตัวเองได้ชัยชนะ ศิษย์ลองมองไปสิ เหนือฟ้ายังมีฟ้า วันนี้ศิษย์ดีใจที่ศิษย์ชนะ ศิษย์ดีใจที่ศิษย์สำเร็จ แต่ศิษย์อย่าลืมนะว่า ความสำเร็จของศิษย์นี้ยังน้อยเมื่อเทียบกับผู้อื่น แล้วควรยิ้มได้เต็มที่ไหม ว่าวันนี้ฉันจบปริญญา วันนี้ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เพราะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ดีใจได้เงินหนึ่งร้อย แต่คนอื่นเขาได้เป็นพันล้าน ใช่ไหม (ใช่) คนได้เงินเป็นพันล้านก็ดีใจ แต่อีกคนได้เป็นแสนล้าน เศรษฐีบ้านเราอยู่เมืองไทยฉันรวยที่สุด แต่ไปอยู่เมืองนอกกลับไม่ใช่ อยู่ในห้องฉันเก่งที่สุด แต่ไปอยู่ห้องอื่นกลับไม่ใช่ แล้วศิษย์จะยิ้มได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์เศร้าที่ศิษย์แพ้ ศิษย์เศร้าที่ศิษย์ต้องเสียคนที่รัก แต่ศิษย์ลองมองคนอื่นสิ บางคนไม่ได้เสียแค่คนที่รัก แต่เสียทั้งบ้าน เสียทั้งทรัพย์สิน ความเสียใจของเราบางทีเทียบไม่ได้กับคนที่หมดเนื้อหมดตัว วันนี้ศิษย์เจ็บแค้นที่โดนคนตีแขนเจ็บ แต่ศิษย์ลองไปดูบางคนสิ ไม่มีแขนแต่เขายังหัวเราะได้ เขายังมีสุขได้ ศิษย์เสียใจที่ศิษย์เป็นโรคมะเร็ง ศิษย์ลองไปดูสิ คนบางคนเป็นมะเร็งยังอยู่ได้เป็นสิบๆ ปีเลย ฉะนั้น คราบน้ำตาที่เราบอกอาจารย์ว่า “ศิษย์ทุกข์” อาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์มองดูคนที่แย่กว่า น้ำตานั้นอาจจะสู้ไม่ได้กับคนที่เขาหลั่งน้ำตามามากกว่าศิษย์ เมื่อเราเข้าใจโลกแบบนี้แล้ว อะไรมากระทบใจเราก็ไม่กระเทือน เพราะเรามองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด เราไม่ลวงใจตัวเอง ศิษย์ก็รู้ใครที่ตาแคบๆ มองอะไรก็แคบ เห็นอะไรก็แคบ ก็คือคนที่หลอกตัวเอง มองอะไรต้องเปิดกว้าง เห็นอะไรต้องเห็นให้ชัด อย่ามองเห็นแค่ตัวเอง ลองมองผู้อื่นก่อนสิ แล้วศิษย์จะรู้ว่า
“ในความโชคดีมีโชคดีกว่า ในความโชคร้ายมีโชคร้ายกว่า” และเราจะอยู่อย่างคนที่อยู่ในโลกแต่สามารถมีจิตใจเหนือโลกได้ ยากไหม (ไม่ยาก) จะยากเมื่ออาจารย์จะชี้นำไปขนาดไหนแต่ศิษย์ก็ไม่เดิน
“ในความโชคดีมีโชคดีกว่า ในความโชคร้ายมีโชคร้ายกว่า” และเราจะอยู่อย่างคนที่อยู่ในโลกแต่สามารถมีจิตใจเหนือโลกได้ ยากไหม (ไม่ยาก) จะยากเมื่ออาจารย์จะชี้นำไปขนาดไหนแต่ศิษย์ก็ไม่เดิน
มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ไม่อยากเจอแล้วต้องเจอ ก็คือความแก่ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าความแก่นั้นฟ้าต้องการสอนอะไรให้เรารู้ ลักษณะของคนแก่มีอะไร (หนังเหี่ยว, ตาฝ้าฟาง, ดูน่านับถือ, คนแก่ทำให้เรามองเห็นว่าต้องสู้ชีวิต, เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร, หูตึง, เป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า, หลงๆ ลืมๆ, ความจำไม่ค่อยดี, ทำให้เห็นสัจจะความเป็นจริง, ต้องการให้ลูกหลานเอาใจใส่)
คนแก่พออายุมากแล้ว ตามองไม่ค่อยเห็นเริ่มมัว จากสายตาดีเป็นสายตา (ยาว) สายตายาวสอนให้เรารู้อะไร ตอนเด็กๆ ชอบมองอะไรสั้นๆ คิดอะไรสั้นๆ แก่แล้วต้องคิดให้ยาว คิดสั้นไม่ได้แล้ว ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราคิดยาวไหม ขี้น้อยใจเป็นที่หนึ่ง ขี้บ่นเป็นที่สอง ใช่ไหม (ใช่) อีกอย่างคือหูเริ่มตึง
ร่างกายเหี่ยวย่นลง แปลว่าตอนที่เรามีชีวิตบางทีเราเป็นคนดื้อ หัวแข็ง เวลาแก่ธรรมชาติก็เลยสอนให้รู้ว่าต้องรู้จักอ่อนโยน เพราะยิ่งแก่ยิ่งอ่อนโยนเด็กยิ่งรัก ถ้าแก่แล้วยังหัวแข็ง หัวดื้อก็ไม่มีใครเอาจริงไหม (จริง) ไม่ต้องแก่ก็ได้ ตอนนี้ลองดื้อไม่ฟังใคร ใครเอาล่ะ คนที่รักก็เริ่มจะหน่ายแล้วจริงไหม ฉะนั้นความเหี่ยวย่นของคนแก่ก็สอนให้มนุษย์รู้จักอ่อนโยน การหูตึงของคนแก่ก็สอนให้เรารู้จักเลิกฟัง ฟังมากก็ทุกข์มาก รู้น้อยรับเรื่องน้อย ทุกข์น้อยลง ใช่ไหม (ใช่)
จึงมีคำกล่าวว่า “ถ้าตอนเด็กคิดถึงตอนแก่ เด็กจะรู้จักศึกษาเล่าเรียนและดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า” ใช่หรือไม่ (ใช่) “ตอนร่ำรวยคิดถึงตอนลำบาก เมื่อยามมีเงินมีทองเราจะรู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปัน” แล้วตอนเด็กคิดถึงตอนแก่ไหม (ไม่คิด) ปล่อยชีวิตไปวันๆ หนึ่งตามใจตัวเอง พอแก่ตัวไปก็ช้าไปแล้ว มันเปลี่ยนอะไรไม่ทันแล้ว จริงไหม (จริง) ฉะนั้นอย่าเปลี่ยนตอนแก่ จงเปลี่ยนตอนนี้ ที่จริงแล้วสัจจะความเป็นจริงล้วนสอนให้มนุษย์รู้ว่าแก่แล้วต้องรู้จักปลง แก่แล้วต้องรู้จักวาง แก่ต้องรู้จักรับความจริงให้ได้ แต่มนุษย์เดี๋ยวนี้แก่แล้วไม่ยอมแก่ เหี่ยวแล้วไม่ยอมเหี่ยว จึงต้องเหนื่อยกับการหาครีมราคาแพงมาบำรุง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ศิษย์เอ๋ยข้างนอกหน้าเด้ง แต่ใจมันไม่เด้งมีประโยชน์ไหม ข้างนอกหน้าใสแต่ใจมันขุ่นมัว ใครเขาจะเอา ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากตอบคำถามอาจารย์อีกไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าความทุกข์มีดีอะไร (รู้จักใจตัวเองมากขึ้น, ทำให้เราเข้มแข็ง, เมื่อมีปัญหาแก้ปัญหาได้ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง: ทำใจให้เป็น ทำนอง : สายลมที่หวังดี)
ความทุกข์สอนอะไรเรา (ทำให้รู้จักธรรมะมากขึ้น, สอนให้เราต่อสู้กับชีวิตในครั้งหน้าต่อไป, สอนให้เรารู้จักตั้งตัว, ความทุกข์สอนให้เราอดทน, สอนให้เรารู้จักชีวิตมากขึ้น, ความทุกข์ทำให้เกิดความพยายาม, ความทุกข์สอนให้เราไม่ขาดธรรมะ, สอนให้เราเข้มแข็ง, สอนให้มีสติ ไม่ยึดติด, ทำให้เราสู้ชีวิต ทำให้เราปลง, ทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น) อย่างนั้นอย่ากลัวความลำบากนะ
ความทุกข์สอนให้เรามีสติรับให้ทันนะ (ความทุกข์สอนให้เรามีความสุข, ความทุกข์ทำให้เรากอบกู้โลก, ความทุกข์ทำให้เรารู้จักคุณค่าของความสุข) แต่จริงๆ ความทุกข์ก็สอนให้รู้จักคุณค่าของความทุกข์นะ
(ความทุกข์สอนให้เราอดทนและสู้กับความลำบาก, ความทุกข์คือความสุขในวันหน้า) ไม่ต้องวันหน้าหรอก ถ้าคิดได้ความสุขก็อยู่ตอนนี้แล้ว (ความทุกข์ทำให้เรายอมรับในสิ่งที่ผ่านมาในอดีตและอนาคตเราจะต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น) ทำให้เรากล้าสู้กับความจริงและรู้จักตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตามอบขนมให้ผู้ที่มานำร้องเพลง)
ปรบมือให้คนนำหน่อยนะ อยากได้อะไรจากอาจารย์ไหม ชีวิตนี้เหมือนขนมจะเคี้ยวก็ยาก พอเคี้ยวมากๆ ก็ติด ฉะนั้นถ้าคิดจะใช้ชีวิตให้เป็นก็ต้องกล้าเคี้ยวแล้วระมัดระวังอย่าให้มันติดฟัน
เราแก้ใครเปลี่ยนใครไม่ได้ สิ่งที่เราจะแก้ได้และเปลี่ยนได้คือตัวเราเอง ในโลกนี้ไม่มีใครยอมเป็นผู้ผิด ทุกคนต่างเป็นคนถูกหมด แล้วเถียงกันไปถึงที่สุดได้อะไร ก็เจ็บด้วยกันทั้งคู่ ชนะวันนี้แต่แพ้ในวันหน้า ดั่งที่อาจารย์บอกในโลกนี้ไม่มีใครชนะตลอดและไม่มีใครแพ้ตลอดไป ถ้าเข้าใจความจริงบนโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป วันนี้ได้คำชม วันหน้าได้คำติได้ อะไรล่ะคือความชนะแท้จริง
(มีนักเรียนในชั้นขอให้พระอาจารย์รักษาโรค)
อาจารย์ไม่รักษาโรคให้ศิษย์นะ อาจารย์ไม่คิดอยากรักษา เพราะโรคเกิดจากตัวเราเอง สิ่งที่ควรคิดไม่คิด สิ่งที่ไม่ควรคิดกลับคิด ฉะนั้นความทุกข์เกิดจากใจที่ไม่ยอมรับความจริง อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วนะ และจิตที่เอาแต่ยึดมั่นถือมั่น ไม่อยู่กับปัจจุบัน เรื่องราวในโลกบางทีผ่านไปแล้ว แต่เราก็ยังอยากให้เป็นอย่างเดิมได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเป็นอย่างหวังได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นจงยอมรับความจริง เพราะความจริงเท่านั้นที่จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเป็นสุข
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ดวงตาที่สาม”)
ไม่ใช่ตาทิพย์นะศิษย์ เข้าใจคำว่า “ดวงตาที่สาม” ไหม จุดที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมชี้ให้ศิษย์ นั่นคือ ดวงตาเห็นธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ผู้ใดพบทุกข์ผู้นั้นพบธรรม ผู้ใดพบธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต และสิ่งที่อาจารย์พูดไป ถ้าศิษย์ทำได้ อยู่ในโลกแต่ไม่หลงโลก อยู่ในโลกแต่เหนือโลก กระทบแต่ไม่กระเทือน ช่วงใช้แต่ไม่ครอบครอง ศิษย์จะสามารถมี “จักษุปัญญาหรือครรภนิพพาน” ได้ นั่นคือ ดวงตาเห็นแจ้งในความเป็นจริงของสัจธรรมและสรรพสิ่ง จิตที่สามารถเห็นแจ้งได้ นั่นต้องเกิดจากศีล สมาธิ และปัญญา ศีลเกิดได้เพราะรู้จักงดเว้นสิ่งที่ชั่วร้าย สมาธิเกิดได้ด้วยจิตที่มั่นคงไม่หวั่นไหวแม้สิ่งที่มากระทบ ปัญญาเกิดได้ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในสิ่งที่มีดีร้าย ได้เสีย ล้วนเป็นสัจธรรม ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต ศิษย์ก็คือ ผู้ที่เปิดดวงตาที่สามให้กับตน และในดวงตาที่สามนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ มีคำว่า “พุทธะ” มีคำว่า “มหาธรรม” แต่ปัญญาอยู่ในนี้ได้ยาก เพราะทุกคนยังหลงอยู่
ชีวิตยุ่งยากไหม แต่อาจารย์บอกว่าในความยุ่งยากนั้นมีธรรมแฝงอยู่ มีดวงตาแห่งธรรมแฝงอยู่ ชีวิตก็ยุ่งยากไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่จะปล่อยตัวเองจากการผูกมัดสักที
ทำไมฝนไม่ตก ก็ต้องถามศิษย์สิ ทำไมมนุษย์ชอบตัดต้นไม้เหลือเกิน แค่ศิษย์ทิ้งขยะหนึ่งชิ้น โลกก็ร้อนได้หนึ่งองศา แค่ศิษย์มักง่ายหนึ่งครั้ง โลกก็ร้อนขึ้นหนึ่งองศา คนทำลายโลกไม่ใช่ใคร คือตัวเราเองที่มักง่าย ตัวเราเองที่เลือกความสบาย เมื่อวานท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนก็พูดไว้ไม่ใช่หรือ ถ้าอยากให้ตัวเองมีโลกให้ยืนอยู่ ก็จงอย่าเห็นแก่ตัวมากแล้วก็อย่ามักง่ายมาก แล้วอย่าเห็นแก่เงินในกระเป๋ามากจนไม่ยอมสูญเสียในสิ่งที่ควรสูญเสีย
โลกใบนี้เภทภัยเยอะเหลือเกินนะศิษย์ สิ่งที่จะช่วยให้คนพ้นจากเภทภัยได้ นั่นก็คือปัญญาแห่งการรู้แจ้ง ช่วยคนประเสริฐกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น เมื่อเราเรียนรู้หลักธรรมแล้ว จงเอาธรรมะนี้ไปช่วยผู้คน เพราะคนในโลกนั้นยังดื้อ ยังหัวแข็ง ยังหัวรั้น และยังเอาแต่ใจ
ถ้าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อหาแต่ความสุขให้ตัวเอง แล้วรู้ไหมว่าความสุขของตัวเองกลับทำให้พ่อแม่เจ็บปวดยิ่งนัก ศิษย์เคยได้ยินไหม ตีคนนี้แต่คนข้างหลังเจ็บปวด ทำร้ายคนนี้แต่คนข้างหลังเจ็บปวดยิ่งกว่า ศิษย์บอกชีวิตเป็นของศิษย์ แต่ความผูกพันและเวรกรรมที่เกี่ยวกันมันแก้ยาก เมื่อรักแล้วศิษย์ปล่อยได้ไหม ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเลว แต่ก็ปล่อยไม่ลง เพราะรักไปแล้ว แล้วเพราะกรรมเวรอะไร คนดีไม่รักไปรักคนเลว กรรมเวรอะไร ลูกไม่เลือกเป็นคนดี แต่เลือกเป็นคนเลว ฉะนั้นชีวิตเราเกิดมาเพื่อยอมรับความจริงและให้อภัย อย่าพยายามครอบงำและเปลี่ยนแปลงเขา จงมีแต่ให้ ให้ในสิ่งที่เขาอยากเป็น แล้วสักวันหนึ่งเขาจะมีปัญญารู้ได้เองว่าผิดชอบชั่วดีนั้นคืออะไร เพราะพูดจนปากจะฉีกถึงหู ลูกก็ไม่ฟังเพราะเป็นกรรมของเราที่เจอลูกแบบนี้แล้วต้องชดใช้ ฉะนั้นถ้าเราอยากฝึกธรรมะก็จงยอมรับ กรรมจะได้หมดไป แต่ถ้าศิษย์ไม่ปล่อยไม่วาง ศิษย์ก็จะเกี่ยวกรรมกับเขาไปไม่จบไม่สิ้น ปล่อยได้วางได้กรรมจบในชาตินี้ ปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ อภัยไม่ลง ก็ยังต้องเกี่ยวกรรมไปทุกๆ ชาติ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนอีกครั้ง
ได้คำว่า “ธรรมะ”)
ได้คำว่า “ธรรมะ”)
ใน “ดวงตาที่สาม” มี “ธรรมะ” อยู่และธรรมะนั้นไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในดวงตาที่สามแห่งตัวตนของศิษย์ ธรรมะอยู่ในตัวเรานะ แล้วอะไรคือธรรมะในตัวเรา เรามีไตรลักษณ์อยู่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วเราเห็นแจ้งหรือยัง (ยัง) เห็นแล้วแต่ยังไม่แจ้งสักที เห็นแล้วปล่อยวางได้หรือยัง (ยัง) เห็นแล้วกลับยึดมั่นทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้ามองลงไปลึกๆ ในตัวเรามีแค่รูปกับนาม และในรูปกับนามนั้นก็หนีไม่พ้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นทุกข์ไม่เที่ยงไร้ตัวตน และในรูปกับนามนี้ก็คือ สภาวะแห่งสัจธรรม สิ่งที่เรียกว่ารูปคือร่างกาย สิ่งที่เรียกว่านามคือความคิด ใจที่คิดไม่หยุดเรียกว่านาม กายเนื้อเรียกว่ารูป แล้วอันไหนเรียกว่าตัวตน บอกอาจารย์ได้ไหม ร่างกายนี้หรือตัวจิต ศิษย์บอกว่าคือตัวจิต ตัวญาณ แต่ญาณจริงๆ แล้วก็ไม่มีตัวตน ญาณที่แท้คือความว่างเปล่า คือสุญตา เมื่อไรที่เรากำหนดมีตัวตน เมื่อนั้นคือมีที่ให้ทุกข์อยู่ เมื่อไรที่เรามองเห็นว่าคือความว่าง เมื่อนั้นทุกข์จะไม่มี ชื่อนั้นคือนามสมมติ ตัวตนคือสิ่งสมมติเท่านั้นเอง ศิษย์ยังงงอยู่ ใช่หรือไม่
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ชีวิตเหมือนธารน้ำไหล ไม่มีวันหยุด บางครั้งเจอที่สกปรก บางครั้งเจอที่สะอาด แต่ถึงเวลาถ้าเจอแดดเปรี้ยงๆ น้ำก็กลับคืนสู่ความเป็นไอ เป็นก้อนเมฆ ชีวิตก็ไม่ต่างอะไรกับสายน้ำ ถ้าเรานิ่งเราจึงเห็นความใส แต่ถ้าเราไม่นิ่งเราก็คือความขุ่นมัว แล้วน้ำจับได้ไหม มีตัวตนไหม จับแล้วเหมือนกับมี แต่ถึงเวลาก็ไหลไป ตัวตนก็เช่นกัน ศิษย์พยายามจะหาว่านี่คือตัวเรา เราเป็นคนอย่างนี้ แต่แท้จริงแล้วเป็นแบบนี้ไหม ศิษย์บอกว่าศิษย์เป็นคนขี้โมโห ขี้บ่น จู้จี้ ขี้งอน เอาแต่ใจ อยากให้คนรัก แต่จริงๆ แล้วสิ่งต่างๆ นี้มันมีอยู่ตลอดไปไหม สิ่งที่อยู่ในใจศิษย์ คือความว่างเปล่า และในความว่างเปล่าพุทธะเรียกว่า “ธรรมะ” หรือเรียกว่าสัจจะความเป็นจริง และในสัจจะความเป็นจริงนั้นแม้จะมีชีวิตอยู่แต่สักวันถ้าชีวิตหายไปก็เหลือแต่ธรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆ อีกเรื่องหนึ่ง ศิษย์เคยเห็นฟ้าไหม ฟ้าเมื่อเคลื่อนไหวจึงเกิดมืด เกิดสว่าง จึงเกิดฝน เกิดร้อน เกิดหนาว เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์เมื่อเคลื่อนไหวเกิดดีร้าย ได้เสีย ดีใจเสียใจ ร้องไห้ เมื่อฟ้าไม่มีตัวตนฟ้าจึงอยู่นิรันดร์ แต่เมื่อมนุษย์มีตัวตน มนุษย์คิดครอบครอง มนุษย์จึงไม่สามารถอยู่ได้นิรันดร์
มีคนยังไม่เข้าใจ ศิษย์จะเข้าใจได้เมื่อศิษย์ลงมือปฏิบัติ ใช้แต่การฟังไม่มีทางรู้แจ้ง และไม่ใช่ลงมือที่ไหน ต้องลงมือที่ใจเราเอง ทุกข์มาหลายชาติแล้ว ทุกข์มาหลายปีแล้ว ไม่เบื่อหรือ ชีวิตนี้ก็เจ็บปวดมาหลายครั้งแล้ว ผิดหวังก็หลายรอบแล้ว แล้วยังอยากเสี่ยงที่จะรักอีกหรือ ยังอยากเสี่ยงที่จะยึดมั่นถือมั่นอีกหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นขอให้ตั้งใจมองให้ดี มองชีวิตอย่างผู้ที่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ด้วยปัญญาแห่งธรรม อาจารย์คงพูดได้เท่านี้ ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว อาจารย์ผลักดันแค่ไหน ศิษย์ก็ได้แค่นี้ อาจารย์ก็ต้องยอมรับ ใช่หรือไม่ ลองทำดูนะ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ผู้อื่น แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือหัวใจตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเก่ง บนฟ้าก็ลอยได้ ในน้ำก็ดำลงไปได้ บนดินก็อยู่ได้ ใช่ไหม (ใช่) เรียนรู้ตั้งแต่ฟ้า ดิน น้ำ ได้หมด แต่มีสิ่งเดียวที่เรียนรู้ไม่เคยได้คือ หัวใจตัวเอง เอาชนะคนอื่นได้หมด แต่ชนะไม่ได้คือชนะใจ เข้าใจคนอื่นได้ถ่องแท้ แต่หัวใจตัวเองไม่เข้าใจ แล้วพยายามเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจฉันหน่อยสิ ตัวเองเข้าใจตัวเองหรือยัง (ยัง) น่าตลกไหม ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ ศึกษาเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริงเพื่อเห็นแจ้งในตัวตน ต้นเหตุแห่งทุกข์ล้วนมาจากตัวเองทั้งสิ้น
ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องกลับแล้ว น่าเสียดายที่คนบางคนมีบุญสัมพันธ์กับอาจารย์แค่สองวัน หลังจากนั้นก็อาจจะไม่มีอีกแล้ว ใช่หรือเปล่า คนดื้อ ดูแลตัวเองให้ดี บำเพ็ญให้ดี บำเพ็ญธรรมด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ได้ไหม อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ศึกษาให้เข้าใจแล้วลงแรงปฏิบัติ การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้คือ “บำเพ็ญแบบโพธิสัตว์ แม้ตัวเองยังไม่ตื่นแต่หวังให้คนอื่นตื่น แม้ตัวเองยังไม่พ้นทุกข์ แต่หวังให้คนอื่นพ้นทุกข์” ช่วยคนประเสริฐยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอีกนะ ศิษย์มุ่งมั่นตั้งใจมีปณิธานแล้วอย่าท้อถอย แล้วกลับไปหาอาจารย์ด้วยจิตใจที่งดงามอย่างแท้จริง เข้าใจนะ
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ดวงตาที่สาม”
ตาเห็นเห็นดั่งไม่เห็น เห็นดั่งไม่เห็นจึงว่าง
รู้ไม่เห็นรู้จึงกลาง ทางแจ้งไม่ไร้ในมี
หลงด้วยใจไม่ยอมวาง ก็มีใจว่างในนี้
หากจิตใสไม่กลับที่ อยู่อยู่ไปมีทุกข์ทน
มาไม่ไม่มาไม่ไป ไม่เกิดไม่ดับหลุดพ้น
ธรรมแลเหมือนดั่งแพสน วางธรรมตนนี้สิ้นไป