วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

2552-08-15 สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร


西元二00九年嵗次己丑六月二十五日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กทม.
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

คิดอะไรไม่ออกนอกจากทุกข์ เงยหน้าขึ้นก็เป็นสุขตามอัตภาพ
ใจเหนือทุกข์แม้ไม่ได้หันหลังกลับ เพราะยอมรับสิ่งที่เห็นเป็นสัจธรรม
เราคือ
เสียวเสี่ยวฝอถง  (小小佛童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านหายง่วงหรือยัง

คนใจร้อนเนื่องจากขาดสติ มาเรียกสติเอาใจมองปัญหา
ใหญ่น้อยมาควบคุมด้วยปัญญา สติพาทุกปัญญาเกิดเนื่องไป
ทบทวนความขณะจิตที่คิดโทษ ใครสอนอย่าโกรธบ่อยไม่เข้าใจ
เดือดจนพอเกิดจนเย็นเมื่อไหร่ อายแก่ใจนิสัยเป็นเลิศอารมณ์
จงตระหนักเป็นคนต้องปรับปรุง ชีวิตยุ่งคนประเสริฐนั้นวางเหมาะสม
อวิชชาด้วยปัญญาด้วยอยู่ที่อบรม โลกนิยมคนฉลาดที่หัดยอม
ไยคนนั้นธรรมขาดตามอายุ ชะตาผุมีมากมีปัญญาพร้อม
ปราชัยแก่ใจอยากคือพุทธะปลอม นิ่งแต่หน้าพาลคนจอม บีฑา
ระลึกว่าแม้ชอบสุขไหนจีรัง อะไรช่างทุกข์มากมีเรื่องศึกษา
จิตตื่นเป็นคุณกว่าแห่งวิชา สังสารวัฏ จากเพราะว่าคนบำเพ็ญทัน
เรื่องเคยทุกข์ไม่ทุกข์ใจสว่าง ฝึกแล้วเอยสิ้นทั้งโลกีย์ขันธ์
ทีละขั้นทีละตอนถอน อนธการ ทุกสถานทุกเวลากล้าฝึกใจ
ฮิ ฮิ  หยุด



หมายเหตุ : กลอนสองวรรคสุดท้ายเป็นพระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
อยากกลับบ้านหรือยัง อยู่บ้านก็อยากออกนอกบ้าน พอออกนอกบ้านก็อยากอยู่บ้านใช่ไหม (ใช่)  แล้ววันนี้ออกมานานหรือยัง (นานแล้ว) นั่งฟังอย่างนี้เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) ตอบว่าไม่เหนื่อยแต่ทำไมถึงอยากกลับบ้าน ไม่เหนื่อยจริงๆ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นถึงสองทุ่มก็ยังนั่งไหวใช่ไหม หกโมงเย็นก็ยังนั่งไหวใช่ไหม
นั่งอยู่ตรงนี้ถ้าคิดไม่ออกมองไม่เห็นว่าที่นี่มีดีอะไร คิดไปก็ทุกข์ เงยหน้ามองก็ยิ้มได้แค่นิดหน่อย แต่ถ้าก้มหน้าเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น จนกว่าเมื่อไรที่เราสามารถปลงตกแล้วคิดได้ว่าในโลกนี้บางครั้งสิ่งที่เราเห็นต้องมีบ้างที่ชอบและไม่ชอบ ถ้าปลงตก คิดได้ ยอมรับแม้ไม่ชอบก็เกิดสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่มนุษย์มักจะกำหนดว่าสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบคือความทุกข์ การเอาแต่ฟังแล้วพูดไม่ได้เป็นเรื่องที่อึดอัดใจเหลือเกิน อึดอัดเหมือนตกอยู่ในเหวลึก มีปากก็พูดไม่ได้แต่ต้องฟังให้จบ ใช่ไหม (ใช่) เราจึงรู้สึกเหมือนเราตกอยู่ในเหวลึก คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะจบ พอจบแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร มีคนบอกว่ารู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ แปลว่าตอนนี้การฟังเหมือนอยู่ในนรก คนพูดก็เหมือนยมบาล ทั้งที่ตรงนี้เป็นห้องพระแต่คนพูดกลับเป็นเหมือนยมบาล
ใครยิ่งฟังยิ่งเบาสบายบ้างยกมือขึ้น นั่นแปลว่าสองทุ่มก็ไม่เป็นไรใช่ไหม กว่าจะทำใจให้รู้สึกเบาสบายนั้นยากใช่ไหม (ใช่) วันนี้เราขอมาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเล็กๆ น้อยๆ จะให้โอกาสเราบ้างไหม (ให้) เปลี่ยนบรรยากาศการฟังธรรมะบ้างดีไหม (ดี) ที่ผ่านมาได้แต่เป็นผู้ฟังอย่างเดียวไม่ได้ตอบอะไรเลย ตอนนี้ได้ตอบแล้วก็พยายามตอบหน่อยนะ
โดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้ เราให้ความรัก ให้ความเชื่อถือกับคนรอบข้างอย่างเต็มที่ แต่พอเราให้ความรัก ให้ความเชื่อถือเขามากๆ เราก็กลายเป็นเหมือนคนซื่อๆ แต่บางครั้งในมุมกลับ พอเราระแวงเขา ไม่เชื่อเขา รังเกียจเขา เราก็กลายเป็นทุกข์ใจ แล้วแทนที่จะได้มิตรกลับได้ศัตรู ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรดี ยากเหลือเกินใช่หรือไม่ เหมือนบางทีเราพยายามดีกับเขาเต็มที่ ปฏิบัติดีกับเขาทุกอย่าง แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะดีกลับมา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในทางกลับกันบางทีเราเข้มงวดกวดขัน กดดันบีบคั้น แต่เขากลับดีตอบก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนคำของปราชญ์ที่กล่าวว่า “ปลาอยู่ในน้ำ แต่มองไม่เห็นน้ำ นกอยู่บนฟ้า แต่มองไม่เห็นฟ้า มนุษย์อยู่บนโลกแต่มองไม่เห็นความเป็นจริงของคนในโลกและตัวตนเอง”  บางทีเราพยายามเรียนรู้เพื่อเข้าใจคนอื่น แต่ทำไมยิ่งเรียนเรายิ่งงง พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่ผลออกมาอาจกลายเป็นไม่น่ากิน ไม่อร่อยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางทีตรงกันข้ามส่วนผสมที่บางทีไม่ดี บังเอิญมารวมกัน แต่ทำไมกลายเป็นการรวมตัวที่งดงามและเป็นสัมพันธภาพที่ยืนยาวเล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตนี้อะไรคือความเข้าใจที่ครบเบ็ดเสร็จ บางทีเรามองไม่ออก โลกใบนี้อะไรเรียกว่าสุข อะไรเรียกว่าทุกข์ อะไรเรียกว่าทำแล้วดีกับเขา แล้วอะไรเรียกว่าทำแล้วกลายเป็นไม่ดีกับเขา บางทีเราก็หาไม่เจอ เราจึงเป็นเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำแต่ไม่เข้าใจน้ำ เป็นนกที่อยู่บนฟ้าแต่มองไม่เห็นฟ้า แต่ท่านเสียอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ปลามันรู้ว่าชอบกินอะไร นกรู้ว่าทำรังแต่พอตัวเป็นอย่างไร แต่มนุษย์กลับไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักคนซ้ำยังไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคนในโลกรักคนดี เกลียดคนไม่ดีหรือไม่ (เกลียด)  แต่พอเจอคนดีจริงๆ เขาดีนิดหน่อยเราก็ว่า ไม่รู้เขาดีจริงหรือไม่ พอเขาดีได้มาก
ระดับหนึ่ง เราก็บอกว่า จะไปถึงที่สุดหรือจะจริงใจไหม แต่เมื่อเขาดีมากๆ ดีจริงๆ เราก็บอกว่า เธอดี ฉันเลวเกินไป ตกลงว่าชอบหรือไม่ชอบ แทนที่จะแก้ไขตัวเองกลับไม่ได้แก้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  สรรพสิ่งในโลก สิ่งที่ท่านเห็น สิ่งที่ท่านได้ยิน จริงๆ แล้ว หาใช่เนื้อแท้ไม่ ท่านเห็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วครู่ชั่วคราว ถ้าเราถามว่า ต้นไม้นี้คือต้นอะไร ท่านบอกว่า ต้นตะโก ต้นโพธิ์ แล้วท่านสรุปได้หรือไม่ว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นอย่างไร ท่านบอกว่ามีใบ มีกิ่งก้านสาขา แต่สิ่งที่ท่านรู้ท่านรู้หมดหรือไม่ ท่านสามารถอธิบายได้หมดหรือไม่ ถ้าหากคนที่ฟังท่าน ต้นตะโกเป็นแบบนี้ แล้วพรุ่งนี้เขาบอกว่าไปเจอกันที่ต้นตะโก ปรากฏว่าต้นตะโกถูกตัดแล้ว นั่นแสดงว่าสิ่งที่ท่านพูดเป็นเท็จ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นโลกเราใบนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน สิ่งที่เราบอกว่า เรารู้ อาจจะไม่ใช่และอาจจะไม่รู้ก็ได้ เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่บนโลกแล้วเห็นโลกชัดเจน
ในบรรดาเซียนน้อยๆ ทุกองค์เราเล็กที่สุดเลย คนเราถ้าอยากใหญ่ก็ต้องเล็กได้ ถ้าไม่รู้จักเล็กแล้วจะใหญ่เป็นหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าจะให้เรามารักษาโรค เราก็ไม่รักษานะ เพราะถ้าถึงเวลารักษาหายแล้วท่านยังนิสัยเหมือนเดิมก็แก้ไม่ได้หรอก ถ้าจะแก้เราต้องแก้ที่ต้นเหตุต่างหาก แล้วต้นเหตุที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ พ้นโรคพ้นภัยคืออะไร (กิเลส)  กิเลสทำให้เรามีทุกข์และทำให้เราพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้แม้กระทั่งนั่งฟังตรงนี้หรือยืนทนฟังเรานั่นก็คือ การมีจิตใจว่างเหนือสภาวะของความไม่เที่ยงแท้ในโลกนี้
การที่เรามานี้ก็มีทั้งคนที่เชื่อบ้างและไม่เชื่อบ้างเป็นธรรมดา เป็นสัจธรรม เหมือนเราอยู่ในโลกนี้มีทั้งคนรักและมีทั้งคนเกลียด มีทั้งคนชมและมีทั้งคนติ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนสมหวังก็ชมว่าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่สมหวังก็บอกว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์
ฉะนั้นถ้าพุทธะที่ทำให้ท่านมองเห็นโลกตามความเป็นจริงนั้น น่าจะดีกว่าปล่อยให้ท่านละเมอเพ้อพกสมหวัง แล้วก็ต้องมาเจ็บช้ำเมื่อต้องผิดหวังหนักๆ  ระหว่างไม่มีเงินกับมีเงินเยอะๆ เวลาสูญเสียอะไรเจ็บกว่ากัน (มีเงินเยอะ)  ฉะนั้นรู้จักไม่สมหวังบ่อยๆ ดีกว่านะจะได้มีภูมิคุ้มกันที่ดี
โลกสอนให้ท่านต้องสุข ต้องสำเร็จ ต้องฉลาด ต้องเก่ง แต่วันนี้เราจะบอกท่านว่า ต้องโง่ ต้องผิดหวัง ต้องทุกข์ เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  มีทั้งเอาและไม่เอานะ ถ้าคิดแต่จะสุขไม่ทุกข์ สมหวังห้ามผิดหวัง ท่านก็กำลังหลอกตัวเอง เห็นเหมือนไม่เห็น ฟังแต่เหมือนไม่ได้ยิน กินแต่ไม่รู้รส เพราะความเป็นจริงมีสุขก็ต้องมี (ทุกข์)  มีฉลาดก็ต้องมี (โง่)
ถ้าบอกว่าเกิดมาแล้วฉลาดเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะต้องยอมโง่ก่อนจึง (ฉลาด)  เหมือนตอนเด็กๆ กว่าท่านจะยืนได้สองขา ท่านรู้หรือไม่ว่าต้องล้มกี่ครั้ง ต้องแพ้กี่ครั้ง ต้องปาดน้ำตากี่ครั้ง แล้วทำไมตอนนั้นเราถึงจำไม่ได้ ก็เพราะว่าความเป็นตัวตนเรามันน้อย เราเลยจำไม่ได้ เราเลยไม่เจ็บ แต่ตอนนี้แค่เดินสะดุดก้อนหินล้มนิดเดียว แต่ทำไมเจ็บ เพราะตัวตนมีเยอะ เพราะศักดิ์ศรีมีเยอะ เราจึงเจ็บมากกว่าเดิม
ตอนเด็กๆ ถูกคนว่าโง่ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  บางทีก็หัวเราะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ถ้าถูกคนว่าโง่ เป็นอย่างไร (โกรธ)  แต่ก่อนผิดก็ก้มหน้า แต่เดี๋ยวนี้ผิดแล้วเชิดหน้าเถียงคอเป็นเอ็น
ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักกล้าที่จะเรียนรู้ความทุกข์ ความลำบาก ความล้มเหลว และมองให้เป็นระนาบเดียวกับความสุข ถ้าเราสามารถมองให้เป็นระนาบเดียวกันเมื่อเราเจอทุกข์เราก็จะไม่เหมือนตกลงไปในเหว แต่เห็นทุกข์เป็นสิ่งเดียวกันกับความสุข แต่อยู่คนละขั้วแค่นั้นเอง เมื่อไหร่เราจะเดินกลับไปขั้วที่สุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อวันนี้เราผิดหวัง เมื่อวันนี้เราต้องโดดเดี่ยว ถามตัวเองว่าชีวิตก่อนที่จะสมหวังก็ต้องเรียนรู้ความไม่มีก่อน ความไม่มีคือสิ่งแรกเดิมของท่าน  ความโดดเดี่ยวก็คือพื้นฐานเดิมของท่าน ฉะนั้นการที่ทำให้เราต้องกลายเป็นคนโดดเดี่ยวคือ การกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งแต่ก่อนเคยลืมเลือนไป เพราะฉะนั้นอยู่คนเดียวอย่ากลัว อย่าเหงา อย่าหงอย อย่าเศร้า เราได้กลับมาเรียนรู้ตัวเองมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนเราก็เคยอยู่ตัวคนเดียวและถึงที่สุดเราก็ต้องตัวคนเดียว
มนุษย์ชอบความสว่างแต่เกลียดความมืด แต่ถึงที่สุดเราก็ต้องเจอความมืด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความมืดทำให้เรามีสติ ทำให้เราปรับตาได้แจ่มชัด แต่บางครั้งความสว่างทำให้เราเลอะๆ เลือนๆ จริงไหม
อยากนั่งหรือยัง (ยัง)  วันนี้นั่งทั้งวัน เก้าอี้นี้ให้ความทุกข์เหลือเกิน อย่างนั้นให้ยืนนานๆ เดี๋ยวเก้าอี้นี้จะแปรเปลี่ยนเป็นความสุขทันทีที่ได้นั่ง จริงไหม (จริง)  นั่งมาเกือบวันแล้วเกลียดเก้าอี้ไหม (ไม่เกลียด)  ใครเกลียดบอกนะเราจะให้เก็บเก้าอี้ทันที อย่าลืมว่าสิ่งที่ท่านเกลียดวันนี้ ลองหันกลับไปมองอีกทีหนึ่งท่านอาจจะกลับมารักก็ได้ และวันนี้สิ่งที่ท่านรักลองพิจารณาดู เขาอาจจะมีอะไรน่าเกลียดก็ได้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เรามองแล้วไม่เห็น ฟังแล้วไม่ได้ยิน ท่านคิดว่าคืออะไร อนุตตรธรรม ทำให้มองเห็นเหมือนไม่เห็น ฟังเหมือนไม่ได้ยิน กินเหมือนไม่รู้รส อนุตตรธรรมคือความว่างเปล่า ทำให้มองเหมือนมองไม่เห็น ผู้ที่เข้าใจสามารถตระหนักรู้ถึงความเป็นพุทธจิตเดิมแท้ เห็นก็เหมือนไม่เห็นได้ ฟังก็เหมือนไม่ฟังได้ ลิ้มรสก็เหมือนไม่รู้สึกได้
แต่จะมีกี่คนที่จะไปได้ถึงสภาวธรรมนั้น มนุษย์อยู่เพียงแค่ความเป็นมนุษย์เท่านั้น เราอยากจะบอกว่า รัก โลภ โกรธ หลง จริงๆ แล้วมีตัวตนที่เรามองเห็นหรือไม่ (ไม่เห็น)  แต่เมื่อเวลามาอยู่กับตัวเราทำไมถึงกลายเป็นมีตัวมีตนขึ้นมา
(ท่านเสียวเสี่ยวฝอถงเมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม ใครตอบก็จะได้นั่ง แต่ถ้าหัวหน้าชั้นหรือรองหัวหน้าชั้นตอบ ทุกคนในชั้นก็จะได้นั่ง)
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามองแล้วเหมือนไม่เห็น นั่นก็คือ ความคาดหวัง ตอนนี้หัวหน้าชั้นกำลังถูกทุกคนตั้งความหวังใช่ไหม จะตอบอะไรดี ถ้าตอบไม่ได้ เดี๋ยวทุกคนจะไม่ได้นั่ง แล้วจะตอบอะไรดี คิดออกไหม ฟังแล้วก็เหมือนไม่ได้ยิน เพราะถูกฝากความหวังไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งที่เรากำลังพูดวันนี้ก็คือสัจธรรมความเป็นจริงที่เราจะต้องมองให้ออกและเรียนรู้อย่างเข้าใจเพื่อดำเนินชีวิตได้อย่างถูกทาง แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เอาแค่ตรงนี้ก่อน เพราะถ้าเอาตัวไม่รอดก็ไปได้ไม่รอดนะ หัวหน้าชั้นกับรองหัวหน้าตอบได้ไหม เชิญนั่งก่อน สงสารแล้ว โดนกดดันมากๆ ก็เครียดตอบไม่ออก ใช่หรือเปล่า
เราจะบอกว่าที่ท่านตอบมาทุกข้อก็ถูก ไม่มีใครผิด แต่เราอยากจะบอกว่าบางครั้งความคาดหวังก็เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เราทุกข์แล้วมองไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเห็น แล้วมนุษย์ทุกคนก็เป็น คาดหวังว่าตัวเองต้องดีกว่านี้ ดีกว่านี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วตอนนี้ก็ดีแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่บางทีไม่พอใจเลยต้องเหนื่อยทุกๆ วันเพื่อให้ดีกว่านี้ เพียงเพื่อคำว่า “ดีกว่านี้” บางครั้งความดีหายไปแต่กลายเป็นนิสัยอารมณ์เพิ่มขึ้นมา ถูกไหม

“จงตระหนักเป็นคนต้องปรับปรุง ชีวิตยุ่งคนประเสริฐนั้นวางเหมาะสม
อวิชชาด้วยปัญญาด้วยอยู่ที่อบรม โลกนิยมคนฉลาดที่หัดยอม”
อยากเรียนรู้โลกใบนี้ แล้วมองเห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัดก็ต้องเป็นคนที่ยืดได้ หดได้ จริงไหม (จริง)  บางครั้งต้องรู้จักยืดๆ หดๆ เล็กๆ ใหญ่ๆ ให้เป็น สุขได้ก็เป็นทุกข์ได้ แม้ทุกข์ได้ก็ยังกลับเป็นสุขได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ามนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ และอยากจะมองเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้ได้อย่างแจ่มชัด จะต้องรู้จักปรับทัศนคติความคิดของตัวเองให้เที่ยงตรง
แล้วอะไรที่ทำให้มนุษย์เรามีทัศนคติที่บิดเบี้ยวไปได้ง่ายๆ สิ่งนั้นก็คือความโกรธ เมื่อมีความโกรธอยู่ในใจใครแล้วจะทำให้เรานั้นไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือมีความหวาดกลัวจนเกินไป จะทำอะไรก็บอกไม่เอา กลัว กลัวมากเกินไปก็กลายเป็นคนที่ไม่สามารถที่จะก้าวหน้าหรือประสบผลสำเร็จอะไรในชีวิตได้เลย เป็นคนที่แม้จะก้าว ก็ก้าวได้ไม่ออกเลยสักก้าวเพราะกลัวเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นก็คือ “อะไรชอบก็ทำ อะไรไม่ชอบก็ไม่ทำ”  สิ่งนั้นเป็นตัวบดบังปัญญาอย่างแท้จริง เมื่อใดทำเพราะชอบเมื่อนั้นจะไม่สามารถรู้ได้อย่างแจ่มชัด เมื่อใดไม่ทำเพราะว่าไม่ชอบ เมื่อนั้นจะไม่สามารถมองโลกใบนี้ได้อย่างเที่ยงตรง จริงไหม (จริง)  มองดูให้ลึกๆ โลภ โกรธ หลง รัก ชอบ ชัง มีตัวตนไหม (ไม่มี)  แต่โลภ โกรธ หลง รัก ชอบ ชัง เหมือนกาฝาก อยู่เดี่ยวๆ ไม่ได้ต้องหาคนเกาะ แล้วผู้ที่มักจะโดนเกาะคือ ผู้ที่จิตใจเป็นมนุษย์ เป็นปุถุชน มีความรักโลภโกรธหลง ชอบเกาะนัก เกาะแล้วชอบออกลูกออกหลาน มีแล้วหยุดไม่เป็น เคยไหมในชีวิตนี้โกรธครั้งเดียวแล้วเลิกโกรธอีกเลย (ไม่มี)  โกรธแล้วเข็ดไหม (ไม่เข็ด)  เราไม่เคยเข็ด ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าเมื่อไหร่มี โลภ โกรธ หลง หรือรัก ชอบ ชัง เข้ามาอยู่ในตัวเราหรือจะเข้ามาในตัวเรา แล้วเรามีสติปัญญาไตร่ตรองให้ดี เราจะสามารถแปรโลภ โกรธ หลงเป็นการมองชีวิตและเห็นตัวตนได้อย่างแจ่มชัด
เคยได้ยินไหมว่า ถ้าอยากรู้จักคนนี้ว่าเป็นคนอย่างไร ให้เอาผลประโยชน์มาทดสอบ อยากจะรู้ว่าคนนี้ใจเย็นแค่ไหน ลองเอาสิ่งที่เขาเกลียดชังที่สุดมาลองยุแหย่ดู นี่คือตำราของการเรียนรู้คน ตำราของการบริหารคน อยากจะช่วงใช้คนก็ต้องรู้จักควบคุมคนให้เป็น คนนี้มีดีอะไร คนนี้มีเลวอะไร ถ้าเรามองออกชัด การจะใช้ให้เหมาะสม ก็ง่ายแต่ถ้าเรามองออกไม่ชัด การจะใช้ก็ยาก ฉะนั้นในดีก็มีเลว ในเลวก็มีดี ผู้บริหารจึงรับได้ทั้งดีและเลว มดขาวหรือมดดำใช้ได้หมด ถ้าเรารู้จักช่วงใช้ เราจะสามารถแปรมดขาวให้เป็นมดขาวยิ่งขึ้น และแปรมดดำให้เป็นมดขาวได้
แต่คนในโลก มดขาวก็เป็นมดดำได้เพราะตัวเรา และมดดำก็กลายเป็นมดยิ่งดำได้ก็เพราะตัวเรา จริงไหม (จริง)  เพราะถึงเวลาเราเจอคนดีไม่ส่งเสริม เจอคนชั่วไม่ให้โอกาสแก้ตัว ฉะนั้นขาวอาจจะกลายเป็นดำ  ดำอาจกลายเป็นขาว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นโลกใบนี้เป็นอย่างไรโทษใครไม่ได้ต้องโทษตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านรู้ไหมว่าการศึกษาบำเพ็ญธรรม ถ้ารู้เยอะๆ แต่ไม่เคยเอาไปลงมือปฏิบัติจะกลายเป็นความหลงผิดได้ เพราะเมื่อเรารู้เยอะ เราก็จะบอกว่ารู้แล้ว และกลายเป็นมองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่อยากได้ยิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟังแล้วต้องรีบลองเอาไปปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ฟังอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความหลงผิด เพราะคิดว่าฟังมาเยอะแล้ว ให้ฟังอีกก็ขอคิดก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนฟังไม่ฟังไม่รู้ ทำหน้านิ่งๆ ไว้ก่อน นิ่งสยบความเคลื่อนไหว แต่ในใจขัดแย้งกัน เชื่อดีไม่ดี ฟังไม่ฟัง นิ่งไว้ก่อน เพราะนิ่งเท่านั้นที่รอดปลอดภัยทุกสถานการณ์ใช่ไหม (ใช่)  และเคยไหมหน้านิ่งๆ โดนชกมาหลายรอบแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะเอาแน่หรือไม่เอากันแน่ใช่หรือไม่
เหมือนบางครั้งเราอยู่ในโลกนี้ ความสมัครสมานกัน ใครๆ ก็อยากมี ร่วมมือประสานกันใครๆ ก็อยากเป็น แต่ทำไมคนบางคนถึงได้ขัดใจ แค่เห็นก็ขัดๆ แค่พูดก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นอยู่ร่วมกันมาตั้งนานแต่บางครั้งก็ทนกันไม่ได้แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วอะไรที่บดบังถึงทำให้เราทนไม่ได้รับไม่ไหว จากที่รู้จักกันมานานๆ ก็กลายเป็นแตกคอกันได้ เคยเป็นหรือไม่ จากที่เคยรักก็กลายเป็นเกลียดกันไปเลย ทั้งที่กว่าจะรักกันได้นั้นยากมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อรักกันไปนานๆ อยากไปให้พ้นๆ เพราะอะไร
มีคนสองคนเป็นเพื่อนกัน เดินกันมาตลอดทางร่วมชีวิต แต่วันหนึ่งชีวิตต้องพบกับทางแยก คนแรกบอกว่าไปซ้าย อีกคนบอกว่าไปขวา ท่านคิดว่าจะไปรอดไหม (ไม่รอด)  แต่ชีวิตคู่ของเราไปรอดเพราะว่าเพื่อนคนนี้ ยอมตามไปทางซ้าย แล้วถ้าเจออีกทางแยกหนึ่ง คนแรกบอกว่าไปซ้าย อีกคนบอกว่าไปขวา เมื่อยอมครั้งแรกมาแล้วครั้งสองจะยอมไหม (ยอม)  ซ้ายก็ซ้าย แล้วถ้าหากเดินไปเรื่อยๆ ท่านคิดว่าจะมีแยกอีกหรือไม่ (มี)
ชีวิตนี้จะไปรอดหรือไม่รอด อยู่แค่เพียงว่า ยอมหรือไม่ยอม ท่านยังอยากคบกับเขาหรือไม่  ถ้าอยากคบต่อก็ยอมไป ถ้าไปด้วยกันจนค่อนชีวิตผมหงอกแล้ว อยู่ๆ วันนี้จะปฏิวัติขอไม่ตามบ้าง ก็เท่ากับมาตายเอาตอนจบ บางครั้งแค่คำว่าผิด ถูก เถียงกันคอเป็นเอ็น ผิดไม่ได้หรือ ไม่ได้ฉันต้องถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วต่างอะไรกับซ้ายและขวา
ฉะนั้นถ้ายอมแล้วก็ยอมให้หมดใจ แต่ถ้าวันนี้ไม่เคยยอมก็หัดยอมบ้าง เผื่อโลกในบ้านจะกลายเป็นสันติสุขบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คน มีหน้ามือก็มีหลังมือ มีด้านหน้าก็มีด้านหลัง ฉะนั้นมีสวยก็มีไม่สวย ชีวิตนี้จะได้ไม่เหนื่อยเกินไป หาไม่เคยพอสักที ใจของมนุษย์ทุกคนแท้ที่สุดแล้วเหมือนว่างแต่ก็พร้อมจะเต็ม ถ้ารู้จักพอและยอมเสียที
เมื่อใดที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราหนีไม่พ้นปรากฏการณ์สองขั้ว ไม่ดีก็ร้าย ไม่ได้ก็เสีย ไม่ทุกข์ก็สุขล้วนเป็นความจริงของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจชีวิตคือผู้ที่พร้อมยอมรับทุกด้านที่ปรากฏ การศึกษาบำเพ็ญธรรมคืออะไร รู้แค่สองอย่างเองเอาไหม  ท่านรู้สองอย่างนี้ได้ ท่านก็ไม่ต้องไปเรียนรู้อะไรให้วุ่นวาย ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่าท่านรู้อยู่แค่สองอย่าง อย่างแรกคือ รู้ว่าตัวเองมีดีมีชั่วอะไร และไม่รู้ว่าคนอื่นมีดีมีชั่วอะไร เอาแค่สองอย่างนี้ แล้วท่านก็จะไม่ทุกข์มากด้วย
มนุษย์ที่ปัจจุบันนี้ทุกข์เพราะว่าอะไร ทุกข์เพราะว่าตาเอาแต่มองออก ใจเอาแต่มองออก เพ่งแต่คนอื่นแต่ไม่เคยหันกลับมาดูตัวเอง วุ่นวายเป็นแต่อยู่นิ่งๆ ไม่เป็น ดิ้นรนแล้วมีความสุขแต่นั่งเฉยๆ กลับเป็นทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้จักนิ่งได้ ความสงบสุขก็ไม่ได้อยู่ไกล ขอเพียงเริ่มต้นรู้จักพอบ้างหรือยัง
มนุษย์เรานี้ทุกข์เพราะความคาดหวังใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถึงที่สุดแล้วเราต้องยอมรับว่าบางครั้งหวังเพื่อไม่หวังบ้างได้ไหม และมีเพื่อไม่มีบ้างจะเป็นไร เพราะถึงที่สุดของชีวิตมีเพื่อไม่มี จริงไหม (จริง)  ถึงที่สุดท่านจะมีตลอดชีวิตไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมหวังเพื่อไม่หวัง มีเพื่อไม่มี และบำเพ็ญธรรมเพื่อไร้ตัวตน
ฉะนั้นวันนี้มาฟังเพื่อเอาตัวเอาตน หรือมาฟังเพื่อปล่อยตัวปล่อยตน (ปล่อยตัวปล่อยตน)  จริงหรือ เวลาตักกับข้าวยังต้องตักจานที่ตัวเองชอบก่อน อันไหนไม่ชอบผลักไปไกลๆ อย่างนี้ได้ไหม เข้าห้องน้ำปวดเหมือนกันแต่พอทนได้ แต่มีคนบอกว่าขอเข้าก่อนปวดมากเลย เราก็ไม่ยอม ต้องขอเข้าก่อน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมฝึกได้ทุกขณะจิต เสียสละแล้วได้ลดตัวตน ยอมแล้วได้ตัดกิเลส ตัดความโลภ ตัดความโกรธ บำเพ็ญธรรมไม่ใช่บำเพ็ญเฉพาะตอนประชุมธรรม บำเพ็ญได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะกินข้าว ตักข้าว ส่งผ้า ส่งน้ำ หรือกลับบ้านทำงานใช่หรือไม่
เราอยู่ในโลกอยู่ในสังคมเราอยู่เพื่อแสดงตัวตนยิ่งใหญ่ หรือว่าก็ ต้องยอมลดตัวตนให้เบาบางบ้าง เราไปอยู่ที่ทำงานฉันต้องกร่าง ฉันต้องใหญ่ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เวลาฉันพูดคนต้องฟังและเงียบใช่ไหม นั่นแหละคือการสะสมพอกพูนอัตตาตัวตนแท้ๆ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมคือรู้ยอม รู้ถอย และปล่อยวางตัวตนเพื่อกลับคืนสภาวะที่แท้จริง
ถามว่าทุกคนมีความบริสุทธิ์ในตัวไหม (มี)  แต่เพราะอะไรจึงทำให้เราทิ้งความบริสุทธิ์ไป เพราะว่าเราเสียดาย โลภก็ดี โกรธยังมีอีกหน่อย รักก็ยังอาลัยอาวรณ์อยู่ เราจึงเป็นพุทธะได้แค่ชั่วครู่ เดี๋ยวยังโกรธอยู่ เดี๋ยวยังโลภอยู่ เกลียดมาทีไรขุ่นมัว แล้วแบกมันไหม (แบก)  ไปที่ไหนก็เน่าทุกทีที่แบกมันไป เกลียดคนมากก็เหมือนแบกอะไรเน่าๆ ไว้เยอะ โกรธคนมากก็เหมือนแบกอะไรบูดๆ เหม็นๆ ไว้เต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเกลียดเยอะ ยิ่งโกรธเยอะ หน้าจะใสไหม ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมหน้าใสได้ถ้าไม่เกลียด ไม่โกรธ ไม่ต้องไปเสียเงินให้เหนื่อยด้วย
ไปแล้วนะ มีโอกาสก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ อย่าฟังไปก็เกิดทิฐิ แต่ฟังเพื่อนำไปปฏิบัติ
ถ้าคนที่บ้านถามว่า “ไปฟังธรรม ทำไมถึงกลับดึก ถึงบ้านสองสามทุ่ม”  เราก็บอกว่า “ธรรมะมีมากและน่าเรียนรู้จริงๆ”  ฉะนั้นยอมไหม (ยอม)  ยอมไปเถอะ  ยอมให้ตลอด อย่าเผลอปฏิวัติ ไม่อย่างนั้นท่านจะทุกข์ใจเอง ไปนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วางตนเหนือความปรุงแต่งและยึดมั่น อารมณ์นั้นยากครอบงำสติได้
ความใจเย็นสู่ปัญญาชัดแจ้งใจ ความโปร่งในจะเหนือนอกกลางมายา
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม
ผู้คนเหมือนขาด แต่เป็นข้างในตนเองนั้น  มุ่งตามให้ทัน ต้องมีมากกว่าให้มากมาย  แต่ความสำคัญไม่มีเลยแม้ของชิ้นใด  กลับมาค้นในใจ  ไม่หลงมากไป เหนื่อยน้อยกว่า
เปิดใจของตนกับความต้องการ  จะมีตัวของเรา  รู้สึกว่าว่างเปล่า เพราะว่าลืมตัวแท้ไป  
* ยุคที่คนเพรียกหาคุณธรรม  และถ้าใครกู้หวังตรงนั้นคืน  คนกลับปิดปากล้อออกครื้น  หยัดยืนความคิดใช่ทิ้งไป  ทั้งโลกจมลงใช้ธรรมนำพา  สร้างศรัทธาเรียกขวัญกอบกู้ใจ  แค่แสงนั้นสาดไป  จะอยู่เหนือคำถาม
เมื่อคนพร้อมทน  เมื่อใจแข็งแรงจะหลุดพ้น  เกิดแรงสู้ทน  เรื่องราวทุกข์ทนใกล้จุดหมาย  ฝ่าฟันล้มไปลุกไป  ด้วยความเข้าใจเรื่องของใจ  หนทางเก่าเล่าใหม่  อย่าคิดเอาใจครอบครอง (ซ้ำ * , *)
แบกไปทุกสิ่งอัน  อาจสิ้นแรงก่อนถึง  
ชื่อเพลง : เมื่อโลกจมลง กอบกู้ได้ด้วยธรรม
ทำนองเพลง : ไม่ยอมหมดหวัง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ชีวิตของคนเรานั้นเปรียบได้ดั่งกรงขัง ใช่ไหม (ใช่)  แต่อะไรที่ขังมนุษย์ได้บ่อยที่สุด ตื่นก็ขังจะนอนก็ยังขัง (กิเลสในใจ, จิตของเรา, พันธนาการทั้งหลาย, ความคิด, ความผูกพัน, ความคิดฟุ้งซ่าน)  คนที่ตอบว่า ความคิด  นั้นถูกต้อง เพราะเราคิดอะไรก็ตาม แม้จะนอนเราก็ยังคิด พรุ่งนี้จะทำอะไร พรุ่งนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะเป็นแบบไหน พรุ่งนี้ชีวิตจะดีหรือเปล่า ถ้าคิดไม่จบ วางไม่ได้ หยุดไม่ได้ นอนไม่หลับ ความคิดขังเราได้ตลอดเวลา
เหมือนนั่งตรงนี้ถ้าเอาแต่คิด นั่งตรงนี้ก็ถูกขังได้เหมือนกัน  แม้จะมีชีวิตสะดวกสบายขนาดไหนก็ตาม ถ้าความคิดของเรานั้นไม่เป็นอิสระ ไม่รู้จักวาง ไม่รู้จักหยุด ก็สามารถขังตัวเองได้ทุกๆ ที่ ขังตัวเองได้ทุกๆ สถานการณ์ จริงไหม (จริง)  โทรศัพท์ก็ขังเราได้ กระเป๋าขังเราไหม ความสวยของใบหน้าขังเราไหม ความรู้ขังเราไหม (ขัง)  ความเชื่อมั่นในตัวเองขังเราไหม แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “น้ำเต็มโอ่งจะทำโอ่งคว่ำ แต่ถ้าน้ำครึ่งโอ่งจะทำให้โอ่งตั้งตรง”  เคยได้ยินไหม ประโยคนี้เป็นสุภาษิตของคนจีนโบราณกล่าวไว้ นั่นก็คือถ้าเรามีความรู้ความเชื่อมั่นที่เต็มเปี่ยมจนไม่คิดจะรับของใคร ไม่ฟังใคร ไม่เชื่อใคร ความเต็มเปี่ยมของความคิดนั้นจะทำร้ายและคว่ำชีวิตเราได้ ถ้าคิดว่าฉันเก่งฉันรู้ใครพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง แต่สักวันความรู้ความเก่งก็จะทำร้ายเราให้ล้มคว่ำได้
ฉะนั้นการเป็นคนที่ดีบางครั้งต้องเป็นผู้รู้ และบางครั้งต้องเป็นผู้ไม่รู้บ้าง หรือที่เรียกว่าบางครั้งต้องรู้จักงำประกายอย่าสำแดงเด่น เคยได้ยินหรือไม่ เก่งมากเด่นมากมักจะเป็นภัย พอเก่งมากเด่นมากก็มักจะเหนื่อยมาก คนริษยาก็จะมีมาก เหมือนอีกคำๆ หนึ่งที่กล่าวว่า “ยอมเก่าจึงได้ใหม่ ถ้าอยากใหม่ก็จะต้องกลายเป็นคนเก่า”  ถ้าเราแต่งตัวด้วยเสื้อผ้า มอๆ ทุกๆ วัน สักวันหนึ่ง จะมีคนสงสารซื้อเสื้อใหม่มาให้เราใส่ โดยที่ไม่ต้องเสียเงิน พอเขาเห็นเสื้อใหม่ๆ สวยๆ เขาจะนึกถึงเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากเป็นคนที่มีความรู้เยอะๆ จงทำตัวให้โง่ไว้ แล้ว คนจะเอาความรู้ใหม่ๆ มาบอกเรา แต่ถ้าทำตัวฉลาดทุกๆ วัน มีใครบ้างไหมจะเดินมาบอกเรา (ไม่มี)  แล้วเราเคยมองไหมว่า หน้าตาเราเป็นประเภทเก่าหรือประเภทใหม่ (เก่า)  แน่ใจหรือ อาจารย์เห็นทุกคนอยากเป็นของใหม่หมด อยากเป็นคนที่ฉลาดหมด แต่ไม่อยากเป็นคนโง่ จริงไหม
คิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  แต่ถึงเวลาให้มาห้องพระ ถึงเวลาที่ให้นึกถึงคำพูดของอาจารย์ไม่เห็นมีใครนึกถึงเลย นึกแต่ว่าเดี๋ยวก่อนขอโมโหก่อน บำเพ็ญธรรมไว้ทีหลัง ขอหาเงินก่อน อาจารย์เอาไว้ทีหลัง มีทุกข์เมื่อไหร่ถึงจะบอกอาจารย์มาช่วยศิษย์เร็วๆ ใช่ไหม (ใช่)  แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วความเป็นพุทธะ ความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ในตัวทุกๆ คน  ศิษย์ได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหมว่า “วางดาบลงความเป็นพุทธะก็ปรากฏ” เมื่อไหร่ที่ศิษย์โกรธมากๆ ไม่พอใจมากๆ ช่วงขณะที่รู้ว่าใครทำ รู้ว่าใครโกรธ รู้ว่าผิดหรือถูกแล้ววางได้ เพชฌฆาตก็กลายเป็นพุทธะ
ฉะนั้นความเป็นพุทธะอยู่ที่ใจ แล้วใจเช่นใดเรียกว่าสภาวพุทธะเดิมแท้ที่เราหลงลืมไป วันนี้อาจารย์จะมาบอกศิษย์ สภาวพุทธะเดิมแท้ ก็คือการมีสติระลึกถึงอยู่เสมอว่าตัวเองทำอะไร พูดอะไร รู้เท่าทันความคิด สิ่งที่มากระทบ นี่ก็คือสภาวะพุทธะเดิมแท้ มีอยู่ในตัวทุกคน แล้วอะไรที่เรียกว่าลืมสภาวะเดิมแท้ แต่ปล่อยให้ความมืดมน ความหลงผิดเข้ามาแทนที่ นั่นก็คือจิตของปุถุชน จิตของปุถุชนก็คือจิตที่หลงผิด จิตที่เป็นอวิชชา ฉะนั้นพุทธะกับปุถุชนต่างกันแค่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นที่ใจ เริ่มต้นที่ใจ แล้วดับได้ที่ใจ สรรพสิ่งในโลกล้วนมาจากจิต จิตเป็นรากฐานของทุกสรรพสิ่ง ถ้า “จิต” คือราก “การกระทำ คำพูดและความคิด” คือ กิ่ง ก้าน ใบ ออกดอก และตกผล เราจะทำอย่างไรให้ผลของการดำเนินชีวิต คือการไม่ต้องเวียนว่าย แต่ถ้าเราลืมสติสัมปชัญญะของตัวเอง เมื่อออกดอกผลแล้วก็กลายเป็นความหลงตัวหลงตน แล้วก็กลับกลายเป็นเวียนว่ายวน ฉะนั้นสภาวะแห่งความเป็นพุทธะไม่ได้อยู่ที่ตัวอาจารย์ ไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือและไม่ได้อยู่ที่องค์พระ แต่อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรามีสติรู้เท่าทันหรือรู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าสติประกอบไปด้วยธรรมจะบังเกิดปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างถูกทาง ฉะนั้นมี “สติ”แล้วต้องมี “ธรรม” ตามไปด้วยจึงจะเกิด “ปัญญา” ทำอย่างไรให้ฟื้นสภาวะนี้ขึ้นมาได้แล้วค้นพบสภาวะพุทธะโดยแท้ คือมีสติ ขอให้เพียงศิษย์มีสติ รู้ตัว รู้ตนว่ากำลังทำอะไรอยู่
อาจารย์มาวันนี้ ไม่ได้ต้องการให้ศิษย์เชื่อศรัทธาในตัวอาจารย์ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เชื่อและศรัทธาในธรรมของตัวเอง เพราะทุกคนมีสภาวธรรมอยู่ แต่เพราะความหลงผิด ความไม่รู้บดบัง จึงลืมภาวะเดิมแท้ไป มนุษย์ทุกคนล้วนมีธรรม แต่หลงลืมไปและก้าวพลาดผิดไป เพราะว่าปล่อยตนเองไปตามอารมณ์ เมื่อไรที่ใจบวกกับอกุศล เมื่อไรที่ใจบวกกับกิเลส โลภ โกรธ หลง และไหลไปตามอายตนะ เมื่อนั้นมนุษย์ก็ง่ายที่จะหลงลืมในสภาวธรรมของตัวตน กลายเป็นปุถุชนและเป็นคนอยู่วันยังค่ำ จริงหรือไม่ (จริง)

ถ้าจะลงเรือลำเดียวกันแล้ว เราจะลงเรือโดยปล่อยให้อีกคนซึ่งยังไม่ลงเรือ แล้วออกเรือได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ก็ดูเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป มาฟังธรรมแล้ว ฉะนั้นอะไรที่ตามใจตัวเองแล้วกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว แล้วไม่สนใจใคร ก็จงลดเบาลงหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)
ในโลกแห่งการเสียสละ ต้องมีคนได้สุขและอีกคนได้ทุกข์เสมอ ไม่เคยมีใครได้พร้อมกันสองคน ต้องมีคนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งเสีย จริงหรือไม่ (จริง)  และถ้าวันนี้เราได้ยืนใครล่ะได้นั่ง เราอยู่ในโลกวันนี้เราสุขแต่ใครกำลังทุกข์ ฉะนั้นถ้าวันนี้เรากำลังทุกข์ เราก็จงปลื้มใจเถิดว่า เราทำให้คนอื่นได้สุข ถ้าวันนี้เราสูญเสีย ใครล่ะกำลังได้รับ ฉะนั้นการสูญเสียของเราก็คงเป็นการสูญเสียที่ไม่เศร้าจนเกินไป เพราะการสูญเสียของเราคือการให้ผู้อื่นได้รับบ้าง วันนี้เราเป็นผู้แพ้เพื่อให้ผู้อื่นได้ชนะ วันนี้เรายอมเป็นคนร้องไห้บ้าง เพื่อให้ผู้อื่นได้หัวเราะ แต่วันนี้เราคิดตรงกันข้าม ฉันต้องหัวเราะ คนอื่นร้องไห้ฉันไม่สน ฉันต้องสมใจอยาก คนอื่นจะผิดหวังฉันไม่สนใจ เช่นนี้แล้วความเมตตาซึ่งเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ควรมีในใจก็คงหาได้ยาก แล้วปัญญาจะเกิดได้อย่างไร เกิดเป็นคนถ้าสงสารแต่ตัวเอง แต่สงสารผู้อื่นไม่เป็น จะเรียกว่าเมตตาได้ไหม (ไม่ได้)  เป็นคนรักแต่ตัวเองแต่รักผู้อื่นไม่ได้ อย่างนี้จะเรียกว่าเมตตาไหม ถ้ามีคนทุกข์แล้วศิษย์ร่วมเป็นเพื่อนทุกข์ ศิษย์ก็คือจิตโพธิสัตว์ “โพธิสัตว์” คือ แม้ตัวเองทุกข์ก็ยังคิดที่จะไปช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์
คิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  คิดถึงแล้วเมื่อไรจะกลับมาสักที เห็นไปเที่ยวนรกทุกวันเลย เมื่อไรจะขึ้นสวรรค์ไปหาอาจารย์สักที มีชีวิตเดี๋ยวก็ตกนรก แล้วก็ขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์ แล้วก็กลับไปตกนรกใหม่ เพราะความคิดของตัวเองทั้งนั้น  ฉะนั้นถ้าคิดได้ รู้ตัวได้ ความคิดนั้นก็จะสามารถนำตัวเราให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ โดยการมีสติระลึกรู้ นั่นก็คือรู้แจ้งชัดในความเป็นจริงของตัวเองและสรรพสิ่ง มนุษย์เราทุกข์เวียนว่ายตายเกิดเพราะการมีตัวมีตน การยึดมั่นในตัวตน
ใจของศิษย์เป็นอย่างไร ใจที่ชอบทุกข์ ควักออกมาให้อาจารย์ดูสิ อาจารย์จะได้ช่วยรักษาให้หาย ใจมีรูปร่างไหม (ไม่มี)  ไม่มีรูปร่าง แต่มีอำนาจบงการศิษย์มากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจบงการร่างกายนี้ ร่างกายเป็นที่อยู่ของกองทุกข์ กองอะไร ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา) ออกจากจมูกเรียกว่า (ขี้มูก)  ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ฟัน) เป็นที่รวมของกอง (ขี้)  ศิษย์พูดเองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่และกองรวมของขันธ์ทั้งห้า ซึ่งล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา มีความไม่เที่ยงมีความทุกข์ และมีความว่างเปล่าเป็นที่สิ้นสุด ฉะนั้นศิษย์หาเพื่อไปบำรุงบำเรอกายนี้เพื่อให้ทุกข์ และไปให้ว่าง แล้วสรรพสิ่งต่างอะไรกับร่างกายนี้ สรรพสิ่งก็ล้วนอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้น ไม่เที่ยง มีทุกข์ และไปที่สุดแห่งความว่าง นี่จึงเรียกว่าโลกแตกต่างที่มีความเป็นเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อเรามองเห็นความเป็นจริงตรงนี้ ศิษย์กำลังทุกข์กับอะไร คาดหวังกับความว่างใช่หรือไม่ ฉะนั้นการดำเนินชีวิตจงทำจนถึงที่สุดแล้วปล่อยวาง การเสียสละตัวเองโดยไม่รู้สึกเสียดาย ก็คือการให้ทานที่ยิ่งใหญ่ การไม่ทุกข์กับชีวิตของผู้อื่น คือการสร้างมรรควิถีอันบริสุทธิ์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ถึงเวลาเขาว่าเรา เรารู้จักแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเขายังว่าเราอีก เราปล่อยวางได้ไหม ถ้าปล่อยวางได้ ทำใจได้ นั่นก็คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความทุกข์ที่ศิษย์เกิดบ่อยมากที่สุดก็คือทุกข์เรื่องตัวเอง หรือไม่ก็ทุกข์เรื่องเรือนของผู้อื่น เรือนของผู้อื่นก็คือชีวิตของผู้อื่น ศิษย์ช่วยเขาไปได้ช่วงหนึ่ง ถึงเวลาศิษย์ก็ต้องปล่อยไปตามทางของเขา ศิษย์เกี่ยวเขาไปได้ไม่ตลอดหรอก ฉะนั้นอาจารย์ถึงอยากพูดให้ศิษย์รู้ การบำเพ็ญธรรมหรือเรียนรู้ธรรมนั้น นอกจากจะมองเห็นแจ้งความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ศิษย์ต้องเดินไปให้ถึงอีกสองอย่างก็คือ อย่าเป็นทุกข์ในเรือนของผู้อื่น และรู้จักเสียสละตัวตนโดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นคือการเดินทางไปสู่หนทางแห่งพุทธธรรม ยากไหม
เรามีทุกข์เพราะมีตัวตน การปล่อยวางตัวตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นบ้างก็อาจจะทำให้เรานั้นปล่อยวางทุกข์ได้มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า ทุกวันนี้ศิษย์กำลังทุกข์เพราะเรื่องอะไร (ทุกข์กับความอยากไม่สิ้นสุด, ความไม่นิ่ง, ความคิดของตนเอง, คาดหวังกับลูก, คาดหวังกับสามี, คาดหวังในหน้าที่การงาน, ทุกข์เพราะสุขภาพ)  ฉะนั้นต้องดูแลตนเองให้ดีๆ  ของที่ไม่อยากกินต้องพยายามกินให้มากๆ เพราะสิ่งที่
ชอบกินเป็นโทษ  สิ่งที่ไม่ชอบเป็นยาดีมากๆ เลย  ทุกข์เพราะเรียนก็อยากได้ที่หนึ่งใช่หรือไม่ (ทุกข์เพราะความห่วงความกังวล)  ในโลกนี้ความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา แต่พลัดพรากแล้วทำให้เราจำไม่ลืมดีกว่าอยู่แล้วไม่อยากจำจริงไหม  ถ้าทำให้ดีที่สุด ถึงอะไรจะเกิดต้องกล้ารับ กล้าเป็นไป (ทุกข์เพราะไม่ยอมปล่อยวาง, ทุกข์เพราะเจ็บขา)  มีขาให้เจ็บดีกว่าไม่มีขาให้เจ็บ บางครั้งความเจ็บทำให้ตนแข็งแรงขึ้นมา (ทุกข์เพราะกลัวเวรกรรม)  ถ้ากลัวเวรกรรม ทำวันนี้ให้ดีเวรกรรมก็อาจจะตามไม่ทัน (ทุกข์เพราะคนรอบข้าง, ทุกข์เพราะมีตัวตนมากเกินไป, ทุกข์เพราะกังวลเรื่องค้าขาย)  เดี๋ยวนี้คนตกงานมาค้าขายกันหมดเลย อย่างแรกหน้าต้องยิ้ม จริงใจ ของเก่าของใหม่เหมือนกันหมดอย่างนี้ก็อาจขายไม่ได้ ใช่หรือไม่
อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ทุกคนแข็งแรงนะ แต่ในโลกนี้มีใครบ้างที่แข็งแรงแล้วไม่เจ็บป่วย ฉะนั้นถ้าป่วยขึ้นมาแล้วขอให้ใจนั้นแข็งแรงแล้วรู้จักหาทางออกให้กับตัวเอง
(ทุกข์เพราะครอบครัว, เรารู้ไม่เท่าทันจิต)  ทำไมถึงรู้ไม่เท่าทันจิตล่ะ ถ้าเรามีสติอยู่เสมอ เราจะตามทันจิตของเรา ถ้าเรารู้จักใจเย็น เมื่อจะทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดี ลองคิดทบทวนสักสองรอบก็จะทำให้เรามีสติรู้เท่าทัน  
(ทุกข์เพราะกลัวตัดสินใจผิด)  โลกนี้มีใครบ้างล่ะที่ตัดสินใจแล้วจะไม่ผิดเลย สิ่งที่ควรจะฝึกฝนไว้ในจิตของทุกคนก็คือ เมื่อตัดสินใจจะทำอะไร ผิดหรือถูก ล้มเหลวหรือสำเร็จ ศิษย์ต้องกล้ารับเพราะนี่คือความจริง มีใครบ้างที่ประสบผลสำเร็จโดยที่ไม่เคยล้มเหลว ศิษย์ไปอ่านหนังสือดูได้ คนที่ยิ่งใหญ่และร่ำรวยล้วนต้องล้มมาก่อนจึงลุกได้อย่างเข้มแข็ง ฉะนั้นคนที่สามารถมีร่างกายที่สมบูรณ์ก็ล้วนผ่านความเจ็บปวดมาอย่างโชกโชน
(ทุกข์เพราะครอบครัวทะเลาะกันตลอดเลย)  ทุกข์เพราะครอบครัวไม่สงบ เพราะไม่มีใครยอมใครใช่หรือเปล่า (ทุกข์เพราะไม่สมหวัง, ความโลเล, ความลำบาก)  ถ้าขยันก็ไม่มีความลำบากหรอกนะ (ทุกข์เพราะความเจ็บปวด)  เจ็บปวดกายไม่เท่าไรอย่าเจ็บปวดใจก็แล้วกัน รักษายาก (ทุกข์เพราะสามี)  อาจารย์บอกแล้ว อย่าเป็นทุกข์เพราะเรือนของผู้อื่น ชีวิตของผู้อื่น ถ้าเราทำได้ถึงที่สุดแล้วนั่นก็คือชะตาชีวิตเขาแล้ว ใช่หรือไม่
อาจารย์ดีใจที่นักเรียนในชั้นอยากคุยกับอาจารย์ทั้งนั้นเลย (อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่ โดยไม่รู้ตัวตน ไม่รู้ความสามารถของตัวเอง)  เพราะไม่รู้จักประมาณตน ก็เลยเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ แล้วแอปเปิ้ลทำให้เป็นทุกข์ได้หรือไม่ (ได้)  ทำไมล่ะ (ถ้าอยากแล้วไม่ได้)  อย่างนั้นอาจารย์ช่วยสอนศิษย์ให้รู้จักทุกข์แล้วได้สุขดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอดได้แอปเปิ้ลนะ เห็นไหม ศิษย์ยอมทุกข์แล้วทำให้คนอื่นมีสุข ใช่หรือเปล่า (ขอบคุณพระอาจารย์)
(ได้ไม่รู้จักพอ, ความคิดของตัวเราเอง ซึ่งบางครั้งเราอยากจะปล่อยวาง บางครั้งก็ทำได้ แต่บางครั้งก็ทำไม่ได้)  แต่ถ้าถึงเวลาวันหนึ่ง ศิษย์ไม่ปล่อยก็ต้องปล่อย ฉะนั้นเรียนรู้ที่จะปล่อยให้เป็นก่อนที่จะปล่อยไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังธรรมะแล้วเป็นคนใหม่ได้ไหม คนเก่าโยนทิ้ง เป็นคนใหม่ได้ไหม อารมณ์เพลาๆ หน่อย อบายมุขไม่ดีก็ห่างๆ ไว้ ไม่ใช่ดีเพราะอาจารย์แต่จะได้ดีเพราะตัวเราเองใช่หรือไม่
ความทุกข์มีดีอะไรไหม ไหนลองตอบอาจารย์ เหมือนนั่งตรงนี้มีทุกข์ไหม แล้วมีดีอะไรล่ะ ความทุกข์ทำให้รู้จักความสุข แล้วความสุขก็ทำให้รู้จักความทุกข์ ความทุกข์ทำให้เรารู้แจ้งสภาวธรรม พุทธะมองเห็นทุกข์สุขคือจุดเดียวกัน แต่มนุษย์มองเห็นทุกข์สุขเป็นภาวะตรงกันข้ามกัน จริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าศิษย์มองให้ดีๆ ความพลัดพราก ความเจ็บปวด ความสูญเสีย ความผิดหวัง ไม่ใช่สิ่งที่ทุกข์ แต่คือความเป็นจริงที่ทำให้เรามองเห็นคนชัด มองเห็นโลกชัด และมองเห็นตัวตนเองอย่างแจ้งชัด และเมื่อแจ้งชัดแล้วเราสามารถข้ามให้พ้นได้ เมื่อนั้นทุกข์ก็จะปูทางไปสู่ความหลุดพ้น แต่ตอนนี้ศิษย์มองแค่เพียงทุกข์สุข วิ่งไม่เคยพ้นทุกข์พ้นสุขสักที เพราะศิษย์คิดว่าเมื่อศิษย์ทุกข์แล้วศิษย์จะต้องสุข แล้วศิษย์เคยคิดไหมว่า เมื่อศิษย์ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วศิษย์จะพ้นทุกข์ ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์อีกเลย ด้วยใจของตัวเองที่มองเห็นอย่างรู้เท่าทัน ไม่วิ่งวนไปกับปรากฏการณ์ประเดี๋ยวประด๋าว ที่มากระทบจิตกระทบใจอีกต่อไป ใครด่าก็นิ่ง ใครชมก็นิ่ง ได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : เมื่อโลกจมลง กอบกู้ได้ด้วยธรรม  ทำนองเพลง : ไม่ยอมหมดหวัง)
การบำเพ็ญธรรมก็คือ อย่ามัวแต่มุ่งช่วยเหลือตนแต่ไม่คิดช่วยเหลือใคร  อย่ามุ่งคิดถึงแต่ตนเอง โดยไม่คิดถึงใคร เพราะจิตใจที่คิดถึงแต่ตัวเองมักจะนำพาไปสู่ความทุกข์และเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น แต่จิตใจที่รู้จักเสียสละและนำไปช่วยเหลือคนอื่นนั่น จึงจะนำพาความสุขที่แท้จริง ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า อวิชชาและความหลงผิดก็เกิดจากใจของศิษย์ที่หยุดไม่เป็น พอไม่ได้ แล้วก็ผิดไม่มี ถ้าเรารู้จักหยุดเป็น พอได้ ผิดแล้วเรียนรู้ที่จะแก้ไข คนนั้นก็จะเป็นคนไม่หลงตน อยู่ในโลกนี้มีใครจะยอมเป็นผู้ผิดไหม ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากหลงตนและไม่เดินทางผิดก็ต้องพร้อมที่จะหยุดเป็น พอได้ และกล้ารับผิด ใช่หรือไม่
วันนี้อาจารย์มาหาศิษย์เพียงเท่านี้ ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องกลับ จะได้ไม่เสียเวลาศิษย์มาก แค่ศิษย์ยอมจะมาสองวันแล้วอยู่จนครบ ก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว แต่ต่อไปจะรักษาธรรมได้อยู่รอดตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า อาจารย์จะหมดหวังไหมนี่ แต่อย่างไรอาจารย์ก็ไม่ยอมหมดหวัง หวังในสิ่งที่รู้ว่า อาจจะหวังไม่ได้แต่ก็ยังหวัง หวังว่าสักวันหนึ่งศิษย์จะรู้ตื่นจากตัวตนเอง รู้หนทางแท้ในตัวเอง มนุษย์มีหนทางแท้อยู่ที่ตัวเราเองนั่นก็คือ สภาวธรรม และธรรมที่มีอยู่ในตัวศิษย์ ศิษย์ต้องค้นหาให้เจอ แล้วเมื่อไหร่ที่ศิษย์ค้นหาเจอศิษย์ก็สามารถเห็นหนทางกลับคืนเบื้องบน เห็นหนทางกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ จิตที่กอรปไปด้วยเมตตา จิตที่กอรปไปด้วยมโนธรรมสำนึก จิตที่กอรปไปด้วยความละอายเกรงกลัวต่อบาป จิตที่รู้จักเคารพรักผู้อื่นเช่นเคารพรักตน จิตที่รู้จักซื่อตรง สิ่งที่อาจารย์พูดมาอยู่ไกลจากตัวศิษย์ไหม (ไม่ไกล)  ถ้าศิษย์รู้จักรักษาได้สักหนึ่งอย่าง มีจิตใจเมตตา สงสารผู้อื่น ศิษย์จะทำผิดทำบาปได้น้อยลง ถ้าศิษย์เมตตารักเขา ศิษย์จะฆ่าเขาลงไหม (ไม่ลง)  ศิษย์จะผิดลูกผิดเมียคนอื่นไหม (ไม่)  ศิษย์จะลักทรัพย์เขามาไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์รักษาธรรมได้ ศิษย์ก็จะมีศีลได้ เมื่อศิษย์รักษาธรรม ศิษย์มีศีล ศิษย์ก็จะมีสติ เมื่อมีทั้งศีลและธรรม ปัญญาก็จะเกิด
ธรรมที่อาจารย์พูดมาล้วนอยู่ในใจของเราเอง แต่เวลาเราทำอะไร เราคิดถึงธรรมหรืออารมณ์ล่ะ ถ้ารู้จักคิดถึงธรรม อารมณ์ก็ยากมีผลต่อจิตใจ วันนี้อาจารย์รู้หนทางกลับของตัวเองแล้ว แล้วศิษย์ในที่นี้เห็นทางกลับของตัวเองหรือยัง ยังอดหลงในโลกนี้อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรในโลกนี้หนอ ทำให้ศิษย์นั้นไม่อยากหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด เงินทองน่ารักไหม เกียรติยศน่ารักไหม ตัวตนเองที่ยึดมั่นถือมั่นน่ารักไหม บางครั้งตัวเองยังเกลียดตัวเองเลย ยังรักตัวเองไม่ลงเลย แล้วเราแสวงหาทรัพย์สินต่างๆ เพื่ออะไร เพื่อสนองเติมใจให้เต็ม แต่วันไหนล่ะที่ใจเต็มแล้วรู้จักพอ ไม่มี ยิ่งเติมก็ยิ่งไม่เต็ม ฉะนั้นเมื่อไรเต็ม ก็เมื่อวันที่ศิษย์บอกว่าพอ สุขได้กับความธรรมดาสามัญ ยินดีได้กับความปกติวิสัย ถ้าศิษย์ไม่พอใจสิ่งธรรมดาสามัญ สิ่งปกติวิสัย ศิษย์วิ่งหาไป ศิษย์ก็หาไม่พบ เพราะสิ่งที่ธรรมดาที่สุดของตัวศิษย์เอง ศิษย์ยังรับไม่ได้เลย ทุกข์ตั้งแต่เริ่มจนถึงจบ แล้วเมื่อไรจะพ้นทุกข์ ถ้าไม่ยอมทำสักที
การมาฟังธรรมะก็คือการปล่อยวางความอยาก แล้วพอบ้าง เพื่อไปช่วยคน ช่วยใครล่ะ ช่วยคนที่ศิษย์รักที่สุด ส่วนเขาจะเดินหรือไม่เดินก็สุดแล้วแต่เขา ชีวิตของเราก็เหมือนกันทำถึงที่สุด ศิษย์ก็ต้องสุดแล้วแต่ฟ้า ศิษย์กำหนดได้ไม่ตลอด ครึ่งทางเป็นของศิษย์ อีกครึ่งทางเป็นของฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากให้ครึ่งทางของฟ้านั้นอยู่ในกำมือเราก็ด้วยการ เชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วสุดแล้วแต่ฟ้า แต่ถ้าฟ้าจะทำให้เราทุกข์แต่ใจเราไม่ทุกข์ได้ ฟ้าจะทำให้เราเจ็บปวดแต่ศิษย์ไม่เจ็บปวดได้ ศิษย์สามารถพลิกฟ้าได้ด้วยใจของตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมว่าน้ำทำให้เรือลอยได้ น้ำก็ทำให้เรือคว่ำได้ ชีวิตทำให้เรามีสุขได้แต่ก็คว่ำชีวิตคนให้ตายทั้งเป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นชีวิตอยู่ที่มือของศิษย์เองแล้วนะ ถึงที่สุดแล้วอาจารย์ก็เป็นเพียงผู้ชี้ทาง มัวสนใจอะไรกับผู้ชี้ทาง น่าจะสนใจว่าจะเดินกลับไปให้ถูกทางอย่างไรมากกว่า จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะผู้ชี้ทางรู้ทางกลับแล้ว แต่ผู้ที่กังวลกับผู้ชี้ทางเองยังไม่รู้ทางกลับเลย
อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้น อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์มาศรัทธาอาจารย์ แต่ให้ศิษย์ศรัทธาในตัวธรรมะในตัวเองที่ศิษย์มีอยู่ ฟื้นฟูขึ้นมาแล้วลบล้างโลภ โกรธ หลง ให้เบาบาง ทำให้ได้นะ
ในโลกนี้เต็มไปด้วยคนมีเหตุมีผลทั้งนั้น และเหตุผลของแต่ละคนก็ไม่ผิดไม่ถูก แล้วเราจะเชื่อใครดี ฉะนั้นทำอะไรขอให้สติประกอบไปด้วยธรรมแล้วจะบังเกิดปัญญาแห่งความรู้แจ้ง
วันนี้อาจารย์คงต้องไปแล้ว มีโอกาสคงกลับมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก อย่าดูถูกดูเบาความสามารถของตัวเอง ถ้ามีโอกาสเอามาช่วยเหลือคนดีไหม อายุมากแล้วถ้าไม่ปลงไม่วางจะลำบากภายหลัง เชื่ออะไรยากใช่หรือเปล่า ก็เชื่อมั่นในตัวเองว่าตัวเองก็เป็นคนดีและช่วยคนดีได้ ใช่หรือไม่ มีโอกาสกลับมาช่วยอาจารย์นะ ความรู้ความสามารถช่วยตัวเองแค่นั้นหรือ ไม่คิดจะไปช่วยใครหรือ ศึกษาเยอะๆ แล้วกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อายุยังน้อยมีโอกาสก็ลองเอาเวลาที่เหลืออยู่ไม่ไปเที่ยวแต่เอามาช่วยคนดีไหม ศิษย์เคยเป็นศิษย์ของอาจารย์นะ แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้ลืมได้ ไม่เป็นไรหรอกมองปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อาจารย์เชื่อศิษย์ดีได้ด้วยตัวเองนะ ลำบากไหมชีวิต สู้ต่อไปนะ อาจารย์ไปแล้วดูแลตัวเองดีๆ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ สิ่งสำคัญคือการกระทำของเรา อย่าไปสนใจคำพูดผู้อื่น มีโอกาสกลับมาหากันอีกได้ไหม อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ มีแต่ศิษย์นั่นแหละที่ทิ้งอาจารย์ ใช่หรือไม่
(นักเรียนในชั้นขอพรพระอาจารย์)  พรที่ประเสริฐที่สุดก็คือชะตาชีวิตอยู่ในมือตัวเอง ไม่ใช่อยู่ในมือของอาจารย์นะ อาจารย์ช่วยก็ช่วยได้ไม่ตลอด ถ้าศิษย์ไม่ช่วยตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  วันนี้อาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว จากกันวันนี้จะไม่ใช่จากตลอดกาลนะ อย่าเชื่ออย่างงมงาย แต่เชื่อด้วยปัญญาของศิษย์เอง
ผู้ร่วมฟังอาจารย์ไปแล้ว งานสำเร็จได้ด้วยศิษย์ทุกคนนะ ร่วมมือร่วมแรงกันอย่าทำร้ายกัน

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “อยู่ด้วยปัญญา
เอาสติมาควบคุมใจเกิดปัญญา ทุกขณะจิตที่พาความคิดเกิด
อย่าโกรธบ่อยจนเป็นนิสัยใจเย็นเลิศ เป็นคนประเสริฐนั้นต้องอยู่ด้วยปัญญา
คนฉลาดที่ขาดธรรมนั้นมีมาก มีปัญญาตามใจอยากคือคนพาลหนา
แม้ชอบสุขแต่ว่าทุกข์มากมีคุณกว่า เป็นเพราะว่าคนตื่นจากทุกข์ทั้งสิ้นเอย

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา