วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

2552-06-20 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา


西元二OO九年 歲次己丑月二十八日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา


  ต่างเป้าหมายแต่ลงเรือลำเดียวกัน ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันพริบตาหาย
แต่เจิดจ้าในธรรมสว่างกำจาย หมั่นสร้างเสริมความดีไว้เพื่อผองชน
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจินเอวี๋ยน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านอดทนไหวไหม
คนอดทนถึงที่สุดน่าเกรงขาม พลังความเข้มแข็งงอไม่หัก
เมตตาใครใครก็ดูช่างน่ารัก ทว่าคนน้อยรู้จักจริงแท้ใน
ตั้งใจนักจะรู้อย่างเอาธุระ จากผู้แพ้มานะแล้วชนะได้
จงเป็นคนหาโอกาสกว่าสบาย โชคก็ไม่แน่ไปกว่าพยายาม
หินจะถึงความแข็งใช้เวลา จิตเข้มแข็งใดปัญหาฝ่าสนาม
ดำรงมาได้ยิ่งใหญ่ไม่วู่วาม ชะรอยกลับเป็นทุกข์หนามส่งเสริมตน
ธรรมะยิ่งจะวิจิตรไม่แค่บรรยาย ปฏิบัติสิ่งไม่ง่ายให้สัมฤทธิ์ผล
สัมผัสได้เพราะสุขเอ่อในตน กิเลสถอยได้ควรค้นหาสัจธรรม
ถอยคืออ่อนผลักคือเป็นปฏิปักษ์ คนแข็งง่ายอ่อนยากเพราะถลำ
ฝึกธรรมง่ายไม่ไกลหลักอกรรม ถูกผลักออกได้ฝึกธรรมพิจารณา
ฮิ ฮิ หยุด  







ตอนช่วงเช้าไม่วิตกใด ย่อมดึงสิ่งดีเข้ามาหา  ตอนช่วงสายขว้างทุกข์ออกไป ไม่ทันเท่าไรเรื่องมาหา ทำความดีสิ่งดีมาคุ้มตัว ทำไม่ดีดุจไฟมาเผาตัว อย่าไปคอยโทษใครเลย  คนจะดีได้คือคนรู้ตัว
* คนไม่คิดแก้ไขอะไร ชอบเอาแต่ใจเจ้าปัญหา ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับใคร ที่จริงจิตใจเจ้าปัญหา เป็นตัวเองไม่เป็นไม่รักตัว ทำตัวเองไม่เป็นไม่รู้ตัว เป็นคนยังอยากสุขใจ เป็นคนจึงไม่วายต้องรู้ตัว
** เหนื่อยหน่อยนะสู้กับใจ  เหนื่อยแต่ชัดใช่ทำเพื่อใคร อย่ายอมแพ้ความเหนื่อยใจ  อดทนแล้วทำต่อไปไม่กังขา
ชื่อเพลง : รู้ตัวเจ้าปัญหา
ทำนองเพลง : โอ้ใจเอ๋ย


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
(ศิษย์พี่เมตตาผู้ร่วมฟัง)
เรามีชีวิต ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวไหม ขึ้นชื่อว่า “บำเพ็ญ”  ความตายเป็นสิ่งไม่น่ากลัว ถ้าไม่บำเพ็ญความตายก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว ถ้ารู้จักควบคุมกาย ใจ ด้วยการบำเพ็ญคุณธรรม ความตายจะไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความเจ็บปวดจะไม่ใช่สิ่งเลวร้าย นั่งตรงนี้ลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  ถ้าบอกว่าลำบาก ความตายก็ยิ่งน่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ากลัวความยากลำบาก อย่ากลัวความทุกข์ยาก เพราะถ้าเกิดเราสามารถมองเห็นได้ชัด ความทุกข์ยากและความยากลำบากนี่แหละ กลับทำให้เรามองเห็นสัจธรรมความเป็นจริงแห่งชีวิต เอากลับไปคิด แล้วทำตัวเองให้รู้แจ้งในสภาวธรรมแห่งตน เข้าใจนะ


(ศิษย์พี่เมตตานักเรียนในชั้นเรียน)
เกิดเป็นคนฉลาดเกินไปดีไหม (ไม่ดี)  ว่าตัวเองโง่เกินไปดีไหม (ไม่ดี)  เพราะฉลาดเกินไปก็ไม่สามารถเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ในโลกได้อย่างกว้างขวาง เพราะคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ฉลาดแล้ว แต่ถ้าว่าตัวเองโง่หรือ หาว่าตัวเองไม่รู้เกินไปก็ไม่ดี ก็จะขาดความเชื่อมั่นในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้านั่งฟังธรรมและคิดว่าตัวเองรู้ไปหมด ใครพูดอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าไปในใจได้ ใครพูดมากเท่าไหร่ก็เข้าไปไม่ถึงหูหรอกใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันคนที่คิดว่าตัวเองโง่เกินไปก็ไม่ดี เพราะคิดว่าฟังไปก็เท่านั้นไม่มีปัญญาที่จะเข้าถึงหรอก เมื่อไม่มีปัญญาที่จะเข้าถึง แม้ฟังไปก็ไม่กระตือรือร้น ฉะนั้นในชั้นนี้ ท่านเป็นประเภทที่ฉลาดไปหรือว่าไม่รู้อะไรเลย
ฉะนั้นถ้าอยากจะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็อย่าดูเบาตัวเองจนจมดิน และก็อย่ายกตัวเองจนสูงเลิศเลอ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีวันเรียนรู้สิ่งใดในโลกได้ หรือเรียนรู้ไปก็ไม่มีวันไปได้ถึง เพราะคิดว่าตัวเองโง่ ไม่รู้ ไม่เก่ง จริงไหม (จริง)  แต่เราเชื่อว่าในที่นี้คงไม่มีใครว่าตัวเองโง่หรอกนะ วันนี้เพิ่งฟังธรรมะ เรื่องสัจธรรมชีวิตถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าเกิดว่าเราถามง่ายๆ มีอะไรในโลกที่ทำให้เราทุกข์บ้าง และทุกข์เพราะเหตุใด ทุกข์เพราะไม่มีเงินใช่ไหม แต่ถามหน่อยพอมีเงินแล้วทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)   จริงเหรอ ท่านบอกว่าทุกข์เพราะว่าไม่มีเงิน เราลองฟังท่านพูดบ้างดีกว่านะ ทุกข์เพราะอะไรอีก
(ทุกข์เพราะตัวเอง, ทุกข์เพราะการเกิด, เอาเรื่องที่เขาพูดไปคิด, ความโกรธ, สุขภาพ, เรียนไม่เก่ง, ความอยาก, ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะทำผิดเรื่องผัสสะ, ทุกข์เพราะความอิจฉาริษยา)
มนุษย์ทุกข์ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ขนาดมดตัวเดียวเดินผ่านท่านยังทุกข์เลย ยุงตัวเดียวบินผ่านท่านก็ทุกข์ ผมดำเปลี่ยนเป็นผมขาวท่านก็ทุกข์ ผมร่วงท่านก็ยังทุกข์ มนุษย์ทุกข์ทุกๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามา ที่เปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นแล้วก็ที่ดับไป จริงไหม (จริง)  แล้วสาเหตุที่เกิดทุกข์เพราะอะไรล่ะ เพราะใจเรา เพราะความคิดเรา มนุษย์ทุกข์ทุกอย่าง
ขนาดป้ายชื่อก็ยังทุกข์ได้ ขนาดมีไฟหรือไม่มีไฟฟ้าก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยคิดไหมว่าเราจะทุกข์กับการไม่มีไฟ (ไม่เคย)  ขนาดเก้าอี้ตัวนี้ก็ยังทำให้ท่านทุกข์ได้จริงไหม (จริง)  ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำให้มนุษย์ทุกข์ได้ทั้งนั้น แล้วมนุษย์จะพ้นทุกข์ได้เพราะสาเหตุใดเล่า ง่ายๆ มีคำเดียว มีคนตอบแล้วนะ   (สาเหตุที่ทุกข์เพราะยึดติด, ยึดติดกับความทุกข์)  อะไรทำให้เรายึดติดล่ะ (ตัวเรา)
สาเหตุที่ทำให้เราทุกข์เพราะมีตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนมดเดินผ่านมายุงบินผ่านไปจะเกี่ยวอะไรกับเราไหม  พอมีตัวตนจึงรู้สึกว่ามดมาบ้านเรา เริ่มเป็นทุกข์ไหม (เป็น)   เหมือนบอกว่าตรงนี้มีรถคันหนึ่งกำลังถูกคนขโมย ใครมีรถคนนั้นย่อมทุกข์ แต่คนไม่มีรถคนนั้นก็ไม่ทุกข์จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าบอกว่ารถคันที่หายนี้สีขาว ใครทุกข์บ้าง คนมีรถเริ่มทุกข์แล้ว คนที่มีทุกข์เพิ่มขึ้นอีกคือคนที่มีรถคันสีขาว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์เราสามารถปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางความยึดมั่น รู้จักควบคุมอารมณ์ ควบคุมการดำเนินชีวิตให้ถูก แม้ทุกข์จะมาก็ไม่ทำให้จิตใจนั้นสั่นคลอน แม้ทุกข์จะเกิดก็ไม่สามารถทำให้ใจนั้นเกิดทุกข์ได้ เหมือนนั่งตรงนี้ทำไมจึงรู้สึกอึดอัด เพราะคิดว่า ถ้าอยู่บ้านคงสบาย นั่นเพราะเรายึดติดกับความเคยชินที่เคยปล่อยตัวตามสบาย นั่งตรงนี้เราก็เลยง่วง  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่อยู่กับปัจจุบันแต่เราชอบฝันกับอดีต และวาดหวังอนาคตจริงหรือไม่ (จริง)  
สมมติว่าการได้สิ่งที่ถูกใจคือทำให้สุข การได้สิ่งที่ไม่ถูกใจคือ การทำให้ท่านทุกข์ ถามว่าเอาเงินให้ท่าน ท่านดีใจไหม (ดีใจ)  แต่บอกว่าให้บาทเดียวยังดีใจไหม แล้วทุกๆ วันก็ยังคงได้เพียงบาทเดียว ยังดีใจไหม ทำไมสุขจึงกลับเป็นทุกข์ล่ะ
ตอนนี้ถ้าอยู่บ้านคงสบายกว่ากัน แต่ให้อยู่บ้านสักสองสามวัน ทำไมบ้านที่เคยเป็นสุข กลับค่อยๆ กลายเป็นทุกข์เพิ่มขึ้นล่ะ ทำไมสิ่งที่เราบอกว่าเราชอบนั้นจะทำให้เราสุข แต่ถึงเวลาพอได้สิ่งที่ชอบมากๆ กลับกลายเป็นทุกข์ล่ะ ฉะนั้นเราต้องเข้าใจตัวเรานะ ถ้าเราสามารถเข้าใจตัวเราได้อย่างแท้จริง ภาวะภายนอกไม่ว่าจะดีร้ายขนาดไหน จะขึ้น จะลง ใครจะถูกหวย ใครจะไม่ถูกหวย ก็ไม่มีผลต่อจิตใจเรา จริงหรือไม่ (จริง) อยู่ ๆ เจอเงินหนึ่งร้อยบาทดีใจไหม (ดีใจ)  แต่ช่วงที่หยิบกลับถูกบอกว่า เป็นขโมย  ทำไมกลายเป็นทุกข์ใจเลยล่ะ ถูกหรือไม่ หรือถ้าเกิดตอนนี้ได้เงินมาหนึ่งร้อยกลับไปบ้าน ลูกบอกว่า “พ่อๆๆ วันนี้เก็บได้สองร้อย” พ่อกล้าอ้าปากพูดไหมว่า “เมื่อครู่พ่อก็เก็บได้หนึ่งร้อย” เพราะอะไรล่ะ แล้วทำไมเรื่องดีใจจึงกลายเป็นทุกข์ได้
ถามว่าเมื่อเราอยู่ร่วมกัน เวลาเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม เราจะมองเดี่ยวๆ โดดๆ ก็ดูไม่ค่อยงดงามใช่หรือไม่ (ใช่)  สีเมื่อรวมกันหลากสีก็เกิดภาพใช่หรือไม่ ถ้าเราเพ่งแต่สีใดสีหนึ่ง ภาพนั้นจะเกิดความสวยงามในใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อมองต้องมองให้กว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดนตรี เนื้อเพลงท่วงทำนองเพลง ทำไมเราฟังจึงไพเราะ เพราะมีตัวโน้ตตัวเดียวไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นเมื่อจะมองธรรม อย่าเอาเราคนเดียววัดธรรมะทั้งหมด ต้องมองทุกๆ อย่างร่วมกัน เหมือนเวลาท่านจะเข้าใจศิลปะ ท่านจะเข้าใจดนตรี แต่ท่านชอบแต่ตัวโด โดแล้วก็โด ท่านจะฟังดนตรีได้เพราะไหม (ไม่เพราะ)  ท่านจะดูภาพๆ หนึ่งแต่ท่านมองแต่สีแดง แดงแล้วก็แดง แต่ไม่เคยเปลี่ยนจากแดงมาผสมกับเหลืองเพื่อจะกลายเป็นสีส้ม อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นคนที่มองตายตัวเกินไป ฉะนั้นเมื่อเราจะมองสิ่งใดก็ตามจึงต้องรู้จักมองให้กว้าง แล้วก็ดูให้รอบ อย่ามองแค่แคบๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นคนเอียง มองได้ไม่ตรงตามความเป็นจริง มองอย่างไม่เที่ยงตรง
เหมือนสมอง เหมือนปัญญา เหมือนความสามารถของมนุษย์ ถ้ามองดูก็อาจจะธรรมดา แต่เมื่อไรที่เราพยายามขบคิดและช่วงใช้ รู้จักศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ความธรรมดาก็อาจจะกลายเป็นความสามารถที่ไม่ธรรมดาได้ มนุษย์เราจะมีความสามารถไม่จำกัดได้ก็ต่อเมื่อรู้จักนำเรื่องการศึกษาและเรียนรู้น้อมนำมาเพิ่มพูนปัญญา คนที่ดูธรรมดาก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดาได้ เพราะรู้จักเรียนรู้จากสิ่งรอบข้าง เพราะไม่ยกตัวเองจนดูถูกผู้อื่น
นั่งไหม (นั่ง)  นึกว่าไม่อยากนั่งแล้ว เพราะถามว่านั่งเก้าอี้ไหม ก็ดูไม่ค่อยอยากนั่ง แต่ถามว่าให้ยืนเอาไหม ก็ไม่อยากยืน มนุษย์นี่เอาใจยากนะ ยืนมากๆ ก็เมื่อย เมื่อยมากๆ ก็นั่ง นั่งมากๆ ก็เมื่อย เมื่อยมากๆ ก็ยืน แล้วอย่างนี้ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ไม่นั่งไม่ยืน ใช่ไหม (ไม่ใช่)  
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม ถ้าออกเสียง “โด” ให้เอียงคอไปมา, “เร” ยักไหล่, “มี” กระพือปีก, “ฟา” ปรบมือ, “ซอล” ย่ำเท้า, “ลา” ส่ายเอว เมื่อเริ่มเล่นตามโน้ตเสียงดนตรี โด เร มี ฟา ซอล ลา และเพิ่มความเร็วมากขึ้น นักเรียนไม่สามารถทำตามได้ทัน)  
ทำไมพอเร็วๆ แล้วควบคุมไม่ได้ จำก็ไม่ได้ กำหนดเองแล้วก็มานั่งทุกข์เองจากสิ่งที่ตัวเองกำหนดใช่หรือไม่ เราบอกว่าต้องมีเงินเยอะๆ เราจึงมีความสุข พอได้เงินไม่เยอะเราก็กลายเป็นคน (ทุกข์)  ฉะนั้น มีเงินเยอะ มีเงินน้อยก็สุขได้ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป  
เราเล่าตัวอย่างให้ท่านฟังง่ายๆ สมัยก่อนมีชายคนหนึ่งดื่มเหล้าเมา แล้วเผอิญเห็นคนเทียมเกวียนผ่านมา เขาก็โบกขอไปด้วย พอขึ้นไปแล้ว เกวียนก็กระแทกซ้าย กระแทกขวา คนเมาไม่ว่าจะไปซ้ายไปขวาก็ยังหัวเราะ แม้หัวคะมำตัวล้มเกลือกกลิ้งอยู่ในเกวียนก็ยังหัวเราะ จนกระทั่งคนเทียมเกวียนบอกว่า “ระวังนะกำลังจะตกหลุม” ผลสุดท้ายพอตกลงมาจากเกวียนแล้ว เขาก็ยังหัวเราะต่ออีก จบ
แต่ถ้าเป็นตัวเรา โบกเกวียนขึ้นเกวียน กระแทกซ้ายก็เจ็บ กระแทกขวาก็เจ็บ ล้มเกลือกกลิ้งไปมาก็เจ็บปวด พอตกจริงๆ ก็ดิ้นทุรนทุราย ต่างอะไรกัน ต่างกันตรงไหนล่ะ พอตอบได้ไหม คนหนึ่ง “ลืมตัวลืมตน” แต่อีกคนหนึ่ง “มีตัวมีตน” ใช่หรือไม่
แล้วตัวเราล่ะ กำลังหลงเมาอยู่กับอะไร เขาบอกว่าเมากับอันนี้จะทำให้ทุกข์นะ เราก็หัวเราะ คนบางคนเมาความรัก เมาเกียรติยศ เมาความโลภ เหนื่อยสายตัวแทบขาดอยากได้เงินเยอะๆ ก็ยังหัวเราะได้เพียงเพื่อขอให้ได้เงิน หลงจนหน้ามืดตามัว เขาจะรักหรือไม่รักไม่สนใจ แต่ขอให้ฉันได้รักและยังมีเขาอยู่ใช่หรือไม่ แล้วตัวเราล่ะ เรากำลังเมากับอะไรอยู่หรือเปล่า แล้วเราควรจะมีสติเพื่อจะได้รับความเจ็บปวด หรือควรจะลืมตัวลืมตนจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอะไร แล้วหลงไปกับมายาโลกใบนี้ดี เราเคยคิดไหม ฉะนั้น เราจะดำรงอยู่อย่างไรในโลกนี้ล่ะ ที่จะทำให้เราไม่สั่นคลอนต่อทุกข์สุข ดีร้าย ได้เสีย โลภโกรธหลงนี้และอยู่ได้อย่างปลอดภัย มีคำๆ เดียว พุทธะกล่าวว่า “ให้ดำเนินชีวิตตามหลักอกรรมคือ อยู่โดยไม่ครอบครอง ประกอบกิจโดยไม่หวังผล ถ้าทำได้ก็จะทำให้เราไม่ทุกข์จนเกินไป แต่จะสามารถแปรทุกข์ให้กลับกลายเป็นด้านสุข ถึงจะเผลอหลงลืมไปบ้าง สตินั้นก็จะดึงกลับมา ทำให้เรามองเห็นอย่างแจ่มชัดว่า ไม่ควรหลงจนเกินไปนะ ทุกข์แล้ว เจ็บแล้ว ตื่นเสียทีสิ แล้วเราสามารถทำได้อย่างนั้นไหม
เหมือนนั่งตรงนี้แม้จะลืมตัวลืมตนไปบ้าง แต่จิตเป็นหนึ่งเดียวในการฟัง ศิษย์น้องในชั้นนี้เคยเล่นเกมนานๆ แล้วลืมหิว ลืมปวด ลืมเมื่อย  จนเมื่อวางเกมลงถึงรู้สึกว่าหิวแล้ว เมื่อยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามนุษย์มีจิตจดจ่อเป็นหนึ่งเดียว  เราจะสามารถลืมเจ็บ ลืมหิว ลืมปวด แล้วก็ลืมตัวลืมตน แต่ขอให้จิตจดจ่อนั้นเป็นสุขกับการทำ แล้วเราก็จะลืมเมื่อยไปเลยจริงไหม (จริง)  ทำไมเป็นได้เฉพาะเวลาเล่นเกม แต่บางคนก็เคยเป็นเวลาที่อ่านหนังสือดีๆ เรารู้สึกเหมือนเราจมดิ่งลงไปในความรู้แล้วไม่อยากจะออกจากความรู้นั้นเลย  หรือเหมือนเราฟังเพลงดีๆ เพราะๆ จิตเรารู้สึกเย็นเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้ามนุษย์มีใจที่สุขในการทำสิ่งใด และจดจ่อเป็นหนึ่งเดียวเราจะสามารถลืมโลกทั้งโลกได้ เหมือนเวลาไปดูหนังหรือเวลานั่งดูทีวี ฉะนั้นถ้ารู้จักดึงเอาจิตนั้นมาทำงาน ดึงเอาจิตนั้นมาใช้ในการดำเนินชีวิต ความทุกข์ความเจ็บปวดก็ทำอะไรเราไม่ได้ ภาวะภายนอกก็ยากที่จะมีผลสั่นคลอนจิตใจเราได้เพราะรู้จักควบคุมใจของเราให้เป็น อย่าเป็นคนที่รู้ใจคนอื่นไปหมด (แต่ไม่รู้ใจตัวเอง)  อย่าเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นไปหมดแต่ (ไม่เข้าใจตนเอง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม  เห็นคนอื่นชัด แต่ทำไมมองตัวเองไม่ชัด แล้วทำอย่างไรล่ะเราถึงจะสามารถมองตัวเองได้ชัด เห็นสรรพสิ่งได้อย่างถ่องแท้ นั่นก็คือเราเคยเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้นพอขึ้นไปถึงที่สุดแล้วจะต้องตกลงมา ฉะนั้นตอนนี้แหละ เมื่อเราทุกข์ไปถึงที่สุด เราก็อาจจะคิดได้ว่าเดี๋ยวมันก็ตกลงมาสุขเอง เหมือนเราร้องไห้จนถึงที่สุดแล้วเดี๋ยวสักพักเราก็นั่งหัวเราะว่าร้องไปทำไม
พอเวลาผ่านไปสรรพสิ่งผ่านไปเราจึงได้เข้าใจชีวิต ฉะนั้นถ้ามีอะไรมากระทบ เราสามารถมองให้เหมือนจบคราวเดียวได้ไหม ถ้ามองได้จนจบ มองพัฒนาการตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เราจะทุกข์อะไร แล้วเราจะสุขอะไร เพราะเรามองเห็นชัดเจนแล้ว  เหมือนเรารู้เหตุและผลของวัฏฏะการเวียนว่ายแล้ว เราจะเวียนว่ายไปกับการร้องไห้ หัวเราะ ทุกข์ สุข  ได้ เสีย มีโชค มีเคราะห์ไหมล่ะ เพราะเมื่อวิ่งไปถึงความสุข ถึงที่สุดก็ต้องกลับมาทุกข์ แล้วทุกข์ไปถึงที่สุดก็กลับมาสุข แล้วจะร้องไห้หัวเราะเพื่ออะไร
ฉะนั้นเราอยากมองสรรพสิ่งให้ได้ชัดเจนจงมองให้รอบด้าน มองเห็นเหตุผลของวัฏจักรให้ครบองค์ แล้วเมื่อนั้นท่านจะสามารถมองสรรพสิ่งได้อย่างเปิดกว้าง และมองเห็นความแตกต่างอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เมื่อจิตเราบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่เอียง ไม่เอน เราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับฟ้าดิน คนดำ คนขาว คนดี คนร้ายได้อย่างกลมกลืนสอดคล้อง เพราะมองเห็นอย่างรอบองค์ของวัฏฏะ จริงไหม (จริง)  นั่งเงียบเลย สิ่งที่เราพูดยากเกินเข้าใจไหม (ไม่)
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าวันนี้มีคนชม “สวยจังเลย” “เก่งจังเลย” ท่านจะยิ้มออกไหม (ยิ้มออก)  นั่งๆ อยู่มีคนชมสวย พออีกสิบคนผ่านมา จะชมท่านสวยไหม (ไม่)  พอเขาไม่ชมเราเริ่มหงอย พอเขาว่าเราเริ่มซึม พอเขาด่าเราเริ่มตาย แล้วเราต้องยืนรอไปกับคำชม คำด่า คำแช่ง คำว่า อีกกี่รอบล่ะ ถ้าเราสามารถรู้ว่าเมื่อมีชมต้องมีคนด่า เมื่อนั้นใจท่านก็จะไม่กระเพื่อมไปกับสิ่งใดๆ เหมือนเมื่อเห็นของสวย ให้มองไว้ว่า เดี๋ยวมันก็โรย เดี๋ยวมันก็ไม่งาม แล้วท่านก็จะไม่หลงจนเกินไป
เมื่อเห็นเงินเยอะๆ ท่านก็จะบอกเดี๋ยวมันก็หมด ได้มาง่าย ก็หายไปง่าย แต่อะไรที่ได้มายาก มันจะหายไปยาก มนุษย์นั้นขี้เหนียว ถ้าหามาแทบเป็นแทบตาย พอจะใช้ก็จะคิดแล้วคิดอีก จะเอาดีไหม แต่พอถูกลอตเตอรี่มาสามร้อยบาท ใช้แป๊บเดียวหมดแล้ว จริงไหม (จริง)  อะไรที่หามายาก ท่านก็จะใช้กันยากขึ้น แต่อะไรหามาง่ายๆ ท่านก็ใช้มันง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมองให้ออก เมื่อมีสิ่งสมบูรณ์สุด ย่อมมีสิ่งที่พร่องสุด เมื่อมีคนได้ ย่อมมีคน (เสีย)  เมื่อท่านหัวเราะต้องมีคน (ร้องไห้)  เมื่อท่านชนะต้องมีคน (แพ้)  ฉะนั้นวันนี้แพ้เพื่อให้เขา (ชนะ)  วันนี้ร้องไห้ เพื่อให้เขา (หัวเราะ)  จะเป็นไรล่ะ พอถึงที่สุดแล้ว พอเราหัวเราะ หรือร้องไห้จนถึงที่สุด เดี๋ยวเราก็กลับมาหัวเราะใหม่ แล้วก็กลับมาร้องไห้ใหม่ ไม่เหนื่อยหรือ (เหนื่อย)
(ศิษย์พี่เมตตา ให้นักเรียนสองคนร่วมเล่นเกม โดยให้เวลาหนึ่งนาที ในการหยิบผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะจำนวนเท่าใดก็ได้ เมื่อหยิบเสร็จแล้วต้องเดินวนรอบห้องหนึ่งรอบ โดยที่ผลไม้ต้องไม่ตก แล้วผลไม้นั้นจะเป็นของคนนั้น แต่ถ้าตกต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ และให้นักเรียนช่วยกันนับเวลา)
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์  ความสุขความทุกข์แม้จะเข้าใจอย่างไรก็ตามแต่ก็ยังหนีไม่พ้น เพราะยังอยู่ในโลกแห่งความปรารถนาอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราจะดำรงชีวิตอย่างไรล่ะ ในเมื่อเราเรียนรู้เราเข้าใจแล้ว แต่เรากลับเอามาใช้ไม่ค่อยเป็น
(ศิษย์พี่เมตตา ให้ทดลองเล่นโดยยังไม่ต้องหยิบผลไม้และให้นักเรียนช่วยกันนับเวลา จากนั้นก็ลดเวลาลงเหลือแค่สามสิบวินาที)
อย่าลืมนะ เราดิ้นรนตามความอยากมากเท่าไร แต่สิ่งที่มนุษย์มีเหมือนกันหมดทุกคนก็คือ ความจำกัดของเวลาและความจำกัดของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดดิ้นรนไปแล้วไม่รู้จักหาความสุขที่แท้จริง มัวแต่ปล่อยให้ตัวเองสุขบ้างทุกข์บ้าง คนนั้นก็ทำลายชีวิตที่เกิดมาทั้งชีวิตอย่างน่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่)
ช่วยกันนับนะ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ
ปรบมือให้สองท่านนี้หน่อยนะ
หยิบลูกเดียว แล้วก็ทำเวลาได้ รู้จักพอ หยิบแค่หนึ่งก็ควบคุมอะไรได้ แต่ถ้าไม่รู้จักพอเราจะหยิบแค่หนึ่งไหม แล้วเราจะควบคุมอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  มนุษย์หนีไม่พ้นความอยาก ฉะนั้น ถ้าเราหยุดอยากไม่ได้ ก็จงควบคุมความอยากอย่างมีปริมาณ อย่าปล่อยให้มันมากเกินจนทำลายความจำกัดของเวลา และทำลายความจำกัดของชีวิต  ถามว่าสองมือของเรานี้ ท่านว่าเราหยิบแอปเปิ้ลได้กี่ผล (สอง, สี่ ฯลฯ)
เราอยากจะบอกว่า แม้จะมีสองมือ แต่จริงๆ มนุษย์หยิบได้ไม่จำกัด แต่เวลามันจำกัดจึงทำให้หยิบได้แค่ (สองผล)  หรือถ้ารู้จักใช้ความรู้ความสามารถแล้วบวกความเจ้าเล่ห์เข้าไปอีกหน่อย ก็อาจหยิบได้ทั้งทานจึงบอกแล้วว่า แม้เราจะเข้าใจหรือเรียนรู้ชีวิตได้มากขนาดไหน แต่สิ่งที่เราต้องตามให้ทันก็คือ ความเจ้าเล่ห์ในตัวเราเองที่ควบคุมยากที่สุด แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ แม้จะรู้ว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ แต่เราก็หยุดยั้งไม่เคยได้สักที จริงไหม (จริง)  อย่าไปคอยโทษใครเลย
ชีวิตก็เปรียบเหมือนเหรียญสองด้าน บางครั้งเราก็คอยถามผู้อื่นว่า ทำไมฉันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมฉันต้องเจอคนแบบนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ แต่พอเราลองคิดด้วยจิตที่มีสติ นั่งนิ่งๆ แล้วเราจะรู้ว่า เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง
ฉะนั้นคนเจ้าปัญหา กับคนที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นปัญหา ก็อยู่ในเหรียญเดียวกันแต่คนละด้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไหร่เรามองเห็นได้ชัด เราก็จะรู้ว่าปัญหานั้นก็คือตัวเรานี่เอง ตัวเรานั่นเองที่ยอมไม่ได้ เสียเปรียบไม่เป็น ถ้ายอมได้ เสียเปรียบเป็น ปัญหาก็อาจจะคลี่คลายได้ง่ายขึ้น คนในโลกนี้ถ้าอดทนได้ถึงที่สุดก็คงไม่มีปัญหาอะไรได้ เพราะความอดทนนั้นต้องเดินไปสู่ความเสียเปรียบบ้าง การยอมบ้าง เมื่อเสียเปรียบได้ ยอมได้ อดทนได้ ปัญหานั้นก็คงคลี่คลายไปได้ ถ้าเรายอมไม่ได้ ทนไม่ได้ ปัญหานั้นก็ยิ่งลุกลามแล้วก็ใหญ่โต จริงหรือเปล่า (จริง)
มนุษย์สุขได้เพราะอะไร (เพราะได้สิ่งที่ต้องการ)  แล้วถ้าไม่ได้จะสุขไหม (เพราะรู้จักปลง, เพราะรู้จักเพียงพอ, พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี, รู้จักพอเพียงในชีวิต, ไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป, กำหนดใจตัวเอง, รู้จักเดินสายกลาง)
“เหนื่อยหน่อยนะสู้กับใจ เหนื่อยแต่ชัด ใช่ทำเพื่อใคร”
วันนี้มาฟังแม้จะเหนื่อยหน่อย แต่ว่าท่านฟังเพื่อตัวท่านเองนะ ไม่ใช่เพื่อคนอื่นเลย ถูกหรือไม่ (ถูก)
“อย่ายอมแพ้ความเหนื่อยใจ อดทนแล้วทำต่อไปไม่กังขา”
ถ้าตั้งใจฟังให้ดีๆ ความลังเลสงสัย ความกังขาก็จะจางไปได้
วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อลดอัตตาตัวตน ปล่อยวางตัวตน ไม่ใช่เพิ่มอัตตาตัวตน ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น อะไรที่เป็นตัวตนที่เคยใช้ที่บ้าน ปล่อยมันทิ้งไว้ที่บ้าน ไม่ต้องลากมาที่นี่ ปล่อยมันบ้างจะได้ทุกข์น้อยหน่อย เราทำบุญทำทาน เพื่อปล่อยวางตัวตน เพื่อฝึกความเสียสละอุทิศให้ หรือเพื่อยึดมั่นถือมั่นล่ะ (เสียสละ)  ฉะนั้นจะหวังผลไหม (ไม่หวัง)  ฉะนั้นจะเขียนชื่อไหม (ไม่เขียน)  ทำแล้วจะขอบุญไหม (ไม่ขอ)  แต่เราทำไหม (ทำทั้งหมดเลย) แล้วอย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติถูกธรรมไหมล่ะ (ไม่ถูก)  มนุษย์ชอบปฏิบัติถูกตัวแต่ไม่ถูกธรรม ขอให้ถูกใจตัว วัดนี้พูดถูกใจ แต่วัดนั้นพูดไม่ถูกใจ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)
วันนี้เรามาทำให้ท่านเป็นทุกข์ไหม (ไม่)  คิดดีก็เป็นสุข คิดไม่ดีก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นสุขกับทุกข์อยู่ที่ท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าการมายืมร่างแบบนี้จะไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้มีปัญญา ไม่มีสิ่งใดในโลกถูกนิจนิรันดร์และไม่มีสิ่งใดในโลกผิดตลอดกาลนาน วันหนึ่งถูกแต่อีกวันหนึ่งอาจจะผิด และวันหนึ่งผิดแต่อีกวันหนึ่งอาจจะถูก ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่มีสุขในโลกที่เที่ยงแท้และไม่มีทุกข์ในโลกที่ยืนยาว ถ้ารู้จักควบคุมชีวิตให้เป็นด้วยสติปัญญาและการศึกษาเรียนรู้ธรรม
วันนี้เราก็ศึกษากับท่านเพียงแค่นี้ เล็กๆ น้อยๆ แต่คงได้อะไรที่สะกิดใจท่านบ้างนะ ปัญหาไม่ใช่อยู่ภายนอกอย่างเดียว แต่บางทีความคิดเราอาจจะสร้างปัญหาได้เหมือนกัน ความผิดไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นอย่างเดียว แต่การที่เรารู้จักยอมนั่นแหละก็คือ ความผิดที่น่ากลัวที่สุดในใจของเรา ผู้อื่นทำตัวไม่น่ารัก ไม่เหมาะสม บางทีก็ไม่ใช่เขาไม่น่ารักไม่เหมาะสมหรอก แต่ตัวเราต่างหากที่ไม่เหมาะสม ยอมเขาตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราถามอะไรอย่างหนึ่งแล้ว คนอื่นไม่ตอบกลับมา อย่าเพิ่งไปโทษเขา เราต้องตรวจสอบตัวเองก่อน ถ้าตรวจสอบตัวเองจนชัดเจนแล้วว่า พูดก็ชัด อธิบายก็รู้เรื่อง แต่เขาไม่ตอบ เขาไม่รับ ก็ไม่ใช่ความผิดเราแล้วนะ ถูกไหม เกิดเป็นคนก่อนที่จะไปโทษคนอื่น ต้องหันมาพิจารณาตนเอง ถ้าพิจารณาตนเองจนรอบคอบแล้ว ไม่ผิดนี่ ก็เป็นความผิดของท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เป็นไรหรอกนะ บอกแล้วว่าในโลกนี้ไม่มีใครผิดตลอดกาลนาน และไม่มีใครถูกนิจนิรันดร์ใช่หรือไม่
เราไปแล้วนะ ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี เอาสิ่งที่ฟังวันนี้ไปตรึกตรองให้ดี ได้ไหม (ได้)  เราก็คงไปแล้วนะ มีโอกาสคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่
ศรัทธาแห่งผู้บำเพ็ญอันคงมั่น ไม่ไหวหวั่นต่ออุปสรรคที่ขัดขวาง
ท้อไปบ้างบิดขี้เกียจกลับสู่ทาง มรรคาสร้างจากผู้ไม่ยอมหยุดเดิน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม


บำเพ็ญไปไม่มีจิตจับจอง บำเพ็ญต้องออกแรงกายใจหนา
ปกครองเป็นให้แกร่งแต่เปี่ยมเมตตา แม้ปัญหาจะหินแต่รู้ทัน
อยู่ยากกว่าอ่อนโลกอกสะท้อน กระดูกกร่อนย่อมผ่านพลิ้วลิ่วประสาน
กรำลมน้ำขัดแต่งแม้สันดาน จวบวิญญาณสิ้นด้วยกรรมสว่างไป
ใจน้อมอ่อนความสุภาพย่อมปรากฏ จากภายในอันลดอุปาทานได้
วางทิฐิจากอัตตาที่มากไป เป็นความแกร่งแข็งใจชนะตน
รูปมายาเปลี่ยนหน้าไม่หยุดนิ่ง ดัดแปลงไม่อาจทิ้งรากอกุศล
หลอกลวงคนเป็นตายให้จำนน ลวดลายทำคนค้นหยุดอย่างไร
ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมแม่ครัวและผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ก้มหน้าก้มตาไม่เงยหน้ามองอาจารย์บ้างเลย มาหาถึงที่ก็ไม่เคยมองหน้าอาจารย์เลยนะ นึกว่าจะก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียวไม่มองหาพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เหนื่อยกันไหม ทานอิ่มหรือยัง (อิ่มแล้ว) อาจารย์เห็นบางคนยังเคี้ยวอาหารอยู่เลย กลืนก่อนนะเดี๋ยวจะติดคอ
ทำงานร่วมกันมีความขัดแย้งไหม (มี) อาจารย์รู้ทำงานร่วมกันย่อมมีขัดแย้งกันบ้างเป็นธรรมดา มีไม่ชอบใจกันบ้าง คนกล้าบ่นก็พูดออกมา คนไม่กล้าบ่นก็เก็บไว้ในใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์อยากถามหน่อยนะความขัดแย้งถ้าเราบ่นออกมาหรือเราเก็บไว้ในใจ จะช่วยลดอะไรได้ไหม มีแต่เพิ่มความเป็นตัวตนให้ยิ่งเจ็บปวดนะศิษย์ เราบำเพ็ญเพื่อลดตัวตน เราบำเพ็ญเพื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นถ้าเห็นอะไรขัดหูขัดตาเรายอมได้ และยอมหมดใจ นั่นก็คือการได้ลดตัวตนออกไปจากใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์บำเพ็ญถึงที่สุดก็คือการกลับไปสู่ความว่าง ไม่ใช่กลับไปสู่ความมี เพราะความมีทำให้เจ็บ เพราะความมีทำให้ทุกข์ และเพราะความมีจึงเกิดนรกและสวรรค์ แต่เราบำเพ็ญเพื่อกลับคืนสู่ความว่างที่เรียกว่า “นิพพาน” ไม่ใช่ “นรก” ไม่ใช่สวรรค์อีกต่อไป
ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญแล้วเดินไปสู่ความว่าง การปล่อยวาง การไร้ตัวตน ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความสุข ยิ่งทำยิ่งมีความสงบ ไม่ใช่ยิ่งบำเพ็ญ ยิ่งทำงาน แต่จิตใจเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่ดีเกาะกินใจอยู่ ศิษย์อยากให้อาจารย์ช่วยรักษาใจ เอาใจมาให้อาจารย์ดูสิ ใจศิษย์เป็นอย่างไร เอาออกมา อาจารย์จะได้ช่วยรักษา จะได้เบาๆ สักที จะได้เย็นๆ ได้สักที อยู่กับความร้อนจิตใจจะต้องยิ่งเย็น ไม่ใช่อยู่กับความร้อน ใครกระทบหน่อยก็ร้อนตาม อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นต้องเข้าใจตรงนี้ให้ถูก อย่ากลัวความยากลำบาก อย่ากลัวการถูกต่อว่า อย่ากลัวการถูกขัดเกลา ยินดีที่ได้รับการถูกต่อว่าและรับการขัดเกลา ดูสิหมาน้อยยังอยากฟังอาจารย์เลย แล้วศิษย์ไม่ฟังก็น่าเสียดาย ใช่หรือไม่
ผลักดันคนขึ้นมายืนอยู่ข้างหน้า อย่าลืมสอนเขาให้ได้ดีด้วย การมาอยู่ข้างหน้าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ดี ฉะนั้นศิษย์ส่งเสริมผลักดันเขาไปแล้ว ศิษย์ต้องสอนเคล็ดเขาด้วย ยืนได้แต่ทำให้ได้ดียากใช่ไหม
ศิษย์ต้องดีใจ ศิษย์ต้องมีความสุข อย่าทุกข์ทรมานกับร่างกายนี้ เราบำเพ็ญเพื่อปล่อยวางร่างกายนี้นะ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม บำเพ็ญเพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อยึดมั่นถือมั่น
การปล่อยวางคืออะไร การปล่อยวางก็คือไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย เรารู้ว่าเราจะมาจากไหน แล้วเรารู้ว่าเรากลับไปที่ใด ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ศิษย์ควรจะหมั่นคำนึงถึงก็คือคุณงามความดี หนึ่งวันได้ทำดีหรือยัง หนึ่งวันได้คิดดีบ้างไหม หนึ่งวันได้รู้จักปล่อยวางบ้างไหม ถ้ายังยึดมั่นถือมั่น ศิษย์ก็เต็มไปด้วยความหนักแล้วศิษย์จะกลับคืนขึ้นฟ้าได้อย่างไร
ศิษย์อาจารย์อยู่ทั่วทั้งสี่ทิศเลยนะ แล้วศิษย์ของอาจารย์มีอยู่ทั่วทุกมุมของหัวใจหรือเปล่า บำเพ็ญธรรมต้องใจกว้าง บำเพ็ญธรรมต้องปล่อยวาง แล้วใจกว้างได้ถึงที่สุดหรือยัง แล้วทำไมยังหวงยึดมั่นถือมั่น ถ้าศิษย์ทำได้ดีแล้ว ก็จงทำต่อไป แต่ถ้ารู้ว่าอะไรผิดก็ต้องกล้าที่จะแก้ไข ชีวิตนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ต้องทุกข์แล้วถึงจะกลับมาบำเพ็ญหาอาจารย์หรือ ฉะนั้นรู้จักแก้ทุกข์ให้ถูกนะ แล้วการบำเพ็ญก็ไม่ใช่เรื่องยาก กลัวอะไร
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
ผู้มีความมุ่งมั่นย่อมชนะฟ้า ผู้ไร้ความมุ่งมั่นฟ้าย่อมชนะคน อยากมีชะตาชีวิตเป็นไปตามที่ฟ้ากำหนด หรืออยากมีชะตาชีวิตอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้เลือกเอง ถ้าอยากเป็นผู้เลือกชีวิตเองเราต้องมีความมุ่งมั่น ถ้าไร้ความมุ่งมั่นเดินสะเปะสะปะ ชีวิตก็ไม่รอดพ้นจากกรรมลิขิต
ทานกันอิ่มไหม (อิ่ม ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)  แค่ถามว่ากินข้าวอิ่มหรือยังก็เรียกว่าเมตตาแล้วหรือ จิตใจที่รู้จักห่วงผู้อื่น จิตใจที่รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่นก็เป็นเมตตาที่ควรจะมีไว้ในจิตใจบ้าง เพราะมนุษย์ในโลกนี้มัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมห่วงผู้อื่น ตัวเองอิ่มจนลืมให้คนอื่นอิ่มด้วย เราเคยไหมตอนหิวๆ นึกถึงแต่ตัวเอง มนุษย์ตอนหิว นั้นก็พยายามนึกถึงความดีที่ตัวเองได้ทำ แต่พอเวลาอิ่มแล้วก็นึกถึง (ผู้อื่น)  นึกถึงผู้อื่นตรงไหน ทำอย่างไรจะได้จากคนอื่นมา ถึงเวลาก็นึกแต่ว่าฉันเป็นคนดีนะ ฉันเคยช่วยคนโน้น ฉันเคยช่วยคนนี้ ทำไมคนนี้คนนั้นไม่ช่วยฉันเลย แต่เวลาอิ่มแล้วเป็นอย่างไร ฉันจะเอาอะไรจากคนโน้นคนนี้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือนิสัยของมนุษย์จริงๆ หรือ
ฉะนั้นถ้าไม่รู้จักควบคุมนิสัย ไม่รู้จักดูแลระมัดระวังก็ง่ายที่จะถลำลึกและผิดพลาดลงไปเรื่อยๆ เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ที่นั่งที่นี่ทุกคนคิดขึ้นสูงหรือคิดลงต่ำ (ขึ้นสูง)  แต่ว่าจิตของมนุษย์ง่ายที่จะคิดลงต่ำมากกว่าจะคิดขึ้นสูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าเราจะไม่มีจิตใจที่ดีงามในหัวใจบ้างเลยหรือ ศิษย์ว่ามีไหม (มี)  ไหนใครว่าตัวเองมีความดีร้อยเปอร์เซ็นต์ยกมือขึ้น มีคนกล้ายกให้อาจารย์ดูนะ มั่นใจใช่ไหมว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เคยมีผิดพลาดเลย (ไม่มั่นใจครับ)  แล้วเมื่อกี้ยกทำไม ขาดสติยั้งคิดใช่ไหม ฉะนั้นเป็นธรรมดา ถามว่าศิษย์ดีไหม (ก็ไม่ดี)  แต่แย่ไหม (แย่)  แล้วศิษย์เป็นแบบไหน แล้วพวกก้ำๆ กึ่งๆ เราเรียกว่าพวกอะไร ดีก็ไม่ใช่ แย่ก็ไม่เชิง จะขึ้นฟ้าก็ไม่ขึ้น จะลงนรกก็ไม่ลง เป็นพวกอะไร เคยได้ยินไหมเราเรียกว่าอมนุษย์
เจอหน้ากันยิ้มแย้มหน่อย เล่าเรื่องตลกๆ ผ่อนคลายบ้างดีไหม (ดี)  ถ้าเกิดเจอหน้ากันอาจารย์ก็พูดเรื่องธรรมะทันทีศิษย์ก็คงไม่ไหว ใช่ไหม
(นักเรียนคนหนึ่งขอรางวัลที่หนึ่ง) ศิษย์เคยได้ยินไหมว่ามีโชครางวัลที่หนึ่งแต่ตลอดชีวิตอับโชคเอาไหม (ไม่เอา, เอา) ทำไมล่ะ รางวัลที่หนึ่งคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้อีกไหม อาจารย์ถามว่าถ้าได้รางวัลที่หนึ่งวันนี้แต่หลังจากวันนี้ ไปอับโชคตลอดศิษย์เอาไหมล่ะ (ไม่เอา)  แล้วทำไมทุกคนถึงชอบซื้อลอตเตอรี่กันนัก  ในเมื่อรางวัลที่หนึ่งนานๆ จะมีคนถูกทีหนึ่งแล้วเราก็เป็นผู้ถูก แล้วหลังจากนี้เราจะถูกอีกไหม จำไว้นะในชีวิตโชคไม่เคยมาสองหน เคราะห์ภัยไม่เคยมาหนเดียว  อย่ามัวกังวลแต่สุขภาพมากจนฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่อง
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์มีสุขเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราคิดว่าความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาตลอดชีวิต ความทุกข์ก็คงทำร้ายจิตทำร้ายใจไม่ได้มากหรอก มีใครในโลกไม่เจ็บ มีใครในโลกไม่เคยตายยกมือขึ้น อาจารย์ถามตลกหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วศิษย์ตายทุกๆ วันที่เกิดมา เมื่อไรลมปราณชีวิตเติบโตเมื่อนั้นรูปลักษณ์เริ่มเสื่อมสลาย อาจารย์จึงไม่เข้าใจว่าเด็กอยากโตไปเพื่ออะไร โตไปเพื่อแก่ตายใช่ไหม ทุกวันเราได้เรียนรู้การเกิด ทุกวันเราได้เรียนรู้การตาย และทุกวันเราได้รู้การเปลี่ยนแปลงหรือเรียกว่าความเจ็บ ล้วนเป็นธรรมดาและล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี ถ้าเราคิดปลอบประโลมใจว่าได้แค่นี้ก็ดีแล้ว เป็นอยู่แค่นี้ก็โชคดีแล้ว  เรื่องชีวิตในโลกนี้ก็คงไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสสากรรจ์  เพราะเราสามารถเอาความคิดตรงนี้มาช่วยทำให้เราปลดเปลื้องความทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ มีใครไม่เจ็บ มีใครไม่ทุกข์ ถ้าเรารู้จักมีสติและมีกำลังใจตั้งแต่เริ่มต้นที่เจอทุกข์ การจะรับมือกับความเจ็บความตายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเริ่มต้นพอเห็นทุกข์ศิษย์ก็หวั่นผวา ศิษย์ก็หวาดกลัวแล้วศิษย์จะสู้อะไรได้ ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นว่าความทุกข์คือธรรมดาของโลก ความทุกข์คือสิ่งที่ทุกคนต้องมี เมื่อเรามองเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ศิษย์จะกลัวอะไรกับการเผชิญหน้า การรับมือ การฟันฝ่าและเอาชนะ ขอเพียงมองให้ออกว่าทุกข์มาจากไหน ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเหตุใด แล้วความทุกข์ก็จะไม่เป็นเรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไปจริงหรือเปล่า (จริง)  
ท้อไปบ้าง บิดขี้เกียจ นั่งเมื่อยๆ ก็รู้สึกไม่อยากที่จะฟังใช่ไหม (ใช่)  ลุกมาสลัดความขี้เกียจสักหน่อยแล้วกลับมานั่งต่อไหวไหม (ไหว)  มีบางคนมาไหวแค่วันเดียว แต่วันนี้น่ายินดีคือศิษย์ยอมไหวทั้งสองวันและจะอยู่จนจบ ขณะจะอยู่จนจบยังไม่กล้าพูดเลยนะ ตัวเราเองยังไม่มั่นใจแล้วใครไปมั่นใจตัวเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
หนทางบำเพ็ญแม้จะไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตศิษย์ แต่ถ้าศิษย์หมั่นพยายามเดินมาดู หมั่นพยายามเดินมาศึกษา จากที่ไม่มีทางก็จะกลายเป็น (มีทาง) จากที่บอกว่าทำไม่ได้ก็จะกลายเป็น (ทำได้)  ได้หรือไม่ได้อยู่ที่ตัวเราเอง อาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้ทาง ศิษย์จะเดินหรือไม่เดินนั้นก็อยู่ที่ตัวศิษย์เอง ไม่เดินก็น่าเสียดายใช่หรือเปล่า (ใช่)
นั่งฟังธรรมะเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เพิ่มอีกวันเอาไหม (เอา)  อย่างน้อยถ้าจิตฟังอะไรไม่รู้เรื่อง จิตที่ได้ง่ายๆ สำหรับสองวันนี้ก็คือ ความอดทนอดกลั้น  ทนในสิ่งที่ไม่เคยทนมาก่อนถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเกิดทนไปบ่นไปอย่างนี้ก็ได้ไม่ค่อยเต็มใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่ได้อย่างเต็มๆ คืออดทนแล้วมีความสุขด้วย ไม่ใช่อดทนแต่ใจบ่นไปด้วย
ถ้าทำได้อย่างที่พูด เรียกว่ามีวาจาสัตย์ อย่าเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกแต่ลืมค้นหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายใน อย่าเรียกร้องให้ผู้อื่นมีสัจจะแต่ตัวเองไร้สัจจะ ไม่ชอบคนอื่นพูดอย่างทำอย่าง ไม่ชอบคนอื่นปากหวานก้นเปรี้ยว เราก็อย่าเป็นพวก (ปากหวานก้นเปรี้ยว) ชีวิตเป็นของเราแล้ว จะปั้นหน้าให้ดูดี แต่หัวใจต้องเจ็บปวดไปเพื่ออะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินไหมแม้จะสนิทกันขนาดไหนก็ต้องพูดแค่สามส่วน อีกเจ็ดส่วนต้องเก็บไว้ รักกันมากขนาดไหนแต่พูดกันหมดก็ไม่เหลือน้ำใจใยดีเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเคยได้ยินไหมไล่เขาไปจนสุดตรอกผลสุดท้ายเขาก็แว้งกัดเรา ฉะนั้นเวลาพูดมีสิบเก็บไว้สักเจ็ด เวลาเดินไปจนถึงสุดทางก็อย่าทำให้คนอื่นเจ็บปวดด้วยคำพูดเลยนะ
ถ้าเวลาเจอพุทธะ หรือเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นรูปปั้น สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่จะวอนขอที่สุดคืออะไร (ลาภยศเงินทอง, ขอให้มีความสุขกายสุขใจ, ขอหน้าที่การงาน) มีหน้าที่การงานแต่ถ้าความสามารถไม่ถึง แม้หน้าที่การงานได้ไปก็เป็นการฆ่าตัวเองตายนะ (ขอให้ครอบครัวเจริญ) แต่ถ้าทำอะไรผิดศีลธรรมจะเจริญไหม (ขอเป็นที่รักของคนรอบข้าง, ขอให้การค้าดี) แต่ถ้าหน้าตาไม่ยิ้มแย้ม พูดไม่จริงใจจะขายดีไหม แถมราคาแพงกว่าชาวบ้านก็ไม่ดีนะ บวกกำไรน้อยๆ แต่ขายไวดีกว่านะ (ขออย่าให้มีความเจ็บความไข้ และขอให้กิจการค้าขายของลูกดีๆ เจริญรุ่งเรือง, ขอให้หายโรคหายภัย) เมื่อเช้าเพิ่งฟังไม่ใช่หรือ ว่าโรคภัยไข้เจ็บเข้าทางปาก กินไม่ระมัดระวังก็อาจจะทำให้ป่วย
(ขอให้ลูกเป็นคนดี) ศิษย์เคยได้ยินไหม ถ้าตัวเองดีปกครองผู้อื่นจะยากอะไร แต่ถ้าตัวเองไม่ดีจะแก้ไขผู้อื่นเป็นเรื่องยากแน่นอน แล้วศิษย์ดีหรือยัง ก่อนจะเรียกร้องให้ผู้อื่นดีต้องถามว่าตัวเองตรงหรือยัง ถ้าไม้บรรทัดตรงวาดสี่เหลี่ยมก็ต้องได้ตรง แต่ถ้าไม้บรรทัดไม่ตรงจะวาดได้เป็นสี่เหลี่ยมไหม (ไม่เป็น) อาจารย์ถามว่าถ้าศิษย์เป็นแม่ปูแล้วลูกปูจะเดินตามแม่ปูหรือไม่ (เดินตาม)  ก่อนจะเรียกร้องผู้อื่นต้องรู้จักเรียกร้องตัวเอง (ขอให้มีสิ่งที่ดีเข้ามาในชีวิต) แล้วเป็นไปได้ไหม ฟ้ายังมีวันสว่างและยังมีวันมืด ชีวิตแน่หรือว่าจะมีสิ่งดีแล้วไม่มีสิ่งร้าย (ขอให้บรรลุธรรม) ศิษย์มั่นคงหรือยัง (ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม) อย่างนั้นก็ต้องตัดม่านกังขาลังเลออกให้หมดนะ (ขอให้เรียนเก่ง) ถ้าไม่ขยันไม่ตั้งใจเรียนจะเรียนเก่งไหม ถึงเวลาเรียนแต่กลับคิดถึงเพื่อน กลับคิดแต่เรื่องโน้นเรื่องนี้ จะฟังครูสอนรู้เรื่องไหม (ขอให้ถูกหวย) ศิษย์ทุกคนอยากได้เงิน แต่ถ้าได้เงินมาแล้วใช้เงินไม่เป็น ศิษย์จะเอาเงินไปทำอะไร อาจารย์อยากจะบอกว่าของที่ได้มาง่ายมักจะหมดไปง่าย (ขอให้พ่อแม่มีความสุข) ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ ปฏิบัติตัวดีพ่อแม่ก็มีความสุขนะ (ขอให้ประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน) เป็นไปได้ไหม เคยได้ยินไหมว่า ผู้ที่ประสบผลสำเร็จและยิ่งใหญ่ในโลกเพราะเคยผิดพลาดมาแล้วเก้าสิบเก้าครั้งและสำเร็จแค่หนึ่งครั้ง
แน่ใจหรือว่าสำเร็จแล้วจะไม่ผิดพลาดเลย หวังแต่ความสำเร็จแต่ไม่เคยไขว่คว้าและลงมือจะได้ไหมแอปเปิ้ล (ไม่ได้ครับ)  แล้วจะทำอย่างไรดีความสำเร็จถึงจะมา (จะทำการค้าขายขอให้เจริญรุ่งเรือง)  เรียนรู้มาก่อนไหมแล้วค่อยมาค้าขาย ยังเรียนรู้ไม่เป็นแล้วจะค้าขายอะไรได้ จะโดนเขาหลอกเอาเปล่าๆ นะ (ขอให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น) จะได้ยังไงถ้าไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ (ขอให้ประเทศชาติสงบสุข, ขอให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง)  บารมีเกิดได้ก็คือเมื่อได้ยินเรื่องดีๆ แล้ว รู้จักนำเรื่องดีๆ นั้นไปบอกต่อก็จะเกิดบารมี เหมือนเราได้ทำบุญเราก็บอกบุญต่อกับผู้อื่น (ขอให้ร่างกายหายเจ็บหายป่วย, ขอให้คนทั้งโลกรักกัน )  แล้วเรารักคนทั้งโลกไหวไหม อยากให้โลกสันติสุข อยากให้คนทั้งโลกรักกันไม่ทะเลาะกัน ตัวเรารักทุกคนในบ้านหรือยัง ตัวเรารักเพื่อนในห้องทั้งหมดไหม ถ้าไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เริ่มต้นจากที่ตัวท่านสังคมก็คงเป็นแบบท่านได้ แต่ถ้าเกิดว่าอยู่ในบ้านยังบ่นว่าพ่อแม่ อยู่ในห้องยังรักเพื่อนคนนี้มากกว่าคนนั้น จะสามารถทำให้โลกสันติสุขได้ไหม ในเมื่อตัวเองยังคุมใจตัวเองไม่ได้แล้วจะไปคิดคุมคนทั้งโลกได้อย่างไร
อาจารย์ว่าการมีโรคก็เป็นสิ่งที่ดีนะ ทำไมศิษย์ถึงกลัวการมีโรคนัก เมื่อไหร่ที่เรารู้ว่าเรามีร่างกายที่เจ็บป่วยแปลว่าตอนนั้นเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิดพลาด ดีกว่าความผิดมาปุ๊บแล้วเราตายทันที ความเจ็บป่วยเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิดปกติ ในร่างกายเรากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ฉะนั้นอย่ากลัวความเจ็บป่วยเพราะความเจ็บป่วยสอนให้มนุษย์รู้จักดำเนินชีวิตกลับมาสู่หนทางที่ถูกและเรียกว่าความเข้มแข็งอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจะกลัวอะไรกับความเจ็บป่วย เพราะความเจ็บป่วยเตือนให้เรารู้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิดไปหรือหนักไปหรือเปล่า  
(อยากให้ครอบครัวมีความสุขมีความเจริญ)  ถ้าอยากให้ครอบครัวมีความสุข สิ่งง่ายๆ ที่ศิษย์ควรทำ คือไม่เอาเรื่องของคนอื่นออกจากปากเรา  แล้วคนนั้นจะสามารถทำให้ครอบครัวมีความสุข ไม่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่น ทำได้ไหม (ได้)
เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน ถ้าเราสามารถดำเนินชีวิตให้พ้นทุกข์ได้ คนอื่นก็อยากเลียนแบบ
(ขอให้ตัวเองพ้นทุกข์, ขอให้ผู้ที่อุทิศตัวอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลอดภัย, ขอให้ตัวเองและผู้อื่นเข้าใจธรรมะ) สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาก็คือ เงินทอง ชื่อเสียง อายุยืนก็คือสุขภาพแข็งแรง และสิ่งสุดท้ายก็คือเป็นที่รักของชนหมู่มาก แต่พุทธะคิดกลับกัน ถ้าได้เงินมากแต่แยกแยะผิดชอบไม่เป็น ยอมไม่มีเงินทองดีกว่า นี่คือสิ่งที่พุทธะคิด มนุษย์คิดว่าการไม่มีตำแหน่ง ชื่อเสียงเป็นเรื่องต่ำต้อย แต่พุทธะบอกว่าได้ตำแหน่งมาแต่ทำผิดไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาปนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่า
มนุษย์อยากมีอายุยืนและสุขภาพแข็งแรง แต่พุทธะบอกว่าแม้จะอายุสั้นแต่มีความดีให้คนอื่นกล่าวถึง นั่นก็เพียงพอแล้ว ดีกว่าอายุยืนแต่ไร้คุณความดีให้ปรากฏ มนุษย์ทุกคนอยากให้มีลูกหลานอยู่ใกล้ๆ ตัว อยากให้ลูกหลานรักดูแลเรา แต่พุทธะบอกว่า ลูกหลานจะรักดูแลเรา ผู้อื่นจะรักเราหรือเปล่า ต้องมองดูที่ตัวเรา ถ้ามีศีลธรรมถ้ามีคุณงามความดี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อให้เดินไปสี่ทั่วคาบสมุทร ทุกคนก็อยากเป็นเพื่อนท่าน ทุกคนก็อยากรักท่าน เพราเขาไม่ทอดทิ้งคุณธรรม และรู้จักมีน้ำใจเพื่อผู้อื่น ไม่เห็นแก่เงินทองชื่อเสียง แต่เห็นแก่ความถูกต้องดีงามมากกว่า มนุษย์มัวแต่หวังสรรพสิ่งภายนอกแต่ลืมความงดงามภายใน มนุษย์อยากมั่งมีเงินทองแต่กลับไม่มีความมั่งมีความดีภายในจิตใจ มีประโยชน์อะไร มีเงินแต่ไร้ศีลธรรม ใครจะรักใครจะคบ ขอให้อยากอย่างถูกต้อง อยากอย่างคนที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ดีหรือไม่ (ดี) ฉะนั้นเกิดเป็นคน สิ่งที่มนุษย์ไม่ควรหลงลืมก็คือ ผิดชอบชั่วดีและความละอายเกรงกลัวต่อบาป และความเมตตาธรรม ไม่ว่าจะหาเงินหาทองหรือหาอะไรก็ตาม สามสิ่งนี้พยายามอย่าลืมเลือนไปจากใจ หรือเป็นคนที่พูดได้ก็ต้องทำได้ ที่เรียกว่ามีใจสัตย์ซื่อพูดคำไหนคำนั้น และที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็คือศีลธรรมหรือศีลห้า มีศีลก็ย่อมมีธรรม มีธรรมก็ย่อมมีศีล และธรรมนั้นอยู่ที่ไหน ธรรมนั้นก็อยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ระหว่างผลประโยชน์กับความดี ระหว่างเงินกับความถูกต้องศิษย์เลือกอะไร (ความถูกต้อง)  ขายอะไรก็ขายได้ แต่อย่าขายคุณความดีไปพร้อมกับสิ่งของที่ได้มา หรือสิ่งของที่ต้องเสียไป     
การอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอยู่ให้ดีแล้วอยู่ให้กลมกลืน อยู่โดยไม่มีปัญหา อยู่โดยไม่ขัดแย้งเป็นเรื่องที่ยาก แต่ศิษย์เคยเห็นไหม ฟ้ากับดิน ต่างกันมาก ฟ้าใสโปร่งเบา แต่ดินกลับขุ่นดำ แต่เพราะฟ้ากับดินยอมประสานกันจึงเกิดสรรพชีวิต ถ้ามนุษย์ยอมรับความแตกต่างของผู้คนจึงเกิดสมดุล ดั่งคำปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ฟ้าไม่ได้ถือตัวว่าสมบูรณ์แต่ก็ยังมีข้อบกพร่อง มนุษย์เฉกเช่นเดียวกัน ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ได้สมบูรณ์แต่มีข้อบกพร่อง ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสมัครสมาน ความแตกต่างเมื่ออยู่ร่วมกันจึงเกิดสมดุล ความแตกต่างเมื่อประสานกลมกลืนกันจึงเกิดสรรพชีวิต ความแตกต่างเมื่ออยู่ร่วมกันจึงเกิดเอกภาพ มนุษย์ที่แตกต่างกันถ้าสามารถอยู่ร่วมกันได้ก็จะเกิดความงดงาม ถ้าเราถือว่าตัวเราขาวคนอื่นดำเรารังเกียจคนดำได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราคิดว่าตัวเองดี แต่คนอื่นชั่วร้ายหมด เราไม่อยากให้คนชั่วร้ายอยู่ในโลกได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นมีขาวย่อมมี (ดำ) มีใสก็ต้องมี (ขุ่น) มีดีก็ต้องมี (ไม่ดี) ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจสรรพชีวิต เข้าใจสัจธรรมของความเป็นจริง เราก็จะรู้ว่าเกิดเป็นคนอย่าได้เดินหน้าแต่ถอยหลังไม่เป็น เกิดเป็นคนอย่าได้หวังแต่จะได้ แต่ให้ไม่เป็น เกิดเป็นคนอย่าได้รู้จักแต่ใช้ชีวิต แต่ถนอมชีวิตไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ดั่งที่ปราชญ์โบราณพูดไว้ว่า ถ้าน้ำไหลมากๆ โดยที่ไม่เก็บสะสมจะเกิดความเหือดแห้ง น้ำเอาแต่เก็บนิ่งแต่ไม่เคยไหลให้กับผู้อื่นก็เกิดความเน่าเหม็น ฉะนั้นเกิดเป็นคนความดีไม่ทำ ความชั่วไม่แก้ไข ชีวิตย่อมใกล้กับอันตรายเป็นแน่แท้ จริงไหม (จริง) ถ้าเกิดหมั่นสร้างความดีเล็กๆ น้อยๆ ไม่มองข้าม ความชั่วเล็กๆ น้อยๆ รีบเร่งแก้ไข เราย่อมสามารถเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมนุษย์เรามีความสมดุลกับชีวิตไหม วันนี้แข็งแรงพรุ่งนี้อาจเจ็บป่วยก็เป็นได้ วันนี้ได้พรุ่งนี้เสียก็เป็น (ธรรมดา) ฉะนั้นเราจะกลัวอะไร นี่แหละเรียกว่าชีวิต เรียกว่าความสมดุล
วันนี้อาจารย์พูดย่อมมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา มีคนพูดเบาและมีคนพูดดัง มีคนตอบและไม่ตอบ นี่คือความสมดุล ถ้าเรามองชีวิตออกชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจและรู้แจ้ง เมื่อเรามองออกและรู้แจ้งเราจะรับความเป็นจริงแห่งชีวิตได้อย่างเป็นสุข ไม่ว่าจะด้านไหนมาก็ตาม
ความทุกข์มีดีอะไรแล้วความสุขมีข้อเสียบ้างหรือไม่ (ความทุกข์ให้บทเรียน, ความทุกข์ทำให้มองเห็นจิตใจตัวเอง, ความทุกข์ทำให้เรารู้คุณค่าของความสุข, ความทุกข์ทำให้เข้มแข็งและอดทน, ความสุขทำให้หลงและลืมตัว แต่บางทีความทุกข์ทำให้เรามีสติในการดำเนินชีวิต กายทุกข์ได้ แต่ใจอย่าทุกข์, ยอมทุกข์เพื่อให้คนอื่นสุข) แล้วเราเคยยอมทุกข์เพื่อให้คนอื่นสุขบ้างไหม (เคย)  เหมือนวันนี้ยอมมานั่งฟังเพื่อคนที่ผลักดันนั้นมีความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่)
(ทุกข์เพราะไม่อยากเกิด) แล้วเราหยุดการเกิดได้หรือยัง (ยัง)  ศิษย์เคยได้ยินคำว่าตายก่อนตายไหม นั่นก็คือหยุดการเกิดได้ การตายก่อนตายก็คือหยุดการเกิด เกิดอะไร เกิดอยากโน่น เกิดอยากนี่ เกิดคิดนั่นเกิดคิดนี่ จริงๆ ชีวิตศิษย์ก็พอได้แล้ว (การทำความดี) ความทุกข์ทำให้เราหลงลืมการทำความดี
(ความทุกข์ทำให้เราร้องไห้ ความสุขทำให้เรายิ้มได้)  ศิษย์เคยได้ยินไหมไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราเลวร้าย
อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์เห็นชัดๆ ทุกข์เพราะโดนหลอกง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถามง่ายๆ นะ ในบ้านศิษย์มีอะไรเยอะที่สุด อันนั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์มากที่สุด
(ทุกข์เพราะคนเยอะ, เพราะเราต้องห่วงเขา ดูแลเขา แล้วก็ต้องเอาใจ ดูแลสุขภาพจิต สุขภาพกาย และการศึกษา รวมทั้งเงินทองทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เป็นทุกข์ แล้วทุกข์นี้ก็ไม่ได้หายไปเลย เพราะยังเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และยังอีกยาวไกล)  อาจารย์ถามหน่อยนะ คนที่เรียกว่าคู่ชีวิตของศิษย์ ก่อนที่ศิษย์จะตกลงปลงใจเอาคู่คนนี้มา ศิษย์รักเขาไหม (รัก) แล้วศิษย์รู้ไหม รักนี้จะตามมาด้วยห่วงที่สอง ห่วงที่สาม ห่วงที่สี่ รู้ไหม ฉะนั้นศิษย์ต้องเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าศิษย์มั่นใจว่าจะปักหลักกับคนนี้แล้ว ศิษย์ก็ต้องอดทนต่อไป แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า คนทุกคนมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ศิษย์ห่วงได้แค่ไหนถึงเวลาศิษย์ก็ดูแลเขาไม่ได้หมด ใช่หรือไม่ (ใช่) จงมีสุขกับสิ่งที่เป็น ทำไมตอนนั้นศิษย์ถึงมีความสุขมาก และมั่นใจว่าคนนี้คือความสุข ศิษย์ลืมเลือนจิตใจนั้นไปหรือยัง ลืมเลือนไปแล้วใช่หรือไม่ ลองเอากลับมาสิ แล้วความอบอุ่นและความร่มเย็นในบ้านจะบังเกิดได้ ผ่อนปรนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วความสุขจะกลับคืนมาสู่บ้านเราได้
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกก็คือว่า มนุษย์นั้นพยายามอยากให้ทุกคนดี แต่เพราะความคิดที่อยากให้ทุกคนดี เราก็เลยเข้มงวดจนเกินไป ถ้าเข้มงวดจนไม่รู้จักผ่อนปรนบ้าง บ้านก็กลายเป็นไฟได้ ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า สิ่งที่ศิษย์ต้องรักษาความสมดุลก็คือ ความเมตตากับความเข้มงวด เอาให้พอดีๆ รักและเมตตาจนเกินไปก็กลายเป็น (ทุกข์)  เข้มงวดกวดขันจนเกินไปก็กลายเป็น (ทุกข์)  ฉะนั้นจงหาจุดสมดุลระหว่างความรักและความเข้มงวดให้พอดีตรงกลาง จะได้ไม่ทุกข์มาก แต่ก่อนจะเริ่มต้นหาจุดสมดุล จงพอใจกับสิ่งที่มีที่เป็นก่อน คิดว่าได้แค่นี้ดีแล้ว สิ่งที่มีอยู่ดีแล้ว น่ารักแล้ว อย่าไปหวังอะไร ถ้าเรารับได้ อะไรๆ เราก็ทนไหว แต่ถ้าศิษย์รับไม่ได้ อะไรๆ นิดหน่อยศิษย์ก็จะระเบิดอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)
กิเลสของคนมีอะไรบ้างที่ทำให้บ้านมีทุกข์ (ความโลภ ความหลง) ศิษย์เคยได้ยินไหมมะระขมอย่างไรศิษย์ยังกลืนลงท้องได้ แต่อ้อยหวานขนาดไหนก็ยังต้อง (คายทิ้ง)  ฉะนั้นอย่ากลัวความทุกข์ ถ้าเราหาทางออกเราก็จะพบด้านตรงข้ามที่เรียกว่าสุข แต่ขอให้รู้จักดำเนินชีวิตให้มีจุดสมดุล จุดสมดุลที่ผู้บำเพ็ญควรมีก็คือ เข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ความอ่อนน้อมถ่อมตนควรมีอยู่ในชีวิต ความเข้มงวดกวดขันควรเก็บไว้ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ประชุมธรรมสองวันนี้ถ้ามีอะไรทำให้ศิษย์ไม่พอใจ ถ้ามีอะไรทำให้ศิษย์อึดอัดคับข้องใจ อาจารย์ก็ขอโทษแทนผู้ดำเนินงานในชั้นด้วย เพราะที่นี่เป็นครั้งแรกของเขา ฉะนั้นข้อผิดพลาดอาจจะมีมากหน่อย จงให้อภัยกันได้หรือไม่ (ได้)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง “รู้ตัวเจ้าปัญหา” ทำนองเพลง “โอ้ใจเอ๋ย” ที่ศิษย์พี่นาจาเมตตาประทานให้เมื่อวานนี้)
มนุษย์เรามีความดีอะไรที่ควรจะนำออกมามอบให้ผู้อื่น นำมาปฏิบัติไว้คู่กับชีวิต   (นักเรียนขอพระอาจารย์เมตตาทวนคำถามอีกครั้ง)    ศิษย์นั่งหลับแล้วใช่หรือไม่
อาจารย์ถามว่ามนุษย์มีความดีอะไรที่ควรนำมาปฏิบัติต่อคนรอบข้าง  สติอยู่กับตัวไหม
(กตัญญูต่อพ่อแม่, ทำความดีด้วยการอภัยทาน, รู้จักรักคนรอบข้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น, รักตัวเองให้เป็น) แต่อย่าได้เป็นคนรักตัวเองจนไม่รักใครก็ไม่ดี (รักเพื่อนให้เยอะ) แล้วลืมรักคนในบ้านหรือเปล่า เคยไหมรักคนอื่นมากกว่ารักคนในบ้าน ปฏิบัติต่อคนอื่นดีกว่าปฏิบัติต่อคนในบ้าน อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้องนะศิษย์  ศิษย์ของอาจารย์แปลกนะทำดีกับคนอื่น แต่กับคนในบ้านอะไรไม่ดีเอาออกมาหมดเลย จงมีความรักที่เท่าเทียม จงปฏิบัติอย่างคนที่เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่เป็นคนที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง มนุษย์จะดีได้แท้จริงดูกันตอนที่ไม่มีใครเห็นนั่นแหละพอไม่มีใครเห็นอาการที่ไม่ควรออกก็ออกมาหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  (รู้จักคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น, มีความจริงใจให้กับผู้อื่น, ทำความดีในครอบครัว)  ความดีที่ควรทำในครอบครัวคือยิ้มเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
รอนานไหวไหม (ไหว)  หิวน้ำไหม (ไม่หิว)  อยากได้ผ้าเย็นๆ ไหม (ไม่อยาก)  อาจารย์ได้แต่ศิษย์ไม่ได้ก็ดูลำเอียงใช่หรือเปล่า เพราะมีศิษย์อาจารย์จึงได้ฝึกความเมตตา เพราะมีปุถุชนจึงเรียกว่ามีพุทธะ เพราะมีคนที่ไม่น่ารักจึงมีคนน่ารักอย่างศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ด้วยกันในสังคมจึงไม่ควรที่จะดูถูกดูแคลนกัน วันนี้กลับบ้านดึกหน่อยเป็นอะไรไหม (ไม่เป็นไร)  กลับไปแล้วไม่เป็นทุกข์นะ (ไม่เป็น)
นั่งนานๆ แล้วเป็นทุกข์ อย่างนั้นยืนหน่อยดีไหม (ดี)  ยืนนานๆ ทุกข์แล้วค่อยนั่ง ดีหรือไม่ (ดี)  (พระอาจารย์ให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้น) พูดเองก็รับผิดชอบในคำพูดนะ นั่งนานๆ ก็ทุกข์เลยต้องยืน ฉะนั้นต้องยืนๆ นานถึงจะได้ไม่ทุกข์ อยากนั่งหรือยัง (ยัง)  อย่างนั้นก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ไปก่อนนะ หากอาจารย์บอกว่าชีวิตเปรียบเหมือนสายน้ำ สายน้ำคือสิ่งที่ไหลไปแล้วไม่มีวันไหลกลับ  และน้ำเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆ ชีวิต ทุกชีวิตไม่มีชีวิตไหนที่ขาดน้ำได้เลย วันนี้ศิษย์อาจจะขาดได้ แต่ชีวิตศิษย์ในวันข้างหน้าขาดน้ำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ธรรมะก็เปรียบเหมือนน้ำ  วันนี้ศิษย์อาจไม่มีธรรมะได้ แต่ตลอดชีวิตศิษย์เป็นคนที่ไม่สนใจธรรมะ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ณ วันนี้ศิษย์ควรทำแต่ศิษย์ไม่ทำ เหมือนวันนี้ศิษย์ควรเห็นใจเพื่อนแต่ศิษย์ไม่เห็นใจเพื่อน เวลาผ่านไปแล้วไม่กลับ ต่อไปศิษย์จะเรียกความเข้าใจจากเพื่อนไม่ได้ ฉะนั้นธรรมะจึงไม่ต่างจากสายน้ำ ดูเหมือนขาดได้แต่จริงๆ ตลอดชีวิตขาดธรรมะไม่ได้เลย ดูแล้วว่าไหลไปแล้วไม่สามารถไหลกลับ ฉะนั้นชีวิตถ้าเกิดประมาทไม่มีธรรมต่อการดำเนินชีวิตร่วมกันศิษย์ก็จะกลายเป็นคนที่โดนดูผิดไปตลอดชีวิตก็เป็นได้
เหมือนวันนี้ศิษย์ต้องรับผิดชอบ แต่วันหนึ่งศิษย์กลับลืมรับผิดชอบ ร้อยวันที่ศิษย์รับผิดชอบมา กลับสูญสลายไปได้เพียงวันเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  สายน้ำตัดแล้วมีวันขาดไหม (ไม่มี)  คุณธรรมวันนี้ศิษย์ไม่ทำ แต่วันต่อไปศิษย์มาทำศิษย์ก็ต่อได้  คุณธรรมทำให้ศิษย์สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนสมัครสมาน มนุษย์ผู้มีธรรมจะสามารถเข้าถึงจิตใจของคนที่ยากเข้าใจมากที่สุด และสามารถเอาชนะจิตใจที่แข็งที่สุดให้อ่อนลงได้ ฉะนั้นธรรมะไม่ต่างจากน้ำ เมื่อใดศิษย์ดื่มน้ำศิษย์อย่าลืมว่าศิษย์ได้มีคุณธรรมหรือไม่ ธรรมะก็คือสายน้ำ สายน้ำก็คือชีวิต เมื่อใดเห็นสายน้ำเมื่อนั้นเห็นชีวิต เมื่อใดเห็นชีวิตไม่ควรขาดแคลนซึ่งคุณธรรม
มนุษย์อยู่ร่วมกันได้เพราะมีคุณธรรมเกื้อหนุนกัน มนุษย์ผูกพันกันได้เพราะความดีเกี่ยวข้องกัน เงินผูกพันใจใครไม่ได้เท่ากับคุณงามความดีในจิตใจ ชีวิตคือสิ่งที่อ่อนและไม่แข็งจนเกินไป ถ้าแข็งแล้วไม่อ่อนเรียกว่า กระด้าง คำว่าชีวิตคือสิ่งที่อ่อนนุ่ม คำว่าแข็งคือสิ่งที่ตาย  ฉะนั้นต้นไม้ที่ตายจึงไม่มีวันอ่อนนุ่ม ชีวิตที่แข็งกระด้างคือชีวิตที่ใกล้กับความตาย ศิษย์ลองดูร่างกายเด็กๆ อ่อนนุ่ม แต่ทำไมยิ่งโต ยิ่งแข็ง เพราะว่าใกล้กับความตาย จิตใจที่เคยอ่อนนุ่มแล้วเริ่มแข็งกระด้างคือจิตใจที่ใกล้กับความตาย เกิดเป็นคนความอ่อนน้อมคือคุณสมบัติของวิญญูชน ความอ่อนน้อมคือคุณสมบัติของชีวิต ความแข็งกระด้างคือความตายใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้อาจารย์ก็มาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว แล้ววันนี้พอรู้หรือยังว่าเรามาฟังธรรมะเพื่อบำเพ็ญธรรม แล้วอย่างไรเรียกว่าบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญก็คือขัดเกลาแก้ไขตัวเองผ่อนปรนผู้อื่น ไม่มีเวลาที่จะมาจับผิดคนอื่น แต่มีเวลาที่จะตรวจสอบแก้ไขตนเอง ให้ธรรมะกับผู้อื่นย่อมประเสริฐกว่าให้เงินให้ทองอีก เพราะธรรมะทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิต ธรรมะทำให้ศิษย์รู้แจ้งถึงความเป็นจริงและพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นจงรู้จักหมั่นให้ธรรม การให้ธรรมก็มีอยู่สามประการ ให้ธรรมะเป็นทาน  ให้ทรัพย์เป็นทาน และให้แรงกายเป็นทาน แล้วศิษย์ว่าวันนี้ศิษย์พอเข้าใจและได้ธรรมะอะไรกลับไปบ้างหรือไม่  ได้ธรรมะหรือได้เห็นตัวเอง ขอให้ได้ทั้งสองอย่างนะ วันนี้ได้เห็นตัวเองและได้เห็นธรรมะในตัวเอง อย่าให้คนอื่นมีธรรมะแต่ภายในตัวเรากลับไร้ซึ่งธรรมะ  อย่าเอาแต่เป็นกระจกสะท้อนผู้อื่นแต่ไม่เป็นกระจกสะท้อนจิตใจตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “แข็งแกร่งประดุจหินผา”  ซึ่งเป็นพระโอวาทต่อเนื่องจากชั้นประชุมธรรมครั้งที่แล้วที่สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ คำว่า “ธรรมะประดุจสายน้ำ”)
เข้าใจธรรมะประดุจสายน้ำหรือยัง (เข้าใจ)  ชีวิตก็เปรียบเหมือนสายน้ำ ธรรมก็เปรียบเหมือนสายน้ำ มนุษย์อาจจะขาดน้ำได้ แต่ตลอดชีวิตไม่มีน้ำเลยไม่ได้ มนุษย์อาจขาดธรรมได้แต่ตลอดชีวิตไร้ซึ่งธรรมไม่สามารถเป็นคนได้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ธรรมะทำให้มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสมัครสมานอย่างกลมกลืน ขึ้นชื่อว่าวิญญูชนความอ่อนน้อมคือคุณสมบัติของวิญญูชน แล้วความอ่อนน้อมไม่ต่างอะไรกับสายน้ำ เพราะยิ่งอ่อนน้อมยิ่งเอาชนะความแข็งได้ และน้ำใสสะท้อนเงาแปลว่า เกิดเป็นคนต้องมีสัจจะวาจา พูดอย่างใดต้องทำได้อย่างนั้น น้ำกลมก็ได้ เหลี่ยมก็ได้ น้ำอ่อนก็ได้ แข็งก็ได้ ผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืน แต่ไม่เสียอุดมการณ์ของความเป็นคน เข้าใจความหมายที่อาจารย์สื่อให้ไหม (เข้าใจ)  
อ่อนนอกแข็งใน อะลุ่มอล่วยผู้อื่นแต่เข้มงวดกวดขันตัวเอง อ่อนน้อมสุภาพแต่ไม่สูญเสียปณิธานความมุ่งมั่นในตน เมื่อมุ่งมั่นจะทำสิ่งใด อ่อนน้อมต่อผู้อื่นได้ แต่ต้องไม่สูญเสียหลักการของความเป็นคน เรียกว่าอ่อนก็ได้แข็งก็เป็น ชีวิตของมนุษย์เราความอ่อนคุมความแข็ง ความอ่อนยั่งยืนยงต่อความแข็งแกร่ง ฉะนั้นเกิดเป็นคนภายนอกต้องอ่อนน้อมแต่ภายในต้องเข้มแข็งใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความเข้มแข็งคืออุดมการณ์ของความเป็นคน อย่าให้ภายนอกทำให้เราสูญเสียความเข้มแข็งของความเป็นคน แล้วอุดมการณ์ของความเป็นคนนั้นคือ เมตตาจิต ความซื่อตรง รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป รู้จักผิดชอบชั่วดีและที่ขาดไม่ได้คือรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ความอ่อนน้อมเป็นสิ่งที่ทำไม่ยาก แต่ยากที่จะมีคนทำได้ถึง เพราะสายน้ำอยู่ที่ต่ำ เพราะความอ่อนน้อมต้องน้อมลงต่ำ ยิ่งต่ำมากๆ กลับยิ่งเป็นที่รวมของสรรพสิ่งและสรรพความรู้ เป็นศิษย์ของอาจารย์อย่ากลัวกับการอยู่ที่ต่ำ อย่ากลัวการถูกดูถูกเหยียดหยาม ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “จี้กง” นี้ จึงไม่แต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่น แต่ทำไมเลือกที่จะทำตัวบ้าๆ บอๆ เพราะว่าจิตใจที่ยอมอยู่ต่ำจึงสามารถเข้าถึงรากหญ้าของหัวใจผู้คนได้ จึงสามารถคุมจิตใจอันแท้จริงของคนได้ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์อดทนต่อการถูกดูถูกเหยียดหยาม เพราะจิตใจที่ยอมอ่อนน้อมถ่อมตนจึงสามารถประสานกลมกลืนกับผู้อื่นได้มากและกว้างใหญ่ เพราะจิตใจที่รู้จักรักความเรียบง่ายและธรรมดา ไม่ถือตัวไม่ถือตน คือจิตใจที่สามารถปกแผ่ผู้คนให้ร่มเย็นและเป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็ใช้เวลาของศิษย์มามากพอสมควร เป็นธรรมดาถึงเวลามาก็ต้องมีเวลากลับ วันนี้อาจารย์ก็ถึงเวลาของอาจารย์ที่ต้องจากศิษย์ทุกคนไปแล้วขอให้ดูแลตัวเองให้ดี ดำเนินชีวิตอย่างผู้ที่มีธรรม รู้จักเลือกธรรมในการดำเนินชีวิต มากกว่าเลือกทรัพย์สินเงินทอง รู้จักแบ่งปันคุณธรรมของตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น อาจารย์ไม่ได้เรียกร้องเงินทองจากศิษย์ แต่อาจารย์เรียกร้องคุณธรรมจากใจศิษย์ ให้รู้จักส่งมอบต่อผู้อื่น ให้รู้จักเอาไปช่วยคนอื่น มนุษย์ประเสริฐได้เพราะคุณธรรม คนหลุดพ้นได้ก็เพราะเข้าใจ รู้แจ้ง เห็นจริงในธรรม ในเมื่อธรรมดีขนาดนี้ทำไมถึงไม่ค่อยมีใครอยากจะสนใจ น่าเสียดายนะ
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว  ความสามารถเอานำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อผู้อื่นนะศิษย์ แต่ละคนมีความสามารถมีความรู้อย่าเก็บงำไว้กับตัวเอง แต่จงรู้จักเอามาช่วยผู้อื่นบ้าง อย่ามัวแต่ห่วงความสุขของตัวเองจนทำร้ายผู้อื่นเลย รู้จักมอบความสุขให้ผู้อื่นด้วยธรรมะบ้างย่อมประเสริฐกว่า
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว ขอให้มั่นคงในธรรมนะศิษย์รัก ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ เราเคยเป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่ทำไมจึงลืมเลือนไปล่ะ อย่ามัวแต่ห่วงกายจนลืมห่วงจิตใจตัวเอง มั่นคงในธรรมไม่เปลี่ยนแปร วันนี้ร้องไห้ด้วยความอาวรณ์ แต่วันต่อไปอาจารย์คงยังได้เห็นศิษย์นะ ปาดน้ำตาแล้วกลับมายืนสู้ชีวิตด้วยการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอย่างมีคุณธรรม  อาจารย์ไปแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีๆ มีโอกาสเอาธรรมะไปช่วยคน อย่าคิดว่าอาจารย์มาหลอกลวงเลยนะ ถ้าคิดแบบนั้นอาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “แข็งแกร่งประดุจหินผา”
ความเข้มแข็งใครใครก็รู้จัก น้อยคนนักจะรู้อย่างจริงแท้
เอาชนะหาคนเป็นผู้แพ้ ก็ไม่แน่จะถึงความเข้มแข็งใด
ยิ่งได้มากลับยิ่งจะเป็นทุกข์ จิตไม่สุขเพราะได้สิ่งไม่ควรได้
ถอยคืออ่อนผลักคือแข็งธรรมง่ายง่าย อ่อนไม่ได้ผลักออกไปไม่มีแรง
แกร่งให้เป็นคงจะยากกว่าอ่อน หินผายอมกร่อนด้วยน้ำลมพลิ้วแต่ง
ความอ่อนน้อมจากภายในอันแข็งแกร่ง ความเปลี่ยนแปลงไม่อาจเป็นคนทำลาย



พระอาจารย์เมตตาให้แก้เพลงพระโอวาท เพลง “อนิจจังรำพัน” ทำนองเพลง “โอ๊ย โอ๊ย” ซึ่งประทานเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒  ณ สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่ ดังนี้


เดิม “บำเพ็ญไม่หวงแหนหน่ออ่อน”แก้ไขเป็น “บำเพ็ญไม่หวงแหนธรรมหน่ออ่อน”
เดิม “แต่ลึกซึ้ง โอ๊ย โอ๊ย”แก้ไขเป็น “แต่รู้ซึ้ง โอ๊ย โอ๊ย”

เดิม “ด้วยจิตชนะเหนือโลกหน้ากรองแก้ไขเป็น “ด้วยจิตชนะเหนือโลกหน้ากลอง

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา