วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

2551-11-15 สถานธรรมจือเจวี๋ย จังหวัดสงขลา


西元二OO八年 歲次戊子十月十八日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑   สถานธรรมจือเจวี๋ย  จังหวัดสงขลา
สาธุชนกราบประทานพระโอวาทชี้แนะ
จงใส่ใจชีวิตอย่างประณีต ดุจสังคีตอันลงตัวและกลมกล่อม
ผู้บำเพ็ญจริงจริงล้วนรู้ยอม คนอ่อนน้อมจึงสามารถเรียนมรรคา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
โลกมนุษย์แสนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็นเห็นประจักษ์
ศิษย์น้องอยู่ในโลกอย่างไม่ได้พัก มีโลภรักเป็นอาจิณแสนวุ่นวาย
ทั้งใจกายควบคุมอยู่ไม่นิ่ง รู้เรื่องจริงก็ยังแก้กันไม่ได้
นิสัยคนจนหนทางยากเดินไป ไม่แก้ไขดั่งต้นไม้ที่ยืนตาย
จงใส่ใจชีวิตให้มากขึ้น จะเมามึนเนิ่นนานไปเมื่อไหร่สร่าง
มีทุกข์สุขวนเวียนไม่เว้นว่าง ตลอดทางคิดแล้วแต่ไม่รู้ปลง
ทำชีวิตมีคุณค่ากว่าเดิมเถิด เมื่อได้เกิดขอให้ได้หลุดพ้น
แม้แรกเริ่มทางธรรมเรียกให้ทน แต่รู้ตนยามใดแล้วทนสบาย
จงเป็นคนมีธรรมเพราะศึกษา มีปัญญาเพราะว่าใฝ่ฝึกฝน
อย่าเป็นคนคิดร้ายมีเล่ห์กล อย่ากังวลชีวิตนี้ลิขิตเดิน
จงเป็นทองหล่อหลอมแล้วไม่สูญหาย อย่าวุ่นวายแต่ปากท้องลืมจิตญาณ
ในชาตินี้น้องอาจพ้นทรมาน ตื่นทันกาลทำชีวิตก่อนสายเกิน
สองวันนี้ฟังธรรมะปลุกจิตตื่น ชั่วข้ามคืนคนอาจข้ามทะเลทุกข์
แต่อย่าหวังว่าจะได้พบแต่สุข ขอสงบแต่ใจลุกจากฝันร้าย
ชีวิตนี้เปรียบความฝันจงเร่งตื่น การกลับคืนด้วยบำเพ็ญย่อมเป็นได้
หวั่นแต่น้องไม่เสมอซึ่งต้นปลาย ทำเรื่องง่ายเป็นเรื่องยากลำบากตน
สองวันนี้ต้องตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบอันใหญ่ยิ่ง
ขอนำออกซึ่งจิตใจอันแท้จริง อย่าได้ทิ้งความตั้งใจลงกลางคัน
แม้คำพูดไม่ได้เกลาก็ฟังง่าย การกระทำส่อจิตใจไม่เดายาก
คำพูดที่ออกมาไม่ลำบาก คนรู้หลักย่อมใช้ธรรมเป็นทางเดิน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป น้องทั้งหลายทางใกล้ไกลมาพร้อมหน้า
ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีบุญมา ขอศึกษาบำเพ็ญเป็นนิจเอย
อย่าสงสัยให้มากไปจนเกินงาม เฝ้าติดตามคิดตามคำตอบเฉลย
แม้วันนี้นั่งเมื่อยใจร้อนเอย ขอทนเอยได้สิ่งที่ดีกว่าเดิม
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน หวังน้องเปลี่ยนตนเองเป็นคนใหม่
การเป็นคนบำเพ็ญต้องตั้งใจ พ้นเวียนว่ายชีวิตนี้ต้องแลกกัน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑           สถานธรรมจือเจวี๋ย จังหวัดสงขลา
พระโอวาทพระนาจา

ผู้บำเพ็ญอย่าได้เป็นคนหัวรั้น ถูกเกาที่คันอย่าได้อารมณ์เสีย
คำยุยงฟังให้ออกนอกเสียงเชียร์ อย่าให้เบี้ยความวุ่นวายตามหมากเดิน
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจือเจวี๋ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

คนเรียบง่ายแค่พอมีพอใช้ ในมือจากความเปล่าไร้สร้างชีวิต
รูปธรรมมีมากไร้ธรรมเตือนจิต เมื่อคนมีหลงอย่าคิดเจริญใจ
เกิดแก่เจ็บตายสังขารใดอาจเลี่ยง สิ่งใดเที่ยงไม่เที่ยงเพียงครวญใคร่
ความไม่รู้เป็นใจทุกข์มากไป งมงายสุขทุกข์ใหญ่คือคนไม่ปลง
โลกนี้เป็นกองฟอนตอนตื่นรู้ ทั้งเกิดขึ้นตั้งอยู่เป็นทางหลง
ทว่าไม่มีเกิดและไทไม่ธำรง กำหนดลงจิตไปดับทุกข์สุขใด
ตั้งใจกายเพียงตนก็พอแล้ว บำเพ็ญแล้วอย่าแก้ตัวยืนแก้ไข
อย่าอาลัยอาวรณ์ความเป็นห่วงถ่วงใจ เหล่ากิเลสขังคนให้ต้องว่ายเวียน
ตัดซึ่งความติดยึดทั้งถูกผิด ละซึ่งทิฐิถือติดดุจกุมบังเหียน
อุปสรรคดุจความจนยากพ้นเมื่อเพียร อคติเปลี่ยนคิดตนผ่อนชีพเปลี่ยนตาม
ใจคนไม่เปิดกว้างไม่มีโชค อวิชชาโบกใจกั้นปิดไม่อาจข้าม
ฟังใครดุจใครฟังสอนงดงาม นิสัยห่ามลงกลอนอวิชชาทาสคุมนาย
บำเพ็ญอย่าตายตัวก้าวขั้นต่อขั้น วันต่อวันจนอารมณ์เบาสดใส
ต่อนาทีนิสัยคนเผลอเป็นไม่ได้ เรื่องต่อเรื่องปัญญาใส่คนรักคน
ฮิ  ฮิ  หยุด













พระโอวาทพระนาจา
ท่านเคยได้ยินไหม มีคำพูดบอกว่า “คนบางคนวาสนาก็ไม่มี จิตใจก็ไม่ดีอย่างนี้เรียกว่าอาภัพ  แต่คนบางคนกลับกัน จิตใจดี แต่วาสนาไม่ดี จิตใจนี้ที่จะสามารถทำให้สิ่งที่ยากลำบากนั้นผ่านไปได้อย่างไม่ขัดสน” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อไหม จิตใจก็ดี วาสนาก็ดี  ทำอะไรก็มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าคนในโลกนี้หาแบบนี้ได้ง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ส่วนใหญ่จะมีสิ่งหนึ่งแต่ไม่มีอีกสิ่งหนึ่ง อย่างเช่น มีบุญวาสนาดี แต่ใจมักจะคิดร้าย  ทำให้เรื่องที่ดีๆ น่าจะรอดปลอดภัยกลายเป็นเรื่องร้ายไป ตอนนี้มานั่งตรงนี้แล้ว วาสนาไม่ดีอีก ยังคิดไม่ดีอีก เรียกว่าอาภัพใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทางที่ดีก็คือ  แม้ในตอนนี้วาสนาจะไม่ดี ต้องมานั่งทนลำบาก แต่ก็ต้องใช้ใจดีสู้ จิตใจดีเป็นตัวผลักดันให้เกิดสิ่งที่ดี ไม่ทำให้เกิดชีวิตที่ขัดสนและความทุกข์ทนในหัวใจถูกไหม  ฉะนั้นอยากมีโชคสองชั้นไหม ก็คิดเสียว่าวาสนาดี ใจก็คิดดี นั่งตรงนี้ก็จะเป็นสุขสองชั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าคิดว่านั่งตรงนี้ก็แย่ ใจก็แย่ ฉะนั้นใครอยากนั่งตรงนี้แล้วมีโชคสองชั้นหรือนั่งตรงนี้แล้วอาภัพก็แล้วแต่ท่านคิดเอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครผลักดันให้ท่านเปลี่ยนแปลงใจได้ นอกจากตัวท่านเอง
เขาบอกว่าอย่าสูบบุหรี่ ไหนใครห้ามใจตัวเองไม่สูบได้บ้าง ก็ยังเห็นไปแอบสูบอยู่ เขาบอกให้ตั้งใจฟังก็ยังนั่งหลับ ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นได้หรือไม่ได้ก็ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น เขาให้ขนาดไหนแต่สีหน้าบอกว่าไม่รับ ดังคำพูดของคนไทยมักจะพูดว่าหน้าบอกบุญไม่รับ ขนาดบุญยังไม่รับแล้วอะไรดีๆ จะเข้ามาสู่ชีวิตได้อย่างไร ในเมื่อใจเรายังไม่พยายามคิดสิ่งที่ดีเข้าไว้
มีแพ้ก็มีชนะ ยางมีราคาขึ้นก็มีลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะมัวทุกข์ใจทำไม อย่างที่เมื่อสักครู่หัวข้อหนึ่งบอกว่ามองให้เป็น (ธรรมดา) และความธรรมดานั่นก็คือสัจจะความเป็นจริง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม ซึ่งมีอยู่รอบตัวมนุษย์ ไม่มีใครหนีพ้น ทุกคนต้องเจอ แต่เราจะอยู่กับสัจจะความเป็นจริงนี้อย่างไรให้เป็นสุขและไม่ถูกกรงขัง ไม่ถูกอารมณ์ลากไป เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ ตัวท่านเป็นอย่างนั้นไหม เมื่อเจอเรื่องดีหัวเราะ ผ่านไปเจอเรื่องร้ายร้องไห้ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราจะปล่อยอารมณ์ลากชีวิตเราไปอีกนานเท่าไร แล้วเราจะทำอย่างไร เคยได้ยินไหมว่าผู้ที่ควบคุมชีวิตเป็นจะไม่ตกเป็นทาสของอะไรๆ ได้โดยง่าย แต่ถ้าเกิดควบคุมตัวเองไม่เป็นก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของผู้อื่นอยู่ร่ำไปจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราจะจัดการสิ่งที่ไม่แน่นอนในสังคมนี้ได้อย่างไร   กลัวตายไหม (ไม่กลัว) จะบอกท่านว่าผู้ที่รู้จักปลงชีวิตและเข้าใจชีวิตจะกลัวอะไรกับความตาย แต่ผู้ที่ยังปลงชีวิตไม่ได้ ยังเข้าใจชีวิตไม่ได้ย่อมตกเป็นทาสของความตายอยู่วันยังค่ำ ย่อมกลัวความตายวันยังค่ำจริงไหม (จริง)  ถ้ารู้จักปลง ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ความตายอาจเป็นเรื่องที่จะทำให้เราได้กลับบ้านอันแท้จริงก็ได้  ได้พบความสงบอันแท้จริงก็เป็นได้ ฉะนั้นอย่ากลัว แต่จริงๆ เราอยากบอกท่านว่าการตายก็คือการพักผ่อน การมีชีวิตอยู่ก็คือการดิ้นรนไม่จบสิ้น จนกว่าคนนั้นจะหาทางหลุดพ้นที่แท้จริงได้ หรือจนกว่าคนนั้นจะเข้าใจตัวตน ทางหลุดพ้นไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก ทางหลุดพ้นคือการเข้าใจตัวตน รู้เท่าทันอารมณ์ตน ท่านก็จะสามารถพบคำว่าหลุดพ้นได้ ถ้าเราสามารถรู้เท่าทันตัวตน ตามทันอารมณ์ตนจริงไหม (จริง)  เป็นไหม ใครว่าตรงถูกใจหน่อย โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ (เป็น)  
ดังนั้นในสังคมต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย คนดีและคนไม่ดี แต่บางครั้งเราก็อดไม่ได้ พอได้ยินเรื่องราวของคนไม่ดี ท่านมีแต่โกรธแค้น รังเกียจเดียดฉันท์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาฟังเรื่องไม่ดีท่านเป็นยังไง เกลียดจนตัวสั่น อย่าเข้ามาใกล้ ฉันเกลียดคนแบบนี้ แต่เวลาเจอคนที่ดี ชอบใช่ไหม (ใช่)  แท้จริงแล้วคนที่ไม่ดี คนที่น่ารังเกียจนั้นจริงๆ แล้วน่ารังเกียจไหม แล้วคนที่ดีนั้นไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจหรือ
เคยได้ยินไหมเวลาเราโกรธโมโหอะไร แล้วจะมีคนคอยเห็นด้วยให้ทำ (เคย)  เอาเลย ไปลุยเลย ไม่ต้องกลัว แต่คนที่ยุยงกลับนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ตามไปลุยกับเราเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เธอตายก็ตายคนเดียว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาฟังคนก็เหมือนกัน ในโลกนี้ต้องมีทั้งคนชมและคนว่า คนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฉะนั้นใครเห็นด้วยกับเรา เราควรรัก ใครไม่เห็นด้วย เราควรรังเกียจ ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าทุกคนคิดเหมือนท่านหมด เวลาท่านตกน้ำเขาก็คงตกน้ำไปกับท่าน แล้วใครจะช่วยดึงท่านขึ้นจากน้ำล่ะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเจอคนแตกต่างให้คิดว่า ถ้าวันหนึ่งเราเผลอพลาดผิดไป คนที่แตกต่างนั่นละจะช่วยทำให้เรารู้จักยั้งคิดได้ ถูกไหม (ถูก)  แต่เรามักจะรังเกียจเขา ใช่ไหม (ใช่)  ท่านเคยเห็นไหม ถ้าอย่างนั้นลองดูซิว่าในห้องนี้มาด้วยกันแล้วไปด้วยกันไหม หรือว่ามาด้วยกันแต่ต่างคนต่างไป
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ให้นักเรียนในชั้นปรบมือตามคำสั่ง เพื่อดูความพร้อมเพรียง) เป็นธรรมดา ในโลกนี้มีคนทำเหมือนกับเราก็ต้องมีคนทำไม่เหมือน ใช่ไหม ทำใจ ปรบมือหนึ่งที แม้จะผิดบ่อย ก็ต้องอดทนเข้าไว้ เพราะในโลกนี้มีคนที่สอนได้เร็ว กับคนที่สอนได้ช้า  บางคนสอนครั้งเดียวก็เป็นแล้ว แต่บางคนสอนสามครั้งแล้วยังไม่เป็นแต่ก็ต้องอดทน ถึงแม้จะสี่ครั้งแล้วใช้เวลายาวนานหน่อย แต่เขาผิดไปก็ต้องให้อภัย มีคนที่ทำให้เราหงุดหงิดใจไม่พอใจ เราต้องรู้จักอดทนและให้อภัย บางครั้งความอดทนมีจำกัดและคำว่าอภัยของท่านก็มีจำกัด ที่จริงให้ไปก็ไม่มีวันหมด อดทนให้ไปหมดไหม  ยิ่งให้กลับยิ่งอดทนได้มากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่ให้อภัยเมื่อไหร่ก็แปลว่าอดทนไม่ได้แล้ว  ฉะนั้นหมั่นให้อภัย เพราะท่านอย่าลืมว่าคนไม่ดีก็เหมือนจุดดำ คนดีก็เหมือนผ้าขาว ฉะนั้นผ้าจะขาวได้อย่างไรถ้าจุดดำไม่เข้มใช่หรือไม่ (ใช่)  จุดดำยิ่งเข้มเท่าไหร่ผ้าก็ยิ่งดูขาว แล้วเราจะสามารถถนอมผ้าขาวโดยที่ไม่มีจุดดำสักจุดหนึ่งเป็นไปได้ไหม  ฉะนั้นการที่มีจุดดำทำให้เรารู้คุณค่าของผ้าขาวๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอย่ารังเกียจจุดดำ เพราะจุดดำจะทำให้ความขาวนั้นดูมีค่ายิ่งขึ้น  หรือเราพูดง่ายๆ คือ ในโลกนี้ล้วนมีที่มาที่ไป เราเลือกคนดีๆ อยู่กับเราได้ไหม เราเลือกสภาพแวดล้อมให้สวยงามไม่มีเลวร้ายได้ไหม บางทีเราเลือกได้แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาเจอความจริงวันยังค่ำ  ฉะนั้นเราบางทีเลือกไม่ได้ เพราะทุกสิ่งล้วนมีที่มาที่ไป  ใช่อยู่ๆ เขาจะมาอยู่กับเราไหม ต้องมีกรรมมีเวรมาผูกกับเรา  วันนี้กรรมดีท่านเห็นดี  วันหน้ากรรมดีหมดท่านเห็นร้าย  ทนไหวไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตัวเรายังมีกรรมดีกรรมร้าย หรือพูดง่ายๆ ตัวเรายังมีส่วนดีส่วนร้ายแล้วคนอื่น ก็เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะต้องยอมรับว่าทุกเรื่องราวในโลกนี้ไม่มีอะไรที่อยู่ๆ ก็ลอยมา  เราจะเดินมาแล้วมาว่าคนนี้ไหม เราต้องมีกรรมร่วมกัน  แต่ถ้าเป็นกรรมดีก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ากรรมร้ายก็เกิดมีเรื่องกันเคยไหมนั่งอยู่เฉยๆ ก็มีคนมาหาเรื่อง เราเป็นคนดีของเราอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องมาหาเรื่องเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราควบคุมไม่ได้ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยที่มาที่ไป ฉะนั้นเมื่อเจอโชคร้ายจิตใจก็อย่าคิดร้ายตามไปด้วย เราก็ต้องยิ้มเข้าไว้ แล้วบอกว่า ขอโทษเราไม่ได้ตั้งใจ  ฉะนั้นยิ้มเข้าไว้ ใจดีสู้เข้าไว้ดีกว่าไหม  โชคร้ายแล้วเราอย่าคิดร้ายอีก
แม้จะเจอคนที่เราไม่คาดคิด คนที่เราไม่นึกฝันว่าจะต้องเจอ เราก็ต้องเปิดใจให้กว้างและมองไตร่ตรองให้รอบคอบใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราเปิดใจกว้างไตร่ตรองให้รอบคอบ เราก็จะไม่เห็นผิดเป็นถูกหรือเห็นถูกเป็นผิดอย่างมืดบอดไป หรือที่มนุษย์เรียกว่าเสียใจภายหลัง เพราะชอบมองเพียงแค่ผ่านมาผ่านไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคิดอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วคนเรามีสองด้าน เรื่องราวในโลกก็มีสองแง่
วันนี้บุหรี่หมดกระเป๋าหรือยัง อดสักแป๊บหนึ่งจะขาดใจตายไหม (ไม่)  ในเมื่อมีกายแล้วยังละบุหรี่ละเหล้าไม่ได้ แล้วเวลาตายไปท่านจะไม่ยิ่งทรมานหรือ ไม่รักตัวเองก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนทำตามคำสั่งและอีกฝ่ายหนึ่งทำตรงกันข้ามคำสั่ง)
ในโลกนี้ย่อมมีคนเหมือนและมีคนต่าง ต้องมีคนตามและมีคนขัดแย้งใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ศิษย์พี่จะพูดอย่างหนึ่งแต่ก็มีคนอยากคิดอีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ศิษย์พี่อยากบอกว่าไปเหนือแต่ก็มีคนคิดทำไมต้องไปเหนือ ฉันจะไปใต้ใช่หรือไม่ (ใช่) นักเรียนเล่นเกมตามหรือแย้ง  บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักแย้ง ไม่ใช่ไปแย้งคนอื่น แต่รู้จักฝืนตัวเองบ้าง ไม่ใช่ตามใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
การเตือนตัวเองบ่อยๆ เป็นสิ่งที่ดีอย่ารอให้คนอื่นเตือน การรู้ตัวเองก่อนว่าตัวเองมีดีมีเลวอะไรนั่นเป็นสิ่งที่ดี จะทำให้รู้จักแก้ไขและปรับปรุงตัวเองได้ แต่ถ้าไม่รู้ตัวเองรอให้คนอื่นบอกน่าอายใช่ไหม (ใช่)  ผิดก็ต้องแก้ไข ถูกก็ต้องรักษาต่อไป ถามหน่อยคนที่นั่งมีอะไรถูกในชีวิต แล้วมีอะไรที่คิดว่าตัวเองผิดในชีวิต
นั่งมากๆ ก็เบื่ออยากยืนใช่ไหม พอถึงเวลายืนก็อยากนั่ง เหมือนตัวเราเองกว่าจะตามใจเราให้ทันก็ยากเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราต้องตามใจตัวเอง หรือบางครั้งเราต้องรู้จักขัดแย้งใจตัวเอง เพราะว่าการตามใจตัวเองมากๆ ทำให้เราเสียนิสัย กลายเป็นคนขี้เกียจเคยตัว การรู้จักแย้งตัวเองบ้างก็จะทำให้เรานั้นเป็นคนที่อดทนอดกลั้น รู้จักฝืนอารมณ์ คิดอย่างไรอารมณ์ก็ปล่อยออกไปอย่างนั้นไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งเราต้องรู้จักแย้งตัวเองบ้าง แต่บางครั้งเราต้องรู้จักตามใจตัวเองบ้าง แต่อย่าให้ตามใจตัวเองบ่อย จนแย้งตัวเองไม่เป็น ก่อนที่เราจะควบคุมตัวเองได้เราจะต้องรู้ก่อนว่าเรามีอะไรดีและอะไรไม่ดี
ศิษย์พี่ถามหน่อยว่าเรามีอะไรดีและเรามีอะไรไม่ดี เอาดีออกหรือไม่ดีออกดี (ไม่ดีออก)  ถึงว่าจะอยู่กับใครชอบปล่อยนิสัยไม่ดีออกประจำเลยใช่ไหม (ใช่) (มีใจรักอยากจะกตัญญูต่อบิดามารดา) แต่บางครั้งถึงเวลา งานก็มาก่อนพ่อแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรับผิดชอบทางงานก็กลายเป็นสำคัญกว่าความรับผิดชอบในการเป็นลูก  ฉะนั้นบางทีถ้าอยู่ไกล หน้าที่บีบบังคับ สิ่งที่ง่ายที่สุดและทันสมัยที่สุดคือ โทรศัพท์หาทุกๆ วันก็ยังดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปไกลๆ โทรศัพท์บอกจะไปที่นั่น ไม่อยู่นะ พ่อแม่ก็จะได้รู้ และอุ่นใจ เพราะตัวอยู่ไกลแต่บางทีใจอยู่ใกล้ได้ด้วย  (ความเอาใจใส่ ความรักครอบครัว) เป็นสิ่งที่ดี แต่รักและให้เขาเป็นอย่างที่เราหวังนั้นไม่ค่อยดี ต้องรักแล้วให้เขาเป็นอย่างที่ควรเป็น  เห็นลูกคนอื่นสอบได้ที่หนึ่ง แต่ลูกเราสอบได้ที่ลำดับสุดท้ายต้องไม่โกรธ คนที่รู้ว่าตัวเองไม่ดีนี่แปลว่ายังมีดีอยู่ แต่คนที่คิดว่าตัวเองมีดีทั้งหมด ไม่มีไม่ดีเลยแปลว่ายังน่ากลัวอยู่ เพราะคนที่คิดว่าตัวเองดีไปหมด ใครว่าไม่ได้ ใครสอนก็ไม่ฟังใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉันดีใครอย่ามาว่า ฉะนั้นต้องหาให้เจอว่าตัวเราเองมีอะไรไม่ดีจริงไหม (จริง)  มีใจอยากแบ่งปัน อะไรช่วยได้ก็อยากช่วยเหลือ  รู้ว่าการกระทำเป็นสิ่งที่ดีแต่พอถูกสภาวะแวดล้อมบีบคั้นว่าอย่าทำ เราก็ยอมแพ้ รู้ตัวก็ดีนะ  ฉะนั้นเวลาทำอะไรก็ต้องมีความมุ่งมั่น  
ท่านเคยเห็นพระพุทธองค์ไหม ไม่มีใครเคยเห็นแต่เคยได้ยินประวัติความเป็นมา ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ท่านทำนั้นมีใครเห็นด้วยไหม แล้วสิ่งที่ท่านทำนั้น ในสมัยนั้นมีใครยกย่องไหม เป็นถึงกษัตริย์แต่ไปเดินถือบาตรขอข้าวเขากิน เป็นคนที่มีความสุขแต่อยากไปหาความทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ได้อยู่สูงแต่ทำตัวติดดิน มีใครเห็นด้วยกับท่านไหม ตอนแรกไม่มีใครเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สร้างปราสาทสามฤดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน สิ่งที่เรียกว่าความดีมักจะมีอุปสรรค แต่ถ้าเราสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนี้ได้ เราก็คือผู้ที่ชนะตัวเองแล้วก็สามารถเอาความดีที่เราเข้าใจไปช่วยเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อมุ่งมั่นแล้วก็ต้องไปให้ถึงที่สุด อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยแล้วก็บอกแล้วว่าอย่าไป พอไปแล้วเป็นยังไง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเมื่อไปแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด แล้วเอามาให้ได้ เราจะไม่ถูกคนเยาะเย้ย แล้วสิ่งที่เราได้มานั้นกลับสามารถเอาไปช่วยคนอื่นได้อีกด้วย นั่นก็คือความดีหรือคุณธรรมในหัวใจ
พระพุทธเจ้าเคยมีใครมากางตำราแล้วบอกท่านว่าอันนี้เรียกว่าธรรมไหม (ไม่มี) ท่านตรัสรู้ด้วยการรู้ตัวเอง ด้วยการมองตามความเป็นจริง แล้วรู้เห็นสิ่งที่เป็นจริงนั้น แล้วก็หลุดพ้นจากความจริงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วความจริงนั้นมีอยู่เฉพาะสมัยพระพุทธเจ้าไหม (ไม่) สมัยนี้มีไหม (มี) อย่างแรกที่ท่านตรัสรู้คือ อริยสัจ๔ แล้วเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรามองเห็นไหม ชีวิตนี้ใครไม่เคยเห็นคนตาย ไม่เคยเห็นคนเกิด ไม่เคยเห็นคนเจ็บ แม้แต่คนที่อยู่แต่ในบ้านก็เห็นไหม (เห็น) เราเดินเซ่อซ่าสะดุดเท้าตัวเองก็เจ็บเอง เห็นใครเกิด เกิดอารมณ์อยากได้ อยากออกไปข้างนอก อยากไปเที่ยว เห็นใครทุกข์ เห็นใครแก่ เห็นใครเจ็บ เห็นใครตาย บางทีไม่เห็นข้างนอกหรอก เห็นตัวเรา ใช่ไหม (ใช่) หวีผมออกมาหงอกอีกแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น ความเกิดแก่เจ็บตายนั่นแหละที่เป็นสิ่งที่เราต้องรู้และเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจชีวิตเราจะไม่วุ่นวายไปกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย เลย
เราอยากบอกท่านว่าถ้าจิตสงบเราจะสามารถควบคุมสภาวะแวดล้อมและสามารถเลือกสรรสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมกับตัวเราได้ แต่ถ้าจิตเราไม่สงบเราจะถูกสภาวะแวดล้อมนั้นชักพาและโน้มนำไปได้ ฉะนั้นอย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้นว่าคนที่รู้จักควบคุมตัวเองได้จะไม่ตกเป็นทาสของสิ่งใด แต่คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ย่อมง่ายที่จะตกเป็นทาสของทุกสิ่งอยู่ร่ำไป พอจิตเราไม่สงบใครอารมณ์ร้ายมาเราก็ร้ายตาม ใครยิ้มมาเราก็ยิ้มตอบ ใครตวาดมาเราก็ตวาดตอบใช่ไหม (ใช่)
สงบ เราจะบอกว่า เขาบ่นเดี๋ยวก็หยุดเอง ใช่ไหม (ใช่)  จริงไหม มีใครบ่นได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอวันนี้ยังบ่นต่อพรุ่งนี้ได้ไม่หยุด มีไหม (ไม่มี)  ฝนยังตกไม่ถึงข้ามวันข้ามคืน หาได้ยาก ใช่หรือไม่ ฉะนั้นชีวิตไม่มีวันที่มีแต่สุขแล้วไม่มีทุกข์ หรือทุกข์แล้วไม่สุข สักวันหนึ่งมันวิ่งไปถึงที่สุด มันก็ต้องกลับมาสู่อีกจุดหนึ่งวันยังค่ำ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราจะวิ่งตามไปให้เหนื่อย มองมันเหมือนผ่านมาผ่านไป ได้ไหม ถ้าทำใจได้ เมื่อเวลาเจอเรื่องทุกข์ เราจะไม่ทุกข์เกินไป เมื่อเจอเรื่องสุข เราจะไม่สุขจนเกินควบคุม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกข์ก็จะไม่ทุกข์จนเจ็บ สุขก็ไม่สุขจนช็อคตาย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่ามองเห็นความเป็นไป
อะไรทำให้จิตมนุษย์ไม่สงบ ง่ายที่จะถูกภาวะแวดล้อมชักนำ ใครมีโทรศัพท์มือถือ ยกมือขึ้น ใครไม่มีโทรศัพท์มือถือ ยกมือขึ้น ไม่มีเพราะไม่อยากซื้อใช่ไหม หรือว่าใช้ไม่เป็น  จิตท่านไม่สงบ อยากแล้วจะสงบไหม อยากแล้วจะสงบใช่ไหม ไม่อยากอีกใช่ไหม แน่ใจนะ ชีวิตนี้จะไม่อยากอีกต่อไปแล้วใช่ไหม อะไรอีก (กิเลสและความไม่ปลง, ความไม่เพียงพอ, อารมณ์ทำให้เราวุ่นวายไม่สงบ, ความโลภ,ความหลง, ความไม่รู้จักพอ, ความฟุ้งซ่าน, ความกลัว, สูบบุหรี่และกินเหล้าให้น้อยๆ, ความโลภโกรธหลง, ความพลัดพราก)  มีพบก็มีพรากเป็นเรื่องธรรมดาใช่หรือไม่ ถ้าหากมีพบและไม่มีพรากเลย ท่านคงเบื่อหน้าและไม่คิดถึงกันหรอกใช่หรือไม่  คนรอบด้านพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง ท่านเคยได้ยินไหมว่า คนจิตใจหนักแน่นต่อให้เขานินทาว่าร้าย คำนินทาว่าร้ายก็ทำอะไรคนที่จิตใจหนักแน่นไม่ได้ แต่ถ้าเกิดคนที่จิตใจไม่หนักแน่นมั่นคง ต่อให้เขาสรรเสริญเยินยอก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม คนในโลกนี้ถ้ามีความมั่นคงในจิตใจต่อให้ถูกใครว่ากล่าวอย่างไร คำว่ากล่าวก็ทำอะไรใจเขาไม่ได้ เขารู้แล้วว่าอะไรดีอะไรไม่ดีในตัวเอง
คนๆ นี้ไม่มีความมั่นคงในใจ ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง ต่อให้เขาสรรเสริญเยินยอขนาดไหน คำสรรเสริญเยินยอก็ไม่มีผลอะไรที่เขาจะรักษาได้ เพราะเขาคิดว่าฉันดีจริงหรือ แน่หรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และถามอีกฉันมีดีอะไรล่ะ ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข เราต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้เป็นและรู้จักตัวตนว่าเรามีดีมีเลวอะไร แล้วการที่เรารู้จักตัวตนว่ามีดีมีเลวอะไรนั้น จะทำอย่างไรล่ะเราจึงจะมองเห็นตัวเองได้ชัด ในเมื่อพื้นฐานของมนุษย์ถนัดแต่มองออก จับผิด มากกว่ามองเข้าและมองเห็นตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะเราจึงจะสามารถมองเห็นตัวเองได้ชัดเจน เคยได้ยินไหมว่ากาก็มักจะอยู่กับกา หงส์ก็มักจะอยู่กับหงส์ คนกินเหล้าก็มักจะอยู่ที่วงเหล้า ฉะนั้นเพื่อนเราเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยากรู้ตอนนี้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ก็ลองมองดูเพื่อนซิ ถ้าเพื่อนขี้บ่น ขี้นินทา แล้วเราต่างกับเขาไหมนี่ ก็ไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือการมองภายนอก มองคร่าวๆ
เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  บางคนฟังได้ฟังครึ่งเรื่องก็เลิกฟังแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นเรายกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่ง ก่อนจะเล่าให้ฟังเราจะบอกว่าคนที่สามารถรู้เห็นตัวเองได้ชัดเจนนั้น ต้องเป็นคนที่รู้มากกว่าที่เห็น เข้าใจมากกว่าที่ได้ยินคือคนที่มีสติปัญญาในการทำงานหรือทำอะไร มีสติปัญญาในการควบคุมชีวิตตน แต่คนโดยส่วนใหญ่ทั้งในชั้นนี้และผู้ปฏิบัติงานธรรมรู้อย่างไรก็เข้าใจแค่นั้น เห็นอย่างไรก็เชื่อแค่นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างที่รู้อย่างหนึ่งแต่เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง เข้าใจได้มากกว่า ส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม (ใช่)  (ติเพื่อก่อ ยอเพื่อทำลาย)  ท่านพูดได้จริง ติเพื่อก่อ ยอเพื่อทำลาย แต่คนส่วนใหญ่ชอบก่อหรือชอบทำลาย (ทำลาย)  ชอบคนก่อ ไม่ชอบคนทำลาย ทั้งที่จริงๆ แล้ว คนทำลายทำให้เราเห็นตัวเองชัดกว่าคนที่ก่อนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเล่านิทานเลยนะ ประเด็นหลักของเราที่จะคุยกับท่านมีอยู่เรื่องเดียวคือว่าเราจะสามารถมีจิตที่สงบได้อย่างไร เพราะจิตที่สงบนั้นสามารถควบคุมภาวะแวดล้อมและสามารถที่จะอยู่กับภาวะแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม แต่โดยส่วนใหญ่จิตไม่สงบจึงถูกภาวะแวดล้อมชักพาไปเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข
อย่างนั้นง่ายๆ เลย ขออาสาสมัคร ๒ คน เราให้เล่นเกมนะ ให้ท่านออกไปดูว่าที่นี่มีรถกี่คัน ไปแล้วกลับมาแล้วมาบอกเรา อย่านานนะ ง่ายไหม ถามคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครอยากเล่นด้วยยกมือ ท่านลืมตาอยู่ตรงนี้ เราจะถามว่าในห้องนี่มีทั้งหมดกี่คน
มีรถกี่คัน (รถยนต์๑๘ มอเตอร์ไซค์หนึ่ง) เข้าใจตอบนะ รถยนต์สิบแปดมอเตอร์ไซค์หนึ่ง (รถยนต์มียี่สิบสามคัน) ท่านดูด้านหน้าหรือด้านหลัง (ด้านหลัง) แล้วด้านหน้าไม่ได้ดู เราถามต่อมีกระบะกี่คัน มีเก๋งกี่คัน มีสีแดงกี่คัน มีสีขาวกี่คัน มีแต่ละสีไม่เหมือนยังไงบ้าง ตอบได้ไหม ถามท่านมีทั้งหมดกี่คน (มี ๓ คน คนที่นั่งฟังกับคนที่ยืนฟัง คนที่นั่งหลับ) เข้าใจตอบนะ มีคนที่นั่งฟังกับคนที่ยืนฟัง และมีอีกคนหนึ่งไม่ได้นั่งไม่ได้ยืนแต่หลับ มีทั้งหมดกี่คน (๑๙๗ คน) ๑๙๗ คนนับเฉพาะนักเรียนแล้วนับผู้ปฏิบัติงานธรรมหรือเปล่า ถามหน่อยนะ มีอาจารย์กี่ท่าน มีนักเรียนกี่ท่าน มีอาจารย์บรรยายธรรมกี่ท่าน ถามต่อนะคนหลับกี่คน คนไม่หลับกี่คน คนหลับผู้หญิงหรือผู้ชาย รู้ไหมว่าเราเล่นอะไร เพราะมนุษย์นั้นโดยส่วนใหญ่เวลามองอะไร มักจะมองแค่มอง แต่ผู้มีสติปัญญาในการมองจะไม่ทำให้การมองนั้นอับจนปัญญา มองแล้วต้องมองให้แตกฉาน มองแล้วต้องมองให้รู้รอบ พอเวลามองแล้วรู้รอบแตกฉาน เวลาจะไปเจอกับเรื่องอะไรก็จะสามารถรับมือได้อย่างชัดเจน แต่คนบางคนอยู่ในโลกนี้ ฟังก็ชอบฟังข้างเดียว มองก็ชอบมองมุมเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นผู้ที่รู้จักใช้สติปัญญา สามารถเห็นได้มากกว่าที่เห็น เข้าใจได้มากกว่าที่คนอื่นรู้หรือได้ยิน เพราะอะไร เพราะมนุษย์เกิดมาไม่ใช่มีแค่ตา ไม่ใช่มีแค่หู แต่ตาและหูนี้ยังต้องประกอบไปด้วยสติปัญญาและสมาธิ สมาธิจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อการรู้เท่าทันทุกขณะที่เกิดขึ้น ทุกขณะที่เปลี่ยนไป เมื่อเรามีสติรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ไกลเกินเอื้อมที่เราจะพยายามเข้าใจใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์ขอฟังตอนต้นประโยค กับตอนท้ายประโยค ตอนกลางประโยคกลับไม่ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่เวลาเราฟังอะไร เราไม่ฟังเราคอยแต่จับผิด เราเป็นเหมือนชาล้นถ้วย หรือเป็นชาที่คว่ำถ้วยไม่ยอมฟังอะไรเลย พอคนนี้เดินมาฉันรู้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร ฉันไม่อยากฟังหรอกใช่ไหม (ใช่)  อคติมาก่อนแล้วทำให้สิ่งที่ควรจะรู้กลายเป็นไม่รู้ สิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็น อาจจะเป็นก็ได้เพราะความยึดมั่นถือมั่นใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นั้นจิตไม่สงบเพราะไม่รู้จักพอ กับรู้จักพอแบบผิดที่ผิดทางจริงไหม เราควรจะรับฟังให้มากๆ เพราะความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เสมอๆ แต่มนุษย์มักจะบอกว่าพอแล้ว พอแล้ว แต่ความอยากเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องรู้จักพอ แต่มนุษย์กลับไม่พอมีแต่เอามาอีก ใช่หรือไม่ มีใครบ้างวันหนึ่งขอโกรธแค่หนึ่งที ไม่โกรธแล้ววันนี้ เคยควบคุมตัวเองอย่างนี้ไหม แล้วชีวิตเคยนับไหมว่าตัวเองเคยโกรธไปกี่ที แต่ถ้าเรารู้จักจำกัดความโกรธ ความโลภ ความหลง  สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่ทำร้ายชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)ดังคำกล่าวคำหนึ่งว่า  “น้ำดับไฟได้ แต่ถ้าเกิดน้ำวางผิดที่ผิดทางไฟก็ทำให้น้ำเดือดได้” จริงไหม(จริง) มนุษย์คิดว่าชีวิตนี้มีความสุขแต่ถ้าเกิดว่ามนุษย์ครองชีวิตไม่ดีนี่ก็กลายเป็นความทุกข์ได้
น้ำทำให้เรือแล่นได้ แต่บางครั้งน้ำก็คว่ำเรือให้จมได้ ถ้าเรือมีรอยรั่วถูกไหม (ถูก) ชีวิตนี้เราสามารถเดินไปสู่แสงสว่างทางแห่งความดีงามได้ เพราะถ้าใจเราไม่ใฝ่ร้ายความชั่วร้ายจะมาครอบงำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้นอกจากว่าใจเรารั่วเสียเองถูกไหม (ถูก) อย่าบอกว่าสภาวะแวดล้อมทำให้ท่านโมโห เพราะเขาด่า เราก็เลยต้องด่าตอบ ถ้าจริงๆ แล้วเขาด่าแต่ถ้าใจเราเย็นใจเราไม่รั่ว น้ำนั้นจะคว่ำเรือได้ไหม (ไม่ได้)  จบแค่นี้ดีกว่าไหม (ไม่ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้นสลับนั่งลงเป็นแถวๆ )
การบำเพ็ญธรรมก็คือการควบคุมตัวเองให้ได้ ถ้าควบคุมตัวเองได้ ความวุ่นวายภายนอกก็ไม่มีผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ายืนขึ้นนั่งลงแค่นี้ท่านยังควบคุมตัวเองไม่ได้  ฉะนั้นอย่าคิดลองดีกับชีวิตถ้าไม่มั่นใจจริงๆ  มนุษย์ชอบเอาชีวิตไปลองดีใช่ไหม (ใช่)  จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาทจิตที่สงบสามารถควบคุมสภาวะแวดล้อมได้ง่าย  แต่จิตที่วุ่นวายจะถูกดึงรั้งและตกอยู่ร่ำไป  
ในโลกมีคนที่คุยกันรู้เรื่องและคนที่คุยกันไม่รู้เรื่อง  อย่าไปโกรธเขาเลยนะ  ผู้ที่รู้จักนำคนอื่นได้เป็นต้องมีอารมณ์ขันเพราะอารมณ์ขันสามารถแก้ปัญหาทุกๆ  เรื่องได้ด้วยดี  การเป็นคนหรือเป็นผู้นำคนอย่างตายตัว  แก้อุปสรรคอะไรในกลุ่มของผู้ตามไม่ได้หรอก  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคิดจะเป็นผู้นำคนอารมณ์ขันอย่าได้ทอดทิ้ง  เพราะอารมณ์ขันและจิตใจที่เปิดกว้างรับคนทุกสภาพและทุกแบบได้นั้นสามารถแก้ปัญหาและนำพาเขาได้ดีจริงไหม (จริง)  
กับคนดีเราต้องให้กำลังใจ เราต้องช่วยส่งเสริมใช่ไหม (ใช่)  แต่กับคนไม่ดีเราต้องพยายามเปิดใจกว้างและใคร่ครวญให้ดีว่าเขามีเหตุผลอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มีคนโกรธจนฆ่าคนได้ เมื่อใดที่เรายังโกรธจนยับยั้งไม่ได้ เราก็ไม่ต่างอะไรกับเขา เมื่อเรามองตัวเราก็จะเข้าใจผู้คน คนเราหนีไม่พ้นรัก โลภ โกรธ หลง  แต่เราจะพ้นจากรัก โลภ โกรธ หลง  ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักใช้ความพอกับไม่พอให้ถูกที่ถูกทาง ใช่ไหม (ใช่)  โลภ โกรธ หลง  ก็จะไม่เกิดขึ้น ไม่ทำให้ชีวิตวุ่นวาย และเราก็ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใช้คำว่าไม่พออยู่ร่ำไป โลภ โกรธ หลง  ท่านต้องตกเป็นทาสอยู่วันยังค่ำ ฉะนั้นถ้าเกิดเป็นคน สองคำนี้ใช้ให้เป็น ใช้เป็นน้ำก็ดับไฟได้และเป็นไฟก็ต้มน้ำให้เดือดได้ จริงหรือไม่ (จริง)  
เราอยู่ร่วมกัน ศึกษาร่วมกัน มีคนรู้ก่อนกับคนรู้หลัง เรารู้ก่อนเมื่อเจอคนรู้หลังที่สมองช้าเราก็อย่าไปโกรธเขา แล้วไปว่าเขาว่าไม่รู้ไม่ได้เพราะถ้าไม่มีคนไม่รู้ แล้วจะมีคนฉลาดที่เรียกว่าตัวเองฉลาดหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นมีคนไม่ดีเราก็อย่าไปรังเกียจเดียดฉันท์  ทำไมพุทธสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่รังเกียจเวไนยก็เพราะว่ามีเวไนยจึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเกื้อกูลซึ้งกันและกัน ความเหมือนก็คือความต่าง  ความต่างก็คือความเหมือน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ที่ว่าตอนนี้เราจะทำตัวต่างหรือทำตัวเหมือน ใช้ให้ถูก  ถ้าทำตัวต่างจากเขา มองให้แปลกแตกต่างอยู่เสมอ ถึงเวลาเราอยู่กับคนที่สูงและคนที่เตี้ยกว่าเคยไหม ถ้าคนมั่นใจในตัวเอง เจอคนที่เตี้ยกว่าแล้วตัวเองสูงก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าเกิดคนไม่มั่นใจในตัวเอง เจอคนเตี้ยแล้วทำไมเราไม่เตี้ยบ้างนะ ถูกไหม  พอเจอคนสูงทำไมเราไม่สูงบ้างนะ  คนไม่รู้ว่าจะเอาต่ำดีหรือสูงดี  เพราะอะไร เพราะไม่รู้จักตัวเองหรือไม่ภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง แล้วมนุษย์โดยทั่วไปก็เป็นอย่างนี้ ถามว่าภูมิใจอะไรในตัวเองบ้าง อยากจะเป็นคนอื่นอยู่ร่ำไป ความสงบสุขก็หาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นทำอะไรขอให้ใช้สติปัญญา อย่าใช้อารมณ์เพียงชั่ววูบ ไม่เช่นนั้นจะเสียใจไปตลอดชีวิต คนเราทำดีมาแทบตาย พอผิดหนึ่งวัน คนเขาก็เหมาว่าเราร้ายแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วต่อให้เราทำดีขนาดไหน เขาก็ยังระแวงใจเรา ถูกไหม (ถูก)  ถ้าตอนนี้ชีวิตดีๆ  อย่าเจาะเรือชีวิตตัวเองและเลือกไปทำสิ่งร้ายเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ใครเคยพลาดมาแล้วก็ขอให้อดทนอดกลั้นกับคำว่ากล่าวของคนอื่น ได้ไหม (ได้)  พยายามมุ่งมั่นทำดีให้ถึงที่สุด เราไม่ได้ทำดีเพื่อตัวเองแต่เราต้องรู้จักทำดีเพื่อผู้อื่น นี่แหละประเสริฐนักแล เราไม่ได้ทำดีเพื่อสะสมให้ตัวเองเป็นคนดีแต่เราทำดีเพราะควรจะดี  ไม่ใช่ทำดีเพราะอยากให้คนชมว่าดี อย่างนี้เขาเรียกว่ายังอยากมีใครยกหูชูหางนะ ถูกไหม (ถูก)  ถ้าใครทำดีแล้วติดว่าต้องมีคนชม แสดงว่ายังมีหูมีหางให้คนยกนะ แต่ถ้าเราทำดีเพราะควรจะทำดีนั้นแปลว่า เราทำโดยไม่ยึดติด เราทำโดยบริสุทธิ์ใจ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ อย่าปล่อยให้ความคิดทำร้ายตน อย่าปล่อยให้ความคิดเปลี่ยนแปลงใจคน มนุษย์เปลี่ยนไปก็เพราะความคิดในสมองนี่แหละตัวดี ใช่ไหม ที่ควรคิดไม่คิด ชอบคิดลงต่ำ ที่สูงๆ ไม่ไป ชอบไปที่ต่ำใช่หรือไม่ ที่ดีๆ ไม่มา ชอบมาแต่ที่ไม่ดี  ฉะนั้นโตแล้วนะ ดื้อมากๆ ไม่น่ารักหรอก ใช่ไหม (ใช่)  หัวแข็งมากๆ ใครก็รักไม่ลง จริงไหม (จริง)  หัวแข็งแต่ใจต้องไม่แข็งนะ วันนี้เราต้องไปแล้ว ไม่ได้ไปทักทายผู้ร่วมฟังข้างล่าง ขอโทษนะ











วันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ สถานธรรมจือเจวี๋ย จังหวัดสงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

จงผูกบุญสัมพันธ์ให้ทั่วกว้าง จึงสามารถสร้างทางแห่งพุทธะได้
มหาธรรมเผยแผ่โปรดกว้างไกล สันติภาพคลี่คลายดั่งกลีบบัวแย้มบาน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจือเจวี๋ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนรู้ธรรมะมากขึ้นหรือยัง
บำเพ็ญดวงจิตด้วยความจริงใจ   คิดทำเรื่องใดยึดกุมทิศทางไว้อยู่
โลกชอบตัดสินจากผลงาน   โลกชอบแข่งขันความรู้คนบำเพ็ญอยู่สำคัญตรงใจ
คนเต็มไปด้วยมุ่งมั่นที่ดี  มิเคยหลีกหนียากมีก็เลยเหมือนง่าย ค่าที่เข้มแข็งอยู่เหนือกว่าคนได้ดีด้วยมีสหาย  เตือนย้ำแรงไปเพื่อให้ได้ดี
ขึ้นชื่อบำเพ็ญประสาธรรมหยั่งรู้ใจ  หลงไปเข้าข้างทางไหน  กลับมากลับไปไม่เป็นผลดี  บางคนเป็นพวกหลงใหลแต่การทำดี  ที่เป็นแค่จิตติดดีจึงมีมิสิ้นพวกมารผจญ
อาจารย์รู้ว่าเจ้าขาดศึกษายิ่งเดินยิ่งล้า ยิ่งฟันฝ่ายิ่งกังวล  ไม่ให้ความคิดสะสมไป  เรื่องแปลกใหม่ได้จากใจตน  ศึกษาธรรมคนเรียนรู้เสมอ
ชื่อเพลง  ประสาธรรมประสาไท
ทำนองเพลง  สยามเมืองยิ้ม
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนใต้มีข้อเด่นในเรื่องอะไร การเป็นคนใต้ก็มีข้อเด่นโดยเฉพาะของตนด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ข้อดีของเราคืออะไร (ใจดี)  แล้วคนที่ไหนใจดำ  คนใต้มีข้อดีตรงที่มีความสามัคคีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาคนชมเราเราต้องพูดว่าอย่างไร (ขอบคุณ)  ขอบคุณก็แปลว่ารับเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดเราไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเขาชม เราเป็นคนใต้เราสามารถที่จะมีข้อดีลักษณะเด่นของคนในพื้นที่เดียวกันมีความสามารถเหมือนๆ กัน แสดงว่าเกิดจากความร่วมมือของทุกคน  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราอยากที่จะดีมากขึ้น ก็ต้องร่วมมือกันมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ข้อดีของคนใต้ก็คือเป็นคนที่มีความสามัคคีกัน  ผิวคล้ำตาโต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักรักษาสิ่งที่ดีไว้ให้ยั่งยืน  วันหนึ่งเกิดมีสิ่งบางสิ่งที่ทำให้เราไม่สามัคคีกัน เราคิดว่าเราควรจะคล้อยตาม คำเชิญชวน หรือคำโจมตีที่ทำให้เรานั้นแตกแยก ควรหรือไม่ (ไม่ควร)  ถ้าหากว่าเราหนึ่งคน แปลกแยกไปจากความสามัคคี ความสามัคคีจะถูกทำลายไปหรือเปล่า (ถูกทำลาย) คนนั้นเป็นผู้มีจิตใจหวั่นไหว อ่อนไหวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะอยู่กับความสามัคคีได้อย่างยั่งยืน อาจารย์ยกย่องในความสามัคคีของคนใต้ อาจารย์ชอบในน้ำใจของคนใต้ แล้วอาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีด้วย ได้หรือไม่ (ได้)
วันนี้เรามาที่นี่เพราะว่าเรามานั่งฟังธรรมะ เรานั่งหลับก็นั่งหลับพร้อมกัน  อย่างนี่เรียกว่าความสามัคคีหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เวลาที่เรามาที่สถานธรรม ณ วันนี้ก็เพื่อมาฟังธรรมะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามานั่งฟังธรรมะพร้อมๆ กัน มีร้อนก็ร่วมร้อน มีเย็นก็ร่วมเย็น  ถ้ามีการทะเลาะก็ร่วมใจกันเงียบดีหรือเปล่า (ดี)  ถามว่าเราหนึ่งคนมีผลต่อสังคมหรือเปล่า (มี) ตัวเราหนึ่งคนนั้นมีผลต่อสังคม อย่ามองว่าตัวเรานั้นเป็นคนแก่ อย่ามองว่าเรานั้นไม่มีสตางค์ อย่ามองว่าเรานั้นเสียงไม่ดี อย่ามองว่าเราหน้าตาไม่ดี  อย่ามองว่าเราอยู่ในฐานะที่ต่ำต้อย
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความแตกต่างของมนุษย์ ทำให้มนุษย์อยู่ในสังคมเดียวกันแต่มีความแตกต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งเหล่านี้สำหรับผู้บำเพ็ญธรรมแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอเพียงให้เรามีใจและเป็นคนดี เรารู้ในสิ่งที่เราทำ เรารู้ในสิ่งที่เราพูดและเราก็รู้ในสิ่งที่เราคิด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าสวยหรือเปล่าจนหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราหนึ่งคนต่อสังคมนั้นก็ยังมีความสัมพันธ์ในทุกแง่ทุกมุมทุกด้าน ทุกๆ วัน ทุกๆ เรื่อง ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่ดูด้อยกว่า เราก็เอาข้อดีของเราเข้าไป ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่มีข้อดีกว่า เราก็เอาความอ่อนน้อมเข้าไป
ฉะนั้นคนยิ่งมีดี ยิ่งมีอาชีพดี ยิ่งมีเงินทองมาก ยิ่งหน้าตาดีมาก คนๆ นี้ยิ่งต้องอ่อนน้อมมากขึ้นไปอีกคนส่วนใหญ่มักจะเอาสิ่งที่ดีของเรานั้นข่มสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น จริงหรือเปล่า (จริง)  แม้กระทั้งเรามีข้อดีนิดเดียว เราก็อยากจะข่มเขาเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าเรามีดี เราจึงต้องเอาความอ่อนน้อมนั้นมาเป็นรอยยิ้ม มาเป็นสีหน้าที่ดูอ่อนโยนเพื่อที่จะให้เรานั้นเกิดความรู้สึกเป็นมิตรกับทุกๆ คน ไม่ใช่ว่าเวลาเราไปเจอหน้าใคร ถ้าเราคิดว่าเรารวยกว่า ดีกว่า เก่งกว่า เราก็เอาสิ่งดีนั้นไปมองคนอื่น แม้แต่สายตาก็ดูแข็งกร้าว แม้แต่ท่าทางก็ดูแล้วแข็งเกินไป อย่างนี้ถามว่ามีใครอยากจะคบไหม (ไม่มี)  คนที่มีเงินน้อย คนที่ฐานะไม่ดี คนที่หน้าตาไม่ดี มีคนอยากคบเยอะ ขอเพียงแต่ได้ใกล้ชิด แต่คนที่มีดีมาก เช่น มีอาชีพดีมาก เงินทองมาก ฐานะดีมาก หน้าตาดีมาก อะไรๆ ดีมากไม่ค่อยมีใครอยากจะคบ ยิ่งนานวันยิ่งไม่มีคนคบ เราเกิดมาเป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง แม้ว่าเราจะคอยตำหนิติเตียนตัวเองเสมอเวลาที่เรามองกระจก แต่เราก็ย่อมรู้ว่าเรามีดีอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจงเอาความดีของศิษย์ออกไปแสดงออกพร้อมกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของตนเองด้วย ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ เราก็สามารถที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน ไม่ว่าใครจะดูถูกเราหรือไม่ เรายังสามารถอ่อนน้อมถ่อมตนได้ อย่างนี้จึงถือว่าเรามีดีจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนเราเกิดมาต้องพูด ต้องทำ ต้องคิดวันหนึ่งกี่ชั่วโมง (๒๔ ชั่วโมง) วันหนึ่งๆ เราต้องคิด ต้องพูด ต้องทำตลอด ๒๔ ชั่วโมง เลยเป็นการยากที่เราจะหลีกเลี่ยงการพูดผิด เป็นการยากที่เราจะหลีกเลี่ยงการคิดผิด เป็นการยากที่เราจะหลีกเลี่ยงการทำผิด
ทุกๆ วันเราสามารถที่จะทำผิดได้ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราคิดว่าถูกคนอื่นคิดว่าผิดเมื่อเราทำออกไป เรียกว่าผิดหรือถูก (ผิด) เราเคยทะเลาะกับใครไหม  เคยเห็นไหมว่าเรามองบางคนว่าคนนี้ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิด มีไหม (มี)  คนนี้ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดเพราะว่าในความคิดของเขาไม่เหมือนความคิดของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ความคิดของคนบนโลกนี้มีต่างกันมีไม่เหมือนกันมีมุมหนึ่งที่เหมือน มีมุมหนึ่งที่ไม่เหมือนกัน และความคิดของคนเรานั้นสามารถกำหนดได้ด้วยวงกลม วงเดียวหรือเปล่า สี่เหลี่ยมอันเดียวหรือเปล่า สามารถกำหนดได้ด้วย สามเหลี่ยมอันเดียวหรือเปล่า สามารถกำหนดด้วยเราคนเดียวหรือเปล่า แต่ว่าคนทุกคนต้องใช้สิ่งหนึ่งเหมือนกันคือ ทุกคนต้องมีอากาศหายใจ สิ่งที่กำหนดความคิดจึงอย่าใช้สิ่งที่เป็นรูปลักษณ์มากำหนด อย่าใช้วงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม มากำหนดความคิดใดๆ  ทุกคนใช้เหมือนกันก็คืออากาศหายใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีอากาศตายไหม (ตาย) ไม่มีอากาศตายแน่จึงต้องใช้สิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์มากำหนดความคิด ให้มีรูป มีร่าง มีหลัก มีการ มีเหตุ มีผล มีกฎมีเกณฑ์ สิ่งที่เปรียบเสมือนอากาศให้คนเราหายใจได้  สิ่งที่ช่วยกำหนดความคิดให้มีหลักการกฎเกณฑ์อยู่ได้นั่นคือ ธรรมะ  ถามว่าวันๆหนึ่งเรากับธรรมะ ประสานกันหรือเปล่า (ประสาน , ขัดแย้ง) เป็นประสานหรือขัดแย้ง  เวลาที่ต้นไม้งอก ต้องงอกจากไหน งอกจากดินขึ้นสู่ฟ้า ธรรมชาติของคนต้องศีรษะชูฟ้าเท้าเหยียบดินใช่หรือเปล่า (ใช่)  ธรรมชาติของสัตว์ก็มี ต้องเอาหลังขึ้นฟ้าหน้าลงดิน ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นคนคนหนึ่งนี้ ถามว่าเราขัดแย้งหรือว่าเรานั้นประสานกับธรรมชาติ ถ้าหากว่าเราขัดแย้งกับธรรมชาติ เราจะเป็นคนที่มีความทุกข์  หากว่าเราสามารถตามธรรมชาติ เราก็เป็นคนที่มีความเป็นธรรมชาติ
ถามว่าเราเกิดมาจากท้องแม่เรามากับใคร (คนเดียว)  ตอนเราลงโลงถามว่าเราไปกับใคร (คนเดียว)  ชีวิตของเรามีกี่คน (คนเดียว)  ชีวิตของเรานั้นมีคนเดียว มีเดี่ยวๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ณ ปัจจุบันนี้ใครรู้สึกเป็นห่วงคนรอบตัว ลูก สามี ภรรยา ญาติมิตร เพื่อน สุดที่รักทั้งหลาย ห่วงมากเกินไปมีไหม (มี) ถามว่าห่วงมากเกินไปเป็นทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์)  ธรรมชาติของเราเป็นอย่างไร เป็นคู่หรือเป็นเดี่ยว (เดี่ยว)  เป็นเดี่ยวถามว่าตอนนี้เรารู้สึกห่วงเขาน้อยลงหรือยัง (น้อยลง)  เกิดมาด้วยกันหรือเปล่า (ไม่)  ตายไปพร้อมกันหรือเปล่า (ไม่)  เกิดก็คนละวัน ตายก็คนละวันใช่หรือไม่ (ใช่)  เขากินอิ่มเราอิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  เขาหิวเราหิวไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นชีวิตนี้เราเกิดมาก็เกิดมาคนเดียว แต่ถามว่าการที่เราเกิดมาคนเดียวใช่ให้เราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า (ไม่) สมมติว่ามีคนที่เป็นสามีภรรยานั่งอยู่ตรงข้ามแล้วเราเอาข้าวและกับข้าวมา เรานั่งกินคนเดียวไม่ให้เขากินรู้สึกมีความทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้สึกแปลกๆ ไหม (แปลก)  รู้สึกแปลกๆ แสดงว่าโดยพื้นฐานของจิตใจของเราเป็นจิตใจที่เกิดมาคนเดียวก็จะกินคนเดียวหรือเปล่า (ไม่)  เราเกิดมาคนเดียวแต่โดยธรรมชาติเราชอบเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาข้าวเอากับข้าวมานั่งกินคนเดียวรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง มีสามีหรือภรรยาหรือลูกนั่งมองอยู่ เรากินข้าวคนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ก็แสดงว่าพื้นฐานของเราเป็นผู้ที่มีความเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่)  เมตตาคืออะไร (อยากให้คนอื่นได้เหมือนกับเรา) เมตตาคืออยากเห็นผู้อื่นมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่เราทำตัวอยู่ทุกวันนี้ ที่เรามีความสุขอยู่คนเดียวนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) ที่เราทุกข์นี้เพราะอะไร เพราะเราสุขมากเกินไป  เรามัวแต่สุขมากเกินไป มีความสุขแบบระแวงหน้าระแวงหลังใช่หรือเปล่า (ใช่) ถามว่าชีวิตนี้มีความสุขหรือทุกข์มากกว่ากัน (มีทุกข์มากกว่า) มีความทุกข์มากกว่าเพราะว่าเรามีความสุขมากเกินไปนั่นเองเข้าใจไหม ในชีวิตของเรานั้น เรารู้สึกว่าชีวิตของเราทุกๆ วันผ่านไป คิดย้อนไปในอดีต มองไปในอนาคตมีแต่ความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องที่มาไม่ถึงเราก็ (ทุกข์)  เรื่องเก่าๆ เราก็ (ทุกข์)  ทุกวันนี้เราก็ (ทุกข์)
วันนี้เราเป็นอะไร วันนี้เราก็เป็น (เป็นสุข) คิดไปเก่าๆ เราก็มีทุกข์ มองไปในอนาคตเราก็มีทุกข์ ส่วนวันนี้เป็นอะไรไม่รู้ เรามีความทุกข์เพราะว่าเรานั้นยังคิดถึงเรื่องของตัวเองอยู่อย่างมาก จริงหรือไม่ (จริง)  มีวันไหนที่เราไม่คิดถึงตัวเองบ้าง (ไม่มี)  เราฟังคนอื่นไอ เขาไม่สบาย เขาเป็นหวัด เราฟังเขาไอเรารู้สึกเป็นอย่างไงบ้าง เราก็มองว่าเป็นเรื่องคนอื่น เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าวันนี้เปลี่ยนเป็นเราไอบ้างล่ะ เป็นอย่างไร เป็นเรื่องไม่ธรรมดาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าถ้าเรามีจิตแบบนี้ คือจิตของเรานั้นเคยเป็นจิตที่ดี สังเกตว่าศิษย์จะตอบแล้วรู้สึกว่าตัวเองตีกันไป ตีกันมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะเดิมทีนั้น ถ้าเปรียบเสมือนอะไร ถ้าไม่ยกตัวอย่าง เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ เปรียบเหมือนเงาะผลนี้ เม็ดข้างใน เป็นจิตของเรา อาจารย์ถือเงาะอยู่ เห็นเงาะไหม (เห็น)  อันนี้เรียกว่าไม่มองธรรมะตามความเป็นจริง ใช่หรือไม่ เห็นเงาะไหม (ไม่เห็น)  ค่อยเข้าท่าหน่อย แต่ตอนนี้อาจารย์กำลังถือเงาะอยู่ เม็ดข้างในเป็นยังไง เม็ดข้างในเงาะนี้เหมือนกับจิตของเรา จิตของเราเป็นจิตที่ดี แต่ถ้าเนื้อเงาะเป็นจิตใจ เมื่อสักครู่บอกว่าเป็นจิตที่ดี อันนี้บอกว่าเป็นจิตใจ ใจของเรานั้นเวลาที่เราเกิดมามีสีขาวต้องมีสีอะไร (สีดำ)  มีสีขาวต้องมีสีดำ ถ้ามีบนต้องมี (ล่าง)  ถ้ามีซ้ายต้องมี (ขวา)  ถ้ามีดีต้องมี (ไม่ดี)  จิตใจของเราเสมือนเนื้อเงาะ เนื้อเงาะอันนี้เป็นคนที่เกิดมา เป็นใจที่เกิดหลังจากที่เราเกิดร่างกายอันนี้แล้ว ซึ่งมีทั้งความดีและมีทั้งความไม่ดีเกาะกุมอยู่ เปลือกเงาะคืออะไร เปลือกเงาะก็คือกายสังขารของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เปลือกเงาะนั้นเปรียบประหนึ่งกายสังขารของเรา ซึ่งบางทีเปลือกนี้ถ้าดำๆ หน่อย กะดำกะด่างหน่อย สวยไม่สวย (ไม่สวย)  บางลูกก็เช้งเลย บางลูกก็สวยเลย บางลูกก็มีอะไร บางลูกก็มีแผล บางลูกก็ไม่มีแผล บางลูกเป็นเงาะขนเกรียนหมดเลย เป็นยังไง สวยไม่สวย (ไม่สวย)
เป็นเงาะแล้วมีแผลๆ เต็มไปหมดเลย ดีไม่ดี (ไม่ดี)  แต่ถามว่าคือเงาะไหม (เงาะ)  ถามว่าเงาะใกล้เน่ากับเงาะดีๆ เป็นเงาะเหมือนกันหรือเปล่า (เหมือนกัน)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเป็นคนเกิดมาบางทีก็สายตาสั้น บางทีก็สายตายาว บางทีก็ผมยาว บางทีก็ผมสั้น บางทีก็ดำ บางทีก็ขาว บางทีก็สวย บางทีก็ไม่สวย แต่ถามว่าเปลือกนอกสำคัญไหม เคยกินเงาะตอนที่มันใกล้ๆ เน่าไหม (ไม่เคย)  กินทิ้งกินขว้างละซิ บางทีเงาะนี่วางทิ้งไว้จนดำเราก็ยังกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าเรากินอะไร เราก็กินเนื้อข้างใน เปลือกนอกสำคัญไหม แต่ถามว่าตอนนี้สังขารเราสำคัญไหม (สำคัญ)  ทำไมละ สังขารเราไม่ใช่เปลือกเงาะหรือ ผมขาวบ้างเป็นไรไหม วันนี้ตาสั้นไปหน่อยเป็นไรไหม วันนี้ตายาวหน่อยเป็นไงไหม วันนี้ใส่เสื้อไม่สวยเป็นไงไหม วันนี้ใจดำเป็นอะไรไหม  เห็นไหมว่าเปลือกนอกไม่สำคัญใช่หรือไหม (ใช่)  แต่ถ้าเงาะนี่มันเน่าไปหน่อยเกินไม่ดีไปนิดหนึ่ง มีกลิ่นโชยๆ มานี่ มีคนกินไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นคนเราต่อให้แต่งตัวสุภาพ แล้วก็เป็นคนสะอาดสะอ้าน ผมเผ้ารวบให้เรียบร้อย คำพูดพูดให้ดี แม้ว่าเรานั้นเกิดมาไม่สวย เราก็ยังเป็นคนที่ดูดีได้ แต่ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่เพิ่งนึกได้ตอนขนเงาะมันดำๆ แล้ว แล้วเรายังทำตัวให้ไม่เหม็นโดยการใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง ถามว่าเราดูดีไหม (ดูดี)  วันนี้เราเพิ่งมารู้สึกตัวตอนที่ขนเงาะนี่เริ่มดำไปแล้ว แต่ถ้าหากว่าเรายังเป็นคนที่รู้จักตัวเอง เราไม่ทำให้ตัวเองเน่ามากไปกว่านี่ เราก็ยังเป็นเงาะที่มีคุณค่าอยู่ คือมีคนกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่ากลับกัน วันนี้เราเป็นคนที่แต่งตัวไม่สุภาพ  ไม่รู้จักรวบผม  เดินไปไหนก็กลิ่นตัวโชย เปิดปากพูดออกก็กลิ่นโชยเลย อย่างนี้เป็นคนที่ข้างในก็ไม่ดี คือใจดำ ถามว่าแม้ว่าจิตเดิมแท้ของเรายังดีอยู่นี่ มีคนรักเราไหม (คนก็ไม่รักเรา)  วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคน  อาจารย์ถามว่าสุขหรือทุกข์กันแน่ ตีกันไปตีกันมา เพราะว่าอะไร เพราะว่าจริงๆ แล้ว เรามีทั้งดีมาก และไม่ดีมาอยู่ในตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็หวังว่าจะดีมากขึ้นด้วยการเอาสิ่งที่เราชอบใจใส่เข้าไปในชีวิต เอาสิ่งที่เราอยากจะสมหวังใส่เข้าไปในชีวิต ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางทีมันได้มายาก เราก็ยังอุตส่าห์ไปควานหาพยายามหาเข้ามาใส่ในชีวิต ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ที่แพงๆ เพราะใส่เข้าไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  สิ่งที่สวยๆ ก็ใส่เข้าไปในชีวิต  สิ่งที่เรานั้นคาดหวังว่ามันจะดีนั้นเราก็ใส่เข้าไปหมด  แต่ถามว่าสิ่งที่ใส่เข้าไปชีวิตนั้นเป็นอย่างไร (ยุ่ง)  อีรุงตุงนังไปหมดใช่หรือไม่  ถามว่าถ้าอยากทำให้ชีวิตดีขึ้นต้องทำอย่างไร อยากทำให้ชีวิตดีขึ้นต้องถอดเฟอร์นิเจอร์ในชีวิตนี้ออกให้หมด อยากทำให้ดีขึ้นจึงต้องถอดทอง ถอดสิ่งที่วูบวามให้หมด เหลือแต่สีๆ  ใช่หรือเปล่า ผู้หญิงต้องแต่งหน้าใช่หรือไม่ เอาสีออกให้หมด เสื้อผ้าถ้าหากว่าใส่แล้ว ใส่ให้เรียบง่ายที่สุดบางคนเวลาไปซื้อเสื้อผ้าเสื้อตัวนี้ แปลกกว่าเสื้อตัวที่เรามีอยู่ที่บ้านนิดเดียว แต่ว่าเราเป็นไร อยากได้ไหม  เราอยากจะได้  ต้องซื้ออีก พอมาแขวนด้วยกันถามว่า เสื้อสองตัวนี้ต่างกันไหม (ไม่ต่าง)  คนที่ตามีกิเลสมากจะบอกว่า ต่างกัน คนที่ตามีกิเลสน้อยก็บอกว่ามันไม่ต่างกัน อย่าให้เป็นเหมือนคนในโลก จำนวนทั้งโลกนี้ที่เป็นเหมือนกันคือ น้ำมันแพง ขับรถน้อย ข้าวแพง กินข้าวน้อย อันนี้เราเป็นคนบำเพ็ญธรรมะ มีธรรมะ พอกิเลสมาก เป็นอย่างไร  กิเลสมากฟุ่มเฟือยมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรควบคุมคือ ควบคุมใจ เราควรที่จะควบคุมใจตัวเองใช่หรือไม่ น้ำมันอยู่ที่ปั๊ม ข้าวอยู่ในนา ใจอยู่ที่ไหน (ตัวเรา)  ใจอยู่กับตัว กลัวแต่ว่าเรานั้น ตัวไม่อยู่กับใจ  วันนี้นั่งอยู่กับคนนี้ใจคิดไปอีกเรื่องหนึ่ง วันนี้ทำเรื่องนี้อยู่คิดไปเรื่องโน้น  วันนี้อยู่กับปัจจุบันคิดไปถึงอนาคต ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้ในกระเป๋าก็ยังมีเงิน แต่คิดว่ายังจะได้มากกว่านี้ลำบากไหม (ลำบาก)
เราต้องลำบากแน่ถ้าเราไม่ยอมหันมามองตัวเอง  ทุกวันที่เรามองหน้ากระจกเรามองเห็นตัวเราเองไหม (เห็น)  เราเห็นตัวเราเป็นอย่างไร  วันนี้เรากลับไปบ้านมองเห็นหน้ากระจก เราจะเห็นเปลือกเงาะ อาจารย์อยากให้ศิษย์ส่องกระจกแล้วเห็นเม็ดเงาะ  คืออยากให้ส่องกระจกแล้วสามารถมองเห็นใจได้ ใจของตัวเองเป็นอย่างไร วันนี้ใจนี้เรียกว่าดี หรือใจนี้เรียกว่าไม่ดี สมมติมือตัวเองขึ้นมาเป็นกระจก ส่องหน้า ไหนใครว่าวันนี้ดี ยกมือขึ้น ใครว่าวันนี้ไม่ดีเลยยกมือขึ้น วันนี้ใจของเราเป็นอย่างไร เราต้องรู้จักประเมินใจของเราทุกวันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่ประเมินตัวเอง ไม่เห็นตัวเอง ถ้าไม่ย้อนมองส่องตนแล้ว ให้คนพูดบอกว่าเราทำผิดแค่ไหน เราก็ทำไม่ผิด ให้คนอื่นพูดว่าเราพูดผิด เราก็พูดไม่ผิด ให้คนอื่นพูดว่าเราคิดผิดเราก็คิดไม่ผิด เพราะฉะนั้นคนอื่นว่าเราต้องถือว่าเขาเป็นครูใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้มีครูเยอะไหม (ใช่)  ยินดีด้วยที่ชีวิตมีครูเยอะ คนที่เขาว่าเราบางทีว่าแรงไปหน่อย ถ้าหากเขาไม่ว่าเรา เราจะได้ยินไหม ถ้าหากเราไม่ได้ยิน เราจะได้คิดไหม เราจะได้รู้ไหม (ไม่ได้)   เพราะฉะนั้นเวลาคนว่าอย่าโมโห เวลาคนโทษอย่าโมโห เวลาคนเขาเกลียดเรา เราก็อย่าเกลียดเขาใช่หรือไม่ ถ้าหากเรา ทำได้เช่นนี้ เราย่อมชนะ ใจตัวเอง ชนะสิ่งใดในโลกไม่ดีเท่าชนะใจตัวเอง ต่อไปนี้เห็นอะไรสวยๆ  เห็นอะไรน่าโกรธ น่าเกลียด น่ารัก อะไรที่อยากได้ก็จะเกิดความรู้สึกสงบมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยากได้จิตใจที่สงบแต่เราเองเราไม่ยอมเงียบ เรายอมเงียบตอนไหน เรายอมเงียบตอนนอนเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งตอนนอนเวลาเราเงียบถือว่าเรายอมเงียบไหม (ยอม)  อันนี้ไม่ได้เรียกยอมเงียบแต่เงียบเพราะหลับไปเท่านั้นเอง ฉะนั้นอยากได้ความสงบในจิตใจต้องยอม (เงียบ) เงียบนี้แปลว่าไม่พูด ไม่ว่า ไม่บ่น ไม่คิดมาก ไม่น้อยใจ ทำได้ไหม (ทำได้)  เห็นไหมว่าคนอื่นตอบว่าทำได้เราก็ต้องทำได้ การพูดดังเป็นการส่งเสียงไปถึงใจของตัวเราเอง การพูดเบาแสดงถึงความไม่มั่นใจในตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราโกรธเป็นอย่างไร ถ้าเราโกรธเราจะเสียงดังมากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าพูดธรรมดาคนตรงข้ามยังไม่ได้ยินเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ต้องกลับกันเวลาโกรธต้องเงียบ ส่วนเวลา (ไม่โกรธให้พูดธรรมดา)  ถ้าหากว่าไม่สามารถพูดต่ออาจารย์ได้แสดงว่าใจลอยไปนอกตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวอยู่นี่ใจอยู่ไหนก็ไม่รู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากเราเป็นคนใจลอยอยู่เสมอๆ ทำอะไรจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ (ไม่)  ถ้าหากว่าเราเป็นคนใจลอยทำอะไรก็ไม่สำเร็จ คนที่เป็นวัยรุ่นในสมัยนี้อายุตั้งแต่สิบกว่าเป็นต้นไปจนถึงกระทั่งหมดปัญญาวิ่งก็อยากได้ความสำเร็จด้วยกันทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราก็ทำตัวเป็นคนอะไรมาก เป็นคนใจลอยมากเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้ใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วยัง
อาจารย์สนุก แล้วอยู่กับคนด้วยกันสนุกหรือเปล่า (สนุก,ไม่สนุกเท่าไหร่)  อยู่กับคนด้วยกันไม่สนุกเพราะเราเองก็ชอบทำตัวเครียดมากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์มีศรัทธา ศิษย์ก็ต้องรู้จักใช้ศรัทธาที่มีต่ออาจารย์ไปแปรเปลี่ยนประยุกต์เป็นศรัทธาที่มีต่อคนทุกๆ คน เช่นเดียวกัน ถามว่าคนที่เราเกลียด เขามีความดีหรือเปล่า (มี)  คนที่เราเกลียด เขาก็มีดีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราซึ่งผู้อื่นเกลียด เราก็มีดีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนต้องรู้จักศรัทธาในคนจึงจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทุกวันนี้เราอยู่ร่วมกัน บ้านที่เราอยู่บางวันก็สุข บางวันก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่ไปอยู่มามีความสุขมากกว่าความทุกข์ หรือมีความทุกข์มากกว่าสุข มีความทุกข์มากกว่า ถามว่าปีหนึ่งมีกี่วัน (๓๖๕)  ๓๖๕วัน นี้นานไหม ไม่นานเลย แต่ถ้าหากอยู่กันอย่างมีทุกข์ก็ดูเหมือนจะนานไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปีหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์เอ๋ยจะมีเวลาอยู่กับคนที่รักและเกลียดกี่วัน เจ้าจะมีเวลาอยู่ร่วมกันกี่ปี คนเรารู้วันเกิดแต่ไม่สามารถรู้วันตาย วันนี้โกรธกันแทบตายแต่ถ้าเขาไม่หายใจ เขาตายไป ถึงศิษย์จะโกรธแทบตาย ศิษย์ก็ไม่เหลืออะไรให้โกรธแล้ว ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นอยู่ร่วมกันทุกวัน อย่าเกลียด อย่าโกรธกัน แต่ให้รักกันทุกวัน รักนี้คือรักอย่างที่เขาเป็น รักเขาให้เขาอย่างที่เขาเป็น อย่ารักเขาในแบบของเรา
ที่เรามีความคาดหวังว่า ใครที่เรารักต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องไม่กินเหล้า ต้องไม่สูบบุหรี่ ต้องไม่เที่ยว ต้องไม่ใช้เงินเปลือง ต้องช่วยกันทำมาหากิน เราก็รักเขาในแบบของเรา สุดท้ายเขาเป็นไหม (ไม่เป็น)  ถ้าอยากให้เขาดีขึ้นก็แค่ปลดพันธนาการที่มีอยู่ในใจของตัวเองออก แล้วก็ให้อิสระกับทุกอย่าง ใจของเราก็เป็นอิสระ มองอีกทีก็จะไม่เกิดความทุกข์กับทุกข์ที่เคยเกิดแล้ว เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
แสดงว่าเมื่อกี้ตอบไปอย่างนั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)   ยืนสองชั่วโมงได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  อาจารย์นับหนึ่งสอง นั่งเลยนะ  คนเราช้าเกินไปได้ไหม เร็วเกินไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ช้าเกินไปก็ไม่ได้ เร็วเกินไปก็ไม่ได้ เวลาของอาจารย์คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนสุภาพแล้วก็นุ่มนวล เวลาให้ศิษย์ทำอะไรศิษย์ก็มักจะกลัวผิดพลาด เสร็จแล้วแทนที่จะเก็บไว้สอบซ่อม ส่วนใหญ่ศิษย์ก็ซ่อมไปเลย  เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่โดยนิสัยของศิษย์ ก็น่าจะเป็นคนที่กลัวๆ  หน่อย ๆ เกรงๆ หน่อย ๆเกรงใจหน่อย แต่ส่วนใหญ่เวลาให้ทำให้ออกมา ดูเกินๆ หน่อยๆ  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราไม่เป็นคนที่พอดิบพอดี เรามักจะทำอะไรเกินๆ ไปหน่อย  คนใต้มีความสามัคคี ต้องทำอย่างไร (ยืน)  ยืนให้พร้อมกัน  ปรบมือก็ต้องปรบให้พร้อมกัน ลุกนั่งก็ต้องลุกนั่งให้พร้อมกันใช่หรือไม่ (ใช่)  กินก็กินพร้อมกัน เดินก็เดินพร้อมกัน บำเพ็ญธรรมก็บำเพ็ญพร้อมกัน นอนก็นอนพร้อมกันอย่างนี้เรียกว่าอะไร (สามัคคี)  ถ้าหากว่าชีวิตของเราสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ให้ลงตัวอย่างนี้ก็ดีใช่หรือไม่ แต่เรากำหนดได้ไหม (ไม่ได้)  ดังนั้นจงอย่ากำหนดผู้อื่น แต่ให้กำหนดตัวเราเอง เพราะการกำหนดผู้อื่นนั้น ทำให้เราเหนื่อย เหนื่อยไหม การกำหนดผู้อื่นทำให้เราเหนื่อย การกำหนดตัวเองทำให้เราเป็นคนที่มีแบบแผนที่ดี ชีวิตก็จะเลิกซ้ำซากจำเจ ชีวิตซ้ำซากจำเจเบื่อไหม ถ้าหากเรากำหนดตัวเองได้ดี เราก็จะมีแบบแผนชีวิตที่ดี ทุกวันเราก็จะมีเรื่องแปลกใหม่เข้ามา  อย่างเช่นเมื่อวานนี้พูดผิด วันนี้เราก็จะต้องพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ พรุ่งนี้เราก็อาจจะต้องพูดได้ถูก แล้วมะรืนนี้เราก็จะเป็นคนพูดดี แล้วมะเรื่องนี้เราอาจจะได้พูดธรรมะให้ผู้อื่นฟัง อย่างนี้เรียกว่าเป็นความก้าวหน้าใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตคนนั้นควรเอาแบบแผนของทหารมาใช้นิดหนึ่ง คือความเป็นระเบียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครเวลาถอดเสื้อผ้าก็โยนทิ้งเลยมีไหม (มี)  ถอดเสื้อผ้าได้ปุ๊บทิ้งส่งเลยมีไหม (มี)  กินข้าวเสร็จยังไม่ล้าง เดี๋ยวรอไว้สามมื้อรวดล้างทีเดียวมีไหม มีใครที่บ้านไม่ยอมกวาดไม่ยอมถูมีไหม (มี)  มีใครเงินทองไม่ยอมเก็บมีไหม (มี)  ไม่มี  คนเรานั้นเกิดเป็นคนต้องมีความสุภาพทั้งนอกทั้งใน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมว่าไปแล้วชีวิตนี้ทำยากและทั้งทำง่าย ทำยากตรงไหน ยากตรงที่ต้องทำให้เป็นแบบแผนมากขึ้น ทำ ง่าย ง่าย ตรงไหน เมื่อตัวเรามีแบบแผนแล้ว ตัวเราก็จะไม่ต้องยุ่งยากอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราต้องเปลี่ยนแปลงบางนิสัย อย่างเช่น นิสัยถอดเสื้อผ้าได้โยนทิ้งเลย อย่างนี้ถามว่าถ้าคนอื่นเขาเห็นเราแล้วเขาจะมองว่าเป็นคนอย่างไร เป็นคนลวกๆ ไม่มีระเบียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราทำอะไร เราจะต้องรู้ว่าตอนนี้เราถอดออกเราจะต้องเอาไปไว้ที่ไหน  ต้องทำความสะอาดใจของเราให้ดี เราจึงจะสามารถที่จะไปรอดได้มากกว่านี้ เราบำเพ็ญธรรมะ เดินออกจากบ้านก็ต้องเปลี่ยนทุกอย่าง แม้กระทั่งในบ้าน ในห้องนอน ในใจของเราก็ต้องเปลี่ยนให้มันดีเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้วถามว่าเราเป็นเราคนเดิมไหม เราก็ไม่ได้เป็นเราคนเดิม แต่เป็นเราที่ดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้กระทั่งเวลาเดิน จะเดินหน้าผู้ใหญ่ หรือเดินหลังผู้ใหญ่ยังต้องคิดว่า เราจะต้องทำตัวอย่างไรจึงเรียกว่าเป็นผู้มีความสุภาพ เดินคู่กันไปกับผู้ใหญ่ยังต้องคิดเลยว่าคนนี้อายุมากแล้วเกิดเดินเร็วไปกระแทกเขาล้มถือว่าดีไหม ก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นการเดินก็ต้องมีว่าเดินช้าเกินไป หรือเดินเร็วเกินไปได้ไหม เดินพอดีๆ เป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับการเขียนหนังสือสมมติว่าคนเขียนหนังสือด้วยลายมือไก่เขี่ย อยากจะเขียนอะไรก็เขียนๆ ไป ถามว่าบรรทัดที่หนึ่ง  บรรทัดที่สอง บรรทัดที่สาม จะสวยไหม (ไม่สวย)  สมมติว่าหนังสือพอเสร็จเปิดกางขึ้นมาอ่านปุ๊บตัวหนังสือทุกๆ ตัวนี่เรียงได้อย่างสวยงาม ถามว่าหนังสือเล่มนี้น่าอ่านไหม
วันนี้อาจารย์ให้ศิษย์พลิกชีวิตของศิษย์ขึ้นมา ชีวิตนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยตัวของศิษย์เอง ชีวิตนี้ศิษย์เขียนมันทุกวัน และชีวิตนี้ศิษย์เป็นผู้กำหนดบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง เราทำตัวได้สมกับบทบาทหน้าที่ของตัวเองหรือยัง เราเป็นแม่ทำตัวสมกับเป็นแม่ไหม เราเป็นพ่อทำตัวสมกับเป็นพ่อไหม เราเป็นลูกทำตัวสมกับเป็นลูกไหม เป็นภรรยาหรือเป็นสามีทำตัวได้เหมาะสมหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะต้องมาพลิกชีวิตของเราเองดูว่าวันนี้เราวางชีวิตของเราได้ถูกต้องเหมาะสมหรือยัง       
ส่วนตัวเราก็ยังต้องรู้จักกินอย่างไรไม่ให้มูมมาม ไม่ให้เสียงดัง เดินอย่างไรไม่ให้เดินแล้วสะบัดๆ เดินก็ต้องเดินแบบนิ่งๆ เดินแล้วดูสุขุมคัมภีรภาพ ฉะนั้นมารยาทคนไทยจึงบอกว่าบ้านไม้ห้ามวิ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอยู่บ้านไม้จะไม่ค่อยวิ่งเพราะไม่สุภาพ เราเองก็ต้องปรับปรุงชีวิตของเราเองเหมือนกัน แม้ปัจจุบันเราก็ไม่ได้อยู่บ้านไม้แล้ว แต่ถามว่าทำไมคนโบราณห้ามวิ่ง เพราะว่าเป็นการไม่สำรวมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นโบราณมีดีของโบราณอยู่ ปัจจุบันก็มีดีของปัจจุบันอยู่ ปัจจุบันมีดีตรงไหน ปัจจุบันมีดีตรงที่มีทีวีให้เราดู มีรถให้เราขับ มีบ้านสบายๆ แล้วมีไฟฟ้ามีน้ำมาถึงที่ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนปัจจุบันก็เลยกลายเป็นคนขี้เกียจเพราะสะดวกสบายไปหมดเลยใช่หรือไม่ เคยอยู่บ้านมีแอร์อยู่บ้านร้อนได้ไหม (ไม่ได้) เคยที่ไม่มีแอร์พอไปอยู่แอร์แล้วเป็นอย่างไร นอนไม่หลับอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนปัจจุบันจึงต้องเป็นผู้ที่ต้องรู้จักปรับตัวปรับชีวิต
วันนี้เราไม่ได้มาพูดถึงเพียงชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้ ชีวิตที่พัฒนาแล้วก้าวหน้ามากขึ้น เราไม่ได้มาพูดกันแค่นี้ แต่เรากำลังจะพูดถึงการที่จะอยู่อย่างไร ให้ทุกวันเราไม่มีความทุกข์สนใจไหม (สนใจ)  เรามาอยู่แล้วทำอย่างไรให้ชีวิตทุกๆ วันนั้นมีความทุกข์ให้น้อยลง ถามว่าน้อยลงมีความทุกข์ไหม (มี) ชีวิตนี้มีความทุกข์น้อยลงก็ยังมีความทุกข์อยู่ แต่มีความทุกข์ในบางเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ บางเรื่องที่แก้ไขได้ ความทุกข์ที่แก้ไขได้เราก็ควรรีบแก้ บางทีไม่ใช่การแก้คนอื่นแต่เป็นการแก้ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์บางเรื่องเป็นความทุกข์ที่แก้ไม่ได้ถูกต้องหรือไม่ ต้องแก้ไขด้วยอะไร ไหนมีใครตอบได้บ้าง (ตัวเอง)  เห็นด้วยไหม เรามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ ถามว่าเราไม่แก้ไขด้วยตัวเองหรือเราต้องแก้ด้วยตัวเอง (แก้ด้วยความสว่าง)
สมมุติมีแถวมดอยู่แถวหนึ่ง มดตัวหน้าเดินมา พอดีเดินไปถึงขอบโต๊ะ มดตัวนั้นเดินหล่นลงมา ถามว่ามดตัวหลังจะเดินหล่นลงไปไหม (ไม่หล่น)  ถ้าเป็นคนไทยต้องหล่นแน่ๆ เลย แต่ถ้าเป็นมดประเทศอื่นนี้เป็นยังไง (ไม่หล่น)  ฉะนั้นคนเหมือนกัน มีหู ตา จมูก มีความคิด มีจิตใจ มีเส้นผม เส้นขน เส้นหนัง มีเส้นกระดูก มีน้ำเหลือง น้ำดี มีอวัยวะภายในตับไตไส้พุง เหมือนกัน แต่ว่าคนเรามีความต่างกันคืออะไร (ความคิด, สติปัญญา)  เห็นไหมว่าอายุมากแล้ว แม้แต่รับแอปเปิ้ลแล้วอาจจะรับไม่ได้ก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไป ฟังธรรมะตอนแก่ๆ มันจะฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะว่าอะไร หูมันก็เริ่ม (ตึง) เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็อย่ามาบำเพ็ญตอนแก่ๆ มันก็เดินบ้างหยุดบ้างใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าชีวิตนี้เปรียบเสมือนเงาะ เราใช้ชีวิตล่วงเลยมาจนเงาะของเรานั้นมันดำแล้ว มันใกล้ๆ ที่จะเสียแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มดแต่ละตัวเดินๆ ไป มดตัวหน้าตกไปแล้ว มดตัวหลังตกหรือไม่ (ไม่ตก)  มดตัวหลังจะตกหรือไม่ตกก็ขึ้นอยู่กับศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องราวในโลกนี้ ไม่ได้เหมือนกับมดที่เดินไปๆ เรื่องราวในชีวิตนี้ของศิษย์นั้นซับซ้อนยิ่งกว่า หากศิษย์นั้นเป็นคนตาม เป็นคนช่างตาม ขยันตาม ขอให้ตามด้วยปัญญา เราต้องรู้ว่าเราต้องมีปัญญา สิ่งใดถูกสิ่งใดควร เห็นเขาดีเราก็ทำดีเหมือนเขา เห็นเขาไม่ดีเราต้องอย่าทำตามใช่หรือไม่ (ใช่)    
ทีนี้หันไปหาคนข้างๆ เราจะเกิดการยิ้มโดยอัตโนมัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นการบ่งบอกว่าเมื่อมนุษย์มีความทุกข์ ควรจะอยู่คนเดียวไหม (ไม่ควร)  เมื่อเรามีความทุกข์ เราไม่ควรจะอยู่คนเดียว ถ้าเราอยู่คนเดียวเราก็จะนั่งหน้าบึ้ง ถ้าเราออกไปเจอคนหนึ่งคน เราจะยิ้มไหม (ยิ้ม)  ถ้าเราออกไปเจอคนหนึ่งคน คนแรกเราอาจจะยังไม่ยิ้ม คนที่สอง, สาม, สี่,ห้า ,หก คนที่สิบ คนที่ร้อย ถามว่าเราจะยิ้มไหม (ยิ้ม)  เราก็จะเกิดการยิ้มออกโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีปัญหา เราไม่ควรที่จะอยู่กับตัวเองคนเดียว ถ้าเราอยู่กับตัวเองคนเดียว เราก็จะเป็นคนอมทุกข์อมโรค หน้าจะเหี่ยวลงเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่ทันจะแก่ วันนี้เราหน้าเหี่ยวหรือยัง วันนี้เราถูกความทุกข์เชือดเฉือนจนหน้าเรามีตีนกาเต็มไปหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่บอกว่าความทุกข์ประเภทที่แก้ได้ ก็ขอให้กลับไปแก้ ส่วนความทุกข์ที่แก้ไม่ได้มีการแก้ไขแบบทางโลกและทางธรรม ทางโลกเมื่อเรามีปัญหาครอบครัว มีปัญหากับคนที่เรารักหรือมีปัญหากับบางสิ่งที่เราคิดว่าเราแก้ไม่ได้ เราก็มักที่จะออกไปเที่ยว ออกไปพูดให้คนอื่นฟังอย่างไร้สาระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็มักจะทำอะไรบ้อๆ บอๆ ที่เราเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำ ถามว่าปัญหาจบไหม (ไม่จบ)  การแก้ไขอย่างนี้เป็นการแก้ไขอย่างทางโลกซึ่งทุกคนก็เคยทำมาแล้วทั้งสิ้น การแก้ไขปัญหาอย่างทางธรรมนั้นง่ายๆ ก็คือการทำใจ เราทำใจเป็นไหม (เป็น)  มีเสียงตอบว่าทำใจได้ไม่หมด เวลาที่เราทำใจได้ไม่หมดเรียกว่าทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นคำตอบอย่างนี้เรียกว่าคนไม่รู้จักตัวเอง ใช่ไหม
อันที่จริงแล้วคนจะมีวิธีการตอบอย่างหลากหลาย แต่สำหรับของอาจารย์นี้มีวิธีการตอบได้สองอย่างเท่านั้นเองคือ ทำใจได้ และทำใจไม่ได้ ทำใจได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำใจอะไรนะ (ทำใจได้ไม่หมด)  อย่างนี้จัดอยู่ในทำใจไม่ได้ เพราะอย่าหาวิธีการพูดอย่างชาญฉลาดแล้วอ้างให้กับตัวเองไปเรื่อยๆ  อย่าได้ฉีกคำตอบของการพูดว่าทำใจไม่ได้เป็นหลายอย่างเพราะว่าสุดท้ายแล้วต่อให้มีวิธีการพูดห้าอย่าง แต่ฝ่ามืออันเดียวกันไหม คือฝ่ามือข้างนี้ตอบว่าทำใจไม่ได้ แล้วก็มีวิธีการพูดตั้งหลายอย่าง สุดท้ายทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เราจึงต้องกลับมารู้จักตัวเองดึงคำตอบทั้งห้ามา  แล้วเรามาทำความรู้จักตัวเองว่าเราทำใจไม่ได้  จะอย่างไร (รู้จักทำใจ)  ทำใจคือการดึงใจ ดึงคำว่าทำใจไม่ได้ให้เข้ามาถึงใจของเรา ให้มันใกล้ใจของเราหน่อย  แล้วมาดูว่าใจของเราคิดอะไร กับคำว่าทำใจไม่ได้ ส่วนคนที่ทำใจได้เป็นอย่างไร คนที่ทำใจได้คุณภาพชีวิต และคุณภาพจิตใจของเขานั้นก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพ้นจากคำว่าทำใจไม่ได้แล้ว ก็ทำให้เรานั้นสามารถไปทำอย่างอื่นอีกตั้งเยอะแยะมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาทำใจไม่ได้อย่ามัวแต่นั่งร้องไห้ อย่ามัวแต่นั่งคิด มัวแต่เสียเวลากับสิ่งนั้น เพราะอดีตไม่มีวันที่จะหวนกลับมา ขอให้เรานั้น เฝ้าแต่ทำในสิ่งที่ดีขึ้น ดีกว่าเดิมต่อคนที่อยู่รอบตัวเรา เป็นการให้ยาตัวเอง  อย่าคิดว่าเราทำดีกับผู้อื่นแล้วเรานั้นมีบุญคุณกับผู้อื่น  การที่คนอื่นนั้นเป็นผู้รับให้เราก็เพื่อให้เรานั้นเป็นผู้ให้ ถึงแม้ว่าผู้รับคนนั้นอาจจะไม่ถูกใจ แต่ถ้าหากว่าผ้รับคนนั้นไม่ยอมเป็นผู้รับให้เรา เคยไหมที่ให้อะไรไปแล้วเขาไม่เอา เพราะเขาโกรธเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ในขณะที่เขาโกรธเราเขาเป็นผู้รับให้เราก็ต้องถือว่าขอบคุณเขาเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า อย่ามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราให้ผู้อื่นนั้น เป็นบุญคุณกับผู้อื่นเสมอ ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะเป็นผู้ที่ผูกติดกับกรงขังไว้กับตัวเอง เติมเต็มให้กับจิตใจของเราเท่านี้ก็พอแล้วใช่ไหม (ใช่)  อย่ามัวแต่ไปคิดกังวลฟุ้งซ่านรำคาญใจอยู่
เวลาที่คนเราทำอะไรพร้อมๆ กัน อย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือคำว่าสติ เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีสติกับสิ่งที่เราทำ เวลาที่เราเกิดความรู้สึกร้อนรนก็สามารถที่จะหลับตาสักหนึ่งวินาทีแล้วก็เรียกสติกลับขึ้นมาใหม่ เหมือนกับที่คอมพิวเตอร์มันรวนแล้วก็ปิด แล้วก็เปิดใหม่ จริงไหม (จริง)  คอมพิวเตอร์ของศิษย์ของอาจารย์ทุกคนในสมองตอนนี้เริ่มทำงานไม่ถูกแล้วหรือเปล่า เวลาที่เราเจอปัญหามากๆ นี่ เรามักจะทำอะไรไม่ถูกเลย ใช่หรือไม่  บางคนก็อาการหนักถึงกับมือไม้สั่น บางคนก็คิดไม่ออก ทั้งๆ ที่เคยคิดออกอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า คนฉลาดก็กลายเป็นคนโง่ ส่วนคนโง่ก็กลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่ถูกเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นในทางธรรมสอนให้รู้ว่าให้รู้จักทำใจว่าง ใจว่างกับใจลอยเหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  ที่เราทำอยู่นี่ตอบผิดตอบถูกเรียกว่าใจลอย ส่วนการทำใจว่างคืออะไร ถามว่ามือนี้ว่างอยู่ไหม ใจนี้ว่างอยู่ไหม มือนี้ว่างอยู่เราย่อมมองเห็นได้ ส่วนใจนี้ว่างอยู่หรือไม่ เรามองเห็นไหม (ไม่เห็น)  แต่ว่าเราสัมผัสได้ไหม ทำไมใจเราถึงไม่ว่าง เพราะว่าใจของเรานั้นเต็มไปด้วยกิเลส ใช่หรือไม่  กิเลสเป็นเครื่องที่ทำให้คนนั้นสามารถที่จะสับสน ฟุ้งซ่าน สามารถที่จะคิดมาก มีกิเลสเป็นต้น และมีความทุกข์ออกมาเป็นปลายที่ว่าใจของเรานั้นไม่ว่าง ถามว่าการทำใจว่างไม่ให้ทำอะไรเลย ใช่หรือเปล่า (เปล่า)  การทำใจว่างไม่ใช่การไม่ทำอะไรเลย เวลาเราเจอปัญหาหรือเจอสิ่งที่มันเกินจะรับไหว บางทีเมื่อเราหลับตาเพียงแป๊บเดียว แล้วลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปไกลๆ มองไปไกล ความคิดอันใหม่ก็ผุดขึ้นมาในความคิดอันเก่าและก็ชาญฉลาดมากกว่าเดิม แต่จงอย่าหลงตนในความฉลาดนั้น เมื่อเรามีความฉลาดเหมือนกันเรามีเม็ดเงาะ ผู้อื่นมีไหม (มี)  ฉะนั้นไม่ใช่เราฉลาดกว่าใคร แต่เรานั้นมีสติมากกว่าใครจึงทำให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีความฉลาด จึงหวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นสามารถตั้งสติได้ ไม่ว่าทำสิ่งใดก็สามารถใช้สตินั้นทำลงไป เรียกว่าทำใจให้ว่างสักครู่หนึ่ง เพื่อให้งานนั้นสำเร็จมากกว่าเดิม  คือมีสิ่งที่ดีกว่าในความว่าง คือมีบันไดก้าวที่สูงกว่าอยู่ในความว่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่ใช่บอกว่าวันนี้จิตใจสับสนวุ่นวาย มีปัญหาชีวิตอย่างนั้น ให้ทำใจว่างให้นั่งเฉย ๆ อย่างนี้เรียกว่าใจว่างหรือตัวว่าง (ตัวว่าง)  เรียกว่าว่างงานหรือใจว่าง เรียกว่าว่างงาน
ความทุกข์มีอยู่  ความทุกข์หมดไป ความสุขมีอยู่ ความสุขหมดไป ถ้าหากอยากจะสุขมากจะต้องทำอย่างไร ถ้าหากอยากมีความสุขมาก ก็ต้องขาดความทุกข์ให้มากใช่หรือไม่ (ใช่)  กินมะระเสร็จแล้วขมไม่ขม  กินเสร็จก็กลายเป็นหวานใช่หรือไม่ คนอายุยิ่งมากยิ่งชอบกินมะระใช่หรือเปล่า เพราะชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ถ้าเราชอบมะระ เราต้องกินทุกข์จึงจะได้สุข  ตอนนี้เรามีความทุกข์อยู่ไหม  เวลาอยากกินข้าวก็ต้องไปซื้อข้าวทำกับข้าว แต่ความทุกข์มีกันอยู่แล้ว  สำเร็จอยู่ในใจเลย  วันนี้ถ้าเรามีทุกข์อย่าคิดว่าทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่าความทุกข์นั้นให้ปัญญา ให้วิชา ให้โอกาส ให้ความรู้ ถ้าหากว่าใครไม่เคยที่จะมีความทุกข์เลยก็ไม่มีวิชา ไม่มีโอกาสไม่มีความรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ามารไม่มี เป็นอย่างไร เคยได้ยินไหม มารไม่มีบารมีไม่เกิด  ตอนนี้เรามีมารหรือเปล่า (มี)   ว่าคนอื่นเป็นมารอีกแล้ว
ใครยังไม่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น ที่ไม่ยกไม่ตอบเพราะว่าเขิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาทำดีไม่ต้องเขิน เวลาทำชั่วต้องอาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้ของฟรีไหม (ของฟรีไม่มีในโลก)  คนเขาบอกว่าของฟรีไม่มีในโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเขาให้ของฟรี ก็รีบหนีไปเลยใช่ไหม ของถูกของฟรีจะไปดีได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนอาจารย์ให้ธรรมะฟรีๆ เอาหรือไม่ (เอา)  เอาไปทำอะไร (ทำความดี, ปรับปรุงตัวเอง)
ธรรมะต้องเอาไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  หากไม่ปฏิบัติก็อยู่ที่ปากคนพูดถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าธรรมะไม่ปฏิบัติคำพูดก็ยังเป็นคำพูดใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวหนังสือก็ยังเป็นตัวหนังสือ เราก็ยังเป็นเรา ธรรมะก็ยังเป็นธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วทำได้บ้างไม่ได้บ้างอาจารย์ดูแล้วยังคุ้นตามากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำได้บ้างไม่ได้บ้างไม่เป็นไร ขอให้ศิษย์นั้นทำเข้าไป อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ คนไทยนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองเท่าไร เวลาคนให้ทำอะไรถ้าหากว่าเราไม่แน่ใจ เราไม่คล่องในสิ่งนั้นจริงๆ เราก็บอกว่าเราทำไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเราทำได้แล้ว เราก็มักคล่องเกินคือปรับปรุงประยุกต์เปลี่ยนแปลงแหลกลาญไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คือเราเป็นนักดัดแปลงโดยกำเนิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  อันนี้น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  แม้กระทั่งธรรมะก็เช่นเดียวกันศิษย์ก็ยังใช้วิธีนี้ เวลาที่ศิษย์นั้นไม่รู้ศิษย์ก็ไม่ยอมทำเลย เวลาศิษย์ทำเป็นแล้วศิษย์ก็ดัดแปลงจนเละไปหมดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  น่ากลุ้มไหม (น่ากลุ้ม)
ความหมายขององุ่นเป็นผลไม้ที่ดี อาจารย์หวังว่าศิษย์จะได้รับความหมายที่ดีไปด้วย สิ่งใดที่เราทำขอให้เป็นความร่วมมือ มีเรื่องเล็กอภัยกัน มีเรื่องใหญ่คุยกันได้  โดยเฉพาะสามีภรรยากันสามารถที่จะบำเพ็ญธรรมในลักษณะครอบครัวต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เราต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่ในบ้าน เราจึงจะประสบความสำเร็จภายนอกบ้าน คนเก่ง คนฉลาด คนที่มีไหวพริบในโลกนี้ ก็ขอให้ทั้งหมดนั้นบันดาลอยู่ที่ศิษย์ทุกๆ คน ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นทำเท่าที่กำลังมี งานธรรมะนั้นเป็นการแพร่ธรรมในช่วงเวลาหนึ่ง อาจารย์มาหาศิษย์เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในช่วงเวลานี้ อาจจะได้เท่ากับชั่วชีวิตของศิษย์บางคน ของใครบางคน ซึ่งหวังว่าในช่วงชีวิตที่ศิษย์กำลังทำงานต่อ อาจารย์ส่งเทียน ส่งไฟ ส่งประทีปมาถึงมือศิษย์แล้ว ก็หวังว่าศิษย์นั้นช่วยกันจุดให้สว่าง เมื่อโลกทั้งโลกมีความสว่าง ศิษย์ของอาจารย์ย่อมที่จะเชิดหน้าชูตา อาจารย์ย่อมมีความภูมิใจในตัวศิษย์ทุกคน หวังว่าศิษย์นั้นทำเท่าที่กำลังมี อย่าไปหยุมหยิมเรื่องเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องของการพูด การคิด เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การกระทำก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ไม่น้อยหน้ากัน หวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นตั้งอกตั้งใจ ทำในสิ่งที่ศิษย์นั้นตั้งใจเป็นปณิธาน เบื้องบนย่อมไม่ทอดทิ้งผู้ที่ลงมือ วันนี้สร้างฐาน  วันหน้าบรรลุมรรคผลนะศิษย์นะ ทุกคนก็เหมือนกัน อาจารย์มีคำพูดดีๆ มอบให้ศิษย์ทุกๆ คน มีคำอวยพร อวยพรศิษย์อยู่ตลอดเวลา กลัวแต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ลงมือทำ มรรคผลย่อมไม่เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่เย่อหยิ่งย่อมเดินทางมรรคาไม่ได้ ผู้ที่อ่อนน้อมย่อมสามารถที่จะเดินไปอย่างราบรื่น  
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายของพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่าคนคือกรงขัง )
คนคือกรงขังหมายความว่า สังขารนี้เป็นผู้กักขังจิตวิญญาณไว้ อะไรคือความเป็นคนบ้าง ความเป็นคนก็คือ อัตตา ทิฐิ กิเลส ความยากได้ ความยากมี ความรู้ ความไม่รู้ อันนั้นคือหมายถึงคน คนยังมีอีกตั้งมากมายที่ติดอยู่ในความสวยงาม ติดในชื่อเสียง ติดในลาภยศเงินทอง แต่หากว่าคนที่สามารถที่จะรู้ตื่นขึ้นมาแล้ว จิตตื่นเป็นไทจากกิเลสแล้วก็พ้นจากกรงขังนี้ได้
ทิฐิ สังขารนี้ อย่าให้ความคิด อย่าให้อัตตาตัวตนนั้นขังศิษย์ไว้ภายใน ขอให้ศิษย์นั้นได้รู้ตื่น ตั้งแต่ยังไม่หมดลมหายใจนี้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตนี้ให้ได้มีคุณค่ามากขึ้น สูงส่งมากขึ้น เป็นไทและเป็นอิสรภาพจากกิเลสทั้งปวง วันนี้อาจารย์มาที่นี่ อาจารย์ดีใจ อาจารย์มีใจ อาจารย์มีความสุขที่ได้อยู่กับศิษย์ทุกคน สิ่งที่อาจารย์อยากมอบให้ศิษย์ ก็ได้แก่ความสุขทั้งปวง อันเกิดจากความทุกข์นั้นได้ดับสิ้น เพียงแต่ว่ามนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เช้ายันค่ำก็ยังพะวักพะวนในเรื่องของตัวเอง ก็ยังห่วงในเรื่องที่เป็นเรื่องไม่ซ้ำกันไปในแต่ละวัน อาจารย์จึงห่วงศิษย์มาก วันนี้มีใจ วันหน้าหมดใจ วนเวียนไปอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่จะได้หลุดพ้น อาจารย์หมายมาดให้ศิษย์ทุกคนนั้นตั้งลำชีวิตให้ดี ลงหลักปักฐานให้กับชีวิตของตน คนจะมีคุณค่าเมื่อช่วยผู้อื่น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพระโอวาท) อาจารย์ไม่ได้มีชีวิต ไม่ได้มีลมหายใจเป็นของตัวเองแล้ว เวลาที่อาจารย์จะมาก็จึงสามารถมาได้อย่างมีจำกัด ศิษย์ทุกคนนั้นมีชีวิตแล้วก็มีจิตใจเป็นของตัวเอง มีเวลาเป็นของตัวเอง นึกจะทำอะไรก็ทำได้ นึกอยากเดินไปทางไหนก็เดินได้ เพียงแต่ว่าศิษย์ทุกคนนั้นไม่รักตัวเอง สัมมามีให้เดินอยากเดินไปมิจฉา เอาความคิดของตนเป็นใหญ่ เอาเรื่องของตนเป็นที่ตั้ง ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจผู้อื่น อย่างนี้ลำบาก เดินยาก ยิ่งเดินไปในทางมิจฉานับวันก็ยิ่งท้อ ยิ่งเบื่อหน่าย ชีวิตก็เต็มไปด้วยความเครียด เต็มไปด้วยความคะนอง อย่างนี้แล้วเมื่อไรจึงสามารถที่จะหลุดพ้นได้ คนคิดไม่เป็น ทำให้มนุษย์นั้นวนเวียนมานักต่อนัก ชาติแล้วชาติเล่า อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นคิดใหม่ ชีวิตของศิษย์นั้นมีค่ามากกว่าที่คิด บางคนเป็นคนอยู่อยากตาย แต่คนตายอยากเกิด ฉะนั้นวันนี้แม้ว่าเจ็บป่วยอยู่ แม้ว่าแขนขาไม่ดี แม้ว่าปวดหลังปวดเอว แม้ว่าชีวิตไม่สมหวังทั้งเรื่องคู่ครองและลูกหลาน ศิษย์เอ๋ยอย่างที่อาจารย์บอกไว้แต่แรก เกิดมาคนเดียว ตายไปคนเดียวทำชีวิตของเราให้ดี การช่วยผู้อื่นจะทำให้ชีวิตของศิษย์นั้นมีค่ามากยิ่งขึ้น การที่ศิษย์นั้นเอาแต่ช่วยตัวเองมันก็ทำให้ชีวิตของศิษย์นั้นไร้ค่า
เกิดมาเป็นคนแล้ว ต้องเป็นคนให้ประสบความสำเร็จ จึงจะสามารถเป็นเทพเป็นเซียนได้ เรื่องที่อาจารย์พูดมาทุกอย่างแม้จะมีความตลกบ้าง หัวเราะบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็หวังว่าให้ศิษย์นั้นพิจารณาด้วยปัญญา ที่มีอยู่ในจิตเดิมแท้ของทุกคน หากว่าศิษย์ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้อาจารย์ก็จะไม่มาช่วยศิษย์ หากแต่วันนี้ศิษย์ทุกคนสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้อาจารย์จึงตั้งใจลงมาช่วยศิษย์ ในเมื่อฟ้าเบื้องบนและอาจารย์ไม่เคยดูถูกศิษย์ ศิษย์ก็อย่าได้ดูถูกตัวเอง อาจารย์ไม่กลัวศิษย์ทำไม่ได้ อาจารย์กลัวแต่ศิษย์นั้นไม่ยอมทำ ไม่ยอมเดิน ควรพูดไม่พูด ควรทำไม่ทำ รู้แล้วทำเป็นไม่รู้ หลับๆ  ตื่นๆ อยู่อย่างนั้น เวลาในชีวิตศิษย์ทุกคนนั้นสั้นนัก ถ้าเทียบกับสิ่งที่ควรจะเป็น คือ เกิดแก่เจ็บตาย ให้ศิษย์ตายไปตามอายุขัย  คนละกี่สิบปีก็ยังนับว่าน้อยอยู่ เพราะว่าอะไร ก็เพราะว่านิสัยที่มีอยู่ในกมลสันดานนั้นมันฝังแน่น หากไม่คิดจะขุดขึ้นมาเอง ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขเอง ย่อมไม่มีใครเปลี่ยนให้ได้ เอาชนะตัวเองนะศิษย์ไม่ใช่ให้เอาชนะผู้อื่น
เอาชนะตัวเอง เอาชนะนิสัยของเราที่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เอาชนะความคิดตัวเองที่ไหลเข้าไหลออก ไหลเข้าออกอยู่เรื่อยๆ หวังว่าศิษย์นั้นจะเข้มแข็ง อย่าเป็นคนท้อง่าย ลงแรงเปลี่ยนแปลงตัวเอง บำเพ็ญธรรมเพื่อหมายมั่นว่าเราหลุดพ้นได้สักวันหนึ่ง อย่ามัวอมทุกข์ แล้วเจอกันใหม่นะศิษย์นะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คนคือกรงขัง
มาจากความเปล่าไร้อย่าหลงมี สังขารที่ไม่เที่ยงเป็นกองทุกข์ใหญ่
คือเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป จิตเป็นไททุกข์เพียงกายอย่าอาวรณ์
ความเป็นตัวตนขังคนให้ยึดติด ถือทิฐิความคิดตนจนยากผ่อน
ปิดกั้นใจไม่ฟังใครดุจลงกลอน อวิชชาสอนทาสอารมณ์จนวันตาย

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา