วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

2551-11-08 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร


西元二OO八年 歲次戊子 十月十一日  大眾恭求仙佛慈悲指示訓วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

สลัดความเกียจคร้านในความคิด สลัดความยึดติดในความเกียจคร้าน
สลัดความเกียจคร้านที่มีทุกวัน จึงมุ่งมั่นสิ่งที่ทำสำเร็จดี
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา    ฮวา ฮวา
สิ่งใดที่ทำตามกันอย่าหมายดี ต้องรู้ที่ศึกษาให้กระจ่าง
มีปัญญาพินิจให้สว่าง ต้องรู้บ้างไม่รู้บ้างอย่าหมายเดิน
เมื่อได้เป็นคนดีในชาตินี้ ต้องรู้ที่บำเพ็ญธรรมเพื่อหลุดพ้น
เกิดเป็นคนทุกวันต้องอดทน แต่มารู้จักตนประเสริฐกว่า
รู้ว่าสิ่งใดควรทำใดควรปลง ต้องรู้ลงให้คนอื่นเขาบ้างหนา
ใช่ทุกอย่างตีขึ้นมาเป็นราคา รู้ทรมาหาทางออกไว้หรือยัง
มีเงินทองมีสบายก็ใช่สุข เพราะยังทุกข์ที่ชีวิตเป็นอย่างนั้น
ขอจงรู้ตามอารมณ์ตนให้ทัน เมตตากันคือพุทธะบนแดนดิน
น้องทุกท่านชายหญิงในที่นี้ ไม่มีใครต้องเวียนว่ายตลอดไปหนา
เพียงแต่รู้หลังรับธรรมบำเพ็ญนา ทุกสิ่งที่ปฏิบัติหนาคือบำเพ็ญ
ชำระใจให้ผ่องแผ้วอยู่เสมอ ดำรงกายเที่ยงเสมอธรรมบ่มสอน
อย่าทำบ้างไม่ทำบ้างให้ขาดตอน ทุกทุกท่อนแห่งชีวิตล้วนเนื่องกัน

คนมีความว้าวุ่นเป็นลักษณะ สติมีลักษณะสงบนิ่ง
ชีวิตมีลักษณะเดินหน้ายิ่ง คนมีสติชีวิตจริงเกิดลักษณะดี
จงได้รู้สามวันนี้ประชุมธรรม ขอให้นำจิตศรัทธาบริสุทธิ์
ขอให้ใจมีปัญญาดั่งบัวผุด จึงเร่งรุดเปลี่ยนแปลงชีวิตตน
นิสัยคนเป็นอุปสรรคการบำเพ็ญ เปลี่ยนแปลงร้อนเป็นเย็นอย่าเนิ่นช้า
คนคิดมากจึงเป็นผู้เสียเวลา จงรู้ว่าใดควรแล้วลงมือเลย
จริยธรรมความสุภาพจิตสุขุม ไม่งองุ้มซึ่งปฏิปทาต่อจุดหมาย
อย่าดีต้นแย่กลางล้มเหลวปลาย สังเกตในวันนี้เห็นอนาคตตน
ในวันนี้พี่ลงมาคุมชั้นเรียน หวังน้องเพียรตั้งใจฟังธรรมะ
การแพร่ธรรมยุคสามสมถะ แต่วาระจำกัดนี้จงเร่งเพียร
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
จงรู้ตนว่าวันนี้เป็นอย่างไร ความสงสัยรู้แปรเปลี่ยนให้เกิดคุณ
ศิษย์พี่นั้นไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา  หยุด
วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

อย่าหงุดหงิดคิดมากรำคาญใจ อย่าให้ใครเขาเที่ยวเอาใจอยู่
อย่าเอะอะก็เอาแต่จะไม่สู้ อย่าเที่ยวรู้มากไปไม่ดีหนา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ใจที่ไม่เข้าถึงธรรมะหัวใจ เปรียบผู้ตาบอดไม่อาจประจักษ์
วิญญาณโลภเหมือนไปสู่ทางลำบาก วิญญาณหลงมากยึดถือคืออัตตา
ชีวิตติดไม่เต็มทนจนกำลัง ประดุจดั่งคนไม่แย่ด้วยปัญหา
ไม่เคยแม้อิ่มสุขไม่ระอา แต่อิ่มเอมได้ปัญญากล้าเผชิญ
มีกิเลสต้องการตามสิ่งเร้า ติดใจเอาติดอารมณ์ติดสรรเสริญ
หลายความคิดเขลาขลาดไม่เจริญ ไม่ยอมเพลินเกินงามยามบำเพ็ญ
ปกติใจเพราะไม่ขวางโลกอย่างใด ตารู้ตัดง่ายดายประชิดตาเห็น
ใจสบายจะกะหน้ายิ้มเป็น ดั่งว่ามาตรพิษเย็นในวาจา
ธรรมสูงส่งดื่มด่ำระมัดระวัง วิเศษค่าเหมือนดั่งไม่มีค่า
ชอบแต่ติดยึดไม่ปฏิบัตินา แม้มีค่าจึงตกแค่ทฤษฎี
ดวงใจถูกล่าไล่ให้สะพรึง ตกตะลึงเหมือนยิ่งกวางวิ่งหนี
วัฏฏะวนคนหากขาดสติมี กรณีทุกข์ต้องหลงหน้าเปลี่ยนไป

คนเมื่อต้องการชนะย่อมกังวล ศรัทธาสิ้นไม่ทนต่อไม่ไหว
หน่ายหน่ายเรื่อยกันเองลืมเข้าใจ อนุสัยเยี่ยงเดินลงเหวไร้เวลา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
นั่งฟังเบื่อหรือยัง (ไม่เบื่อ) ฟังแล้วเอาไปทำบ้างไหม เอาไปปฏิบัติบ้างหรือเปล่า  ศรัทธาขาดไม่ได้คือการศึกษา มีศรัทธาแต่ไม่ศึกษาเรียกว่า “งมงาย” ศึกษาแต่ไม่ศรัทธาเรียกว่า “ลองภูมิ” ศรัทธาต้องกอปรด้วยการศึกษา เมื่อศึกษาแล้วต้องกอปรด้วยการเพียรพยายามนำไปลงมือปฏิบัติด้วยความอดทน อดกลั้น การศึกษาบำเพ็ญธรรม คือ ศึกษาเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ลดละอารมณ์ให้เบาบางเท่าที่จะเบาบางได้ วันนี้เราต้องลดละความเป็นตัวตน ต้องรู้จักเสียสละให้กับผู้อื่นได้ ให้คนอื่นมาก่อน ฉันมาทีหลัง ถ้าทำได้โดยที่ใจไม่รู้สึกตะขิดตะขวง ไม่รู้สึกว่าต้องอดทนอดกลั้น นั่นแหละเรียกว่า อัตตาตัวตนได้เบาบาง  การบำเพ็ญธรรมก็คือ การฝึกฝนขัดเกลาเข้มงวดตัวเอง หาใช่เข้มงวดขัดเกลาผู้อื่นนะ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมนักเรียนในชั้นเรียน)
ไม่มีอะไรเลวร้ายในวันที่จิตใจเรารู้สึกดี และไม่มีอะไรย่ำแย่ในวันที่จิตใจรู้สึกเป็นสุขถูกหรือไม่ (ถูก) แต่อย่าลืมว่าใจของมนุษย์ก็พลิกง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ไม่มีอะไรดีในวันที่ใจรู้สึกว่าเลวร้าย และไม่มีอะไรที่งดงามได้ถ้าวันนั้นจิตใจเป็นทุกข์ ใจของมนุษย์มีความสัมพันธ์กับชีวิต ผูกพันกันมาเหมือนสิ่งที่ขาดกันไม่ได้ ใจรู้สึกอย่างไรชีวิตก็เป็นไปตามที่ใจรู้สึกอย่างนั้น ถ้าใจรู้สึกดีชีวิตก็กระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย ถ้าใจรู้สึกแย่ชีวิตก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ความหมดหวัง และความสิ้นหวัง และไร้พลังกำลังใจในการต่อสู้  มนุษย์เคยคิดไหมว่า ถึงแม้ว่าใจจะไม่สู้เมื่อยามที่ทุกข์ แต่เราสามารถแปรเปลี่ยนหัวใจของเรานี้ให้สู้กับความทุกข์ได้ ในวันที่แย่ๆ บางครั้งใจก็อาจมีพลังได้โดยที่เราไม่คาดคิดใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดว่าความคิดในหัวใจเราหรือสติปัญญาในใจของเรานั้นอยู่เหนืออารมณ์ สติปัญญานั่นแหล่ะจะสามารถแปรภาวะเลวร้ายให้กลายเป็นภาวะที่ดีงาม แปรเรื่องที่ไม่น่าจะปรากฏให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจและรับได้ด้วยสติปัญญาและความคิดที่รู้เท่าทัน แต่มนุษย์มักลืมสติปัญญาและความคิดที่เท่าทัน มีชีวิตอยู่เพียงกายกับใจเท่านั้น ใจฉันรู้สึกอย่างไรกายก็เป็นอย่างนั้น กายฉันรู้สึกอย่างไรใจก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์ลืมไปว่ามีทรัพย์สมบัติที่มีค่าคือ สติปัญญาและความคิดที่เท่าทัน เพราะถ้ามนุษย์มีสติปัญญาและความคิดที่เท่าทัน แม้เรื่องที่เลวร้ายสติปัญญาและ  ความคิดที่เท่าทันจะแปรเปลี่ยนเป็นการให้อภัยและฝึกเมตตาด้วยหัวใจอันเปิดกว้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้เราลืมอะไรไปล่ะ เราลืมสติ เราลืมปัญญาและเราลืมเท่าทันใจของตนใช่ไหม (ใช่)  เรารู้ว่าต้องเท่าทันโลกต้องทันสมัยแต่เราเคยเท่าทันใจไหม คิดอย่างหนึ่งแต่มือทำไม่ทัน พอมือทำไม่ทัน สติตามทันไหม (ไม่ทัน)  เพราะฉะนั้นอย่าเป็นคนทันสมัยแต่ไม่ “ทันใจ”  ใช่หรือเปล่า(ใช่)
อย่าหงุดหงิดคิดมากรำคาญใจ  อย่าให้ใครเขาเที่ยวเอาใจอยู่
อย่าเอะอะก็เอาแต่จะไม่สู้   
เป็นอย่างนั้นไหม จะทำอะไรตามใจตัวเองก็ทำไม่ได้ อันนี้จะทำเขาก็บอกว่าห้าม อันนี้จะทำเขาก็สะกิดว่าอย่าทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   พอเจอคนขัดใจ เจอคนขวางความคิดขวางใจ เราก็เลยรู้สึกไม่เอาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์อยู่กับการตามใจบ่อยไหม (บ่อย)  แล้วการตามใจตัวเองบ่อยๆ  ทำให้เราตาบอดไหม (บอด) ทำไมการตามใจตัวเองบ่อยๆ จึงทำให้เรากลายเป็นคนตาบอดได้ล่ะ  ตาบอดก็คือภาวะที่มองไม่เห็น เหมือนกับการนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าเราเบื่อแม้เห็นก็เหมือนเราไม่เห็น ฟังก็เหมือนไม่ได้ยิน ทั้งที่หูก็ดีนะแต่ทำไมไม่ได้ยินอะไรเลย  ตาก็ดีนะแต่ทำไมมองไม่เห็น เห็นแล้วก็เห็นไม่ชัด เพราะเบื่อ เพราะไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการตามใจตัวเองอาจจะทำให้เรากลายเป็นคนที่ตาบอดภายใน ภายนอกดูเหมือนตาดีแต่ภายในใจนั้นกลับมืดบอด
ถ้าใจไม่บอด ตาที่มองและหูที่ฟังก็จะต้องทำให้เราเกิดความเข้าใจ แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร  ตาเห็น หูฟัง แต่ใจไม่รู้เรื่องใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ความอดทนเป็นสิ่งที่เอาชนะได้ยาก ผู้ที่สามารถเอาชนะความอดทนได้ พระพุทธะเรียกผู้นั้นว่าผู้ประเสริฐ วันนี้เราจะสามารถเอาชนะความอดทนอดกลั้นได้ถึงสามวันไหม (ได้)  เมื่อกล้าตอบก็ต้องกล้าทำให้สำเร็จนะ กล้าพูดก็ต้องกล้าทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามีความสุขก็ไม่ต้องใช้คำว่าอดทนอดกลั้นเลยนะ แต่ถ้านั่งฟังด้วยความทุกข์ก็ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ใครตอบได้บ้างว่ามนุษย์ตาบอดเกิดจากอะไรบ้าง (ความมัวเมาและลุ่มหลง) ความหลงทำให้เราตาบอด อย่างเช่นหลงอะไร (หลงอบายมุข, กิเลสตัณหา)  แม้ใครจะบอกว่าสิ่งที่เราหลงนั้นไม่ดี แต่เมื่อเราชอบเสียแล้ว ชื่นชมว่าดีเสียแล้ว ใครพูดอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ ฉะนั้นความหลงจึงเปรียบเหมือนกับดัก คนที่ติดกับดักหลุดยากไหม (ยาก)  เพราะกับดักนั้นใครเป็นผู้สร้างขึ้นมา (ตัวเอง)  
มนุษย์เราตาบอดเพราะอะไรอีกบ้าง (ความโลภ ความหลง ความรัก)  ความโลภและความรักเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ตาบอด ใช่หรือไม่ (ใช่) ความโลภเปรียบเหมือนยาพิษ กินน้อย ๆ ก็บำรุงกำลังให้มีแรงต้านพิษ  ถ้าโลภน้อยๆ ความโลภนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้เรามีความทุกข์ แต่ถ้ายาพิษนี้มากเกินไปจะทำร้ายชีวิตและจิตใจ ฉะนั้นใครโลภมากก็เหมือนคนที่กินยาพิษมาก จากที่พิษจะต้านพิษ กลายเป็นพิษนั้นทำลายชีวิตตนใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความหลง ความรักทำให้ตาบอดอย่างไร (ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่น)  เป็นอย่างไรถึงทำร้ายตัวเอง (ไปรักคนอื่นแล้วอยากได้เขา ทำร้ายเขา)  รักแล้วอยากได้เขาแล้วทำร้ายเขา ทำร้ายอย่างไร (ทุบตี)  ทุบตีหลังจากได้เขามา แล้วเขาไม่ปฏิบัติตามใจเรา เราเลยรังแกเขาใช่หรือไม่ (ใช่)    หรือเขายังไม่เป็นของเราแต่ใจเราอยากได้ ก็ทำร้ายเขาให้เจ็บปวดเหมือนที่เขาทำให้ใจเราเจ็บปวดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรักทำให้มนุษย์ตาบอดเพราะความรักเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ว่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีความสุข แต่ถ้าว่ายนาน ๆ เราจะเริ่มรู้จักความทุกข์อันเจ็บปวดที่รักษาไม่หาย มนุษย์ตายเพราะน้ำมากกว่าตายเพราะไฟ ความโกรธเปรียบเหมือนไฟ ฉะนั้นคนบนโลกตายเพราะรักมากกว่าตายเพราะโกรธ
ความสงสัยก็เป็นเหมือนประตูที่ขังใจไม่ให้เราเรียนรู้ ฉะนั้นอยากคลายความสงสัยต้องกล้าที่จะเผชิญความจริง แม้ความจริงตอนนั้นจะเป็นจริงหรือเท็จก็ตาม แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรถ้าเราเอาแต่ยืนอยู่บนความสงสัยโดยที่ไม่ก้าวออกมาจากหัวใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เห็นนั้นจริงหรือเท็จ ท่านต้องเปิดใจพิจารณาไตร่ตรองศึกษาและเรียนรู้ด้วยความอดทนอดกลั้น ท่านจึงจะสามารถพิจารณาได้ว่า สิ่งที่เราพูดนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ
การอยู่ด้วยการตามใจตัวเองและตามอารมณ์ตัวเองนั้น จะทำให้เรามองสรรพสิ่งในโลกได้ไม่รอบด้าน ไม่ครบสมบูรณ์ แต่การมองอะไรด้วยความเป็นจริง ยืนอยู่บนความเป็นจริง จะสามารถทำให้มนุษย์มองเห็นทุกสิ่งหรือสรรพสิ่งได้อย่างครบรอบด้านและสมบูรณ์ เมื่อลงมือกระทำก็จะเกิดความกระจ่างแจ้งและเข้าใจ ความผิดพลาดย่อมเกิดได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้มนุษย์เราอยู่บนโลก มองด้วยการตามใจมากกว่ามองตามความเป็นจริง เหมือนเห็นสิ่งหนึ่งก็แกล้งไม่เห็นอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งที่ไม่อยากเห็นก็คือสิ่งที่เราไม่อยากมอง เมื่อเราไม่มอง เราก็จะไม่มีวันรู้และเข้าใจในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็จะไม่มีวันกระจ่างแจ้งและพ้นจากความไม่ชอบนี้ ฉะนั้นการที่เรากล้ามองในสิ่งที่เราไม่ชอบ ยินดีรับฟังในสิ่งที่เรารังเกียจเดียจฉันท์ อาจทำให้มนุษย์นั้นเข้าใจโลกและเข้าใจชีวิตได้อย่างถ่องแท้ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อมนุษย์รักแล้วก็ยังยืนอยู่ในรัก เกลียดแล้วก็ยังถอยห่างจากสิ่งที่เกลียด จึงไม่สามารถมองโลกใบนี้ได้อย่างกระจ่างแจ้งและพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลกนี้ โดยไม่มีสิ่งที่เราเกลียด และไม่มีสิ่งที่เรารักก็คงมองทุกอย่างเป็นกลางได้ แต่เมื่อใดมีสิ่งที่เรารัก มีสิ่งที่เราเกลียด ความลำเอียงก็ย่อมปรากฏในหัวใจ
แล้วอะไรที่ปรารถนาแล้วทำให้มนุษย์ไม่สามารถยืนอยู่บนความเป็นจริง พาให้มนุษย์เกิดความลำเอียง และพบความทุกข์ได้ อย่างเช่น มนุษย์ปรารถนาความมั่งมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออยากมีมากๆ เราก็อดลำเอียงไม่ได้ เมื่อเวลาแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์เราต้องได้มาก คนอื่นต้องได้น้อย เราต้องได้คำชม คำติคนอื่นรับไปใช่ไหม ฉะนั้น จึงทำให้เราเกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น และเกิดการรังเกียจเดียดฉันท์ เกิดทุกข์และสุขสลับเวียนกันไปถูกหรือไม่  พอมั่งมีแล้ว หรือมีสุขแล้ว ต่อให้ความสุขหรือเงินทองนั้นจะไหลมาเหมือนห่าฝน ท่วมท้นจนเต็มบ้าน มนุษย์ก็ยากจะพึงพอใจ แม้มีจนเต็มที่เราก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ  เมื่อถมความอยากมีได้ไม่เต็ม ถมความโลภความต้องการได้ไม่หยุด กลับกลายเป็นทำให้เกิดทุกข์มากกว่าเกิดสุข แต่มนุษย์ก็ยังคงโลภ ถามว่าโลภแล้วได้สุขไหม สุขตอนแรกแต่ทุกข์ตอนหลังใช่หรือไม่ แต่เราหยุดไหม เหมือนความรัก แม้จะรู้ว่าความรักทำให้เรามีทุกข์แต่เราไม่หยุด ความรักนั้นพอมีน้อยเราก็บอกว่าขาดแคลน พอมีมากเราก็บอกว่ารำคาญใช่หรือไม่ พอไม่มีก็รู้สึกโหยหา ฉะนั้นอารมณ์ความรู้สึกที่มนุษย์ปรารถนาล้วนพาให้มนุษย์ยืนอยู่บนความบิดเบี้ยวและใจที่ไม่เที่ยงตรง เราจึงควรกลับมายืนอยู่บนความเป็นจริงดีไหม แล้วความเป็นจริงอะไรที่จะสามารถทำให้มนุษย์เรามีตาแล้วมองได้ถูก มองได้รอบคอบ มีหูแล้วสามารถฟังได้ชัด มีใจแต่ไม่ถูกปิดกั้น รู้ไหมคืออะไร (มีความพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่)
มนุษย์ลืมไปว่ายิ่งอยากมากเท่าไรใจมนุษย์ยิ่งบิดเบี้ยว ยิ่งหลง ยิ่งโลภ ยิ่งรักมากเท่าไรใจมนุษย์ยิ่งเอนเอียง และไม่สามารถกลับคืนความงดงามปกติสุขได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์กลับมาสู่ใจอันปกติและเที่ยงตรงบริสุทธิ์ยุติธรรมนั่นก็คือ “ความรู้พอ” เมื่อไรที่เรารู้พอเมื่อนั้นความสุขจะอยู่ใกล้ แต่เมื่อไรที่เราเริ่มต้นชีวิตด้วยความไม่พอ ความสุขจะอยู่ไกล ความทุกข์จะมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรู้พอจะทำให้มนุษย์รู้จักใจกว้าง กล้าให้และเสียสละ  แล้วมนุษย์ทอดทิ้งความรู้พอไปจากใจนานแค่ไหนแล้ว มนุษย์ลืมคำว่า “พอ” ไปจากหัวใจ การรู้จักเพียงพอนั้น จะทำให้มนุษย์กล้าที่จะให้ กล้าที่จะเสียสละ และจิตใจที่กล้าที่จะให้ กล้าที่จะเสียสละนั้น จะทำให้มนุษย์รู้จักความอิ่มเอมใจ ความสุขอันเบาสบาย เวลามีเงิน เรามีความสุข แต่เป็นความสุขอันขุ่นมัว เพราะพอมีเงินก็คิดแต่ว่า ฉันจะเอาเงินไปทำอะไร ฉันจะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหน ฉันจะมีเงินมากกว่าเขาไหม หรือฉันมีเงินน้อยกว่าเขา เป็นความสุขที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวและความหนักอกหนักใจ แต่ความสุขที่เกิดจากการรู้พอ เสียสละ และรู้จักการให้ เป็นความสุขที่ทำให้เราโปร่ง  โล่ง เบาสบาย เช่นวันนี้ทำงาน ทำงานเท่านี้พอแล้ว ขอเอาเวลาที่เหลือไปเสียสละช่วยคนอื่นบ้าง  ความสุขที่ได้จากการเสียสละ ความสุขที่ได้จากการให้จากการรู้พอ จะทำให้เราเบาสบายและไม่ยึดมั่นถือจนเราก็ลืมตัวตนนี้ไป ใช่หรือเปล่า(ใช่) แล้ววันนี้ “พอ” ได้หรือยัง (ยัง)
คำถามง่ายๆ เพราะปรารถนาอะไรอยู่ที่ทำให้เรายังพอไม่ได้ และเราก็ยังไม่สามารถมีสุขในหัวใจ  (ทรัพย์สินเงินทอง)  มนุษย์ยังปรารถนาไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามท่านนะ มีเงินเป็นร้อยล้านใช้จริงๆ ได้วันละกี่บาท มีบ้านหลายๆ หลังนอนได้จริงๆ กี่หลัง  มีที่กว้างๆ นอนได้จริงๆ กี่คืบกี่วา เคยเห็นไหมว่าสิ่งที่เราปรารถนากลับทำให้เรากลายเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว และกลายเป็นทาสของสิ่งที่เราปรารถนาโดยที่เราไม่อยากเป็น ตอนนี้เราเป็นทาสของเงินหรือเป็นเจ้าของเงิน (ทาสของเงิน)  แล้วเงินยังน่าปรารถนาไหม  สำหรับพุทธะจะมองว่าจริงๆ แล้วชีวิตหนึ่งเราใช้เท่าไร  เรานอนกี่วากี่คืบ  สิ่งที่เกินความจำเป็นพุทธะจึงบอกว่าหยุดปรารถนาด้วยความรู้พอเถอะ  
(ปรารถนาความดีงาม)  มนุษย์เราถ้าทำดีแม้เพียงเล็กน้อยและเล็กน้อยนั้นทำอยู่ทุกวันจะทำให้เรามีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทำดีแล้วยึดติดในดี  หวังผลในดี  ความสุขนั้นก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์  เพราะฉะนั้นทำดีต้องไม่หวังผล ทำดีแล้วเมื่อถึงความดีแล้วเราต้องปล่อยความดีนั้นวางลง อย่าได้ยึดติดว่าฉันดีโดยที่ใครว่าไม่ดีไม่ได้  อย่างนี้เรียกว่าปล่อยจากกิเลสแต่มาติดความดี ปล่อยจากอกุศลแต่มาติดกุศล ใช่หรือเปล่า(ใช่)  เป็นไหมใครทำดีต้องเขียนชื่อ  ชื่อตัวเล็กๆ ไม่ได้ต้องตัวใหญ่ๆ  อย่างนี้เรียกว่า ปล่อยสิ่งหนึ่งแต่มายึดอีกสิ่งหนึ่ง ปล่อยเงินแต่มายึดบุญยึดกุศล
มีอะไรอีก (สิ่งอำนวยความสะดวก)  เขามีมือถือเราก็ต้องมี เขามีรถยนต์เราก็ต้องมี เขามีเครื่องฟังเพลงได้เราก็ต้องมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  การวิ่งตามใจผู้อื่น หรือวิ่งตามใจตัวเองเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วถมเต็มไหม (ไม่เต็ม)  ไม่ต่างอะไรกับท่านที่ปรารถนาทรัพย์สิน  ถึงที่สุดเราไม่มีวันถมให้ใจเราเต็มได้  นอกจากว่าเรารู้พอใจในสิ่งที่เรามี เมื่อไรที่เราพอใจในสิ่งที่เรามี สุขจะไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ถ้าเมื่อไรเราไม่รู้จักพอความสุขจะอยู่ไกลเกินเอื้อมทุกวันๆ
อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ต่อให้เงินทองไหลมาเท่าห่าฝน ก็ไม่สามารถเติมใจของมนุษย์ให้เต็มได้  มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาเงินทอง ความรัก และความสุข แต่สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาล้วนทำให้มนุษย์ทุกข์ ไกลจากความสุข ฉะนั้นก่อนที่จะปรารถนา ก่อนที่จะเริ่มดิ้นรน จงรู้จักพอเพียงในชีวิตและสุขในความสามัญก่อนไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเรารู้จักพอเพียงและสุขในความเป็นตัวตน ในสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ก็ยังมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมีตัวเองเป็น แต่ถ้าความสุขพื้นฐานในสิ่งที่ตัวเองมีตัวเองเป็นเรายังรับไม่ได้ พอไปวิ่งหาสิ่งที่ตัวเองปรารถนาก็ไม่ได้กลับมาด้วย ไม่เท่ากับเราทุกข์ซ้ำสองหรือ แล้วเราสามารถพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีตัวเองเป็นได้ไหม (ได้)  ได้แน่นะงั้นลองดู
(ท่านหันต้าเซียนเมตตา ให้นักเรียนชายท่านหนึ่งมายืนหน้าห้อง หลังจากนั้นให้นักเรียนชายและผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เตี้ยกว่า ออกมายืนเรียงหน้ากระดานกัน)  คนเดียวเราก็บอกว่าเราทำอะไรก็ได้ เราสู้ไหว แต่ถ้ามีคนเปรียบเทียบแบบนี้  บางทีมนุษย์เราก็อดไขว้เขวในสิ่งที่มีสิ่งที่เป็นไม่ได้ เราเริ่มทนไม่ได้ทนไม่ไหว ไม่สามารถพอใจในพื้นฐานความสุข ถ้ามองคนข้างๆ จะรู้สึกอย่างไร อะไรทำให้เกิดทุกข์ (การเปรียบเทียบ, ตา) ตาใช่ไหม เมื่อตามองใจรับรู้ พอใจเราเริ่มรับรู้ เราเริ่มเกิดการเปรียบเทียบว่า ชอบแบบไหนมากกว่า ไม่ชอบแบบไหนมากกว่า อะไรที่คนคิดว่าดีกว่า อะไรที่คนคิดว่าไม่ดีกว่า อย่าเพิ่งไปเปรียบเทียบ ถ้าตาเรามองแล้วมีสติเท่าทันว่า สูงก็ดี ดำก็ได้ ผอมก็โอเค เราจะทุกข์ไหม แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า เขาขาวกว่า อ้วนกว่า ทุกข์ไหม ตอนนี้พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นไหม (พอใจ)  บางครั้ง พอเห็นคนอื่นพอใจแบบนี้เหมือนกันไปหมด ซึ่งสิ่งที่เราพอใจนั้นไม่เหมือนคนอื่น แตกต่างจากคนอื่น เราเริ่มรับไม่ได้ เราเริ่มไม่พอใจ เราเริ่มไม่สามารถสุขกับความสามัญที่ตัวเองมี ยิ่งเดินกันไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มรู้สึกว่า ฉันสูงเกินไปไหม ฉันดำเกินไปหรือเปล่า เขาขาวกันหมดเลย เขาสูงได้ระดับหมดเลย แต่เราสูงเกินไปอยู่เรื่อย นี่แหละคือชีวิต พอสภาวะแวดล้อมไม่เหมือนกับสิ่งที่เราพึงพอใจ เราก็เริ่มทนไม่ได้ รับไม่ได้ หรือที่มนุษย์เรียกว่า ความทุกข์
มนุษย์รู้จักคำว่าพอเพียง รู้จักความสุขในความสามัญ แต่เมื่อมีตัวแปร แปรความแตกต่าง แปรความไม่เหมือน ทำให้มนุษย์ลืมความพอเพียงและความสุขอันสามัญที่มนุษย์ควรจะพึงมีพึงได้ไป พอมองออกมากๆ ก็มักจะลืมมองเข้า หรือพูดง่ายๆ ก็คือว่า ความไม่เที่ยง ความอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ความไม่มีตัวตน และความไม่แน่นอนของชีวิตตนก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ยากที่จะรู้จักพอเพียงและมีสุขในคำว่ารู้พอ ฉะนั้นการจะเอาชนะใจตนเองจึงเป็นสิ่งที่ต้องทวนกระแส ทวนอารมณ์และทวนจิตใจ ผู้ที่สามารถทวนกระแส ทวนอารมณ์และทวนจิตใจได้ จึงจะเป็นผู้ที่สามารถพบความสุขอันแท้จริงได้ แต่ผู้ที่ไม่เคยทวนกระแส ทวนอารมณ์และทวนจิตใจของตนเองย่อมง่ายที่จะพบทุกข์มากกว่าพบสุขอันนิรันดร์ เหมือนคนนั่งก็คิดถึงคนยืน คนยืนก็คิดถึงคนนั่งใช่ไหม
ท่านเคยเห็นเป็ดไหม (เคย) เป็ดขาสั้นหรือขายาว (ขาสั้น) แล้วท่านเคยเห็นนกกระเรียนขาวไหม (เคย) ขาสั้นหรือขายาว (ขายาว) ถ้าเรารู้สึกว่าเป็ดขาสั้นไม่ดี เลยไปเติมให้ขายาว ดีไหม (ไม่ดี) ส่วนกระเรียนขายาวเกินไป ตัดให้ขาสั้นดีไหม (ไม่ดี) เพราะอะไรล่ะ (เพราะไม่สมดุลกัน) ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนเราเห็นความไม่เที่ยงธรรมของคนในโลก เห็นความไม่แน่นอนของจิตใจคน  เห็นคนที่ดีก็ดีมาก แย่ก็แย่เหลือเกิน แต่เราสามารถปรับเอาของคนที่ดีมาใส่คนที่แย่ แล้วเอาของคนที่แย่ไปใส่คนที่ดี จะได้ไม่ดีเกินไป ขัดหูขัดตาเรา ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้น เมื่อใดที่เราเห็นความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เราจึงต้องยอมรับว่าเขาเป็นเป็ด เขาเป็นนกกระเรียน อย่าคิดจะไปตัดหรือไปเติมให้ใครเลยดีกว่า เพราะเมื่อไรที่เราคิดจะตัดให้ใคร เติมให้ใคร นั่นก็คือเรากำลังฝืนธรรมชาติ มีเรื่องเล่าง่ายๆ เรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเจอนกตัวหนึ่งที่สวยงามมาก สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดี เป็นอาหารเลิศรสที่เขาว่าอร่อย เขาก็พยายามป้อนให้นกตัวนี้กิน ดนตรีที่เขาว่าเพราะ เขาก็เปิดให้นกตัวนี้ฟัง ที่นอนที่สบาย เขาก็จัดแจงให้นกตัวนี้นอน ถามว่านกตัวนี้อยู่รอดไหม (ไม่รอด)  ฉะนั้นการฝืนธรรมชาติ ไม่ได้เลี้ยงนกเพื่อนก แต่เลี้ยงเพื่อตัวเอง จึงทำให้เราสูญเสียสิ่งที่รักที่สุด เหมือนเราคิดจะไปปรับผู้อื่น คิดว่าทำไมคนนี้โง่จังเลย แล้วทำไมคนนี้ฉลาดจังเลย อย่างนั้นเอาความฉลาดของคนนี้ไปใส่ให้คนโง่ แล้วเอาความโง่ของคนนี้ไปใส่ให้คนฉลาด เพื่อโลกจะได้สมดุล เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้น เราอย่าเลี้ยงผู้อื่นเพื่อตัวเอง แต่เลี้ยงผู้อื่นเพื่อผู้อื่น แล้วเราก็จะสามารถเข้าใจผู้อื่น และเราจะไม่เกิดความทุกข์ ไม่กลายเป็นคนตาบอดเพราะอยากให้ทุกสิ่งเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เหมือนการที่เราเลี้ยงลูก เราอยากให้ลูกเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น มากกว่าสิ่งที่เขาอยากจะเป็น ฉะนั้นเหมือนกัน เมื่อเราเจอปัญหา เมื่อเราเจอคนว่า เจอคนนินทา เราปรับให้คนชมนั้นกลายเป็นคนนินทาน้อยๆ ดีไหม แล้วให้คนนินทามากๆ เป็นคนรู้จักชมได้ไหม ถ้าคิดอย่างนั้นท่านก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่คิดตัดขานกกระเรียน ฉะนั้นจะอยู่บนโลกโดยไม่ตาบอด แล้วสามารถรู้พอในความสุขนั้น ก็คือพอใจในสิ่งที่เขามีเขาเป็น ไม่ใช่แค่พอใจในสิ่งที่เรามีเราเป็นอย่างเดียวนะถึงจะพบสุข อย่าหวังให้เขามีเขาเป็นในสิ่งที่เราหวัง ไม่อย่างนั้นจะพบทุกข์มากกว่าพบสุข เขานินทาก็คิดเสียว่า โลกนี้ไม่มีใครได้รับคำชมอย่างเดียว มีนินทาก็ต้องมีสรรเสริญ มีสรรเสริญก็ต้องมีนินทา ชีวิตฉันถึงจะสมดุล ถ้าโลกนี้มีแต่คนชมท่าน ท่านก็อับจนใจได้แล้ว ฉะนั้นจงดีใจเถอะถ้าชีวิตนี้มีชมและมีว่า มีสรรเสริญและมีนินทา มีสุขและมีทุกข์ เพราะทำให้ใจเรานั้นสมดุลและอยู่บนความเป็นจริงได้อย่างถ่องแท้
มนุษย์มักจะเคยชินกับการศึกษาหลักธรรมว่าต้องศึกษาแต่กับพระภิกษุ นอกนั้นศึกษาหาธรรมไม่ได้  ชีวิตนี้เราพบความไม่เที่ยงจากพระอย่างเดียวไหม  ชีวิตนี้เราพบความไม่เที่ยงจากพระหรือมาจากคน (คน) ถ้าเช่นนั้นจะบอกว่าธรรมะนี้อยู่แต่ในพระ  อยู่กับผู้อื่นหาธรรมไม่พบได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นทุกสิ่งสามารถให้ธรรมได้ถ้ารู้จักคิดและเกิดสติปัญญาเท่าทัน  เราสามารถได้ธรรมจากเด็กไหม (ได้)  เราสามารถได้ธรรมจากศัตรูไหม  เราสามารถได้ธรรมจากมิตรไหม (ได้) เราสามารถได้ธรรมจากเสื้อตัวหนึ่งไหม (ได้)  ฉะนั้นรอบตัวล้วนมีธรรม แต่อยู่ที่ว่าผู้นั้นตาบอดจนมองไม่เห็นธรรมรอบตัวหรือไม่ บางครั้งมนุษย์ตาบอดขนาดเสื้อผ้ายังมองไม่เห็นธรรม อันไหนเก่าฉันไม่เอาอันไหนใหม่ฉันเอา เป็นธรรมไหม(เป็น)  ฉะนั้นการเป็นคนเก่าๆ ของใครอาจจะถูกเขี่ยทิ้งได้  ฉะนั้นพบธรรมในเสื้ออย่าลืมพบธรรมในใจด้วย   เห็นธรรมในเสื้อก็อย่าลืมเห็นธรรมในใจ  
เราถามต่อนะ เราอยู่ในโลกนี้สิ่งใดที่เราไม่ควรปรารถนาถึงจะดี (ทรัพย์สินของคนอื่น) แต่การที่เราหาเงินไม่ใช่เพราะอยากได้เงินของเขามาอยู่ในกระเป๋าเราหรือ  (อย่าให้มีโรค) การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ  แต่ถ้าเราเลือกกิน กินแบบตามใจ โรคก็อาจจะมาหาได้ง่าย  โรคเกิดจากปากและการมีนิสัยกินที่ผิดๆ   ฉะนั้นอยากให้ไม่มีโรคก็ต้องรู้จักระมัดระวังการกิน
ความทุกข์เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องเจอ เมื่อดับไปก็ต้องเจอ เราหนีไม่พ้น  แม้จะไม่ปรารถนาแต่ถ้าเรารู้จักทำความเข้าใจในทุกข์ให้ได้ ความทุกข์ก็จะทำให้เราพบความสุขอันนิรันดร์ อย่ารังเกียจทุกข์เลยนะ
สิ่งที่มนุษย์ไม่ปรารถนาคือ (ความโลภ, ความเจ็บไข้ได้ป่วย) เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น) ฉะนั้นป่วยกายแต่อย่าให้ใจป่วยนี่จึงจะเรียกว่าประเสริฐ  (ไม่ปรารถนาในสิ่งที่รัก) ไม่ปรารถนาในสิ่งที่รักจะได้ไม่ต้องทุกข์ ไม่มีรักเลยได้ไหม ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ ไร้ในสิ่งที่รักและสิ่งที่ไม่น่ารัก มนุษย์จะทุกข์กับอะไร เมื่อเรามีรักพอพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ เมื่อเรามีรักย่อมมีสิ่งที่ไม่น่ารัก เมื่อต้องพบกับสิ่งที่ไม่น่ารักเราก็เป็นทุกข์ ถ้าในโลกนี้ไม่มีอะไรให้รัก เราจะทุกข์กับอะไรล่ะ
ความทุกข์โศกเกิดจากความรักถ้ามนุษย์ไม่มีความรักความทุกข์โศกก็ไม่มี รักแรกที่มนุษย์หนีไม่พ้นคือรักตัวตน เมื่อรักตัวตนก็มีที่ให้ทุกข์อยู่ แต่เมื่อรู้ว่าตัวตนเป็นกองแห่งความทุกข์ เป็นกองแห่งสังขารกองหนึ่งที่หามีตัวตนไม่ แล้วมนุษย์จะทุกข์กับอะไร ร่างกายเป็นกองแห่งความทุกข์เป็นกองแห่งสังขารที่หามีตัวตนไม่ แต่มนุษย์เอาจิตใจไปครอบครองอยู่ ฉะนั้นอยู่อย่างไรล่ะให้อยู่แล้วไม่ทุกข์ เคยเห็นแมลงภมรหรือผีเสื้อไหม เวลามันไปดอมดมดอกไม้ ดอมดมเสร็จแล้วดอกไม้มีช้ำไหม พอดอมดมเสร็จกินน้ำหวานเสร็จ ภมรหรือแมลงนั้นก็บินจากไป ร่างกายนี้เปรียบเหมือนดอกไม้ ชีวิตเราก็เปรียบเหมือนแมลงตัวหนึ่งที่ผ่านมาเพื่อกินน้ำหวาน ดอมดมดอกไม้แล้วก็จากไป ไม่มีอะไรที่น่ายึดติด แต่มนุษย์อดหลงไม่ได้กับรูปสวยอันนี้และต้องได้ครอบครองเป็นเจ้าของ พอครอบครองนานเข้าดอกไม้นี้ก็ถูกกลืนกินจนลืมหัวใจอันเดิมแท้ไป  ดั่งที่มนุษย์พูดอยู่เสมอว่า ชีวิตของคนผ่านมาเพื่อผ่านไป มีอะไรให้ยึดติด มีอะไรให้สุขทุกข์ ใจของเราเหมือนคนที่มายืมร่างกายนี้ ที่เปรียบเหมือนศาลา มาอาศัยให้เกิดคุณค่ามากที่สุด ถึงเวลาเราต้องทิ้งศาลานี้ และติดไปเพียงแต่บาปบุญคุณโทษ ฉะนั้นเราจะทุกข์อะไรกับศาลานี้
ศาลานี้ไม่ผุพัง เป็นไปไม่ได้ ร่างกายต้องเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ชีวิตต้องพลัดพรากเป็นนิจศีล ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงนี้ เราจะทุกข์กับสิ่งใด ที่เราทุกข์เพราะเรายึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ปล่อยวาง อย่างปลงไม่ตกคิดไม่ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  
เหมือนเมื่อสักครู่เราพูดกับท่านว่า การรู้จักเพียงพอ จะทำให้มนุษย์พบสุขอันง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารู้จักเพียงพอแล้วพบสุขแล้ว รู้จักให้เป็นแล้วเสียสละได้แล้ว เราก็ต้องวางสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นนี้ลง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนเวลาเราเอาแหจับปลา พอเราได้ปลา แหนั้นเราต้องทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์อดไม่ได้ พอจับปลาได้แล้วเรายังแบกแหต่อไป  เราจึงต้องเหนื่อยกับการเหวี่ยงแหไม่จบสิ้น ร่างกายนี้ต่างอะไรกับแหที่มัดกุมใจเราไว้ ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยใช่หรือไม่ ความเจ็บปวดเป็นตัวบอกให้มนุษย์รู้ว่ากายกับใจไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน แต่เป็นสิ่งที่ต้องแยกจากกันให้เด็ดขาด เราเป็นผู้มายืมกายนี้ เพื่อสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็คือ การกลับไปสู่จิตเดิมแท้ที่เรียกว่า พุทธะผู้หลุดพ้น  แต่มนุษย์พบความหลุดพ้น พบความเป็นพุทธะในตัวตนบ้างหรือยัง (ยัง)  เมื่อไรที่ท่านทำดี แล้วสามารถทำโดยไม่หวังผล นั่นแหละท่านพบพุทธะและพบความหลุดพ้นได้หนึ่งเปลาะ เคยไหมทำอะไรดีๆ อย่างหนึ่ง พอทำเสร็จแล้วสบายใจ แต่ถ้าทำแล้วเรากลับแอบมาคิดว่าวันนี้ทำได้แล้วหนึ่ง พรุ่งนี้ต้องทำให้ได้สอง แปลว่าเราทำแล้วยังยึดติดในผลงาน ฉะนั้นทำแล้วจงปล่อยวาง
การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือการยืนอยู่บนความเป็นจริง ไม่ยืนอยู่บนการตามใจ แม้ความเป็นจริงนั้นจะมีทั้งดีและร้ายก็ตาม เราจะต้องยืนบนความเป็นจริงแล้วมองให้รอบด้าน เข้าใจให้สมบูรณ์ เมื่อเรามองได้รอบด้านเข้าใจได้สมบูรณ์ ความเป็นจริงจะทำให้เรากระจ่างแจ้งและหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้
วันนี้เราคงมาศึกษา ผูกบุญสัมพันธ์ด้วยข้อธรรมเพียงแค่นี้ ถึงเวลาเราก็ต้องไป น่าเสียดายที่บางคนฟังแล้วไม่รู้เรื่อง น่าเสียดายที่บางคนฟังแล้วยังไม่เข้าใจ แต่ขอให้วันนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นและจะก้าวต่อไปให้เข้าใจยิ่งขึ้นด้วยวันที่สองและวันที่สาม ด้วยความอดทนอดกลั้นได้หรือไม่ (ได้)  อยู่สามวันก็คงเป็นสามวัน แต่หนึ่งวันขอให้เป็นสองวันและสามวันให้ได้นะ ดีไหม (ดี)  
ร่างกายนี้ไม่ใช่สิ่งเที่ยงแท้ การมาของเราก็ไม่ใช่สิ่งเที่ยงแท้ แต่สิ่งที่เที่ยงแท้คือธรรมที่เราพูดกับท่าน หัวใจที่เราต้องการสื่อให้ท่านได้รับรู้ นั่นก็คือ การรู้พอเพียง ซึ่งมีอยู่ในหัวใจมนุษย์ทุกคน และยินดียอมรับในสิ่งที่เป็น ไม่ว่าเขาจะเป็นเป็ดหรือนกกระเรียนก็ตาม หรือแม้แต่ชีวิตนี้จะเจอเป็ดหรือนกกระเรียนก็ตาม เราก็สามารถยอมรับในสิ่งที่มีที่เป็นได้ด้วยความเป็นสุขนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก


ท่านหันต้าเซียนเมตตา เปรียบเทียบความรัก, โลภ, โกรธ, หลง, สงสัย ดั่งความหมายด้านล่าง :
๑. ความรัก เปรียบเสมือน ทะเลทุกข์
๒. ความโลภ ยาพิษ
๓. ความโกรธ ไฟ
๔. ความหลง กับดัก
๕. ความสงสัย ประตูที่ขังใจ
วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถูกความทุกข์เล่นงานจนหน้าคล้ำ ยิ้มแต้มขอบตาดำไม่สดชื่น
กลางคืนค่ำจำนอนถอนสะอื้น อย่าเพียงฝืนรู้ตัวต้องทำใจ
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจินจง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนง่วงหรือเปล่า

ยิ่งกว่าทุกข์ใจ ต่างรับรู้เหมือนสัมผัสได้ เก็บอย่างไรห่วงทรัพย์สูญมาก คิดดูวันใดจากกายเนื้อไปไม่หนีพลัดพราก คิดรักษาของสุดรัก จงตั้งหลักว่าด้วยเดือดร้อน
ใช่เจ้าของไม่ช้าไวก็ม้วน ยึดส่วนรวมไว้ส่วนตัว ต่อสู้เพื่อตัวเสียงหวานเสียงอ่อน    
ผู้บำเพ็ญตนหัดมองย้อนตน รู้ตัวด้วยย้อน ทรัพย์สินโชคลาภเต็มใต้หมอน แม้ล้มนอนหลอนผวา  
ผู้โลภหลงมากเหมือนตาบอดไป ยึดติดดั่งคนไม่เต็ม ไม่เคยอิ่มเอมแม้อิ่มได้   ติดใจต้องเอาความคิดเขลาเกินยอมตัดใจ เพราะไม่ง่ายดาย กะจะสบายขวางประชิดหน้า
มาตรว่าสูงค่าเหมือนดังดื่มพิษ ยึดติดแต่มีค่าจึง ตกใจตะลึงเหมือนถูกล่า ยิ่งหากวนหลงต้องทุกข์ต้องทนไม่สิ้นหนา ชนะต่อกันเรื่อยหนา เยี่ยงเดินลงเหว
* ยิ่งกว่าทุกข์ใจ ต่างรับรู้เหมือนสัมผัสได้ เก็บอย่างไรห่วงทรัพย์สูญมาก คิดดูวันใดจากกายเนื้อไปไม่หนีพลัดพราก คิดรักษาของสุดรัก จงตั้งหลักว่าด้วยเดือดร้อน
ใช่เจ้าของไม่ช้าไวก็ม้วน ยึดส่วนรวมไว้ส่วนตัว ต่อสู้เพื่อตัว
เสียงหวานเสียงอ่อน
ผู้บำเพ็ญตนหัดมองย้อนตน รู้ตัวด้วยย้อน ทรัพย์สินโชคลาภเต็มใต้หมอน แม้ล้มนอนหลอนผวา  (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง : สร้างยาก รักษายากยิ่งกว่า
ทำนองเพลง : แอบรัก แอบคิดถึง

หมายเหตุ : เนื้อเพลงสองย่อหน้าแรกนำมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมะคือประทีป”

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ง่วงนอนหรือเปล่า (ไม่ง่วง) ไม่ง่วงแล้วหลับหรือเปล่า (ไม่หลับ) สี่นิสัยที่นำคนไปสู่ความเสื่อม ที่จำเป็นจะต้องตัดทิ้งให้ได้ คือ มักง่วง
มักคุย มักขี้เกียจ มักโกรธ สี่อย่างนี้เราเป็นหมดหรือเปล่า (เป็น)  
รู้สึกว่าตัวเราเสื่อมลงเรื่อยๆ ไหม เสื่อมนี้ที่เราเห็นคือสังขารเสื่อม ถามว่าใจเราเสื่อมด้วยหรือเปล่า (ไม่เสื่อม)  เสื่อมหรือไม่ก็ไม่รู้ ต้องดูเอง เราจะเห็นว่าเรามีจิตใจที่เสื่อมไหมก็ตอนที่เราควรจะเมตตาแล้วเราไม่เมตตา ตอนที่เราควรให้แล้วเราไม่ให้ ตอนที่เราควรจะหายโกรธแล้วแต่เรายังไม่หาย ตอนที่เราควรยิ้มเราก็ไม่ยิ้ม อย่างนี้เรียกว่าจิตใจของเราเสื่อม เราทุกคนเป็นคนดี เราทุกคนต้องการที่จะได้ดี แล้วเราได้ดีหรือยัง (ยัง)  เราไม่ได้ดี คนมักคิดอย่างนี้ วันนี้มาที่นี่ต้องเปลี่ยนใหม่ เราไม่ได้ดีแต่เราก็ไม่ได้แย่ ถ้าเราคิดอย่างนี้เรารู้สึกว่าเราแย่หรือไม่ (ไม่แย่)  
ทุกคนมีจิตใจเหมือนกันหมด ทุกคนมีความโกรธ ทุกคนมีความเกลียด ทุกคนมีความรัก ทุกคนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไร ไม่ทำอะไร พูดอะไร ไม่พูดอะไร มีเหมือนกันทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้วนิสัยของคนจะคล้ายคลึงกันมากทีเดียว อะไรที่เราไม่ชอบเขาก็ไม่ชอบ อะไรที่เราชอบคนอื่นก็ชอบ เพราะฉะนั้น การอยู่ร่วมกันระหว่างคนเป็นเรื่องยาก ก็เพราะว่าเรานั้นตามใจตัวเอง ไม่ตามใจคนอื่น ถ้าเราอยากอยู่อย่างง่ายๆ เราต้องไปเรียนหรือเปล่า (ไม่) หรือเราต้องเอาเงินไปแลกซื้อมาเพื่อให้อยู่กันง่ายๆ ก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่เราควรจะแลกมาคืออะไร คือการตามใจตัวเองน้อยๆ แล้วหัดที่จะมองเห็นจิตใจคนอื่นบ้าง อย่างนี้เรียกว่าความเข้าใจ ทุกคนมีจิตใจดวงหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกันทีเดียว คิดอะไรก็คิดคล้ายๆ กัน ถ้าเหตุการณ์เดียวกันมา ถ้าเราโกรธคนอื่นก็โกรธ ถ้าเราชอบคนอื่นก็ชอบ
จิตใจของทุกคนที่มีอยู่ภายในนั้นเป็นจิตใจที่ค่อนข้างจะเหมือนกันมากทีเดียว เหมือนกันอันนี้ ก็คือเป็นสภาวะธรรมที่มีอยู่ในตน ทุกคนมีอยู่แล้ว ไม่ใช่มานั่งฟังธรรมะแต่ตัวเราไม่มีธรรมะ  ทุกๆ คนมีธรรมในตนอยู่แล้วแต่ว่าธรรมะที่เรามีอยู่นั้นมันเว้าๆ แหว่งๆ เพราะเรามีอารมณ์ มีความคิด มีนิสัยที่ชอบและไม่ชอบ ฉะนั้นต้องเอานิสัย อารมณ์และความรู้สึกของเรามาขัดเกลา เอาสิ่งที่เว้าๆ แหว่งๆ มาทำให้สมบูรณ์ ทำสิ่งเกินให้พอดี เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงบำเพ็ญในตน พัฒนาสภาวะธรรมที่มีในตนนี้ให้ไปสู่ความหลุดพ้น
คำว่า “หลุดพ้น” นั้นไกลกันชนิดที่เรียกว่าไกลกันคนละภาษาเลยกับปัจจุบัน  แต่ถ้าเราต้องการจะก้าวไปสู่การหลุดพ้น เราต้องมีก้าวแรกก่อน  ถ้าเราบอกว่าขอหลุดพ้นอย่างเดียวเลย ขอเสลี่ยงมารับ ถ้าเป็นปัจจุบันขอรถมารับด้วย อย่างนี้ถึงหรือไม่ถึง รถนั้นต้องอาศัยน้ำมัน เสลี่ยงนั้นต้องมีคนหาม เพราะฉะนั้นตัวเราเองนั้นเที่ยงที่สุด การหลุดพ้นไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องใช้ความรู้สึก ใช้แต่เพียงปัญญา
เรามีปัญญาหรือไม่ (มี)  แต่คนในสมัยนี้เรียกว่า ความฉลาด ความเก่ง ซึ่งต่างกับปัญญา  คนเก่งมักเหนื่อย  ถ้าหากว่าเราเหนื่อยแสดงว่าเราเป็นคนเก่ง  คนฉลาดมักวิตก เราวิตกกังวลไหม (วิตก) แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นทั้งคนเก่งและฉลาดเลย  คนไม่เก่งไม่ฉลาดเป็นอิสระเสรี  เรามีไหม (มี)  เป็นอิสระในกรอบหรือเปล่า   คนในสมัยนี้ไม่รู้จักคำว่า “อิสระ”  รู้จักแต่คำว่า “เก่ง” และ “ฉลาด” เท่านั้น เลยมีแต่ความเหนื่อยและวิตกกังวลเยอะแยะไปหมด เมื่อเทียบกับคนอื่นบางทีเรารู้สึกว่าตัวเองโง่ ตัวเองไม่ฉลาดไม่เก่ง  แต่เมื่อเทียบกับตัวเองแล้วเราฉลาดเราเก่งที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ก็ว่าอย่างนั้น เพราะอาจารย์เห็น
ทุกคนเป็นโรคเหนื่อยแล้วก็ชอบคิดวิตกกังวลมากๆ  ไม่ใช่น้อยนะ มากๆ
เวลาเรามาสถานธรรม เวลาเราไปวัด ไปตามที่ที่มีการไหว้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรามักจะขอให้ครอบครัวดี ขอให้มีฐานะดี ขอให้ไม่เจ็บไม่ป่วย สามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราขอบ่อยมาก  ถามว่าเราขอแล้วได้หรือเปล่า  (ได้,ไม่ได้)  ก็ยังห้าสิบห้าสิบอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การขอจากภายนอกไม่ได้ผล เราต้องขอจากภายในตัวเรา อยากให้ครอบครัวดีต้องไม่ขี้บ่น
ง่ายไหม (ง่าย, ไม่ง่าย) อาจารย์พูดง่ายแต่ทำยาก อยากร่ำรวยมีเงินทอง ต้องขยันหามากใช้น้อย แต่ทุกวันนี้เป็นอย่างไร หาน้อยใช้มาก ยิ่งมีคนมาให้กู้เงิน คิดจะไม่เอายังคิดนานเลย ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์บอกให้ยิ่งกู้
ยิ่งจน มีน้อยใช้น้อย มีมากก็ใช้น้อย อยากให้สุขภาพแข็งแรงต้องทำอย่างไร กินอะไรเข้าไปจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นต้องระวังเรื่องอาหารการกิน ระวังเรื่องการกินอยู่หลับนอน ถึงเวลานอนต้องนอน ถึงเวลากินต้องกิน กินตามใจปากหรือกินตามใจร่างกาย กินตามใจปากคืออยากกินอะไรก็กินเข้าไป ถ้ากินตามใจร่างกายก็กินเพื่ออยู่ กินให้มันพอดีๆ อะไรที่บอกว่าไม่ดีก็ไม่กิน อะไรดีก็กิน สิ่งที่ดีๆ ที่บอกว่าต้องกิน
มนุษย์เป็นผู้ตามใจปากอย่างมาก เพราะฉะนั้นกินเข้าไปได้แต่เอาออกมาไม่ได้ ป่วยหรือไม่ (ป่วย) กรอกเข้าไปเหมือนใส่ของลงไปในโอ่ง ใส่เข้าไปเยอะๆ ใส่แต่สิ่งที่ไม่ดีเข้าไป ถามว่าจะเอาออกจากโอ่งอย่างไร ถ้าหากว่าง่ายเหมือนตักน้ำออกจากโอ่งก็ดี แต่ร่างกายของคนเราเมื่อกินเข้าไปแล้ว ปากก็ปิดทันทีเลย ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะเอาออกก็ไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องรู้ว่าจะเอาอะไรเข้าไปจึงจะสามารถรักษาให้สมดุลได้ ร่างกายมีวิธีการขับตามธรรมชาติอยู่ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เอาเข้าไปที่เป็นโทษนั้นมันมากจริงๆ ร่างกายจึงขับออกมาได้ไม่หมด
ยิ่งบางคนเป็นคนชอบอยู่เฉยๆ ด้วย เวลาที่ควรจะต้องเดินก็นั่งรถ ควรจะต้องวิ่งก็เดินช้าๆ เพราะฉะนั้น ร่างกายจึงป่วยได้
อันนี้อีกเรื่องหนึ่ง ที่เรากำลังพูดถึงคือจิตใจที่ป่วยของเรา ถามว่าใจของเรามีนิสัยไหม สิ่งที่เราเป็นอยู่ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำ บางทีแม้ไม่ได้ออกมาเป็นรูปธรรม แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ ในระหว่างที่รู้สึก ในระหว่างที่คิด ในระหว่างที่ฟุ้งซ่าน ในระหว่างที่ปรุงแต่งนั้นนั่นคือนิสัยของจิตใจ ซึ่งจำเป็นจะต้องปรับปรุง เพราะว่าถ้าไม่ได้ปรับปรุงแล้ว แม้แต่ความสุขธรรมดาก็หาไม่ได้ แม้แต่ความสุขธรรมดาก็ไม่มี
ทุกวันนี้เป็นอย่างนี้หรือไม่ แม้ชีวิตยังดำรงได้ เดินได้ ยืนได้ นั่งได้ นอนได้ แต่ “เสีย” เคยเห็นทีวีเสียไหม ทีวีเสียบางทียังเปิดติดแต่รับภาพไม่ได้ ตอนนี้ชีวิตศิษย์ก็เป็นอย่างนี้ เป็นชีวิตที่ยังเปิดติดอยู่ ยังเดินได้ ยังยืนได้ ยังไปไหนมาไหนได้ ยังคิดได้ แต่ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่ “เสีย” แล้วการที่เราจะซ่อมนั้นไปส่งให้คนอื่นซ่อมได้หรือเปล่า ใครจะรู้จักตัวเราเท่าตัวเราเอง ตัวเรารู้จักตัวเราดีที่สุด เพราะฉะนั้น คนที่จะซ่อมชีวิตของเราดีที่สุด ไม่ใช่หมอ และไม่ใช่ช่าง ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นตัวของเราเอง การมาซ่อมแซมชีวิตนี้ เรียกว่าเป็นก้าวแรกของการบำเพ็ญธรรม
ไม่รู้ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้ อยากที่จะซ่อมหรือไม่ อย่ามัวแต่ตอบตามคนอื่น หรือนั่งเงียบแสดงความไม่พอใจ หรือไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่อาจารย์พูด เพราะว่านี่คือชีวิตของศิษย์เอง ไม่สนใจสิ่งที่อาจารย์พูด ก็ไม่ใช่ไม่สนใจอาจารย์ แต่ศิษย์กำลังไม่สนใจตัวเอง นั่งเงียบหรือพูดตามๆ กันไป ศิษย์ก็ไม่ได้ทำร้ายอาจารย์ แต่ศิษย์กำลังทำร้ายตัวเอง เพราะฉะนั้น วันไหนๆ พูดจาภาษาคนกันไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่วันนี้ต้องฟังให้รู้เรื่อง เพราะว่าชีวิตของเราต้องรับผิดชอบเอง ให้ผู้อื่นรับผิดชอบได้ไหม
เหมือนเรามีลูกเรารับผิดชอบลูกของเรา รับผิดชอบในการส่งเสียเขา อบรมบ่มนิสัยเขา แต่เรารับผิดชอบเขาได้ตลอดไปไหม (ไม่ได้)  ตัวของเราก็เหมือนกัน เรามีลมหายใจอยู่กี่ปี เราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของเราเท่านั้นปี อย่าให้อารมณ์มาครอบงำ อย่าให้กิเลสมาครอบงำ อย่าให้ความคิดใดๆ มาครอบงำ แล้วก็เบื่อเช้าเบื่อเย็น เซ็งเช้าเซ็งเย็น คิดออกบ้าง คิดไม่ออกบ้าง บางวันอยากทำดี บางวันก็อยากทำตามใจ อยากที่จะฟาดหัวฟาดหางเปรี้ยงปร้างให้ใครเห็นเพื่อที่จะบอกว่าเราคิดอะไร ถามว่ามันจำเป็นไหม เรื่องเหล่านี้เป็นส่วนเกินของชีวิต นี่คือคนที่เกินๆ เพราะฉะนั้นเรายิ่งเกินเท่าไร เกินไปไหนก็เกินไปเป็นกิเลสทั้งหมด สุดท้ายเราจะได้อะไร เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เราทำอะไรให้กับชีวิตตัวเอง แล้วชีวิตของเราจะไปทางไหน อย่าให้อาชีพการงาน อย่าให้คนรอบข้างมาพาชีวิตของเราไปเรื่อยๆ ที่สำคัญอย่าให้เงินทองกองใหญ่มาพาชีวิตของเราไป ให้ชีวิตของเราหลงซ้ายหลงขวา เห็นทางแยกตรงไหนก็เดินไป อย่างนี้เรียกว่าไม่มีสติ เขาบอกว่าอะไรดีเราก็ว่าตามเขา เห็นเขาว่าอะไรไม่ดีเรา
ก็ว่าตามเขา อย่างนี้เรามีสติหรือเปล่า (ไม่มี)
เกิดเป็นคนต้องมีสติในขณะพูด ต้องมีสติว่าเรานั้นกำลังคิดอะไรดำดิ่งไปถึงไหน มีสติในการกระทำรู้ว่าตัวเราทำอะไร เราต้องการอะไร แล้วชีวิตของเราไปทางไหน คนมากกว่าครึ่งกว่าค่อนหรือจะบอกว่าเกือบทั้งหมด เวลาตายต้องไปผ่านนรกก่อนแน่นอน เพราะว่าสร้างบาปสร้างกรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้เราขอพรไม่เคยได้พร วันนี้เราทำดีไม่เคยได้ดี วันนี้ที่เราเป็นอยู่ บางทีรู้สึกว่าเราน่าจะผมสวยกว่านี้ น่าจะตาใสกว่านี้ น่าจะมีเงินมากกว่านี้ น่าจะสมหวังในสิ่งต่างๆ มากกว่านี้ ก็เพราะว่าเราทำกรรมมา ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่อาจารย์พูดถึง ให้ศิษย์นั้นปรับปรุงเรื่องการกินอยู่ เรื่องชีวิตจิปาถะทั้งหลาย แต่อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ติดตัวศิษย์มา อาจารย์บอกว่ามันเป็นกรรม กรรมที่เราทำมา เพราะฉะนั้น ณ วันนี้เราอย่าเกิดกิเลสอยากจะได้มากๆ ขึ้นไป เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเวลาเรามีมากแล้วเราจะเผลอสติหรือเปล่า คนรวยส่วนมากไม่เคยมีใครทำบุญ คนจนส่วนมากไม่เคยมีใครขี้เหนียว เพราะว่าจนมากก็เลยอยากที่จะทำบุญเยอะ ส่วนคนมีอยู่แล้วไม่อยากที่จะทำบุญ  ฉะนั้นวันนี้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ถูกกำหนดมานี้ เราจะทำอย่างไร ปล่อยไปตามกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมยอมแพ้ง่ายจัง ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้กลับไปปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ ให้เรานั้นรู้จักระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ชีวิตของเราถูกกรรมกำหนดมา เราต้องพยายามที่จะสู้กับกรรมนี้ ด้วยการสร้างบุญและสร้างกุศล ตัวเรานี้มีคุณธรรมไหม เป็นผู้มีคุณธรรมบารมี เป็นผู้มีจิตใจดี เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ เป็นผู้รู้ว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ เป็นผู้รู้ว่าทุกข์ก็คือทุกข์ และสุขก็คือสุข อยู่กับทุกข์ก็อย่าทุกข์ อยู่กับสุขก็อย่าสุข เข้าใจไหม อยู่กับทุกข์ถ้าทุกข์แล้วทำให้เราเป็นบ้า อยู่กับสุขก็อย่าสุข เพราะว่าความสุขนั้นทำให้เราไหลจากที่สูงลงไปที่ต่ำ ทำให้เราตามใจตัวเอง ทำให้เราหัวเราะอย่างขาดสติ ทำให้เรายิ้มอย่างขาดสติ ทำให้เมื่อเรามีสุขแล้วไม่รู้ว่าตอนที่ไม่มีจะทำตัวอย่างไร เพราะฉะนั้นอยู่กับทุกข์ก็อย่าทุกข์ อยู่กับสุขก็อย่าสุขทำได้ไหม (ได้)
“ถูกความทุกข์เล่นงานจนหน้าคล้ำ ยิ้มแต้มขอบตาดำไม่สดชื่น”
ไหนใครขอบตาดำบ้างยกมือขึ้น ไม่ใช่ขอบตาดำเพราะแต่งหน้านะ ขอบตาดำบ่งบอกถึงอะไร (นอนน้อย) ทำไมถึงเป็นคนนอนน้อย นอนน้อยเพราะคิดมาก งานมาก นอนไม่หลับ หรือว่าเครียด หลายสาเหตุเหล่านี้ทำให้เราขอบตาดำ ซึ่งก็เป็นการบ่งบอกถึงตัวเรา บางคนไม่นอนก็เพราะว่าป่วย ถามว่าเราป่วยไหม (ไม่ป่วย) เรานี่แหละป่วยตัวจริง อนาคตผู้ป่วย คนป่วยรีบนอนเลยส่วนใหญ่ นอกจากว่าป่วยจนนอนไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่คนป่วยเขารีบนอน ถ้าเขาป่วยเขารีบนอนเลยเพราะอะไร อยากหาย แต่เราบอกว่าเราไม่ได้ป่วย เราก็เลยไม่ได้คิดว่าเราอยากจะหาย แล้วเราก็ทำลายตัวเองไปทุกวันๆ แล้วเราก็กลายเป็น
คนป่วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในขณะที่ไม่ป่วยก็มีเมล็ดพันธุ์ของความป่วยซ่อนอยู่ข้างใน ในขณะที่ป่วยก็มีเมล็ดพันธุ์ของการฟื้นฟูอยู่ข้างใน ถามว่าเราอยากเป็นคนไม่ป่วยแล้วมีเมล็ดพันธุ์แห่งการฟื้นฟูตลอดเวลาไหม (อยาก)  เราต้องอยากเป็นอย่างนั้น เพราะเราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ผู้บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพียงแค่การแต่งตัวด้วยเสื้อขาว กางเกงหรือกระโปรงน้ำเงิน ผู้บำเพ็ญธรรมก็ไม่ใช่แค่ว่าพูดให้เป็นธรรมะเท่านั้น ไม่ใช่แสดงการกระทำออกมาเป็นธรรมะเท่านั้น แต่ผู้บำเพ็ญธรรมยังหมายถึง รายละเอียดปลีกย่อยทุกอย่างในชีวิตของตัวเองด้วย เพราะฉะนั้นการที่จะไปเป็นพุทธะ การที่จะหลุดพ้นไปเป็นเรื่องที่ยากหรือง่าย (ยาก)  การบำเพ็ญเป็นพุทธะจึงเป็นเรื่องง่าย เพราะว่าทุกอย่างนั้นไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นเลย นอกจากกับตัวเองนี้ เพียงแต่ว่าคนข้างนอก โลกภายนอก ความวุ่นวายภัยพิบัติทั้งหลายยุ่งก็ไม่เท่าตัวเรายุ่ง เวลาเราลงไปยุ่งกับ
สิ่งเหล่านั้นเราเลยยิ่งยุ่ง
คนถ้าไม่มีสติในการกระทำจะมีสติในการพูดไหม (ไม่)  ถ้าไม่มีสติในคำพูดจะมีสติในการคิดหรือ (ไม่) ถ้าไม่มีสติอย่างนี้ถือว่าเสียไหม (เสีย)  ทุกวันนี้เราเป็นผู้มีสติในสิ่งใดบ้าง  ใครคิดว่าตนเองเป็นผู้มีสติในการกระทำยกมือขึ้น   ใครคิดว่าตัวเองมีสติในคำพูดยกมือขึ้น  ใครคิดว่าเป็นผู้มีสติในการคิดยกมือขึ้น  เมื่อสักครู่คนที่ยกก็ไม่มีสติเหมือนกัน  อาจารย์บอกว่าถ้าไม่มีสติในการกระทำจะมีสติในคำพูดได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่มีสติในคำพูดจะมีสติในการคิดได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นวันนี้เรายกอย่างเดียวแสดงว่าเราก็ไม่มีสติในการฟังอาจารย์เหมือนกัน
ทุกๆ คนในห้องนี้ถือว่าเป็นผู้มีสติพอประมาณ เพราะรู้ว่าตนเองยังมีสติน้อยอยู่หรือไม่มีสติ  ถือว่าเราก็มีสติใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแต่การมีสติของเรานั้นไม่ได้นำพาไปถึงการพูดการคิดและการกระทำเลย  เราจึงเป็นผู้รับทุกขเวทนาจากคำพูด ความคิดและการกระทำของเราอยู่เสมอ ถ้าหากเราอยากจะทุกข์น้อยกว่านี้ เราก็ต้องมาตั้งสติในการพูด ในการกระทำและความคิดมากกว่านี้  บางทีเราเกิดมาเป็นคน  เรื่องผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นทุกวันอยู่แล้ว แต่เราอย่าได้บั่นทอนกำลังใจของตัวเราเอง  ถ้าเราจะพูดว่าเราไม่ดีอยู่เสมอ ถามว่าวันไหนเราจะดี  คนอื่นยังไม่ทันว่าเรา เราก็ว่าตัวเองแล้ว แล้วเมื่อไรวันไหนเราจะดีขึ้นล่ะก็ไม่มีทางเพราะเราเฝ้าแต่โทษตัวเองอยู่เสมอ
โลกนี้มีใครดีไหม (มี, ไม่มี)  อันนี้ก็เป็นการบอกมุมมองของตนว่าเราเห็นคนอื่นดีหรือเปล่า  ถ้าเราเห็นคนอื่นดีเราก็ทำดีกับเขาใช่หรือไม่(ใช่)  ถ้าเราเห็นคนอื่นแย่ถามว่าจะทำดีกับเขาไหม  ถ้าเราเห็นคนอื่นแย่ก็ยิ่งไม่ทำดีกับเขาใหญ่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนที่เราต้องทำดีกับเขามากที่สุด  คนที่เราทำดีกับเขายากที่สุด ก็คือ คนกันเอง คนใกล้ตัว เรารักเขาที่สุดแต่เราทำดีกับเขาก็น้อยที่สุดเหมือนกัน เพราะเราคิดว่าเรารู้ตื้นลึกหนาบางของเขา เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วม มีความคิดร่วมเข้าไป มีนิสัยความเคยชินร่วมเข้าไป แล้วที่สำคัญก็กลัวเสียหน้าด้วย เพราะฉะนั้นเราก็เลยทำดีกับเขาครึ่งๆ กลางๆ มีคนคิดในใจ ทำดีกับคนใกล้ตัวนี่ทำดีมากที่สุดเลย แต่ว่าในยามรักจึงทำดีกับเขาที่สุด ในยามที่รักเริ่มจางแล้วทำดีกับเขาที่สุดไหม ฉะนั้นก็หมายถึงคนใกล้ตัวและคนกันเองจริงๆ อันนี้เป็นเรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)
คนมักจะเป็นไปตามอารมณ์ของตัวเอง คิดอะไร อารมณ์อะไร รู้สึกอะไร สามเรื่องนี้สำคัญมาก นำมาซึ่งการพูดและการกระทำที่แสดงออกมา ถ้าหากว่าเราคิดอย่างหนึ่งแล้วทำอีกอย่างหนึ่ง นั่นใช่ตัวเราหรือเปล่า (ไม่ใช่) แสดงว่าคนไทยเป็นคนที่มีความจริงใจสูง เพราะส่วนใหญ่ที่อาจารย์เห็นคือ คิดอะไรทำอะไรต้องเหมือนกันเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เป็นแบบต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง นอกจากในการค้า ในสังคม ในสิ่งที่จำเป็นจะต้องรักษาภาพพจน์ตัวเองไว้ ถึงจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าในบ้าน ส่วนใหญ่แล้วหน้าหลังเหมือนกันเลยใช่ไหม (ใช่) โกรธว่าโกรธ เกลียดว่าเกลียด วันนี้ไม่อยากมองหน้าก็ไม่มองเลย ถามว่าถ้าทำอย่างนี้บ้านเราจะอบอุ่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้น เราจำเป็นที่จะต้องข่มตัวเองไว้ รู้จักตัวเองให้มาก ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักตัวเองเลย เราจะข่มตัวเองได้ไหม ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักตัวเองเลย นี่แหละเป็นหายนะของจริง เพราะว่าเราพูดกันมานี้ไม่ได้พูดถึงผู้อื่น เราพูดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น ที่พูดนี้ไม่ใช่พูดถึงตัวเองเพื่อให้เห็นแก่ตัว ที่อาจารย์มาแล้วพูดถึงตัวศิษย์เองบ่อยๆ เพื่อให้ศิษย์นั้นละทิ้งซึ่งความเห็นแก่ตัว
คนทุกคนนั้นรักตัวเองมาก เห็นแก่ตัวมาก ฉะนั้นถ้าหากว่าทุกคนในโลกนี้รักตัวเอง เห็นแก่ตัวเอง โลกนี้น่าอยู่ไหม (ไม่น่าอยู่) ฉะนั้นถ้าหากว่าเราทุกคนในโลกนี้ออกไปภายนอกแล้วพยายามทำเพื่อผู้อื่นให้มาก ถามว่าเราเป็นคนที่มีความเมตตาที่เดินอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่เมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นคนดีที่เดินอยู่ท่ามกลางคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นคนที่คนอื่นจะรังแกได้ เหมือนปูถอดกระดองทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจิตใจของเรานั้นเข้มแข็ง เพราะว่าเรายินยอมที่จะรับการเอาเปรียบจากผู้อื่น เรายินยอมที่จะเป็นผู้ให้ เรายินยอมที่จะรู้จักตัวเองมากขึ้น อย่างนี้อย่าได้กลัวว่าคนอื่นจะมาเอาเปรียบเรา กลั่นแกล้งเรา เพราะว่าเราเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็ง โลกนี้ถ้าจะหาพุทธะก็คงหาได้จากคนที่เป็นคนดีท่ามกลางคนไม่ดี ในหนึ่งกลุ่มมีคนดีหนึ่งคนท่ามกลางคนไม่ดี ก็เลือกคนนี้ขึ้นมาเป็นพุทธะ ถ้าหากว่าต้องขึ้นสวรรค์ก็เลือกคนนี้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าหากว่าเป็นคนไม่ดีเหมือนกันไปหมดเลย ก็กวาดทีเดียวลงนรกไป ฉะนั้นอาจารย์บอกให้ว่าคนที่จะเป็นพุทธะก็ไม่ได้เป็นง่ายๆ อยากเป็นพุทธะก็ไม่ใช่เป็นตอนที่ตายไปแล้ว อยากเป็นคนดีก็ไม่ได้ดีตอนที่ตายไปแล้ว ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นในขณะนี้ในปัจจุบันนี้ทั้งสิ้น
ถามว่าเราชอบดูดวงไหม (ชอบ) ดวงของเราให้คนอื่นดู ฉลาดไหม ถ้าหากว่าเมื่อวานกินของที่ทำให้ท้องเสียได้ แล้ววันนี้ท้องเสียแปลกใจไหม (ไม่แปลกใจ)  ปัจจุบันเราเป็นอย่างนี้มีทั้งความทุกข์มีทั้งความสุข สมหวังและไม่สมหวังที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าเรานั้นเป็นอย่างนี้เมื่ออดีตใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ว่าวันนี้จะกินของที่ทำให้ท้องเสียอีกไหม แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ปัจจุบันทำอะไร อนาคตเราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าวันนี้ทำดีวันหน้าได้ดีไหม (ได้ดี)  ส่วนใหญ่คืออยากจะทำดีเมื่อวานนี้แล้วได้ผลวันนี้ หรืออยากจะทำดีวันนี้แล้วได้ผลวันนี้เลย แล้วก็คิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดีหมายความว่าเป็นคำตอบของการสร้างความดีของเราแล้ว จริงๆ แล้ววันที่เราไม่ได้ดีก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างไม่ดี สามีภรรยาบางคู่ไม่ปรองดองกัน ไม่รักใคร่กันทะเลาะกัน แต่ว่าวันไหนทะเลาะกันแรงมากวันรุ่งขึ้นยิ่งดีต่อกันมาก เพราะอะไรทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเวลาทะเลาะก็พูดกันไปหมดแล้ว หน้านิ่วคิ้วขมวดก็ทำไปหมดแล้ว จะฟาดหัวฟาดหางก็ทำไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว พรุ่งนี้ก็ดีกันใช่หรือเปล่า (ใช่)
เพราะฉะนั้นชีวิตคนก็เป็นอย่างนี้ จงรู้ว่าเวลาที่เราไม่ได้ดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังไม่ได้ดี บางทีต้นเหตุที่เราได้อยู่นี้เป็นปัจจัยไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่ว่ามันอาจเป็นสิ่งที่เราเคยทำไม่ดีไว้ เลยมีความไม่ดีเกาะกุมอยู่ เหมือนกับเมล็ดของพืชที่มีเปลือกแข็งหุ้มอยู่แล้ววันที่มันงอกขึ้นมาก็แทงเปลือกแข็งออกมา ก็เติบโตขึ้นมาเป็นต้นที่ดีกว่า เพียงแต่ ณ ปัจจุบันก็อาจจะยังไม่ดีอยู่ แต่วันต่อไปใครจะรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าศิษย์ต้องปลูกต้นที่ดีนะ ต้องปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ดี ต้องเอาใจใส่ให้ดี สิ่งที่แย่ๆ ก็กลายเป็นดีได้ หากว่าหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี แล้วศิษย์ไม่ดูแล ก็กลายเป็นต้นที่ไม่ดี
อาจารย์พูดถึงสี่นิสัยที่นำไปสู่ความเสื่อม สี่อย่างนี้ใครมีครบเลยยกมือขึ้น อาจารย์อวยพรให้คนที่ยกมือหายจากนิสัยสี่อย่างนี้โดยเร็ววัน เพราะว่าคนที่ไม่ยกมือไม่รู้ว่าอาย หรือไม่รู้จักตัวเองก็ไม่รู้ นิสัยสี่สิ่งนี้มนุษย์มีกันครบถ้วนทุกคนเลย เพราะฉะนั้นการจะกำจัดสี่อย่างนี้ก็ต้องใช้พลังจิตสูงมาก ถามว่าเราเป็นผู้มีพลังไหม
พลังจิตนั้นไม่เหมือนกับพลังที่เวลามีของกองอยู่ตรงหน้าแล้วเราทำให้ยกลอยขึ้น แต่พลังจิตนั้นหมายถึงความดี คุณธรรม และสิ่งที่เป็นกุศลที่อยู่ภายในที่ทำให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีพลังจิตมากขึ้น  เปลือกนอกของพลังจิตก็คือการเป็นคนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง ถามว่าเราเป็นผู้มีพลังจิตไหม ก็ดูว่าเราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีหรือเปล่า  ถ้าเราเป็นคนที่มองอะไรก็ร้ายไปหมด คนอย่างนี้ไม่มีพลังจิต  คนที่มีพลังจิตดีก็คือคนที่แม้คนจะทำสิ่งที่ไม่ดีกับเรา  เราก็ยังคิดดีได้ พลังจิตไม่ใช่การที่มองช้อนแล้วสามารถทำให้ช้อนงอได้ไม่ใช่พลังจิตแบบนี้  ถ้าหมายถึงพลังจิตแบบนี้ก็ไม่มีใครในห้องนี้มีเลย
พลังจิตหมายถึง สิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วเป็นพลังของจิตใจที่ตัวเองสามารถคิดดีออกมา  สามารถจะมีกำลังใจดีๆ ไว้ฝ่าฟันอุปสรรค ไม่ใช่ว่าเราไม่มี แต่อยู่ดีๆ เกิดพลังจิตไม่ได้ ที่ว่าพลังจิตเกิดไม่ได้เพราะเราลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ แล้วก็เวียนว่ายตายเกิด เจอความทุกข์มาก เจอความสุขมาก เจอความเกลียดมาก ความโกรธมาก  เจอของสวย เจอของไม่สวยมาก จึงทำให้พลังจิตที่มีอย่างเข้มแข็ง เท่ากับพุทธะบนนิพพานนั้นอ่อนลงเรื่อยๆ  ยิ่งคนที่เกิดมาอย่างทุกขเวทนา คนที่เกิดมาแล้วหลายๆ ภพหลายๆ ชาติก็ยิ่งมีพลังจิตน้อยไปใหญ่ เพราะว่าเวียนว่าย
ตายเกิดจนเข็ดเขี้ยวแล้ว ไม่สามารถที่จะรวบรวมพลังของตนเองขึ้นมาได้  
ในวันนี้บางทีเห็นศิษย์ของอาจารย์บางคนพูดมากไป บางคนขี้เกียจไป บางคนขี้ง่วงไป บางคนก็โกรธมากเกินไป อาจารย์เห็นแล้วบางทีก็ไม่อยากจะโทษ ไม่อยากจะว่า  เพราะว่าศิษย์เป็นผู้ที่ผ่านการเกิดตายมาหลายชาติ  บางคนเกิดมาชาตินี้เป็นคน แต่ในอดีตชาติไม่ใช่คนก็มี  เพราะฉะนั้นการที่เรามองใคร ขอให้เราทำความเข้าใจกับคนอื่นแล้วเราจะไม่โกรธใครเลย  แล้วเราจะรักคนทุกคนด้วย  เห็นเขาง่วงเราก็เอาหมอนไปสอดให้เขา  เห็นเขาขี้เกียจเราก็บอกว่า “เดี๋ยวเราทำแทน”  เขาโกรธแล้วมาตบหน้าข้างซ้าย เราก็ยังยื่นหน้าข้างขวาไปให้เขา  เห็นคนคุยอะไรกันก็ไม่รู้ไร้สาระเยอะแยะ คุยไปกินไปอีกต่างหาก  เราก็ไม่รู้สึกหมั่นไส้เลย กลับรู้สึกสงสารในสิ่งที่เขาพูดอยู่ ทำได้หรือเปล่า  
อาจารย์บอกแล้วเมินใครก็เมินได้ แต่คนที่เมินยากที่สุดคือคนใกล้ตัว คนอยู่บ้านเดียวกัน  รักที่สุดก็โกรธที่สุด ไม่ใช่เราโกรธเขาเป็นฝ่ายเดียว  คนอื่นก็โกรธเราเป็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นในเวลาที่เราโกรธคนอื่นเราจงระงับตัวเอง  ในเวลาที่คนอื่นโกรธเรา เราก็ต้องหัดที่จะขอโทษ หัดที่จะยิ้ม ถ้าเพียงแค่ให้อภัยแสดงว่าเรานี้ยังโกรธเขาตอบอยู่ ถึงต้องอภัยใช่หรือไม่
เวลาที่คนอื่นโกรธเรา เราต้องทำให้ผู้อื่นหายโกรธ ถามว่าใช่หน้าที่ของเราไหม คนอื่นผิดที่มาโกรธเราแต่ทำไมเราต้องทำให้คนอื่นหายโกรธด้วย ถ้าหากว่าคิดอย่างผู้ที่มีธรรม มีภูมิธรรมสูงๆ ก็จะคิดว่าการที่ปล่อยให้เขาอยู่ในอารมณ์โกรธซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการทำลายจิตวิญญาณเขา ซึ่งถ้าเราเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นโกรธ เราก็ควรเป็นผู้ที่ทำให้เขาหายโกรธ เพียงแต่ในสายตาของมนุษย์ปุถุชนก็เฝ้าแต่คิดว่าก็เขาผิด เขาโกรธแต่ตัวเราไม่เกี่ยว อันนี้ก็เป็นสายตาของปุถุชน หากว่าศิษย์นั้นมุ่งหมายการหลุดพ้น มุ่งหมายสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่า มุ่งหมายไปในทางที่สูงส่งกว่า อาจารย์อยากแนะนำว่าถ้าหากศิษย์ทำให้ใครโกรธ ก็จงไปทำให้เขาหายโกรธ นอกเสียจากว่าเขาเห็นหน้าเราแล้วยิ่งโกรธอันนี้ก็ควรถอย
คนที่มีนิสัยมักง่วงไม่ควรฝึกตนด้วยการนั่งสมาธิ คนที่มีนิสัยมัก
ขี้เกียจอย่าอยู่แถวที่เขาทำงานกันครึกโครม คนที่มีนิสัยมักโกรธอย่าไปอยู่ใกล้คนขี้โมโห และคนที่มีนิสัยมักคุยห้ามอยู่กับคนที่มักคุยด้วยกัน คนที่มีนิสัยมักง่วงต้องหัดเดินมากกว่านั่งและนอน คนที่มีนิสัยขี้เกียจจงทำงานเล็กและเสร็จไวเพื่อพัฒนาความขยันของตนเองให้ปรากฏ คนที่มีนิสัยมักโกรธจงเจริญสติภาวนาให้บ่อยครั้ง ตัวเองก็จะโกรธน้อยลง
คนที่มาบำเพ็ญธรรมะแม้จะพบอุปสรรคใดเขาก็ยังบำเพ็ญ ส่วนคนไม่มาหรือคนที่ไม่ตอบ ก็หาข้ออ้างไปต่างๆ นานาแล้วตัวเองก็ไม่มาเพราะไม่มีเวลา ถามว่าทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากันหรือไม่ (เท่ากัน)  แล้วบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอะไร บำเพ็ญธรรมก็คือการบำเพ็ญจิตบำเพ็ญใจ เราไม่ได้มาเราก็ไม่ได้บำเพ็ญ เพราะฉะนั้นคนที่ทำร้ายตัวเองอยู่ก็คือเรา เหมือนกับการที่อาจารย์ให้ตอบ คนที่ตอบแล้วก็ตอบอีก
ฉะนั้นคนที่เป็นพุทธะมาเกิดต่อให้ลงมาเวียนว่ายในโลกกี่รอบเขาก็ยังจะบำเพ็ญๆ ส่วนคนที่ไม่ใช่พุทธะมาเกิดเวียนว่ายตายเกิดหลายรอบ เขาก็ยังหมกมุ่นในทุกข์กับสุขเรื่อยไป สุดท้ายก็เป็นคนที่เวียนว่ายตายเกิดต่อไป ถามว่าระหว่างคนที่เวียนว่ายตายเกิดกับคนที่สำเร็จเป็นพุทธะต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้เองนะ คือคนนั้นใช้เวลาไปกับเรื่องส่วนตัว ส่วนคนนี้ใช้เวลาไปในการช่วยคน เพราะฉะนั้นคนที่เวียนว่ายตายเกิดก็คือคนที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัวตัวเอง เพื่อชีวิตตัวเอง เพียงเพื่อให้ดีขึ้นแล้วก็ไม่ดีขึ้น ส่วนคนที่ทำเพื่อผู้อื่น แม้ว่าชีวิตอาจจะไม่ได้ดีขึ้นหรือดีขึ้นก็ตาม เขาก็ยังทำเพื่อผู้อื่น สุดท้ายเขาก็ไปในหนทางที่ดีกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้ศิษย์ต้องเลือก อย่าให้หมอดูมาดูชีวิตของเรา ขอให้เรานั้นกำหนดชีวิตตัวเองว่า เราต้องการสิ่งใด ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วเราจะไปไหน แน่นอนศิษย์ทุกคนมีธรรมะอยู่ในตัวดังอาจารย์บอก และศิษย์ก็บำเพ็ญธรรมะในตัวนั้น แต่ ณ วันนี้ ในขณะนี้ศิษย์ที่นั่งอยู่ในที่นี้เป็นศิษย์ของอาจารย์ เพราะว่าอาจารย์ทำหน้าที่โปรดยุคสาม
ชี้หนทางเกิดตายให้ศิษย์ ชี้หนทางหลุดพ้นให้ศิษย์ เพียงแต่ศิษย์นั้นรับแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะตื่นรู้ดังเช่นพุทธะ เพราะว่าเราเป็นผู้มีกิเลสมาก เป็นผู้มีตัณหามาก เป็นผู้มีความอยากมาก เป็นผู้ที่เอาแน่เอานอนและเอานิ่งไม่ได้ ฉะนั้นเราก็เลยเป็นคนที่วนเวียนๆ วันหนึ่งเวียนกี่เรื่อง เวียนว่ายตายเกิดมากี่ชาติ อันนี้ตอบไม่ได้จริงๆ มากมายจนไม่สามารถนับได้ ถ้าหากว่าศิษย์รู้ในสิ่งที่อาจารย์บอกนี้ ได้รับข่าวในสิ่งที่อาจารย์กำลังบอกศิษย์นี้ ขอให้ศิษย์นั้นทำชีวิตของตัวเองใหม่ อย่าเป็นชีวิตเก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆ อยู่อย่างนี้ อย่าเป็นคนมักง่วง มักขี้เกียจ มักโกรธ มักคุย อยู่อย่างนี้ ขอให้ศิษย์นั้นพัฒนาตัวเองไปจนถึงความหลุดพ้นให้ได้ โดยการทำชีวิตของเรานั้นให้เดินหน้า โดยการทำจิตใจให้เดินหน้า ส่วนความสุขนั้นจะเป็นของแถมของศิษย์ทุกคน เพราะเมื่อไรที่ใจสบายใจมีธรรมะ ความสุขนั้นก็มาเยือนศิษย์ ไม่ผิดจากนี้ แต่หากว่าศิษย์นั้นก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดิมๆ ชีวิตของศิษย์จะตกต่ำเหมือนกับน้ำจากที่สูงแล้วไหลไปในที่ต่ำไม่สามารถจะหวนคืนมาอีก ฉะนั้นเป็นเรื่องของการแข่งขันทางสติปัญญาว่าใครนั้นมีสติมากกว่ากัน ใครมีปัญญามากกว่ากัน ที่จะประคองตนให้อยู่ในความเสมอสมดุลทุกๆ วันอย่างนี้
ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ ศิษย์ก็ใกล้เคียงพุทธะ หรือเป็นพุทธะ หรือไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ทรมาน เพราะว่าชีวิตนี้ที่ว่าทรมานแล้ว ยังมีความทรมานมากกว่านี้อีก เหมือนกับปัญหาชีวิตมีปัญหาอยู่แล้วเราก็มีปัญหามากขึ้น อาจารย์ไม่เห็นปัญหาของศิษย์คนไหนจะยิ่งทียิ่งน้อยลงเลย ทุกวันๆ จบปัญหานี้ ก็มีปัญหาใหม่มา หนักเบาตามกรรมของตน ฉะนั้นถ้าเราอยากจะไปสูงกว่านี้ เราก็ต้องฝืนตัวเองมากกว่านี้ เรื่องง่ายๆ เรื่องของการทำใจเราต้องทำให้ได้ เพราะว่าใจเป็นของใคร ใจเป็นของเรา ชีวิตเป็นของเรา อยู่เพื่ออะไร เดินไปเพื่ออะไร ทำอะไรก็ล้วนเป็นเรื่องของเราทั้งนั้น
ฉะนั้นจงทำให้สูงขึ้นๆ ความสูงนี้ไม่ใช่สูงแบบคนในโลก คนในโลกอยากอยู่ตึกสูงก็ไปลงทุนสร้างตึกสูง อยากไปที่สูงก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไป แต่การทำใจให้สูงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน แต่ต้องใช้พลังจิตของตัวเอง ทำได้หรือไม่ (ได้)  เห็นสิ่งใดมองสิ่งใด อย่ากำหนดจิตของเราที่ความสวยงาม มนุษย์แพ้มาก แม้แต่ผู้ชายเองก็เถอะ สิ่งใดดูดีดูเข้าท่ามนุษย์มักแพ้ที่สุดใช่หรือไม่ สำหรับผู้หญิงก็ต้องเป็นเรื่องของความสวยงาม ผมก็ต้องผมสวย เงินก็ต้องมีมาก ทำอะไรก็ต้องดีไว้ก่อน สวยไว้ก่อน แต่การที่ศิษย์นั้นอยากได้แต่สิ่งที่สวยงาม สิ่งที่ประณีตกลับทำให้ศิษย์เสียเวลาและเสียแรงไปกับการทำมาหากินมาก ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์นั้นไม่กำหนดว่ารถต้องสวย ไม่กำหนดว่าบ้านต้องใหม่ ไม่กำหนดว่าแฟนต้องสวย ไม่กำหนดว่าเสื้อผ้าของเราต้องใหม่ ต้องสวย อย่างนี้ก็ทำให้ชีวิตของเรายุ่งยากน้อยลง ยิ่งเป็นผู้หญิง กิเลสของผู้หญิงในเรื่องความสวยนั้นดูแล้วประณีตยิ่งกว่าผู้ชาย เพราะว่าต้องสวยตั้งแต่หัวจรดเท้า ต้องสวยทั้งข้างนอกและข้างใน  ผู้หญิงจึงมีเรื่องเยอะกว่า เพราะฉะนั้นตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน ผู้หญิงจึงบรรลุธรรมได้น้อย เพราะว่ามัวแต่ติดอยู่แค่คำว่า “สวย” เท่านั้นเอง ฉะนั้นจงมองชีวิตของตัวเองใหม่ ให้มุมมองชีวิตของตัวเองใหม่ และปรับปรุงชีวิตของตัวเองใหม่
วันนี้อาจารย์พูดเรื่องหลุดพ้นกับศิษย์ เดี๋ยวเย็นนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงศิษย์ก็ต้องกินข้าวเหมือนเดิม คืนนี้ไปถึงบ้านถึงเตียงศิษย์ก็ต้องนอนเหมือนเดิม พรุ่งนี้เช้าก็ยังต้องตื่นขึ้นมาเหมือนเดิม แล้วก็มาฟังธรรมะเหมือนเดิม วันต่อไปศิษย์ก็ยังต้องไปหาเงินเหมือนเดิม ต่อไปศิษย์ก็ยังต้องไปเลือกซื้อเสื้อผ้าเหมือนเดิม เคยโกรธคนนี้ก็ยังโกรธคนนี้เหมือนเดิม เคยรักคนนี้ก็ยังรักคนนี้เหมือนเดิม สามวันห้าวันผ่านไปแล้ว คำว่า
“หลุดพ้น” ก็ไม่อยู่ในใจของศิษย์ไม่ว่าจะห้องไหนทั้งสิ้น เพราะว่าศิษย์นั้นถูกปกคลุมไปด้วยกิเลส ด้วยอวิชชา และด้วยความไม่รู้ ความไม่มีปัญญาของศิษย์ทำให้ศิษย์นั้นกลืนไปกับวิถีชีวิตเดิม ๆ ที่ซ้ำซากจำเจ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า แม้ว่าชีวิตของศิษย์เป็นเช่นนี้ทุกวัน วันนี้เดี๋ยวต้องไปกินข้าว ต้องไปนอน ต้องตื่น ต้องไปทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ศิษย์ต้องมีสติในการที่จะรู้ว่า วันนี้ ชีวิตนี้ ทั้งชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วเราจะทำอย่างไรให้ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้บำเพ็ญธรรม” ทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นไปในวันข้างหน้า ไม่ใช่ปล่อยให้การใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอน สะดวกสบายแบบนี้ ลำบากข้นแค้นแบบนี้ มาบงการชีวิตของเรา ทำให้เดินหน้าไปในทางที่เรากำหนดไม่ได้ เจอแยกไหนเราก็เลี้ยวอย่างนั้นไม่ได้ เข้าใจหรือไม่
อาจารย์ต้องการให้ใจของศิษย์นั้นเดินไปในทางที่อาจารย์กำหนด ขาศิษย์จะเดินไปไหนก็ช่าง แต่ใจของศิษย์นั้นต้องเดินไปในทางที่อาจารย์กำหนดให้ ศิษย์จึงจะสามารถบรรลุได้  ขาของศิษย์ ตัวของศิษย์ทำอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ใจของศิษย์เดินไปในทางที่อาจารย์กำหนด อาจารย์ย้ำ
เฉลยคำตอบนี้ก่อน มักคุย นิสัยนี้แก้ด้วยอะไร แก้ด้วยกินน้อย เพราะว่าคนที่มีนิสัยมักคุยนั้น ก็คือมีกิเลสในเรื่องของการใช้วาจา ถ้าหากว่าเราไม่อิ่มมากเกินไปเราจะไม่ไร้สาระเลย เพราะว่าบางทีอิ่มมากเกินไปไร้สาระก็มาเยือนทันที ถ้าไม่เชื่อก็ไปลองดู หวังว่าทุกคนจะไปลอง ไม่อยากให้ใครไม่ลองเลย อยากให้ลองทุกคน ทำได้ไหม ของไม่ชอบก็กินให้มันมากๆ หน่อย ของชอบก็กินให้มันน้อยๆ หน่อย ทำได้ไหม คนที่พูดต้องรู้ว่า ในยามพูดตัวเองพูดเพื่ออะไร พูดแล้วกระทบผู้อื่นไหม พูดในสิ่งที่ดีไหม พูดเป็นระฆังหรือว่าถัง เข้าใจคำว่า ระฆังและถังไหม เดี๋ยวจะเคาะให้ดู
(พระอาจารย์เมตตาเคาะระฆังให้ฟังหนึ่งครั้ง แล้วให้ผู้ปฏิบัติ
งานธรรมท่านหนึ่งนำถังมาหนึ่งใบ และตีให้เกิดเสียงหนึ่งครั้ง)
เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) อะไรต่าง (เสียง)  เสียงระฆังนั้นกังวานสดใส ได้ยินไกล ใช่หรือเปล่า  สิ่งที่ดีๆ พูดออกไปเหมือนระฆังก้องกังวาน สิ่งที่ไม่ดีพูดออกไปเหมือนตีถัง ตีแล้วเสียงก็ไม่ไปไหน คนเขาก็แค่ฟังเอาสนุกเฮฮา แต่ถึงเวลาแล้วไม่มีใครสนใจจริงๆ เราก็เป็นคนขี้นินทา ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ควรระวังที่สุดคือ เวลาเราพูด อย่าให้กระทบกระเทือน อย่าให้พาดพิง อย่าให้ล่วงล้ำก้ำเกินใคร ทุกคนต่างมีหนึ่งปาก ฉะนั้นอาจารย์พูดไม่ได้พูดเฉพาะตรงนี้ อาจารย์พูดกับคนทุกคน อยากจะมักคุยน้อยก็ต้องกินน้อย
ความตื่นเต้นไม่เคยปรานีใคร จริงๆ แล้วคนที่บรรยายธรรมทุกคนก็ตื่นเต้นทั้งนั้น ใครไม่ตื่นเต้นบ้าง ที่เราตื่นเต้นก็เพราะต้องการรับผิดชอบในชีวิตจิตญาณของผู้อื่นให้สูงสุด ก็เป็นเรื่องธรรมดาเพียงแต่ว่าก็ต้องพยายามพัฒนาและเข้าใจในเนื้อหาที่ตัวเองพูด ศึกษาให้รู้กว้างก็จะสามารถแก้อาการได้เอง รู้ไม่จริงก็ตื่นเต้นใหญ่ ถ้ารู้จริงๆ ก็ตื่นเต้นน้อยใช่หรือไม่  ถ้าใครตื่นเต้นมากก็แสดงว่ารู้น้อย
การที่เราใช้สมองจำมากกว่าใช้กระดาษจดก็จะทำให้เราเป็นผู้มีความจำดี สมองก็จะไม่เสื่อมง่าย แต่ถ้าเกิดไม่จดแล้วลืมก็จดดีกว่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ชื่อเพลง “สร้างยาก รักษายากยิ่งกว่า”)
คนไม่ได้สร้างทรัพย์สมบัติมาเพื่อความอยู่รอดเพียงเท่านั้น เพราะว่าทรัพย์สมบัติไม่มีใครสร้างพอดีตัว ทุกคนสร้างอย่างเกินตัวทั้งสิ้น แต่การสร้างสมบัติที่ว่ายาก การรักษาทรัพย์สมบัติให้คงไว้ดังเดิมนั้นยังยากยิ่งกว่า ต้องทุ่มเทกายใจมากยิ่งกว่า แต่อาจารย์ไม่แนะนำให้ศิษย์สร้างทรัพย์สมบัติอันเป็นรูปธรรม อาจารย์อยากให้ศิษย์สร้างกุศลอันเป็นนามธรรม เพราะว่ากุศลนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษมาก เวลาเราสร้างก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทอะไรมากเหมือนกับการสร้างเงินทอง ยิ่งให้กุศลก็ยิ่งพอกพูน ไม่เหมือนทรัพย์สมบัติยิ่งให้ก็ยิ่งร่อยหรอ คนก็เลยไม่ยอมที่จะให้ใดๆ เลย ฉะนั้นการสร้างทรัพย์สมบัตินั้นเป็นเรื่องยาก และการรักษานั้นยากยิ่งกว่า ส่วนการสร้างกุศลนั้นเป็นเรื่องง่าย และการให้ก็ทำให้กุศลงอกเงยขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับทรัพย์สมบัติโดยสิ้นเชิง
การมาสถานธรรม การมาบำเพ็ญธรรมอย่าห่วงว่ามืด อย่าห่วงไม่มีเวลา อย่าห่วงเหนื่อย ขอเพียงแต่ว่าเรามาสถานธรรมทุกครั้ง ขอให้เราได้รับประโยชน์เต็มที่ คนมาสถานธรรมมักจะมีจิตฟุ้งซ่านในเวลาใกล้กลับ เพราะว่าถึงเวลาใกล้กลับแล้ว อยากจะรีบกลับ ฉะนั้นถ้าหากว่ามาเร็วได้ก็ให้มาเร็วขึ้น แต่ถ้ามาเร็วขึ้นไม่ได้ ก็ขอให้รู้จักที่จะรักษาเวลาให้กระชับมากขึ้น แต่วันนี้เป็นกรณียกเว้นเพราะวันนี้อาจารย์ทำช้าเอง อาจารย์งานยุ่ง แต่ศิษย์ของอาจารย์ว่างงาน ใช่หรือเปล่า อาจารย์มีงานเยอะแยะไปหมดเลย ศิษย์ทุกคนก็ต้องการให้อาจารย์ช่วย แล้วอาจารย์ก็ต้องช่วยศิษย์ทุกคน ในเรื่องที่ศิษย์ขอให้อาจารย์ช่วย อาจารย์ไม่ค่อยช่วย แต่ในเรื่องที่ศิษย์ต้องการความช่วยเหลือโดยไม่รู้ตัวนั้นมีเยอะ อาจารย์ช่วยตรงนั้นโดยส่วนใหญ่
ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์อยู่ร่วมกันเป็นพี่น้องกัน ถ้าหากว่าเจอใครต้องการความช่วยเหลือใดๆ ก็จงช่วย การช่วยคนอื่นก็คือช่วยแทนอาจารย์ในสิ่งที่อาจารย์ยังมาช่วยไม่ถึง ศิษย์ก็ช่วยเหลือกันเอง เปรียบไปแล้วก็เป็นการสร้างกุศล กุศลที่เกิดในยุคสามนี้มีมากมาย บารมีนั้นรออยู่มากมาย แต่ว่าขาดคนเจริญ เพราะฉะนั้นหวังว่าศิษย์ทุกคนจะสามารถช่วงชิงและกอบกำสิ่งที่เป็นกุศลในยุคสามนี้ไปเป็นของตัวเยอะๆ อาจารย์ก็ต้อนรับพุทธะใหญ่ทั้งหลายแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครสามารถที่จะไปได้หรือเปล่า
สิ่งที่เป็นความหวังของอาจารย์ก็คือ อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นมีความเข้าใจธรรมะจากการศึกษาหาวิชาธรรมะใส่ตัว เราอย่าพูดกันแบบเปลือกนอกว่า ธรรมะอะไรก็รู้หมดแล้ว อย่าบอกว่าความดีฉันก็สร้างเยอะ แต่ว่ายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างอะไรไม่ได้เลย ขอให้มีการศึกษาธรรมะมากกว่าการเชื่ออย่างงมงาย
แม้ว่าวันนี้อาจารย์มาที่นี่อาจารย์ต้องยืมร่างมนุษย์มาพูดคุยกับศิษย์ แต่อาจารย์นั้นมุ่งหมายอยากให้ศิษย์มิใช่ผู้งมงาย และมิใช่เชื่อธรรมะเพียงเพราะว่ามองเห็นอาจารย์ เพราะว่าการที่เชื่ออาจารย์วันหนึ่งศิษย์ก็อาจไม่เชื่อได้ แต่อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์เกิดความเข้าใจธรรมะจากการศึกษา หาทางรอด หาทางออก หาทางสว่างให้กับจิตใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในวันนี้ ในโลกนี้ โลกหน้า หรือวันไหนๆ ความรู้ที่เป็นธรรมะ สิ่งที่เป็นภูมิธรรม กุศลและบารมีที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมและสร้างจากการศึกษาธรรมะนั้นจะไม่ดับดิ้นไปกับกายสังขารนี้ ทุกสิ่งจะอยู่ในจิตญาณของศิษย์ คนที่ตื่นแล้วย่อมหลับไม่ได้ คนที่หลับอยู่ย่อมตื่นไม่ได้ ฉะนั้น ศิษย์ของอาจารย์ทั้งหลายเมื่อมารู้จักธรรมะแล้ว เมื่อได้เป็นศิษย์อาจารย์แล้ว อาจารย์ย่อมหวังให้ศิษย์นั้นตื่นตลอดไป มีจิตใจที่เข้มแข็งและสำเร็จเป็นพุทธะในวันข้างหน้า อันนี้ย่อมเป็นความมุ่งมาดปรารถนาของอาจารย์ หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นฟังให้เข้าใจ เพลงนี้ก็ไปหัดร้องกันเองแล้วกันนะ หวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะหัดได้ดี ร้องเพลงมากกว่าสวดมนต์
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์มุ่งหวังให้ศิษย์ใหม่นั้นสามารถที่จะตื่นรู้ แต่ศิษย์ที่เป็นคนเก่านี้ย่อมมีความตื่นมากยิ่งกว่าคนที่เป็นนักเรียน ถูกต้องไหม อาจารย์หวังให้ศิษย์ทุกคนรักษาสภาวะตื่นที่อยู่ในตัวนี้ให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่แค่
จิตญาณตื่น ยังต้องตื่นตัว ศิษย์ที่อยู่ในโลกส่วนใหญ่เป็นผู้ขาดบุญกุศล ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์สามารถที่จะลงแรงสร้างกุศล สามารถที่จะบริจาคทานได้ สามารถทำจิตใจให้เป็นกุศลได้ ให้ศิษย์และฟ้าใกล้ชิดติดกัน ให้ศิษย์และฟ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าทำจิตใจให้ขุ่นมัว การมองออกข้างนอก การมองทุกอย่างทำให้จิตใจนั้นขุ่นมัว ถ้าเป็นศิษย์ใหม่อาจารย์ก็สอนเขาต่างๆ นานา แต่ศิษย์ในห้องนี้ส่วนใหญ่เป็นศิษย์เก่า อาจารย์ไม่สอนให้ศิษย์มองออกนอกแล้วนะ อาจารย์อยากสอนให้ศิษย์นั้นมองกลับเข้ามาข้างใน การมองกลับเข้ามาข้างใน ทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถเอาชนะทุกอย่างได้ อุปสรรคใดๆ ก็ไม่เข้มแข็งเท่ากับใจของศิษย์ คนถ้าหากว่าไม่เคยทุกข์ก็พ้นทุกข์ไม่เป็น คนไม่เคยมีอุปสรรคก็ไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคได้
ในวันนี้ชีวิตของเรา ขื่นขมบ้าง ไม่สมหวังบ้าง มีอะไรที่เราไม่เข้าใจเลยบ้าง แต่หากว่าศิษย์ไม่มีช่วงนี้ของชีวิต ศิษย์จะไม่สามารถกลับคืนฟ้าได้เลย เพราะว่าศิษย์นั้นไม่เคยผ่านอุปสรรคอะไรเลย ไม่เคยทุกข์ย่อมไม่สามารถช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ ทั้งไม่สามารถช่วยตัวเองให้พ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นทุกข์อยู่ ณ วันนี้ ขอให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ขอให้ถือว่าเป็นบทเรียนที่ทดสอบเรา เพื่อให้เรานั้นก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครดีมาตั้งแต่เกิด หวังว่าศิษย์นั้น ตื่นก่อนสายเกิน  รู้ธรรมะรู้จักตัวเอง หลายๆ คนนั้นอายุก็มากขึ้นแล้ว ต้องหัดปลงให้เป็น ต้องทำใจให้ได้ ร่างกายที่เสื่อมไป ชีวิตที่เสื่อมไป แต่ธรรมะในตนนั้นย่อมไม่เสื่อมลงไป ไม่เสื่อมสลายสูญหายไป ถ้ามีชั้นศึกษาธรรม อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นมาศึกษาธรรมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ว่าในวันนั้นๆ ศิษย์จะเจออาจารย์หรือไม่ อาจารย์ย่อมอยู่ในใจศิษย์เสมอ ศิษย์ศึกษาธรรมอาจารย์ยินดีที่สุด อย่าลืมไปนะ ธรรมะมีไว้เพื่อปฏิบัติ ผู้ไม่ปฏิบัติต่อให้อยู่ในสถานธรรม ต่อให้นั่งฟังธรรมะก็หาประโยชน์ใดไม่ ธรรมะมีไว้เพื่อปฏิบัติ ขอให้ศิษย์ทุกคนนั้นก้าวหน้าในทางธรรม
ศิษย์ผู้ชาญฉลาดทั้งหลายของอาจารย์ ทุกคนล้วนแต่ชาญฉลาดมีความสามารถ และเหนือคนที่อยู่ในที่ของตนทั้งสิ้น วันนี้อาจารย์สอนธรรมะให้ศิษย์ฟัง ทุกเรื่องที่พูดก็ไม่ใช่ให้ศิษย์ฝันเพ้อเจ้อ ลมๆ แล้งๆ ทุกเรื่องที่พูดก็ล้วนแต่ทำได้ทั้งสิ้น ทำยากอาจารย์ไม่กลัว อาจารย์กลัวศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ยอมทำ คือว่ามีสติแต่ก็วางสตินั้นเสีย คือว่ารู้แล้วก็ทำเป็นไม่รู้เสีย เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ต่ำกว่าสิ่งที่แย่กว่า จนตัวเองนั้นไม่สามารถขึ้นสูงได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์สง่างามดุจมังกรที่อยู่บนฟ้า โผบินได้อิสระเหมือนดังนก ไม่ยินดีที่ศิษย์นั้นเอากายมนุษย์กักขังเหนี่ยวรั้งจิตใจของตนด้วยกิเลส ทำให้ศิษย์นั้นตกต่ำลงไปเรื่อยๆ
สุดท้ายอาจารย์ก็อยากจะบอกว่า เกิดเป็นคนแล้วขอให้รู้จักทวนกระแสน้ำขึ้นมา วันนี้อาจารย์เจอศิษย์ รู้จักศิษย์ในระดับภูมิธรรมเท่านี้ วันหน้าอาจารย์เจอศิษย์ แน่นอนผู้เป็นอาจารย์ย่อมอยากเจอศิษย์ในสภาพที่สูงส่งมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ให้รู้มาก ให้ฉลาดมากหรือให้ดีมากขึ้นเพื่อที่จะอวดตน แต่เพื่อให้ศิษย์นั้นเป็นมือให้อาจารย์ได้ เป็นขาให้อาจารย์ได้ แม้ว่างานธรรมะทั้งหมดอยู่บนโลกนี้ แต่อาจารย์นั้นไม่มีร่างกาย จึงหวังพึ่งศิษย์ทุกคน ขอให้ศิษย์เดินไปด้วยธรรม วิ่งไปด้วยธรรม คิดด้วยธรรม พูดด้วยธรรม การปฏิบัติทุกอย่างก็เพื่อธรรม อย่าลืมนะ วันหลังเราจะได้เจอกันใหม่ไหม (เจอ)  รักกันเข้าไว้นะศิษย์นะ ลาก่อน


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมะคือประทีป”
ผู้โลภหลงมากเหมือนตาบอดไป  ยึดติดดั่งคนไม่เต็ม  ไม่เคยอิ่มเอมแม้อิ่มได้  ติดใจต้องเอาความคิดเขลาเกินยอมตัดใจ เพราะไม่ง่ายดาย กะจะสบายขวางประชิดหน้า
มาตรว่าสูงค่าเหมือนดังดื่มพิษ ยึดติดแต่มีค่าจึง ตกใจตะลึงเหมือนถูกล่า ยิ่งหากวนหลงต้องทุกข์ต้องทนไม่สิ้นหนา ชนะต่อกันเรื่อยหนา เยี่ยงเดินลงเหว

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา