西元二○○八年歲次戊子十月二十五日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
จงบ่มเพาะคุณธรรมไว้ในใจคน ความรู้อายจะหลั่งล้นจากภายใน
จิตสำนึกวางกรอบคนไม่นอกใจ จงรู้ไว้ใช้ปัญญาพิจารณา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องชายหญิง เกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
บังคับคนคนจะแข็งป่ายปีนหนี เมตตามีจะรวมใจคนอยู่ศูนย์
จงรักคนด้วยช่วยกันอย่างจรูญ คนบริบูรณ์ในโลกนี้ไม่มีจริง
คนเกิดได้ต้องรู้ว่าพ้นได้ คนทำได้ไม่ได้ทำมากมายยิ่ง
จงใส่ใจชีวิตตนบนความจริง น้องจะวิ่งเวียนอารมณ์เพื่ออะไร
มีอัตตาคนชอบฟังคำหวานหวาน คำทัดทานที่ดีพึ่งพาได้
ข้อเสนอที่ดีทำตามได้ จงแยกแยะปัญญาใจในตนเอง
คนไม่รู้หลักธรรมเพียรไม่ถูก คนเรียนผูกไม่เรียนแก้มีมากนัก
กลัวแต่ผลไม่กลัวเหตุอย่างแน่นหนัก คิดจะพักไม่ดูพื้นที่นั่งลง
ขอให้รู้ได้รับธรรมในชาตินี้ น้องคนดีอย่าครึ่งหลับครึ่งตื่นหนา
จงบำเพ็ญด้วยศึกษาใช้ปัญญา มีเวลาชำระกิเลสอย่าปล่อยไว้
คนรู้ธรรมด้วยปฏิบัติเป็นประจักษ์ ขอให้รักการไม่ท้อเดินต่อไหว
สามวันนี้ฟังธรรมฟื้นฟูใจ เป็นคนใหม่ด้วยจิตใจผ่องใสเบา
จงตั้งใจอยู่ให้ครบทั้งสามวัน ความสำคัญอยู่ที่ฟังให้รู้เรื่อง
อันฝึกฝนไม่จำเป็นต้องปราดเปรื่อง แต่รู้เรื่องใดควรทำใดควรวาง
ชนะใจของตนอย่าง่วงหลับ คนอาภัพไม่ยอมแพ้โชคชะตา
น้องทุกคนล้วนเป็นบุตรองค์มารดา ล้วนสามารถกลับคืนฟ้าได้ทุกคน
ศิษย์พี่รับบัญชาคุมชั้นเรียน หวังน้องเพียรเรียนธรรมอย่างมุ่งมั่น
แม้บางสิ่งแปลกใหม่ตามไม่ทัน ขอเพียรหมั่นทั้งชีวิตใช้บำเพ็ญ
อย่าวุ่นวายแต่สุขทุกข์ให้ขุ่นมัว คนนั้นกลัวเพราะว่าไม่รู้แน่ชัด
ภาษาคนนั้นสื่อได้จำกัด จงรู้ชัดธรรมะคืออะไรจากลงมือ
จงรักษาพุทธระเบียบให้เข้มงวด อย่าได้อวดความไม่รู้ซ่อนดวงจิต
รู้ชีวิตชีวิตตนตนลิขิต อันพลาดผิดกลับสู่การแก้ไขเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป น้องหญิงชายจงมั่นใจอยู่ให้ครบ
สามวันนี้เป็นเพียงเริ่มธรรมบรรจบ ขอให้พบพุทธะแท้ภายในตน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
คนหยุดพักแต่ไม่เคยได้หยุดพัก เมื่อจะรักไม่เคยรักอะไรจริง
แม้นั่งนิ่งแต่ใจนั้นแอบวิ่ง เมื่อต้องทิ้งไม่วายแอบเสียดาย
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานหงเต้า แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่าน หายง่วงกันหรือยัง
ถึงฟ้ากว้างแต่ใจคนกว้างกว่า คนช่วยคนใจคนอย่ารังเกียจส่ง
ท้องใหญ่กว้างยอมรับทุกข์กลืนลง ใจคนกว้างไม่ดำรงแบ่งพวกแล
เรี่ยวแรงทนตกด้วยเหนื่อยแขนขา แต่อย่าหล่นเมตตากรุณาดั่งเหวี่ยงแห
เส้นทางคืนยิ่งคนกำหนดยิ่งแพ้ ใจอันสมดุลความเป็นแท้ด้วยระวัง
ฝึกฝนใจคนจริงทำให้ดี ฝึกยังตระหนี่ยิ่งไม่อาจถึงฝั่ง
มีกิเลสทางแคบลงคนจริงจัง ชีวิตยังมีดีเป็นจิตสำนึกดี
อยู่กินฝึกเรียบง่ายใจชื่นบาน รักตนเองแข่งกันกับตนนี้
แม้ไม่พร้อมรับทั้งโลกโดยดี แต่รับฟังและฝึกทีใช้ปัญญา
ยุคสามโปรดชี้ใจคืนฟ้าอำนวย การยอมอะลุ้มอล่วยยอมเย็นเป็นใจฟ้า
แม้ชีวิตสลายไปนี้ไว้คุณค่า ไม่ละทิฐิอัตตายึดยากคืนไป
ครองตนให้ดีมั่นในศีลธรรม ตามใจตนครองมีกรรมไกลจุดหมาย
ฝึกการให้การอภัยเหนือทานใด ลังเลธรรมคลายเสื่อมไม่อาจรู้แจ้ง
ฮิ ฮิ หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ เมตตาประทานโดยพระอาจารย์จี้กง
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
มนุษย์ ถ้านัดแล้วมาช้า มักจะโดนบ่น ใช่หรือไม่ (ใช่) นัดแปดโมงมาเก้าโมงโดนบ่นไหม (บ่น) มนุษย์ทุกคนชอบคนตรงเวลา ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราตรงเวลาหรือเราไม่ตรงเวลา (ตรง) เรารักษาเวลาหรือเราปล่อยเวลา (รักษาเวลา, ปล่อยเวลา) มนุษย์ชอบโกงเวลา ทั้งที่เวลาคือชีวิต แต่มนุษย์กลับมักไม่ค่อยรักษาชีวิต ไม่รักษาเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าถ้าเราปล่อยลมหายใจไปเปล่าๆ โดยไม่มีประโยชน์ก็รู้สึกเสียดาย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นทุกลมหายใจเข้าออกน่าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แล้วเกื้อกูลประเทืองปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วมาฟังธรรมะอย่างนี้เกื้อกูลประเทืองปัญญาไหม (ประเทือง) แต่มนุษย์กลับไม่สามารถเอาชนะความขี้เกียจ ง่วงเหงาหาวนอนและความเบื่อหน่ายได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเราทำอะไรแล้วเรามีจุดยืนมีเป้าหมายถึงแม้จะลำบาก เราก็จะฝ่าฝัน ฝ่าฝันความลำบากนั้นไปให้ถึงจุดยืนและเป้าหมาย แต่ถ้าวันนี้ตัวท่านมานั่งฟังอย่างไม่มีจุดยืนไม่มีเป้าหมาย พอเจอความลำบากเราก็เซ เราก็ถอย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมาฟัง เราก็ต้องฟังอย่างคนมีจุดหมาย มีจุดยืน มีเป้าหมาย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็อาจจะพ่ายแพ้กับอุปสรรคนานาได้
เหมือนชีวิตคนคนหนึ่ง ทำไมทำอะไรก็สำเร็จ เพราะว่าเขารู้ว่าจุดยืนเขาอยู่ที่ไหน เขารู้ว่าเป้าหมายเขาคืออะไร เวลาเจอความยากลำบากเขาก็ฝ่าไปได้ ถูกหรือไม่ แต่ในทางกลับกัน คนที่ไม่มีจุดยืน ไม่มีเป้าหมาย เมื่อทำอะไรแล้วเจอความลำบากก็ยากจะพบความสำเร็จ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร เห็นใครสำเร็จก็อยากทำตามเขา ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นมาฟังธรรมะจุดยืนของการฟังธรรมะคืออะไร ฟังแค่ผ่านๆ หรือฟังเพื่อให้ได้รับประโยชน์ ฟังแบบไหน ฟังเพื่อกอบโกยประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าอยู่ในโลกนั้นถ้าเราทำอะไรก็ตามโดยที่เรากอบโกยให้ได้มากที่สุด คนๆ นั้นจะถูกเกลียด แต่มาศึกษาธรรมที่นี่แล้ว กอบโกยไปเถอะไม่มีใครรังเกียจ มีแต่เขายินดีจะให้ ทำไมกลับไม่อยากเอา จริงไหม (จริง) ทำไมของดีมนุษย์กลับไม่เอานะ เราเลยเป็นมนุษย์ที่ชอบตกสมัยตกยุค เพราะว่าอยู่ตรงนี้เราไม่ทำตรงนี้ แต่อยู่ตรงนี้เราชอบคิดถึงตรงโน้นหรือตรงนั้น จริงไหม (จริง) อยู่ตรงนี้เราก็คิดว่านั่งที่บ้านน่าจะดีกว่านะ เราจึงเป็นคนที่ตกยุค ตกสมัยไม่เคยอยู่กับปัจจุบัน ตัวอยู่นี่แต่ใจอยู่ (นั่น) ใช่หรือไม่ (ใช่) พอถึงเวลาตัวอยู่โน่นแต่ใจก็อยากไป (นี่) จริงหรือเปล่า (จริง) พออยู่ในโลกวุ่นๆ ก็อยากหาที่สงบ พอตอนนี้อยู่ในที่สงบอยากไปหาที่ (วุ่น) จริงไหม (จริง)
“คนหยุดพักแต่ไม่เคยได้หยุดพัก”
มนุษย์บอกว่าอยากหาเวลาพัก พักสมอง พักกาย แต่ถึงเวลาพักจริงๆ ไหม (จริง) สิ่งที่เราหยุดพักไม่ได้คือ ความคิดในหัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยากหยุดพักจริงๆ ต้องหยุดความคิดและอยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้นั่งก็บอกว่านั่ง ไม่ใช่ตอนนี้นั่งแต่อยากยืนเต็มแก่แล้ว พอตอนยืนก็บอกว่า “เมื่อไรจะได้นั่งเสียที” จริงไหม (จริง) อยู่ในบ้านก็อยากออกนอกบ้าน พอได้ออกนอกบ้าน ก็คิดว่า”เมื่อไรฉันจะได้กลับบ้านเสียที” ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเลยไม่มีความสุขกับปัจจุบันชีวิตที่เป็น ปัจจุบันชีวิตที่มี ปัจจุบันชีวิตที่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แม้นั่งนิ่งแต่ใจนั้นแอบวิ่ง”
จริงไหม ตัวนั่งนิ่งๆ แต่ใจวิ่งเป็นลิงเลย เดี๋ยววิ่งไปคิดโน่น เดี๋ยววิ่งไปคิดนี่ ไม่เคยคุมใจตัวเองให้อยู่ได้นิ่งๆ สักห้านาที เคยคุมได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าอย่างนั้นท่านยิ่งกว่าเด็กอีกนะ ห้านาทียังคุมไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่ารำคาญเด็กเวลาซน เพราะบางทีใจเราก็ชอบซน คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดเหมือนกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก)
“เมื่อต้องทิ้งไม่วายแอบเสียดาย”
เรานั้นเวลาอยู่ตรงนี้ก็คิดถึงตรงโน้น อยู่ตรงโน้นก็คิดถึงตรงนี้ เมื่อเวลาได้ทิ้งตรงนี้จริงๆ กลับรู้สึกว่าเมื่อครู่นั่งก็ดีหรอก ใช่ไหม (ใช่) อยู่กับคนนี้เขาก็ขี้บ่นมาก “คนนี้ช่างน่าเบื่อ” แต่ถึงเวลาต้องจากเขาจริงๆ “ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน หูเราคงเหงาแย่” เจอคนเงียบมากๆ ก็บอกว่าอึดอัด พอเจอคนพูดมากก็บอกรำคาญ ใช่ไหม (ใช่) ถามตัวเราก่อน จริงๆ เราชอบคนแบบไหนกันแน่ พูดมากก็รำคาญ พูดน้อยก็น่าเบื่อ ดังนั้นคนที่เราต้องไล่ตามให้ดี จริงๆ แล้วไม่ใช่ผู้อื่น แต่เราต้องไล่ตามความคิดเราให้ทัน แล้วเราจะสามารถมีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้ จริงไหม (จริง)
มนุษย์ปรารถนาชีวิตมั่งมีศรีสุข ปรารถนาความมั่นคงมั่งคั่ง หรือถ้ามั่งมีศรีสุข มั่นคงมั่งคั่งแล้วก็ปรารถนาจะเป็นที่เคารพนับหน้าถือตาใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อไรที่ปรารถนา เมื่อไรที่จำกัดว่าชีวิตจะมีสุขได้ต้องมั่งมีมั่งคั่งต้องมีคนนับหน้าถือตา เมื่อนั้นเรากลับไม่พบความสุข เรากลับกั้นตัวเองออกจากความสงบโดยไม่รู้ตัวจริงหรือเปล่า (จริง) ไม่เข้าใจหรอกต้องให้เราขยายความ ก็คือเราไม่พอใจกับตอนนี้ที่มีอยู่ เมื่อไม่พอใจกับตอนนี้ที่มีอยู่ ต้องหาอีก ต้องมีอีก ต้องได้รับความเคารพอีก ยิ่งต้องได้ ยิ่งต้องมี ยิ่งหวังได้ ยิ่งหวังมีนั้นก็คือเราทิ้งความสงบอันเป็นพื้นฐานไปแล้ว เราไม่ชอบสิ่งที่เรามีอันธรรมดาสามัญแล้ว เมื่อเราไม่ชอบสิ่งที่มีธรรมดานี้ เราก็ต้องไปหาความวุ่นวายเพื่อให้ได้มั่งมีอย่างที่เรากำหนด และมีความสุขอย่างที่เรากำหนด แต่เมื่อยิ่งไปหาๆ เรากลับไม่สงบกับสุขตอนนี้ เราไปหาแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่เท่ากับเรายิ่งทุกข์เพิ่มเป็นสองเท่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าตอนนี้ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว มีเท่านี้ก็สุขแล้ว แม้ข้างหน้าไม่ได้เราก็ยังสุขกับสิ่งที่มีตรงนี้ จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นอย่างนี้บ้างหรือยัง (ยัง) ความสุขอยู่ไกล ความทุกข์อยู่ใกล้ สงบอยู่ไกล วุ่นวายอยู่ใกล้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน อยู่กับคนรอบข้าง อยู่กับเรื่องราว หรืออยู่กับตัวเรา
เรามานี่ยินดีต้อนรับเราไหม (ยินดี) เห็นเราเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า บางทีรูปแบบภายนอกก็มีผลกระทบต่อจิตใจภายในเหมือนกัน จริงไหม (จริง) ยกตัวอย่างง่ายๆ คนที่ทำงานอยู่ในตลาดบ่อยๆ จะกลายเป็นคนที่หาความซื่อตรงไม่ค่อยได้ เพราะต้องค้าขาย ขายอะไรก็ต้องบอกว่าของที่ขายนั้นดีไปหมด คนซื้อก็เลยไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ฉะนั้นถ้าอยู่ตลาดบ่อยๆ เราจะกลายเป็นไม่ค่อยซื่อตรง ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมติเราเป็นคนขายของ เช่นขายรถ ขายอาหาร ขายขนม ในใจเราก็อยากให้ของขายได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่เศรษฐกิจดี เราก็รู้สึกว่าอยากให้เศรษฐกิจดีไปเรื่อยๆ อย่าแย่ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะเศรษฐกิจดีคนก็จับจ่ายซื้อของ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีคนก็ไม่อยากจับจ่ายซื้อของ ฉะนั้นเวลาเราขายของ ในใจที่เราอยากจะขอฟ้าก็คือ ขอให้คนรวยๆ มีเงินมีทอง เพราะมีเงินมีทองเขาก็ต้องอยากซื้อของ อยากซื้อรถ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าในทางกลับกัน วันหนึ่งถ้าท่านไม่ขายของทั่วไปแต่ท่านขายโลงศพ ขายบ่อยๆ เข้า แล้ววันหนึ่งกลับขายไม่ดี ในใจเราจะคิดอะไร
รูปแบบภายนอก การทำงาน การดำรงชีพหรือการจะพูดอะไรก็พูด หรือการอยากจะเป็นอะไรก็เป็น ไม่มีทางที่จะไม่มีผลต่อจิตใจภายใน ต้องมีไม่มากก็น้อย ถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนกับเวลาเราสวมชุดไว้ทุกข์ พอเขาเปิดเพลงเสียงดัง ใจเราก็เต้นตุ้บๆ อยากฟังเพลงไหม เพลงสนุกอยากเต้นไหม แต่พอหันมามองชุด เต้นไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าหูไม่ได้ยิน แต่เพราะรูปแบบการแต่งกายนั้นบังคับให้ต้องรู้จักระมัดระวังท่าที ดังนั้นอย่ามองว่าเราอยู่ในโลกเขาเล่นหวยเราก็มองเขา ฉันไม่ได้เล่นฉันมองเฉยๆ มองไปมากๆ ใจก็อดสนับสนุนไม่ได้ เหมือนคนในวงเหล้า ไม่ชอบดื่มเหล้าแต่ไม่อยากเสียเพื่อน นั่งมองเพื่อนดื่มมองมากๆ เหล้าก็จะมาอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นก็จะมาอยู่ในท้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็จะกลายเป็นเหล้าใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอย่าบอกว่าภาวะแวดล้อมไม่มีผลต่อจิตใจภายใน ฉันอยู่ตรงไหนฉันก็มีธรรม อยู่ตรงไหนก็เป็นคนดี ไม่ต้องฟังธรรมะ ฉันก็มีธรรม จริงไหม (ไม่จริง) มนุษย์มักจะบอกว่าอยู่ตรงไหนฉันก็เป็นคนดีได้ก็พอแล้ว แต่พอถึงเวลาทำไมความดีของเราออกมาช้ากว่าคนอื่น ฉะนั้นอย่ามองว่าแค่รูปแบบภายนอก ไม่มีผลต่อภายใน เหมือนคนขายโลงศพ ถ้าวันหนึ่งขายไม่ดี มีหรือที่จะไม่คิดว่า เมื่อไหร่คนจะตายนะ จริงไหม (จริง) ฉันไม่กินเหล้า แต่ขอขายเหล้า เวลาคนเดินผ่านไป ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมมันไม่กินเหล้า ศีลห้าฉันรักษาครบแต่ฉันยังอดขายเหล้าไม่ได้ ฉะนั้นอย่ามองว่าเป็นรูปแบบภายนอกแล้วจะไม่มีผลกระทบต่อภายใน จริงไหม (จริง)
เหมือนเวลาเราแต่งสูท ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า เวลาเดินเราก็จะเดินมารยาทดีโดยไม่รู้ตัว แต่วันไหนที่แต่งปอนๆ ไม่ต้องสนใจหรอกเดินอย่างไรก็ไม่มีใครว่า ดังนั้นเราไม่ต้องสนใจรูปแบบได้ไหม (ไม่ได้) เราควรสนใจรูปแบบหรือไม่ (มีนักเรียนในชั้นตอบว่า “ไม่สนใจรูปแบบภายนอกสนแต่การกระทำ”) ถ้าลูกมาทักบอกว่า “แม่ขายได้ไหม ขอตังค์หน่อยดิ แม่สบายดีไหม ขอตังค์หน่อย” แบบนี้สนใจรูปแบบไหม
ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่สนใจรูปแบบเพราะบางครั้งประโยชน์ของรูปแบบก็ยังมีคุณค่าของรูปแบบอยู่ ประโยชน์ของข้อจำกัดหรือสิ่งที่ควรจะเป็นก็ยังต้องมีอยู่ ในพิธีการ เขาให้แต่งตัวให้เหมาะสม เราก็ต้องรักษาความเหมาะสมในพิธีการที่ควรรักษาอยู่ เหมือนคนที่ไปค้าขายทุกวันก็มักจะปากหวาน บอกว่าอะไรก็ดีไปหมด แต่จริงๆ แล้วพอถึงเวลาเราจะกลายเป็นคนที่แยกไม่ออกว่า อะไรดีอะไรไม่ดี เพราะจะถูกความเป็นสิ่งนั้นครอบงำโดยไม่รู้ตัว มนุษย์แต่ก่อนเป็นนายของทุกสิ่งของแต่พอใช้ไปใช้มา เรากลายเป็นทาสของทุกสิ่งที่เราใช้โดยไม่รู้ตัว จริงหรือไม่ (จริง)
“ถึงฟ้ากว้างแต่ใจคนกว้างกว่า คนช่วยคนใจคนอย่ารังเกียจส่ง
ท้องใหญ่กว้างยอมรับทุกข์กลืนลง ใจคนกว้างไม่ดำรงแบ่งพวกแล”
คนในโลกบางคนพูดก็ดี แต่งตัวก็ดี อะไรก็ดูดีไปหมด แต่กลับหลอกเอาเงิน จริงหรือไม่ (จริง) แต่บางคนแต่งตัวธรรมดา บางทีก็พูดจาเอะอะมะเทิ่ง แต่กลับมีความจริงใจมากกว่า ทำไมถึงได้กลับกันล่ะ
เมื่อสักครู่เราบอกว่าอย่ามองข้ามรูปแบบ เพราะรูปแบบก็มีผลกระทบต่อภายในจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการที่เรามีรูปแบบดีไว้ก่อนก็เป็นสิ่งที่บังคับใจเราไปในตัวด้วย การรู้จักเลือกที่อยู่ให้กับตัวเองก็เป็นการที่จะระมัดระวังใจไม่ให้เราพลั้งเผลอไปกับสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายได้ง่ายด้วย นั่นคือการเอามาใช้กับตัวเอง แต่เมื่อเวลาเราต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น เราก็ต้องมองให้ออกด้วยว่าในรูปแบบนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) และนอกรูปแบบนั้นอาจจะมีอะไรที่แม้จะหยาบกระด้างไปบ้างก็มีบางสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ถูกหรือไม่ (ถูก) ดังคำพูดมนุษย์ที่บอกว่า “อย่าสนับสนุนคนเพียงเพราะวาจา และไม่ละเลยความดีงามเพียงเพราะความประพฤติ” จริงหรือไม่ (ไม่) คิดตามทันหรือไม่
เวลาที่เจอคนพูดกับเราว่า “สวัสดีค่ะ สวยจังเลย มาจากไหนคะ” เราเห็นเขาคุยดี ใจเราก็อ่อนยวบไปนิดหนึ่ง รู้สึกว่าอยากคุยกับคนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ามีคนบอกว่า “เป็นไง ดูหน้าไม่สบายเลย แย่จังเลย” คนนี้ก็ติดลบแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนแรกกับคนที่สองเราอยากคุยกับคนไหนมากกว่ากัน (คนแรก) นี่แหละเขาเรียกว่ายังติดกรอบดีอยู่
ในโลกของความเป็นจริงแม้เขาจะทักทายแบบนี้หรืออีกแบบหนึ่งเราก็ต้องรู้จักมองให้ออก อย่าได้มองข้าม ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนที่พูดแบบนี้ก็เหมือนเป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นตัวตนเราที่แท้จริง กับคนที่พูดอีกแบบหนึ่งว่าดีไปหมด อาจจะทำให้เราลืมและมองข้ามสิ่งที่ดีงามที่เราทำหายไปก็เป็นได้ ฉะนั้นเวลาที่คนพูดดี แต่งตัวดี ก็ใช่ว่าจะมีธรรมดีนะ หรือในทางกลับกัน คนพูดไม่ดี แต่งตัวไม่ดี ก็ใช่ว่าจะไร้ธรรม
ฉะนั้นเมื่อเรามองสิ่งใดหรืออยู่กับใครเราจึงต้องอย่าให้อะไรมาบดบังตาเรา อยู่ในโลกท่านเป็นแบบนี้ไหม ความชิดใกล้และความเคยชินมักจะบดบังสิ่งที่ควรมองให้เห็น กลายเป็นมองไม่เห็นเพราะความรัก สิ่งที่ควรมองเห็นก็กลายเป็นมืดบอดไป เพราะความไกลและรังเกียจอยากให้ไกลห่าง เราจึงไม่สนใจไม่ใส่ใจที่จะเรียนรู้ ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องดีหรือไม่ดีเราก็ต้องรู้จักรับฟังบ้าง ไม่ว่าเรื่องดีขนาดไหนเราก็ต้องรู้จักทำใจเผื่อบ้าง เพื่อจะทำให้เราไม่ถูกหลอก อย่าบอกว่าไม่ชอบ เราเลยไม่ศึกษา ไม่เรียนรู้ ยิ่งไม่ชอบเรายิ่งต้องศึกษาและเรียนรู้ให้กระจ่างแล้วเราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราไม่ชอบนั้นมีดีหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นคนที่รังเกียจแล้วเสียคุณค่าสิ่งดีที่เรารังเกียจไป สิ่งที่ชอบกลับทำร้ายหัวใจ เพราะว่าความชอบบดบังหัวใจจนมองไม่เห็นสิ่งไม่ดีในตัวผู้อื่น เห็นด้วยหรือยัง (เห็นด้วย) ฉะนั้นอย่าสนับสนุนคนเพียงเพราะวาจาดี อย่าละเลยคำพูดคนเพียงเพราะความประพฤติไม่น่ารัก แม้ว่าเขาจะไม่น่ารักแต่เขาก็มีเหตุผลเหมือนกันใช่หรือไม่ ท่านเคยอยากเป็นคนที่ไม่น่ารัก อยากเอาแต่ใจตนเองไหม แล้วแท้ที่จริงเราเป็นคนน่ารังเกียจไหม (ไม่เป็น) คนทุกคนก็เคยทำตัวไม่น่ารักเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะน่ารังเกียจเสมอไป ฉะนั้นเมื่อเจอเด็กที่เอาแต่ใจ ไม่ฟังพ่อแม่ก็คิดเสียว่าตอนเด็กเราก็เป็นแบบนี้ เราก็ควรเอาสิ่งที่เราเคยเป็นมาเข้าใจเขา แล้วเราก็จะสามารถโน้มน้าวเปลี่ยนแปลงเขาได้ง่ายกว่า จริงหรือไม่ (จริง)
มนุษย์มักจะกำหนดว่าการฟังธรรมหรือรูปแบบของธรรมหรือรูปแบบของคนมีธรรม จะต้องเป็นผู้สูงวัย มากด้วยคุณวุฒิ มากด้วยวัยวุฒิถึงจะมีธรรม แต่จริงๆแล้ว ต้นไม้ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็สามารถให้ธรรมะได้ ความคิดเด็กๆ ที่ไม่ยึดติดในกรอบบางครั้งก็ให้เราฉุกคิด คลายความยึดมั่นถือมั่นได้ พอมนุษย์อายุมากๆ เข้าก็อดยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ แต่เด็กๆ กลับรู้จักปล่อยวาง ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเด็กๆ เห็นทรายก็ชอบที่จะก่อกองทรายใช่หรือไม่ พอก่อเสร็จแล้วถึงเวลาจะกลับบ้าน เด็กๆ ก็รื้อทิ้งง่ายๆ ได้ แต่ผู้ใหญ่เวลาก่อกองทรายเสร็จแล้วพอถึงเวลากลับบ้านก็คิดว่า กว่าจะก่อมาได้แทบตาย จะกลับไปก็เสียดายจัง ใช่ไหม (ใช่) พอคิดแล้วก็ทอดถอนใจ “เฮ้อ อย่าเพิ่งไปเลยๆ ” ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะทำใจได้ถึงจะยอมทิ้งได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) แสดงว่าเด็กมีความยึดมั่นถือมั่นน้อยกว่าผู้ใหญ่ใช่ไหม (ใช่) มีคำพูดกล่าวว่า คนที่รู้จักปล่อยวาง ชีวิตแม้ความตายจะมาถึงก็ไม่น่ากลัว แต่ผู้ที่เอาแต่ยึดมั่นถือมั่น มักจะไม่สามารถเข้าใจชีวิตและจะมีชีวิตอย่างคนที่กลัวตายไปตลอดชีวิต ถูกหรือเปล่า (ถูก) เราจึงกลายเป็นคนที่กลัวตายก่อน จะทำอะไรก็กลัวซ้าย กลัวขวา ไม่เหมือนเด็ก นึกอยากไปทำก็ลุยเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราเคยเห็นเด็กวัยรุ่นไหม อยากขับรถเร็วเท่าไรขับไปเลย แต่ตอนนี้แก่แล้วขอช้าๆ ไว้ก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเราบอกว่าเอาเด็กกับผู้ใหญ่มาหารครึ่งก็คงดีนะ ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเราเอาใจเด็กมาหารครึ่งกับความเป็นผู้ใหญ่ เราก็คงรู้จักปล่อยวางชีวิตบ้าง แล้วก็รับผิดชอบชีวิตได้ดียิ่งขึ้น ไม่กลัวเกินไป วิตกกังวล ห่วงเกินไปจนกลายเป็นคนที่หาความสุขได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตที่มีความสุขได้ง่ายๆ หายไปแล้ว ไม่เหมือนกับเด็กๆ ที่เป็นอย่างไร นึกจะทำอะไรก็ทำ ไม่กลัวตายเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์ปล่อยวางความไขว่คว้า เปิดเผยและกล้ายอมรับเราจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่มนุษย์เต็มไปด้วยความปรารถนาแก่งแย่งชิงดีอยากได้ใคร่ดี จึงกลายเป็นคนที่มองโลกได้อย่างไม่แจ่มชัด มองใครหรืออยู่ร่วมกับใครก็ระแวดระวังภัยไปเสียหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นชีวิตที่มีอยู่จึงเต็มไปด้วย ซ้ายก็ปัญหา ขวาก็ปัญหา จะเดินหน้าก็ปัญหา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราอยากถามว่าแท้ที่จริงแล้วปัญหาอยู่ที่ใด (อยู่ที่ตัวเรา) ตัวเราตรงไหนที่ทำให้เป็นปัญหา (ความคิด) จริงไหม (จริง)
(ท่านเสี่ยวผีเซียนถงจะประทานรางวัล) เอาอะไรดีระหว่างขนมกับผลไม้ ถ้ายังคิดไม่ตกก็เป็นปัญหานะ ผลไม้เอาอะไรดี มีทั้งหัวแหลมๆ หัวไม่แหลม ตัวใหญ่ๆ แล้วก็ตัวไม่ใหญ่ เอาแอปเปิ้ลตกหรือเอาแอปเปิ้ลไม่ตก (ไม่ตก) ความคิดที่ไม่มีอะไรง่ายนั้นแหละ เป็นความคิดที่เริ่มเป็นปัญหาแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)
(ความอยาก) ความอยากก็สามารถเป็นปัญหาได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอยาก อยากอะไรที่เป็นปัญหาได้ง่ายที่สุด (อยากได้ทุกอย่างที่เราไม่มี) ถ้ารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ความอยากได้นั้นก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหา ถูกไหม (ถูก) เพราะถ้าอยากแล้วได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าตอนนี้มีเพิ่มอีกก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อะไรที่สามารถเป็นปัญหาของเราได้อีก (ความลุ่มหลง) มนุษย์มักจะบอกว่าเรื่องราว ผู้คน ทำให้ชีวิตฉันมีปัญหาเยอะเหลือเกิน ถูกไหม (ถูก) โดยส่วนใหญ่เรามักจะมองออกและโทษผู้อื่นเป็นประจำ มากกว่าจะมองเข้าและหันมาดูที่ตัวเอง (จิตใจของเราเอง) ที่ควรคิดไม่คิด ไปคิดในสิ่งที่ไม่ (สมควรคิด) เหมือนวันนี้นั่งฟังมีปัญหาไหม (มี) แล้วปัญหาเกิดจากอะไร (จิตใจ) เราคิดว่าเขาพูดแบบนี้ใช่หรือ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ฉะนั้นเรื่องราวผู้คนไม่ใช่ตัวปัญหา แต่การคิดและมุมมองที่เรามองต่อสิ่งนั้นต่างหากที่มักจะก่อให้เกิดปัญหาบ่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เรายกตัวอย่างง่ายๆ คนลำปางส่วนใหญ่มีอาชีพปั้นดินเผา คนเชียงรายมีอาชีพปลูกสับปะรดหรือลิ้นจี่ คนที่ปลูกลิ้นจี่ก็ต้องชอบฝน คนปั้นดินเผาชอบแดด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคนที่เป็นพ่อมีลูกสองคน คนหนึ่งอยู่เชียงราย อีกคนหนึ่งอยู่ลำปาง พอแดดเปรี้ยงก็สงสารลูกคนที่ปลูกลิ้นจี่ พอฝนตกก็สงสารลูกคนที่ปั้นดินเผา ใช่ไหม (ใช่) นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาแต่ความคิดมีปัญหา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นถ้าฝนไม่ตก แดดไม่ออก พ่อตายแน่ ถูกหรือเปล่า (ถูก) แต่ทำไมเราไม่คิดกลับกันว่า พอฝนตกลูกคนที่ปลูกลิ้นจี่สบายใจ ลูกที่ปั้นดินเผาได้พักผ่อน พอแดดเปรี้ยงก็คิดว่าลูกที่ปั้นดินเผาได้มีเงินมีทอง ลูกที่ปลูกลิ้นจี่ได้พักผ่อน คิดแบบนี้ดีไหม (ดี) แต่มนุษย์พอได้อย่างหนึ่งก็บอกว่าอยากเอาอีกอย่างหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่) พอไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็อยากได้อีกอย่างหนึ่ง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกแท้จริงมีทุกข์ไหม (ไม่มี) เรื่องราวในโลกแท้จริงเป็นปัญหาชีวิตไหม (ไม่เป็น) เหมือนคำว่า “คิดได้เหมือนคนได้ขึ้นสวรรค์ คิดไม่ได้เหมือนคนที่ตกนรก” ที่ควรคิดไม่คิดไปคิดว่าทำไมฝนไม่ตก ทำไมแดดออกอยู่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดแบบนี้เป็นทุกข์ไหม (ทุกข์) พอสามีอยู่บ้านก็คิดว่าอยู่ทำไม อยู่ก็รำคาญ ขี้บ่น แต่พอเขาไม่อยู่ ก็คิดว่า “ไปไหนของเขาหนอ”
เราควรจะรู้จักปรับความคิด คนที่ท้องใหญ่ใจกว้าง หน้ายิ้มแย้มเป็นนิจ พูดน้อยๆ บ่นน้อยๆ จิตใจมองโลกแง่ดีตลอดเวลา เจอก็ยิ้ม ไปก็ยิ้ม กลับมาก็ยิ้ม คิดดีเข้าไว้เราก็เป็นสุข ครอบครัวก็ร่มเย็น คิดร้ายแล้วคนที่ทุกข์ก็คือเรา แล้วคนที่ทำให้บ้านเป็นนรกก็คือเรา แล้วคนที่เป็นยมทูตตัวร้ายๆ ก็คือเรา แล้วคนที่ทำบ้านเป็นกระทะทองแดงก็คือเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นคิดสบายใจไว้ คิดง่ายๆ ดีกว่าไหม นั่งก็ดี ยืนก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) นั่นก็คือไม่ทำให้การนั่งตรงนี้เป็นปัญหา สองวันก็ดี สามวันก็ (คุ้ม) แล้วการนั่งฟังของเราก็จะมีสุขยิ่งขึ้น ถูกไหม (ถูก) ดังนั้นคิดง่ายๆ ดีกว่า แต่ก็ไม่ควรง่ายเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกเรื่องหนึ่งเป็นปัญหาที่เป็นปัญหาจริงๆ นั่นก็คือเกิดมาแล้วไม่อยากตาย ใช่ไหม (ใช่) มีคนๆ หนึ่ง คนรักของเขาตายลง ตอนแรกเขาก็นั่งร้องไห้ แต่พอสักพักเขาหยุดร้อง แล้วก็กลับกลายเป็นมีความสุข ท่านคิดว่าเขามีปัญหาไหม เพราะเราคิดว่า มนุษย์ที่พบเรื่องของคนที่เขารักตาย เขาก็ต้องร้องไห้สิ ใช่หรือไม่ พอเขาไม่ร้องไห้ เราก็รู้สึกว่าแบบนี้ไม่รักกันจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนเราถึงจะร้องไห้มากขนาดไหน จะเสียใจขนาดไหนก็ยังต้องมีวันหยุด ถูกหรือเปล่า (ถูก) จะทุกข์ขนาดไหน เจอปัญหาขนาดไหน ก็ยังมีวันคลี่คลาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราพบเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม จงอย่าให้อารมณ์ครอบงำจนมากเกินไป ถ้าเรารู้จักมีสติยั้งคิด ถอยออกมาสักหนึ่งก้าวแล้วมองเรื่องราวกลับไปใหม่อีกทีหนึ่ง เราอาจจะคิดได้ว่า การตายนั้นไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจ แต่เป็นเรื่องที่เขากำลังเดินทางกลับสู่ที่เขาจากมาก็เป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเขาได้กลับไปสู่ที่เดิมของเขาแล้ว เราจะเสียใจอะไรกัน ในเมื่อชีวิตที่มีอยู่นั้นบางทีก็เป็นชีวิตที่ทุกข์ทรมาน ความตายนั้นอาจทำให้ความทุกข์ทรมานนั้นได้จบสิ้นเสียทีก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นในโลกนี้มุมมองของความทุกข์หรือมุมมองของปัญหา จะจบได้ด้วยการที่มนุษย์รู้จักใช้สติปัญญา ในการเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการรู้จักยั้งคิด หรือถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองกลับไปใหม่อีกทีหนึ่ง เราอาจจะมีสติยิ่งขึ้น
หากเราถือของสิ่งหนึ่ง แม้มันจะเบาแต่ถ้าเรายิ่งถือยิ่งแบก จากที่ไม่หนักก็หนักได้ จริงไหม (จริง) เหมือนเราใช้ไม้จิ้มฟัน ตอนแรกก็ใช้ประโยชน์ได้ดี แต่พอจะทิ้งก็ยังหาที่ทิ้งไม่ได้เลยเก็บไว้ที่ตัว แล้วก็กลับมาทิ่มตัวเอง
ฉะนั้นบางปัญหา บางเรื่องราวที่เราเผชิญอยู่ในชีวิต ปล่อยบ้างก็ได้ บางเรื่องปล่อยแล้วกลายเป็นหมดเรื่องเลย แต่บางเรื่องเก็บไว้ยิ่งเป็นปัญหา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วอะไรยิ่งเก็บยิ่งเป็นปัญหา ยิ่งเก็บยิ่งช้ำใจ
(ความโกรธ) ความโกรธ ความแค้น ความเกลียด ใช่หรือไม่ เพราะยิ่งเกลียดยิ่งไม่มีดี
อะไรอีกยิ่งเก็บยิ่งไม่ดี (คำที่เขาด่าเรา)
เคยได้ยินไหมว่าถ้าเขาด่าแต่เราไม่รับ คำด่านั้นจะกลับไปหาเจ้าของเอง แต่หากเขาด่าแล้วเราใส่ใจ เราก็รับมาเต็มๆ ฉะนั้นเวลาเขาด่าให้เรานิ่งเฉยไว้ แล้วสิ่งที่เขาด่าจะกลับไปหาเจ้าของเองนะ เหมือนเขาทำขนมไว้อย่างหนึ่ง แล้วเราไม่กิน คนที่ทำก็ต้องเหมาเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนว่า คนด่า ก็เหมือนคนทำขนม เราไม่กินแต่ถือกลับมา ถือกลับมาแล้วก็ปล่อยให้มันเน่าในตัวเรา ฉะนั้นปล่อยวางไว้ตรงนั้น ไม่ต้องถือกลับมา แล้วสิ่งที่เขาว่ามันก็จะกลับเป็นของเขาเอง จำไว้เวลาถูกด่าอย่าถือกลับมา จะได้ไม่เน่าในใจเรา
(อยากได้อยากมี, ความผิดหวัง) ความผิดหวังความเสียใจ อยากให้เขาเป็นแต่เขาไม่เป็น เราก็ยังดื้อดึงดันทุรัง อยากให้เขาเป็นแบบที่เราอยาก แล้วคนที่เสียใจก็คือคนที่ดื้อดึงดันทุรังลากเขาไปใช่ไหม (ใช่) คนมีรูปแบบก็ดี ไม่มีรูปแบบก็ดี ในรูปแบบก็มีข้อดีของคนมีรูปแบบ การที่เขาไม่มีรูปแบบก็มีเหตุผลที่น่ารักเหมือนกันก็เป็นได้ ถ้าทุกคนเหมือนกันไปหมด ท่านก็คงเบื่อหน่ายไม่ใช่หรือ ทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด ถึงเวลาคนในโลกหัวล้าน ท่านก็ต้องหัวล้านตามเขา เอาไหมล่ะ
ฉะนั้นคนหัวล้านทำให้คนผมดกนั้นโชคดีมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ส่วนคนหัวล้านก็ดีใจตรงที่ชีวิตนี้จะไม่ต้องกลุ้มใจกับผมนี้อีกต่อไปแล้ว ผมจะหงอกหรือไม่หงอก ฉันก็ไม่ต้องกลุ้ม ปล่อยให้คนมีผมกลุ้มไปเถอะ ถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์สามารถเอาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมาเป็นปัญหาและเป็นเรื่องทุกข์ใจได้ตั้งแต่หัวถึงเท้า ตั้งแต่เรื่องใกล้ถึงเรื่องไกลจริงหรือไม่ (จริง) ทั้งเรื่องตัวฉันและเรื่องตัวเธอใช่หรือเปล่า ท่านเคยได้ยินไหมว่าจัดการตัวเองให้ดีก็พอ ถึงเวลาคนอื่นมีกรรมเป็นของตัวเอง ผลของการกระทำจะสอนเขาได้ดีกว่าเราพูดเสียอีก แต่ถึงเวลาเขาพลาดไปแล้วเราต้องเป็นกำแพงกำลังใจอันน่ารัก เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราผิดพลาดสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือความเข้าใจ และคนในโลกนี้มีใครบ้างไม่เคยผิด ต้องผิดก่อนถึงอยากเป็นคนดี ต้องเคยเลวร้ายมากมาก่อนถึงอยากเป็นคนดีจริงๆ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นปล่อยให้เขาเรียนรู้ชีวิตไปก่อน และเราก็ต้องปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามที่ควรเป็น เมื่อไหร่ที่เราควบคุม เมื่อไรที่เรากำหนด เราก็คือคนที่พยายามฝืนธรรมชาติ และธรรมชาติคือสิ่งที่บางครั้งกำหนดได้และบางครั้งกำหนดไม่ได้ บางครั้งอาจจะรู้ได้แต่บางครั้งอาจคาดคะเนไม่ได้ และมีอยู่ในทุกคนแม้กระทั่งตัวเราเอง ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจชีวิตและสามารถนำพาชีวิตตัวเองให้พบกับความสุขที่แท้จริงก็คือ การพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่และมีสติรู้เท่าทันว่าเรากำลังทำอะไร อย่าปล่อยให้ความอยากมาบดบังตาที่ควรจะมองเห็นโลกให้ชัด เห็นความเป็นจริงนี้ให้แจ่มแจ้ง เพราะมนุษย์หลายครั้งทำไมมองคนไม่ชัด ดูเรื่องราวแล้วไม่กระจ่าง เพราะตอนนี้เราใช้อารมณ์หรือใช้สติ ถึงแม้สิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าบางครั้งการกระทำของเขาไม่ดี เราจะพูดให้เขากลับมาทันทีนั้นยากใช่หรือไม่ (ใช่) ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม เพราะทุกคนล้วนมีกรรมเป็น (ของตัวเอง) แล้วกรรมคืออะไร (การกระทำ) ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นท่าทีของคนที่มีธรรม ท่าทีของคนที่เข้าใจชีวิต คือท่าทีของคนที่ใจเย็นๆ และเป็นคนอะลุ้มอล่วยคน ใช่ไหม (ใช่) เพราะจิตใจที่ริษยา ระแวง และยึดมั่นถือมั่นอย่างจำกัดตายตัว มักจะเป็นจิตใจที่พาให้มนุษย์ตกนรกได้ง่ายกว่าขึ้นสวรรค์ แต่จิตใจที่รู้จักอะลุ้มอล่วยใจเย็น รับฟังความคิดเห็น และมีท่าทีอย่างยอมรับความเป็นไป นั่นแหละคือจิตใจที่ขึ้นสวรรค์ได้ง่ายกว่าตกนรก
มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้เราขึ้นสวรรค์บ่อยไหมล่ะ (ไม่บ่อย) เหมือนมาฟังวันนี้นั่งอยู่บนสวรรค์หรือนั่งอยู่ในนรก (บนสวรรค์) ถ้าคิดได้ปลงตก ยิ่งนั่งก็ยิ่งเหมือนขึ้นสวรรค์ ถ้าคิดไม่ได้ปลงไม่ตก ยิ่งนั่งก็ยิ่งเหมือนตกนรก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเราบอกท่านตั้งแต่แรกแล้ว โลกเราหมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่หยุดนิ่ง ขอให้มนุษย์มีสติ รู้และอยู่เท่าทันกับชีวิต กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องร้ายๆ เรื่องดีๆ ก็เปลี่ยนแปรได้เสมอ ถ้าเรายิ้มสู้เสียอย่าง ก็อาจจะมีอะไรดีที่เรามองไม่เห็นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาพูดคุยกับท่านวิเคราะห์เรื่องธรรมเพียงสั้นๆ เพราะรู้ว่าเป็นวันแรกที่ต้องใช้ความอดทน ความเหนื่อย ความเมื่อย อยากกลับบ้านแล้วใช่ไหม ทนอีกนิดหนึ่ง เดี๋ยวเราก็กลับแล้ว วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ก่อน ขออภัยนะที่เราผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก วันนี้แค่นี้ก่อนนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนนั้นทิ้งทั้งทั้งที่ไม่เสีย คนนั้นเสียทั้งทั้งที่ไม่ป่วยไข้
พูดหนักหนักทั้งทั้งที่รักจะตาย คนรู้ง่ายกลัวก็แต่ไม่ยอมทำ
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่โลกมนุษย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคน มีความสุขหรือเปล่า
อ้อมกอดอุ่นย่อมคืนความเป็นตน ไม่มีฝนลมชีวิตไม่แข็งแกร่ง
มองในสิ่งทุกข์ให้ใจมีแรง น้ำใจแล้งมีดเฉือนยังน้อยไป
วาจาดุจลมหนาวเชือดแสบคันนัก ยิ่งปะทะยิ่งอยากต้านสวนกลับใส่
จากลิ้นหนึ่งวาจาไหวไหวหนาวใจ เปลี่ยนแปลงนิสัยหนึ่งพึงคุมกลับสัมมา
มือเย็นกลายร้อนอุ่นเพราะเลิกกลัว ศิษย์บำเพ็ญอย่างรู้ตัวจะก้าวหน้า
วิตกจนหัวเย็นเฉียบก็ไร้ค่า ไร้ปัญญาจะกล้าก็คล้ายนักเลง
ฮา ฮา หยุด
อันคนเฮานั้นควรคู่การทำดี หมั่นสร้างกรรมดี ส่งให้จิตพึงถึงความพร้อมเพรียง กึ๊ดใหญ่ใจสูงน้อมนำธรรมอยู่เคียง สายลมหยอกไล้ไม้ใบไหวเอียง โลกเปรียบเป็นเพียงเหมือนดังทางผ่าน สูเจ้าบำเพ็ญญาณ แผ่ความเมตตาก้าวข้ามนที
อันคนดีนั้นดีที่ตรงจิตใจ ให้ล้าสมัยคนดีก็ยังฮักแต่เลือกดี มั่นคงจุดหมายเหมือนไร้ท่าที มั่นคงคุณงามน้ำใจภักดี หัวใจของคนดี หัวใจนี้คือความงาม โลกต้องหายใจตามเจ้าคนฮักดีหายใจ
ชื่อเพลง : คนรักดี
ทำนองเพลง : ล่องแม่ปิง
(ดอกบัวตอง)
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เมื่อกลางวันกินข้าวอิ่มหรือเปล่า (อิ่ม) แล้วทำไมปรบมือแบบไม่มีแรงเลย มีแรงหรือเปล่า (มี) ไหนลองหลับตาลงสักครู่หนึ่ง ลืมตาใหม่ เวลาเห็นอาจารย์มาเป็นรูปลักษณ์แล้วก็รู้สึกแปลกๆ ใช่หรือเปล่า เพราะว่าเราเอาแต่มองจากตาเนื้อ การมองจากตาเนื้อทำให้การมองมีขีดจำกัด แต่ถ้าเราใช้ใจมอง เราก็จะมองได้อย่างไม่จำกัดจริงหรือไม่ (จริง) เพราะฉะนั้นอย่าใช้ตาเนื้อในการมองทุกสิ่งในโลกนี้ เพราะถ้า หากว่าศิษย์ใช้ตาเนื้อมองทุกอย่างในโลกนี้ ศิษย์ก็จะเห็นได้อย่างแคบๆ ใช่หรือไม่(ใช่) เหมือนกันถ้าไม่ใช้ตาเนื้อ จะใช้อะไร ก็คือใช้ใจ ใช่หรือไม่(ใช่) ใช้ใจไปสัมผัสกับทุกสิ่ง แล้วสิ่งที่เคยแคบก็จะกว้างมากยิ่งขึ้น แต่ที่สำคัญคือ ใจคนนั้นมีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าคนมีกิเลส เพราะฉะนั้นใจของเราก็เลยกลายเป็นใจที่ถูกจำกัดไว้เช่นเดียวกัน เราเคยรู้สึกไหมว่าเราอึดอัด (เคย) เคยรู้สึกว่าเราเบื่อชีวิตไหม ถามว่าตอนที่เราเบื่อชีวิตกับตอนที่เราสนุกสนานกับชีวิต เป็นเราคนเดียวกันหรือเปล่า ทำไมคนเราหนึ่งคนถึงมีสองความรู้สึกได้ ทั้งๆ ที่จริงๆแล้ว เราหนึ่งคนก็ยังเป็นคนเดิม หัวใจ กายเนื้อ หน้าตา ความคิด จิตใจ ก็ยังเหมือนเดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) อะไรที่ต่างไป สิ่งที่แตกต่างไปทำให้เรานั้นมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทางอารมณ์ คือ อารมณ์ดีบ้าง อารมณ์ร้ายบ้าง เพราะอะไร เพราะว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) ส่วนใหญ่เราอยู่ในสถานการณ์ที่ดีเราก็อารมณ์ดี มีความสมหวังมีความสุขก็อารมณ์ดี พอเวลามีความทุกข์หม่นหมอง ความผิดหวัง ก็กลายเป็นอารมณ์ที่เป็นลบ แสดงว่าอารมณ์ของเราถูกทำด้วยสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเราใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราเอาใจของเราไปเกาะไว้กับสิ่งของ บุคคล สถานที่ เงินทอง ที่เรานั้นเป็นผู้หามา เราเอาใจไปเกาะไว้กับสิ่งเหล่านี้หมด ถามว่าตัวเรายังเหลือใจไหม
สมมติว่ามีเงินอยู่ร้อยบาทแบ่งไป หนึ่งบาท ๆๆ แบ่งไปร้อยบาทแล้วเงินร้อยบาทยังเหลืออยู่อีกหรือไม่ (ไม่) ใจของเรามีบุคคลอยู่ ๓๐ คน สิ่งของ ๓๐ ชิ้น สถานที่ ๓๐ แห่ง แล้วมีกิเลสตัณหา อารมณ์ ความอยากได้ ความอยากสมหวังอีก ๑๐ เป็น ๑๐๐ เราไปเกาะไว้กับสิ่งเหล่านี้หมดทั้งสิ้น ๑๐๐ ชิ้น ๑๐๐ อย่าง ๑๐๐ สิ่ง ถามว่าใจของเรายังเหลือไหม (ไม่) ตอนนี้ไม่เหลือใจแล้วหรือ เรายังหายใจไหม (หายใจ) แล้วเรายังมีความสุข เรายังมีความทุกข์ไหม (มี) เรายังเป็นคนมีหัวใจหรือเปล่า (มี) แสดงว่าใจของเราดีกว่าเงินทอง ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเอาใจของเราไปแลกกับเงินทอง คุ้มหรือไม่ (ไม่คุ้ม)
วันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อยามเรามีความสุขเราก็มีไม่เต็มที่ เมื่อเรามีความทุกข์เราก็มีไม่ได้เต็มที่ เมื่อตอนเรารักอะไร เราก็รักไม่เต็มที่ เมื่อตอนเราเกลียดอะไร ก็เกลียดไม่เต็มที่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ใจของเราเหมือนหายไปครึ่งหนึ่ง บางทีเราก็เลยควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมใจเราเองไม่ได้ ควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้ ที่เป็นอย่างนี้ถามว่า คนอื่น บุคคล สถานที่เหล่านั้น ทำเรา หรือว่าเราทำตัวเราเอง เราคิดว่ามีคนที่ประเสริฐกว่าอยู่ในตัวของเราหรือไม่ มีบุคคลที่มีกิเลสตัณหาและตกต่ำกว่านี้อยู่ในตัวเราหรือไม่ นี่คือความพิเศษของคน และคนสามารถเลือกทางเดินสูงขึ้นและต่ำลงได้อยู่ทุกขณะ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ถ้าหากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เราจะเห็นพระอาทิตย์ตอนกลางวัน พระจันทร์ตอนกลางคืน ให้แสงสว่าง มีเมฆมาให้ร่มเงา มีฝนมีลม มีดวงดาว ถ้าหากว่าเรามองบนพื้น พื้นดินมีน้ำ ลำธาร ทะเล ภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราคนนี้ก็อยู่ท่ามกลางฟ้าและดิน แต่เราไม่เห็นฟ้าดิน เราเลยไม่เป็นธรรมชาติ ฟ้าเป็นธรรมชาติไหม (เป็น) ดินเป็นธรรมชาติไหม (เป็น) เราเป็นธรรมชาติไหม (เป็น, ไม่เป็น) คำตอบของมนุษย์มักตอบว่าเป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง ตกลงเราเป็นธรรมชาติหรือเปล่า เราเกิดมาตั้งแต่นอนแบเบาะ หัดเดิน ตั้งไข่ เดินได้ จนหลังงองุ้มไป แก่เฒ่า แล้วเราก็กลับสู่พื้นดินใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของเราเป็นธรรมชาติ ถ้าหากใครมีชีวิตไม่เป็นธรรมชาติ ผู้นั้นก็ไม่มีความสุข ถ้าผู้ใดมีชีวิตที่เป็นธรรมชาติ ผู้นั้นย่อมมีความสุข
ถามว่าเราสุขหรือทุกข์ (ทุกข์) เราเกิดมามีชีวิตนี้ เมื่อมองไปบนฟ้า มองกลับมาบนพื้นดิน ตานี้สอนให้คนมองออกไปข้างนอกอย่างเดียวเท่านั้น การที่เรามองออกมากเกินไปเป็นความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) สามารถจะมองบ้าง ไม่มองบ้างได้ไหม (ได้) แต่ทำได้หรือเปล่า(ไม่ได้) มันมีความอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจทุกอย่างเลยใช่หรือไม่ รู้และเข้าใจทุกอย่าง แต่ว่าคนฉลาด ไม่รู้อยู่อย่างเดียวคือ ไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นไม่รู้ ถูกต้องหรือเปล่า
ฉะนั้นมามองว่าชีวิตเราภายใต้ฟ้าดินนี้ เราสูญเสียความเป็นธรรมชาติของเราไป ตอนเด็กเราร่าเริงกว่านี้ ไม่ต้องเครียดถึงจิตวิญญาณแห่งโลกจักรวาลนี้ แค่พูดถึงตอนเด็กก็ต่างกันไปเยอะแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ผมเราก็ต้องทำสี เสื้อผ้าก็ต้องใส่ให้สวย หน้าก็ต้องแต่ง ในกระเป๋าก็ต้องมีเงินแล้วก็ต้องสะพายกระเป๋าด้วย เงินก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นทองเพื่อเอามาเป็นเครื่องประดับไว้ แล้วเราก็จะได้ดูยกระดับมากขึ้น แต่ว่าภายนอกสำคัญไหม ถามว่าใครนอนทั้งที่ไม่ได้ล้างหน้ามีไหมหรือนอนทั้งที่ผมไม่ได้แกะออกหรือนอนทั้งที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย มีไหม ส่วนใหญ่ก่อนที่เราจะนอน ก็ต้องลบหน้าออกก่อน เสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยน ทุกอย่างก็ต้องกลับสู่ธรรมชาติ ฉะนั้นเรามีธรรมชาติตอนนอนเท่านั้น เพราะว่าธรรมชาตินั้นสบาย เมื่อเราเกิดมาแล้วไม่เหมือนธรรมชาติ ตอนนี้เราที่นั่งที่นี่ไม่มีใครเหมือนธรรมชาติเลย เราปรุงแต่ง ทั้งภายนอกและจิตใจเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากมีความสุขมากกว่านี้ไหม (อยาก) อยากมีความสุขมากกว่านี้เราก็ต้องธรรมชาติมากกว่านี้ เรื่องธรรมะเป็นเรื่องง่าย แต่คนส่วนใหญ่นั้นทำไม่ได้ ถ้าหากว่าเราทำได้ผู้นั้นก็เป็นผู้พ้นทุกข์ แต่หากว่าทำไม่ได้ผู้นั้นก็เป็นผู้ตกทุกข์ เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์มานี่ก็เพื่อมาช่วยคนตกทุกข์ อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะเป็นผู้ตกทุกข์ได้ธรรมะง่าย ธรรมะฟังไม่ยาก ธรรมะเป็นเรื่องง่าย แต่ว่าทำได้ (ยาก) ก็พูดว่ายากอยู่อย่างนี้จะไม่ยากได้อย่างไร
“คนนั้นทิ้งทั้งทั้งที่ไม่เสีย”
ทุกวันนี้ในชีวิตของเรามีบางอย่างที่เรารักแต่ไม่ดีเท่าไร แต่เราก็ไม่เอาออกเพราะเราเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่) ขณะเดียวกันเราก็ทิ้งบางอย่างไป ของบางอย่างยังไม่เสียแต่เราก็ทิ้งไปแล้ว
ทุกวันนี้เสื้อเก่าก็ทิ้งแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) เสื้อเราทิ้งได้ตอนไหน ขาดแล้วปะ ปะแล้วปะไม่ได้ก็ค่อยทิ้ง แต่ว่าคนสมัยนี้ทิ้งเสื้อตัวที่ตัวเองเล็งแล้วเล็งอีกก่อนซื้อ หรือว่าไม่ใส่แล้ว หรือว่าแขวนไว้เฉยๆ ทั้งๆ ที่เสื้อก็ไม่ได้เสียใช่หรือไม่ (ใช่) เราทิ้งของอันได้มาจากบุญวาสนาของเราไปมากมาย ทั้งๆ ที่ของไม่ได้เสียเลย อย่างนี้เป็นการละลายบุญวาสนาของตัวเองโดยแท้ใช่หรือไม่ (ใช่) วาสนาหามายากกว่าหาเงิน แต่คนมักจะใช้บุญวาสนาเปลืองกว่าใช้เงิน เพราะว่าบุญวาสนานั้นมองไม่เห็น เราคิดแค่มีเงินในกระเป๋าเราก็ซื้อ สุดท้ายบุญวาสนาหมดแล้ว เงินทองหมดไหม (หมด) บุญวาสนาไม่มีก็ไม่มีเงินทอง เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าใครจนๆ หน่อย ถามตัวเองว่าไม่มีเงินหรือไม่มีบุญวาสนากันแน่ แล้วบุญวาสนาได้มาอย่างไร ก็ง่ายนิดเดียว ของที่เรามีอยู่ ของที่เราใช้ก็รู้จักใช้ให้คุ้มค่า ข้าวทุกเม็ดในทุกมื้อก็กินให้หมดให้เกลี้ยง ทำได้ไหม (ได้)
การสร้างบุญวาสนาก็คือการที่ไม่ฟุ่มเฟือยสิ่งของ เงินทอง ข้าวของ แม้ว่าตัวเองจะเป็นเจ้าของก็ตาม
ไหนใครเป็นโรคปวดขา เป็นโรคปวดหลัง เป็นโรคปวดเข่า ใครเป็นโรคปวดหัว ใครเป็นโรคปวดแขน เป็นโรคปวดใจยกมือขึ้น คนที่อยู่ในโลกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นโรคปวดเมื่อย จริงหรือเปล่า (จริง) เราเหมือนกับคนอื่นหรือเปล่า (เหมือน) แสดงว่าเรายังเป็นปกติอยู่ เพราะว่าเราเหมือนกับคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)
นับหนึ่งถึงสามนั่งพร้อมๆ กันนะ เร็วไปดีไหม ช้าไปดีไหม (ไม่ดี) เร็วไปก็ไม่ดี ช้าไปก็ไม่ดี อะไรดี (พอดี)
พร้อมไม่พร้อม (พร้อม) อยู่ข้างหน้ารู้ได้อย่างไร พร้อมไม่พร้อม (พร้อม) อาจารย์ไม่เห็นใครเหลียวหลัง ทำไมเวลาถามว่าพร้อมหรือเปล่าศิษย์ถึงรู้ ศิษย์ของอาจารย์ชั้นนี้มีแต่คนปากแข็งทั้งนั้นเลย พร้อมหรือเปล่า (ไม่พร้อม) ไม่พร้อม คนอยู่ข้างหลังบอกไม่พร้อม ลุกขึ้นยืนใหม่ เร็วดีหรือไม่ดี เร็วไปก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ ใจร้อนดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ช้าๆ ไม่ได้ก็หมายถึงรีบใช่หรือเปล่า จริงๆ แล้วยังไม่พร้อมเลย ความพร้อมเป็นเรื่องยากหรือเปล่า ความพร้อมเพรียง คิดเหมือนกัน ไม่แตกแยกเป็นเรื่องยากหรือไม่ยาก (ยาก) ยากเพราะว่าประกอบด้วยคนหลายๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราอยากให้ทุกอย่างพร้อมกันต้องทำอย่างไร ถ้าเราอยากให้พร้อมกันไม่ใช่เราบังคับคนอื่น แต่เราจำเป็นต้องบังคับตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฟ้ามีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว บนพื้นดินมีน้ำ ทะเล ภูเขา ยังมีความแตกต่างใช่หรือเปล่า นับประสาอะไรกับคน นับประสาอะไรกับบ้านเรา นับประสาอะไรกับที่ที่เราอยู่ นั่นก็ย่อมจะมีการแตกต่างกันบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่ามนุษย์มีความสุขและมีความทุกข์จากการที่ทุกๆ ที่เป็นสภาพรอบตัวบีบบังคับ บีบมากหน่อยก็ทุกข์มากหน่อย บีบน้อยหน่อยก็ทุกข์น้อยหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่อยากจะให้โลกนี้พร้อมเพรียง การที่อยากจะให้ทุกอย่างรอบตัวเราพร้อมเพรียงนั้น ไม่ใช่การไปบังคับผู้อื่น แต่ต้องมาบังคับตัวเราเอง อย่างเช่นบังคับให้ตื่นเช้า บังคับให้ดื่มน้ำ อย่าดื่มเหล้า บังคับให้ดื่มน้ำเปล่าอย่าดื่มน้ำสี บังคับให้นั่งให้ตรงอย่าเอกเขนกนอน บังคับให้เรียบร้อยอย่าไม่สุภาพ บังคับให้พูดให้ดี บังคับให้ทำให้ดี บังคับให้คิดให้ดี อันนี้บังคับยากไหม (ยาก) แล้วเรื่องเหล่านี้ เป็นการบังคับตัวเอง ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แต่แม้กระทั่งบังคับง่ายๆ อย่างนี้ คนทำได้หรือเปล่า คนก็ยังทำไม่ได้ เราไม่สามารถบังคับใจเราได้ เพราะอะไร เพราะเรานั้นมัวแต่รักตัวเองห่วงตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เรารักตัวเองด้วยวิธีการขี้เกียจ ด้วยการไม่ตั้งใจ อย่างนี้ถือว่าเป็นการรักตัวเองไหม (ไม่รัก)
เพราะฉะนั้นต้องกลับไปดูใหม่ บางทีนิสัยไม่ดีของเราเปลี่ยนไม่ได้ ความคิดไม่ดีของเราเปลี่ยนไม่ได้ บางทีการกระทำไม่ดีของเราเปลี่ยนไม่ได้ เราเปลี่ยนไม่ได้เพราะเรารักตัวเองมาก เรากลัวเจ็บ กลัวที่จะทำไม่ได้ กลัวที่จะไม่สมหวัง เรามัวแต่ขี้เกียจ เรามัวแต่ที่จะไม่ตั้งใจ เพราะว่าเรารักตัวเองมากเกินไป เราก็ไม่กล้าที่จะเปลี่ยน แต่ถามว่าจริงๆ ต้องรักตัวเองหรือเปล่า คำว่า “รักตัวเอง” ที่ทำแบบนี้ไม่เรียกว่ารัก ถ้ารักตัวเองจริงต้องขยันและต้องตั้งใจใช่หรือไม่ (ใช่) รู้ว่าสิ่งใดดีจงเอาสิ่งนั้นมาใกล้ตัว รู้ว่าสิ่งใดไม่ดีก็เอาสิ่งนั้นออกไป ง่ายไหม
“คนนั้นทิ้งทั้งทั้งที่ไม่เสีย คนนั้นเสียทั้งทั้งที่ไม่ป่วยไข้”
คนป่วยก็ไม่ป่วย ไข้ก็ไม่ไข้ แต่เรานั้นเป็นคนที่เสียคน คือไม่รู้ว่า สิ่งใดควรทิ้ง สิ่งใดควรเก็บ บางคนชอบกินเหล้า บางคนชอบสูบบุหรี่ บางคนชอบเล่นการพนัน ถามว่าคนนี้เสียไหม คนนี้เสียคนแล้ว เขาไม่ได้เสียร่างกายพิการแขนขา เขาไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมาย เขาก็ยังเดินเหินไปมาได้ ถามว่าวันนี้เรามองตัวเองแล้วรู้สึกว่าเราเสียไหม (เสีย) ส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน แต่เป็นข้อเสียที่เล็กๆ น้อยๆ พอที่จะแก้ไขได้ใช่หรือไม่ (ใช่) และการบำเพ็ญก็คือการแก้ไขจากการบิดเบี้ยวให้กลับมาเที่ยงตรง แก้จากสิ่งที่เกินพอดีให้มาเป็นพอดี และการบำเพ็ญธรรมทำให้เรากลับสู่ธรรมชาติ
ฉะนั้นการที่เรามานั่งฟังธรรมะในวันนี้ ธรรมะเป็นเรื่องง่าย แต่ว่าคนนั้นก็ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่การที่ทำได้บ้างทำไม่ได้บ้าง กับการไม่ทำเลย อะไรดีกว่ากัน (ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง) ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ยังดีกว่า
วันนี้อาจารย์มีลูกศิษย์ที่อยู่ในวงการธรรมมากมาย ลูกศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นประเภททำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่อาจารย์ก็รู้สึกว่าศิษย์พยายาม หากว่าพยายามแล้วขาของศิษย์ก้าวพ้นจากนรกขึ้นมาสู่สวรรค์ ขาของศิษย์ก้าวจากสวรรค์ไปสู่นิพพานได้ คนที่ได้ดี ก็คือตัวศิษย์เอง แต่หากว่าศิษย์ไม่ทำเลยศิษย์จะเป็นอย่างไร
เราอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ครอบครัวก็ดี สามีก็ดี ภรรยาก็ดี ลูกก็ดี เงินทองก็มี มีความสมหวังในชีวิตมากมาย แต่ถามว่าเป็นอย่างนี้ดีไหม ถูกลอตเตอรี่ หรือถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเอาไหม สามี ภรรยาและลูกไม่มีใครมีอายุเกินร้อยปี จะอยู่นิ่งกับที่ได้หรือไม่ (ไม่ได้) ตัวเราเองก็ยังต้องตายไปเหมือนกัน มีเงินทองกองโตสำคัญไหม เงินทองใช้แล้วหมดไป แต่ใจใช้ได้ไม่มีหมด ถ้าหากชาตินี้ศิษย์ของอาจารย์มีเงินทองมาก ศิษย์ก็ไปติดกิเลสมาก ติดตัณหามาก ยิ่งได้สมหวังมากๆ ยิ่งหลงระเริงกับชีวิตของตนเองมาก คิดจะให้คนที่สบายๆ มาทวนกระแสโลกีย์ไม่มีทาง คนที่จะทวนกระแสโลกีย์ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ลำบาก
ฉะนั้นในสายตาของเบื้องบน ในสายตาของอาจารย์คนที่ลำบากเท่านั้นที่จะบรรลุเป็นพุทธะได้ ส่วนคนที่สบายก็ไหลตามน้ำไป ไหลตั้งแต่ที่สูงไปยังที่ต่ำ แล้วตอนนี้เราลำบากอยู่หรือเปล่า ถ้าหากว่าเป็นคนลำบากอยู่ก็ถือว่าเป็นคนโชคดีใช่หรือไม่ (ใช่) หลายคนเป็นคนโชคดีเพราะส่วนใหญ่ชีวิตของเราลำบาก ส่วนคนที่สบายอยู่ก็ต้องรู้จักมีสติมากหน่อย มีคนมาให้ใช้ก็อย่าเผลอไปเอ็ดเขา มีเงินใช้ก็อย่าเผลอให้เงินมาใช้เรา มีงานทำก็อย่าเผลอให้งานทำเรา
ไหนใครมั่นใจว่าตัวเองฟังธรรมะรู้เรื่องเชิญนั่งลง (ไม่มีนักเรียนนั่งลง) ไหนว่าเมื่อยไง ตกลงไม่มีใครเมื่อยเลย ใช่หรือเปล่า ไหนใครว่าตัวเองฟังธรรมะรู้เรื่องนั่งลง (นักเรียนทั้งหมดนั่งลง) ทำไมเปลี่ยนเป็นนั่งหมดเลย จริงๆ แล้วก็แอบดีใจที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นรู้จักตัวเองว่า ตัวเองนั้นไม่รู้เรื่อง แต่ก็แอบเสียใจว่าทำไมถึงนั่งเร็วจัง
การศึกษาธรรมะนั้นไม่สามารถอาศัยเวลาสองวันหรือสามวันจะสามารถรู้เรื่องได้ จริงหรือไม่ (จริง) การฟังธรรมะไม่ใช่ใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่การศึกษาธรรมะต้องอาศัยวิธีการน้ำหยดลงหินทุกวันหินกร่อน จึงจะสามารถ มีความเข้าใจมากขึ้น หินอันนี้คืออะไร หินอันนี้ก็คือกิเลสของเราซึ่งเป็นอุปสรรคขวางจิตของเรา เพราะฉะนั้นการเอาธรรมะหยดลงไปทุกวันๆ ก็เพื่อให้ทะลุกิเลสนี้เข้าไปถึงดวงจิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราฟังไม่รู้ ก็ให้ยอมรับว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง ก็ให้เราศึกษาและทำความเข้าใจ บ่อยครั้งแม้บางเรื่องที่เรารู้แล้ว หลายๆ คนบอกว่ารู้แล้ว แต่ว่ารู้จริงหรือเปล่า คนรู้จริงคือคนที่ลงมือทำเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถรู้ทฤษฎีด้วยตำราเล่มใดๆ ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่หากว่าไม่ลงมือปฏิบัติเลย ก็ไม่สามารถเป็นผู้รู้ได้
เพราะฉะนั้นคนที่รู้ ก็คือคนที่ลงมือทำ จึงหวังว่าการที่ศิษย์นั้นมานั่งฟังธรรมะสามวันนี้จะเป็นขั้นเริ่มต้นของการบำเพ็ญ ต่อไปยังต้องเจียดเวลากลับมาศึกษาบ้าง อาจารย์ไม่บอกว่าให้ศิษย์ทุกคนไปบวช แล้วก็ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์ทุกคนหันหลังหนีจากโลกีย์วิสัยที่ศิษย์เป็นอยู่ เพียงแต่ว่าคนที่ยังบำเพ็ญในครัวเรือน หรือบำเพ็ญในโลกีย์วิสัยนั้น ทำให้ตัดกิเลสได้ลำบากมาก ฉะนั้นเราจึงต้องมีความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่ออกบวชเสียอีก เราจึงจะสามารถชนะกิเลสในตนได้ ชนะนี้มิได้ชนะสิ่งอื่นได้ มิได้ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม แต่ต้องการให้ใจของตัวเองนั้นกลับคืนสู่ธรรมชาติเร็ววันขึ้น กลัวแต่ว่าเวลาที่เราไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่บีบคั้นแล้ว เราก็จัดการเรียงลำดับให้ธรรมะอยู่ท้ายสุดในการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในการดำรงชีวิต จัดการเรื่องปากท้องเป็นอันดับหนึ่ง จัดการความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอันดับสอง จัดการเรื่องชีวิตที่ดีกว่าเป็นอันดับสาม จัดการเรื่องความต้องการทางใจเป็นอันดับสี่ และจัดการเรื่องธรรมะไว้เป็นอันดับห้า อาจารย์ต้องการให้ศิษย์รู้ว่าธรรมะนั้นคือธรรมชาติ
ฉะนั้นธรรมะสามารถแทรกซึมอยู่ในทุกที่และทุกเวลา สามารถแทรกอยู่ในระหว่างศิษย์และบุคคลอื่นได้ บางคนนั้นเป็นคนดี เวลาที่เขาอยู่กับผู้อื่น ผู้อื่นยกย่องว่าเขาเป็นคนดี ถามว่าคนนี้มีธรรมะหรือเปล่า คนนี้ก็มีธรรมะเพราะว่าคนอื่นยกย่องให้เขาเป็นคนดี คือเขาทำดีกว่าคนอื่น แต่ว่าในวันนี้เราไม่ได้พูดถึงธรรมะของการเป็นคนดีเท่านั้น แต่เรากำลังพูดถึงธรรมะที่พาให้คนนั้นหลุดพ้นได้ ฉะนั้นถามว่าธรรมะที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญไหม (สำคัญ)
ธรรมะที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันก็คือธรรมะที่เราศึกษาและประยุกต์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้เรากลายเป็นคนดีได้ แต่ว่าสิ่งที่เราศึกษานั้นไม่ใช่เพียงให้ศิษย์เป็นคนดีขึ้น แต่ต้องการให้ศิษย์นำพาตัวเองไปสู่ความหลุดพ้น คือพ้นทั้งความทุกข์และความสุขไปด้วย ไม่มีความทุกข์และไม่มีความสุขด้วย ไหวหรือเปล่า (ไหว) ความสุขนี้ก็เหมือนกับความสบายในชีวิต มันตัดยากเย็นแสนเข็น อาจารย์จึงบอกว่าคนที่ติดอยู่ในความสบายนี้ พ้นยาก ไปยาก แต่ถามว่าไปยากต้องไปไหม ไปยากก็ต้องไป ความสุขมากมายที่อยู่ในชีวิตนี้สามารถติดตัวไปได้หลังความตายหรือเปล่า ยิ่งสุขเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์เท่านั้น เพราะฉะนั้นการหลุดพ้นก็คือพ้นไปจากความสุขด้วย พ้นไปจากความทุกข์ด้วย
ฉะนั้นความสุขที่มีในชีวิตนี้อย่าเสียดาย ให้แปรความสุขที่มีเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นการสร้างบุญกุศล อย่าถือโอกาสว่าเรามีสุขก็สุขอยู่เพียงผู้เดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) หรืออย่าถือโอกาสว่าเรามีทุกข์แล้วเห็นผู้อื่นสุขไม่ได้ เราก็ต้องให้เขาทุกข์ด้วย อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี) เรามีสุขแล้วให้ผู้อื่นสุขด้วย เรามีทุกข์แล้วทำอย่างไร (ดับทุกข์ด้วยตนเอง, ปล่อยวาง, ทำให้ตัวเองพ้นทุกข์และไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ไปด้วย)
(พระอาจารย์เมตตาถามหัวหน้าชั้น) ได้เจอทางหรือยัง (ยัง) ได้ทำทางหรือยัง ได้เดินทางหรือยัง (ได้ครับ) แน่ใจหรือเปล่า ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว (36ปี)
อย่าเหมาว่าการที่ศิษย์ได้เจออาจารย์ ได้รับธรรมะเป็นหนทางที่จะทำให้ศิษย์หมดทุกข์ เพราะว่าอาจารย์ให้หนทางพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแต่อาจารย์ไม่ได้ให้หนทางการพ้นทุกข์ เวลาศิษย์ของอาจารย์มองธรรมะ บางคนนั้นมองธรรมะเป็นเพียงเกราะคุ้มกันภัย คือมีธรรมะแล้วปลอดภัย เพราะอาจารย์จี้กงศักดิ์สิทธิ์มาก บางคนก็มองธรรมะเป็นเพียงธรรมะเพื่อใช้ในชีวิตของตนเท่านั้น แต่สิ่งที่อาจารย์ให้นั้นไม่ใช่ใช้ดับทุกข์ธรรมดาๆ ไม่ใช่เอาไว้ดับทุกข์ตอนที่ทะเลาะกับแฟน ไม่ได้เอาไว้ดับทุกข์ตอนที่ไม่มีสตางค์ใช้ ไม่ได้ใช้ดับทุกข์ตอนที่ตัวเองบาดเจ็บหรือป่วยไข้ ไม่ได้ดับทุกข์แบบนี้ ทุกข์ที่เรามีคือทุกข์ที่เกิดจากการเวียนว่ายตายเกิด คือทุกข์ที่ชาตินี้เกิดมาเป็นคนแล้วไม่มีทางออกจากสังขารนี้แล้วหลุดพ้นไปเป็นพุทธะได้ อาจารย์ให้ทางเส้นนี้เพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด กลัวแต่ว่าศิษย์ของอาจารย์มองว่า ฟ้ามันสูง สวรรค์มันไกล นิพพานเอื้อมไม่ถึง แล้วไม่ทำ มาสถานธรรมก็เพียงไหว้พระเพียงแต่ว่าขอๆ แล้วก็กลับไป อย่างนี้จะได้อะไรไหม อย่างนี้ให้อาจารย์ช่วยแทบตายก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ของอาจารย์รับธรรมะไปแล้วไม่ปฏิบัติธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถามว่า เมื่อทุกข์แล้วทำอย่างไร จริงๆ แล้วเวลามีทุกข์ให้ทำให้ง่ายคือทำอะไร (ทำใจ) ถ้าหากว่ามีทุกข์ให้ทำใจ เพราะว่าความทุกข์บางเรื่องในโลกนี้ บางเรื่องเป็นทุกข์ที่แก้ได้ บางเรื่องเป็นทุกข์ที่แก้ไม่ได้ เพราะอะไรถึงแก้ไม่ได้ก็เป็นธรรมชาติ บางเรื่องแก้ไม่ได้เพราะอาจจะไม่ถึงเวลา หรือบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้ เพราะว่าคนแก้ไม่ใช่ตัวเราแต่เป็นใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนอย่างเช่น ถ้าหากว่าคู่ชีวิตของเราอยากมีแฟนใหม่ แก้ได้ไหม มีสองคำตอบ บางคนบอกว่าแก้ได้ เพราะรู้ว่าตัวเองขี้บ่น บางคนบอกแก้ไม่ได้เพราะว่าใจเขาไม่ได้อยู่กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องปัญหาในบ้านมีตั้งมากมาย ตามทฤษฎีแล้วบ้านมีความรักเป็นศูนย์กลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าปัจจุบันนี้บ้านมีเราเป็นศูนย์กลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) วันไหนเราหน้าบึ้ง วันนั้นบ้านร้อน วันไหนเราหน้ายิ้ม บ้านเย็นด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นอยากให้บ้านมีความสุขก็ต้องทำจิตใจของตัวเองให้เบิกบาน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนที่เรามีความทุกข์ ถ้าหน้าเราบึ้งกับหน้าเรายิ้ม ผลของความทุกข์ออกมาเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) ถ้าเราหน้าบึ้งเรื่องก็หนักหนา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราหน้ายิ้มแม้เรื่องยังแก้ไม่ได้ แต่ก็ยังสบายใจกว่า
ในโลกนี้เมื่อยามมีปัญหาต้องมีผู้ให้กำลังใจ โลกต้องมีผู้ให้กำลังใจและผู้ให้กำลังใจนั้นต้องเป็นใคร (ตัวเราเอง) จะบอกว่าเราขาดกำลังใจ อยากได้กำลังใจจากผู้อื่น ถามว่าเราเคยให้กำลังใจใครไหม เรามักจะให้กำลังใจไม่จริง เรื่องก็เลยไม่ดีขึ้น เวลาอารมณ์เสียให้พูดดีได้ไหม (ไม่ได้) ต้องบอกว่าได้ เพราะว่าอารมณ์เสียแล้วพูดดีนั้นคือ กำลังใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะปัญหาทำให้อารมณ์เสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครเคยอารมณ์เสียบ้างยกมือขึ้น เวลาเราอารมณ์เสียเราก็รู้อยู่แล้วว่าเหมือนม้าพยศ ดึงเท่าไรก็ไม่อยู่ เวลาที่เราอารมณ์เสียเราก็มักจะพูดดีไม่ค่อยเป็น ใช่ไหม (ใช่) เวลาที่เราพูดไม่ดีออกไปก็ยิ่งไม่ดีใหญ่เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำอย่างไรล่ะ
อาจารย์เป็นคนขำขัน ศิษย์อาจารย์เป็นคนคร่ำเครียด ใช่หรือเปล่า การเป็นผู้นำต้องมีอารมณ์ขันด้วย ถ้าหากว่าไม่มีอารมณ์ขันก็จะเครียดไปหมดเลย ใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์ทางเหนือก็ออกเรียบร้อย แต่เรียบร้อยแล้วเครียดหรือเปล่า อาจารย์จะบอกว่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งเครียด ไม่ถูกนะ บำเพ็ญแล้วจิตใจต้องเบิกบาน แต่ศิษย์อาจารย์เหมือนดอกไม้เหี่ยว ทั้งเหี่ยวทั้งหุบเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราก็เพียงรู้ว่าสิ่งใดที่ควรแก้ไข เราก็ไปแก้ไข ในการทำงานเราก็รู้ว่าสิ่งใดเป็นงานเราก็ตั้งใจทำ เมื่อโดนว่าผิดพลาดหรืออะไร เราก็แก้อีกทีหนึ่ง เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดอะไรก็ระวังหน่อย ทำอะไรก็ระวังหน่อย เท่านี้ก็นับว่าดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบำเพ็ญแล้วยิ่งเครียดจะทำให้ยิ่งห่างออกไป ถึงแม้ว่าตัวจะติดอยู่กับธรรมะ ไหว้พระทุกวัน แต่ว่าใจก็ห่างออกไป เพราะว่าใจไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนฟ้าตอนพระอาทิตย์ออกแต่กลับเหมือนฟ้าตอนฝนจะตก
ความเก่งของผู้นำไม่ใช่เก่งในเรื่องของการที่จะวางแผนงานให้ใครทำ แต่ความเก่งของผู้นำอยู่ที่ทำให้งานทุกอย่างประสานกัน ฉะนั้นการประสานกับการวางแผนไม่เหมือนกัน การวางแผนคือการที่เราต้องคิดๆ แต่การประสานคือการที่เราเชื่อมๆ เพราะฉะนั้นเราก็จะทุกข์น้อยลง ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ อารมณ์ดีๆ ไม่พอใจก็ไม่ต้องพูดเสียงดัง ใช่หรือเปล่า (ใช่) พอใจก็ไม่ต้องแสดงความดีใจจนเกินงาม เวลาไม่พอใจก็อย่าเสียงดัง ง่ายหรือไม่ อย่างไรก็ดีทุกคนก็ยังเป็นปุถุชนใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่ามกลางฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ คนนั้นเปรียบเสมือนเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ที่มีความเป็นมา มีประวัติเรื่องราวของตนเองอย่างมากมาย ชีวิตของศิษย์ก็มีเรื่องราวของตนเอง เรื่องราวของเรานั้นถ้าพูดไปสามวันสามคืนก็ไม่จบ มีทั้งเรื่องราวที่มีความสุข เรื่องราวที่เป็นความทุกข์ มีเรื่องราวที่เรานั้นไม่เคยเข้าใจเลยและก็มีเรื่องราวที่ทำให้เรานั้นเป็นไป เมื่อมองไปบนท้องฟ้าถ้าเทียบกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสง เราไม่เคยส่องแสงให้คนเลย มองไปบนพื้นดินที่ให้ต้นไม้ใบหญ้างอกงามมีแต่การเสียสละ เราเองก็ไม่เคยเสียสละให้ใครเลย ฉะนั้นเราจึงเปรียบได้ดังเม็ดทรายเม็ดหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าเราไม่รู้จักเรื่องของการเสียสละ เราจึงเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ เพราะว่าคนนั้นมัวแต่คิดถึงแต่เรื่องของตนเองตั้งแต่เช้าถึงค่ำ คิดแล้วคิดอีก ถามว่าคิดแล้วมีอะไรดีขึ้นมา ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกวันเราก็ยังจมทุกข์ อมทุกข์ เราก็ยังวนเวียนซ้ำซาก เราก็ยังมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักที่จะทำตัวให้ดีมากขึ้นด้วยการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญชีวิต
บำเพ็ญหมายถึงการซ่อมแซม คือให้เราซ่อมแซมในส่วนที่ขาดของเรา ส่วนไหนที่เกินก็ตัดทิ้ง ซ่อมเรื่องกิเลส อัตตา ตัวตน นิสัย ความยึดมั่นถือมั่น อารมณ์ ความขี้เกียจ ซ่อมในสิ่งที่เรารู้ และในสิ่งที่เราไม่รู้ ซ่อมอย่างนี้ซ่อมได้ไหม (ได้) บางคนบอกว่าผมขาวบนหัวแล้วยังต้องซ่อมอีกหรือ ธรรมะนั้นไม่ใช่เป็นของผู้ที่สูงวัยหรือว่าอ่อนวัย แต่ธรรมะเป็นของทุกคนไม่แบ่งเพศ แบ่งวัย ขอแต่เพียงทุกคนยังมีลมหายใจและยังมีใจดวงนี้เพื่อการเวียนว่ายตายเกิด ใจดวงนี้ต้องได้รับการซ่อมทั้งสิ้น
อาจารย์เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีภรรยาคู่นี้วันหนึ่งก็ได้รับของกำนัลมาเป็นยาอายุวัฒนะเม็ดหนึ่ง แล้วสองคนสามีภรรยากับยาอายุวัฒนะเม็ดหนึ่งจะแบ่งกันอย่างไร ยาอายุวัฒนะนี้ถ้ากินครึ่งเม็ดจะไม่ได้ผล แต่ว่ามีอยู่เม็ดเดียว โดยปกติแล้วภรรยาเป็นคนที่ค่อนข้างเก่งกว่า คือเสียงดังกว่า ควบคุมงานในบ้านเยอะกว่า คุมเงินก็เป็นภรรยาคุมตลอด สามีก็มีหน้าที่ใช้เงินแล้วไม่ได้เอาถ่านเท่าใด ปกติแล้วสามีก็เป็นผู้ยอมเสมอ แต่ยาอายุวัฒนะนี้ถ้ากินเข้าไปร้อยโรคหาย ถามว่าสามีภรรยาคู่นี้มีโรคไหม คนทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีโรคทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ปวดหัวเป็นโรคไหม (เป็น) ปวดหัวก็เป็นโรคแต่ไม่เกี่ยวกับความเครียดของเรา ใช่ไหม เกี่ยวหรือเปล่า สามีภรรยาคู่นี้ ร้อยวันพันปีไม่ได้ทะเลาะกันเพราะว่าสามียอมตลอด วันนี้มีคนส่งยาอายุวัฒนะมาเม็ดหนึ่ง ภรรยาก็ต้องการที่จะกิน สามีก็ต้องการที่จะกิน เป็นอย่างไรต่อ เดาได้ไหม สามีภรรยาคู่นี้ก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนฆ่ากันตาย นิทานเรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า สามีภรรยาทะเลาะกันมีกินก็ไม่ได้กิน
มีตอนต่อไปของเรื่องนี้ด้วย สามีภรรยาคู่นี้มีลูกชายอยู่สามคน คนหนึ่งชื่อโลภ คนหนึ่งชื่อโกรธ อีกคนหนึ่งชื่อหลง ลูกทั้งสามคนนี้ ก็ได้รับทรัพย์สมบัติจากพ่อแม่ สมมติว่าเป็นที่ผืนหนึ่งแล้วก็บ้านหลังที่ตนเองอาศัยอยู่ ของมีสองชิ้น คนมีสามคน หารไม่ลงตัว ของสองชิ้น คนสามคน คนหนึ่งจะเอาที่ดิน อีกคนจะเอาบ้าน แล้วอีกคนทำอย่างไร เขาจะยอมหรือไม่ยอม (ไม่ยอม) สามคนนี้ก็ทะเลาะกันอีก ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา ถึงกับฆ่ากันตายไหม มีสมบัติสองชิ้นจะมีอยู่คนหนึ่งไม่ได้สมบัติ คนนั้นก็ไม่ยอมใช่หรือไม่ (ใช่) นิทานเรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า พี่น้องทะเลาะกันแม้แต่เสาบ้านก็ไม่เหลือ ถามว่าในบ้านของเราเป็นอย่างนี้ไหม
นิทานอย่างนี้ อาจจะยังไม่เกิดในชีวิตของเรา แต่ว่าทุกที่บนโลกนี้ต้องการความเสียสละ ไม่ว่าอยู่ในฐานะเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นคนทำงาน ไม่ว่าเราเป็นใครบนโลกนี้ โลกนี้ก็ต้องการความเสียสละจากเราทั้งสิ้น คนที่เป็นผู้เสียสละย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีหรือเปล่า ก่อนที่เราจะมาพูดเรื่องของการทำดี ต้องมาพูดถึงเรื่องเลิกทำสิ่งที่ไม่ดีก่อน บางคนโดยพื้นฐานก็มีเรื่องราวที่เป็นเรื่องไม่ดีของตนอยู่ อย่างเช่นไม่กตัญญู ไม่ช่วยเหลือพี่น้อง ไม่รักเพื่อน ไม่มีสัจจะ เป็นคนชอบโกหก เป็นคนชอบลักขโมย เป็นคนที่หน้าอย่างหลังอย่าง ปากอย่างใจอย่าง เป็นคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้ามีผลประโยชน์มาตรงหน้าก็คว้าไว้ คนประเภทนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนที่ไม่ดี
เวลาเราพูดถึงเรื่องการทำดี ศิษย์ของอาจารย์ก็มีความรู้สึกว่าทำดีก็ดี แล้วก็อยากทำดีมากขึ้น แต่ว่าความดีล้างความไม่ดีได้ไหม ความดีนั้นไม่สามารถล้างความไม่ดีได้ สมมติว่าคนนี้ชอบเป็นคนที่ขี้ขโมย กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน แต่เป็นคนที่กตัญญู ถามว่าสองอย่างนี้รวมกันได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องการทำความดี เราต้องพูดว่าเราต้องเลิกทำสิ่งที่ไม่ดีของเราก่อน
วันนี้เราบอกว่าทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี ทำไมเราทำดีแล้วคนไม่เห็นค่า ทำไมเขาไม่สนใจ เรามักจะคิดอย่างนี้เสมอ เพราะว่าเราทำความดีบนพื้นฐานของนิสัยที่ยังไม่ดีของเรา เรามีนิสัยไม่ดีอยู่ แล้วเราก็ทำความดีเพิ่มขึ้นไป สมมติวันนี้ให้เอารูปสามเหลี่ยมพีระมิดมาตั้ง พีระมิดปรกติก็ต้องตั้งเอาฐานไว้ที่พื้น แต่วันนี้ให้ศิษย์ตั้งเอาฐานไว้ข้างบนยอดแหลมอยู่ข้างล่าง ถามว่าล้มไหม (ล้ม) แน่นอน ความดีของศิษย์ต้องล้มแน่ เพราะว่าเรามีฐานที่ไม่ดี คือเรายังมีความไม่ดีของเราอยู่ เราไม่แก้ความไม่ดี ความไม่ดีเราไม่พูดถึงไม่แตะต้อง แล้วเราก็ทำสิ่งที่ดี พีระมิดนี้ยิ่งกว้างเท่าไหร่ ยิ่งทำความดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งล้มง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะไปทำดี เราต้องรู้จักที่จะล้างในสิ่งไม่ดีในนิสัยของเราออกให้หมดก่อน เราต้องหยุดสิ่งที่ไม่ดีในนิสัยใจคอของเราให้หมดก่อน เราต้องล้างกิเลสของเราออกไปให้มากมาย ความดีของเราจึงเป็นคนที่ทำดีย่อมได้ดี เพราะไม่เช่นนั้นก็กลายเป็นคนที่นิสัยไม่ดีหรือมีความประพฤติไม่ดี จิตใจไม่ดี คิดอกุศลอยู่เสมอ เสร็จแล้วก็ทำความดีเข้าไป สรุปว่าคนนี้เป็นคนดีหรือไม่ดี (เป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้าง)
ฉะนั้นก่อนที่เราจะทำความดี ขอให้เราล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปก่อน น้ำกับน้ำมันอยู่ด้วยกันได้ไหม (ไม่ได้) น้ำกับน้ำมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องล้างอย่างหนึ่งทิ้งไปก่อน ไม่อย่างนั้นจะชมว่าคนนี้เป็นคนดี ก็ไม่กล้าชม จะเรียกว่าเป็นคนดีก็เรียกได้ไม่เต็มปาก แม้แต่ตัวเราเองถามว่าเป็นคนดีหรือเปล่า ศิษย์ของอาจารย์ยังตอบว่าดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เพราะตรงที่ไม่ดีบ้างไม่ได้ล้างไป แล้วตรงที่ดีบ้างก็ไม่เด่นชัด ฉะนั้นต้องล้างนิสัยที่ไม่ดีของตัวเองทิ้งไป จึงจะสามารถมีนิสัยที่ดีขึ้นมาใหม่ได้ การที่เราเปลี่ยนนั้น เปลี่ยนนิสัยของเราได้ เปลี่ยนใจคอของเราได้จริงๆ แล้วเปลี่ยนแค่ความคิดเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดอยู่ที่ไหน
“กึ๊ดใหญ่ใจสูง น้อมนำธรรมอยู่เคียง”
(คำว่า กึ๊ด เป็นภาษาเหนือ แปลว่า คิด)
ถ้าหากเราคิดโปรเจ็คใหญ่ๆ คิดเรื่องใหญ่ๆ ใจเราต้องสูง ไม่ใช่ใจใหญ่ ใจใหญ่คือเท่าไร ทุ่มหมดเลยใช่ไหม คิดใหญ่ๆ ใจของเราก็สูงด้วย
(อาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายหมายเลขสองและสามยืนขึ้น)
สองคนนี้หล่อไหม (หล่อ) คนหลายคนหรือว่าคนที่เป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด พอถึงเวลาเกิดมาแล้วไม่ทำดี เพราะเกิดมาเป็นคนหน้าตาดีแล้วไม่ยอมทำดี ถามว่าไม่ทำดีแล้วได้กลับไหม ไม่ทำดีก็ไม่สามารถกลับคืนไปสู่ที่ที่ตัวเองเกิดมา
อยู่กับอาจารย์อย่าเครียด เอาความเครียดโยนทิ้งดีหรือไม่ คนในโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนเครียดกันทั้งนั้น เครียดทั้งที่ตัวเองไม่รู้ว่าเครียดอะไร แม้กำลังเครียดอยู่ก็ต้องยิ้มออกมาใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราต้องรู้ตัวว่าเราเครียดเรื่องอะไร เราก็ไปหาเรื่องนั้น ว่าต้นสายปลายเหตุของความเครียดนั้นมาจากไหน เมื่อย้อนไปดูจนถึงที่สุดแล้วจะเห็นว่าเรื่องที่เครียดมาจากตัวเราเอง เพราะฉะนั้นการแก้ไขจึงไม่ใช่การแก้ไขผู้อื่นแต่เป็นการแก้ไขตัวเราเท่านั้น เมื่อเราแก้ไขตัวเราเองจะเปรียบเสมือนเราโยนหินลงน้ำ เมื่อโยนลงก็จะมีวงออกมา ฉะนั้นการที่เราไปหาต้นเหตุว่าเราเครียดจากอะไร เราเป็นทุกข์ร้อนอะไร ก็เหมือนกับเราปาหินลงน้ำ เมื่อเราคิดได้ วงของการแก้ไขก็จะกระจายออกไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราคิดไม่ได้ก็เหมือนกับเราปาก้อนหินไปที่ข้างฝาผนัง สุดท้ายหินก็เด้งกลับมาถูกตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาเจออุปสรรคเรื่องยากๆ เรื่องที่เราแก้ปัญหาไม่ได้แล้วเรารู้สึกท้อใจ ในทางพุทธสอนให้แผ่เมตตา การแผ่เมตตาไม่ได้ให้ไปกรวดน้ำ แต่ให้แผ่เมตตาที่จิต หากศิษย์อยากได้รับการช่วยก็จงช่วยผู้อื่น เป็นการแผ่เมตตาออกไป โดยเฉพาะคนที่เป็นศัตรู คนที่คิดร้าย คนที่ทำให้มีอุปสรรคติดขัด หรือคนที่ไม่ถูกกันกับศิษย์ ขอให้ศิษย์ช่วยเหลือเขา คิดดีต่อเขา และขอให้ศิษย์ช่วยเหลือคนทุกคนที่อยู่รอบตัวเราเท่าที่กำลังของเราจะมีอยู่นั้น นี่ก็เรียกว่าเป็นการแผ่เมตตาแล้ว บางทีคนบางคนไม่สามารถที่จะผ่านอุปสรรคติดขัดนั้นได้เลยเพราะว่าเป็นคนที่ไม่มีกุศล แต่ที่สำคัญใจก็ยังไม่เป็นกุศลด้วย คนคนนี้ก็ไม่เหลือทางรอดใด ๆ
ฉะนั้นเวลาที่เราทำขอให้เราหัดที่จะแผ่ความเมตตาของเราออกไป แผ่มือ แผ่ขา แผ่แขน การที่เราช่วยเหลือใครด้วยเงินทองนั้นดีไม่เท่าการช่วยด้วยแรง เหมือนคนที่มานั่งฟังธรรมะที่นี่ต้องมีคนล้างจาน ซักผ้า กวาดพื้น เก็บเก้าอี้ คนเหล่านี้เขากำลังแผ่ความเมตตาอยู่ ฉะนั้นแม้ว่าเราเพิ่งมานั่งฟังธรรมะแต่ถ้าหากเราเห็นทุกคนเป็นพี่น้องแม้ไม่ได้เกิดมาจากท้องเดียวกัน ทุกคนก็สามารถเป็นพี่น้องกันได้ เขาทำอะไรเราก็ช่วยเขาทำ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการสำนึกคุณ ถูกหรือไม่ (ถูก) ถือว่าเราเป็นผู้ที่มีจิตกุศล แล้วเราก็ช่วยเหลือ อย่างนั้นเราก็เป็นผู้มีกุศลมากขึ้น อย่าเป็นคนที่ขาดกุศล คือทำอะไรก็ติดขัดไปหมด แล้วยังเป็นคนที่ใจอกุศลด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ช่วยยาก
เห็นไหมว่าเวลาเราดูอะไร อย่าดูใกล้ ดูใกล้แล้วไม่เห็นใช่ไหม ปัญหาเรา เราดูใกล้ไม่เห็น ฉะนั้นเราต้องถอย เราถึงจะเห็นปัญหา ทุกวันนี้แทนที่เราจะเอาเรื่องดีๆ มากองไว้ตรงหน้า เราก็เอาปัญหามากองไว้ตรงหน้า ใช่หรือเปล่า แล้วเวลาเรามองมากเกินไป ลายตาไหม ถ้าเราอยากจะเห็นปัญหาว่าแก้อย่างไร ต้องทำอย่างไร ต้องถอยออกมาใช่หรือเปล่า แต่คนส่วนใหญ่เป็นเหมือนรถที่ใส่แต่เกียร์เดินหน้าไม่มีเกียร์ถอยเลย ใช่หรือเปล่า ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งยุ่งไปหมดเลย ฉะนั้นต้องใส่เกียร์ถอยบ้าง
อาจารย์เคยพูดไว้ที่หนึ่งบอกว่า “คนเก่งมักเหนื่อย คนฉลาดมักวิตก” แล้วก็จะขยายความต่อไปว่า คนที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะวิตก แล้วก็มักเหนื่อยด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าผู้หญิงนี่ทั้งอะไร (เก่ง, ฉลาด) ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่เกิดมาในปัจจุบันนี้เป็นผู้ที่ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด แต่ว่าความเก่งและความฉลาดนั้น ทำให้เราเอาตัวรอดไหม (ไม่รอด) ในสมัยโบราณกาลนั้นเขาจะให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง แต่สมัยนี้ผู้หญิงบอกว่า ขอเดินสี่เท้า จริงๆ แล้วโบราณทำได้ถูก ที่ให้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เพราะว่าทางด้านกายภาพ แต่ว่าผู้หญิงในสมัยนี้ เป็นเพราะว่าเรานั้นไม่อยากจะถูกกดขี่ เราก็เลยยกตัวเองขึ้นมาอยู่ด้านหน้า แต่ว่าเราอย่าลืมว่า ขอให้เรานั้นวิตกน้อยๆ แล้วก็อย่าทำงานจนเหนื่อย เพราะว่าสรีระของเรานั้นไม่เหมาะกับการทำงานหนัก เราก็จะป่วยง่าย สมัยนี้ผู้หญิงก็เลยป่วยง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ปวดเมื่อยมากกว่า ปวดหัวมากกว่า จริงหรือเปล่า (จริง) เป็นโรคปวดหัวก็เพราะว่าวิตกมากเกินไป วิตกมาจากอะไร ก็มาจากความฉลาดมากเกินไป และเราเหนื่อยมาก เหนื่อยก็มาจากเก่งมากเกินไป
อาจารย์ไม่ได้พูดเรื่องหัวโบราณ อาจารย์เอาเรื่องโบราณมาพูดให้ฟังว่าโบราณนั้น ทำไมเขาถึงไม่ให้ผู้หญิงออกหน้า ใช่หรือเปล่า แต่ว่าโลกสมัยนี้เปลี่ยนไปเป็นเพราะการปรกโปรดในยุคขาวนี้เป็นการปรกโปรดไปถึงสามัญชนทุกผู้ทุกคน ขอเพียงแต่เป็นคนดีย่อมได้รับการโปรด
ฉะนั้นคนที่มาฟังธรรมะส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง คนที่ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่นั้นก็เป็นผู้หญิง ซึ่งที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไปด้วย ผู้หญิงในสมัยนี้ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด แต่ว่าอาจารย์ก็ยังเป็นห่วง กลัวว่าความเก่งความฉลาดจะทำให้ศิษย์นั้นเอาตัวไม่รอด คนยิ่งเก่ง ยิ่งฉลาดก็ยิ่งน่ากลัว เพราะว่าป่วยก็ง่าย ท้อก็ง่าย เหนื่อยก็ง่าย แล้วก็ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มันเยอะแยะง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“โลกต้องหายใจตามเจ้าคนรักดีหายใจ”
โลกของเรานั้นกำลังหายใจอยู่หรือเปล่า โลกมีก๊าซ มีออกซิเจนโลกก็หายใจอยู่เหมือนกัน ถูกหรือเปล่า (ถูก) พูดให้เป็นวิทยาศาสตร์หน่อยก็คือ ทุกวันนี้คนมีปัญหายอดนิยมก็คืออะไร (โลกร้อน) ถามว่าโลกร้อนเพราะอะไร โลกร้อนเพราะว่าคนไม่รักษาโลกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่ามีคนไม่ดีทิ้งของ ใช้ของโดยฟุ่มเฟือย ทำให้โลกเดือดร้อน แต่ว่าอาจารย์จะบอกว่าโลกนี้หายใจตามคนที่รักดี คือคนที่ทำความดี ถ้าหากว่าเราเป็นคนดีเราก็ไม่ใช้ของฟุ่มเฟือย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราเป็นคนดีเราก็ไม่ทำให้โลกเดือดร้อน ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราก็ไม่ก่อภาวะที่ทำให้โลกเดือดร้อน ฉะนั้นโลกหายใจตามคนที่รักในความดี มีคนดีอยู่โลกก็หายใจอยู่ ถ้าหากคนทั้งโลกกลายเป็นคนไม่ดี โลกจะหายใจไหม โลกก็หยุดหายใจไปเลย
ธรรมะกับวิทยาศาสตร์และธรรมะกับโลกปัจจุบันนั้นก็ไปด้วยกันได้ เพราะว่ามีหลักการเหตุผลข้อเดียวกัน เพียงแต่ว่าศิษย์ของอาจารย์ก็มักจะคิดว่าธรรมะก็เป็นธรรมะ ในโลกสมัยใหม่ธรรมะเป็นของเชยล้าสมัย จริงๆ แล้วถ้าคิดอย่างนั้นอาจารย์ก็คงไม่กล้าเรียกให้ศิษย์วัยรุ่นทั้งหลายบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของคนทุกยุค ทุกสมัย ทุกอายุ ทุกวัย ทุกเพศ เพราะว่าทุกคนสามารถบำเพ็ญได้ และการบำเพ็ญของเราก็เหมือนการโยนก้อนหินลงน้ำ มีผลกระทบต่อวงกว้าง มีผลกระทบต่อทุกคน ฉะนั้นหินที่เราโยนลงไปในน้ำนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นคนดีโยนหินลงไปในน้ำกระจายวงมาก็เป็นวงดี ถ้าหากเราเป็นคนไม่ดีโยนหินลงน้ำ กระจายวงออกมาก็มีแต่เรื่องไม่ดี ถูกหรือไม่ (ถูก) ทุกวันนี้รอบตัวของเราดีหรือไม่ดี ก็ดูว่าเรานั้นดีหรือไม่ดี ถ้าเราไม่ดีเรื่องรอบๆ เราก็ไม่ดี ถ้าเราดีเรื่องรอบตัวเราก็ดี ฉะนั้นขอให้หมั่นทำสิ่งดี แล้วเรื่องรอบตัวของเราก็จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำง่ายไหม ไม่ต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบข้าง เพียงแต่เปลี่ยนตัวเราเอง
วันนี้อาจารย์มาที่นี่ อาจารย์มีความดีใจมากที่เจอศิษย์ทุกคน แล้วก็เป็นชั้นประชุมธรรมชั้นสุดท้ายในปีนี้ที่อาจารย์นั้นคงจะได้เจอศิษย์ที่บำเพ็ญธรรมที่อยู่ในเมืองไทยนี้ อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นจะเอาจริงเอาจัง บำเพ็ญธรรมด้วยความตั้งใจ รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรก็ต้องทำ รู้ว่าอะไรควรที่จะเลิกก็ควรเลิก บางทีศิษย์อาจจะไม่รู้ตัว คนเราบางทีผ่านไปสามวันห้าวัน บางทีเราไม่ได้ใส่ใจตัวเอง สามวันห้าวันก็เปลี่ยนเราเป็นคนละคนได้ ความคิดบางอย่างเป็นความคิดที่ชั่ววูบเดียว ก็สามารถเปลี่ยนวิธีคิดของเราทั้งคนได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นต้องรู้ว่าเรานั้นอย่าปล่อยให้เราคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อย่าปล่อยให้ตัวเองทำและไม่ทำอะไร อาจารย์นั้นมองศิษย์คนหนึ่งศิษย์คนนั้นหน้าตาเปลี่ยนไป เหมือนศิษย์เคยเจอเด็กคนหนึ่งเมื่อตอนสิบปีที่แล้ว สิบปีต่อมาเด็กคนนี้ก็หน้าตาไม่เด็กแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์ก็เหมือนกัน ทุกครั้งที่อาจารย์มาหาศิษย์ ศิษย์ของอาจารย์ก็มีริ้วรอยของความเครียดอยู่ มีริ้วรอยของความเติบโตอยู่ในหน้า มีริ้วรอยของความแก่ชราอยู่ในหน้า แต่ไม่รู้ว่าจิตใจของศิษย์นั้นบำเพ็ญไปถึงไหน ปล่อยให้ตัวเองคิดไป ทำไป คิดอะไรก็ทำไป ไม่มีการคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไร อย่างนี้ทำให้เราไหลตามกระแสน้ำเกินไป เราต้องรู้จักที่จะระมัดระวังตัวเอง สิ่งใดควรคิด ควรทำและควรพูด อย่าปล่อยให้ความคิด การกระทำ และคำพูดนั้นบงการเรา แต่เราต้องเอาจิตเป็นนายเข้าบงการความคิด การกระทำ และคำพูดของเรา เมื่อเราจะเปลี่ยนตัวเอง เราจงบอกตัวเองว่าเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ยิ่งเปลี่ยนยิ่งแย่ ไม่ใช่เปลี่ยนแล้วยิ่งเดินยิ่งยาก อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วศิษย์จะล้มหรือว่าศิษย์จะลุก ในตอนล้มอาจจะโดนคนว่าจนทำให้เราล้มลง ในตอนศิษย์จะลุกอาจจะมีคนให้กำลังใจศิษย์ลุกขึ้น ล้มลงไปเลย ลุกขึ้นมาเลย ก็คงไม่ใช่เรื่องที่มีความยาก แต่ที่ยากก็คือ ก่อนที่ศิษย์จะล้มลงเหมือนในตอนนี้ บางวันก็ใจเหี่ยวแฟบ บางวันก็ใจพองโต จะล้มก็ไม่ใช่ จะลุกก็ไม่ใช่ อย่างนี้เป็นคนที่ประคองยากกว่า อันว่าลุกไม่ใช่ ล้มไม่ใช่ อาจารย์ไม่รู้จะเยียวยาศิษย์อย่างไร ฉะนั้นในช่วงเวลาก่อนที่ศิษย์นั้นจะล้มลงไปนี้ อาจารย์ก็อยากประคองใจศิษย์ไว้ก่อน อยากให้รู้ว่าคนเกิดมาพร้อมปัญหา ขอเพียงอย่าสร้างปัญหาให้ตัวเอง อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่าน การบำเพ็ญธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก รูปแบบ อาจจะมาก กฎอาจจะมาก แต่ทุกอย่างนั้นถ้าหากว่าศิษย์รู้สึกว่ามันยากมากเกินไป อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นรักษาใจไว้ ใจที่มีธรรมะจะทำให้ศิษย์อยู่ภายใต้ธรรมะ ทำให้ศิษย์อยู่ในธรรมะ ให้ตัวศิษย์และใจศิษย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะ ซึ่งคงจะเดินง่ายขึ้น
อีกช่วงเวลาหนึ่งที่ยากคือก่อนที่จะลุกขึ้น เมื่อคนเราล้มแล้วลุกขึ้นเป็นเรื่องที่ยาก ก่อนที่ศิษย์จะลุกขึ้นนั้น อาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์ว่า “ลุกขึ้นมาเถอะ จะล้ม จะนอน จะนั่ง อยู่อย่างนั้นเพื่ออะไร“
วันเวลาผ่านไป เหมือนอย่างที่อาจารย์ตั้งชื่อเพลง “กายเหมือนศาลา” เราอยู่เราก็ไม่ได้อยู่ชั่วฟ้าดินสลาย ร่างกายนี้ก็มีสิทธิ์ป่วยไข้ ร่างกายนี้ก็มีแย่ วันหนึ่งเมื่ออยู่ไม่ไหวก็ต้องไป แต่เราต้องอยู่ให้คุ้มค่าทุกนาที ทุกเวลา ให้รู้ว่ากายนี้เป็นของชั่วคราวที่เรานั้นต้องไว้ใช้ทำประโยชน์ ไม่ใช่ไว้ทำผลประโยชน์ ประโยชน์และผลประโยชน์นั้นไม่เหมือนกัน อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นใช้กายนี้ทำประโยชน์ ไม่ได้ให้ทำผลประโยชน์ เพราะว่าผลประโยชน์นั้นทำให้คนทะเลาะกัน แตกแยกกัน โลกนี้เป็นเพียงทางผ่าน อาจารย์นั้นไม่กล้ารับประกันให้ใครเลยว่าหลังจากที่ศิษย์ผ่านไปจากโลกนี้ ศิษย์จะผ่านไปทางไหน เพราะว่าอะไร เพราะว่าใจศิษย์นั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ ขึ้นๆ ลงๆ วูบๆ วาบๆ เดี๋ยวรักเดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวไม่ชอบ เมื่อไหร่จึงจะสามารถตัดเรื่องเหล่านี้ไปจากใจได้ เมื่อไรจึงจะเข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อไหร่จึงจะตื่นขึ้นจากความฝัน
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังลืมตาอยู่ กำลังคิดอยู่ กำลังทำมาหากินอยู่ ทำไมอาจารย์ถึงให้ศิษย์ศึกษาธรรมเพราะว่าศิษย์นั้นไม่สามารถเข้าใจในชีวิตของตัวเองให้จริงจัง ความรู้มากมายที่ศิษย์มี ก็เป็นเพียงแค่ความรู้ในโลก เป็นสิ่งที่คนอื่นศึกษาต่อๆ กันมา ไม่สามารถรับประกันให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ คนยิ่งรู้ก็กลับยิ่งทุกข์ เพราะรู้มากก็ทุกข์มาก ฉะนั้นบางทีคนมองว่าเราโง่หน่อย มองว่าเราไม่รู้ เราก็อย่าเก็บมาไว้ในใจ ใครเขาจะว่าเราโง่ ใครเขาจะว่าเราบ้า ก็ขอให้ศิษย์นั้นสงบใจนิ่งๆ คำพูดคนเหมือนลมพัด พัดผ่านไปก็จบ ใจอย่าไปเกาะ อย่าไปเกี่ยวกับคำพูดของคนอื่น มันก็ไม่เจ็บไม่ร้อนไม่ป่วยไม่ไข้ เวลาเราพูดเรายังคิดไม่ได้ว่าเราทำให้คนอื่นเจ็บหรือเปล่า ฉะนั้นเราก็อย่าไปเจ็บในสิ่งที่คนอื่นทำให้เราเจ็บเลย
(พระอาจารย์เมตตาเปลี่ยนชื่อ เพลงจาก “กายเหมือนศาลา” เป็น “คนรักดี”)
อาจารย์ให้โอวาทไว้เป็นคำพูดใกล้เคียงกับที่นี่ คำว่า “ลมอุ่นละลายหนาวเย็น”
ลมอุ่น หมายถึง ความใจกว้าง น้ำใจไมตรี ที่สามารถละลายความหนาวเย็น อันได้แก่ ความโหดร้าย หน้ายิ้มแต่ใจแคบ ประหนึ่งคือความหวงความเป็นคนที่รักตัว คนใจกว้างนั้นจึงจะสามารถเป็นลมที่พัดพาไปได้ทุกที่ โดยที่ไม่คิดว่าคนที่เราพัดไปให้นั้นอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้ คนใจกว้างก็มักจะไม่คิดอะไร บางทีใจอาจารย์ก็คิดเหมือนกัน ที่อาจารย์สอนให้ศิษย์เป็นคนดีล้วนๆ นั้น อาจทำให้ศิษย์ถูกคนอื่นหลอกก็ได้ ซึ่งศิษย์เองก็เคยคิดแต่อาจารย์อยากบอกว่าอาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนฉลาดดูหน้าดูหลัง ศิษย์ก็คงไม่ถึงขนาดเอาคอไปให้เขาบั่น ฉะนั้นอาจารย์ก็สอนให้ศิษย์เป็นคนดี โดยที่ไม่ได้นำพาว่าศิษย์นั้นจะไปเจอใครบ้าง เพราะในโลกนี้แทบจะไม่มีคนดี เพราะว่าคนดีก็มีความไม่ดีซ่อนอยู่ในนั้น ฉะนั้นอาจารย์ก็ยังอยากให้ศิษย์เป็นคนดีให้ได้ ก่อนที่ศิษย์จะเป็นคนดี ขอให้ศิษย์นั้นละลายชำระล้างนิสัย กิเลสของตนเองให้เบาบาง ให้น้อยลงสักนิดหนึ่ง มิฉะนั้นก็จะทำให้ศิษย์เป็นคนดีได้ยาก
วันนี้อาจารย์ไม่ได้พูดด้วยสมอง อาจารย์มาพูดด้วยใจ ก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็อยากให้ศิษย์นั้นรับเอาความห่วงใยทั้งหมดจากอาจารย์ไว้ รับไว้เพื่อเอาไปเป็นกำลังใจให้ตัวเองเวลาเราถอย รับไว้เพื่อเอาชนะ เพราะบางทีศิษย์อาจไม่มีใคร แต่ก็มีอาจารย์ อาจารย์นี้ห่วงใยในจิตวิญญาณของศิษย์ กลัวศิษย์จะไม่พ้นในการเวียนว่ายตายเกิดในครั้งนี้ อย่าปล่อยให้ชีวิตจิตใจของศิษย์นั้นทรมานมากไปกว่านี้ อย่างน้อยคนที่มีธรรมะ คือทุกๆ วันมีความสุข หรือหากศิษย์มีความสุขไม่ได้ก็ขอให้มีความสงบ หากศิษย์มีความสงบไม่ได้ อาจารย์นั้นก็อยากให้ศิษย์ใจนิ่งๆ อาจารย์อาจไม่ได้ช่วยอะไรศิษย์มากแต่อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์รู้ว่าหากว่าโลกนี้ไม่มีใคร ให้คิดว่ามีอาจารย์รอศิษย์อยู่นะ บำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจให้มากๆ อย่าให้อาจารย์ผิดหวังนะ
วันจันทร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ทุกข์เอยเจ้าอยู่แห่งไหน ไยคนกลัวเจ้าเหลือที่
ข้ามีเจ้ามาแรมปี เจ้านี้ก็คือเพื่อนใจ
เจ้าสอนข้ารู้ความจริง ในสิ่งที่คนสงสัย
เจ้าก็คือข้านั่นไง อาศัยด้วยกันมานาน
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหงเต้าอีกที แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านอิ่มไหม
มั่งมีก็ยังว่าพร่อง เก่งพร่องก็ยังมีติ
สิ่งใดสมบูรณ์ลองคิด มิผิดก็คือว่างไง
แต่ใครอยากมีความว่าง กลัวว่างกันจนใจไร้
จึงมีกันจนมากไป ถมใจไม่เต็มเสียที
รู้พอจึงพบสงบ ใจนบน้อมที่พอดี
เรียบง่ายจึงรู้เสรี สุขนี้จึงอยู่ไม่ไกล
มีไร้เกิดจากเปรียบเทียบ ถ้าเปรียบมากก็ยิ่งไร้
พอเปรียบน้อยกว่าเป็นไง สุขใจขึ้นมาทันที
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเป็นวันสุดท้ายของการศึกษาหลักธรรมะไหม (ไม่เป็น) ขอให้ไม่ใช่นะ มีโอกาสคงกลับมาศึกษาอีก ดีหรือเปล่า (ดี) สิ่งที่ดีๆ ทำไมมนุษย์กลับไม่ค่อยปรารถนา ใช่ไหม (ใช่)
ชีวิตคนไม่แน่นอน เดี๋ยวมีขึ้นแล้วเดี๋ยวก็มีลง เดี๋ยวมีดีแล้วก็มีร้าย ตราบใดที่ยังเรียกว่าชีวิต การผันผวนเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ขึ้นชื่อว่าชีวิตก็ต้องเป็นสิ่งที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ เมื่อไรที่ไม่เคลื่อนไหว นั่นเรียกว่าความตาย ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นคนเราไม่ได้กินอย่างเดียว กินเสร็จแล้วยังต้องทำงาน ทำงานเสร็จแล้วยังต้องพักผ่อน ไม่ได้นั่งอย่างเดียว นั่งแล้วยังต้องยืน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว สิ่งที่เราต้องระมัดระวังก็คือการมีสติควบคุมในการดำเนินชีวิต เพราะว่าถ้าชีวิตมีความผิดพลาดขึ้นมาแล้วก็ยากจะแก้ไข ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะคนเราถ้าผิดบ่อยๆ แล้วไม่น่าดู ผิดแรกก็พอให้อภัย แต่ถ้าผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก คนก็มักจะอภัยให้ไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาแป๊บเดียว มาช่วงชิงเวลาแป๊บเดียว เพราะวันแรกยังคุยกับท่านไม่จบแล้วต้องรีบกลับ จำได้ไหม เราคุยกับท่านว่าอย่างไรบ้าง เราคุยกับท่านเรื่องคนขายโลงศพ กับคนขายรถ ฉะนั้นภาวะภายนอกก็มีผลกับภาวะภายในจิตใจของเรา สังคมภายนอกปั่นป่วนยุ่งเหยิง บางทีการเข้ามาอยู่ในสถานธรรม ในที่สงบก็ทำให้จิตใจของเราสงบขึ้น แล้วชีวิตของเราต้องการความวุ่นวายหรือความสงบ (ความสงบ) มนุษย์ทุกคนปรารถนาถึงความสงบแต่ทำไมกลับต้องการอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเราต้องรู้ตัวรู้ใจแล้วพยายามทำในสิ่งที่ใจเราต้องการ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
บางครั้งการอยู่ในโลก การตามใจตนเองก็เป็นสิ่งที่ดีแต่บางครั้งก็ต้องรู้จักฝืนใจตนเองบ้าง ถ้าไม่รู้จักฝึกฝืนใจตนเองบ้าง คนที่ทำตามใจตนเองบ่อยๆ มักจะทำให้เสียนิสัย อย่างเช่นตามใจตนเองบ่อยๆ เอาแต่นอนไม่อยากทำงานก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจ เอาแต่พูดไม่รู้จักหยุดก็จะกลายเป็นคนขี้โม้ มีแต่ขี้ทั้งนั้น ชอบไหม (ไม่ชอบ)
มนุษย์ทุกคนกลัวความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครชอบความทุกข์บ้าง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชอบเพราะถ้าไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไม่มีเวไนยสัตว์ ฉะนั้นผู้ที่ข้ามฝั่งทะเลทุกข์ได้ จากเวไนยก็กลายเป็นพุทธะ ผู้ที่สามารถรู้แจ้งความทุกข์ได้ จากเวไนยก็กลายเป็นโพธิสัตว์ แล้วทำอย่างไรให้มนุษย์ข้ามฝั่งทะเลทุกข์ไปค้นพบความแท้จริงอันเป็น นิรันดร์ แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ข้างนอกหรือไม่ (อยู่ที่ใจเรา) แล้วใครเป็นคนทำให้ทุกข์นั้นกลายเป็นเรื่องที่ยาก แล้วใครทำให้ทุกข์กลายเป็นเรื่องที่ง่าย (ตัวเราเอง) แล้วทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเรากำหนดสุข ความทุกข์ก็อยู่ด้านตรงข้ามของสุข ใครมีสุขอย่างหนึ่งก็จะมีทุกข์อย่างหนึ่งที่เป็นด้านตรงข้าม
ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่กำหนดสุขเราจะมีทุกข์หรือไม่ แล้วจะมีทะเลที่ต้องข้ามหรือไม่ (ไม่มี) พูดง่ายๆ ถ้าเราไม่มีอะไรที่เราชอบแล้วจะมีอะไรที่เรียกว่าชัง เมื่อชอบชังไม่มี แล้วอะไรคือความทุกข์ ถ้าไม่มีตัวตน ทุกข์อยู่ที่ไหนและใครคือคนที่ทุกข์ จริงไหม เพราะมีตัว เพราะมีชื่อ เพราะมีของๆ เรา เพราะมีอันนี้ของเรา อันนี้ไม่ใช่ของเรา อย่างเช่น เมื่อเกิดระเบิดขึ้นมา ถ้าบอกว่าเป็นผู้อื่นที่โดน บ้านอื่นที่โดน เราก็จะรู้สึกรอด ปลอดโปร่งทันที
ฉะนั้นสาวไปให้ถึงที่สุด ถ้าไม่มีตัว ไม่มีตน เราจะมีทุกข์ไหม ถ้าไม่มีอารมณ์ชอบชังผูกมัด ความทุกข์และความสุข จะอยู่ที่ใด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าพูดกันไปจนถึงที่สุด ตัวตนอยู่ที่ไหน และอะไรเรียกว่าตัวตน ร่างกายนี้หรือ ใช่ไหม ถึงที่สุดก็มาจาก ดิน ลม ไฟ น้ำ ใช่ไหม (ใช่) แล้วอะไรที่เป็นตัวตน เรามารู้ทีหลังตอนที่มีร่างกาย พอมีร่างกายเราก็เริ่มรู้จักคน เริ่มเรียนรู้ เราเริ่มกำหนดว่าแบบนี้เรียกว่าหน้าฉัน แบบนี้เรียกว่านิสัยของฉัน ยิ่งมนุษย์กำหนดความเป็นตัวตนมากเท่าไร มนุษย์ก็มีความทุกข์มากเท่านั้น ยิ่งมนุษย์จำกัดขอบเขตชีวิตของตัวเองด้วยความเป็นตัวตนมากเท่าไร การที่จะรองรับสรรพสิ่งในโลกก็น้อยลงเท่านั้น จริงไหม (จริง)
ถ้าถามว่าเราเป็นยังไงบ้าง ก็จะตอบว่าไม่รู้สิ เป็นฟ้ากว้างบ้าง หรือบางทีก็เป็นดิน หรือบางทีก็เป็นน้ำ ไม่รู้เหมือนกัน แบบนี้ดีกว่าไหม (ดี) แต่เมื่อไรเราบอกว่า “ฉันนะเป็นคนที่ถ้าจะดีต้องดีที่หนึ่ง ถ้าจะเก่งต้องเก่งเป็นหนึ่งไม่รองใคร” พอเรากำหนดแล้ว เราได้เป็นที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า เราคงแย่ เพราะชีวิตนี้ที่หนึ่งมีแค่ที่เดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราต้องวิ่งแข่งกับเขาอีกตั้งเท่าไร จริงไหม (จริง) ที่มนุษย์เรียกว่ามีฟ้าก็ต้องมีคนเหนือฟ้า ใช่หรือเปล่า (ใช่) มนุษย์อยากเป็นที่หนึ่งอยากมั่งมีก็ต้องมีที่สุด ถ้าอยากยิ่งใหญ่ก็ต้องใหญ่ที่สุด แต่พอไปถึงที่สุดแล้วจะรักษาความที่สุดได้นานแค่ไหน จริงไหม (จริง) เธอรักฉันต้องรักที่สุด รักฉันต้องเป็นหนึ่งอย่ามีสอง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) มีใครกินข้าวคำเดียวไม่กินคำที่สองอีก ถ้าอร่อยยังต้องกินสองคำ สามคำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าว่ากันไปให้ถึงที่สุดแล้ว เรากำลังทุกข์กับอะไร ทุกข์กับสิ่งที่เราพยายามมีตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) มีเจ้าข้าวมีเจ้าของทั้งที่ถึงเวลาแล้วตัวตนนี้ เจ้าข้าวเจ้าของนี้ก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้นั่งเมื่อยเหลือเกิน อะไรเมื่อย ก้นเมื่อยไหม แต่ถ้ายืนขึ้นแล้วก็นวดๆ เดี๋ยวก็หายแล้ว ใช่ไหม (ใช่) เวลาดูทีวีโดยยืนดูตั้งนานเป็นชั่วโมงๆ มัวเพลิน ก็ไม่รู้หรอก จนกระทั่งดูจบ ถึงจะรู้สึกว่าเมื่อยจังเลย ใช่ไหม (ใช่) ดูจนลืมตัวลืมตน พอนึกได้ยืนจนเมื่อย แต่ตอนที่ยืนอยู่ไม่รู้สึก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นบางทีลืมตัวลืมตนบ้างก็ดีนะ ทำให้เราทุกข์น้อยลงไปเยอะเลย จริงหรือเปล่า (จริง) ที่ว่ากันไปให้ยากมนุษย์อยากหลุดพ้นนั้น ไม่ได้ยากเลย ลองสาวไปถึงที่สุดสิ เราทุกข์เพราะอะไรล่ะ เพราะเราอยากมีสุข สิ่งที่ไม่ใช่สุขก็คือทุกข์ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าไม่มีสุขมันจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)
ฉะนั้นก็อย่ากำหนดสุข เรามีชีวิตอะไรก็ได้ รู้พออะไรก็ได้ แล้วเราจะทุกข์อะไรใช่หรือเปล่า แต่เพราะเราบอกว่าสุขต้องเป็นอย่างนี้ พออะไรที่ไม่ใช่สุขเราก็เลยทุกข์ ถูกไหม (ถูก) ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ไม่มีอะไรที่เราชอบ แล้วไม่มีอะไรที่เราชัง สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มีแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วคนที่ชอบ คนที่ชัง คนที่กำหนดว่าต้องมีสุขมีทุกข์คือใคร (ตัวเรา) แล้วถ้าถึงเวลาจริงๆ ไม่มีตัวเรา แล้วทุกข์กับสุขจะอยู่ตรงไหน แล้วชอบกับชังจะมีไว้เพื่ออะไร ใช่ไหม (ใช่) พอถึงที่สุดแล้วเรามีตัวเราไหม (ไม่มี) ไหนใครยืนยันว่าฉันมีตัวตน แล้วสิ่งที่ท่านพยายามแสวงหาเพื่อให้ตัวตนนี้ หาเพื่ออะไร ทั้งที่ถึงที่สุดแล้วก็คือความว่าง ความไม่มีใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่เราต้องหาในความว่างและความไม่มีคืออะไร ที่เหนือกว่าความว่างและก่อเกิดประโยชน์อันสูงสุด นั่นคือ จิตใจอันประเสริฐ อยู่เหนือกาลเวลา ตายไปแล้วคนก็ยังพูดถึง “คนนี้จิตใจดีมากๆ คนนี้เป็นคนใจกว้างมากๆ” ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นคือสิ่งที่เราต้องไปให้ถึง แต่ไม่ใช่ว่าไปให้ถึงแค่คำว่า “รวย”, “มีเกียรติ” ท่านมีเกียรติได้ขนาดหนึ่งเชื่อไหมว่าคนรุ่นหลังก็ต้องแซงท่านไปอีกระดับหนึ่ง ถูกไหม (ถูก) ท่านรวยมากขนาดนี้ ถึงเวลาก็มีคนรวยมากกว่าท่านในขณะนี้ ท่านหวังว่าท่านจะสวยที่สุดในปฐพีถึงเวลาก็ต้องมีคนสวยกว่าท่านอยู่ดี ท่านอยากเก่งกว่าใครในโลกถึงเวลาก็ต้องมีคนเอาชนะคนที่เก่งกว่าอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จิตใจอันประเสริฐนี้ ถึงเขาจะเอาชนะได้ เขาก็จะยังรู้สึกว่าคนนี้เป็นแบบอย่างที่เขาอยากจะไต่ขึ้นไปให้สูงกว่าจริงไหม (จริง) จิตใจอันประเสริฐนี้เป็นจิตใจอันสามารถอยู่คู่ฟ้าคู่ดินหรือค้ำฟ้าค้ำดินได้ และจิตใจอันนี้คือจิตใจอันแรกเดิมที่มนุษย์ลืมไป ใช่ไหม (ใช่) ลืมไปเพราะอะไร
เรารู้ว่าเป็นธรรมดาที่ฟังธรรมะกับเราแล้วท่านจะไม่เชื่อ ยกตัวอย่าง เหมือนมือหนึ่งชี้ไปบนท้องฟ้า “ท่านลองดูฟ้านั้นสิ บริสุทธิ์สะอาดมาก” แต่คนส่วนใหญ่กลับมองไปไม่ถึงฟ้า มองแต่ว่ามือนี้สกปรกมาก ฉะนั้นจุดประสงค์ของการพูดธรรมะ ไม่ใช่ให้มองมือ แต่ให้มองไปถึงที่สุดที่เรากำลังพูดถึง ถูกไหม (ถูก) หรือที่มนุษย์พูดกันอยู่อย่างหนึ่ง เป็นโคลงบทหนึ่ง ที่กล่าวว่า
“สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
อีกคนตาแหลมคม ยลเห็นดาวพร่างพราย”
นั่นก็คือในเรื่องๆ หนึ่ง บางคนมองเห็นเป็นแค่เปลือก เห็นเป็นตม แต่อีกคนหนึ่งมองเห็นเป็นดวงดาวจรัสแสง ฉะนั้นวันนี้ท่านมาศึกษาหลักธรรม ท่านจะมองมุมมองอย่างตายตัว หรือจะมองมุมมองแบบใหม่บ้าง หรือว่าท่านจะมองติดอยู่ที่มือคนพูด ไม่มองไปให้ถึงที่สุด เพราะการศึกษาหลักธรรม ไม่ได้อยู่ที่ตัวคนพูด แต่อยู่ที่คำที่เขาพูด ว่าจริงเท็จแค่ไหน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจะจริงเท็จได้แค่คิดอย่างเดียวไหม (ไม่ได้) ต้องลองเอาไปใช้ดู ลองเอาไปประพฤติปฏิบัติดู แล้วท่านถึงจะสามารถกลับมาพูดได้ว่าสิ่งที่เราพูดนั้น หรือสิ่งที่คนทั้งหลายที่นี่พูดให้ฟังนั้นจริงหรือเท็จ ถ้าแค่ฟังแล้วพิจารณาแล้วตัดสิน นั่นเรียกว่าไม่ถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่) เหมือนเช่นดาบ ที่เราเอาเหล็กไปหล่อเป็นดาบ พอหล่อเสร็จแล้วใช้ได้ทันทีเลยไหม (ไม่ได้) ต้องตีและเจียรให้แหลมคมก่อน มีด้านหนึ่งทื่อ ด้านหนึ่งคม เหมือนกับความรู้ที่ท่านได้ฟังมานี้ ท่านต้องไปแยกแยะให้ออกว่า สิ่งไหนเอาไปใช้ สิ่งไหนเอาไว้เก็บป้องกัน สิ่งไหนเอาไว้รักษา ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ว่าพอทำดาบออกมาอย่างไรก็เอาไปใช้เลย อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)
ถ้าให้ชีวิตมีตั้งแต่หนึ่งถึงนับไม่ถ้วนแล้วแต่มนุษย์กำหนด แล้วยิ่งกำหนด มนุษย์ก็งงกับสิ่งที่ตัวเองกำหนดเอง แล้วก็ตกเป็นทาสเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครบ้างมีเสื้อแล้วไม่ตกเป็นทาสของเสื้อมีไหม ใครมีเงินแล้วไม่ตกเป็นทาสของเงินมีไหม เพราะมนุษย์ก็ยังอดรักตัวรักตนไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) โดนตีหน่อยก็โกรธ โดนด่าหน่อยก็ทนไม่ได้ ของหายไปหน่อยก็กระวนกระวายใจแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ทั้งที่ความเป็นจริงมีก็คือไม่มี ไม่มีก็คือมี
ฉะนั้นมนุษย์รู้อย่างนี้แล้วมนุษย์ก็ยังอดที่จะอยากไม่ได้ เพราะเกิดมาจะให้เราไม่อยากเลยเป็นไปได้ไหม อย่างนั้นฟังธรรมะแล้วท่านไม่ต้องอยากอะไรเลย อยู่เฉยๆ อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)
เพราะความอยากนี่เองที่เป็นเหตุทำให้เกิดทะเลทุกข์ ฉะนั้นการที่เราจะหยุดฟากฝั่งของทะเลทุกข์ก็คือรู้จักอยากอย่างพอเหมาะพอควร หรือถึงเวลาถึงที่สุดความอยากนั้นต้องรู้จักจำกัดจำเขี่ยบ้าง ท่านเคยได้ยินไหมว่าคนที่อยากมากๆ จะสูญเสียคุณธรรม จะสูญเสียปัญญาธรรม คนที่อยากมากๆ จะสูญเสียความกล้าหาญ สมมติว่าเรามีลูกพลับลูกหนึ่ง ตอนนี้ให้ท่านแบ่งส่วนหนึ่งเป็นของท่าน ที่เหลือเป็นของคนอื่น เวลาแบ่งเราแบ่งเที่ยงไหม เราจะแบ่งของเราใหญ่กว่า ของเขาจะเล็กกว่า ตอนแบ่งเราก็คิดว่า “เรากินคนเดียวก็ดูกระไรอยู่ ยังมีคนที่บ้านเราอีก ลูกเราอีก ญาติเราอีก แบ่งไปแบ่งมาไม่พอแล้ว เป็นของเราทั้งลูกได้ไหม”
พอมีความอยากมนุษย์ไม่สามารถแสดงออกซึ่งคุณธรรม พอมีความอยากขึ้นมา ความวิตกกังวลเริ่มตามมา เมื่อมีวิตกกังวล ปัญญาจะเกิดไหม (ไม่เกิด) เมื่อวิตกกังวลแล้วกลัวไหม (กลัว) แล้วถ้าเราอยากมากเกินไป ก็กลัวว่าคนอื่นจะว่าเราเห็นแก่ตัวไหม แล้วถ้าเราได้ชิ้นใหญ่ไป ก็กลัวว่าเขาจะมารู้ทีหลังหรือไม่ว่าเขาได้ชิ้นน้อยกว่าเรา จริงไหม (จริง) ฉะนั้นการรู้จักพอจะทำให้มนุษย์สามารถฟื้นฟูคุณธรรมกลับมาอย่างเดิม และสามารถฟื้นฟูความกรุณาปรานีได้ สามารถฟื้นฟูความเมตตาธรรมได้ เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าพอแล้ว เราเริ่มคิดว่ามีใครเดือดร้อนบ้าง มีใครน่าจะได้บ้าง
การที่มนุษย์อยากอย่างไม่รู้จักพอจะทำให้มนุษย์สูญเสียจิตใจอันเดิมแท้ สูญเสียคุณธรรม ปัญญาธรรมและความกล้าหาญไปโดยไม่รู้ตัวจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นมีความอยากให้น้อยลงหน่อยดีไหม (ดี) แล้วเอาเวลาที่เหลือไปแบ่งปันผู้อื่นบ้าง ผลไม้ทานคนเดียวไม่อร่อย เคยเห็นผลไม้บางผลไหม เกิดขึ้นมา ออกดอก ออกผล ถึงเวลาไม่เคยสละตนให้กับใครทาน เมื่อร่วงหล่นลงมาก็กลายเป็นปุ๋ยเน่าที่พื้นดินที่อยู่ตรงนั้นแค่นั้น แต่ทำไมผลไม้บางผลออกดอกออกผลแล้วยอมปลิดตัวเองออกมาแล้วเอาไปให้ผู้อื่นทาน แต่ผลไม้บางผลยอมปลิดออกมาแล้วยังรู้จักขัดเกลาตนเองหล่นลงไปในดินแล้วปล่อยให้เติบโตขึ้นมาอีก พอโตก็เอาผลที่เกิดจากตนเองไปแบ่งปันผู้คน
ฉะนั้นชีวิตของมนุษย์ก็ไม่ต่างไปจากผลไม้หนึ่งผล เราจะเกิดมาเพื่อยังประโยชน์แค่กลุ่มสังคมเล็กๆ ที่ตนเองอยู่ หรือเราจะยังประโยชน์เพื่อผู้อื่นบ้าง หรือเราจะยอมเป็นผลไม้ที่ตรงนี้มีแล้วเราก็จะไปแพร่ที่อื่นให้คนอื่นเขาได้รับรู้ ได้รับรสบ้าง คุณค่าต่างกันใช่ไหม คนบางคนเกิดมาออกดอกออกผลมีประโยชน์เพื่อตน แล้วสลายไปกับดิน แต่บางคนทำไมสามารถเป็นผลไม้ที่แพร่ไปได้ไกล ฉะนั้นท่านเป็นผลไม้ส่งออกหรือท่านเป็นผลไม้ในประเทศที่ไม่มีใครอยากส่งออก
ทำไม่ยากเลยใช่หรือไม่ อยู่ที่ว่าเราจะยอมฝืนตนเองบ้างหรือเปล่าเราจะยอมสละตนเองเพื่อผู้อื่นบ้างหรือเปล่า ตรงนี้เป็นเรื่องยากกว่า เพราะมนุษย์ยังอดห่วงแต่ตัวเองไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
เราหาแทบตายถึงเวลาเราก็กินได้แค่พออิ่ม ถ้าหาเพื่อสะสม สะสมเพื่อปล่อยทิ้งวางไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เปรียบกับเสือซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัวแต่เสือกินแค่พออิ่ม ไม่เคยสะสม แต่คนกินไม่พออิ่ม ฉะนั้นคนน่ากลัวกว่าเสือ ใช่ไหม (ใช่) ท่านบอกว่ายุงนั้นร้าย แต่กินอิ่มแล้วก็ยอมไป ใช่หรือไม่ แล้วมนุษย์เราล่ะ อิ่มแล้วไปไหม พอไหม อย่างนั้นคนทั้งร้ายทั้งน่ากลัว ใช่หรือเปล่า
“เรียบง่ายจึงรู้เสรี สุขนี้จึงอยู่ไม่ไกล”
เพราะความเป็นจริงของโลกใบนี้ โลกใบนี้มีสิ่งที่แสวงหาได้ เป็นสิ่งที่มนุษย์จะเรียกร้องได้ แต่ไม่สามารถยึดครองได้ จริงไหม (จริง) ความเป็นจริงของโลกใบนี้ก็มักจะขัดแย้งกันเสมอ เมื่อไรที่เราแสวงหาความมั่งมีนั่นคือแท้ที่จริงแล้วเรากำลังเป็นคนบกพร่อง ใช่ไหม เมื่อไรเราแสวงหาความเข้มแข็งนั่นแปลว่าเรากำลังอ่อนแอ เมื่อไรเราแสวงหาสุขภาพที่ดีแปลว่าสุขภาพเราย่ำแย่ ใช่ไหม (ใช่) เมื่อไรเราแสวงหาความสงบเมื่อนั้นใจของเรากำลังวุ่นวาย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นความเป็นจริงจึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน คนที่มักจะพูดบอกว่าฉันเป็นคนที่รู้แล้ว คนที่รู้แล้วก็คือคนที่ยังไม่รู้ แต่คนที่บอกว่าตัวเองไม่รู้คือคนที่พร้อมจะรู้ เราหาเงินทุกวันไหม (ทุกวัน) แล้วได้เงินมาแต่ใจรู้สึกไม่มีเงิน ไม่พอ ฉะนั้นยิ่งหาเงินเท่าไร ก็ยังรู้สึกว่าไม่มี เพราะว่าใจนั้นไม่พอ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราบอกว่าพอแล้ว เงินที่มีเราก็บอกว่าเยอะ ใช่หรือเปล่า ใจของมนุษย์บางครั้งก็เหมือนถังอันกว้างใหญ่ แต่บางครั้งก็กลายเป็นกระถางใบเล็กๆ บทจะอิ่มก็อิ่มง่ายๆ ใช่หรือเปล่า แต่บทจะไม่อิ่มก็เป็นถังที่ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือสิ่งที่บกพร่องที่สุด เวลาคนที่รักที่สุดว่าเราคำหนึ่ง รู้สึกเจ็บมาก แต่พอเขาชมเราคำหนึ่ง เดินไปไหนก็อิ่มใจ หรือง่ายๆ มีใครเดินผ่านมา บอกว่าเธอสวยจังเลย ใจที่เคยหาที่ถมไม่เต็มทำไมแค่คำพูดคำเดียว ทำไมอยู่ๆ ถึงเต็มทันที เพียงเขาชม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่พร่องที่สุดก็คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมจะเป็นสิ่งที่พร่องที่สุด จิตใจที่มนุษย์พยายามหาความสงบ หาความว่าง ถ้าเมื่อไรเรารู้จักพอแล้ว ดีแล้ว ได้แล้ว ที่วุ่นที่สุดนั้นล่ะคือที่ว่างที่สุด ที่โล่งที่สุดจะกลายเป็นที่เต็มที่สุด ใช่ไหม (ใช่) บางทีคนพูดเป็นร้อยประโยคกลับไม่โดนใจ อยู่ๆ ใครก็ไม่รู้เดินผ่านมาพูดประโยคเดียว โดนใจสุดๆ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นจิตใจคือสิ่งที่พร่องที่สุด และพร้อมจะเป็นสิ่งที่เต็มที่สุด ขึ้นอยู่กับเรามองเห็นหรือไม่ ถ้าเรามองเห็น เรารู้ใจตัวเอง ใครพูดอย่างไรก็ไม่มีผล มนุษย์มีคำพูดหนึ่ง “ถ้าเรารู้จักใจเราเองใครจะชมอย่างไรก็ทำให้เราหวั่นไหวไม่ได้ ใครจะว่าเราอย่างไรก็ทำให้เราเจ็บปวดไม่ได้” เพราะเรารู้ว่าเรามีอะไรดีอะไรร้าย จริงไหม (จริง) ถ้าวันไหนเรายังไม่รู้จักตัวเราเอง เมื่อถูกชมก็รู้สึกดี พอถูกว่าก็รู้สึกไม่ดี แล้วเราจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน รู้ใจตัวเองเสียที จิตใจจะได้ไม่กระเพื่อมสั่นไหวไปกับสังคมภายนอก หรือสังคมของคน
ฉะนั้นปัญหาของทุกข์จึงไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่ว่าถ้าเรามีสติเท่าทันชีวิตและรู้จักตัวตนเอง ความทุกข์ในโลกนี้ก็ทำอะไรคนน่ารักคนนี้ไม่ได้หรอก จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเราไม่มีสติ ไม่รู้จักตัวเราเอง เขาพูดมาเราก็เซไป เขาว่ามาเราก็ถลาไป ชีวิตเราเลยเป็นไปตามลมปากของคน พอเขาชมเราก็รู้สึกดี พอเขาว่าใจเราก็แฟบ ใช่หรือไม่ (ใช่) พอเราพบเรื่องโชคดี เราก็ติดปีก พอพบเรื่องโชคร้ายเราก็เศร้าเสียใจ โลกนี้มีได้มีเสีย มีวันไหนบ้างชีวิตได้เงินแล้วไม่เสียเงิน อยู่บ้านยังเสียเงินเลย พอมิเตอร์ไฟฟ้าเดิน เงินก็หายไปแล้ว อย่าบอกนะว่าอยู่บ้านไม่เสียเงิน เปิดไฟทันทีก็เสียเงินแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเรื่องได้เรื่องเสีย โชคดีโชคร้าย เป็นเรื่องธรรมดา ทุกข์สุขก็เป็นธรรมดา เราจะกลัวอะไรถ้าเราเข้าใจตัวเองและตามทันตัวเราเอง และตามทันสิ่งที่มากระทบเรา จำที่เราบอกได้ไหม ใครว่าเราทำอย่างไรดี (ไม่รับมา, วางไว้ตรงนั้น)
“มีไร้เกิดจากเปรียบเทียบ”
บางคนบอกว่าตัวเราไม่มีเงินเพราะเราไปเปรียบกับใครถึงบอกว่าไม่มีเงิน เราโง่แท้ๆ เลยถ้าเปรียบกับเศรษฐีประจำจังหวัด หาเท่าไรก็มีไม่เท่าหรอก จริงไหม (จริง) ลูกเราเรียนดีหรือยัง ไปเปรียบกับคนที่ได้ที่หนึ่ง ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นหากเราเปรียบเทียบกับคนที่แย่กว่าเราจะไม่รู้สึกเป็นสุขกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นโชคดี โชคร้ายอยู่ที่เราเปรียบเทียบ ได้กับเสียก็อยู่ที่เราคิดเอง สุขกับทุกข์ เรากำหนดใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราหน้าเรียบๆ ใส แต่ต่อไปหน้าเราเริ่มขุ่นมัวเราทุกข์ไหม (ทุกข์) ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีใครบ้างหน้าใสไม่ขุ่น น้ำใสยังมีวันขุ่น ขุ่นแล้วยังมีวันใส ถ้าท่านหน้าใสตั้งแต่เกิดจนตายไม่เปลี่ยนเลย เขาก็ว่าท่านผิดปกติแล้ว ต้องมีเหี่ยว มีแก่บ้าง นี่คือธรรมชาติ ฉะนั้นเราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงเพราะโลกนี้ มีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติ เป็นสัจธรรม
“มีไร้เกิดจากเปรียบเทียบ ถ้าเปรียบมากก็ยิ่งไร้
พอเปรียบน้อยกว่าเป็นไง สุขใจขึ้นมาทันที”
ฉะนั้นจงดีใจและภูมิใจเถิดที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ จงดีใจเถิด ที่มีอายุมากขนาดนี้แล้วยังอยู่ได้ เพราะในร้อยคนจะมีสักสามสิบหรือห้าสิบคน ที่ยังอยู่จนถึงผมขาว อยู่จนมีตีนกาขึ้น เพราะฉะนั้นเจอผมขาวก็อย่าเศร้าใจ จงดีใจ เพราะอย่างน้อยชีวิตได้ผ่านทุกข์มานับตีนกาไม่ถ้วนเลย ดีกว่าคนอื่น ยังไม่ทันทุกข์ก็ตายเสียก่อน
วันนี้เราก็คุยกับท่านง่ายๆ แค่นี้ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว ท่านยังมีภาระต่อ แต่เราหมดภาระแล้ว
นับแต่นี้ไปท่านจงมีสติในการดำรงชีวิต คนที่มีสติในการดำรงชีวิตเวลาเผชิญปัญหาสิ่งใด ก็จะทำให้เกิดปัญญาในการเรียนรู้ และจะทำให้เกิดปัญญาในการมองสรรพสิ่งได้อย่างเห็นแจ้ง แจ่มชัด จงอย่ามีชีวิตโดยใช้อารมณ์เป็นหลักเพราะทำให้เรามองสิ่งใดได้ไม่ถ่องแท้นะ มีแต่ใช้สติและวางใจให้สงบรับมือกับเรื่องราวในโลกนี้ด้วยใจอันกว้างและบริสุทธิ์แล้วเราจะมองเป็น ว่าโลกใบนี้ไม่ใช่โลกแห่งความน่ากลัว ทุกข์ร้อน แต่เป็นโลกที่เย็นสงบได้ด้วยใจเราเอง ต้องเริ่มต้นเย็นสงบก่อน มนุษย์มักจะพูดว่า “ฟ้าอย่าบีบคั้นชีวิตฉันนักเลย” วันนี้ฟ้าจะลงมาบอกว่า “ฟ้าไม่เคยบีบคั้นอะไร มีแต่เมื่อไรท่านจะเอานรกออกจากอกเสียที” คิดอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็บอกให้ฟ้าเลิกรังแกฉันเสียที ฟ้าไม่เคยรังแกท่านเลย มีแต่ท่านทำตัวเองทั้งนั้น
ฉะนั้นนรกกับสวรรค์ก็อยู่ที่ความคิดในใจของเรา มุมมองที่เรารู้จักปรับเปลี่ยนให้เป็น อย่าเป็นคนยึดมั่นตายตัวเพราะความยึดมั่นถือมั่น คิดว่าตนเองเก่ง คิดว่าตนเองรู้ มักจะฆ่าให้เราตายเสมอ ฉะนั้นยอมไม่รู้บ้าง เพราะคนที่ไม่รู้ คือ คนที่รู้ที่สุด แต่คนที่บอกว่าตนเองรู้แล้ว นั่นคือคนที่โง่ที่สุด จริงหรือเปล่า ลองถามตนเองดูว่าคนที่รู้แล้วท่านอยากไปบอกเขาไหม ไม่บอกหรอก มีแต่คนที่บอกว่าไม่รู้ เราจึงจะเดินไปบอกให้รู้ คนที่ยอมทำตัวเป็นคนเก่าจึงได้กลายเป็นใหม่ คนที่ทำตัวเป็นคนใหม่จึงกลายเป็นคนเก่า คนที่ยอมรับว่าตนเองเก่าจะมีคนอยากแก้ให้เป็นของใหม่แต่คนที่คิดว่าตนเองเป็นของใหม่ ดี และเก่ง ก็จะถูกทอดทิ้งให้กลายเป็นของเก่า ใช่หรือไม่ คิดเอานะ บางครั้งโลกเป็นความจริงที่ขัดแย้งกันอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าเราจับจุดได้ออก เราก็จะรู้ว่าการดำรงชีวิตบนโลกนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ความสุขอยู่ตรงนี้เอง ไม่ได้อยู่ที่อื่น ความวุ่นวายอยู่ข้างนอกแต่ความสงบอยู่ที่ใจนี่ ขอให้รักษาความสุขในใจนี้ให้อยู่นานๆ ใจอิ่มง่ายมากฉะนั้นรักษาใจให้ดี
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ลมอุ่นละลายหนาวเย็น”
คนใจกว้างยอมรับคนด้วยทน ไม่ตกหล่นเมตตากรุณายิ่ง
คืนสมดุลความเป็นคนอันแท้จริง คนใจแคบตระหนี่ยิ่งไม่มีดี
ฝึกเรียบง่ายเป็นกันเองพร้อมรับฟัง และฝึกทั้งใจเย็นยอมอะลุ้มอล่วยนี้
ไปสลายทิฐิอัตตายึดมั่นดี ให้อภัยมีครองตนไม่เสื่อมคลาย
ลมอุ่นย่อมคืนชีวิตให้ทุกสิ่ง ลมหนาวเชือดเฉือนยิ่งยากต้านไหว
วาจาหนึ่งนิสัยหนึ่งพึงคุมไว หนาวกลับอุ่นร้อนกลายเย็นอย่างรู้ตัว
ท่านเสี่ยวผีเซียนถงเมตตากับผู้จัดทำหนังสือพระโอวาท
ขอให้ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อเพลงพระโอวาท “ประสาธรรมประสาไท” ที่ประทานไว้ ณ สถานธรรมจือเจวี๋ย จังหวัดสงขลา (ครั้งที่ 15/2551) ที่ถูกต้องคือ “ศึกษาธรรมคนเรียนรู้เสมอ”