วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2550

2550-12-08 สถานธรรมเหยินเต๋อ จ.ลำปาง


西元二○○七年歲次丁亥十月二十九日               大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
    พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนเหอเซียนกู
    เรื่องง่ายง่ายในโลกไม่เคยมี    เรื่องดีดีในโลกนั้นมีน้อย
เรื่องที่แย่วนเวียนมาก็บ่อย    แต่อย่างน้อยทุกเรื่องให้คิดดี
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนเหอเซียนกู    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกราบนอบน้อม
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

    เริ่มคิดเป็นความเป็นความตายจ่อ    รับความจริงสิ่งที่ท้อประโยชน์ยิ่ง
นี่หรือนั้นอย่างไรอยู่เคลื่อนแฝงนิ่ง    ครวญใคร่สิ่งที่ท่านก็ล้วนมี
ปลงใช่หนีไม่พ้นต่างเคยโศก    ปลงในโลกเปลี่ยนอยากต้องปลงถี่
ความเป็นตนที่เปลี่ยนในทางดี    ทุกที่ทุกถนนทอดทรัพย์ในตน
สามัคคีมีเป้าหมายเดียวเกี่ยวกันไป    ทำอะไรยาวยาวกันมือก็หล่น
คนมีรักมีใจจึงมีบ่น    มีตัวตนคนผูกต้องแก้เอง
มีอัตตายึดติดคิดติดลาภยศ    คิดจะปลดวัวพันหลักเวลาเร่ง
ไม่เข้าใจจะยิ่งแน่นแค้นตนเอง    อย่าข่มเหงกันเพิ่มเติมทุกข์ตรม
เป็นทุกข์ทรมานใจแสนถูกรัดรึง    ปัญหาซึ่งบีบคั้นเลือกช่างขื่นขม
เสียดายอยู่กับอยู่จริงเลือกตามสม    ชวนชมกับความเป็นเราพบอะไร
ละชินเคยมากกว่าที่แข่งขัน    สิ่งอดีตสิ่งปัจจุบันสิ่งฝันสิ่งใฝ่
สิ่งของไกลใจใกล้จึงตื่นใจ    อย่าเหินห่างอันใฝ่ในทางดี

ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนเหอเซียนกู
มาฟังธรรมะได้ความรู้ ได้ความสนุกสนาน  แต่สิ่งหนึ่งในการฟังธรรมะขาดเสียไม่ได้นั่นก็คือ  ต้องได้ความสงบไปบ้าง แล้วได้ความสงบจากที่ใด  เข้ามาในนี้ก็ต้องฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าจิตที่ฟังไม่นิ่งสงบ จะรองรับสิ่งใดได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนภาชนะๆ หนึ่ง  จะรองรับการถ่ายเทของน้ำจากอีกภาชนะหนึ่ง  ถ้าภาชนะที่เป็นตัวรองรับส่ายไปส่ายมา  วิ่งไปวิ่งมา ภาชนะที่พยายามจะถ่ายน้ำให้  ก็ไม่สามารถถ่ายเทได้เต็มที่  ภาชนะที่รองรับก็ไม่สามารถซึมซับได้เต็มที่  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจิตใจของท่านเปรียบเหมือนภาชนะ ถ้าใจนั้นไม่รู้จักนิ่งบ้าง แม้วันนี้คนที่พูดอรรถาธรรมมากมายแค่ไหน แต่ถ้าใจไม่นิ่ง ภาชนะนั้นก็ยากจะรองรับแม้น้ำสักหยดเดียว จริงหรือไม่ (จริง)  วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่ออะไร  บางท่านมาฟังเพื่อเพิ่มเติมสิ่งที่รู้ให้รู้ยิ่งขึ้น
แม้เสียงเราจะเบาแต่ถ้าท่านตั้งใจ เบาแค่ไหนก็ได้ยิน แต่ถ้าเสียงเราดังแค่ไหน ท่านไม่ตั้งใจฟัง ดังขนาดไหนก็ไม่รู้เรื่องและไม่ได้ยิน        ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากกล่าวว่าเรื่องราวในโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ยากและไม่มีเรื่องที่ง่าย ขอเพียงมีความตั้งใจ เรื่องยากก็เป็นเรื่องง่าย แต่ไร้ซึ่งความตั้งใจเรื่องง่ายๆ  ก็กลับเป็นยากในบัดดลถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นวันนี้แม้เสียงเราจะเบาแค่ไหน แต่ถ้าท่านตั้งใจ เสียงเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะแปรเปลี่ยนให้ท่านได้ยินก็เป็นได้  ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์เคยกล่าวไว้ว่าอย่าดูถูกเสียงเล็กๆ เพราะเสียงเล็กๆ นี้ ถ้ามาได้เหมาะเจาะ และถูกต้องกับเวลา เหมาะสมกับกาลเวลา และโอกาส เสียงเล็กๆ ก็อาจจะแปรเปลี่ยนโลกได้ เคยได้ยินไหม (เคย,ไม่เคย)  บางท่านก็เคย บางท่านก็ไม่เคย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นการมาศึกษาธรรมะวันนี้เพื่อต้องการบอกให้ท่านรู้ว่า เรามาเพื่อปล่อยวาง มิใช่มาเพื่อยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้เราเข้ามาศึกษาธรรมะพร้อมกับความรู้สึกที่โปร่งเบาหรือหนักแน่น (โปร่งเบา)  หัวใจโปร่งเบาใส หรือหัวใจเต็มไปด้วยความรู้ที่อัดแน่น (โปร่งเบาใส)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์นั้นมาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรู้อัดแน่น มากกว่าโปร่งเบาใส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนส่วนใหญ่มาศึกษาธรรมะ โดยตัวตนเปลี่ยนแปลงธรรมะ แทนที่จะให้ธรรมะเปลี่ยนแปลงตัวตนถูกหรือไม่ (ถูก)  หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า ตัวตนเปลี่ยนแปลงธรรมะ แทนที่จะให้ธรรมะเปลี่ยนแปลงตัวตน  เพราะทุกคนก้าวเข้ามาในสถานธรรม ก้าวเข้ามาศึกษาธรรมะด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นถือมั่นอย่างแข็งขันและตายตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลิกแพลงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่นนี้แล้ว แม้ใครจะพยายามมอบความรู้ มอบความเข้าใจให้เรามากแค่ไหน ก็ยากจะมอบให้ได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะใจของท่านไม่กว้างพอที่จะใส่อะไรลงไปแล้ว จริงหรือเปล่า (จริง)  มีแต่จิตใจที่รู้จักปล่อยวางบ้าง จึงจะสามารถถ่ายเทเปลี่ยนแปลงและรับรู้ความรู้จากภายนอกเพิ่มเติมได้ ถูกหรือไม่
ฉะนั้นวันนี้เมื่อเข้ามาสู่ประตูแห่งพุทธะ เมื่อเข้ามาสู่การศึกษาอบรมบำเพ็ญธรรม ผู้ที่จะเป็นพุทธะได้อย่างโดยแท้ ผู้ที่จะเรียนรู้การฝึกฝนเป็นพุทธะอย่างแท้จริง ผู้นั้นจะต้องมีอำนาจเหนือหัวใจของตน  ต้องเป็นผู้ที่พร้อมจะปล่อยวางความรู้ความยึดมั่นถือมั่นออกไปเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นธรรมะก็จะเปลี่ยนแปลงอะไรเราไม่ได้ กลายเป็นเรามาฟังธรรมเพื่อเอาตัวนั้นเปลี่ยนแปลงธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสงบในหัวใจหาได้ในทุกวันแห่งชีวิต แต่มนุษย์กลับมองไม่เห็นความสงบในชีวิต แม้สักหนึ่งเสี้ยวของหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้เราชอบความสงบหรือชอบความสนุกสนานอึกทึกกัน (ความสงบ)  จริงหรือ (จริง)  หลอกลวงใครก็หลอกลวงได้ แต่อย่าหลอกลวงตัวเองเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เราจะรู้ว่าทุกท่านในที่นี้ชอบความสนุกสนานมากกว่าความสงบเงียบ ชอบความวุ่นวายมากกว่าความนิ่ง แต่ยังไงเราก็อยากมาผูกบุญสัมพันธ์ ก็อยากให้ท่านรู้ว่าความสงบนั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลจากชีวิต ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากจิตใจ แล้วความสงบที่แท้จริงอยู่ที่ใด (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจนิ่งๆ เป็นสมาธิหรือไม่ ก็อาจเรียกว่าใช่อย่างหนึ่ง
แต่ถ้าเราถามท่านว่าวันที่เรียกว่า ฟ้าใส แผ่นดินสงบเป็นอย่างไร เมฆยังคงเคลื่อนคล้อยไปอย่างช้าๆ นกยังโผบินอย่างสง่างาม ลมยังพัดเอื้อยแผ่วเบา ต้นไม้ยังโยกคลอน น้ำยังไหลริน เช่นนี้มิใช่เรียกว่าความสงบหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าโลกยังเคลื่อนไหว แต่ใจเราหยุดนิ่ง เช่นนี้เรียกว่าแม้โลกเคลื่อนไหวแต่ใจเราหยุดนิ่งได้ แม้จะกำลังมองเห็นสรรพสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว แต่ถ้าเมื่อไรที่หัวใจเราวุ่นวายแม้โลกจะเคลื่อนไหวขนาดไหน ดวงตาเราก็มองไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคำว่าใจนิ่งก็คือใจที่สามารถอยู่เฉยๆ แล้วสามารถสัมผัสสรรพสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างแท้จริง เห็นว่าอะไรกำลังไหว และเห็นว่าอะไรกำลังนิ่ง นั่นคือจิตที่ว่างและนิ่งสงบอย่างจริงแท้นั่นเอง หากพยายามจับฟ้าไม่ให้เคลื่อนไหว จับนกไม่ให้โผบิน จับน้ำไม่ให้ไหลริน จับต้นไม้ไม่ให้โบกสะบัด เช่นนี้หาใช่เรียกว่าธรรมชาติใช่ไหม (ใช่)  แต่เป็นการบีบบังคับให้ทุกสิ่งหยุดนิ่ง การบีบบังคับให้ทุกสิ่งหยุดนิ่งนั้นเมื่อไม่เป็นธรรมชาติจะเรียกว่าเป็นความสงบได้อย่างไร ใช่ไหม(ใช่)
ความสงบที่แท้จริงก็คือจิตใจที่รู้เท่าทันสรรพสิ่งที่เคลื่อนและสรรพสิ่งที่หยุดนิ่ง  แม้กระทั่งยืน ก็รู้ว่าตอนนี้ใจคิดอะไรอยู่ และปล่อยให้ใจนี้คิดไปเรื่อยๆ หรือปล่อยให้ใจนั้นคิดแล้วก็จบกันที่ตรงคิด  ถ้าจับได้แม้กระทั่งใจคิดอะไรอยู่แล้วรู้ว่าจบไปตอนไหน นั่นคือใจนิ่ง จับความเคลื่อนไหว แต่ถ้าตัวก็เคลื่อนไหว ใจก็เคลื่อนไหว เราจะไม่สามารถรู้อะไรได้อย่างถ่องแท้ ถูกไหม (ถูก)  เมื่อไรหัวใจนิ่ง ตัวต้องรู้จักหยุดเคลื่อนไหว เราก็จะเท่าทันกายและใจของตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่)  ดังคำกล่าวว่า  เมื่อคิดจงหยุดเคลื่อนไหว เมื่อเคลื่อนไหวจงเลิกคิด แล้วเราก็จะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างงดงามและสำเร็จสมบูรณ์ แต่ถ้าทำไปด้วย คิดไปด้วย เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ จริงไหม (จริง) สำเร็จก็ยาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นความนิ่งจึงเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งนิ่งมากเท่าไร เราก็สามารถมองสรรพสิ่งได้ชัดมากเท่านั้น เหมือนหัวใจที่โปร่งโล่ง และกว้างมากเท่าไร เราก็สามารถรองรับความทุกข์ยากลำบากได้มากมายเท่านั้น แต่ตอนนี้หัวใจของมนุษย์กลับคับแคบ เมื่อคับแคบ เรียนรู้อะไรก็ได้จำกัด เพราะรับอะไรก็เจ็บปวดง่าย ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมีแต่การปล่อยใจให้ว่างโปร่งเท่านั้นจึงจะสามารถเรียนรู้การอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นจริงและห้าวหาญอดทน ใช่ไหม (ใช่)

เริ่มคิดเป็นความเป็นความตายจ่อ
รับความจริงสิ่งที่ท้อประโยชน์ยิ่ง
เกิดเป็นคนแล้วกล้าที่จะอยู่และกล้าที่จะตาย คนกล้าที่จะอยู่และกล้าที่จะตายคือคนที่เข้าใจชีวิตได้อย่างแจ่มแจ้ง รู้แจ้งถึงความเป็นจริงว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร  และการจบไปของชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่น่าเสียดาย แต่ถ้ามีชีวิตกลัวที่จะอยู่ และละอายที่จะตาย นั่นแปลว่ายังดำเนินชีวิตได้อย่างผิดทาง ถูกไหม (ถูก)

นี่หรือนั้นอย่างไรอยู่เคลื่อนแฝงนิ่ง
ครวญใคร่สิ่งที่ท่านก็ล้วนมี
แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ถนัดอยู่กับความวุ่นวายมากกว่าความสงบใช่ไหม (ใช่) เราอยู่กับตัวตนเองไม่ได้หรือ ตัวตนเองนั้นน่ารังเกียจหรืออย่างไร เราจึงไม่สามารถมีความสุขได้ด้วยตนเอง ก็ไม่ใช่ ถูกไหม (ถูก) แต่ทำไมเราถึงไม่สามารถอยู่นิ่งๆ กับตัวเองแล้วมีความสุขได้ น่าแปลกจริงนะ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆแล้ววิ่งไปหาจนถึงที่สุด  ถ้าตนเองยังไม่พอสักที ความสุขที่ได้จากข้างนอก ก็เปล่าประโยชน์ใช่ไหม (ใช่) วิ่งไปหาจนถึงที่สุด แต่ถ้าใจเรายังไม่พอสักที ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดไปเปล่าๆ ปรี้ๆ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากหาความสุข อยากหาความสงบต้องเริ่มต้นที่หัวใจเราเองก่อน
“ปลงใช่หนีไม่พ้นต่างเคยโศก”
แม้จะโตสักเท่าไร แต่หัวใจยังเหมือนเด็กอยู่วันยันค่ำนะ ใช่ไหม(ใช่)  แต่จิตใจที่อยากจะเป็นเด็กก็ยังมีอยู่ในหัวใจทุกผู้ทุกคน ถูกไหม (ถูก)  คนบางคนโตแต่ตัวแต่หัวใจไม่อยากจะโตด้วย เพราะรู้สึกว่าโลกอันใหญ่ภายนอกนี้เต็มไปด้วยภาระและความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง บางครั้งคิดจะแบกรับก็รู้สึกว่าเหนื่อยล้าและท้อเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งอยากจะวางก็กลับวางไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ ปลงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะรู้สึกว่าปล่อยแล้ววางแล้ว ใครล่ะจะดูแล ใครล่ะจะรับผิดชอบ  แต่อย่าลืมนะว่าคนทุกคนมีชะตาชีวิตของตัวเอง วันนี้ท่านดูแลได้ แต่วันหน้าหรือวันต่อไป เขาต้องดูแลตัวเขาเอง
ฉะนั้นทำตัวเราให้ดีพอก่อน ส่วนเรื่องของเขาถ้าทำจนถึงที่สุด สิ่งที่เราจะบอกท่านได้ ก็คือคำว่าปลงเท่านั้นไม่ใช่หรือ จริงไหม (จริง)  แม้กระทั่งทรัพย์สิน แม้กระทั่งหน้าที่ แม้กระทั่งคนที่เรารัก หรือแม้กระทั่งร่างกายของตัวเราเอง ถึงเวลาห่วงแค่ไหนดูแลรักษาขนาดใด  ทุกสิ่งทุกอย่างมีกาลเวลาของตัวเอง  เราไม่สามารถอยู่ดูแลเฝ้าถนอม ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมได้ตลอดชีวิตไหม (ไม่ได้)  บางครั้งหัวใจเราเองเรายังดูแลให้ดีไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับหัวใจผู้อื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ชีวิตของมนุษย์คืออะไร  บางคนบอกว่าชีวิตคือการต่อสู้  บางท่านบอกว่าชีวิตคือการแสวงหา  แต่บางท่านที่อายุน้อยกลับบอกว่าชีวิตคือความใฝ่ฝันใช่ไหม (ใช่)
คนที่พยายามต่อสู้แข่งขัน เพราะอะไรถึงคิดว่าชีวิตต้องต่อสู้ เพราะอะไรชีวิตต้องแข่งขัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีน้อยกว่าผู้อื่น หรือรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเองยังด้อยค่า ทุกสิ่งจะได้มานั้นต้องต่อสู้ดิ้นรนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ยิ่งดิ้นรนยิ่งต่อสู้ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของหัวใจนักต่อสู้คือแพ้เป็น (พระ) ชนะเป็น (มาร)  แล้วเราเลือกที่จะชนะหรือเลือกที่จะแพ้  ส่วนใหญ่อยากจะชนะ เมื่อชีวิตขึ้นสังเวียนการต่อสู้แล้ว  ถ้าอยากได้อะไรในโลกสักอย่างหนึ่งแต่ในโลกมีจำกัด  เราพร้อมจะขึ้นสังเวียน แต่เมื่อขึ้นสังเวียนแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ของหัวใจนักต่อสู้ไม่ใช่แพ้เป็นพระชนะเป็นมารหรอกนะ แต่คือน้ำใจนักกีฬา  แพ้ก็ให้อภัย ชนะก็ไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร เป็นการชนะที่รู้จักเห็นใจและเกื้อกูลผู้แพ้  แล้วชีวิตแห่งการต่อสู้ก็จะเป็นชีวิตที่ไม่มีใครอยากเอาท่านลงจากสังเวียนแห่งชัยชนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ชีวิตแห่งการแสวงหาเป็นอย่างไร  บางคนเกิดมาลืมตาถามว่าตนเองมีอะไร เมื่อมองแล้วไม่มีจึงต้องพยายามหาให้ได้มากที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อวิ่งวนไปหาจนถึงที่สุดแล้ว เราก็บอกว่าไม่พอสักทีๆ ที่มีก็บอกว่าไม่มี  ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนดังคำกล่าวว่า ทะเลแห่งความอยาก  ถมไม่เคยเต็ม เมื่อไรที่อยากจะแสวงหา สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั้น คือในโลกแห่งความแสวงหาย่อมมีได้ มีเสีย มีสุข มีทุกข์ มีดี มีเลว เมื่อคิดจะเป็นนักแสวงหา หลักสัจธรรมอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการตระหนักถึงแก่นแท้ความเป็นจริงแห่งชีวิตว่า ในโลกที่แสวงหามีได้ย่อมมีเสีย มีชื่นชมย่อมมีดูถูกเหยียดหยาม มีสมหวังย่อมมีผิดหวัง  ทุกขณะที่แสวงหามีหัวใจตระหนักรู้  ถึงสัจจะความเป็นจริงข้อนี้  แม้จะพบความผิดหวัง  ความผิดหวังนั้นก็จะเป็นบทเรียนอันดีงาม  ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ แม้จะพบความทุกข์ ความทุกข์นั้นก็จะเป็นคุณครูอันงดงามที่สอนให้เราเข้มแข็งและก้าวเดินไปสู่ความสุข  แต่อย่าลืมว่าถึงที่สุดของการแสวงหา ถ้าหัวใจไม่พอ หาอย่างไรก็ไม่เต็ม  ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยากจะบอกว่า มนุษย์ทุกท่านล้วนมีจิตใจอันสมบูรณ์งามอยู่แล้วในตัวเอง  แต่เพราะตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า เรายังพร่อง เรายังด้อย  เรายังไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราถามท่านกลับว่า สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดคือ  สิ่งที่เติมอย่างไรก็ไม่มีวันพร่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเราเพลิน พอเราพูดอะไรให้ฉุกคิด กว่าจะคิดได้ก็สายเสียแล้วนะ  สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดเติมอย่างไรก็ไม่มีวันเต็ม จริงไหม (จริง)  ลองคิดดูสักหน่อยนะ  ฟังเราเพลินคิดไม่ค่อยทันนะ  
ถ้าใจไม่คิด ไม่ตระหนัก ก็จะไม่รู้ เมื่อใดที่ใจคิดตระหนักก็จะได้รู้  สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดเติมอย่างไรก็ไม่มีวัน (เต็ม, พร่อง)  ระหว่างพร่องกับเต็ม วันนี้คิดให้ออกนะ  คิดไม่ออกก็ไปต่อไม่ได้แล้วนะ  ท่านลองคิดดูว่า สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด เติมอย่างไรก็ไม่มีวันพร่อง หรือว่าเติมอย่างไรก็ไม่มีวันเต็ม  หรือทั้งพร่อง ทั้งเต็ม ได้คำตอบกันหรือยัง (ทั้งไม่พร่อง ทั้งไม่เต็ม , สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่มีทั้งพร่อง ทั้งเต็ม)  ต่างตอบได้ดีทั้งท่านแรกและท่านหลังนะ  
แต่ปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด คือสิ่งที่พร่องที่สุด”  เคยได้ยินคำนี้ไหม  สิ่งที่ดูเหมือนมี แต่บางครั้งก็ดูเหมือนไม่มี แต่เวลาจะใช้ก็หยิบมาใช้ได้ไม่จำกัด นั่นคือจิตใจของมนุษย์  จิตใจของมนุษย์สามารถเป็นสิ่งสมบูรณ์ที่สุด และพร่องที่สุด ดูเหมือนไม่มี แต่จริงๆ ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราบอกว่าเราไม่มีความรู้ความสามารถอะไรเลย  คิดอะไรก็ย่อมคิดไม่ออก ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะทำอะไรก็ไม่สามารถบังเกิดผลประโยชน์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรที่เราคิดและหาตัวตนเองพบ หาความสามารถของตัวเองพบ ฉันถนัดแบบนี้ ฉันชอบเรื่องนี้ พอจับได้หนึ่งจุด แล้วชอบในหนึ่งจุดที่ตัวเองมี หนึ่งจุดนี้สามารถขยายไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดได้ จริงหรือเปล่า (ใช่)  แล้วไม่ใช่หัวใจของท่านหรือคือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดและพร่องที่สุด คือสิ่งที่สามารถมีได้มากมายที่สุดและไม่มีอะไรเลยจนถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
หัวใจนี่แหละที่เราต้องหาให้พบ  หัวใจที่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจที่เข้าใจตัวเอง หัวใจที่รู้ความสามารถสติปัญญาของตัวเอง เคยเห็นไหมว่าคนบางคนคิดได้อย่างไร  แต่หากว่าเราไม่เป็นอย่างเขา แต่เราสามารถคิดในแบบของเราและสร้างสรรค์ให้ถึงที่สุด  ใช่ว่าจะทำไม่ได้
เหมือนคำพูดที่ว่าข้าวหนึ่งเม็ดแต่สามารถทำให้คนอิ่มได้ ถ้ารวมตัวกันเป็นหลายๆ เม็ด  คนหนึ่งคนดูไม่น่ากลัวแต่พลังหัวใจของคนที่แข็งแกร่งและมุ่งมั่นก็น่ากลัวได้ยิ่งกว่าเพชร ใช่หรือไม่( ใช่)  
ฉะนั้นอย่าดูถูกหัวใจของตัวเราเอง อย่าดูถูกความรู้ความสามารถ คุณธรรมความดีงามในหัวใจ  ถ้าคิดจะทำมีหรือจะทำให้ดีไม่ได้ เมื่อทำดีแล้วมีหรือจะดีถึงที่สุดไม่ได้  แต่อยู่ที่ว่าจะก้าวหรือไม่เท่านั้นเอง  เหมือนดังคำกล่าวว่าคนบางคนมีอาวุธอยู่ครบมือ  แต่เมื่อเวลาพบศัตรูกลับทำอะไรไม่ได้เลย เพราะขาดความเชื่อมั่นในหัวใจ แต่คนบางคนไม่มีอาวุธสักอย่างในมือ แต่เชื่อมั่นในชีวิตและชะตาว่าจะไม่ยอมแพ้ เขาก็ย่อมฟันฝ่าได้
ฉะนั้นชีวิตอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นคนโดยสมบูรณ์นั่นก็คือความเชื่อ หรือที่มนุษย์เรียกว่าความฝัน แม้จะเป็นนักแข่งขัน  หรือเป็นนักแสวงหา  สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตนั่นก็คือความเชื่อมั่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราขาดซึ่งความเชื่อมั่นในความเป็นจริงแห่งชีวิต  ขาดความเชื่อมั่นในตัวตน การกระทำอะไรก็ยากจะสัมฤทธิ์  ยากจะสำเร็จผล  ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนจิตใจถ้าแตกแยกแล้วกระทำอะไรก็ยากจะสำเร็จงดงาม แต่เมื่อใดที่จิตใจรวมเป็นหนึ่งและมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแท้จริง  แม้สิ่งที่ยากแค่ไหนก็ยังโค้งคำนับและถอยหลีกทางให้เรา
ฉะนั้นในท่ามกลางชีวิตเราต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างแท้จริง โดยไม่ลืมหลักสัจธรรมความเป็นจริงของการเป็นคน อยากจะแสวงหา อยากจะไขว่คว้าแต่ต้องไม่ลืมจุดยืนของสัจธรรมความเป็นจริงใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรหนอ มนุษย์ถึงไม่หยุดความอยาก เพราะอะไรหนอมนุษย์ก็ยังหาความสมบูรณ์ในตนไม่ได้  
เมื่อใดที่หัวใจของมนุษย์ยากที่จะสงบใส ก็ยากที่จะสะท้อนสิ่งใดได้อย่างแจ่มชัด  ถูกหรือไม่ (ถูก) อย่างนั้นวันนี้เอาธรรมะมาชำระล้างจิตใจสักหน่อยดีไหม (ดี)  ธรรมะที่ได้จากวันนี้ โดยส่วนใหญ่ เราจะเลือกฟังแต่คนที่เราชอบฟัง เราจะเลือกฟังแต่เรื่องที่เราชอบฟัง  ใช่หรือไม่ (ใช่) ประโยคไหนที่พูดถูกใจ เราจะจำได้ขึ้นใจ  แต่ประโยคไหนที่ฟังแล้วขัดหูขัดใจ เราจะไม่คิดจดจำ  และศึกษาต่อเลย  ถูกหรือไม่  (ไม่ถูก)  อยากชำระล้างหัวใจให้สะอาด ต้องมาดูก่อนว่าตัวตนเองเป็นอย่างไร  ดูได้จากการฟังคนและการดูหนังสือ  ชอบอ่านหนังสือหรือไม่ (ชอบ)  แต่ในท่ามกลางหนังสือหลายๆ เล่ม เล่มไหนที่ขึ้นพาดหัว ถูกใจ โดนใจ เราจะหยิบมาอ่าน  แต่เล่มไหนที่ขึ้นหัวได้ไม่ถูกใจ โดนใจ เราจะปล่อยวางไว้อย่างนั้น  ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเวลาเดินผ่านใครพูดได้เพราะ พูดได้น่าฟัง เราจะหยุดยืนฟัง  แต่ถ้าพูดแล้วเสียงกระโชกโฮกฮากไม่น่าฟัง  เราอยากเดินหนี ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเป็นอย่างนี้แปลว่าเราชอบฟังเสียงที่สนับสนุนความคิดเห็นของตนเอง  ความเชื่อมั่นของตนเอง เราชอบฟังเสียงที่พ้องต้องใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  

เมื่อไรที่เราชอบแต่เสียงที่พ้องต้องใจ และสนับสนุนความเชื่อ  ความคิดของเรา นั่นคือเรายังยึดติด ยึดมั่น ถือมั่น  ยังหลงในความรู้และความเป็นตัวตน  ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อไรที่เราอ่านหนังสือ แล้วอ่านแต่วรรคที่เราชอบใจ วรรคที่ไม่ชอบใจไม่อ่าน ข้ามไป  มองไม่เห็น  ไม่สน ไม่แยแส นั่นแปลว่าเรายังชอบที่จะเลือกที่รักมักที่ชัง  นั่นแปลว่า เราไม่พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินว่าเรียนรู้  เราจะเรียนรู้แต่สิ่งที่เราชอบ  สิ่งที่เราปรารถนาถูกหรือไม่ (ถูก)  
แล้วคนที่เลือกแต่สิ่งที่ตาอยากดู หูอยากฟัง ใจอยากได้ยินจะเข้าใจอะไรได้อย่างถ่องแท้ไหม ไม่มีทางใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะทุกวันหูเลือกแต่เสียงที่อยากฟัง  ตาเลือกแต่สิ่งที่อยากมอง  ใจเลือกสัมผัสแต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้อง  แต่สิ่งที่ไม่ใช่  ไม่เคยคิดที่จะพยายามไขว่คว้า และค้นหาเลย  เราเรียนรู้โลกด้านเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องรู้จักที่จะเรียนรู้โลกทั้งสองด้านให้เป็น  ถ้าเราเข้าใจโลกด้านเดียว อีกด้านหนึ่งเราไม่เข้าใจ หัวใจเราก็ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม  หัวใจเราจะเป็นหัวใจที่มีอคติอยู่ในใจ เป็นมุมมองที่มองด้านเดียว  แต่ไม่ใช่มุมมองที่เรียนรู้แล้วพร้อมจะเปลี่ยนเป็นมุมมองอื่นๆ อีกต่อไป  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ว่ามาตรฐานความรู้ ความเข้าใจที่ท่านมีอยู่นั้นจะเป็นสิ่งที่ดี  แต่อย่าลืมว่าการเรียนหลักธรรมนั้น  ไม่มีมาตรฐานอะไรชัดเจน  จริงไหม (จริง)  ถ้ามีที่ๆ หนึ่งที่ทุกคนเป็นคนขยัน แต่มีอีกคนหนึ่งขยันเป็นพิเศษ เขาก็ได้รับคำชม แต่ถ้าวันนี้ทุกคนในห้องไม่ขยัน แต่คนนี้ขยันทำงานแบบธรรมดา เขาก็ได้รับคำชม นั่นแปลว่ามาตรฐานคำชมอยู่ที่ใด เห็นไหมว่าแค่เรื่อง ๆ เดียวมาตรฐานยังวัดไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันสิ่งที่เรารู้และมั่นใจว่าถูกต้องและดีแล้ว แน่ใจหรือว่าจะถูกต้องตลอดไปและดีแล้วตลอดไป ต้องเป็นความรู้ที่สามารถต่อยอดให้รู้จักมุมอื่น ๆ ได้ถึงจะถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเป็นความรู้ที่มีหนึ่งแล้วสามารถแทงตลอดได้ถึงสิบ ไม่ใช่เป็นความรู้ตายตัวอย่างพลิกผันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  
เหมือนดังคำกล่าวว่า “มี” ของมนุษย์คืออะไร  ถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน ซึ่งไม่เคยมี วันนี้ก็เรียกว่ามี แต่ถ้าเปรียบเทียบวันนี้กับอนาคต สิ่งที่มีตอนนี้อาจจะน้อยสำหรับอนาคตหรือเรียกว่าไม่มีก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราแสวงหาเพื่ออะไร เพื่อวิ่งวนไปอย่างไม่รู้จบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดตามทันไหม แล้วเคยไหมว่า ตอนแรกบอกว่าไม่มี แต่ตอนนี้มี แต่ไปๆ มาๆ สู้ไม่มีเหมือนตอนแรกดีกว่า จริงหรือไม่
เรายกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งนะ มีชายคนหนึ่ง มีลูกและมีภรรยา  วันหนึ่งลูกเขาป่วยตายกะทันหัน เขาทำพิธีฝังศพลูกเสร็จแล้วก็เดินออกมา ไปนั่งกินลมชมวิว และผิวปากอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน เพื่อนบ้านกลับมองเขาด้วยสายตาดูถูกและเหยียดหยาม ถามเขาว่า “ลูกตายทั้งคนยังมีอารมณ์มานั่งผิวปากอีกหรือ” เขากลับตอบว่า “ก็เมื่อก่อนไม่มี ตอนนี้มี และปัจจุบันนี้กลับไปไม่มีเหมือนก่อน เศร้าอะไรเล่าใช่ไหม”
ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์ที่ทุกข์อยู่นี้ ทุกข์อยู่กับสิ่งที่แต่ก่อนไม่มี แล้วได้มี และวันนี้สูญเสีย กลายเป็นไม่มีเหมือนเดิม แล้วทุกข์ทำไม เรากำลังกลับคืนไปสู่ความเป็นธรรมดาที่ไม่เคยมีใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนเสียใจกับลูกที่ไม่ได้ดังใจ หลายคนเสียใจกับอดีตที่ไม่เป็นดั่งหวัง หลายคนเสียใจกับสามีภรรยาที่ไม่เป็นดั่งใจ  แต่เรากำลังเสียใจกับสิ่งที่แต่ก่อนมันก็ไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นว่ากันให้ถึงที่สุดแล้ว แต่ก่อนเราไม่มี เพื่ออยากมี แต่ตอนนี้ เรามีแล้วกลายเป็นไม่มี เรากลับทำใจไม่ได้ แล้วชีวิตนี้ ไม่ใช่กำลังเดินไปสู่ความไม่มีหรอกหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรามีมากๆ เพื่อเสียใจมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีมากๆ เพื่อให้รู้จักคำว่าเสียใจมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำร้ายตัวเองทั้งนั้นเลยถูกหรือไม่  (ถูก) มนุษย์ถ้าพึงพอใจอย่างธรรมดาสามัญ ก็คงไม่ต้องทุกข์มากอย่างปัจจุบันนี้
เข้าใจสิ่งที่เราพูดไหม (เข้าใจ)  อย่างนั้นท่านคงไม่ดูถูกเหยียดหยามชายคนที่ผิวปากได้แม้กระทั่งลูกเสียชีวิตไป เพราะเขาได้สะท้อนความเป็นจริงแห่งชีวิตว่า “ก็แต่ก่อนผมไม่มีลูก ตอนนี้มีลูก แล้วก็ไม่มี ผมจะเสียใจอะไร”  ฉะนั้นสรรพสิ่งในชีวิตนั้น มาเพื่อให้เรียนรู้ มาเพื่อให้เข้าใจถ่องแท้ว่า ถึงที่สุดแล้วเราเกิดมาเพื่ออะไร  เพื่อมีทุกข์และแจ้งในทุกข์ ไม่ใช่หรือ (ใช่)
ถ้าให้ใครในชั้นนี้ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ต้องอยากได้อะไรเลย ไม่หวังจะมีอะไรเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเรามีทุกข์เพื่อแจ้งในทุกข์และดับในทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น เมื่อเราห้ามไม่ได้ในความอยากของคน ห้ามไม่ได้ในความอยากของหัวใจ  เราก็จะต้องเข้าใจหลักของหัวใจเรา  เรามีเพื่อทุกข์ เราทุกข์เพื่อพ้น เราพ้นเพื่อกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
เรามีชีวิตอยู่ บางครั้งพยายามหาความสมบูรณ์ที่สุด แต่ยิ่งหาก็กลายเป็นยิ่งพร่องที่สุด ฉะนั้นจงยอมรับเถอะว่า สิ่งที่พร่องที่สุดคือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด จะได้สิ่งหนึ่งมาก็ต้องเสียสิ่งหนึ่งไป วันนี้อยากได้แก่นแท้แห่งความผาสุกก็ย่อมสูญเสียความสนุกสนานรื่นเริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้ฟังยากลำบากและทรมานไหม (ไม่ลำบาก)  ไม่ลำบากแน่นะ และยังอดทนไหวไหม (ไหว)   แม้จะอีกสองวันใช่หรือไม่ รู้ว่าวันนี้กว่าจะผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง  หนึ่งชั่วโมงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เหมือนกับที่เราบอกตั้งแต่ต้นว่า ในโลกนี้ ไม่มีเรื่องยากสำหรับผู้ตั้งใจและพยายาม ความอดทนจะพาให้มนุษย์ไปในสิ่งที่สูงที่สุดและดีที่สุด ถ้ามนุษย์รู้จักยืนหยัดอย่างถูกต้องและดีงาม
วันนี้เป็นแค่การเริ่มต้นศึกษาธรรม  เราจะยังไม่พูดมากเท่าไร เพราะว่ารู้ว่าแต่ละท่านนั่งฟังด้วยความอดทน และเหน็ดเหนื่อย ใช่ไหม  อย่างนั้นวันนี้ การมาผูกบุญสัมพันธ์กันจึงขอเป็นเรื่องสั้นๆ เท่านี้ เวลาทางโลกจะไม่มีผลต่อจิตใจ  ถ้าคนผู้นั้นรู้ว่าตัวเองกระทำสิ่งใด จะเร็วจะช้าถ้าใจตั้งใจแล้ว เวลาเร็วช้าก็ไม่มีผลต่อหัวใจ แต่ถ้าไม่มีใจ แม้เวลาเร็วก็ยังบอกว่าช้า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เราบอกว่าสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดคือสิ่งที่พร่องที่สุด สิ่งที่เต็มเปี่ยมที่สุด คือสิ่งที่ว่างเปล่าที่สุด เอาไปคิดเป็นการบ้านดีไหม นึกออกหรือเปล่า  สิ่งที่พร่องที่สุด คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด ก็คือหัวใจของท่าน  สิ่งที่ดูไม่มีที่สุดก็คือสิ่งที่มีที่สุด แต่อยู่ที่ว่าเราหาพบหรือเปล่า แล้วเรามุ่งหัวใจไปทางใด ถ้ามุ่งคิดว่าไม่มีท่านเติมอย่างไรก็ไม่มีวันเต็มได้ จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเมื่อไร บอกว่ามีแค่คำเดียว เต็มทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นใช่ไม่ใช่ที่สิ่งที่พร่องที่สุด คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด ถูกหรือเปล่า (ถูก)  
พอกลับมาประโยคนี้ก็งงเหมือนเดิม ลองไปพิจารณาให้ดีนะ เหมือนน้ำทะเลที่ตักอย่างไรดูเหมือนจะลดไหม (ไม่)  หัวใจของเราเอามาใช้ให้เต็มที่ ความสามารถของเรา เอาออกมาใช้ให้เต็มที่ ลดไหม (ไม่ลด)  ทำไมยิ่งใช้กลับยิ่งมี ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเราบอกว่าเราทำไม่เป็นเลย เราทำไม่ได้เลย เชื่อไหมว่าหาเท่าไรก็หาไม่มี จริงไหม (จริง)  ฉันใดก็ฉันนั้น สิ่งที่ไม่มีที่สุด ก็คือสิ่งที่มีที่สุดนั่นเอง  เข้าใจหรือยัง  ก็เหมือนฟ้าที่กว้างๆ จะบอกว่ามีไหม ก็มี จะบอกว่าไม่มีก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะบอกว่าท่านสมบูรณ์ไหม ก็ทั้งสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อจะให้ฟ้าทำงานก็ทำงานได้อย่างเต็มที่ ถึงเวลาพระอาทิตย์ก็มา ถึงเวลาฝนก็มา แล้วท่านต่างอะไรจากฟ้า มองแล้วดูไม่มี แต่เดี๋ยวก็มีความรัก เดี๋ยวก็มีความโกรธ เดี๋ยวก็มีความโลภ เดี๋ยวก็มีความหลง แต่ในบางครั้งไม่คิดอยากโกรธ ไม่คิดอยากโลภ และไม่คิดอยากหลง แล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย จริงหรือเปล่า
แต่พออยู่ๆ เห็นใครทำอะไรให้ไม่พอใจ โกรธมาจากไหน โลภมาจากไหน อยากมาจากไหน หลงมาจากไหน ใช่มาจากสิ่งที่ไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถึงเวลาเราจะกลับไปสู่ความไม่มี ไม่ได้หรือ (ได้)  ก็ได้นี่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราคือสิ่งที่ไม่มี แต่พยายามยัดเยียดให้ตัวเองมีอยู่ทุกวัน แท้จริงแล้วตัวท่านในที่นี้ไม่มีนิสัยอะไรที่น่าเกลียด แต่ยัดเยียดความน่าเกลียดให้ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อใดที่เราอยู่เฉยๆ ไม่คิดอยาก ไม่คิดโลภ ไม่คิดโกรธ ไม่คิดหลง นั่งนิ่งๆ ก็สบายอารมณ์ สบายใจ นั่นคือจิตแห่งพุทธะได้บังเกิดแล้ว คือจิตพุทธะที่อยู่ในตัวท่าน  ตอนนี้เมฆหมอกได้หายไป จิตพุทธะได้บังเกิดแล้ว แต่เราไม่รู้ว่านั่นคือจิตแห่งพุทธะ ใช่ไหม(ใช่)
จิตแห่งพุทธะคือผู้ที่เอาชนะหัวใจของตนเองได้เท่านั้นเอง อย่างนั้นวันนี้ศึกษากันแค่นี้พอไหม (ไม่พอ)  วันนี้เราเริ่มจุดความเข้าใจท่านได้อย่างหนึ่ง แต่ความเข้าใจนี้ต้องเป็นความเข้าใจที่สามารถมองทะลุมุมๆ อื่นให้ได้ แม้หนึ่งน้อยนี้ก็มีค่า ถ้ารู้จักสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ แม้หัวใจดวงเล็กๆ ดวงนี้ที่เคยสกปรก เคยเลวร้ายขนาดไหน เราก็ยังเชื่อว่านั่นก็คือสิ่งที่ดีในหัวใจ แต่เพราะหัวใจถูกอะไรบดบังไปต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ เป็นการยากที่จะได้มาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน นับว่าท่านมีบุญไม่น้อยเลย อย่าดูเบาบุญของตนเองอันน้อยนิดนี้ แม้น้อยนิดก็กลับไปยิ่งใหญ่ได้  ด้วยการรักษาให้ดีตลอดไปใช่ไหม (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๙ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
    พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

    วันนี้มาแสนยินดีได้พบหน้า    ผูกสัมพันธ์ด้วยธรรมาอันสดใส
แต่กลัวท่านหาว่าเราลวงหลอกใจ    ก่อนจากไปขอให้ท่านตรองให้ดี
        เราคือ
    เสี่ยวผีเซียนถง        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานลำปาง  แฝงกายกราบ
องค์มารดา    ถามทุกท่านอิ่มไหม

    เรื่องของคนคนไปก็คนมา    ฟังความเห็นเป็นคนกล้าสง่าศรี
เพราะว่าคนก็คือรากความดี    ทุกความดีมีคนจึงงดงาม
จงเป็นคนเห็นคนในสายตา    ดวงปัญญาไม่ใช่คนไม่ต้องถาม
รู้หรือไม่คนเป็นญาณสมบูรณ์งาม    โดยไร้ความต่ำศักดิ์แต่อย่างใด
อยู่เหนือชั้นเหนือความทุกข์ไม่มี    จงรู้ที่บำเพ็ญอย่ารอจนสาย
วิธีการดูที่ไหนหาทั่วไป    แต่ว่าใครรู้ค่ามากกว่ากัน
ชอบปรุงเครื่องของข้าวก็ปรุงแต่ง    วัตถุแย่งใช้ไปที่ใจยึดมั่น
คนแย่กว่าคนสิ่งเพื่อเราสำคัญ    โลกหลายสิ่งเหลื่อมกันคนเน้นชัดเจน
เคยไม่พอเคยไม่พอรู้จักให้    ไม่ขอใครขอเที่ยงสิ่งควรเป็น
จงรู้ให้มาก่อนที่รับเป็น    รักลำเค็ญทนไม่อยู่รักมักพัง
จงตื่นอยู่กับตนที่ตรงใจ    ห้ามใจไม่อยู่สิ่งฝันอย่าหวัง
ใจที่ฝึกเองมาย่อมมีกำลัง    บำเพ็ญดั่งคล้ายเสื่อมไม่เลิกตั้งใจ
            ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ผู้บำเพ็ญที่ดีต้องรู้จักอยู่เหนือกาลเวลา จิตใจที่ฝึกมาดีแล้วจะสามารถอยู่เหนือกาลเวลา แม้กาลเวลาก็ไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ ในเมื่อเราบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้น เราบำเพ็ญเพื่อไม่ยึดติด บำเพ็ญเพื่อปล่อยวาง ฉะนั้นแม้แต่กาลเวลาก็ไม่มีผลต่อจิตใจของเรา ถ้าเรารู้จักควบคุมสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในมือเรา ใช่หรือไม่  
ฉะนั้นเรื่องราวบางอย่างเมื่อหันกลับมามองตนเอง เราโลภเกินไปไหม เราอยากมากเกินไปไหม  เพราะโลภ เพราะอยาก เพราะรัก เพราะหลง เราจึงต้องติดอยู่กับกาลเวลาติดอยู่กับคน ติดอยู่กับสิ่งของ เวียนไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยความโลภ ปล่อยความรัก ปล่อยความหลง ให้เบาบาง เวลาก็ทำอะไรเราไม่ได้ คนก็ทำให้เราเจ็บไม่ได้ สิ่งของก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
อิ่มแล้วก็ได้ผ่อนคลายแล้วใช่ไหม  เมื่อสักครู่เต้นจนลืมวัยเลย ใช่หรือเปล่า ก็ดีเหมือนกันนะไม่ต้องแคร์สายตาใคร ไม่ต้องนึกถึงสิ่งใด เต้นไปเถอะสบายใจดี บางทีความเป็นตัวเรา ความกังวลทางโลกภายนอกทำให้เราสนุกได้ไม่เต็มที่ เต้นได้ไม่ออกรสออกชาติใช่หรือไม่ (ใช่)  
ก่อนที่จะคุยธรรมะกับเรา เราลองหยั่งถามภูมิปัญญาธรรมท่านก่อนดีไหม (ดี)  เราเห็นเด็กๆ ชอบถามอะไรเอ่ย  ถ้าเช่นนั้นเราถามท่านบ้างอะไรเอ่ยที่ทำให้ใจของคนกว้างได้สุดประมาณ ยิ่งให้ก็ยิ่งกว้างๆ  ให้อะไรที่ทำให้มนุษย์กว้างได้สุดประมาณ
(ธรรมะ) ธรรมะอะไร (น้ำใจ)  ให้น้ำใจทำให้เรากว้างไหม จากแคบก็กว้างขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากให้น้ำใจบ่อยๆ แล้วถูกคนต่อว่ากลับมา จากที่กว้างก็หุบไม่อยากให้อีกเลย  แล้วให้อะไรที่ทำให้เราใจกว้างอีก และให้ได้เรื่อยๆ
(ให้ความรัก)  แต่เราเห็นคนบางคนยิ่งให้ความรักยิ่งใจคับแคบนะ เธอต้องรักฉันคนเดียวห้ามไปรักคนอื่น
(ให้ทาน)  ให้ทานทำให้เรากว้างขึ้นๆ หรือเปล่า  ถ้าเห็นขอทาน
ก๊วนนี้ที่แท้โกงก็เสียใจไม่อยากให้เลย พอจะให้ทานต่อไปก็เลยคิดแล้วคิดอีกไม่กล้าให้อีกใช่ไหม
(ให้อภัย) ให้อภัย ตอบได้ดีนะ ลองคิดดูหากใครทำให้โกรธ ใครทำให้แค้น ใครทำผิด ใครทำไม่ดี เราให้อภัย คิดอย่างเดียวให้อภัย ที่ใจแคบ ทนไม่ได้ แต่ให้อภัย ใจจะไม่ยอมแคบลง เพราะนึกอย่างเดียวว่า อภัยไว้ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงแม้จะไม่กว้างกว่านี้แต่ก็รู้สึกว่าเป็นธรรมะที่ใช้ได้ มีอะไรอีกที่ทำให้เรากว้างอีก  ลองคิดดู
(ความเมตตา)  ความเมตตาก็เป็นสิ่งที่ดี  และก็แปลว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลก แต่มนุษย์นั้นมักจะเป็นเมตตาลำเอียง ในบ้านมากหน่อย นอกบ้านน้อยหน่อย ตัวเองเมตตามากหน่อย ผู้อื่นเมตตาน้อยหน่อย ตัวเองยังไม่รอด อย่าเพิ่งไปเมตตาคนอื่นเลย ฉะนั้นเมตตาเลยไม่ค่อยกว้างนะ
(ให้อนุตตรธรรม)  แต่ว่าให้แล้วใช่ว่าจะทำให้ทุกคนใจกว้างนะ ถ้าเขายังไม่เข้าใจ เราเห็นว่ามีหลายคนให้ไปแล้วยังเหมือนเดิม  ไม่แก้อะไรให้ดีไปกว่าเดิมเลย
(ให้โอกาส)  ให้โอกาสตอบได้ดีไหม (ดี)  เขาผิดเราก็ยังให้โอกาส เขาจะเลวเขาจะร้ายอย่างไรเราก็ยังให้โอกาส ให้โอกาสก็เป็นสิ่งที่ดีนะทำให้เราใจกว้างขึ้นถูกไหม ถ้าเขาขโมยของยังจะให้โอกาสเขาอยู่ในบ้านไหม คิดหนักนะ (ยังให้โอกาสอีกครั้งหนึ่ง)  ครั้งสองครั้งสามไม่ให้แล้ว ถูกต้องนะเขาพูดได้ถูก ยังให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่งแต่เราต้องรู้จักมอบหน้าที่อะไรที่จะทำให้เขาไม่ขโมยสิ่งนั้น แต่เป็นการรักษาสิ่งนั้นให้อยู่กับตัว
(ให้ปัญญา)  การจะให้ปัญญาได้จะต้องให้ความรู้ แต่หลายคนพอมีความรู้แล้วกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ ใช่หรือเปล่า ยิ่งฉลาดยิ่งเจ้าเล่ห์ ยิ่งฉลาดยิ่งหาทางเอาตัวรอดมากกว่าที่จะช่วยเหลือคน ให้ปัญญาไม่สู้ให้คุณธรรมนะ
(ให้อะไรก็ได้ที่ไม่ยึดติด)  เขาตอบให้เราคิดนะ ให้เราคิดเองว่า ให้อะไรก็ได้ที่ไม่ยึดติดก็คือปล่อยให้เขาไปตามที่เขาควรจะเป็น ควรจะมี ใช่หรือไม่ ยังไม่ค่อยถูกนะ
(ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน)  ตอบได้ดีนะ  
(ให้เวลา)  จริงๆ มีแต่ฟ้าที่ให้เวลาคน ถึงเราให้เวลาแต่ถ้าชะตาเขาหมดแล้วให้ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ลูกอยากได้เวลาจากพ่อแม่ หรือกับครอบครัว บางทีเราอยากให้คนนี้ให้เวลากับเราหน่อย ทำให้ใจกว้างได้ไหม ไม่ค่อยเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้มนุษย์ใจกว้างนะ
(ให้คำสั่งสอน)  ให้คำสั่งสอนหรือ เวลาที่เรายืนอยู่ที่พื้นระนาบทั่วไปมองเห็นสิ่งต่างๆ ก็จะมองเห็นได้อย่างเหลื่อมล้ำและแตกต่าง คิดง่ายๆ เวลาเรายืน อยู่ระนาบทั่วไปเราก็จะเห็นคนนี้สูง คนโน้นเตี้ย คนนี้อ้วน คนนี้ผอม คนนี้ขาว คนนี้ดำ โน่นชาย นี่หญิง แต่เมื่อไรที่เราขึ้นไปสู่ที่สูงเราจะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสูง ต่ำ ดำ ขาวล้วนเป็นสิ่งเล็กเหมือนกันหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่จะยิ่งใหญ่ขนาดไหนเมื่อเราขึ้นสู่ที่สูง มันก็ไม่ต่างจากเล็กเท่าไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่เราเคยคิดว่า สำคัญตอนเรายืนระนาบเตี้ย  แต่พอเราอยู่ที่สูงก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เล็กเท่าไรเลยใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าหัวใจเรายิ่งยกได้สูงมากเท่าไร การมองสรรพสิ่งก็จะสามารถมองได้อย่างเที่ยงตรง บริสุทธิ์ ยุติธรรมมากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหัวใจเรากว้างมากเท่าใด การมองสรรพสิ่งก็จะมองได้อย่างเสมอภาคและมีมุมมองที่รอบคอบมากยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการรู้จักทำใจให้กว้างและยกใจให้สูงขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ควรรู้ไว้ตั้งแต่บัดนี้  วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น  แล้วการจะยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้นั้นทำอย่างไร  ก็อย่างที่เราบอก อะไรที่ทำให้ใจเรากว้าง เอามาใส่ เอามาทำให้เป็นนิจได้ไหม (ได้)
(ความเชื่อมั่น)  ความเชื่อมั่น คนยิ่งเชื่อมั่นอัตตายิ่งสูงใช่ไหม (ใช่)  พออัตตาสูงจะฟังใครไหม (ไม่)  เวลามองใคร คอจะเชิดเล็กน้อยประมาณสี่สิบห้าองศาเมื่อเวลามอง แล้วเวลามองจะมองไม่ตรงต้องมองเฉียงๆ เพื่อหยิ่งในท่าทีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ใช่ความเชื่อมั่น (การรู้จักปล่อยวาง)  การยึดมั่นถือมั่น เขาต้องเป็นอย่างนั้น เขาต้องเป็นอย่างนี้ ทำให้ใจเรายิ่งคับแคบ  แต่การรู้จักปล่อยวาง  แต่ปล่อยมากเกินไปก็ไม่ดี  เพราะปล่อยแล้วมันกังวล ใช่ไหม (ใช่)
อะไรที่คนในโลกต้องการ ไม่ว่าคนหัวดำหัวขาว มีผมหรือไม่มีผม เรียนมากขนาดไหน อายุน้อยจนอายุสูง  สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือ สิ่งที่ทำให้เราใจกว้างก็คือการให้ความเข้าใจ
(กรุณาปรานี)  กรุณาปรานี ก็คือเมตตา
(ความเสียสละ)  ความเสียสละก็ได้ ยิ่งเสียสละส่วนตัวมากเท่าไร เราก็จะได้เปิดใจกว้างมากเท่านั้น ยังไม่ค่อยใช่นะ
(สร้างบุญกุศล)  สร้างบุญสร้างกุศลหรือ ตอบไม่ถูกสักที
(ให้ความดี)  ให้ความดีเรื่อยๆ ทำให้เราใจกว้างใช่ไหม
จริงนะ ให้ความเข้าใจ แม้ผิดขนาดไหน เราก็อยากได้ความเข้าใจจากคนๆ นั้นใช่ไหม (ใช่)  คนที่เราเกลียดขนาดไหน ถ้าเราพยายามทำความเข้าใจเพราะอะไรเขาจึงเป็นอย่างนั้น ยิ่งพยายามคิดจะทำความเข้าใจว่าทำไมเขาจึงเป็นแบบนั้น หัวใจที่รับไม่ได้ก็จะเปิดกว้างใช่หรือไม่ (ใช่)  จะโกรธไหม (ไม่)  จะโกรธก็ไม่โกรธ  เพราะอะไรเขาถึงทำกับเราอย่างนั้น เพราะอะไรเขาถึงปฏิบัติกับเราอย่างนี้ เพราะอะไรโลกถึงทำให้ชะตาชีวิตฉันเป็นอย่างนี้  คิดอย่างเดียวว่าเพราะอะไรนะฉันจะต้องเข้าใจให้ได้ ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่ด่า ไม่ท้อ เข้าใจให้มากๆ มองแล้วเล็กเหมือนกันหมด  สิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่เมื่อเราอยู่ที่สูง มันก็ไม่ต่างจากเล็กเท่าไรเลย ใช่หรือไม่  เข้าใจแล้วก็ยิ่งเปิดกว้าง จริงไหม (จริง)  
“แต่กลัวท่านหาว่าเราลวงหลอกใจ   
ก่อนจากไปขอให้ท่านตรองให้ดี”
วันนี้แสนยินดีที่ได้พบหน้า มาผูกสัมพันธ์กันด้วยธรรมอันสดใส แต่ก็กลัวท่านหาว่าเราลวงหลอกใจ  ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปขอให้ท่านตรองให้ดีๆ นะ อย่างนั้นบ๊ายบาย ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ มาแป็ปเดียวก็ไปเลยได้ไหม
คนเราเกิดมาก็ต้องตายไป ถึงเวลามาก็ถึงเวลาไปใช่ไหม  ฉะนั้น เห็นกันน้อยๆ แหละดี เห็นมากๆ เบื่อแล้วก็เริ่มเห็นตับ ไต ไส้ พุง ใช่ไหม (ใช่)  พอรู้จักกันมากๆ ไม่เอาแล้ว ฉะนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ให้เห็นกันแป็ปเดียวดีกว่าเห็นนานๆ  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสอนท่าเต้นประกอบเพลง “กวดขันตนเอง” )
ร้องเพลง “กวดขันตนเอง” ที่เราเคยให้ได้ได้ไหม การบำเพ็ญก็คือการต้องย้อนทวนกระแสของจิตใจ ย้อนทวนกระแสของความอยากในโลก (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเตรียมแก้ว 1 ใบ กระจกส่องหน้า 1 อัน ตะกร้า 1ใบ)
ทำไมถึงต้องออกท่าเต้นรู้หรือเปล่า หากกินอิ่มแล้วจะง่วงนอนถ้านั่งเฉยๆ จริงไหม (จริง)  ต้องให้เหนื่อยสุดๆ แล้วจะหลับไม่ลง ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ก่อนที่จะศึกษาธรรมเราก็ต้องมารู้จักหัวใจเราก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านว่าหัวใจของเราเป็นอย่างไร  สมมติว่าเราให้ท่านเล่นเกมกับเราเกมหนึ่งก่อน  เกมนี้มีชื่อว่าทำอย่างไรให้เต็ม มีแก้ว 1 ใบ ตะกร้า 1 อัน กระจก 1 อัน ถ้าเป็นแก้วทำอย่างไรให้เต็ม ถ้าเป็นตะกร้าทำอย่างไรให้เต็ม ถ้าเป็นกระจกทำอย่างไรให้เต็ม  
ให้เวลาประมาณ 5 นาทีหาอะไรมาก็ได้ใส่ให้สามอย่างเต็ม  ท่านคิดว่ากระจกส่องอะไร (จิตใจตัวเรา)  ใส่จิตใจในกระจกเต็มไหม เราว่าเต็มนะ แต่เป็นหน้าท่าน  ท่านคิดว่าแก้วจะใส่อะไรให้เต็ม (น้ำ)  ตะกร้า (ใส่ผลไม้ให้เต็ม)  ใส่ผลไม้หนึ่งลูก สองลูก สามลูก สี่ลูก เต็มไหม ก็ยังมีที่ว่าง ไม่เต็ม ทั้งสามอย่างคือ ตะกร้า แก้ว กระจกทำให้เต็มได้ง่ายและไม่ง่ายใช่ไหม (ใช่)  เดี๋ยวเราค่อยมาไขปริศนา กระจก ตะกร้า แก้วน้ำ ทำอย่างไรให้เต็มนะ  ถ้าบอกว่าแก้วเติมน้ำอย่างไรก็ทำให้เต็มได้  แต่ตะกร้าทำอย่างไรให้เต็มใครคิดได้บ้าง ปัญญาของมนุษย์ทำอย่างไร
(เอาอะไรมาเคลือบตะกร้าไม่ให้รั่ว) การจะเติมสิ่งที่รั่วให้มันเป็นสิ่งที่สามารถเติมอะไรได้แล้วเต็มต้องอุดรอยรั่วก่อน ถูกไหม (ถูก)  ถ้าอุดรอยรั่วแล้วจะเติมอะไรแล้วก็เต็มง่าย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าให้หาในที่นี้ละ ท่านจะทำอย่างไร คิดออกไหม  เราเพิ่มปัญหาให้อีก ทำอย่างไรให้ห้องนี้เต็ม  ยากเข้าไปอีกนะ ทำให้ตะกร้าเต็ม ไม่ยากเลยนะถ้าหากระดาษมาสักแผ่นหนึ่ง แล้วพรมน้ำให้ติดๆ กันแล้วเอาทรายใส่ลงไป ใช่ไหม แล้วพรมน้ำไปอีก ก็จะยิ่งแน่นแล้วก็จะเต็มได้ ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนกระจกอันนี้ทำอย่างไรให้มันเต็ม  
จริงๆ แล้วเราจะบอกว่าของเหล่านี้ แล้วห้องใหญ่ห้องนี้คือหัวใจของทุกท่านในห้องนี้ บางคนเป็นเหมือนแก้ว บางคนเป็นเหมือนตะกร้า บางคนเป็นเหมือนกระจก บางคนเป็นเหมือนห้องกว้างๆ  
หัวใจบางคนเป็นเหมือนแก้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นคนรับอะไรก็ได้แต่มักจะเป็นคนที่จะรับดี หรือไม่รับดี ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วถามว่าทุกคนมีความว่างอยู่ในหัวใจพร้อมที่จะรับรู้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโลกได้ แต่เป็นบางอารมณ์ แล้วก็กับบางคน แล้วก็กับบางเรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะว่าอย่างไรก็รับแต่ไม่เอาดีกว่า ฟังแล้วไม่น่าสนใจไม่เอาดีกว่า หัวใจเราก็เลยไม่เอา  ถ้าเราคิดจะเป็นแก้วที่รู้จักรับรู้จักเลือก อย่าเรื่องมากเพราะว่าการเรื่องมากจะทำให้เราไม่รู้จักหัวใจแท้ๆ ของตัวเราจริงไหม (จริง)  ถ้าเรารู้จักรับมากเกินไปก็ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเวลารับมันง่าย แต่เวลาเทออกมันยาก แล้วพอรับแล้วดำปี๋ ทำใจยาก กว่าจะล้างออก  วิธีล้างไม่ยากเลยถ้ารู้สึกแย่ก็เติมความดีเข้าไปมากๆ เพื่อจะได้ถ่ายเทสิ่งที่ไม่ดีให้เอ่อล้นออกมาเอง เมื่อไรที่ใจได้ทำผิดทำพลาดไป ทำอย่างไรละถึงจะหายจากความรู้สึกแย่ เติมความดีเข้าไปมากๆ มันจะได้ถ่ายเทความรู้สึกที่แย่ในหัวใจเรา ใช่ไหม (ใช่)
ต่อไปใครเป็นเหมือนตะกร้า รับเก่ง ใช่ไหม (ใช่)  คนเป็นเหมือนตะกร้ารับเก่ง แต่รับแล้วจะมีคำว่า “ทำไมไม่ดีกว่านี้อีกหน่อยนะ” “ทำไมไม่มากกว่านี้อีกสักนิดหนึ่ง” “ทำไมเป็นอย่างนี้ละ” “ทำไมเขาไม่เป็นอย่างนี้ละ”  “ทำไมเขาไม่เป็นอย่างนั้นละ” ทุกครั้งที่รับเรื่องอะไรจะต้องมีคำว่า “ทำไม” เพราะอะไร ใช่ไหม (ใช่)  เวลารับก็เลยมีรูรั่วอยู่ตลอดเวลา หัวใจก็เลยมีรอยรั่วอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามาในชีวิต ต้องหาให้พบคำตอบ ทำไมไม่เป็นอย่างนั้นละ ทำไมไม่ดีกว่าละ ใช่ไหม (ใช่)  เราก็เลยเป็นคนที่หัวใจนั้นเต็มไปด้วยรูพรุนเต็มไปหมด ชอบถามว่า ทำไมหนอ ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ก็เลยไม่รู้จักพอใจอะไรสักที ใช่ไหม (ใช่)
แล้วกระจกอันนี้ละ ไม่บอกละนะ คิดเองบ้าง ยากและก็ง่ายที่สุด
รู้ไหมใจที่เหมือนกระจก หมายความว่าอย่างไร (ใจใสสะอาด, ส่องดูตัวเรา)  ส่องดูตัวเรา ใจที่เหมือนกระจกส่องดูตัวเราหรือ แล้วทุกวันส่องไหม (ส่อง)  ส่องนอกหรือส่องใน
หัวใจเราเป็นเหมือนกระจกไหม มองใครปุ๊บก็สะท้อนออก พอใครมี ใครเป็น ก็บอกว่าทำไมเขาไม่เป็นแบบนั้น ทำไมเขาไม่เป็นแบบนี้  แต่ลืมเอากระจกหันกลับมาว่ามองตัวเองก่อนที่จะถามว่าทำไมเขาไม่เป็นอย่างนั้น เคยสะท้อนถามตัวเราไหมว่าเพราะอะไรเราถึงพูดแบบนี้แล้วเขาถึงตอบเรากลับมาอย่างนี้ เสียงที่เขาพูดมาแบบนั้นเรามักสะท้อนกลับออกมาว่าทำไมเขาถึงพูด ทำไมถึงว่าเราแบบนี้  ทำไมโลกถึงเป็นแบบนั้น แต่เราเคยถามไหมว่าที่เขาเป็นแบบนั้น ที่โลกเป็นแบบนี้ใช่ไม่ใช่เพราะเราหน้าตาอย่างนี้ ถูกไหม (ถูก)  หัวใจของเราจึงถนัดเป็นกระจกสะท้อนคนอื่นมากกว่าที่จะหันกลับมาย้อนมองตัวเอง
แล้วกระจกดวงนี้ก็เลยเป็นหัวใจที่เติมอะไรไม่เต็มเพราะบอกว่าเขามีๆ   ฉันไม่มีเลย ถึงตัวเองจะเติมเท่าไรๆ ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีเพราะไม่เคยหันกลับมามองดูตัวเองจริงๆ เลยว่ามีหรือไม่มี  เขาดีกว่า เขาเด่นกว่าเขาเก่งกว่า แต่เคยถามตัวเองไหมว่าจริงๆ ตัวเองก็มีดี มีเก่งเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วเราชอบเป็นกระจกที่ชอบส่องใครหรือเปล่า
อย่างนั้นใครหัวใจเป็นดั่งแก้วอย่าบางมากนะจะแตกง่าย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วหัวใจใครเป็นดั่งตะกร้า แล้วหัวใจใครเป็นดั่งกระจกเงา
ห้องๆ นี้ทำอย่างไรให้เต็ม  ถ้าตอบแบบไม่คิดธรรมะ ก็คือหาอะไรมาใส่ให้เต็มใช่หรือเปล่า (ทุบ) ทุบเลยหรือ
(เปิดประตูหน้าต่างรับสิ่งที่ดี เหมือนกับเปิดหัวใจรับสิ่งที่กว้างขวาง)  เปิดประตูหน้าต่างรับสิ่งที่ดี ถ้าเอาแต่ปิดประตู หน้าต่างแล้วจะเต็มไหม ฉะนั้นเปิดประตู เปิดหน้าต่างเดี๋ยวก็เต็ม ตอบได้ดีจนเราคาดไม่ถึงเลย  (ชวนคนมารับธรรมะเยอะๆ) เต็มแล้วยังเคยชวนมาให้เต็มไหม (ชวนยากเหลือเกิน)  หลอมหัวใจของทุกคนให้เป็นดวงใจเดียวกัน แล้วมันก็จะเต็มห้องเองใช่ไหม
(ความสามัคคี) ความสามัคคีทำให้ห้องเต็มไหม (เต็ม) เวลามีงานธรรมะก็ชวนกันมา ห้องพระนี้ไม่เคยปิด ประตูเปิดทุกวัน แต่ไม่ค่อยมีคนเดินเข้ามา ประตูเปิดทุกวันท่านมาทุกวันไหม (ไม่มา) เขาให้โอกาสแล้วแต่ท่านไม่ให้โอกาสตัวเองมาใช่ไหม แล้วคราวหน้าจะให้โอกาสตัวเองมาไหม (มา) มากี่ครั้ง (หลาย ๆ ครั้ง) เดือนหนึ่งกี่ครั้ง หรือปีหนึ่งหลาย ๆ ครั้ง
การทำห้องนี้ให้เต็มทำอย่างไร จริงๆ แล้วมีหลายวิธีนะ วันนี้เรามาศึกษาธรรม ร่วมแลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน อย่าเอาแต่ฟังเราอย่างเดียว เพราะฟังเราอย่างเดียวท่านก็บอก ใช่หรือไม่ใช่ ฉะนั้นสู้แลกเปลี่ยนคำถามกันดีกว่า การทำห้องนี้ให้เต็มทำอย่างไร ถ้าพูดกันตามง่าย ๆ ก็ ปิดไฟ ปิดประตูให้แน่น แล้วจุดเทียนกลางห้อง สว่างไหม ความสว่างจะทำให้ห้องนี้เต็ม กับอีกแบบหนึ่งให้เราเงียบพร้อมกัน แล้วสักพักพูดพร้อมกันว่า ไชโย ดังๆ ถ้าเราร้องได้เต็มเสียง ร้องได้เต็มกำลัง ห้องนี้ก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พลังที่ปลุกเร้า วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่อกระตุ้นศักยภาพแห่งความดีงามในหัวใจเราให้กลับมาบังเกิดอีกครั้ง หลังจากที่เราทอดทิ้ง ไม่ค่อยดูแล ไม่ค่อยรักษา วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่อกระตุ้นศักยภาพแห่งความดีงามให้กลับคืนมาสู่หัวใจเรา ความเงียบนี้เป็นเงียบที่จะพร้อมจะเริ่มต้นเต็มที่ เต็มเสียงและเต็มพลัง ยิ่งถ้าเราร้องไชโยเสียงดัง บางทีคนแค่เดินผ่าน จะทำให้เขารู้สึกว่าห้องนั้นมีอะไรเกิดขึ้น ในนั้นมีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่าในนั้นเขาทำอะไรกันน่ายินดี  
ฉะนั้นเสียงบางเสียงถ้าปลุกเร้า บางทีก็สะท้อนคนที่เดินผ่านไปให้รู้สึกก็ได้จริงไหม (จริง)  การกระทำก็เหมือนกัน  บางครั้งก็สะท้อนคนข้างๆ โดยไม่รู้ตัวก็ได้
เมื่อเรารู้และเข้าใจหัวใจเราแล้ว สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ต่ออีกอย่างหนึ่งก็คือหัวใจของคนข้างนอก  หัวใจของสรรพสิ่ง  การดำเนินชีวิตอยู่ในโลกถ้าเราไม่เข้าใจตัวเอง และเอาตัวเองไปเดินอยู่ข้างนอกก็ง่ายที่จะหลงทาง จริงไหม (จริง)  
ฉะนั้นเราต้องเข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่น หรือดังที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ถ้าเลี้ยงดูตัวเองให้ดีไม่เป็น ไปเลี้ยงดูใครเล่า” ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายังดูแลหัวใจและร่างกายตัวเองให้ดีให้งามไม่ได้เราจะไปนำพาชีวิตใครให้ดีให้งามได้เล่าถูกหรือไม่ (ถูก)  และตอนนี้เข้าใจหัวใจตนเองบ้างหรือยัง เป็นแก้ว เป็นตะกร้า เป็นกระจก หรือพร้อมจะเป็นห้องกว้างๆ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเรียนรู้โลกภายนอกบ้างดีไหม (ดี)  การจะเรียนรู้ภายนอกอย่าลืมว่า เมื่อมีมากก็ต้องมีส่วนที่เรียกว่าน้อย เมื่อมีส่วนที่เรียกว่านอก ก็ต้องมีส่วนที่เรียกว่าใน  เมื่อมีส่วนที่เรียกว่าใหญ่ ก็ต้องมีส่วนที่เรียกว่าเล็ก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีส่วนที่เรียกว่าสำคัญ ก็ต้องมีส่วนที่เรียกว่าไม่สำคัญใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แท้จริงแล้วในโลกนี้เท่าเทียมกันไหม (ไม่)  ท่านว่าเท่าไหม (ไม่)  ระหว่างคนกับคนเท่าไหม (ไม่)  มีทั้งเท่าและมีทั้งไม่เท่าใช่ไหม (ใช่)  ไม่ผิดนะตอบอย่างไรก็ได้  ระหว่างคนกับคนมีเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ในร่างกายของเรานี้มีส่วนใดเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ใช่หรือไม่ ย่อมมีส่วนที่ไม่เท่ากัน  แต่เรื่องราวภายนอกนั้น พุทธะบอกว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าโชคดี โชคร้าย หรือไม่ว่าเรื่องได้หรือเรื่องเสีย พุทธะล้วนมองเท่าเทียมกันหมด  แต่มนุษย์เป็นผู้ให้คุณค่าที่แตกต่าง เรื่องราวจึงเกิดมีหลัก มีรอง  ทำไมพุทธะจึงบอกว่าเรื่องราวในโลกแท้จริงเท่าเทียมกันหมด แต่มนุษย์เป็นคนให้ความสำคัญ ไม่สำคัญ  หรืออีกอย่างที่ทำให้เรื่องไม่เท่าเทียมกัน คือมนุษย์ช่าง (เปรียบเทียบ)  เป็นเพราะว่ามนุษย์อดเปรียบเทียบไม่ได้  แล้วบางอย่าง ถ้าเกิดในโลกนี้เตี้ยมีมากกว่าสูง คนก็เลยรู้สึกว่าเตี้ยช่างสำคัญเสียยิ่งกระไร พอเรื่องบางอย่างอะไรในโลกมีมากก็ให้ความสำคัญมาก อะไรมีน้อยเราก็ให้ความสำคัญน้อยใช่หรือไม่ จึงทำให้โลกที่พุทธะบอกว่าจริงๆ แล้ว เท่าเทียมกันหมดนั้นเกิดความเหลื่อมล้ำและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในเมื่อกำหนดให้มันเหลื่อมล้ำแตกต่างมนุษย์ก็ต้องรู้จักจัดสรรให้เป็น ไม่อย่างนั้นความเหลื่อมล้ำแตกต่างที่มนุษย์แบ่งแยกไว้นั้นจะทำให้เราปวดหัวเอง จริงไหม (จริง)  เพราะว่าคุณค่าที่มนุษย์กำหนด อย่างเช่น แอปเปิลมีในมือลูกเดียว เราก็รู้สึกว่าแอปเปิลนี้สำคัญกับเรามาก แต่ถ้ามีคนซื้อมาให้เราอีกหนึ่งกิโล แอปเปิลใบเดียวนี้ก็ลดค่าไปทันที เพราะมีอีกหลายลูก กินเมื่อไรก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเราเปรียบเทียบความมากความน้อยจึงทำให้แตกต่าง
เหมือนกับมนุษย์กำหนดเสียงดนตรี โด เร มี ฟา ซอล เหมือนเสียงโด โด้ โด โด่ ฟังก็ไม่สนุกสนาน เมื่อมนุษย์กำหนดความแตกต่าง แต่ถ้าจัดสรรให้ลงตัว ก็เกิดเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะ เมื่อมนุษย์รู้คุณค่าความแตกต่างจัดสรรได้ลงตัวชีวิตก็ดำเนินได้ราบรื่น
อย่างเวลาเราอยู่กับตัวเรา ตัวเรามีสิ่งที่เรียกว่าภายนอกและภายใน ตัวคนก็มีสิ่งที่เรียกว่าภายนอกและภายในเช่นเดียวกัน ถ้าสมมติเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งเราเน้นภายนอกมากกว่าเน้นภายใน เราก็กลายเป็นคนที่ วันนี้อยากกินแอปเปิล จะไปซื้อแอปเปิลมากินปรากฏว่าแอปเปิลมีหลายลูกเหลือเกิน ลูกนี้ก็สวย ลูกนั้นก็สวย เลือกไปเลือกมาเอาลูกนี้แล้วกัน พอกลับมาถึงผ่าแล้วกินแล้ว ไม่หวานเลย เราเพิ่งนึกได้ว่าลืมถามคนขายว่าแอปเปิลลูกไหนหวาน เราเป็นไหม (เป็น)  เหมือนกัน บางทีเราอยู่ในโลก โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าภายนอกและสิ่งที่อยู่ภายใน ถ้าเราไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ จับประเด็นไม่ถูกว่าวันนี้เราไปซื้อแอปเปิล เราต้องการอะไร อยากกินผลไม้หวานๆ แต่พอไปถึงกลับหลงประเด็น  แม่ค้าบอกว่า คุณๆ แอปเปิลแพง อย่าเอาแอปเปิล เอาส้มดีกว่า กลับมาบ้าน บอกว่าคนที่บ้านว่าได้ส้มมาแล้ว คนที่บ้านบอกว่า ไหนบอกว่าจะไปซื้อแอปเปิล “เอ้อลืม เขาบอกว่ามันถูกกว่า” เราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถ้าเป็นผลไม้ไม่มีปัญหา แต่เคยไหม จะไปหาคนๆ นี้  พอคุยไปคุยมาแล้ว เราคุยอะไรนี่  ตั้งใจจะทำอะไร จำไม่ได้ พอกลับไปถึงบ้าน เราก็คิดว่า “เราลืมได้อย่างไรนี่”  เป็นไหม (เป็น)  อันนี้ก็ยังพอให้อภัย ใช่ไหม (ใช่)  แต่เคยไหม ไปดึงเขามาทั้งชีวิต อยู่มาสิบปี “ไม่น่ามองผิดเลย” ความในใจสิบปี หลงประเด็น มองแต่ข้างนอก เป็นไหม (เป็น) ต้องถามคนมีคู่
ใช่ไหม (ใช่)  บางทีไปซื้อเสื้อกันหนาว ไปๆ มาๆ ได้เสื้อเชิ้ต เผอิญเสื้อเชิ้ตถูกกว่าเสื้อกันหนาว ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นอยู่ในโลก อย่าหลงประเด็นนะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะวิ่งวุ่นกับเรื่องนี้ ตกลงทำอะไรกันแน่ ตกลงทั้งชีวิตจะทำอะไร ตกลงทั้งชีวิตจะเอาอะไร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องถามตัวเองให้ชัดเจน เราจะได้ไม่มีชีวิตหลงทาง  แล้วเราเคยไหมกับคนกันเอง เราหลงทาง เราหลงประเด็น เช่น หวังอยากให้เขาได้ดี ลูกต้องอย่างนี้สิ คุณต้องแบบนี้สิ คุณต้องกินอันนี้สิ คุณต้องเดินอย่างนี้สิ  แต่เคยถามเขาไหมว่า หัวใจเขานั้นอยากได้อะไร มัวแต่หลง หวังจะให้เขามีรูปลักษณ์ภายนอกอันสวยงาม มีอนาคตสดใส แต่ลืมนึกถึงหัวใจเขาต้องการอะไร เป็นไหม (เป็น)  ใช่ไหม (ใช่)  แค่เรื่องเดียวเองนะ ในทางกลับกัน  พออยู่กันไปนานๆ เคยไหม ตับไตไส้พุงคุณฉันรู้หมด ตับไตเหลือขนาดไหน ฉันก็รู้หมด เวลาอ้าปากไม่ต้องพูด ฉันรู้หมด เป็นไหม (เป็น)  แต่บางทีรู้ภายในเกินไป เขาก็ทนไม่ไหว ใช่ไหม (ใช่) เหมือนกัน  เวลาอยู่กับคนมากๆ ถ้าเขาเข้าใจเราก็ดี แต่ไว้หน้ากันบ้างก็ดีเมื่อรู้จักใครมาก แล้วพอเขาจะพูดอะไร เราก็เริ่มนำไส้เขาออกมากองไว้เลย “คุณไม่ต้องพูดอะไรหรอก คุณพูด ฉันก็รู้แล้วว่าธาตุแท้ของคุณมีอะไรอยู่ข้างใน”  พอเราห้ามเขาไว้แล้วเราจะฟังได้ชัดเจนไหม เพราะว่าเราเห็นข้างในเขามากเกินไป เราเลยไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่ควรจะมีเพิ่มเติม เหมือนดั่งที่เขาพูดกันว่า อยู่กันนานๆ เห็นหมด อะไรเป็นอะไร  บางครั้งถึงเขาจะเสียสักร้อยดีแค่หนึ่ง เราก็ต้องรักษาหนึ่งดีของเขาเอาไว้ด้วย  อย่ามัวเห็นภายในจนลืมนึกถึงคุณค่าภายนอก อย่ามัวเห็นข้อเสียมากมาย จนลืมนึกถึงคุณค่าที่ควรจะมีเพิ่มเติมตรงที่เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงจากไม่ดีมาเป็นดี ใช่ไหม (ใช่)  นี่แค่คนหนึ่งกับคนหนึ่งนะ ใช่ไหม (ใช่)  อยากฟังอีกไหม (อยาก)  
เมื่อสักครู่เราบอกว่า กับเรื่องคนถ้าเราไม่รู้จักแบ่งแยกให้ดี เราก็จะให้ความสำคัญผิด แล้วท่านเคยไหมกับเรื่องที่เป็นตัวเรากับคนภายนอก ถ้าเราเป็นตัวของตัวเราเองมากเกินไปจนไม่ฟังเสียงของคนภายนอก เขาก็จะว่าเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว  แต่ถ้าเราฟังเสียงของคนภายนอกมากจนเกินไป เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง  ฉะนั้นการอยู่ในโลกระหว่างฟังเสียงภายนอก กับฟังเสียงหัวใจเราต้องให้สมดุล ต้องให้เหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะกลายเป็นคนไม่มีจุดยืน จนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
เหมือนวันนี้ท่านรู้ว่า ถ้าเติมคุณธรรมให้ชีวิต ชีวิตก็จะมีคุณค่า มีแนวความคิดที่ดีงาม  แต่ถ้าเราไม่รับผิดชอบเรื่องทางโลกแล้วมาทำหน้าที่ทางธรรมก็ไม่ถูกต้อง หน้าที่ทางโลกยังต้องทำอยู่ แต่หน้าที่ทางธรรมก็รู้จักมาเพิ่มเติมด้วย เหมือนกับที่มนุษย์ชอบเป็น ถ้ามนุษย์เราสุขมากเกินไปก็ทำให้เหลิง ทุกข์เยอะเกินไปก็ทำให้ชีวิตหมดสิ้นไม่เหลือ อาลัยอาวรณ์อยากจะตาย  
ฉะนั้นเมื่อมีความสุขก็ต้องเตือนตนเองอย่าลืมประมาทว่าเราอาจจะทุกข์ก็ได้ เมื่อไรที่เรามีความทุกข์ก็อย่าลืมเตือนสติตัวเองว่าไม่แน่ทุกข์นี้อาจจะหมด สักวันอาจจะมีสุขก็ได้  ฉันใดก็ฉันนั้นเมื่อไรที่เจอโชคดีอย่าลืมว่าก็มีโชคร้าย เมื่อไรที่เจอโชคร้าย อย่าลืมว่าไม่แน่สักวันเราอาจจะโชคดีก็ได้
ฉะนั้นเราควรมีชีวิตที่สมดุล ไม่ปล่อยให้อะไรเอียงสุดโต่งเกินไป อย่างเช่นเราเกลียดเขามากๆ ลองคิดให้ดีๆ เขาอาจจะมีอะไรดีและน่ารักก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักเขามากจนเกินไปจนปวดใจ เจ็บใจ คิดเสียว่าเขาอาจจะมีอะไรน่าเกลียดก็ได้ จะได้ไถ่ถอนไม่รักมากเกินไปจนต้องทุกข์  ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักสมดุล รู้จักแยกแยะเป็นแล้วก็ต้องรู้จักดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางระหว่างสองสิ่งนี้ให้ได้สมดุล ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะกลายเป็นคนที่มีชีวิตแล้วไม่รู้จักแยกแยะ ไม่รู้จักให้ความสำคัญอะไรก่อนอะไรหลัง กลายเป็นให้ความสำคัญผิดไป เคยไหมที่ของที่เรารักที่สุดหายไป เราถึงขนาดเกลียดคนๆ นั้นเพียงเพราะของสิ่งเดียว เคยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วของนั้นมันมีค่ามากกว่าความรู้สึกของจิตใจเขาหรือ  เหมือนทองเราหายไปเส้นหนึ่ง ชีวิตนี้อยู่กับเพื่อนสองคน ตั้งแต่นั้นมามองหน้าเขาไม่ติดเลย อย่างนี้เราให้ความสำคัญกับสิ่งของมากกว่าหัวใจคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดว่าทองหายก็หายไป คราวหน้าเราระมัดระวังกว่านี้หน่อย อย่างน้อยเราก็ไม่เสียเพื่อนเพราะความเข้าใจผิด เพราะคิดระแวง  สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ก็คือความคิดที่อยู่ในหัวใจ เวลาที่ปักใจเชื่ออะไรแล้วเปลี่ยนยาก จริงไหม (จริง)  ยิ่งถ้าเชื่อว่าเขาไม่ดี เคยเอาความดีของเขามาไถ่ถอนให้เรานั้นรู้สึกต่อเขาดีขึ้นไหม ก็ไม่เคย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็ยังจมปลักอยู่กับความไม่ดีของเขา เมื่อเราจมปลักกับความไม่ดีของเขา แทนที่เราจะได้มิตรกลายเป็นได้ศัตรู  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือให้เรารู้จักรักษาความสมดุลระหว่างความรักกับความเกลียดให้เหมาะสม อย่ามีอะไรจนมากเกินไป ดีไหม (ดี)  
ถ้าเรารู้จักบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมจะทำให้เรารู้จักดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและดีงาม ไม่ได้หลอกให้ท่านไปงมงายไร้สาระเลย  แล้ววันนี้เราหลอกท่านไหม (ไม่หลอก)  จะว่าหลอกก็ได้นะเพราะการเปลี่ยนแปลงหัวใจคนนั้นเปลี่ยนยาก เหมือนนิทานที่เราชอบเล่าให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่ง ซื้อวัวมาจากที่อื่นแล้วจะเอากลับบ้าน สามคนอยากได้วัวโดยไม่ต้องเสียเงินทั้งสามคนจึงคุยกันว่า เรามาทำให้เขาเห็นวัวไม่ใช่วัวดีไหม สามคนก็บอกว่าดีๆ  เดินไปข้างทางดักกันทีละคน ก่อนจะถึงบ้านเขาต้องทิ้งวัวแน่นอน คนแรกบอกว่า "ท่านซื้อตัวอะไรมาหน้าตาแปลกๆ"  เขาก็บอกว่า  "วัว วัว"  ผ่านไปคนที่สองบอกว่า "ตัวอะไรสี่ขา แปลกๆ บ้าไปแล้ว ซื้ออะไรมา" จากที่มั่นใจเขาก็เริ่มไม่มั่นใจ  พอคนที่สามบอกว่า  "ตัวนี้ไม่ใช่วัวหรอก ไปโดนเขาหลอกมาตัวอะไรก็ไม่รู้" เขาเชื่อไหม เริ่มเชื่อไปครึ่งใจเลย  ถ้ามีคนที่สี่ คนที่ห้าอีกหน่อย เชื่อแน่ๆ  
ฉะนั้นเมื่อเราจะดูอะไรในโลกเราจึงต้องรู้จักพิจารณาและรู้ให้ถ่องแท้ เหมือนท่านมองเราหลอกไม่หลอก อย่าดูแค่ข้างนอก แต่ต้องดูที่เนื้อในเหมือนเวลาฟังคำพูดคน อย่าฟังให้สวยหรู แต่ต้องมองให้ถึงประเด็นที่เขาต้องการสื่อให้ท่านได้ยิน แล้วเราจะอยู่ในโลกได้อย่างเป็นคนที่เห็นอะไรแล้วจับประเด็นได้ถูก ไม่ถูกคำพูดชักพาไปแล้วไม่ถูกสิ่งแวดล้อมดึงดูดไป ดังคำพูดปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “ตาไม่มีสมอง หูไม่มีสมอง ปากก็ไม่มีสมอง”  เคยเห็นคนเป็นโรคเพราะปากไหม  ถ้าเราเชื่อปากมากเกินไปก็กลายเป็นเราให้ความสำคัญส่วนที่เล็ก จนละเลยส่วนที่ใหญ่เพราะตามใจปาก ใช่ไหม เคยไหมตามใจปากเลยกลายเป็นโรคโดยไม่รู้ตัว (เคย)  และตอนนี้เป็นโรคแล้วก็ยังตามใจปากอยู่วันยังค่ำ และคนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง นี่เขาเรียกว่าคนไม่รู้จักแยกแยะ อะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญใช่ไหม (ใช่)  ใช่ไหมคนป่วยเป็นโรค อย่าไปหัวเราะเขา เดี๋ยวตัวเองก็เป็น ถ้าตัวเองเชื่อปากมากกว่ารักตัวเอง จริงไหม (จริง)  ระวังนะเพราะปากไม่มีสมองคิด เพราะปากไม่มีปัญญาคิด ปากได้แต่หิวๆ อยากกินของหวาน อยากกินรสจัดๆ แต่ลืมไปว่ากระเพาะจะครากอยู่แล้ว กระเพาะจะแย่อยู่แล้ว ร่างกายจะไม่ไหวอยู่แล้วก็ยังเชื่อปาก จริงไหม (จริง)  ตาก็ชอบไปดู ไม่ไหวก็ไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  หูก็ชอบฟัง เสียเงินเท่าไรก็ยอม  ร่างกายเป็นอย่างไรไม่เป็นไร ได้ดูได้ฟัง เสียเงินเสียทอง กลับมาเหนื่อย เคยไหมไปเที่ยวแทบตาย ไปเที่ยวไปดูของสวยๆ กลับมาเหนื่อยจริงๆ เลย เงินก็เสีย ร่างกายก็เหนื่อย เพราะสนองตา สนองหูใช่หรือเปล่า (ใช่)  จนลืมสังขารไปเลยว่าไหวหรือไม่ไหว เห็นแล้วบางทีมนุษย์น่าสลดจริงๆ เลยใช่ไหม
เราบอกว่าในโลกนี้มีสองสิ่งที่บางครั้งเราต้องให้ความสำคัญใหญ่และให้ความสำคัญเล็กลงมา ถูกไหม (ถูก)  
อย่างนั้นถามท่านว่า มือกับแขนอันไหนสำคัญกว่ากัน
(แขน)  ถ้าเราตัดแขนแล้วมือจะเหลือหรือ ถูกไหม (ถูก)  แล้วอันไหนสำคัญกว่า
(มือ)  เขาบอกว่ามือสำคัญ อย่างนั้นถ้าแขนหายไป มือก็หายไปด้วยสิ ใช่ไหม  
(เท่ากัน)  
อย่างนั้นระหว่างหน้ากับตัวอะไรสำคัญกว่ากัน   
อย่าหลงประเด็นนะ อย่าสำคัญผิดนะ
(ตัว)  ถ้าอย่างนั้นถ้าเราใส่กางเกงขายาวข้างสั้นข้างก็ไม่เป็นไรหรือ
(สำคัญทั้งหน้าและตัว)  แต่อย่าตามใจปากนะ เดี๋ยวตัวจะลำบาก
(หน้าสำคัญเท่าตัว)  เท่ากันหรือ แต่บางเรื่องเคยคิดไหมว่าต้องเลือกระหว่างหน้ากับตัวจะเอาอะไรดี เคยไหม (เคย)  
เสียหน้ากับรักษาชีวิต หรือยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาหน้า เลือกสิ่งใด (ตัว)  ชีวิตใช่ไหม หน้าเสียไม่เป็นไร ใช่ไหม ไม่มีใครตอบผิดตอบถูกหรอก แล้วแต่เหตุการณ์ ใช่ไหม (ใช่)  จะมีใครตอบอีก หน้ากับชีวิตจะเลือกสิ่งใด (ไม่ยอมเสียทั้งสองอย่าง)  แต่ถ้าบางครั้ง ถ้าต้องเลือกให้เลือกทางเดียวล่ะ  เราจะเลือกเสียอะไร (ชีวิต)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า พุทธะบางองค์ยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่กว่าใบหน้า ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ ย่อมมีคนที่อยู่และที่ต้องไป  วันหนึ่งเราต้องเลือกว่า วันนี้เรามาศึกษาธรรมะ ระหว่างเรากับผู้อื่น เราจะยอมเสียสละชีวิตเราเพื่อผู้อื่นไหม (ไม่ยอม)  ไม่ยอมหรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่า พระพุทธองค์ยอมตัดเนื้อตัวเองให้ลูกเหยี่ยวกิน แปลว่าอะไร แม้ชีวิตท่านก็ยอมเสียสละได้ จิตใจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เราอยากบอกว่าถ้ามีโอกาสให้ท่านรีบหยิบฉวย ชีวิตมีครั้งเดียวทำได้ดีที่สุด น่าลองทำ  อย่างน้อยไม่เสียชาติเกิดที่ได้เสียชีวิตเพื่อรักษาคุณธรรม จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราก็มานานพอสมควรแล้ว อยากได้แอปเปิลไหม ท่านได้แล้วนะ อยากได้อีกหรือ (อยาก) ให้ก็ได้แต่เอาลูกนั้นคืนมาได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่เคยได้ยินเพลงหรือ “ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง”
เมื่อสักครู่เราให้เลือกมือกับแขน หน้าตากับตัว (สองอย่าง)  แล้วเรามีอะไรอีกที่เราต้องเลือก สุขกับทุกข์ อยากได้อะไร (ทั้งสุขทั้งทุกข์)  เป็นคนที่ยอมรับความเป็นจริงแต่ถึงเวลามีทุกข์จริงๆ ก็ต้องรับให้ไหวนะ รับทุกข์ให้ได้ เพราะหลายคนทุกข์แล้วทำใจไม่ได้ (อยากได้ความสุข)  สุขกับทุกข์อยากได้อะไร ดีกับร้ายอยากได้อะไร เอาทั้งดีและร้ายเลยใช่ไหม ร้ายกับคนในบ้านแต่ดีกับคนข้างนอก ดีกับคนในบ้านแต่คนนอกบ้านไม่ต้องดีใช่ไหม ได้หรือ เคยไหมที่คนในบ้านไม่มีใครอยู่เลยสักคนกลายเป็นเพื่อนบ้านช่วยเรา ใช่หรือไม่
ดีกับร้ายเลือกสิ่งใด  จริงๆ วัยรุ่นไม่ควรถามสุขกับทุกข์ควรถามว่าดีกับร้ายชอบเป็นแบบไหน (ชอบสองอย่าง)  ชอบทั้งสองอย่างแสดงว่าจะดีแล้วก็จะร้ายด้วยใช่ไหม ควรจะร้ายน้อยๆ แต่ดีมากๆ ไม่ดีกว่าหรือ ร้ายกับคนที่ควรร้ายหรือว่าร้ายกับคนที่ควรดี และถ้าร้ายกับคนที่ควรดี  แทนที่จะได้เพื่อนกับกลายเป็นได้ศัตรูเพิ่ม เราควรจะดีกับคนที่ควรดี และร้ายกับคนที่ควรร้ายจริงหรือ  บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักดีกับคนที่ควรดีและดีกับคนที่ควรร้าย บางครั้งมีสุขมีทุกข์เราต้องกล้าที่จะเลือกทุกข์ เพราะว่าสิ้นสุดของความทุกข์คือความสุข สิ้นสุดของความสุขคือความทุกข์ รับความทุกข์ก่อนไม่ดีกว่าหรือ อย่าลืมว่าในคราบน้ำตามีเสียงหัวเราะ ในเสียงหัวเราะมักซ่อนด้วยคราบน้ำตา  ได้กับเสียเลือกอะไร เลือกได้หรือ อย่าลืมนะถ้าท่านเลือกได้ก็ต้องมีคนยอมเสีย  อยากได้หรืออยากเสีย อยากสุขหรืออยากทุกข์ (ทั้งสองอย่าง)  อยากเป็นคนดีหรืออยากเป็นคนร้าย (ดี)  แต่ดีให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าดีแตกนะ เลือกไม่ดีเพื่อจะได้ดีใช่ไหม
ชีวิตของเราจะเป็นผู้ขอตลอดไม่ได้ บางครั้งต้องเกิดจากการไขว่คว้าด้วยตัวเอง  ถึงแม้วันนี้เราให้ท่านได้แต่ต่อไปต้องไขว่คว้าเอง ทั้งโอกาส ทั้งชีวิต ทั้งทางเลือกไม่มีใครให้ท่านได้ตลอดนอกจากตัวท่านจะรู้จักไขว่คว้าเอง  แต่ถ้าคว้าไม่ดูตาม้าตาเรือก็ไม่ได้นะ
(ท่านเสี่ยวผีเซียนถงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “อยู่กับความจริง” )
ในโลกนี้มักมีให้เราเลือกเสมอ มีสิ่งที่รักกับสิ่งที่จริง  ถ้าเรามัวเลือกสิ่งที่รัก สักวันหนึ่งความจริงจะทำให้เราต้องเจ็บช้ำ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเลือกสิ่งที่รัก สักวันความจริงจะทำให้เราต้องเจ็บช้ำกับสิ่งที่เรารักมากเกินไปใช่ไหม  ชีวิตต้องมีทางให้เราเลือกเสมอ ระหว่างความจริงกับสิ่งที่เราชอบ  เหมือนวันนี้เราไม่อยากสูญเสีย แต่ชีวิตสอนให้เราต้องสูญเสีย  ถ้าเรายังไม่ยอมสูญเสีย เราก็ต้องเจ็บช้ำกับความยึดมั่นถือมั่น
วันนี้สอนให้เราต้องทุกข์ วันนี้สอนให้เราต้องรู้จักเสียสละ  ถ้าเราไม่ยอมรับการเสียสละ ไม่ยอมรับความทุกข์ เราก็จะต้องเจ็บช้ำไปกับความยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม  จงอยู่กับความเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่เรารัก  เพราะบางครั้งสิ่งที่รักไม่สามารถไปกับเราได้ตลอดเวลาเท่ากับความเป็นจริง  เหมือนมนุษย์อยู่ร่วมกันกับมนุษย์ด้วยกัน  ถ้าเอาความรู้สึกมาปฏิสัมพันธ์กัน นานๆ ไปความรู้สึกส่วนตัวเกิดปัญหาขึ้นมา เราก็จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอยู่ด้วยความเป็นจริงดีกว่า จะอยู่กันรอดมากกว่าใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เรา อดติดในรักโลภโกรธหลงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อมีรักโลภ โกรธ หลงแล้ว อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะอารมณ์ทำร้ายชีวิตเรามานักต่อนักแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ถ้าจะมีรักต้องรักให้เป็น ถ้าจะโกรธก็อย่าโกรธจนไม่รู้จักระงับความโกรธ โกรธอย่างไร โกรธให้เป็น โกรธให้รู้ว่าถ้าทำแบบนี้เราไม่ชอบ ถ้าทำแบบนี้เราไม่ต้องการ เรียกว่าโกรธ  อย่าโกรธแบบบันดาลโทสะจนหน้าดำหน้าแดง โกรธแบบนั้นทำลายตัวเอง และคนที่ได้ยินก็ไม่อยากฟังด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ควรโกรธอย่างคนที่มีเหตุมีผลแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา  อย่าโกรธโดยใช้อารมณ์และพูดไปตอนนั้น ไม่มีใครฟังท่านพูด เขารู้อย่างเดียวว่าตอนนี้ภูเขาไฟมันระเบิดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนีอย่างเดียวดีกว่า ฟังก็ฟังไว้อย่างนั้น แต่ไม่เคยเข้าไปในหัวใจใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ต้องอยู่ท่ามกลางระหว่างเรื่องราวสองเรื่องเสมอ ไม่ทุกข์ก็สุข ไม่ดีก็ร้าย ไม่ตัวเราก็ตัวเขาใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าตัวเรารู้จักลดตัวเรามากหน่อย จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้ตัวเรามากหน่อย ตัวเขาน้อยหน่อย ใครๆ ก็รักเราไม่ลงหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราเหนื่อยหน่อย ตัวเขาสบายหน่อยไม่เป็นไร  การยอมทำมากกว่าผู้อื่น เป็นสิ่งที่แม้ว่าเราจะเป็นอะไรในวันนี้ เราก็ภาคภูมิใจ จริงไหม (จริง)  ลองหลับตาแล้วนึกดู ลองคิดดูว่าชีวิตหนึ่งที่ผ่านมา มีอะไรบ้างที่เราทำแล้ว เรารู้สึกนึกทีไรก็ดีใจ นึกทีไรก็รู้สึกว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว ที่ได้ทำสักครั้งหนึ่ง มีบ้างไหม  แม้ยามที่หัวใจรู้สึกย่ำแย่แล้ว  นึกได้ว่าเคยทำความดีอย่างนี้ไว้ก็ดีแล้วที่ได้เกิดมาชาติหนึ่ง  แต่ถ้าหลับตาแล้วมีแต่เรื่องเลวร้าย มีแต่เรื่องไม่ดี นับจากนี้ไปแก้ไขและทำให้ดี ดีไหม (ดี)  ยอมมากหน่อย อภัยมากหน่อย เข้าใจเขาให้มากๆ หน่อย แล้วชีวิตนี้จะไม่รู้สึกว่าน่าเสียดายหรอก  
ไปแล้วนะ ถึงเวลาคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน  คงได้อะไรไปไม่มากก็น้อย  บำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น  มีเวลาสละเวลาไปช่วยคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ตามใจตา ปาก หู มือ สมองมากแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อไรจะพอสักที  รักชีวิตอย่าเชื่อปากมาก เพราะปากทำร้ายร่างกายเรามาบ่อยแล้ว จริงไหม  ตาอีก หูอีก จงใช้ใจบ้างนะ ทำอะไรด้วยหัวใจที่ยืนอยู่บนความถูกต้องและเป็นจริง ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง พร้อมกับเข้าใจและอภัย เราไปแล้วนะ


















วันจันทร์ที่ ๑๐ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
    พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    เรื่องดีร้ายไม่ต่างใจรับรู้    ที่เป็นอยู่คือรักชังทำให้ต่าง
มองเห็นตนไม่ชัดกว่ามองทุกอย่าง    ตาฝ้าฟางเพราะใจตนยึดมั่นเกินไป
    เราคือ
    จี้กงสงฆ์วิปลาส        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานเหยินเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา    ถามศิษย์รักทุกคน  ทานข้าวอิ่มไหม

เข้าหาพระ  แต่จิตใจไม่หาพระ  ชีวิตมีธรรมะแน่นหนัก แต่ไม่ฝึกเข้าก็ถอดใจ  
แก้ไขซะ  ความคิดของเราอาจชนะ  ความเข้มแข็งมีมากกว่า  จะแพ้ก็แพ้ตรงจิตใจ
* คนเดินไม่ถึงรู้ดีกว่า  ใครมีปัญหา รู้ตัวหน่อย  รู้ใครไม่รู้  แต่แก้ช้าก็ปล่อยลอย  เรื่องไม่น้อยล้มไปล้มมา
ไม่ถือนะ  เตือนครั้งนี้แก้ไขซะนะ  อยากพบคนที่ดีกว่า  กระจกไปหาดูแล้วส่อง  (ซ้ำ *)  

ชื่อเพลง : มาทั้งตัวและหัวใจ
ทำนองเพลง : พี่สาวครับ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ดีใจก็ดีใจนะที่ได้พบหน้าศิษย์ทุกคน แต่อีกส่วนหนึ่งของหัวใจก็รู้สึกสะท้อนเล็กๆ  อาจารย์มาอยากให้ศิษย์ได้รู้เรื่องสัจธรรม วันนี้วันสุดท้ายแล้วใช่ไหม (ใช่) ดีใจไหม (ดีใจ) คนที่บอกว่าดีใจแปลว่าได้หมดทุกข์หมดโศกแล้วใช่หรือเปล่า ไม่มีใครตอบเลยว่าเสียดาย ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์ไม่ทัก ศิษย์ก็ต้องบอกว่าดีใจจริงๆ ใช่ไหม ใช่ สามวันเหมือนเป็นเวลาแห่งความสุขหรือขมขื่น (สุข)  สุกจนดิบเลยใช่ไหม ใช่หรือเปล่า
เดินให้รอบๆ เห็นหน้าศิษย์ให้ทั่วๆ ให้ชัดๆ ก่อนที่บางคนจะหายไปเสียก่อนที่จะเห็นหน้า ใช่ไหม (ใช่)  สามวันหมดแล้วก็หมดกันใช่ไหม (ไม่ใช่)  มาครั้งนี้ครั้งเดียว มีใครคิดอย่างนั้นไหม (ไม่)  ให้อาจารย์ถามอะไรหน่อยนะ ศิษย์ว่าศิษย์เป็นคนดีหรือยัง (ยัง)  เป็นคนดีหรือยัง (ยัง)  แล้วทำอย่างไรถึงจะเป็นคนดีได้ (ปฏิบัติ , รู้จักกตัญญู) อะไรอีก (ปฏิบัติธรรมตามที่เรียนมาสามวัน) ปฏิบัติธรรมตามที่เรียนมาสามวัน มีอะไรบ้าง เข้าใจตอบนะ ตอบกว้างๆ ไว้ดีที่สุดใช่ไหม จำได้ไหมว่าสามวันมีทั้งหมดกี่หัวข้อ (สิบหก, สิบห้า) สิบหกหัวข้อหรือ (อีกหัวข้อยังไม่ได้พูด) อย่างนี้ใครถูกใครผิด อาจารย์เฉลย สิบห้า เดี๋ยวจะมีอีกหัวข้อเป็นหัวข้อที่สิบหก อย่างนั้นก็ถูกทั้งคู่ บางคนยังไม่รู้เลยว่าฟังไปมีกี่หัวข้อแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนผู้ร่วมฟังรู้ไหมว่าฟังซ้ำมากี่รอบแล้ว ไม่รู้เลย จำได้ไหมว่าตนเองฟังมาแล้วกี่รอบ
มนุษย์นั้นถ้ามีสติ เวลาทำอะไรก็ยากจะผิดพลาด ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไร้สติ ทำอะไรพลั้งเผลอก็ง่ายที่จะผิดพลาด  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นคนดีกับคนเลวต่างกันตรงที่ใด (การกระทำ) การกระทำใช่ไหม (ใช่)  กระทำดีก็เรียกว่าดี  กระทำชั่วก็เรียกว่าชั่ว  แล้วถ้าหมอโกหกคนเป็นมะเร็งว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่ก้อนเนื้อธรรมดา ผ่าตัดปุ๊บ หายปั๊บเลย หมอดีหรือหมอชั่ว (ชั่ว, ดี) ดีหรือไม่ดี เราดูที่ไหน ดูการกระทำอย่างเดียวไหม การตบตีทำร้ายผู้อื่น เป็นสิ่งดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนั้นพ่อแม่ตีลูกเมื่อไร พ่อแม่ร้ายเมื่อนั้น ใช่ไหม (ไม่ใช่) แล้วทำไมบอกไม่ใช่ละ (เพราะพ่อแม่รักลูก)  แล้วทำไมอาจารย์ตีศิษย์แล้วศิษย์โมโหทุกทีเลย แล้วใครมาตีศิษย์โดยที่ไม่ได้ตั้งใจแบบเต็มแรงเลย ศิษย์ก็โกรธทุกทีเพราะอย่างนั้นคนดี คนเลวดูที่เจตนา ใช่ไหม (ใช่)  แล้วดูอะไรได้อีก  (จิตใจภายในลึกๆ)  ดูที่จิตใจภายในลึกๆ ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเพื่ออะไร ใช่ไหม (ใช่)  ดูที่ผลของการกระทำนี้ตกที่ใคร  ตกแล้วดีหรือไม่ดี  แม้ว่าการกระทำนั้นดูแล้วว่าเป็นการโกหก เป็นการทำร้าย แต่ถ้าเจตนานั้นบริสุทธิ์ หวังดี คิดถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตน นั่นก็เรียกว่าดี ใช่ไหม
ความดีคืออะไรแล้วความชั่วคืออะไร (ความดีคือการเจตนาทำ)  ถ้าสมมติเขาเจตนาดี อยากเอามาบำรุงเลี้ยงร่างกาย แต่ไปขโมยเงินเขาดีไหม (ไม่ดี)  เจตนาดีแล้ว การประพฤติปฏิบัติก็ต้องดีด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่เราจะว่าใครไม่ดี ก่อนที่เราจะชี้ว่าใครทำไม่ถูก เราต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้ภายในของเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาแค่สายตาอย่างเดียวไปวัด หรืออย่าเอาแค่หูฟังอย่างเดียว เราต้องมองให้เห็นถึงธาตุแท้ภายใน หรือผลสรุปที่เขาอยากให้เพื่ออะไร  
มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “การปฏิบัติดีคือ การคิดถึงส่วนรวมเป็นใหญ่ ส่วนตนเป็นรอง”  ใครที่สามารถทำเพื่อผู้อื่นได้มาก คนนั้นก็สามารถเป็นคนดีได้บ่อย ส่วนใครที่คิดแต่จะทำเพื่อตัวเองบ่อยๆ คนนั้นก็ง่ายที่จะทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีหรือชั่วอยู่ที่เจตนาและผลของการกระทำ  อย่างนั้นตอนนี้ศิษย์เป็นคนที่ดีมากหรือดีน้อย ใจมนุษย์มีสองอย่างไม่ใช่หรือ คือไม่ดีและดี ฉะนั้นถ้าดีน้อยก็เลวมาก ใช่หรือไม่ศิษย์ (ใช่)  
“เรื่องดีร้ายไม่ต่างใจรับรู้    ที่เป็นอยู่คือรักชังทำให้ต่าง”
ไม่ว่าเรื่องจะมาดีหรือร้ายอย่างไรใจก็ใจดวงเดิมนี่เอง แต่ใจยึดอย่างไรล่ะ ถ้ายึดชอบดีกว่า เราก็รู้สึกแตกต่างระหว่างดีกับร้าย  แต่ถ้าไม่ว่าดีหรือร้ายมาอย่างไร ใจเรามองเหมือนกัน ทั้งสองอย่างเข้ามาก็ไม่มีผลต่อจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์รักอาจารย์มากกว่าเซียนองค์อื่นๆ ใช่หรือเปล่า  อย่างนี้อาจารย์ก็ไม่อยากได้นะ
“มองเห็นตนไม่ชัดกว่ามองทุกอย่าง
ตาฝ้าฝางเพระใจตนยึดเกินไป”
เป็นไหมเห็นเรื่องราวภายนอกเรียนรู้อะไรได้ชัดหมด แต่เห็นตัวเองไม่ชัด เพราะใจตนยึดมั่นเกินไป
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ทานข้าวอิ่มไหม (อิ่ม) แต่อาจารย์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย ทำอย่างไรให้อาจารย์อิ่มดี อาจารย์ไม่ต้องการท้องอิ่มนะ อาจารย์ต้องการใจอิ่ม (ตั้งใจปฏิบัติธรรม)  ตั้งใจปฏิบัติธรรมเฉพาะสามวันนี้หรือเปล่า มนุษย์แสวงหาให้กายอิ่มสมบูรณ์ แต่อาจารย์แสวงหาอะไรรู้ไหม แสวงหาลูกศิษย์ของอาจารย์ให้กลับคืนมา
ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้อาจารย์อิ่มได้ คืออะไรรู้ไหม (การกลับมาของศิษย์)  การกลับมาของศิษย์คืออะไร (ให้ปฏิบัติธรรม)  ให้ปฏิบัติธรรม สิ่งที่ศิษย์พูดอาจารย์ถือเป็นความตั้งใจนะ ถ้าทำได้ดังที่ศิษย์พูด อาจารย์จะรอและอาจารย์จะอิ่มอกอิ่มใจมากๆ ใช่ไหม (ใช่)  ความหวังของอาจารย์ไม่ใช่ให้แค่ศิษย์เป็นคนดีเท่านั้น แต่ให้รู้ทางกลับของตัวเอง รู้ทางกลับของชีวิต และเมื่อตัวเองรู้แล้ว หรือตัวเองยังไม่รู้แจ่มชัด ตัวเองก็ยังมีใจที่จะส่งเสริมให้ผู้อื่นได้รู้ตามไปด้วย คนในโลกนี้มักรอจนตัวเองดี แล้วค่อยนำพาผู้อื่นใช่ไหม ถ้าเราดีและอยากช่วยคนอื่นให้ดีด้วยแม้รู้ว่าตัวเองยังดีไม่พอ หัวใจอย่างนั้นยิ่งใหญ่นักใช่ไหม (ใช่)  ไปชวนเขา บอกเขาว่า “ตัวเองยังดีไม่พอหรอก แต่ก็อยากให้เธอได้ดีด้วย และอยากให้เธอดีกว่าฉัน” ถ้าทำได้ พูดแค่นี้ดูซิเขาจะมาไหม ใช่ไหม (ใช่)  ไม่หวังให้ตนเองต้องดี แต่หวังให้เขาต้องดี แล้วดีกว่าให้ได้ จิตใจเช่นนี้แหละเป็นจิตใจที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนมี ช่วยคนยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น แต่ว่าเอาแต่ช่วยตนเอง ไม่คิดช่วยผู้อื่น มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  อิ่มกายก็แล้ว ฟังธรรมะก็ต้องอิ่มอกอิ่มใจด้วย ใช่ไหม (ใช่) การทำอะไรโดยตามส่วนรวมเป็นใหญ่ ไม่ตามใจตนเองเป็นเรื่องยากไหม (ยาก)
อย่างนั้น วันนี้แค่ฝึกยืนนั่งดู ว่าเราจะตามทันส่วนรวมไหม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าส่วนรวมหัวเราะ เราก็หัวเราะด้วย มีความสุข ถ้าส่วนรวมบอกว่า อันนี้ดี เราก็ต้องทำตามที่เขาบอกว่าดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าวันนี้เขาใส่กระโปรงสั้น ศิษย์ก็เลยใส่กระโปรงสั้นหรือ (ไม่ใช่)  
มาถึงห้องพระแต่ใจไม่ถึงพระเป็นไหม มีทั้งบอกว่าไม่เป็นและมีทั้งบอกว่าเป็น เข้ามาในห้องพระแล้วจิตต้องรู้สึกสงบ แต่บางคนเข้ามาในห้องพระเอาฝุ่นเอากิเลสมาในวัดด้วย เป็นไหม (เป็น) เรามาเพื่อชำระล้างหัวใจให้บริสุทธิ์ เราเข้ามาห้องพระเพื่อชำระล้างหัวใจให้ใสสะอาด ให้ความสงบสว่างแห่งพระได้ฉายให้จิตเรางดงาม แต่ไปๆ มาๆ เรากลับมาห้องพระพร้อมกับฝุ่นกิเลสอัตตาความยึดมั่นถือมั่นและความรู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นความรู้ที่ชอบยึดมั่น ถือมั่นเหมือนอัตตาตัวตน ทำให้แทนที่จะถ่ายเทชะล้างกลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มพูนหรือย้ำความเป็นตัวเองให้มีอยู่เหมือนเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเรามาศึกษาธรรมเพื่อลดละอัตตาตัวตนเพื่อลดละกิเลส และคลายความยึดมั่นถือมั่นให้เบาบางหรือน้อยที่สุด  วิธีลดละตัวเราจะทำอย่างไร ก็ต้องยอมรับก่อนว่าตัวเรามีอะไรที่เรียกว่าดีและไม่ดี แล้วเราจะรู้จักตัวเราได้อย่างไร  ไม่ยากเลยศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “อยากรู้จักโลกนี้ทั้งใบเพียงรู้จักใจตัวเองก่อน”  อยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนเช่นไร ก็ด้วยการย้อนมองส่องตน
ดังคำพูดที่ว่า “น้ำสะอาดมีไว้เพื่อล้างหน้า ล้างตัว น้ำสกปรกมีไว้สำหรับล้างเท้า ป่าไม้ต้นไม้มากมายกว้างใหญ่ขนาดไหน แต่ถ้าไม่มีต้นไม้ต้นหนึ่งยอมเป็นขวาน ป่าไม้ก็จะถูกตัดไม่ได้” ฉันใดก็ฉันนั้นหัวใจมนุษย์ก็มีสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลว ถ้าเราให้พละกำลังกับสิ่งที่เลวมากกว่าสิ่งที่ดี สิ่งที่เลวก็มีอำนาจเหนือใจของเรา  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราให้อำนาจสิ่งที่ดีมากกว่าสิ่งที่เลว สักวันสิ่งที่เลวที่มีอยู่ก็จะหมดสิ้นไป เหมือนดั่งคำว่า “รู้จักทะนุบำรุง มีหรือจะไม่เจริญเติบโต แต่ถ้าไม่รู้จักทะนุบำรุง มีหรือที่จะไม่เสื่อมสลาย” หัวใจของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันเรามีส่วนที่ดีและส่วนที่ร้าย ถ้าเราพยายามหมั่นดูแลส่วนที่ดีไม่สนใจส่วนที่ร้าย ส่วนที่ร้ายจะมีอิทธิพลต่อใจเราไหม (ไม่มี) และมีอิทธิพลต่อชีวิตเราไหม (ไม่มี) เหมือนเราพยายามปลูกต้นไม้ ทุกวันหมั่นดูแลต้นไม้ มีหรือต้นไม้นี้จะไม่โต
ฉันใดก็ฉันนั้นเรามีสิ่งที่ดีหากเราหมั่นดูแลบ่มเพาะมีหรือจะไม่กลายเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่  แต่เสียอย่างเดียวคือมนุษย์ชอบเผลอพลั้งทำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนที่ทำอะไรหวังประโยชน์เฉพาะหน้า มักจะต้องทุกข์ในภายหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าใครตอบว่า หวังผลไม้อาจารย์ไม่ให้ ดีไหม (ดี)  วันนี้ใครตอบอาจารย์ อาจารย์ไม่ให้อะไรเลย ดีไหม (ดี)  เราก็รู้นี่ว่าโลกใบนี้ ถ้าไม่ยอมเสียสละส่วนตัว แต่หวังจะกอบโกยส่วนรวมมามากๆ สังคมไม่มีวันเป็นสุข จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอยากให้โลกเป็นสุขได้ ต้องยอมเสียสละส่วนตัว และจะไม่เอาของส่วนรวม โลกถึงจะเป็นสุขได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้น ถ้าศิษย์ไม่ตอบ อาจารย์ก็ไม่ให้ผลไม้นะดีไหม (ดี)  การยืนขึ้นมาแล้วกล้าพูดอย่างเสียงดัง ฟังชัด คือยอมเสียสละส่วนตัวก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ายอมเสียสละส่วนตัว จะเอาของส่วนรวมมันก็ไม่ผิด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้านั่งเฉยๆ แล้วหวังจะเอาผลไม้ ผิดเต็มประตู ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำอย่างไรถึงเรียกว่าดี ทำอย่างไรถึงเรียกว่าไม่ดี  (ไม่เดือดร้อนตัวเอง และผู้อื่น)  เอาผลไม้แบบไหนดี แบบกลมๆ เกลี้ยงๆ หรือแบบปุๆ ปะๆ  
มีคนหลายคน ทำดีแท้กับดีเทียม ศิษย์เคยเห็นไหม (เคย)  ดีแท้ก็คือคิดว่าให้ก็ให้ไป ไม่คิดว่าเขาต้องให้กลับมา ไม่คิดว่าเขาต้องให้กลับคืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ดีเทียม ให้ไปแล้วแต่ในใจลึกๆ หวังว่าสักวันต้องได้กลับมา อย่างนี้เรียกว่าดีเทียม แล้วเมื่อสักครู่ที่ศิษย์ตอบ หวังอยากได้อะไรกลับมาไหม (อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ)  บางครั้งเราอิ่มเอมใจคนเดียว แต่คนข้างหลังทุกข์ร้อนก็ไม่ดีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  น่าจะเป็นทำอะไรก็ได้ที่ไม่เดือดร้อนต่อตนเอง และคนข้างหลัง  คนที่เอาแต่พูดฉอดๆ อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนี้แปลว่า ว่าแม่ตัวเอง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  
ไม่มีใครตอบแล้วหรือ ทำอย่างไรที่เรียกว่าดี ทำอย่างไรที่เรียกว่าไม่ดี สูบบุหรี่ กินเหล้า ดีไหม (ไม่ดี)  ทำสิ่งนั้นไปแล้วทำให้เขาสุขใจ อาจารย์อยากเห็นศิษย์ชัดๆ ใช่ไหม กลับตอนไหนอาจารย์จะได้ไม่เสียใจอย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าศิษย์ทุกคนแล้ว ใช่ไหม ไม่มีใครอยากตอบอาจารย์เลยหรือ (การทำให้พ่อแม่เสียใจเป็นเรื่องไม่ดี, รู้จักขัดเกลาใจตนเอง) รู้จักขัดเกลาใจตนเอง แม้คำพูดนั้นจะเสียบหูทิ่มแทงใจ ใช่ไหม มีอะไรอีกที่ไม่ตอบก็ไม่ยอมตอบเลยนะ (ละเว้นการฆ่าสัตว์ ฆ่ามนุษย์) ศิษย์ไม่ฆ่ามนุษย์หรอก ละเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์ ฆ่าสัตว์ ก่อนไหม ยุงกัดศิษย์จะตบไหม (ไม่ตบ) เนื้อสัตว์ศิษย์จะทานไหม (ไม่ทาน) ทำให้ดี ทำให้ได้นะ เพราะทุกชีวิตก็ต้องรักชีวิตของตนเองใช่ไหม (ใช่) มีที่ไหนที่ฆ่าแล้วไม่ได้ยินเสียงร้องขอชีวิต มีไหม ไม่มีใช่ไหม (ใช่) ไม่มีนะ ให้กินได้ แต่ถ้ายังมีเสียงอยู่ ศิษย์ห้ามกิน ได้ไหม อาจารย์ไม่บังคับนะ
(เสียสละส่วนตนเพื่อส่วนรวม, รู้จักปล่อยวาง) ตัวเล็กแค่นี้รู้จักปล่อยวางแล้วหรือ (ไม่มีอคติกับคนอื่น)  คนในโลกเหมือนกันหมดคือ รักสุขเกลียดทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) อยากให้คนเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วอยากให้คนนั้นลดตัวมาหาเรา ไม่ดูถูกเหยียดหยามเรา ใช่ไหม (ใช่) มีอะไรอีก (ความไม่ละโมบในตนเอง) เห็นใครได้ดีแล้ว ไม่พอใจเล็กๆ ใช่ไหม
ร้องเพลงได้ แต่ร้องให้เพราะคงยากหน่อยนะ เดี๋ยวก็เพี้ยนไปนั่นไปนี่   ร้องเพลงนะร้องได้ แต่จะร้องให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวนี่ร้องยาก ใช่ไหม (ใช่)
ทำงานทุกคนก็ทำได้ แต่ทำด้วยความร่วมแรงเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นเรื่องยาก ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่ใช่ว่ายากก็ไม่ยอมทำ ยากก็ต้องทำ เพราะการบำเพ็ญธรรมก็คือการฝึกฝนตนเอง   แม้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งก็ต้องเดินเข้าไปฝึกฝน เพราะว่ายิ่งยากเท่าไร ก็ยิ่งได้ขัดเกลาและเคาะกิเลสในหัวใจตนให้หลุดออกมามากเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  
เราบำเพ็ญเพื่อลดละกิเลส ไม่ใช่เพื่อเพิ่มกิเลส  ฉะนั้นศิษย์อย่ามาหวังหวยสองตัวจากอาจารย์  อาจารย์ไม่ให้ อย่ามาหวังเลขเด็ด อาจารย์ก็ไม่ให้ แล้วอย่ามาหวังรักษาโรค อาจารย์ก็ไม่ให้  เพราะผลไม้นี้ไม่ใช่ยารักษาโรคนะ ใช่ไหม(ใช่)  เพราะยารักษาโรคที่ดี คือหัวใจที่รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ไม่ปล่อยไปตามกิเลส หรือปล่อยไปตามความอยากจนเกินไป ใช่ไหม (ใช่)  
ศิษย์อย่าลืมว่าเรื่องราวโลกนี้วัดกันไม่ได้ อธิบายยังไงก็ไม่เข้าใจ และทำอย่างไรที่เรียกว่าดี วันนี้เราอาจบอกว่า ทำอย่างนี้แล้วดี แต่วันหน้า เอาแบบเดิมมาใช้ บางทีไม่สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกัน ทำงานก็เฉกเช่นเดียวกัน วันนี้ศิษย์ว่าได้สูตรสำเร็จแล้ว ทำจนศิษย์ได้ประสบผลสำเร็จ แต่สูตรนี้ใช่ว่าจะใช้ในอนาคตได้ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเรื่องราวในโลกนั้นหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่จบสิ้น อธิบายยังไงก็อธิบายให้เข้าใจยาก นอกจากต้องเอาตัวเราเองไปสัมผัสและตระหนักรู้ด้วยปัญญาและสติที่ไม่ยึดมั่น ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท พร้อมกับให้ทุกคนในชั้นร่วมร้อง)
เมื่อวานได้วงพระโอวาทกันไปครบทุกคนแล้วใช่หรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  นักเรียนอยากวงอีกไหม (อยาก)  หรือจะให้โอกาสคนอื่นบ้าง อาจารย์ขอคนลำปางแล้วกันนะ ทั้งนักเรียนทั้งผู้ปฏิบัติงานธรรมให้มีโอกาสได้วงอีกรอบหนึ่ง เอานักเรียนก่อน พอนักเรียนหมดแล้วค่อยเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มาช่วยงานนะ
(นักเรียนในชั้นเล่าประสบการณ์และขอพระอาจารย์เมตตาชี้แนะ) ป่วยมากขนาดต้องกินยาตัวนั้นตัวเดียวไหม ถ้าศิษย์กินแล้วไม่ติดยานั้นก็กินได้ ถ้าศิษย์กินแล้วติด อาจารย์ก็ไม่ให้กิน โรคมันอยู่ที่ใจ ศิษย์เคยเห็นไหมว่าคนเราแก่แต่ตัว แต่หัวใจไม่แก่ ป่วยแต่ตัวแต่ใจไม่ป่วย นี่จะรักษาได้ไหม ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือว่าใจนั้นยิ่งใหญ่  คิดดูง่ายๆ  คนยากจนทำบุญ กับคนรวยทำบุญ ใครบุญใหญ่กว่ากัน ศิษย์คิดดูนะ คนจนแต่ยังรู้จักเสียสละ หัวใจนั้นยิ่งใหญ่กว่าคนรวยที่เสียสละอีก ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองศึกษาให้เยอะๆ นะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงและเมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมในขณะที่วงพระโอวาท)
ทำไมครั้งนี้อาจารย์ถึงเรียกผู้ปฏิบัติงานธรรมลำปางรู้ไหม เพราะว่าศิษย์กำลังจะมีอนาคตที่งดงามรออยู่ ก็ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของศิษย์ที่มาวันนี้นะ
  • อยากกตัญญูต้องเสียสละเวลาไปดูแลพ่อแม่บ่อยๆ
  • ห่วงแต่สังคมไม่ห่วงตัวเองก็น่าเสียดายนะศิษย์ ต้องให้อาจารย์บอกให้ชัดเจนหมายความว่าอย่างไรไหม
  • เมื่อไรจะกินผลไม้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม คนอื่นไม่ไปกับเรานะ ชีวิตเราก็คือตัวเราเองอย่าลืมนะศิษย์นะ ห่วงเขาแต่พอถึงเวลาเขาช่วยอะไรเราได้ไหมอาจารย์รอศิษย์อยู่นะ
  • ถ้าช่วยอาจารย์ แม้คนข้างหลังจะเป็นอย่างไรอาจารย์ก็ช่วยดูแลนะ แต่ถ้าถึงเวลาก็ต้องทำใจ ใช่หรือไม่  
  • เหนื่อยเพื่ออาจารย์มาหลายปีแล้วนะ
  • ดูแลตัวเองหน่อยนะ (อาจารย์รักศิษย์ไหม) ถามเหมือนกันดีกว่า แล้วศิษย์รักอาจารย์ไหม แล้วรู้ไหมอาจารย์รักใคร (รักศิษย์) อย่างนั้นควรจะทำอย่างไร (ดูแลตัวเอง)  อะไรควรอะไรไม่ควรศิษย์รู้ แล้วร่างกายล่ะอะไรควรอยู่ในร่างกาย อะไรไม่ควรอยู่ในร่างกาย ศิษย์ต้องระวังหน่อยนะ
  • แม้อะไรไม่เป็นดั่งใจศิษย์ก็ต้องปล่อยตามความเป็นจริง แค่ศิษย์มีใจอาจารย์ก็ปลาบปลื้มแล้วนะ
  • ดูแลสุขภาพให้ดี ถึงเวลาก็ต้องรักษานะ
  • บำเพ็ญต้องไม่กลัวลำบากนะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลง “มาทั้งตัวและหัวใจ”)
รู้ไหมคนที่ดีกว่าอยู่ตรงไหน กลับบ้านไปดูกระจกก็จะเห็นแล้วนะ อาจารย์ว่าด้วยและอาจารย์ก็ชมด้วย  ถ้ารู้จักตีความหมายในบทเพลง ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นรู้ตัวว่าผิดรู้ตัวว่าไม่ดีก็แก้เสีย  ศิษย์เคยเห็นไหมผ้าขาวๆ แม้มีรอยดำเพียงนิดเดียว คนก็ติไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น แม้ว่าเป็นจุดเล็กๆ แค่นั้น แต่คนกลับมองเห็นชัดยิ่งกว่าความขาวของผ้าเสียอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักระมัดระวังสำรวมตัวเองให้ดีไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำอะไร ถือความอ่อนน้อมเสียสละเป็นหลักใหญ่ ได้ไหม (ได้)  
อาจารย์ก็อยากเห็นศิษย์อย่างนี้ทุกๆ วัน อยากมาเจอหน้าศิษย์อย่างนี้ทุกวัน  แต่ว่าเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตศิษย์ก็ต้องดูแล หน้าที่ศิษย์ก็ต้องรับผิดชอบ แต่ว่าอาจารย์ให้ศิษย์เพิ่มเติมการบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่ให้ไม่ดูแลชีวิตไม่ดูแลหน้าที่ที่ควรทำ แต่ยังต้องทำอยู่ ทำแล้วต้องทำให้ดี พอเราจะออกมาช่วยใคร ใครก็ว่าเราไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าหน้าที่ในบ้าน หน้าที่ในทางสังคมเราปฏิบัติไม่ดี เราเดินออกไปหรือเราจะเรียกใครก็เรียกได้ไม่เต็มปาก หรือใครจะมาก็ไม่อยากมาเพราะว่ายังทำหน้าที่ของตนเองไม่สมบูรณ์เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเริ่มที่ทำหน้าที่ของตนเองให้ครบสมบูรณ์ดีงามและเพียบพร้อม
การจะออกมาช่วยคน การจะออกมาเสียสละตนก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมเพื่อช่วยคนแล้วช่วยตนด้วย แต่ไม่ใช่ขัดเกลาเขาแล้วค่อยมาขัดเกลาตน บำเพ็ญธรรมคือมีหน้าที่ขัดเกลาตัวเอง แต่ไม่ใช่เอาตัวเราไปขัดเกลาใคร เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  มีแต่จิตที่งดงามและบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะเป็นจิตที่สามารถกลับคืนสู่ที่เดิมที่จากมาได้ มีแต่จิตที่งดงามและบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะเป็นจิตที่สามารถกลับคืนสู่ที่เดิมที่จิตเคยมาได้  ถ้าไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดอีกก็จงรู้จักลดละสิ่งที่ไม่ควรทำให้มากๆ และเร็วๆ เพราะชีวิตนี้มีอยู่แต่ปัจจุบันเท่านั้น สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดีแล้วใช่ไหม (ใช่)
ถ้ามีจิตสำนึกขอบคุณอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะเกิดโชคร้าย แม้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี แต่ในใจรู้สึกขอบคุณ ดีแล้ว พอแล้ว เราก็จะไม่รู้สึกทุกข์เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ยืนอยู่บนความเป็นจริงและมีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เรียกว่าชีวิต และทุกขณะชีวิตมีจิตสำนึกขอบคุณอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเรื่องดี เรื่องร้าย เพราะชีวิตนี้มาแค่ชั่วคราว ถึงเวลาก็ต้องไป ใช่ไหม (ใช่) แล้วรู้หรือยังว่าวันไปคือวันไหน (ไม่รู้)  ดังนั้นก็อย่าประมาทนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากกลับไปหาอาจารย์ไหม (อยาก)  อยากกลับไปเสวยสุขข้างบนไหม (อยาก)  อย่าได้อยากแค่ปากนะแต่ต้องลงมือกระทำด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตนี้แม้ยังจะมีเรื่องมากมายที่ศิษย์ต้องเรียนรู้และศิษย์ต้องแก้ไข และศิษย์จะต้องฟันฝ่าออกไปให้ได้ แต่เรื่องราวต่าง ๆ นั้นมันยากหรือง่ายอยู่ที่หัวใจเราจะยอมลดละอัตตาตัวตนหรือไม่ต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายังยึดถือมั่นอยู่เราก็ยังแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ถ้ารู้จักปล่อยวางบ้าง สิ่งที่ยึดเหนี่ยวนั้น สิ่งที่เกาะกุมหัวใจนั้น สักวันหนึ่งอาจจะหลุดก็ได้ใช่ไหม (ใช่) เรามีความเคยชินที่ไม่ดีกันบ่อย รักสบายมากกว่ารักลำบาก แต่ความลำบากให้คุณมากกว่าจะให้โทษ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ให้ธรรมะมามากมายแต่จำไม่ได้สักอย่างหนึ่งมีประโยชน์อะไรเล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือรู้ว่าอะไรดีทั้งหมดแต่ทำไม่ได้เลยสักอย่างหนึ่ง จะรู้ไปทำไมเล่า ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นขอแค่อย่างหนึ่งในชีวิตศิษย์ทำให้ดีให้ได้ให้ถึงที่สุด เท่านี้เองที่อาจารย์อยากได้จากศิษย์ อดทนก็อดทนให้มาก อยากเป็นคนดีก็ต้องเป็นคนดีให้ถึงที่สุด อยากเมตตาก็ต้องเมตตาให้ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องราวในโลกกับเรื่องราวทางธรรมไม่ต่างกันหรอก ถ้าเข้าใจชีวิตก็เข้าใจโลก แล้วศิษย์จะทำได้หรือเปล่านะ
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “อยู่กับความจริง มากกว่าสิ่งที่รัก”)
มีชีวิตยืนอยู่บนความเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่ตัวเองรักสิ่งที่ตัวเองปรารถนา แล้วความเป็นจริงในโลกมีอะไรบ้าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในความเกิดแก่เจ็บตาย เราวิ่งวนในเรื่องสุขทุกข์ดีร้ายได้เสีย รักโลภโกรธหลง วนไปกี่ครั้งแล้วยังไม่เข็ดยังไม่จำอีกหรือ  
อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ได้แต่รออย่างเดียวว่าเมื่อไรสิ่งที่ศิษย์ฟังจะเอามาทำได้สักที มีโอกาสก็มาศึกษาอีกนะ อย่าคิดว่าอาจารย์มาหลอกเลย ศิษย์เคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ แต่ศิษย์จำไม่ได้แล้ว เวลาเหลือไม่มากแล้ว ความตั้งใจที่เคยสัญญาไว้กับอาจารย์ อย่าลืมความผูกพันที่เคยมีเมื่อครั้งก่อน เข้มแข็งนะ เข้าใจไหม
เข้มแข็งให้มากๆ เรามีร่างกายนี้อาจารย์ดูแลรักษาให้ก็ขอให้อดทน ถ้าศิษย์ไม่อดทนไม่เข้มแข็ง ศิษย์ก็จะเจริญปณิธานที่ให้กับอาจารย์ไว้ไม่ได้ เข้าใจไหม
อายุยังน้อยมีโอกาสเข้ามาศึกษาดีไหม อย่าคิดว่าอาจารย์มาหลอกเลย
ศิษย์ดื้อทั้งหลาย  เข้าใจหัวใจของอาจารย์ไหม เอาร่างกายนี้อุทิศเพื่อประชานะ รีบกลับมานะ  อาจารย์ไม่ดีใช่ไหม ถึงนำพาศิษย์ไม่ได้ เข้าใจหรือเปล่าเด็กดื้อ ยังคิดว่าอาจารย์จะมาหลอกไหม ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ รักษาร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็ง 


พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถงและพระอาจารย์จี้กง
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “มากกว่าสิ่งที่รัก”

    คนเห็นคนเป็นคนก็คือคน    คนเห็นคนไม่ใช่คนเป็นคนไม่
ความต่ำศักดิ์ความเหนือชั้นดูที่ไหน    อย่าหาค่าข้าวของเครื่องใช้ไปกว่าคน
สิ่งที่เพื่อใจเราไม่เคยพอ    สิ่งที่ขอใครมาอยู่ไม่ทน
สิ่งที่รักมักไม่อยู่กับตน    สิ่งที่ฝนฝึกเองมาไม่เสื่อมคลาย


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนเหอเซียนกูและพระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “อยู่กับความจริง

ความเป็นจริงสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนั้น    สิ่งที่ท่านหรือใครก็หนีไม่พ้น
อยากเปลี่ยนโลกต่างต้องเปลี่ยนที่ตน    ทุกถนนทอดยาวเป้าหมายเดียวกัน
ใจมีรักยึดติดคิดผูกพันแน่น    ยิ่งจะแสนทรมานกันใจบีบคั้น
เลือกอยู่กับความเป็นจริงสิ่งปัจจุบัน    มากกว่าสิ่งที่ฝันใฝ่อันห่างไกล


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา