วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

2543-05-20 สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก


PDF 2543-05-20-หมิงเฉิง #9.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

อากาศยามหลังฝนตกเย็นชื่นจิต ดั่งชีวิตหลังอุปสรรคสบายได้
หลังอุปสรรคก่อนอุปสรรคล้วนหนึ่งใจ ปัญหาใหญ่เท่าไหนไม่ล้มตน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

การบำเพ็ญในยุคนี้แสนสบาย แต่สอบใจคนผ่านยากหนักหนา
เพราะกิเลสที่สุมแน่นอุรา ที่ว่ามีน้อยแล้วหนายังมากเกิน
เพลินโลกีย์แสนกว้างใหญ่ทั้งแสงสี อีกดนตรีเริงรำสนุกสนาน
จึงเวียนว่ายตายเกิดทรมาน อันสังขารหรือก็ไม่คงทน
โลกเสื่อมลงธรรมเฟื่องฟูฉุดเวไนย ขาก้าวไปใจก้าวตามไม่สับสน
มีจุดหมายในการบำเพ็ญตน คืนเบื้องบนต้องขัดเกลาคืนใจเดิม
ศึกษาธรรมต้องทำจิตให้สว่าง อย่าได้ทำทั้งไม่รู้จะพาลหลง
เรียนรู้ให้เข้าใจทางสายตรง ก่อนที่จะลงมือให้จริงจัง
อย่าสงสัยให้ในจิตเป็นน้ำขุ่น พุทธะลุ้นว่าศิษย์น้องได้คืนฝั่ง
ต้องร่วมแรงร่วมใจร่วมพลัง สำเร็จได้ดั่งหวังด้วยพยายาม
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมในใจสำรวมยิ่ง
นำความตั้งใจให้ปรากฏอย่างแท้จริง แลหยุดวิ่งแสวงหากันเถิดนา
ทั้งลาภยศชื่อเสียงสิ่งจอมปลอม คอยรายล้อมหากไม่ตัดยากหลบพ้น
อันเงินทองพาจิตใจให้สับสน รู้จักตนรู้จักคนเดินคล่องดี
สร้างตนและไปสร้างคนให้พร้อมหน้า สร้างคุณค่าให้กับชีวิตนี้
ทุกเวลานาทีเฝ้าทำดี หวังน้องมีมรรคผลอันสมบูรณ์
ธรรมะแท้อย่าพยายามไปงมงาย อย่าได้ใจยามเห็นแต่เป็นดั่งหวัง
ระวังตนสำรวจตนให้จริงจัง อย่าชิงชังใครคนหนึ่งจิตอุดตัน
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอน้องครบทั้งศรัทธาความมุ่งมั่น
สองวันนี้อย่าได้ขาดแม้หนึ่งวัน ให้รู้ทันความเกียจคร้านที่คอยรุม
ทั้งชายหญิงต่างมีบุญกับพุทธะ อย่าลดละบำเพ็ญเถิดให้เกิดผล
อย่าดูแคลนตนเองรวยหรือจน ความอดทนต่อยากจึงพาคืนไป
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังน้องนั้นรักษาไว้พุทธระเบียบเทอญ
ฮวา ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก
พระโอวาทพระนาจา

วันนี้ในปีหน้าเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือแย่ลงไปกว่าเก่า
ชีวิตตอนนี้อยู่ในมือเรา ให้ทำเท่าที่คิดว่าดีที่สุดเอย
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนพรุ่งนี้จะมาอีกหรือเปล่า

ในทะเลทุกข์ที่กว้างใหญ่ไพศาล เวียนว่ายจมทรมานอยู่ในจิต
ไม่ยอมกับไม่สำนึกไม่พินิจ ปล่อยอดีตที่ผิดคอยเป็นเงา
จิตตื่นหวังปัจจุบันถูกสรรค์สร้าง จิตภวังค์อยู่กับฝันง่วงเหงา
พิจารณาความเป็นจริงบนทางยาว ยอมรับยอมหนาวกลายอุ่นแทน
คนจริงสู่วันหน้าด้วยปัญญา บำเพ็ญไปเพื่อหน้าตารันทดแสน
เมตตาคู่ความกล้าเดินทั่วแดน รู้จักแต่ทำจริงแม้นยากเท่าไร
หน้าที่สิ่งใดไม่ไผลเผลอ ความดีทำเสมอด้วยจิตขวนขวาย
เสมอต้นเสมอปลายทั้งกายใจ อนาคตไกลให้มองได้ที่ปัจจุบัน
การย่ำอยู่กับที่เป็นอันตราย แต่อะไรไม่รู้ไม่มีหุนหัน
สนองต้องมีเหตุมีผลกัน คนสำรวมนึกดีนั้นฟ้าปรีดา
ไม่เที่ยงเรื่องแม้กำหนดแลสำทับ ว่าหนักอกคลายกับสบายกว่า
บำเพ็ญจะค่อยค่อยเห็นสัจธรรมนา ไม่คิดหน้าคิดหลังประมาทไป
ฮิ ฮิ  หยุด

พระโอวาทพระนาจา

ท่านมาเพื่อฟังธรรมะหรือเปล่า (ใช่)  หรือเพราะมีคนบอกว่าวันนี้มาฟังธรรมะ แล้วจะได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากขออะไรก็ขอ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
คำพูดทำให้มนุษย์หวั่นไหว ทำให้มนุษย์มีขึ้นมีลง แต่มนุษย์ก็ยอมเป็นไปตามคำพูด ใช่ไหม (ใช่)  คำพูดของคนมีชม มีว่า แต่มนุษย์ก็อดมีชีวิตตามคำพูดไม่ได้ พอเขาชมก็ตีปีกยิ้มแย้ม พอเขาว่าปุ๊บก็เศร้าห่อเหี่ยว เช่นนั้นจะเป็นไปตามคำพูดของคนทำไม ในเมื่อรู้ว่าคำพูดต้องมีทั้งชมแล้วก็ว่า  ฉะนั้นบางครั้งก็ต้องรู้จักเป็นตัวของตัวเองบ้าง อย่าได้ปล่อยไปตามคำพูดของคนจนมากเกินไป จนลืมความเป็นตัวของตัวเองไป อย่างนั้นก็น่าเศร้าใจ
“วันนี้ในปีหน้าเป็นอย่างไร”  มนุษย์เกิดมาก็จำวันเกิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอครบรอบวันเกิดทีเราก็จัดงานวันเกิด จัดงานเลี้ยงฉลอง แต่เมื่อเรามาบำเพ็ญธรรมะแล้ว เมื่อครบรอบวันเกิด พุทธะจะไม่ให้จัดงานวันเกิด แต่พุทธะจะให้คิดว่าเมื่อถึงครบรอบวันเกิดปีหนึ่งมีอะไรดีขึ้น มีอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในปีหนึ่งบ้าง จึงจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า ไม่ใช่พอถึงวันเกิดก็ดีใจที่ถึงวันเกิด แล้วที่ผ่านไปล่ะ เราได้คิดเราได้ตรวจสอบดูไหมว่ามีอะไรดีขึ้นมาบ้าง มีอะไรที่ย่ำแย่ไปบ้าง หรือมีอะไรที่หายไปจากเดิมบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เราก็เลยจะมาบอกว่าหากผ่านไปถึงปีหน้าเมื่อไหร่ ให้นึกดูว่าตั้งแต่เราประชุมธรรมจนผ่านไปได้หนึ่งปีแล้ว เรามีอะไรดีขึ้นบ้างไหม เราได้รับธรรมะ เราได้รู้ว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดี เราได้ไปบำเพ็ญหรือเปล่า ถึงจะเป็นหนึ่งปีที่ผ่านไปอย่างมีค่า ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ลองนึกดูซิว่าเมื่อปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เหมือนเดิมไหม ดีขึ้นหรือเปล่าหรือว่าแย่ลง อะไรดีขึ้น (จิตใจของคนเรา)  ถ้าศิษย์น้องทุกคนในที่นี้เมื่อปีที่แล้วกับปีนี้เอามาวัดกัน เรามีอะไรดีขึ้น ย่อมมีทั้งดีขึ้นและแย่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งดีและแย่ลงนั้นเราได้เคยเอามาทบทวนหรือเปล่า ปล่อยให้ผ่านแล้วก็ผ่านไปใช่หรือไม่ เช่นนี้ย่อมไม่ดีนะ เพราะอะไรเราจึงบอกว่าให้ท่านคิดทบทวน ให้ท่านย้อนมอง ก็เพราะว่าตอนนี้ชีวิตยังอยู่ในมือเรา ยังอยู่กับตัวเรา เราสามารถควบคุมความเป็นมาเป็นไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักเดินหน้า รู้จักถอยหลัง รู้จักหันซ้ายหันขวา แต่ต่อๆ ไปชีวิตไม่ได้อยู่ในมือเราแล้ว ชีวิตอาจจะอยู่ที่ยมทูต หรืออาจไปอยู่ในที่ๆ เราไม่รู้แล้ว ตอนนี้เรารู้เราจึงต้องควบคุม และตรวจสอบดูแลชีวิตของตัวเองให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นพอชีวิตหมดไป เราไม่สามารถควบคุมแล้ว ตอนนั้นจะไปเรียกร้อง จะไปแก้ไขก็สายไปเสียแล้ว
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมปรบมือ และทำท่าตามจังหวะพร้อมๆ กันทีเดียวหลายท่า สลับกับร้องเพลงมีท่าประกอบ โดยศิษย์พี่คอยให้สัญญาณ)
บางทีเราอยู่ในโลกนี้หลายๆ คนบอกว่าเป็นโลกที่วุ่นวาย เต็มไปด้วยการแข่งขัน แต่ถ้าเกิดว่าช่วงที่ทุกคนแก่งแย่งแข่งขัน ทุกคนต่างจะเอาดีของตัวเองให้ได้ ทุกคนต่างจะทำของตัวเองให้ได้ดีที่สุดโดยที่ไม่สนใจคนรอบข้าง บางทีก็จะเกิดความปั่นป่วนโกลาหลขึ้นได้  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ บางครั้งมีหลายๆ เรื่องมาประดังรวมกัน เราจึงต้องรู้จักตั้งสติให้ดี ตามจิตใจให้ทันและมองเหตุการณ์ให้ออกใช่ไหม เพราะบางครั้งเรื่องยิ่งวุ่นวายมากขึ้น หากมนุษย์ยิ่งวุ่นวายตามไปด้วย เราจะไม่มีทางแยกแยะหรือมองเห็นเรื่องราวได้ชัดเจน ใช่หรือไหม (ใช่)  ภายนอกวุ่น ใจศิษย์น้องวุ่นด้วย เรื่องราวก็ยากที่จะเกลี่ยให้สงบลงได้  หากใจน้องวุ่น ภายนอกวุ่นแต่ภายในสามารถที่จะสงบนิ่ง ศิษย์น้องก็จะสามารถค่อยๆ เคลียร์ ค่อยๆ ตัดปัญหาแต่ละอย่างออกไปได้อย่างเรียบร้อย  ฉะนั้นไม่ว่ามีเหตุการณ์มากระทบใจหลายๆ เรื่องราว จะต้องรู้จักค่อยๆ ใจเย็นเรียกสติกลับมาจากความวุ่นวาย อย่าตื่นเต้นเดือดร้อน  ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่สามารถแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์และดีที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นแม้โลกจะวุ่นแต่ใจของศิษย์น้องนั้นต้องไม่วุ่นไปตามโลกเข้าใจไหม
“ปล่อยอดีตที่ผิดคอยเป็นเงา”  ถ้าคำสั่งหรือเสียงที่ออกมาจากในใจของศิษย์น้อง ไม่สามารถเรียกกายได้ชัดเจน คำสั่งนั้นก็อาจจะไม่สามารถทำให้ศิษย์น้องปฏิบัติได้เด่นชัดใช่ไหม เหมือนช่วงที่วุ่นๆ หากศิษย์น้องไม่ตั้งใจฟังศิษย์พี่ให้ดีๆ ศิษย์น้องจะทำได้ไหม (ไม่ได้)  หากศิษย์น้องไม่เห็นสัญลักษณ์หนึ่ง ศิษย์น้องจะทำได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า แปลว่ากายนี้จะเคลื่อนไหวได้ก็ต่อเมื่อใจนี้สงบนิ่ง แต่ถ้าเกิดว่าใจนี้ยังวุ่นวายและมีสิ่งเคลือบแฝงอยู่ ศิษย์น้องว่าศิษย์น้องจะสามารถฝ่าออกไปแล้วแก้ปัญหาได้แจ่มชัดไหม (ไม่)  เหมือนตอนดึกๆ ศิษย์น้องเคยเดินออกไปข้างนอก เคยมองเห็นต้นไม้ไหวแล้วมองเห็นเหมือนอะไร (ผี)  เคยเห็นโขดหินแล้วเหมือนอะไร (คน)  หลายต่อหลายคนมักจะบอกว่าเห็นผี แต่ไม่มีใครเห็นผีตอนเช้าเลย แสดงว่ายิ่งมืดครึ้ม ตาของศิษย์น้องกลับยิ่งพร่ามัว มองอะไรไม่ชัด แต่พอสว่างแล้วจึงเห็นชัดว่าเป็นต้นไม้ และยังแยกออกอีกว่านั่นต้นกล้วย ต้นมะม่วง ต้นชมพู่ แต่พอมืดแล้วเห็นชัดไหม (ไม่ชัด)  รู้อย่างเดียวว่าเป็นต้นไม้ หรือไม่บางทีที่เห็นจากต้นไม้กลายเป็นคน จากคนกลายเป็นผี แถมกวักมือเรียกอีกต่างหากใช่ไหม (ใช่)  นั่นเป็นเพราะว่าใจของศิษย์น้องเมื่อตอนที่กำลังจะเดินออกไปแล้วมีความหวาดกลัว มีความสงสัย ออกไปแล้วไม่รู้สงสัยจะเจออะไรบ้าง เดี๋ยวกลัวนู่นเดี๋ยวกลัวนี่ เดี๋ยวจะเจอผีไหม เดี๋ยวจะเจออะไรไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งช่วงที่เดินไปใจก็ไม่นิ่งกายก็เคลื่อนไปอยู่ แล้วศิษย์น้องจะมองเห็นได้ชัดไหม (ไม่ชัด)  แล้วจะตัดสินได้ถูกหรือว่าที่น้องเห็นเป็นภาพจริงไม่ใช่ภาพลวง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วที่บอกว่าเห็นผี  จริงๆ แล้วตัวเราหลอกตัวเราเองใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเดินไปตอนสว่าง ศิษย์น้องกลัวไหม (ไม่กลัว)  และเดินไปอย่างมั่นอกมั่นใจ เห็นอะไรมา อ๋อนั่นคน ไม่น่ากลัวหรอก แต่ถ้าให้คนนี้เดินไปตอนกลางคืน เจอผีแน่นอนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบางทีเขาใส่ชุดธรรมดา ท่านก็บอกว่า อ๋อยังดูออก หน้าอย่างนี้นะไม่กลัวหรอก แต่พอตอนกลางคืนมองไม่เห็น ตารู้สึกพร่ามัว จิตใจก็หวั่นไหว พอเจออะไรก็ยากที่จะแบ่งแยกได้ชัดเจน ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นชัดหรือไม่ชัด ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์เราเดินอยู่ในโลกก็เหมือนกัน พอเราเดินไปพักหนึ่งก็เห็นคนนี้สวย เห็นคนนี้หล่อ เห็นคนนี้หน้าตาดี เห็นคนนั้นก็หน้าตาดี พอเห็นปุ๊บจิตใจเราก็เกิดแบ่งแยกแล้วว่าอย่างนี้เรียกว่าสวย อย่างนี้เรียกว่าหล่อ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าใจเรานั้นเมื่อเวลาเดินผ่านไป เราไม่ได้ปล่อยอารมณ์ไป แต่เรากลับเก็บอารมณ์มา พอเก็บมานานๆ เข้าอารมณ์นั้นก็ฝังอยู่ในใจของเรา จนเกิดเป็นนิสัย ต้องแบบนี้นะมีหนวดน้อยๆ อย่างนี้นะสวย ต้องแบบนี้นะใส่แว่นดำๆ ทำมาดเข้มๆ อย่างนี้เรียกว่าหล่อใช่ไหม พอไปเจออะไรที่มีหนวดน้อยๆ ก็บอกว่าสวยจังเลย แต่อะไรที่ไม่มีหนวด น่าเกลียดจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  เกิดเป็นความรู้สึกเคยชินและเป็นนิสัยของตัวเอง  เมื่อเป็นนิสัยของตัวเอง พอเดินไปเขาบอกว่าให้ท่านช่วยเป็นกรรมการตัดสินการประกวด ท่านจะตัดสินได้ยุติธรรมไหมว่าใครสวยกว่ากัน (ไม่ยุติธรรม)  เพราะตอนนั้นชอบแบบที่มีหนวดน้อยๆ แล้วสวย มีแว่นหนาๆ แล้วหล่อใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เรานั้นจึงมีคำกล่าวว่า “หากใจบริสุทธิ์ ทุกๆ สิ่งล้วนบริสุทธิ์ดีงามด้วย แต่ถ้าใจขุ่นมัวมีมลทิน ทุกๆ สิ่งก็พลอยจะเป็นมลทินและขุ่นมัวด้วย” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์เมื่อเราจะอยู่ในโลกนี้ ก่อนที่เราจะเดินไปไหนหรือจะทำสิ่งใด หมั่นสำรวจใจตัวเองด้วย เมื่อจิตใจปลูกฝังมาเป็นความรู้สึกเคยชิน อารมณ์ก็กลายเป็นตัวของตัวเอง พอใครบอกว่าทำไมเธอชอบเป็นแบบนี้ก็จะพูดว่า ก็แบบนี้เรียกว่าตัวของฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอใครมากระทบแบบนี้เราก็รู้สึกไม่พอใจ พอใครมีความเห็นที่ตรงข้ามกับแบบนี้เราก็รู้สึกโกรธขัดแย้งไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการมีชีวิตการที่เราจะสามารถอยู่บนโลกนี้ แล้วรับเรื่องราวรับทุกๆ สิ่งในโลกนี้ได้อย่างบริสุทธิ์และเป็นสุขนั้นก็คือ เราต้องใช้จิตล้างใจของตัวเอง อย่าให้ยิ่งดำเนินชีวิตจิตใจยิ่งกลายเป็นถังใบใหญ่ เก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ในถัง บางครั้งยิ่งเราเดินไปใจของเราก็เหมือนถังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ พอเจอปุ๊บก็กระทบใจ แต่ถ้าเมื่อไรเราดำเนินชีวิต เรายิ่งมีแต่ล้างถังให้เกลี้ยง แล้วก็ทุบถังนี้ทิ้ง ไม่มีอะไรที่เป็นถัง ไม่มีอะไรเรียกว่าเป็นจิตเป็นใจ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นอารมณ์นิสัยของตัวตน เมื่อนั้นเราจะอยู่อย่างเป็นสุข ไม่กระทบคนโน้นไม่กระทบคนนี้ แม้กระทบก็ไม่ขุ่นมัว แม้แตะถูกตัวก็ไม่สั่นไหว อย่างนี้ทำได้ไหม (ได้)  หรือว่าทำได้ยาก ยากหน่อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าไม่ยากเลยถ้าทุกขณะจิต พอเดินไปเมื่อมากระทบเราปุ๊บ อ๋อ เขาว่าเรา ทำไมเธอเป็นคนแบบนี้ล่ะ ทำไมเธอถึงชอบขี้บ่น เราคิดได้เลยว่าใจเราเป็นถังที่เก็บความขี้บ่นอยู่ใช่ไหม (ใช่)  พอบอกว่าทำไมเธอถึงชอบทำแบบนี้ล่ะ นี่กระทบใจอีกแล้วทำให้เรารู้ได้ว่า ทำไมใจเรามีความชอบแบบนี้อยู่ พอมีชอบก็ต้องมีไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเดินไปอีกมีชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนอีก เพื่อนก็บอกว่าเออทำไมเธอถึงช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจอย่างนี้ จะเอาใจนี้ล้างออกดีไหม (ไม่ดี)  ต้องรักษาให้คงอยู่ใช่หรือไม่  แต่พอเขาบอกว่าวันนี้เขาว่าเรา แต่อีกวันหนึ่งเขาบอกว่าทำไมกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ แล้วเราควรจะเก็บไว้หรือไม่เก็บดี (ไม่)  อย่างนี้ต้องปล่อยทิ้งแล้วสำรวจตัวเองว่า เราลืมรักษาความซื่อสัตย์ไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วถ้าศิษย์น้องบำเพ็ญตนไม่ควรจะติดแม้กระทั่งดีและไม่ดี เมื่อไม่ติดทั้งดีและไม่ดี รักและก็เกลียด เมื่อนั้นเดินไปก็จะไม่หวั่นไหวและก็ไม่สั่นคลอน จริงไหม (จริง)
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสามคน แสดงเป็นลาสามตัว ตัวที่หนึ่งมีหูและหางครบ, ตัวที่สองมีแต่หูแต่ไม่มีหาง, ตัวที่สามมีหางแต่ไม่มีหู และให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกท่านหนึ่งซึ่งถูกปิดตาด้วยผ้า มาต่อหางและหูให้กับลาสองตัวที่หางและหูไม่ครบ โดยให้นักเรียนคอยบอกทางให้)
ความมืดกับความสว่างสิ่งไหนดีกว่ากัน (ความสว่าง)  เพราะเห็นได้ชัดเจนกว่า
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมและนักเรียนร้องเพลงและทำท่าถูหลังประกอบ)
สกปรกมาทั้งปีแล้ววันนี้ได้ล้างทำความสะอาด ล้างจิตใจที่ง่วงเหงาหาวนอนไปบ้างแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อสักครู่นี้ดูออกไหมว่าศิษย์พี่มีธรรมะอะไรอยู่ในเกม ใครตอบได้บ้าง หรือเป็นแค่ความสนุกสนาน (ความสว่างย่อมดีกว่าความมืด)  ความสว่างย่อมดีกว่าความมืดนั่นก็คือตาที่รู้จักเปิดกว้างรับความเป็นจริง ย่อมดีกว่าที่ปิดบังอำพรางไม่ยอมรับความเป็นจริงของชีวิตใช่ไหม (ใช่)  จิตใจที่สว่างไสวย่อมดีกว่าจิตใจที่มีตะกอนกิเลส อารมณ์ นิสัย ความเคยชินที่ไม่ดีทำให้ขุ่นมัวใช่ไหม (ใช่)  ใครได้อะไรบ้างจากเมื่อสักครู่ (การที่ถูกปิดตา เมื่อจะไปหาลาเพื่อสวมหูให้ หรือว่าจะติดหางก็ต้องใช้ความเพียรพยายามของตัวเอง)  นั่นก็คือการกระทำสิ่งใดยิ่งยากลำบาก แต่ถ้าเรามีความตั้งใจ มีความพยายามมีแรงหนุนช่วย มีแรงคนที่คอยให้กำลังใจส่งเสริม แม้จะถูกปิดตาก็มีใจที่จะพยายามทำให้สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือว่าบางครั้งคนเราเกิดมาแม้จะมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง เช่นเป็นคนที่ทำอะไรช้า แต่ถ้ามีเพื่อนคอยให้กำลังใจ ไม่เหยียบย่ำไม่ซ้ำเติม คนๆ นั้นก็สามารถที่จะฝ่าฟันไปได้ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นบางครั้งเราอยู่ร่วมกันก็ต้องรู้จักให้กำลังกัน และชี้นำในสิ่งที่ดีให้แก่กันแล้วเขาก็จะสำเร็จได้ แต่คนหนึ่งจะสำเร็จได้ก็ต้องมีความเพียรพยายามและอะไร (มีความมั่นใจ)  นั่นก็คือชีวิตของมนุษย์เราหากไม่งอมือ ไม่งอเท้า ไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้มา ต่อสู้ฟันฝ่า ทุกอย่างย่อมอยู่ในมือ ชีวิตเราย่อมสามารถกำไว้ได้ ควบคุมได้ นั่นก็คือว่าอย่าได้ดูถูกตัวเอง ขอให้มีความมั่นใจเราย่อมฝ่าไปถึง มีอะไรอีก (ขัดเกลาจิตใจ)  ก่อนที่เราจะขัดเกลาหรือยอมรับการขัดเกลา นั่นก็คือเราต้องรู้ก่อนว่าตัวเองนั้นเหม็นสกปรก ไม่อย่างนั้นเราคงไม่อาบน้ำขัดเกลาจริงหรือไม่ (จริง)  กายเรายังรู้จักชำระล้าง ใจเราก็เหมือนกันบางทีอาจจะสกปรกขุ่นมัวแย่แล้ว รอเราหันกลับไปชำระล้าง แล้วลาสามตัวเป็นอย่างไร (เราต้องมีสติอยู่ตรงนั้น)  เราต้องมีสติอยู่ตรงนั้นด้วย ยิ่งเราอยู่ในที่มืดเรายิ่งต้องมีสติระมัดระวังตัวเองให้ได้มากที่สุด เหมือนคนชอบแอบทำผิดในที่ลับๆ บอกว่าไม่มีใครเห็นหรอก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง พุทธะกล่าวว่า “แม้จะเป็นความดีเพียงน้อยนิดก็ต้องรีบขวนขวายทำ แม้จะเป็นความชั่วเพียงเล็กน้อยก็ต้องรีบแก้ไขขัดล้าง” ไม่เช่นนั้นความผิดแม้จะเพียงเล็กน้อยก็เหมือนเงาที่คอยตามตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ลาสามตัวนี้มีทั้งตัวที่สมบูรณ์แบบ และตัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ อีกตัวหนึ่งขาดหู อีกตัวหนึ่งขาดหาง คนเราในโลกนี้ก็เหมือนกัน บางครั้งเราเพียรพยายามหาคนที่ดีที่สุด เลิศที่สุดมาเป็นเพื่อนเรา มาเป็นคนที่อยู่ร่วมกับเรา แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้ยากใช่ไหม (ใช่)  การอยู่ร่วมกันก็คือช่วยกันเติมใจให้เต็ม พอรู้ว่าเขาขาดเราก็ให้เขา พอเราขาดเขาก็ให้เรา เราก็จะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่บอกว่าคนนี้ขาดหู คนนี้ขาดหาง เอาแต่ว่าๆ เขา แล้วก็รังเกียจเขา แล้วบอกว่าฉันเป็นคนที่มีทั้งหูทั้งหางสมบูรณ์ แต่จริงๆ แล้วใจไม่สมบูรณ์  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันในโลกนี้เป็นธรรมดาย่อมมีดี ดีมาก ดีน้อย แล้วก็ร้าย ร้ายมาก ร้ายน้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะอยู่กันอย่างตั้งแง่ตั้งงอนไม่ได้ ชิงดีชิงเด่นกันไม่ดี แต่เราต้องอยู่กันอย่างสมานกลมกลืน เหมือนเราดูต้นไม้ หากมีต้นกล้วยอยู่ แล้วเราจะมาปลูกต้นมะม่วง ต้นกล้วยเกิดอิจฉาริษยาว่าชีวิตนี้เจ้าของบ้านเคยมีแต่กล้วย อะไรก็กล้วย อะไรก็กล้วย ตอนนี้มีมะม่วง ต้นกล้วยอิจฉายอมไม่ได้แต่ไม่ยอมรับ คนเรามักจะมองไม่เห็นตัวเองใช่หรือเปล่า พอต้นมะม่วงขึ้นมาแล้วก็แกล้งเอาก้านไปขวาง เอารากไปขวางทำให้มะม่วงขึ้นได้ไม่ดี พอมะม่วงขึ้นได้ไม่ดีก็ถูกฟันทิ้ง ก็หัวเราะแสดงความดีใจ
สิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาก็หมายความว่า การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นหากเรารู้จักอบรมบ่มเพาะจิตใจที่ดีงาม การแสดงออกย่อมบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ถ้าเกิดว่าเราอบรมบ่มเพาะหรือไม่ได้อบรมบ่มเพาะ ปล่อยจิตใจไปตามอารมณ์ ปล่อยจิตใจไปตามต้องการ อารมณ์และความต้องการนี้อาจไปกระทบเบียดเบียนแล้วก็ทำร้ายคนอื่นก็เป็นได้ เหมือนใจของทุกคน เกิดมามีความอยาก ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทุกคนมีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บังเอิญความอยากตรงกัน พอเราอยากตรงกัน ใจเราก็ย่อมไม่เที่ยง ใจเราย่อมเหมือนน้ำขุ่นๆ ที่มีตะกอนวนเวียนอยู่ในจิตใจ ตะกอนนั้นก็คือความโลภ โลภนั้นวนไปเวียนมาอยู่ในจิตใจของเรา เวลาเราจะมองเขา เราก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน เมื่อมองเห็นเขาไม่ชัดเจนตัวเราก็ไม่ชัดเจน การกระทำออกไปจะเด่นชัดและจะถูกต้องได้ไหม (ไม่ได้)  ย่อมใกล้เคียงทั้งดีและเสียหายใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อเรามีความโลภในจิตใจ ความโลภนั้นย่อมเกิดการแข่งขันชิงดี เบียดบังและทำร้าย ผลที่สุดก็คือความเห็นแก่ตน เมื่อเห็นแก่ตนแล้วย่อมไม่เห็นอกเห็นใจใคร ย่อมไม่รักใคร และไม่หวังดีกับใครนอกจากตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่านอยู่ในโลกนี้จงประคับประคองจิตใจให้ดีอย่าให้กิเลส อารมณ์มาครอบงำใจ ถ้าเมื่อไหร่ที่มันมาครอบงำเมื่อนั้นใจเราจะขุ่นมัว เราต้องรู้จักมีสติอยู่เสมอ คอยตรวจตราจิตใจของเราทุกขณะจิตที่ก้าวเดิน หากเราดำเนินชีวิตปล่อยให้กิเลสครอบงำ ปล่อยให้กิเลสชักพาตัวตนเองไป เราย่อมยากที่จะเป็นคนมีระเบียบมีคุณธรรมและเห็นอกเห็นใจใครใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเกิดเป็นคนเห็นแต่ตน โลภไม่มีที่สิ้นสุด  เช่นนี้หรือจะเรียกว่าคนที่บำเพ็ญตน  เช่นนี้หรือจะเรียกว่าคนที่อยากจะเป็นคนดี  เช่นนี้หรือจะเรียกว่าคนที่จะเป็นพ่อแม่คน  เป็นได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันบางครั้งเรามีเหตุผล แต่เขาก็มีเหตุผลเหมือนกัน ดังนั้นการอยู่ร่วมกันเราจะต้องไม่ลืมที่จะน้อมยอมรับเขาบ้าง แล้วอย่าปล่อยให้กิเลสมาครอบงำจิตใจ ไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง หากมีตัวใดตัวหนึ่งย่อมทำให้มนุษย์นั้นไม่สามารถมีความเที่ยงธรรมได้ หรือแม้แต่กระทั่งเห็นแต่ตัวเอง เห็นแต่ตนก็เป็นกิเลสเหมือนกัน เข้าข้างตน เห็นตนสำคัญ เห็นคนอื่นไม่สำคัญเป็นกิเลสไหม (เป็น)  เห็นคนอื่นสำคัญและเห็นตัวเองไม่สำคัญเป็นกิเลสไหม (เป็น)  เห็นคนอื่นสำคัญเพราะว่าเรารักเขามากเกินไปจนลืมรักตัวเอง เหมือนท่านผู้สูงอายุ บางครั้งรักลูกรักหลานจนลืมเป็นห่วงตัวเอง เป็นห่วงเขามากจนลืมควบคุมตัวเอง และตัวเองชอบระเบิดอารมณ์ ระเบิดความขี้บ่น พอระเบิดทีหนึ่งใครจะอยู่ด้วย มีแต่หนีไปหมดเลยใช่ไหม แล้วจะบอกลูกว่ามาเถอะมาอยู่กับแม่เถอะ ก็แม่วางระเบิดเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการที่ทำให้เรารู้จักนำคุณธรรมมาใช้กับชีวิต มาน้อมนำชีวิตและน้อมนำจิตใจ ให้สามารถนำพาตัวเองได้และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่นใช่ไหม (ใช่)  บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องไม่ยาก นั่นก็คือรู้จักฝึกฝนอบรมตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณธรรม สิ่งใดที่ไม่ดีก็รู้จักชำระ นั่นก็คือความบำเพ็ญธรรมเบื้องต้น
แต่บางครั้งถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บ่อยครั้งก็ทำใจไม่ได้ เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เพราะว่ามันฝังอยู่ในใจจนกลายเป็นอารมณ์ นิสัย ความเคยชินแล้ว การที่จะค่อยๆ กระเทาะ ค่อยๆ ล้าง บางครั้งออกจะเป็นเรื่องยาก แล้วเวลาทำทีก็เจ็บใช่หรือเปล่า เหมือนเราจะถูขี้ไคลบางทีมันติดนาน อารมณ์ นิสัย ความเคยชินของมนุษย์ก็เหมือนกัน บางทีมันติดนาน รู้อยู่ว่าผิดแต่บอกให้ถู บอกให้ขยี้ เราก็กลัวเจ็บใช่ไหม (ใช่)  พอบอกว่าต้องให้ยอมนะ ไม่เอาไม่อยากยอมแพ้เค้า เรื่องอะไรต้องยอมเค้า เสียเชิงชายหมด เรื่องอะไรต้องไปยอมแพ้ภรรยาใช่ไหม ภรรยาก็บอกว่าเรื่องอะไรต้องไปยอมให้สามีใช่ไหม จริงๆ แล้วไม่ถูก หากไม่ดีเราต้องรีบขัดล้าง ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเกาะจนปล่อยไม่ได้ เมื่อปล่อยไม่ได้เราต้องทุกข์ใช่หรือไม่ จึงมีคำกล่าวว่า “มนุษย์เราชอบเป็นนักสังหาร” สังหารยุง สังหารเพื่อน สังหารสามี สังหารภรรยา และก็สังหารสัตว์ใช่หรือเปล่า แต่พุทธะสังหารหรือตัดอะไรล่ะ พุทธะตัดความหลอกลวงในตัวตน เมื่อรู้แล้วอย่าหลอกตัวเองว่าไม่รู้ใช่ไหม เพราะจริงๆ แล้วเรารู้ว่าอะไรไม่ดีในตัวเรา แต่เรามักจะบอกว่าไม่รู้ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถสังหารความหลอกลวงในตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์จะไม่ต้องทุกข์โศกอีกต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ท่านยังไม่ยอมสังหาร ท่านก็จะทุกข์วันนี้ สุขวันนี้ ทุกข์วันโน้น สุขวันหน้าสลับกันไปไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นขอให้รีบตื่นขึ้นแล้วมองเห็นชีวิตอย่างแท้จริงได้ไหม (ได้)  เราจะทำอย่างไรในเมื่อมนุษย์ยังเหมือนต้นไม้ที่ยิ่งโตก็ยิ่งพอกให้ตัวเองหนาขึ้น ใหญ่ขึ้นใช่ไหม แต่บำเพ็ญธรรมคือการทำให้ตัวเองน้อยลงๆ ทั้งที่การดำเนินชีวิตมีแต่หนาขึ้น ใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ เราเหมือนกับต้นไม้ที่มีชีวิตแล้วต้องพยายามทำให้ตัวเองสมบูรณ์ขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้น แข็งกล้าขึ้นใช่หรือไม่ พอใบไม้ร่วงเราก็ต้องพยายามผลิให้ได้มากกว่าที่ร่วงใช่หรือไม่ เราคอยผลิแล้วก็ร่วง ผลิแล้วก็ร่วงเหนื่อยไหม ถ้าเมื่อไรเราเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งใบร่วงหมดต้น เราไม่ต้องไปสงสารเขา ตอนนั้นเขาอาจอยากจะหาความสงบให้กับชีวิตก็เป็นได้ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราเห็นเขายิ่งใหญ่ตระการตา แต่ตอนนี้กลายเป็นเล็กกระจ้อยร่อย เราอย่าไปสงสารเขา ตอนนั้นเขาอาจจะอยากหาความเป็นชีวิตที่แท้จริงก็เป็นได้ใช่หรือไม่  ชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่ว่าต้องใหญ่ ชีวิตที่แท้จริงคือการรู้จักลด รู้จักพอ แม้ร่วงลงไปก็ยอมรับ คิดว่าหาความสงบให้กับชีวิต เหมือนสังขารของมนุษย์ สังขารของทุกคนคอยบอกมนุษย์แล้วว่าเมื่อเติบใหญ่จนถึงที่สุด ผลสุดท้ายก็ต้องแก่ชราและร่วงโรยใช่ไหม เมื่อถึงตอนนั้นใจเราก็ต้องคอยปล่อยๆ วางๆ ไม่ใช่ร่วงๆ เพิ่มๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่าฝืนธรรมชาติแล้วก็เป็นทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์เรา ยิ่งเมื่อไรที่ต้องสูญเสีย ตอนนั้นเราไม่ต้องไปวุ่นวาย ไม่ต้องไปเดือดร้อนว่าจะเอาเพียงอย่างเดียวยิ่งเราอยากจะให้อยู่ กลับยิ่งสูญหายใช่ไหม ยิ่งรักษาเดี๋ยวก็หายไปจากเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  สังเกตว่ายิ่งเราอยากมี อยากได้ เรากลับยิ่งต้องทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้จักถอยบ้าง ไม่อยากมีไม่อยากได้บ้าง บางครั้งกลับมีความสุขในความสงบใช่ไหม (ใช่)  ใช่เรื่องอะไร (ยิ่งแสวงหาอาจจะทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ควรจะปล่อยละจะได้ไม่เป็นทุกข์จนเกินไป)  บางครั้งก็ควรจะลดละปล่อยวางบ้างใช่ไหม (ใช่)  วันนี้จะตัดจากสามี ตัดในที่นี้ไม่ใช่เลิกกับเค้า แต่ให้รู้จักปล่อยวางบ้าง
ที่นี่จะมีได้ก็ต่อเมื่อมีคนเสียสละ การบำเพ็ญธรรมนั้นเน้นหนักให้รู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตนเองแล้วยังต้องรู้จักช่วยเหลือคน การช่วยเหลือคนจะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรามีจิตใจเสียสละ จิตใจที่ไม่เห็นแก่ตนใช่ไหม (ใช่)  ซึ่งทุกท่านในที่นี้ต่างทำได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยู่ที่ว่าจะยอมลดการแสวงหาในโลกนี้บ้างหรือเปล่า หากเรายอมลดแล้วเปลี่ยนจากการหาเป็นการให้คนอื่น เราก็จะได้พบความสุขที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด นั่นคือเราได้สามารถฝึกฝนบำเพ็ญตนให้รู้จักให้ เมื่อให้บ่อยๆ แล้วเราก็จะมีสุข แต่บางครั้งช่วงที่เราคิดจะก้าวออกไปบำเพ็ญนั้น ในช่วงที่เราจะคิดให้กับคนอื่นนั้นต้องต่อสู้กับใจตัวเองก่อน ถ้าใจตัวเองฝ่าไม่ได้ เมื่อก้าวไปนั้นก็จะต้องเจออุปสรรคใช่หรือไม่ เมื่อใจตัวเองไม่สามารถเคลียร์ให้เรียบร้อยได้ เจออุปสรรคก็เป็นอย่างไร ก็ล้ม เมื่อนั้นก็ยากที่จะบำเพ็ญให้คนอื่นได้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์น้องจะออกไปฉุดช่วยคน พยายามเคลียร์จิตเคลียร์ใจให้เรียบร้อยว่าพร้อมไหม เข้าใจหรือยัง พร้อมแล้ว สละได้แล้ว วางได้แล้ว ก่อนก้าวออกไปเคลียร์กับคนข้างๆ ก่อน เคลียร์กับงานอะไรให้เรียบร้อยก่อน เลิกเคลียร์แล้ว วางแล้ว สละ  ทำได้แล้วค่อยๆ ก้าวออกไปช่วยคนทีละนิด แม้วันนี้ได้แค่นิดหนึ่ง แค่พูดว่าอย่าลืมไปห้องพระนะ นั่นก็คือการได้ช่วยคนบ้างแล้วใช่หรือไม่ อย่าได้เที่ยวเปรียบเทียบว่าจะต้องเอาให้ได้เท่านี้เอาให้มากเท่านี้ ค่อยๆ บำเพ็ญ ธรรมะเริ่มจากตนแล้วนำสู่ผองชน หากตนเองยังไม่สามารถเคลียร์จิตเคลียร์ใจได้ เวลาจะก้าวไปเจออุปสรรคก็จะยิ่งทำให้ยากจะฝ่าฟันไปได้ใช่หรือไม่ การบำเพ็ญธรรมจึงต้องรู้จักกระตือรือล้นและอย่าได้รีบร้อน ความกระตือรือล้นทำให้เรารู้จักที่จะมีใจต่อสู้ฝ่าฟันและน้อมนำสิ่งที่ดีๆ และแก้ไขสิ่งที่บกพร่องใช่หรือไม่ แต่ความรีบร้อนจะทำให้มนุษย์เราทำลายความมุ่งมั่นใช่หรือไม่ งานอะไรก็ตาม สังเกตเหมือนเวลาเราง้าวธนู พอง้าวตึงมากๆ แล้ว ผลสุดท้ายก็อาจจะขาดหรือไม่ก็คือกลับไปสู่ที่เดิมใช่ไหม เหมือนมนุษย์เราพอได้อะไรที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว เราก็จะรู้สึกว่าหย่อนแล้วก็เสื่อม เหมือนลิ้นเรารับรสอาหารเปรี้ยว หวาน เค็ม มัน เต็มไปหมดเลย เราก็รู้สึกว่าไม่อยากกินอะไรแล้ว ขอดื่มน้ำเปล่าดีกว่าใช่ไหม การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกันถ้าอยากจะทำอะไรมุ่งมั่นไปให้สำเร็จ เราต้องค่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยอย่ารีบร้อน ไม่อย่างนั้นรีบร้อนแล้วจะไปได้ไม่ถึง เหมือนลมหายใจของเราเมื่อเราหายใจเข้าผลสุดท้ายก็ต้องหายใจออกใช่ไหม การก้าวเดินของเราเหมือนกัน ก้าว ชิด ก้าว หรือไม่ก็ก้าวไปใช่หรือไม่ แต่การก้าวไปนั้นเป็นธรรมดาที่จะต้องผ่านที่เดิมก่อนใช่หรือไม่ การกระทำสิ่งใดก็เฉกเช่นเดียวกัน จึงต้องอย่าได้ดึงจนเกินไป ถ้าก้าวจนสุดทีนี้น้องจะก้าวต่อได้ไหม (ไม่ได้)  ก้าวไม่ได้แถมยืนยังยืนไม่ขึ้นเลยใช่หรือไม่ ต้องหาคนพยุง  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักค่อยๆ ก้าว ช้าๆ แต่มั่นคง อย่าได้รีบร้อนจนล้มไม่เป็นท่าแล้วบอกว่าธรรมะไม่ดี ไม่อยากบำเพ็ญธรรมแล้ว ไม่ได้นะ ต้องมองให้ชัดเจน  การบำเพ็ญธรรมะก็คือการรู้จักนำธรรมมาน้อมนำใช้ในชีวิต ถ้ายังนับถือศาสนาพุทธก็ยังนับถือได้อยู่ พระก็ยังไหว้ได้อยู่ เข้าโบสถ์เข้าวิหารทำบุญตักบาตรก็ยังทำได้อยู่ เพียงแต่มีโอกาสให้ได้รู้จักฉุดช่วยชีวิต น้อมนำชีวิตตัวเองด้วย ไหว้พระแล้วอย่าลืมเอาพระมาสู่ใจ เมื่อเอาพระมาสู่ใจแล้วอย่าลืมนำพระหรือนำความศักดิ์สิทธิ์ไปใช้ด้วย
เรื่องราวในโลกนี้ศิษย์น้องต้องจำไว้อยู่อย่างหนึ่ง บางครั้งเราคิดว่าเรามั่นใจแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ คิดแล้ว บอกให้ชัดเจนแล้ว แต่บางครั้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้ศิษย์น้องมั่นใจว่าสิ่งที่ศิษย์น้องทำดีที่สุดแล้ว แต่อย่าลืมว่าบางครั้งมันก็มีความไม่แน่นอนได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนศิษย์น้องหลายคนชอบดูหมอ หมอทำนายว่าต่อไปอนาคตจะรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ศิษย์น้องก็นั่งฝันว่าชีวิตเราจะโชติช่วงชัชวาล แต่อาจจะไม่แน่นอนก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งมีคนมาบอกว่าต่อไปอนาคตจะมืดมนหม่นหมอง แต่ไม่แน่อาจจะสว่างโชติช่วงก็เป็นได้ นั่นคือไม่ขึ้นอยู่กับคำพูดของใครคนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่ตัวศิษย์น้องเองต่างหาก เมื่อได้ยินเมื่อได้ฟังเรื่องราวอะไรมา บางครั้งอย่ามั่นใจ อย่าแน่นอน แม้กระทั่งใจตัวน้องเอง เพราะบางทีก็หวั่นไหวสั่นคลอนเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ เสมอๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งเราจะต้องไม่งอมืองอเท้าแล้วเราจะสามารถกุมชะตาชีวิตไว้ที่ตัวเองได้ ยิ่งร้ายมาเรายิ่งต้องตั้งสติรับให้ดีแล้วค่อยๆ ฟันฝ่าไป ยิ่งดีมาก็ต้องระมัดระวัง รู้จักเผื่อแผ่ให้ ความดีนั้นจะได้ยิ่งเกรียงไกรและอยู่ได้ยืนนาน เหมือนเรามีสุขเราก็ต้องรู้จักให้สุข เมื่อเรามีทุกข์จงยืนขึ้นแล้วฟันฝ่าอย่าได้ล้มลุกคลุกคลาน ไม่เช่นนั้นเอาแต่ล้มลุกเมื่อไรจะฝ่าออกไปได้ ไม่อย่างนั้นศิษย์น้องเองก็จะเป็นผู้พ่ายแพ้ตนเอง
“ว่าหนักอกคลายกับสบายกว่า”  บางครั้งเรื่องที่หนักๆ บางทีก็ยังทำให้เราเดินไปได้สำเร็จกว่าเรื่องที่สบายๆ เสียอีก ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ ให้ศิษย์น้องลองถือกระดาษสักแผ่นหนึ่ง ถือไว้อยู่กับตัวตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งปีหน้าให้มาพบศิษย์พี่อีก กระดาษนั้นจะยังอยู่กับศิษย์น้องไหม แต่ไม่ใช่ว่ากลัวศิษย์พี่เลยตัดกระดาษแผ่นนี้เอามาให้ใหม่ ห้ามเอาอย่างนี้นะ ต้องเป็นแผ่นที่วันนี้ได้ไปแล้วพรุ่งนี้กลับมาก็ยังอยู่อีก ศิษย์พี่จะคอยดูนะ แต่บางคนพอเห็นเป็นเรื่องแบบนี้กลับรักษาไม่อยู่ แต่ถ้าให้ถือป้ายทั้งหกร้อยแผ่นก็บอกว่างานหนักเหลือ รักษายากเหลือเกิน พอปีหน้ากลับมากระดาษหกร้อยแผ่นยังอยู่ไหม (ไม่อยู่)  ศิษย์พี่ต้องการยกตัวอย่างให้ดูว่าบางครั้งเรื่องเบาๆ เราก็เบาใจเกินไป พอได้เรื่องหนักๆ กลับยิ่งหนักเกินไป มนุษย์เราจึงเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย บางครั้งหนักเกินไปก็รักษาอยู่ แต่บางครั้งหนักเกินไปบางคนกลับรักษาไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  บางคนเบาเกินไปรักษาอยู่ แต่บางคนเบาเกินไปรักษาไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงอย่าได้ประมาทแม้กระทั่งตนเองและคนรอบข้าง
“บำเพ็ญจะค่อยค่อยเห็นสัจธรรมนา ไม่คิดหน้าคิดหลังประมาทไป”  ฉะนั้นทำอะไรขอให้รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รู้จักหมั่นขัดเกลาตัวเอง ดำเนินชีวิตอย่างผู้มีคุณค่าและมีธรรม ธรรมนี้เป็นสิ่งที่มีคุณ มีคุณทั้งชาตินี้และชาติหน้า มีคุณทั้งภพนี้และภพหน้าทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงแม้จะมีคุณในชาตินี้ แต่ก็มีโทษในชาตินี้เหมือนกัน แม้มีคุณในชาตินี้ แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ให้มีคุณธรรมก็กลายเป็นโทษในชาติหน้าใช่หรือไม่ ไม่เหมือนกับมีธรรม หากเรารู้จักบำเพ็ญธรรม ธรรมนั้นจะช่วยนำพาชีวิตไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ขอให้ศิษย์น้องตั้งใจศึกษาให้ดีๆ อย่าได้ขาดนะ เข้าใจไหม ศิษย์น้องยังสงสัยนิดๆ ว่าศิษย์พี่หรือเด็กคนนี้มาหลอกลวงหรือเปล่า ไม่เป็นไร จะสงสัยหรือไม่สงสัยก็อยู่ที่ตัวท่านเอง  วันนี้หน้าที่ของศิษย์พี่ก็หมดลงด้วยประการฉะนี้ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญศึกษาธรรมให้ดีนะ วันนี้ศิษย์พี่ก็คงต้องไปแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ ขอให้ยิ่งบำเพ็ญยิ่งก้าวหน้า จิตใจยิ่งสว่างไสว อย่าได้ขุ่นมัวในอารมณ์ กิเลสตัณหาและความเป็นตัวของตัวเองจนเกินไป อย่าคิดว่าศิษย์พี่มาหลอกเลย ถ้ายังคิดว่าศิษย์พี่มาหลอกอีก ศิษย์พี่ก็เศร้า ไปด้วยความเศร้า โชคดีนะ



วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

บนทางมีครูกับศิษย์อยู่คู่หนึ่ง เมื่อเดินถึงไม่เท่าไรศิษย์ก็ถาม
ครูก็เฝ้าอธิบายไม่ขาดความ แล้วครูถามกลับศิษย์เข้าใจหรือไม่
เมื่อถึงแล้วก็รู้เองไม่ต้องถาม แต่เมื่อยามถึงแล้วอย่าลืมว่าทำไฉน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร มาศึกษาต้องปฏิบัติให้ควบคู่กัน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงเฉิง แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมจะบำเพ็ญหรือยัง

อย่าบอกว่าท้อใจไม่เคยช่วย ให้ศิษย์รักสูงส่งด้วยคุณธรรมหนา
อย่าบอกว่าเลิกบำเพ็ญติดปากนา กรรมเวรมารุมศิษย์ข้าช่วยไม่ทัน
ชีวิตแสนมีค่าสำรวมดำเนิน อย่าเพลิดเพลินหลงติดอยู่ในขันธ์ 
กิเลสพาตาพร่าอยู่อย่างนั้น จงรู้ทันละกิเลสให้เต็มแรง
ยืนอยู่คาบความดีชั่วตัวเรานี้ ทุกนาทีจึงมั่นดีด้วยใจแกร่ง
จะกี่วันเดือนปีไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หน่ายแหนงทางบำเพ็ญนะศิษย์เอย
โปรดสามภพข้าโปรดศิษย์ด้วยใจรัก อย่าเป็นไม้หลักปักเลนเดินหน้าก้าว
สู่แดนสรวงต้องมีจิตอันใสเบา แปรคนเก่าเป็นคนใหม่นะศิษย์เอย
หลังจากจบสองวันนี้ไปปฏิบัติ อย่าประมาทเหมือนดังเก่าเฝ้าทำเฉย
สิ่งใดข้าเคยกล่าวอย่าละเลย ศิษย์ข้าเอยตามข้าคืนแดนฟ้าเทอญ
ฮา ฮา  หยุด

  ขันธ์ ส่วนหนึ่งของรูปกับนามที่แยกออกเป็น ๕ กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ


ได้ยินครั้งใดอยู่ดีดีก็หนาวดั่งล้มไข้ น่าเบื่อไม่ทน เมื่อศิษย์เราท้อใจหมดใจ โปรดฟังให้ดี หากกังวลทั้งวันก็ยิ่งหน่าย อย่าเดินหนีไป ฝึกบำเพ็ญยอมรับเรื่องจริง ไม่เคยสักที อยากมีหน้าตา จะดิ้นรนน้อยกว่านี้
? มิวอนขอคนหมดใจ ดูเจ้านั้นจากลา จะขื่นขม จะห่วงหา ก็จะอดทนไว้ ศิษย์ทุกข์ข้าทุกข์เฝ้ารอ ศิษย์ท้อข้าร้อนหนักใจ ศิษย์ข้าเอ๋ยคืนมาให้ได้ อาจารย์จะรอคนดี   (ซ้ำ ?)

ชื่อเพลง : อย่าให้ต้องรอ
ทำนองเพลง : ขอเป็นฝ่ายไป


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ฟังหัวข้อกตัญญูไปแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์มีความกตัญญูไหม ถังที่ใช้อยู่ที่บ้านศิษย์เคยเห็นไหม แต่ถังใบนี้ก้นรั่ว จะใส่น้ำได้เต็มไหม กุศลเราก็เหมือนกับน้ำในถังใบนี้ ในเมื่อใส่ได้ไม่เต็มถัง จะมีเผื่อแผ่ไปให้กับคนอื่นได้ไหม (ไม่มี)  เราจึงต้องมาอุดรอยรั่วอันนี้ก่อน แล้วทำอย่างไรถังใบนี้จึงแตก ประการแรกถ้ายังทำความชั่วควบคู่กับความดีไปด้วย นั่นคือก็ยังใส่น้ำให้เต็มถังไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องอุดรอยรั่วนี้ก่อน อีกประการหนึ่งที่ทำให้ถังใบนี้รั่วก็คือ การที่เรานั้นทานเนื้อสัตว์อยู่ การทานเนื้อสัตว์คือการเกี่ยวกรรมกับสัตว์ แม้ศิษย์สร้างกุศลแต่กุศลนั้นก็ต้องคืนให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วจะทำอย่างไรจึงจะอุดรอยรั่วนี้ได้ เราต้องรู้จักที่จะเบาบางลงจนกระทั่งเรานั้นไม่ทานเนื้อสัตว์ ไม่ใช่ให้เวลาตนเองจนไร้เขตจำกัด เราต้องมากำหนดตัวเองว่าเราจะเลิกทานเนื้อสัตว์ภายในเวลาเท่าไหร่ ต้องพยายามให้ได้ บางคนว่าค่อยเป็นค่อยไปแต่ไม่รู้ถึงปีไหน ค่อยเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  ค่อยหนึ่งปีก็แล้ว ค่อยสองปีก็แล้ว ค่อยสามปีก็แล้วยังเลิกไม่ได้อีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราไม่รู้จักปฏิบัติ เมื่อพูดธรรมะให้คนอื่นฟัง มีใครอยากฟังไหม (ไม่อยากฟัง)  ทำไมถึงไม่อยากฟัง เพราะว่าเรายังทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีพ่อแม่และทุกคนอยากแสดงความกตัญญู แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่กตัญญูซึ่งเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ คือการเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน  แล้วก็ขี้รำคาญใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเรารู้สึกว่าจะเป็นหนุ่มไฟแรง และสาวมีพลังขึ้นเรื่อยๆ แต่พ่อแม่ของเรานั้นก็เป็นคนที่แก่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย คนแก่ขึ้นแล้วขี้บ่น น่าเบื่อไหม จริงๆ แล้วจะบอกว่าเรานั้นก็เบื่อใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เบื่อแล้วเราต้องควบคุมความเบื่อของเราได้ด้วย
เพราะฉะนั้นปัญหาของเรากับพ่อแม่ในวัยที่ต่างกันก็มีปัญหาง่ายๆ ตรงที่ว่าเราเบื่อพ่อแม่เราบ่น ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็เป็นคนดี พ่อแม่เราก็อยากเลี้ยงดูใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าพ่อแม่บ่นประจำเลย พอพ่อแม่บ่นทีเราก็ถอย หรือไม่ก็วิ่งหนีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนที่อยากจะกตัญญูต่อพ่อแม่นั้น ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ร้อน หรือว่าความขี้เบื่อของเรานั้นเราต้องรู้จักควบคุมให้ได้ ไม่ใช่เบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลาและสิ่งที่ควรจะกระทำก็คือการได้แสดงออกมา ถ้าหากว่าเราอยากกตัญญูใจเราเต็มไปด้วยความกตัญญู แต่เราไม่เคยแสดงออกมาเลย พ่อแม่รู้หรือไม่ว่าเรากตัญญู (ไม่รู้)  พ่อแม่รักเรา แต่พ่อแม่ไม่เคยบอกแล้วเรารู้ไหม (ไม่รู้)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักที่จะบอกพ่อแม่ว่าเรารักท่าน ด้วยการที่กลับไปบ้านแล้ว ถึงเวลากินข้าวเราต้องตักข้าวให้พ่อแม่ทานใช่หรือไม่ ทุกคนต้องกินข้าวหรือเปล่า (กิน)  พ่อแม่ต้องกินข้าวหรือเปล่า (กิน)  ถึงเวลากินกินพร้อมกันไหม (พร้อมกัน)  ส่วนใหญ่กินพร้อมกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เรากินเราต้องตักให้พ่อแม่ก่อน แล้วตักข้าวให้เรากินไปพร้อมๆ กัน นี่เป็นการแสดงออกไหม (แสดงออก)  เวลาที่เราจะกินน้ำ เราต้องตักให้พ่อแม่ก่อนหนึ่งถ้วยแล้วเรากินด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดซะว่าเราหิวพ่อแม่หิว เราทำอย่างไรให้ท่านหายหิว เราป่วยใจท่านก็ป่วยใจ ทำอย่างไรจะทำให้ท่านหายป่วย ป่วยใจป่วยกายอะไรหนักกว่ากัน (ป่วยใจ)  ป่วยใจก็ต้องรักษาด้วยใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ด้วยใจอะไรบ้าง  ตั้งใจแล้วอะไรอีก (เต็มใจ จริงใจ กำลังใจ สนใจ มีน้ำใจ ถนอมน้ำใจและเข้าใจ)  เราเข้าใจตัวเองไหม เราเข้าใจว่าตัวเราชอบทานอะไร ชอบอากาศแบบไหน เราเข้าใจตัวเองทุกอย่าง แต่เราไม่เข้าใจว่าพ่อแม่ชอบอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่มีอะไรในใจ ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่คิดอะไร ถ้าเราไม่เข้าใจท่านก็ย่อมที่จะมีอาการเบื่อ มีอาการอารมณ์ร้อนได้ทุกเมื่อๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความเข้าใจพ่อแม่ เมื่อเราเข้าใจ ทุกอย่างที่ศิษย์ตอบมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตั้งใจจนถึงถนอมน้ำใจนั้น ก็จะทำได้ครบถ้วน ด้วยคำว่า “เข้าใจ” เป็นที่เริ่มต้น เพราะฉะนั้นคำว่า “เข้าใจ” นั้นเป็นที่หนึ่ง คนจะเข้าใจคนได้ต้องรู้จักสังเกตใช่หรือไม่ (ใช่)  สังเกตเหมือนกับเราสังเกตภรรยา สังเกตสามี สังเกตลูก สังเกตของที่เราชอบ พ่อแม่ก็ต้องการการสังเกตของเราด้วย เมื่อเรากตัญญู ลูกหลานของเราก็จะกตัญญู เพราะว่าดูตัวเราเป็นเกณฑ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรียกว่าเป็นการสั่งสอนบุตรหลาน การที่เราสั่งสอนบุตรหลานนั้น จะใช้แต่ปากสั่งสอนหรือจะใช้คำพูดสั่งสอนอย่างเดียวได้ผลไหม (ไม่ได้)  ต้องใช้การกระทำไปสั่งสอนด้วย แสดงว่าเราทำได้ผู้อื่นย่อมทำได้ เราทำได้ลูกหลานของเราย่อมทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เราโมโหลูกหลานของเรา เราก็มาย้อนดูตัวเองว่าตอนเราเป็นเด็กนั้นเรารู้สึกอย่างไร ทำไมลูกหลานของเราถึงทำกับเราแบบนี้ เหมือนที่เราทำกับพ่อแม่แบบนี้หรือเปล่า ถ้าเราทำก็ถือว่าเป็นกรรมตามสนองใช่หรือไม่ (ใช่)

“บนทางมีครูกับศิษย์อยู่คู่หนึ่ง เมื่อเดินถึงไม่เท่าไรศิษย์ก็ถาม
ครูก็เฝ้าอธิบายไม่ขาดความ แล้วครูถามกลับศิษย์เข้าใจหรือไม่
เมื่อถึงแล้วก็รู้เองไม่ต้องถาม แต่เมื่อยามถึงแล้วอย่าลืมว่าทำไฉน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร มาศึกษาต้องปฏิบัติให้ควบคู่กัน”

อาจารย์เล่านิทานเรื่องหนึ่งเลยนะ บอกว่าบนทางเส้นหนึ่งมีครูกับศิษย์เดินคู่กันมา อาจารย์จะพาศิษย์ไปที่แห่งหนึ่ง แล้วพอเดินไปครึ่งทางหรือว่าเดินไปแค่นิดเดียว ศิษย์ก็เริ่มถามอาจารย์ว่าอาจารย์จะพาศิษย์ไปไหน อาจารย์ก็อธิบายให้ศิษย์ฟัง พอเดินไปอีกสักครู่หนึ่งศิษย์ก็ถามอีก อาจารย์ก็อธิบายให้ศิษย์ฟัง แต่ฟังไปฟังมา ศิษย์ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำอย่างไรศิษย์จึงจะเข้าใจได้ล่ะ (ลูกศิษย์ก็ต้องเฝ้าถามพระอาจารย์)  ถ้าตอบว่าถามอาจารย์ไปเรื่อยๆ นั้นผิด เพราะว่าคนที่ถามนั้นก็ย่อมไม่รู้เท่ากับคนที่เคยไปถึงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออาจารย์นั้นพาศิษย์เดินไปถึงที่ๆ นั้นที่อาจารย์จะพาไป ศิษย์ก็ย่อมจะรู้เอง โดยที่ไม่ต้องใช้คำถามใดๆ เลย เพียงแต่ตอนนี้นึกจะถามอะไรก็ต้องเก็บไว้ในใจก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วก็ต้องพิจารณาดูเอง และอย่าลืมที่จะทำในสิ่งที่สมควรทำเมื่อถึงที่หมายนั้น  นิทานเรื่องนี้สอนว่าการที่ครูคนนั้น ก็คืออาจารย์คนนี้ และศิษย์คนที่อยู่บนกระดานในนิทานเรื่องนี้ ก็คือศิษย์ทุกๆ คน อาจารย์นั้นเดินมาบนเส้นทางหนึ่งคือ เส้นทางการบำเพ็ญนี้พร้อมกับศิษย์ของอาจารย์ เพียงแต่ว่าอาจารย์อาจจะไม่ได้ลงมาเดินกับศิษย์จริงๆ หรืออาจารย์ไม่ได้เดินกับศิษย์ทีละหนึ่งคน แต่เดินกับศิษย์เป็นจำนวนมาก แล้วพอเดินไปถึงไม่เท่าไรศิษย์ของอาจารย์ก็ถามอีกแล้ว หมายถึงศิษย์ที่ถามอาจารย์ อาจารย์ก็ตอบทุกอย่างเท่าที่อาจารย์ตอบได้ แล้วอาจารย์ก็ถามศิษย์กลับว่าเข้าใจไหม คำตอบที่ตอบกลับมาเป็นคำตอบที่ส่ายหัวอยู่เรื่อยเลย อาจารย์จึงบอกว่าเมื่อถึงแล้วก็รู้เองไม่ต้องถาม แต่เมื่อยามถึงตรงที่ควรจะทำ อย่างเช่นศึกษาธรรมะ  เมื่อสักครู่ฟังหัวข้ออะไร (กตัญญู)  เมื่อยามกลับไปถึงบ้าน ให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องรู้จักกตัญญูที่บ้าน เมื่อยามถึงโรงเรียนทำอะไร เมื่อยามอยู่ที่ทำงานทำอะไร เมื่อยามอยู่ในนาทำอะไร เมื่อยามมีคนมาคุยธรรมะด้วยทำอะไร เมื่อยามนอนทำอะไร เมื่อยามนอนก็ต้องนอนให้หลับ เวลากินก็ต้องกินให้อิ่ม นี่เป็นธรรมะ นี่คือธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อถึงจุดหมายศิษย์ก็ต้องควรจะทำในสิ่งที่ควรทำนั้นๆ ในโลกนี้มีคำพูดที่บอกว่า “ไม่รู้แล้วยังทำ” แต่เวลาทำแล้วไม่รู้ ตอนที่ทำนั้นไม่รู้อะไร แต่เวลาให้ทำแล้วไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคำกลอนบทนี้ นิทานเรื่องนี้ให้ศิษย์กลับไปคิดดูให้ดีนะ ถึงช้าก็ต้องเดิน ไม่รู้ว่าใครจะไปถึง อาจารย์ก็เดินกับศิษย์อยู่ทุกวันเลย แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์ยึดติดรูปลักษณ์ จึงมองไม่เห็นเหมือนตอนนี้
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (หมิงเฉิง)  หมิงเฉิง แปลว่าอะไร  หมิง ( ?? ) แปลว่า สว่าง, เฉิง ( ?? ) แปลว่าศรัทธา, หมิงเฉิง ( ???? ) แปลว่า ศรัทธาที่สว่างไสว หรือแปลว่า ศรัทธามาก  ศิษย์มีศรัทธามากหรือกำลังจะมาก ถ้ากำลังจะมากแปลว่ายังไม่มากนะ  ในสองวันนี้พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญตลอดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้พูดถึงเรื่องการหาเงินและไม่ได้พูดถึงเรื่องลาภยศสรรเสริญ เพราะฉะนั้นจิตใจของเราในขณะนี้ต้องเป็นจิตใจที่โอบอุ้มธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงถามศิษย์ว่า “ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมจะบำเพ็ญหรือยัง?” (พร้อม)
การบำเพ็ญคืออะไร (พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นผู้ชายและหัวหน้าชั้นผู้หญิงตอบโดยปรึษากับนักเรียนในชั้น) หัวหน้าชั้นผู้ชายตอบว่าคือการปฏิบัติและกล่อมเกลาทางด้านจิตใจ หัวหน้าชั้นผู้หญิงตอบว่าคือการปรับปรุงตัวเองในการปฏิบัติธรรมให้ดีขึ้น การที่เรามาอยู่ร่วมกันในสองวันนี้ถือว่าเป็นความโชคดีหรือไม่ (โชคดี)  แต่หนีไม่พ้นที่คนที่อยู่ร่วมกันตรงนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้าชั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็เป็นตัวแทนของนักเรียนในชั้น อาจารย์เชื่อแน่ว่าหัวหน้าชั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงได้รู้ถึงการที่จะทำให้คนอื่นนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีคำตอบอย่างเดียวกันนั้นยากใช่ไหม (ใช่) การที่เรามาบำเพ็ญธรรม และมาสถานธรรมนั้นแน่นอนทุกคนเป็นตัวของตัวเองและหลบไม่พ้นกับการที่ทุกคนนั้นต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ศิษย์ที่เป็นนักเรียนในสองวันนี้เท่านั้น แต่รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานธรรมข้างหน้า อาจารย์บรรยายธรรมและอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก็ต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง การที่แต่ละคนนั้นจะพูดผิดบ้างถูกบ้างก็ย่อมเป็นสิทธิ์ส่วนตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรานั้นมาฟังธรรมะ ที่เราได้เห็นทั้งหมดรวมทั้งสถานธรรมและเก้าอี้ที่นั่งอยู่ในนี้ด้วยล้วนไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะจริงๆ นั้นต้องอาศัยการลงแรงศึกษาและปฏิบัติเอง สิ่งที่พูดออกมาหรือสิ่งที่เรามองเห็นนั้นจึงเป็นแค่เปลือกนอกของธรรมะเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเข้าถึงธรรมะและการศึกษาปฏิบัติจริงๆ นั้นต้องอาศัยตัวเองเป็นผู้ศึกษาและปฏิบัติลงแรงจริง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรมจึงเป็นคนที่ได้รับเกียรติอย่างสูงสุด ส่วนเราปฏิบัติแล้วออกมาอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ หากใครที่คิดว่าตัวเองอยู่ในระดับที่คิดว่าไม่ดีก็ควรที่จะขยับตัวขึ้นมาโดยการปรับปรุงแก้ไข อย่างที่หัวหน้าชั้นพูดว่าคนที่คิดว่าตัวเองยังมีนิสัยที่แย่ๆ อยู่ ก็จำเป็นต้องขัดเกลากล่อมเกลาอย่างที่หัวหน้าชั้นผู้ชายพูด ถูกหรือไม่ (ถูก)
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมแท้จริง ก็คือการย้อนมองเข้าหาตัวเอง ส่องดูว่าเรานั้นขาดอะไร การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่กำหนดขึ้นมาได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่การจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ต้องมีปัญญาธรรมในการแยกแยะว่า สิ่งใดนั้นถูกหรือผิด จึงถือว่าเป็นคนที่บำเพ็ญธรรมได้อย่างแท้จริง  ฉะนั้นวันนี้ไม่ว่าอาจารย์พูดอะไร อาจารย์จะยืมร่างใครมา อาจารย์นั้นก็ไม่ใช่อาจารย์ ธรรมะที่ฟังอยู่นั้นก็ไม่ใช่ธรรมะ สถานธรรมที่เห็นอยู่นั้นก็ไม่ใช่สถานธรรมอย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในจิตของตัวเรา เพราะฉะนั้นมองจิตของตัวเอง ดีหรือไม่ (ดี)  จิตเราเป็นจิตที่ร้ายอยู่หรือจิตที่ดีอยู่ คนที่บอกว่าเรานั้นเป็นคนที่มีจิตดี แต่ก็มีกิเลสร้ายๆ แอบแฝงอยู่เสมอๆ แล้วจะเรียกว่าดีได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตานำผลไม้มาเปรียบเทียบกับจิตของเรา)
ผลไม้ลูกนี้เห็นข้างที่เป็นแผลไหม เห็นข้างที่เรียบๆ ตรงนี้ไหม  ถามว่าผิวของผลไม้ลูกนี้เป็นผิวที่ดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดี)  ผิวของผลไม้ลูกนี้ ถ้าหากว่าให้มองทั้งหมดแล้วตอบมาคำเดียวว่าดีหรือไม่ดี ถ้าบอกว่าผลไม้ลูกนี้มีผิวดีหรือผิวไม่ดี เอาแค่ผิวเราไม่พูดถึงข้างใน หากว่าผิวตรงนี้กางออกมาเป็นผืน แผลที่อยู่ตรงนี้ทำให้ผิวของผลไม้ลูกนี้กลายเป็นผิวที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตของศิษย์ก็เหมือนกับผลไม้ลูกนี้เลย มีทั้งดีและไม่ดี พอถูกกางออกมาแล้ว ตรงนี้ที่เป็นแผลถือว่าไม่ดี  อาจารย์ถามว่าตัวเราต้องเอาจิตของเรานี้ที่เป็นเหมือนกระดาษ เมื่อขึงออกมาแล้วก็คือเปลือกของผลไม้ที่ถูกขึงออกมาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พอจิ้มไปถูกตรงที่เป็นรอยข่วนนี้พอดี ถามว่ากระดาษแผ่นนี้ดีหรือไม่ดี ในขณะที่นิ้วเราจิ้มลงไปตรงนั้น เราจะกล้าตอบว่าจิตของเราเป็นจิตที่ดีไหม (ไม่กล้า)  นี่คือแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่บนจิตใจอันดีงามของศิษย์  ถ้าตราบใดที่ยังมีแผลนี้อยู่ ก็ย่อมที่จะได้ชื่อว่าเป็นคนดีไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ว่าจิตของเรานั้นไม่ใช่ผลไม้ จิตของเรานั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้แหว่ง ทำให้พูน ทำให้เป็นรอย ทำให้หายไป หรือทำให้อยู่ก็ได้ และเมื่อมีความชั่วที่มาเกาะอยู่ที่จิตก็สามารถดึงออกไปได้ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าจิตของเราไม่ใช่ผลไม้ลูกนี้ ตอนนี้จิตของศิษย์นั้นมีสิ่งที่ไม่ดีเกาะอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น สมควรหรือไม่สมควรที่จะเอาออกไป (สมควร)  ทุกคนนั้นมีแผลที่เหมือนกับรอยข่วนที่อยู่บนผลไม้ลูกนี้ อาจารย์นั้นในช่วงเวลานี้จึงลงมาโปรดหาคนดี  ที่มีจิตเป็นรอยข่วนเพียงนิดเดียวนี่แหละ เพื่อโปรดให้กลับไปสู่เบื้องบนแดนนิพพาน และศิษย์ก็เป็นคนเหล่านั้นที่มีรอยข่วนเพียงเล็กน้อยสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ แต่มักคิดว่านิพพานเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม  ถามว่าเมื่อไกลเกินเอื้อมแล้วเราลองเคยเอื้อมไปถึงหรือยัง เรายังไม่เคยลองเอื้อมดูเลย จึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วถึงได้หรือไม่ นับตั้งแต่วันนี้ไปหลังจากที่ฟังธรรมะในสองวันนี้ไปแล้วแม้ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ย่อมเพิ่มพูนความเข้าใจให้มากขึ้น ถึงตอนนี้ต้องมาปฏิบัติ ศึกษาในสองวันนี้แล้วต้องนำธรรมะในสองวันนี้ไปปฏิบัติจึงจะเกิดเป็นผล จึงจะสามารถบอกว่าเราได้หรือไม่ได้ ทำไมเราไม่ลองดูสักครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรบมือให้กับตัวเองสักหนหนึ่ง ปรบมือให้กับคนที่จะสำเร็จไปในวันหน้า เสียงเบาแค่นี้หรือ ปรบมือแล้วมีภาระอยู่เต็มมืออย่างนี้ไม่ดังหรอกนะ  นั่งมาตั้งสองวันไม่รู้ว่าเก้าอี้ตัวนี้นั่งแล้วสบาย เพราะมาถึงก็นั่งลงไปเลย ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีค่าขนาดไหน เก้าอี้ตัวนี้ก็เหมือนกับสภาพครอบครัวของเราที่มีอยู่ แม้ว่าจะมีการขัดใจกันบ้าง จะมีเรื่องที่สุขจนล้นบ้าง จะมีเรื่องที่เป็นปัญหาจากคนภายนอกหาเข้ามาบ้าง แต่ครอบครัวของเราก็ยังเป็นครอบครัวที่ดีที่สุด โชคดีที่เรานั้นมีครอบครัว ที่เรามีบ้านอยู่ ที่เรามีเงินทองพอใช้ แม้ว่าเราจะจน แต่หากว่าไม่มีเงินสักบาทเดียวกับมีเงินอยู่ยี่สิบบาทต่อวันศิษย์เอาอะไร ต้องเอายี่สิบบาทต่อวันใช่หรือไม่ เมื่อเรานั้นมีชีวิตอยู่อย่างจนก็อยู่ไปอย่างจน เมื่อเรามีชีวิตอยู่อย่างรวย ก็ต้องรู้จักที่จะเผื่อแผ่แบ่งปันให้กับผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่จึงเป็นชีวิตของคนบำเพ็ญธรรมในยุคนี้
คนบำเพ็ญธรรมในยุคสมัยก่อนนั้นเรียบง่าย สมถะ ไม่ยอมให้ตัวเองนั้นไปอยู่ในสภาพที่มี เพราะกลัวว่าตัวเองนั้นจะหลงไปกับแสงสี หลงไปกับกิเลส ปัญหาของความมี ความอยากได้ แล้วไม่ยอมบำเพ็ญ แต่ในปัจจุบันนี้หากบอกศิษย์ว่าอย่ามีเลยนะ ผักก็ปลูกกินเอง ข้าวก็ปลูกกินเอง นอนก็ให้นอนพื้น บ้านก็ให้มุงจากอยู่ ไม่มีลูกไม่มีหลาน อยู่คนเดียว ศิษย์ยอมไหม การบำเพ็ญยุคสมัยนี้นั้น จึงไม่เคร่งครัดให้ศิษย์ทำขนาดนั้น แต่ว่าให้เรานั้นมีสิ่งที่มีอยู่ต้องรู้พอใจ มีมากหน่อยรู้จักแบ่งให้คนอื่น ความรู้สึกอยากมีมากขึ้นนั้นจะได้ลดน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ้างคนมีเงินอยู่วันละยี่สิบบาท บอกว่าขอมีสักวันละร้อยหนึ่ง พอมีร้อยหนึ่งบอกว่าขอมีสองร้อย พอมีสองร้อยบอกว่าขอมีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเพิ่มขึ้นไปมาก สิ่งนี้เรียกว่า “ตัณหาของคน” ถูกหรือเปล่า  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพิ่มตัณหาขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องลดลงเรื่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อยๆ รอให้ลดเอง  ต้องฝึกฝนขัดเกลา ใช่หรือไม่  (ใช่)  หากว่าไม่ฝึกฝนจะลดลงเองได้ไหม ไม่ฝึกฝนก็ย่อมไม่ลดลงเอง นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เหมือนกับการพายเรือ ถ้าหากว่าพายเรือตามน้ำก็สบายดี แต่ถ้าพายเรือทวนน้ำก็ลำบากยิ่งนัก จะเลือกพายเรือตามน้ำหรือพายเรือทวนน้ำ โดยธรรมชาติของคนทุกคนนั้นมีจิตที่ดี  แต่การที่เราอยู่ในโลกนี้มากเกินไป เห็นคนอื่นสบายไม่ได้ก็อยากจะสบายบ้าง พอคนอื่นสบายเราสบายถึงจะพอใจใช่หรือไม่ หากคนอื่นสบาย เราลำบากก็เกิดความรู้สึกอิจฉา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาเข้าชั้นเรียนในสองวันนี้ ชั้นนี้ชื่อว่าชั้นอะไร  (ชั้นฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ)  ต้องฟื้นฟูของเก่าที่ดีๆ ออกมา จิตใจของเราที่งดงาม เวลาเห็นคนอื่นแล้วอยากจะช่วยเหลือ มีความเมตตาปรานี จิตใจอันสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจที่ไม่มีความอิจฉา ความโลภ ความอยากได้ ฟื้นขึ้นมาใช่หรือไม่ มีไหมที่อยู่ดีๆ จะฟื้นขึ้นมาเอง ต้องพยายามลงมือทำ ทุกวันเรานอนฟูกนอนเตียง วันนี้กลับบ้านเราลองนอนพื้นสักวันหนึ่ง หากว่าเราเคยกินข้าวกับเนื้ออย่างดี หรืออย่างเอร็ดอร่อย วันนี้ก็ลองกินแล้วให้ตัวเองหิวสักวันหนึ่ง หากว่าเรานั้นเคยเดินแบบมีรองเท้าใส่อย่างหนา ไม่เคยถูกอะไรทิ่มตำ ก็ลองถอดรองเท้าสัมผัสกับพื้นดูว่าพื้นนั้นจริงๆ แล้วเป็นอย่างไรเราลองทำตัวของเรานั้นติดดินแบบพื้น เลียนแบบพื้น ถ้าถ่มน้ำลายลงไปที่พื้น พื้นโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เวลาที่เราปลูกอะไรก็ย่อมจะงอกอย่างนั้น เวลาที่ถ่มน้ำลายลงไปก็ไม่ว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเทียบให้ตัวเราเป็นพื้นเราทำอย่างไร เวลาโดนคนอื่นว่า โมโหได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาเจอคนอื่นถ่มน้ำลายใส่หน้า โมโหได้ไหม (ได้)  เพราะไม่อย่างนั้นเวลาที่เราเหยียบพื้นทุกวัน พื้นก็ต้องโกรธเราสิน่ะ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์บอกว่าให้ศิษย์นั้นเลียนแบบพื้น หมายความว่าทำให้ใจของเรามีความอดทนอย่างยิ่ง อดทนเพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่อดทนเพื่อคนอื่นเลย แต่อดทนเพื่อตนเอง เพื่อเรานั้นจะได้ก้าวขึ้นไปสูงกว่านี้ ในทางที่ชันกว่านี้เรานั้นก็จะไม่ล้มลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์มาก่อนเที่ยง ถ้าอาจารย์กลับช้ามากก็จะเป็นอย่างไร(หิว)  เดี๋ยวเรามาฝึกบทเรียนแรกทนหิวซะบ้าง ดีไหม เวลาเราหิวคิดถึงใคร อาจารย์จะบอกว่าเวลาหิวให้คิดถึงคนอื่น จำได้ไหมที่อาจารย์บอกว่าลองหิวซะบ้างจะได้รู้ว่าเวลาคนอื่นหิวเป็นอย่างไร จะได้รู้จักช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราหิวเราต้องรู้จักนึกถึงคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนมากมายในประเทศไทยที่ไม่มีข้าวกิน เมื่อเรามีข้าวกินไม่อร่อยหน่อยหรือมีข้าวกินน้อยไปหน่อย แล้วทำให้เราหิวนั้น เราจำเป็นที่จะต้องหัดให้ตนเองนั้นพอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรานั้นรู้จักที่จะได้รับความลำบากบ้าง เวลาเจอความสบายจะได้ไม่รู้สึกเสียไม่ได้ เราจะยอมเสียสละความสบายของเราที่มีให้คนอื่น เพราะว่าเรานั้นกำลังบำเพ็ญเป็นพุทธะ ไม่ได้บำเพ็ญเป็นคนที่จะเวียนว่ายต่อไป การเสียสละครั้งนี้นั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ถ้าศิษย์หนึ่งคนเสียสละ ศิษย์สองคนเสียสละ คนที่นั่งอยู่ด้วยกันที่นี่ก็อาจจะไม่ได้มาด้วยกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกคนกลับไปปุ๊บ พร้อมใจที่จะเสียสละส่วนของตนเองออกมาให้คนอื่น ก็จะมีคนสบายขึ้นทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ทุกๆ คนที่อยู่ในจังหวัดตากตอนนี้ กลับไปที่บ้านของตนเองแล้วพร้อมใจกันเสียสละขึ้นมา ถามว่าคนในจังหวัดตากสบายขึ้นไหม (สบาย)  เหมือนจะไม่มีผลอะไร เหมือนกับจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ในการที่เรามองไม่เห็นนั้นกลับมีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมะก็อยู่ตรงนี้ ธรรมะก็อยู่ตรงที่ศิษย์นั้นเสียสละออกไป นี่เรียกว่า “การปฏิบัติธรรม” แต่ถ้าหากว่าศิษย์กลับไป แล้วทุกคนทำเฉยๆ เหมือนกับชีวิตที่เคยเป็นมา เหมือนก่อนเก่า เคยเสียสละเท่าไหนก็ไม่คิดจะเพิ่มมากขึ้น ที่เรามาสองวันนี้เรียกว่าการศึกษา การศึกษานั้นไม่ทำให้มีผลได้ แต่การปฏิบัติจึงจะทำให้มีผลได้ เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นศึกษาธรรมะสองวันนี้ศึกษาด้วยความตั้งใจ ศึกษาด้วยความมีใจจนลงมือกระทำ ให้การปฏิบัตินั้นเกิดผล มิใช่ศึกษาแล้วกลับไปบ้าน ไม่มีการเสียสละใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการรู้สึกรู้สาต่อความทุกข์ร้อนของผู้อื่น อาจารย์นั้นทำหน้าที่โปรดสามภพ จะเทวดาก็ดี มนุษย์โลก จะเป็นคนที่อยู่ในนรกก็ดี อาจารย์ก็โปรดไปเรื่อย แล้วศิษย์ของอาจารย์ล่ะ เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะรู้สึกเสียเกียรติ ในเรื่องที่กลัวคนมาครหา แต่เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องทำเช่นเดียวกับอาจารย์ อาจารย์ช่วยไปทั่วสามภพ ศิษย์ของอาจารย์ก็ช่วยไปทั่วจังหวัด ดีไหม (ดี)  เมื่อคนทุกจังหวัดเป็นอย่างนี้หมด ถามว่าประเทศไทยเจริญกว่านี้ไหม (เจริญ)  เจริญทางด้านไหน (จิตใจ)  เจริญทางด้านจิตใจ ทุกวันนี้ทั้งโลกปลุกนิยมให้คนนั้นเจริญทางด้านวัตถุ แต่จิตใจของคนนั้นดิ่งลง แล้ววัตถุนั้นสูงขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าถ้าหากว่าจิตใจตกลงเรื่อยๆ แล้ววัตถุสูงขึ้นเรื่อยๆ ให้ศิษย์เป็นคนที่รับวัตถุที่สูงที่สุดมาอยู่ในบ้านของตนเอง จะมีความสุขไหม (ไม่มี)  หากไม่ได้กตัญญูต่อพ่อแม่ พี่น้องไม่ได้ปรองดองกัน ลูกหลานไม่เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความสุขที่เราพูดถึงนั้น ก็คือความสุขที่ได้ปฏิบัติธรรม คือความสุขที่ได้ทำบุญ ใช่ไหม
อาจารย์มักโดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้างบนว่าอยู่เรื่อย บอกว่าอาจารย์มักจะให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับศิษย์ของอาจารย์แต่ละคน บอกว่าเขาจะทำ เขาจะทำ อาจารย์ก็กลับมาคุยว่าเขากลับมาทำ อาจารย์บอกว่าเขาจะฝ่าฟันอุปสรรค ฝ่าฟันกิเลส ฝ่าฟันเจ้ากรรมนายเวรไปได้ ฝ่าฟันผลกรรมเวรของตัวเองไปได้ แต่สุดท้ายศิษย์ของอาจารย์ทุกคนท่าดีทีเหลว ศิษย์คงไม่เป็นนะ
สิบปีผ่านไปเหมือนหนึ่งวัน แล้วหนึ่งวันก็ต้องสำรวจตัวเองหนึ่งครั้งใช่ไหม ถ้าหากว่าหนึ่งวันผ่านไปไม่สำรวจตัวเอง สามร้อยหกสิบห้าวันผ่านไปก็เป็นอย่างไร ก็จะจมลึกลงหนึ่งชั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าหนึ่งวันสำรวจตัวเองสักหนึ่งครั้ง หนึ่งปีผ่านไปก็จะผุดขึ้นมาเหนือจากเดิมหนึ่งชั้น เลือกจะจมหรือเลือกจะผุด (เลือกจะผุด)  ถ้าเราเลือกจะผุดต้องยอมที่จะมองตัวเองสำรวจตัวเองหนึ่งวันให้ได้หนึ่งครั้ง ให้สำรวจตัวเองเหมือนกับเราไปนั่งดูละครที่เราติดอยู่ทุกวัน หนึ่งวันดูละครที่ติดอยู่เป็นชั่วโมงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ย้อนมองตัวเองเอาเข้าจริงๆ อาจไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเราทำดีมาก ก็ไม่มีเรื่องให้แก้ไขมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องดูทั้งข้างนอก ก็คือการกระทำ ต้องดูจิตใจก็คือความคิด และต้องดูวาจาอีกอย่างหนึ่งด้วย เขาเรียกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววาจาเป็นหน้าต่างของอะไร วาจาถ้าหากว่าเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม วาจาจะเป็นหน้าต่างของอะไรดี วาจาเป็นหน้าต่างของอุปนิสัยได้ไหม (ได้)  เพราะว่าเรามักจะคิดสิ่งใดแล้วก็พูดสิ่งนั้นออกมาใช่หรือไม่ ถ้าเราพูดดีเขาก็บอกว่าเป็นสุภาพชน ถ้าเราพูดไม่ดีเขาก็บอกว่าเราเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบำเพ็ญธรรมไม่ต้องมีความรู้สูง แต่ต้องมีจิตใจที่สูงส่งอย่าลืม ดอกไม้ยังมีกลิ่นเหม็นและกลิ่นหอม ศิษย์ของอาจารย์เปรียบเป็นดอกไม้ก็ต้องเลือกว่าเรานั้นจะมีกลิ่นที่เหม็นหรือกลิ่นที่หอม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ดูแลสถานธรรม)
ศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่ทุกคนคนข้างหลังพยายามมองคนข้างหน้าหน่อย ดูว่าผู้ดูแลสถานธรรมและเจ้าของสถานธรรมที่นี่หน้าตาเป็นอย่างไร เวลาเรามาสถานธรรมในวันที่ไม่มีงานก็จะต้องพบเขาเหล่านี้  แล้วอาจารย์ก็แนะนำศิษย์เหล่านี้ว่าควรที่จะมีรอยยิ้มไว้ต้อนรับพวกเขาตลอดเวลา แม้ว่าเราจะมีเรื่องที่ร้อนใจ มีเรื่องที่ขุ่นข้องหมองใจก็ต้องพยายามที่จะเก็บไว้ข้างในแล้วเอารอยยิ้มออกมาข้างนอก เราที่อยู่ที่นี่พุทธระเบียบทุกอย่างจะต้องฝึกหัดและก็ให้เป็นให้ดี ให้สมบูรณ์ให้มากที่สุดเท่าที่กำลังของเรา เท่าที่ความฝึกฝนของเรานั้นจะไปถึง จะต้องพยายามให้สมบูรณ์ที่สุดเพราะว่าคนที่มีหน้าที่เป็นเจ้าของสถานธรรม ผู้ดูแลสถานธรรมนั้นอยู่ใกล้ชิดห้องพระที่สุด และห้องพระก็เป็นของเราทุกคน ต้องอาศัยความสามัคคีร่วมมือร่วมแรงกัน ถ้าหากว่ามีคนมาไหว้พระ เรายังช่วยเป็นพิธีกรให้เขาไม่ได้ แล้วเขาจะกราบพระอย่างไร แล้วถ้าหากว่าเราเป็นพิธีกรเขามาก็แนะนำให้เขากราบพระ อย่างนี้จึงจะเป็นศิษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะผู้ดูแลสถานธรรมผู้ชายมีอยู่แค่คนสองคน อาจารย์ให้วงคำว่า “หนัก” แสดงว่าเป็นเรื่องหนัก ยิ่งหนักเท่าไหร่บ่าเรายิ่งต้องแข็งแรงขึ้นเท่านั้นเข้าใจไหม (เข้าใจ) อย่าให้สิ่งที่เรามองแล้วไม่ชอบใจทำลายความผูกพันธ์ ความตั้งใจเดิมระหว่างเรา ขอให้รักษาใจนี้ไปไม่ว่าจะกี่ปีๆ ก็ขอให้เป็นเช่นนี้เข้าใจไหม แล้วเมื่อมีคนมาช่วยแนะนำ ช่วยพาเราทำกิจกรรมใดๆ ก็แล้วแต่ ลองให้ความร่วมมือดู แล้วความสนุกสนานจะเกิดขึ้นพร้อมกับการบำเพ็ญธรรมดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรม, ผู้ปฏิบัติงานธรรม และอาจารย์บรรยายธรรม)
คนที่เป็นญาติธรรมใหม่นั้นเมื่อมาสถานธรรม อย่างน้อยที่สุดต้องรู้จักไปลามาไหว้ ถ้าหากว่ายังท่องบทกราบคารวะและกราบอำลาสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็น อย่างน้อยต้องรู้ว่าต้องโค้งคำนับกี่คำนับ ส่วนคนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมแล้วแค่ชันเจี้ยควรจะท่องได้ ส่วนผู้ที่เป็นผู้เป็นปฏิบัติงานธรรมและเป็นทั้งญาติธรรมเก่าในขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นไหว้พระ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยนก้งก็ต้องท่องเป็นทั้งหมด ส่วนคนที่เป็นเจี่ยงซือต้องเป็นตั้งแต่ชันเจี้ยถึงปั้นเต้า ไปจนถึงการไหว้พระในชั้นต่างๆ รายละเอียดระเบียบในห้องพระนั้นจะต้องรู้ให้หมด ไม่รู้ก็นำพาคนอื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งนานปี ยิ่งนานปีความชำนาญนั้นต้องครอบคลุมมากขึ้น ไม่ใช่นับวันก็ถอยหลังๆ แล้วก็ลงคลองไป แล้วอาจารย์แทนที่จะไปช่วยออกจากทะเลทุกข์ก็ไปช่วยออกมาจากคลองแทนได้ไหม ไม่ได้นะ
(พระอาาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท: ทำนองเพลง “ขอเป็นฝ่ายไป”และให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมแต่งชื่อเพลง “อย่าให้ต้องรอ”)
อาจารย์ให้เพลงนี้เพราะอาจารย์รู้ว่า ยิ่งงานธรรมะยิ่งเติบโตเท่าไร ศิษย์ของอาจารย์นั้นก็มีทั้งขึ้นหน้าหลายคนและถอยหลังหลายคน ขอศิษย์นั้นได้เข้าใจจิตใจของอาจารย์ และอย่าได้คิดท้อถอยหมดใจ
(พระอาจารย์เมตตาให้โอวาทกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม, อาจารย์บรรยายธรรม และผู้ปฏิบัติงานธรรมที่รับผิดชอบ ออกมาหน้าชั้น)
ทีนี้เราก็รู้ว่าเวลาเรามาสถานธรรมหรือเวลาที่เขาชวนมาฟังชั้นเรียน เราก็จะเจอคนเหล่านี้
การที่เรานั้นจะทำการจัดชั้นใดๆ ขึ้นมาและนำพาชั้นใดๆ นั้น ตนเองต้องเป็นผู้ที่มีพลัง พลังต้องออกจากใจ เมื่อใจมีพลังแล้วการทำงานทุกอย่างนั้นก็จะฝ่าฟันอุปสรรคได้สำเร็จ เหมือนกับที่ศิษย์ของอาจารย์นั้น ตอนที่ศิษย์จับไมโครโฟนใหม่ๆ อาจารย์ก็ล้อเลียน เพราะอะไร เพราะเวลาพูดไม่ได้ใช้พลังใช่หรือไม่ (ใช่)  พลังออกมาจากไหน พลังออกมาจากคอ เมื่อไม่มีพลังแล้วพูดไปคนก็ย่อมง่วงนอนใช่ไหม ถ้าหากว่า   เจี่ยงซือสองวันนี้ใครพูดหัวข้อธรรมะแล้วคนฟังนอนหลับ จำได้ไหมเวลาเรามองไป ถ้าหากว่าเราพูดไปแล้วเขานอนหลับ แสดงว่าเสียงเราไม่ได้ออกจากใจ ไม่มีพลังออกจากปอด ต้องเปล่งเสียงให้มีพลังมากขึ้น ต้องมีพลังออกจากใจ พลังออกจากใจเป็นอย่างไร เวลาที่เราพูดไป เราพูดว่า “สวัสดีครับ” “สวัสดีค่ะ” ต้องดึงพลังออกจากใจ การพูดจึงจะมีน้ำหนักเกิดขึ้นมาก และการพูดธรรมะที่ดีนั้น สิ่งที่เราจะพูดออกมาทุกคำเราต้องเข้าใจก่อน ถ้าไม่เข้าใจ พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก
มีอุปสรรคตั้งแต่อุปสรรคของตัวเองก็ต้องรู้จักฝ่าออกมา เมื่อมาทำงานใหญ่เจออุปสรรคใหญ่จึงฝ่าออกไปได้
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาทให้นักเรียนในชั้น)
“ได้ยินครั้งใดอยู่ดีดี ก็หนาวดั่งลมไข้”  รู้ไหมว่าอาจารย์นั้นกลัวที่สุดคือคำว่าอะไร คำแรกที่กลัวคือคำว่า “ท้อ” คำที่กลัวที่สุดก็คือคำว่า “เลิกบำเพ็ญ” เพราะว่าอะไร เพราะว่าถ้าหากว่าศิษย์บอกว่าท้อซะแล้ว ทางที่จะเดินไปถึงพุทธภูมินั้นก็สั้นลงครึ่งหนึ่ง พอศิษย์บอกว่าเลิกบำเพ็ญ ทางที่จะไปพุทธภูมินั้นก็หมดสิ้น เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่มีคนใดไม่มีอุปสรรคในการทำสิ่งใด ทุกคนมีอุปสรรคทั้งนั้น และทุกคนมีสิทธิ์ท้อ แต่ถ้าหากถึงขนาดเลิกบำเพ็ญก็คงจะไม่มีทางที่จะได้กลับคืนขึ้นนิพพาน เพราะฉะนั้นเมื่ออาจารย์ได้ยินคำนี้ของศิษย์ที่ไร ไม่ว่าจะพูดเล่น พูดจริง ก็รู้สึกกลัวทั้งสิ้น
“น่าเบื่อไม่ทน”  เวลาที่เราพูดคำว่า “น่าเบื่อ” พูดคำว่า “ไม่อยากจะทนแล้ว” ก็ขอให้นึกถึงอาจารย์ด้วยแล้วกัน เพราะว่าคำว่าน่าเบื่อแล้วไม่อยากทน เลิกบำเพ็ญ ท้อใจแล้ว คำนี้ล้วนเป็นคำที่แสลงใจอาจารย์ทั้งนั้น เมื่อศิษย์ท้อใจ หมดใจ โปรดฟังให้ดี หากกังวลทั้งวันก็ยิ่งหน่าย ถ้าหากมีความกังวล ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นพยายามที่จะเลิกคิด พยายามที่จะทำใจ บางปัญหาได้แค่ทำใจเท่านั้น ดีกว่าปล่อยปัญหา ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราทำใจได้ แม้ปัญหาจะคงอยู่อย่างนั้นแต่จะไม่หนักขึ้น
“ไม่เคยสักที อยากมีหน้าตา จะดิ้นรนน้อยกว่านี้”  คนบำเพ็ญนั้นหลายๆ คนบำเพ็ญไปแล้วยึดติดให้มีหน้าตา ให้มีความสวยหรูโก้เก๋ หน้าตาที่คนนั้นสรรเสริญ หน้าตาที่คนยกยอปอปั้น ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งถอยหลัง ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้นอย่าได้ยึดติดกับหน้าตา ให้มีคนสรรเสริญ จะได้ดิ้นรนน้อยกว่านี้ ถ้าไม่อยากดิ้นรนก็จงคิดทำอะไรเพื่อให้เราเป็นคนที่ไม่มีหน้าตา เพราะยิ่งทำเพื่อหน้าตามากเท่าไร เรายิ่งดิ้นรนก็ยิ่งร้อนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่ออยากได้คำชม เราก็เกลียดคำว่าร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทนคำว่าร้ายไม่ได้ ก็บำเพ็ญไม่ได้ ขนาดพระพุทธองค์ก็ยังมีคู่อริ คนชัง แล้วเราเป็นคนธรรมดา เราจะไม่มีคนชังได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนนั้นมีคนชัง แต่จะทำอย่างไรให้คนชังนั้นเปลี่ยนเป็นชอบเรา แม้ไม่ง่ายแต่ต้องทำไหม (ต้อง)  ไม่ต้องตั้งใจทำเพื่อเอาใจเขาคนเดียว แต่เราต้องทำให้ดี ให้เท่าๆ กับที่เราทำกับทุกๆ คน แม้สายตาเขาจะชิงชังเต็มที่ แต่เราก็ส่งสายตารักใคร่เขาเต็มที่ เมตตาเขาเต็มที่ อยากจะทำงานร่วมกับเขาอย่างเต็มที่ แม้เขาจะว่าเรา เราก็ขอบคุณเขากลับไป เขาจะว่าเราได้สักกี่หน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “มองการณ์ไกล” )
อาจารย์บอกว่า คนเรานั้นควรที่จะเป็นคนมองการณ์ไกล คนที่มองการณ์ไกลนั้นต่างจากคนที่มองการณ์ใกล้มาก คนที่มองการณ์ใกล้นั้นทำสิ่งใดก็จะล้มเหลว ถ้าเป็นคนที่มองการณ์ไกลแล้วจะประสบความสำเร็จนั้นใช้เวลานาน  แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็จะไม่ล้มพ่ายลงไปง่ายๆ จึงเป็นข้อแตกต่างระหว่างคนมองการณ์ใกล้และคนมองการณ์ไกล คนมองการณ์ใกล้อาจจะประสบความสำเร็จรวดเร็ว แต่อาจจะล้มในเวลาอันรวดเร็วเช่นเดียวกัน “การมองการณ์ไกล” การที่ให้เรานั้นเป็นคนที่ก้าวไกล และทำให้ธรรมะเฟื่องฟูไปไกลนั้น แก่นสำคัญของธรรมะนั้นอยู่ที่ไตรรัตน์ สามสิ่งวิเศษที่ศิษย์นั้นได้รับไป ฉะนั้นสามสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นจะต้องจำให้ได้ การที่คนนั้นจะได้ไตรรัตน์ก็ต่อเมื่อมารับธรรมะ  เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้เรานั้นเป็นคนที่มองการณ์ไกลได้นั้น ในแง่ของธรรมะต้องทำอย่างไร เวลาเราชวนคนมารับธรรมะต้องระมัดระวัง หากเจอหน้ากันก็ชวนคนรับธรรมะเสียแล้ว ศิษย์อย่าลืมว่า ศิษย์ต้องลงไปคุกเข่าต่อหน้าองค์มารดา บอกว่าคนที่เราพามานั้นเป็นคนดี แต่หากว่าศิษย์เพียงเจอหน้าแล้วก็ชวนเขาแล้ว ถามว่าเรารู้หรือว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี คนเราดูหน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะมองคนให้นาน ไม่จำเป็นต้องชวนมาทุกคน เพราะฉะนั้นศิษย์อย่าลืมว่าเวลาที่ศิษย์นั้นต้องไปคุกเข่า ต้องไปคุกเข่าต่อหน้าองค์มารดา บอกว่าคนที่เราพามานั้นเป็นคนดี ถ้าหากว่าศิษย์นั้นเจอหน้าก็ชวนเขาแล้ว ถามว่าเรารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนดี คนเราดูหน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะมองคนให้นาน เพราะฉะนั้นจึงต้องระมัดระวัง ให้มองการณ์ไกลเข้าไว้ ด้วยการทำสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านี้ด้วยความระมัดระวังใช่หรือไม่
การชวนคนรับธรรมะสักคนหนึ่งเป็นกุศลมหาศาล แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นก็ต้องศึกษา ในเมื่อไม่สามารถอธิบายได้ แล้วคนเขาจะเข้าใจธรรมะได้ไหม (ไม่ได้)  จึงมีคำพูดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดบ่อยๆ ก็คือ ชวนคนรับธรรมะชวนง่ายแต่ส่งเสริมคนเป็นเรื่องยาก อาจารย์ก็เห็นด้วย ดูตัวอย่างอย่างพวกเจ้าแต่ละคนกว่าจะเข้าใจธรรมะได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นักเรียนที่นั่งอยู่อย่าบอกว่าที่นี่เขาคิดว่าเราหัวอ่อน จึงเอาเรามานั่งฟังแล้วจะทำให้เราจะเชื่อ อาจารย์จะบอกให้ว่าคนที่อยู่ข้างๆ นี้ก็ไม่ใช่คนหัวอ่อน คนที่อยู่ที่นี่นั้นดื้อรั้นทุกคน เก่งทุกคน มีความสามารถทุกคน แต่ว่าเมื่อถึงคราวเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะปฏิบัติใช่หรือไม่ จึงหวังว่าศิษย์นั้นมองการณ์ไกล จึงจะได้ก้าวไกลไปข้างหน้า สถานธรรมที่เงียบสงบเช่นนี้ อยู่ไกลจากเมืองกรุง ในที่นี้เป็นโอกาสดีที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนได้บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม ยิ่งไกลแสงสี ยิ่งไกลเสียงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนคนบำเพ็ญในสมัยก่อน ยิ่งมีโอกาสบำเพ็ญให้จิตใจของเรานั้นสงบ สะอาด และนิ่งมากขนาดนั้น แม้ว่าเรานั้นจะไม่มีโอกาสสงบเช่นนี้ ไปอยู่ท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย ท่ามกลางปัญหาที่รายล้อมมากมายก็แล้วแต่ ยิ่งหวังว่าเราจะสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหวได้ ยิ่งต้องการให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นสามารถบรรลุไปท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เหมือนบัวที่งอกอยู่ในโคลนโดยไม่เปื้อนโคลนแม้แต่นิดเดียวใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์นั้นก็คงเป็นบัวดอกนี้ อาจารย์หวังเช่นนั้น
มีคนมากมายมีโอกาสเกิดเป็นคนในชาติหนึ่ง แล้วชาติต่อไปก็เกิดมาเป็นสัตว์ เพราะว่าตอนเป็นคนนั้นไม่มีจิตใจเป็นคนพอ ชาติต่อไปจึงไม่ได้เกิดเป็นคนอีก คนที่มาฟังธรรมะ คนที่มารับธรรมะ เขาบอกว่าเป็นคนที่ชื่อพ้นไปจากบัญชีพญายมแล้ว แต่จะพ้นจริงหรือเปล่า ศิษย์ต้องเป็นคนตอบคำถามเอง ถ้าหากว่าทำแต่สิ่งที่ไม่ดี ถึงพ้นแล้วก็กลับไปอยู่ในบัญชีท่านใหม่ได้ ใครที่อยู่บ้านใกล้แถวนี้มีโอกาสได้มาสถานธรรม ขอให้รักษาโอกาสตัวเอง ศึกษาธรรมะให้มากๆ เข้าใจไหม จะได้ใกล้ชิดผูกพันกันมากกว่านี้ บำเพ็ญให้ดีๆ นะ ศิษย์อาจารย์นั้นหลายครั้งพลาดไปอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง เป็นวังวนวัฏสงสารที่น่าสงสารที่สุด ในขณะที่เรานั้นยังมีกายชีวิตอยู่ แต่เลือกที่จะไม่วนเวียนอยู่ในนี้ก็ได้ ด้วยการที่เรานั้นดึงตัวเองออกมา ควบคุมอายตนะหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจของเราให้ดีๆ สิ่งใดที่เราศึกษามาแล้ว ควรที่จะกระทำก็ให้เร่งมือ ความทุกข์ความสุขในโลกนี้หรือ มีมากมาย คนที่จะพ้นนั้นมีอยู่น้อยนิด แต่คนที่ศึกษาธรรมแล้ว ควรที่จะเป็นผู้ที่พ้นได้เร็วกว่า เร็วกว่าคนที่ไม่เคยศึกษาธรรมะ เมื่อเรารู้เช่นนี้เรื่องความทุกข์ความสุขเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การควบคุมกายใจของเรานั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก หวังว่าทุกคนทำได้ ความสุขความทุกข์นั้นจะได้ไม่เป็นเจ้าหัวใจของศิษย์อีก บำเพ็ญธรรมเหนื่อยหน่อยยากหน่อย แต่หวังว่าศิษย์นั้นฝ่าฟันแล้วเอาอาจารย์เป็นกำลังใจ อาจารย์นั้นเดินถึงแล้ว อาจารย์รู้แล้วว่าปลายทางคืออะไร อาจารย์ไม่มีทางอธิบายให้ศิษย์เข้าใจว่าการที่จะเดินไปถึงแดนนิพพานนั้นต้องทำอะไรได้หมด ถึงอาจารย์พูดหมดศิษย์ก็จำไม่ได้หมด จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นเดินไปให้ถึงเอง เหมือนอย่างนิทานที่อาจารย์เล่าตั้งแต่อาจารย์มา ไปให้ถึง ถึงตอนไหนการจะทำอะไรก็ทำ แน่นอนสิ่งที่ทำนั้นคือทำแต่สิ่งที่ดี แต่ในความดีต่างๆ นั้นยังมีรายละเอียดอีกมาก ให้ศิษย์นั้นรับรู้ ให้ศิษย์ศึกษา ให้เข้าใจคนอื่นให้มากๆ คนอื่นนั้นก็สามารถเป็นอาจารย์ของศิษย์ได้ ไม่จำเป็นต้องรออาจารย์จี้กงนี้ เข้าใจไหม เจอกันใหม่นะ


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มองการณ์ไกล”

ไม่ยอมจมกับอดีตที่ผิดหวัง ตื่นภวังค์อยู่กับปัจจุบันหนา
ยอมรับความเป็นจริงสู่วันหน้า เพื่อไปกล้าจงทำแต่ที่ดี
ทำสิ่งใดเสมอต้นเสมอปลาย มองให้ไกลไม่ย่ำอยู่กับที่
ต้องมีเหตุมีผลมีสำนึกดี แม้เรื่องที่หนักอกจะค่อยค่อยคลาย

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา