วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

2543-05-13 พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก


PDF 2543-05-13-ผูถี #8.pdf

วันเสาร์ที่ ๑๓  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓ พุทธสถานผู่ถี  จ.พิษณุโลก 
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

กว่าชีวิตจะโตมาจนบัดนี้ กว่าความดีจะมีผู้คนมองเห็น
กว่าอารมณ์จะฝึกได้จนเยือกเย็น กว่าบำเพ็ญอย่ารอให้สายเกินไป
               เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิง เกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา   ฮวา

รู้จักชีวิตของตนเองกันดีไหม ได้เข้าใจสัจธรรมชีวิตบ้างหรือเปล่า
คนมีเกิดมีดับดั่งดวงดาว ยามแสงพราวต้องรู้ที่ทำความดี
ชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่วัน จงเท่าทันกิเลสในใจถ้วน
ตัดสินใจบำเพ็ญแล้วอย่าเรรวน รู้ใดควรแลไม่ควรไม่ทำผิด
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันทุกนาที ยากหลบลี้ทั้งผิดหวังแลสมหวัง
จงเดินไปด้วยใจเปี่ยมพลัง เฝ้าระวังทั้งคำพูดคิดให้ดี
อันความคิดแลชีวิตสัมพันธ์มาก ต้องมีหลักยึดไว้ให้ถูกต้อง
อย่างน้อยน้อยดำเนินไปในครรลอง รู้ปรองดองกันด้วยยอมถอยตน
ความอดทนหมั่นขยายวงจำกัด เดินทางลัดมีโอกาสแค่หนึ่งหน
บำเพ็ญธรรมกลับคืนฟ้าเบื้องบน อย่าอับจนเรื่องอารมณ์ต้องควบคุม
อภัยคนด้วยใจรักสันติ อุบล ผลิกลางโคลนไม่แปดเปื้อน
จงก้าวหน้าเมื่อผ่านวันเป็นเดือน อย่าแชเชือนบำเพ็ญเพราะล้ากลางใจ
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม ท่านจงนำความตั้งใจให้ปรากฏ
ความสงสัยที่เริ่มมีให้เบาลด ดัดใจคดให้ตรงดั่งก่อนเกิดมา
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั้งสามภพ ให้เคารพกฎระเบียบตั้งไว้หนา
ทุกเวลานาทีแสนสูงค่า ให้ศึกษาด้วยจิตใจอย่างพร้อมเพรียง
อย่าดูถูกตนเองบุญไม่ถึง ประตูฟ้าเปิดคะนึงคนเดิมกลับ
อย่าได้ไปไปแล้วหายไปลับ เพียงหันกลับพบฝั่งธรรมให้รุดเทอญ
สามวันนี้จงตั้งใจเป็นกุศล อุทิศให้บรรพชนของตนหนา
หนึ่งชีวิตรู้จักใช้สร้างคุณค่า หนึ่งวาจาก็สำคัญรอบคอบนำ
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นหวังว่าน้องล้วนเรียบร้อย
อย่านั่งหลับไม่ตั้งใจนัยน์ตาปรอย ศิษย์พี่คอยจดบันทึกไม่ขาดเอย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน

ฮวา  ฮวา  หยุด

  ครรลอง ทาง   แนวทาง  แบบฉบับ
  อุบล บัว  ดอกบัว


วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓  พุทธสถานผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

งานยุคปลายคนยุคปลายทำงาน เมื่อใดทำอย่าเลือกงานการช่วยฉุด
ในโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด ในที่สุดทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนมือ
               เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

จิตเดิมดั่งรังสิมา อยู่กลางเวหา ดวงรังสิมาแม้อยู่อับชื้นสิ้น
ซ่อนรังสิมาเมฆหลั่งแสงดั่งวาริน คือจิตคนเดินดินที่ฟื้นฟู
คนแจ้งไยจะต้องกลัวครหา จิตหลังฝ่ามรสุมไม่อดสู
ก้าวสุทธา ถอยทะเลลองคิดดู ระมัดระวังด้วยทุกข์คู่สุขสามัญ
แก้ปัญหาตามจริงได้ผลดี ในคนที่ตั้งใจไม่เคยหวั่น
ธรรมอบรมจิตย่อมรู้เท่าทัน ไม่คลอนสั่นไม่ลังเลอีกต่อไป
กรรมไม่สิ้นวิบากยังเนืองแน่น บำเพ็ญรู้ไม่แค้นใจกรรมทั้งหลาย
ไม่เทียบเท่าคนอื่นไม่ตะเกียกตะกาย สำนึกผิดอยู่ทำไม่ไร้พยายาม
สิ่งใดเป็นความผิดเร่งแก้ไข ประมาทครูทำให้ซ้อนขวากหนาม
การมองคนที่จิตอันงดงาม เป็นแบบอย่างภายหน้าถามปัจจุบัน
พึงสังวรพึ่งนอกกายล้วนอนิจจัง ประดุจดังชีวิตเมื่อยามพลิกผัน
ละครเริ่มละครจบไม่ผูกพัน จะหลงกันไปไยท่านเมธา
กองกิเลสผูกวันเดือนปีสะสม บางทีคนกลางกลับสร้างปัญหา
มั่นคงไว้กับวัฏสงสารไกลห่างฟ้า ใช้ปัญญาพินิจนานย้อนตนเอง

ฮา  ฮา  หยุด

  รังสิมา ผู้มีแสงสว่าง  คือพระอาทิตย์
  สุทธา หมดจด  สะอาด  ล้วน  แท้


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหันเซียงจื่อ

เซียนพุทธะก็มาจากคนเดินดินธรรมดา  อยู่ที่ว่าคนเดินดินจะฝึกฝนเป็นเซียนพุทธะหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันไหม (อยาก)
ธรรมะแท้จริงแล้วเป็นของศาสนาใดหรือเปล่า  ธรรมะแท้จริงแล้วเป็นของผู้ใดหรือไม่  แล้วธรรมะที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี่คือธรรมะอะไร  คือธรรมะที่ฟ้าก็มี ดินก็มี คนก็มี เก้าอี้ก็มี  เก้าอี้มีธรรมะไหม (มี)  มีธรรมะอะไร  ทำไมเราถึงบอกว่าเก้าอี้ก็มีธรรมะ  เมื่อครู่เราพูดถึงเรื่องธรรมะ  ธรรมะคือสิ่งที่บนฟ้าก็มี  บนดินก็มี  ในตัวมนุษย์ก็มี  ในสรรพสิ่งก็มีธรรมะ อยู่ที่ว่าเราจะมีดวงตาที่ค้นพบหรือไม่ต่างหาก ใช่ไหม  ผู้ที่สามารถมีดวงตาค้นพบผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ได้เห็นธรรม  แต่ถ้าผู้ใดไม่สามารถค้นพบ ผู้นั้นก็จะไม่มีวันได้เห็นธรรม  เมื่อไม่เห็นธรรมก็ไม่มีวันเห็นตถาคต ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นตถาคต ก็ยิ่งยากจะเป็นพุทธะหรือผู้สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไร ให้เราเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้มีตาที่เห็นธรรมะ  ทำไมเราถึงพูดว่าอยู่บนฟ้า อยู่บนดิน และอยู่ในตัวคน  หรือแม้กระทั่งอยู่บนเก้าอี้  ก็คือ ฟ้าก็มีธรรมะแฝงอยู่  ตัวมนุษย์ก็มีธรรมะแฝงอยู่  เก้าอี้ก็มีธรรมะแฝงอยู่  คืออะไรที่เป็นธรรมะ  ฟ้าทำให้เรารู้ว่ามีมืดมีสว่าง ดินปลูกอะไรก็ได้อย่างนั้น  ก็มีธรรมแห่งดินอยู่  แล้วเก้าอี้ แล้วตัวมนุษย์เรามีธรรมะอยู่ไหม (มี)  ต้องมีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะเป็นอะไร
ทุกคนต่างมีธรรมะแตกต่างกันออกไป  บางคนมีมาก บางคนมีน้อย บางคนมีแต่เหมือนไม่เห็นว่ามี ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเก้าอี้มีธรรมะไหม  เก้าอี้ก็มีธรรมะอย่างหนึ่งคือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เก้าอี้มีเกิดมีดับเหมือนกัน นั่นก็คือรูปทรงแข็งแรง แล้วก็มีวันที่เปลี่ยนแปลง แล้วก็มีวันที่เสื่อมสลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตเราเหมือนเก้าอี้ไหม (เหมือน)  แล้วโลกเหมือนไหม (เหมือน)  ก็เหมือนกัน  
เมื่อครู่เพิ่งฟังหัวข้อสัจธรรมชีวิตไป  สัจธรรม ก็มีคำว่าธรรมอยู่ในสัจจะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตเราเป็นสัจจะไหม  สัจจะคือความเป็นจริง  แล้วความเป็นจริงมีธรรมไหม มีใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าไม่ว่าฟ้า ดิน มนุษย์ และสรรพสิ่งในโลก ล้วนมีธรรมแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่  ล้วนมีธรรมรอให้คนไปค้นพบอยู่  อยู่ที่ว่าเราค้นพบแล้ว เห็นแล้ว เราได้รู้แจ้งแท้จริงหรือไม่  เราเห็นแล้ว พบแล้ว มองเห็นเป็นมายาจอมปลอมหรือเปล่า ไม่ใช่เห็นแล้ว รู้แล้วแต่ก็ยังอดยึดมั่น ถือมั่นว่าต้องเป็นของเรา ไม่มีวันเสื่อมสลาย อย่างนี้เห็นแล้วแต่ไม่สามารถเข้าใจได้แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
“งานยุคปลายคนยุคปลายทำงาน เมื่อใดทำอย่าเลือกงานการช่วยฉุด
ในโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด ในที่สุดทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนมือ”
สิ่งที่วันนี้ตกมาอยู่กับมือเรา  ก็ไม่แน่ว่าแต่ก่อนนั้น เคยตกไปอยู่ในมือผู้ใด  ร่างกายอันนี้เราว่าเป็นของเรา  แต่ก่อนที่เป็นของเรา แท้จริงแล้วไปอยู่ที่ใด  เงินทองที่เราบอกว่าอันนี้คือของเรา  แต่แท้จริงแล้วเคยผ่านมือใครมาบ้าง แล้วต่อไปจะผ่านมือใครอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเฝ้าห่วง เฝ้ารัก เฝ้าถนอมทำไม บางครั้งยิ่งถนอม ยิ่งรักษา ยิ่งดูแล กลับยิ่งหนีหาย ยิ่งเสื่อมสูญ   เฝ้าห่วงแต่กลับยิ่งทำให้เราเสื่อมเสีย เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางสิ่งที่เราไม่ห่วง ไม่ดูแลเลย กลับอยู่ได้มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย  จริงหรือเปล่า (จริง)  บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ หรือเงินทอง ทรัพย์สิน ชื่อเสียงในโลกนี้ เราจะยิ่งไขว่คว้า เราจะเฝ้าแก่งแย่งไปทำไม ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ของเรา  ในเมื่อก่อนมานั้นก็ไม่ใช่เป็นของเรามาก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเข้าใจแค่นี้เราคงไม่ต้องทุกข์มาก ยังทุกข์อีกไหม รู้กันอยู่แต่ก็ยังทุกข์อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ร้อนกันไหม (ไม่ร้อน)  เวลาที่อากาศร้อนถ้าใจร้อนก็นั่งไม่ติด  ถ้าอากาศร้อนเราต้องใจเย็นไว้จะได้นั่งติด  ไม่เช่นนั้น การนั่งหนึ่งวันจะเหมือนนั่งร้อยปี  นั่งสามวันก็เหมือนนั่งหนึ่งพันปี ใช่หรือเปล่า
การแต่งกายจะบอกให้รู้ว่าคนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง  เป็นคนเรียบร้อยหรือไม่เรียบร้อย ใช่หรือไม่
สิ่งสำคัญในโลกนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมะอย่างเดียว ถ้าทุกคนเห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้เราก็ไม่ต้องมา  ไม่ต้องมีประชุมธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนสามารถมีดวงตาเห็นธรรมและสำเร็จเป็นพุทธะกันหมด แต่ปัจจุบันนี้คนในโลกส่วนใหญ่เห็นธรรมสำคัญน้อยกว่าเงินทองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมจึงคิดว่าเงินทองเป็นสิ่งสำคัญ (เงินทองสามารถทำให้เรามีความสุขความสบายให้กับชีวิต)  ถ้าเงินหายไปแล้วจะสุขอีกหรือเปล่า (ไม่สุข)  ถ้ามีเงินแล้วมีหนี้ยังสุขอีกไหม (ไม่) แล้วอย่างนี้จะบอกว่าเงินให้ความสุขได้หรือ แสดงว่าเงินให้ทั้งสุขและทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมยังแสวงหาอีก (เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต, เพื่อให้ความสุข) เพื่อให้ความสุขกับเราแต่อีกแง่หนึ่งเราก็รู้ว่าเงินทองให้ทุกข์ได้เหมือนกัน แล้วเราจะไม่หาเงินทองเลยก็ไม่ใช่ ต้องหาเหมือนกันแต่หามาเพื่อบำรุงหล่อเลี้ยงชีวิต ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระผู้อื่น การหาเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตถ้ารู้จักแต่สุขอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้) แต่ต้องเป็นการบำรุงหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างรู้จักพอเหมาะพอควร หากบำรุงเลี้ยงอย่างกับคำว่ารู้สุขอย่างเดียวนั้นไม่ได้  ถ้าทุกข์เราต้องหาสุข หาเงินเพื่อล้างทุกข์ให้ได้สุข เพื่อให้ได้สุขกี่รอบกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เช่นนั้นเราจะเหนื่อยไม่มีวันจบวันสิ้น เพียงเพื่อให้เราได้มีเงินให้เราได้มีสุข อย่างนี้เป็นการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องไหม ไม่ถูกเลยใช่หรือเปล่า (ทุกคนจะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว)  ทุกอย่างต้องใช้เงินก่อน ถ้าไม่มีเงินเราก็เหมือนคนที่ไม่มีชีวิตใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) มนุษย์เราแม้ไม่มีเงินก็ยังมีชีวิตได้ใช่หรือไม่ แต่ชีวิตแบบใดกัน บางคนอาจจะบอกว่า เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยจะมีสุขเลย ในความเป็นจริงไม่มีเงินแต่ก็มีสุขได้ มนุษย์เรามักจะกำหนดว่าเมื่อมีชีวิตต้องมีเงิน เมื่อมีเงินจึงได้สุข แต่เราลืมไปว่ามนุษย์นั้นหากมีชีวิตแม้ไม่มีเงินก็มีสุข เราลืมบัญญัติคำนี้ในดวงใจของเรา เราเกิดมาลืมตามีชีวิตอยู่ บัญญัติชีวิตว่ามีชีวิตมีเงินแล้วถึงมีสุข แต่ไม่มีใครบัญญัติว่า มีชีวิตไม่มีเงินก็มีสุข ใช่ไหม (ใช่)  หากเราบัญญัติเข้าไปในหัวใจตอนนี้แม้ไม่มีเงินก็มีสุขได้ สุขในคำว่า “รู้พอ” สุขในการมีชีวิต ใช่หรือไม่ ถ้าทุกคนคิดว่ามีเงินแล้วต้องสุขนั้นจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน  เมื่อทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งเงินบางครั้งลืมชีวิต บางครั้งลืมมีสุข เคยหาจนลืมวันลืมคืนไหม เคยหาจนลืมว่ายิ้มเป็นอย่างไรไหม เคยหาจนลืมว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไรไหม (เคย) บางครั้งเราหาจนลืมไปว่าชีวิตที่แท้จริงเกิดมาเพื่อหาเงินเท่านั้นหรือ ชีวิตที่แท้จริงมีสุขแค่เพียงมีเงินเท่านั้นหรือใช่หรือเปล่า 
นอกจากเรามีสุขในการหาเงิน มนุษย์เรายังสามารถมีสุขในการทำเช่นไรได้บ้าง (สุขที่ไม่มีโรค) ความสุขที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้ลงมาโลกมนุษย์นาน เราไม่รู้แล้วว่าสุขบนโลกมนุษย์นี้มีสิ่งใดกันบ้าง ช่วยบอกเราหน่อยได้ไหม มนุษย์เรามีสุขได้ด้วยการทำสิ่งใดบ้าง สุขในการดูทีวีเป็นสุขไหม มีเสื้อผ้าใส่สวยๆ ใส่แล้วดูดีเป็นสุขไหม (เป็น)  สุขในการที่สามารถมีรถขับไม่ต้องเดิน ใช่หรือไม่  แล้วมีสุขอะไรอีก (สุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก) คงหาได้น้อย  มนุษย์เราเมื่อพูดคำว่า “สุข ทุกข์”  สุขของมนุษย์จะเกิดจากการที่ตัวเองมี ได้ รับ สมหวัง  แต่ถ้าเกิดพูดถึงทุกข์ก็จะบอกว่าตัวเองเสีย ไร้ ไม่มี ต้องเป็นผู้พ่ายแพ้  แต่หนทางในการบำเพ็ญตน การฝึกฝนตนเอง การเป็นพุทธะเพื่อกลับคืนสู่แดนนิพพานไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดนั้นคือการต้องทำแบบคนทุกข์  ยอมไหม (ยอม)  ถ้าไม่ยอมก็ยังเป็นมนุษย์ ถ้ารู้จักยอมเสียสละและพอในสิ่งที่ควรมี ควรได้ ก็เริ่มที่จะก้าวฝึกฝนตนเองเป็นพุทธะ  พอพูดเรื่องนี้ทุกท่านจึงไม่ค่อยอยากจะมาบำเพ็ญธรรมะและศึกษาธรรม เพราะว่าหากมาศึกษาธรรมจะต้องยอมเสียเงินวันนี้ ยอมไม่หาเงินวันนี้ ยอมไม่มีสุขวันนี้ แต่ต้องมานั่งตรงนี้ อย่างไม่รู้ว่านั่งแล้วจะสุขไหม เพราะเป็นแบบนี้จึงมีจำนวนคนน้อยนักที่พูดว่ามาศึกษาธรรมไหม แล้วยอมมา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมาเพราะจะทำให้ตนเองต้องเสียสุขในการได้และกลายเป็นทุกข์ในการเสียสละ  แต่ถ้าเมื่อไรท่านสามารถยอมเสีย การที่ยอมเสียนั้นก็ไม่ใช่ให้ท่านต้องเสียในทันที แล้วเสียมากๆ และตัดแล้วตัดเลย  วันนี้ให้มาฟังขอแค่สามวัน ไม่ใช่ขอทั้งปีหรือสามปี ขอให้ ตั้งใจฟังแล้วอยู่จนครบ  ไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้ที่ไม่ยอมเสียอะไรในชีวิต  ผู้ที่เกิดมาไม่เคยยอมเสียอะไรเลยในชีวิต  หวังแต่ตัวเองต้องได้ ต้องรับ คนเช่นนี้เป็นคนที่น่าอยู่ในสังคมไหม (ไม่)  เป็นคนที่เป็นพิษเป็นภัยกับคนในสังคมไหม (เป็น)  เราอย่าเผลอเป็นกันนะ
“จิตเดิมดั่งรังสิมาอยู่กลางเวหา       ดวงรังสิมาแม้อยู่อับชื้นสิ้น
ซ่อนรังสิมาเมฆหลั่งแสงดั่งวาริน       คือจิตคนเดินดินที่ฟื้นฟู”
กลอนบทนี้เราเปรียบเทียบให้ท่านได้รู้ว่า  หากมนุษย์เปรียบเหมือนแสง  ไม่ว่าจะเป็นอาทิตย์หรือพระจันทร์  หากมนุษย์เราเป็นแสงอาทิตย์  เมื่อยามขึ้นแล้วส่องแสงเต็มที่  ย่อมมีคนชังและมีคนชอบ ย่อมมีคนบ่นทั้งดีและไม่ดี  เมื่อมีคนบ่นว่าดีท่านก็เปล่งแสงเต็มที่  เมื่อมีคนบ่นว่าไม่ดีท่านก็ไม่เปล่งแสง  เช่นนี้ ได้ไหม (ไม่ได้)  แปลว่าเมื่อเราทำสิ่งใดก็ตาม เมื่อมีคนว่าหรือชม  เราต้องยังคงยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองทำ  แต่ถ้าเกิดมีแต่คนว่าไม่มีคนชม เรายังยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองต้องทำไหม (ยืนหยัด)  ต้องยืนหยัด แต่ก่อนที่จะมายืนหยัดต่อนั้น ต้องหันไปสำรวจก่อนว่า สิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นจริงดั่งที่เขาว่าไหม  นั่นคือการสำรวจตัวตนเองด้วย  มนุษย์เรานั้นบางครั้งเมื่อต้องมายืนอยู่ในสังคม บางครั้งมีคนรัก บางครั้งมีคนชม ถ้ามีคนหมู่มากชมเราก็ปฏิบัติต่อไปเถิด  แต่ถ้าเกิดว่าคนหมู่มากชังก็ให้ปฏิบัติต่อไป แต่ต้องหันกลับมาพิจารณาสักเล็กน้อยว่าทำไมถึงโดนชัง หันมามองเขาหรือมองเรา (มองเรา)  แต่ส่วนมากมองเขาหรือมองเรา (มองเขา)  ทำไมชอบทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองรู้กันนัก  ถ้าไม่มีคนมาย้ำท่านก็ไม่หันไปมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีคนชังมากขึ้นเราต้องรีบตรวจสอบสิ่งที่     ตัวเองกระทำ หรือแม้มีแค่คนชังคนหนึ่ง เราก็ต้องตรวจสอบตัวเองทุกขณะ เมื่อทำสิ่งใดไม่ว่าคนชม คนชังก็ไม่หลง ไม่ประมาทตน เช่นนี้แล้วทุกขณะที่ก้าวและกระทำย่อมเป็นเหมือนเช่นแสงอาทิตย์ที่ไปอยู่ที่ใดแล้วคนต้องปรารถนาและต้องการ  แม้ชังบ้าง รักบ้างก็เป็นธรรมชาติ  เมื่อเราทำได้เช่นนี้เราก็จะเป็นคนที่มีจิตใจกว้างใหญ่และยิ่งใหญ่  เฉกเช่นพระอาทิตย์ และพระอาทิตย์นั้นแม้เมฆมาบังก็ไม่หยุดการให้แสง  แม้เมฆบังตรงไหมแล้วตรงนั้นแสงจะไม่ออก แต่ตรงไหนที่เมฆไม่บังก็ยังมีแสงออกมา นั่นคือจิตของคนหรือจิตของมนุษย์ที่รู้จักดำรงชีวิตและรู้จักฟื้นฟูใจของตนเอง
มนุษย์เรานั้นเกิดมาพร้อมกับการเริ่มต้นคุณธรรมและโน้มเอียงไร้ธรรม  หรือพูดง่ายๆ ก็คือเมื่อมนุษย์เราเกิดมานั้นคือการเริ่มต้นทำดีและกระทำชั่ว  หากทำดีได้ตลอดรอดฝั่ง นั่นคือเราเป็นคนที่มุ่งมั่นแล้วตั้งใจจริง พร้อมที่จะมีชีวิตที่ดีจริง  แต่ถ้าเกิดเริ่มต้นแล้วโน้มเอียงไปในทางที่ใฝ่ต่ำและไม่ดี  นั่นแปลว่าเขาไม่มีธรรมหรือเขาเป็นคนชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่, ไม่ใช่)  ทั้งใช่และไม่ใช่ ใช่หรือเปล่า  ทำไมจึงตอบทั้งใช่และไม่ใช่  เพราะคนๆ หนึ่งเกิดมาอยู่ๆ จะชั่วเลยไหม (ไม่) ด้านหนึ่งมีใจฝักใฝ่ไม่อยากเป็นคนดีแต่อีกด้านหนึ่งก็คือมีเหตุการณ์บังคับให้ต้องเป็นมาและเป็นไป  ฉะนั้นต้องตอบว่าเขาไม่ใช่จะชั่วตั้งแต่เกิด เขาไม่ใช่อยากจะเป็นคนไม่ดี  เหมือนตัวท่านเองหากเราถามว่าใจจริงๆ แล้วอยากเป็นคนไม่ดีตั้งแต่เกิดไหม  (ไม่อยาก)  อยากเป็นคนที่มีคุณธรรม ความดี และอยากเป็นคนที่หากทิ้งโลกได้ ก็อยากจะทิ้งเสียวันนี้เลยใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ท่านไม่ยอมทิ้งกันหรอก ได้แต่พูดเท่านั้นเอง  พูดว่าอยากทิ้งแต่มีใครสักคนหนึ่งที่ยอมทิ้งแน่ๆ   ไม่ยอมสักทีใช่หรือไม่
“คนแจ้งไยจะต้องกลัวครหา”
เปรียบเหมือนคนที่เข้าใจในชีวิตอย่างแจ่มแจ้งที่รู้ว่าชีวิตมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก่อนที่จะเดินไปสู่การเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น เราได้รู้แจ้งชีวิตกันไหมว่าต้องมีแบบนี้  ทุกคนต่างรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่รู้แล้วโยนทิ้งหรือรู้แล้วเอามาย้อนมองตัวตนเอง  ส่วนมากมักจะโยนทิ้งเมื่อถึงคราวทุกข์ก็เอามาใช้อะไรไม่ได้  ฉะนั้นพอเวลาตั้งใจจะทำสิ่งใดหรือมุ่งมั่นจะบำเพ็ญตนหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จก็มักจะกลัวคนพูด  พอมนุษย์เราเริ่มต้นชีวิต ทุกคนย่อมคิดว่าอยากจะทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ  เมื่อทำแล้วพอโดนคนพูดก็เลยกลัว เพราะว่าไม่แจ้งในชีวิตและสิ่งที่ตัวเองกระทำ หากเราแจ้งเราจะไม่หวั่นไหวและเปลี่ยนแปลงกับคำพูดคน  ยิ่งคนพูดมากเท่าไรยิ่งวัดใจเรามากขึ้นเท่านั้นว่ามั่นคงหรือไม่  สิ่งที่ตัวเองตั้งใจนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งหรือเปล่า การบำเพ็ญธรรมก็คือการก้าวขึ้นสู่เรือแห่งธรรมมุ่งคืนสู่ฝั่งนิพพาน  แต่ถ้าหากว่าท่านไม่สนใจการบำเพ็ญธรรม ก็คือการก้าวลงจากเรือแล้วลงไปเวียนว่ายในวัฏสงสาร หรือที่เรียกว่าลงไปว่ายในทะเลทุกข์ หากเรารู้ว่าชีวิตของมนุษย์นั้นนอกจากแสวงหาทุกข์สุขในโลกนี้แล้ว เรายังได้รู้อีกว่าชีวิตของมนุษย์นั้นยังมีอีกหนทางหนึ่งนั่นก็คือการบำเพ็ญตนเพื่อกลับคืนสู่แดนเดิมหรือเพื่อกลับคืนสู่ฝั่งพระนิพพาน แต่การจะกลับคืนสู่ฝั่งพระนิพพานได้นั้น ตัวตนเองต้องรู้จักชีวิตที่แท้จริง เมื่อรู้จักชีวิตที่แท้จริง เข้าใจถึงสุขทุกข์อย่างถ่องแท้และวางตนเองอย่างรู้จักพอ จึงสามารถอยู่บนเรือแห่งธรรมะแล้วเดินทางกลับคืนสู่ฝั่งพระนิพพานได้ นั่นก็คือสามารถที่จะบำเพ็ญตน ฝึกฝนตนเอง แล้วกลับคืนสู่ความเป็นพุทธะดั้งเดิมได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่ชีวิตยังไม่เข้าใจถ่องแท้ ทุกข์สุขยังมองไม่เห็นแน่ชัด เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงยังไม่รู้พอ ก็คงยากที่จะหันหลังกลับมาบำเพ็ญตนใช่หรือไม่ เรื่องแห่งการบำเพ็ญธรรมก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากอยู่ 
ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องรู้ไว้นั่นก็คือว่าการจะเริ่มต้นบำเพ็ญธรรม คือต้อง   รู้จักมีคำว่าพอก่อน รู้จักคำว่าลดละก่อน หากไม่รู้จักคำว่าพอ ไม่รู้จักคำว่าลดละในสังคม ท่านก็จะไม่มีเวลาในการมาฝึกฝนตนเอง บำเพ็ญตน จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าท่านไม่สนใจแม้เรื่องบำเพ็ญตน แต่ถ้าท่านอยู่ในสังคม ท่านดำเนินชีวิตอย่างไม่รู้จักพอ ท่านนั่นแหละจะเป็นผู้ที่หาห่วงมาใส่คอตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  และห่วงนี้จะค่อยๆ รัด ตราบเท่าที่มนุษย์มีลมหายใจและไม่รู้จักหยุดแสวงหา จริงหรือไม่ (จริง)  ห่วงนั้นก็เหมือนกับเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ รัก โลภ โกรธ หลง ห่วงนั้นเมื่อมาครอบตัวเอง แรกๆ ก็ยังเป็นสุขในการมีในการได้รับ แต่พอครอบไปนานๆ เข้า ห่วงนั้นค่อยๆ บีบ ค่อยๆ รัด ให้เราค่อยๆ รู้จักว่าทุกข์ในการมีเงินในการมีเกียรติยศ มีชื่อเสียงเป็นอย่างไร สุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่มนุษย์เราสามารถตัดห่วงอันนี้ทิ้งได้ ปล่อยวางห่วงอันนี้ทิ้งได้ เมื่อนั้นเราจึงสามารถค้นพบสุขที่แท้จริง สุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร เป็นสุขที่   นิรันดร์ ไม่ต้องวนกลับมาทุกข์อีก ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์ต่างก็กลัวทุกข์กันทั้งนั้น ทุกข์ในสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น ทุกข์ในสิ่งที่ตัวเองเป็นผู้ไขว่คว้ามาเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะลดทุกข์นี้ได้อย่างไร เราไม่สามารถลดทุกข์ในสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น แต่เราสามารถลดทุกข์ในสิ่งที่ตัวเองไขว่คว้ามาเองได้ แล้วจะทำอย่างไรจึงจะลดได้ นั่นก็คือการรู้จักชีวิตให้ถ่องแท้ หากเมื่อไรไม่สามารถรู้จักชีวิตให้ถ่องแท้ ไม่รู้จักคำว่าหยุด ไม่รู้จักคำว่าพอ แม้จะมีชีวิตอยู่ แม้จะไม่สนใจธรรมะเลย สักวันหนึ่งท่านก็ต้องกลับมากราบขอพุทธะ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าทุกข์จังเลย ทุกข์หนักหนา จะแก้อย่างไร จะปลดอย่างไร จะวางอย่างไร หรือไม่ก็ต้องจมอยู่ในโลกโลกีย์อันนี้อย่างไม่มีวันพบสุขที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรามากล่าวจึงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องอื่นไกล เป็นเรื่องที่ทุกท่านทำได้ เป็นเรื่องที่ทุกท่านสามารถฝึกฝนแล้วเป็นพุทธะ บำเพ็ญตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำ  เท่านั้นเอง
เมื่อครู่ตอนต้นเราได้กล่าวว่า ชีวิตของมนุษย์เรานั้นสามารถเป็นคนที่มีคุณธรรม และเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมได้ ขึ้นอยู่กับว่าแรงผลักดันของชีวิตหรือความตั้งใจของชีวิตเราว่าเราจะทำสิ่งใด  เปรียบเหมือนน้ำ น้ำย่อมสามารถไหลลงสู่ที่ต่ำและผลักดันตนเองขึ้นสู่ที่สูง  ตัวมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันสามารถนำพาตัวเองให้สูงขึ้นกว่าคำว่าคนได้  และสามารถทำให้ชีวิตของตนเองตกต่ำลงกว่าคนก็ได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับแรง แรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ แล้วแรงนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์นั้นรู้จักตนหรือไม่รู้จักตน ใช่หรือไม่ มนุษย์นั้นได้รู้เท่าทันชีวิตหรือไม่รู้เท่าทันชีวิต มนุษย์นั้นได้เห็นค่าชีวิตหรือไม่เห็นค่าชีวิตตน หากเห็นค่าชีวิตตนจะขึ้นสูงหรือลงต่ำ (ขึ้นสูง)  หากรู้จักชีวิตตน จะขึ้นสูงหรือลงต่ำ (ขึ้นสูง) พยายามขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่ตัวเองไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วแรงอันนี้ย่อมมีผลเหมือนกัน  ท่านคิดว่าแรงนี้เป็นสิ่งแวดล้อมหรือความคิดตน ทั้งสองอย่างหรืออย่างเดียว (ทั้งสองอย่าง, อย่างเดียว)  อย่างเดียวนี่คือสิ่งแวดล้อมหรือจิตใจตน (จิตใจตน)  ทำไมเราจึงบอกว่าจิตใจตนเป็นสิ่งสำคัญ แม้สภาวะแวดล้อมก็ไม่สามารถมีผลต่อจิตใจได้ เพราะอะไรจึงคิดว่าอย่างนี้ (เรามั่นใจในตนเอง)  นั่นก็คือว่าคนที่มั่นใจในตนเอง สภาวะแวดล้อมจะไม่มีผลต่อจิตใจ แต่ถ้าคนที่ไม่มั่นใจใน     ตนเอง ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองกำลังดำเนินชีวิต ตัวเองก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม แปลว่าแรงกระทำของคนๆ หนึ่งนั้นสามารถมั่นคงและหวั่นไหวได้ ฉะนั้นตอนนี้ใครเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่หวั่นไหวไป ใจเปลี่ยนแปลงไป ต้องบอกตนเองได้แล้วว่าตนเองไม่มีความมั่นคง อย่าไปโทษสิ่งแวดล้อม แต่ต้องโทษตัวตนเองนั้นไม่มั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบเหมือนเราจะทำงานทำการสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จ พอเจออุปสรรคพอเจอความยากลำบากก็โทษสภาวะแวดล้อมได้ไหม สภาวะแวดล้อมเรายิ่งต้องขอบคุณ เพราะอะไร เพราะเขายิ่งผลักดันให้เรายิ่งแข็งแกร่งขึ้นและอยู่บนโลกได้อย่าง มั่นคงยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ชีวิตเราก็จะเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่มีกำลัง ไม่มีแรง  แต่พอมีอุปสรรคทีหนึ่ง มีความลำบากทีหนึ่ง จิตใจเรายิ่งมั่นคง ยิ่งทำให้เรารู้ว่ามั่นคงเป็นอย่างไร อ่อนแอเป็นอย่างไร  ยิ่งทำให้เรารู้ว่าใดคือคนจริงในโลกนี้ ใดคือคนไม่แน่ในโลกนี้            ใช่ไหม (ใช่)  
ใจของมนุษย์เรานั้นสามารถคิดที่จะเป็นคนที่ดีได้และสามารถคิดที่จะเป็นคนไม่ดีได้ อยู่ที่ว่าเรารู้ไหมว่าตัวเราก็มีสิ่งดีอยู่  บางคนมักจะบอกว่าตัวเรานั้นมีสิ่งดีด้วยและก็มีสิ่งร้ายด้วย มีขาวด้วย แล้วก็มีดำด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้จักเปิดขาว และใช้ขาว ดำจะมีผลไหม (ไม่มี)  เมื่อทุกขณะเรารู้จักใช้สิ่งที่ดีในชีวิต ดำเนินชีวิตรู้จักนำแต่ความดีออกมาใช้ในชีวิต       อารมณ์ร้าย
ความชั่วร้ายจะมีผลต่อจิตใจไหม (ไม่มี)
ในตัวท่านนั้นมีอะไรบ้างที่เรียกว่าความดี และมีอะไรบ้างที่เรียกว่าความชั่วร้าย เมื่อยามเจอชีวิต อย่างเช่น เมื่อเราเดินไป หรือเรามีชีวิตอยู่เห็นคนๆ หนึ่งร้องห่มร้องไห้ เห็นคนๆ หนึ่งเป็นทุกข์กังวล ท่านคิดอย่างไรกับคนนี้ (สงสาร)  สงสารแล้วทำเช่นไรต่อ (เดินเข้าไปช่วย)  เมื่อเห็นสงสารและเดินเข้าไปช่วย     นี่คือหนึ่งความคิดคน  แต่ในความคิดของทุกๆ คนเหมือนกันไหม ทุกคนจะทำเหมือนท่านนั้นไหม (ไม่)  ย่อมมีคนทำแตกต่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ย่อมมีคนทำ  ตรงกันข้าม  มีใครคิดอยากจะทำตรงกันข้ามบ้าง  อยากหัวเราะเยาะ อยากสมน้ำหน้า มีไหม (ไม่มี)  ถ้าคนนั้นเป็นคนที่ท่านไม่ชอบเลย ท่านจะสงสารไหม ถ้าคนนั้นเป็นคนที่เคยทำร้ายท่านมาก่อน สงสารไหม (ใครจะทนสงสารได้)  นั่นแปลว่าแรงผลักดันทำให้ท่านเปลี่ยนจากดีเป็นร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าท่านเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หรือดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม เจอคนที่ทำอะไรน่าเคารพ น่าเลื่อมใส  ท่านรู้สึกอย่างไรกับคนๆ นี้  (อยากเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)  อยากเอาเป็นเยี่ยงอย่าง อยากเอาเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต  หรือพูดง่ายๆ ก็คือเรา  รู้สึกเคารพนับถือเขา ใช่ไหม (ใช่)  กับอีกแบบหนึ่ง รู้สึกดูถูก เหยียดหยามเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในจิตใจเราต้องมีสองฝั่งแน่  แต่ถ้าเราสามารถใช้ฝั่งที่เป็นฝั่งที่บริสุทธิ์ จริงใจ มีเมตตา มีความเคารพ นั่นก็คือเรารู้จักใช้ความดีใน  จิตใจออกมา  แต่เมื่อใช้แล้วจะอยู่เฉยหรือเปล่า  ใช้แล้วก็น้อมนำมาปฏิบัติ น้อมนำมาเรียนรู้ น้อมนำไปฉุดช่วยคน  อย่างนี้เรียกว่ามีความดีในตัวตน แล้วความดีในตัวตนยังเผื่อแผ่ช่วยคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อีกฝ่ายหนึ่ง มีความชั่ว มีความไม่ดีในตัวตน แล้วยังนำความชั่วนั้นออกมาสู่ตัวตนเอง ให้ตัวตนเองปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วย่อมทำร้ายคน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปกติคนในสังคม เมื่อเจอเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์  เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์จะช่วยวัดคนๆ นั้นได้ว่า คนนั้นใช้ธรรมหรือไม่ใช้ธรรม  คนนั้นมีดีหรือมีชั่ว  ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องวัด ไม่ต้องเปรียบเปรยเลย บางครั้งเราดูได้ด้วยตัวตนเอง จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นก็คือว่าคุณธรรมและความดีนั้น หาใช่เกิดจากภายนอกอย่างเดียวไม่  แท้จริงแล้วภายในตัวทุกๆ คนมีคุณธรรมอยู่  แต่อยู่ที่ว่ารู้จัก    ส่งเสริม  รู้จักนำมาใช้ รู้จักนำมาปฏิบัติหรือไม่  เฉกเช่น แขน ขา  หากเราเชื่อมั่นว่าแขนสามารถยกสิบกิโลได้  แขนนี้ต้องยกสิบกิโลได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราเชื่อมั่นว่าขานี้เดินไกลเป็นกิโลๆ ได้ ขานี้ย่อมเดินได้  แต่เชื่อมั่นแขน เชื่อมั่นขายังไม่พอ  ใจต้องมุ่งมั่นด้วย  เฉกเช่นเดียวกัน จิตใจของมนุษย์สามารถมี  คุณธรรม สามารถเป็นคนที่สร้างสรรค์คุณธรรมได้ และสามารถนำคุณธรรมนี้นำพาให้ตัวเองเป็นพุทธะ สำเร็จตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  อยู่ที่ว่าเชื่อมั่นในแขน ขา หรือพูดง่ายๆ ก็คือเชื่อมั่นในคุณธรรมตัวตนหรือไม่ (ใช่)  หากเชื่อมั่นเราจะไม่เป็นผู้ทำร้ายธรรมในตน  และไม่เป็นผู้ทอดทิ้งคุณธรรมในชีวิตตน  แต่ถ้าเกิดไม่เชื่อมั่น  ท่านนั่นแหละคือผู้ที่ทำร้ายตนเองและทอดทิ้งธรรมของตนเอง จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างเช่นง่ายๆ เหมือนที่นาแปลงหนึ่งท่านคิดว่าจะปลูกข้าว  เผอิญมีต้นไม้ขึ้นมาหนึ่งต้น ซึ่งท่านได้หว่านเมล็ดข้าวลงไป  แต่ท่านไม่มีความมั่นใจและไม่เชื่อว่านี่คือต้นข้าว  ต้นข้าวนี้จะเติบโตได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่มีวันได้ แม้จะโตขึ้นมาแล้วท่านก็ถอนมันทิ้ง เพราะคิดว่าไม่ใช่ต้นข้าวเป็นแค่หญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน  หากมนุษย์เราไม่เชื่อว่าเรามี    คุณธรรมที่สามารถนำพาให้ตัวเองบำเพ็ญตนแล้วเป็นพุทธะ บำเพ็ญตนแล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้จะมีธรรมเพียงเล็กน้อย หรือแม้จะมีธรรมเป็นสิบๆ ข้อ ท่านก็จะไม่มีวันก้าวขึ้นเป็นพุทธะได้ เพราะว่าไม่เชื่อมั่นในตนเอง และไม่เชื่อมั่นธรรมในหัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าเกิดเป็นคนจะดีจะชั่ว  จะมั่นใจได้หรือไม่  ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวตนเอง
ความดีความชั่วนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยอะไร (จิตใจของตนเอง)  นั่นก็คือขอให้มนุษย์มั่นใจในตัวเองว่า ชีวิตของมนุษย์นั้นคุณค่าในการเกิดเป็นคนไม่ใช่แค่หาเงิน หาทอง หาเกียรติยศ หาชื่อเสียง หรือเรียนหนังสือ  แต่เรายังมีคุณค่าอีกหนึ่งหนทางที่เป็นหนทางที่สว่างไสว ที่เป็นหนทางที่ทำให้คนกราบไหว้ ที่เป็นหนทางที่ไม่เกิดไม่ตาย แม้กายจะดับแล้ว  นั่นก็คือการบำเพ็ญตน รู้ค่าแห่งตัวตนว่าเรามีธรรมะอยู่ก็สำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กลัวอย่างเดียว กลัวท่านนั้นเกียจคร้านและเบื่อหน่าย จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนวันนี้เราพูดกับท่าน ท่านก็เริ่มจะเบื่อแล้ว  เพราะเราพูดในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางอย่างท่านก็ยังไม่รู้ แม้เราจะพูดเรื่องที่รู้อยู่แล้ว และพูดในเรื่องที่ไม่รู้ท่านยินดีฟังไหม (ยินดี)  ท่านเป็นสุขในการฟังไหม (เป็นสุข)  หากมีใจศึกษาธรรม มีใจขยันหมั่นเพียรเรียนรู้  เรียนแต่ไม่คิด หรือเอาแต่คิดแล้วไม่เรียน สองอย่างนี้ท่านว่าดีไหม (ไม่ดี)  ทั้งเรียนทั้งคิดแต่ไม่ปฏิบัติ  สามท่านนี้เป็นสามท่านที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง  แล้วท่านจะเอาอย่างไหม (ไม่เอา)  เราขอนะ แม้วันนี้ได้ศึกษาไปขอให้ได้คิด เพราะคนที่เรียนแล้วไม่คิดย่อมเป็นอันตราย ใช่ไหม (ใช่)  หากเขาเอาแต่เรียนๆ ไม่รู้จักคิดว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรทำก่อน อะไรไม่ควรทำก่อน ย่อมเป็นอันตราย  เอาแต่นอนคิด นั่งคิด แต่ไม่เคยได้มาศึกษา ไม่เคยได้มาเรียน อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมถึงไม่ดี เพราะว่าโลกนี้เปลี่ยนทุกๆ วัน  ใช่ไหม (ใช่)  ใจท่านเปลี่ยนทุกๆ นาที  วันนี้เราว่าเข้าใจชีวิต  วันนี้เราว่าเราเรียนรู้โลกมาหมดแล้ว  ตำรามีกี่เล่มเรียนหมดแล้ว  แต่วันหนึ่งฟ้าดินเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ใจท่านเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ฉะนั้นอย่าได้หยุดเรียนและอย่าได้หยุดคิดและปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นผู้ที่เป็นกบในกะลา  คางคกในอะไร  จะเป็นทั้งกบ ทั้งคางคกไหม (ไม่เป็น)  อย่างนั้นสนใจที่จะเรียนหน่อยดีไหม (ดี)
พอบอกว่าให้มาเรียนธรรมะ มาศึกษาธรรมะ มาไหม (มา)  ท่านดูไว้นะ คนไหนที่พูดได้เต็มปากเต็มคำจำหน้าไว้  ถ่ายภาพนี้ไว้ในใจ พอวันหน้าไปชวนแล้วเขาเกิดบอกว่าไม่มาก็เอาภาพนี้ไปยื่นให้เขาดู  ในเมื่อพูดต่อหน้าองค์พระแล้ว แม้จะไม่เชื่อว่าเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็พูดไปแล้ว  เป็นคนพูดแล้วต้องไม่คืนคำ ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นคนไร้สัจจะ เมื่อไร้สัจจะใครจะเชื่อถือ แล้วลูกจะเชื่อได้ไหม  แล้วเพื่อนจะรักไหม แล้วพ่อแม่จะรักบุตรคนนี้ไหม แล้วสามีจะรักเราไหม (ไม่รัก)  สามีก็ไม่ซื่อสัตย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะไปว่าคนอื่น อย่าลืมย้ำถามตัวเอง ดีไหม (ดี)  เราเปลี่ยนจากเรื่องเครียดๆ เรื่องธรรมะๆ มาเป็นเรื่องธรรมดาดีไหม  เปลี่ยนมาเป็นว่าทำอย่างไรบำเพ็ญธรรมแล้วจะร่ำรวยไม่มีวันหยุด เก็บเงินจนนับไม่ทัน มีเสื้อผ้าใส่จนไม่รู้จะหยิบตัวไหน  มีแต่คนที่มารักจนรู้สึกว่าเหนื่อยกับการรักเหลือเกิน เอาไหม   หากมีสุขเช่นนั้น ใครหรือจะคิดบำเพ็ญธรรม จริงไหม (จริง)  แม้แต่พระพุทธองค์ที่ท่านนับถือ ท่านมีสุขจนชนิดที่เรียกว่าไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าทุกข์  ท่านยังกลับคิดหวนหาแก่นแท้ของชีวิต  แต่มนุษย์เช้าสุข เย็นทุกข์กลับไม่เคยหวนแม้จะหันมามองชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราจึงบอกว่ามนุษย์เราหากเกิดมาแล้ว ไม่หันมามองชีวิตให้ถ่องแท้ก็จะไม่มีวันก้าวหน้าต่อไปได้  ก็เพราะว่าหากมนุษย์ไม่เข้าใจชีวิตที่แท้จริง  การจะก้าวต่อๆ ไป ย่อมล้มได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือว่าจะสนใจตำราทำอย่างไรให้รวยล้นพ้น  เราจะได้หยุดพูดเรื่องธรรมะก่อน ว่าเช่นไร คงมีคนสนใจ ใช่หรือเปล่า  ทำอย่างไรจะสุขไม่มีวันหาย เอาไหม ทำอย่างไรจะมีเงินไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ถ้าไม่เอาเราจะได้ไม่พูด  อย่างนั้นเราบอกง่ายๆ อยากมีจนลืมคำว่ามีเลย เอาไหม  ไปที่ใดก็มีแต่คนให้ เอาไหม เปลี่ยนจากคนหาเงินเป็นคนขอทาน ทำตัวยาจกไว้ รับรองไปไหนก็มีแต่คนให้ ใช่ไหม นี่เราพูดเป็นวิถีทางที่ดีนะ  ถ้าท่านแต่งตัวมีเงิน มีทอง ขับรถคันใหญ่ๆ ใส่ทองเส้นหนาๆ จะมีใครอยากให้ท่านไหม มีใครสงสารท่านไหม มีแต่เขาจะมาขอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นสู้ทำตัวยาจกไว้ไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำตัวยาจกไว้มีแต่คนอยากจะสงสาร แต่เคล็ดลับข้อเดียวที่จะทำให้เขาให้ได้ตลอดนั้นก็คืออย่าขอบ่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ขอคนนี้ พรุ่งนี้ไปขอคนโน้น อย่ามาขออีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้เคยขอคนนี้ พรุ่งนี้ได้เท่าไรแอบเอามาให้บ้าง แล้วต่อไปเมื่อมาขออีกเขาจะให้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเมื่อตอนมีเราเผื่อแผ่ให้กับเขา  เมื่อตอนเราไร้เขาก็จึงให้เรา  แต่ถ้าเกิดว่าเราเอาแต่ขอ วันนี้ขอคนนี้ พรุ่งนี้ขอคนโน้น แล้วกลับมาขอคนนี้อีก จะให้ไหม (ไม่ให้)  ฉะนั้นเมื่อตอนได้แล้วอย่าลืมกลับไปให้เขา แล้วเราจะเป็นคนที่มั่งมีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้วิธีแล้วใช่ไหม  จะไปทำหรือเปล่าก็แล้วแต่ท่านนะ
“กรรมไม่สิ้นวิบากยังเนืองแน่น บำเพ็ญรู้ไม่แค้นใจกรรมทั้งหลาย”
บางครั้งเวลาเรามีชีวิต บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงรักเรา ทำไมอีกคนหนึ่งไม่รักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนๆ นี้จึงเป็นคนที่มีแต่คนรัก ทำไมเราจึงเป็นคนที่มีแต่คนเกลียดคนชัง  บางครั้งเมื่อมีคนชังเราจะเกลียดเขาตอบ      ดีหรือไม่ เป็นทางออกที่ถูกไหม (ไม่ถูก)  เมื่อแค้นมาก็แค้นตอบ มีแต่เพิ่มแค้นไปไม่จบไม่สิ้น เพิ่มการเวียนว่ายแห่งการต่อสู้กันอย่างไม่หยุดไม่หย่อน  หากเขาแค้นมาเราให้อภัยตอบ เรายินดีรับความแค้นของเขาตอบ ได้หยุดความแค้น หยุดการเวียนว่ายแห่งการโกรธแค้นได้ในชาตินี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนเรานั้นเป็นธรรมดาย่อมมีกรรมเป็นของตน  หากเมื่อมีกรรมมารู้จักก้มหน้ายอมรับด้วยใจจริง ให้อภัยเขาอย่างหมดจิตหมดใจ มีจิตใจเมตตาเขาอย่างเต็มที่  เมื่อนั้นแม้จะมีกรรมมาหนักเท่าไรก็จะหารเหลือครึ่ง เชื่อหรือไม่ ไม่เชื่อก็ลองไปทำดูนะและอีกอย่างหนึ่งของการบำเพ็ญตนแล้วมีข้อดี  นั่นคือหากบำเพ็ญตนเป็นคนดีได้ตลอดรอดฝั่ง  แม้กรรมมาหนักเท่าไรก็จะถูกหารเหลือครึ่งหรือเหลือน้อยที่สุด  เพราะว่าการทำดีของเขานั้นช่วยลดทอนเจ้ากรรมนายเวรได้ ช่วยผลักดันให้กรรมเวรนั้นหยุดอยู่กับที่  ไม่ทำร้ายเขาได้เหมือนกัน  หากทำได้ท่านก็จะประจักษ์เหตุผลข้อนี้  แต่ถ้าหากไม่ทำท่านจะต้องชดใช้กรรมอย่างไม่มีวันจบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ไม่เทียบเท่าคนอื่นไม่ตะเกียกตะกาย”
ฉะนั้นบางครั้งแม้ว่าเราเกิดมา ชะตาชีวิตทำให้เราเป็นคนที่ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มั่งมีมาตั้งแต่เกิดเราก็จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ท้อถอยในชีวิตและไม่หดหู่กับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ได้หรือไม่ (ได้)  รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ อย่าไปตะเกียกตะกายหามากกว่านี้  หากเรามัวแต่หวังต้องให้ได้เช่นนั้น  ต้องให้ได้เช่นนี้ เราจะไม่มีสุขในการมีแบบนี้เลยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ มีเท่าใดก็จงสุขเท่านั้น อย่าตะเกียกตะกายให้มากเกินไป  ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันพบสุขในชีวิตเลย จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อใดที่เราสามารถส่งเสริมคุณธรรมในจิตใจอยู่ทุกขณะจิต   รู้จักนำพา ชีวิตให้มีคุณธรรมในหัวใจ  เมื่อนั้นเราจะได้รู้ซึ้งอีกคำหนึ่งว่า “ธรรมช่วยยกชูใจให้สูงขึ้นกว่าปกติแห่งความเป็นคน” เมื่อใดที่เรารู้ว่าธรรมสามารถยกชูจิตใจของเราให้สูงส่งเหนือความเป็นมนุษย์  เมื่อนั้นเราจะรู้ค่าแห่งการเป็นคนที่แท้จริง  แต่ถ้าเมื่อใดที่เรามีธรรมแล้ว ธรรมกลับไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจเลย ธรรมกลับทำให้เรายิ่งขมขื่นเป็นทุกข์   นั่นแปลว่าเราใช้ธรรมในทางที่ไม่ถูกต้อง  ใช้ธรรมในทางที่ผิดครรลองคลองธรรม   ทำไมเราจึงบอกว่าคนบำเพ็ญธรรมสามารถที่จะนำธรรมนั้นมายกชูจิตใจให้เหนือกว่ามนุษย์ได้  นั่นก็คือว่าธรรมนั้นช่วยยับยั้งชั่งใจ  ธรรมนั้นช่วยยกระดับจิตใจให้มนุษย์ไม่เป็นคนที่หยิ่งผยองในตนเอง ไม่เป็นผู้ที่ผยองกล้าในเกียรติความรู้ของตัวเอง  ธรรมจะคอยช่วยยับยั้งว่า แม้จะเป็นคนรู้ แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เหนือคนก็ยังมีคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือธรรมช่วยยกจิตใจของเราไม่ให้เราเป็นคนที่หลงตนเอง  และไม่ทำให้เราเป็นคนที่โลภจนเกินงาม  
นอกจากนั้นธรรมยังช่วยอะไรอีก ใครคิดออกบ้าง (หล่อเลี้ยงจิตใจ)  ธรรมยังช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความสุข  อาบอิ่มในรสแห่งพระธรรม  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เมื่อไรที่เราสามารถทำให้ “ชีวิตคือธรรม ธรรมคือชีวิต”  เมื่อนั้นธรรมจะคุ้มครองชีวิต  เมื่อไปที่ใดชีวิตก็จะมีแต่ธรรมะ แล้วธรรมนั้นจะพาความร่มเย็นมาสู่ชีวิตและครอบครัวของตน  แล้วมีอะไรอีกบ้าง (ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น, คิดจะทำแต่ความดี)  ธรรมยังช่วยให้เราไม่เผลอทำผิด ทำแต่สิ่งที่ดีงาม  (พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)  นั่นก็คือว่าสามารถนำธรรมมาช่วยผลักดันให้มนุษย์หลุดจากวัฏสงสาร   แล้วธรรมนี้ยังทำให้มนุษย์ได้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์  พ้นการเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่นก็แปลว่าธรรมนั้นสามารถตัดเวรตัดกรรมได้   ท่านเชื่อไหม (เชื่อ) ทำไมจึงเชื่อ ผู้ปฏิบัติงานธรรมลองตอบสิ  ศึกษามาก็ไม่น้อยแล้ว (ไม่สร้างกรรมเพิ่ม) ถูกต้อง เป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราเกิดมาทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตน   เมื่อมีกรรมเรารู้จักละลายหนี้กรรม  ละลายบาปกรรมได้  แต่เมื่อละลายแล้วสิ่งสำคัญของผู้บำเพ็ญธรรมก็คือ   ต้องไม่สร้างกรรมต่ออีก  ไม่เช่นนั้นแล้วแม้จะบำเพ็ญธรรมก็เปล่าประโยชน์  จริงหรือไม่  (จริง)   การไม่สร้างกรรมต่อนั่นก็คือ การรู้จักดำเนินชีวิตอย่างไม่ผูกเวรผูกกรรมกับใคร  ไม่ไปเกี่ยวกรรมเพิ่มเติมกับใคร  มีแต่ให้ๆ ไม่รู้จักคำว่าหยุดให้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่รู้สึกว่าจะทำได้ยาก  ถ้าในที่นี้บอกให้ท่านมาบำเพ็ญธรรม แล้วมีแต่ให้  ท่านก็คงทำได้ยาก  เราคงไม่เรียกร้องทั้งชีวิต ว่าชีวิตนี้ต้องให้ธรรมะ ให้ทำทั้งชีวิตเลย  เราคงไม่เรียกร้องอย่างนี้ทั้งหมด   แต่เราขอเรียกร้องเพียงว่า เกิดมาแล้วอย่าได้รู้จักแต่ขออย่าได้รู้จักแต่รับ แต่ต้องรู้จักให้บ้าง  ให้อภัย ให้เมตตา ให้ความรักที่ดีงาม ไม่ครอบครองเป็นของตัวเองคนเดียว  ให้ความเคารพ  ให้ความนับถือและรู้จักให้ความเป็นคนที่แท้จริงกับคน  ให้เขาได้รู้จักสักทีว่า ชีวิตนี้ไม่ใช่มืดมน  แต่ชีวิตนี้ยังมีความสว่าง มีความสุกใส มีความงดงามอยู่ในตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ประมาทครูทำให้ซ้อนขวากหนาม”
ฉะนั้นสิ่งใดที่อยู่ในชีวิต  อะไรที่เป็นอบายมุข  อะไรที่ทำแล้วผิดศีลธรรม  เราจึงต้องตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท  เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นครูสอนชีวิตเรา  หากมนุษย์เราเกิดเป็นคนแต่ศีลธรรมและคุณธรรมไม่ใส่ใจ   คนๆ นั้นย่อมเรียกได้ว่าเป็นคนที่ขาดศีลธรรม ขาดคุณธรรม  แล้วเกิดเป็นคนถ้าถูกตราหน้าว่าขาดศีลธรรม  ขาดคุณธรรม  ไม่สนใจในเรื่องคุณธรรมจะเป็นคนที่อยู่ในสังคม      ได้หรือไม่  (ไม่ได้)  จะอยู่ก็อยู่อย่างอับอาย  จะตายก็ตายอย่างไร้เกียรติยศ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเราจึงควรเป็นคนที่ไม่ลืมคุณธรรมและศีลธรรม ไม่เช่นนั้นเราก็จะเป็นคนที่เกิดมาแล้วตายไปอย่างเสียชาติเกิด  แต่มนุษย์เราก็อดไม่ได้ สิ่งใดยิ่งปิดยิ่งอยากแอบดู  สิ่งใดยิ่งเปิดเผยยิ่งไม่สนใจ   สิ่งใดที่ให้กลับยิ่งเห็นไร้ค่า  สิ่งใดที่คนเขาหวงแหนเรากลับยิ่งอยากได้และเห็นว่ามีค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนี้จึงทำให้มนุษย์เราแม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด แม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี   ก็อดลอง
ไม่ได้ อดทำบ้างไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครว่าตนเองสามารถรักษาศีลได้ครบห้าข้อบ้าง  ศีลห้ามีอะไรบ้าง  บางคนให้ท่องห้าข้อก็จำไม่ได้  พอพูดว่าชีวิตต้องปฏิบัติธรรมเลยไม่รู้ว่าคุณธรรมในชีวิตมีอะไรบ้าง  คุณธรรมในชีวิตหนึ่งต้องมีใจเมตตา  สองต้องมีใจเคารพ  เคารพผู้ที่ควรเคารพและเคารพผู้ที่ไม่ควรเคารพเหมือนกัน  เพราะเขาเป็นครูสอนชีวิตเราใช่ไหม  (ใช่)  ทำไมเราจึงบอกว่าท่านต้องเคารพบุคคลที่ประพฤติไม่น่าเคารพ  เพราะเขาสอนให้เรารู้ว่าคนเช่นนี้น่าเคารพ คนเช่นนี้ไม่น่าเคารพ เราจึงต้องรู้จักคำว่า “เคารพ”  อีกหนึ่งข้อ  สามคือคุณธรรมแห่งการเป็นคนคือ “ละอาย”  เกิดเป็นคนหากไม่รู้จักละอาย เราย่อมทำผิดอยู่วันยังค่ำ และไม่ยอมแก้ไขข้อผิดพลาดสักวันหนึ่ง   แล้วอีกข้อหนึ่งในคุณธรรมแห่งความเป็นคนคือ  “รู้จักผิดชอบชั่วดี”   หากเกิดเป็นคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ก็ยากที่จะเดินได้ถูกทาง เดี๋ยววันนี้ดี เดี๋ยววันนั้นร้าย  เดี๋ยววันนี้เป็นคนดี  เดี๋ยววันนั้นเป็นคนทำร้ายผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้จักคุณธรรม รู้จักศีลธรรมแล้ว  สามารถเป็นคนที่มีมนุษยธรรมได้ไหม
บุคคลที่รู้จักมีมนุษยธรรมคือ บุคคลที่รู้จักปฏิบัติได้ครบทั้งคุณธรรมและศีลธรรม  เมื่อเมตตาย่อมรักเขา  เมื่อเคารพย่อมไม่ทำร้ายเขา เมื่อรู้จักผิดชอบชั่วดีย่อมไม่กระทำผิดใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเคารพ เมื่อรักก็คือการรู้จักกตัญญู  รู้จักพี่น้องปรองดอง รู้จักซื่อสัตย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านตอบว่าใช่หมด แต่เมื่อถึงคราวจริงๆ ลืมหมดเลย เหมือนดาบที่ไม่เคยชักออกจากฝัก  พอจะชักก็ขึ้นสนิม พอชักออกมาก็ใช้ไม่เป็น  วันนี้เราสอนวิทยายุทธ์ในการใช้คุณธรรมในชีวิต  เรียนรู้ไปแล้วก็ต้องรู้จักกลยุทธ์ในการใช้ด้วย  บางครั้งเขาโกรธมา  เราต้องรู้จักใช้คุณธรรมข้อใดตอบ (อภัย)  เขาว่ามาเราต้องรู้จักตรวจสอบตนเองและให้อภัยเขา  เขาลักเล็กขโมยน้อยท่านต้องรู้จักชี้นำเขา การให้อภัยเขาอย่างเดียว  เขาจะไม่รู้ว่าที่เขาทำนั้นถูกหรือผิด   เขาเถียงท่าน ท่านต้องไม่เถียงตอบ เพราะแม้ท่านจะรู้ว่าเขาพูดผิด  แต่ถ้าเถียงตอนนั้นเขาฟังท่านรู้เรื่องไหม  (ไม่รู้)  เมื่อไรที่คนเกิดความขุ่น   เราต้องรอให้ความขุ่นจางหายไปเหมือนกับน้ำ  คนนั้นเวลาอารมณ์ร้อนก็เหมือนกับน้ำที่มีตะกอนอยู่ เราจะไปชี้ให้เขาเห็นว่านี่คือตะกอน นี่ไม่ดี เขาจะฟังท่านไหม (ไม่ฟัง) ต้องรอให้น้ำนิ่งๆ ก่อน เมื่อน้ำนิ่งค่อยชี้แจง นี่คือการรู้จักนำธรรมไปประยุกต์ใช้ในชีวิต และนำธรรมไปสัมพันธ์กับชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทำได้เช่นนี้ท่านจะรู้ว่าธรรมะนั้น มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง  ธรรมะทำให้ท่านได้มิตร  ธรรมะทำให้ท่านได้คนที่น่ารักที่สุด  และธรรมะยังทำให้ท่านเป็นคนที่น่ารักที่สุดใช่ไหม (ใช่) ไม่ใช่เป็นคนสามวันดีสี่วันไข้
คนเรียนธรรมไม่สู้คนรู้ธรรม  คนรู้ธรรมไม่สู้คนปฏิบัติธรรม  แต่คนปฏิบัติธรรมก็ไม่สู้คนเป็นธรรม  เมื่อสักครู่เราได้กล่าวไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า  ตอนแรกเราอาจจะรู้สึกว่าคุณธรรมนั้นอยู่คนละส่วนกับชีวิต แต่เมื่อไรที่เรารู้จักเอาธรรมมาใช้กับชีวิตอยู่ทุกๆ ขณะจิต  เมื่อใช้อยู่ทุกๆ ขณะเราจะรู้สึกว่าเรามีธรรม  เมื่อเริ่มมีธรรม ธรรมก็คือชีวิต  แต่คนเราเมื่อชีวิตคือธรรม ธรรมคือชีวิต มักจะหลงตัวเอง เหมือนคนที่เรียนหนังสือ ตอนแรกไม่รู้หนังสือ พอรู้หนังสือก็หลงในสิ่งที่ตนเองรู้ คิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง เป็นคนดี เป็นคนที่มีเกียรติ พอใครมาดูถูกเกียรติของตัวเอง ก็เสียเปล่าที่เรียนรู้มา ใช่หรือไม่ เฉกเช่นเดียวกัน เหมือนคนที่มีธรรม ตอนแรกธรรมสอนชีวิต พอต่อไปธรรมคู่ชีวิต พอต่อไปธรรมคือชีวิต พอต่อไปชีวิตกลับลืมใช้ธรรม ใช่หรือไม่  เพราะว่าธรรมนั้นทำให้ตัวเองหลง เหมือนคนที่นั่งสมาธิ ตอนแรกนั่งเพื่อไม่ให้เห็น พอเห็นแล้วติดในสิ่งที่เห็น พอติดในสิ่งที่เห็นแล้วปลงไม่ได้จึงเป็นอย่างไร หลงตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความน่ากลัวของมนุษย์  ฉะนั้นเราเวลาใช้ธรรมอย่าเพิ่งพูดไปถึงขั้นนั้นเลย ให้พูดถึงเรื่องใกล้ๆ ก่อนว่ามาเรียนธรรม ท่านยังไม่อยากจะมาเรียนใช่ไหม มีธรรมในชีวิตท่านยังไม่ค่อยยอมจะมี แล้วเรื่องธรรมคือชีวิต ชีวิตคือธรรมก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ท่านไม่มีทางเข้าใจแน่ เข้าใจได้แต่ในตำรา แต่เข้าใจแล้วเป็นชีวิตไหม ไม่มีใครเป็นสักคนหนึ่งใช่หรือเปล่า ตราบใดที่ยังไม่ตัดตัณหาของตัวเอง ความปรารถนาของตัวเอง เมื่อนั้นก็ยังไม่ได้มีชีวิตคือธรรม ธรรมคือชีวิตหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เป็นคนที่ไม่มีโมโหแล้วจะสบายใจ เป็นคนที่ไม่มีรักแล้วจะเป็นสุขใจ จริงหรือเปล่า ยังมีรักอยู่นะ ไม่รักคนอื่นก็รักตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อท่านรู้ว่าการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม การมีชีวิตและรู้จักนำมาสอนชีวิตจะทำให้ชีวิตมีความสุข  ทำให้ชีวิตรู้จักสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เกิดการแก่งแย่งชิงดี  แต่เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วต้องไม่ลืมข้อหนึ่งว่าชีวิตเกิดมาไม่ได้หาเพื่อตนเองอย่างเดียว แต่ชีวิตเราเกิดมาเรายังต้องรู้จักแบ่งปันการหาให้ผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะเกิดมาเป็นคนที่เห็นแก่ตนเองที่สุด ใช่หรือไม่ เราจึงต้องแบ่งปันเพื่อผู้อื่น เกิดมาจึงจะมีค่า ไม่ใช่มีค่าเพียงเพื่อบำรุงเลี้ยงตนเองเท่านั้น แต่ค่านี้จะเกิดเป็นคุณมหาศาลก็ต่อเมื่อเรารู้จักนำค่านี้แบ่งปันและเสียสละเพื่อผองชนด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเป็นคน เราสามารถเสียสละช่วยคนได้เช่นไรบ้าง (ช่วยเหลืองานของสังคม) จะทำอย่างไรจึงจะเรียกว่ามีชีวิตแล้วช่วยคนได้ มีชีวิตแล้วมีค่ามากกว่าที่จะเพื่อตนเองอย่างเดียว (ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก) มีเวลา มีโอกาส เห็นใครตกทุกข์ได้ยากก็ช่วยเหลือเขา แต่ถ้าเกิดว่าทั้งชีวิตช่วยเขาแค่หนึ่งวัน อย่างนี้จะเรียกว่าช่วยเขาไหม ช่วยแท้จริงไหม (ทำตัวให้เป็นแบบอย่างและชี้แนะในสิ่งที่ถูกต้อง)  บางครั้งไม่ต้องช่วย แต่สอนโดยไม่พูด กระทำโดยตัวเองเป็นผู้สร้างแบบอย่าง  นั่นก็คือทำตัวเองให้เป็นแบบอย่าง     การสอน
โดยที่ไม่ต้องพูดนั้นก็คือตัวเรานั้นเริ่มปฏิบัติก่อน ตัวเรานั้นเรียกร้องตัวเองก่อน 
ทำไมเราจึงบอกว่าการบำเพ็ญธรรม หรือการยังไม่คิดบำเพ็ญธรรมนั้นเมื่อยามมีชีวิตอยู่มนุษย์ไม่รู้จักคำว่า “รู้พอรู้หยุด” ย่อมเป็นอันตราย เพราะว่าปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ แม้กระทั่งพุทธองค์เคยตรัสไว้คำหนึ่งว่า “ผู้ใดที่ติดในรูป ผู้นั้นคือเดินหนทางผิด”  ผู้ใดติดในวัตถุ ติดในรูป ผู้นั้นคือผู้ที่เดินทางผิด     ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้มนุษย์เรานับถือพุทธศาสนาแล้วก็เดินทางผิดกันด้วย ใช่หรือไม่ เพราะไม่มีใครในที่นี้ไม่ติดในรูปเลยสักคน ไม่ติดในรูป สิ่งของ ก็ติดในรูปที่เป็นตัวของตนเอง ไม่ติดในรูปของผู้อื่นก็ติดในรูปลักษณ์ของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใดที่ติดในรูปเมื่อนั้นคือเดินทางผิดแห่งชีวิต เมื่อใดที่เห็นรูปเป็นมายา เห็นรูปไม่เที่ยงแท้เมื่อนั้นจึงเห็นพุทธะ เมื่อใดที่รู้จักหยุดเมื่อนั้นย่อมไม่เป็นอันตราย เมื่อใดที่รู้จักพอในชีวิตเมื่อนั้นย่อมเป็นสุข  แต่ถ้าตราบใดไม่รู้จักหยุด ตราบใดไม่รู้จักพอ ตราบใดยังติดในรูป ตราบนั้นย่อมเป็นทุกข์และหลงทางอยู่ในโลก เมื่อไรที่เรายังติดในโลก ติดในรูป ติดในนาม รูปนามล้วนไม่เที่ยงมีเกิด  มีดับ หากเราติดในชีวิตจนเกินไป หลงใหลในชีวิตจนเกินไป ชีวิตของตนเองก็ต้องมีเกิดมีดับเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเป็นการไม่ถูกต้อง ละครแห่งชีวิตเมื่อเริ่มต้นก็ย่อมมีวันจบ แต่จะจบแบบเพ้อฝันหรือจบแบบงดงามกันแน่ ขึ้นอยู่นับจากนี้ไปท่านจะเลือกทางใดให้กับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ละครเริ่มละครจบไม่ผูกพัน จะหลงกันไปไยท่านเมธา”
มนุษย์เราไม่หลงในทรัพย์สิน ชื่อเสียง ก็หลงในรัก โลภ โกรธ หลง ไม่หลงในรัก โลภ โกรธ หลง ก็หลงในตัวตนเอง  ไม่หลงในตนเองก็หลงในผู้อื่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วจะหลงกันไปถึงไหน เมื่อไรจะยอมตื่น ชีวิตนี้หากตื่นขึ้นเราจะค้นพบความเป็นจริง และรู้ว่าค่าของชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่เงินทอง แต่ยังมีอีกค่าหนึ่งคือการบำเพ็ญตนเพื่อกลับคืนฝั่งธรรม บำเพ็ญตนเพื่อไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์สุขในโลกนี้อีกต่อไป เมื่อคิดจะขึ้นเรือแล้วขอให้เข้าใจให้ถูกต้อง เมื่อเรือออกไปแล้วอย่าได้ลงข้างทาง มิฉะนั้นจะเสียเปล่าที่ได้รู้จักการบำเพ็ญธรรม  ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อคิดจะขึ้นเรือ เมื่อคิดจะบำเพ็ญธรรม ขอให้มองให้เข้าใจ ศึกษาให้ถ่องแท้   เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้   แม้เรือจะเดินทางไปไกลก็จะไม่ยอมลงเรือเลย  เข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้ว รู้ค่าแห่งชีวิตที่ดีงามแล้วใช่ไหม (ใช่) 
“กองกิเลสผูกวันเดือนปีสะสม”
จะสะสมไปทำไมกิเลสตัณหา อยากได้หนึ่งอย่างพอสมปรารถนาแล้วก็ยังอยากมีอีกหนึ่งอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีสุขแล้วเคยอิ่มสุขไหม (ไม่อิ่ม)  การแสวงหาในโลกนี้ก็เหมือนกินข้าว กินแล้วไม่รู้จักอิ่ม อิ่มแล้วก็ไม่รู้จักพอ บางครั้งพอแล้วก็ไม่รู้จักตัวเอง แล้วก็ไม่รู้จักช่วยผู้อื่นใช่ไหม (ใช่)  หรือท่านพูดว่าพอแล้วไม่รู้จักอิ่ม เหมือนกินแล้วกินอีกไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น แสวงหาเวียนว่ายในทุกข์สุข ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักหย่อน เบื่อบ้างไหม (เบื่อ)  เพราะเราเบื่อ เพราะเราเห็นความเป็นจริง เราจึงพยายามค้นพบ แต่ท่านไม่เบื่อแท้จริง ท่านจะไม่มีวันค้นพบชีวิต ชีวิตที่เหนือกว่าชีวิต ชีวิตที่มีค่ายิ่งชีวิต ใช่หรือเปล่า  (ใช่) 
“บางทีคนกลางกลับสร้างปัญหา”
บางครั้งเวลาเราไปช่วยใคร เคยไหมที่จะช่วยดีๆ แต่กลายเป็นคนที่ทำให้ปัญหายิ่งเกิดไวขึ้น บางครั้งคิดจะไปช่วยไกล่เกลี่ยเขา กลับกลายเป็นคนที่ทำให้เขาเกิดปัญหามากยิ่งขึ้น นั่นแปลว่าก่อนที่เราจะยื่นมือไปนั้นเราต้องเข้าใจสภาวะเริ่มต้น สภาวะจบท้าย และเหตุที่ทำให้เกิด เมื่อเข้าใจสภาวะเริ่มต้น จบท้ายและเหตุที่เกิด ยังต้องเข้าใจตัวคนและตัวคนอีกคนหนึ่งด้วย ใช่หรือไม่  เมื่อเข้าใจสภาวะ เข้าใจตัวคนรอบข้างแล้วก็ต้องเข้าใจตนเองด้วยว่าไปทำแบบใด ถึงจะทำให้สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี ไม่ใช่จากร้ายกลายเป็นร้ายยิ่งขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือเราอย่าเป็นคนที่ยื่นมือไปช่วยแล้วกลับกลายเป็นยิ่งดึงให้เรื่องยิ่งเกิดขึ้น  เช่นนั้นไม่ถูกต้อง
หากท่านฟังเรามาจนถึงตอนนี้ยังมีจิตใจที่หลงในรัก โลภ โกรธ หลง ยังยึดติดในโลกภายนอกอยู่  ยังไม่คิดที่จะมีใจมาศึกษาบำเพ็ญธรรม  ก็เท่ากับยังติดอยู่ในวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  ทุกข์สุขไม่หยุดสิ้น  เมื่อเรายังติดอยู่ในวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิด  เมื่อนั้นก็เท่ากับอยู่ไกลห่างฟ้า  ไม่ได้ใกล้ชิดฟ้า  และไม่มีวันได้กลับฟ้า ใช่ไหม (ใช่)  เกิดเป็นคนทั้งทีอยากขึ้นฟ้าหรือลงดิน อยากขึ้นฟ้าใช่ไหม (ใช่) ไม่มีใครอยากกลับสู่ดิน  จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนต้องกลับสู่ดิน แต่ใจนี้ต้องคืนสู่ฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ขอให้นำสิ่งที่เราพูดวันนี้  เอาไปคิดพิจารณาดูว่าเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ขอให้ใช้ปัญญาของท่าน  ปัญญาอันเฉลียวฉลาด  ปัญญาอันแก่กล้านี้ ไปคิดพิจารณาดูว่าการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องไกลชีวิต  ไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือชีวิต  แต่ถ้ามนุษย์เราสามารถบำเพ็ญได้  มนุษย์เราจะเป็นผู้ที่รู้จักค่าแห่งชีวิต และนำพาชีวิตได้ถูกหนทาง
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “หากความปรารถนาอยู่เหนือกว่าความถูกต้อง  ท่านจะกลายเป็นคนที่หยาบกระด้างมุทะลุ  แต่ถ้าเมื่อใดความถูกต้องอยู่เหนือความปรารถนา ท่านจะเป็นผู้ที่สุขุม ละเอียดอ่อน”  แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์เราบำเพ็ญตนอยู่ในสังคม สามารถทำความถูกต้องและความปรารถนาให้กลมกลืนสอดคล้อง นั่นคือคนที่ปฏิบัติบำเพ็ญได้ดีเมื่อมีชีวิต  หวังว่าท่านคงเป็นคนที่สามารถฟังธรรมไปแล้วเข้าใจเรื่องความถูกต้องและความปรารถนาของชีวิต  แล้วนำไปใช้ในชีวิตได้อย่างดีงาม นับจากวันนี้ไปจิตใจของท่านไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้  มีแต่ตัวท่านเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี  และมีแต่ตัวท่านเองที่จะรู้จักรักษาดีหรือไม่รักษาดี
วันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กันเท่านี้  ขอให้เป็นวันที่ผ่านไปอย่างมีค่า  และได้อะไรกลับไปบ้าง คนเราเกิดมาล้วนต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิต  แต่เมื่อเลือกแล้วขอให้เข้าใจ มุ่งมั่น ก้าวเดินไปอย่างไม่ย่อท้อ  หากยังไม่เลือกขอให้ศึกษาทำความเข้าใจให้ดี  ไม่เช่นนั้นเดินไปแล้วก็จะล้มได้ เดินไปแล้วก็จะ   หวั่นไหวได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เวลาของเราก็คงหมดเท่านี้  ผู้บำเพ็ญธรรมทุกๆ คนจิตใจอ่อนล้ากันไปบ้างหรือเปล่า  เกียจคร้านกันบ้างไหม  คุณธรรมได้นำมาฝึกปรือกันบ้างหรือเปล่า เห็นคนตกทุกข์ได้ยากเคยคิดจะไปช่วยจริงๆ หรือไม่ หรือว่ามัวแต่เห็นทุกข์ของตัวเองจนลืมทุกข์ของประชา  เช่นนี้ยังไม่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมฝึกฝนเป็นพุทธะ  เมื่อไรที่เห็นทุกข์ของตัวเองเมื่อนั้นต้องอย่าลืมทุกข์ของประชา   เมื่อใดที่ตัวเองมีสุขเมื่อนั้นประชาต้องมีสุขด้วย ถึงจะเรียกว่าจิตใจอันกว้างใหญ่ จิตใจอันงดงาม  แต่ถ้าเกิดว่าเห็นตัวเองมีสุข  คนอื่นเป็นทุกข์ช่างปะไร  อย่างนี้เรียกว่าคนใจคับแคบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตัวเองมีเวลาว่าง มัวแต่คำนึงถึงแต่ตนเอง  ไม่เคยเสียสละช่วยผู้อื่น  เช่นนี้เรียกว่าเกิดมาแล้วมีประโยชน์แค่ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อมีเวลาแล้วรู้จักเอาเวลาไปช่วยคนอื่น รู้จักเอาคำพูดที่ดีไปปลุกปลอบใจเขาให้ตื่นจากความฝัน  ตื่นจากความทุกข์อันไม่เที่ยงแท้นี้  นั่นแหละเรียกว่าการก้าวเดินอย่างพุทธะ  ไม่ใช่เรื่องยากเลย แม้ไม่มีเงินก็ช่วยด้วยคำพูด  แม้ไร้คำพูดก็ช่วยด้วยกำลังกาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก  ขอให้ทุกท่านลองหันมามองสักนิดหนึ่ง แล้วลองสละเวลาช่วย    คนอื่นให้เต็มที่   เมื่อตายไปหรือหมดสิ้นกายนี้ไป       ท่านจะได้ไม่ต้องร้องเรียก
พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย ตายไปก็ตายไปอย่างมีค่า มีเกียรติ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ขอให้ท่านในที่นี้เป็นคนที่เกิดมาแล้วมีคุณค่า มีเกียรติ มีศักดิ์ มีศรีในความดีงาม  และการเป็นผู้บำเพ็ญตน  อย่าได้เหนื่อยล้าในการทำความดี       ไปละนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้านำธรรมใช้กับชีวิตได้พอดี ดั่งฝนที่ตกต้องตามฤดูกาล
ชีวิตหนึ่งเพียงฝันดั่งทางผ่าน ให้คิดอ่านรู้จักใช้ให้เกิดคุณ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานอาหารอิ่มหรือเปล่า

ผ่อนจิตคลายไม่คลายความตั้งใจ คนแก้ไขทำสิ่งใดวินัยเคร่ง
ควบคุมความคิดใดไม่ยำเกรง รักษานั้นสิ่งได้เปล่งเป็นวาจา
ได้โปรดเข้าใจคนอื่นด้วยหัวใจ ในยามใจมีคลื่นเป็นภาษา
บัดนี้เหลือสักกี่คนรักษา ทางที่เลือกอย่างกล้าทุกนาที
อคติมักที่ชังนานยิ่งหนัก เมื่อมีรักย่อมมีทุกข์ฉะนี้
ใช้พลังบริสุทธิ์สัมฤทธิ์ผลอันดี หนึ่งชีวีโดยรวมชนะหรือปราชัย
ไม่สิ้นเองเตือนใจใครละเลย เพิ่มกังวลเคยสิ้นสุดผุดใหม่
ลำเอียงจิตอดทนเคยจะทนไม่ บำเพ็ญให้กิเลสสิ้นปราบทุกวัน
ศิษย์รักเอยอาจารย์มาในวันนี้ ในใจมีเพียงคิดปลุกเจ้าตื่นจากฝัน
ใช้ปัญญาจากภายในมาผลักดัน ใช้จริยาปฏิบัตินั้นบำเพ็ญธรรม
ใช้วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มต้น ไม่เวียนวนติดอยู่ในกระแสน้ำ
ให้พาเรือแล่นออกไปทั้งลำ แม้อุปสรรคกระหน่ำไม่ท้อรา

ฮา  ฮา  หยุด
ใส่ใจขวนขวายบำเพ็ญ  จิตเย็นเหมือนแสงจันทรา  ค่ำคืนฟ้าใสคืนมา เมฆพาหายมิบังจันทร์
ยากเย็นเห็นผลทำจริง  ติติงหลงใหลฟังกัน  ไม่กลัวแม้หนทางชันฝ่าฟันนั้นใช้เวลา
* เหมือนนกโบยบิน ด้วยใจเสรีธรรมชาติ ปล่อยใจหลง    ผืนดินประมาท  พลาดพลั้งเป็นเหมือนนกในกรง
สิ่งดีเล็กน้อยพึงทำ  ก่อกรรมมิแวะทำลง  จากใจสำนึกโดยตรงหยุดลง ณ ฟ้าแดนเดิม  (ซ้ำ * )


ทำนองเพลง : ระบำธรรมชาติ
ชื่อเพลง : ค่ำคืนฟ้าใสคืนมา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่อครู่เต้นเพลงพายเรือใช่ไหม (ใช่)  โลกนี้เปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกวันนี้มีความทุกข์มากกว่าความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความทุกข์มีอยู่มากมาย  สถานธรรมเปรียบเสมือนเรือลำหนึ่ง ล่องลอยอยู่กลางทะเลทุกข์  เมื่อขึ้นเรือมาแล้ว  ต้องเอาความทุกข์ทิ้งไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังมีจิตที่สงสัยและกินแหนงแคลงใจให้ทุกข์ใจทำไม  สามวันนี้มาฟังธรรมะ  ขอให้มาฟังอย่างคนที่ตั้งใจฟัง  ขอให้ฟังอย่างคนที่รู้ที่จะศึกษา มีสิ่งใดแปลกใหม่ มีสิ่งใดมากมายที่ให้เรามอง ให้เราเห็น  แต่เราต้องมองในสิ่งที่ดีด้วย  เรียกว่าต้องรู้จักมอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  และเวลาฟังก็ต้องรู้จักฟังด้วย  ถ้าหากฟังเข้าหูซ้ายไปทะลุหูขวาเรียกว่ารู้จักฟังไหม (ไม่รู้)  ถ้าหากว่าฟังแล้วปฏิบัติไม่ได้ ก็เรียกว่าไม่ได้ฟังเหมือนกัน  สถานธรรมนี้ เรือธรรมะนี้เมื่อต้องอยู่กลางทะเลทุกข์ ก็ต้องการคนที่จะมาขึ้นเรือลำนี้เหมือนกัน  ศิษย์ของอาจารย์ขึ้นมาบนเรือ  ถ้าตั้งใจพายเรือลำนี้ย่อมแล่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเรือไม่มีคน จะแล่นไหม (ไม่แล่น)  เพราะฉะนั้นพวกเราสำคัญไหม (สำคัญ)   แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากจะช่วยคน แต่ถ้าหากว่าคนไม่ยอมขึ้นเรือ เรือธรรมลำนี้มีค่าไหม (ไม่มี)  การที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะโปรดช่วยคนนั้นเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นทุกคนสำคัญหรือไม่ (สำคัญ)  ตลอดมาเคยเห็นตัวเราเองสำคัญหรือไม่  สำคัญแค่ไหน  สำคัญสิบเปอร์เซ็นต์ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ หรือว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ (แปดสิบเปอร์เซ็นต์)  คนที่มีความมั่นใจมากในที่นี้มีอยู่ไม่กี่คน  แต่ว่ามีความมั่นใจมากก็ไม่เห็นถึงร้อยเปอร์เซ็นต์สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสามารถนำความสามารถของเราออกมาใช้ได้ทั้งหมดนั้นก็เรียกว่าใช้ได้ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ย่อมมีคุณค่า ย่อมสร้างคุณค่าที่เป็นคุณค่าอย่างแท้จริงได้เสมอ  แต่ก่อนอื่นต้องรู้จักมองตนเองให้สำคัญก่อน แต่ไม่ใช่สำคัญตนผิด 
อาจารย์รู้มาว่าเมื่อวานนี้เงียบๆ เฉยๆ กันเป็นส่วนใหญ่  แล้ววันนี้จะเงียบๆ เฉยๆ เหมือนเมื่อวานไหม (ไม่)  ถ้าอาจารย์ถามอะไรตอบหน่อย ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าอาจารย์เดินผ่าน ศิษย์ยิ้มให้อาจารย์หน่อย ดีหรือไม่ (ดี)  ยิ้มของเรานั้นเป็นยิ้มที่มีค่า ใช่ไหม (ใช่)  ถึงไม่ค่อยอยากจะยิ้มกับใคร ใช่ไหม  แต่ยิ้มของเราที่ยิ้มออกมานั้นไม่เสียเงิน  เราไม่ต้องไปเสียเงินซื้อมา  อย่างนั้นเราก็ยิ้มบ่อยๆ ให้หน้าของเราสดชื่นขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)  ในครั้งนี้นักเรียนยิ่งน้อย ยิ่งต้องทำตัวเองให้มีบรรยากาศธรรม ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ตัวเรามีบรรยากาศธรรมได้อย่างไร  ธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ทุกๆ ที่) ธรรมะก็อยู่ทุกๆ ที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าธรรมะอยู่ที่ไหน แต่ธรรมะอยู่ทุกๆ ที่ แสดงว่าใจเราก็มีธรรมะ  รอยยิ้มของเราก็มีธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะทำให้บรรยากาศธรรมเกิดขึ้นได้ก็ต้องรวบรวมสิ่งที่เป็นธรรมะที่อยู่รอบตัวเรา ภายในตัวเราให้ประสานกลมกลืนให้สามารถเป็นบรรยากาศธรรมได้  หากเราไม่สามารถรวบรวมพลังภายนอกและภายในให้เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเกิดพลังแห่งธรรมะ ถูกหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นมาที่นี่ สองหรือสามวันนี้ต้องทำให้ตัวเองดูสดชื่น ถ้าหากว่าใครไม่แข็งแรงมาที่นี่ก็ต้องแข็งแรง ใครมาสถานธรรมแล้วไม่ดึงใจมาด้วย ก็รีบๆ ไปดึงใจกลับมา ดีหรือไม่ (ดี)  มาช่วยงานสถานธรรม ถ้าไม่มีใจมาด้วย หากมาแต่ตัวไม่เอาใจมาก็ไม่มีกุศล 
(พระอาจารย์ เมตตาให้ร่วมกันร้องเพลงพายเรือ  ทำนองเพลง  “เซี่ยวเซิ่งโจ่วอี้หุย”) 
พายเรืออีกสักรอบจะได้ไกลขึ้น  เมื่อจะพายเรือมือของทุกคนต้องรู้จักพาย ไม่ใช่วางไว้ข้างตัวเฉยๆ  ถ้าเราไม่พาย ให้คนอื่นพายก็กินแรง อยากกินแรงคนอื่นไหม (ไม่อยาก)  ไม่อยากกินต้องออกแรงด้วยใช่หรือไม่
อาจารย์ภาวนาว่าให้ศิษย์บำเพ็ญรู้จริง ศิษย์อยากบำเพ็ญธรรมหรือไม่ (อยาก)  จะบำเพ็ญธรรมะทำอย่างไรบ้าง  (ช่วยผู้อื่น, ทำจิตใจให้ว่างเปล่า, เสียสละตน, เริ่มต้นที่การสละเงินทอง)  ใครที่ตอบเมื่อสักครู่ยืนก่อน คนที่ไม่ได้ตอบให้นั่งลง สังเกตว่าคนที่ยืนยังน้อยกว่าคนที่นั่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เรามาสถานธรรมก็เพื่อต้องการศึกษาธรรมเพื่อที่จะปฏิบัติธรรม คนที่รวดเร็วนี้ก็เปรียบเสมือนคนที่รักษาโอกาสของตัวเอง  ถ้าหากว่ามีโอกาสมาก็ให้มาบ้าง เมื่อควรตอบก็ควรจะรีบตอบ เพราะหากเรามัวแต่คิดโน่นคิดนี่  ถามว่าเรามีโอกาสได้แอปเปิ้ลหนึ่งลูกนี้ไหม (ไม่มี)  คนที่รู้จักรักษาโอกาสเมื่อมีโอกาสตอบ ก็ให้รีบตอบ คนที่หมดโอกาสก็คือคนที่เมื่ออาจารย์กลับไปแล้วยังไม่มีแอปเปิ้ลในมือสักใบ  อยากจะรู้ว่าวันนี้มานั่งตรงนี้จะมีกี่คนที่ไม่ได้แอปเปิ้ลไปสักใบหนึ่ง  เดี๋ยวอาจารย์กลับไปแล้วก็ดูว่าศิษย์ของอาจารย์คนไหนที่ไม่ได้  แอปเปิ้ลเลย  ถ้าหากว่าเรามัวช้าอย่างนี้ เราจะได้มรรคผลไหม (ไม่ได้)  ต่อให้วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ตอบว่าจะบำเพ็ญอาจารย์ก็ไม่เชื่อว่าศิษย์สามารถบำเพ็ญได้ เพราะว่าเราไม่กล้าทำสิ่งที่ถูกต้อง  
มีปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่ามีคน๓ประเภท  
คนแรกเมื่อได้ฟังธรรมะแล้ว หัวเราะเยาะ เพราะคิดว่าธรรมะเป็นของปลอม คิดว่าไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ ก็คือคนที่ไม่เชื่อ  
คนประเภทที่สอง คือคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เหมือนถามศิษย์เรื่องกฎแห่งกรรมว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อไหม (เชื่อ)  บางคนบอกว่าไม่ค่อยแน่ใจ ผีมีจริงไหม เทวดามีจริงไหม ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มีคนประเภทนี้อยู่เต็มไปหมดเลยใช่ไหม (ใช่)  
คนประเภทที่สาม  พอได้ฟังธรรมะไม่ได้คิดถึงเรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อแต่นำมาศึกษาและปฏิบัติ  สามประเภทนี้พิจารณาว่าตัวเราเป็นคนประเภทไหน  เวลาจะพิสูจน์เราเอง มนุษย์นั้นมีความคิดเป็นของตนเองมาก และเชื่อความคิดของตนเองมาก ไม่เชื่อความคิดของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสามวันนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์ปลดความคิดนี้ทิ้ง ทำใจให้สบาย มองทุกสิ่งอย่างสวยงาม แล้วเราจะเจออีกแง่มุมหนึ่งที่เราไม่เคยพบเลย  อยากจะเจอไหม  (อยาก)  เหมือนกับเมื่อเห็นหินก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเป็นสีขาวหม่นๆ คนที่ปักใจเชื่อว่าหินเป็นสีขาวก็เห็นสีขาว คนที่ปักใจเชื่อว่าหินเป็นสีขาวหม่นๆ ก็ต้องเป็นสีขาวหม่นๆ ใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ปักใจเชื่อในความคิดของตัวเองมากเกินไป อาจจะเจอสีที่สามก็ได้ เป็นสีอะไร (ดำ, ขาว, เทา)  ลองดูนะ  ลองไม่ปักใจเชื่อในความคิดของตัวเองดู  อาจจะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นก็ได้ใช่ไหม ( ใช่)
“ในยามใจมีคลื่นเป็นภาษา”
คำว่าในยามใจมีคลื่นเป็นภาษา หมายความว่าใจของเราควรที่จะเป็นใจที่สงบใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเปรียบใจเหมือนทะเล ทะเลอันนี้ก็ไม่ควรจะมีคลื่นใดๆ  คลื่นนั้นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจ ทำให้จิตใจเรานั้นไม่สามารถสงบนิ่งได้  เมื่อไม่สงบความวุ่นวายต่างๆ จะตามมา เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์บอกว่าบำเพ็ญธรรมนั้นต้องอยู่ในที่ที่สงบใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  มาวันนี้ต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ  อย่ามัวแต่มองอาจารย์เดินมาเดินไป  ขอให้มองว่าตัวเองนั้นจะรู้เรื่องไหม  
เมื่อใจเราเป็นทะเลต้องเป็นทะเลที่สงบใช่หรือไม่ (ใช่)  ทะเลในยามนี้ไม่มีคลื่นเมื่อใจสงบนิ่ง  ถ้าหากว่าใจไม่สงบนิ่งแม้ภายนอกจะสงบแต่เราย่อมยากจะเห็นได้ถึงความสงบ  ฉะนั้นการที่เราบำเพ็ญตนนั้นต้องปลีกตัวเองไปที่วิเวก ไปที่อันสงบถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูกต้อง)  ถ้าหากว่าเราศึกษาเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในที่ไม่สงบก็ย่อมได้รับความสงบใช่หรือไม่  ในขณะที่ศิษย์นั้นอยู่ในโลกอันวุ่นวาย มีทั้งลูก สามี ภรรยา และภาระหนี้สินต่างๆ เต็มไปหมด  ในยามนี้เรียกว่าอยู่ในโลกอันวุ่นวายไหม (วุ่นวาย) แล้วศิษย์อยู่ในโลกใบนี้หรือไม่  อยากจะสิ้นชีวิตไปเสียเดี๋ยวนี้ตอนนี้ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นในความวุ่นวายตอนนี้อะไรต้องสงบ (ใจ)  เมื่อใจเราสงบ ถามว่าเรานั้นได้รับความสงบอย่างแท้จริงไหม (จริง)  อันนี้จึงแท้จริงยิ่งกว่าการที่เรานั้นได้ออกไปปลีกวิเวกเสียอีก   ในปัจจุบันนี้บอกว่าให้ศิษย์นั้นละทิ้งทุกอย่างเลย ออกไปบำเพ็ญตัวเอง เข้าป่าเขาไปเพื่อจะได้บรรลุนิพพานทำได้ไหม (ไม่ได้) แล้วทุกคนถ้าจะขึ้นไปเบื้องบน  ต้องทำอย่างไรถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่สามารถจะละทิ้งเรื่องทางโลกทั้งหมดออกเพื่อไปบวชได้ ทำอย่างไรถึงจะให้ศิษย์บรรลุนิพพาน  (ปล่อยวาง, เผื่อแผ่จิตเมตตาให้ทุกคน, ต้องมีธรรมลงมาโปรด)  ถ้าหากว่าในยามนี้ที่โลกวุ่นวายแล้วศิษย์เองไม่สามารถหนีออกไปได้จะทำอย่างไร ถ้าศิษย์อยากบรรลุนิพพานเบื้องบนต้องลงมาโปรด เพราะว่าโลกในอนาคตนี้จะวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ   ไม่มีทางว่าจะสงบขึ้นเรื่อย ๆ  ในเมื่อจิตใจคนไม่มีคุณธรรม เพราะฉะนั้นเบื้องบนก็ต้องส่งธรรมลงมาเพื่อช่วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะที่ศิษย์เจออยู่นี้ก็คือธรรมะที่เบื้องบนนั้นส่งลงมาช่วย เป็นการช่วยเพียงชั่วคราว เรื่องการช่วยนี้ดีไหม  ทำไมเบื้องบนต้องส่งพระอาจารย์ลงมาช่วยด้วย  เป็นเพราะว่าเบื้องบนต้องการช่วยเวไนย ก็คือผู้ที่ยังไม่รู้ตื่นทั้งหมดเลย แล้วทำไมเวลาเจอหน้าอาจารย์จึงทำหน้าเฉย ๆ ไม่เคยยิ้มให้อาจารย์เลย แค่ยิ้มง่ายๆ ก็ยังทำไม่ได้ เพราะมีจิตใจที่ชักเข้าชักออก  อาจารย์มองศิษย์ที่นั่งอยู่ทั้งหมด มองแล้วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะว่าใจศิษย์นั้นยังไม่นิ่ง เดิมทีเราอยู่ข้างนอก โลกนั้นวุ่นวาย แต่เมื่อตอนนี้เรามาสถานธรรมก็ต้องสำรวมใจของเราให้นิ่งเข้าไว้  ตอนนี้ใจของศิษย์ก็เหมือนกับสิ่งที่อาจารย์พูดไว้ว่ามีคลื่นเป็นภาษา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ออกมาในแววตาของศิษย์นั้นก็มีแต่สิ่งที่พูดลำบากทั้งนั้นเลย  ในวันนี้คนแม้กระทั่งคนเก่าก็ยังเป็นไปด้วยเลย เพราะฉะนั้นให้เรามีจิตใจที่สงบ เข้าใจอาจารย์ ดีไหม (ดี)  อาจารย์ผู้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศิษย์ยังเข้าใจได้  คนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักก็ต้องสามารถเข้าใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่) 
“บัดนี้เหลือสักกี่คนรักษา ทางที่เลือกอย่างกล้าทุกนาที”
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี่เป็นวันที่สอง เมื่อเรานั้นบำเพ็ญธรรมจะรู้ว่าเมื่อพบอุปสรรคนั้นเราจะกล้าที่จะรักษาทางที่เราเลือกนี้ มีกี่คนที่รักษาได้ทุกนาที ทุกเวลาไม่เคยท้อไป หายากไหม (ยาก) แล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นรักษาได้ไหม ถ้าหากว่าคนทั้งหมดนี่สามารถทำได้ อาจารย์ก็บอกว่าเป็นเรื่องง่าย แล้วถ้าศิษย์ทั้งหมดนี่บอกว่าเป็นเรื่องยากก็คงจะเป็นเรื่องยากจริงๆ 
ท่ามกลางความวุ่นวาย ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ นานา ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญตนเราต้องฝ่าอะไรบ้าง แรงกรรมมีไหม (มี)  วิบากกรรมมีไหม (มี)  คนอื่นไม่ชอบตัวเรามีไหม (มี)  คนอื่นชอบเรามากเลยมีไหม (มี)  ล้วนเป็นอุปสรรคใช่หรือไม่  ต่อให้เขาดีกับเรามากๆ เราจะติดในคำสรรเสริญเยินยอได้หรือไม่ (ไม่ได้)  อาจารย์จะบอกให้ว่าใจของศิษย์ตอนนี้แม้ยังไม่ถึงกับเรียกว่าสงสัยแต่ยังไม่ถึงกับเรียกว่าศรัทธา ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี  
ความสดชื่นต้องออกมาที่การกระทำ  ถ้าอยากให้บรรยากาศธรรมขึ้น ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องมีใจขึ้นก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการกระทำที่แสดงออกในยามนี้คือการปรบมือไปพร้อมกับร้องเพลง  เราต้องปรบมือด้วยเสียงเดียวและดังด้วยใช่หรือไม่  ทำไมต้องรออาจารย์ให้สัญญาณนับหนึ่งสองด้วย  เราต้องสื่อกันด้วยใจใช่หรือไม่  ศิษย์ปรบมือกันไปเรื่อย บำเพ็ญธรรมจะบำเพ็ญไปเรื่อยไม่ได้  ถ้าหากไปเรื่อยๆ ต่อจากอาจารย์อาจจะเป็นมารก็ได้ ถ้าหากเราไม่ระวังก็ไม่รู้  อยากถูกมารดึงไปไหม (ไม่อยาก)  อยากถูกอาจารย์ดึงไปไหม (อยาก)  ถ้าอยากถูกอาจารย์ดึงคืนไป ก็ต้องมีใจให้กับอาจารย์  อาจารย์พูดอะไรก็ควรที่จะฟัง  
อาจารย์บอกว่าจะมีบรรยากาศธรรมหรือไม่มองได้ที่คนข้างๆ เพราะว่าการร้องเพลงนั้นศิษย์ที่เป็นนักเรียนยังไม่ได้ร้องเลย  คนที่ร้องคือผู้ปฏิบัติงานธรรมที่อยู่ข้างๆ เพราะว่าเขาพาให้หัวใจของเรานั้นมีธรรมะ พาให้หัวใจเรานั้นสดชื่น  เราเองก็ต้องร้องตามด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะได้ร้องเป็น วันนี้ร้องไม่เป็น      วันหน้าก็จะร้องเป็น  การร้องเพลงนั้นก็ต้องใช้การฝึกฝน การบำเพ็ญธรรมก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน
“ลำเอียงจิตอดทนเคยจะทนไม่”
ใครที่มีจิตใจลำเอียง ลำเอียงอันเกิดจากความรัก ลำเอียงที่เกิดจากความเกลียด   จิตใจเช่นนี้จะไม่มีความสุขเลย  เมื่อเกิดความรักเขา เราก็รีบแสดงว่าเรารัก  เมื่อเกิดความเกลียดเขา เราก็รีบแสดงความเกลียด  จิตใจที่มีความลำเอียงดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ฉะนั้นเราก็อย่ามีจิตใจที่ลำเอียงเพราะจะทำให้ยิ่งบำเพ็ญยากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหัวใจเรามีแต่ความรักและความเกลียด  แม้ว่าเราจะปฏิเสธว่าเราไม่มี  แต่ในที่สุดแล้วก็จะแสดงออกมาโดยการกระทำ  การศึกษาธรรมะนั้นเป็นเรื่องสำคัญ  เราศึกษาเพื่อให้เรารู้  เมื่อรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติด้วย  การปฏิบัตินั้นต้องปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและสอดคล้องจึงเป็นการบำเพ็ญที่ดี  หากว่าเรานั้นศึกษามากมาย แต่ปฏิบัติไม่ได้แม้สักนิด
เดียวก็ไม่มีประโยชน์และไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม  หรือถ้ามีคนเรียกเราว่า
 ผู้ปฏิบัติธรรมก็ยังรู้สึกละอายใจเลย ใช่หรือไม่ 
“เป็นคนอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง”
มีใครเป็นไหม  เลือกที่รักมักที่ชังนั้นหมายความว่าเรารู้สึกว่าชอบข้างนี้ แล้วก็ไม่ชอบอีกข้างหนึ่ง เหมือนกับที่อาจารย์พูดว่าเป็นคนลำเอียง  
แม้ว่าเพลงธรรมะนั้นจะร้องง่าย  แต่เนื้อหาในทางธรรมนั้น เป็นสิ่งที่   เข้าใจยาก  การที่อาจารย์มาในวันนี้  ก็เพื่อให้ศิษย์นั้นได้รู้จักการบำเพ็ญธรรม  เพราะฉะนั้นเมื่อมาในคราวนี้จะไม่พูดอะไรเลยก็ใช่ที่  อาจารย์ก็พูดไปแล้วเล็กน้อย  คนไหนขี้เกียจฟังก็ทนฟังหน่อย  ธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การที่เราเกิดมาเป็นคน เวลาที่เราได้รับบาดเจ็บเราย่อมเจ็บปวดแน่นอน  เราเกิดมาไม่ได้เอาอะไรมา ตายไปก็ไม่เอาอะไรไป  ทุกวันนี้ต้องหาเงินทอง ต้องให้คำตอบตนเองว่าหาไปมากมายเพื่ออะไร  คนเราควรจะมีอย่างพอมีพอเหมาะพอสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์เกิดมาแล้วไม่อยากบำเพ็ญ แล้วสุดท้ายคิดว่าเราตายไปแล้ว เราจะไปไหน อย่าบอกว่ารับธรรมะแล้วเป็นศิษย์ของอาจารย์  ใครๆ ก็พูดถึงนิพพาน  แต่ไม่อาจถึงได้ถ้าหากว่าเราไม่บำเพ็ญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่คนถ้าหากเฝ้าทำความดีก็ย่อมจะขึ้นสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากทำความดีที่ยิ่งกว่าความดี  ทำบ่อยๆ ทำมากๆ ย่อมชักนำให้ศิษย์ของอาจารย์ขึ้นไปถึงแดนนิพพานได้  เบื่อไหมที่จะบำเพ็ญธรรม  อาจารย์พูดถึงการบำเพ็ญธรรม ต้องบำเพ็ญอย่างไร  บำเพ็ญอยู่บ้านถูกไหม ใช่ต้องออกไปตกระกำลำบากหรือไม่  บำเพ็ญคืออะไร  บำเพ็ญคือการขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันนี้อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการบำเพ็ญธรรมคือนิสัยของเราเอง ทุกๆ คนต่างมีนิสัยเป็นของตัวเอง โดยทั่วไปก็มีนิสัยดีกับนิสัยไม่ดี คนที่เขาเรียกว่านิสัยไม่ดีจะบำเพ็ญได้ราบรื่นไหม (ไม่)  อะไรเป็นอุปสรรคของเรา (นิสัย)  นิสัยของเราใครเป็นผู้ก่อ (ตัวเราเอง)  ตัวเราเป็นผู้ก่อนิสัย  บางคนชอบที่จะต้องเป็นแบบนี้ ไม่ชอบที่จะเป็นแบบนี้  การบำเพ็ญธรรมนั้น หากเลือกมากก็จะไม่ได้อะไรเลย  ฉะนั้นบางทีในยามที่เราอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย ต้องรู้จักหาความสงบให้กับตัวเอง  เมื่ออยู่ท่ามกลางความสงบแล้วเราต้องรักษาโอกาสทำในสิ่งที่ดียิ่งขึ้นกว่าตอนที่ทำไม่ได้เมื่ออยู่ในขณะที่วุ่นวาย  ที่เสียงลำโพงเป็นแบบนี้เราก็ต้องสงบใจด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อุปสรรคมีมากมายที่เรายังต้องฝ่าฟันต่อไป  หากว่าเรากลับออกไปแล้วเจอคนพูดว่าเรามาทำอะไรก็ไม่รู้ เราจะตอบอย่างไร  มีคนบอกอาจารย์ว่าเฉยๆ อาจารย์ว่าไม่รู้จะเฉยได้จริงหรือ  คนเดียวพูด สองคนพูด สามคนพูดเราก็เริ่มจะอ่อนไหวตาม   ก็มีโอกาสที่จะดึงใจที่เคยศรัทธาไป  การบำเพ็ญต้องรู้จักขัดเกลาจิตใจของเราเอง  มีสิ่งใดบ้างที่เราควรทำ  
เมื่อครู่ฟังหัวข้อกตัญญู กลับไปบ้านต้องรู้จักกตัญญู  ถ้าหากว่าฟังแล้วทำไม่ได้ ถือว่าฟังไหม (ไม่ได้ฟัง)  ถ้าหากว่าฟังไปแล้วไม่ทำคือไม่ฟัง แล้วอะไรอีกที่เราต้องไปทำ  มีเรื่องมากมายในโลกนี้ที่เรายังไม่ได้ทำ  ชีวิตหนึ่งเกิดมามีเวลาอยู่กี่วัน เราไม่มีทางรู้ว่าเรานั้นจะตายเมื่อไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจงทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด เหมือนคนที่ใกล้จะตาย หรือคนที่โอกาสจะหมดอยู่ตรงหน้าแล้วทำทุกอย่างจะทันหรือไม่  เคยได้ยินว่าต้นไม้ตอนใกล้ตายจะออกดอกออกผลไหม  เพราะเป็นพลังเฮือกสุดท้ายของเขาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากเราคิดว่าเราจะหมดโอกาสแล้ว ยิ่งอายุมากๆ อย่างนี้เราต้องรีบทำ  ไม่แน่ผลสุดท้ายของเรานั้นอาจจะเป็นผลที่งามที่สุด  
การบำเพ็ญธรรมะก็คือการเรียนรู้ธรรมชาติ  เรียนรู้ในสิ่งที่เรานั้นรู้อยู่แล้วนี่แหละ  อาจารย์ไม่ได้พูดอะไรที่พิสดาร  ทั้งยังไม่ให้ยึดติดกับรูปลักษณ์  อาจารย์ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  ขอเพียงศิษย์ทำให้ดี ในใจต้องรู้จักหัดตัดกิเลสของตัวเราเองให้มาก เวลาเราเห็นเสื้อผ้าสีสวยๆ เราอยากจะซื้อมาใส่ไหม (อยาก)  เวลาเราอยากมีบ้านสักหลัง เวลาเราเห็นบ้านนี้ถูกใจ เราอยากจะซื้อมาเป็นเจ้าของไหม (อยาก)  ความอยากนั้นก็เป็นกิเลส ถ้าเรามีมากเกินไป ก็ย่อมเป็นอุปสรรคของเรา ถูกหรือเปล่า (ถูก)  มีสิ่งใดในโลกที่ยั่งยืน  มีบ้านก็ถูกไฟไหม้ได้ มีเงินก็หมดได้  แล้วมีอะไรที่หมดไม่ได้ ธรรมะ ความดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นสิ่งที่ไม่หมดสิ้น  เพราะฉะนั้นขอให้เราสร้างความดีงาม เวลาเราเห็นคนจมน้ำแล้ว เราคิดจะลงไปช่วยทันที  หรือเราเห็นเด็กหกล้มแล้วเราก็อุ้มเขาทันที เช่นนี้เป็นเมตตาอันผุดผ่องที่แสดงออกมา ถามว่าเรามีความบริสุทธิ์ผุดผ่องของความเมตตากี่หนกันแน่  เราไม่มีจิตบริสุทธิ์อย่างนั้นทุกวัน  แต่อาจารย์หวังว่าศิษย์จะพยายามฟื้นฟูสิ่งที่เป็นความเมตตา เป็นคุณธรรมออกมา  คุณธรรมอยู่เหนือความสามารถ มีคุณธรรมดีกว่ามีความสามารถทั้งหมด  หวังว่าศิษย์นั้นจะเชื่อฟังอาจารย์
เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่งเราผู้เป็นศิษย์อาจารย์จะต้องจากกัน  อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นพยายามศึกษาธรรมะให้เข้าใจ ธรรมะเป็นของทุกคน อย่างที่อาจารย์บอกไว้แต่แรก  ถ้าหากว่าทุกคนมีธรรม เบื้องบนก็ไม่ต้องนำธรรมะลงมาอย่างนี้ แต่เบื้องบนไม่มีกายสังขารแล้วต้องอาศัยเจ้าทุกคนเป็นคนพายเรือ ต่างคนต่างธุระยุ่ง ต่างคนต่างไม่ว่าง แต่หากสละเวลากันคนละนิดย่อมสามารถทำสิ่งที่ดีกว่านี้ได้  คนไหนยังไม่กินเจอาจารย์ขอให้กำลังใจศิษย์ให้ทำได้สำเร็จ  เวลาเราจะเชือดไก่ ไก่ก็วิ่งหนีรอบบ้านใช่ไหม (ใช่)  หมูนั้นเวลาจับเขา เขาก็ร้องดังลั่น ใครจะยอมให้ชีวิตของตัวเองตายเพื่อเป็นอาหาร  เรารักชีวิตเรา ผู้อื่นก็รักชีวิตเขา เพราะฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะทำ ขอให้คิดให้ดีๆ 
การ  บำเพ็ญธรรมนั้นข้อแรกก็ต้องรู้จักที่จะปล่อยชีวิตทั้งหลายได้ไหม 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท "ถือความผิดพลาดเป็นครู")  
อาจารย์ก็หมายถึงครู แต่อาจารย์เป็นครูผู้ให้ธรรมะ  อาจารย์ไม่สามารถจะอยู่กับศิษย์ได้ตลอดเวลา อาจารย์อยากให้ศิษย์ถือความผิดพลาดเป็นครูได้ไหม  ความผิดครั้งแรกแก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ เหมือนเพลงที่ให้ไว้ว่า "นกซึ่งพลาดพลั้งก็เป็นเหมือนนกที่อยู่ในกรง" นั่นเป็นความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถจะแก้ได้ แต่อาจารย์ว่าความผิดพลาดของศิษย์นั้น ยังมีที่แก้ได้อีกมากมาย ให้รีบแก้ไข หันหลังคืนฝั่งธรรม แก้ไขในสิ่งผิดพลาดก็ย่อมจะได้สิ่งที่ดีกว่า คนที่รู้จักสำนึกก็เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้ คนที่ไม่รู้จักสำนึกก็ประสบความสำเร็จไม่ได้ เมื่อเอาความผิดพลาดเป็นครูย่อมมีโอกาสครั้งใหม่ที่ดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้ความผิดพลาดเป็นครูไหม (อยาก)  
หัวหน้าชั้น นักเรียนเท่านี้เราจะนำพาไหวไหม (ไหวครับ)  อาจารย์หวังว่าศิษย์นั้นทำได้ หวังว่าจะบำเพ็ญธรรม แม้ว่าวันนี้หลายๆ อย่างยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ แต่วันหลังจะเข้าใจได้มากกว่านี้
อายุน้อยๆ อย่าทำผิดพลาดบ่อย ให้เราแก้ไขปรับปรุงหันหน้าเข้าหาธรรมะ 
เมื่ออยากแก้ปัญหาให้ยอมรับความจริง แล้วปัญหาจะน้อยลงๆ ทุกวัน อย่าไปคิดว่าจะให้ปัญหาจบลงในเวลาอันสั้น ให้เวลากับปัญหาหน่อย ให้เวลากับใจของเรา  ศึกษาธรรมะให้มากๆ อย่าปล่อยให้โอกาสของเราผ่านไปเรื่อยๆ 
วันหลังถ้าอาจารย์กลับมาอีกหนหนึ่งจะได้เจอศิษย์ที่เป็นนักเรียนในชั้นนี้ไหม รู้ไหมว่าอาจารย์จะกลับมาอีกหนเมื่อไร  ในงานประชุมธรรมโดยมากอาจารย์นั้นมาบ่อยๆ อาจารย์อยากให้ศิษย์ที่ไม่มีเวลาจริงๆ  อย่างน้อยก็ปลีกเวลามาศึกษาในงานประชุมธรรม  แต่ไม่ใช่มาเฉพาะงานประชุมธรรม ทุกครั้งก็ไม่ว่าง ทุกครั้งก็ไม่มีเวลา แล้วถามว่าเวลาที่เราไม่มีลมหายใจแล้ว เราต้องไม่มีเวลาหรือเปล่า อาจารย์นั้นกลัวใจศิษย์ทุกคน รู้ไหมว่าคนเราเกิดมาต้องตายทุกคน แล้วก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าคนเรานั้นต้องตายเมื่อไร แล้วศิษย์ของอาจารย์มีใครรู้รักษาโอกาสของตัวเอง รักษาเวลาของตัวเอง คนเรามีอายุร้อยปี คิดว่าเยอะหรือ อายุหกสิบก็บ่นป่วยแล้ว เจ็ดสิบก็เดินไม่ไหวแล้ว  มีกุศลมากมายที่รอเราเป็นคนสร้าง ถึงเวลาแก่ปานนั้นค่อยมาศึกษาบำเพ็ญธรรมจะไหวหรือ  ถ้าหากว่าในยามที่เราเป็นหนุ่มสาวรู้จักที่จะสร้างกุศล รู้จักที่จะช่วยคน  เมื่อยามแก่เฒ่าไม่ต้องกลัวว่าใครจะรังเกียจ มีแต่คนจะขอให้คนนั้นไปอยู่ใกล้ๆ  อาจารย์หวังว่า ศิษย์มีชีวิตหนึ่งทั้งชีวิต ไม่ว่าวัยไหน ไม่ว่าอายุเท่าไร ขอให้ตลอดเส้นทางนั้นเป็นชีวิตที่มีคุณค่า “ถือเอาความผิดพลาดเป็นครู” เพื่อให้เรานั้นเดินขึ้นหน้าเรื่อยๆ แม้ว่าจะยากลำบาก อาจารย์จะอยู่เคียงข้างศิษย์ทุกคน ลาก่อนนะ


วันจันทร์ที่ ๑๕  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๔๓  พุทธสถานผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

ว่างว่างว่างเมื่อไรจะยอมว่าง ย่างย่างย่างเมื่อไรจะก้าวย่างถึง
เร็วเร็วเร็วแต่โดนกิเลสดึง มัวนับหนึ่งจึงไม่ถึงสองสามสักที
             เราคือ
      (เสียวเสี่ยวฝอถง) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี  แฝงกายกราบ
องค์มารดา  ถามเมธีทุกทุกท่านนับจากสามวันนี้จะให้เวลามาศึกษาธรรมะหรือเปล่า

จะบำเพ็ญหรือเปล่า หัดยอมให้กันนิด แอบทำซึ่งความผิดสุขในหัวใจไหม แม้อำพรางผู้คนและใครใคร มิเบาใจกลับยังหนักใจ
ปลุกใจคนหมองหม่น ช่วยคนมิหลงเหลือ จะนานก็ไม่เบื่อ เผื่อใจไว้ผิดหวัง ใช้แรงใจก้าวเดินมีพลัง แม้คนชังก็ยังดีกลับไป
ปล่อยความมุ่งมั่นนานนาน ผัดวันมิลงมือ จะอ่อนแรงเสียก่อนถ้ามีความจริงใจ    ก้าวไปตามขั้นตอน อย่ากลัวล้มจนมากไป

ทำนองเพลง  :  สบายดีหรือเปล่า
ชื่อเพลง  :  พลังใจดีที่หนึ่งเลย


พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

ถ้าเรามาแล้วเราเปลี่ยนใจไม่มาได้ไหม (ไม่ได้)  ทีท่านนั้นยังเปลี่ยนใจ  ไม่อยากอยู่ได้  ทีเราทำไมไม่ให้เปลี่ยนใจบ้าง เห็นใจตัวเองแต่ไม่เห็นใจคนอื่น ใจร้ายหรือเปล่า (ไม่ร้าย)  ใจท่านขาวหรือเปล่า  ไหนลองหันไปดูใจตัวเองสิว่าขาวขนาดไหน  เที่ยงไหม (เที่ยง)  นาฬิกาเที่ยงหรือตัวเที่ยง ตัวเที่ยงหรือใจเที่ยง (ใจเที่ยง)  มนุษย์เรายืนก็ยืนตรง  พอแก่ตัวก็คด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วใจคดตามอายุด้วยหรือเปล่า แก่แล้วคดจริงหรือ  
เห็นใส่ชุดเด็กชุดนี้แล้วคิดว่าเราเป็นเด็กหรือ  เราอาวุโสมากกว่าท่านอีก อายุเราตั้งหลายพันปี แต่อายุท่านกี่ขวบ สี่สิบ ห้าสิบขวบหรือ  ทำไมพอสี่สิบ ห้าสิบไม่เรียกขวบ  ทำไมเรียกเป็นปี น่าสงสาร  ใครสองขวบยกมือขึ้น  ท่านเคยสองขวบมาแล้วแต่ตอนนี้เลยสองขวบแล้ว ใช่หรือเปล่า  เขาสี่สิบแล้วแต่เราตัดศูนย์เหลือสี่ขวบ ท่านจะตัดเราก็ไม่ว่า จริงหรือเปล่า หรือว่าต้องฝึกใจเที่ยงๆ เป็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น  ไม่โกหก ใช่หรือเปล่า (จริง)  ต่อไปต้องไม่โกหกจริงๆ 
“ว่างว่างว่างเมื่อไรจะยอมว่าง ย่างย่างย่างเมื่อไรจะก้าวย่างถึง
เร็วเร็วเร็วแต่โดนกิเลสดึง มัวนับหนึ่งจึงไม่ถึงสองสามสักที”
ถามว่าว่างเมื่อไร ก็บอกไม่ว่าง  พอถามว่าเมื่อไรจะก้าวไปบำเพ็ญ  ก็ว่ากำลังจะย่างแต่ย่างไม่ถึงสักที ใช่ไหม  เขาบอกว่าถึงเวลาบำเพ็ญแล้วนะ แต่เราก็บอกว่าไปไม่ได้ติดอะไรก็ไม่รู้  คิดว่าการบำเพ็ญดี แต่ไม่ยอมก้าว เลยหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหน  กลัวการบำเพ็ญธรรมะหรือ  บำเพ็ญธรรมะไม่ได้ไปเที่ยวเต้นๆ ไม่ได้ไปเดินซื้อของแบบโน้นแบบนี้  บำเพ็ญธรรมะว่าคนอื่นก็ไม่ได้ โมโหก็ไม่ได้ แล้วไม่ดีหรือ (ดี)  ดีแล้วทำไมไม่มา  บอกว่าดีแล้วก็มองดูว่าเขาดีแต่ก็ปล่อยเขา เราก็เป็นอย่างนี้   ชีวิตนี้ก็ได้เท่านี้     คนประเภทนี้เขาเรียกว่าคนไม่รักความก้าวหน้า  คนขี้เกียจสันหลังยาว ใช่หรือเปล่า หรือคนขี้เกียจสันหลังสั้น  ท่านเป็นแบบไหน  
เพิ่งทานอาหารอิ่มหาทางย่อยหน่อยดีไหม  ทำอะไรดี (เต้น)  อยู่ในธรรมะไม่มีเต้น มีแค่ออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง ร่างกายก็มีส่วนสำคัญ ร่างกายไม่แข็งแรงจิตใจก็ไม่แข็งแรง แต่ถ้าจิตอ่อนแอ ร่างกายก็อ่อนแอ  ฉะนั้นกายกับใจจึงมีส่วนสัมพันธ์กัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วกายเราเป็นนายใจหรือใจเป็นนายกาย (ใจเป็นนายกาย)  ในบางครั้งกายเป็นนายใจ  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
โดยปกติของทุกๆ คน มีชีวิตก็ต้องแสวงหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แสวงหาอะไร (สิ่งที่ดีๆในชีวิต, ความรู้, ความเจริญ, ความสงบ, ความจริงใจ)  ความจริงใจจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราจริงใจกับเขาก่อนจึงจะได้รับ  จะแสวงหาความสงบ ท่านต้องสงบก่อนท่านจึงจะเห็นความสงบ ถ้าท่านวุ่นวาย ท่านก็จะสงบไม่ได้ 
ท้องฟ้าเป็นเหมือนแบบจำลองอันหนึ่งที่ตั้งอยู่กับที่ มีเมฆ มีพระอาทิตย์เคลื่อนที่ มนุษย์เราก็เหมือนแบบจำลองที่ตั้งอยู่กับที่ ถ้าใจคิดตัวเราต้องหยุดก่อน หากใจเราหยุดคิด ตัวเราถึงจะเดินได้ ถ้าตัวเราเดินด้วยคิดด้วยก็จะไป    ไม่ถึง โดยปกติมนุษย์เกิดมาแล้วก็ต้องแสวงหา บางคนก็แสวงหาความรู้ บางคนก็แสวงหาเงินทอง บางคนก็แสวงหาธรรมะ แต่น้อยนักที่จะคิดแสวงหาธรรมะโดยทันที ส่วนมากต้องเจอทุกข์ก่อนจึงจะแสวงหาธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์ทำให้คนเรามีใจที่อยากจะบำเพ็ญธรรมะเหมือนกัน นั่นก็แปลว่าทุกข์ก็เป็นบทเรียนที่ดีเหมือนกัน ช่วยทำให้มนุษย์กล้าที่จะพบกับความเป็นจริงของชีวิต ถ้าหากสมมุติว่าให้ที่นี่เป็นโลกใบหนึ่ง แล้วให้ท่านออกไปแสวงหาธรรมะกับความสุข ท่านออกไปหาได้ไหม (ได้) ใครลองสมัครไปหาความสุขมาให้เราหนึ่งอย่างหรือมากกว่าหนึ่งอย่างก็ได้ แล้วก็หาธรรมะอีกหนึ่งอย่าง  ท่านจะหาอะไร (หนังสือเพลง) หนังสือเพลงสามารถให้ความสุขแล้วก็ให้ธรรมะได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ไม่ต้องหาเพราะความสุขอยู่ที่ใจ ถ้าใจมีธรรมะก็ไม่จำเป็นต้องหา    ความสุข) 
(ดอกไม้ในโลกนี้จะให้ความสุขแล้วก็สดชื่น ความร่มเย็น ความมีชีวิตชีวา ดอกไม้ทำให้คนเรามีชีวิตชีวา มีความสุขเพราะดอกไม้มีกลิ่นหอม สีสันก็มีความสดชื่น) ถ้าดอกไม้เหี่ยวจะสดชื่นไหม (อีกไม่นานก็ร่วงโรยเหมือนคนเรา ตอนสาวก็สวย พอแก่ลงก็ร่วงโรยไปตามอายุขัย) พอร่วงโรยแล้วมีความสุขไหม (มีความสุขตามอัตภาพ มีสุขบ้างทุกข์บ้าง  
(ใบข่าแห้ง ใบที่สดสามารถนำไปเป็นยารักษาโรค บำรุงให้มีความสุขได้ แต่พอเป็นใบแห้งแล้วไม่มีประโยชน์เพราะร่วงโรยแล้ว)  ใบแห้งก็มีประโยชน์ใช้ทำปุ๋ยหรืออาจเอาแขวนไว้ข้างเตียง เตือนว่าชีวิตเราสักวันก็ต้องเป็นแบบนี้ 
(กระดาษทิชชู)  กระดาษทิชชูให้ความสุขอะไร และมีอะไรในธรรมะ เวลาเขาเสียใจเราก็ยื่นทิชชูให้ เวลาน้ำตาตกเราก็ยื่นทิชชูให้เช็ดหน้า
แต่ละท่านที่ออกมานี้ล้วนแล้วแต่ให้แง่คิด คนหนึ่งบอกว่าไปหาดอกไม้กับใบไม้ แต่ปกติท่านมีชีวิตท่านจะออกไปหาใบไม้กับดอกไม้ไหม (ไม่)  หาเหมือนกันเวลาไปเยี่ยมคน หรือไม่ก็ไปแสดงความยินดีกับเขา แต่ก่อนที่เราจะออกไปแสวงหาข้างนอก เราต้องรู้จักเรียนรู้ชีวิต และเรียนรู้ธรรมชาติของชีวิตด้วย ไม่อย่างนั้นหากเรารีบแล้วเราส่งไปให้เขา อาจจะกลายเป็นความหมายที่ไม่ดี  ก็ได้ เพราะเราขาดการเรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนโดยทั่วไป แม้จะเรียนรู้แล้ว แต่สิ่งที่เขาไปหานั้นกลับเป็นเงินทอง พอหาเงินทองมาได้มากก็ต้องหาที่เก็บ หาที่เก็บแล้วบางทีไม่พอต้องไปหาเงินเพิ่มเพื่อให้มีที่เก็บ พอมีที่เก็บมีเงินเก็บแล้วก็ห่วงของที่เก็บและห่วงที่ที่เก็บ ก็เลยต้องหาคนเฝ้า พอหาคนมาเฝ้าแล้วก็ห่วงคนเฝ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอห่วงทั้งคนเฝ้าและห่วงที่เก็บเราก็เลยอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แต่ว่าการบำเพ็ญธรรมะนั้น หากเราไปหาธรรมะจะยิ่งหายิ่งมีแต่ลดน้อยลง บำเพ็ญธรรมะ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งลดอัตตา ยิ่งลดความปรารถนา ยิ่งลดตัวตนให้น้อยลง เพราะมนุษย์เราอยู่ในโลก เมื่อไม่มีเราก็อยากมี พอยิ่งมีก็ยิ่งมากขึ้น พอยิ่งมากขึ้นก็เหมือนคนที่ปีนภูเขาสูง พอขึ้นไปสูงเราก็รู้สึกว่าสมบัติมากมายไม่อยากจากของนี้ไป เหมือนคนที่ปีนขึ้นไปสูงที่สุดแล้วก็ไปหยุดดูของที่ตนเองหามา พอเห็นแล้วก็รู้สึกว่าเสียใจไม่อยากจากของพวกนี้เลย เพราะกว่าจะหามาได้แต่ละชิ้นแต่ละอัน ล้วนต้องแลกด้วยชีวิตที่เคยผ่านมา ทำให้เรารู้สึกว่า ไม่อยากจะสูญเสียของพวกนี้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าท่านมาบำเพ็ญธรรมะ ท่านมาศึกษาธรรมะ เพื่อให้เรารู้ว่า ขึ้นเขาแล้วมองเห็นความเป็นจริงแล้ว เราต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  หากเราร้องไห้ช่วงที่เราห่วงของอาจมีคน ๆ หนึ่งเดินมาบอกท่านว่า ถ้าทุกๆ คนคิดแบบนี้ เราคงไม่ได้เป็นเจ้าของๆ สิ่งนี้หรอก จริงไหม (จริง)  ถ้าบรรพชนคิดแบบนี้ บรรพชนคงพยายามหายาที่ไม่ทำให้ตัวเองตาย แล้วของนั้นไม่มีทางจะมาตกถึงท่าน  การบำเพ็ญธรรมะนั้นทำให้เรารู้ว่า เราแสวงหาแล้วต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง รู้จักทำใจให้ได้บ้าง รู้จักอดทนยอมเป็นผู้เสียสละบ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
คุณค่าไม่ใช่อยู่ที่การมองเห็น แต่คุณค่าอยู่ที่จิตใจของคน  เราอยู่ในโลกหาสิ่งที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด งดงามที่สุด  แต่แท้ที่จริงแล้ว  เราไปหาแล้วอะไรๆ ก็สู้ใจดวงนี้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แม้เราจะหาของมากองพะเนินสูงสุดแต่ถ้าขาดความจริงใจของนั้นก็ขาดประโยชน์  แม้เราจะมอบทั้งกาย ทั้งหัวใจให้ แต่ถ้าเราขาดคำว่าซื่อสัตย์ คนก็ไม่อยากได้  แม้เราจะเลี้ยงดูฟูมฟักเขาอย่างเต็มที่  แต่ถ้าเกิดว่าขาดซึ่งความรัก ความเมตตาที่แท้จริง ลูกก็ไม่อยากได้  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรจะมองข้ามหรือเพิกเฉยนั่นก็คือคุณธรรมและความดีงาม คุณธรรมความดีงามใช่อยู่ที่ภายนอกหรือเปล่า (ไม่ใช่)  แท้ที่จริงแล้วภายนอกช่วยทำให้เรามีคุณธรรมที่แจ่มชัดขึ้น  คุณธรรมแท้จริงแล้วอยู่ภายในหัวใจของทุกๆ คน  อยู่ภายในจิตใจของทุกๆ คน  อยู่ที่ว่าเราจะแสดงออกมาเป็นเช่นไร  บางคนแสดงออกมาเป็นท่าทาง  บางคนแสดงออกมาเป็นสิ่งของ  สิ่งของช่วยชี้ชัด ช่วยนำพาให้เราเห็นคุณธรรมในดวงใจ  นั่นแปลว่าทุกท่านต่างมีคุณธรรมเต็มเปี่ยมในหัวใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
เมื่อครู่ท่านผู้หนึ่งพูดว่าตัวเองสามารถทำให้มีความสุขได้และสามารถที่จะแสวงหาธรรมได้  แต่บางครั้งก็ต้องดูคนที่มาเกี่ยวสัมพันธ์ด้วย คุณธรรมถึงจะฉายบังเกิดให้ยิ่งแจ่มชัดขึ้น  แม้เราจะพูดว่าตัวเรามีธรรม แต่ถ้าเราไม่เคยแสดงออก เขาหรือตัวเราจะรู้ไหมว่าเรามีธรรมอยู่  บางทีอาจจะรู้แต่ไม่มั่นใจว่าเป็นธรรมที่เที่ยงธรรมไหม  การมีคนอื่นร่วมด้วยจึงทำให้เรายิ่งเห็นเด่นชัดขึ้น  เช่น เมื่อเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก  เห็นคนเดือดร้อนเรามีใจเมตตา เราได้เอาความเมตตาลงไปช่วยเหลือจริงๆ หรือไม่  เห็นผู้ใหญ่เรารู้สึกเป็นอย่างไร รังเกียจหรือเคารพ  
สิ่งที่จะทำให้มนุษย์เรายิ่งมีธรรมมากขึ้น นั่นก็คือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  บางครั้งเราอยู่กับคนนี้แล้วเราร้อนเหมือนไฟ  แต่อยู่กับคนนี้แล้วเราร่มเย็นเหมือนอยู่ใต้ร่มไม้  ทำไมอยู่กับคนนี้เราร้อนๆ หนาวๆ เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนทำไมถึงแตกต่างกันเช่นนี้  เพราะว่าคนแต่ละคนมีธาตุหรือเปล่า (มี)  แล้วธาตุนั้นทำให้คนเราร้อนไหม  เพราะอะไรถึงต่างกัน (จิตใจคนเราต่างกัน)  เพราะจิตใจคนเราต่างกัน  ไม่ใช่แค่ใจอย่างเดียว จริงๆ แล้วใจคนเราเหมือนกัน  แต่ต่างกันตรงที่อารมณ์และความนึกคิด  ทำไมมาอยู่กับคนนี้แล้วเรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ  เพราะสิ่งที่เขาพูดหรือการที่เขาอยู่ร่วมกับเรานั้นล้วนเป็นสิ่งที่แสดงให้เรารู้สึกร้อนตัวร้อนใจ เพราะคนบางคนอยู่ร่วมด้วยแล้วเป็นคนที่ใจร้อน ทำอะไรต้องให้ได้ตามที่ต้องการ พอเราทำไม่ได้ดังที่เขาต้องการ เราก็รู้สึกว่าทำอย่างไรดี  อยู่กับเขาก็เหมือนไฟลนก้นตลอดเวลา แต่พอมาอยู่กับคนนี้ทำไมสุขสบาย เพราะมีจิตใจเมตตา  อยู่กับคนนี้เป็นคนที่ใจเย็นๆ ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปก็ได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอกลับมาอยู่กับคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวก็บอกเร็วๆ เดี๋ยวก็บอกช้าๆ ก็ได้  ตามใจไม่ถูก  สามฝั่งนี้เป็นเราฝั่งหนึ่ง อยู่ที่ว่าเราจะเป็นฝั่งไหน  บางทีคนว่าเรากลับว่าเอาใจไม่ถูก  เราก็โกรธเขาอีก  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ไว้มีอยู่สามข้อเองอยากรู้ไหม  ใครพอจะเดาได้บ้าง (เอาใจเขามาใส่ใจเรา, รู้จักยอม, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, มีคุณธรรมแปด, มีความรักให้กัน)  อยู่ด้วยกันต้องรักกัน ห้ามเกลียดใครเลย เพราะถ้ารักทุกๆ คนไม่เกลียดใคร ท่านก็จะเป็นที่รักของทุกคนใช่หรือเปล่า  รักแล้วเป็นอย่างไร  (ต้องไม่ครอบครองไว้คนเดียว, รู้จักเสียสละ, ซื่อสัตย์ต่อกัน, มีขันติอดทน อดกลั้น) แต่สิ่งที่ท่านคิดไม่ได้ตรงกับเราทั้งหมด  อย่างแรกคืออะไร   (เอื้อเฟื้อต่อกัน, รู้จักใช้ปัญญา, มีความสามัคคี, ลดทิฐิ) ลดทิฐิ เพราะทุกคนต่างมีทิฐิความเป็นตัวของตัวเองอยู่ ถ้าเราไม่ยอมลดทิฐิ  เราก็อยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ (มีเมตตากรุณา, ต้องพูดกันด้วยคำสุภาพอ่อนหวาน, มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี, รู้จักให้อภัย, ไม่เห็นแก่ตัว)  นั่นก็คือเราต้องรู้จักจริงใจต่อกัน บางทีทุกท่านก็รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข  แต่บางครั้งเราก็อดลืมสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่  บางครั้งเราต้องระวังคำพูด เพราะคำพูดของคนนั่นแหละเป็นเหตุให้เราต้องบาดหมางกันก็มี  จากที่เคยรักกันก็กลายเป็นทะเลาะกันไม่หยุดไม่หย่อน  สิ่งแรกที่เราจะอยู่ร่วมกันนั่นก็คือว่าคนหนึ่งคนเป็นธรรมดาที่ต้องมีดีมีร้าย มีดีมีเสีย ใช่หรือไม่  แต่เวลาเราอยู่ร่วมกันเราสามารถจะทำงานร่วมกับเขาได้ก็ต่อเมื่อเราตัดข้อเสียเขาทิ้ง ลืมข้อเสียเขาไป อย่าเป็นคนที่เห็นข้อเสียของเขาแล้วเอาแต่พูดๆ  เพราะไม่อย่างนั้นเราจะทำให้เขายิ่งไม่มีทางที่จะกลายเป็นคนที่ดีได้เลย แล้วก็อย่าไปจำข้อเสียของเขา เพราะถ้าเราจำข้อเสียของเขาเราก็คบเขาได้อย่างไม่จริงใจ  แล้วเราก็ให้อภัยเขาได้แค่ปากเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่  ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกันเราอยากอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข แท้จริงนั้นอะไรที่ร้ายๆ อะไรที่ไม่ดีของเขา เราก็ล้างออกไปเสีย อย่าไปจำแล้วอย่าเอามาพูดเพราะถ้ายิ่งพูดเขาก็จะยิ่งไม่มีวันได้ดีเลยใช่หรือไม่  ฉะนั้นเราต้องลืมอะไรที่เป็นเรื่องผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้อภัยเขาเสีย เราก็จะได้เป็นคนที่ใจกว้าง  พอเราไม่พูดเรื่องที่ไม่ดีของคนอื่น เราก็เป็นคนที่ไม่ส่งเสริมทำให้เขายิ่งเป็นคนที่ไม่ดี หรือพูดง่ายๆ เราไม่กลายเป็นคนที่ซ้ำเติมเหยียบย่ำเขา ยังให้โอกาสที่จะให้เขาแก้ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) การอยู่ร่วมกันไม่ยากเลยก็ทำแค่นี้เอง 
ที่นี่มีผู้สูงวัยเยอะ เราอย่าได้รำคาญผู้สูงวัย เพราะว่าผู้สูงวัยนั้นถ้าเราว่าเขาไม่ดี ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องเป็นแบบเขาที่ต้องขี้ลืมบ้าง อาจจะต้องทำอะไรชักช้าบ้าง เราก็ต้องให้อภัยในข้อผิดพลาดของเขา  อย่าเอาข้อผิดพลาดของเขามาทำให้ใจเราขุ่น ใช่หรือเปล่า
“ปล่อยความมุ่งมั่นนานนาน”
ท่านเคยเห็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่หน้าท่านแต่ละองค์ไหม (เห็น)  ท่านเคยสืบประวัติหรืออ่านประวัติของท่านแต่ละพระองค์ไหม (เคย, ไม่เคย)  พระพุทธองค์ล่ะเคยไหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ หรือพุทธแต่ละพระองค์ ที่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้นั้น ทุกท่านมีปณิธานที่เหนือกว่าสามัญชนหนึ่งก้าวแล้วก็เพียรพยายามไปให้ถึง บางท่านบรรลุไปแล้ว แม้จะยังไม่ลุถึงเป้าหมาย หรือลุถึงปณิธานแต่ท่านก็สามารถสำเร็จได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหลายๆ พระองค์ด้วยที่แม้ปณิธานที่ตั้งไว้ยังไม่สำเร็จ  แต่ท่านก็สามารถทำให้ตัวท่านนั้นบรรลุเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นก็คือว่า ขอเพียงมนุษย์มีความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้จะมีมากกว่าผู้อื่นสักก้าวหนึ่ง แม้จะยังทำไม่สำเร็จ แต่ความตั้งใจและจิตใจที่ลงแรง ได้เท่าไรเอาเท่านั้น แม้รู้ว่าไม่สำเร็จก็ยังทำ จิตใจเช่นนี้ คนจึงกราบไหว้ จิตใจเช่นนี้จึงเรียกว่าพระพุทธะ ใช่หรือไม่  แล้วจิตใจเช่นนี้ก็เป็นจิตใจที่ทุกท่าน สามารถมีได้ ทุกท่านสามารถกระทำได้ 
การบำเพ็ญธรรม เหมือนกับนิทานเรื่องหนึ่งที่เราจะเล่าให้ท่านฟัง ชายคนหนึ่งมีที่นาอยู่ที่หนึ่ง เขาแบ่งที่นาออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเขาปลูกพืชผักที่ตัวเองสามารถหาเลี้ยงชีพได้  ครึ่งหนึ่งเขาปลูกเพื่อไว้แจก ไม่ว่าสัตว์หรือคนจะมาขอ เขาก็แบ่งส่วนหนึ่งให้ การบำเพ็ญธรรมะก็เฉกเช่นการดำเนินของชายท่านนี้ นั่นก็คือมีเวลาแห่งชีวิต มีเวลาแห่งการแสวงหา แบ่งครึ่งหนึ่งหรือแบ่งส่วนหนึ่งช่วยเหลือคน ให้มีโอกาสได้เมตตากับคน ฝึกคุณธรรมในตัวตน ซึ่งทุกๆ ท่านก็ทำได้  แต่อยู่ที่ว่าเราจะรู้จักแบ่งเวลาไหม เจียดโอกาสให้กับคนอื่นบ้างหรือเปล่า เพราะปกติหากเรามีที่นาแปลงหนึ่ง เราคงหาเก็บไว้ให้ตัวเองหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากปกติเราไม่เคยศึกษาเรื่องธรรมะ แม้จะมีเวลาชีวิตเท่าไร ก็เอาชีวิตทั้งชีวิตนั้นแหละหาเพื่อตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การบำเพ็ญธรรม ก็คือขอให้ท่านเจียดเวลา ไม่จำเป็นต้องครึ่งหนึ่งก็ได้ แค่ส่วนหนึ่งหรือเท่าที่ท่านเจียดได้ อุทิศเวลานี้ช่วยคนบ้าง ทำได้หรือเปล่า ขึ้นอยู่กับตัวท่านแล้วนะ
อยากดูกองทัพธรรมไหม วันนี้ทุกท่านมานั่งฟังได้ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งยอมสละเวลาของตัวเองเพื่อช่วยคนใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้น ลองขอดูพลังแรงของผู้บำเพ็ญธรรมที่ได้ออกแรงช่วยคนหน่อยได้ไหม (ได้) 
(ท่านเสียวเสี่ยวฝอถงเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมจังหวัดพิษณุโลกออกมาหน้าชั้นเรียน)
ถ้าจะมาที่นี่ท่านจะต้องดูหน้าคนที่บำเพ็ญธรรมที่นี่ไว้ นี่คือบุคคลที่อยู่ที่นี่ หากท่านมาศึกษาธรรม ท่านก็จะเจอท่านเหล่านี้ ถ้าหากมาแล้วไม่เจอท่านเหล่านี้ ก็ไม่เป็นไร 
(ท่านเสียวเสี่ยวฝอถงเมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชาวพิษณุโลกกล่าวว่า “พวกเรายินดีต้อนรับท่านเสมอๆ” “มีอะไรยินดีให้รับใช้ครับ”) นั่นคือเราต้องแสดงความจริงใจออกมาให้เขาเห็น เมื่อเราจริงใจ เขามาถึงเขาก็อบอุ่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะเป็นกองทัพธรรมที่แม้จะไม่ได้อยู่ในห้องพระแล้ว ออกไปแล้ว แต่เราจะสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีงาม โอบอุ้มช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก บำเพ็ญธรรมแล้วฝึกจิตใจให้กว้างไว้ รับได้ทุกเรื่องราว  ในโลกนี้มีสองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านสุข ด้านหนึ่งคือด้านทุกข์ หากเรายินดีที่จะรับด้านสุข เราก็ต้องพร้อมที่จะรับมือด้านทุกข์ หากเรายินดีที่จะรับกับเรื่องสมหวัง เราก็ต้องพร้อมยินดีที่จะรับเรื่องผิดหวัง การบำเพ็ญธรรมก็มักจะมีสองเรื่องนี้ หากเราทำใจด้านหนึ่งได้ อีกด้านหนึ่งเราต้องทำใจได้ แล้วเมื่อใดที่เราทำใจรับได้ทั้งสองสภาพ แล้วเราสามารถประคองใจให้ดีๆ ได้นั้น เราก็จะแข็งแกร่งอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไม่หวาดหวั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้มีอยู่สองเรื่องเท่านั้นเอง ไม่เรื่องขาวก็เรื่องดำ ไม่เรื่องดีก็เรื่องร้าย ไม่เรื่องดีใจก็ผิดหวัง เราทำใจได้ ท่านก็จะเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างแข็งแกร่งและจิตใจเปิดกว้าง มีแต่ใจกว้างและมุ่งมั่นเท่านั้นถึงจะสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตให้เติบโตบนโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลได้ มีแต่ใจที่คับแคบและหวั่นไหวที่เป็นจิตใจที่อยู่ที่ไหนก็มีแต่สูญเสียและเศร้าโศก หากทำใจได้ท่านก็อยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ขอเพียงมีจิตใจที่มุ่งมั่น เราย่อมสามารถบำเพ็ญแล้วไปถึงได้ แต่ถ้าไร้จิตใจที่มุ่งมั่น แม้คิดว่าการบำเพ็ญเป็นสิ่งที่ดี การก้าวแค่ก้าวเดียวก็ไม่สามารถจะย่างก้าวไปได้ 
เราคงต้องไปแล้วนะ มีโอกาสเราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก รบกวนเวลาสั้น ๆ  อยากเป็นพุทธะที่มีความสุขในโลก ก็ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เข้าใจชีวิต มองเห็นชีวิต ปลงชีวิต รับให้ได้ แล้วจะมีความสุขให้กับชีวิต ทำจิตใจให้ร่าเริงเข้าไว้ 
ลาแล้วไม่ใช่ลาเลย ยังคงเห็นหน้ากันอีก ไม่ใช่เห็นหน้าเรา แต่ไปเห็นหน้าพุทธะยังเบื้องบน ตั้งใจบำเพ็ญดีๆ  มีโอกาสเราคงได้มาเป็นพี่น้อง จริงๆ เราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ท่านจำเราไม่ได้เอง เราก็คือพุทธะท่านก็คือพุทธะ แต่วันนี้ท่านยังไม่มีพุทธะอยู่ในใจ จริงๆ มีแล้วแต่ไม่ยอมมองเห็นพุทธะในตัวตนเองสักที ยังมัวโลภ ยังมัวหลง ยังมัวรัก ยังมัวติดอะไรนักหนาก็ไม่รู้ จริงหรือเปล่า (จริง)  ไปแล้วนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ถือความผิดพลาดเป็นครู”

รังสิมาแม้อยู่หลังเมฆมิอับแสง คนจิตแจ้งไยจะเดินถอยหลัง
ฝ่ามรสุมทะเลด้วยระวัง คนที่ตั้งใจจริงย่อมไม่สั่นคลอน
คนรู้สิ้นไม่เทียบเท่าคนทำอยู่ ผิดเป็นครูทำให้ไม่ผิดซ้อน  
อย่ามองคนที่ภายนอกพึงสังวร เมื่อชีวิตดังละครหลงกันไป
กิเลสผูกคนไว้กับวัฏสงสาร กลางวันนานไม่คลายจิตคิดแก้ไข
ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นโปรดเข้าใจ คนมีใจยามนี้เหลือสักกี่คน
เป็นคนอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง รวมพลังบริสุทธิ์สัมฤทธิ์ผล
ชนะใจตนเองสิ้นกังวล จิตอดทนเคยสิ้นสุดจะเพิ่มเอง


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา