วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

2543-05-27 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF 2543-05-27-เซิ่งเต๋อ #10.pdf

วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  อ. ปราณบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เดินตามรอยอริยาอาวุโส จึงเติบโตดังที่อาจารย์สอน
เมื่อเจอลมฝนกระหน่ำไม่สั่นคลอน ถ้าศิษย์นอนอาจารย์นี้ก็จนใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   กราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้อยทุกคนสุขดีฤๅ
ขอตั้งใจหนึ่งวันนี้ให้จงดี อาจารย์มีกำลังใจให้ศิษยา      ฮา ฮา

ในทางการบำเพ็ญใช่เรื่องยาก ก้าวลำบากเพื่อฝ่าฟันได้วัดผล
บำเพ็ญมานานแล้วรู้จักตัวตน เพื่อจะได้แก้ไขจนไร้รอยควัน
เมื่อจิตใจมีศรัทธายากกลายง่าย เมื่อใจยังกังขาแฝงข้ายากช่วย
คนบำเพ็ญควรไหมใฝ่สำรวย จิตใจป่วยมิลงแก้ใครช่วยตน
พุทธองค์กล่าวตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ความแยบยลธรรมะแท้ต้องตื่นฝัน
ใดไม่รู้ว่าไม่รู้แล้วเรียนพลัน สิ่งสำคัญยอมรับแล้วใจสบาย
หมั่นควบคุมจิตใจอารมณ์นิ่ง อย่าประวิงเรื่องเกิดดับโลกทั้งหลาย
เมื่อโอกาสมาตรงหน้าอย่าทิ้งไป จักก้าวไกลแค่ไหนอยู่ที่ตน
อย่างมงายใช้หลักธรรมค้ำจิตมั่น อย่าโศกศัลย์ยามไม่ได้ตามสมหวัง
อย่าได้ทิ้งกลางคันเฝ้าระวัง อวิชชายังแฝงจิตไหมศิษย์คนดี
บำเพ็ญตนเจออุปสรรคต่างต่างกัน อย่าแบ่งกันสายไหนสายไหนแล้วไม่ช่วย
เมื่อลงเรือลำเดียวกันขออำนวย การเหลือช่วยเป็นน้ำใจอีกไมตรี
เฉียนเหยรินผู้นำพาท่านเดียวกัน ทุกทุกวันก็กราบเหมือนกันใช่ไหม
ขอให้ศิษย์คิดให้กระจ่างใจ ใครอ่านโอวาทอาจารย์นี้ไซร้คิดให้ดี
คะนึงศิษย์ที่ห่างหายเลิกบำเพ็ญ ความยากเข็ญไม่เท่าการทนไม่ไหว
เลิกบำเพ็ญคือไร้บุญอย่าโทษใคร ขอให้ใช้ปัญญาตรองทุกเหตุการณ์
ในเวลาอันจำกัดชีวิตหนึ่ง ให้คิดถึงเรื่องควรทำให้ดีหนา
สังขารเร็วเร็วกว่าสังขารเถิดศิษยา ศิษย์จงกล้านำในสิ่งที่ดีดี
อย่าท้อแท้เหนื่อยครั้งใดคุมใจมั่น อย่านอนฝันลาภยศสรรเสริญ
ทั้งเงินทองกองใหญ่พาใจเพลิน ศิษย์พกเดินยามกายจากได้งั้นฤๅ
สามัคคีคือพลังอันยิ่งใหญ่ คนไกลใกล้รักเราเพราะเรารักเขา
ความเมตตาดั่งน้ำรินไม่บรรเทา โอ้ศิษย์เราปฏิบัติธรรมที่เคยเรียน
ธรรมะลงสู่ครัวเรือนบำเพ็ญที่บ้าน ทั้งงานธรรมและงานโลกก็หนักอยู่
แต่อยากให้ศิษย์รักลองทำดู แจ้งเป็นครูตื่นเสมอในใจตน
ในวันนี้ประชุมญาติธรรมเก่า ขอศิษย์เรายกระดับจิตตนขึ้น
จงก้าวหน้าใช่เพียงแต่คำพูดเมามึน ขอศิษย์ขึ้นหน้าอีกก้าวข้าเฝ้าชม
สถานธรรมที่บริสุทธิ์หมั่นมาอยู่ร่วม ไม่กำกวมทั้งคำพูดการปฏิบัติ
บัดนี้ฟ้าได้มอบหนึ่งทางลัด แลเฝ้าคัดคนคืนกลับบำเพ็ญจริง
บัวเก้าชั้นถึงได้ด้วยกุศล เกิดเป็นคนต่างคนต่างมีหน้าที่
บำเพ็ญจนวันสุดท้ายศิษย์คนดี อย่าลังเลจนวันสุดท้ายมีแต่อาดูร
ในวันนี้ข้าดีใจพบศิษย์รัก พึงตระหนักให้ถ้วนทั่วปัญญาฉาย
บำเพ็ญธรรมใช่ว่าเรื่องแสนสบาย ดูผลที่วันสุดท้ายนะศิษย์เอย
ศิษย์เป็นชายให้หนักแน่นต่อฝนลม นารีผมบังภูเขาตัดให้ขาด
เป็นหญิงนั้นทุกขณะจิตอย่าประมาท อันอำนาจความร้ายแฝงขจัดสิ้น
ทุกเวลานาทีให้เปิดใจ สิ่งใหม่ใหม่ใช่ว่าจะเรียนรู้ไม่ได้
แต่ทว่าต้องพิจารณาปัญญาใหญ่ หนทางไกลเลือกพิจารณาสว่างเอย
จะจากไปห่วงใยศิษย์ทั้งหลาย ขอตั้งใจบำเพ็ญตามกำลังหนา
ชีวิตคนแม้มิอาจตีเป็นราคา แต่มากค่าประเสริฐสุดเหนือสิ่งใด
สิ่งใดผิดรู้ว่าผิดอย่าพึงทำ ยามฟ้าค่ำต่างคนต่างตาฟางสิ้น
เมื่อกลิ่นมาต่างลุ่มหลงเดียวกันกลิ่น ใครจะผินตัวมากกว่าใครคงไม่มี
ในวันนี้ตั้งใจรักษาพุทธระเบียบ ให้เรียบร้อยเหมาะสมนะศิษย์รัก
ใจฟังแล้วอย่าผ่านหูพึงตระหนัก ขอให้รักตนเองด้วยทำสิ่งดี
ขอให้ศิษย์บำเพ็ญได้ถึงแดนฟ้า แลตัวข้าเฝ้ารอตลอดไป
      กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา เทียมเมฆากลับผิงซัน
ฮา  ฮา  ถอย


วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ความเชื่อมั่นในจิตใจนำออกมา ฟังธรรมาในวันนี้เป็นวันแรก
เปิดใจรับสิ่งใหม่อย่าว่าแปลก ความเข้าใจมาแลกหลักธรรมจริง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา ฮวา  ฮวา

จิตใจที่ใสสงบแสนมีค่า ใจวุ่นวายขจัดหนาให้หมดสิ้น
แม้จะเกิดมาเป็นเพียงชาวดิน แต่ย่อมคืนแดนฟ้าสิ้นในสักวัน
เพียงบำเพ็ญอยู่ในโลกไม่โศกศัลย์ ทำใจนั้นที่ไม่อาจจะสมหวัง
ยามสมปองอย่าดีใจเกินกำลัง ยามยืนนั่งนอนเดินล้วนมีธรรมในใจ
เพื่อผู้อื่นอย่าได้กลัวความเหนื่อยยาก ความลำบากสอนชีวิตเป็นคนใหม่
ให้ปรับปรุงตนเรื่อยเรื่อยอย่าหยุดไป คนตั้งใจยากล้มเหลว ณ ปลายมือ
ขอให้มาประชุมธรรมด้วยใจจริง หมั่นละทิ้งเหล่ากิเลสรบกวนจิต
สิ่งใดที่ผ่านหูตาเฝ้าพินิจ คนหมั่นคิดในแง่ดีโลกยังงาม
พ้นเวียนว่ายจุดหมายอันยิ่งใหญ่ เป็นทางไกลที่ทุกคนประสงค์ข้าม
ต้องมุ่งมั่นบำเพ็ญและติดตาม เฝ้าปราบปรามอวิชชาในใจตน 
การปรกโปรดยุคสามเรื่องยิ่งใหญ่ แต่อาศัยคนเป็นดั่งสะพานข้าม
บรรเทาจิตริษยาไม่ยอมความ บรรเทาจิตหลงรูปนามจนไม่มี
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม ขอให้จำต้องตั้งใจจึงบรรลุผล
การกลับคืนไปสู่แดนเบื้องบน อาศัยตนนำบรรพชนภาระใหญ่
จงรักษาพุทธระเบียบในชั้นเรียน อย่าคอยเปลี่ยนใจไปสู่ทางเลวร้าย
ชีวิตหนึ่งเพียงฝันรู้สึกไหม จะใกล้ไกลอยู่ที่จิตกำหนดเอง
หลงฮว๋า งานจัดขึ้นให้พุทธะ เมื่อปะทะจัณฑวาตา อย่าลุ่มหลง
ในบัดนี้วิสุทธิอาจารย์ชี้ทางตรง จงมั่นคงสถานเดียวได้คืนแดน
ศิษย์พี่รับพระบัญชามาคุมชั้น ทั้งสองวันจงมาครบจะได้ไหม
ศิษย์น้องที่ยิ่งมาจากทางที่ไกล ขอตั้งใจศึกษาให้กระจ่างเทอญ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังกลับไปเริ่มปฏิบัติไม่ทำเฉย
โอกาสของผู้บำเพ็ญหมดไปกับละเลย ความชินเคยสกัดจิตขัดเกลาสู้ไป
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

  หลงฮว๋า งานชุมนุมปราชญ์อริยะ
  จัณฑวาตา ลมร้าย



วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทท่านหันเซียงจื่อต้าเซียน

พึงใช้ความสามารถให้ถูกทาง พัฒนาอย่างต่อเนื่องสร้างประโยชน์
เห็นคุณค่าซึ่งกันไม่กล่าวโทษ ความรุ่งโรจน์ไม่สะดุดเสียกลางคัน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ติดอยู่ในอดีตดั่งน้ำบ่อขัง ใจคนดังทะเลนี้ไม่เห็นฟาก
เมื่อครั้งใคร่ครวญแหล่งทุกข์เห็นทุกข์จาก ปัญหาคนมากมีหันหลังให้กัน
มีอยู่เหลือล้นทำไมกลับว่าขาด รู้พออาจพลันกลับที่เต็มนั่น
เพียงสำนึกหันเจอฝั่งทุกคืนวัน ตื่นจากฝันรับลี้ทรมานต้องบำเพ็ญ
ใช้ใจมองหนึ่งจุดย้อนมองตน บ้านเก่าได้กลับบัดดลเลิกทุกข์เข็ญ
ละกิเลสผ่อนคล้ายใจร้อนเป็นเย็น จิตร่มเย็นในแดนวิมานสุขสวัสดิ์
ธรรมนำความสุขสถิตในใจได้ อยู่ที่ใครน้อมนำหลักไปปฏิบัติ
ชีวิตใช้คุณธรรมย้ำคงแจ่มชัด การจะตัดความถือมั่นต้องตั้งใจ
มุ่งจะคืนมานั้นจิตเป็นพระ ไม่อาจจะแสนสบายผิดต้องแก้ไข
ยากแสนยากอาจเนรมิตครูสอนใจ ลุ่มหลงในอำนาจมิจฉาแหละยิ่งตรม
 ไม่ดั่งใจทำร้อนใจมิช่วย อย่างงงวยน้อยคิดอาจต้องขม
เพื่อจะหลุดพ้นเวียนว่ายมาแก้ปม ยาดีขมปากใจสั่นต้องทน
เฝ้าทำเพื่อตนฟ้าสุดสิ้นปรานี ทิวทัศน์ที่ดูด้วยตาครึ้มฝน
จิตที่เคยสุกใสไกลแสนระคนหม่น รู้จักวนชีวิตกลับสู่เช้าอีกครา
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทท่านหันเซียงจื่อต้าเซียน

ชีวิตคนเรานี้ในความไม่แน่นอนก็มีความแน่นอน และในบางครั้งความไม่แน่นอนก็มีความไม่แน่นอนจริงๆ เหมือนกัน เรายากที่จะคาดเดาได้ ชีวิตนั้นเมื่อคิดจะเดินก็เหมือนไร้หนทาง แต่เมื่อเดินไปแล้วมีหนทางก็ไม่รู้ว่าหนทางนั้นไปสิ้นสุดที่ใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเหมือนผู้ที่เกิดมาแล้วต้องหาหนทางชีวิตให้กับตนเอง บางครั้งทางชีวิตที่เราเลือกนั้น เราต้องลงมือถากถางบุกเบิกทางขึ้นมาใหม่ ในบางครั้งอาจจะเป็นทางที่มีคนเดินอยู่แล้ว แต่ทางที่คนเดินอยู่แล้วก็อาจจะเป็นทางที่ไม่ค่อยราบเรียบดังที่เราต้องการจะเดินนัก ใช่หรือไม่ บนหนทางชีวิตนั้นมีใครที่คาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บางครั้งเรายากจะเดาได้  บางครั้งเราเหมือนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร  ยิ่งเดินไปก็เหมือนยิ่งมืดมน ยิ่งเดินไปเราเหมือนยิ่งเดินหลงทาง เป็นอย่างนั้นกันไหม (เป็น)  หรือว่ายิ่งเดินไปในชีวิต เรายิ่งมีชีวิตที่แจ่มชัดขึ้น สดใสขึ้น สว่างงดงามขึ้น หรือว่ายิ่งเดินไปในชีวิต เรายิ่งหม่นหมอง อับเฉา หดหู่ จากที่เคยมีชีวิตสดใส  ทำไมเมื่อรับรู้ความเป็นจริงของโลกกลับยิ่งรู้สึกว่าโลกนี้ช่างเลวร้าย น่ากลัว น่าอันตรายยิ่งนัก เป็นแบบใดกันบ้าง หรือว่าไม่รู้อะไรกันเลย ตื่นมาก็ทำงาน บอกให้เดินไปก็ไป เป็นอย่างนั้นกันหรือเปล่า กลางคืนเป็นเหมือนควัน กลางวันเป็นเหมือนไฟ ใช่หรือไม่ เร่งรีบทุกๆ วัน แต่หลายต่อหลายคนยิ่งเดิน ยิ่งมีชีวิตอยู่  กลับยิ่งมืดมนมากกว่าสว่างไสว   ยิ่งหลงมึนเมามากกว่าที่จะกระจ่างแจ้ง ใช่หรือเปล่า
แม้ว่าตั้งแต่เกิดมานั้นตาเราจะค่อยๆ เบิกกว้าง จิตใจของเราจะค่อยๆ รับรู้การเบิกกว้างของตา การเปิดอ้าแห่งจิตใจ น่าจะยิ่งเปิดแล้วยิ่งสว่าง ไม่ใช่ยิ่งเปิดแล้วยิ่งมืด ใช่หรือไม่  ปราชญ์โบราณได้กล่าวไว้ว่า ถ้าหากจะเริ่มต้นก้าวสู่ชีวิต หากจะหยั่งเท้าก้าวเมื่อไร ถ้ารู้ว่าทางที่จะเดินไม่มีความแน่นอน ทางที่จะเดินเป็นทางที่เสี่ยงไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าอะไรดีอะไรร้าย ก่อนที่จะก้าวไปเขาจะต้อง
ตรึกตรองให้ถ่องแท้ ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่จะรับผิดชอบชีวิต ไม่ใช่ใครแต่คือตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเราเอง  ฉะนั้นก่อนที่จะย่างก้าวออกจากบ้าน ก่อนที่จะมีชีวิตเติบโตในสังคมและโลกใบนี้ ขอให้ทุกย่างก้าว
ตรึกตรองให้ดีว่ามั่นใจหรือยังที่จะเดิน แน่ใจหรือยังว่าทางที่จะเดินนั้นได้รู้อย่างแจ่มชัด หากไม่แน่ใจหยุดอยู่กับบ้านดีหรือไม่ (ดี)  หากไม่รู้ว่าก้าวไปนี้ดีหรือร้าย ขึ้นหรือลง มืดหรือสว่าง อย่างนั้นไม่ก้าวเลยดีไหม (ดี)  หลายคนบอกว่าดี ก็ต้องมีใจที่จะบำเพ็ญแล้วใช่หรือไม่  โลกนี้ตัดทิ้งหมดทุกอย่างแล้วใช่หรือเปล่า ทุกวันของชีวิตก็เลยอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกไปไหนเลยดีไหม แบบนี้เรียกว่าอะไร กลัวจนเกินเหตุ ใช่หรือเปล่า  แต่หลายต่อหลายคนก็บอกว่าไม่กลัวเลย  คนที่กลัวจนเกินเหตุ บางครั้งถ้ามีคนมาคอยตักเตือน ความกลัวก็อาจจะหายกลัวได้  แต่คนที่ไม่กลัวอะไรเลย แม้จะมีคนมาเตือนก็ไม่เชื่อ นับว่าอันตรายมากกว่าคนที่รู้จักกลัวบ้าง ใช่หรือไม่  แล้วคนส่วนมากเป็นคนที่กลัวหรือไม่กลัวกัน ลองถามตัวท่านว่าท่านเป็นคนที่กลัวหรือว่าไม่กลัว กลัวก็กล้าก้าว ไม่กลัวก็ถอยก้าว ใช่หรือไม่  กลัวมากหน่อยก็ถอยหลายก้าว กล้ามากหน่อยถึงจะเดินหลายก้าว  แต่ก็มีคำพูดกล่าวไว้ว่า “หากไม่มีอะไรกลัวในโลกนี้ก็ย่อมเป็นอันตราย หากกลัวจนเกินไปก็ยากที่จะทำอะไรได้สำเร็จ”  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอะไรดี กลัวก็ไม่ดี ไม่กลัวก็ไม่ดี (ทำใจเป็นกลาง)  มีคนบอกว่าให้เดินสายกลาง  นักเรียนในชั้นนี้ว่าอย่างไร คิดก่อนแล้วจึงค่อยทำใช่หรือไม่ หรือที่เราเรียกกันว่าศึกษาให้แจ่มชัดก่อนที่จะก้าวเดินออกไป ใช่หรือไม่  มีชีวิตแล้วก็ไม่ศึกษาอะไรเลย แล้วก็เดินดุ่มๆ ออกไปอันตรายไหม  ฉะนั้นจึงควรต้องศึกษาให้แจ่มชัดก่อนที่จะก้าวเดินอออกไป  วันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องศึกษาเรื่องการบำเพ็ญธรรมให้แจ่มชัดก่อนที่จะก้าวสู่หนทางการ
  หลายต่อหลายคนแม้มีชีวิต มีร่างกาย ก็ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง พอได้ศึกษาแล้วก็คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ด้อยความสามารถ เรียนอะไรบางครั้งก็เรียนไม่เก่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความกล้าบางครั้งก็ไม่ค่อยจะมี พอไปเผชิญในสังคมก็ค่อยๆ เริ่มรู้จักตัวเองขึ้นว่า ตัวเองนั้นเป็นคนที่มีความสามารถน้อย  ตัวเองนั้นเป็นคนที่บางครั้งก็ดีบางครั้งก็ร้าย ควบคุมอารมณ์ได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเองเป็นคนที่บางทีพยายามทำอะไรแล้วแต่ ก็ไม่เคยสำเร็จสักทีหนึ่ง  พอรู้แบบนี้ยิ่งศึกษายิ่งได้รู้จักตน  แต่พอรู้จักตนแล้วกลับไม่แก้ไข รู้แล้วกลับปล่อยให้ผ่านเลยไป รู้แล้วกลับปล่อยให้สิ่งที่รู้ทำลายความมั่นอกมั่นใจในตัวเอง จนไม่เป็นตัวของตัวเอง  พอจะไปเผชิญโลกอีกทีหนึ่งก็ต้องคิดแล้วคิดอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลายต่อหลายคนอย่าได้ลืมไปว่า ธรรมชาติที่เรามองเห็น แม้แต่ม้านั้นหากไม่วิ่งเราก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าเป็นม้าพันธุ์ดี เป็นม้าที่กำลังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  หยกหินเวลาวางอยู่ในธรรมชาติก็ดูคล้ายๆ กันไม่ต่างกัน  แต่ถ้าเกิดว่าเราหยิบขึ้นมาแล้วเพ่งพินิจให้ดี ค่อยๆ เจียระไน ค่อยๆ ขัดเกลา สิ่งใดดีก็เก็บไว้ สิ่งใดไม่ดีก็รีบขัดเกลาทิ้ง จากหินธรรมดาก็กลายเป็นหยกหินที่มีค่าได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นเหมือนม้าธรรมดา แต่ไม่ลองวิ่งดูจะรู้ได้หรือว่าเราก็อาจเป็นม้าอาชาไนยใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราก็เหมือนกันเห็นเป็นคนธรรมดา มีความสามารถเล็กๆ น้อยๆ  ทำไมเราไม่ลองฝึกฝนขัดเกลาดู ไม่แน่ว่าพอฝึกฝนขัดเกลาแล้วเราอาจจะเป็นหยกที่มีค่า แต่งแต้มความสวยงามให้กับตนเองก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าได้ดูหมิ่นดูเบาความสามารถของตัวเอง ไม่เช่นนั้นแล้วศักยภาพหรือคุณภาพหรือคุณค่าแห่งชีวิต ก็อาจจะสูญสิ้นไปได้ แม้เพิ่งเริ่มต้นศึกษา
ศึกษามาได้ค่อนวันแล้วใครรู้สึกเพลียบ้าง อยากพักผ่อนไหม  ที่นี่เปรียบเหมือนบ้านหลังใหญ่ อยู่ร่วมกันก็ต้องเป็นอย่างไร (รักใคร่สามัคคีกัน)  แล้วอยู่ๆ จะให้ท่านรักคนที่ไม่รู้จักได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ทันทีเลยหรือ รักคนที่ไม่รู้จักไม่ได้เลยหรือ อย่างนั้นขอความจริงใจหน่อยละกันนะ  แม้จะไม่รักก็มีความจริงใจต่อกัน เมื่อเรามีความจริงใจแล้วจะกลัวอะไรกับคนที่หลอกลวงใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านไม่จริงใจ เมื่อโดนคนหลอกลวงย่อมอันตรายใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ร่วมกันในห้องนี้ หากแต่ละท่านมีความจริงใจ เราก็มีความจริงใจด้วย  แต่ถ้ามีความสงสัย เราก็ยังคงจริงใจตอบนะ
แม้เราจะพูดว่าอยู่ร่วมกันต้องสามัคคี ต้องรักใคร่ ต้องปรองดอง ต้องจริงใจ  แต่พออยู่กันจริงๆ แล้ว บางครั้งเรายังไม่ทันรู้จักเขา แต่เห็นหน้าแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา เราไม่ชอบก็หันหลังให้ ไม่คิดจะผูกไมตรีจิตใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนแค่เห็นหน้านิดเดียวรู้สึกถูกชะตา แม้จะอยู่ไกลแสนไกลก็จะพยายามดั้นด้นไปรู้จักให้จงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นความต่างของจิตใจมนุษย์ เมื่อชอบก็พยายามให้เต็มที่ เมื่อชังก็หนีให้สุดชีวิต  เมื่อมีชอบมีชัง ชีวิตก็ต้องมีทุกข์มีสุข  แต่เมื่อใดที่ความชอบความชังของเราเหมือนเส้นขนาน เมื่อใดที่พบทุกข์เราก็จะรู้สึกธรรมดา เมื่อใดที่เรามีสุข เราก็ธรรมดาอีกเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อใดเส้นอารมณ์ชีวิตของมนุษย์ต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ชอบก็ทุ่มเททั้งจิตใจอยากอยู่ใกล้ๆ แต่ถ้าเกลียดแม้ให้เห็นหางตาก็อย่ามาให้แล ถึงขนาดที่แช่งชักหักกระดูกก็ยังมีใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด  วันนี้มาบำเพ็ญธรรมะ อย่าปล่อยให้อารมณ์รักและอารมณ์ชังปิดกั้นจนไม่ได้ศึกษา
หลายต่อหลายคนพอบอกว่าให้มาศึกษาหลักธรรม ให้มาเข้าอบรมธรรม มักจะพูดว่าใจดีก็พอแล้ว จิตใจฉันมีธรรมะก็พอแล้ว ทำไมต้องศึกษาอีก  ธรรมะฉันก็เรียนมาตั้งแต่วัยเด็กแล้วใช่ไหม (ใช่)  เปิดทีวีบางทีก็เจอ ทำไมยังต้องมาศึกษาอีก แล้วพอบอกให้บำเพ็ญก็ยิ่งไม่เอาใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองยกตัวอย่างเหมือนของสิ่งหนึ่ง  หากท่านกำลังจะเลือกซื้อของสักสิ่งหนึ่ง เช่นพัดอันนี้ หากมองดูข้างนอกก็สวยงามใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าภายในไม้นี้มีแมลงชอนไชหรือเราเห็นตำหนิในไม้หรือลายผ้านี้ เราจะเลือกไหม (ไม่เลือก)  แล้วถ้าเกิดว่าภายนอกไม่ได้บุผ้าอย่างดี แต่ไม้เป็นไม้ดี ท่านเลือกไหม (เลือก)  เลือกหรือ เอาเข้าจริงๆ เวลาเห็นท่านเลือกสิ่งของตะเข็บขาดนิดหนึ่งก็ไม่เอาแล้วใช่ไหม (ใช่)  มีรอยเปื้อนนิดหนึ่งซักแล้วออกก็ไม่เอาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดพัดอันนี้บุผ้าไม่ดีเอาไหม (ไม่เอา)  ถามใจลึกๆ ท่านก็ไม่เอา  เหมือนกันแม้มนุษย์จะพูดว่าใจเราดี ใจเรามีธรรม แต่คุณธรรมนั้นเมื่อเวลายามประพฤติปฏิบัติมีไหม บางครั้งมีบางครั้งไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  เราว่าใจดีก็พอแล้ว แต่ใจดีนั้นได้ดีตอนมีชีวิต ได้ดีตอนปฏิบัติอยู่ร่วมกับคนไหม ก็ไม่แน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะดีเฉพาะกับคนที่ดี แล้วก็ร้ายกับคนที่ร้ายใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้ใจดีก็พอแล้วดีหรือ  ใจดีนั้นบางครั้งก็ยากเดาอารมณ์ มีอะไรถูกใจก็ยิ้มแย้ม มีอะไรไม่ถูกใจ คนใจดีนั้นก็โมโหโกรธาใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เราจะบอกว่าใจดีก็พอแล้ว ธรรมะไม่ต้องศึกษา หนทางการบำเพ็ญไม่ต้องใส่ใจได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่น่าจะได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าภายนอกงดงามปรุงแต่ง มีท่าทีจริยะหรือว่าเริ่มมีความประพฤติที่งดงาม แต่ในจิตใจนั้นยากเดาได้ เดี๋ยวขุ่นเดี๋ยวใสเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เช่นนั้นดีไหม (ไม่ดี)  เพราะสวยแต่รูปจูบไม่หอมใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้ของมาก็บอกว่านี่ของปลอม เพราะภายนอกนั้นเรียงชิ้นใหญ่ๆ เรียงชิ้นสวยๆ แต่พอแกะห่อออกมาข้างในเป็นชิ้นเล็กใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้น จิตใจของคนเรา แม้เราจะพูดว่าใจเรามีธรรมหรือตัวเราปฏิบัติธรรม แต่เคยได้ให้ข้างในข้างนอกประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวไหม บางครั้งแทบจะน้อยมากใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งใจดีแต่การปฏิบัติผิดพลาด บางครั้งการปฏิบัติดีแต่จิตใจคิดร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่ดูไม่ออกอย่างนี้เป็นอันตรายไหม (อันตราย)  เหมือนทางแห่งชีวิต หากทางแห่งชีวิตยากเดาได้ว่าดีหรือร้าย เรายังไม่กล้าเสี่ยง แล้วตัวเราเองยากเดาได้ว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เราก็น่ากลัวเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าได้มองแต่ทาง อย่าได้มองแต่คน แต่เราต้องรู้จักที่จะดูแลตัวตนเองด้วย อย่าให้เป็นคนที่หลอกลวงเขาและอย่าได้เป็นคนที่ไม่จริงใจกับใคร แม้กระทั่งตัวตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงกล่าวไว้ว่า การบำเพ็ญธรรมก็คือ การรู้จักภายนอก รู้จักควบคุมตนเองภายใน ขัดเกลาชะล้างให้เหลือแต่สิ่งที่ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์กิเลสตัณหามาทำลายจิตใจ ให้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  หากรู้จักควบคุมได้ทั้งชีวิต และรู้จักเรียนรู้หนทางแห่งการดำเนินชีวิต แม้ตอนนี้จะเดินไปไกลสักแค่ไหนก็มั่นใจได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครเข้าใจกลอนวรรคแรกบ้าง
“ติดอยู่ในอดีตดั่งน้ำบ่อขัง”  ถ้าน้ำถูกขังไม่มีการไหล ไม่มีการถ่ายเท เป็นอย่างไร (น้ำเน่า)  น้ำเวลาจะรินไหลได้ก็ต่อเมื่อในบ่อนั้นเต็มเสียก่อน แล้วถึงจะไหลลงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจิตใจของคนไม่รู้จักความพอดี น้ำก็ยากจะรินไหลสู่ผู้อื่นได้  แต่อันนี้เกี่ยวอย่างไรกับอดีต บ่อยครั้งที่มนุษย์มีชีวิตในปัจจุบันแล้วติดอยู่กับความรู้สึกในอดีตใช่ไหม (ใช่)  อดีตที่ผ่านมาบางคนร้าย บางคนน่ากลัว บางคนผิดหวัง บางคนผิดพลาด  แต่ถ้าเกิดว่าเราเอาความที่เป็นอดีตมาคิดในตอนปัจจุบัน อดีตจะทำให้ปัจจุบันไม่มีวันดีขึ้น และอนาคตไม่มีวันที่จะสดใสใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารู้ว่าอดีตของเราเคยมีทั้งดี เคยมีทั้งร้าย อะไรที่ร้ายขอให้เราเก็บไว้ เป็นเหมือนสมุดที่มีค่า ได้บันทึกเรื่องราวที่เป็นครูสอนชีวิต  ทุกคราที่เปิดมาเมื่อใด จิตใจก็ย้ำเตือนได้อยู่เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคราที่ก้าวเดินต่อไปสู่ปัจจุบัน จิตใจก็นึกถึงได้เสมอ  การนึกถึงได้ก็คือการนำอดีตช่วยผลักดันให้ปัจจุบันดียิ่งขึ้นกว่าเก่า และทำให้อนาคตก้าวไกลและสดใสยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะมีชีวิตที่ติดอยู่กับอดีต ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมปลง และไม่ยอมทำใจให้ได้  กับอีกประเภทหนึ่งก็คือ แม้อดีตจะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่สนใจ เช่นนี้แล้วสู้คิดบ้างย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  การไม่คิดเลยต่อไปเขาย่อมเจอแบบเดิมเป็นแน่แท้ จริงหรือเปล่า (จริง)
“ใจคนดังทะเลนี้ไม่เห็นฟาก”  มนุษย์เรานั้นเมื่ออยู่ในโลกนี้ เมื่อก้าวเดินในสังคม บางครั้งเรามีจุดเริ่มต้น แต่บั้นปลายแห่งการเดิน บั้นปลายแห่งชีวิตไม่มีใครรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าเราเกิดมาเมื่อไร เรารู้ว่าชีวิตเริ่มต้นที่ไหน แต่ต่อไปไม่มีใครเดาได้  เราเหมือนผู้ที่ตกในทะเลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ บางครั้งเหมือนมีเพื่อนร่วมทุกข์ แต่บางครั้งก็เหมือนตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นหนทางที่เราจะกลับคืนไปนั้นคือการว่ายไปว่ายมา หรือว่าหันหลังแล้วรีบขึ้นเรือธรรม หรือว่าหันหลังแล้วแสวงหาฟากฝั่ง นี่คือสิ่งที่แตกต่างกันของชีวิตมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราได้หยุดยืนมองชีวิตทุกวันแปรเปลี่ยนไป จนบางครั้งเราก็สนุกกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นสีโน้นให้เป็นสีนี้ แต่บางครั้งเราก็รู้สึกเหนื่อย แล้วก็เบื่อกับการเปลี่ยนแปลง  แต่ก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลง หรือก่อนที่เราจะรู้สึกอะไรนั้น เราต้องหยุดมองก่อน  โลกใบนี้เป็นโลกที่กว้างใหญ่ ชีวิตนี้จะเป็นชีวิตที่สั้นหรือยาวไกล ก็อยู่ที่ว่ามนุษย์เรานั้นได้เคยหยุดยืนมองชีวิต มองโลกใบนี้กันอย่างถ่องแท้บ้างหรือเปล่า  จริงๆ แล้วทุกคนมองก่อนที่เราจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ ก่อนที่เราจะเปลี่ยนเป็นชุดนี้ เราต้องหยุดมองตัวเองก่อนว่า ตอนนี้ตัวเองเหม็นแล้วนะ ตอนนี้ตัวเองเป็นเช่นนี้แล้วนะ  เฉกเช่นเดียวกัน คนจะรู้จักการบำเพ็ญธรรมรู้ว่าโลกนี้ทุกข์ ก็ต่อเมื่อเขาได้เห็นว่าตัวเองนี้ทุกข์แล้วนะ
การเอาแต่วิ่งเอาแต่หาอย่างเดิม ไม่ใช่ทางออกในการดับทุกข์ มีแต่หยุดยืนแล้วกล้าเผชิญความจริงต่างหาก จึงเป็นหนทางที่แท้จริงที่เราจะสามารถ
ดับทุกข์ในโลกนี้ได้ และดับทุกข์ในชีวิตได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การจะมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกนี้ให้แจ่มชัด เราอย่าได้ยึดติดเพียงเปลือกนอก  หากเรายึดติดเปลือกนอก เราจะไม่มีวันที่จะมองเห็นแก่นแท้ของความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราต้องศึกษาวิถีแห่งฟ้าหรือวิถีแห่งธรรมชาติ เพราะมนุษย์เราหากมีชีวิตขัดแย้งกับธรรมชาติ ย่อมยากจะอยู่ได้อย่างสันติสุข  แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ในธรรมชาติ และใช้ธรรมชาติได้อย่างดีงามกลมกลืนสอดคล้อง เราจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างร่มเย็น และสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้บังเกิดได้  ฉะนั้นมนุษย์เราเมื่อรู้จักหนทางเดิน เมื่อรู้จักชีวิต จึงต้องไม่ลืมที่จะมองฟ้าและดิน หรือธรรมชาติให้แจ่มชัด  ฟ้าไม่เคยให้คนไหนร่ำรวยโดยที่คนนั้นไม่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ นี่คือหนึ่งข้อที่เราได้รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วฟ้าก็ไม่เคยให้ความสำเร็จกับคนที่ไม่เคยเพียรพยายามสิ่งใดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเราจะดำเนินชีวิต นอกจากเราต้องรู้จักหนทางที่จะเดินแล้ว เรายังต้องรู้จักชีวิตของตนเอง  เมื่อเรารู้ทางรู้ชีวิตแล้ว เวลาฝนตกพรำๆ เราออกไปเดินอย่างนี้ทำตัวสอดคล้องกับชีวิตไหม (ไม่)  ทำตัวสอดคล้องกับธรรมชาติไหม (ไม่) อากาศร้อนๆ ท่านขายมันเผา เผือกเผา อย่างนี้ดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องไหม (ไม่)  ที่ต้องเรียนรู้ธรรมชาติแห่งชีวิต เพราะธรรมชาติแห่งชีวิตคือสิ่งที่มนุษย์ต้องหยิบมาใช้ หรือมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เราจะรู้จักตัวตนเอง รู้จักหนทางที่จะเดินให้กับชีวิตแล้ว แต่ถ้าเราไม่รู้จักธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม เราก็อาจจะเป็นผู้ที่ทำอะไรน่าตลกก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ไว้ว่าธรรมชาติแห่งชีวิตนั้น ไม่เคยให้อะไรกับใครโดยที่คนนั้นไม่ได้ลงมือ และไม่เคยทำให้ใครสำเร็จได้โดยที่คนนั้นไม่เคยเพียรพยายาม และไม่เคยให้อะไรกับคนนั้น หากเขาทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเราอยากร่ำรวยแต่ทุกวันเราเอาแต่ใช้ เอาแต่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เคยได้เก็บสะสมเราจะเป็นผู้ร่ำรวยได้ไหม (ไม่ได้)  เราอยากเป็นคนที่มีชีวิต และสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เราไม่เคยได้ลงมือพยายาม เอาแต่กราบขอฟ้าให้ฟ้าช่วย ฟ้าจะช่วยได้ไหม (ไม่ได้)  จึงมีคำกล่าวว่า “อย่าได้เอาแต่ขอฟ้า”  อย่าได้เอาแต่ปรารถนาที่จะวิงวอนขอฟ้า แต่ให้นำแรงที่ขอฟ้าเปลี่ยนมาเป็นเรียนรู้ธรรมชาติแห่งฟ้าและดิน แล้วปฏิบัติตัวโดยการนำธรรมชาติแห่งฟ้าและดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์  แล้วปฏิบัติอย่างสอดคล้องจนเกิดคุณค่าไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์หลายต่อหลายคนมักจะไม่ยอมลงมือ มักจะของ่ายๆ ไว้ก่อนใช่ไหม (ใช่)  สบายๆ ไว้ดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วง่ายๆ จะได้อะไรง่ายๆ ไหม  (ไม่ได้)  ฉะนั้นเราจะต้องไม่ลืมสิ่งๆ นี้ เมื่อเราไม่ลืมในสิ่งนี้ทุกอย่างจะลืมไม่ได้ ไม่ใช่อยู่ที่ฟ้าอย่างเดียวแล้ว ตอนนี้คืออยู่ในมือของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมือๆ นี้ก็แล้วแต่ว่าจะสร้างหน้าหรือว่าหลัง หรือพูดง่ายๆ ว่าแล้วแต่ว่าจะสร้างดีหรือร้าย  เมื่อเรารู้ชีวิต รู้ธรรมชาติ รู้หนทาง แต่หลายต่อหลายคนมักจะไปจนสุดทาง ไม่ตรงทางใช่ไหม (ใช่)  ไปด้วยการเดินลัดบ้าง ไปด้วยการคดโกงบ้าง ไปด้วยการใช้ความฉลาดรอบรู้ บิดเบือนที่ได้มาบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความน่ากลัวของมนุษย์ และความน่ากลัวของจิตใจคน หากไม่รู้จักควบคุมตนแล้ว หากไม่มีพื้นฐานแห่งความดีงามในการเป็นคน  คนๆ นั้นก็ยากคาดเดาได้ว่าจะเป็นคนร้าย หรือคนดีจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม ก็คือสิ่งที่คอยควบคุมความประพฤติ คอยชี้นำแนวทางและย้ำเตือนจิตสำนึกในใจคน ผิดรู้ไหมว่าผิด ละอายหรือไม่ละอาย  หากผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด ยังหลงตัวเองเช่นนี้จะไม่มีวันแก้ได้  หากผิดแล้วกลับคิดว่าตัวเองไม่ผิด เช่นนี้ย่อมเกิดความวิบัติและหายนะไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง  จึงมีคำกล่าวว่า “รู้ก็จงบอกว่ารู้ ไม่รู้ก็จงบอกว่าไม่รู้”  หรือเอามาแปลงได้อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า “ป่วยก็ต้องยอมรับว่าป่วย ผิดก็ต้องยอมรับว่าผิด”  ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่ก้าวหน้า และไม่สามารถเป็นคนดีในสังคมได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน บางครั้งทำไมตลอดชีวิตเราได้ไขว่คว้าแสวงหาจนกระทั่งเราได้พบแล้วว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าชีวิต นั่นก็คือความดีงาม  แม้จะมีเงินมากมาย แม้จะมีเกียรติยศชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไร้ซึ่งความดี ใครล่ะจะกราบไหว้ ใครล่ะจะกล้าชิดใกล้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนขอเพียงว่าทำดีได้ไม่มากก็น้อย แต่บ่อยครั้งเมื่อมนุษย์เราจะก้าวเดินอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางใหม่ที่ได้เรียนรู้ การตัดสินใจที่จะก้าวต่อไปนั้นมักจะเป็นการยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอบอกว่าให้ตัดสินใจแล้วลองคิดดูว่า การบำเพ็ญธรรมนั้นเหมาะสมไหม น่าจะเรียนรู้ไว้ไหม บางครั้งเรายากที่จะตัดสินใจ  เพราะบางครั้งเรารู้สึกว่าเราต้องเรียงลำดับเวลาชีวิตใหม่ จากที่เคยมีเวลาเต็มๆ ให้กับการแสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง เราต้องลดเวลาตรงนั้นเพื่อมาศึกษาบำเพ็ญธรรม
บำเพ็ญธรรมแล้วต้องกลายเป็นคนที่ยอมแพ้ เป็นคนที่อ่อนน้อมไม่
แข็งกร้าว เรากลับรู้ว่าเป็นการทำยาก เพราะผู้บำเพ็ญธรรมต้องเป็นผู้ที่รู้จัก
อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่แข็งกร้าวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบำเพ็ญธรรมแล้วต้องกลายเป็นผู้ที่ยอมแพ้ แต่ก็มีทั้งผู้ที่ใช่และไม่ใช่  การบำเพ็ญธรรมบางครั้งต้องอ่อนน้อม เพราะว่าการอ่อนน้อมกับการแข็งกร้าว ท่านรักสิ่งใดมากกว่ากัน (อ่อนน้อม)  ทำไมถึงรักคนที่อ่อนน้อมมากกว่าคนที่แข็งกร้าว (เพราะคนที่อ่อนน้อมเป็นคนที่สอนง่ายและฟังรู้เรื่อง)  นั่นก็คือว่าคนอ่อนน้อม หากเราเทียบกับธรรมชาติก็คือ “น้ำ”  น้ำย่อมเข้าไปได้ในทุกๆ ที่ ไม่ว่าจะคดเคี้ยวขนาดไหน ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ทะลุผ่านได้ นั่นก็คือคุณธรรมแห่งน้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราก็เหมือนกัน คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุขและเข้ากับทุกๆ คนได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่แก่งแย่งแข่งขันล่ะ บางครั้งเราอยู่บนโลกนี้ ชีวิตสอนให้เราต้องสู้ สู้ทุกๆ วัน สู้กับใจตนเอง ไม่สู้กับใจตนเองก็สู้กับคนอื่น ใช่หรือไม่ แต่เมื่อมาบำเพ็ญธรรมะแล้วต้องไม่หยุดสู้กับใจตนเอง แต่หยุดสู้กับผู้อื่น ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไร (เพราะให้ชนะใจตัวเอง)  เพราะให้ชนะใจตัวเองก็คือหยุดสู้กับผู้อื่น เพราะการยิ่งต่อสู้กัน ยิ่งแข่งขันกัน ก็ยิ่งเป็นการหักหาญกัน  มีแต่การก่อเวรก่อกรรมกันอย่างไม่รู้จบสิ้น ใช่หรือเปล่า  ไม่เหมือนกับการหยุดสู้ ยอมแพ้  แม้บำเพ็ญแล้วเหมือนผู้แพ้ เหมือนผู้อ่อนแอ เราอ่อนแอต่อเขา แต่ใจเราเข้มแข็ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราแพ้ต่อเขาแต่เราชนะใจ ใช่หรือไม่  เป็นการยากยิ่งนัก บ่อยครั้งทำไมถึงบอกว่ายาก เพราะมนุษย์เราเมื่ออยากได้ขึ้นมาแล้ว ความอยากเป็นพลังที่ทำให้เราเอามาให้ได้ เมื่อเอามาให้ได้แล้วมีคนที่อยากได้เหมือนกับเรา ก็เลยต้องแข่งขันกัน  ถ้าเราแข่งขันกันไปเรื่อยๆ เรากลับเติมความอยากได้เต็มไหม (ไม่เต็ม)  แถมช่วงที่เราเติมความอยากให้เต็มนั้น เรากลับสร้างศัตรูมากกว่าสร้างมิตร เรากลับก่อกรรมมากกว่าหยุดสร้างกรรม ใช่หรือไม่  ชีวิตมนุษย์เรา อย่างแรกเราก็รู้ว่าเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ฉะนั้นเกิดมาก็ทุกข์เต็มที่แล้ว ทำไมจึงต้องสร้างกรรมเพิ่มขึ้น  ฉะนั้นถ้าเรารู้พอเมื่อไร เราก็หยุดสร้างกรรมเมื่อนั้น  แต่ถ้าเราไม่รู้พอท่ามกลางความแข่งขัน ชิงดี ชิงชัย  เราก็ไม่มีทางที่จะหยุดสร้างกรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้แม้จะศึกษาธรรมะไป แม้จะบำเพ็ญธรรมะไปก็ยากที่จะเกิดประโยชน์  เพราะว่าเรายังไม่สามารถหยุดความรู้พอกับตัวตนเอง จริงหรือไม่  ถามว่าตอนนี้ใครพอแล้วบ้างในชีวิต เป็นการยากยิ่งนักที่ใครจะบอกว่าอยู่ในโลกนี้แล้ว “รู้พอ” ใช่ไหม (ใช่)  แม้บางครั้งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เองก็ยากที่จะรู้พอได้ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์หากรู้จักคำว่า “รู้พอ”  ก็คงหยุดปรกโปรดเวไนยแล้ว  คงไม่คิดที่จะลงมาช่วย คงไม่คิดที่จะนำธรรมะมาเผยแผ่อีกต่อไป คงเก็บทั้งธรรมะ คงเก็บทั้งโองการเรียบร้อยแล้ว  คนเรานั้นจะบำเพ็ญธรรมได้ก็ต่อเมื่อรู้จักพอบ้าง  การรู้จักพอในที่นี้ของเรา ไม่ใช่ตัดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในความหมายนี้ก็คือว่า รู้จักพอในการแสวงหาต่อวันๆ หนึ่ง ต่อชีวิตหนึ่งบ้าง  นั่นก็คือวันหนึ่งหาได้เท่านี้ก็พอแล้ว เวลาที่เหลือให้สร้างความดีงามไว้กับตน  ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตของเราเกิดมาทั้งชีวิตก็เพียงเพื่อหาเงินทอง หาใช่ความดีงามและคุณค่าแห่งชีวิตไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เมื่อสักครู่เราข้ามเรื่องหนึ่งไปคือการตัดสินใจ บ่อยครั้งที่เรายากตัดสินใจ เหมือนกับเราได้รู้ว่าตอนนี้เรามีวิถีทางหนึ่ง นั่นก็คือการบำเพ็ญตนให้กับชีวิต แต่พอบอกว่า ให้ตัดสินใจมาบำเพ็ญไหม ทุกคนกลับบอกว่ายากจะตัดสินใจ  ที่บอกว่ายากเพราะว่าถ้าตัดสินใจแล้วต้องรับผิดชอบ ถ้าตัดสินใจแล้วต้องแบกเรื่องการบำเพ็ญต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงโยนให้คนอื่นช่วยตัดสิน พอโยนให้คนอื่นตัดสินแล้วผิดก็โทษเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับในชีวิตประจำวัน ทุกๆ คน ทุกๆ ขณะเวลา ทุกๆ ขณะชีวิต เราต้องตัดสินใจ ใช่ไหม (ใช่)  ก้าวไปหนึ่งก้าว บางครั้งไปซ้ายดีไปขวาดี เดินหน้าต่อดีหรือว่าถอยหลังดี  บางครั้งเราไม่ตัดสิน ให้คนเดินร่วมทางช่วยตัดสิน พอเจออันตรายก็โทษเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้บางครั้งถึงคราวที่ต้องตัดสินใจ ก็อดมองข้างๆ ไม่ได้ ก็อดถามคนที่ชักพาไม่ได้  ก่อนที่เราจะตัดสินใจอะไร เราต้องดูที่ตัวเราเองก่อน ไม่มีใครช่วยเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะตัดสินใจก้าวบำเพ็ญไหม หรือจะตัดสินใจไม่บำเพ็ญ  นั่นก็ขึ้นอยู่ที่ตัวท่าน แต่ตัดสินใจแล้วต้องรับผิดชอบเป็นเรื่องที่หนักเกินไปหรือ  ชีวิตต้องรู้จักเรียนรู้การบำเพ็ญ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเรียนรู้หรือ ก็ไม่ใช่  หากตัดสินใจแล้วทำให้เรารู้ว่า ชีวิตมีคุณค่าคือการได้รู้จักขัดเกลาตน บำเพ็ญตนและควบคุมตนให้ถูกทางและดีงาม ทำไมการตัดสินใจจะบำเพ็ญจึงต้องกลายเป็นเรื่องยากด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
เรายกตัวอย่างง่ายๆ เป็นนิทานเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง เป็นนิทานที่ไม่ไกลเกินไปหรอก เป็นนิทานที่ทุกคนก็เห็นด้วยตามาแล้ว  อย่างเช่นง่ายๆ ทำไมเราจึงบอกว่าธรรมะนั้นหากรู้จักนำไปใช้ในชีวิตจะเกิดความสงบสุข จะเกิดความร่มเย็นในครอบครัว  เรื่องง่ายๆ ก็มีอยู่ว่า มีครอบครัวๆ หนึ่ง พ่อแม่มีใจใฝ่หาศึกษาหลักธรรมะ ทุกขณะจิตได้หมั่นสำรวจตัวเองว่า ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะทำอะไรมีหลักธรรมไหม ไม่ว่าจะพูดจาก็ต้องรักษาสัจจะวาจา ต่อลูกต้องรักใคร่เมตตา ต่อคนอื่นก็มีความเมตตารักใคร่เหมือนกัน ต่อบิดามารดากตัญญูถือเป็นหนึ่ง ไม่เคยบิดเบือนไม่เคยเปลี่ยนแปลง  มีวันหนึ่งลูกกระทำสิ่งที่ผิด เด็กคนนี้เขากล้าเดินไปบอกแม่และพ่อว่า วันนี้ได้ทำผิดเป็นเรื่องราวเช่นนี้ๆ พ่อแม่จะว่าฉันใด พ่อแม่กลับตอบไปด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข เพราะรู้สึกว่าลูกกล้าเล่าสิ่งที่ไม่ดี นั่นก็แปลว่าอะไรที่ไม่ดีลูกย่อมพร้อมที่จะปรึกษา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อลูกกล้าเล่า พ่อจึงกล้าเปิดใจกว้างและรับสิ่งที่ลูกเป็น นั่นก็คือให้อภัย พร้อมชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้กับลูก  แต่อีกครอบครัวหนึ่ง ปกติก็หาเงิน มีชีวิตอยู่ก็รักบ้าง บางครั้งไม่มีเวลาก็ลืมดูแลเอาใจใส่ คุณธรรมบางครั้งก็มี นึกได้นึกถึงก็สร้าง ไม่นึกถึงก็ทอดทิ้งไป  บางครั้งก็เหมือนรักแม่ของตน บางครั้งก็เหมือนดูแลลูกของตน  แต่บางครั้งก็เหมือนทอดทิ้งพ่อแม่ของตน บางครั้งก็เหมือนทอดทิ้งลูกของตน  พอเด็กคนนี้กระทำผิด ท่านคิดว่าเขาจะทำประการใด เข้ากล้าที่จะเล่าให้พ่อแม่เขาฟังหรือไม่  เรายกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านลองคิดดู ใครว่ากล้า ใครว่าไม่กล้า ยกมือขึ้น ทำไมจึงไม่กล้า (เพราะว่าเขาไม่ทราบได้ว่าพ่อและแม่จะเปิดใจรับในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปหรือเปล่า เพราะพ่อแม่จะบริภาษให้อับอายหรือลงโทษเฆี่ยนตี)  ช่างดูเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่โหดดีนะ เพราะแต่ละโทษที่ให้น่ากลัวเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่ไว้วางใจในจิตใจพ่อแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นลูกแท้ๆ เรายังไม่ไว้วางใจในจิตใจพ่อแม่เลย แล้วใครจะไว้วางใจในจิตใจพ่อแม่เราได้  แม้เราจะรู้ว่าบางครั้งพ่อแม่อาจจะมีธรรมบ้าง ไม่มีธรรมบ้าง แต่ถ้าเราเกิดเป็นคน เกิดเป็นลูกแล้ว แม้จะพูดว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว แต่เชื้อก็อาจจะดีกว่าเดิมก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันนี้ขึ้นอยู่ที่จิตใจท่าน หากใจท่านกล้ายอมรับผิด นั่นก็คือว่าเราสามารถเอาคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวตน ไปสะท้อนสะเทือนจิตใจพ่อแม่ให้รู้ว่า “ผิดว่าไปตามผิด ถูกชี้ให้เห็นถูก”  แต่ถ้าเกิดว่าเราเอาแต่หลบลี้ เอาแต่หลบหนี ก็เท่ากับว่าเราจะไม่ทำให้ครอบครัวดีขึ้นเลย  ฉะนั้นการปฏิบัติชีวิตของคนเราจึงอยู่ที่ว่า ไม่ใช่มองคนอื่นว่าพ่อแม่ต้องมีคุณธรรม เราถึงจะมีใจปฏิบัติธรรมด้วย แต่ต้องอยู่ที่ตัวเรา หากตัวเราปฏิบัติได้ พ่อแม่อาจจะสะเทือนใจและสนใจ และพร้อมที่จะปฏิบัติตามก็เป็นได้  และหากพ่อแม่ปฏิบัติตนดีแล้ว เราก็พร้อมจะปฏิบัติตนดีด้วย ไม่เท่ากับว่าเป็นการส่งเสริมให้ครอบครัวยิ่งร่มเย็นเป็นสุขหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนแล้วขออย่าได้ลืมเลือนเรื่องคุณธรรม ผิดว่าไปตามผิด อย่าได้อับอาย  คนเราผิดแล้วรู้จักละอาย รู้จักที่จะแก้ไข ผิดแล้วกล้าให้คนอื่นชี้นำแนวทางที่ถูก นี่แหละคือผู้บำเพ็ญตน นี่แหละคือคนที่รู้จักนำธรรมะมาใช้ในชีวิตของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)
บ่อยครั้งที่เวลาเรามีชีวิตอยู่ บางครั้งอุปนิสัยความเคยชินบางอย่าง เมื่อเรามีก็ทำให้เราสง่างามดีงาม แต่บางอย่างพอเรามีก็เกิดความขัดแย้ง บางอย่างพอเรามีก็เกิดความทุกข์และความเจ็บปวด  มนุษย์เรามีอุปนิสัยแตกต่างกันออกไป บางคนเจ้าอารมณ์ บางคนฉลาดหลักแหลม บางคนหน้าอย่างหลังอย่าง บางคนคดในข้องอในกระดูก บางคนเผลอหน่อยก็ทำผิด มืดๆ ลับๆ ก็แอบทำ ไม่อายฟ้าไม่อายดินใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างในตัวของมนุษย์ ย่อมมีสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วดีงาม และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำแล้วเจ็บปวด ทำไมเราไม่ยอมมองให้ดี มองให้ออกว่าสิ่งที่ทำแล้วดีงามเป็นเช่นไรและรักษาไว้ สิ่งที่ทำให้เจ็บปวด ต้องทุกข์ทน เดี๋ยววันนี้ทุกข์ วันนี้สุข ทำไมเราไม่ดูให้แจ่มชัดว่าสิ่งที่ทุกข์นั้นเกิดมาจากสิ่งใด  เมื่อมองให้แจ่มชัด กล้ายอมรับ แล้วกล้าเลิก นั่นจึงเรียกว่าผู้พร้อมจะบำเพ็ญตน ผู้พร้อมจะขัดเกลาตน ผู้พร้อมจะก้าวเดินสู่ความเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปุถุชนเมื่อรู้ว่ามีสิ่งที่เกิดในตัวตน ทำแล้วเกิดทุกข์ ทำแล้วเกิดความผิดพลาด ทำไมไม่กล้ายอมรับและทำไมไม่กล้าลงมือแก้ไข กลับปล่อยให้สิ่งนั้นยิ่งเกิดความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีก อันตรายของมนุษย์อย่างหนึ่งก็คือ ไม่รู้ว่าตัวเองทุกข์เพราะอะไร ไม่รู้ว่าจะดับทุกข์ได้ด้วยอะไร และไม่ยอมรับว่าตัวเองนั้นทุกข์  พอบอกว่าให้มาศึกษาบำเพ็ญธรรม พอบอกว่ามีชีวิตให้รู้จักใช้คุณธรรม ทุกคนกลับพูดว่าไม่มีเวลา ทุกคนกลับบอกว่ารู้แล้ว แต่ไม่เคยปฏิบัติใช่ไหม  จึงไม่พบความสุขแห่งการใช้ธรรมะ จึงไม่เคยรู้ค่าแห่งการเป็นผู้บำเพ็ญตน  สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่สามารถฝึกฝนธรรมะได้อย่างถ่องแท้ ไม่สามารถค้นพบความดีงามในการบำเพ็ญตน นั่นก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ความยึดมั่นถือมั่นในนิสัยความเคยชิน ความไม่ยอมรับสิ่งที่ตนเองเรียกว่าผิด เมื่อบอกว่าผิดเราก็สร้างเกราะป้องกันไม่ให้ใครมากล่าวโทษใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อบอกว่าเราร้าย เราก็สร้างเหตุผลนานามาเพื่อไม่ให้ใครมาว่าเราร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่มนุษย์เราเอาอารมณ์มาเหนือเหตุผล คนนั้นก็ยากจะมีชีวิตที่ดีงามได้  เมื่อไรที่มีเหตุผลมากจนไม่เห็นจิตใจคน เมื่อนั้นก็ย่อมอันตราย จริงหรือไม่  ทำไมบางคนมีอารมณ์เหนือเหตุผล บางคนเวลาทะเลาะกัน เราดูแล้วเขาพูดอะไรไม่มีเหตุผลเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่มีเหตุผล บางครั้งก็ยึดติดเหตุผลจนมองไม่เห็นใจคนเลยใช่ไหม (ใช่)
เรื่องบางเรื่องในชีวิต จะให้อะไรสมหวังไปเสียหมด ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้วันนี้คิดว่ามาฟังธรรมะ ไม่คิดว่าจะมาเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ต้องได้เจอ ถ้าเราไม่สามารถปรับใจให้ทัน รับให้ได้ เราก็จะนั่งตรงนี้ได้อย่างไม่มีสุข  ถ้าเรานั่งตรงนี้แม้จะรับไม่ได้ แต่ไม่รู้จักนำธรรมที่เรียกว่า ขันติอดทนมาใช้ เราก็จะไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
โปรดพุทธะให้เป็นพุทธะช่างยากเสียนี่กระไร ถ้าท่านเคยศึกษาหลักคัมภีร์หรือศึกษาพระไตรปิฎก หลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วลืมตาพูดออกมาคำแรกพูดว่าอะไรรู้ไหม “สรรพสิ่งก็คือพุทธะ สรรพสิ่งก็มีชีวิต มีจิตแห่งความเป็นพุทธะแฝงซ่อนเร้นอยู่ แต่อยู่ที่ว่าเขาได้เห็นด้วยตาเนื้อ หรือว่าด้วยตาแห่งธรรมกัน”  ใช่ไหม (ใช่)  เรามีชีวิตเราใช้ตาเนื้อมองเนื้อคนมาเยอะแล้ว ทำไมเราไม่เปิดตาแห่งธรรมะ มองจิตใจ มองธรรมะในชีวิตของตนเองบ้าง อย่าได้ปล่อยให้ตานี้ หูนี้ หรือใจนี้หลอกเราอีกเลย  ชีวิตคนจะมีค่า จะเป็นคนหรือเป็นพุทธะ ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
“ยาดีขมปากใจสั่นต้องทน”  การฝึกฝนตนเพื่อขัดเกลาตนให้ฟื้นคืนความเป็นพุทธะนั้น อาจจะเหมือนกับการกินยาเพื่อรักษาผู้ป่วย ขมถึงขนาดปากและใจสั่น ยากลำบากถึงขนาดปากและใจต้องสั่น ยังจะเพียรพยายามบำเพ็ญกันบ้างไหม  แค่บอกให้เริ่มต้นบำเพ็ญ ทุกคนก็ยังงงงวยสงสัยอยู่ใช่หรือไม่ พูดง่ายๆ ว่า การบำเพ็ญธรรมก็คือการรู้จักนำคุณธรรมมาขัดเกลาจิตใจตนเอง การนำคุณธรรมมาใช้ควบคุมความประพฤติในการดำเนินชีวิต ให้ชีวิตนี้ตั้งอยู่ในความเที่ยงธรรม มีพื้นฐานอยู่ในความดีงาม เมื่อใจเที่ยง กายยืนอยู่ด้วยความบริสุทธิ์และดีงาม  การดำเนินชีวิตย่อมเป็นอย่างไร บริสุทธิ์ยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าโดยปกติเราไม่เคยได้มองดูกาย ไม่เคยได้ใช้ธรรม บางครั้งความรักความชอบก็ทำให้เราเบี่ยงเบนจากความเที่ยงธรรม บางครั้งความรู้และความเป็นตัวของตัวเองก็ทำให้เราบดบังภาพจริงแห่งชีวิต ใช่หรือไม่  ทำไมเราจึงบอกว่าอารมณ์ทำให้เราเบี่ยงเบนความรู้หรือความเป็นตัวของตัวเอง ทำให้เรามองภาพไม่ชัด นั่นก็คือว่าบางครั้งตัวเรามีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ เมื่อมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ สิ่งใดที่ตรงข้ามกับของตัวเอง เรามักจะไม่เห็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเรามีความถูกต้อง อย่างนี้เรียกว่า “ถูกต้อง”  แต่พอมาอีกคนบอกว่าไม่ใช่ อย่างนี้เรียกว่า “ไม่ถูกต้อง”  จะเกิดความยุติธรรมไหม ไม่ยุติธรรม ใช่หรือไม่  ในเมื่อทุกๆ คนก็มีเหตุผล แต่ถ้าเหตุผลของแต่ละคนไม่ยืนอยู่บนความดีงาม ไม่ยืนอยู่บนคุณธรรม เหตุผลของแต่ละคนย่อมไม่มีวันถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคุณธรรมจึงเป็นเหมือนบรรทัดฐาน ในการดำเนินชีวิตให้มนุษย์อยู่ด้วยความกลมกลืน และมีแนวทางอันถูกต้อง การบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการที่เอาคุณธรรมมาใช้ แล้วอยู่กับชีวิตทุกชีวิตได้อย่างกลมกลืน ไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดความขัดแย้ง และไม่เกิดการแก่งแย่งประหัตประหารกัน
 หากมีชีวิตเอาแต่ทำเพื่อตน ไม่เคยคิดถึงคุณธรรม ไม่เคยคิดถึงความดี ไม่เคยมีเวลาช่วยเหลือคนอื่นเลย แม้ฟ้าก็ยากปรานีกับคนๆ นี้ แม้มีชีวิตที่ยืนยาวกำหนดมาแล้ว ฟ้าก็อาจตัดให้เหลือสั้นลง  เพราะคนที่คิดถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง ไม่เคยนึกถึงคุณธรรมก็เหมือนกับคนที่ดวงตามองออกไปภายนอก แล้วภายนอกฝนตกอยู่ ไม่เคยเห็นภาพใดชัดเจน และไม่เคยเห็นตัวตนเองอย่างดีงาม หรือเห็นตัวเองดีงาม แต่เห็นภาพผู้อื่นขมุกขมัว เกิดมามีชีวิต หากหวังแต่จะสะสมทรัพย์หรือหวังใครที่จะอยู่ร่วมด้วย ต้องมีประโยชน์ ตัวเองต้องเป็นผู้ได้ แต่ไม่เคยให้  คนๆ นั้นแม้ใจจะเคยสุกใสสกาวมาก่อน สักวันหนึ่งก็ต้องหม่นหมองอับแสง  หากรู้แล้วว่าชีวิตนี้จะสามารถกลับคืนสู่ความสุกใส กลับคืนสู่ใจแห่งพุทธะก็คือรู้จักหันมามองตน กล้ายอมรับความเป็นจริง หยุดยั้งที่จะแสวงหาทางโลกบ้าง แล้วมีใจใฝ่หาบำเพ็ญธรรม เมื่อนั้นแม้ใจจะมืดมนก็กลับคืนสู่ความสุกใสสกาวได้
วันนี้โอกาสที่เราจะมาผูกบุญสัมพันธ์ก็สั้นๆ แค่นี้เองนะ มีโอกาสลองมาศึกษาบำเพ็ญธรรมดูบ้าง เรื่องบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องไกลเกินชีวิตเลย  ทุกคนสามารถบำเพ็ญธรรมได้ ไม่ว่าอายุน้อย อายุมาก หากรู้จักบำเพ็ญธรรม รู้จักนำคุณธรรมมาใช้ในชีวิต เกิดเป็นคนก็ย่อมมีคุณค่าแล้ว และคุณค่านี้ยังสะท้อนสะเทือนใจผู้อื่นได้อีกด้วย แต่ขอให้เป็นความดีที่มั่นคง  คนเรามีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อมุ่งมั่นตั้งใจทำ อดทน พยายาม อย่างไม่ย่อท้อ เขาผู้นั้นก็เป็นคนที่สำเร็จได้ และเราก็หวังว่าท่านจะเอาสิ่งนี้ไปใช้บ้างในการบำเพ็ญไม่มากก็น้อย เราไม่อยากพูดคำเดิมๆ เลย พุทธะมากี่ครั้งก็ต้องบอกว่าไม่ได้มาหลอกลวงนะ แต่จริงๆ แล้วศีลของพระโพธิสัตว์แม้จะมีมากข้อ แต่มีข้อหนึ่งพูดแล้วสามารถให้ท่านจำได้ แล้วใช้ไปตลอด นั่นก็คือ ”ไม่สามารถนิ่งเฉยได้เมื่อเห็นทุกข์ของเวไนย และไม่สามารถเป็นสุขได้แม้เวไนยยังเป็นทุกข์”  นี่แหละถ้าท่านสามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นก็คือการดำเนินอย่างโพธิสัตว์  เราหวังแค่ว่ายังไม่ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ขอให้รู้ตัวเองว่าตัวท่านเองก็คือพุทธะ และตัวท่านเองก็สามารถบำเพ็ญเป็นพุทธะได้
คงต้องจากลากันเท่านี้ ม้าจะเป็นอาชาไนยก็ต่อเมื่อได้วิ่ง วันนี้ก็คงต้องไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
รองเท้าหลุดที่สวนแตงไม่ก้มใส่ หมวกเบี้ยวในสวนสาลี่ไม่เอื้อมจัด
ชีวิตจึงต้องดำเนินอย่างเคร่งครัด เฝ้าระมัดระวังแต่ใช่ระแวง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอริยคุณธรรม   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
ชอบเป็นมิตรกับคนที่มีเหตุผล เขายังทนเราได้เพราะเราแก้ไข
ที่จริงคนอภัยคนอยู่เรื่อยไป แต่ไม่วายเราต้องรู้จักตัวเอง
เหมือนตาบอดนั่งห้องมืดทรมานใจ ไม่รู้จักตนเองไซร้คิดว่าตนเก่ง
นั่งในเรือเรือไม่วายจะโคลงเคลง เดินยิ่งเร่งก็ยิ่งล้มอนาถใจ
รู้จักตนตาสว่างกลางดินฟ้า ทุกเวลาจิตและใจงามแจ่มใส
บำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งเดินไวก็ยิ่งถึงเร็วขึ้นเอย
ทานตะวันมีชีวิตตามแสงกล้า ใช่ว่าท้าทายแต่มีความเปิดเผย
ดั่งคนกล้าสู้หน้าความจริงเอย ละชินเคยอย่างไม่เคยจะท้อใจ
ฝนตกหนักหนทางมักพร่ามัว อย่าได้กลัวสู้ต่อไปหาความหมาย
ฝ่าอุปสรรคต้องเตรียมพร้อมทั้งใจกาย กลางวุ่นวายคือสงบพบตัวเรา
ใช้ปัญญาความอ่อนน้อมและยอมทน คนชอบบ่นคล้ายคล้ายกับคนเขลา
เฝ้าปล่อยวางมีเมตตาจิตใสเบา เปลี่ยนคนเก่าเป็นคนใหม่เร็ววันเอย
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าเราควบคุมใจเราได้ จะเป็นอย่างไร (ไม่อยากได้)  ถ้าเราควบคุมใจเราได้ก็จะเรียกว่ามีสติ  อยากเป็นคนมีสติหรืออยากเป็นคนบ้า (เป็นคนมีสติ)  มนุษย์ทุกวันนี้หาเงินทองทุกวันเลย มีวันไหนไม่หาไหม ความมีเงินทองมากมายทำให้เรามีทุกข์หรือทำให้เรามีสุข (มีทุกข์)  หาไม่หา (หา)  ทำไมต้องหา เพื่ออะไร (เพื่อปากท้อง, เพราะเลี้ยงกาย, เพื่อความอยู่รอด)  พูดง่ายๆ คือหาข้าวใส่ท้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่าเคยมีมื้อไหนที่ท้องหิวไหม (มี)  เวลาเราหิวข้าว เรานึกถึงข้าวใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยนึกถึงคนที่เขาหิวข้าวของคนอื่นไหม เคยไหม (เคย)  อาจารย์สมมติว่าทรัพย์สินในโลกนี้มีเท่านี้ มีแค่นี้เอง
(พระอาจารย์หยิบพานผลไม้ที่มีเงาะให้ดูและเมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนในชั้น)
อาจารย์สมมติว่าให้คนที่มีผลไม้อยู่ในมือตอนนี้เป็นคนรวยดีไหม แล้วที่เหลือทรัพย์สินอยู่ในโลกนี้มีอยู่เท่าไหร่ เหลืออยู่เยอะไหม (มีอยู่ไม่เยอะ)  มีอยู่นิดเดียวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนนี้เป็นส่วนที่คนจนพยายามจะแย่งกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าให้คนในห้องนี้เป็นคนในโลกก็คงจะเหลือให้คนหนึ่งได้ไม่ถึงลูก เป็นหน้าที่ของใครต้องเสียสละ (คนรวย)  เป็นหน้าที่ของคนรวยที่ต้องเสียสละ ใช่หรือไม่ ที่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะต้องการจะบอกว่า ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่จำกัดมาก เหมือนทรัพยากร เหมือนทรัพย์สินเงินทอง คนที่มีอยู่ก็คือคนที่มี คนที่มีถ้าสละออกมาคนที่จนก็จะได้รับ  ถ้าเกิดคนที่มีไม่สละออกมา คนที่จนก็จะได้รับไหม (ไม่ได้รับ)  เราหาทรัพย์สินเงินทองกันอย่างบ้าคลั่ง จากมือคนนี้โอนไปมือคนนี้ แล้วมือคนนี้โอนไปมือคนนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แท้ที่จริงแล้วเป็นของใคร  ถามว่าคนที่มีเงินอยู่ในมือตอนนี้ ใช่เงินของตัวไหม  วันสุดท้ายที่ละจากกายสังขารตัวนี้แล้ว เอาเงินนี้ไปด้วยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเอาอะไรไปได้ เวลาเราหาเงินทองอย่างบ้าคลั่ง เราสร้างบาปไหม (สร้าง)  เวลาเราหาทรัพย์สินอย่างบ้าคลั่ง หาอำนาจอย่างบ้าคลั่ง เรามีบาปไหม (มี)  เรามีบุญไหม  สมมติว่าอาจารย์ยกให้ศิษย์ว่า ศิษย์ก็มีบุญเหมือนกัน แต่ถามว่ามีบุญกับบาปเอาอะไรเยอะกว่ากัน (บุญ, บาป)  แล้วอะไรติดตัวไป สิ่งที่ติดตัวเราไปก็คือบุญกับบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่หาเงินทองอย่างบ้าคลั่ง ส่วนใหญ่หาอำนาจ หาวัตถุอย่างบ้าคลั่ง แล้วสิ่งที่ติดตัวเราไปนั้นคืออะไรเป็นส่วนใหญ่ (บาป)  บาปเป็นส่วนใหญ่ มีคนบอกว่าเวลารับธรรมะเสร็จแล้ว จะหลุดพ้นไปนิพพาน ถ้ามีบาปเยอะหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามีบาปน้อยหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามีบาปนิดหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าคนที่ไม่มีบาปเลยหลุดพ้นได้ไหม (ได้)  ถ้ามีบุญนิดหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้ามีบุญมากหลุดพ้นได้ไหม (ได้)  แน่ใจหรือเปล่า
ถ้าหากว่ายังมีบาปกรรมเป็นหนี้ติดตัว ก็ย่อมจะไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แน่นอนอาจารย์ชี้ประตูเกิดตายให้ศิษย์แล้ว ศิษย์สามารถที่จะหลุดพ้นได้ แต่มีใครในที่นี้เชื่อว่าตัวเองหลุดพ้นได้ ไม่มีเลย ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่  ถ้าอาจารย์ถามทีละคน ศิษย์ต้องตอบว่าไม่มีแน่นอน ไม่กล้าตอบว่าตัวเองจะหลุดพ้น เพราะว่าอะไร (ยังไม่รู้จักพอ, บำเพ็ญธรรมยังไม่ถูกต้อง)  จะบอกว่าทำไมถึงไม่หลุดพ้น ทำไมทุกคนคิดออกว่าตัวเองไม่หลุดพ้นล่ะ จริงๆ แล้วทุกคนรู้ว่าทำไมตัวเองจึงไม่สามารถหลุดพ้นได้ ใช่หรือไม่   (ใช่)  แต่ว่าเคยไปแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองรู้ไหม (ไม่เคย)  ไม่เคยเลย คนที่รู้แล้วไม่รู้จักแก้ไขเป็นคนน่าสงสารไหม (น่าสงสาร)  ตัวเราตอนนี้น่าสงสารไหม (น่าสงสาร)  ฉะนั้นสิ่งที่เราตอบมาทั้งหมด ทำไมเรายังไม่หลุดพ้น เป็นเพราะว่าเรายังไม่บำเพ็ญ เป็นเพราะว่าเรายังไม่ปล่อยวางวัตถุ เป็นเพราะว่าเรานั้นยังไม่ขัดเกลาจิตใจ เป็นเพราะว่าอะไรเยอะแยะมากมายไปหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างคนต่างรู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงไม่แก้ไข ถ้าเราแก้ไขในสิ่งนั้นเรียบร้อยไปแล้ว ถามว่าเรานั้นจะก้าวขึ้นสูงอีกขั้นหนึ่งไหม (ก้าว)  เราจะก้าวขึ้นสูงอีกก้าวหนึ่ง เหมือนก้าวขึ้นบันได ในเมื่อขั้นนี้เราเหยียบขึ้นมาแล้ว เราก็จะขึ้นสู่อีกขั้นหนึ่งอย่างปลอดภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็ไม่ต้องคิดว่าเรานั้นจะต้องทำอะไรอีกบ้างในการบำเพ็ญธรรม  ขอเพียงให้เราขัดเกลาทุกๆ วัน หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป สามวันผ่านไป สามปีผ่านไป เราอาจจะก้าวขึ้นมาสู่อีกขั้นหนึ่งโดยธรรมชาติ ใช่หรือไม่  โดยที่ไม่ต้องมีใครบอกเราเลยว่าเราควรจะทำอย่างไร แต่โดยธรรมชาติเรานั้นได้ถูกยกขึ้นมาเอง เหมือนกับเรานั้นอยู่ในมหาสมุทรลึกๆ แล้ววันหนึ่งของอย่างนี้ก็ลอยขึ้นมาอยู่เหนือมหาสมุทรได้เองโดยธรรมชาติ  อาจจะเป็นเพราะว่าเขาหลุดมาจากปะการังที่เหนี่ยวรั้งตัวเขาไว้ ใช่หรือไม่  แต่ไม่ใช่บอกว่าขึ้นมาแค่ขั้นเดียว แต่ต้องขึ้นมานับขั้นไม่ถ้วนเลยทีเดียว  ถ้าหากหนึ่งวันผ่านไปอย่างไร้คุณค่า สองวันผ่านไปอย่างไร้คุณค่า สามวันผ่านไปก็ไม่มีอะไร สี่วันผ่านไปก็อย่างนั้นๆ ห้าวันผ่านไปไม่เอาแล้ว หกวันผ่านไปบาปกับบุญก็เหมือนๆ กัน ถามว่าคนประเภทนี้หลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้ว่าตัวเองนั้นควรจะทำอย่างไร
ทำไมวันนี้ถึงต้องมาพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ เพราะว่าตายไปเอาอะไรไปไม่ได้  ถ้าหากว่าตายไปโดยที่เรามีบาปมาก ก็จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไป  ในรอบนี้เกิดมาเป็นคน ทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยากสุขไหม (อยาก)  อยากสุขมีสุขไหม (มี)  มีกับไม่ค่อยมีและไม่ค่อยมีเลย แล้วรอบต่อไปกลับมาก็เหมือนกันเลย ทุกข์ไหม สุขมีไหม อยากมีแล้วมีไหม เหมือนกันเลย กี่รอบๆ ก็เหมือนกันอยู่อย่างนี้ ดีไม่ดีถ้าชาติหน้าไม่ได้เกิดมาเป็นคน ตกเคราะห์หนักยิ่งกว่านี้อีก เคยเห็นหมูไหม (เคย)  กินเขาไหม น่าสงสารไหม เขาอยากตายไหม เขาอยากโดนเชือดไหม เขาเจ็บไหม (เจ็บ)  ถามว่าเขาร้องมีคนเห็นใจเขาไหม เขาพูดแล้วมีใครฟังเขารู้เรื่องไหม แล้วทุกวันเขาเดินกี่เท้า (สี่เท้า)  แล้วเราเดินกี่เท้า (สองเท้า)  เราสบายไหม (สบาย)  เขาลำบากไหม (ลำบาก)  สมมติง่ายๆ แค่สัตว์ที่ศิษย์รู้จักแล้วกินอยู่ทุกวัน เขาลำบากที่สุดเลย  ถ้าหากว่าวันหนึ่งเราต้องกลับมาเกิดเป็นเขา เราไม่ยิ่งลำบากกว่านี้หรือ แล้วถึงตอนนั้นร้องให้ใครช่วย มีใครได้ยินไหม (ไม่มี)  ถึงจะร้องให้ตาย คนก็จะแทงคอ ร้องให้ตายคนก็จะฆ่าทิ้งให้ได้  แล้วความทุกข์ที่เราจะได้เจอ วันหน้าอาจจะหนักยิ่งกว่านี้ ทั้งๆ ที่เรารู้ ทำไมเราไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นด้วยการบำเพ็ญธรรม  ทำไมถึงต้องบำเพ็ญธรรม คนบำเพ็ญธรรมต่อไปก็คือศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาคนบำเพ็ญธรรมอารมณ์เสียเป็นอย่างไร ถามว่าถึงตอนนี้สองคนเชิญลุกขึ้นยืน  คนนี้เป็นคนบำเพ็ญธรรม ส่วนคนนี้เป็นคนที่เฝ้ามองคนบำเพ็ญธรรมอยู่ มีอยู่วันหนึ่งคนบำเพ็ญธรรมเกิดอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างรุนแรง คนที่เฝ้ามองอยู่ก็คอยมองว่า คนบำเพ็ญธรรมอารมณ์เสียเป็นอย่างไร ทำไมคนบำเพ็ญธรรมแล้วถึงอารมณ์เสีย มีเหตุผลไหม (ไม่มี)  สมมติว่าคนที่เป็นหมายเลขหนึ่ง รองหัวหน้าชั้นนั้นเป็นเรา ทำไมเราถึงอารมณ์เสีย มีเหตุผลไหม (ไม่มี)  อาจารย์กำลังจะบอกว่าคนบำเพ็ญธรรมนั้น และคนที่ไม่บำเพ็ญธรรมนั้นเหมือนหรือต่างกันที่ไหน  ถ้าเราบำเพ็ญธรรมได้ เราต้องระงับความโกรธได้ในเวลาอันรวดเร็ว นั่นจึงจะเป็นคนบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เฝ้ามองคนอื่นอยู่โดยที่ตนเองนั้นไม่ลุกขึ้นมาบำเพ็ญสักที สุดท้ายก็เป็นได้แค่คนมองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบำเพ็ญธรรมเขาอาจจะโมโหกองเท่าฝ่ามือ แต่เขาสามารถลดลงได้เรื่อยๆ โดยที่ศิษย์นั้นไม่เห็นเพราะว่าศิษย์ไม่ได้มองเขาตลอด ในขณะที่ของเราก็กองขนาดนี้เหมือนกัน  แต่ทำไมความโมโหของเราจึงเพิ่มขึ้นๆ แล้วคนไหนที่ศิษย์อยากเลือกเป็น  เราทุกคนอยากเป็นคนแรก แต่เราทุกคนนั้นไม่ยอมเริ่มบำเพ็ญธรรม  ฉะนั้นการที่อาจารย์มาในวันนี้เพื่อบอกให้ศิษย์รู้ว่าทุกคนนั้นต้องบำเพ็ญธรรมเพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อย่าบอกว่าตนเองนั้นทำไม่ได้ ขอให้เราได้ลองทำดู แล้วเราจะรู้ว่าจนสุดท้ายนั้นเราไปถึงแค่ไหน  หากเราได้ลงแรงเต็มที่แล้ว เรานั้นไปไม่ถึง เราดีใจไหม  กับอีกคนหนึ่งที่ลงแรงไม่เต็มที่ สุดท้ายไปไม่ถึง คนที่ลงแรงเต็มที่แม้ไปไม่ถึงในใจลึกๆ ก็ยังเกิดความดีใจขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่ไม่เคยลงแรงทำเลย มัวแต่มองคนอื่นเขา มัวแต่ว่าเขา จนสุดท้ายแล้วเราไปไม่ถึงไหน ไม่ได้ออกเดินหน้าแม้สักก้าวเดียว เราจะดีใจหรือ (ไม่ดีใจ)  เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าทุกคนนั้นมีสิทธิ์ ขอเพียงมีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์ทำ มีสิทธิ์ลอง และได้ทำเต็มที่ อาจารย์เชื่อแน่ว่าศิษย์ทุกคนย่อมได้รับผลตามที่ศิษย์ได้ลงมือกระทำอย่างแน่นอน
ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ลงมือปลูกแตงโม ก็ต้องเป็นแตงโม ถ้าหากว่าลงมือปลูกมะม่วง ก็ต้องเป็นมะม่วงไม่เป็นอย่างอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าแตงโมไม่ขึ้น ถ้ามะม่วงไม่ขึ้น เราก็ปลูกใหม่ จนกว่าชีวิตของเราจะหาไม่  ดูว่าจนสุดท้ายปลูกชั่วชีวิต บำเพ็ญชั่วชีวิต ถึงสุดท้ายไม่ได้อะไรเลย ก็ยังดีใจที่ได้ปลูกใช่หรือไม่ (ใช่)  มีไหมคนที่พยายามปลูกแต่ปลูกไม่ขึ้น อาจารย์ไม่เคยเห็น ถ้าทุกคนพยายามปลูก ก็ย่อมปลูกขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อปลูกขึ้นมาแล้วต้องทำอย่างไร ปล่อยไปตามยถากรรมได้ไหม (ไม่ได้)  ปล่อยตัวเองไปตามยถากรรมได้ไหม ยอมแพ้กับชีวิตนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงบอกว่าชีวิตนี้เกิดมาต้องตาย ชีวิตนี้เกิดมาถ้าหากไม่ทำประโยชน์ก็ไม่มีค่า  แต่ศิษย์จะปล่อยให้ชีวิตของตนเองไร้ค่า เพราะคิดว่าวันหนึ่งต้องตายได้ไหม (ไม่ได้)  คนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่คนที่ปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ แต่เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมที่เราคุยกันวันนี้นะ
เคยฟังนิทานเรื่องที่อาจารย์ยกขึ้นมานี้ไหม มีผู้ชายคนหนึ่ง วันหนึ่งเขาเดินผ่านออกไปข้างนอก เดินผ่านสวนแตงโม แตงโมขึ้นที่พื้นใช่หรือไม่ (ใช่)  พอดีรองเท้าของเขาเกิดหลุดขึ้นมา ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร (ก้มลงไปใส่)  พอดีเจ้าของสวนยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ใกล้ที่มองไม่ชัดว่าเราทำอะไรอยู่ เขาคิดว่าเราเป็นอะไร (ขโมย)  เขาคิดว่าเรากำลังจะขโมยแตงแล้วจะแก้ตัวอย่างไร  พูดอะไรนั้นถามว่า เจ้าของสวนจะฟังไหม (ไม่ฟัง)  เขาต้องว่าเราเป็นอะไร (ขโมย)  มีทางหนีไหม (ไม่มี)  เป็นสมัยนี้ทำอย่างไร แจ้งตำรวจจับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวอย่างต่อไป วันหนึ่งคนๆ นี้ก็ใส่รองเท้าเหมือนเดิมและใส่หมวกด้วย เดินผ่านเข้าไปในสวนสาลี่ ต้นสาลี่ก็คล้ายๆ กับต้นมะม่วง หมวกก็บูดเบี้ยว ทำอย่างไรจับใหญ่เลย เหมือนขโมยอีกแล้ว เจ้าของสวนออกมาพูดว่าอย่างไร ขโมยสาลี่ ทีนี้เราจะพูดว่า ไม่ได้ขโมย เขาเชื่อไม่เชื่อ (ไม่เชื่อ)  ที่ยกตัวอย่างนิทานเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพื่อจะบอกว่า ทุกๆ คนนั้นต้องมีความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตของตนเอง  ชีวิตเราในเมื่อเราเป็นคนกำหนด จะกำหนดตีกรอบกว้างเกินไป ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เหมือนกับจับเด็กใส่ที่กั้นที่ทำขึ้นมาให้เด็กอยู่ ถ้ากั้นกว้างเกินไป เด็กก็ยิ่งอันตราย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นกั้นแคบๆ หน่อย แต่ไม่ใช่แคบเกินไป  จึงบอกว่าให้ระมัดระวัง แต่ไม่ใช่ให้ระแวง เพราะความระแวงคืออะไร อย่างเห็นคนเดินมาข้างหลัง ก็คิดว่าเขาจะมาทำร้ายเรา เห็นคนเดินมาข้างหน้า ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  เงินอยู่ในกระเป๋า ก็กลัวคนอื่นเขาจะมาล้วง  คนอื่นถือมีดอยู่ ก็กลัวเขาจะมาทำร้ายเรา อย่างนี้เกินไป
จึงบอกว่าระมัดระวังไม่ใช่ระแวง เคยมีชีวิตอย่างคนที่ดำเนินอย่างมีกรอบและมีรูปมีรอย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วให้นำธรรมะมาเป็นกรอบ เพราะถ้าหากว่าเอาความสบายมาเป็นกรอบ ก็จะขยายวงออกไปเรื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเอาความลำบากมาเป็นกรอบ เราก็จะรู้สึกทนไม่ไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเอาธรรมะมาเป็นกรอบ ก็จะพอดีเป็นทางสายกลางที่ทำให้เราทนไหวและฝืนได้
สถานธรรมที่นี่มีชื่อภาษาไทยว่าอะไร (อริยคุณธรรม)  แสดงว่าคนที่เข้ามาที่นี่ต้องเป็นอริยะ เป็นอริยะที่มีคุณธรรมด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ไหนๆ ก็ยืนแล้ว เมื่อสักครู่พายเรือธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การพายเรือหมายความว่า ให้เราบำเพ็ญอย่างคนที่มีจุดมุ่งหมาย ดั่งคนที่พายเรือ เมื่อเริ่มพายแล้วต้องไปให้ถึงฝั่ง ถ้าหากพายแล้วไปไม่ถึงฝั่งเป็นอย่างไร ลอยคออยู่ในมหาสมุทรใหญ่ ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อออกเรือแล้วต้องหาทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองนั้นไปถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ถึงก็ลอยคออยู่ในมหาสมุทร เป็นเหยื่อของปลาใหญ่  เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมเปรียบเสมือนการพายเรือคือเมื่อพายแล้วต้องพายให้ถึงฝั่ง ถ้าหากว่าเราอยู่ที่กลางมหาสมุทร ต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อจะพายต่อไป ไม่ใช่หันหลังกลับเข้าหาฝั่งเดิม ฝั่งโลกีย์ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เพราะถ้าหากหันหลังเข้าฝั่งเดิม ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะหนักยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ออกเรืออีก
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงพายเรือธรรม)
รู้สึกว่าเรือของเราจะหนักไปไหม หนักอะไร  หนักใจ หนักกิเลส หรือหนักสัมภาระ สัมภาระกับเสบียงเอาอะไรไป (เสบียง)  ต้องโยนสัมภาระทิ้ง ต้องหัดที่จะปล่อยวางใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญจนกว่าจะถึงจุดมุ่งหมายคือฝั่งแดนนิพพานนั้นอีกไกล ไม่ใช่ว่าตอนนี้จะไปถึงได้ เมื่อเราคิดจะไปถึงจึงต้องวางสัมภาระลง สัมภาระก็คือความห่วงต่างๆ ห่วงในสิ่งที่ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้  ปัญหาโดยมาก มีปัญหาส่วนหนึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้เลย ต่อให้ห่วงใยเท่าไรก็แก้ไขไม่ได้ ปัญหาชนิดนี้ต้องหัดปล่อยวางบ้าง ทำใจบ้าง ชีวิตจึงยังมีความสุขอยู่บ้าง เป็นความสุขท่ามกลางความทุกข์  ในชาตินี้ไม่มีทางเลยที่จะมีความสุขล้วนๆ โดยที่ไม่มีความทุกข์ เพราะว่าโลกนี้มีสีขาวมีสีดำ มีความสุขจึงมีความทุกข์ มีความทุกข์จึงมีความสุข ฉะนั้นจึงต้องหัดที่จะปล่อยวางและทำใจ  ถ้าหากว่าร่างกายของเราไม่ไหว ต้องทำใจหรือไม่ (ทำใจ)  พยายามทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วที่เหลือก็ทำใจ โยนสัมภาระใหม่ อย่าโยนแล้วเหวี่ยงทิ้งไว้ในใจของตนเอง โยนทิ้งไปจริงๆ คนที่โยนสัมภาระไปได้จริงๆ ไม่เอามาใส่ใจ ใบหน้าก็จะมีรอยยิ้มขึ้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าใจเบาขึ้น เมื่อใจเบาอยู่แม้จะอยู่ในสถานธรรมก็เปรียบเหมือนสวรรค์แล้ว ถ้าหากว่าใจยังหนักอยู่ มาฟังสองวันแล้วไม่รู้สึกดีขึ้นเลย นั่งไปก็ยังหลับไป นั่งไปก็ยังปวดเอวไป ปวดขาไป อย่างนี้สวรรค์ก็กลายเป็นอะไรได้เหมือนกัน (นรก)  นั่งมาสองวันนั้นเครียดไหม (ไม่เครียด)  อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ทำใจให้สบาย ฟังธรรมะในแต่ละหัวข้อ ก็คิดพิจารณา ดูว่าสิ่งใดที่เราสามารถนำไปปฏิบัติได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราฟังแล้วไม่คิดจะปฏิบัติตาม ธรรมะที่เราฟังที่บอกว่าล้ำค่า ล้ำค่าตรงไหน  อาจารย์ก็ไม่เห็นว่าล้ำค่าถ้าหากว่าศิษย์ฟังแล้วทำไม่ได้ เมื่อฟังแล้วต้องทำได้บ้าง แม้ทำไม่ได้มากก็ต้องทำให้ได้น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อวันนี้เริ่มทำ เริ่มก้าวขึ้น การก้าวก็เป็นเรื่องง่าย เมื่อเราเริ่มวิ่ง วันแรกวิ่งอาจจะยังเหนื่อย วันที่สองวิ่งก็สบายขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญคือการฝึกฝนกับโลกใบนี้ ฝึกฝนกับความยากลำบากต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ความยากลำบากนั้นเป็นครูที่จะสอนเราได้ ส่วนความสบายเป็นศัตรูของเราเหมือนกัน  เพราะว่าความสบายนั้นสอนให้เรามีแต่ขี้เกียจมากขึ้น ได้คืบเอาศอก ได้ศอกเอาวา  สาเหตุของการที่คนยังต้องเป็นคนอยู่อย่างนี้ คนเป็นอย่างไร คนหมายถึงมนุษย์ และคนหมายถึง (แสดงท่าการคน)  แล้วก็ถูกคนไปคนมา ถ้าหากว่าเราอยากจะพ้นจากวังวนอันนี้ เราต้องกระโดดขึ้นมา หากเราไม่กระโดด มีคนยกเราขึ้นไหม (ไม่มี)  ไม่มีใครสามารถที่จะยกเราขึ้นได้ อย่าบอกว่าภาระหน้าที่ของเรานั้นมากมาย เกี่ยวข้องกับคนมากมาย เรายกตัวเราเองขึ้นไม่ได้หรอก เพราะว่าการที่เรายกตัวเราขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าให้เราดึงตัวออกมาจากภาระหน้าที่และสังคม ความรับผิดชอบ  แต่การที่เราจะกระโดดขึ้นมา ไม่ต้องคนไปคนมา คือเราต้องแยกระหว่างจิตใจออกจากกัน อย่าให้ใจเรานั้นมัวเมาไปกับสิ่งที่เรียกว่าโลกีย์ สิ่งที่เรียกว่ากิเลส  เพราะถ้าหากว่าเราแยกออกจากกันได้ เราก็จะมีความสุขมากขึ้น  สักวันหนึ่งในเมื่อเราแยกจิตใจกับการงานออกจากกันได้ เราย่อมแยกครอบครัว การงาน และการบำเพ็ญธรรม ย่อมรู้จักที่จะแยกเป็น เมื่อเราแยกออกจากกันได้ เราค่อยใช้ใจของเรานั้นเข้าไปบังคับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เข้าใจไหม
มีคนคิดค้านอยู่ในใจบอกว่าถ้าหากว่าแยกการงานออกจากจิตใจ อย่างนี้ทำงานก็ไม่ก้าวหน้า  แต่อาจารย์บอกว่า แยกจิตใจและการงานออกจากกันก่อน เมื่อเราแยกออกจากกันได้ เราแยกครอบครัว การงานและการบำเพ็ญธรรมได้ เราค่อยใช้ใจของเราที่อยู่เหนือเหตุการณ์ทั้งสามลงไปบังคับทั้งหมดนี้ และศิษย์ของอาจารย์จะรู้สึกสบายมากยิ่งขึ้น  เพราะทุกวันนี้ จิตใจก็อยู่กับการงาน พอเจอเรื่องครอบครัว ก็เอาการงานและครอบครัวลงไปปนกัน เป็นการซ้อนกัน  พอการบำเพ็ญธรรมเข้ามาก็เป็นอย่างไร ซ้อนกันอีกมีสามชั้น  สุดท้ายแล้วถ้าให้เลือกทิ้งเพื่อให้จิตใจสบายขึ้น เลือกอะไรทิ้ง การงาน ครอบครัว หรือการบำเพ็ญธรรม (การบำเพ็ญธรรม)  เลือกการบำเพ็ญธรรมทิ้ง เหลือแต่การงานและครอบครัว จนจบลมหายใจสุดท้าย การงานและครอบครัวเป็นอย่างไร จบไหม (ไม่จบ)  ไม่จบหรือ หมายถึงตัวเราจบแล้ว การงานจบไหม  ศิษย์บอกว่าไม่จบ มีคนสืบต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกว่า ต่อให้ต่อไปอีกยาวเท่าไหร่ จนกระทั่งไม่มีที่สิ้นสุด แต่สำหรับศิษย์นั้นมันจบไปแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  สำหรับเรามันจบไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะบังคับความสำเร็จหรือความล้มเหลว ในเส้นทางของการทำงานและครอบครัวนี้ได้อีกต่อไป  แล้วศิษย์จะห่วงวันนี้ ห่วงวันพรุ่งนี้ ห่วงวันหน้า ห่วงไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ว่าจะจบตรงไหน จะห่วงมากมายเช่นนั้นเพื่ออะไร ในเมื่อถึงวันหนึ่งเราก็บังคับไม่ได้  วันนี้ก็หัดวางบ้าง วางทีละนิดทีละหน่อย วางในส่วนที่ทำได้ ถ้าหากเราวาง ก็จะมีคนเข้ามาทำแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเขาทำแทน เราก็สามารถมองเห็นว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เพราะว่าเราไว้ใจให้ผู้อื่นทำ เมื่อเขาทำผิดพลาด เราชี้แนะได้ไหม (ได้)  จึงบอกว่าเมื่อถอนใจขึ้นมา แล้วค่อยใช้ใจนั้นลงไปบังคับ เพื่อที่จะให้เรานั้นไม่ต้องเสียเวลาที่จะบำเพ็ญธรรม เพราะอาจารย์เชื่อแน่และก็รู้ว่าศิษย์นั้นรู้แน่  ถ้าหากว่า ซ้อนกันสามชั้นแล้ว ชั้นที่จะเลือกทิ้งไปก่อนก็คือชั้นของการบำเพ็ญธรรม ที่เหลือคือการงานและครอบครัวก็จะพังพินาศไปด้วยกัน เพราะว่าเรานั้นเป็นคนที่สับสนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงต้องเอาใจนั้นขึ้นมามอง ในใจนั้นมีปัญญาอยู่ ใช้ปัญญาแยกแยะมองสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน ว่าสิ่งที่เรามองจริงๆ แล้วเรียกว่าสีขาวหรือสีดำ อาจารย์เชิญศิษย์คนนี้ลุกขึ้นยืน มองไปข้างหลัง เสื้อของคนๆ นี้เรียกว่า สีขาวหรือสีดำ (สีครีม)  อีกคนหนึ่งยืนขึ้น เสื้อคนนี้เรียกสีขาวหรือสีดำ (สีขาว)  คนที่ใส่เสื้อสีขาวลองมองเสื้อตัวเองว่า เสื้อที่ตัวเองใส่เรียกว่าสีขาวหรือสีดำ จริงๆ แล้วเสื้อที่เราใส่อยู่อาจจะเรียกว่า สีขาว แต่สีขาวมันไม่ใช่ขาวจริง เหมือนกับมีสีดำอยู่ด้วย ใช่ไหม (ใช่)  มองเสื้อคนข้างหน้า เสื้อของเขาอาจะไม่เรียกสีขาว อาจจะไม่เรียกสีดำ ไม่รู้จะเรียกสีอะไร มันมอมแมมแล้ว จะบอกว่าเรานั้นต้องมองให้ชัดเจนว่า สีขาวหรือสีดำ
อาจารย์บอกว่า ถ้าหากว่าการงาน ชีวิต ครอบครัวกับการบำเพ็ญธรรมนั้นผสมกัน ก็เหมือนกับเสื้อสีขาวที่ศิษย์ใส่อยู่ตอนนี้ ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักรักษาให้ดีตั้งแต่ต้น จะเรียกว่าสีขาวก็ไม่ได้ จะเรียกว่าสีดำก็ไม่ได้ มันเละไปหมดแล้ว มันปนเปแล้วก็พังไปพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า ต้องรู้จักรักษาชีวิตให้ดี รักษาการงาน ครอบครัวและรักษาการบำเพ็ญธรรมให้ดี เพื่อที่จะแยกออกจากกันได้ เมื่อศิษย์มีสายตาอันคมชัดมองย่อมเห็นว่านั่นเรียกว่าสีขาวหรือสีดำ ตอนนี้ให้ศิษย์มองเสื้อผ้า ก็ยังมองชัดอยู่ เพราะว่าตายังชัด  แต่ถ้าให้ใช้ตาใจมองการกระทำของเรา การปฏิบัติของเรา การพูดจาของเรา ความคิดของเรา ถามว่าเรามองได้ชัดเจนไหม (ไม่)  อาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับใช้ใจไปมองใจ ย่อมมองไม่เห็น  อาจารย์จึงบอกว่า ต้องเริ่มคมชัดกันเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะมองสิ่งใดก็จะได้ชัดเจนไปหมด เสื้อผ้าใส่นานๆ วันก็ย่อมมีเก่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  จากสีขาวก็อมสีหม่นลงไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเรารู้จักที่จะระมัดระวัง สีเสื้อผ้าของเราอาจจะเป็นสีขาว ถ้าซักครั้งต่อไปก็อาจจะเป็นสีขาวมากขึ้นๆ จนขาดไปเลย กับอีกคนหนึ่งสีขาวหม่นลงเรื่อยๆ จนขาดเหมือนกัน จะเลือกเป็นคนไหน คนแรกต้องมีความระมัดระวังในการซักผ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสื้อผ้าของเขาจึงขาวขึ้นเรื่อยๆ ได้  แต่หากไม่ระมัดระวังเป็นอย่างไร ดำลงแน่นอน ดำลงจนไม่สามารถที่จะช่วยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แบบนั้นก็เหมือนกับคราบที่ติดอยู่บนเสื้อผ้า ยิ่งนานวันถ้าหากว่าไม่รักษา ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะซักออก และถ้าหากว่ายิ่งดำ ยิ่งมีคราบมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องใช้น้ำยาที่แรงมากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใช้น้ำยาแรงขึ้น เราก็เป็นอย่างไร เสื้อตัวนี้คือเรา เสื้อตัวนี้คือจิตเรา ถ้าหากเราใช้น้ำยาแรงลงไปมากเท่าไหร่ ถามว่าใครเจ็บ (เราเจ็บ)  สู้ป้องกันตั้งแต่ต้น ไม่ให้คราบสกปรกใดๆ มาเปื้อน ดีไหม (ดี)  ไม่ให้จิตใจของเราแปดเปื้อนดีไหม (ดี)  รวยไม่รวยอยู่ที่ไหน คนบางคนมีเงินวันละ ๑๐๐ บาท เขาก็รวยแย่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  คนบางคนได้วันละ ๑๐๐ บาทก็รวยมากแล้ว แต่บางคนได้วันละ ๑๐๐ ก็รู้สึกจนแย่เลย
ชอบเป็นมิตรกับคนที่มีเหตุผล เขายังทนเราได้เพราะเราแก้ไข
ที่จริงคนอภัยคนอยู่เรื่อยไป แต่ไม่วายเราต้องรู้จักตัวเอง
เวลาที่เราคบกับคนๆ หนึ่ง เราชอบคบกับคนนั้นเพราะว่าเขามีเหตุมีผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราพูดกันไม่รู้เรื่องเราก็ไม่อยากจะคบกับเขา เพราะฉะนั้นวันหนึ่งคนอื่นต้องมาคบเรา แล้วเราต้องคบคนอื่น เราจึงต้องรู้จักเป็นคนที่มีเหตุมีผล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การมีเหตุมีผลหมายความว่าอย่างไร เหตุผลที่ไหน ไม่ใช่เหตุผลตามใจตนเอง แต่ต้องเป็นเหตุผลที่มีหลักการที่ถูกต้อง เหตุผลที่คนชอบมากที่สุดคือคิดเข้าข้างฝ่ายตรงข้าม ต้องพยายามคิดเข้าข้างเขาให้มาก เพราะว่าสิ่งที่เขามองเห็นเรามองเห็นไหม สิ่งที่เขาได้ยินเราได้ยินไหม สิ่งที่เขาสัมผัสเราได้สัมผัสไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเราจึงแทบไม่เข้าใจฝ่ายตรงข้ามเลย จึงบอกว่าเราต้องคิดเข้าข้างฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่จะคิดเข้าข้างตนเอง  แต่มนุษย์นั้นกลับกันคือคิดเข้าข้างตนเอง ไม่ชอบคิดเข้าข้างฝ่ายตรงข้าม จึงเป็นเรื่องลำบาก ทุกวันนี้ก็ทะเลาะกันไม่ยอมหยุดสักที เพราะทุกๆ วันก็เข้าข้างตนเอง นี่คือสิ่งที่อาจารย์อยากจะให้เราแก้  ต่อไปบอกว่าเขายังทนเราได้เพราะว่าเราแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าศิษย์เจอคนๆ หนึ่งที่เรารู้จัก เป็นญาติพี่น้อง เพื่อน ผู้ร่วมบำเพ็ญด้วยกันก็ดี ถ้าหากว่าคนๆ นี้ แม้เขาจะผิดประจำ แต่ถ้าเขาแก้ไขประจำ คนอื่นจะอภัยให้ไหม เขายังทนเราต่อไปไหม (ทน)  ฉะนั้นนอกจากที่เราจะเรียกร้องให้คนอื่นแก้ไข เรายังต้องเรียกร้องให้ตัวเราแก้ไขด้วย อยากให้คนอื่นทนเราได้ อยากให้คนอื่นเดินมาหาเรา พูดกับเรา เราต้องรู้จักแก้ไขตัวเอง  ทุกๆ คนนั้นมีเรื่องที่ทำผิดพลาดกันทุกคน ผิดมากหรือผิดน้อย เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีความผิด สิ่งที่เป็นความผิดน้อยของเรา อาจจะเป็นความผิดมากของคนอื่น สิ่งที่เป็นความผิดมากของคนอื่นอาจจะเป็นความผิดน้อยของเรา  เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ฝ่ายตรงข้ามคิดอะไร ทำอะไร จึงต้องรู้จักแก้ไขตัวเราเองเท่าที่เรามองเห็น  ถ้ามีคนมาเตือนเราด้วยความหวังดี ว่าเราทำอย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ โมโหได้ไหม (ไม่ได้)  เผอิญมาจี้ใจดำโกรธได้ไหม พยายามอย่าได้โกรธ เพราะถ้าหากว่าเขาเห็นว่าเราเป็นคนที่เตือนไม่ได้ เขาย่อมไม่เตือนเรา  ถ้าหากว่าพูดกับคนๆ นี้ รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ฟังเรา เราจะไปพูดกับเขาไหม  แสดงว่าคนที่มาเตือนเรา เขาเห็นเราเป็นคนที่พูดแล้วฟังรู้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้คิดในแง่ดีแล้วเราก็แก้ไข  ที่จริงคนอภัยคนอยู่เรื่อยไป เพียงแต่ว่าเรานั้นอย่าทำผิดบ่อยมาก ต้องมีขีดจำกัด ต้องรู้ที่จะประมาณตนด้วยว่าเรานั้นอยากจะให้คนอื่นอภัยให้เรานั้น เราควรที่จะอภัยให้คนอื่นก่อน  คนที่ชอบอภัยให้เราก่อนคือคนในบ้าน ไม่ว่าเราจะทำความผิดใหญ่ ความผิดเล็ก เขาก็อภัยเราเสมอ  แต่ถามว่าคนในบ้านของเรานั้นก็มีขีดจำกัดของความอดทนเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พยายามทำให้เขานั้นรู้สึกสบายใจ พยายามอย่าผิดบ่อย เพื่อเขานั้นจะได้ไม่ต้องใช้ความอดทนกับเรามาก การอยู่ด้วยกันจึงเป็นความสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่รักลูก พี่น้องรักกัน ถามว่าครอบครัวนี้จะเป็นครอบครัวที่มีความสุขไหม มีความสุขแน่นอน อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ให้คนอื่นมาอภัยกับเราบ่อยครั้ง ขอให้เรานั้นเมื่อผิดก็รู้จักแก้ การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้เน้นที่ใคร แต่เน้นที่ตัวเราเอง เมื่อตัวเราเองนั้นได้รู้จักตัวเองจริงไหม
“เหมือนตาบอดนั่งห้องมืดทรมานใจ”
ในคำสุดท้ายของกลอนบอกว่าให้รู้จักตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่กับใคร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็จะมีความสุขได้ เราก็จะนำพาความสุขไปให้คนรอบข้างได้  เวลาเราหลับตาเรามองไม่เห็นอะไรเลย ก็เหมือนกับคนที่ไม่รู้จักตัวเอง แม้จะมีตาอยู่แต่มองไม่เห็น เหมือนนั่งอยู่ในห้องมืดแต่มองไม่เห็น แม้มีตาจะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  นั่นคือคนที่ไม่รู้จักตัวเอง คนไม่รู้จักตนเองต้องพยายามที่จะมองให้มากๆ แม้จะมองไม่เห็นให้พยายามที่จะมอง  มองใคร มองฝ่ายตรงข้าม มองให้มาก มองออกไปให้ไกล แล้วคนที่อยู่ข้างหน้าจะเป็นกระจกสะท้อนให้เราได้เห็นตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามองแต่ตัวเองก็เข้าข้างตัวเองใช่ไหม

การมาสถานธรรมนั้นเป็นเรื่องที่เราทุกคนจำเป็นที่จะต้องมาให้บ่อยๆ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรม ถ้าห่างหายไปนาน หรือว่ามาสถานธรรมเพียงแค่ไม่กี่หนเท่านั้น เราก็จะมีความรู้สึกที่ไม่อยากจะมาบำเพ็ญธรรม ไม่อยากจะมาสถานธรรม  เพราะว่าเราต้านทานจิตใจที่ดิ่งลงต่ำของเราไม่ได้ เหมือนโดยปกตินั้นเรามักจะไม่อยากมาสถานธรรม เพราะว่าเรารู้สึกว่าตัวเรานั้นเหมือนมีความผิดอยู่มากมาย อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็นคนเก่า หรือคนใหม่ คนที่ประชุมธรรมแล้วหรือที่ยังไม่ได้ประชุมธรรมก็ขอให้เรานั้นมาสถานธรรม สถานธรรมเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเรา  ขอให้เราเห็นสถานธรรมเป็นที่พักจิตใจของเรา ทำให้จิตใจของเราได้รับความร่มเย็น แม้ว่ามาแล้วไม่เจอใคร แต่แน่นอนมาแล้วต้องเจอพระสามองค์ที่อยู่ข้างหน้านี้ ใช่หรือไม่  (ใช่) 

 แม้ไม่มีใครสอนเราได้ก็มีพระที่อยู่ข้างหน้านี้ที่พอจะเป็นแบบอย่างแก่เราได้ เวลาเราเห็นหน้าพระศรีอาริย์ ขอให้เรานั้นหมั่นยิ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
 เจอหน้าอาจารย์หมายความว่า ให้เอาพัดของเราไปโบกสะบัดให้คนอื่นนั้นมีความเย็นใจ เมื่ออยู่ใกล้ใคร เขาจะได้รักเรา 
 เมื่อเห็นพระโพธิสัตว์จันทรปัญญาเป็นอย่างไร ท่านนั้นเปรียบเสมือนแสงจันทร์ แสงจันทร์ก็คือให้ความร่มเย็นกับคนอื่น ให้แสงสว่างในยามที่มืดมิดแก่คนอื่น  เพราะฉะนั้นการมาสถานธรรมของเราจะต้องเป็นการมาที่ไม่เสียเปล่า จะต้องมาด้วยจิตใจที่ตั้งใจและต้องขยันมา  แม้ว่ามาเจอคนที่ไม่ชอบใจ  เรายังเคยไม่ชอบใจตัวเองเลย จะให้คนอื่นมาชอบใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  จะให้เราไปชอบใจคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ล้วนอยู่ที่ตัวเราเอง 
 เมื่อเราบำเพ็ญไม่ได้เราจะโทษใครได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้  อย่าได้โทษใคร อย่าได้บอกว่าเป็นเพราะคนนั้นฉันจึงไม่อยากมาสถานธรรม เป็นเพราะว่าเจอแบบนี้ เขาพูดแบบนี้เราเลยไม่อยากจะมา   ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่ที่ตนเอง  แล้วแต่เราจะอ้างไปต่างๆ นานา  เหตุผลที่เข้าข้างตัวเรานั้นเราย่อมรู้ดีที่สุดว่าจะถูกหรือผิด 
 อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนมีจิตใจเหมือนกับวันแรกที่ศิษย์ตั้งใจที่จะบำเพ็ญ เกิดมารู้วันเกิดไม่รู้วันดับ ขอให้เราตั้งใจบำเพ็ญเหมือนกับทุกๆ วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของเรา แล้วเราจะขยันมากยิ่งขึ้น เราจะได้ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้บอก

(พระอาจารย์เมตตาเรียกแม่ครัวออกมาหน้าชั้น)
แม่ครัวทำไมเยอะจังเลย อาหารอร่อยไหม (อร่อย)  การบำเพ็ญธรรมยากหรือไม่ยาก (ไม่ยาก)  การบำเพ็ญธรรมไม่ยาก มีอะไรยาก เอาชนะตัวเองยากใช่หรือไม่ ฉะนั้นในเมื่อเอาชนะตัวเองยากต้องเอาชนะทุกวัน
ขยันมาสถานธรรมกันมากๆ นะ  คนบำเพ็ญธรรมนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคนกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องหัดให้อภัยกันมากๆ อะไรที่ไม่ถูกใจ เราก็พี่น้องกัน อย่าได้รังเกียจใคร อย่าได้ชิงชังใคร อย่าได้มีอคติกับใคร เพราะถ้ามีแล้วเราจะทุกข์ใจเอง ต่างคนต่างบำเพ็ญ ต่างคนต่างทำในสิ่งที่ตัวเองควรที่จะทำ เราบำเพ็ญธรรมก็เพื่อการหลุดพ้น ให้มองออกไปให้ไกล อย่าได้มองแคบๆ อย่าได้มองสั้นๆ ทุกๆ วันก็ขอให้เป็นวันที่บำเพ็ญธรรม อย่าได้เป็นวันที่ท้อใจ อย่าได้มีวันไหนที่บอกว่าเราจะเลิกบำเพ็ญแล้ว ดีหรือไม่
อาจารย์คงต้องพูดกับศิษย์ของอาจารย์สักหน่อย คนที่ไม่ค่อยมาสถานธรรม อาจารย์อยากจะให้ศิษย์เห็นสถานธรรมนั้นเป็นบ้าน เป็นบ้านที่เราทุกๆ คนต้องมาช่วยกันมาเก็บกวาด เป็นบ้านที่เราทุกคนนั้นต้องมาช่วยกันอยู่อาศัย  ถ้าหากว่าไม่ยอมอยู่   บ้านหลังนี้ก็จะร้างขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่  อาจารย์อยากให้ทุกๆ คนมีจิตใจที่อภัยกัน อย่ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ แต่ขอให้มาเป็นผู้ที่จะลงแรงบำเพ็ญจริงๆ
 มีปัญหาอย่างหนึ่งคือเมื่อวันก่อนนั้น อาจารย์บอกศิษย์ว่าขอให้เราสามัคคีกันเพราะว่าเราขึ้นเรือลำเดียวกัน  หมายความว่า ในเมื่อเราได้รับธรรมะในการนำพาของเฉียนเหยรินท่านเดียวกัน นั่นหมายความว่าเป็นเรือลำเดียวกัน ขอให้เราสามัคคีกันเข้าไว้ รวมพลังกันเข้าไว้  เมื่อคนอื่นเจริญ ทำไมเราจะไม่เจริญ  เมื่อพี่น้องของเราเจริญ เพราะว่าเราไปช่วยเขา สักวันหนึ่งเขาก็นำความเจริญกลับมาให้เรา เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อต่างคนต่างเจริญแล้วไม่ดีหรือ  เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพี่น้องกันแม้ว่าจะอยู่ในการนำพาของเตี่ยนฉวันซือแต่ละท่าน แต่ก็ขอให้เรารักกันช่วยกัน คนอื่นจะว่าอย่างไรอาจารย์ไม่รู้ อาจารย์รู้แต่ว่าอาจารย์ต้องการให้ศิษย์รักกัน สามัคคีกันเข้าไว้ ส่วนในการนำพาของเหล่าเฉียนเหยริน และเฉียนเหยรินคนละท่าน  ขอให้ศิษย์ของอาจารย์อย่าได้ไปมาหาสู่กันบ่อยนัก ทำตามที่จำเป็นและได้รับการอนุญาตจากเตี่ยนฉวันซืออาวุโสก่อน อย่าบอกว่าเขามาเอง เราไม่ได้ชวน ถึงสุดท้ายแล้วศิษย์ไม่สามารถโทษใครได้  เกิดความวุ่นวายแล้วที่เกิดจากตัวศิษย์ ศิษย์ไม่สามารถจะโทษใครได้  เหมือนดั่งที่ศิษย์บอกว่า “เป็นคนต่างสาย” ที่ใช้นิยามไว้ว่าอย่างนี้ อาจารย์ขอให้นิยามนี้เพื่อให้ศิษย์เข้าใจได้ง่ายก็คือ บอกว่าแต่ละคนนำพา แต่ละคนมีทางของตน  เมื่อศิษย์เชิญเขาเข้ามาในทางของตัวเอง เรานั้นให้ระวังตัวให้มาก ในเมื่อเราก้าวไปสู่ทางของคนอื่น ก้าวไปสู่ทางต่างสายอื่น เราก็ต้องระวังตัวเราให้มาก อย่าลืมว่าเราและบรรพชนอีกเจ็ดชั้น เก้าชั่วคน อาจารย์ขอเตือนแค่นี้นะ  ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์คนไหนยังอยากที่จะไป ยังอยากที่จะมา สักวันหนึ่งมีอะไรแปลกๆ ขึ้นมา อย่ามาโทษอาจารย์ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รุ่งอรุณแห่งขันติ”
รู้จักคำว่าขันติไหม เวลาที่คนอื่นเขาว่าเรา เขานินทาเรา เราต้องขันติ แล้วเวลาที่เราไม่พอใจใครเราต้องขันติ คำว่ารุ่งอรุณแห่งขันติ เป็นอย่างไร ในใจของศิษย์ทุกคนที่บำเพ็ญมานานวัน นานหลายปี ความขันติคือความอดทนอดกลั้นนั้นมันจบลงไป เหมือนกับว่าเป็นพระอาทิตย์ที่ตกดินไปแล้ว  อาจารย์อยากให้ศิษย์เริ่มใหม่ เริ่มเป็นคนที่อดทดอดกลั้นต่อสิ่งที่มารุมเร้ารอบข้าง ไม่ว่าสิ่งที่อยู่นอกกาย ไม่ว่าสิ่งที่เกิดในใจ ขอให้เราเป็นคนที่มีความขันติมากขึ้นดีหรือไม่ (ดี)  อย่าได้เป็นคนโมโหง่าย อย่าได้เป็นคนใจร้อน อย่าได้เป็นคนคิดสั้น ให้เราคิดยาวๆ และคิดด้วยปัญญาดีหรือไม่ (ดี)  ต่อนักเรียนที่นั่งอยู่ในชั้นนี้ก็มีประโยชน์ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์อยู่ในโลกที่มีแต่ความวุ่นวายใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีความวุ่นวายมาก ถ้าเรามีความวุ่นวายตามไปด้วย ก็เกิดความวุ่นวายที่มากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องสยบความวุ่นวายอันนี้ สยบที่ตัวเราเอง อยากจะให้คนอื่นหยุดวุ่นวาย ขอให้เราหยุดวุ่นวาย เมื่อคนรอบข้างสังเกตเห็นเรา ทำไมคนนี้เฉยๆ ไปแล้ว เขาจะเฉยตามไหม  เมื่อสองคนเฉย สามคนเฉย เหตุการณ์ได้สงบลง ใครเป็นคนเริ่มต้น (ตัวเรา)  กลับกันกับว่าทุกคนวุ่นวาย ไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีใครคิดจะหยุดเลย เหตุการณ์นี้จะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นจึงอยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่มีความขันติ เอาขันติของเราให้เหมือนกับพระอาทิตย์ที่เมื่อหมุนเวียนไปจนตกดินแล้ว ให้ขึ้นมาใหม่ได้ ให้ขึ้นมาใหม่อีกสักรอบ มีความอดทนให้มาก อดทนในเรื่องที่คนอื่นอดทนไม่ได้  อดทนในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้  โลกนี้มีหลายอย่างที่เป็นเรื่องประหลาด แค่คนเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็ประหลาดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมีอีกหลายเรื่องที่ประหลาด ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องที่ประหลาดทุกเรื่องในโลกเราถึงเป็นผู้วิเศษ แต่ขอให้เรารู้จักตัวเองก็พอ นั่นเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุดเข้าใจไหม
ในวันนี้อาจารย์มาที่นี่ อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้รู้ ให้ศิษย์เข้าใจให้ชัด อาจารย์รู้ว่าศิษย์ชอบดูหมอ ชอบไปเที่ยว ปล่อยตัวไปเรื่อยๆ ชีวิตที่ผ่านมานั้นเติบโตขึ้นมามีคู่ครองและก็รับผิดชอบหน้าที่การงานมีอยู่เท่านี้โดยส่วนใหญ่ บางคนรุ่งโรจน์ บางคนตกอับ รุ่งโรจน์ตกอับสลับกันไป แต่ชีวิตของคนไม่ได้มีแค่นี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นำธรรมะไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ธรรมะที่ศิษย์เห็นนั้นไม่มีรูปลักษณ์ อยู่ที่คนปฏิบัติเท่านั้น จะล้ำค่าไม่ล้ำค่าอยู่ที่ตน  ต้องรู้จักที่จะปฏิบัติทุกเมื่อเชื่อวัน และไม่เอาธรรมะนั้นไปเปรียบเทียบกับหมอดูหรือการทรงเจ้า เพราะอาจารย์มาอย่างนี้เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ ถึงได้มาในลักษณะนี้  ถ้าทำได้อาจารย์ก็ไม่อยากมาพบศิษย์ในลักษณะนี้ จึงอยากให้ทุกคนนั้นบำเพ็ญตนให้หลุดพ้นกลับสู่แดนนิพพานได้ ลงแรงจริงกว่านี้หน่อย เข้าใจตนเองมากกว่านี้หน่อย รู้จักตนเองก็เหมือนคนที่สายตาไม่สั้น สายตาไม่ยาว มองสิ่งใดได้ชัดเจน กลับไปอย่าปล่อยให้ชีวิตของเรา ดำเนินเหมือนอย่างที่ผ่านมา  ตื่นเช้าขึ้นมาทำงานไปจนถึงนอนหลับ กินข้าวเมื่อยามหิว อย่างนี้ไม่เอา  ขอให้เราทำงานด้วยการใช้ความซื่อสัตย์ ทำงานด้วยใช้มโนธรรม ด้วยความสุจริต กินข้าวให้เคี้ยวมากๆ หมายความว่าคนเคี้ยวมากๆ ท้องไม่อืด  ในชีวิตประจำวัน ทำสิ่งใดก็คือการพิจารณา การเคี้ยวข้าวเคี้ยวให้ละเอียด
ชีวิตของเราต้องใช้การพิจารณา อย่าได้ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรมเหมือนอย่างที่แล้วมา วันใดที่อยากจะเลิกบำเพ็ญ อาจารย์ขอไว้คิดให้มาก  สามชั้นที่อาจารย์พูดถึงนี้ ชั้นที่เอาออกไปชั้นแรกอย่าได้เป็นชั้นของการบำเพ็ญธรรม  ถ้าหากศิษย์เลิกบำเพ็ญธรรมเมื่อไร ชาตินี้ศิษย์จะขึ้นไปสูงเท่าไรก็ได้ แต่ว่าสุดท้ายของความสูงเราต้องทิ้งมันไป  พอทิ้งมันไป ชาติต่อไปก็กลับมา เริ่มตั้งแต่หนึ่งจนถึงสูงที่สุดอีก แล้วก็มีความสุขความทุกข์สลับกันไปตลอดชีวิต แล้วนั่นเป็นความสุขที่ไหน สุขแท้จริงหรือ ขอให้คิดให้มากๆ
สองวันนี้แม้ว่าศิษย์ของอาจารย์จะรู้สึกอยากบำเพ็ญหรือไม่อยากบำเพ็ญ อาจารย์ไม่อยากให้สองวันนี้เป็นการตัดสินใจของเรา แต่อยากให้หลังจากวันนี้กลับมาศึกษาให้มากๆ ได้ไหม (ได้)
เมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้วก็ไปใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อาจารย์ก็ต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน อาจารย์มาแล้วอาจารย์ก็ต้องกลับ อยากให้ศิษย์ของอาจารย์ ทุกๆ คนเชื่อมั่นในสิ่งที่อาจารย์พูด ไม่จำเป็นต้องเชื่อในรูปลักษณ์ที่อาจารย์ยืมได้ แต่ให้เชื่อในสิ่งที่อาจารย์ได้พูดไป  ทุกๆ คนนั้นมีจิตใจที่เป็นฝ่ายดีและมีจิตใจที่เป็นจิตใจฝ่ายชั่วอยู่เสมอๆ อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์เอาจิตใจฝ่ายดีออกมาเป็นนายเหนือจิตใจฝ่ายชั่วที่มีอยู่บ่อยๆ เพื่อที่เราจะได้ก้าวขึ้นไปสูงกว่านี้
การบำเพ็ญธรรมมีอุปสรรคมากมาย ไม่ใช่เรื่องง่ายและสบาย แต่ละคนพกพาบุญกรรมมาต่างกัน ถ้าหากว่ากรรมหนัก แน่นอนย่อมที่จะลำบาก แต่หากมีบุญมากก็ย่อมที่จะสบาย นั่นเป็นเรื่องของอดีตชาติที่ศิษย์ไม่จำเป็นต้องรู้ และไม่จำเป็นต้องเดือดร้อน  สิ่งที่ต้องเดือดร้อนคือความคิดของศิษย์ในปัจจุบัน ความคิดของเราในวันนี้ที่มีใจอยากจะบำเพ็ญหรือไม่ ถ้าหากตอนนี้มีบุญกับอาจารย์จริงคิดที่อยากจะบำเพ็ญธรรม ต่อให้ยากอาจารย์ก็ช่วย แต่ถ้าหากไม่มีใจที่คิดอยากจะบำเพ็ญธรรม สามวันดีสี่วันไข้ เปลี่ยนใจไปอยู่เสมอๆ ย่อมที่จะบำเพ็ญได้ไม่สำเร็จอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นคนที่มีบุญมากมาก่อน แต่ถ้าหากทำกรรมนิดหน่อยมาบังแล้ว ย่อมเป็นอุปสรรคหนัก  ต้องเชื่อมั่นว่าตัวเองนั้นสามารถบำเพ็ญสำเร็จได้เหมือนกันไหม
ศิษย์เก่าของอาจารย์ทุกคน ในเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นคนเก่าแล้ว ขอให้เก่าอย่างมีคุณค่า ขอให้เก่าแล้วได้รู้ว่าตัวเราก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ ไม่ใช่เก่าแบบที่อยู่ในโลก เก่าแล้วไม่มีใครเอา แต่เราต้องเก่าเพราะว่าเราจะขึ้นมาข้างหน้าเพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังตามเรามา จะเดินทางไกลทั้งที จะบำเพ็ญธรรมทั้งที แม้ว่าเราจะเป็นคนเก่าแต่เราจะไม่เป็นเก่าที่ทดสอบใคร เราจะเป็นเก่าที่อยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี หวังกับตัวเองมากๆ อย่ามัวตัดพ้อต่อว่า  สิ่งใดไม่สมหวัง สิ่งใดไม่เป็นดั่งใจ เราจะอดทนให้มาก  อย่ามาสถานธรรมเฉพาะเวลาประชุมธรรม
จริงๆ แล้ว ใจของศิษย์ทุกๆ คนนั้น ทั้งๆ ที่เคยทะเลาะกันมา แต่ในใจลึกๆ ของศิษย์ก็รักกัน สามัคคีกัน ในใจของทุกๆ คนก็มีอาจารย์เหมือนกัน ขอให้อาจารย์ในใจของศิษย์ได้มาทำงาน ขอให้อาจารย์ในใจของศิษย์ได้มีบทบาทบ้าง ขอให้ความเมตตาในใจของศิษย์ได้เบ่งบานเหมือนดอกบัวที่เบ่งบาน รับแสงอรุณเช่นนั้น ขอให้เราได้มีความอดทนใหม่ ครั้งใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าครั้งเก่า  พร้อมต่อสู้ปัญหาหนักยิ่งกว่าเก่า ขอให้ศิษย์สร้างตนเอง สร้างผู้อื่น ขอให้ศิษย์ได้สำเร็จธรรม รักษาตัวให้ดีๆ อยู่ใกล้ชิดกับธรรมะให้มากๆ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “รุ่งอรุณแห่งขันติ”

ทะเลแห่งทุกข์นี้ไม่เห็นใคร  ทุกข์กลับทำไมล้นมี  หันกลับพลันเจอฝั่งทุกที  รับหนึ่งจุดลี้ทรมาน  ย้อนมองกลับบัดดลเลิกร้อนใจ  คล้ายสถิตในแดนวิมาน  น้อมนำหลักธรรมย้ำคงมั่น  ถือความผิดนั้นมาเป็นครู
* มิอาจแสนสบายและมิอาจทำร้อนใจ  ยิ่งมิอาจคิดน้อยใจ  พ้นเวียนว่ายมาด้วยตน  ฟ้าสุดตาแสนไกล สุกใสสิ้นครึ้มระคน
อย่าคิดแต่เรื่องของตน  หลายคนย่อมมีพลัง  ยุคปลายโปรดเวไนยทั่วสามแดน  มิให้ดูใครไกลเรื้อรัง  นับตั้งแต่นี้เฝ้าระวัง  น้ำตาสุดยั้งพ้นแล้วเอย (ซ้ำ *)
เพลง : หันหลังคือฝั่งธรรม
ทำนองเพลง  :จูบนั้นฉันรักเธอ
หมายเหตุ  (สองย่อหน้าแรกเป็นพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  ส่วนย่อหน้าสุดท้ายพระอาจารย์เมตตาประทานให้เพิ่ม)

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2543

2543-05-20 สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก


PDF 2543-05-20-หมิงเฉิง #9.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

อากาศยามหลังฝนตกเย็นชื่นจิต ดั่งชีวิตหลังอุปสรรคสบายได้
หลังอุปสรรคก่อนอุปสรรคล้วนหนึ่งใจ ปัญหาใหญ่เท่าไหนไม่ล้มตน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

การบำเพ็ญในยุคนี้แสนสบาย แต่สอบใจคนผ่านยากหนักหนา
เพราะกิเลสที่สุมแน่นอุรา ที่ว่ามีน้อยแล้วหนายังมากเกิน
เพลินโลกีย์แสนกว้างใหญ่ทั้งแสงสี อีกดนตรีเริงรำสนุกสนาน
จึงเวียนว่ายตายเกิดทรมาน อันสังขารหรือก็ไม่คงทน
โลกเสื่อมลงธรรมเฟื่องฟูฉุดเวไนย ขาก้าวไปใจก้าวตามไม่สับสน
มีจุดหมายในการบำเพ็ญตน คืนเบื้องบนต้องขัดเกลาคืนใจเดิม
ศึกษาธรรมต้องทำจิตให้สว่าง อย่าได้ทำทั้งไม่รู้จะพาลหลง
เรียนรู้ให้เข้าใจทางสายตรง ก่อนที่จะลงมือให้จริงจัง
อย่าสงสัยให้ในจิตเป็นน้ำขุ่น พุทธะลุ้นว่าศิษย์น้องได้คืนฝั่ง
ต้องร่วมแรงร่วมใจร่วมพลัง สำเร็จได้ดั่งหวังด้วยพยายาม
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมในใจสำรวมยิ่ง
นำความตั้งใจให้ปรากฏอย่างแท้จริง แลหยุดวิ่งแสวงหากันเถิดนา
ทั้งลาภยศชื่อเสียงสิ่งจอมปลอม คอยรายล้อมหากไม่ตัดยากหลบพ้น
อันเงินทองพาจิตใจให้สับสน รู้จักตนรู้จักคนเดินคล่องดี
สร้างตนและไปสร้างคนให้พร้อมหน้า สร้างคุณค่าให้กับชีวิตนี้
ทุกเวลานาทีเฝ้าทำดี หวังน้องมีมรรคผลอันสมบูรณ์
ธรรมะแท้อย่าพยายามไปงมงาย อย่าได้ใจยามเห็นแต่เป็นดั่งหวัง
ระวังตนสำรวจตนให้จริงจัง อย่าชิงชังใครคนหนึ่งจิตอุดตัน
ประชุมธรรมสะเทือนไปทั่วสามภพ ขอน้องครบทั้งศรัทธาความมุ่งมั่น
สองวันนี้อย่าได้ขาดแม้หนึ่งวัน ให้รู้ทันความเกียจคร้านที่คอยรุม
ทั้งชายหญิงต่างมีบุญกับพุทธะ อย่าลดละบำเพ็ญเถิดให้เกิดผล
อย่าดูแคลนตนเองรวยหรือจน ความอดทนต่อยากจึงพาคืนไป
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังน้องนั้นรักษาไว้พุทธระเบียบเทอญ
ฮวา ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก
พระโอวาทพระนาจา

วันนี้ในปีหน้าเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือแย่ลงไปกว่าเก่า
ชีวิตตอนนี้อยู่ในมือเรา ให้ทำเท่าที่คิดว่าดีที่สุดเอย
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนพรุ่งนี้จะมาอีกหรือเปล่า

ในทะเลทุกข์ที่กว้างใหญ่ไพศาล เวียนว่ายจมทรมานอยู่ในจิต
ไม่ยอมกับไม่สำนึกไม่พินิจ ปล่อยอดีตที่ผิดคอยเป็นเงา
จิตตื่นหวังปัจจุบันถูกสรรค์สร้าง จิตภวังค์อยู่กับฝันง่วงเหงา
พิจารณาความเป็นจริงบนทางยาว ยอมรับยอมหนาวกลายอุ่นแทน
คนจริงสู่วันหน้าด้วยปัญญา บำเพ็ญไปเพื่อหน้าตารันทดแสน
เมตตาคู่ความกล้าเดินทั่วแดน รู้จักแต่ทำจริงแม้นยากเท่าไร
หน้าที่สิ่งใดไม่ไผลเผลอ ความดีทำเสมอด้วยจิตขวนขวาย
เสมอต้นเสมอปลายทั้งกายใจ อนาคตไกลให้มองได้ที่ปัจจุบัน
การย่ำอยู่กับที่เป็นอันตราย แต่อะไรไม่รู้ไม่มีหุนหัน
สนองต้องมีเหตุมีผลกัน คนสำรวมนึกดีนั้นฟ้าปรีดา
ไม่เที่ยงเรื่องแม้กำหนดแลสำทับ ว่าหนักอกคลายกับสบายกว่า
บำเพ็ญจะค่อยค่อยเห็นสัจธรรมนา ไม่คิดหน้าคิดหลังประมาทไป
ฮิ ฮิ  หยุด

พระโอวาทพระนาจา

ท่านมาเพื่อฟังธรรมะหรือเปล่า (ใช่)  หรือเพราะมีคนบอกว่าวันนี้มาฟังธรรมะ แล้วจะได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากขออะไรก็ขอ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
คำพูดทำให้มนุษย์หวั่นไหว ทำให้มนุษย์มีขึ้นมีลง แต่มนุษย์ก็ยอมเป็นไปตามคำพูด ใช่ไหม (ใช่)  คำพูดของคนมีชม มีว่า แต่มนุษย์ก็อดมีชีวิตตามคำพูดไม่ได้ พอเขาชมก็ตีปีกยิ้มแย้ม พอเขาว่าปุ๊บก็เศร้าห่อเหี่ยว เช่นนั้นจะเป็นไปตามคำพูดของคนทำไม ในเมื่อรู้ว่าคำพูดต้องมีทั้งชมแล้วก็ว่า  ฉะนั้นบางครั้งก็ต้องรู้จักเป็นตัวของตัวเองบ้าง อย่าได้ปล่อยไปตามคำพูดของคนจนมากเกินไป จนลืมความเป็นตัวของตัวเองไป อย่างนั้นก็น่าเศร้าใจ
“วันนี้ในปีหน้าเป็นอย่างไร”  มนุษย์เกิดมาก็จำวันเกิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอครบรอบวันเกิดทีเราก็จัดงานวันเกิด จัดงานเลี้ยงฉลอง แต่เมื่อเรามาบำเพ็ญธรรมะแล้ว เมื่อครบรอบวันเกิด พุทธะจะไม่ให้จัดงานวันเกิด แต่พุทธะจะให้คิดว่าเมื่อถึงครบรอบวันเกิดปีหนึ่งมีอะไรดีขึ้น มีอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในปีหนึ่งบ้าง จึงจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า ไม่ใช่พอถึงวันเกิดก็ดีใจที่ถึงวันเกิด แล้วที่ผ่านไปล่ะ เราได้คิดเราได้ตรวจสอบดูไหมว่ามีอะไรดีขึ้นมาบ้าง มีอะไรที่ย่ำแย่ไปบ้าง หรือมีอะไรที่หายไปจากเดิมบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เราก็เลยจะมาบอกว่าหากผ่านไปถึงปีหน้าเมื่อไหร่ ให้นึกดูว่าตั้งแต่เราประชุมธรรมจนผ่านไปได้หนึ่งปีแล้ว เรามีอะไรดีขึ้นบ้างไหม เราได้รับธรรมะ เราได้รู้ว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งที่ดี เราได้ไปบำเพ็ญหรือเปล่า ถึงจะเป็นหนึ่งปีที่ผ่านไปอย่างมีค่า ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ลองนึกดูซิว่าเมื่อปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เหมือนเดิมไหม ดีขึ้นหรือเปล่าหรือว่าแย่ลง อะไรดีขึ้น (จิตใจของคนเรา)  ถ้าศิษย์น้องทุกคนในที่นี้เมื่อปีที่แล้วกับปีนี้เอามาวัดกัน เรามีอะไรดีขึ้น ย่อมมีทั้งดีขึ้นและแย่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งดีและแย่ลงนั้นเราได้เคยเอามาทบทวนหรือเปล่า ปล่อยให้ผ่านแล้วก็ผ่านไปใช่หรือไม่ เช่นนี้ย่อมไม่ดีนะ เพราะอะไรเราจึงบอกว่าให้ท่านคิดทบทวน ให้ท่านย้อนมอง ก็เพราะว่าตอนนี้ชีวิตยังอยู่ในมือเรา ยังอยู่กับตัวเรา เราสามารถควบคุมความเป็นมาเป็นไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักเดินหน้า รู้จักถอยหลัง รู้จักหันซ้ายหันขวา แต่ต่อๆ ไปชีวิตไม่ได้อยู่ในมือเราแล้ว ชีวิตอาจจะอยู่ที่ยมทูต หรืออาจไปอยู่ในที่ๆ เราไม่รู้แล้ว ตอนนี้เรารู้เราจึงต้องควบคุม และตรวจสอบดูแลชีวิตของตัวเองให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นพอชีวิตหมดไป เราไม่สามารถควบคุมแล้ว ตอนนั้นจะไปเรียกร้อง จะไปแก้ไขก็สายไปเสียแล้ว
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมปรบมือ และทำท่าตามจังหวะพร้อมๆ กันทีเดียวหลายท่า สลับกับร้องเพลงมีท่าประกอบ โดยศิษย์พี่คอยให้สัญญาณ)
บางทีเราอยู่ในโลกนี้หลายๆ คนบอกว่าเป็นโลกที่วุ่นวาย เต็มไปด้วยการแข่งขัน แต่ถ้าเกิดว่าช่วงที่ทุกคนแก่งแย่งแข่งขัน ทุกคนต่างจะเอาดีของตัวเองให้ได้ ทุกคนต่างจะทำของตัวเองให้ได้ดีที่สุดโดยที่ไม่สนใจคนรอบข้าง บางทีก็จะเกิดความปั่นป่วนโกลาหลขึ้นได้  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ บางครั้งมีหลายๆ เรื่องมาประดังรวมกัน เราจึงต้องรู้จักตั้งสติให้ดี ตามจิตใจให้ทันและมองเหตุการณ์ให้ออกใช่ไหม เพราะบางครั้งเรื่องยิ่งวุ่นวายมากขึ้น หากมนุษย์ยิ่งวุ่นวายตามไปด้วย เราจะไม่มีทางแยกแยะหรือมองเห็นเรื่องราวได้ชัดเจน ใช่หรือไหม (ใช่)  ภายนอกวุ่น ใจศิษย์น้องวุ่นด้วย เรื่องราวก็ยากที่จะเกลี่ยให้สงบลงได้  หากใจน้องวุ่น ภายนอกวุ่นแต่ภายในสามารถที่จะสงบนิ่ง ศิษย์น้องก็จะสามารถค่อยๆ เคลียร์ ค่อยๆ ตัดปัญหาแต่ละอย่างออกไปได้อย่างเรียบร้อย  ฉะนั้นไม่ว่ามีเหตุการณ์มากระทบใจหลายๆ เรื่องราว จะต้องรู้จักค่อยๆ ใจเย็นเรียกสติกลับมาจากความวุ่นวาย อย่าตื่นเต้นเดือดร้อน  ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่สามารถแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์และดีที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นแม้โลกจะวุ่นแต่ใจของศิษย์น้องนั้นต้องไม่วุ่นไปตามโลกเข้าใจไหม
“ปล่อยอดีตที่ผิดคอยเป็นเงา”  ถ้าคำสั่งหรือเสียงที่ออกมาจากในใจของศิษย์น้อง ไม่สามารถเรียกกายได้ชัดเจน คำสั่งนั้นก็อาจจะไม่สามารถทำให้ศิษย์น้องปฏิบัติได้เด่นชัดใช่ไหม เหมือนช่วงที่วุ่นๆ หากศิษย์น้องไม่ตั้งใจฟังศิษย์พี่ให้ดีๆ ศิษย์น้องจะทำได้ไหม (ไม่ได้)  หากศิษย์น้องไม่เห็นสัญลักษณ์หนึ่ง ศิษย์น้องจะทำได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า แปลว่ากายนี้จะเคลื่อนไหวได้ก็ต่อเมื่อใจนี้สงบนิ่ง แต่ถ้าเกิดว่าใจนี้ยังวุ่นวายและมีสิ่งเคลือบแฝงอยู่ ศิษย์น้องว่าศิษย์น้องจะสามารถฝ่าออกไปแล้วแก้ปัญหาได้แจ่มชัดไหม (ไม่)  เหมือนตอนดึกๆ ศิษย์น้องเคยเดินออกไปข้างนอก เคยมองเห็นต้นไม้ไหวแล้วมองเห็นเหมือนอะไร (ผี)  เคยเห็นโขดหินแล้วเหมือนอะไร (คน)  หลายต่อหลายคนมักจะบอกว่าเห็นผี แต่ไม่มีใครเห็นผีตอนเช้าเลย แสดงว่ายิ่งมืดครึ้ม ตาของศิษย์น้องกลับยิ่งพร่ามัว มองอะไรไม่ชัด แต่พอสว่างแล้วจึงเห็นชัดว่าเป็นต้นไม้ และยังแยกออกอีกว่านั่นต้นกล้วย ต้นมะม่วง ต้นชมพู่ แต่พอมืดแล้วเห็นชัดไหม (ไม่ชัด)  รู้อย่างเดียวว่าเป็นต้นไม้ หรือไม่บางทีที่เห็นจากต้นไม้กลายเป็นคน จากคนกลายเป็นผี แถมกวักมือเรียกอีกต่างหากใช่ไหม (ใช่)  นั่นเป็นเพราะว่าใจของศิษย์น้องเมื่อตอนที่กำลังจะเดินออกไปแล้วมีความหวาดกลัว มีความสงสัย ออกไปแล้วไม่รู้สงสัยจะเจออะไรบ้าง เดี๋ยวกลัวนู่นเดี๋ยวกลัวนี่ เดี๋ยวจะเจอผีไหม เดี๋ยวจะเจออะไรไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งช่วงที่เดินไปใจก็ไม่นิ่งกายก็เคลื่อนไปอยู่ แล้วศิษย์น้องจะมองเห็นได้ชัดไหม (ไม่ชัด)  แล้วจะตัดสินได้ถูกหรือว่าที่น้องเห็นเป็นภาพจริงไม่ใช่ภาพลวง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วที่บอกว่าเห็นผี  จริงๆ แล้วตัวเราหลอกตัวเราเองใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเดินไปตอนสว่าง ศิษย์น้องกลัวไหม (ไม่กลัว)  และเดินไปอย่างมั่นอกมั่นใจ เห็นอะไรมา อ๋อนั่นคน ไม่น่ากลัวหรอก แต่ถ้าให้คนนี้เดินไปตอนกลางคืน เจอผีแน่นอนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบางทีเขาใส่ชุดธรรมดา ท่านก็บอกว่า อ๋อยังดูออก หน้าอย่างนี้นะไม่กลัวหรอก แต่พอตอนกลางคืนมองไม่เห็น ตารู้สึกพร่ามัว จิตใจก็หวั่นไหว พอเจออะไรก็ยากที่จะแบ่งแยกได้ชัดเจน ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นชัดหรือไม่ชัด ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์เราเดินอยู่ในโลกก็เหมือนกัน พอเราเดินไปพักหนึ่งก็เห็นคนนี้สวย เห็นคนนี้หล่อ เห็นคนนี้หน้าตาดี เห็นคนนั้นก็หน้าตาดี พอเห็นปุ๊บจิตใจเราก็เกิดแบ่งแยกแล้วว่าอย่างนี้เรียกว่าสวย อย่างนี้เรียกว่าหล่อ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าใจเรานั้นเมื่อเวลาเดินผ่านไป เราไม่ได้ปล่อยอารมณ์ไป แต่เรากลับเก็บอารมณ์มา พอเก็บมานานๆ เข้าอารมณ์นั้นก็ฝังอยู่ในใจของเรา จนเกิดเป็นนิสัย ต้องแบบนี้นะมีหนวดน้อยๆ อย่างนี้นะสวย ต้องแบบนี้นะใส่แว่นดำๆ ทำมาดเข้มๆ อย่างนี้เรียกว่าหล่อใช่ไหม พอไปเจออะไรที่มีหนวดน้อยๆ ก็บอกว่าสวยจังเลย แต่อะไรที่ไม่มีหนวด น่าเกลียดจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  เกิดเป็นความรู้สึกเคยชินและเป็นนิสัยของตัวเอง  เมื่อเป็นนิสัยของตัวเอง พอเดินไปเขาบอกว่าให้ท่านช่วยเป็นกรรมการตัดสินการประกวด ท่านจะตัดสินได้ยุติธรรมไหมว่าใครสวยกว่ากัน (ไม่ยุติธรรม)  เพราะตอนนั้นชอบแบบที่มีหนวดน้อยๆ แล้วสวย มีแว่นหนาๆ แล้วหล่อใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เรานั้นจึงมีคำกล่าวว่า “หากใจบริสุทธิ์ ทุกๆ สิ่งล้วนบริสุทธิ์ดีงามด้วย แต่ถ้าใจขุ่นมัวมีมลทิน ทุกๆ สิ่งก็พลอยจะเป็นมลทินและขุ่นมัวด้วย” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์เมื่อเราจะอยู่ในโลกนี้ ก่อนที่เราจะเดินไปไหนหรือจะทำสิ่งใด หมั่นสำรวจใจตัวเองด้วย เมื่อจิตใจปลูกฝังมาเป็นความรู้สึกเคยชิน อารมณ์ก็กลายเป็นตัวของตัวเอง พอใครบอกว่าทำไมเธอชอบเป็นแบบนี้ก็จะพูดว่า ก็แบบนี้เรียกว่าตัวของฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอใครมากระทบแบบนี้เราก็รู้สึกไม่พอใจ พอใครมีความเห็นที่ตรงข้ามกับแบบนี้เราก็รู้สึกโกรธขัดแย้งไม่พอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการมีชีวิตการที่เราจะสามารถอยู่บนโลกนี้ แล้วรับเรื่องราวรับทุกๆ สิ่งในโลกนี้ได้อย่างบริสุทธิ์และเป็นสุขนั้นก็คือ เราต้องใช้จิตล้างใจของตัวเอง อย่าให้ยิ่งดำเนินชีวิตจิตใจยิ่งกลายเป็นถังใบใหญ่ เก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ในถัง บางครั้งยิ่งเราเดินไปใจของเราก็เหมือนถังที่เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ พอเจอปุ๊บก็กระทบใจ แต่ถ้าเมื่อไรเราดำเนินชีวิต เรายิ่งมีแต่ล้างถังให้เกลี้ยง แล้วก็ทุบถังนี้ทิ้ง ไม่มีอะไรที่เป็นถัง ไม่มีอะไรเรียกว่าเป็นจิตเป็นใจ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นอารมณ์นิสัยของตัวตน เมื่อนั้นเราจะอยู่อย่างเป็นสุข ไม่กระทบคนโน้นไม่กระทบคนนี้ แม้กระทบก็ไม่ขุ่นมัว แม้แตะถูกตัวก็ไม่สั่นไหว อย่างนี้ทำได้ไหม (ได้)  หรือว่าทำได้ยาก ยากหน่อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าไม่ยากเลยถ้าทุกขณะจิต พอเดินไปเมื่อมากระทบเราปุ๊บ อ๋อ เขาว่าเรา ทำไมเธอเป็นคนแบบนี้ล่ะ ทำไมเธอถึงชอบขี้บ่น เราคิดได้เลยว่าใจเราเป็นถังที่เก็บความขี้บ่นอยู่ใช่ไหม (ใช่)  พอบอกว่าทำไมเธอถึงชอบทำแบบนี้ล่ะ นี่กระทบใจอีกแล้วทำให้เรารู้ได้ว่า ทำไมใจเรามีความชอบแบบนี้อยู่ พอมีชอบก็ต้องมีไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเดินไปอีกมีชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนอีก เพื่อนก็บอกว่าเออทำไมเธอถึงช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจอย่างนี้ จะเอาใจนี้ล้างออกดีไหม (ไม่ดี)  ต้องรักษาให้คงอยู่ใช่หรือไม่  แต่พอเขาบอกว่าวันนี้เขาว่าเรา แต่อีกวันหนึ่งเขาบอกว่าทำไมกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ แล้วเราควรจะเก็บไว้หรือไม่เก็บดี (ไม่)  อย่างนี้ต้องปล่อยทิ้งแล้วสำรวจตัวเองว่า เราลืมรักษาความซื่อสัตย์ไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วถ้าศิษย์น้องบำเพ็ญตนไม่ควรจะติดแม้กระทั่งดีและไม่ดี เมื่อไม่ติดทั้งดีและไม่ดี รักและก็เกลียด เมื่อนั้นเดินไปก็จะไม่หวั่นไหวและก็ไม่สั่นคลอน จริงไหม (จริง)
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสามคน แสดงเป็นลาสามตัว ตัวที่หนึ่งมีหูและหางครบ, ตัวที่สองมีแต่หูแต่ไม่มีหาง, ตัวที่สามมีหางแต่ไม่มีหู และให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกท่านหนึ่งซึ่งถูกปิดตาด้วยผ้า มาต่อหางและหูให้กับลาสองตัวที่หางและหูไม่ครบ โดยให้นักเรียนคอยบอกทางให้)
ความมืดกับความสว่างสิ่งไหนดีกว่ากัน (ความสว่าง)  เพราะเห็นได้ชัดเจนกว่า
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมและนักเรียนร้องเพลงและทำท่าถูหลังประกอบ)
สกปรกมาทั้งปีแล้ววันนี้ได้ล้างทำความสะอาด ล้างจิตใจที่ง่วงเหงาหาวนอนไปบ้างแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อสักครู่นี้ดูออกไหมว่าศิษย์พี่มีธรรมะอะไรอยู่ในเกม ใครตอบได้บ้าง หรือเป็นแค่ความสนุกสนาน (ความสว่างย่อมดีกว่าความมืด)  ความสว่างย่อมดีกว่าความมืดนั่นก็คือตาที่รู้จักเปิดกว้างรับความเป็นจริง ย่อมดีกว่าที่ปิดบังอำพรางไม่ยอมรับความเป็นจริงของชีวิตใช่ไหม (ใช่)  จิตใจที่สว่างไสวย่อมดีกว่าจิตใจที่มีตะกอนกิเลส อารมณ์ นิสัย ความเคยชินที่ไม่ดีทำให้ขุ่นมัวใช่ไหม (ใช่)  ใครได้อะไรบ้างจากเมื่อสักครู่ (การที่ถูกปิดตา เมื่อจะไปหาลาเพื่อสวมหูให้ หรือว่าจะติดหางก็ต้องใช้ความเพียรพยายามของตัวเอง)  นั่นก็คือการกระทำสิ่งใดยิ่งยากลำบาก แต่ถ้าเรามีความตั้งใจ มีความพยายามมีแรงหนุนช่วย มีแรงคนที่คอยให้กำลังใจส่งเสริม แม้จะถูกปิดตาก็มีใจที่จะพยายามทำให้สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือว่าบางครั้งคนเราเกิดมาแม้จะมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง เช่นเป็นคนที่ทำอะไรช้า แต่ถ้ามีเพื่อนคอยให้กำลังใจ ไม่เหยียบย่ำไม่ซ้ำเติม คนๆ นั้นก็สามารถที่จะฝ่าฟันไปได้ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นบางครั้งเราอยู่ร่วมกันก็ต้องรู้จักให้กำลังกัน และชี้นำในสิ่งที่ดีให้แก่กันแล้วเขาก็จะสำเร็จได้ แต่คนหนึ่งจะสำเร็จได้ก็ต้องมีความเพียรพยายามและอะไร (มีความมั่นใจ)  นั่นก็คือชีวิตของมนุษย์เราหากไม่งอมือ ไม่งอเท้า ไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้มา ต่อสู้ฟันฝ่า ทุกอย่างย่อมอยู่ในมือ ชีวิตเราย่อมสามารถกำไว้ได้ ควบคุมได้ นั่นก็คือว่าอย่าได้ดูถูกตัวเอง ขอให้มีความมั่นใจเราย่อมฝ่าไปถึง มีอะไรอีก (ขัดเกลาจิตใจ)  ก่อนที่เราจะขัดเกลาหรือยอมรับการขัดเกลา นั่นก็คือเราต้องรู้ก่อนว่าตัวเองนั้นเหม็นสกปรก ไม่อย่างนั้นเราคงไม่อาบน้ำขัดเกลาจริงหรือไม่ (จริง)  กายเรายังรู้จักชำระล้าง ใจเราก็เหมือนกันบางทีอาจจะสกปรกขุ่นมัวแย่แล้ว รอเราหันกลับไปชำระล้าง แล้วลาสามตัวเป็นอย่างไร (เราต้องมีสติอยู่ตรงนั้น)  เราต้องมีสติอยู่ตรงนั้นด้วย ยิ่งเราอยู่ในที่มืดเรายิ่งต้องมีสติระมัดระวังตัวเองให้ได้มากที่สุด เหมือนคนชอบแอบทำผิดในที่ลับๆ บอกว่าไม่มีใครเห็นหรอก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง พุทธะกล่าวว่า “แม้จะเป็นความดีเพียงน้อยนิดก็ต้องรีบขวนขวายทำ แม้จะเป็นความชั่วเพียงเล็กน้อยก็ต้องรีบแก้ไขขัดล้าง” ไม่เช่นนั้นความผิดแม้จะเพียงเล็กน้อยก็เหมือนเงาที่คอยตามตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ลาสามตัวนี้มีทั้งตัวที่สมบูรณ์แบบ และตัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ อีกตัวหนึ่งขาดหู อีกตัวหนึ่งขาดหาง คนเราในโลกนี้ก็เหมือนกัน บางครั้งเราเพียรพยายามหาคนที่ดีที่สุด เลิศที่สุดมาเป็นเพื่อนเรา มาเป็นคนที่อยู่ร่วมกับเรา แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้ยากใช่ไหม (ใช่)  การอยู่ร่วมกันก็คือช่วยกันเติมใจให้เต็ม พอรู้ว่าเขาขาดเราก็ให้เขา พอเราขาดเขาก็ให้เรา เราก็จะอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข ไม่ใช่บอกว่าคนนี้ขาดหู คนนี้ขาดหาง เอาแต่ว่าๆ เขา แล้วก็รังเกียจเขา แล้วบอกว่าฉันเป็นคนที่มีทั้งหูทั้งหางสมบูรณ์ แต่จริงๆ แล้วใจไม่สมบูรณ์  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันในโลกนี้เป็นธรรมดาย่อมมีดี ดีมาก ดีน้อย แล้วก็ร้าย ร้ายมาก ร้ายน้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะอยู่กันอย่างตั้งแง่ตั้งงอนไม่ได้ ชิงดีชิงเด่นกันไม่ดี แต่เราต้องอยู่กันอย่างสมานกลมกลืน เหมือนเราดูต้นไม้ หากมีต้นกล้วยอยู่ แล้วเราจะมาปลูกต้นมะม่วง ต้นกล้วยเกิดอิจฉาริษยาว่าชีวิตนี้เจ้าของบ้านเคยมีแต่กล้วย อะไรก็กล้วย อะไรก็กล้วย ตอนนี้มีมะม่วง ต้นกล้วยอิจฉายอมไม่ได้แต่ไม่ยอมรับ คนเรามักจะมองไม่เห็นตัวเองใช่หรือเปล่า พอต้นมะม่วงขึ้นมาแล้วก็แกล้งเอาก้านไปขวาง เอารากไปขวางทำให้มะม่วงขึ้นได้ไม่ดี พอมะม่วงขึ้นได้ไม่ดีก็ถูกฟันทิ้ง ก็หัวเราะแสดงความดีใจ
สิ่งที่ศิษย์พี่พูดมาก็หมายความว่า การอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นหากเรารู้จักอบรมบ่มเพาะจิตใจที่ดีงาม การแสดงออกย่อมบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ถ้าเกิดว่าเราอบรมบ่มเพาะหรือไม่ได้อบรมบ่มเพาะ ปล่อยจิตใจไปตามอารมณ์ ปล่อยจิตใจไปตามต้องการ อารมณ์และความต้องการนี้อาจไปกระทบเบียดเบียนแล้วก็ทำร้ายคนอื่นก็เป็นได้ เหมือนใจของทุกคน เกิดมามีความอยาก ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทุกคนมีเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บังเอิญความอยากตรงกัน พอเราอยากตรงกัน ใจเราก็ย่อมไม่เที่ยง ใจเราย่อมเหมือนน้ำขุ่นๆ ที่มีตะกอนวนเวียนอยู่ในจิตใจ ตะกอนนั้นก็คือความโลภ โลภนั้นวนไปเวียนมาอยู่ในจิตใจของเรา เวลาเราจะมองเขา เราก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน เมื่อมองเห็นเขาไม่ชัดเจนตัวเราก็ไม่ชัดเจน การกระทำออกไปจะเด่นชัดและจะถูกต้องได้ไหม (ไม่ได้)  ย่อมใกล้เคียงทั้งดีและเสียหายใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อเรามีความโลภในจิตใจ ความโลภนั้นย่อมเกิดการแข่งขันชิงดี เบียดบังและทำร้าย ผลที่สุดก็คือความเห็นแก่ตน เมื่อเห็นแก่ตนแล้วย่อมไม่เห็นอกเห็นใจใคร ย่อมไม่รักใคร และไม่หวังดีกับใครนอกจากตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่านอยู่ในโลกนี้จงประคับประคองจิตใจให้ดีอย่าให้กิเลส อารมณ์มาครอบงำใจ ถ้าเมื่อไหร่ที่มันมาครอบงำเมื่อนั้นใจเราจะขุ่นมัว เราต้องรู้จักมีสติอยู่เสมอ คอยตรวจตราจิตใจของเราทุกขณะจิตที่ก้าวเดิน หากเราดำเนินชีวิตปล่อยให้กิเลสครอบงำ ปล่อยให้กิเลสชักพาตัวตนเองไป เราย่อมยากที่จะเป็นคนมีระเบียบมีคุณธรรมและเห็นอกเห็นใจใครใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเกิดเป็นคนเห็นแต่ตน โลภไม่มีที่สิ้นสุด  เช่นนี้หรือจะเรียกว่าคนที่บำเพ็ญตน  เช่นนี้หรือจะเรียกว่าคนที่อยากจะเป็นคนดี  เช่นนี้หรือจะเรียกว่าคนที่จะเป็นพ่อแม่คน  เป็นได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันบางครั้งเรามีเหตุผล แต่เขาก็มีเหตุผลเหมือนกัน ดังนั้นการอยู่ร่วมกันเราจะต้องไม่ลืมที่จะน้อมยอมรับเขาบ้าง แล้วอย่าปล่อยให้กิเลสมาครอบงำจิตใจ ไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง หากมีตัวใดตัวหนึ่งย่อมทำให้มนุษย์นั้นไม่สามารถมีความเที่ยงธรรมได้ หรือแม้แต่กระทั่งเห็นแต่ตัวเอง เห็นแต่ตนก็เป็นกิเลสเหมือนกัน เข้าข้างตน เห็นตนสำคัญ เห็นคนอื่นไม่สำคัญเป็นกิเลสไหม (เป็น)  เห็นคนอื่นสำคัญและเห็นตัวเองไม่สำคัญเป็นกิเลสไหม (เป็น)  เห็นคนอื่นสำคัญเพราะว่าเรารักเขามากเกินไปจนลืมรักตัวเอง เหมือนท่านผู้สูงอายุ บางครั้งรักลูกรักหลานจนลืมเป็นห่วงตัวเอง เป็นห่วงเขามากจนลืมควบคุมตัวเอง และตัวเองชอบระเบิดอารมณ์ ระเบิดความขี้บ่น พอระเบิดทีหนึ่งใครจะอยู่ด้วย มีแต่หนีไปหมดเลยใช่ไหม แล้วจะบอกลูกว่ามาเถอะมาอยู่กับแม่เถอะ ก็แม่วางระเบิดเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการที่ทำให้เรารู้จักนำคุณธรรมมาใช้กับชีวิต มาน้อมนำชีวิตและน้อมนำจิตใจ ให้สามารถนำพาตัวเองได้และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่นใช่ไหม (ใช่)  บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องไม่ยาก นั่นก็คือรู้จักฝึกฝนอบรมตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณธรรม สิ่งใดที่ไม่ดีก็รู้จักชำระ นั่นก็คือความบำเพ็ญธรรมเบื้องต้น
แต่บางครั้งถึงแม้ว่ามนุษย์เราจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บ่อยครั้งก็ทำใจไม่ได้ เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เพราะว่ามันฝังอยู่ในใจจนกลายเป็นอารมณ์ นิสัย ความเคยชินแล้ว การที่จะค่อยๆ กระเทาะ ค่อยๆ ล้าง บางครั้งออกจะเป็นเรื่องยาก แล้วเวลาทำทีก็เจ็บใช่หรือเปล่า เหมือนเราจะถูขี้ไคลบางทีมันติดนาน อารมณ์ นิสัย ความเคยชินของมนุษย์ก็เหมือนกัน บางทีมันติดนาน รู้อยู่ว่าผิดแต่บอกให้ถู บอกให้ขยี้ เราก็กลัวเจ็บใช่ไหม (ใช่)  พอบอกว่าต้องให้ยอมนะ ไม่เอาไม่อยากยอมแพ้เค้า เรื่องอะไรต้องยอมเค้า เสียเชิงชายหมด เรื่องอะไรต้องไปยอมแพ้ภรรยาใช่ไหม ภรรยาก็บอกว่าเรื่องอะไรต้องไปยอมให้สามีใช่ไหม จริงๆ แล้วไม่ถูก หากไม่ดีเราต้องรีบขัดล้าง ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเกาะจนปล่อยไม่ได้ เมื่อปล่อยไม่ได้เราต้องทุกข์ใช่หรือไม่ จึงมีคำกล่าวว่า “มนุษย์เราชอบเป็นนักสังหาร” สังหารยุง สังหารเพื่อน สังหารสามี สังหารภรรยา และก็สังหารสัตว์ใช่หรือเปล่า แต่พุทธะสังหารหรือตัดอะไรล่ะ พุทธะตัดความหลอกลวงในตัวตน เมื่อรู้แล้วอย่าหลอกตัวเองว่าไม่รู้ใช่ไหม เพราะจริงๆ แล้วเรารู้ว่าอะไรไม่ดีในตัวเรา แต่เรามักจะบอกว่าไม่รู้ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถสังหารความหลอกลวงในตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์จะไม่ต้องทุกข์โศกอีกต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ท่านยังไม่ยอมสังหาร ท่านก็จะทุกข์วันนี้ สุขวันนี้ ทุกข์วันโน้น สุขวันหน้าสลับกันไปไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นขอให้รีบตื่นขึ้นแล้วมองเห็นชีวิตอย่างแท้จริงได้ไหม (ได้)  เราจะทำอย่างไรในเมื่อมนุษย์ยังเหมือนต้นไม้ที่ยิ่งโตก็ยิ่งพอกให้ตัวเองหนาขึ้น ใหญ่ขึ้นใช่ไหม แต่บำเพ็ญธรรมคือการทำให้ตัวเองน้อยลงๆ ทั้งที่การดำเนินชีวิตมีแต่หนาขึ้น ใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ เราเหมือนกับต้นไม้ที่มีชีวิตแล้วต้องพยายามทำให้ตัวเองสมบูรณ์ขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้น แข็งกล้าขึ้นใช่หรือไม่ พอใบไม้ร่วงเราก็ต้องพยายามผลิให้ได้มากกว่าที่ร่วงใช่หรือไม่ เราคอยผลิแล้วก็ร่วง ผลิแล้วก็ร่วงเหนื่อยไหม ถ้าเมื่อไรเราเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งใบร่วงหมดต้น เราไม่ต้องไปสงสารเขา ตอนนั้นเขาอาจอยากจะหาความสงบให้กับชีวิตก็เป็นได้ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราเห็นเขายิ่งใหญ่ตระการตา แต่ตอนนี้กลายเป็นเล็กกระจ้อยร่อย เราอย่าไปสงสารเขา ตอนนั้นเขาอาจจะอยากหาความเป็นชีวิตที่แท้จริงก็เป็นได้ใช่หรือไม่  ชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่ว่าต้องใหญ่ ชีวิตที่แท้จริงคือการรู้จักลด รู้จักพอ แม้ร่วงลงไปก็ยอมรับ คิดว่าหาความสงบให้กับชีวิต เหมือนสังขารของมนุษย์ สังขารของทุกคนคอยบอกมนุษย์แล้วว่าเมื่อเติบใหญ่จนถึงที่สุด ผลสุดท้ายก็ต้องแก่ชราและร่วงโรยใช่ไหม เมื่อถึงตอนนั้นใจเราก็ต้องคอยปล่อยๆ วางๆ ไม่ใช่ร่วงๆ เพิ่มๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่าฝืนธรรมชาติแล้วก็เป็นทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์เรา ยิ่งเมื่อไรที่ต้องสูญเสีย ตอนนั้นเราไม่ต้องไปวุ่นวาย ไม่ต้องไปเดือดร้อนว่าจะเอาเพียงอย่างเดียวยิ่งเราอยากจะให้อยู่ กลับยิ่งสูญหายใช่ไหม ยิ่งรักษาเดี๋ยวก็หายไปจากเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  สังเกตว่ายิ่งเราอยากมี อยากได้ เรากลับยิ่งต้องทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้จักถอยบ้าง ไม่อยากมีไม่อยากได้บ้าง บางครั้งกลับมีความสุขในความสงบใช่ไหม (ใช่)  ใช่เรื่องอะไร (ยิ่งแสวงหาอาจจะทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ควรจะปล่อยละจะได้ไม่เป็นทุกข์จนเกินไป)  บางครั้งก็ควรจะลดละปล่อยวางบ้างใช่ไหม (ใช่)  วันนี้จะตัดจากสามี ตัดในที่นี้ไม่ใช่เลิกกับเค้า แต่ให้รู้จักปล่อยวางบ้าง
ที่นี่จะมีได้ก็ต่อเมื่อมีคนเสียสละ การบำเพ็ญธรรมนั้นเน้นหนักให้รู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตนเองแล้วยังต้องรู้จักช่วยเหลือคน การช่วยเหลือคนจะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรามีจิตใจเสียสละ จิตใจที่ไม่เห็นแก่ตนใช่ไหม (ใช่)  ซึ่งทุกท่านในที่นี้ต่างทำได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยู่ที่ว่าจะยอมลดการแสวงหาในโลกนี้บ้างหรือเปล่า หากเรายอมลดแล้วเปลี่ยนจากการหาเป็นการให้คนอื่น เราก็จะได้พบความสุขที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด นั่นคือเราได้สามารถฝึกฝนบำเพ็ญตนให้รู้จักให้ เมื่อให้บ่อยๆ แล้วเราก็จะมีสุข แต่บางครั้งช่วงที่เราคิดจะก้าวออกไปบำเพ็ญนั้น ในช่วงที่เราจะคิดให้กับคนอื่นนั้นต้องต่อสู้กับใจตัวเองก่อน ถ้าใจตัวเองฝ่าไม่ได้ เมื่อก้าวไปนั้นก็จะต้องเจออุปสรรคใช่หรือไม่ เมื่อใจตัวเองไม่สามารถเคลียร์ให้เรียบร้อยได้ เจออุปสรรคก็เป็นอย่างไร ก็ล้ม เมื่อนั้นก็ยากที่จะบำเพ็ญให้คนอื่นได้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์น้องจะออกไปฉุดช่วยคน พยายามเคลียร์จิตเคลียร์ใจให้เรียบร้อยว่าพร้อมไหม เข้าใจหรือยัง พร้อมแล้ว สละได้แล้ว วางได้แล้ว ก่อนก้าวออกไปเคลียร์กับคนข้างๆ ก่อน เคลียร์กับงานอะไรให้เรียบร้อยก่อน เลิกเคลียร์แล้ว วางแล้ว สละ  ทำได้แล้วค่อยๆ ก้าวออกไปช่วยคนทีละนิด แม้วันนี้ได้แค่นิดหนึ่ง แค่พูดว่าอย่าลืมไปห้องพระนะ นั่นก็คือการได้ช่วยคนบ้างแล้วใช่หรือไม่ อย่าได้เที่ยวเปรียบเทียบว่าจะต้องเอาให้ได้เท่านี้เอาให้มากเท่านี้ ค่อยๆ บำเพ็ญ ธรรมะเริ่มจากตนแล้วนำสู่ผองชน หากตนเองยังไม่สามารถเคลียร์จิตเคลียร์ใจได้ เวลาจะก้าวไปเจออุปสรรคก็จะยิ่งทำให้ยากจะฝ่าฟันไปได้ใช่หรือไม่ การบำเพ็ญธรรมจึงต้องรู้จักกระตือรือล้นและอย่าได้รีบร้อน ความกระตือรือล้นทำให้เรารู้จักที่จะมีใจต่อสู้ฝ่าฟันและน้อมนำสิ่งที่ดีๆ และแก้ไขสิ่งที่บกพร่องใช่หรือไม่ แต่ความรีบร้อนจะทำให้มนุษย์เราทำลายความมุ่งมั่นใช่หรือไม่ งานอะไรก็ตาม สังเกตเหมือนเวลาเราง้าวธนู พอง้าวตึงมากๆ แล้ว ผลสุดท้ายก็อาจจะขาดหรือไม่ก็คือกลับไปสู่ที่เดิมใช่ไหม เหมือนมนุษย์เราพอได้อะไรที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว เราก็จะรู้สึกว่าหย่อนแล้วก็เสื่อม เหมือนลิ้นเรารับรสอาหารเปรี้ยว หวาน เค็ม มัน เต็มไปหมดเลย เราก็รู้สึกว่าไม่อยากกินอะไรแล้ว ขอดื่มน้ำเปล่าดีกว่าใช่ไหม การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกันถ้าอยากจะทำอะไรมุ่งมั่นไปให้สำเร็จ เราต้องค่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยอย่ารีบร้อน ไม่อย่างนั้นรีบร้อนแล้วจะไปได้ไม่ถึง เหมือนลมหายใจของเราเมื่อเราหายใจเข้าผลสุดท้ายก็ต้องหายใจออกใช่ไหม การก้าวเดินของเราเหมือนกัน ก้าว ชิด ก้าว หรือไม่ก็ก้าวไปใช่หรือไม่ แต่การก้าวไปนั้นเป็นธรรมดาที่จะต้องผ่านที่เดิมก่อนใช่หรือไม่ การกระทำสิ่งใดก็เฉกเช่นเดียวกัน จึงต้องอย่าได้ดึงจนเกินไป ถ้าก้าวจนสุดทีนี้น้องจะก้าวต่อได้ไหม (ไม่ได้)  ก้าวไม่ได้แถมยืนยังยืนไม่ขึ้นเลยใช่หรือไม่ ต้องหาคนพยุง  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักค่อยๆ ก้าว ช้าๆ แต่มั่นคง อย่าได้รีบร้อนจนล้มไม่เป็นท่าแล้วบอกว่าธรรมะไม่ดี ไม่อยากบำเพ็ญธรรมแล้ว ไม่ได้นะ ต้องมองให้ชัดเจน  การบำเพ็ญธรรมะก็คือการรู้จักนำธรรมมาน้อมนำใช้ในชีวิต ถ้ายังนับถือศาสนาพุทธก็ยังนับถือได้อยู่ พระก็ยังไหว้ได้อยู่ เข้าโบสถ์เข้าวิหารทำบุญตักบาตรก็ยังทำได้อยู่ เพียงแต่มีโอกาสให้ได้รู้จักฉุดช่วยชีวิต น้อมนำชีวิตตัวเองด้วย ไหว้พระแล้วอย่าลืมเอาพระมาสู่ใจ เมื่อเอาพระมาสู่ใจแล้วอย่าลืมนำพระหรือนำความศักดิ์สิทธิ์ไปใช้ด้วย
เรื่องราวในโลกนี้ศิษย์น้องต้องจำไว้อยู่อย่างหนึ่ง บางครั้งเราคิดว่าเรามั่นใจแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ คิดแล้ว บอกให้ชัดเจนแล้ว แต่บางครั้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้ศิษย์น้องมั่นใจว่าสิ่งที่ศิษย์น้องทำดีที่สุดแล้ว แต่อย่าลืมว่าบางครั้งมันก็มีความไม่แน่นอนได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนศิษย์น้องหลายคนชอบดูหมอ หมอทำนายว่าต่อไปอนาคตจะรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ศิษย์น้องก็นั่งฝันว่าชีวิตเราจะโชติช่วงชัชวาล แต่อาจจะไม่แน่นอนก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งมีคนมาบอกว่าต่อไปอนาคตจะมืดมนหม่นหมอง แต่ไม่แน่อาจจะสว่างโชติช่วงก็เป็นได้ นั่นคือไม่ขึ้นอยู่กับคำพูดของใครคนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่ตัวศิษย์น้องเองต่างหาก เมื่อได้ยินเมื่อได้ฟังเรื่องราวอะไรมา บางครั้งอย่ามั่นใจ อย่าแน่นอน แม้กระทั่งใจตัวน้องเอง เพราะบางทีก็หวั่นไหวสั่นคลอนเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ เสมอๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบางครั้งเราจะต้องไม่งอมืองอเท้าแล้วเราจะสามารถกุมชะตาชีวิตไว้ที่ตัวเองได้ ยิ่งร้ายมาเรายิ่งต้องตั้งสติรับให้ดีแล้วค่อยๆ ฟันฝ่าไป ยิ่งดีมาก็ต้องระมัดระวัง รู้จักเผื่อแผ่ให้ ความดีนั้นจะได้ยิ่งเกรียงไกรและอยู่ได้ยืนนาน เหมือนเรามีสุขเราก็ต้องรู้จักให้สุข เมื่อเรามีทุกข์จงยืนขึ้นแล้วฟันฝ่าอย่าได้ล้มลุกคลุกคลาน ไม่เช่นนั้นเอาแต่ล้มลุกเมื่อไรจะฝ่าออกไปได้ ไม่อย่างนั้นศิษย์น้องเองก็จะเป็นผู้พ่ายแพ้ตนเอง
“ว่าหนักอกคลายกับสบายกว่า”  บางครั้งเรื่องที่หนักๆ บางทีก็ยังทำให้เราเดินไปได้สำเร็จกว่าเรื่องที่สบายๆ เสียอีก ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ ให้ศิษย์น้องลองถือกระดาษสักแผ่นหนึ่ง ถือไว้อยู่กับตัวตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งปีหน้าให้มาพบศิษย์พี่อีก กระดาษนั้นจะยังอยู่กับศิษย์น้องไหม แต่ไม่ใช่ว่ากลัวศิษย์พี่เลยตัดกระดาษแผ่นนี้เอามาให้ใหม่ ห้ามเอาอย่างนี้นะ ต้องเป็นแผ่นที่วันนี้ได้ไปแล้วพรุ่งนี้กลับมาก็ยังอยู่อีก ศิษย์พี่จะคอยดูนะ แต่บางคนพอเห็นเป็นเรื่องแบบนี้กลับรักษาไม่อยู่ แต่ถ้าให้ถือป้ายทั้งหกร้อยแผ่นก็บอกว่างานหนักเหลือ รักษายากเหลือเกิน พอปีหน้ากลับมากระดาษหกร้อยแผ่นยังอยู่ไหม (ไม่อยู่)  ศิษย์พี่ต้องการยกตัวอย่างให้ดูว่าบางครั้งเรื่องเบาๆ เราก็เบาใจเกินไป พอได้เรื่องหนักๆ กลับยิ่งหนักเกินไป มนุษย์เราจึงเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย บางครั้งหนักเกินไปก็รักษาอยู่ แต่บางครั้งหนักเกินไปบางคนกลับรักษาไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  บางคนเบาเกินไปรักษาอยู่ แต่บางคนเบาเกินไปรักษาไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงอย่าได้ประมาทแม้กระทั่งตนเองและคนรอบข้าง
“บำเพ็ญจะค่อยค่อยเห็นสัจธรรมนา ไม่คิดหน้าคิดหลังประมาทไป”  ฉะนั้นทำอะไรขอให้รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รู้จักหมั่นขัดเกลาตัวเอง ดำเนินชีวิตอย่างผู้มีคุณค่าและมีธรรม ธรรมนี้เป็นสิ่งที่มีคุณ มีคุณทั้งชาตินี้และชาติหน้า มีคุณทั้งภพนี้และภพหน้าทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงแม้จะมีคุณในชาตินี้ แต่ก็มีโทษในชาตินี้เหมือนกัน แม้มีคุณในชาตินี้ แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ให้มีคุณธรรมก็กลายเป็นโทษในชาติหน้าใช่หรือไม่ ไม่เหมือนกับมีธรรม หากเรารู้จักบำเพ็ญธรรม ธรรมนั้นจะช่วยนำพาชีวิตไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ขอให้ศิษย์น้องตั้งใจศึกษาให้ดีๆ อย่าได้ขาดนะ เข้าใจไหม ศิษย์น้องยังสงสัยนิดๆ ว่าศิษย์พี่หรือเด็กคนนี้มาหลอกลวงหรือเปล่า ไม่เป็นไร จะสงสัยหรือไม่สงสัยก็อยู่ที่ตัวท่านเอง  วันนี้หน้าที่ของศิษย์พี่ก็หมดลงด้วยประการฉะนี้ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญศึกษาธรรมให้ดีนะ วันนี้ศิษย์พี่ก็คงต้องไปแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีนะ ขอให้ยิ่งบำเพ็ญยิ่งก้าวหน้า จิตใจยิ่งสว่างไสว อย่าได้ขุ่นมัวในอารมณ์ กิเลสตัณหาและความเป็นตัวของตัวเองจนเกินไป อย่าคิดว่าศิษย์พี่มาหลอกเลย ถ้ายังคิดว่าศิษย์พี่มาหลอกอีก ศิษย์พี่ก็เศร้า ไปด้วยความเศร้า โชคดีนะ



วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

บนทางมีครูกับศิษย์อยู่คู่หนึ่ง เมื่อเดินถึงไม่เท่าไรศิษย์ก็ถาม
ครูก็เฝ้าอธิบายไม่ขาดความ แล้วครูถามกลับศิษย์เข้าใจหรือไม่
เมื่อถึงแล้วก็รู้เองไม่ต้องถาม แต่เมื่อยามถึงแล้วอย่าลืมว่าทำไฉน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร มาศึกษาต้องปฏิบัติให้ควบคู่กัน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงเฉิง แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมจะบำเพ็ญหรือยัง

อย่าบอกว่าท้อใจไม่เคยช่วย ให้ศิษย์รักสูงส่งด้วยคุณธรรมหนา
อย่าบอกว่าเลิกบำเพ็ญติดปากนา กรรมเวรมารุมศิษย์ข้าช่วยไม่ทัน
ชีวิตแสนมีค่าสำรวมดำเนิน อย่าเพลิดเพลินหลงติดอยู่ในขันธ์ 
กิเลสพาตาพร่าอยู่อย่างนั้น จงรู้ทันละกิเลสให้เต็มแรง
ยืนอยู่คาบความดีชั่วตัวเรานี้ ทุกนาทีจึงมั่นดีด้วยใจแกร่ง
จะกี่วันเดือนปีไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หน่ายแหนงทางบำเพ็ญนะศิษย์เอย
โปรดสามภพข้าโปรดศิษย์ด้วยใจรัก อย่าเป็นไม้หลักปักเลนเดินหน้าก้าว
สู่แดนสรวงต้องมีจิตอันใสเบา แปรคนเก่าเป็นคนใหม่นะศิษย์เอย
หลังจากจบสองวันนี้ไปปฏิบัติ อย่าประมาทเหมือนดังเก่าเฝ้าทำเฉย
สิ่งใดข้าเคยกล่าวอย่าละเลย ศิษย์ข้าเอยตามข้าคืนแดนฟ้าเทอญ
ฮา ฮา  หยุด

  ขันธ์ ส่วนหนึ่งของรูปกับนามที่แยกออกเป็น ๕ กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ


ได้ยินครั้งใดอยู่ดีดีก็หนาวดั่งล้มไข้ น่าเบื่อไม่ทน เมื่อศิษย์เราท้อใจหมดใจ โปรดฟังให้ดี หากกังวลทั้งวันก็ยิ่งหน่าย อย่าเดินหนีไป ฝึกบำเพ็ญยอมรับเรื่องจริง ไม่เคยสักที อยากมีหน้าตา จะดิ้นรนน้อยกว่านี้
? มิวอนขอคนหมดใจ ดูเจ้านั้นจากลา จะขื่นขม จะห่วงหา ก็จะอดทนไว้ ศิษย์ทุกข์ข้าทุกข์เฝ้ารอ ศิษย์ท้อข้าร้อนหนักใจ ศิษย์ข้าเอ๋ยคืนมาให้ได้ อาจารย์จะรอคนดี   (ซ้ำ ?)

ชื่อเพลง : อย่าให้ต้องรอ
ทำนองเพลง : ขอเป็นฝ่ายไป


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ฟังหัวข้อกตัญญูไปแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์มีความกตัญญูไหม ถังที่ใช้อยู่ที่บ้านศิษย์เคยเห็นไหม แต่ถังใบนี้ก้นรั่ว จะใส่น้ำได้เต็มไหม กุศลเราก็เหมือนกับน้ำในถังใบนี้ ในเมื่อใส่ได้ไม่เต็มถัง จะมีเผื่อแผ่ไปให้กับคนอื่นได้ไหม (ไม่มี)  เราจึงต้องมาอุดรอยรั่วอันนี้ก่อน แล้วทำอย่างไรถังใบนี้จึงแตก ประการแรกถ้ายังทำความชั่วควบคู่กับความดีไปด้วย นั่นคือก็ยังใส่น้ำให้เต็มถังไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องอุดรอยรั่วนี้ก่อน อีกประการหนึ่งที่ทำให้ถังใบนี้รั่วก็คือ การที่เรานั้นทานเนื้อสัตว์อยู่ การทานเนื้อสัตว์คือการเกี่ยวกรรมกับสัตว์ แม้ศิษย์สร้างกุศลแต่กุศลนั้นก็ต้องคืนให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วจะทำอย่างไรจึงจะอุดรอยรั่วนี้ได้ เราต้องรู้จักที่จะเบาบางลงจนกระทั่งเรานั้นไม่ทานเนื้อสัตว์ ไม่ใช่ให้เวลาตนเองจนไร้เขตจำกัด เราต้องมากำหนดตัวเองว่าเราจะเลิกทานเนื้อสัตว์ภายในเวลาเท่าไหร่ ต้องพยายามให้ได้ บางคนว่าค่อยเป็นค่อยไปแต่ไม่รู้ถึงปีไหน ค่อยเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่)  ค่อยหนึ่งปีก็แล้ว ค่อยสองปีก็แล้ว ค่อยสามปีก็แล้วยังเลิกไม่ได้อีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราไม่รู้จักปฏิบัติ เมื่อพูดธรรมะให้คนอื่นฟัง มีใครอยากฟังไหม (ไม่อยากฟัง)  ทำไมถึงไม่อยากฟัง เพราะว่าเรายังทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีพ่อแม่และทุกคนอยากแสดงความกตัญญู แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่กตัญญูซึ่งเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ คือการเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน  แล้วก็ขี้รำคาญใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเรารู้สึกว่าจะเป็นหนุ่มไฟแรง และสาวมีพลังขึ้นเรื่อยๆ แต่พ่อแม่ของเรานั้นก็เป็นคนที่แก่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย คนแก่ขึ้นแล้วขี้บ่น น่าเบื่อไหม จริงๆ แล้วจะบอกว่าเรานั้นก็เบื่อใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เบื่อแล้วเราต้องควบคุมความเบื่อของเราได้ด้วย
เพราะฉะนั้นปัญหาของเรากับพ่อแม่ในวัยที่ต่างกันก็มีปัญหาง่ายๆ ตรงที่ว่าเราเบื่อพ่อแม่เราบ่น ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็เป็นคนดี พ่อแม่เราก็อยากเลี้ยงดูใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าพ่อแม่บ่นประจำเลย พอพ่อแม่บ่นทีเราก็ถอย หรือไม่ก็วิ่งหนีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคนที่อยากจะกตัญญูต่อพ่อแม่นั้น ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ร้อน หรือว่าความขี้เบื่อของเรานั้นเราต้องรู้จักควบคุมให้ได้ ไม่ใช่เบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลาและสิ่งที่ควรจะกระทำก็คือการได้แสดงออกมา ถ้าหากว่าเราอยากกตัญญูใจเราเต็มไปด้วยความกตัญญู แต่เราไม่เคยแสดงออกมาเลย พ่อแม่รู้หรือไม่ว่าเรากตัญญู (ไม่รู้)  พ่อแม่รักเรา แต่พ่อแม่ไม่เคยบอกแล้วเรารู้ไหม (ไม่รู้)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักที่จะบอกพ่อแม่ว่าเรารักท่าน ด้วยการที่กลับไปบ้านแล้ว ถึงเวลากินข้าวเราต้องตักข้าวให้พ่อแม่ทานใช่หรือไม่ ทุกคนต้องกินข้าวหรือเปล่า (กิน)  พ่อแม่ต้องกินข้าวหรือเปล่า (กิน)  ถึงเวลากินกินพร้อมกันไหม (พร้อมกัน)  ส่วนใหญ่กินพร้อมกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เรากินเราต้องตักให้พ่อแม่ก่อน แล้วตักข้าวให้เรากินไปพร้อมๆ กัน นี่เป็นการแสดงออกไหม (แสดงออก)  เวลาที่เราจะกินน้ำ เราต้องตักให้พ่อแม่ก่อนหนึ่งถ้วยแล้วเรากินด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดซะว่าเราหิวพ่อแม่หิว เราทำอย่างไรให้ท่านหายหิว เราป่วยใจท่านก็ป่วยใจ ทำอย่างไรจะทำให้ท่านหายป่วย ป่วยใจป่วยกายอะไรหนักกว่ากัน (ป่วยใจ)  ป่วยใจก็ต้องรักษาด้วยใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ด้วยใจอะไรบ้าง  ตั้งใจแล้วอะไรอีก (เต็มใจ จริงใจ กำลังใจ สนใจ มีน้ำใจ ถนอมน้ำใจและเข้าใจ)  เราเข้าใจตัวเองไหม เราเข้าใจว่าตัวเราชอบทานอะไร ชอบอากาศแบบไหน เราเข้าใจตัวเองทุกอย่าง แต่เราไม่เข้าใจว่าพ่อแม่ชอบอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่มีอะไรในใจ ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่คิดอะไร ถ้าเราไม่เข้าใจท่านก็ย่อมที่จะมีอาการเบื่อ มีอาการอารมณ์ร้อนได้ทุกเมื่อๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความเข้าใจพ่อแม่ เมื่อเราเข้าใจ ทุกอย่างที่ศิษย์ตอบมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตั้งใจจนถึงถนอมน้ำใจนั้น ก็จะทำได้ครบถ้วน ด้วยคำว่า “เข้าใจ” เป็นที่เริ่มต้น เพราะฉะนั้นคำว่า “เข้าใจ” นั้นเป็นที่หนึ่ง คนจะเข้าใจคนได้ต้องรู้จักสังเกตใช่หรือไม่ (ใช่)  สังเกตเหมือนกับเราสังเกตภรรยา สังเกตสามี สังเกตลูก สังเกตของที่เราชอบ พ่อแม่ก็ต้องการการสังเกตของเราด้วย เมื่อเรากตัญญู ลูกหลานของเราก็จะกตัญญู เพราะว่าดูตัวเราเป็นเกณฑ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรียกว่าเป็นการสั่งสอนบุตรหลาน การที่เราสั่งสอนบุตรหลานนั้น จะใช้แต่ปากสั่งสอนหรือจะใช้คำพูดสั่งสอนอย่างเดียวได้ผลไหม (ไม่ได้)  ต้องใช้การกระทำไปสั่งสอนด้วย แสดงว่าเราทำได้ผู้อื่นย่อมทำได้ เราทำได้ลูกหลานของเราย่อมทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เราโมโหลูกหลานของเรา เราก็มาย้อนดูตัวเองว่าตอนเราเป็นเด็กนั้นเรารู้สึกอย่างไร ทำไมลูกหลานของเราถึงทำกับเราแบบนี้ เหมือนที่เราทำกับพ่อแม่แบบนี้หรือเปล่า ถ้าเราทำก็ถือว่าเป็นกรรมตามสนองใช่หรือไม่ (ใช่)

“บนทางมีครูกับศิษย์อยู่คู่หนึ่ง เมื่อเดินถึงไม่เท่าไรศิษย์ก็ถาม
ครูก็เฝ้าอธิบายไม่ขาดความ แล้วครูถามกลับศิษย์เข้าใจหรือไม่
เมื่อถึงแล้วก็รู้เองไม่ต้องถาม แต่เมื่อยามถึงแล้วอย่าลืมว่าทำไฉน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร มาศึกษาต้องปฏิบัติให้ควบคู่กัน”

อาจารย์เล่านิทานเรื่องหนึ่งเลยนะ บอกว่าบนทางเส้นหนึ่งมีครูกับศิษย์เดินคู่กันมา อาจารย์จะพาศิษย์ไปที่แห่งหนึ่ง แล้วพอเดินไปครึ่งทางหรือว่าเดินไปแค่นิดเดียว ศิษย์ก็เริ่มถามอาจารย์ว่าอาจารย์จะพาศิษย์ไปไหน อาจารย์ก็อธิบายให้ศิษย์ฟัง พอเดินไปอีกสักครู่หนึ่งศิษย์ก็ถามอีก อาจารย์ก็อธิบายให้ศิษย์ฟัง แต่ฟังไปฟังมา ศิษย์ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำอย่างไรศิษย์จึงจะเข้าใจได้ล่ะ (ลูกศิษย์ก็ต้องเฝ้าถามพระอาจารย์)  ถ้าตอบว่าถามอาจารย์ไปเรื่อยๆ นั้นผิด เพราะว่าคนที่ถามนั้นก็ย่อมไม่รู้เท่ากับคนที่เคยไปถึงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่ออาจารย์นั้นพาศิษย์เดินไปถึงที่ๆ นั้นที่อาจารย์จะพาไป ศิษย์ก็ย่อมจะรู้เอง โดยที่ไม่ต้องใช้คำถามใดๆ เลย เพียงแต่ตอนนี้นึกจะถามอะไรก็ต้องเก็บไว้ในใจก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วก็ต้องพิจารณาดูเอง และอย่าลืมที่จะทำในสิ่งที่สมควรทำเมื่อถึงที่หมายนั้น  นิทานเรื่องนี้สอนว่าการที่ครูคนนั้น ก็คืออาจารย์คนนี้ และศิษย์คนที่อยู่บนกระดานในนิทานเรื่องนี้ ก็คือศิษย์ทุกๆ คน อาจารย์นั้นเดินมาบนเส้นทางหนึ่งคือ เส้นทางการบำเพ็ญนี้พร้อมกับศิษย์ของอาจารย์ เพียงแต่ว่าอาจารย์อาจจะไม่ได้ลงมาเดินกับศิษย์จริงๆ หรืออาจารย์ไม่ได้เดินกับศิษย์ทีละหนึ่งคน แต่เดินกับศิษย์เป็นจำนวนมาก แล้วพอเดินไปถึงไม่เท่าไรศิษย์ของอาจารย์ก็ถามอีกแล้ว หมายถึงศิษย์ที่ถามอาจารย์ อาจารย์ก็ตอบทุกอย่างเท่าที่อาจารย์ตอบได้ แล้วอาจารย์ก็ถามศิษย์กลับว่าเข้าใจไหม คำตอบที่ตอบกลับมาเป็นคำตอบที่ส่ายหัวอยู่เรื่อยเลย อาจารย์จึงบอกว่าเมื่อถึงแล้วก็รู้เองไม่ต้องถาม แต่เมื่อยามถึงตรงที่ควรจะทำ อย่างเช่นศึกษาธรรมะ  เมื่อสักครู่ฟังหัวข้ออะไร (กตัญญู)  เมื่อยามกลับไปถึงบ้าน ให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องรู้จักกตัญญูที่บ้าน เมื่อยามถึงโรงเรียนทำอะไร เมื่อยามอยู่ที่ทำงานทำอะไร เมื่อยามอยู่ในนาทำอะไร เมื่อยามมีคนมาคุยธรรมะด้วยทำอะไร เมื่อยามนอนทำอะไร เมื่อยามนอนก็ต้องนอนให้หลับ เวลากินก็ต้องกินให้อิ่ม นี่เป็นธรรมะ นี่คือธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อถึงจุดหมายศิษย์ก็ต้องควรจะทำในสิ่งที่ควรทำนั้นๆ ในโลกนี้มีคำพูดที่บอกว่า “ไม่รู้แล้วยังทำ” แต่เวลาทำแล้วไม่รู้ ตอนที่ทำนั้นไม่รู้อะไร แต่เวลาให้ทำแล้วไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นคำกลอนบทนี้ นิทานเรื่องนี้ให้ศิษย์กลับไปคิดดูให้ดีนะ ถึงช้าก็ต้องเดิน ไม่รู้ว่าใครจะไปถึง อาจารย์ก็เดินกับศิษย์อยู่ทุกวันเลย แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์ยึดติดรูปลักษณ์ จึงมองไม่เห็นเหมือนตอนนี้
สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (หมิงเฉิง)  หมิงเฉิง แปลว่าอะไร  หมิง ( ?? ) แปลว่า สว่าง, เฉิง ( ?? ) แปลว่าศรัทธา, หมิงเฉิง ( ???? ) แปลว่า ศรัทธาที่สว่างไสว หรือแปลว่า ศรัทธามาก  ศิษย์มีศรัทธามากหรือกำลังจะมาก ถ้ากำลังจะมากแปลว่ายังไม่มากนะ  ในสองวันนี้พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญตลอดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้พูดถึงเรื่องการหาเงินและไม่ได้พูดถึงเรื่องลาภยศสรรเสริญ เพราะฉะนั้นจิตใจของเราในขณะนี้ต้องเป็นจิตใจที่โอบอุ้มธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงถามศิษย์ว่า “ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมจะบำเพ็ญหรือยัง?” (พร้อม)
การบำเพ็ญคืออะไร (พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นผู้ชายและหัวหน้าชั้นผู้หญิงตอบโดยปรึษากับนักเรียนในชั้น) หัวหน้าชั้นผู้ชายตอบว่าคือการปฏิบัติและกล่อมเกลาทางด้านจิตใจ หัวหน้าชั้นผู้หญิงตอบว่าคือการปรับปรุงตัวเองในการปฏิบัติธรรมให้ดีขึ้น การที่เรามาอยู่ร่วมกันในสองวันนี้ถือว่าเป็นความโชคดีหรือไม่ (โชคดี)  แต่หนีไม่พ้นที่คนที่อยู่ร่วมกันตรงนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หัวหน้าชั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็เป็นตัวแทนของนักเรียนในชั้น อาจารย์เชื่อแน่ว่าหัวหน้าชั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงได้รู้ถึงการที่จะทำให้คนอื่นนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีคำตอบอย่างเดียวกันนั้นยากใช่ไหม (ใช่) การที่เรามาบำเพ็ญธรรม และมาสถานธรรมนั้นแน่นอนทุกคนเป็นตัวของตัวเองและหลบไม่พ้นกับการที่ทุกคนนั้นต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ศิษย์ที่เป็นนักเรียนในสองวันนี้เท่านั้น แต่รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานธรรมข้างหน้า อาจารย์บรรยายธรรมและอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก็ต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง การที่แต่ละคนนั้นจะพูดผิดบ้างถูกบ้างก็ย่อมเป็นสิทธิ์ส่วนตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรานั้นมาฟังธรรมะ ที่เราได้เห็นทั้งหมดรวมทั้งสถานธรรมและเก้าอี้ที่นั่งอยู่ในนี้ด้วยล้วนไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะจริงๆ นั้นต้องอาศัยการลงแรงศึกษาและปฏิบัติเอง สิ่งที่พูดออกมาหรือสิ่งที่เรามองเห็นนั้นจึงเป็นแค่เปลือกนอกของธรรมะเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเข้าถึงธรรมะและการศึกษาปฏิบัติจริงๆ นั้นต้องอาศัยตัวเองเป็นผู้ศึกษาและปฏิบัติลงแรงจริง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนบำเพ็ญธรรมจึงเป็นคนที่ได้รับเกียรติอย่างสูงสุด ส่วนเราปฏิบัติแล้วออกมาอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ หากใครที่คิดว่าตัวเองอยู่ในระดับที่คิดว่าไม่ดีก็ควรที่จะขยับตัวขึ้นมาโดยการปรับปรุงแก้ไข อย่างที่หัวหน้าชั้นพูดว่าคนที่คิดว่าตัวเองยังมีนิสัยที่แย่ๆ อยู่ ก็จำเป็นต้องขัดเกลากล่อมเกลาอย่างที่หัวหน้าชั้นผู้ชายพูด ถูกหรือไม่ (ถูก)
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมแท้จริง ก็คือการย้อนมองเข้าหาตัวเอง ส่องดูว่าเรานั้นขาดอะไร การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่กำหนดขึ้นมาได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่การจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ต้องมีปัญญาธรรมในการแยกแยะว่า สิ่งใดนั้นถูกหรือผิด จึงถือว่าเป็นคนที่บำเพ็ญธรรมได้อย่างแท้จริง  ฉะนั้นวันนี้ไม่ว่าอาจารย์พูดอะไร อาจารย์จะยืมร่างใครมา อาจารย์นั้นก็ไม่ใช่อาจารย์ ธรรมะที่ฟังอยู่นั้นก็ไม่ใช่ธรรมะ สถานธรรมที่เห็นอยู่นั้นก็ไม่ใช่สถานธรรมอย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในจิตของตัวเรา เพราะฉะนั้นมองจิตของตัวเอง ดีหรือไม่ (ดี)  จิตเราเป็นจิตที่ร้ายอยู่หรือจิตที่ดีอยู่ คนที่บอกว่าเรานั้นเป็นคนที่มีจิตดี แต่ก็มีกิเลสร้ายๆ แอบแฝงอยู่เสมอๆ แล้วจะเรียกว่าดีได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตานำผลไม้มาเปรียบเทียบกับจิตของเรา)
ผลไม้ลูกนี้เห็นข้างที่เป็นแผลไหม เห็นข้างที่เรียบๆ ตรงนี้ไหม  ถามว่าผิวของผลไม้ลูกนี้เป็นผิวที่ดีหรือไม่ดี (ทั้งดีและไม่ดี)  ผิวของผลไม้ลูกนี้ ถ้าหากว่าให้มองทั้งหมดแล้วตอบมาคำเดียวว่าดีหรือไม่ดี ถ้าบอกว่าผลไม้ลูกนี้มีผิวดีหรือผิวไม่ดี เอาแค่ผิวเราไม่พูดถึงข้างใน หากว่าผิวตรงนี้กางออกมาเป็นผืน แผลที่อยู่ตรงนี้ทำให้ผิวของผลไม้ลูกนี้กลายเป็นผิวที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตของศิษย์ก็เหมือนกับผลไม้ลูกนี้เลย มีทั้งดีและไม่ดี พอถูกกางออกมาแล้ว ตรงนี้ที่เป็นแผลถือว่าไม่ดี  อาจารย์ถามว่าตัวเราต้องเอาจิตของเรานี้ที่เป็นเหมือนกระดาษ เมื่อขึงออกมาแล้วก็คือเปลือกของผลไม้ที่ถูกขึงออกมาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พอจิ้มไปถูกตรงที่เป็นรอยข่วนนี้พอดี ถามว่ากระดาษแผ่นนี้ดีหรือไม่ดี ในขณะที่นิ้วเราจิ้มลงไปตรงนั้น เราจะกล้าตอบว่าจิตของเราเป็นจิตที่ดีไหม (ไม่กล้า)  นี่คือแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่บนจิตใจอันดีงามของศิษย์  ถ้าตราบใดที่ยังมีแผลนี้อยู่ ก็ย่อมที่จะได้ชื่อว่าเป็นคนดีไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ว่าจิตของเรานั้นไม่ใช่ผลไม้ จิตของเรานั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้แหว่ง ทำให้พูน ทำให้เป็นรอย ทำให้หายไป หรือทำให้อยู่ก็ได้ และเมื่อมีความชั่วที่มาเกาะอยู่ที่จิตก็สามารถดึงออกไปได้ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าจิตของเราไม่ใช่ผลไม้ลูกนี้ ตอนนี้จิตของศิษย์นั้นมีสิ่งที่ไม่ดีเกาะอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น สมควรหรือไม่สมควรที่จะเอาออกไป (สมควร)  ทุกคนนั้นมีแผลที่เหมือนกับรอยข่วนที่อยู่บนผลไม้ลูกนี้ อาจารย์นั้นในช่วงเวลานี้จึงลงมาโปรดหาคนดี  ที่มีจิตเป็นรอยข่วนเพียงนิดเดียวนี่แหละ เพื่อโปรดให้กลับไปสู่เบื้องบนแดนนิพพาน และศิษย์ก็เป็นคนเหล่านั้นที่มีรอยข่วนเพียงเล็กน้อยสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ แต่มักคิดว่านิพพานเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม  ถามว่าเมื่อไกลเกินเอื้อมแล้วเราลองเคยเอื้อมไปถึงหรือยัง เรายังไม่เคยลองเอื้อมดูเลย จึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วถึงได้หรือไม่ นับตั้งแต่วันนี้ไปหลังจากที่ฟังธรรมะในสองวันนี้ไปแล้วแม้ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ย่อมเพิ่มพูนความเข้าใจให้มากขึ้น ถึงตอนนี้ต้องมาปฏิบัติ ศึกษาในสองวันนี้แล้วต้องนำธรรมะในสองวันนี้ไปปฏิบัติจึงจะเกิดเป็นผล จึงจะสามารถบอกว่าเราได้หรือไม่ได้ ทำไมเราไม่ลองดูสักครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรบมือให้กับตัวเองสักหนหนึ่ง ปรบมือให้กับคนที่จะสำเร็จไปในวันหน้า เสียงเบาแค่นี้หรือ ปรบมือแล้วมีภาระอยู่เต็มมืออย่างนี้ไม่ดังหรอกนะ  นั่งมาตั้งสองวันไม่รู้ว่าเก้าอี้ตัวนี้นั่งแล้วสบาย เพราะมาถึงก็นั่งลงไปเลย ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีค่าขนาดไหน เก้าอี้ตัวนี้ก็เหมือนกับสภาพครอบครัวของเราที่มีอยู่ แม้ว่าจะมีการขัดใจกันบ้าง จะมีเรื่องที่สุขจนล้นบ้าง จะมีเรื่องที่เป็นปัญหาจากคนภายนอกหาเข้ามาบ้าง แต่ครอบครัวของเราก็ยังเป็นครอบครัวที่ดีที่สุด โชคดีที่เรานั้นมีครอบครัว ที่เรามีบ้านอยู่ ที่เรามีเงินทองพอใช้ แม้ว่าเราจะจน แต่หากว่าไม่มีเงินสักบาทเดียวกับมีเงินอยู่ยี่สิบบาทต่อวันศิษย์เอาอะไร ต้องเอายี่สิบบาทต่อวันใช่หรือไม่ เมื่อเรานั้นมีชีวิตอยู่อย่างจนก็อยู่ไปอย่างจน เมื่อเรามีชีวิตอยู่อย่างรวย ก็ต้องรู้จักที่จะเผื่อแผ่แบ่งปันให้กับผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่จึงเป็นชีวิตของคนบำเพ็ญธรรมในยุคนี้
คนบำเพ็ญธรรมในยุคสมัยก่อนนั้นเรียบง่าย สมถะ ไม่ยอมให้ตัวเองนั้นไปอยู่ในสภาพที่มี เพราะกลัวว่าตัวเองนั้นจะหลงไปกับแสงสี หลงไปกับกิเลส ปัญหาของความมี ความอยากได้ แล้วไม่ยอมบำเพ็ญ แต่ในปัจจุบันนี้หากบอกศิษย์ว่าอย่ามีเลยนะ ผักก็ปลูกกินเอง ข้าวก็ปลูกกินเอง นอนก็ให้นอนพื้น บ้านก็ให้มุงจากอยู่ ไม่มีลูกไม่มีหลาน อยู่คนเดียว ศิษย์ยอมไหม การบำเพ็ญยุคสมัยนี้นั้น จึงไม่เคร่งครัดให้ศิษย์ทำขนาดนั้น แต่ว่าให้เรานั้นมีสิ่งที่มีอยู่ต้องรู้พอใจ มีมากหน่อยรู้จักแบ่งให้คนอื่น ความรู้สึกอยากมีมากขึ้นนั้นจะได้ลดน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ้างคนมีเงินอยู่วันละยี่สิบบาท บอกว่าขอมีสักวันละร้อยหนึ่ง พอมีร้อยหนึ่งบอกว่าขอมีสองร้อย พอมีสองร้อยบอกว่าขอมีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเพิ่มขึ้นไปมาก สิ่งนี้เรียกว่า “ตัณหาของคน” ถูกหรือเปล่า  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพิ่มตัณหาขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องลดลงเรื่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อยๆ รอให้ลดเอง  ต้องฝึกฝนขัดเกลา ใช่หรือไม่  (ใช่)  หากว่าไม่ฝึกฝนจะลดลงเองได้ไหม ไม่ฝึกฝนก็ย่อมไม่ลดลงเอง นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เหมือนกับการพายเรือ ถ้าหากว่าพายเรือตามน้ำก็สบายดี แต่ถ้าพายเรือทวนน้ำก็ลำบากยิ่งนัก จะเลือกพายเรือตามน้ำหรือพายเรือทวนน้ำ โดยธรรมชาติของคนทุกคนนั้นมีจิตที่ดี  แต่การที่เราอยู่ในโลกนี้มากเกินไป เห็นคนอื่นสบายไม่ได้ก็อยากจะสบายบ้าง พอคนอื่นสบายเราสบายถึงจะพอใจใช่หรือไม่ หากคนอื่นสบาย เราลำบากก็เกิดความรู้สึกอิจฉา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาเข้าชั้นเรียนในสองวันนี้ ชั้นนี้ชื่อว่าชั้นอะไร  (ชั้นฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ)  ต้องฟื้นฟูของเก่าที่ดีๆ ออกมา จิตใจของเราที่งดงาม เวลาเห็นคนอื่นแล้วอยากจะช่วยเหลือ มีความเมตตาปรานี จิตใจอันสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจที่ไม่มีความอิจฉา ความโลภ ความอยากได้ ฟื้นขึ้นมาใช่หรือไม่ มีไหมที่อยู่ดีๆ จะฟื้นขึ้นมาเอง ต้องพยายามลงมือทำ ทุกวันเรานอนฟูกนอนเตียง วันนี้กลับบ้านเราลองนอนพื้นสักวันหนึ่ง หากว่าเราเคยกินข้าวกับเนื้ออย่างดี หรืออย่างเอร็ดอร่อย วันนี้ก็ลองกินแล้วให้ตัวเองหิวสักวันหนึ่ง หากว่าเรานั้นเคยเดินแบบมีรองเท้าใส่อย่างหนา ไม่เคยถูกอะไรทิ่มตำ ก็ลองถอดรองเท้าสัมผัสกับพื้นดูว่าพื้นนั้นจริงๆ แล้วเป็นอย่างไรเราลองทำตัวของเรานั้นติดดินแบบพื้น เลียนแบบพื้น ถ้าถ่มน้ำลายลงไปที่พื้น พื้นโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เวลาที่เราปลูกอะไรก็ย่อมจะงอกอย่างนั้น เวลาที่ถ่มน้ำลายลงไปก็ไม่ว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเทียบให้ตัวเราเป็นพื้นเราทำอย่างไร เวลาโดนคนอื่นว่า โมโหได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาเจอคนอื่นถ่มน้ำลายใส่หน้า โมโหได้ไหม (ได้)  เพราะไม่อย่างนั้นเวลาที่เราเหยียบพื้นทุกวัน พื้นก็ต้องโกรธเราสิน่ะ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์บอกว่าให้ศิษย์นั้นเลียนแบบพื้น หมายความว่าทำให้ใจของเรามีความอดทนอย่างยิ่ง อดทนเพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่อดทนเพื่อคนอื่นเลย แต่อดทนเพื่อตนเอง เพื่อเรานั้นจะได้ก้าวขึ้นไปสูงกว่านี้ ในทางที่ชันกว่านี้เรานั้นก็จะไม่ล้มลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์มาก่อนเที่ยง ถ้าอาจารย์กลับช้ามากก็จะเป็นอย่างไร(หิว)  เดี๋ยวเรามาฝึกบทเรียนแรกทนหิวซะบ้าง ดีไหม เวลาเราหิวคิดถึงใคร อาจารย์จะบอกว่าเวลาหิวให้คิดถึงคนอื่น จำได้ไหมที่อาจารย์บอกว่าลองหิวซะบ้างจะได้รู้ว่าเวลาคนอื่นหิวเป็นอย่างไร จะได้รู้จักช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราหิวเราต้องรู้จักนึกถึงคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนมากมายในประเทศไทยที่ไม่มีข้าวกิน เมื่อเรามีข้าวกินไม่อร่อยหน่อยหรือมีข้าวกินน้อยไปหน่อย แล้วทำให้เราหิวนั้น เราจำเป็นที่จะต้องหัดให้ตนเองนั้นพอใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรานั้นรู้จักที่จะได้รับความลำบากบ้าง เวลาเจอความสบายจะได้ไม่รู้สึกเสียไม่ได้ เราจะยอมเสียสละความสบายของเราที่มีให้คนอื่น เพราะว่าเรานั้นกำลังบำเพ็ญเป็นพุทธะ ไม่ได้บำเพ็ญเป็นคนที่จะเวียนว่ายต่อไป การเสียสละครั้งนี้นั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ถ้าศิษย์หนึ่งคนเสียสละ ศิษย์สองคนเสียสละ คนที่นั่งอยู่ด้วยกันที่นี่ก็อาจจะไม่ได้มาด้วยกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกคนกลับไปปุ๊บ พร้อมใจที่จะเสียสละส่วนของตนเองออกมาให้คนอื่น ก็จะมีคนสบายขึ้นทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ทุกๆ คนที่อยู่ในจังหวัดตากตอนนี้ กลับไปที่บ้านของตนเองแล้วพร้อมใจกันเสียสละขึ้นมา ถามว่าคนในจังหวัดตากสบายขึ้นไหม (สบาย)  เหมือนจะไม่มีผลอะไร เหมือนกับจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ในการที่เรามองไม่เห็นนั้นกลับมีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมะก็อยู่ตรงนี้ ธรรมะก็อยู่ตรงที่ศิษย์นั้นเสียสละออกไป นี่เรียกว่า “การปฏิบัติธรรม” แต่ถ้าหากว่าศิษย์กลับไป แล้วทุกคนทำเฉยๆ เหมือนกับชีวิตที่เคยเป็นมา เหมือนก่อนเก่า เคยเสียสละเท่าไหนก็ไม่คิดจะเพิ่มมากขึ้น ที่เรามาสองวันนี้เรียกว่าการศึกษา การศึกษานั้นไม่ทำให้มีผลได้ แต่การปฏิบัติจึงจะทำให้มีผลได้ เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นศึกษาธรรมะสองวันนี้ศึกษาด้วยความตั้งใจ ศึกษาด้วยความมีใจจนลงมือกระทำ ให้การปฏิบัตินั้นเกิดผล มิใช่ศึกษาแล้วกลับไปบ้าน ไม่มีการเสียสละใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการรู้สึกรู้สาต่อความทุกข์ร้อนของผู้อื่น อาจารย์นั้นทำหน้าที่โปรดสามภพ จะเทวดาก็ดี มนุษย์โลก จะเป็นคนที่อยู่ในนรกก็ดี อาจารย์ก็โปรดไปเรื่อย แล้วศิษย์ของอาจารย์ล่ะ เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะรู้สึกเสียเกียรติ ในเรื่องที่กลัวคนมาครหา แต่เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องทำเช่นเดียวกับอาจารย์ อาจารย์ช่วยไปทั่วสามภพ ศิษย์ของอาจารย์ก็ช่วยไปทั่วจังหวัด ดีไหม (ดี)  เมื่อคนทุกจังหวัดเป็นอย่างนี้หมด ถามว่าประเทศไทยเจริญกว่านี้ไหม (เจริญ)  เจริญทางด้านไหน (จิตใจ)  เจริญทางด้านจิตใจ ทุกวันนี้ทั้งโลกปลุกนิยมให้คนนั้นเจริญทางด้านวัตถุ แต่จิตใจของคนนั้นดิ่งลง แล้ววัตถุนั้นสูงขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าถ้าหากว่าจิตใจตกลงเรื่อยๆ แล้ววัตถุสูงขึ้นเรื่อยๆ ให้ศิษย์เป็นคนที่รับวัตถุที่สูงที่สุดมาอยู่ในบ้านของตนเอง จะมีความสุขไหม (ไม่มี)  หากไม่ได้กตัญญูต่อพ่อแม่ พี่น้องไม่ได้ปรองดองกัน ลูกหลานไม่เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความสุขที่เราพูดถึงนั้น ก็คือความสุขที่ได้ปฏิบัติธรรม คือความสุขที่ได้ทำบุญ ใช่ไหม
อาจารย์มักโดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้างบนว่าอยู่เรื่อย บอกว่าอาจารย์มักจะให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับศิษย์ของอาจารย์แต่ละคน บอกว่าเขาจะทำ เขาจะทำ อาจารย์ก็กลับมาคุยว่าเขากลับมาทำ อาจารย์บอกว่าเขาจะฝ่าฟันอุปสรรค ฝ่าฟันกิเลส ฝ่าฟันเจ้ากรรมนายเวรไปได้ ฝ่าฟันผลกรรมเวรของตัวเองไปได้ แต่สุดท้ายศิษย์ของอาจารย์ทุกคนท่าดีทีเหลว ศิษย์คงไม่เป็นนะ
สิบปีผ่านไปเหมือนหนึ่งวัน แล้วหนึ่งวันก็ต้องสำรวจตัวเองหนึ่งครั้งใช่ไหม ถ้าหากว่าหนึ่งวันผ่านไปไม่สำรวจตัวเอง สามร้อยหกสิบห้าวันผ่านไปก็เป็นอย่างไร ก็จะจมลึกลงหนึ่งชั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าหนึ่งวันสำรวจตัวเองสักหนึ่งครั้ง หนึ่งปีผ่านไปก็จะผุดขึ้นมาเหนือจากเดิมหนึ่งชั้น เลือกจะจมหรือเลือกจะผุด (เลือกจะผุด)  ถ้าเราเลือกจะผุดต้องยอมที่จะมองตัวเองสำรวจตัวเองหนึ่งวันให้ได้หนึ่งครั้ง ให้สำรวจตัวเองเหมือนกับเราไปนั่งดูละครที่เราติดอยู่ทุกวัน หนึ่งวันดูละครที่ติดอยู่เป็นชั่วโมงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ย้อนมองตัวเองเอาเข้าจริงๆ อาจไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเราทำดีมาก ก็ไม่มีเรื่องให้แก้ไขมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องดูทั้งข้างนอก ก็คือการกระทำ ต้องดูจิตใจก็คือความคิด และต้องดูวาจาอีกอย่างหนึ่งด้วย เขาเรียกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววาจาเป็นหน้าต่างของอะไร วาจาถ้าหากว่าเราเป็นคนบำเพ็ญธรรม วาจาจะเป็นหน้าต่างของอะไรดี วาจาเป็นหน้าต่างของอุปนิสัยได้ไหม (ได้)  เพราะว่าเรามักจะคิดสิ่งใดแล้วก็พูดสิ่งนั้นออกมาใช่หรือไม่ ถ้าเราพูดดีเขาก็บอกว่าเป็นสุภาพชน ถ้าเราพูดไม่ดีเขาก็บอกว่าเราเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนบำเพ็ญธรรมไม่ต้องมีความรู้สูง แต่ต้องมีจิตใจที่สูงส่งอย่าลืม ดอกไม้ยังมีกลิ่นเหม็นและกลิ่นหอม ศิษย์ของอาจารย์เปรียบเป็นดอกไม้ก็ต้องเลือกว่าเรานั้นจะมีกลิ่นที่เหม็นหรือกลิ่นที่หอม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ดูแลสถานธรรม)
ศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่ทุกคนคนข้างหลังพยายามมองคนข้างหน้าหน่อย ดูว่าผู้ดูแลสถานธรรมและเจ้าของสถานธรรมที่นี่หน้าตาเป็นอย่างไร เวลาเรามาสถานธรรมในวันที่ไม่มีงานก็จะต้องพบเขาเหล่านี้  แล้วอาจารย์ก็แนะนำศิษย์เหล่านี้ว่าควรที่จะมีรอยยิ้มไว้ต้อนรับพวกเขาตลอดเวลา แม้ว่าเราจะมีเรื่องที่ร้อนใจ มีเรื่องที่ขุ่นข้องหมองใจก็ต้องพยายามที่จะเก็บไว้ข้างในแล้วเอารอยยิ้มออกมาข้างนอก เราที่อยู่ที่นี่พุทธระเบียบทุกอย่างจะต้องฝึกหัดและก็ให้เป็นให้ดี ให้สมบูรณ์ให้มากที่สุดเท่าที่กำลังของเรา เท่าที่ความฝึกฝนของเรานั้นจะไปถึง จะต้องพยายามให้สมบูรณ์ที่สุดเพราะว่าคนที่มีหน้าที่เป็นเจ้าของสถานธรรม ผู้ดูแลสถานธรรมนั้นอยู่ใกล้ชิดห้องพระที่สุด และห้องพระก็เป็นของเราทุกคน ต้องอาศัยความสามัคคีร่วมมือร่วมแรงกัน ถ้าหากว่ามีคนมาไหว้พระ เรายังช่วยเป็นพิธีกรให้เขาไม่ได้ แล้วเขาจะกราบพระอย่างไร แล้วถ้าหากว่าเราเป็นพิธีกรเขามาก็แนะนำให้เขากราบพระ อย่างนี้จึงจะเป็นศิษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะผู้ดูแลสถานธรรมผู้ชายมีอยู่แค่คนสองคน อาจารย์ให้วงคำว่า “หนัก” แสดงว่าเป็นเรื่องหนัก ยิ่งหนักเท่าไหร่บ่าเรายิ่งต้องแข็งแรงขึ้นเท่านั้นเข้าใจไหม (เข้าใจ) อย่าให้สิ่งที่เรามองแล้วไม่ชอบใจทำลายความผูกพันธ์ ความตั้งใจเดิมระหว่างเรา ขอให้รักษาใจนี้ไปไม่ว่าจะกี่ปีๆ ก็ขอให้เป็นเช่นนี้เข้าใจไหม แล้วเมื่อมีคนมาช่วยแนะนำ ช่วยพาเราทำกิจกรรมใดๆ ก็แล้วแต่ ลองให้ความร่วมมือดู แล้วความสนุกสนานจะเกิดขึ้นพร้อมกับการบำเพ็ญธรรมดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรม, ผู้ปฏิบัติงานธรรม และอาจารย์บรรยายธรรม)
คนที่เป็นญาติธรรมใหม่นั้นเมื่อมาสถานธรรม อย่างน้อยที่สุดต้องรู้จักไปลามาไหว้ ถ้าหากว่ายังท่องบทกราบคารวะและกราบอำลาสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็น อย่างน้อยต้องรู้ว่าต้องโค้งคำนับกี่คำนับ ส่วนคนที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมแล้วแค่ชันเจี้ยควรจะท่องได้ ส่วนผู้ที่เป็นผู้เป็นปฏิบัติงานธรรมและเป็นทั้งญาติธรรมเก่าในขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นไหว้พระ ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยนก้งก็ต้องท่องเป็นทั้งหมด ส่วนคนที่เป็นเจี่ยงซือต้องเป็นตั้งแต่ชันเจี้ยถึงปั้นเต้า ไปจนถึงการไหว้พระในชั้นต่างๆ รายละเอียดระเบียบในห้องพระนั้นจะต้องรู้ให้หมด ไม่รู้ก็นำพาคนอื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งนานปี ยิ่งนานปีความชำนาญนั้นต้องครอบคลุมมากขึ้น ไม่ใช่นับวันก็ถอยหลังๆ แล้วก็ลงคลองไป แล้วอาจารย์แทนที่จะไปช่วยออกจากทะเลทุกข์ก็ไปช่วยออกมาจากคลองแทนได้ไหม ไม่ได้นะ
(พระอาาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท: ทำนองเพลง “ขอเป็นฝ่ายไป”และให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมแต่งชื่อเพลง “อย่าให้ต้องรอ”)
อาจารย์ให้เพลงนี้เพราะอาจารย์รู้ว่า ยิ่งงานธรรมะยิ่งเติบโตเท่าไร ศิษย์ของอาจารย์นั้นก็มีทั้งขึ้นหน้าหลายคนและถอยหลังหลายคน ขอศิษย์นั้นได้เข้าใจจิตใจของอาจารย์ และอย่าได้คิดท้อถอยหมดใจ
(พระอาจารย์เมตตาให้โอวาทกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม, อาจารย์บรรยายธรรม และผู้ปฏิบัติงานธรรมที่รับผิดชอบ ออกมาหน้าชั้น)
ทีนี้เราก็รู้ว่าเวลาเรามาสถานธรรมหรือเวลาที่เขาชวนมาฟังชั้นเรียน เราก็จะเจอคนเหล่านี้
การที่เรานั้นจะทำการจัดชั้นใดๆ ขึ้นมาและนำพาชั้นใดๆ นั้น ตนเองต้องเป็นผู้ที่มีพลัง พลังต้องออกจากใจ เมื่อใจมีพลังแล้วการทำงานทุกอย่างนั้นก็จะฝ่าฟันอุปสรรคได้สำเร็จ เหมือนกับที่ศิษย์ของอาจารย์นั้น ตอนที่ศิษย์จับไมโครโฟนใหม่ๆ อาจารย์ก็ล้อเลียน เพราะอะไร เพราะเวลาพูดไม่ได้ใช้พลังใช่หรือไม่ (ใช่)  พลังออกมาจากไหน พลังออกมาจากคอ เมื่อไม่มีพลังแล้วพูดไปคนก็ย่อมง่วงนอนใช่ไหม ถ้าหากว่า   เจี่ยงซือสองวันนี้ใครพูดหัวข้อธรรมะแล้วคนฟังนอนหลับ จำได้ไหมเวลาเรามองไป ถ้าหากว่าเราพูดไปแล้วเขานอนหลับ แสดงว่าเสียงเราไม่ได้ออกจากใจ ไม่มีพลังออกจากปอด ต้องเปล่งเสียงให้มีพลังมากขึ้น ต้องมีพลังออกจากใจ พลังออกจากใจเป็นอย่างไร เวลาที่เราพูดไป เราพูดว่า “สวัสดีครับ” “สวัสดีค่ะ” ต้องดึงพลังออกจากใจ การพูดจึงจะมีน้ำหนักเกิดขึ้นมาก และการพูดธรรมะที่ดีนั้น สิ่งที่เราจะพูดออกมาทุกคำเราต้องเข้าใจก่อน ถ้าไม่เข้าใจ พูดออกมาก็ไม่มีน้ำหนัก
มีอุปสรรคตั้งแต่อุปสรรคของตัวเองก็ต้องรู้จักฝ่าออกมา เมื่อมาทำงานใหญ่เจออุปสรรคใหญ่จึงฝ่าออกไปได้
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาทให้นักเรียนในชั้น)
“ได้ยินครั้งใดอยู่ดีดี ก็หนาวดั่งลมไข้”  รู้ไหมว่าอาจารย์นั้นกลัวที่สุดคือคำว่าอะไร คำแรกที่กลัวคือคำว่า “ท้อ” คำที่กลัวที่สุดก็คือคำว่า “เลิกบำเพ็ญ” เพราะว่าอะไร เพราะว่าถ้าหากว่าศิษย์บอกว่าท้อซะแล้ว ทางที่จะเดินไปถึงพุทธภูมินั้นก็สั้นลงครึ่งหนึ่ง พอศิษย์บอกว่าเลิกบำเพ็ญ ทางที่จะไปพุทธภูมินั้นก็หมดสิ้น เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่มีคนใดไม่มีอุปสรรคในการทำสิ่งใด ทุกคนมีอุปสรรคทั้งนั้น และทุกคนมีสิทธิ์ท้อ แต่ถ้าหากถึงขนาดเลิกบำเพ็ญก็คงจะไม่มีทางที่จะได้กลับคืนขึ้นนิพพาน เพราะฉะนั้นเมื่ออาจารย์ได้ยินคำนี้ของศิษย์ที่ไร ไม่ว่าจะพูดเล่น พูดจริง ก็รู้สึกกลัวทั้งสิ้น
“น่าเบื่อไม่ทน”  เวลาที่เราพูดคำว่า “น่าเบื่อ” พูดคำว่า “ไม่อยากจะทนแล้ว” ก็ขอให้นึกถึงอาจารย์ด้วยแล้วกัน เพราะว่าคำว่าน่าเบื่อแล้วไม่อยากทน เลิกบำเพ็ญ ท้อใจแล้ว คำนี้ล้วนเป็นคำที่แสลงใจอาจารย์ทั้งนั้น เมื่อศิษย์ท้อใจ หมดใจ โปรดฟังให้ดี หากกังวลทั้งวันก็ยิ่งหน่าย ถ้าหากมีความกังวล ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นพยายามที่จะเลิกคิด พยายามที่จะทำใจ บางปัญหาได้แค่ทำใจเท่านั้น ดีกว่าปล่อยปัญหา ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราทำใจได้ แม้ปัญหาจะคงอยู่อย่างนั้นแต่จะไม่หนักขึ้น
“ไม่เคยสักที อยากมีหน้าตา จะดิ้นรนน้อยกว่านี้”  คนบำเพ็ญนั้นหลายๆ คนบำเพ็ญไปแล้วยึดติดให้มีหน้าตา ให้มีความสวยหรูโก้เก๋ หน้าตาที่คนนั้นสรรเสริญ หน้าตาที่คนยกยอปอปั้น ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งถอยหลัง ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้นอย่าได้ยึดติดกับหน้าตา ให้มีคนสรรเสริญ จะได้ดิ้นรนน้อยกว่านี้ ถ้าไม่อยากดิ้นรนก็จงคิดทำอะไรเพื่อให้เราเป็นคนที่ไม่มีหน้าตา เพราะยิ่งทำเพื่อหน้าตามากเท่าไร เรายิ่งดิ้นรนก็ยิ่งร้อนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่ออยากได้คำชม เราก็เกลียดคำว่าร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทนคำว่าร้ายไม่ได้ ก็บำเพ็ญไม่ได้ ขนาดพระพุทธองค์ก็ยังมีคู่อริ คนชัง แล้วเราเป็นคนธรรมดา เราจะไม่มีคนชังได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนนั้นมีคนชัง แต่จะทำอย่างไรให้คนชังนั้นเปลี่ยนเป็นชอบเรา แม้ไม่ง่ายแต่ต้องทำไหม (ต้อง)  ไม่ต้องตั้งใจทำเพื่อเอาใจเขาคนเดียว แต่เราต้องทำให้ดี ให้เท่าๆ กับที่เราทำกับทุกๆ คน แม้สายตาเขาจะชิงชังเต็มที่ แต่เราก็ส่งสายตารักใคร่เขาเต็มที่ เมตตาเขาเต็มที่ อยากจะทำงานร่วมกับเขาอย่างเต็มที่ แม้เขาจะว่าเรา เราก็ขอบคุณเขากลับไป เขาจะว่าเราได้สักกี่หน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “มองการณ์ไกล” )
อาจารย์บอกว่า คนเรานั้นควรที่จะเป็นคนมองการณ์ไกล คนที่มองการณ์ไกลนั้นต่างจากคนที่มองการณ์ใกล้มาก คนที่มองการณ์ใกล้นั้นทำสิ่งใดก็จะล้มเหลว ถ้าเป็นคนที่มองการณ์ไกลแล้วจะประสบความสำเร็จนั้นใช้เวลานาน  แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็จะไม่ล้มพ่ายลงไปง่ายๆ จึงเป็นข้อแตกต่างระหว่างคนมองการณ์ใกล้และคนมองการณ์ไกล คนมองการณ์ใกล้อาจจะประสบความสำเร็จรวดเร็ว แต่อาจจะล้มในเวลาอันรวดเร็วเช่นเดียวกัน “การมองการณ์ไกล” การที่ให้เรานั้นเป็นคนที่ก้าวไกล และทำให้ธรรมะเฟื่องฟูไปไกลนั้น แก่นสำคัญของธรรมะนั้นอยู่ที่ไตรรัตน์ สามสิ่งวิเศษที่ศิษย์นั้นได้รับไป ฉะนั้นสามสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นจะต้องจำให้ได้ การที่คนนั้นจะได้ไตรรัตน์ก็ต่อเมื่อมารับธรรมะ  เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้เรานั้นเป็นคนที่มองการณ์ไกลได้นั้น ในแง่ของธรรมะต้องทำอย่างไร เวลาเราชวนคนมารับธรรมะต้องระมัดระวัง หากเจอหน้ากันก็ชวนคนรับธรรมะเสียแล้ว ศิษย์อย่าลืมว่า ศิษย์ต้องลงไปคุกเข่าต่อหน้าองค์มารดา บอกว่าคนที่เราพามานั้นเป็นคนดี แต่หากว่าศิษย์เพียงเจอหน้าแล้วก็ชวนเขาแล้ว ถามว่าเรารู้หรือว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี คนเราดูหน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะมองคนให้นาน ไม่จำเป็นต้องชวนมาทุกคน เพราะฉะนั้นศิษย์อย่าลืมว่าเวลาที่ศิษย์นั้นต้องไปคุกเข่า ต้องไปคุกเข่าต่อหน้าองค์มารดา บอกว่าคนที่เราพามานั้นเป็นคนดี ถ้าหากว่าศิษย์นั้นเจอหน้าก็ชวนเขาแล้ว ถามว่าเรารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นคนดี คนเราดูหน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะมองคนให้นาน เพราะฉะนั้นจึงต้องระมัดระวัง ให้มองการณ์ไกลเข้าไว้ ด้วยการทำสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านี้ด้วยความระมัดระวังใช่หรือไม่
การชวนคนรับธรรมะสักคนหนึ่งเป็นกุศลมหาศาล แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นก็ต้องศึกษา ในเมื่อไม่สามารถอธิบายได้ แล้วคนเขาจะเข้าใจธรรมะได้ไหม (ไม่ได้)  จึงมีคำพูดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดบ่อยๆ ก็คือ ชวนคนรับธรรมะชวนง่ายแต่ส่งเสริมคนเป็นเรื่องยาก อาจารย์ก็เห็นด้วย ดูตัวอย่างอย่างพวกเจ้าแต่ละคนกว่าจะเข้าใจธรรมะได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นักเรียนที่นั่งอยู่อย่าบอกว่าที่นี่เขาคิดว่าเราหัวอ่อน จึงเอาเรามานั่งฟังแล้วจะทำให้เราจะเชื่อ อาจารย์จะบอกให้ว่าคนที่อยู่ข้างๆ นี้ก็ไม่ใช่คนหัวอ่อน คนที่อยู่ที่นี่นั้นดื้อรั้นทุกคน เก่งทุกคน มีความสามารถทุกคน แต่ว่าเมื่อถึงคราวเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะปฏิบัติใช่หรือไม่ จึงหวังว่าศิษย์นั้นมองการณ์ไกล จึงจะได้ก้าวไกลไปข้างหน้า สถานธรรมที่เงียบสงบเช่นนี้ อยู่ไกลจากเมืองกรุง ในที่นี้เป็นโอกาสดีที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนได้บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม ยิ่งไกลแสงสี ยิ่งไกลเสียงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนคนบำเพ็ญในสมัยก่อน ยิ่งมีโอกาสบำเพ็ญให้จิตใจของเรานั้นสงบ สะอาด และนิ่งมากขนาดนั้น แม้ว่าเรานั้นจะไม่มีโอกาสสงบเช่นนี้ ไปอยู่ท่ามกลางเมืองที่วุ่นวาย ท่ามกลางปัญหาที่รายล้อมมากมายก็แล้วแต่ ยิ่งหวังว่าเราจะสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหวได้ ยิ่งต้องการให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นสามารถบรรลุไปท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เหมือนบัวที่งอกอยู่ในโคลนโดยไม่เปื้อนโคลนแม้แต่นิดเดียวใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์นั้นก็คงเป็นบัวดอกนี้ อาจารย์หวังเช่นนั้น
มีคนมากมายมีโอกาสเกิดเป็นคนในชาติหนึ่ง แล้วชาติต่อไปก็เกิดมาเป็นสัตว์ เพราะว่าตอนเป็นคนนั้นไม่มีจิตใจเป็นคนพอ ชาติต่อไปจึงไม่ได้เกิดเป็นคนอีก คนที่มาฟังธรรมะ คนที่มารับธรรมะ เขาบอกว่าเป็นคนที่ชื่อพ้นไปจากบัญชีพญายมแล้ว แต่จะพ้นจริงหรือเปล่า ศิษย์ต้องเป็นคนตอบคำถามเอง ถ้าหากว่าทำแต่สิ่งที่ไม่ดี ถึงพ้นแล้วก็กลับไปอยู่ในบัญชีท่านใหม่ได้ ใครที่อยู่บ้านใกล้แถวนี้มีโอกาสได้มาสถานธรรม ขอให้รักษาโอกาสตัวเอง ศึกษาธรรมะให้มากๆ เข้าใจไหม จะได้ใกล้ชิดผูกพันกันมากกว่านี้ บำเพ็ญให้ดีๆ นะ ศิษย์อาจารย์นั้นหลายครั้งพลาดไปอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง เป็นวังวนวัฏสงสารที่น่าสงสารที่สุด ในขณะที่เรานั้นยังมีกายชีวิตอยู่ แต่เลือกที่จะไม่วนเวียนอยู่ในนี้ก็ได้ ด้วยการที่เรานั้นดึงตัวเองออกมา ควบคุมอายตนะหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจของเราให้ดีๆ สิ่งใดที่เราศึกษามาแล้ว ควรที่จะกระทำก็ให้เร่งมือ ความทุกข์ความสุขในโลกนี้หรือ มีมากมาย คนที่จะพ้นนั้นมีอยู่น้อยนิด แต่คนที่ศึกษาธรรมแล้ว ควรที่จะเป็นผู้ที่พ้นได้เร็วกว่า เร็วกว่าคนที่ไม่เคยศึกษาธรรมะ เมื่อเรารู้เช่นนี้เรื่องความทุกข์ความสุขเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การควบคุมกายใจของเรานั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก หวังว่าทุกคนทำได้ ความสุขความทุกข์นั้นจะได้ไม่เป็นเจ้าหัวใจของศิษย์อีก บำเพ็ญธรรมเหนื่อยหน่อยยากหน่อย แต่หวังว่าศิษย์นั้นฝ่าฟันแล้วเอาอาจารย์เป็นกำลังใจ อาจารย์นั้นเดินถึงแล้ว อาจารย์รู้แล้วว่าปลายทางคืออะไร อาจารย์ไม่มีทางอธิบายให้ศิษย์เข้าใจว่าการที่จะเดินไปถึงแดนนิพพานนั้นต้องทำอะไรได้หมด ถึงอาจารย์พูดหมดศิษย์ก็จำไม่ได้หมด จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นเดินไปให้ถึงเอง เหมือนอย่างนิทานที่อาจารย์เล่าตั้งแต่อาจารย์มา ไปให้ถึง ถึงตอนไหนการจะทำอะไรก็ทำ แน่นอนสิ่งที่ทำนั้นคือทำแต่สิ่งที่ดี แต่ในความดีต่างๆ นั้นยังมีรายละเอียดอีกมาก ให้ศิษย์นั้นรับรู้ ให้ศิษย์ศึกษา ให้เข้าใจคนอื่นให้มากๆ คนอื่นนั้นก็สามารถเป็นอาจารย์ของศิษย์ได้ ไม่จำเป็นต้องรออาจารย์จี้กงนี้ เข้าใจไหม เจอกันใหม่นะ


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มองการณ์ไกล”

ไม่ยอมจมกับอดีตที่ผิดหวัง ตื่นภวังค์อยู่กับปัจจุบันหนา
ยอมรับความเป็นจริงสู่วันหน้า เพื่อไปกล้าจงทำแต่ที่ดี
ทำสิ่งใดเสมอต้นเสมอปลาย มองให้ไกลไม่ย่ำอยู่กับที่
ต้องมีเหตุมีผลมีสำนึกดี แม้เรื่องที่หนักอกจะค่อยค่อยคลาย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา