วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2543

2543-04-22 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF 2543-04-22-เมี่ยวเต๋อ #6.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทขี้แนะ

ธงพลิ้วเองหรือว่าลมสะบัดธง ใจซื่อตรงรูปภายนอกกำราบได้ง่าย
จิตพุทธะอยู่ภายในเร่งฟื้นไว ขอให้ใช้สองวันนี้ศึกษาธรรม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

ชีวิตนี้สุขแท้จริงอยู่หนใด เพียรคว้าไขว่ได้มาแต่ความว่างเปล่า
ความทุกข์ขมได้เจอมาแต่เยาว์ ขอรู้เรารู้เขาเร่งบำเพ็ญ
ในครานี้ธรรมะมากู้จิตคน อย่าสับสนคิดว่าตนคือคนเก่ง
เหนือฟ้ายังมีฟ้าน่ายำเกรง ขอตื่นเองตนเตือนตนให้ทำดี
การหลุดพ้นเวียนว่ายใช่เรื่องง่าย ไม่สบายแต่ขวนขวายย่อมไปถึง
คนทุกคนมีสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่ง ให้คำนึงเรื่องที่ตนควรเริ่มทำ
การเวียนว่ายทรมานกว่ายามนี้หลายเท่า ขอให้ก้าวพ้นจากทุกข์ส่วนตนนั่น
ให้รับรู้ทุกข์เกิดกายทุกข์พัวพัน ให้ขยันบำเพ็ญเริ่มวันนี้เลย
ต่างเป็นผู้ฝึกฝนย่อมมีพลาด แต่ประมาทย่อมยากจะคืนฟ้า
รู้ว่าผิดยังทำระกำนา รู้แก้ไขไม่ล่าช้ายังมีกาย
อย่าสงสัยให้ในจิตต้องมือบอด เหน็บหนาวกอดตนเองยากจะหาย
ขอให้จุดไฟแห่งธรรมลุกขึ้นใหม่ ดับกิเลสในดวงใจย่อมสูงขึ้น
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมพิจารณาปัญญาใส
ขอบำเพ็ญเริ่มที่ตนย่อมไม่สาย การปฏิบัติลงแรงใจเป็นสำคัญ
แม้จะร้อนขอให้ใจเย็นเข้าไว้ สามัคคีคือพลังให้คืนฝั่ง
แม้จบชั้นขอให้ก้าวอย่างระวัง และจะยังศึกษาต่อจนแจ้งคืน
ต่างมีบุญกับพุทธะอย่าประวิง คนติติงตั้งใจฟังน้อมรับมา
อย่าดูถูกตนเองว่าต่ำต้อย มากเริ่มมาจากน้อยก่อนทั้งนั้น
ทำจิตใจที่เคยวุ่นสารพัน ให้สงบเป็นขวัญเดินทางธรรม
สองวันนี้ขอตั้งใจอยู่ให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบให้มากมาก
ขอให้เร่งสยบสายน้ำหลาก และขอฝากให้บำเพ็ญเริ่มจากใจ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
พระโอวาทพระนาจา

จุดเริ่มต้นมิต่างกับจุดสิ้นสุด เต็มแล้วหยุดรู้พอได้ย่อมเป็นสุข
ทุกสิ่งล้วนได้มาเพราะเสียไปเป็นที่สุด ทั้งชีพมนุษย์อย่าได้เพียงหาเงินตรา
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านต้อนรับเราหรือเปล่า

ชีพที่ทำกระจัดกระจายกว่าสำเร็จได้ใหม่ ต้องทำสิ่งใดให้ได้ซึ่งฐาน
คงไม่พ้นไปเสียจากสิ่งสำคัญ เคยมองผ่านแต่เที่ยวนี้เห็นชัดเจน
เดินทีละขั้นยากกลายง่ายเมลือง น้ำไหลเนืองแต่เสมอมิเคยเว้น
เมื่อมีความเชื่อมั่นย่อมตามเกณฑ์ จิตบำเพ็ญต้องได้เสมอคงเส้นวา
ก่อนได้เจอความสำเร็จอันงดงาม ลงแรงพยายามด้วยบำเพ็ญด้วยความกล้า
รู้สัจธรรมยืมปลอมบำเพ็ญแท้นา ทุกเวลาสร้างสิ่งดีทุกขั้นตอน
สุขในทุกข์สรรพสิ่งจริงอยู่ในปลอม ควรถนอมกายสำหรับสร้างวันหน้าก่อน
สร้างดีพ้นเพื่อกุศลดั่งตะวันร้อน ไม่มองข้ามใจคลอนต้องหมั่นปราม
ใช้ปัญญาเรือลำน้อยยืมแรงลม ฟ้าชื่นชมผู้ปฏิบัติในยุคสาม
ทุกถิ่นทุกกันดารธรรมไปแพร่งาม เร่งรุดยามโอกาสงามยังนำพา
ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทพระนาจา

รองเท้าคู่ใหญ่กับคู่เล็กท่านจะเลือกแบบไหน (คู่เล็ก) พอดีกับหลวมๆ ท่านเลือกแบบไหน (พอดี) ทุกคนมักจะเลือกคู่ใหญ่แล้วก็มีเยอะๆ หรือคู่หลวมๆ ฉะนั้นบางครั้งไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม จิตใจของเราก็มีอำนาจเหนือความเป็นจริงใช่หรือไม่ ทั้งที่รู้ว่าเลือกแบบพอดีย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาใส่เดินไปไกลหรือใกล้ก็เดินได้ เดินสะดวก เดินได้คล่องแคล่วใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเลือกคู่ใหญ่ๆ หรือคู่เล็กๆ เพราะเห็นว่ามันสวย พอเดินไปได้สักครึ่งทางก็ต้องเจ็บแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วทำไมเราถึงไม่ทำกันบ้าง เลือกรองเท้าเป็นแต่บางทีก็เลือกชีวิตไม่ค่อยเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
เดินเหมือนเป็ด เดินเหมือนคน เดินเหมือนพุทธะเราจะเดินแบบไหนกันดี (เดินแบบพุทธะ) ใครๆ ก็อยากจะเดินแบบพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะพุทธะไม่ว่าจะเยื้องย่างไปทางไหนก็มีคนกราบไหว้ แต่เดินแบบคนบางทีก็มีแต่คนเกลียด มีคนรัก มีคนชอบ มีคนชัง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเดินแบบเป็ดก็จะมีแต่คนหัวเราะเยาะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน เราอยากจะเป็นแบบไหน บางครั้งก็ไม่ใช่ไปโทษคนโน้นที่มาว่าเรา แบบนี้ไม่ได้ บางทีต้องมองตัวเราเองก่อนว่าเรามีชีวิตแบบไหน คนจึงหันมามองเราแบบนี้ หันมาพูดกับเราแบบนี้ จริงไหม (จริง) แล้วตอนนี้ท่านอยากเดินแบบไหน แบบพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่) มาศึกษาธรรมะก็ต้องฝึกหัดเดินแบบพุทธะ ฉะนั้นเดินแบบคนเราจะเอาหรือไม่ (ไม่เอา) เอาไปก่อนแล้วค่อยไปฝึกเดินแบบพุทธะ ถ้าเดินเป็นคนไม่ดีแล้วจะเดินแบบพุทธะได้ดีหรือ ฉะนั้นต้องเป็นคนให้ดีก่อน เป็นคนให้สมบูรณ์แบบก่อน ถึงจะก้าวไปสู่การเป็นพุทธะได้ หากยังเป็นคนไม่ดีเลย แล้วจะเป็นพุทธะได้ดีหรือไม่ (ไม่ได้) เช่นเดียวกันหากดำเนินชีวิตไม่ดีแล้ว เราจะสามารถดำเนินในทางธรรมได้ดีไหม (ไม่ดี) การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ก็คือต้องรู้จักดำเนินชีวิตให้ดี ถึงจะดำเนินไปสู่การบำเพ็ญธรรมที่ดีได้ ใช่หรือไม่
“เต็มเมื่อหยุดรู้พอได้ย่อมเป็นสุข” คนในโลกนี้บ้างพอไม่มีแล้วก็หาให้ตนมี แต่มีเต็มแล้วไม่ล้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจคำนี้ไหม หลายๆ คนพอกระเป๋าตัวเองว่างก็พยายามหาให้กระเป๋าตัวเองมีให้มากที่สุด เมื่อมากสุดทุกคนสามารถหยุดในตรงคำว่าสุดได้พอดีไหม ไม่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงเป็นเรื่องลำบากของมนุษย์ทุกคน ที่เมื่อเกิดความอยากแล้วจะรู้จักหยุดหยุดได้อย่างพอดี หยุดได้อย่างมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนหมั่นแสวงหาแต่ไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอเป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์) เหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย) ย่อมเหนื่อยในการแสวงหาที่ไม่สิ้นสุดนี้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนเมื่อมีแล้วต้องรู้จักพอ พอชนิดที่พอแล้วเราเป็นสุข พอแล้วเรียกว่าเต็มอย่างพอดีไม่ใช่เต็มแล้วล้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
จุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดก็คือจุดเดียวกันใช่ไหม (ใช่) อยู่ที่ว่าเราจะไปแสวงหาสิ่งใดให้กับชีวิต บางคนขอให้ได้มาก็พอ เป็นอะไรไม่รู้ เขาบอกให้ไปหาก็ไปหา เขาบอกให้มีก็ต้องมีใช่ไหม (ใช่) ในการมีชีวิตทำเช่นนี้ถูกหรือเปล่า เพราะว่าถ้าเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถเรียกกลับมาได้ใช่หรือไม่ (ใช่) โอกาสมีแค่ครั้งเดียว หนเดียว ฉะนั้นแม้จะมาช้าไปหน่อย แต่บางทีเราต้องระมัดระวังด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) การหาของชีวิตนั้นก็มีเวลาจำกัดสั้นๆ เท่านั้น หากให้เวลากับการศึกษามากเกินไป แทนที่จะได้อะไรก็กลับไม่ได้ เพราะเวลาของชีวิตหมดสิ้นไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนอย่าได้มองว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อแสวงหาอย่างเดียว บางทีคำพูดนี้ก็อาจจะทำให้เราวิ่งไปตามสิ่งที่เราพูด แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราแสวงหาอะไรใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นชีวิตก่อนที่เราจะเริ่มต้นออกไปข้างนอก เราจึงต้องรู้จักศึกษาให้ดีก่อน รู้จักโลกให้ชัดเจนก่อน รู้จักตนเองให้ดีพร้อมก่อน ก่อนที่จะก้าวออกไป ไม่เช่นนั้นออกไปแล้ว บางทีอาจจะไม่ได้กลับมาเลยก็เป็นได้ ออกไปแล้วก็อาจจะไปลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นค่าของชีวิตกว่าที่เราจะได้มาแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง เราจึงต้องรู้จักใช้ให้ดี ไม่อย่างนั้นค่าของชีวิตของท่านก็เป็นเพียงใบไม้หนึ่งใบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาที่เสียไปของชีวิต ขอให้มีค่ามากกว่าใบไม้หนึ่งใบ ดีหรือไม่ (ดี) แต่จะมีใครในโลกนี้ที่อยู่สูงแล้วไม่อันตราย เต็มแล้วไม่ล้นจริงไหม ใครยืนอยู่ที่ต่ำๆ เรามักไม่ชอบ เราชอบยืนอยู่ที่สูงๆ แต่สูงแล้วอันตรายไหม (อันตราย) มีน้อยๆ แล้วไม่ชอบ ชอบมีมากๆ มีมากแล้วลำบากใจใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วลำบากกายกับลำบากใจอันไหนลำบากมากกว่ากัน (ลำบากใจ) ยอมลำบากกายหรือ ก็ยังดีนะ
เรามีเกมอีกเกมหนึ่งให้เล่น เพื่อดูความสามัคคีของหมู่คณะในชั้นนี้ได้ไหม (ได้) เอามือแตะบ่าคนข้างหน้าไว้ เราบอกให้ลุกขึ้น มือท่านห้ามหลุดจากบ่านะ เพราะเรามาด้วยกัน เราก็ต้องไปด้วยกันใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมเล่นเกมด้วย) ถ้าเราบอกให้ยืนขึ้นก็ให้นั่งลง ถ้าเราบอกให้นั่งลงก็ยืนขึ้น แล้วสลับกันระหว่างนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม
เวลาเรานั่งฟังอยู่ ถ้าเราหลับคนอื่นจะหลับด้วยไหม (หลับ) อยากหลับตามด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตัวท่านก็มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างด้วยเหมือนกันเพราะฉะนั้นอย่าหลับเพราะท่านจะเป็นคนที่ทำให้คนอื่นหลับตามไปด้วยใช่ไหม (ใช่) อย่าให้อิทธิพลมีผลต่อจิตใจเรา ตั้งสติให้ดี บางครั้งอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอกก็มีผลต่อจิตใจใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้ไม่ต้องมองใคร ต้องมองที่ตัวเราเองเรื่องราวในโลกนี้บ่อยครั้งที่เราสามารถเก็บมาสอนชีวิตเราได้ใช่ไหม (ใช่) เราอาจจะมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเราค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา เรื่องราวในโลกนี้สอนเราได้เหมือนกัน เพราะธรรมชาติก็คือโลก โลกก็คือธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วชีวิตของมนุษย์เป็นธรรมชาติไหม (เป็น) ฉะนั้นถ้าไม่เอาธรรมชาติมาสอนธรรมชาติแล้วจะเอาอะไรมาสอนตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์เรามักจะแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ คิดว่าตัวเองคือคนใช่ไหม (ใช่) ลืมความเป็นเดิมแท้ของตัวเองไปว่าคนก็คือหนึ่งในธรรมชาติ หากพูดว่าตอนนี้มนุษย์อยู่ในสังคมหรืออยู่ในธรรมชาติท่านจะตอบว่าอยู่ในไหน (ธรรมชาติ) ถ้าเราไม่พูดสิ่งนี้ไว้ก่อนท่านคงตอบว่ามนุษย์อยู่ใน (สังคม) ใช่หรือเปล่า (ใช่) แท้จริงแล้วมนุษย์อยู่ในธรรมชาติ ต้องไม่ลืมว่าตนเองคือธรรมชาติหนึ่งของสังคม ของชีวิต และของธรรมชาติที่ใหญ่กว่าใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วธรรมชาติของชีวิตหรือธรรมชาติที่ท่านเห็นเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรที่เป็นสามัญที่เรารู้กันอยู่แล้วเรียกว่าธรรมชาติ (ธรรมชาติคือสิ่งที่ทำให้โลกสดชื่น) บางทีก็เป็นส่วนหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราเดินไปในท้องทุ่งหญ้าเขียวขจีแล้วเรารู้สึกเป็นอย่างไร (สดชื่น) แล้วธรรมชาติทำให้หดหู่ได้ไหม (ได้) ฉะนั้นต้องบอกว่าธรรมชาติให้ทั้งความสดชื่นและความหดหู่ด้วย แล้วเราเคยให้ความสดชื่นแก่ใครไหม เคยให้ความหดหู่แก่ใครไปบ้างหรือเปล่า เคยเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราอยากให้ความสดชื่น หรือหดหู่แก่ผู้อื่น (สดชื่น) ฉะนั้นอะไรที่ทำให้หดหู่อย่าทำเลย แล้วธรรมชาติยังให้อะไรอีก (ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องค้นหา) ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องค้นหา แต่บางทีก็ต้องค้นหาเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนก็มีทั่วๆ ไปให้เราเห็น ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วมีอะไรอีกน้ำหรือต้นไม้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นธรรมชาติเป็นอย่างไร มีมืดมีสว่าง มีดีมีร้าย นี่คือธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นคล้ายๆ วงกลม วิถีของธรรมชาติหรือสรรพสิ่ง มีการดำเนินคล้ายวงกลม พอเริ่มต้นก็เดินๆ ต่อไปจนถึงจุดสุดท้าย จุดสุดท้ายกับจุดเริ่มต้นก็คือ จุดๆ เดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านคือธรรมชาติ หากเรารู้ธรรมชาติว่าคนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราคงต้องใช้ชีวิตให้มีค่ายิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่เราอ่อนแอ ตอนที่เราป่วย เราจึงรู้ว่าคนต้องใช้ชีวิตให้มีค่ายิ่งขึ้น แต่ยังไม่ทันป่วยทุกคนก็สามารถรู้ได้ว่า คนเรานั้นมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติ แล้วสรรพสิ่งในโลกนี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติเหมือนกันไหม (เหมือนกัน) รู้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรารู้และเอาไปใช้ เมื่อเอาไปใช้เราก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ด้วย ใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้เราพูดว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ เวลาดำเนินก็ดำเนินคล้ายๆ กับลักษณะวงกลม เมื่อเดินไปจนถึงที่สุดย่อมมีจุดอิ่มตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) เกียรติยศช่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทอง ที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา เมื่อเดินจนไปถึงที่สิ้นสุด ก็ย่อมมีจุดอิ่มตัวเหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อมีจุดอิ่มตัว มนุษย์เราจึงต้องรู้จักทำความเข้าใจ และยอมรับ และปล่อยวาง เราถึงจะไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เราแสวงหา หรือแม้กระทั่งร่างกายตัวนี้ ถ้าเกิดเรารู้ว่าชีพของมนุษย์มีธรรมชาติคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่เราไม่สามารถเอาไปใช้ ถึงว่าจะรู้ก็เปล่าประโยชน์ เราก็ทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เวลาป่วยไข้มักจะไปหาหมอ แต่ลืมไปว่าจริงๆ แล้วธรรมะก็สามารถรักษา กาย ใจ ให้ทุเลาเบาบางลงได้เหมือนกัน ถ้าเกิดว่ารู้แล้วต้องนำมาใช้ให้ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่น อยู่ๆ เราเคยแข็งแรง พอวันหนึ่งเราเกิดเจ็บป่วยแล้วเราไปหาหมอ หมอบอกว่า เราเป็นมะเร็ง ถ้าเราไม่รู้จักใช้ธรรมะ เรายังไม่ทันเป็นเลย ใจเราก็ตรอมแล้ว จริงหรือเปล่า (จริง) อย่างสมมติไม่ใช่ตัวเราเป็น แต่ลูกเราเป็น พี่น้องเราเป็น หรือคนที่เรารักเป็น ใจเราเป็นอย่างไร เจ็บยิ่งกว่าเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นธรรมะอย่าได้มองข้ามว่าจริงๆ แล้ว ธรรมะก็สามารถรักษาใจเราได้เหมือนกัน ยังไม่ทันป่วยแต่ก็รักษาให้กระชุ่มกระชวยได้ อย่างเช่น พ่อแม่เราสามารถทำให้พ่อแม่กระชุ่มกระชวย แข็งแรงเหมือนคนที่อายุ ๓๐ ได้ไหม ทั้งๆ ที่อายุ ๕๐ แล้วก็ทำได้อย่าทำตัวแก่ ให้ทำตัวเป็นเด็ก พ่อครับ แม่ครับ ได้ไหม ไม่ว่าเราจะอายุ ๔๐ เราก็เรียกพ่อครับ แม่ครับ แม่จะรู้สึกว่าแม่ยังสาวอยู่เลย ใช่ไหม (ใช่) อย่างเช่น เราติดบุหรี่ ติดเหล้า หรือติดผู้หญิง หรือผู้หญิงติดผู้ชาย เราสามารถรักษาให้หายได้ ทำให้เราไม่ต้องเป็นโรคตับ ไม่ต้องเป็นโรคไต ไม่ต้องเป็นโรคหัวใจ โดยการที่เราต้องรู้จักอาหารการกิน ถ้ากินไม่ดีก็เป็นทุกข์เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เป็นบุหรี่ ถ้ารู้ว่าไม่ดีก็ควรเลิก ถ้าเคยติดมาก่อนก็ต้องรู้จักอดทน อดกลั้น พอเห็นมัน ให้มันสวยๆ เต็มขวดอย่างนั้นดีแล้ว อย่าให้ขวดมันว่างเลย ไม่อย่างนั้นจะดูไร้ค่า เป็นเศษขยะไป ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือ ให้รู้จักเอาธรรมะมาช่วยข่มใจเราให้รู้จักอดทน อดกลั้น แล้วธรรมะยังทำให้เรารู้จักสร้างมิตรได้ด้วย มิก่อศัตรูได้ด้วย และธรรมะยังช่วยทำให้เรารู้จักว่ายอมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วย ว่าชีวิตนี้เดี๋ยวก็แก่แล้วไม่ต้องไปบำรุงมันมาก กว่าจะออกมาใครเสียเวลาอยู่หน้ากระจกเป็นชั่วโมงๆ ผู้บำเพ็ญธรรมยังมีอีกหรือเปล่า ใครยังยอมเสียเงินเพื่อได้สเปรย์ น้ำหอม ขวดราคาแพงๆ อีก อย่างนี้เรียกว่ายังปลงไม่ได้ ใช่หรือเปล่า รู้ว่าตัวเองเหม็นเลยต้องฉีดตัวเองให้หอมๆ ใช่ไหม คนที่รู้ว่าตัวเองหอมเขาไม่ฉีด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีไว้สำหรบดับกลิ่นเหม็นหรอก ใช่ไหม (ใช่) เราศึกษาธรรมะและรู้ว่าธรรมะมีค่า ธรรมะดี เราต้องรู้จักนำไปปฏิบัติให้จงได้ เพราะว่าธรรมะดีปฏิบัติแล้วได้ทั้งกับตัวเอง แล้วก็ยังสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย ฉะนั้นเกิดเป็นคนเราจะมองข้ามธรรมะไม่ได้ เพราะคนเราหากมีคนๆ หนึ่งไม่รู้จักอะไรดีอะไรชั่ว คนๆ นั้นแม้ไม่ผิดแต่ก็อาจจะกลายเป็นคนที่ส่งเสริมคนชั่ว และทำลายล้างคนดีก็เป็นได้ หากไม่รู้จักแยกดีแยกชั่ว เมื่อคนๆ หนึ่งปฏิบัติต่อท่าน คนหนึ่งปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าต่อหน้าอย่างไร ลับหลังก็ทำอย่างหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งต่อหน้าทำดี แต่ว่าลับหลังไม่ยอมทำดี ไม่ยอมทำงาน ท่านให้รางวัลเขาทั้งคู่คนที่ทำดีจะรู้สึกเป็นอย่างไร เสียใจ คนที่ทำชั่วจะเป็นอย่างไร กระหยิ่มยิ้มย่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นแหละคือเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมเราจึงต้องรู้จักนำธรรมมาใช้ แล้วมีเหตุผลอะไรอีก (ธรรมะทำให้เกิดปัญญา, เกิดความเสียสละ, ทำให้เราพ้นจากความทุกข์ได้) ธรรมะทำให้เรารู้จักอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสมานกลมกลืน และปฏิบัติต่อกันได้อย่าง แยกผู้ใหญ่ แยกเด็ก รู้ว่าสิ่งนี้ควรสิ่งนี้ไม่ควรใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะหากควรรู้ปฏิบัติแล้วจะทำให้คนๆ นั้นมีชีวิตที่เป็นระเบียบ และสังคมสันติสุข เพราะว่าคนเราหากรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ต่อผู้ใหญ่เราเคารพ กับเด็กเราต้องเมตตา หากใช้กับผู้ใหญ่ต้องเมตตา เด็กต้องไปเคารพตลกไหม (ตลก) แล้วสังคมวุ่นวายไหม (วุ่นวาย) ฉะนั้นมีธรรมะไว้จึงดีแล้ว ตัวเราจึงต้องรู้จักศึกษาธรรมเข้าไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเล่นเกม โดยให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน แต่งตัวให้กับผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกสองท่าน โดยให้ผู้ที่ทำหน้าที่แต่งตัวท่านหนึ่งปิดตา และอีกท่านหนึ่งเปิดตา แต่งตัวให้กับผู้ปฏิบัติงานธรรม ที่ทำหน้าที่เป็นหุ่น และกำหนดเวลาให้แล้วเสร็จต่างกัน หลังจากเล่นเกมจนเสร็จสิ้น ท่านได้เมตตาอธิบายต่อดังนี้) ตั้งหนึ่งชีวิตทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ เพราะชีวิตของเรามีอยู่สองแบบ บางคนแม้จะลืมตาก็เหมือนกับปิดตาสร้างชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตนี้สมบูรณ์แบบไหม (ไม่สมบูรณ์) ฉะนั้นจะส่งอะไรก็ต้องโทษคนส่ง ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้บางครั้งแม้จะรู้ว่าตัวเองรู้ แต่บางครั้งตัวเองมักจะเป็นผู้ปิดตาตัวเอง แล้วก็สร้างชีวิตแบบผิดๆ ถูกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตจงเปิดตาเปิดใจยอมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วย และยอมรับความเป็นจริงของหุ่นเมื่อสักครู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ยอมรับเรื่องของโลกแล้ว เรายังต้องยอมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติ หรือมีชีวิตได้อย่างเป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านรู้หรือไม่ว่าเรื่องราวในโลกนี้ที่วุ่นวายนั้นเกิดจากอะไร (เกิดจากความไม่รู้) เกิดจากความไม่รู้แล้วยังไปทำอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเปรียบท่านว่าตอนนี้ตัวท่านหรือจิตใจท่านเป็นน้ำ ก็คงเป็นน้ำที่ไม่ค่อยสะอาดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจะทำอย่างไรให้น้ำนี้สะอาดได้ ต้องอยู่เฉยๆ บ้างเพื่อให้น้ำขุ่นกับน้ำใสแยกกันได้อย่างชัดเจน จริงหรือไม่ (จริง) หรือว่าตอนนี้ท่านจะบอกว่าท่านเป็นน้ำใส ก็คงไม่มีใครบอกได้ เพราะว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่น้ำใสอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นน้ำขุ่น ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมะจึงต้องรู้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ความวุ่นวายในโลกทั้งหลายเกิดจากการกระทำมนุษย์ บางครั้งเราจะหาความสุขได้จากการที่รู้จักหยุดบ้าง พอบ้าง ปล่อยวางบ้าง เราก็จะมีความสุขในการยอมรับความเป็นจริงของชีวิตและธรรมชาติ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“สุขในทุกข์สรรพสิ่งจริงอยู่ในปลอม” ทำไมเราจึงบอกว่าความสุขนั้นบางครั้งก็แฝงอยู่ในทุกข์ ความทุกข์บางครั้งก็แฝงอยู่ในสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งช่วงที่เรามีความสุขที่สุด หากเราปล่อยใจประมาท ปล่อยใจเผลอเรอ ตอนนั้นเราอาจจะได้ทุกข์กลับมา แทนที่จะเป็นสุขอันยืนยาวจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นไม่ว่ามีสุขหรือมีทุกข์ขอให้รู้จักอย่าได้ประมาทต้องมีความระมัดระวังเสมอได้หรือไม่ (ได้)
คำว่า “จริงอยู่ในปลอม ปลอมมีจริงอยู่” หมายความว่าอย่างไร ในตัวเรานี้อะไรเรียกว่าจริง อะไรเรียกว่าปลอม หรือว่าเป็นจริงหมดเลยทั้งตัวและหัวใจ (จิตคือของจริง) แล้วอะไรคือของปลอม (ร่างกาย) ร่างกายคือของปลอม แล้วในโลกนี้มีอะไรที่เป็นของปลอม แล้วอะไรที่เป็นของจริงอีก (กิเลสเป็นของปลอม ใจเป็นของจริง) แต่ของปลอมก็สามารถทำให้ใจนี้เป็นพุทธะได้ ฉะนั้นต้องยืมปลอมมาบำเพ็ญจริง ก็คือไม่ใช่ไปหยิบยืมมาจริงๆ แต่เป็นการรู้ว่าโลกนี้มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง เราต้องรู้จักปล่อยในรัก โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ (ใช่) เสื้อผ้านี้จริงหรือปลอม (ปลอม) ทำไมว่าปลอม (ไม่ใช่ธรรมชาติ) เสื้อผ้าก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งแต่เป็นสิ่งของที่เราต้องยืมมาสวมใส่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดเรามีชีวิตแล้วเราสะสมปลอมเยอะๆ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ใครมีเสื้อผ้าเต็มตู้บ้าง เต็มทั้งนั้นเลยใช่หรือเป่า (ใช่) นั่นก็คือว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ที่ดูแล้วแตกต่างกัน แต่จริงๆ แล้วมีความเป็นแก่นแท้เดียวกัน ฉะนั้นมนุษย์เราต้องรู้จักแยกแยะว่า หากเราหยิบยืมสิ่งใดมาใช้ หยิบยืมสิ่งใดมาดำเนินชีวิต หรือมาดำรงคู่กับชีวิต เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักที่จะปล่อยวางบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เมื่อกุศลดั่งตะวันร้อน” เมื่อไรที่มนุษย์เรารู้จักบำเพ็ญธรรม มีคุณธรรมในการดำเนินชีวิต รู้จักแยกอะไรจริงอะไรเท็จ และรู้จักสร้างคุณค่าแห่งจริงให้กับชีวิตตนเอง เราก็จะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าเหมือนตะวันที่สาดแสง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อตะวันสาดแสง แม้จะไม่ได้ตั้งใจรับ ก็เหมือนได้รับแสง เมื่อคนตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติธรรมแม้จะไม่ได้ตั้งใจให้ แต่คนก็สะเทือนในการปฏิบัติธรรมของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากไม่คำนึงถึงธรรม แม้เราคิดว่าเราไม่ได้กระทบกระเทือนใคร แต่การกระทำของเราก็อาจทำให้เป็นการสนับสนุนคนให้ทำผิดก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เป็นแบบอย่างก็เป็นได้ เพราะรุ่นแรกเกิดมาก็ต้องมีรุ่นหลังตามมาด้วย หากรุ่นแรกสร้างไม่ดี รุ่นหลังก็อาจจะติดแบบอย่างที่ไม่ดีมาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่ปูก็เดินเหมือนแม่ปู ฉะนั้นเราอยากให้ลูกปูเดินสบายๆ แม่ปูพ่อปูก็ต้องเดินสวยๆ ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมใบ้คำแล้วทำท่าประกอบคำว่า “หน้าไหว้หลังหลอก”)
บ่อยครั้งที่ความคิดของเราบางทีเราตั้งใจว่าเขาน่าจะเข้าใจ แต่บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าประสบการณ์และความรู้ที่ทุกคนมีการสั่งสมนั้นแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะไม่ได้ทำหน้าไหว้อย่างนี้ เขาอาจจะทำท่าไหว้อีกแบบหนึ่งแล้วหลังก็หลอกๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นบางครั้งถ้าเราได้รับอะไรผิดพลาดหรือฟังอะไรผิดพลาด เราอย่าเพิ่งได้ตีโพยตีพาย ต้องเป็นคนที่หูหนักๆ ไว้ ตาหนักๆ ไว้ บ่อยครั้งที่อายตนะของคนนี้ ทำให้คนนั้นลุ่มหลงไปผิดทาง เข้าใจคนไปผิดแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เล่นเกมใบ้คำ) เราว่าดีแล้ว แต่ทำไมถึงไปดีไม่ตลอดใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราพยายามทำดีที่สุด แต่คนมักจะไม่เห็นดีด้วยกับเราใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้บางครั้งเราต้องรู้จักทำใจด้วย ต้องยอมรับสภาพทุกอย่างให้ได้ เพราะเป็นธรรมดาที่ดีของเขากับดีของเรา อาจจะไม่ตรงกัน แม้ปราชญ์จะกล่าวว่าเรา อยากจะเป็นคนที่ดีนั่นก็คืออะไรที่ดีขอให้ทำต่อไป แต่บางครั้งเราว่าดี แต่เขาอาจจะไม่ชอบก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการเป็นคนนั้นยากเหมือนกันนะใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วให้มาเป็นพุทธะไม่เอาใหญ่เลยใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเล่นเกมใบ้คำ ฝ่ายชายได้คำว่า ปากว่าตาขยิบ ฝ่ายหญิงได้คำว่า ใจฟ้าดิน) บางครั้งการจะสื่อท่านต้องใช้สัญลักษณ์ที่คนทั่วไปเขารู้จักกันด้วย เราอยู่ในโลกนี้ เราก็อยากมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับคนอื่น แต่ถ้าเกิดเวลามีจำกัด โอกาสมีไม่นาน เรามัวชักช้าไม่ได้ เพราะเราเคยบอกไว้ว่าชีวิตของทุกๆ คน ก็เหมือนสัตว์ สัตว์บางตัวมีชีวิตแค่หนึ่งวัน เห็นหน้าตอนเช้าพอตกกลางคืนก็ตายเสียแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) สัตว์บางตัวมีอายุเป็นสิบๆ ปีใช่หรือไม่ (ใช่) ต้นไม้ก็เหมือนกันบางต้นมีอายุแค่หนึ่งวัน บางต้นมีอายุเป็นร้อยๆ ปี คนก็เฉกเช่นเดียวกัน บางคนเกิดมาแค่หนึ่งวัน บางคนเกิดมาอยู่ได้หลายสิบปี แต่เราไม่สามารถรู้ได้เหมือนเช่นต้นไม้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทุกขณะทุกเวลาขอให้ใช้คุณค่า และประโยชน์ให้เต็มที่ มิฉะนั้นเขาจะเรียกว่าเกิดมาเสียชาติเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) เราคงไม่อยากเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้ทุกเวลารู้จักนำสิ่งที่ดีมาใช้ หยิบยื่นสิ่งที่ดีให้กัน แม้จากกันไปก็ยังเป็นสุข แม้กายจะต้องทิ้งไปก็ยังไม่กลัวตายใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมมาคราวนี้เราให้เล่นมาก เพราะถ้าพูดธรรมะมากท่านคงจะเบื่อ วันนี้เป็นวันแรก บางคนเดินทางมาไกลก็จะเพลียใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนไม่เคยฟังธรรมะเป็นเวลานาน ก็ทำให้รู้สึกหน่ายที่จะฟังธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) เราจึงขอเอาเกมมาให้ท่านเล่น จะได้มีความสุข แต่ในความสุข เราบอกท่านแล้วว่าอย่าได้ประมาท อย่าได้ลืมความระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นแล้วความสุขที่เรากำลังเล่นอยู่นั้นอาจจะแฝงด้วยความทุกข์ตามมาทีหลังก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) โดยปกติแล้วหากมนุษย์เราไม่เคยศึกษาธรรมะ ไม่เคยได้เรียนรู้ว่าชีวิตนี้นอกจากเกิดมาเพื่อหาเงินทอง และมีความสุขแล้ว เรายังต้องคำนึงอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ความสุขของมนุษย์ที่ได้มานั้นต้องไม่ยืนอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทำกันโดยไม่นึกถึงว่าคนอื่นจะเดือดร้อน ทำเพราะว่าใจเราชอบใจเรารัก อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) เปรียบเสมือนถ้าเราชอบขอ ไปอยู่ที่ไหนก็ขอ ท่านก็ไม่ชอบคนแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่านอย่าลืมว่าการแสวงหาของตัวเราเองนั้น อย่าได้มองแค่ตนเองอย่างเดียว อย่าได้มองแค่สุขของตนเองอย่างเดียว เราต้องไม่ลืมว่าสุขของประชาก็คือสุขของตัวเรา สังคมสันติสุข ครอบครัวถึงจะสันติสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าครอบครัวไม่สันติสุข สังคมก็ไม่สามารถเกิดสันติสุขได้ ถ้าตัวท่านไม่มีความสงบร่มเย็น ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ครอบครัวท่านจะมีความสุขไหม (ไม่มี) ก็อาจจะเดือดร้อนเพราะท่านเป็นไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก่อนที่เราจะทำอะไร เราอย่าได้มองเพียงแต่ความสุขของตัวเอง อย่าลืม ต้องนึกถึงและคำนึงถึงผู้อื่นด้วย ส่วนใหญ่ต้องอาศัยส่วนย่อย ส่วนย่อยก็ต้องพึ่งพาอาศัยส่วนใหญ่ มนุษย์อาศัยสังคม แต่สังคมก็ต้องพึ่งพามนุษย์เหมือนกัน หากแต่เราเลือกแต่สิ่งที่ดีมาหมด แล้วปล่อยสิ่งที่เลวร้ายให้กับสังคม เช่นนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก) เพราะเมื่อไหร่ที่สังคมเดือดร้อน ตัวเรานั้นจะอยู่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เป็นสุขไหม (ไม่เป็นสุข)
ยังมีหัวข้อที่ต้องศึกษาอีกมาก ขอให้ศึกษาจนจบและตั้งใจฟังให้ดี ได้หรือเปล่า (ได้) ผู้บำเพ็ญธรรมไม่ได้เจอกันนาน รู้สึกอ่อนล้า อ่อนแรงกันบ้างไหม (ไม่รู้สึก) คนก็หายหน้าหายตาไปเยอะ ครั้งนี้ศิษย์พี่มายังไม่ได้เรียกศิษย์น้องสักคำ หายหน้าหายตากันไปบ้างหรือเปล่า จิตใจมาครบเต็มร้อยหรือเปล่า ทำไมยิ่งบำเพ็ญธรรม ใจเดิมยิ่งค่อยๆ หายไป ศิษย์พี่บอกแล้วดื่มน้ำต้องรำลึกต้นธาร บำเพ็ญธรรมเพื่อหวนกลับคืนจิตใจดวงเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนแรกมีเต็มเปี่ยม ทำไมตอนนี้ใจแฟบเป็น ต้องถามตัวเราเองให้ดีว่าบำเพ็ญธรรมขาดตกบกพร่องเรื่องอะไร บำเพ็ญธรรมผิดแล้วรู้จักแก้ไขหรือไม่ บำเพ็ญธรรมก้าวหน้าไปมากน้อยแค่ไหน บำเพ็ญธรรมกายภายนอกสะอาด จิตใจสะอาดหรือยัง ขอให้บำเพ็ญธรรมแล้วศิษย์น้องมีความก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ได้หรือไม่ (ได้) ขอให้บำเพ็ญธรรมก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ต้องรับรู้ไว้ว่า ชีวิตนี้มีทั้งเรื่องสุขและเรื่องทุกข์เป็นธรรมดา อย่าได้ท้อถอย สู้ต่อไป พยายามเข้านะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไร้ปัญญาไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจน ไร้เมตตาไม่อาจเป็นผู้ช่วยเวไนย
ไร้กล้าหาญไม่อาจรวมใจเป็นหนึ่งได้ วันใดไร้กลายมีหนอข้ารอชม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนศรัทธาคืออะไร

บำเพ็ญธรรมมรรคสร้างยืมกายออกแรง ผลิดอกออกผลแห่งคุณค่าหนา
ในความสมบูรณ์ธรรมชาติมีหากรักษา อันชีวารู้จักใช้ธรรมเป็นแกน
สตินำใคร่ครวญหมั่นคลายใจล้า กิเลสหนุนปัญญาฟ้าจะมืดทึบแสน
ไม่อาจพ้นเมื่อโทษคนผิดแทน ชีวิตแม้นพลาดไปอย่าจมต่อไป
เคยบาดหมางใจขุ่นมาหายกัน พี่น้องกันให้ศรัทธาเป็นยาใส่
กำลังใจฝ่าฟันต้องช่วยกันให้ คุณธรรมแกร่งเป็นทุนในการบำเพ็ญ
ขอให้ศิษย์เตรียมตนพร้อมเพื่อบำเพ็ญจริง เวลาว่างตนวิ่งหาแม้ยากเข็ญ
บำเพ็ญใจให้ดุจจันทร์ในวันเพ็ญ เมื่อได้เห็นทางคืนกลับอย่าเมินไป
อย่าได้มัวเข้าข้างตนหาเหตุผล อย่าสับสนเจออุปสรรคฝ่าให้ได้
ทิ้งสัมภาระเตรียมเสบียงเดินทางไกล ศิษย์ต่างเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ทุกคน
ใช้สัจธรรมบำเพ็ญจิตจึงเหนือมาร อันสังขารจะอยู่ได้สักกี่ฝน
ก้าวแรกนั้นให้รู้จักการทำตน จงเป็นคนให้สมคนนะศิษย์เอย
ฮา ฮา หยุด

หนทางนี้คงมั่น ถ้าศิษย์นั้นจะไม่หลายใจ จะยอมให้ทั้งหัวใจ พร้อมไปสู้ยิบตา ถึงยากเย็นไม่เปลี่ยน ผู้บำเพ็ญเพียรหมั่นภาวนา ปลดทุกข์ให้ผองประชา กังขาลบเลือนจากใจ
แม้นใครไหนยังดื้อดึง ได้คำนึงผลคงกลุ้มใจ ต้องการให้คนเข้าใจ เหนื่อยตัวเจ้าเองก็จะได้มิตรร่วมทาง
ขอจงคิดมุ่งมั่น เพื่อนานวันไม่เดินหลงทาง จุดหมายใจมิเลือนลาง ระวังขวนขวายไป ทุกชีวิตสูงค่า หลักธรรมพาข้ามสามโลกไกล
ไม่กลัวพรุ่งนี้เช่นไร แต่กลัวใจของเจ้าเปลี่ยนแปลง
เพลง : ขอจงบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้าย
ทำนองเพลง : หลง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ศรัทธาคืออะไร (ศรัทธาคือความเชื่อมั่นในจิตใจ) หลายคนตอบว่าศรัทธาคือความเชื่อมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเรามาฟังสองวันเราเชื่ออะไรบ้าง (เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ถ้าอาจารย์ไม่ถาม ไม่จี้ ก็ไม่คิด คิดแต่อะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดมากก็จริงแต่คิดแล้วไม่ได้ถาม เพราะฉะนั้นการที่เราจะบอกว่าเราเป็นคนที่สงสัย เราก็ต้องสงสัยอย่างคนที่คิดเป็นใช่หรือไม่ (ใช่) จึงจะเรียกว่าความสงสัยนั้นมีทางออก ไม่ใช่เป็นความสงสัยที่ไม่มีทางออก อยู่ในบ้านที่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีประตู แล้วก็เอาตัวเองไปขังอยู่ในนั้น แล้วเราก็บอกว่าเราสงสัยจริงๆ เลย แต่ว่าเราสงสัยแล้วเราไม่รู้ว่าเราสงสัยอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อเราบอกว่าเรามีความศรัทธา ก็ถามแล้วว่าศรัทธาคืออะไร ศรัทธาในใจของศิษย์จะเป็นอะไรก็ได้ จะเป็นอย่างไรก็ได้ อาจารย์เชื่อว่าทุกๆ คนนั้นคิดในสิ่งที่ดี คิดในทางที่ดี การที่เรามาฟังธรรมะในสองวันนี้แล้วบอกว่าธรรมดี ธรรมะจะดีไม่ได้ถ้าหากว่าขาดคนปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ธรรมะจะดีเลิศเลอแต่ธรรมะก็ดีไว้เพียงคนที่ฟังแล้วทำตัวเฉยๆ นั่นแหละ ดีในใจอย่างเดียว เหมือนคนที่บอกว่าฉันเป็นคนที่ดี เป็นคนจิตใจดี ไม่ต้องรับธรรมะก็ได้ แต่ดีอยู่ที่ไหน ดีอยู่ที่ใจจริงๆ ดีอยู่ที่ใจของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยมองเห็นใจเขาหรือเปล่า แล้วคนอื่นมองเห็นใจของศิษย์หรือเปล่า ไม่มีใครเห็นใจใครได้ใช่หรือไม่ (ใช่) การใช้ตานั้นไม่สามารถจะมองเห็นถึงจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่ง จนกระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งแสดงออก ว่าเราเป็นคนดีให้คนอื่นเห็นใช่หรือไม่ (ใช่) เราจึงรู้ว่าคนคนนั้นเป็นคนดี แต่ว่าการเป็นคนดีนั้นเป็นแค่สามชั่วโมง ห้าชั่วโมงได้ไหม การเป็นคนดีไม่ใช่สามชั่วโมง ห้าชั่วโมง แต่ว่าต้องเป็นตลอดไป ในยามที่เรานั้นมีความทุกข์ยากที่สุด ในยามที่เราวุ่นวายใจที่สุด ในยามที่เราเจออุปสรรคมากที่สุดนั่นเป็นเวลาที่ศิษย์จะสร้างความดีใช่หรือเปล่า ไม่ใช่เวลาแห่งความท้อแท้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะหากว่าทุกคนดีหมดแล้วศิษย์ก็ทำดีด้วย คนๆ นี้ก็ทำดีเหมือนกันแต่ว่าทำดีแล้วอยู่ในกลุ่มของคนที่ทำดีแล้วเราก็ทำดี ถามว่าความดีอันนี้เป็นอย่างไร บางทีที่เราทำดีอยู่อาจจะเทียบไม่ได้กับคนที่อยู่รอบข้างเราใช่หรือไม่ (ใช่) ดูๆ แล้วความดีก็คืออยู่ในถิ่นที่ดีแล้ว ก็ทำความดีไม่มีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น แต่ในยามที่ทุกคนไม่ดีหมดเลยก็คือในโลกปัจจุบันนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกปัจจุบันที่อยู่นั้นเมื่อเราเจอคนไม่ดี เมื่อเราวุ่นวายใจ เมื่อเราเจออุปสรรค นั่นเป็นเวลาที่ให้เราแสดงความดีออกมาได้ชัดเจนใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความดีที่ศิษย์สร้างนั้นต้องออกมาจากใจจริงๆ ถูกหรือเปล่า  ใจจริงๆ ของเรานั้นเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าใจจริงๆ ของเรานั้นเป็นจิตใจที่ดีงาม แสดงออกมาในความดีนั้น ยิ่งดีเติมเข้าไป ยิ่งดีเป็นร้อยเท่าพันทวีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากว่าจิตใจของเรานั้นเป็นจิตใจที่ไม่ดีเลย เรากำลังคิดไม่ดีแต่เราแสดงออกและทำแต่ความดีเป็นอย่างไร มนุษย์เรียกคนประเภทนี้ว่าเป็นเสแสร้งใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะก็เรียกคนประเภทนี้ว่าเป็นคนหลอกตัวเอง ความดีชนิดนี้ก็จะไม่ได้กุศล และก็ไม่ส่งผลใดๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นบางทีเราลองมาคิดว่าทำไมเราถึงทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะบางทีใจของเรานั้นก็ยังไม่สะอาดพอใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นแค่การที่เราบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว คำว่าคนดีที่เราเคยพูดกันประจำจนติดปากเป็นเรื่องที่ทำลำบากไหม ถ้าหากว่าใจยังไม่ดีอยู่ ถ้าหากว่าจะเริ่มทำก็คงจะลำบากนิดหน่อย แต่ว่าคนบำเพ็ญนั้นกลัวลำบากไหม กลัวยากไหม (ไม่กลัว) คนบำเพ็ญกลัวคนด่า กลัวคนว่าไหม (ไม่กลัว)
“ไร้ปัญญาไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจน” ถ้าหากว่าเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เราไม่สามารถแยกแยะชัดเจนได้ว่าสิ่งนั้นคือความดีหรือความชั่ว เราจะลงมือทำหรือเปล่า เรื่องๆ นี้เป็นเรื่องดีหรือว่าไม่ดี ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะแยกแยะได้แสดงว่าเรายังไม่มีปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นเวลาเราเจอคนๆ หนึ่ง คนๆ นี้เป็นคนไม่ดี ถามว่าเราตัดสินใจจะช่วยเขาหรือเปล่า (ช่วย) ยังไม่มีใครถามอาจารย์เลยว่าช่วยอะไร นี่แหละคือข้อเสียของศิษย์ทั้งหลาย ยังไม่ทันจะรู้ชัดเจนก็บอกว่าจะช่วยแล้วใช่ไหม แล้วถ้าคนชั่วคนนั้นให้ศิษย์ช่วยปล้นบ้านไปหรือไม่ไป ถึงบอกว่าต้องรู้จักแยกแยะให้ชัดเจนว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย ช่วยอะไร แล้วช่วยอย่างไร เหมือนมาวันนี้ฟังธรรมะเป็นวันที่สอง ธรรมะคืออะไร ปฏิบัติอย่างไร หลุดพ้นอย่างไร ถ้าหากว่าสงสัยในสิ่งเหล่านี้ควรสงสัยไหม (สมควร) แสดงว่าใส่ใจใช่หรือไม่ ไม่ใช่ทำเหมือนว่าเราสนใจใส่ใจ แต่กลับไปบ้านแล้วอีกสองวันต่อมาไปสถานธรรมอย่างไรไม่รู้แล้ว ลืม อย่างนี้ก็แสดงว่าเรานั้นไม่ได้ใช้ปัญญาในการนั่งฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
“ไร้เมตตาไม่อาจเป็นผู้ช่วยเวไนย” ตอนนี้เราก็ยังเรียกตัวเองว่าเวไนยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเรายังไม่พ้นทุกข์เช่นเดียวกัน แต่เราต้องการเป็นเวไนยที่ช่วยเวไนยใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าเวไนยที่ช่วยเวไนยต้องทำใจให้เหมือนพุทธะเป็นเวไนยที่เป็นใจพุทธะ ก่อนที่จะขึ้นไปแดนนิพพาน ก่อนที่จะขึ้นไปเบื้องบน ไม่ใช่ว่าเราตายแล้วต้องไปเป็นพุทธะทันที ต้องผ่านทีละขั้นก้าวทีละก้าวเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าตอนนี้เราจะมีความทุกข์มากมาย ยังมีกรรมรุมล้อม แต่ว่าต้องแบ่งเวลาของเราช่วยผู้อื่นได้บ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องเป็นเวไนยที่มีใจเป็นพุทธะ ต้องมีความเมตตาเป็นอันดับแรกใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาจะช่วยคนต้องมีความเมตตา แล้วถ้าหากว่าจะเป็นคนที่สมบูรณ์ต้องมีอะไร วันนี้ฟังหัวข้อไปหนึ่งหัวข้อที่ทำให้คนเป็นคนสมบูรณ์นั้นชื่อว่าอะไร (กตัญญู) ต้องมีความกตัญญู ถ้าหากว่าไม่มีความกตัญญู แล้วบอกเราบำเพ็ญธรรมะอยู่จะมีคนเชื่อไหม (ไม่เชื่อ) คนๆ นี้ไม่มีความกตัญญูแต่กราบพระเอาๆ คนๆ นี้บำเพ็ญธรรมะหรือเปล่า คนๆ นี้ยังไม่ได้บำเพ็ญธรรมะเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมนั้นต้องรู้จักตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อันแรกไร้ปัญญา อันที่สองไร้เมตตา อันที่สามไร้อะไรดี คนบำเพ็ญธรรมควรที่จะใช้ปัญญา ควรที่จะใช้เมตตา และคนบำเพ็ญต้องมีอะไรมาอีกอย่างหนึ่ง อันที่สามนี้ตั้งใจฟังให้ดี สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกคน ในการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จได้ต้องอาศัยสิ่งนี้ สิ่งนี้เรียกวาความกล้าหาญ ไม่ใช่ว่าจะกล้าเหนือใคร แต่ต้องกล้าหาญเหนือใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราโดนคนอื่นว่า คนว่าคนแรกไม่เท่าไหร่ คนว่าคนที่สองเป็นอย่างไร ชักไม่แน่ใจแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) พอคนว่าสามคนสี่คน ถามว่าเราจะใช้ความกล้าของเรานั้นอธิบายให้เขาฟังได้ไหม กล้ายืนยันความเชื่อมันของตัวเองไหม (กล้า) ท่ามกลางความวุ่นวาย กล้าที่จะแสดงออกถึงการเป็นผู้บำเพ็ญหรือเปล่า (กล้า) นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นความกล้า
“ไร้ความกล้ายากรวมใจเป็นหนึ่งได้” คนที่ไม่มีความกล้าหาญอยู่เหนือจิตใจของตัวเอง จิตใจของเรานั้นก็จะฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราไม่มีปัญญาที่จะรวมใจของเราอันนั้นให้เป็นหนึ่งได้ คนที่สามารถรวมใจเป็นหนึ่งได้ ก็เหมือนคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือ เวลาเราอ่านหนังสือ ถ้าหากว่ามีคนมารบกวนเรา เราจะอ่านหนังสือรู้เรื่องไหม (ไม่รู้)  ถ้าเรายังอ่านไม่รู้เรื่อง แสดงว่าเรายังไม่สามารถที่จะรวมใจเป็นหนึ่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับสองวันนี้นั่งฟังธรรมะมีคนเดินอยู่ข้างๆ เดินไปเดินมา ถ้าหากว่าเราสนใจคนที่เดินไปเดินมาข้างๆ เรานั้นก็ไม่รวมใจเป็นหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราฟังธรรมก็คือ ต้องรวมใจเป็นหนึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญในการทำอะไร อย่างเช่นการที่คนอื่นรบกวนเรา เราต้องกล้าหาญในการดึงตาของเราให้อยู่ตรงกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราไม่ดึงตาของเราอยู่ตรงกลาง เราคอยที่จะเหล่มองข้างๆ เราก็เห็นเสมอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นต้องตัดความหลุกหลิกของสายตา ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เรานั้นเป็นคนที่สายตานิ่ง เมื่อสายตานิ่ง หูเราก็นิ่ง หูเรานิ่งปากเราก็นิ่ง ปากเรานิ่งใจเราก็นิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรานิ่งแล้ว เมื่อปัญหามาหาเราๆ จะแพ้ไหม (ไม่แพ้) ก็หวังว่าไม่แพ้ การที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมและทางโลกนั้น เมื่อเราล้มเหลวก็ประกอบไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง เมื่อเราชนะก็ประกอบไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง มีผู้มีบุญคุณต่อเรา มีสิ่งของที่เรานั้นใช้ในการจะเดินหน้ารุดหน้าไป และมีใจของเราที่เข้มแข็งในการฝ่าฟันอุปสรรค นั่นแหละอาจจะมีหลายอย่างมากกว่านี้ แต่นี่คือบอกคร่าวๆ ให้ศิษย์นั้น อย่างน้อยเมื่อเวลาฝ่าฟันปัญหาอะไร ให้เรามีปัจจัยง่ายๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ไม่ยาก หาได้ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแต่หันมามองตนเอง เมื่อย้อนมองส่องตนก็จะเห็นอุปกรณ์มากมายที่อยู่ในใจของเรา จะเห็นความว่างมากมายที่อยู่ในใจของเรา ความว่างนี้อยากจะดึงเอาอะไรออกมาก็ได้ อยากจะดึงปัญญา ปัญญาก็เกิด อยากจะดึงเมตตา เมตตาก็เกิด อยากจะดึงคุณธรรม คุณธรรมก็เกิด เพียงแต่กลัวว่าใจของเรานั้นไม่ว่างพอ ไม่นิ่งพอ ไม่อยู่ตรงที่ ไม่อยู่ตรงทาง จะดึงสิ่งใดออกมาก็บิดๆ เบี้ยวๆ
เราคือ จี้กงรู้จักไหม อยากเจออาจารย์หรือเปล่า (อยาก) เอาใจอะไรมารับอาจารย์ ใจของเราศรัทธาขึ้นบ้างหรือยัง (มีแล้ว) ขอให้เรานั้นมีใจศรัทธาตลอดไป ขอให้เรานั้นมีใจศรัทธาที่นิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของให้อาจารย์ได้ใจศรัทธาดวงนี้จากเรา ถามศิษย์รักทุกคนศรัทธาคืออะไร ลองกลับไปคิดดู (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนทำท่าพายเรือธรรม) ไหนๆ ก็ยืนแล้วพายเรือสักหนึ่งรอบดีไหม (ดี) พายแล้วตั้งใจพายให้ถึงฝั่ง ได้หรือไม่ (ได้) 
แม้ว่าวันนี้เรายังเป็นชาวโลก ชาวดิน แต่วันหน้าเราคงได้เป็นชาวฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าไม้พายมันชนกัน พายเรือจะเดินหน้าไหม (ไม่เดิน) ถ้าหากว่าพายแล้วไม้พายมันชนกันแสดงว่าพายผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าพายผิดแล้วเรือจะวนอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว อยู่ที่เดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่) การที่เราพายเรือนั้นต้องตั้งใจพาย แต่ว่าเรือลำนี้รู้สึกว่าจะหนักมาก มีของสองอย่างบนเรือ ๑. เรียกว่า สัมภาระ ๒. เรียกว่า เสบียง ทิ้งสัมภาระหรือทิ้งเสบียงดี (สัมภาระ) ไม่ทิ้งเสบียงเหรอ สัมภาระนั้นหมายถึงอะไรในทางโลก สัมภาระหมายถึง สิ่งของเครื่องใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในการที่เราจะบำเพ็ญธรรมะนั้น ในการที่เรานั้นจะพายเรือธรรมะ พายเรือธรรมหมายความว่า ออกแรงทำงานธรรมะ การที่เรานั้นจะทำสิ่งนี้ได้ เรือของเราถ้าไม่ให้หนักเกินไปต้องทิ้งสัมภาระไป ใช่หรือไม่ (ใช่) สัมภาระได้แก่ เสื้อผ้าสวยๆ คนบำเพ็ญธรรมนั้นมัวแต่งตัวได้ไหม (ไม่ได้) ทาคิ้วทาตาก็เสียเวลาไปตั้งครึ่งวันแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจะทิ้งสัมภาระของเราอีกอย่างหนึ่ง ลองทิ้งอีกคืออะไร ของนอกกาย ของนอกกายมีอะไรบ้าง อะไรที่อยู่นอกตัวเราที่เป็นสัมภาระ (กิเลสที่อยู่ในตัวเรา) ผู้ชายทิ้งอะไร (ขวดเหล้า) ไหนใครจะทิ้งเหล้า เดี๋ยวอาจารย์รับเอง เหล้าบุหรี่ก็ต้องทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) เหล้าบุหรี่ทิ้งได้ก็จะบำเพ็ญได้ปลอดโปร่งใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรถึงปลอดโปร่ง เพราะเวลากินเหล้าแล้วเมาใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเมาแล้วจิตใจปลอดโปร่งหรือเปล่า (ไม่) เวลาสูบบุหรี่แล้วจิตใจปลอดโปร่งหรือเปล่า (ไม่ปลอดโปร่ง) มีคนเขาบอกว่าเวลากลุ้มใจก็ให้กินเหล้าสูบบุหรี่ แต่ยิ่งกินยิ่งกลุ้มใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าไม่มีเงินยิ่งกินก็ยิ่งไม่มีเงินใช่หรือไม่ (ใช่) สัมภาระทางใจมีอะไรบ้าง (โลภ โกรธ หลง) ความโลภโกรธหลงเป็นหลักใหญ่ๆ ของการเกิดกิเลสเล็กๆ น้อยๆ ตามมาทั้งหมด ถ้าหากสามารถทิ้งความโลภโกรธหลงได้ ใจของเรานั้นก็จะเบาสบายโล่งยิ่งขึ้นถูกหรือเปล่า (ถูก) ตอนนี้ทิ้งสัมภาระไปมากแล้ว ทีนี้เสบียงมีหรือยัง เสบียงคืออะไร เสบียงก็คือกุศลต่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งมีกุศลมากการบำเพ็ญธรรมะก็ยิ่งราบรื่นได้ เพราะว่าคนทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรเป็นของตนเอง เรากินหมู  ไก่ ปลาเข้าไป หมู ไก่ ปลาก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา เพราะพวกเขาตายโดยไม่ได้ยินยอมใช่หรือไม่ (ใช่) เราเอาเงินไปซื้อเขามา แล้วเขาก็มาเป็นอาหารของเรา เขายินยอมหรือเปล่า (ไม่ยินยอม) ทุบหัวปลา ปลาเจ็บไหม (เจ็บ) แทงคอหมู หมูเจ็บไหม (เจ็บ) ปาดคอไก่ ไก่เจ็บไหม (เจ็บ) ทำไมถึงรู้ว่าเขาเจ็บ เพราะว่าเขาร้องใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราอยากที่จะบำเพ็ญธรรม อยากจะพายเรือธรรมให้ตลอดรอดฝั่ง จำเป็นจะต้องอุดรูรั่วของเรือก่อน คือการสร้างกรรมต่างๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะกรรมปากเป็นหลักใหญ่ เพราะว่าเรานั้นกินข้าววันละสามมื้อ บางคนกินรอบดึกอีกวันหนึ่งก็สี่ห้ามื้อใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกๆ มื้อเราก็กินเนื้อสัตว์ กินเนื้อคนอื่นเข้าไป เพราะฉะนั้นอุดรูรั่วของเรือ เราจะเดินทางไกลได้ราบรื่นยิ่งขึ้น มีกรรมอีกหลายอย่างที่สร้างขึ้นมา แต่ว่ากรรมอื่นๆ เดี๋ยวค่อยพูดถึง (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง) สบายไหม (สบาย) นั่งมาตั้งเป็นวันๆ ไม่รู้สึกว่าเก้าอี้นี้สบายเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพิ่งรู้สึกว่าเก้าอี้สบายก็ตอนยืนนานๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเราเกิดเป็นคนอย่าเห็นของที่มีอยู่แล้วไร้ค่า ของที่มีอยู่แล้วก็อาจจะมีค่าก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นเสื้อที่เราใส่ถึงแม้ว่าจะเก่าไปหน่อย แต่หากไม่มีเสื้อใหม่มาเปลี่ยน แล้วเสื้อเก่ายังดีอยู่ ถามว่าเสื้อตัวเก่านี้มีค่าไหม (มีค่า) เรานั้นมาสถานธรรม ก็ใช้เก้าอี้ในการนั่งฟังธรรม เก้าอี้นี้เรานั่งมาตั้งสองวัน นั่งจนบิดไปบิดมา ขี้เกียจนั่ง นั่งหลับบ้างก็ยืมเก้าอี้ตัวนี้มาใช้ เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงรู้ว่าเก้าอี้นี้นั่งแล้วสบายจริงๆ ร่างกายของเราที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นร่างกายที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ตลอดไปใช่หรือไม่ (ใช่) คนเกิดมาก็มีวันตายทุกคน ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน อย่าคิดว่าเรานั้นเกิดมาแล้วจะเกิดได้ตลอดไป เกิดมาเป็นคนร้อยปี แต่มีโครงการไปถึงพันปีใช่หรือไม่ (ใช่) งานบ้านทำเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราบำเพ็ญธรรม จะบอกว่าใครสักคนหนึ่งมีเวลามากกว่าใครอีกคนหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่มีใครมีเวลามากกว่าใคร มีแต่คนรู้จักที่จะเจียดเวลาออกมา ใช้ในการที่จะบำเพ็ญ การตอบอาจารย์ต้องคิดนะ ไม่ใช่ตอบไปเรื่อยๆ ฉะนั้นคนที่บำเพ็ญธรรมอยู่ในตอนนี้ ศิษย์ลองไปถามเขาดูว่าเขามีเวลาว่างหรือเปล่า (ไม่มี) แล้วศิษย์ลองถามตัวเองว่าศิษย์มีเวลาว่างหรือเปล่า (ไม่มี) เราก็ไม่มีคนที่เราไปถามเขา ต่อให้เขาบำเพ็ญมาสิบๆ ปี ไปถามเขาว่ามีเวลาว่างหรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน แต่ว่าคนที่ไม่มีสองคนต่างกันตรงไหน ต่างกันที่คนนี้รู้จักเจียดเวลามาบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องกลัว ถ้าหากศิษย์มีเวลานอนก็มีเวลามาบำเพ็ญธรรม มีเวลากินข้าว หาซื้อของก็มีเวลาบำเพ็ญธรรม เจียดเวลานอน เวลากินข้าว เวลาซื้อของ อย่างละชั่วโมงหนึ่ง ถามว่ามีเวลาบำเพ็ญธรรมไหม (มี) การบำเพ็ญธรรมที่ต้องอาศัยเวลาก็คือการไปช่วยคนอื่นเท่านั้นเอง นอกเหนือจากนั้นการบำเพ็ญธรรมชนิดอื่น ไม่ต้องอาศัยเวลาเลย แต่ต้องอาศัยใจใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะดับกิเลสของเรา ดับความโกรธของเรา จะดับความโกรธได้ไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดจะดับก็ดับ แต่ต้องดับตอนไหน ดับตอนมีคนมายั่วให้เราโกรธใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีคนยั่วให้เราโกรธเราก็ไม่รู้ว่าเราโกรธ ถูกหรือเปล่า ก่อนที่ความโกรธจะเกิดขึ้น เราบอกว่าเราจะไม่โกรธพูดได้ไหม (ไม่ได้) เราบอกว่าเราจะไม่โกรธ พูดกี่ทีก็พูดได้ แต่เวลามีคนมายั่วให้เราโกรธ แล้วเราไม่โกรธทำได้ไหม (ทำได้ยาก) เพราะฉะนั้นการที่เราบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญใจนั้น บำเพ็ญชนิดนี้อาศัยชีวิตประจำวันของเราเป็นผู้ปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) เราบอกว่าเราจะไม่โลภ เราก็ทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้อาจารย์ถามศิษย์ว่าบำเพ็ญธรรมแล้วไม่โลภได้ไหม มีคนพูดว่าถ้าอาจารย์ไม่พูดอย่างนี้ก่อน ศิษย์ก็จะบอกว่าทำได้ แต่ตอนนี้เงินทองกองโตมากองอยู่ตรงหน้า แล้วจะไม่โลภได้ไหม เงินกองนี้ไม่มีเจ้าของเลย ถ้าหยิบไปจะไม่มีใครรู้เลย มีคนหลายประเภท คนประเภทแรกหยิบไปเลย มีไหม (มี) คนประเภทที่สองต้องรอให้คนไม่เห็นก่อนถึงจะหยิบ คนประเภทที่สามคือไม่หยิบ ถ้าหากว่าเราเป็นคนประเภทที่สาม แสดงว่าเรานั้นเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) คนประเภทที่สองนั้นพร้อมจะเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) คนประเภทแรกไม่ดีเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) คนประเภทแรกก็ปะปนอยู่ในคนประเภทที่สองที่สาม ที่ศิษย์เดินชนเขาแทบทุกวันๆ นั่นแหละ แล้วที่น่าสังเกตก็คือ คนประเภทที่สามก็พร้อมจะเป็นคนประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สองด้วย คนประเภทที่หนึ่งก็พร้อมจะเป็นคนประเภทที่สองและประเภทที่สาม คนประเภทที่สองบางทีก็เป็นคนประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สามด้วย แสดงว่าคนๆ นี้นั้นคือใคร (ตัวเรา) ก็คือตัวเราเท่านั้นเองที่ตัดสินใจว่าจะทำดีหรือไม่ดี หลายๆ คนที่ตกนรกไปก็ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะทำบาป ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแต่เป็นอารมณ์ชั่ววูบที่ทำบาปไป ถ้าทำบาปร้ายมากแรงมากก็รับผลหนักมาก ถ้าหากเป็นบาปเล็กน้อยก็รับผลเล็กน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังคำว่า “กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง” ทำมากสนองมากทำน้อยสนองน้อย อันนี้เป็นกฎสัจธรรมอยู่แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) เราอาจจะไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ข้างนอกหรือทำบาปทำชั่วมาก เพียงแต่เราพูดถึงตัวเอง แล้วการบำเพ็ญธรรมของเรา เราก็บำเพ็ญธรรมตามอำเภอใจของเรา บางทีเราอยากจะบำเพ็ญ เราอยากจะทำดีเราก็ดีเสียจนดีไปหมด บางทีเรานั้นเกิดอารมณ์หงุดหงิด เกิดอารมณ์เบื่อหน่าย เราก็ไม่บำเพ็ญเสียเฉยๆ อย่างนี้มีไหม (มี) เรียกว่าคนบำเพ็ญธรรมตามอำเภอใจของตัว แล้วถามว่ามรรคผลของศิษย์จะเป็นมรรคผลที่มั่นคงและแน่นอน ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) มรรคผลของเรานั้นจึงเป็นมรรคผลที่ไม่แน่นอน เพราะว่าเรายังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเราได้ ยังไม่สามารถควบคุมจิตใจของเราให้นิ่งได้ การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องง่าย คนบำเพ็ญธรรม แม้จะบำเพ็ญอยู่ด้วยกัน บางทีก็เหมือนกับก้อนกรวดที่อยู่บนพื้น ศิษย์ลองกำก้อนกรวดขึ้นมาสักกำหนึ่ง ก้อนกรวดที่อยู่ในมือของศิษย์นั้น มีทั้งก้อนกรวดที่เป็นก้อนมนและมีทั้งก้อนกรวดที่เป็นก้อนที่มีเหลี่ยมมีมุม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าทำไมหินบางก้อนถึงมน ทำไมหินบางก้อนถึงกลม (เพราะบางก้อนโดนขัดเกลา) เป็นเพราะว่าหินก้อนนั้นถูกขัดไปขัดมา ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนหินก้อนที่มีเหลี่ยมแสดงว่ายังไม่ค่อยจะถูกขัดจากก้อนอื่น หินกำมือหนึ่งที่อยู่ในมืออาจารย์นี้ก็คือศิษย์ทุกคน บำเพ็ญร่วมกันเหมือนกับหินหลายๆ ก้อนอยู่ด้วยกัน บางคนนั้นโดนขัดเสียจนมนแล้ว แต่บางคนนั้นยังเป็นมุมเป็นเหลี่ยมอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญธรรมก็คือการฝึกฝนและการขัดเกลา ไม่มีใครดีมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครเมื่อตอนที่เริ่มบำเพ็ญธรรมแล้วยังดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่ายิ่งบำเพ็ญต้องยิ่งดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่ายิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งแย่ ก็จะถือว่าเป็นหินก้อนสี่เหลี่ยมก้อนนี้ แล้วถามว่าหินก้อนสี่เหลี่ยมก้อนนี้เหมือนคนบำเพ็ญหรือเหมือนคนไม่บำเพ็ญ (เหมือนคนไม่บำเพ็ญ) ถ้าเหมือนคนไม่บำเพ็ญ เราก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่มีเพียงชื่อเท่านั้นเอง สุดท้ายเมื่อศิษย์ของอาจารย์ทิ้งกายสังขารนี้ไป เมื่อไปเบื้องบนแล้ว เบื้องบนเป็นแดนที่ไร้กิเลส ถ้าเรายังมีกิเลส ถ้าเรายังเป็นก้อนเหลี่ยมก้อนนี้แล้วเราจะอยู่กับแดนที่สว่างสงบแล้วก็ไร้กิเลสนี้ได้ไหม (ไม่ได้) โดยธรรมดาศิษย์ก็ตกลงมาในแดนโลกีย์ ลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นอยู่กับคนจำนวนมาก ไม่ต้องบอกว่าคนอื่นนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร อย่าไปว่าเขาไม่ดี หันมามองตัวเราดีหรือเปล่า อย่าไปพูด พูดให้น้อย กรรมปากจะได้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในทางเดียวกันหินก้อนมนที่อยู่ในมืออาจารย์นี้ วันหนึ่งโดนกดดัน รู้สึกว่าเราทำดีแล้วทำไมเราถึงไม่ได้ดีเหมือนคนอื่น ทำไมเราทำดีแล้วไม่มีใครเห็นความดีของเรา แล้วเราเกิดหมดความอดทนขึ้นมา หินก้อนกลมๆ ก้อนนี้ก็แตกออกมาพอแตกออกมาหินก้อนนี้เป็นหินมนไหม (ไม่มน) หินก้อนนี้ยังต้องโดนขัดต่อไปอีกทั้งๆ ที่ตอนแรกโดนขัดดีอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าถ้าเรามีความอดทนไม่มากพอ มัวแต่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนโน้นคนนี้ หินก็คือตัวเรา แตกออกจะมีมุมจะมีปลายแหลมมากยิ่งกว่าหินก้อนที่เราเห็น ที่เราเปรียบเทียบกันเมื่อสักครู่นี้อีกคุ้มไหมกับการที่เรานั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักอดทน (ไม่คุ้ม) ฉะนั้นอาจารย์อยากสอนศิษย์สักคำหนึ่งว่า การบำเพ็ญธรรมคือธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ บำเพ็ญตัวเราให้เป็นธรรมชาติ เมื่อเรายังไม่ดีต้องรู้ตัวเราว่าไม่ดี แล้วเราต้องแก้ เมื่อเราดีแล้วขอให้เรารักษาความดีของเรานี้ต่อไป อย่าได้แตก อย่าได้หัก เพราะว่าเรามีใจที่เปรียบเทียบ อันว่ากิเลส อันว่าความชั่วร้าย เพียงแค่ขณะจิตเดียวอาจทำให้เราต้องล้มเหลวในทางบำเพ็ญธรรม เหมือนกับที่อาจารย์เทียบไป บางคนเห็นเงินกองโตอยากได้ บางคนเห็นเงินกองโตอยากได้ก็จริงแต่ไม่หยิบ คนที่หยิบและไม่หยิบคนนี้ก็เป็นคนๆ เดียวกัน ทุกๆ ขณะจิตของเราจึงต้องสำรวมและเก็บงำประกายแห่งความดีของเรานี้ อย่าให้เสียดแทงตาผู้อื่นมากนัก อย่าให้เด่นเกินไปมากนัก ขอให้เรานั้นเป็นคนดีที่ไม่ต้องการการตอบแทน ขอให้เราเป็นคนดีที่เรานั้นรู้จักดีอย่างเงียบๆ ไม่ต้องให้คนอื่นชื่นชมก็ได้ ทำได้ไหม (ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามยืนขึ้น)
ถ้าหากว่าดูจากตรงนี้ ดูจากคนที่ยืนกับคนทั้งห้องที่มีอยู่ เปรียบไปแล้วเหมือนกันการที่เบื้องบนนั้นจะคัดเลือกคนกลับขึ้นไปเป็นพุทธะ คนที่นั่งอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคำตอบ คนที่ยืนก็ใช่ว่าจะตอบดีกว่าคนที่คิดๆ อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าคนที่ยืนนั้นรู้จักอะไร (กล้า) คนที่ยืนนั้นก็คือคนที่รู้จักตอบออกมา รู้จักรักษาโอกาสของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์มีกายเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักที่จะรักษาโอกาสของตัวเองที่จะบำเพ็ญ นั่งเฉยๆ แล้วรู้ว่าธรรมะดีก็ทำได้ แต่ว่าสำเร็จเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นจึงต้องออกมาปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรียกให้ตอบต้องตอบ เมื่อเรียกให้เงียบก็ต้องห้ามคุย ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้น)
คนที่ชอบดื่มเหล้า จะเลิกดื่ม จะทิ้งไปได้ไหม บางคนบอกอาจารย์ว่าทิ้งได้ แต่พออาจารย์ไปแล้ว บอกอาจารย์ทิ้งหมดเลยแต่วันละกรึ๊บ อย่างนี้ก็ไม่แน่ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นคนกำลังจะทำความดีอยากให้อะไรเขา ผลไม้บนโต๊ะเอาผลไม้อะไรดี (เอาของหวานๆ ) เคยฟังเรื่ององคุลีมาลไหม ทำไมถึงได้สำเร็จ ทำไมถึงได้บรรลุ เพราะในช่วงวินาทีนั้นตัดสินใจทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทิ้งดาบแล้วก็ไม่หันหลังไปจับดาบอีก คนที่เด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวก็ย่อมทำได้ โดยเฉพาะการตัดใจกับเรื่องที่เราเห็นชัดๆ ว่าเป็นสิ่งไม่ดี เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวมาก ศิษย์ในห้องนี้ผู้ชายใครกินเหล้า ใครสูบบุหรี่ ก็จงอาศัยความเด็ดเดี่ยวอันนี้ไปตัดอบายมุขให้สิ้น เหล้า บุหรี่ การพนัน เป็นเรื่องที่ต้องตัดทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) แม้คนในโลกมนุษย์เองก็ยังบอกว่าผิดศีล เพราะฉะนั้นจะไปเป็นเทวดายิ่งไม่มีทาง จะสำเร็จไปนิพพานย่อมไม่มีทาง ผู้หญิงคนไหนที่ยังเล่นหวย เล่นเบอร์ ถ้าอยากจะรวยก็ต้องทำอย่างไร ถ้าอยากจะรวยก็ต้องเลิกเล่น เมื่อเลิกเล่นก็มีเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เลิกเล่นก็ถูกกินเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ซื้อสิบครั้งถูกกี่ครั้ง ซื้อสิบครั้งถูกสักครั้งยังไม่ได้เลย ถ้าสิบครั้งนั้นเก็บเงินเข้ามาจะเท่ากับที่เราถูกครั้งหนึ่งหรือเปล่า ศิษย์ลองไปคำนวณดูว่าเงินที่ได้มาเท่ากับเงินที่เสียไปไหม ถ้าได้ก็ได้มากกว่าไม่เท่าไหร่หรอก อยากจะรวยก็ต้องรู้จักที่จะเลิก ถ้าหากว่าอยากเป็นคนบำเพ็ญธรรมจะมามัวนั่งกินเหล้า สูบบุหรี่ นั่งเล่นหวย เล่นไพ่ ได้หรือไม่ (ไม่ได้) แม้บำเพ็ญธรรมะไม่มีผลตอบแทนใดๆ เลย แต่การที่เราได้บำเพ็ญธรรมะแล้วเราได้เลิกอบายมุขต่างๆ นั้นอย่างน้อยจะทำให้จิตใจของเรามีความสุขมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ความสุขจากการที่เราได้เลิกอบายมุขแล้ว เป็นความสุขที่หาได้ในโลกมนุษย์นี้ แล้วเราทุกคนก็เป็นผู้มอบความสุขให้แก่เราได้ เมื่อเราลด ละ เลิก คนในบ้านของเราก็มีความสุขด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ชอบอยู่ใกล้ๆ คนกินเหล้าไหม (ไม่ชอบ) คนกินเหล้าชอบอยู่ใกล้คนกินเหล้าแล้วเมาไหม (ไม่ชอบ) คนกินเหล้าเองก็คงไม่ชอบอยู่ใกล้กับคนที่กินเหล้าแล้วเมา เพราะว่าท่าทางไม่น่าดูใช่หรือไม่ (ใช่) เราสูบบุหรี่ คนในบ้านเราก็ไม่ชอบให้เราสูบ ออกจะเหม็นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าเราเลิกได้ก็เป็นบุญของใคร (ของเราเอง)
“ชีวิตแม้นพลาดไปอย่าจมต่อไป” บางคนนั้นชีวิตของเขาเคยพลาดมาบ้าง แต่มีสุภาษิตโบราณบอกไว้ว่า “สิบเท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลัง” เป็นการให้กำลังใจกับคนที่เคยพลาดพลั้งมาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เองก็มีคำที่ให้กำลังใจศิษย์เหมือนกัน ชีวิตนี้แม้เราจะพลาดไป แต่เราอย่าปล่อยให้มันจมต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับคนที่พลาด ตัวเองไปติดเหล้า ติดบุหรี่ แต่ก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะพลาดเป็นคนที่มีกิเลสหนา แต่เราก็จะไม่พลาดจมต่อไปโดยให้เรานั้นมีกิเลสหนากว่านี้ แม้เราจะพลาดในการทำการค้า แต่เราก็อย่าทำผิด อย่าทำบาป ให้หาอาชีพที่สุจริตทำต่อไป นั่นถึงเป็นการไม่จมต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับคนหนึ่งคน ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่สูงค่า เป็นชีวิตที่มีค่าคนหนึ่งคนนั้นเกิดมาไม่ใช่ง่ายใช่หรือไม่ (ใช่) แม่ตั้งท้องเราเก้าเดือนกว่าจะโตได้ขนาดนี้เสียข้าวไปไม่รู้กี่กระสอบ เสียแรงไปไม่รู้เท่าไหร่ แล้วเราจะทำให้ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่ไม่มีค่าได้หรือไม่ แม้เราเกิดมาเราอาจจะไม่ใช่คนดีเท่าไร อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะไม่ใช่คนที่ชั่วร้าย แก้ตัวใหม่ทันทีที่เรารู้สึกตัวว่าทำผิด หนึ่งครั้งพลาดไปแก้ครั้งที่หนึ่ง ถ้าไม่ได้ให้แก้ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม แก้ตัวตั้งสามครั้งแล้ว ถ้าหากว่าเราตั้งใจแก้จริงๆ จะผิดไหม (ไม่ผิด) แต่ทุกวันนี้เราแก้ตัวเราไม่ได้เพราะว่าเราไม่ตั้งใจที่จะแก้ตัวของเราใช่หรือไม่ (ใช่) เราปล่อยตามอารมณ์ของเราไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีวันกลับตัวเป็นคนใหม่ได้ แต่อาจารย์หวังว่า ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะทำได้ เพราะอาจารย์หวังว่าทุกคนจะสำเร็จเป็นพุทธะได้ แต่ละครั้งที่อาจารย์มา ไม่ใช่ว่าอยากให้ศิษย์ของอาจารย์ยึดติดในรูปลักษณ์อันนี้ ไม่ใช่ว่าอยากให้ดูว่าอาจารย์จี้กงเป็นอย่างไร แสดงปาฏิหาริย์อย่างไร ทำอะไรอย่างไร แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์จำคำที่อาจารย์พูด และนำไปปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วเราก็ลืมคำอาจารย์ไปสิ้น มาจำแต่รูปลักษณ์ภายนอก จำแต่สิ่งที่อาจารย์นำมาใช้ ศิษย์ก็จะกลายเป็นคนบำเพ็ญธรรมที่ยึดติดรูปลักษณ์ เวลาเจอปัญหานั้นก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้เลย การบำเพ็ญธรรมให้ยึดหลักสัจธรรมไว้เป็นหลัก ไม่ใช่มายึดว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ คนที่บำเพ็ญธรรมแล้วเป็นเตี่ยนฉวันซือต้องเป็นอย่างนี้ คนที่เป็นเจี่ยงซือต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครกำหนดใครได้ มีแต่เรานั้นกำหนดตัวเราเองได้ เมื่อเห็นคนอื่นผิด เราไปขอร้องให้เขาเปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้) เราไปขอร้องให้เขาเปลี่ยนก็ไม่แน่ว่าเขาจะเปลี่ยน แต่การขอร้องตัวเราเองว่าอย่าให้ทำผิดเหมือนเขานั้นขอร้องได้ไหม คนที่เราเห็นว่าเขาทำผิดนั้น ถ้าหากว่าเราพูดกับเขาแล้ว แต่เขาไม่เปลี่ยนไปตามที่เราบอก เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด ขอให้เราหันกลับมามองตัวเองว่า เรานั้นคงจะมีคุณธรรมน้อยไป จึงไม่สามารถพูดให้เขาเปลี่ยนใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเรายังทำตัวไม่ดี แล้วเราไปพูดธรรมะให้เขาฟัง เขาจะฟังไหม (ไม่ฟัง) ถ้าหากว่าเราอยากให้เขาเปลี่ยนความคิด เราก็มาดูว่าเรานั้นมีคุณธรรมมากพอหรือเปล่า หากว่าพูดไปแล้วเขาไม่เปลี่ยน แสดงว่าคุณธรรมของเราไม่หนักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์มีคุณธรรมมากต่อให้ศิษย์ไม่พูด เดินไปใกล้ๆ เขาก็เปลี่ยนแล้ว แต่มนุษย์นั้นมีการสื่อสารที่ คำพูด ที่แววตา ที่ตัวหนังสือ เราก็ต้องรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าสิ่งที่สื่อสารได้ดีที่สุด ก็คือคุณธรรมของเราเอง เพราะว่าคนนั้นยังมองที่รูปภายนอกมาก ยังสังเกตที่การกระทำของเรามาก เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณธรรมของเราเอง พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นการบำเพ็ญตน การทำตนให้เป็นคนดีและการสร้างกุศล พูดไปพูดมาไม่พ้นบอกว่าอย่าทำผิด อาจารย์มากี่ครั้งก็พูดในสิ่งเหล่านี้ จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะทำในสิ่งเหล่านี้ วันนี้ พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ถ้าหากว่าทำทุกวันก็จะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราทำตัวเฉยๆ ก็เหมือนกับคนที่อาจารย์ถามแล้วไม่ตอบ เราก็จะกลายเป็นคนที่ล้าหลัง เพราะว่าเวลาที่มดตัวหนึ่งหยุดยืนอยู่บนทาง มดตัวหลังก็วิ่งแซงหน้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ดีก็ไม่ดี เลวก็ไม่เลว อยู่เฉยๆ ก็จะเป็นคนที่ล้าหลัง บางคนที่เดินเคียงข้างเรา ล้ำหน้าเราไปไกลแล้ว ในขณะที่ศิษย์ของอาจารย์หยุดอยู่กับที่ ยิ่งหยุดอยู่กับที่นานเท่าไหร่ศิษย์ก็ยิ่งเท่ากับเป็นคนที่ถอยหลังมากขึ้นเท่านั้น จึงหวังว่าแม้เราจะมีนิสัยเป็นคนเฉยๆ เราก็ต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรมเช่นเดียวกัน ทำได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้มาในวันนี้ ไม่ใช่วันสุดท้ายที่ศิษย์จะได้มาสถานธรรมแต่เป็นวันแรกที่เริ่มต้นในการที่ศิษย์จะได้ใช้สถานธรรมในการบำเพ็ญตน คนที่ศิษย์จะได้เห็นต่อไป เป็นคนที่ศิษย์ไม่เคยรู้จัก แต่กลับเสียสละลงแรงในการทำอาหารให้ศิษย์กิน โดยที่เราไม่ต้องขอร้อง เป็นเพราะว่าทุกคนต่างเห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ต่างเห็นว่าธรรมะต้องลงแรงปฏิบัติ ต่างเห็นว่าต้องฝึกฝนที่จะบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าให้เราไปยืนอยู่หน้าเตาร้อยๆ ตลอดทั้งวันโดยที่ไม่ได้รับเงินสักบาทเดียว เราอยากจะทำไหม ก็ไม่แน่ว่าเราอยากจะทำใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงควรเห็นน้ำใจและเปิดใจให้กว้างในการที่จะมอง อาหารอร่อยๆ ของเรานั้นทำด้วยแรงคนจำนวนมากใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดว่าจะสามารถให้เงินคนเหล่านี้ แล้วให้คนเหล่านี้มาทำได้ มาสถานธรรมขอให้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ มองทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาด แล้วเรานั้นก็จะมีความสุข
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แม่ครัว) การที่เราเสียสละเวลาในการที่จะมาบำเพ็ญธรรมนั้น เราต้องเสียสละเวลาในการมาศึกษาธรรมไปพร้อมๆ กันด้วย ไม่ใช่ว่ารอให้อาจารย์มา มีโอกาสเจออาจารย์ก็พอแล้ว แต่ต้องรู้จักศึกษาธรรมะ เหมือนทางโลกที่เขาบอกว่ามีทฤษฎีและมีปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ที่ศิษย์ทุกคนทำอยู่เรียกว่าการปฏิบัติ แต่ยังมีภาคทฤษฎีด้วย ภาคทฤษฎีหมายความว่าเราเคยนั่งมาแล้วสองวัน วันหลังๆ ถ้าหากว่ามีคนมาชวนเราไปนั่งฟังธรรมะ เราก็ยังจะต้องไปนั่งฟังด้วย เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นเวลาที่เราเจอการทดสอบ เวลาที่เราเจออุปสรรค เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะนำธรรมะข้อไหนมาใช้ในการแก้ปัญหา ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าอย่างไร บางคนที่อยู่ที่นี่ ยังไหว้ไม่เป็น บางคนยังกราบพระไม่ถูกต้อง บางคนเวลาไหว้พระให้ท่องอะไรบ้างก็ยังไม่รู้ สี่ท่อนง่ายๆ ก็ยังท่องไม่เป็น เดี๋ยวไปเบื้องบนแล้วต้องไปฝึกหนักจะได้หรือ เวลาไม่มีร่างกายนี้ ถ้าจะให้กราบพระกราบหนึ่งก็เป็นเรื่องยากกว่าปกติถึงพันเท่า ฉะนั้นเมื่อมาสถานธรรม นอกจากจะบำเพ็ญธรรมที่ใจให้สะอาดยิ่งขึ้น ให้ใจของเราไม่มีกิเลสให้เรามีความสุข ยังต้องรู้จักหาเวลาว่างศึกษาธรรมะ ธรรมะข้อไหนที่กินใจเรา ที่ซึ้งใจเรา เราก็จดจำไว เพื่อวันหน้า การทดสอบไม่ใช่มีในชีวิตประจำวันอย่างเดียว ยังมีการทดสอบทางธรรม ยังมีการทดสอบจากมาร ดึงตัวศิษย์จากบำเพ็ญทางนี้ให้ไปบำเพ็ญทางนั้น แล้วค่อยดึงกลับไปกลับมาให้หัวปั่นเล่น ถ้าหากว่าเราไม่เข้มแข็งพอแล้วจะเอาอะไรไปสู้ ธรรมะก็ไม่ค่อยฟัง แล้วจะนำธรรมะข้อไหนมาใช้เวลาเจอปัญหาที่สำคัญ คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ตั้งปณิธานไว้สิบข้อ เมื่อเช้านี้ฟังไปแล้วปณิธานทั้งสิบข้อต้องทำให้ได้ เมื่อเราได้ทำตามปณิธานที่เราตั้งไว้ ก็ย่อมสามารถจะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน คนที่นี่และคนข้างๆ มีปณิธานมากว่าสิบข้อ แต่ทุกๆ คนไม่ว่าจะตั้งปณิธานไปกี่ข้อ ก็จะต้องทำให้เต็มที่ เต็มความสามารถ เพื่อที่เราจะได้หลุดพ้นด้วยปณิธานอันนี้ สิ่งสำคัญคือทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นศิษย์อาจารย์ด้วยตรัยรัตน์ที่ผูกพันกัน ด้วยตรัยรัตน์ที่อาจารย์ถ่ายทอดไป ตรัยรัตน์เป็นสิ่งที่สำคัญมากจะต้องจำให้ได้ ปณิธานสิบ และตรัยรัตน์นั้นเป็นสิ่งพื้นฐาน หากจำไม่ได้แล้วจะขึ้นไปเบื้องบนได้อย่างไร ขึ้นไปเบื้องบนไม่รู้จะใช้กุญแจดอกไหนไขบ้าน แล้วจะเข้าบ้านได้ไหม (ไม่ได้) ที่สำคัญต้องใช้กุญแจถึงสามดอก มีกุญแจดอกเดียวหรือสองดอกเข้าบ้านได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าไม่มีกุญแจเลยเข้าได้ไหม (ไม่ได้) แล้วบอกว่าเป็นศิษย์อาจารย์แต่ไม่มีกุญแจเลย คนเชื่อไหม (ไม่เชื่อ) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เชื่อไหม (ไม่เชื่อ) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เชื่อแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นผีตนไหน ไม่ว่าจะเป็นเทวดาองค์ไหน ก็คงจะมาอ้างได้ถูกหรือเปล่า (ถูก)
บำเพ็ญธรรมลงแรง ทำครัวมีกุศล แต่อย่ายึดติดกับกุศลอันนี้ การบำเพ็ญธรรมต้องก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ต้องก้าวหน้าที่จิตใจของเรา อย่าไปยึดติดกับเรื่องที่งมงาย ไร้สาระ อย่าไปยึดติดกับสิ่งที่เป็นความทุกข์ที่มาเกาะใจเรา เข้าใจไหม ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทดสอบคนจำนวนมาก ไว้สำหรับทดสอบคนไหนก็ได้ แต่หวังว่าไม่ใช่ศิษย์อาจารย์ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ได้รู้จักตัวเองแล้ว ชนะตัวเองแล้ว แล้วจะยอมให้ความทุกข์ง่ายๆ มาทดสอบใจเราได้อย่างไร ถ้าหากว่ารักอาจารย์ก็ต้องบำเพ็ญธรรมให้จริงจัง รักอาจารย์ต้องไปอยู่กับอาจารย์ถึงเรียกว่ารักจริง แต่บอกว่ารักอาจารย์ บอกว่าบำเพ็ญแต่บำเพ็ญไม่ถึงไหน สุดท้ายตายไปแล้วสิ้นกายเนื้อนี้ไปแล้วก็จะไม่สามารถไปอยู่กับอาจารย์ได้ แล้วจะบอกว่ารักอาจารย์ได้อย่างไรใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์หวังว่าทุกๆ คน เลื่อนระดับของตนเองขึ้นมา ทำตัวเราให้ดี เพื่อให้คนรอบๆ ข้างเรา มีเราเป็นแบบอย่าง การพูดธรรมะต่อให้พูดได้แยบยลเท่าไหร่ ไม่สู้การปฏิบัติให้แยบยล จริงหรือไม่ (จริง) เราทำดีโดยไม่ต้องพูด คนอื่นก็รู้สึกแปลกใจ ยิ่งเข้ามาถามเราเอง ว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ มีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้ใหม่ เดินในทางใหม่ ชนะตนครั้งใหม่ ไม่ใช่จมอยู่กับสิ่งเก่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) หวังว่าทุกคนนั้นมีความสำเร็จมากขึ้นๆ 
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่หวังว่าเข้ามาแล้วจะเป็นอะไร แต่ต้องหวังว่าเราเข้ามาแล้วจะทิ้งลาภยศ ชื่อเสียง เงินทองให้หมดสิ้น แต่ไม่ใช่ปล่อยความยึดติดทางโลกไป แล้วมายึดติดทางธรรมแทน อันนี้อันตรายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบางคนนั้นทางโลกปล่อยหมดเลย แต่ทางธรรมยึดไว้เต็มที่เลย อย่างนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะบรรลุสำเร็จธรรมได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเดินอยู่ทางธรรม แต่ก็ยึดติดในทางธรรมนี้ เมื่อบำเพ็ญจนถึงที่สุดแล้ว จนถึงระดับหนึ่งแล้วต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อนั่งเรือจนถึงฝั่งแล้ว ข้ามฟากได้แล้ว ก็ต้องวางเรือลง ไม่ใช่แบกเรือขึ้นบ่าแล้วเดินต่อ เพาะว่าเสียดายเรือนี้ ได้ไหม (ไม่ได้) บางคนนั้นมีเรือเป็นความน่าเชื่อถือ เพราะว่ามีตำแหน่ง มีเรือเป็นความภูมิฐาน เพราะว่ามีเงินทอง ก็ขอให้รู้จักใช้สิ่งที่เรามีอยู่เหล่านี้ในการทำประโยชน์ เช่นเดียวกัน เมื่อเรามีเงินทองก็ไม่ใช่ความผิด แต่ถ้าเรายึดติดในเงินทองเราก็คงจะไม่สำเร็จ เมื่อเรามีลาภยศก็ไม่ใช่ความผิด แต่ขอให้ใจของเราอย่าได้ยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกแล้วถ้าอยากเป็นคนให้สมกับที่ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นคน เมื่อมีเงิน เมื่อเรามีโอกาสที่จะทำบุญด้วยการทำเงินก็ต้องทำ เมื่อเรามีแรง เวลาที่เราต้องออกแรงก็ให้ออก เมื่อเรามีเวลา คนอื่นไม่มีเวลา เมื่อถึงคราที่ต้องใช้เวลาของเราแล้ว ก็ให้ใช้เวลาของเรานั้นให้มีประโยชน์
ใครดื้อบ้างที่นี่ มีคนดื้อไหม (มี) อาจารย์ไม่เห็นคนดื้อเลย เห็นแต่ที่เป็นคนดี เห็นแต่เด็กที่เป็นเด็กดี เป็นเด็กดีของอาจารย์ใช่ไหม ใครที่ยังดื้ออาจารย์ก็บอกไว้คำเดียว ถ้าหากว่าดื้อมาก ผลร้ายก็จะตกอยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง) ถ้าเราดื้อมาก ผลร้ายก็ตกที่ตัวเราเอง เพราะว่าคนที่มาพูดกับเรา ก็คือเตือนเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราดื้อ ก็คือคนที่ไม่ยอมฟังคนเตือน มโนธรรมสำนึกเตือนแล้วก็ยังไม่อยากจะฟัง ในที่สุดแล้วผลร้ายก็จะตกอยู่ที่เราเอง ไม่ว่าจะอาวุโสเตือน ไม่ว่าจะคนรอบข้างเตือน แม้ว่าเตือนหนักไปนิดหนึ่ง ก็อภัยให้หน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าหวานเป็นอะไร (ลม) ขมเป็น (ยา) คำหวานเป็นลม คำขมเป็นยา อยากจะกินยาหรือว่าอยากกินน้ำหวาน เราชอบกินน้ำหวานอาจารย์ก็ไม่ว่า แต่ถ้าหากว่าเราป่วยอยู่ ก็ต้องยอมกินยา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าคนป่วยอยากกินน้ำหวาน ก็คงจะไม่ได้การ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งน้ำหวานใส่น้ำแข็งก็ยิ่งไปกันใหญ่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทีนี้ก็หลงไม่รู้จักตื่น เพราะฉะนั้นบางทีคนที่เขาพูดกับเราหนักนิด เราก็ให้อภัยหน่อย เพื่อให้เรานั้นได้แก้ไข อยากจะเดินหน้าก็ต้องแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าอยากจะสบายๆ ก็หยุดอยู่กับที่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากหยุดอยู่กับที่ ก็ระวังจะโดนแซง เวลาอาจารย์ให้โอวาทอย่าคิดไม่ดี ให้เราคิดแต่สิ่งที่ดีเข้าไว้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้าย โดยไม่มีใจที่เปลี่ยนแปลงไปจากความศรัทธา ที่เราพูดถึงในตอนแรก เพราะว่าคนที่เปลี่ยนนั้น ถ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ย่อมดี แต่ส่วนใหญ่นั้นในความหมายของอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปลงในวันนี้ในที่นี้ หมายถึงเปลี่ยนแปลงจิตใจเป็นคนที่ท้อ เปลี่ยนแปลงจิตใจเป็นคนที่ขี้กลัว เปลี่ยนแปลงจิตใจเป็นคนที่เลิกบำเพ็ญ
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง “ขอจงบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้าย”)
กลัวใจตัวเองเปลี่ยนหรือเปล่า กลัวไหม (กลัว) ขนาดศิษย์ยังกลัวแล้วจะไม่ให้อาจารย์ และพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลัวได้อย่างไร เหมือนกับคำที่บอกว่าวันนี้คิดอย่างนี้ แล้วอีกวันก็เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) วินาทีนี้คิดอย่างนี้ อีกห้านาทีต่อไปก็คิดอีกแบบหนึ่งแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) บางทีศิษย์ของอาจารย์อาจจะควบคุมจิตใจของตนเองไม่ได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราปล่อยใจของเราโดยที่เราไม่หันมามองใจของเราเอง เราย่อมไม่รู้ว่าเรานั้นกำลังทำผิด กำลังเปลี่ยนใจ แต่หากว่าเรารู้จักที่จะควบคุมจิตใจของตัวเราเอง เราก็จะไม่เป็นคนที่เปลี่ยนใจง่าย แล้วคล้อยไปตามตัวเอง คนอย่างนี้คือคนที่น่ากลัวที่สุด เพราะว่าเราแม้จะรู้ แต่ไม่อาจยับยั้งชั่งใจตนเอง เหตุการณ์นี้มักเกิดกับคนวัยกลางคนและเด็ก ส่วนคนที่อายุมากไม่ค่อยเป็น เพราะฉะนั้นใครที่รู้ว่าตนเองอยู่ในวัยกลางคนเป็นคนเลือดร้อน ก็ให้รู้จักระวังตนเองให้มาก นี่คือความดีของการที่เราเป็นคนมีอายุมาก เราจะเป็นคนที่สุขุมขึ้น มั่นคงขึ้น นิ่งขึ้น ต้องรู้จักใช้ความนิ่งและความมั่นคงนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเรามากๆ เราต้องดูว่าตัวเรานั้นทำได้ดีหรือยัง ก่อนที่เราจะไปสอนคนอื่นเขา ส่วนคนที่รับการสอน ก็อย่าได้ดูแต่หน้าตา ความรู้ เงินทอง ถ้าหากว่าเรามัวแต่ดูหน้าตา ความรู้เงินทองของคนที่มาสอนเรา มัวแต่มาดูความอาวุโสของคนที่มาสอนเรา เราก็คงจะเลือกฟังคนใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงตอนนั้นเราอาจจะผิดพลาดไปแล้วก็ได้ เพราะว่าคนที่มาเตือนเราบางคนอาจจะไม่ค่อยกล้าเตือน แต่คนที่เรามองข้ามกลับคอยเตือนเรา อย่าได้โกรธ อย่าได้โมโห แต่จงน้อมรับฟัง
อยากรู้ไหมว่าได้คำว่าอะไร (อยากรู้) อาจารย์จะใบ้ให้ก่อน เรามีกายสังขาร เรามีการเนื้อนี้ กายเนื้อนี้ไม่ใช่ของจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเราเป็นจิตเข้ามาในร่างกายอันนี้ เรายืมกายเนื้ออันนี้ ยืมของปลอม ใช่หรือไม่ (ใช่) เรายืมกายเนื้ออันนี้ในการทำอะไร (บำเพ็ญ) เรายืมกายเนื้อปลอมอันนี้หาเงินใช่หรือไม่ (ใช่) หาเงินใช่จุดมุ่งหมายในชีวิตจริงของเราไหม  (ไม่ใช่) เรายืมกายเนื้ออันนี้ไว้มีครอบครัว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วเรายืมกายเนื้ออันนี้ไว้สำหรับทำอะไร เราควรจะคิด ไม่ใช่ว่าเกิดมาหาเงิน เช้าแปรงฟัน หิวแล้วกินข้าว หาเงินเยอะๆ มีครอบครัวดีๆ อันนี้ใช่จุดประสงค์ที่เราได้ร่างกายอันนี้ ใช่จุดประสงค์ที่เกิดมาหรือเปล่า เพราะว่าคนที่มีครอบครัวที่ดีที่สุด คนที่มีเงินเยอะที่สุดก็ตายเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นมีคนที่ทำเงินได้มากกว่าเรา มีคนที่มีครอบครัวที่ดีกว่าเรา มีคนที่มีรถที่ดีกว่าเรา เขาก็ยังตาย เราน่าจะคิดว่าเรามีร่างกายอันนี้ เรายืมของปลอมอันนี้ เพื่อที่จะมาบำเพ็ญจริง แล้วเราไม่ใช่แค่ยืมร่ายกายอันนี้เท่านั้น สองวันนี้เราก็ยืมเก้าอี้ตัวนี้เพื่อใช้นั่งฟังใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็ใช้เก้าอี้ตัวนี้ในการนั่งฟัง ก็ถือว่ายืมเก้าอี้ตัวนี้เพื่อที่จะได้ฟังธรรมะในสองวันนี้เช่นเดียวกัน ชีวิตนี้ยังยืมอะไรอีกบ้าง เราก็ยืมเสื้อผ้าอันนี้ใส่ เพื่อให้เราดูเรียบร้อยสะอาดตา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็ยืมบ้านอยู่สำหรับให้เรามีที่พักอาศัย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็ยืมรถมาขับเพื่อที่เราจะได้มีความสะดวก ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจงให้ความสะดวกสบายนี้มาใช้ในการบำเพ็ญทำได้หรือไม่ (ได้) ไม่อย่างนั้นต่อให้ศิษย์เป็นคนที่มีเงินมากที่สุด ต่อให้ศิษย์เป็นคนที่มีครอบครัวที่ดีที่สุด ต่อให้ศิษย์เป็นคนที่เจอแต่สิ่งที่ดีทั้งชีวิตก็ยังต้องตาย เราควรทำอะไรก่อนตายดี ทำอะไรให้ชีวิตของเรานั้นมีคุณค่าดี เราต้องบำเพ็ญธรรม ต้องทำแต่ความดี ไม่ใช่ทำแต่ความดีธรรมดา ต้องทำความดีให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าความดีเหมือนบันได แม้มีบันได้กี่ก้าวเราก็จะก้าวไปถึงขั้นที่สูงสุดใช่หรือไม่ (ใช่) ดังที่เราเคยมีบางคนดีกว่าเราอีก แต่เราต้องไม่มองคนดีกว่าเราด้วยความอิจฉา เราต้องมองคนที่ดีกว่าเราเพื่อเป็นแบบอย่าง แล้ววันหลังเราจะบำเพ็ญตามเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า “ยืมปลอมบำเพ็ญจริง”)
ยืมปลอมมาบำเพ็ญจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ยืมอะไรที่ปลอม อาจารย์สมมติให้ชัดเจนที่สุดว่า ยืมร่ายกายที่ปลอมอันนี้เพื่อที่จะบำเพ็ญไปสู่แดนนิพพาน ดินแดนที่ไม่เกิดไม่ดับอีกแล้ว แม้ว่านิพพานจะไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ใช่สิ่งจริงที่เราจับต้องได้ เหมือนเสื้อผ้า เหมือนเก้าอี้ เหมือนของใช้ แต่นิพพานย่อมจริงกว่า จริงกว่าโลกนี้ที่ศิษย์มองเห็นได้ด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือแน่นอน เข้าใจไหม (เข้าใจ) เบื้องบนเปิดประตูออกต้อนรับศิษย์ของอาจารย์ทุกคน ไม่เว้นคนไหน ไม่เว้นว่าศิษย์ของอาจารย์จะอายุเท่าไร หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่เว้นแม้คนที่เคยทำความชั่วที่สุดมาก่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เคยทำความดีที่สุดมาก่อน แดนนิพพานนั้นต้อนรับคนที่ผิดแล้วรู้จักแก้ แม้จะเป็นคนที่เคยผิดพลาดที่สุด แต่หากว่าเราแก้ไขอย่างที่สุด เราย่อมแก้ไขได้สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์หวังว่าศิษย์จะยืมกายเนื้อจอมปลอมอันนี้เพื่อที่จะบำเพ็ญให้จริงจังและจริงๆ เพื่อเป็นกำลังใจของอาจารย์ ที่อาจารย์จะได้ลงมาในแดนโลกนี้อย่างจิตใจของคนที่เบิกบาน ในสมัยก่อนนั้นอาจารย์เป็นคนที่ร่าเริงมาก เบิกบานมากอย่างที่ศิษย์รู้ แต่มาในสมัยนี้คนในโลกเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งอาจารย์จะยิ้ม อาจารย์ยังต้องคิดว่าอาจารย์จะยิ้มดีหรือเปล่า เพราะว่าเดี๋ยวนี้อาจารย์มีลูกศิษย์มากมาย ไม่ใช่มีแค่คนสองคน ไม่ได้มีแค่สิบคน แต่อาจารย์มีลูกศิษย์อยู่มากจริงๆ แล้วคนที่เป็นอาจารย์ ถ้าหากว่าไม่ห่วงศิษย์ ก็ไม่รู้จะห่วงใคร ศิษย์พรากร้อยยิ้มจากอาจารย์ไป ศิษย์ต้องรับผิดชอบใช่ไหม ต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญตนให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ทุกวันเอาแต่ท้อใจ ทุกวันคิดแต่เรื่องของตัวเอง อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นพุทธะ ไม่ใช่อยากให้เป็นพุทธะที่ไปเสวยสุข แต่อาจารย์อยากได้คนที่มีปณิธานเดียวกับอาจารย์ คือช่วยคนที่ทุกข์หนัก แม้ว่าเราจะยังทุกข์ แม้ว่าเราจะยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าหากว่าศิษย์ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้บ้าง ความสุขก็จะเกิดในใจของเรา ดอกบัวนั้นบานขึ้นมาจากโคลนตม ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นคนที่สำเร็จธรรมได้จากแดนโลกีย์นี้ เกิดมาชาตินี้มีความทุกข์ ความทุกข์ไม่เคยสิ้นสุด วิธีมากมายที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออาจารย์สอนให้ก็ไม่ใช่ให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้จริงๆ เป็นเพียงแค่หลบทุกข์ไปชั่วคราว แต่ขนาดวิธีที่อาจารย์สอนไปให้ ศิษย์ก็ยังไม่เคยทำ ถึงเวลาความโมโหวิ่งเข้าใส่ ก็โมโหเสียเต็มที่ ถึงเวลาความโลภวิ่งเข้าใส่ ก็โลภเสียเต็มที่ เหมือนคนจะตาพร่า เหมือนคนจะหูฝาด จะให้ทำอย่างไรถึงจะฝืนขึ้นมาได้ นอกจากช่วยตัวเองแล้ว ตั้งใจฟังให้ดีๆ ตั้งใจดูให้ดีๆ แล้วจะมีคนอื่นช่วยเราได้หรือ
วันนี้แม้อาจารย์จะมาหลายชั่วโมง แต่คำทุกคำจากใจอาจารย์ก็คือขอร้องให้ศิษย์บำเพ็ญ ขอร้อง หากว่าศิษย์ไม่ทำ ใครจะฝืนใจได้ ศิษย์ไม่กินข้าวยกข้าวมาให้ตรงหน้า ไม่กินก็คือไม่กิน ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาธรรมะมาให้ถึงในโลก เคาะประตูถึงหน้าบ้าน ไม่บำเพ็ญก็คือไม่บำเพ็ญ แล้วใครจะช่วยตัวเราได้ อาจารย์ถึงบอกว่าอย่าตาพร่า อย่าหูฝาด ฟังให้ดีๆ ดูให้ดีๆ คิดให้ดีๆ ว่าชาตินี้จะพ้นได้ไหม ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายทำได้ไหม สัจธรรมมากมายศึกษาให้เข้าใจ ให้พ้นจากคำว่างมงายขึ้นมา อย่ามัวแต่ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก อย่ามัวเห็นดีเห็นงามกับชื่อเสียงจอมปลอม โลกนี้จะเป็นเช่นไร จะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นความลับของฟ้าดิน ไม่จำเป็นที่ศิษย์ต้องใส่ใจ ขอให้ทุกลมหายใจที่ศิษย์มีอยู่ บำเพ็ญธรรมจริง รู้จริงทำจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมให้ตัวเราขึ้นไปสู่พุทธภูมิได้ ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญจริง เราเป็นคนที่มีคุณค่าในสายตาของฟ้าดิน ต่อให้อยู่กลางภัยที่หนักที่สุด ก็ยังต้องช่วยให้รอด หากว่าศิษย์เป็นคนที่ไร้ค่าที่สุดในการมีชีวิต เจ้ากรรมนายเวรรุมทึ้งตลอดเวลา ต่อให้ศิษย์อยู่ในที่ๆ ปลอดภัยที่สุดก็ไม่อาจพ้นอันตรายได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนบำเพ็ญลงแรงที่ใจ อยู่ร่วมกันอภัยกันจะได้มีความสุขทุกเวลา ทุกนาที พิจารณาดูว่าเราจะทำอะไรต่อไป อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้ว่าควรจะทำอะไร เพียงแต่ไม่อยากทำ กลัวเหนื่อย กลัวลำบาก ฝืนจิตใจของตัวเองไม่ได้ แต่หวังว่าในเร็ววันนี้จะทำได้ เมื่ออาจารย์จากไปแล้วจะคิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง) อาจารย์จะขอให้ศิษย์นั้นมาสถานธรรมบ่อยๆ ศึกษาธรรมะให้มากๆ ทำได้ไหม (ได้) บำเพ็ญธรรมได้ไหม มาบำเพ็ญธรรมนะ หัวหน้าชั้นบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ได้ครับ) กำลังใจอาจารย์มีให้เสมอ มาจากที่ไกลๆ มาเจอหน้าอาจารย์ก็ถือว่าทำดีแล้ว กลับไปมีอะไรที่ยังต้องแก้ไข ก็แก้ไขให้มากๆ อาจารย์มาพาศิษย์กลับเบื้องบน ศิษย์ก็ต้องเดินตามอาจารย์มาเข้าใจไหม เป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์ทุกคนหรือเปล่า รู้ว่าไม่ดีก็เกือบจะดีแล้วใช่หรือเปล่า อยู่ในยุคนี้มารก็เข้าหามาร พุทธะเข้าหาพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์จะเลือกเป็นพุทธะหรือมารอยู่ที่ใจเจ้าเอง ถึงแม้วันนี้เป็นศิษย์อาจารย์วันหน้าสมัครใจไปหามาร อาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่าเปลี่ยนใจไปจากอาจารย์ ใครมีความไม่ดีอะไรก็ขอให้แก้ไขใครที่หมดกำลังใจ ท้อแท้ใจกับเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญก็ขอให้เอาอาจารย์เป็นกำลังใจ อาจารย์อยู่กับศิษย์ตลอดไป เป็นคนไม่ใช่ง่ายอาจารย์รู้ จะสร้างบุญกุศลก็ขอให้ ปักรากปลูกต้นไม้นะ ใครๆ ก็ต้องการกำลังใจทั้งนั้นใช่ไหม คนทุกคนก็ต้องการกำลังใจ เวลาอาจารย์ไม่อยู่ก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ลาก่อนนะ วันหน้าเจอกันใหม่ ขอให้ศิษย์ของอาจารย์อยู่กับพุทธะ อยู่กับอาจารย์ อย่าลืมนะ อย่าลืมนะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2543

2543-04-08 พุทธสถานฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์


PDF  2543-04-08-ฮุ่ยจื้อ #5.pdf


วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อากาศร้อนใจของคนอย่าร้อนด้วย ใจเย็นช่วยให้กายนั้นสบายขึ้น
ประชุมธรรมฟื้นฟูจิตพ้นเมามึน ให้บำเพ็ญดีขึ้นกว่าวันวาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีประชุมธรรม ขอน้องนำจิตศรัทธาออกมาเถิด
เป็นมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าประเสริฐ ของามเลิศคุณธรรมแผ่กำจาย
คุณธรรมนำประชาให้มีสุข ปลดความทุกข์ให้โลกสันติส่อง
ขอให้ใช้ชีวิตถูกครรลอง ให้ปรองดองซึ่งกันสู่เจริญ
ไม่วอนขอผู้อื่นวอนขอตน ยามบำเพ็ญอย่าสับสนใจฟุ้งซ่าน
บัดนี้ธรรมลงฉุดคนพ้นทรมาน กลับคืนบ้านอย่างน้อยต้องไร้กรรม
อนุเคราะห์โลกช่วยคนจิตเมตตา มีปัญญาต่อสู้รู้จักตนนั่น
มีสิ่งใดขัดใจย้อนตนพลัน ว่าตนนั้นคนบำเพ็ญทำอย่างไร
ตัดกิเลสเบาสบายกว่านั่งพรม ไม่สะสมความอิจฉาในใจนี้
นาวาธรรมล่องลอยช่วยคนดี ยิ่งนานปีมีหลักธรรมอย่าแปรใจ
โลกวุ่นวายใจคนต้องหนักแน่นขึ้น ไม่เมามึนสิ่งที่มารหยิบยื่นให้
บำเพ็ญธรรมนำสว่างสามโลกไกล ระฆังไร้คนช่วยสั่นก็ยากดัง
สองวันนี้มีบุญได้มาถึง ให้ท่านพึงตั้งใจฟังอย่างครบถ้วน
อย่าให้อากาศร้อนอบอ้าวทำเรรวน ความง่วงชวนก็ไม่หลงเผลอหลับไป
จงตั้งใจสองวันมาให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบให้ดียิ่ง
เรื่องทางโลกปล่อยชั่วคราวอย่าประวิง ทำใจนิ่งศึกษาธรรมให้เข้าใจ
กลับออกไปเน้นหนักปฏิบัติ เดินทางลัดเป็นธรรมดามีขวากหนาม
แต่จิตใจจงมากมายพยายาม แลติดตามปลายน้ำจนถึงต้นน้ำ
คนตั้งใจฟังธรรมะมีกุศล ขอน้องจงไม่อับจนฟังให้รู้
ใดหลักการใดปฏิบัติพินิจดู จงเกิดมาเพื่อรู้แจ้งพ้นเกิดตาย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่นั้นจดบันทึกคอยคุมชั้น
ยืนเคียงข้างอยู่กับท่านทั้งสองวัน ขอให้ท่านเปิดใจใช้ปัญญา
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
พระโอวาทท่านหลวี่ฉุนหยังต้าเซียน
ส่งความดีออกไปให้กว้างไกล ให้เงาร้ายไม่มีที่หลบซ่อน
บำเพ็ญธรรมก้าวเดินเป็นขั้นตอน ผู้รู้ก่อนรู้หลังคนช่วยปูทาง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลวี่ฉุนหยัง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายประณต
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสุขเกษมอยู่ดีหรือไม่
มีกายคนสำหรับทำความดี วู่วามมีรักษาด้วยใช้ครวญใคร่
อันโอกาสต้องการรังสรรค์สืบไป จรรโลงให้สมกับมียากเย็น
ขณะนี้โชคดีที่ธรรมแผ่กว้าง ประสงค์สร้างวิเศษคุณเบาความเห็น
เป็นกลางแต่จะต้องคงเส้น ดำรงความไม่มีเช่นแก้วประจำ
อย่ายโสโอกาสมีอยู่ตรงหน้า ไร้เวลาคืออุปสรรคเรือขาดน้ำ
พินิจสิ่งใดทำได้จึงทำ สะเพร่าทำรีบคลำทางให้เจอ
อย่าปล่อยโอกาสไร้ผ่านเลยไป ประสงค์ไร้น้ำตาบ้างก็ยังเผลอ
เมื่อมาเกิดโอกาสใหม่อย่าละเมอ รักษาไว้เสมอด้วยรู้ทำจริง
ทุกเมื่อในปัญญามีเมตตาข้าง คุณธรรมใครไม่สร้างเราไม่ทิ้ง
เพราะได้มากระจ่างเองชีวิตจริง กล้าเลือกในสิ่งถูกต้องพิจารณา
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทท่านหลวี่ฉุนหยังต้าเซียน

แปลกใจไหม อยู่ดีๆ เขาก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สำเร็จไปจากมนุษย์อย่างท่าน เพราะฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่แปลก แต่คนที่ยังอยู่ในโลกนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไรนั้นจึงเป็นคนแปลกใช่หรือไม่ (ใช่)
“ส่งความดี”  มีความดีให้ส่งกันหรือไม่ (มี)  บางคนมีความดีแต่ความดีนั้นไม่เพียงพอที่จะให้แก่ใครเลยคือดีอยู่เฉพาะตัว ดีอยู่คนเดียว ท่านเคยเห็นคนประเภทนี้ไหม (เคย)  ฉะนั้นเมื่อเรารู้ เราจึงต้องทำให้เรานั้นมีความดีมากมายและพอที่จะส่งไปให้ผู้อื่นได้ ดังเช่นเวลาที่เรามีข้าวกิน ท่านคิดว่าผู้อื่นมีข้าวกินเหมือนเราไหม (มี)  และท่านคิดว่าถ้าหากเขาไม่สะดวกที่จะหุงหา ท่านจะทำอย่างไร ความดีที่ท่านสร้างในตอนนี้ท่านควรจะพิจารณาเป็นรายบุคคล พิจารณาด้วยตนเอง ท่านก็จะเห็นว่าตัวท่านนั้นมีความดีมากมายที่จะส่งออกไปให้ผู้อื่นไหม ดังเช่นที่เรายกตัวอย่างว่า ในเวลาที่ท่านกินข้าวบางทีกินข้าวก็ไม่เคยคิดว่าคนอื่นนั้นมีข้าวกินหรือเปล่า จึงบอกว่าความดีนั้นๆ ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ส่งออกไป เวลาที่เรามีเงินเคยคิดว่าคนอื่นนั้นมีเงินไหม เวลามีความดีเคยคิดไหมว่าจะทำให้ผู้อื่นมีความดีเหมือนกับที่เรามี และสิ่งที่ควรจะคิดอย่างยิ่งก็คือความดีของท่านนั้นเรียกว่าความดีจริงๆ หรือไม่ เพราะว่าในสมัยนี้คนมากมายจิตใจไม่บริสุทธิ์พอ เวลาทำสิ่งใดก็มักจะเคลือบแฝงไว้ต่างๆ นานา ทำให้โลกมนุษย์นั้นเปลือกนอกดูดี แต่ภายในนั้นย่ำแย่ลงทุกวัน
เห็นเรามาเป็นคนที่เคร่งครัดก็จริง แต่ว่าพวกท่านนั้นก็ไม่ต้องกลัว คนเราจะกลัวก็ต่อเมื่อเรานั้นได้ทำผิดบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่ได้ทำผิดบาปก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรใช่หรือเปล่า คนทุกคนนั้นมีด้านที่เป็นด้านอ่อนและด้านแข็ง เรานั้นก็คือการแสดงธาตุแข็งความแข็งของมนุษย์ออกมานั่นเอง  แต่ถ้าหากท่านสามารถพัฒนาบำเพ็ญในด้านนี้ของท่านมีความบริสุทธิ์แล้ว ท่านก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายของความเคร่งครัดได้เช่นเดียวกัน หากท่านเป็นด้านอ่อนก็เหมือนเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ที่เป็นผู้หญิง อย่างเช่นพระโพธิสัตว์กวนอินลงมาโปรด ท่านนั้นก็มีด้านอ่อน นำธาตุอ่อนความอ่อนออกมาให้ท่านเห็น แท้ที่จริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เหมือนเช่นมนุษย์ เพียงแต่บำเพ็ญจิตใจจนได้บรรลุเหนือสภาวะของความถูกผิด สภาวะของความดีชั่วเลยล้ำขึ้นไป  ทุกๆ ท่านที่มาอยู่ที่นี่ล้วนมีด้านอ่อนและด้านแข็ง เมื่อได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์จึงต้องเอาทั้งด้านอ่อนและด้านแข็งนั้นรับมือกับการใช้ชีวิตของตัวเอง ถ้าหากว่าท่านแข็งประดุจหินเวลาที่ท่านรวมอยู่กับสายน้ำ ก้อนหินนี้ก็จะชัดเจนขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านรวมอยู่กับหินแต่ท่านอ่อนประดุจสายน้ำท่านก็ไม่สามารถรวมตัวกับหินเหล่านั้นได้  ฉะนั้นมนุษย์จึงมีทั้งสองด้าน เลือกใช้ให้ถูกต้อง เลือกดูให้ถูกต้อง เป็นมนุษย์นั้นขี้ลืมบ่อยมากไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรามาในวันนี้ อีกสามวันถัดไปท่านไม่เจอเราแล้วท่านก็ลืมเราใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรามาสถานธรรมนั้นย่อมไม่ใช่เพราะว่าท่านนั้นคิดอยากที่จะมาหรือว่าคนเขาบังคับให้ท่านมาแล้วก็สุดวิสัยต้องมา ความคิดที่ไม่จริงใจเช่นนี้ไม่สามารถทำให้เรานั้นศึกษาจนเข้าใจได้ ฉะนั้นใครที่มาในวันนี้แล้วมีความคิดที่โดนบีบบังคับ หรือมีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์พอ เราต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่
รับธรรมะมาช่วงหนึ่ง เวลาเขาเรียกมาให้ประชุมธรรม ท่านคิดว่าธรรมะคืออะไร (หนทางไปสู่เบื้องบน)  ธรรมะไม่ใช่ของเด็กเล่นที่ท่านนั้นจะจับยกได้ ธรรมะไม่ใช่อาหารที่ท่านนั้นจะกินเข้าไปได้ แต่ธรรมะคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ วนอยู่แล้วในตัวเราเพียงแต่เรานั้นหยิบยกออกมาที่จะบำเพ็ญเท่านั้น การที่เราพูดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรมนั้น ท่านคิดว่าไกลไปหรือไม่ (ไม่ไกล)  การบำเพ็ญธรรมนั้นทำได้ง่ายดาย ไม่ใช่เรื่องยาก แต่คนที่บำเพ็ญแล้วสามารถบรรลุขึ้นไปได้นี่สิถึงจะเป็นความยาก ร้อยคนบำเพ็ญอาจจะมีแค่สิบคนบรรลุ  ร้อยคนบำเพ็ญอาจจะมีแค่หนึ่งคนที่สามารถบรรลุได้  แต่ถ้าหากเราไม่ลองพยายามดูคงจะไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่แน่ว่าถ้าหากทุกคนพยายามพร้อมกัน ร้อยคนบำเพ็ญร้อยคนบรรลุ ดังนี้เป็นเรื่องมงคลหรือไม่ (มงคล)  เป็นมงคลที่สุด  ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่เกิดมานานแล้ว มีความทุกข์มากมายที่เกิดขึ้น ท่านคิดว่าท่านอยากจะพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  ถ้าหากว่าท่านไม่อยากคิดจะพ้นทุกข์ อย่างนั้นก็ไม่ต้องบำเพ็ญ  แต่ถ้าท่านอยากจะพ้นทุกข์แล้วมัวนั่งสงสัยเราว่าเราเป็นใครอยู่นี่ อยากจะบำเพ็ญก็คงไม่รู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร เพราะว่าฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเปิดใจให้กว้างดีหรือไม่ (ดี)
ใจของเรานั้นเป็นประตูไปสู่ความเป็นพุทธะ ใจของเรานั้นเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเหล็กอันหนึ่งที่มีสนิมเกาะ นานๆ ขัดทีคงจะไม่ไหว จะต้องหมั่นขัดทุกวันๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนขัดสะอาดขัดจนไม่มีรอยสนิมก็เคยมีให้พบเห็น คนที่ขัดยังไม่สะอาดแล้วคิดว่าใช้ได้แล้ว เพราะว่ามัวแต่ไปเทียบกับคนอื่นก็มีอยู่มากมาย ฉะนั้นเวลาเราดีกว่าคนอื่น เราทำความดีแล้วไม่มีคนเห็นความดีของเรานั้น เราจะรู้สึกท้อแท้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  การที่เราทำความดีแล้วผู้อื่นไม่เห็นความดีของเรานั้น เราจะรู้สึกทุกข์ร้อนได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ในตอนนี้ถามสิ่งใดก็ตอบได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อเวลาไปเจอเรื่องราวจริงๆ แล้วกลับลืมหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  คำตอบนี้ได้จากใจของตัวเอง คิดค้นออกมาจากใจของตัวท่านเอง แสดงว่าถ้าหากท่านมีสติในยามที่ปัญหาเกิดขึ้น ท่านจะสามารถฝ่าได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางคนอาจจะคิดว่าชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่ไม่มีค่าเลย ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่เราไม่อยากจะมีชีวิตอย่างนี้  แต่ทุกๆ คนต่างมีคำว่า “ชีวิต” ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะฉะนั้นความที่เรานั้นมีชีวิตจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญจนท่านนั้นคาดไม่ถึง ตราบเมื่อวันใดท่านไม่มีชีวิตแล้วท่านจึงจะรู้ว่าการมีชีวิตนั้นสำคัญเช่นไร  ชีวิตแห่งท่านเป็นชีวิตแห่งมนุษย์ คำว่า “ปุถุชน” นั้นแปลว่า คนธรรมดาสามัญ เพราะฉะนั้นทุกๆ คนก็ได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน  ทุกๆ คนนั้นมีเป็นความธรรมดาสามัญ แล้วคำว่า “ธรรมดา”  นี้ข้างหน้าเป็นคำว่า “ธรรม”  อันหมายความว่าท่านนั้นเป็นคนที่มีธรรมนั่นเอง ความเป็นธรรมดาสามัญแห่งมนุษย์นั้น ถ้าหากว่าท่านอยากจะได้ความฟุ้งเฟ้อ ความใหญ่โต ความยิ่งใหญ่ ท่านจะไม่มีเวลาเหลือที่จะบำเพ็ญธรรม ทำความดี ไม่เหลือเวลาที่จะเหลียวไปมองผู้อื่น ไม่เหลือเวลาที่จะใช้เวลาของท่านให้เป็นประโยชน์  ฉะนั้นทุกวันนี้ความที่เรานั้นเป็นคนที่ไร้ค่า เมื่อเรารู้ว่าไร้ค่าจงอย่าปล่อยให้ไร้ค่า เมื่อรู้ว่าไร้ค่าจงสร้างคุณค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้ว่าชีวิตของเรานั้นลุ่มๆ ดอนๆ ก็ขอให้เรานั้นอยู่กับความลุ่มๆ ดอนๆ นี้อย่างมีความสุข ได้หรือไม่ (ได้)  เพราะฉะนั้นในกลอนวรรคแรกที่เราให้มีคำบอกว่า “มีกายคนสำหรับทำความดี”  กายของมนุษย์อันนี้เป็นกายที่มีค่า แม้ว่าตอนนี้จะอายุมากแล้ว เนื้อหนังมังสาจะเหี่ยวย่น แม้ว่าจะเกิดมาไม่งดงาม แม้ว่าผมของเรานั้นจะกลายเป็นสีขาว แม้ว่าขาของเรานั้นจะเดินไม่ไหว แม้ว่าแขนของเรานั้นจะไม่ถนัดในการใช้งาน แต่ว่าถ้าหากไม่มีร่างกายอันนี้ ท่านจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้หรือไม่ (ทุกข์)  ถ้าหากไม่มีขาที่เจ็บข้างนี้ ถ้าหากไม่มีมือที่เจ็บข้างนี้ ท่านจะทรมานยิ่งกว่านี้หรือไม่ (ทรมาน)  ปากที่เราเคยบอกว่ากินข้าวไม่อร่อยเลย ถ้าหากว่าไม่มีปากจะทรมานกว่านี้หรือไม่ (ทรมาน)  เพราะฉะนั้นเราอยู่กับความทุกข์ทรมานนี้อย่างมีความสุข ถามว่าท่านจะสุขไหม (สุข)  เราก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เพราะว่ามนุษย์นั้นได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้จักพอใจในตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่รู้จักพอใจในตนเอง เราจึงไม่รู้จักที่จะช่วยผู้อื่น จึงเป็นสาเหตุของคำว่า ทำไมท่านถึงเป็นคนที่ไม่มีบุญกุศลเอาเสียเลย  ในยามนี้จึงมาเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นหันหน้ามามองตนเอง แล้วอย่าลืมหันไปมองผู้อื่น เริ่มต้นบำเพ็ญธรรมด้วยความรู้สึกเต็มใจที่จะบำเพ็ญหรือไม่ (ดี)
ผู้มีสติคิดว่าแอปเปิ้ลลูกนี้เอาไปทำอะไร  (ทาน, ถ้าเจอคนที่ด้อยกว่าเราก็ให้เขา)  ปรบมือให้หน่อย ถือว่ามีความก้าวหน้าในด้านความคิดอ่านขึ้น เพราะว่าคนทั่วไปเห็นของกินแล้วนึกถึงอะไร  โดยทั่วไปเวลาเห็นของกินเราก็บอกว่ากินใช่หรือไม่ ตอบให้เพราะหน่อยก็คือทาน แต่ถ้าหากเราคิดว่าของที่เราทานได้ผู้อื่นก็ทานได้ แล้วเราส่งให้ผู้อื่นนับว่าเป็นอะไร นับว่าเป็นการให้ทานชนิดหนึ่ง น่าพอใจมาก
เมื่อสักครู่ถามไว้ว่า เมื่อท่านได้รับธรรมะแล้ว ท่านมองธรรมะเป็นอะไร  ถ้าหากว่าผู้ใดที่ตอบคำถามนี้ได้ รับรองได้ว่าอนาคตการบำเพ็ญไม่ต้องเป็นห่วง (คนเรามีสติแล้วทำตนให้อยู่ในศีลในธรรม ศีลสมาธิปัญญาจะเกิด  การดำรงชีวิตก็จะอยู่ในภาวะที่สงบ  แนวทางที่จะทำให้จิตพุทธะไปสู่อนุตตรธรรม) ถูกหรือไม่  ทุกๆ สิ่งที่เราเคยพูดไป  ทุกๆ สิ่งที่เรานั้นลั่นวาจาออกไปแล้ว ทุกๆ สิ่งที่เราคิดต้องทำให้ได้  มีผู้บำเพ็ญหลายๆ คนที่บำเพ็ญเพียงแต่ให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้ปฏิบัติ  สิ่งที่เป็นคำตอบของสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าก็คือ การพูดได้และต้องทำได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำๆ นี้ได้ยินมานานหรือยัง  นานแล้วแต่ไม่มีใครเน้นหนัก ไม่มีใครให้ความสำคัญ จึงต้องมาให้ความสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ เพื่อให้ท่านได้รู้ว่าการที่ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สิ่งง่ายดาย  การที่ท่านมีปากไว้พูดก็ไม่ใช่พูดได้ทุกอย่าง  การที่ท่านมีหูไว้ฟังก็ไม่ใช่ฟังได้ทุกอย่าง  การที่มีตาไว้ดูก็ไม่ใช่ว่าดูได้ทุกอย่าง  ฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ไม่น่าห่วงในสายตาของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต้องเป็นคนที่พูดได้แล้วก็ทำได้  คนที่ทำได้ย่อมเป็นผู้ที่ลงแรงจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่พูดว่าทำอย่างเดียว แต่ต้องบอกว่าทำได้  เมื่อทำได้ถามว่าเป็นคนที่น่าห่วงไหม (ไม่น่าห่วง)  ฉะนั้นขอให้ท่านลงแรงให้ได้ตามนี้ ทำได้หรือไม่  สิ่งใดที่เราพูดออกไปต้องทำได้  สิ่งใดที่เรารู้นั้นต้องรู้ให้จริง
กลอนนำบอกว่า “ส่งความดีออกไปให้กว้างไกล”  แสดงว่าเรามีความดีมากมายที่จะส่งออกไป  ถ้าหากว่าท่านส่งออกไปแล้วตัวท่านไม่เหลือความดีเลยจะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ไม่ได้หรือ อาจจะฟังแล้วเหมือนกับการบอกว่าการทำบุญนั้นทำบุญออกไปถ้าหากว่าไม่เหลือเลย จะกลายเป็นการทำบาปใช่หรือเปล่า  เวลาทำบุญไปถ้าทำจนตัวเราไม่เหลือเลยสักบาทเดียว  ทำจนตัวเราแทบต้องไปกู้ยืมเขามา ถือเป็นบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นแนวคิดอย่างเดียวกันแต่ผลตอบออกมาไม่เหมือนกัน  ถ้าหากว่าท่านมีความดีเพียงเล็กน้อย แต่ความดีเพียงนิดน้อยก็ให้ผู้อื่นถือเป็นบาปหรือไม่ (ไม่)  ถือว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ (ถูกต้อง)  ถ้าหากท่านมีความดีแม้น้อยนิดก็ขอให้ส่งไปให้ผู้อื่นได้  เมื่อเราส่งไปให้ผู้อื่นความดีนั้นจะยิ่งใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบประดุจแสงเทียนและกองไฟนั้นเป็นแสงไฟเหมือนกัน  ถ้าหากว่าท่านมัวแต่ยึดติดกับความดีของท่านเอง มัวให้เป็นแสงเทียนไม่ให้เป็นกองไฟ ความดีนั้นก็จะเล็กน้อย  แต่ถ้าหากท่านนำเทียนนี้ไปจุดกองไฟในยามที่ผู้อื่นเหน็บหนาว  ความดีของท่านก็ยิ่งใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความดีแม้มีเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ขอให้เราส่งออกไปก่อน อย่ามัวหวงความดี อย่ากลัวว่าความดีไม่ใช่เป็นของเราแล้วเราจะไม่เป็นคนดีในสายตาผู้อื่น เพราะคนอื่นจะมองเราดีหรือไม่ดีอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ แต่การที่เราจะมองตัวเราดีหรือไม่ดีนั้นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่หรือลองพิจารณาดู
รู้หรือไม่ว่าที่เราถือนี้เรียกว่าอะไร (แส้)  แส้มีไว้ทำอะไร แส้นั้นมีไว้ปัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัดอะไร (ปัดสิ่งที่ไม่ดี)  ท่านมีสิ่งที่ไม่ดีให้เราปัดหรือเปล่า (ไม่มี)  แต่เมื่อสักครู่เราปัดไปแล้ว ปัดการนั่งโดยไม่สง่างามใช่หรือไม่  การนั่งเป็นนักเรียนสองวันนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ถือเป็นความทรงภูมิอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าท่านนั่งแบบคนไม่มีกระดูกสันหลัง นั่งไปเรื่อยๆ หลับง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นการนั่งที่ถูกต้องควรนั่งอย่างไร (นั่งตัวตรง)  รู้ไหมว่าเวลาเรานั่งเราต้องนั่งตัวตรง (รู้)  รู้แต่ว่าเราปล่อยตัวตามสบายปล่อยใจไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าเราปล่อยตัวตามสบายหรือปล่อยใจไปเรื่อยๆ อย่างนี้นับเป็นผู้บำเพ็ญธรรมหรือไม่ (ไม่)  แล้วการที่เรานั่งตัวตรงนั้นเรานั่งเฉพาะในสถานธรรมใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เรานั่งทุกๆ ที่ที่เป็นเก้าอี้เราจะต้องนั่งตัวตรง แม้ว่าเก้าอี้นั้นจะมีพนักพิงหรือไม่ก็ตาม  แต่ถ้าหากว่าคนใดรู้แล้วว่าควรที่จะนั่งตัวตรงแต่ยังนั่งไปเรื่อยๆ แสดงว่ารู้แล้วก็ยังอยากเป็นอย่างนั้น คนอย่างนี้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลำบากที่สุด เพราะว่าอะไร (รู้แล้วไม่ปฏิบัติ)  ใช่หรือไม่ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายพูดมนุษย์เป็นฝ่ายปฏิบัติ หากว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดกับท่านตลอดเวลา แต่ท่านไม่ปฏิบัติเลย พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะห้ามได้ไหม จะฝืนได้ไหม (ไม่ได้)  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถที่จะฝืนมนุษย์ได้ เพราะว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ในผู้บำเพ็ญธรรมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ อันเหมือนท่านนั้นเคยไปดูชะตาชีวิตของท่านเองว่าชะตาชีวิตของท่านเป็นอย่างไร  แต่ถ้าถึงเวลาก็จะไม่เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความดีของท่านนั้นหนุนนำให้โชคร้ายกลายเป็นดี  หากว่าเรารู้สึกว่าเรานั้นเป็นคนที่มีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ มาก เป็นคนไร้ค่ามาก เป็นคนที่ชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก เรานั้นจะต้องทำความดีให้ยิ่งมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านไม่ทำความดีมาก ถึงเวลาแล้วจะให้ใครช่วย หลายๆ คนนั้นอยากจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถูกหรือไม่ บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอให้เรานั้นรวยก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญ หรือขอให้เรามีอยู่มีกินมีใช้ก่อนที่จะคิดบำเพ็ญ ถ้าหากพุทธะนั้นมาช่วยให้ท่านมีอยู่มีกินมีใช้ก็ไม่มีเวลาไปช่วยผู้คนใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาห่วงท่านผู้เป็นห่วงปากท้องตัวเอง ดั่งนี้สมควรเป็นพุทธะไหม ขอให้ท่านนั้นมีชีวิตที่สุขสบายแล้วจึงค่อยบำเพ็ญ คนเช่นนี้ช่วยไปบำเพ็ญก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าโลกนี้นั้นมีความสบายและความลำบากเป็นของคู่กัน เมื่อท่านเจอความลำบากจนถึงที่สุดท่านก็จะเจอความสบาย เมื่อท่านเจอความสบายจนถึงที่สุดท่านก็จะเจอความลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับบันไดเมื่อก้าวขึ้นไปแล้วอย่างไรก็ต้องถึงขั้นสุดท้าย อย่างไรแล้วก็ต้องเปลี่ยนจากดำเป็นขาว  อย่างไรแล้วก็ต้องเปลี่ยนจากขาวเป็นดำถูกหรือเปล่า เปรียบไปแล้วเหมือนกับเวลาที่ท่านนั้นเห็นสีดำมากๆ สีดำแห่งโคลนเวลาที่ใส่น้ำลงไปสีก็เจือจาง เวลาที่เห็นสีขาวบริสุทธิ์ ผ้าผืนนี้เป็นสีขาวเวลาใช้ไปนานๆ ก็กลายจากสีขาวเป็นสีดำถูกหรือเปล่า (ถูก)  ย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ระหว่างสีขาวกับสีดำ เลี่ยงไม่ได้ระหว่างความผิดกับความถูกในโลกมนุษย์นี้ จึงบอกตั้งแต่ต้นว่าท่านต้องใช้ปัญญาในการแยกแยะ ใช้ธรรมะในการดำรงชีวิตของท่านเอง ไม่พาตัวท่านหลงทาง และท่านนั้นจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้ตลอดรอดฝั่ง หากว่าท่านไม่มีความตั้งใจดี การบำเพ็ญธรรมไม่ตั้งใจจริง ต่อให้พุทธะต่อให้ผู้แนะนำมาฉุดลากดึงไปก็ได้เพียงช่วงเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านเองว่าจะตั้งใจจริงหรือเปล่า พุทธะนั้นมีอยู่ในตัวทุกคนขอเพียงท่านนั้นรู้จักฟื้นฟูขึ้นมา ความเป็นพุทธะนั้นก็จะเต็มเอ่อขึ้นมา และท่านนั้นก็จะมีความเป็นพุทธะอย่างเต็มเปี่ยม ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้อยากจะเป็นพุทธะหรือไม่ (อยาก)  อยากเป็นต้องทำอย่างไร (ปฏิบัติ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลง ทำนองเพลง : ศักดิ์ศรีในใจ)
ในชาตินี้นั้น ทุกท่านนั้นถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีที่เกิดร่างกายมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง อันว่ามนุษย์นั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเหนือกว่าสัตว์ใดๆ ทั้งปวง  ฉะนั้นคนนั้นประเสริฐ ประเสริฐอยู่ที่ไหน  ประเสริฐอยู่ที่ใจ แล้วใจของท่านที่ท่านมีอยู่ตอนนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นใจที่ประเสริฐหรือไม่ (ใช่)  บางคนคิดว่าตัวเองนั้นมีใจที่ประเสริฐแล้ว บางคนนั้นคิดว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ นี่คือความแตกต่างกันระหว่างการรู้ตื่น แจ้งในจิตของตัวเอง  ถึงแม้ไม่รู้ตื่นถึงขั้นพุทธะ แต่ว่าความรู้ตื่นเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ ความรู้ตื่นเบื้องต้นอันนี้นำพาท่านไปสู่ที่สูงกว่านี้ได้ ทำไมสวรรค์ถึงแบ่งเป็นหลายชั้น เพราะว่าคนนั้นมีความรู้ตื่นในระดับที่แตกต่างกัน  คนนั้นมีการบำเพ็ญที่ต่างกัน ทำไมคนจึงมีคนฉลาดและคนโง่ คนฉลาดกว่าและคนโง่กว่า เพราะว่าความรู้ตื่นในจิตนั้นแตกต่างกัน หากว่าคนที่รู้ว่าตัวเองนั้นยังประเสริฐ ใจยังประเสริฐไม่พอ จึงต้องพัฒนาให้สูงขึ้นเพื่อให้เรานั้นก้าวสูงขึ้นไปกว่านี้ แต่หากว่าคนที่คิดว่าตัวเองนั้นยังไม่ ยังไกล จะต้องทำอย่างไร  ถ้าหากว่าท่านจะรอให้เวลาผ่านไปวันๆ หนึ่ง แล้วท่านก็มัวแต่เทียบกับคนที่ต้อยต่ำกว่าท่าน มีการบำเพ็ญที่ช้ากว่าท่าน ก็ถือว่าท่านนั้นถอยหลังลงคลอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงต้องรู้จักที่จะพัฒนาตัวเอง เมื่อท่านคิดว่าท่านไม่ใช่และท่านยังทำไม่ดีนั้น จึงต้องก้าวให้มากกว่านี้ เหมือนบางคนที่ส่ายหัว คนที่ส่ายหัวนี้ก็จำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองให้มากยิ่งขึ้น  ส่วนคนที่พยักหน้าบอกว่าเรานั้นใช่แล้ว เรานั้นดีแล้ว  คนๆ นี้สักวันหนึ่งเขาก็จะรู้มากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรานั้นไม่สามารถบังคับผู้อื่นได้ มีแต่บังคับใครได้ (ตัวเราเอง)  มีแต่บังคับตัวเราเองได้ ความสมหวัง ความผิดหวังในชีวิตนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านนั้นอยู่ในภาวะของคนที่ผิดหวังควรจะทำอย่างไร (ทำใจให้สงบแล้วอยู่ในศีลธรรม, ควรทำใจยอมรับแล้วหาวิธีแก้ไข)  หรือว่าท่านไม่เคยผิดหวังเลย  ถ้าหากว่าท่านไม่ตอบเรา ก็จะรู้สึกว่าเรานั้นดุยิ่งขึ้น เพราะเรายิ่งตั้งคำถาม ท่านก็ยิ่งกลัวว่าเราจะชี้ให้ท่านตอบ  เพราะฉะนั้นก็ไม่สู้ว่าท่านจะลุกขึ้นมาตอบเองดีกว่าจริงหรือเปล่า (จริง)  (รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ตนเองนั้นควรปล่อยได้ และแก้ไขในสิ่งที่ตนเองสามารถแก้ไขได้บางอย่าง)  ขอเชิญท่านที่ตอบทั้งสามท่านออกมาข้างนอก ท่านทั้งสามนั้นเป็นผู้มีปัญญา หากว่าใช้ปัญญาในการบำเพ็ญธรรมก็จะดีมาก  ชีวิตคนหลบไม่พ้นเรื่องผิดหวัง เวลาท่านผิดหวังขอให้ใช้คำตอบที่ตนเองตอบมาดีหรือไม่ (ดี)  และเวลาที่ท่านสมหวังล่ะ ความสมหวังรับมือง่าย แต่ทำให้ท่านนั้นวนไม่รู้จักจบใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิดกับความผิดหวัง หากท่านสามารถตื่นขึ้นมาจากความผิดหวัง ท่านก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้ตลอดไป แต่ความสมหวังกลับทำให้ท่านวนแล้ววนเล่าไม่รู้จักจบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมนุษย์มีอยู่คำเดียวคือ คำว่า “หลง”  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเรานั้นยังมัวหลงอยู่ จะให้ผู้ใดเรียกเราตื่นได้ไหม  แม้กระทั่งคนเวลาที่เขาเตือนสติเราว่าเราผิด เรายังไม่ยอมฟังเลย  เพราะฉะนั้นหากเขาเตือนในเวลาที่เราไม่มีสติ ยิ่งไม่มีทางที่จะรู้ตื่นขึ้นมาในเวลานั้นถูกหรือไม่ (ถูก)  มีอย่างเดียวคือ มีการรับมือก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น
ก่อนฝนจะตกท่านต้องเตรียมร่มแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่ฟ้าจะผ่าท่านต้องยืนอยู่ในที่ร่มแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าเห็นฟ้าตั้งเค้ามาดำๆ ท่านก็ยังยืนอยู่กลางแจ้งเช่นนั้น เป็นเรื่องอันตรายหรือไม่ (อันตราย)  ถ้าหากเวลานี้ถ้าเปรียบได้เช่นเดียวกัน  ขออีกสักคนหนึ่งตอบว่า เวลาสมหวังทำอย่างไร เพราะว่าทำอย่างไรนั้น เราไม่ได้พูดข้อจำกัดความผิดหวังและสมหวังว่าอย่างไร (สิ่งที่สมหวังคือความเป็นคนดี รู้สึกว่าภูมิใจและดีใจ)  ความสมหวังนั้นอยู่กับท่านตลอดไปได้หรือไม่ และกว่าที่จะเสียสิ่งนี้ไปท่านทำอย่างไร (เสียใจ)  เมื่อมีความสมหวังมาไม่ควรดีใจ เพราะเมื่อความสมหวังผ่านไปก็ยังมีความสุขเหมือนเดิม
โดยสรุปของคำว่า “ชีวิต”  ก็คือการมีชีวิต หมายถึงการมีโอกาส  หากว่าท่านไม่มีชีวิตตอนนี้ จะพูดเรื่องบำเพ็ญให้ท่านฟังอย่างไร ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะบำเพ็ญ แล้วการบำเพ็ญนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป เพราะว่าการบำเพ็ญนี้ก็คือการที่ท่านใช้ชีวิตด้วยธรรมะนั่นเอง  หากว่าเราใช้ชีวิตโดยไม่มีธรรมะ ต่อให้เรานั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราก็ไม่มีธรรม  ฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสแล้วจึงต้องรักษาโอกาสไว้ คนบางคนนั้นไม่มีโอกาสแต่ก็รู้จักสร้างโอกาส ดังเช่นในเรื่องเดียวกันนี้เทพผีเทวดาเวลาที่เขานั้นไม่มีร่างกายนี้ เขาก็พยายามที่จะหาโอกาสมาสร้างกุศล เช่นเข้าฝันคน รักษาโรค เป็นต้น  นั่นถือเป็นการสร้างโอกาสของตัวเอง แล้วท่านผู้เป็นมนุษย์ ผู้มีโอกาสอย่างเต็มเปี่ยม ท่านจะทิ้งโอกาสของท่านไปหรือ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อโอกาสยังมาไม่ถึงเราก็ควรที่จะรอโอกาส หลายๆ เรื่องราวที่เราทำขึ้นมา วางแผนทำขึ้นมา ในที่สุดแล้วถ้ายังไม่ถึงโอกาสก็เหมือนกับคนที่รับธรรมะโดยที่เขานั้นวาระบุญยังไม่ถึง เขาก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้เช่นเดียวกัน  ส่วนคนที่รับธรรมะไปแล้วถึงแม้ว่าจะบุญไม่ถึงอย่างไร ก็ให้รู้จักสร้างโอกาสให้ตัวเองดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อคนอื่นรู้สึกว่าธรรมะลำ้ค่า ทำไมท่านคนเดียวถึงคิดว่าธรรมะไม่ลำ้ค่า นั่นเป็นเพราะเราไม่มีบุญ หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักคิดกันแน่ คนบางคนเป็นคนคิดมาก แต่พอถึงเวลาจริงๆ ในเรื่องที่ควรคิดกลับคิดไม่ออก อย่างนี้เรียกว่าคิดมากแต่ไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตอนนี้ธรรมะลงมาโปรดพร้อมกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น  คนที่บำเพ็ญธรรมได้ดีจริงๆ นั้นคือ คนที่บำเพ็ญธรรมได้ท่ามกลางความวุ่นวาย เวลาท่านท้อจึงรู้ว่าท่านบำเพ็ญได้ดีแค่ไหน คนที่ไม่เคยท้อก็ยังไม่รู้หรอกว่าตนเองนั้นบำเพ็ญได้ดีแค่ไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่เคยท้อก็ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นบำเพ็ญได้ไปถึงไหนแล้ว เพราะไม่มีอะไรมาทดสอบและไม่มีอะไรมาเป็นตัวบอก ตัวบอกนี้อาจจะเป็นตัวบอกที่ค่อนข้างจะรุนแรงและเจ็บปวดสำหรับท่าน อันได้แก่อารมณ์ท้อ อารมณ์ล้า อารมณ์ความไม่อยากบำเพ็ญ อารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ความดื้อดึง ดังนี้เป็นสิ่งที่ทำให้การบำเพ็ญนั้นสะดุดชะงักลงได้  แต่วันนี้เมื่อเราได้พูด ได้กล่าว ได้บอก ได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้ท่านนั้นหยุดบำเพ็ญ อย่างน้อยก็ควรจะให้สิ่งที่เรานั้นได้พูดถึงนี้ แม้ไม่สามารถหายไปแต่สามารถเบาบางได้
ชีวิตของคนนั้นเหมือนกับฝัน เหมือนกับแมลง เหมือนกับละคร สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เองก็ชอบที่จะเอามาเทียบให้ท่านฟัง เพราะว่าเห็นภาพได้เด่นชัดที่สุด แต่ว่าท่านนั้นไม่มีจินตนาการที่จะไปคิดถึงมันเลย  ทุกๆ วันก็ยังจะคิดว่าชีวิตของเรานั้นยาวนาน บางคนไม่รู้ใช้ชีวิตอย่างไร เบื่อเหลือเกินวันหนึ่ง กว่าเวลาจะผ่านไปได้วันหนึ่ง ท่านสามารถที่จะหาเรื่องราวแห่งความดีนั้นกระทำได้ตลอดเวลาเพียงแต่ท่านรู้จักย้อนคิด แต่อย่าทำความดีประเภทมือซ้ายเขียน ก ไก่ มือขวาเขียน ข ไข่ เป็นอย่างไรรู้ไหม  มือซ้ายเขียนวงกลม มือขวาจะเขียนสี่เหลี่ยม ทำได้หรือไม่  เมื่อทำเรื่องใดจึงต้องรู้จักทำให้สำเร็จตามโอกาสอันอำนวย และดังที่บอกโอกาสการมีร่างกายเป็นมนุษย์นั้นเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โอกาสการบำเพ็ญธรรมอาจจะมาหาท่านครั้งเดียว หนึ่งคนนั้นสามารถที่จะเกิดร่างกายเป็นมนุษย์ได้กี่ครั้ง และหนึ่งคนนั้นสามารถที่จะเป็นมนุษย์นี้และเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญได้กี่ครั้ง ขอให้ท่านนั้นอย่าได้ทิ้งโอกาสของตัวเองไปดีหรือไม่ (ดี)
จิตใจที่สับสนนั้นขอให้เรารู้จักวางให้เบาบางลง เพราะไม่มีใครนอกจากเราที่จะจัดการสิ่งนี้ได้ ชีวิตคนนั้นไม่ยืนยาว หลังจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไร แต่ละคนแบกกรรมมาเต็มร่างกาย ร่างกายของเราที่มีกรรมนี้มักจะลากให้เราเดินไม่ไหว ขอให้เรานั้นหันหน้าเข้าหาความจริง ยอมรับในสิ่งที่เป็นและท่านก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น 
วันหน้ามีโอกาสขอให้เราได้เจอท่านใหม่ดีหรือไม่ (ดี)  ขอให้ท่านนั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่บำเพ็ญแล้วยังบำเพ็ญได้ดีอีกด้วย ดีหรือไม่ (ดี)  ดังที่บอกทุกๆ คนนั้นมีด้านอ่อนและด้านแข็ง ขอให้รู้จักใช้ผสมผสาน แล้วท่านนั้นจะเจอความสุขจากนิสัยของท่านเอง  โอวาทที่ให้ในวันนี้ไม่มีเวลาอธิบาย ขอให้ทุกท่านนั้นกลับไปทำความเข้าใจด้วย  วันหลังมีโอกาสขอให้เจอกันใหม่

วันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
แอบเดินเข้าบ้านศิษย์เจ้าไป  เหลียวแลคนใกล้บ้างศิษย์น้อย  สว่างธรรมในบ้านของเรา อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย  ทบทวนตน เบาเรื่องผิดใจ  ขอให้มอบน้ำใจก่อน  หากไร้คนเห็นใจ  ก็ยังคิดทำดีต่อ
เพลง : บำเพ็ญทั้งครอบครัว
ทำนองเพลง : เชียนเอยี๋ยนอวั้นอวี่ 
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
ยิ้มบ่อยบ่อยใบหน้าจะมีราศี ทำความดีจิตใจนั้นจะอิ่มเอิบ
หมั่นควบคุมความเคยชินไม่กำเริบ หวังศิษย์รักเติบโตไปไร้กิเลส
ใช้ปัญญาในการบำเพ็ญจริง คนจิตนิ่งแจ่มใสในดวงเนตร
แม้อยู่กลางทุกข์ทนไม่เทวษ ศิษย์ประเภทนี้ยังมีน้อยเหลือเกิน
ชีวิตคนแสนสั้นไม่ยาวนาน อย่ามัวหลงเสียงผ่านหูคำสรรเสริญ
อย่ามัวหลงมายาพาเพลิดเพลิน อย่ามัวเดินเล่นริมทางจนสายไป
คนมาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา บำเพ็ญล้าดีกว่าเลิกบำเพ็ญใช่ไหม
อย่าบุญมีแต่กรรมบังอนาถใจ ทางแสนไกลกำหนดทิศใกล้เข้ามา
ยกระดับจิตใจของตนเองขึ้น ยังเมามึนโลกีย์ข้าถวิลหา
เบารักโลภโกรธหลงจนสุญตา ให้ได้ในเวลาชีวิตเดียว
แม้สายลมเย็นฉ่ำไม่ผ่านเข้ามา แต่ขอให้ตั้งใจหนาอย่างแน่นเหนียว
อยู่ร่วมกันสามัคคีอย่าปีนเกลียว รับกรำเคี่ยวผ่านเมื่อไรเป็นพุทธา
ฮา  ฮา  หยุด

  เทวษ การคร่ำครวญ, ความลำบาก
  สุญตา ความว่างเปล่า


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงจับไม้พาย)  การพายเรือธรรมะนั้นต้องพายให้ไกลและต้องมีใจที่สนุกสนานแอบแฝงอยู่ด้วย และในความสนุกสนานนั้นก็อยู่ท่ามกลางมรสุม ท่ามกลางความยากลำบาก
เมื่อสักครู่ร้องเพลงจับไม้พายแล้วสนุกหรือเปล่า (สนุก)  หรือว่าเกรงใจอาจารย์ (เกรงใจ)  เกรงใจนี้เป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง  มนุษย์มีคำว่าเหตุผลหรือข้ออ้างเป็นคำที่ใกล้เคียงกันมาก บางทีเราก็พูดว่าเราเป็นคนมีเหตุผลแต่จริงๆ แล้วเป็นข้ออ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เพราะฉะนั้นคำว่าเหตุผลกับข้ออ้างต้องรู้จักใช้ให้ถูกต้อง ถูกไหม (ถูก)  เวลาที่เราพูดสิ่งใด หรือเวลาที่เราพูดว่าเรามีเหตุผลให้ลองถามตนเองว่าเป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง อย่างข้ออ้างที่ศิษย์พูดประจำก็คือไม่มีเวลามา
สถานธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเอาเวลาไปทำอะไรบ้าง (ทำงานบ้าน, วิ่งเล่น, เลี้ยงลูกหลาน,ดื่มเหล้า)  ทั้งวันยี่สิบสี่ชั่วโมงใช้เวลาไปกับการทำเรื่องแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เหตุผลของศิษย์เวลาที่ไม่อยากมาสถานธรรมนั้นมีมากมาย เวลาที่เราบอกว่าไม่มีเวลาก็ไม่มีใครกล้ามาเซ้าซี้เราถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถามว่าถ้าเราไม่อยากมาสถานธรรม แล้วเราไม่อยากบำเพ็ญธรรม เราไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะได้ ถามว่าข้อเสียตกอยู่ที่ใคร (ที่เรา)  เพราะฉะนั้นเหตุผลของเราเป็นเหตุผลที่ดีพอไหม เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปต้องปรับปรุงใหม่ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาที่คนชวนเรามาสถานธรรมเราก็ต้องรู้สึกอยากจะมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหตุผลที่บอกว่าไม่มีเวลาว่างต้องไม่มีเวลาว่างจริงๆ อย่างเช่นทำมาหากิน แต่คนที่เขาเรียกเรามาสถานธรรมเขาก็ไม่ได้เรียกให้เรามาตอนกลางวัน เขาให้เรามาตอนเย็นๆ  บางทีก็เรียกให้มาในวันหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในวันเหล่านี้เราทำงานหรือเปล่า (ไม่ได้ทำ)  เวลาเราทำกับข้าวเราทำทั้งวันเลยหรือไม่ (ไม่)  เพราะฉะนั้นเวลามาสถานธรรมยังมีไหม ยี่สิบสี่ชั่วโมงนอนไปกี่ชั่วโมง (๘ชั่วโมง)  ยังเหลืออีกกี่ชั่วโมง (๑๖ชั่วโมง)  หากมาสถานธรรมวันละชั่วโมงได้ไหม ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  เรามีใจมากหน่อยก็มาสถานธรรมวันละ ๒ ชั่วโมงได้ไหม (ได้)  แต่ถ้าหากว่าเรามาแล้วเกิดมีธุระไม่ว่างขึ้นมามีคนมาตาม ถามว่าถ้าหากว่าเราจะกลับบ้านคนในสถานธรรมดึงเราหรือเปล่า (ไม่ดึง)  เขาเอาอะไรมาผูกเราไว้หรือไม่ (ไม่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมมีอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมอยากมาหรือไม่อยากมาก็เป็นอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบำเพ็ญธรรมสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่ก็เป็นอิสระ  เพราะฉะนั้นขอให้เราตั้งใจที่จะบำเพ็ญธรรมะเองดีหรือไม่ (ดี)  หากว่าเราไม่อยากบำเพ็ญแล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ผลก็ตกอยู่ที่ตัวเราเอง แบบคำตอบที่ศิษย์ชอบว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นเราจะไม่รู้ว่าอะไรตกมาที่ตัวเราเลย  เรารู้ว่ามีอะไรตกมาที่ตัวเรา แต่เราไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ใช่หรือไม่  สิ่งที่ตกมาที่ตัวเราคือการที่เรานั้นต้องเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตนี้เกิดมาต้องตายหรือไม่ (ต้องตาย)  เมื่อตายแล้วต้องเกิดไหม (เกิด)  เกิดเป็นอะไร (ทำอย่างไรก็ไปเกิดเป็นอย่างนั้น)  ถ้าหากว่าเราอยากจะรู้ว่าเราเกิดเป็นอะไร ตอนนี้ก็ต้องรีบมองตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีมากๆ ก็เกิดเป็นเทวดา เทวดาเกิดบนสวรรค์ ๕๐๐ ปีลงมาใหม่ เทวดายังต้องลงมาเกิด  ทำชั่วมากๆ ไปไหน (ลงนรก)  ไปนรกรับความทรมาน ชดใช้กรรมเสร็จต้องกลับมาเกิดอีก  แล้วเราเกิดอยู่ในโลกมนุษย์นี้ถามว่าเราก็เกิดๆ ตายๆ อยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดๆ ตายๆ นี้คืออะไร  คือจิตใจของเราเอง บางทีใจของเราก็เกิดความอยากได้ เคยเกิดไหม พอได้มาแล้วความอยากได้นี้ก็ดับใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าจิตใจของเราก็เกิดแล้วตายหรือเปล่า เวลาเกิดมา เวลาความโลภความอยากทั้งหลายเกิดมามีความทุกข์ไหม (มี)  ทุกข์เพราะว่าเราไม่ได้ ถูกหรือเปล่า  เวลาที่ความอยากหายไปรู้สึกเป็นอย่างไร  (หมดทุกข์แล้วก็โล่งใจ)  รู้สึกหมดทุกข์ แล้วสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือกายกับใจของเรา ถูกหรือไม่ (ถูก) ที่ๆ เรามองเห็นได้คือร่างกายของเราถูกหรือไม่ (ถูก)  สิ่งที่มองไม่เห็นก็คือจิตใจของเราถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นจึงบอกว่าเรานั้นเกิดมามีร่างกายและจิตใจของเราเอง เวลาเรานั้นเกิดความอยากได้ในใจ  ใจนี้เกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ เราก็รู้สึกทรมานมากพอ แต่หากว่าคราวนี้ไม่รู้จักบำเพ็ญธรรม ผลร้ายของการไม่บำเพ็ญธรรมคือต้องเกิดๆ ตายๆ ด้วยการมีร่างกายที่ไร้สติ ด้วยการคุมสติไม่ได้ ด้วยการควบคุมทิศทางและแนวทางของเราไม่ได้  ผลเสียอันนี้เป็นผลเสียที่มหาศาลไหม (มหาศาล)  เป็นการเสียผลประโยชน์ของตัวเองที่มหาศาลที่สุด  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นมีโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรมนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่เราน่าจะรักษาโอกาสอันนี้ไว้ให้มากที่สุดถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าหากว่าเราไม่รักษาโอกาส ก็อาจจะเหมือนนักเรียนผู้ชายคนหนึ่งที่ตอบว่าเรานั้นโง่ เพราะว่าเรานั้นจะต้องเกิดๆ ตายๆ ด้วยการมีร่างกาย  ชาตินี้เกิดเป็นคน ชาติหน้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่แน่  ชาตินี้เกิดเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นเทวดาก็ไม่แน่ ชาตินี้เกิดเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็ไม่แน่ ชาตินี้เกิดมาเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นยุงให้คนเขาตบเล่นก็ไม่แน่ เคยตบยุงไหม (เคย)  ชีวิตของยุงไร้ค่าหรือเปล่า (ไร้ค่า)  ชีวิตของเขาไม่ไร้ค่า แต่เรามองไร้ค่าถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าหากว่าเราทำตัวให้ไร้ค่าก็เหมือนกับยุงตัวหนึ่งถูกไหม (ถูก)  ถ้าทำตัวของเราให้มีค่าก็เหมือนกับอะไร ถ้าหากว่าทำชีวิตของเราให้มีค่าก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งถูกหรือไม่ (ถูก)  แม้ว่าเราจะมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ไม่แน่ว่าคุณธรรมความสามารถของเรานั้นถึงมนุษย์หรือยัง อาจจะมีไม่ถึงก็ได้ เพราะว่าตลอดมาเราไม่เคยรักษาคุณธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีความสามารถไม่ถึงมนุษย์  การมีความสามารถไม่ถึงมนุษย์เป็นเช่นไร บางคนเกิดมาไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ คนๆ นี้เป็นมนุษย์ไหม (ไม่เป็น)  ทำไมถึงเรียกเขาว่าไม่ใช่มนุษย์ล่ะ ทั้งๆ ที่ร่างกายเขาก็เป็นมนุษย์ (จิตใจไม่ใช่มนุษย์)  อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นเป็นมนุษย์ทั้งกายและใจ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่ง)  นั่งแล้วสบายไหม สบายจริงๆ ยืนเดี๋ยวเดียวก็เมื่อยแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ยังสาวๆ อยู่ก็บอกว่าไม่เมื่อย ลองไปถามคนแก่ๆ สิเมื่อยไม่เมื่อย  เพราะฉะนั้นดูๆ ไว้เราคนข้างหน้าที่ยังผมสีดำอยู่ วันหลังก็มีผมสีขาวเหมือนเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  หนีพ้นไม่พ้น (ไม่พ้น)  ไม่พ้น เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะแก่เราต้องทำอะไรด้วย คนบางคนเป็นคนแก่เฒ่า แม้แต่คนที่ไม่ใช่ลูกหลานก็ยังเคารพนับถือใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเหล่านี้ทำอะไร เขารู้จักช่วยเหลือผู้อื่นในตอนที่เขามีกำลังใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้เรามีกำลังแล้วเราช่วยคนอื่นไหม ช่วยครึ่งหนึ่งหรือช่วยเต็มๆ ช่วยหนึ่งส่วนสี่ได้หรือยัง  ถ้าหากว่าเราช่วยคนอื่นไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เราก็ไม่ควรจะได้รับผลอย่างที่คนอื่นเขาได้รับ  ถ้าหากว่าเราช่วยคนอื่นเต็มๆ วันหลังเราก็รับผลเต็มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เก้าอี้นั่งมาสองวันไม่รู้เลยว่าเก้าอี้นั้นนั่งสบายแค่ไหน มีแต่นั่งแล้วร้อน นั่งแล้วเหนื่อย นั่งแล้วอยากจะลุกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าพอยืนสักครู่เดียว พอได้นั่งแล้วรู้สึกสบายขึ้นเป็นกองถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิตของเราเช่นเสื้อผ้าตัวนี้ที่เราใส่อยู่ เราอาจจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าของเราตัวนี้เก่าจริงๆ แต่หากวันไหนไม่มีเสื้อผ้าตัวเก่าๆ นี้มาให้ใส่ แล้วเผอิญตัวใหม่ก็ไม่อยู่จะเป็นอย่างไร (ไม่มีเสื้อผ้าใส่)  ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ออกจากบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกับว่าร่างกายของเรานี้เป็นร่างกายเก่าๆ ใช้มาตั้งนานแล้วเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ แต่หากว่าถ้าไม่มีเสื้อเก่าตัวนี้ ไม่มีร่างกายเก่าๆ อันนี้ เราจะทำอย่างไร  ออกจากบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  ออกจากบ้านนี้คิดให้ดีแล้วกันนะ  ร่างกายอันนี้แม้จะเป็นร่างกายที่ใช้มาแล้วนับสิบปี เจ็บป่วย แต่ว่าย่อมเป็นร่างกายที่เรานั้นใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ย่อมเป็นร่างกายที่มีประโยชน์ต่อเรา แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นประโยชน์นั้น หากวันไหนไม่มีร่างกายอันนี้ แม้คิดจะหยิบแก้วน้ำทำได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นแม้วันนี้ร่างกายของเราจะดีหรือไม่ดีก็จำเป็นที่จะต้องพอใจและใช้อย่างมีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แอบเดินเข้าบ้านศิษย์เจ้าไป  เหลียวแลคนใกล้บ้างศิษย์น้อย  สว่างธรรมในบ้านของเรา อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย  ทบทวนตนเบาเรื่องผิดใจ  ขอให้มอบน้ำใจก่อน  หากไร้คนเห็นใจ  ก็ยังคิดทำดีต่อ”  อาจจะมีคนคิดว่าตอนนี้อาจารย์กำลังว่าใคร  อาจารย์ไม่ว่าใครทั้งนั้น แต่อาจารย์บอกคนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทุกคนมีชีวิต คนทุกคนเกิดมาจากท้องแม่ คนทุกคนมีบ้านและคนทุกคนนั้นต้องรู้จักรักบ้านตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนในบ้านของเรามีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีญาติใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทุกคนต้องทำอย่างไรกับคนในบ้านของตัวเอง กับพ่อแม่ก็ต้องรู้จักที่จะกตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  กับพี่น้องต้องรู้จักที่จะปรองดองใช่หรือเปล่า (ใช่)  กับญาติพี่น้องของพ่อแม่นั้นก็ต้องเคารพอย่างที่พ่อแม่ของเรานั้นเคารพใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีนั้นเราเห็นคนนอกบ้านดีกว่าคนในบ้านเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แท้ที่จริงนั้นคนทุกคนมีข้อดีและข้อเสีย  คนที่เราเห็นว่าดีก็อาจจะไม่ดีก็ได้  แต่คนในบ้านเราถึงแม้ว่าไม่ดี เราก็เห็นว่าเขาไม่ดีไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเห็นคนในบ้านเราไม่ดีเรารู้สึกอย่างไรบ้าง (เสียใจ)  เวลาเราได้ยินคนอื่นนินทาคนๆ หนึ่งให้ฟัง ว่าคนๆ นี้ไม่ดีอย่างไร  ทุกๆ ครั้งที่เรามองหน้าเขาเราก็จะจำความไม่ดีของเขาได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และแทบไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้แต่มองก็ยังไม่รู้สึกว่าอยากจะมอง แต่ว่าคนในบ้านของเรา เราต้องมองทุกวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากเราเห็นว่าคนในบ้านเราไม่ดี แล้วเราจะอยู่ในบ้านได้อย่างไร แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร  ชีวิตของคนนั้นจะมีความสุขหรือไม่มีความสุขนั้นมาจากในบ้านของตนเอง ถ้าหากว่าเรานั้นรู้จักทำตนเองให้มีความสุข และเรารู้จักมอบความสุขให้กับคนอื่น และมอบความสุขให้กับคนในบ้านของเรา  ต่อพ่อแม่เราก็ต้องกตัญญู ต่อพี่น้องต้องปรองดอง ต่อญาติพี่น้องต้องเคารพ อย่างนี้แล้วจะมีความสุขน้อยได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเราออกไปนอกบ้านจะไม่มีความสุข แต่กลับเข้ามาในบ้านก็คงจะมีความสุข อย่างน้อยในชีวิตคนในวัฏสงสารนี้ ก็ยังมีที่ให้ศิษย์แอบที่จะมีความสุขคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นทำตัวอย่างไร หากว่าพี่ให้เรานั้นไปหยิบน้ำแก้วหนึ่ง หากเราไม่อยากจะหยิบ จะมีความสุขกับพี่ได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่กับพี่ก็คงจะไม่มีความสุข หากว่าพ่อแม่ร้อนแล้วเราไม่รู้จักเปิดพัดลมให้ ถือว่าเรานั้นเป็นคนที่กตัญญูไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าไม่สนใจ หากว่าญาติเราไม่มีข้าวกิน และเราก็ไม่สนใจ ญาติของเรานั้นจะชอบเราไหม (ไม่ชอบ)  หากทางบ้านนั้นไม่มีเงินใช้ยังจะบอกว่าเรามีความสุขได้ แต่หากว่าคนทั้งบ้านไม่มีน้ำใจ มีความสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่า “น้ำใจ”  นั้น ไม่ใช่มอบให้เฉพาะคนนอกบ้าน แต่ต้องให้คนทุกคน อยากมีบ้านที่มีความสุขไหม (อยาก)  อยากมีบ้านที่มีความสุข ก็จงทำตัวเราให้มีความสุข และเป็นคนที่มีน้ำใจให้มากๆ
อาจารย์เชื่อแน่ว่า หากว่าเรานั้นเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ร้ายเป็นสิ่งที่ดีได้ คนในบ้านของเราก็คงจะยินดีด้วย และเขาก็คงจะตามเรามาบำเพ็ญ นี่เป็นวิธีการพูดธรรมะอย่างหนึ่งที่ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ปาก บางทีเราพูดตั้งมากมายแต่เขาฟังไม่เข้าหู ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราทำตั้งมากมายเขาไม่ดูก็ไม่ได้ นี่เป็นวิธีการพูดธรรมะโดยไม่ต้องพูดใดๆ ทั้งสิ้น
เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ (ใจ)  ใจของเราเป็นอย่างไร (ศรัทธา)  เอาศรัทธาต้อนรับอาจารย์ ศรัทธาแค่พักเดียวหรือว่าศรัทธาตลอดไป  มีคนที่เอาใจต้อนรับอาจารย์ อาจารย์ก็อยากจะรู้ว่าใจของเรานั้นเป็นอย่างไร ใจของคนที่มีความบริสุทธิ์ ความศรัทธา เอามาต้อนรับอาจารย์ อาจารย์ก็ชื่นใจ  แต่หากจะให้ชื่นใจยิ่งกว่า ไม่ใช่มีศรัทธาแค่สองวัน ศรัทธานี้ต้องสามารถฝ่าอุปสรรคได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศรัทธาที่ไม่สามารถฝ่าอุปสรรคได้ เมื่อเวลาที่มีคนกล่าวว่าให้ร้ายก็ไม่สามารถที่จะอยู่ยืนยงได้
การบำเพ็ญธรรมะนั้นใช้วิจารณญาณของตัวเอง มองคนข้างหน้าเป็นแบบอย่าง  แต่วิจารณญาณต้องขึ้นอยู่กับตัวเอง เพราะบางทีคนข้างหน้าก็อาจจะทำถูกต้อง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะทำไม่ถูกต้อง เราก็ว่าเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่  ต่างคนต่างมีวิธีการบำเพ็ญของตัวเอง ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญดีเราก็ไปได้สูง แต่ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญแล้วว่าคนข้างหน้าด้วย แทนที่จะข้ามไปฟากดีก็จะตกต่ำไปเลย  เพราะอย่างน้อยก็ผิด ผิดต่อการที่อาวุโสนั้นมีพระคุณต่อเรา เพราะฉะนั้นต่อให้ใครดีไม่ดีอย่างไร เก็บปากเก็บใจของเราไว้แล้วเราก็จะได้สูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น ดีหรือไม่
การบำเพ็ญธรรมต้องปรับตามสภาพ มีหลักการยึดติดหลักการมากเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็คือ ทางสายกลาง
“อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย”  เด็กๆ ตอนที่ออกไปจากบ้าน พ่อแม่คอยอยู่ที่บ้าน คนที่เป็นพ่อแม่ก็หลงคอยลูกเหมือนกัน ใช่หรือไม่  แล้วทุกคนก็เคยเป็นเด็กมาและก็เคยหนีเที่ยวด้วย ใช่หรือไม่  ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกที เพราะว่าครั้งนี้เขาหลงคอยอะไรของเรา หลงคอยเราจะถามเขาว่า กินข้าวหรือยัง, เมื่อวานหลับดีหรือเปล่า, กินอิ่มไหม, ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง, สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีไหม  พ่อแม่อยากได้ยินคำเหล่านี้จากลูกทั้งนั้น ใช่หรือไม่  ส่วนคนเป็นลูกชอบถามไหม (ไม่ชอบ)  ไม่ชอบถามเลย เพราะฉะนั้นการแสดงความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ง่ายๆ คืออะไร คือการเปิดปากออกถาม ใช่หรือไม่  บางทีพวกเขาก็สบายดี แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรใช่หรือไม่ คนนั้นดูหน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นคนในบ้านเราก็เช่นเดียวกัน เขามองหน้าเราเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราคิดอะไรก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นตัวอย่างคนในบ้านเดียวกันเข้าใจผิดคนในบ้านเดียวกันก็ถมเถ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดเรา ขอให้เรานั้นพยายามใช้การสื่อสารให้เป็น มีภาษาไว้ให้พูดก็ต้องรู้จักใช้ มีตัวหนังสือไว้ให้เขียนก็ต้องรู้จักเขียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขียนหนังสือไม่เป็นก็ต้องรู้จักพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะบอกว่าพูดมากไม่ไหวแล้ว ไม่อยากพูดได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากให้ครอบครัวมีความสุข เราเองก็อยากมีความสุขก็จงรู้จักที่จะไต่ถาม จงใช้จิตใจของเรานั้นออกมาถาม ไม่ใช่ถามแต่ปาก ใจไม่ถามไม่ได้ กลับไปคราวนี้ที่บ้านคงมีความสุขขึ้นเยอะใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงที่ท่านประทานให้)
ถ้าหากว่าใครร้องไม่เป็นก็ขอให้ซึมซับเนื้อหาเข้าไป เพื่อหลังจากวันนี้เรากลับบ้าน เราจะได้ใช้การกระทำทั้งหมดแทนการอธิบายคำพูด เพราะว่าคำพูดที่เราพูดไปมากมาย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับธรรมะข้อไหน คนทางบ้านอาจจะฟังไม่เข้าใจ เราก็ใช้การกระทำของเรา คือการกระทำตัวเป็นคนดีขึ้นให้คนที่บ้านเห็น การที่เราใช้ตัวเรานั้นเป็นการอธิบายธรรมะแทนคำพูด เราจะต้องมีความอดทนมากๆ ไม่ใช่ว่ากลับไปบ้านยกน้ำให้ครั้งเดียว ยกข้าวให้ครั้งเดียวแล้วเราก็ไม่ทำอีกเลย หรือเวลาเราทำให้แล้วมีคนอื่นว่ามา เพราะคนที่เรายกให้นั้นกำลังอารมณ์เสียอยู่ เราก็หมดความอดทนแล้วเราก็เลิกทำ เราจึงต้องรู้จักที่จะทำความดีของเราให้ยาวนาน ให้ใช้ความอดทน ให้มีศรัทธาต่อความดี ไม่ใช่บอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
“มีโอกาสต้องรักษาด้วยการใช้”  คนเราเมื่อมีโอกาสไม่ใช่เอามารักษาไว้เฉยๆ ไม่เหมือนกับการเก็บแก้วนิลจินดาที่เอามาเช็ดมาถู แต่ต้องรู้จักรักษาและใช้ออกไปจึงเรียกว่าเป็นการรักษาโอกาสอย่างแท้จริง
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่มาวงพระโอวาท)
โชคดี  คนนี้หน้าตาเหมือนคนโชคดีไหม คนจะโชคดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าโดยปกติเราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากโชคดีอย่างคำที่ได้วงก็ต้องทำสิ่งที่ดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคำว่า “โชค” ก็จะวิ่งมาหาเราเองถูกหรือเปล่า (ถูก)  อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะโชคดี
คนเรานั้นเมื่อบำเพ็ญธรรมะไปสักช่วงหนึ่งใบหน้าราศีจะเปลี่ยนไป คนที่ชอบทำหน้าบึ้งบ่อยๆ ใบหน้านี้ก็กลายเป็นใบหน้าที่บึ้งตึง  คนๆ นี้เหมือนคนที่โชคดีไหม (ไม่เหมือน)  คนที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มคนๆ นี้เหมือนคนที่โชคดีไหม (เหมือน)  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็ตัดสินใจได้ ถึงแม้ว่าเราจะอยากบำเพ็ญหรือไม่อยากบำเพ็ญธรรมอย่างน้อยก็ให้ไปฝึกรอยยิ้มไว้เสมอๆ
ได้ ได้เป็นศิษย์อาจารย์ แต่ว่าจะได้เป็นศิษย์อาจารย์ตลอดไปหรือเปล่าขึ้นอยู่กับตัวเราใช่ไหม  อาจารย์ไม่บังคับไม่ฝืนใจ และก็ทำอะไรไปได้ด้วยอยู่ที่เราทำ หากเราทำก็เป็นผลดีกับเรารู้ไหม (ต้องพิจารณาก่อน)  การพิจารณานั้นก็ต้องประกอบด้วยการศึกษาให้เวลา หวังว่าไม่ปิดโอกาสตนเองนะ
ท่านขงจื้อพูดไว้ว่ามีเรื่องน่าเศร้าอยู่สามอย่าง หนึ่งคือคนที่ไม่มีความรู้ สองไม่มีความรู้แล้วยังไม่เรียน สามเมื่อเรียนแล้วยังไม่ตั้งใจที่จะไปลงมือ ในวันนี้อาจารย์ไม่พูดถึงความรู้ในทางโลก ความรู้ในการอ่านออกเขียนได้ แต่เราจะมาพูดถึงความรู้ในการบำเพ็ญธรรม  กล่าวไปแล้วนั่งชั้นสองวันนี้ก็เหมือนการหาความรู้ในทางธรรม ไม่ว่าหาออกมาแล้วความรู้นั้นจะถูกหรือจะผิดก็ต้องพิจารณาดู เมื่อเราได้ความรู้ทางธรรมอันนี้ เราก็ต้องรู้ เมื่อเราไม่รู้ให้เราได้ไปเรียน ตอนนี้ศิษย์ก็ได้เรียนแล้ว เมื่อเรียนและรู้แล้วต้องทำอะไรเป็นอย่างสุดท้ายถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเศร้า จะต้องได้ลงมือทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่นฟังเรื่องความกตัญญูก็ต้องกลับไปดำเนิน ฟังเรื่องความเมตตาก็ต้องกลับไปเมตตาผู้อื่น ฟังเรื่องคุณธรรมก็ต้องกลับไปสร้างคุณธรรม ฟังเรื่องความดีก็ต้องกลับไปสร้างความดี นั่นแหละถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการนั่งอยู่ในห้องแคบๆ นี้อีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าในโลกของความรู้นั้นไม่มีที่ใดกว้าง ในโลกของความรู้นั้นไม่มีที่ใดที่ศิษย์นั้นจะหาได้สิ้น มีแต่การปฏิบัติการลงแรงเท่านั้นที่จะทำให้เรานั้นมีความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรานั้นเป็นผู้มีปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราผิดพลาดครั้งหนึ่งเราก็จะรู้ว่าเราผิดพลาดตรงไหนแล้วเราก็ไม่ไปทำซ้ำอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นจึงเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่และนั่นจึงเป็นการบอกได้ว่าเรานั้นมีความรู้ระดับไหน
ในวันนี้อาจารย์มา ก็เป็นโอกาสที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้ทำความรู้จักกัน  การที่เรานั้นได้มีโอกาสเจอกันถือว่าเป็นคนที่มีบุญร่วมกัน แล้วศิษย์จะบอกว่าตัวเรานั้นเป็นคนมีบุญน้อยคงไม่ใช่ การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นคือการบำเพ็ญใจ ลงแรงที่ใจของเราเอง ใจของศิษย์นั้นแบ่งไปหลายอย่าง สิ่งที่สำคัญมากคือความคิดของเรานั่นเอง ความคิดของเรานั้นจะต้องเป็นคนที่คิดดีตลอดเวลา  ถ้าหากเมื่อไรที่เรามีความคิดที่ไม่ดี หรือคิดกับคนอื่นไม่ดี  ศิษย์จะต้องรู้จักกำราบจิตใจของตัวเอง ใจของเรานั้นเป็นใจที่ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะควบคุมแล้วถึงจะสามารถควบคุมได้สำเร็จ และเมื่อเราควบคุมใจของเราได้แล้ว จึงเอาใจของเรานี้มาควบคุมกายของเรา เมื่อนั้นเราจะได้ถึงการเป็นพุทธะอย่างง่ายดาย  ทุกๆ วันนี้เป็นเพราะว่าเราควบคุมใจของเราไม่ได้ ใจของเรามีแต่กิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  มีกิเลสอันได้แก่อะไรบ้าง ความรัก โลภ โกรธ หลง  สี่อย่างนี้เป็นสิ่งที่ได้ยินมาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่าตอนนี้สี่อย่างนี้ในใจของศิษย์อย่างใดที่ลดลงแล้ว มีไหม รู้จักมาตั้งนานแล้วแต่ไม่รู้ว่าใครรู้จักใคร ไม่รู้ว่าเขารู้จักเราหรือเรารู้จักเขา  ฉะนั้นสี่อย่างนี้จึงต้องรู้จักกำราบให้เบาบางลง นี่จึงเป็นการที่เรานั้นเข้าสู่การบำเพ็ญธรรมที่แท้จริง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาคนมาเตะเราครั้งหนึ่ง เวลามีคนมาตบเราสักทีหนึ่ง เราโมโหได้ไหม โกรธได้ไหม  เป็นเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเรื่องง่ายๆ แค่เรานั้นไม่โกรธทำได้หรือเปล่า (ได้)  เวลาเห็นเงินกองโตแล้วไม่โลภได้ไหม เวลาเห็นคนอื่นมีเสื้อใส่ดีๆ เราไม่อยากได้ ได้หรือเปล่า เราไม่อยากจะเลียนแบบเขาได้หรือไม่ (ได้)  เวลาเห็นผู้หญิงสวยๆ แล้วเรารู้สึกว่าไม่อยากที่จะหลงเขาได้ไหม  คนถ้าหากว่าลองสังเกตก็จะยิ่งผิด หากไม่สังเกตก็ไม่ผิดสักที
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
พวกเขาเหนื่อยอยู่หน้าเตาเรากินสบาย เราก็ต้องรู้จักขอบคุณ ใช่หรือไม่
“เบารักโลภโกรธหลงจนสุญตา”
ต้องเบาความรัก โลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจให้ได้ ในวันนี้อาจารย์มาไม่ค่อยพูดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เท่าไร  แต่เมื่อพูดน้อยอาจารย์ก็จะสรุปว่าคนบำเพ็ญธรรมไม่สามารถมีรัก โลภ โกรธ หลง เหลืออยู่ได้  ไม่ว่าศิษย์จะตัดด้วยวิธีการไหน เมื่อไร ไม่ว่าจะตัดอย่างไรก็ตาม จะต้องตัดให้หมดให้ได้ภายในชีวิตนี้  ถ้าหากว่าอยากจะเป็นเซียนและขึ้นไปยังมีความรักอยู่ หากไปรักคนโน้นคนนี้อย่างนี้ก็ไม่ได้ หรืออยากจะโลภในมรรคผลของคนอื่นก็ไม่ได้ หรือจะโกรธผู้บำเพ็ญคนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ หรืออยากจะหลงใครๆ ก็ไม่ได้  ฉะนั้นหากว่าคนที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ ตอนนี้บอกว่าตัดยาก รออีกหน่อยไม่มีกายเนื้อนี้ยิ่งตัดยาก  เพราะว่าตลอดมาไม่เคยฝึกฝน เมื่อไม่มีกายเนื้อนี้จะเอาอะไรมาฝึกฝน ฉะนั้นไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเท่าไรก็ต้องตัดให้มาก เหมือนกับที่อาจารย์เคยบอกว่าคนที่ซื่อๆ ใสๆ บำเพ็ญง่าย แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นซื่อๆ ใสๆ หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "รักษาโอกาส")
เมื่อวานนี้ท่านหนึ่งในแปดเซียนมาก็บอกศิษย์ว่าให้ศิษย์นั้นรักษาโอกาส โอกาสที่ดีที่สุดก็คือโอกาสที่มีร่างกายเป็นมนุษย์นี้ ดูซิว่าคนที่มีโอกาสอย่างศิษย์มีร่างกายเป็นกายเนื้ออย่างศิษย์นั้นจะสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่ มีกายเป็นคนจึงถือว่าเป็นโอกาส และรักษาด้วยการใช้โอกาสของตนเองนี้ให้มากๆ ใช้โอกาสที่เรานั้นไปทำความดี ใช้โอกาสที่เรานั้นจะไม่นั่งอยู่บ้านเฉยๆ  วันๆ ไม่ใช่เอาแต่นอนดูทีวี ไม่ใช่เห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วไม่อยากจะช่วย หรือเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา  อย่างนั้นไม่ใช่วิสัยอย่างพุทธะที่ทำกัน
อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น หลังจากวันนี้เป็นต้นไปคงจะกลับมาสถานธรรมบ่อยๆ แม้ว่าจะมาลำบาก มายากก็ขอให้เรานั้นพยายามที่จะมา  และศิษย์จะรู้ว่าการศึกษาธรรมะนั้นทำให้เราเข้าใจ การบำเพ็ญของเราจะราบรื่นได้อย่างไรถ้าเราขี้เกียจศึกษาไม่ชอบฟังหรือเอาตัวมาฟังแต่ใจไม่ยอมฟัง อย่างนี้เวลาไม่เข้าใจก็ย่อมจะทำสิ่งใดไม่ได้
เมื่อเราพูดถึงการบำเพ็ญธรรมทั้งครอบครัวแล้ว เมื่อเราทำดีกับครอบครัวเราได้สำเร็จ ไม่ว่าเราจะอยู่กับใครที่ไหนทุกคนก็คงจะรักเรา ถึงตอนนั้นอย่าได้มีความเห็นแก่ตัวหรือดีเฉพาะกับคนที่เรารู้จัก ดีเฉพาะกับคนที่เป็นญาติของเรา หรือดีเฉพาะกับคนที่เราชอบพอ  ถ้าทำอย่างนั้นเราก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัว กลับกลายเป็นปล่อยการยึดทางนี้แต่ไปจับการยึดทางโน้น ไม่พ้นคำว่า “ยึด” ก็ไม่พ้นแดนโลกีย์นี้ ไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดนี้
ในวันนี้อาจารย์มาได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกแล้วว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนมีบุญแค่ไหน บุญไม่ได้ดูจากหน้าตา บุญไม่ได้ตัดสินถึงอดีตชาติที่เคยสร้าง  แต่บุญที่มีในเวลานี้คือบุญที่เจ้าสร้างในเวลานี้ บุญที่แสดงออกมาในการตั้งใจฟังนี้ถึงจะเป็นบุญในอนาคต ถึงจะเป็นบุญที่จะบอกว่าเราจะสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่  เพียงแต่เราตั้งใจฟังอย่างนี้จนจบกลับออกไปวันหลังก็ยังจะกลับเข้ามาฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะ บำเพ็ญธรรมอย่าได้ท้อถอย อย่าได้กลัวความยากลำบาก เหมือนกับตอนแรกที่อาจารย์มาเห็น  อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นสนุกสนาน แต่ไม่รู้เลยว่าในความสนุกสนานนั้น ข้อความที่อยู่ในเพลงนั้นก็คือความทุกข์ทั้งนั้น เพียงแต่เราอย่าเอาจิตใจไปยึดกับความทุกข์ ท่ามกลางความทุกข์เราไม่รู้สึกถึงความทุกข์ ก็เหมือนกับการที่เรานั้นมีสภาพร่างกายที่เจ็บป่วย แต่จิตใจของเรานั้นไม่เจ็บป่วยเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นจิตใจไม่เจ็บป่วย ยังอยากให้จิตใจของศิษย์นั้นเป็นจิตใจที่สะอาดสะอ้าน เป็นจิตใจที่กว้างและเป็นจิตใจที่เตรียมพร้อมจะสู่ความเป็นพุทธะในวันข้างหน้า  ใจของเจ้านั้นสอนเจ้าอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรอาจารย์นั้นก็แอบบอกเจ้าตลอดเวลา นิพพานนั้นไม่ใช่ไปยาก อย่าบอกว่าทำไม่ได้ อย่าบอกว่าเราไปไม่ถึง  ให้เรานั้นได้ลองได้รู้ ถ้าหากว่าเรามีความพยายามสักวันต้องสำเร็จ
อาจารย์กลับไปแล้วศิษย์จะคิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  อาจารย์อยากมองหน้าคนที่บอกว่าคิดถึงอาจารย์ให้ชัดๆ คิดถึงอาจารย์ก็ทำในสิ่งที่อาจารย์สอน ทำในสิ่งที่อาจารย์บอก อย่าทำในสิ่งที่ขัดกับที่อาจารย์บอก ชื่ออาจารย์ ชื่อ “จี้กง”  แปลว่าอนุเคราะห์โลก อนุเคราะห์ผู้อื่น  ศิษย์ก็ต้องรู้จักช่วยคนอื่น ช่วยคนอื่นด้วยจิตใจโหดเหี้ยมไม่ได้ เวลาช่วยคนอื่นเราต้องมีความเมตตา
(อาจารย์เมตตาประทานทอฟฟี่ให้คนที่เดินทางมาไกล และประทานสับปะรด ๒ ผลให้กับนักเรียน)
อาจารย์มา ศิษย์ไม่ค่อยอยากจะตอบเลย คนที่ไม่ได้ผลไม้ก็คือคนที่ไม่ได้ผลไม้ อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวอาจารย์ให้เขาปอกไว้ให้ แล้วไปกินด้วย
รักษาจิตใจของเราให้คงเดิมให้คงที่ ให้คงที่ ณ ความดี ให้คงที่ ณ ความเมตตา มีโอกาสมาทั้งทีศึกษาธรรมให้เยอะๆ
อาจารย์นั้นในยามนี้คิดถึงศิษย์บางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คิดถึงศิษย์บางคนที่มีใจท้อแท้ไป ทนอุปสรรคไม่ไหว แล้วก็ขอถามว่าศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่จะเป็นเช่นนั้นไหม (ไม่เป็น)  คำยืนยันที่อาจารย์ได้ และอาจารย์จะเก็บจำไว้เสมอ คือคำตอบจากคนที่เป็นคนเก่าแล้ว  บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะยึดติดรูปลักษณ์ บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะความอยากได้ บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะความลุ่มหลง บางคนมาบำเพ็ญธรรมะไม่เคยคิดอยากตัดกิเลสเลยสักข้อเดียว บางคนมาบำเพ็ญธรรมะ ไม่รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร นี่คือสภาพของคนบำเพ็ญที่น่าสงสารที่สุด  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นทำไมถึงทำไม่ได้ อาจารย์ก็ยังคิดอยู่  กรรมดึงไว้หรือว่าใจตัวเองดึงไว้กันแน่  รับผิดชอบตัวเราให้ดี ดูแลสุขภาพตัวเราให้ดี  ทุกๆ วันขอให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ลาก่อนนะ วันหลังเจอกันอีก ขอให้มีแต่ความดีมาโอบล้อมศิษย์ของข้า ลาก่อน



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “รักษาโอกาส”

มีโอกาสต้องรักษาด้วยการใช้ รังสรรค์ให้สมกับที่โชคดีนี้
คุณวิเศษสร้างกลางความไม่มี แต่โอกาสมีอุปสรรคคือเวลา
สิ่งใดทำได้จงให้รีบทำ ปล่อยโอกาสไร้คำไร้น้ำตา
บางโอกาสเกิดมาด้วยปัญญา ในเมื่อใครไม่ได้มาจงสร้างเอง 

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา