วันศุกร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานผู่ถี จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ไยหลงใหลในโลกหล้าอันวิจิตร จมปลักในเหล่าความคิดไม่ยอมตื่น
ดั่งบ้านที่ลืมจุดไฟยามค่ำคืน จะกล้ำกลืนเพราะความหลงของตนเอง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา
ฮวา
หลายปีผ่านดั่งความฝันไม่หยุดหย่อน กี่คนย้อนชีวิตตนเพื่อแก้ไข
มีผิดต้องรู้แก้ไม่ปล่อยไป ด้วยจริงใจจึงสามารถจะกลับตน
เมื่อได้รู้ชีวิตหนึ่งดั่งความฝัน จงเท่าทันเหล่ากิเลสอย่ามัวหลง
ในบัดนี้ฟ้าดินมอบทางสายตรง จงเร่งลงแรงบำเพ็ญจนสิ้นลม
ด้วยชีวิตเวลาผ่านอย่างรวดเร็ว ดุจเปลวเทียนที่จุดขึ้นไม่พ้นดับ
โอกาสดีสายทองส่งให้คืนกลับ เมธีจับให้แน่นเดินตามทาง
อยู่ในโลกดั่งความฝันดั่งละคร ได้พักผ่อนกี่ครากันลองพินิจ
ใช่สามารถสมหวังทุกคนตรองด้วยจิต ปัญญาพินิจบำเพ็ญตนให้งดงาม
ในครานี้สามวันประชุมธรรม ขอให้นำจิตขุ่นชำระล้าง
จิตดวงนี้รู้อภัยและรู้วาง ม่านบางบางกั้นพุทธะสลายลง
ขอให้ใช้เวลาด้วยจิตรู้ค่า กลับคืนฟ้าล้างมัวเมาที่สั่งสม
อยากจะสุขต้องผ่านก่อนความเศร้าตรม สามารถกลมต้องขัดเกลากันอย่างหนัก
ขอให้รู้บุญสัมพันธ์ได้อยู่ร่วม จงสำรวมดวงจิตอย่ากังขา
นำตนก้าวเจริญขึ้นด้วยศรัทธา สามเวลารู้ระวังให้ถ้วนทั่ว
เพื่อหลุดพ้นเกิดดับสุขและทุกข์ จะต้องลุกจากฝันบำเพ็ญแท้
เสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยนแปร ผิดได้แก้ถูกให้คงซึ่งคุณงาม
ในวันนี้เป็นวันแรกมาประชุม จงสุขุมเรียนให้จบครบหนึ่งชั้น
วันเวลาไม่คอยคนให้ขยัน รู้เท่าทันซึ่งตนก่อนจึงจะดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอน้องนั้นได้ตั้งใจอย่างที่สุด
กลางโคลนตมดุจมีปทุมผุด ขอสิ้นสุดวัฏสงสารชาตินี้เลย
จงรักษาพุทธระเบียบให้ตลอด ขอตลอดมีใจนิ่งเพื่อศึกษา
กลับออกไปยังคงไว้ปฏิปทา๑ เป็นพุทธาผู้บำเพ็ญตลอดกาล
ยืนคุมชั้นจดบันทึก
ฮวา ฮวา
หยุด
๑ ปฏิปทา
ทางดำเนิน, ความประพฤติ
วันศุกร์ที่ ๑๔
พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
แปรความทุกข์เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ แปรความผิดเป็นปัญญาอันสุขุม
แปรความพลาดด้วยความคิดอันรัดกุม แปรกลัดกลุ้มเป็นใสเย็นด้วยการปลง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ความสามารถไม่อาจเท่าความเพียร
สู่สำเร็จไม่อาจเปลี่ยนในพริบตา
ต่างค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลา ผิดไม่ว่าหากแต่ต้องแก้ไข
กิเลสไม่สามารถตัดจะวนเวียน เหล่าอนุสัย๑ซึ่งเปลี่ยนจักย้อนใส่
เพราะยึดติดก้าวตามอารมณ์ใจ หนีลำบากได้ไกลใช่จะดี
ยากแก้ไขหากแม้เราเปี่ยมอัตตา บำเพ็ญยากหนักหนาก้าวเต็มที่
แสงอ่อนเหนื่อยจนตกลับปฐพี กลับต้องถอนใจที่ยังเผอเรอ
ระวังไม่ต่างย่ำบนสนามศึก ด้วยสำนึกอุราพร่ำอย่าพกเพ้อ
ตะวันหนาเที่ยงกับทุกคนเสมอ สิ้นละเมอกระหน่ำซ้ำคนตื่นจริง
จิตใจตามปรกติล้วนรู้ได้ ความอาลัยช้ำรักโลภระวังยิ่ง
โกรธหลงจะทำลายซึ่งคนจริง สตินิ่งแล้วอย่าละเลยไป
เพียงแต่หันหลังเลิกประมาทมา แม้ไม่หรรษาก็ไม่ระทมไห้
ผู้บำเพ็ญจึงต่างให้กำลังใจ เวลาเดินต่างไม่บั่นศรัทธากัน
|
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
เป็นอย่างไรกันบ้าง นั่งฟังธรรมะแล้วจิตใจชุ่มชื่นหรือฟังแล้วจิตใจง่วงเหงาหาวนอน
(ชุ่มชื่น) ตอบตามความสัตย์จริงที่ตนเองรู้สึกและเป็นไป อย่าได้โกหกตนเอง ชุ่มชื่นหรือง่วงเหงาหาวนอน น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าใช่หรือไม่
อย่างนั้นแปลว่าธรรมะนี้ฟังแล้วไม่มีคุณค่าชโลมจิตใจเลยหรือ นั่นเป็นเพราะว่าเราเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลสหรือเปล่า ฟังธรรมะจึงไม่ รู้สึกชุ่มชื่นแต่กลับกลายเป็นง่วงเหงาหาวนอนแทน เราก็ไม่อยากเป็นผู้ที่หนาไปด้วยกิเลส
แทนที่ฟังธรรมะแล้วจิตใจจะกระชุ่มกระชวยแต่กลับง่วงเหงาหาวนอนใช่หรือเปล่า (ใช่) ใครๆ ก็อยากฟังธรรมะแล้วเป็นอย่างแรกคือได้เป็นผู้รู้ตื่น
รู้แจ้งในหลักสัจธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เพราะอะไรคนเราปัจจุบันนี้พอพูดถึงเรื่องธรรมะ กลับรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ ง่วงเหงาและหาวนอน
เป็นเพราะว่าเราไม่เคยชิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกวันเรามีชีวิตมักจะคลุกไปด้วยฝุ่นกิเลส
ตัณหาและความอยาก การปลดปล่อยอารมณ์ไปตามความต้องการ การมาฟังเรื่องธรรมะ เรื่องบำเพ็ญตน
เรื่องทำความดีจึงเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึก ไม่มากก็น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเรื่องที่ต้องยับยั้งอารมณ์
หยุดยั้งความคิดชั่วร้าย
แต่ชีวิตของมนุษย์ ทุกคนนั้น ใครๆ ก็ใฝ่หาความสุข
ความสงบ
ความสุขของมนุษย์แสวงหาได้อย่างไรบ้าง
ความสงบหาได้ที่ใดบ้าง
บางทีเราก็แทบจะไม่รู้เลยว่าชีวิตเรานั้นความสุขที่แท้จริงคืออะไร แล้วความสงบในจิตใจอยู่ตรงไหน บางทีหากันไม่ค่อยเจอ
ชีวิตเราตื่นเช้ามาก็มีแต่ความวุ่นวายสับสน
หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่รักการปฏิบัติ เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ
แม้จะมีชีวิตอยู่เราก็สามารถเอาความรู้ความสามารถอันนี้ไปใช้ให้ตนเองสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อนได้ แต่ถามจริงๆ
ว่าความรู้ความสามารถที่ท่านเอาไปใช้นั้นเป็นได้แค่เพียงเอาตัวรอด ใช่หรือไม่ (ใช่) หาใช่ความรู้ความสามารถที่เรียกว่าเก่งจริงๆ คนที่เก่งจริงๆ
นั้นไม่ใช่เอาตัวรอดได้แต่เพียงตนเอง
แต่คือคนที่สามารถปฏิบัติแล้วเรารอดได้
คนอื่นก็สามารถเอาไปปฏิบัติแล้วรอดได้เช่นกัน
อย่างนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่เก่งในความรู้
เก่งในความสามารถที่ตนมีอยู่และนำไปใช้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้ทุกคนที่นั่งที่นี่ มีใครบ้างที่จะพูดว่าตนเองไม่เก่ง
ทุกคนล้วนเก่ง ทุกคนล้วนสามารถ
แต่ความเก่งและความสามารถของทุกคนเป็นความเก่งความสามารถที่ได้แค่เอาตัวรอดเพียงคนเดียว
แต่การจะหยิบยื่นเอาความรู้ความสามารถที่ตนเองรู้นี้ไปช่วยผู้อื่นกลับช่วยไม่ได้
ท่านเคยบ้างไหมที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในหนทางหรือการดำเนินชีวิตของท่าน แต่พอจะไปช่วยคนที่ตกทุกข์ได้ยากกลับช่วยไม่ได้เลย บางท่านเป็นคนที่พูดเก่ง พูดได้ฉะฉาน
สามารถโน้มน้าวให้คนเชื่อถือได้
แต่พอเอาคำพูดนั้นไปช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน
บางครั้งก็ช่วยให้เขาหายทุกข์หายเดือดร้อนไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) กลับเป็นความรู้ความสามารถที่เสริมสร้างแค่เงินทอง
ที่สามารถเลี้ยงได้แค่ตนเองแต่ช่วยคนอื่นไม่ได้
อย่างนั้นก็ไม่อาจนับว่าเป็นคนเก่งจริงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านเป็นคนมีเมตตาไหม ใครบ้างหัวเราะสะใจที่เห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก
ก็คงไม่มี
เมื่อเห็นใครตกทุกข์ได้ยากเราล้วนบังเกิดจิตเมตตา อยากช่วยเหลือ
อยากยื่นมือเข้าไปช่วย
แต่จะมีใครบ้างที่สามารถเอาความเมตตาในใจของตนเองช่วยคนอื่นได้ มีอย่างมากที่สุดก็ได้แต่เพียงช่วยแค่ครอบครัวตนเองเท่านั้น แต่เมตตาจริงๆ
ที่เรียกว่ามหาเมตตานั้นกลับไม่สามารถช่วยแม้กระทั่งคนข้างบ้านได้ แล้วอย่างนี้ผู้ที่เก่ง ผู้ที่เมตตา
ผู้ที่ใจดีจะเรียกว่าเก่ง เมตตาและใจดีได้หรือ
ในเมื่อเขาช่วยเหลือได้แค่เพียงตัว เขาเองกับคนรอบข้างที่เป็นญาติพี่น้อง แต่คนในสังคมหรือเพื่อนบ้าน เขากลับช่วยไม่ได้เลย ได้แต่ยืนมองดู
ได้แต่ปล่อยให้เหตุการณ์เลวร้ายลง ก็คงไม่อาจเรียกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะยอมรับว่าเรายังเก่งอยู่ คงพูดได้ไม่เต็มปาก
จะยอมรับว่าเรายังเมตตาและเป็นคนหวังดีกับคนอื่น ก็คงตอบไม่ได้เต็มที่
ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าเมตตาและความหวังดีของเรากลับไม่สามารถไปช่วยเขาได้จริงๆ กลับเป็นแค่เพียงการยืนมองแล้วเกิดความสงสาร อย่างนี้แล้วความรู้ความสามารถของท่านที่ร่ำเรียนมา
ที่มีชีวิตมา กลับเป็นเพียงแค่เอาตัวรอด
คนทุกคนอยู่ในสังคมต่างเอาตัวรอด ต่างคนต่างคำนึงถึงตัวเองให้รอด อย่างนี้สังคมก็ย่อมยากจะสงบสุข
ยากจะปกครองกันอย่างฉันท์มิตร เพราะทุกคนช่วยได้แต่ตน ทำได้แค่ตน แต่ช่วยคนอื่นไม่เป็น ให้คนอื่นทำ ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่างนี้จะมั่นใจได้หรือว่าสิ่งที่ตนเองเก่ง
สิ่งที่ ตนเองสามารถ สิ่งที่ตนเองเรียกว่าเมตตาและความดีในตนเอง เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้
เป็นสิ่งที่เป็นของจริง ก็คงเรียกไม่ได้
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมเราถึงพูดเช่นนี้ เพราะเราเชื่อว่าคนทุกคนในที่นี้ล้วนรักความดี
ล้วนรักความเมตตา และล้วนเป็นคนที่ปฏิบัติงานแต่ละอย่างได้เก่ง แต่พอถึงคราวที่ต้องทำ ถึงคราวที่ต้องช่วย เราก็มักจะอับจนปัญญาในความเก่งได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นในความเก่งของเรา
เราต้องรู้จักใช้ให้เป็น การใช้ให้เป็น
การดำเนินชีวิตให้ถูกทางแล้วมีเพื่อนร่วมทางเดินไปด้วยเป็นความสุขไม่ใช่น้อยในการมีชีวิตอยู่
ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่แล้วช่วยตนเองได้แต่ช่วยผู้อื่นไม่เป็น
อย่างนั้นคงไม่มีความสุขอะไรเลยในการอยู่ในสังคม อยู่ในโลกนี้ ใช่หรือเปล่า
(ใช่)
ความสุขของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้มักจะคิดว่า
อย่างที่หนึ่งคือต้องมีเงินทอง อย่างที่สองคือมีลาภยศชื่อเสียง
จึงจะสามารถบังเกิดความสุขและบันดาลความยินดีปรีดาให้กับชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านคิดว่าเงินบันดาลความสุข
ลาภยศชื่อเสียงนำมาซึ่งความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) คนส่วนมากมักคิดเช่นนี้ ไม่มีใครปฏิเสธ
ถ้าคนไหนปฏิเสธคนนั้นคงไม่ไปหาเงิน
แต่ในที่นี้ทุกคนเรียนหนังสือก็เพื่อจะหาเงิน
ดิ้นรนแสวงหาก็เพื่อให้ตนเองมีชื่อเสียง
นั่นแปลว่าความสุขของทุกท่านในโลกนี้เป็นความสุขที่ต้องมีเงิน
มีชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ
แล้วความสุขของการมีเงิน มีชื่อเสียงยังสามารถช่วยทำให้ท่านช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย
นั่นแปลว่าคนทุกคนจะมีความสุขได้ และจะพบความสุขในโลกนี้ได้ต้องมีเงิน มีชื่อเสียง
ใช่หรือไม่ (ใช่) คนทุกคนมักคิดว่าใช่
และมักจะทำตามความใช่ เดินไปให้ถึงความใช่นี้
พอเดินไปถึงแล้วเราพบความสุขหรือความทุกข์ (ความทุกข์) เรารู้ไหมว่าความสุขและความทุกข์ที่เราพบนั้นเกิดจากมีเงิน
มีทอง มีทรัพย์สิน หรือว่าเกิดจากใจกันแน่ (เกิดจากใจ)
ใจเรามักแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะแวดล้อม
พอฟ้าครึ้มอากาศมัว ใจเราก็ครึ้มมัวตาม
พอนั่งในห้องนี้รู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดและยิ่งท่านมีความสงสัยลังเลและไม่อยากจะรับฟัง
การนั่งฟังจึงไม่สามารถเปิดใจให้สว่าง ทำใจให้สงบได้ จึงเกิดความอึดอัด ตอนนี้ถามท่านที่นั่งอึดอัดอยู่ตรงนี้ว่าท่านมีเงินในกระเป๋าหรือเปล่า
เป็นคนมีตำแหน่ง มียศถาหรือไม่ (มี) ก็มีกันทุกคน แต่ทำไมนั่งตรงนี้กลับไม่บังเกิดความสุข
ไม่สามารถใจสงบได้ ก็เพราะว่าใจท่านต่างหาก ไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ใช่ยศถา
จริงหรือเปล่า (จริง) แต่จะมีสักกี่คนที่หันกลับมาคิดแล้วมองได้แจ่มชัด
คิดเพียงว่าไปให้ถึงซึ่งการมีเงินเต็มที่
มีทองเต็มพระคลังถึงจะเรียกว่าความสุข แต่พอไปถึงแล้วมีคำว่าถึงไหม (ไม่มี) หาจุดถึงไม่เจอสักที เป็นจุดที่ไร้จุด
เป็นจุดที่หาจุดจบไม่เจอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราก็รู้ว่าในการมีเงินทองนั้น อาจจะบังเกิดได้ทั้งทุกข์และสุข ทุกข์และสุขขึ้นอยู่ที่ไหนกัน (ใจ) กลับมาคิดได้เอาตอนสายเสียแล้ว
ความจริงแล้วอยู่ที่ใจเราต่างหากว่าปรับได้ไหม ยอมรับได้หรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนการมานั่งอยู่ตรงนี้ คิดว่าเราเก่งแล้ว
มีเงินแล้ว แต่ทำไมไม่มีความสุข ก็เพราะว่าใจท่านไม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรื่องทุกข์เรื่องสุขไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่วัตถุหรือรูปนาม
แต่ขึ้นอยู่กับการทำใจของเราต่างหากว่าวางใจเป็นไหม
ปรับสภาพให้เท่าทันกับเหตุการณ์ได้หรือเปล่า
เหมือนท่านนั่งตรงนี้ปรับสภาพให้รับเด็กคนนี้ได้หรือไม่ ถ้าท่านปรับสภาพได้
ท่านจะอยู่กับเราตลอดชั่วโมงได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าท่านปรับสภาพไม่ได้
แม้มีเงินเต็มกระเป๋า มีเกียรติยศชื่อเสียงก็หาความสุขไม่ได้
และแม้จะเก่งมาจากไหนถ้ามานั่งตรงนี้แต่ปรับสภาพรับเราไม่ได้ ท่านก็ไม่มีความสุข
ท่านก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นคนเก่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่กับเราลองปรับสักนิดหนึ่ง
แล้วก็คงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้
“แปรความทุกข์เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
แปรความผิดเป็นปัญญาอันสุขุม
แปรความพลาดด้วยความคิดอันรัดกุม
แปรกลัดกลุ้มเป็นใสเย็นด้วยการปลง”
วันนี้มานั่งตรงนี้คงไม่มีความทุกข์มาก
หรือคงไม่คิดว่าวันนี้มาผิด เสียแล้ว
หากการมานั่งวันนี้คิดว่าเป็นทุกข์ ก็คิดเสียว่าเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
ดีหรือเปล่า (ดี) คนเราถ้าไม่รู้จักความทุกข์ก็คงไม่พยายามหาความสุข
หากไม่เคยทำผิดพลาดก็คงไม่คิดจะทำตนเองให้เป็นคนถูกต้องและดีงาม
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
กลอนที่เราให้หากใครคิดให้ดีๆ ก็อาจจะคิดได้สองอย่าง
อย่างหนึ่งก็คือมานั่งตรงนี้ไม่รู้ว่ามาผิดหรือเปล่า
ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่มานั่งฟัง นั่งแล้วมีความทุกข์
ไม่มีความสุขแล้วคิดว่า
คราวหน้าจะไม่ทำผิดอีกโดยการคิดให้รัดกุม คิดให้แน่ใจกว่านี้แล้วค่อยมานั่งฟัง
ในเรื่องความทุกข์ความสุข
เราพูดกันว่าการมีลาภยศเงินทองชื่อเสียงนำมาซึ่งความสุข แต่เราก็ได้ผลสรุปจริงๆ
แล้วว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นเกิดจากใจต่างหาก
ใจเรานี้กำหนดให้เรามีความสุขได้โดยการทำสิ่งใดกันบ้าง (ทำความดี) ทำความดีได้ทุกวันไหม ถ้าไม่ทุกวันก็แปลว่าไม่มีความสุข ทุกวัน
ถ้าทำได้วันเว้นวันก็เป็นอย่างไร (ทุกข์วันเว้นวัน) แปลว่าความสุขของท่านอยู่แค่ทำความดีหรือ
บางครั้งความสุขที่เราได้อาจเป็นสุขที่นิ่งสงบก็เป็นได้
แล้วใจเรานี้กำหนดให้เรามีความสุขได้โดยการทำสิ่งใดกันบ้าง (ช่วยเหลือผู้อื่น) ฉะนั้นก็เป็นความสุขที่หาได้ยาก
เพราะถ้าเขาไม่เดือดร้อนก็ไม่ช่วย
การจะไปช่วยผู้อื่นเราต้องไม่เลือกว่าเขาจะทุกข์หรือสุข การคุยด้วยคำพูดที่ดี
การแนะนำแนวทางที่ดีก็เป็นการช่วยเขาได้ เช่นเมื่อเจอเพื่อน จากที่เคยสนทนาเรื่องเงินๆทองๆ
เราอาจจะสนทนากันเรื่องวันนี้ได้ทำความดี วันนี้ได้รักษาสัจจะก็เป็นได้
แล้วความสุขของท่านอื่นเป็นอย่างไรกันบ้าง (รักษาศีลห้า) แต่รู้สึกว่าความสุขในการรักษาศีลห้าจะยิ่งน้อยไปใหญ่
ปีหนึ่งจะครบห้าข้อสักทีหนึ่ง
หรือผ่านมาตลอดชีวิตแทบจะไม่เคยทำได้ครบห้าข้อเลยก็เป็นได้ แล้วอย่างนี้ความสุขของท่านอยู่ที่ไหนกัน
(การทำตามใจตัวเอง)
แล้วถ้าทุกคนในโลกนี้ทำตามใจตัวเองหมด
ความสุขของแต่ละคนเป็นอย่างไร ช่างน่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะพูดว่าความสุขของมนุษย์คือการทำตามใจ
มีอิสระ ทำสิ่งใดก็ได้ แต่ถ้าคิดให้ดี ถ้าคนในโลกทุกคนต่างตามใจตนเองหมด ลูกตามใจลูกไม่สนใจพ่อแม่
พ่อแม่ตามใจความคิดของพ่อแม่ ไม่ดูแลสนใจลูก จะสุขไหม (ไม่สุข) จะกลายเป็นเราสุขแต่ผู้อื่นทุกข์
ฉะนั้นอย่าได้กำหนดว่าสุขทุกข์คือเรื่องเอกของชีวิต
แต่ชีวิตนี้เราต้องคำนึงถึงทั้งผู้อื่นและตัวเราเป็นเรื่องเอกของชีวิต
หลายคนมักจะกำหนดว่าความสุขของชีวิตคือตัวเราเป็นเอก จริงๆ
แล้วไม่ใช่
หากท่านใช้ชีวิตมาค่อนชีวิตหรือใกล้จะหมดชีวิต
ท่านจะพบความจริงที่ว่าสุขของชีวิตที่แท้จริงนั้นคือคำนึงถึงผู้อื่นมากหน่อยตัวเราน้อยหน่อย
เพราะเหตุใดเราถึงกล่าวเช่นนี้ ใครมีความกระจ่างในสิ่งที่เรากล่าวมาบ้าง ไม่ใช่แค่มองตนเองแต่ต้องมองผู้อื่นด้วย
ไม่ใช่ตนเองต้องเป็นหลัก
แต่ผู้อื่นต้องเป็นหลักด้วย
เรากล่าวเช่นนี้ เพราะถ้าในการมีชีวิตอยู่ในสังคม
เราอยู่ในบ้านไม่คำนึงถึงพ่อแม่ ความสุขจะบังเกิดไหม
เราอยู่กับพี่น้องเราคำนึงถึงตนเอง ไม่คำนึงถึงพี่น้อง จะบังเกิดความสุขไหม (ไม่เกิด) อาจจะมีได้
นั่นเป็นความสุขที่เราคนเดียวแต่คนอื่นเจ็บปวด เราอาจจะสุขได้
เราอาจจะยินดีปรีดาได้ แต่คนอื่นสูญเสียน้ำตา สูญเสียความสุข ท่านสุขได้หรือ
ท่านก็คงไม่สุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรคนในโลกนี้จึงเป็นคนที่
ตนเองสุขแต่ไม่สนใจคนอื่น เพราะว่าเราขาดซึ่งคุณธรรม ความคิดอันเที่ยงธรรม
หลักเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
ทุกคนคิดได้อย่างเดียวคือ ”ตามใจเราคือไทยแท้” เป็นคตินิยมของคนไทย
หากใครไม่ตามใจคนนั้นไม่ใช่คนไทย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นคติที่คิดตามแต่อารมณ์
ยึดแต่ความถูกของตนเอง ไม่ยึดความถูกต้องแห่งปวงประชา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราต้องมองสุขทุกข์ที่แท้จริงให้แจ่มชัด
อย่าเป็นคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก มองต้นเป็นปลาย มองปลายเป็นต้น
ไม่อย่างนั้นแล้วเรายากจะมีชีวิตได้อย่างเป็นสุขทุกๆ
วันตลอดการมีชีวิต
“ความสามารถไม่อาจเท่าความเพียร”
ท่านพอเข้าใจกลอนที่เราให้ไหม
คนเก่งกับคนขยันหากอยู่ใกล้กันมักเป็นอย่างไร บางครั้งเราอยากให้ลูกเก่งใช่หรือไม่
(ใช่) แม้ลูกจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดแต่ขาดซึ่งความขยัน
เขาก็สู้คนไม่เก่งแต่ขยันไม่ได้ ชีวิตเราก็เหมือนกัน แม้เราจะไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถในการดำเนินชีวิตแบบมีคุณธรรม
แต่ถ้าท่านขยันจะทำได้ไหม (ได้) ก็ย่อมทำได้สำเร็จ
แล้วความสำเร็จนั้นจะบังเกิดได้ในหนึ่งวันไหม (ไม่) แต่ต้องเกิดจากการสั่งสมทีละเล็กทีละน้อยจึงจะสามารถสำเร็จได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรื่องราวในโลกขอเพียงอย่างเดียวคืออย่าใจเร็วด่วนได้
เราก็จะเป็นผู้ที่สามารถกุมความสำเร็จไว้ในมือ
แต่หลายคนพอเริ่มต้นแล้วก็อยากให้ถึงบั้นปลายไวๆ
ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำงานยังไม่ถึงสิ้นเดือนก็ขอเบิกเงินก่อน
แล้วเป็นอย่างไร ก็ทุกข์ตอนบั้นปลาย ใช่หรือไม่ (ใช่) แทนที่จะได้เงินเดือนเต็มขั้น
กลับถูกหักไประหว่างทางที่เราขอแล้ว
ก็เช่นเดียวกับคนที่จะมีความสำเร็จก้าวหน้าในการดำเนินชีวิต หากหวังประโยชน์เล็กๆ
น้อยๆ เสียก่อน ย่อมยากที่จะไปถึงซึ่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนๆ
หนึ่งที่ทำงานมีตำแหน่งใหญ่โต แต่มีนิสัยชอบกินปลา หากมีลูกน้องเอาปลาตัวโตๆ มาให้
ใครให้เขาก็รับ เวลาลูกน้องมาขอความช่วยเหลือ ท่านกล้าปฏิเสธเขาไหม (ไม่กล้า) เพราะการรับน้ำใจของลูกน้อง
ทำให้ท่านปฏิบัติได้ไม่เที่ยงธรรม แล้วการงานของท่านจะก้าวหน้าไหม (ไม่) เพราะว่ากินเล็กกินน้อยไประหว่างทางแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการดำเนินชีวิตในโลกก็เหมือนกัน
หากจะหวังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ อย่ามัวสนใจความสุขชั่วขณะที่เป็นของปลอม
หากท่านละได้ ตัดได้
ท่านจะเป็นผู้ที่ค้นพบความสำเร็จอันนิจนิรันดร์ในการดำเนินชีวิตได้
แต่เพราะอะไรเรามักจะหาความสำเร็จหรือหาความสุขอันยิ่งใหญ่กันไม่ค่อยได้
ก็เพราะว่าเรามัวหลงความสุขในลาภยศ ชื่อเสียง เงินทองอันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ
กันไปหมดแล้ว จึงมองไม่เห็นความสุขอันแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากหวังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อย่ามัวสนใจความสุขชั่วขณะที่เป็นของปลอม
ถ้าท่านละได้ตัดได้ท่านจะเป็นผู้ค้นพบความสำเร็จอันเป็นนิจ นิรันดร์ในการดำเนินชีวิตได้
แต่เรามักจะหาความสำเร็จหรือหาความสุขอันยิ่งใหญ่ไม่ค่อยได้
เพราะเรามัวหลงความสุขในลาภยศชื่อเสียง เงินทองกันไปหมด
ความสุขที่จะเป็นความสุขอันแท้จริงกลับมองไม่เห็น
เพราะมัวจมปลักอยู่กับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เพราะยึดติดก้าวตามอารมณ์ใจ หนีลำบากได้ไกลใช่จะดี”
บ่อยครั้งที่เราปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์ ความรัก ความโลภ ความโกรธ
ความหลง พอเราปล่อยไปแล้ว แรกๆ
อาจจะไม่ส่งผลอันตราย แต่พอมีรัก มีโกรธมากเข้า เรากลับลืมยับยั้ง
ลืมผลที่จะตามมาทำให้ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลงในการมีชีวิตอยู่บังเกิดผลร้าย
บังเกิดอันตราย
เมื่อบังเกิดอันตรายแล้วเราก็เลยคิดหนี การคิดหนีไม่ใช่ทางแก้ที่ถูกวิถีทาง
การยืดอกรับสิ่งที่ตนเองทำคือการแก้ปัญหาที่ถูกทาง
แต่จะมีสักกี่คนที่กล้ายืดอกรับเวลาที่ตนเองทำผิด
ความชอบรับเป็น แต่ความผิดรับไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราเอาแต่หนีแล้วจะมีที่ให้เราหนีอยู่ตลอดไหม
ไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่) ย่อมมีวันใดวันหนึ่งที่ท่านต้องยอมรับและสู้กับความเป็นจริง
จึงมีคำกล่าวว่า “รับความลำบากของความลำบากได้เรียกว่าคนเหนือคนแต่เมื่อไรเจอความลำบากแล้วล้มคว่ำเรียกว่าสามัญชน” แต่คนเหนือคนในโลกนี้กลับมีเพียงหนึ่งในร้อย
ในสังคมจึงเต็มไปด้วยสามัญชน ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเจอความลำบากมีใครบ้างกล้าสู้กับความลำบากด้วยความหาญกล้า
ด้วยการเปิดใจรับ คงมีน้อย ใช่หรือไม่
ชีวิตนี้หากเราไม่ยอมสู้กับความยากลำบากเลย เราจะเป็นคนก้าวหน้า
เราจะเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่และตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่หรือตำแหน่งที่เริ่มต้นได้หรือไม่
(ไม่ได้)
มีสิ่งใดบ้างในโลกนี้ทำแล้วไม่มีความลำบาก การเป็นคนลำบากไหม
(ลำบาก) การเป็นอาจารย์ เป็นพ่อแม่
เป็นหมอ เป็นพยาบาลลำบากไหม (ลำบาก)
ก็ล้วนลำบากด้วยกันทั้งนั้น
แต่เมื่อเราได้พบความลำบากนี้แล้วไม่สู้เราจะก้าวหน้าไหม
เราจะเป็นสิ่งนั้นก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
รู้สึกว่าในชั้นนี้มีคนอยู่สามแบบ แบบแรกคืออึดอัดในการฟังเหลือเกิน แบบที่สองสามารถคิดไปตามที่เราพูด
และอีกแบบหนึ่งที่ฟังเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง
แล้วเราจะจัดการกับคนสามประเภทที่ต้องมาอยู่รวมกันในที่นี้อย่างไร
ยากใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรดีถึงจะทำให้ท่านสามารถรับฟังและคุยกับเราได้
รู้เรื่อง หากเราพูดต่อ
คนที่อึดอัดเขาจะทนไม่ได้ ส่วนคนที่ฟังรู้เรื่องก็สบายใจ ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องก็ยิ้มเฉยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากวันนี้เรามาให้แต่กลอน ท่านก็ต้องว่าเราท่องมาใช่หรือไม่
แต่พอเรามาคุยกับท่าน
ท่านก็อึดอัดไม่สบายใจ แล้วเราจะทำเช่นไรดี ลองเปิดใจหันมาคุยกับเรา
หันมามองเราสักนิดหนึ่งดีไหม
สำนวนปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “คนที่ไม่เกี่ยง พร้อมที่จะเรียนรู้ได้
ไม่ว่าจากเด็กหรือผู้ใหญ่ เขาคนนั้นจึงเป็นคนที่น่ายกย่อง” ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราหวังว่าท่านในที่นี้จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
“กิเลสไม่สามารถตัดจะวนเวียน”
มนุษย์เรานั้นหากไม่สามารถตัดกิเลสภายในจิตใจและภายในชีวิตได้
เขาผู้นั้นย่อมไม่พ้นวัฏสงสาร
วัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดขึ้นอยู่กับแรงกรรมของเขาว่าในการมีชีวิตเขาทำดีแค่ไหน
หากทำดีกับทำชั่วอยู่ในระดับเท่าเทียมกัน ก็ไม่แน่ว่าจะได้เกิดเป็นคน
อาจจะมาเกิดเป็นอะไรก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากความดีมีน้อยกว่าความชั่วย่อมนับได้เลยว่ายากจะมาเกิด
ต้องไปชำระกรรมเสียก่อนถึงจะมาเกิดได้
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้
แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อขึ้นอยู่กับการมีชีวิตของคนๆนั้น
หากเขาเชื่อเขาย่อมพยามทำทุกอย่างให้ตนเองพ้นจากความชั่วร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากเขาไม่เชื่อเขาก็จะไม่สนใจว่าการเกิดตายเป็นอย่างไร
พร้อมจะเอาชีวิตไปแขวนไว้บนเส้นด้าย
แขวนไว้กับผู้อื่น บนถนนหนทาง หรือสิ่งเสพติดก็เป็นได้
พร้อมจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับกีฬาที่ผาดโผนโลดแล่นอันตราย แต่ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อการเกิดดับ
เชื่อว่าการทำดีย่อมส่งผลให้มนุษย์สามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่ต้องทำดีถึงระดับไหนจึงจะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิด
สามารถหลุดพ้นกลับคืนแดนนิพพานได้ นั่นก็คือรู้จักบำเพ็ญและขัดเกลาตน
หากคนๆ หนึ่งรู้จักบำเพ็ญตนขัดเกลาตนและฉุดช่วยผู้คน คนๆ
นั้นย่อมสามารถนำพาชีวิตไปสู่หนทางแห่งความดับ
ดับกิเลส ดับความทุกข์ทั้งปวงในโลกนี้
เพราะเหตุใดคนเราจึงยากที่จะทำดี อาจจะเป็นเพราะเรามักคิดว่าเราไม่รวย
เราเลยไม่มีแรงที่จะไปช่วยคน
แต่เราขอบอกท่านอย่างหนึ่งว่าไม่เกี่ยวกับความจนความรวยเลย
แม้ท่านจะมีความจนเป็นมิตร แต่ถ้าท่านมีวาจาที่ดีเลิศและตั้งอยู่ในคุณธรรม
วาจาของท่านย่อมช่วยคนได้ ไม่จำเป็นจะต้องรอมีเงินมีทรัพย์สิน
แม้ท่านขาดแคลนซึ่งเงินไม่เป็นผู้ร่ำรวย ท่านก็สามารถมีความสุขและเอาความสุขไปเผื่อแผ่ช่วยคนอื่นได้ นั่นก็คือการได้ รู้จักบำเพ็ญตนและขัดเกลาตน หากคนๆ หนึ่งรู้จักบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน
และฉุดช่วยผู้คน คนๆ นั้นย่อมสามารถที่จะนำพาชีวิตไปสู่หนทางแห่งความดับได้
ดับนั่นก็คือดับกิเลส ดับความทุกข์ทั้งปวงในโลกนี้ แต่เป็นเพราะอะไรคนเรานั้นจึงยากที่จะทำดี อาจจะเป็นเพราะว่าเรามักคิดว่าเราไม่รวย
เราเลยไม่มีแรงที่จะไปช่วยคน แต่ความจนความรวยไม่เกี่ยวกัน
แม้ท่านจะจนมีความจนเป็นนิจ แต่ถ้าท่านมีวาจาที่ดีเลิศและตั้งอยู่ในคุณธรรม
วาจาท่านย่อมช่วยคนได้ ไม่จำเป็นจะต้องรอให้มีเงินมีทรัพย์สิน แม้ท่านขาดแคลนซึ่งเงิน
ไม่สามารถเรียกว่าผู้ร่ำรวยได้
แต่ท่านก็สามารถมีความสุขและเอาความสุขเผื่อแผ่ช่วยคนได้
แต่จะมีสักกี่คนที่คิดแบบนี้
หลายคนมักคิดว่าความสุขและการช่วยคนได้ ต้องมีเงิน ต้องมี เกียรติยศ
แต่จริงๆ แล้วหาเป็นเช่นนี้ไม่
แม้ท่านจะยากจนท่านก็ช่วยคนได้
โดยการกระทำเช่นไร เราพูดง่ายๆ
เพียงไม่กี่คำ นั่นก็คือขอเพียงมีความบริสุทธิ์จริงใจ ท่านย่อมสามารถช่วยคนทั้งโลกได้ เชื่อหรือไม่ เพราะเหตุใดเราถึงกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่าคนๆ
หนึ่งนั้นหากมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมและจริงใจ การแสดงของเขาย่อมสามารถแปรคนร้ายให้กลายเป็นคนดีได้ แปรคนคดโกงให้กลับกลายเป็นคนดี
เป็นคนซื่อสัตย์ได้ เหมือนคำกล่าวที่ว่า
"หนึ่งตรงสามารถพิชิตร้อยร้าย หนึ่งคดก็สามารถทำลายร้อยตรง" แต่ขอให้ความตรงนั้นเป็นความตรงที่ยืนหยัดและหนักแน่น
โดยหากเขาไม่จริงใจแต่ท่านมีความจริงใจมากกว่าเขาหนึ่งก้าว การยืนหยัดแสดงความดี การ
ยืนหยัดแสดงความจริงใจให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวย่อมสามารถสะเทือนใจและสร้างความประทับใจ
และสร้างความซาบซึ้งใจให้กับคนๆ นั้น และจะทำให้คนๆ
นั้นเปลี่ยนแปลงและกลับตัวกลับใจเป็นคนดี เป็นมิตรที่ดีกับท่านในสังคมได้ ใช่หรือไม่
แต่ขอให้ท่านทำให้มากกว่าเขาหนึ่งก้าว
แล้วท่านจะสามารถโน้มนำคนในโลก
โน้มนำเพื่อนที่เกลียดท่านให้กลายเป็นรักท่านได้
และท่านสามารถเปลี่ยนแปลงคนที่คดโกง คนที่ฉ้อฉล ให้กลายเป็นคนดีได้
แต่ขอเพียงอย่างเดียว คือยืนหยัดแล้วก้าวให้มากกว่าเขาหนึ่งก้าว ท่านจะเป็นผู้ที่สามารถนำพาผองชนให้มีความสุข
สามารถที่จะทำให้คนรอบข้างไม่กล้าที่จะทำผิด
แต่ปัจจุบันหาใช่เป็นอย่างนี้
ความดีความชั่วแยกไม่ชัดเจน มองดูแล้วคลุมเครือ
คนจะทำดีเลยไม่มีกำลังใจในการที่จะทำดี
การลงโทษกับการให้รับผลไม่สามารถแยกให้ชัดเจนได้ คนจึงไม่สามารถก้าวหน้าหรือมีแรงผลักดันที่จะทำดี
แต่ถ้าเมื่อไรท่านเป็นผู้หนึ่งที่ยืนหยัดจะสร้างความดี
ยืนหยัดที่จะมีความจริงใจบริสุทธิ์
เอาความดีในตัวตนเป็นผู้หยัดยืนให้เป็นผู้ที่ยืนอยู่บนโลกนี้
ค้ำชูความดีในโลกนี้ให้แบ่งแยกชัดเจน ว่าทำดีแล้วท่านเปลี่ยนแปลงคนได้
ทำดีแล้วท่านสามารถทำให้คนรอบข้างละอายใจไม่กล้าทำผิดต่อท่านได้แม้จะลับหลังหรือแม้แต่ยามมืด
หากท่านยืนหยัดแล้วก้าวให้ได้มากกว่าเขาหนึ่งก้าว คนรอบข้างท่านจะเป็นคนดีหมด ไม่มีใครโกหก
คดโกงท่านได้
แต่ปัจจุบันนี้จะมีสักกี่คนที่จะเป็นแบบนี้ อยู่ด้วยกันแต่ไม่รู้ว่าเขาหลอกท่านหรือเปล่า
อยู่ด้วยกันแต่ขาดแรงกระทำความดี เหมือนเราอยู่กับลูกหลาน อยากให้ลูกหลานประพฤติดี
แต่ลูกหลานไร้แรงกระทำดี
เพราะว่าความดีความชั่วไม่มีสิ่งใดแยกให้เห็นชัดเจน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น
วันนี้หากท่านเชื่อว่าการทำดีแล้วสามารถโน้มนำเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้
ขอให้ท่านยืนหยัดแล้วทำให้มากกว่าเขาหนึ่งก้าว
ท่านจึงจะเป็นผู้ที่สามารถประจักษ์ให้ความดีในโลกนี้พลิกฟื้นมีคุณค่า
และน่ากระทำยิ่งขึ้น
แต่คนในสังคมนี้กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับไม่กล้าที่จะยืนหยัดแสดงความดี
กลับเหนื่อยล้า กลับเหมือนแสงตะวันที่รอวันตกดิน
ความดีของท่านจึงเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่ใกล้ๆ จะลับฟ้า
ไม่สามารถที่จะขจัดความมืด ไม่สามารถที่จะแผ่ออกไล่ความมืดไปจากใจ ไปจากสังคมได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่เป็นเสมือนปลาแล้วรู้จักน้ำ
เป็นนกแล้วรู้จักท้องฟ้าและเมฆา จะมีใครสักกี่คนที่เป็นคนแล้วเห็นโลกได้ชัดเจน
หลายคนยังคิดว่าโลกคือเวทีแห่งการสร้างและการแสวงหา
โลกคือเวทีแห่งการดิ้นรนและการแสดงในรูปแบบต่างๆ
ทุกคนยังมีความสุขในการแสดงหน้าที่ ในการแสดงภาระของตน
ทุกคนยังมีความยินดีปรีดาในการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่ทุกคนกลับมองไม่เห็นภัยมืดที่อยู่ข้างหลัง
กลับมองไม่เห็นความน่ากลัวที่จะบังเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต เพียงแค่เราก้าวผิด เพียงแค่เราคิดผิด
การก้าวผิดและคิดผิดโดยขาดคุณธรรมแม้เพียงขณะหนึ่ง ท่านก็พร้อมที่จะเป็นคนชั่วร้ายได้ทันที
ท่านพร้อมที่จะตกนรกได้ฉับพลัน
แต่ใครตกแล้วรู้ว่าตนเองตก
หลงแล้วรู้ว่าตนเองหลง
เรายังอดเพลินมิได้กับการมีเงินทอง มีชื่อเสียง การแสวงหา การดิ้นรน ทุกคนลืมความสุขของคำว่ารู้พอ พึงมีพึงได้ จะมีใครบ้างที่เห็นรัก โลภ โกรธ หลง กิเลส
ตำแหน่ง ยศถา เงินทองแล้วสามารถวางได้ แล้วมุ่งหันมาค้นหาชีวิตและความเป็นจริงของตัวตน
ทุกคนยังอดมีความอยากไม่ได้ ทุกคนยังอดโกรธไม่ได้ ตัวเรายังอดหลงตัวเราเองไม่ได้
ตัวเรายังอดลืมตัวเราไม่ได้ใช่หรือไม่
แล้วถ้าเกิดวันนั้นคือวันที่เราลืมตัวเราและเผลอทำผิด แล้วกรรมซัดเข้าทันที ท่านจะมาร้องหาความเที่ยงธรรม
ความชอบธรรมไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
"ตะวันหนาเที่ยงกับทุกคนเสมอ"
คุณธรรมนั้นไม่เคยลำเอียง ฉ้อฉล แบ่งรักแบ่งชัง คุณธรรมล้วนยืนอยู่
บนความเที่ยงธรรม แต่คนปฏิบัติธรรมมักไม่เที่ยงธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็กล่าวโทษฟ้าดิน กล่าวโทษคุณธรรมว่า
ธรรมไม่สามารถชนะอธรรมได้
แต่แท้ที่จริงแล้ว ธรรมในตัวท่านสามารถชนะความชั่วร้ายในจิตใจท่านได้หรือยัง หากยังไม่สามารถกำราบและเอาชนะได้
ท่านก็ไม่สามารถนำธรรมนี้ไปช่วยใครได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
"สิ้นละเมอกระหน่ำซ้ำคนตื่นจริง"
พอเวลาเจอทุกข์ เจอความผิดหวัง เจอความพลัดพรากเราก็ยากทำใจ
จากล้มก็ยิ่งกลายเป็นหลงโดยไม่รู้จักตื่นกันสักทีหนึ่ง การบำเพ็ญตนง่ายๆ
ในยุคนี้ที่ท่านสามารถนำไปปฏิบัติ นั่นก็คือ พ่อดำรงความเป็นพ่อ
ลูกดำรงความเป็นลูก ผู้นำรักษาความเป็นผู้นำ
คุณธรรมข้อไหนของผู้นำที่ควรปฏิบัติ ท่านก็ปฏิบัติให้ครบถ้วน
คุณธรรมข้อไหนของผู้ตามควรประพฤติ ท่านก็ประพฤติให้ครบถ้วน
เมื่อทุกคนต่างดำรงตำแหน่งของตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ก้าวก่าย
ไม่ช่วงชิงตำแหน่งของกันและกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ไม่รับแต่ความชอบแต่รู้จักรับผิด ความเดือดร้อนในสังคมย่อมยากจะบังเกิด ความเดือดร้อนในหมู่บ้านหรือในครอบครัวยากจะมีได้ เมื่อความเดือดร้อนไม่มีในสังคม
ทุกคนต่างรู้หน้าที่ ทุกคนต่างดำรงตนเองอย่างเหมาะสม
การกระทำเช่นนี้จึงเรียกว่าการบำเพ็ญตน
ความสงบสุขในสังคมย่อมบังเกิดได้ ทำได้หรือไม่ (ได้)
เราให้ท่านคิดอย่างหนึ่ง หากท่านเป็นผู้นำเขา
วันหนึ่งมีคนมาแจ้งข่าวให้กับท่านด้วยอาการรีบร้อนโดยลืมสัมมาคารวะ
ลืมระมัดระวังคำพูดคำจา ท่านจะยอมรับฟังคำพูดของคนนั้นไหม (ยอม) แล้วท่านจะเปิดใจต้อนรับขับสู้เขาไหม (ยอม) หากว่าคำพูดที่เขาเจอท่านครั้งแรกเป็นคำไม่สุภาพ
ไม่ถนอมน้ำใจแต่กำลังจะนำข่าวมาให้ แต่ลืมระมัดระวังคำพูด ท่านจะฟังเขาได้ไหม
บางคนฟังได้ บางคนไม่ยอมฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะว่าตอนนั้นเราลืมความเป็นผู้นำแต่เรายึดติดฐานะของผู้นำจนเกินไป
จึงทำให้ตนเองลืม ตัดสินใจไม่เที่ยงธรรม
พอเขาพูดไม่มีสัมมาคารวะ ท่านจึงไม่คิดอยากจะฟัง
การกระทำเช่นนี้เป็นการดำรงตนที่ถูกไหม (ไม่ถูก) หากผู้นำอยากให้
ผู้น้อยเคารพจะต้องเปิดใจกว้าง ถ้าตอนนั้นเขาลืมสัมมาคารวะ
เราต้องเปิดใจกว้างให้อภัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เฉกเช่นเดียวกัน
หากคนๆ หนึ่งมาด้วยท่าทีพินอบพิเทา ท่าทีสัมมาคารวะครบถ้วนทุกประการ
แต่หวังจะยืมเงินจากท่าน ท่านจะตัดสินใจอย่างไรกับเขา ตอนแรกท่านคงยิ้มด้วยใบหน้าที่เบิกบาน
แต่พอตามมาด้วยประโยคหลังก็ไม่พอใจและคิดระแวงเขา ใช่ หรือเปล่า (ใช่) นั่นเป็นการดำรงตนถูกต้องเหมาะกับฐานะของตนหรือไม่ (ไม่) แต่เพราะว่าเขาลืมตำแหน่งของตนเอง
ห่วงทรัพย์สินมากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราอยู่ในสังคมถ้าไม่ลืมฐานะที่ตนเองดำรงอยู่ ก็ลืมท่าทีที่เที่ยงธรรมที่ควรจะปฏิบัติ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามักอยู่กับคนหลายคน
แต่พอคนหลายคนใช้ท่าทีแบบหนึ่งท่านก็ตอบเขาไปแบบหนึ่งด้วยอารมณ์ไม่ใช่ด้วยคุณธรรม
หรือด้วยฐานะตำแหน่งที่ถูกต้อง
ฉะนั้นการมีฐานะ การมีตำแหน่ง การมียศ การมีทรัพย์
จะมีอย่างไรให้สามารถประพฤติได้ถูกต้อง ประพฤติได้เที่ยงธรรม บางครั้งเป็นการยาก แต่ไม่มีเลยก็ไม่ได้
ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไร
นั่นก็คือต้องรักษาความเป็นกลาง ยืนบนความเที่ยงธรรมให้เป็น
เราถึงจะสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมแล้วปฏิบัติต่อเขาได้อย่างถูกต้อง
ไม่เกิดความเดือดร้อน ไม่เกิดความวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
“จิตใจตามปรกติล้วนรู้ได้ ความอาลัยช้ำรักโลภระวังยิ่ง
โกรธหลงจะทำลายซึ่งคนจริง สตินิ่งแล้วอย่าละเลยไป”
ตอนที่ท่านยังเป็นเด็กท่านเคยมีความโกรธไหม เด็กๆ โกรธแทบจะไม่เป็น เป็นอย่างเดียวคือร้องไห้
รักก็เริ่มจะเป็นบ้างแต่ก็เล็กน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เกลียดเป็นหรือยัง (ยัง) ตอนเด็กโลภเป็นไหม (ไม่เป็น)
หากเราพูดว่าทุกท่านในที่นี้เปรียบเหมือนคนที่กำลังเดินอยู่บน หนทางๆ หนึ่ง ซึ่งมีรัก โลภ โกรธ
หลงอยู่ระหว่างทาง รัก โลภ โกรธ
หลงเปรียบเหมือนตุ๊กตา พอหยิบความรักมาได้ก็เล่นเสียจนเพลิน
ลืมไปว่าต้องรักให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) พอหยิบตุ๊กตาโกรธมาได้ก็โกรธจนไม่รู้จักระงับเป็น
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้เราว่าท่านยังเหมือนเด็กอยู่
เป็นเด็กที่เล่นตุ๊กตาแห่งกิเลส แต่เล่นตุ๊กตาแห่งกิเลสแล้ววางตุ๊กตาแห่งกิเลสนั้นไม่ลง
หากจะเล่นต้องอ่านและเรียนรู้วิธีให้เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) วิธีการเรียนรู้กิเลสหรือเรียนรู้ตุ๊กตาแห่งกิเลสนั้นควรอ่านจากที่ใดกัน
อ่านจากชีวิตหรืออ่านจากคุณธรรม (ศึกษาได้จากชีวิต) เพราะชีวิตจะสอนให้ท่านรู้จักว่ารักอย่างไรเรียกว่ารักเป็น
โกรธอย่างไรเรียกว่าโกรธเป็น ชีวิตจะทำให้ท่านรู้จักรัก โลภ โกรธ หลงได้เด่นชัด
แต่ธรรมะจะช่วยทำให้ท่านรัก โลภ โกรธ หลงได้เป็น และหยุดเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีใครบ้างไหมที่อยากจะรัก โลภ โกรธ หลงได้เป็น ถ้ามีคงคิดจะศึกษาธรรม แต่ถ้าไม่มีคงคิดจะดำรงชีวิตอย่างเดิมต่อไป
เพราะคิดว่ารัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์กับชีวิต
หากตอนนี้ชีวิตท่านเป็นสุขไม่เคยทุกข์ ท่านจะไม่สนใจแม้เพียงคุณธรรมสักข้อหนึ่ง
ใช่หรือเปล่า (ใช่) หากชีวิตท่านอิสระเสรี
ท่านคงจะไม่คิดมาควบคุมตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วอย่างนี้คนในที่นี้จะมีสักกี่คนที่จะกลับมาศึกษาธรรม
ทุกคนต่างทำไปตามความต้องการของตนเอง
ทุกคนต่างดำเนินชีวิตตามความอยากของตนเองแล้วธรรมะมีไว้ทำไมกัน
มีไว้ให้ท่านหลบร้อน
มีไว้ดับทุกข์ในเวลาที่ท่านดับทุกข์ไม่ได้ วางไม่ลงเท่านั้นหรือ
ท่านคิดว่าธรรมะมีประโยชน์อย่างไร บางครั้งคนที่อยู่ใกล้ธรรมไม่สันทัดธรรมะ
ท่านจะกล่าวโทษเขาก็ไม่ได้ บ่อยครั้งที่เราเป็นอาจารย์เขา แต่เราสอนตัวเราไม่เป็นก็มี ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นการจะว่าผู้อื่น
การจะตรวจสอบผู้อื่นว่าดีขนาดไหน เก่งขนาดไหน
เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า
เราเป็นอาจารย์เขา เราเป็นหมอของเขา เรารักษาตัวเองเป็นไหม บางครั้งก็ยังไม่เป็น
บางครั้งก็รู้อยู่ว่าทำแล้วจะเป็นอันตรายกับชีวิตยังอดทำไม่ได้เลย คนเป็นหมอยังเผลอทำเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะกล่าวโทษว่าธรรมะตอนนี้ได้เลือนหายไป
เพราะว่าคนที่อยู่ใกล้ธรรมไม่รักษาธรรมไม่ได้
แต่ต้องโทษว่าคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมต่างหากที่ไม่รักษาธรรมในจิตใจของ ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคุณธรรมในโลกนั้นขอให้ท่านหันมามองสักนิดหนึ่งว่ามีประโยชน์อะไรกับชีวิต
ช่วยอะไรชีวิตได้ ช่วยอะไรตนเองได้
หากท่านมองแล้วเข้าใจ แล้วรู้ถึงผลประโยชน์ ขอให้กุมความเข้าใจ
กุมผลประโยชน์นั้น แล้วเดินไปสู่หนทางธรรม ท่านจะเป็นคนพบการบำเพ็ญธรรม การดำเนินชีวิตที่เป็นสุขได้
“เพียงแต่หันหลังเลิกประมาทมา”
เมื่อมีความประมาทในชีวิตขอให้รีบหันหลัง ขอให้รีบรู้ตัวรู้ทันชีวิต อย่าได้ปล่อยชีวิต อย่าได้ประมาทในชีวิต ชีวิตตอนนี้มีลมหายใจ
แต่พรุ่งนี้ท่านกล้าที่จะพูดไหมว่าลมหายใจยังอยู่กับท่าน
ชีวิตยังอยู่กับตัว ไม่กล้าพูดใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนั้นท่านจะมาโทษฟ้าโทษดินว่าไม่ให้เวลาท่านได้หรือไม่ (ไม่ได้)
เรามีวิธีอีกวิธีหนึ่งจะทำให้ทุกคนคุยกับเรา เราถามเป็นบุคคลเลย ดีไหม (ดี) ฟังเรามาแล้วนับจากนี้ไปจะไปทำอย่างไรกับชีวิตดี (ต่อไปนี้ต้องไปแยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว
โดยใช้ธรรมะเป็นเส้นแบ่ง) แปลว่าแต่ก่อนท่านยังแยกไม่ชัดเจน
รู้สึกว่าคลุมเครือใช่หรือเปล่า
ความดีในจิตใจท่านยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถแบ่งได้ชัดหรือไม่ (เชื่อระดับหนึ่งแต่ก็ยังเชื่อไม่หมด รู้ไม่หมด) แต่ขอเพียงท่านมั่นใจว่าตัวเรานั้นมีทั้งความดีและความชั่ว แต่ถ้าท่านให้พลังความดี แล้วความชั่วจะบังเกิดไหม (ไม่เกิด) แล้วความ คลุมเครือในจิตใจจะเกิดได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไรความชั่วกับความดีจึงแยกกันไม่ออก เพราะว่าท่านไม่ได้ให้พลังในการสร้างความดี
ท่านจึงไม่สามารถประจักษ์ว่าผลของความดีมีอย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะโดยปรกติการดำเนินชีวิตของท่านไม่ได้คำนึง
ไม่ได้สนใจ เรามัวแต่คำนึงถึง ลาภยศ
เงินทองมากจนเกินไป แต่เราก็รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าเงินทอง ลาภยศ ให้ทุกข์หรือสุข นับจากนี้ท่านอยากทุกข์หรืออยากสุขในชีวิต
ทุกข์และสุขไม่ใช่ขึ้นอยู่แค่เพียงเงินทองแต่จริงๆ ขึ้นอยู่ที่จิตใจเราต่างหาก
วางได้ไหม เปิดใจรับกับสภาพที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า
ท่านอื่นคิดว่าฟังธรรมะแล้วกลับไปจะทำอย่างไรกับชีวิต (ฝึกจิตให้มีสมาธิ) การมีสมาธิพูดง่ายๆ คือการมีสติอยู่กับตัว
การหลับตาอย่างเดียวจะเรียกว่ามีสติอยู่กับตัวได้ไหม แต่เปิดตาก็ต้องมีสติด้วย แล้วท่านจะทำอย่างไรให้ตนเองมีสมาธิอยู่ตลอดเวลา
(รับรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่) นั่นคือต้องนิ่งและรู้เท่าทันเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบกับชีวิตหรือกระทบ กับใจ
ใช้สติในการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ผู้บำเพ็ญจึงต่างให้กำลังใจ”
แม้ว่าการบำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรมจะไม่ใช่เรื่องสนุกสนานเฮฮา
แต่การศึกษาธรรมและบำเพ็ญธรรมก็ไม่ใช่เรื่องเศร้าโศกเสียใจ ขอเพียงคนมีใจบำเพ็ญ
ผู้บำเพ็ญที่อยู่ร่วมกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
การบำเพ็ญธรรมย่อมเป็นการนำหนทางให้กับชีวิต
ย่อมเป็นการนำสิ่งที่ดีให้กับตนเองและคนรอบข้าง
ขอเพียงท่านมั่นใจว่าธรรมะนี้ดีจริงๆ
ธรรมะนี้สามารถเปลี่ยนแปลงคนที่ชั่วร้ายให้กลับกลายเป็นดีได้ โดยที่ท่านต้องเป็นตัวแทนเริ่มต้นก่อน
หากแม้ท่านมาฟังแล้วได้แต่พูดว่าดีแต่ท่านไม่ได้ทำ คนที่จะตามมาเขาจะตามท่านได้ไหม
(ไม่ได้) ก็ย่อมไม่ได้เพราะเขาจะเกิดคำถามในใจว่า ในเมื่อดีแล้วทำไมท่านจึงไม่ทำก่อน
ใช่หรือไม่ (ใช่) หากบำเพ็ญแล้วมีประโยชน์
ทำไมท่านไม่บำเพ็ญก่อน
ฉะนั้นการที่เราพูดมามากมาย หวังให้ท่านทำตั้งมากมาย โน้มน้าวให้ท่านเห็นว่าการบำเพ็ญนั้นมีประโยชน์
อย่างไร
ก็เพื่อให้ท่านได้รู้ว่าการทำนั้นหากท่านทำได้แล้วนำออกไปปฏิบัติให้ผู้อื่นเห็น
เขาย่อมเจริญและเดินตามท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ถ้าท่านได้แค่พูดว่าดีแต่ไม่ได้ปฏิบัติ เขาก็ย่อมเห็นว่าดีแต่ไม่ทำตามท่าน
ใช่หรือเปล่า (ใช่) เฉกเช่นเดียวกับการ อบรมสั่งสอนลูก การอยู่ร่วมกับเพื่อนในสังคม
หากท่านเรียกร้องให้เพื่อน ซื่อสัตย์แต่ตัวท่านขาดความซื่อสัตย์
เมื่อเขาไม่ซื่อสัตย์แล้วท่านจะโทษเขาได้ไหม (ไม่ได้) ต้องโทษเราเองต่างหากที่เราไม่ซื่อสัตย์กับเขาก่อน
ใช่ หรือเปล่า (ใช่) หากท่านไม่ทำดีให้เห็นชัดเจนแล้วลูกไม่ทำดี
ท่านจะโทษลูกได้ไหม
ก็ยังไม่ได้เพราะว่าตัวแทนของพ่อแม่ยังทำดีให้ลูกเห็นไม่แจ่มชัดเลยแล้วลูกจะเอากำลังใจที่ไหนไปทำดี
ไปประจักษ์ซึ่งความดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ปัจจุบันนี้เราอยู่ในสังคมที่มองผู้อื่นว่าดียากแต่ชั่วง่าย
ในสังคมจึงเต็มไปด้วยความชั่วที่อยู่รวมกันไม่ใช่ความดี
แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถบำเพ็ญดี ปฏิบัติดีแล้วมองผู้อื่นให้ดีได้
เมื่อนั้นท่านจะเป็นคนที่เริ่มปลูก
ต้นกล้าแห่งความดีให้บังเกิดผล
แต่ถ้าฟังธรรมไป แม้จะรู้ว่าดีแต่ขาดการ ลงมือปฏิบัติ ต่อไปต้นกล้าแห่งความดีก็จะไม่บังเกิดผล
ใช่หรือไม่ (ใช่)
หากวันนี้ใครมีจิตใจอยากจะฟังธรรมะให้จบ
ขอให้รักษาจิตใจนี้ฟังให้ครบชั้นสามวันแล้วท่านจะเข้าใจยิ่งขึ้นว่า
ทำไมจึงต้องมีการยืมร่าง หากคนทุกคนปฏิบัติดี หากโลกเต็มไปด้วยความสงบสุขสันติ
ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงความดีกันอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ปัจจุบันนี้ความดีหายาก ความชั่วเต็ม ไปหมด
วันเสาร์ที่ ๑๕
พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระนาจา
ใครเกิดมาดีพร้อม เล็กน้อยยอมอภัยทุกครา
ใจหมดความอิจฉา เหมือนปลาสู่ธารเสรี
ทุกชีวิตแจ่มใส ขอให้ฝึกดวงฤดี
เจอยากจะไม่หนี ขวนขวายมีแต่ความน้อมใจ
ทำนองเพลง : แมงมุมลาย
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจฟังธรรมะหรือเปล่า
ปลูกต้นโพธิ์มั่นคงผืนดินใหญ่ ปฏิบัติเมื่อเข้าใจถูกตอนขั้น
เดินบนทรายให้ทางอันคลุกคลาน ปัญญาเดินตนผันอย่ามัวจม
ยึดอดีตกลับจมฝันลอยคอ สุขทุกข์ที่พะนอหวานและขม
อาจไม่ผ่านเลยอนาคตที่อุดม ชอบคาดหวังเป็นอารมณ์ไกลสัมมา๑
ระลึกมั่นแต่ปัจจุบันทำความดี ตั้งใจอยู่กับที่ไม่ถือสา
เพลามั่งคั่งในความนิยมนา ธรรมในผู้สติกล้าไม่อ่อนแอ
ผู้วนหลงไม่อาจฟื้นพุทธะ สู่วาระยุคสามจงแน่วแน่
ยืมกายปลอมบำเพ็ญสู่จริงแท้ รู้เรียนผูกเรียนแก้ให้จดจำ
|
ฮิ ฮิ
หยุด
พระโอวาทพระนาจา
เข้ามาในสถานธรรมนี้แล้วได้รับแสงธรรมบ้างไหม ได้จนแสบตาไปหมดเลย แล้วมองไม่เห็นเลยใช่ไหมว่าไหนคือแสงธรรม มองเห็นหรือเปล่า
หรือว่าเราสว่างอยู่แล้วก็เลยมองไม่เห็นว่าอะไรคือความสว่าง
ท่านออกจากบ้านท่านก็ต้องแต่งตัวใช่ไหม (ใช่) แล้วแต่งตัวอย่างไรดี
แต่งตัวตามสมัยเพื่อความสวยความหล่อ หรือเพื่อปกปิดร่างกาย (ปกปิดร่างกาย) จริงหรือเปล่า
ทำไมต้องมองกระจกว่ายังไม่สวยขอแต้มหน่อย
ยังไม่หล่อขอเปลี่ยนเสื้ออีกตัวหนึ่งดีกว่า
ส่วนมากจะเป็นเพราะว่าเรามักจะหวังสวยหวังหล่อกันมากกว่าที่จะคำนึงถึงการปกปิดร่างกาย
ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้บางครั้งเวลาที่เราจะเอาไปใช้ทำอย่างอื่นกลับมัวเสียเวลาอยู่ตรงหน้ากระจก
ใช่ไหม (ใช่)
ใครคิดว่าตนเองสวยที่สุดยกมือขึ้น
ใครที่คิดว่าตัวเองหล่อที่สุดยกมือขึ้น
แปลว่าในห้องนี้ไม่มีใครสวย ไม่มีใครหล่อเลยใช่ไหม แล้วเป็นประเภทไหน ดูได้หรือว่าน่าเกลียด (ดูได้) ดูได้ไม่ใช่น่าเกลียด ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าดูได้อย่างนี้ก็เลยดูใหญ่เลยใช่หรือไม่
พอบอกว่าน่าเกลียดก็ต้องแต่งให้ใหม่จะได้ดูได้ใช่ไหม
เอาแค่ดูได้ก็พอใช่หรือเปล่า เวลาออกจากบ้านหรือเวลาเราจะไปไหน บางครั้งเราแค่ขอให้ดูได้ก็พอแล้ว ใช่หรือเปล่า
(ใช่) แต่เอาเข้าจริงแล้วเราก็อดไม่ได้ที่จะขอให้ดูได้มากกว่าดูได้อีกนิดหนึ่ง ขอให้ดูดีกว่าดีอีกนิดหนึ่ง ทำให้เราเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ ใช่หรือเปล่า
(ใช่)
วันนี้ฟังธรรมะเป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว (วันที่สอง) เหลืออีกกี่วัน (หนึ่งวัน) อีกตั้งหนึ่งวันหรือเหลืออีกแค่หนึ่งวัน (เหลืออีกแค่หนึ่งวัน) การบอก คนอื่นว่าเหลืออีกตั้งหนึ่งวัน ความรู้สึกต่างกันไหม (ต่าง) คำพูดของคนเรานั้นบางครั้งพูดแล้วทำให้คนลุกจากที่นอนได้
หรือพูดแล้วทำให้คนกลับไปนอนเหมือนเดิมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าคำพูดของคนเรามีผลต่อชีวิตคน และมีผลต่อตัวคนๆ
หนึ่งด้วย
ท่านเคยเห็นไหมที่มีคนนั่งอยู่ดีๆ พอท่านมาพูดเขาก็ร้องไห้ พออีกคนเข้ามาพูดใหม่เขากลับยิ้มหัวเราะได้อย่างยินดีปรีดา แปลว่าคำพูดก็มีอิทธิพลต่อจิตใจ
ต่อชีวิตเราได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกพูดแบบไหน แต่คนเรามักไม่ค่อยกลั่นกรองในการพูด ลืมระมัดระวังคำพูด เวลาเจอหน้าเขาคิดอะไรก็พูดออกไปอย่างนั้น ทำให้บางครั้งท่านตั้งใจจะพูดอะไร ท่านก็ลืมไปแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) มัวแต่พูดเรื่องอื่นไปตั้งเยอะ
ท่านฟังการพูดมาหนึ่งวันครึ่งแล้ว
เขาขึ้นมาพูดอะไรให้ท่านฟังกัน (พูดธรรมะ, ความหมายของการทานเจ) วันนี้ฟังมาตั้งเยอะแล้วใช่ไหม
บางคนทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่อง
แปลว่าเขาไม่มีประสิทธิภาพในการพูด พูดแล้วทำให้ท่านง่วง อย่างนี้คนพูดๆ ไม่ดีใช่หรือเปล่า ทำให้คนฟังๆ แล้ว ไม่มีความกระตือรือร้น มีใครบ้างที่ฟังแล้วเข้าใจ เราก็ต้องรู้ด้วยว่าเราเป็นคนฟัง
เราจะรับอิทธิพลของคนพูดนั้นเราต้องรู้จักกลั่นกรองและเลือกสรรสิ่งที่เขาพูดให้เราฟัง พูดแล้วทำให้เราเป็นอย่างไร ทำให้เราดีขึ้น
ทำให้เรามีแนวทาง ทำให้เรามองเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งนี้กำลังจะให้อะไรกับเรา
ทุกคนมีปัญญาในการพินิจ วิเคราะห์และวินิจฉัยเรื่องราวต่างๆ
ที่เกิดขึ้น วันนี้ท่านมาฟังตรงนี้ ท่านก็ต้องดูด้วย ไม่ใช่ดูแค่ที่หน้าคนพูด ต้องดูทั้งเนื้อหาและผลที่จะตามมาด้วย
ว่าเขาพูดเพื่อเขา เพื่อเรา หรือเพื่อทุกๆ คน
ฟังแล้วก็เหมือนว่าเพื่อทุกๆ คน
แต่ทุกๆ คนทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็คิดว่าเขามาหรือเรามาก็ล้วนแล้วแต่มีความหวังดี
มีสิ่งที่ดีให้แก่กัน ดีหรือไม่ (ดี) เราไม่มีการหลอกลวงกัน เรามีแต่ความจริงใจให้แก่กัน ฉะนั้นเราก็ต้องรักกันได้ อยู่ร่วมกันได้
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าอย่างนั้นจบสามวันแล้วเรายังมาหากันอีกได้หรือไม่
(ได้) คนที่มอบสิ่งที่ดีให้ท่าน มีความจริงใจให้กับท่าน ผลประโยชน์ก็เพื่อทุกๆ คน
ไม่ใช่เพื่อตัวเอง
ท่านคิดอยากจะมาหาเขาหรือว่าท่านคิดอยากจะหนีเขา (อยากมาหาเขา) ก็น่าจะมาหา
เพราะว่าเขาไม่ได้หวังประโยชน์อะไรจากท่าน
ไม่ใช่พูดจบแล้วบอกว่าอย่าลืมใส่ซองแดงให้ด้วย เขาก็ไม่ได้หวังอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) พอฟังมามากจนเหงื่อตก แล้เราลงไปก็มีแต่ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซับเหงื่อ
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ใครเกิดมาดีพร้อม”
มีใครไหมที่เกิดมาแล้วมีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่มีขาดตกบกพร่อง
ไม่มีอะไรที่รู้สึกว่าไม่ชอบเลยตั้งแต่เกิดมา (ไม่มี) ส่วนมากทุกคนต่างมีทั้งข้อดี ข้อเสีย
แล้วเราก็ไม่ใช่มองแต่คนอื่น เรายังได้รู้อีกว่าตัวเราไม่ใช่ที่มีแต่ข้อดีเท่านั้น
ตัวเราก็ยังมีข้อเสีย คนอื่นก็เหมือนกัน
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย การอยู่ร่วมกัน
หากเรารู้ตรงจุดๆ นี้เราย่อมให้อภัยเขาได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเมื่อไรฟังแล้วไม่ถูกหู มองแล้วไม่ถูกตา
ท่านก็ต้องคิดว่านั่นคือความ
ไม่สมบูรณ์ของเขา ต้องให้อภัยเขา
ใจเราถึงจะมีสุข และสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างฉันท์มิตร ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไร พอถึงคราวจริงๆ เรากลับทำใจรับเขาไม่ได้
เรากลับไม่ยอมเขา ทั้งที่เราก็รู้อยู่เป็นพื้นฐานแล้วว่าคนทุกคนไม่มีใครดีหมด
ไม่มีใครพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง
แม้เราจะคิดว่า
วันนี้เราแต่งตัวสวย
แต่บางทีก็ลืมรูดซิปเดินออกไป เพราะมัวมองข้างบนมากเกินไป แล้วเราจะทำอย่างไรดี
ถ้าเกิดเรารู้สึกว่าเรารับเขาไม่ได้
ไม่ใช่เฉพาะคนเท่านั้น
เรื่องราวในโลกก็เหมือนกัน
ไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้เราสมหวังได้ตลอด มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง มีได้รับแล้วก็ต้องมีเสียไป
แล้วเราจะยืนอีกด้านหนึ่งโดยไม่รับอีกด้านหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้) เราจะต้องทำอย่างไรให้ยืนตรงกลางได้
โดยไม่ว่าเจอผิดหวังหรือความสมหวังเราก็เป็นสุขได้
นั่นก็คือต้องยอมรับสภาพให้เป็นและตามให้ทันเหตุการณ์
คนในโลกนี้ไม่ว่าเราจะทำงาน หรือไม่ว่าเราจะเป็นอะไร เราอย่าเป็นทาสของสิ่งนั้น
แต่เราต้องเป็นนายของสิ่งนั้น
เวลาเราทำงานอะไร เราบอกว่าเราอยากมีอิสระ ไม่อยากเป็นทาส แต่ผลสุดท้ายเวลาทำเข้าจริงๆ
เราก็เผลอเป็นทาสของเขาไปไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนแรกที่เราซื้อบุหรี่มา เราเป็นนายบุหรี่ ซื้อเหล้ามาเราก็เป็นนายของเหล้า เราสามารถซื้อมาได้และเอามาวางตรงไหนก็ได้ แต่พอสูบบุหรี่ กินเหล้าแล้วเป็นอย่างไร
เรากลายเป็นคนสามขา สี่ขา
กลายเป็นทาสของเหล้า กลายเป็นทาสของบุหรี่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เหมือนกัน ตอนแรกเรารู้จักรักเป็น เรารู้จักมอบความรักให้
แต่พอเราได้รักเราก็ตกหลุมรัก
พอเราโกรธเขาได้เราก็ตกหลุมโกรธเข้าไป
แล้วก็ลุกไม่ขึ้น วางไม่ลง
ทำอย่างไรจะหายโกรธ
“เล็กน้อยยอมอภัยทุกครา”
ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยหรือเรื่องใหญ่ ขอให้เรารู้จักวางใจให้เป็น ใจ
เราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่ที่เราวางไว้ตรงไหน วางไว้เหนืออารมณ์
เหนือกิเลสตัณหา เราก็ไม่เป็นทาสอารมณ์ กิเลสตัณหา วางไว้เหนือลาภยศชื่อเสียง
เราก็ไม่เป็นทาสลาภยศชื่อเสียง ฉะนั้นอยู่บนโลก
เราอย่าติดในโลกเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ใจหมดความอิจฉา”
หากเห็นใครดีกว่า แม้เขาจะมีความสามารถเท่าๆ
กับท่านหรือน้อยกว่าหรือเก่งกว่า แต่ถ้าเขาได้เป็นคนนำ
เราก็ต้องรู้จักที่จะไม่อิจฉาและให้โอกาสเขา ไม่เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่คนบนโลกมักตรงกันข้าม
พอใครดีกว่าก็คิดว่าไม่เห็นเก่งกว่าเรา แค่โอกาสให้เท่านั้นเอง
แล้วเราก็อิจฉาเขา แต่อิจฉาแล้วใครเจ็บ
คนที่ถูกอิจฉาเจ็บหรือคนอิจฉาเจ็บ (คนอิจฉา)
ตัวเราเจ็บใช่หรือไม่
(ใช่) ความอิจฉาเหมือนตัวชั่วร้าย ตัวชั่วร้ายมักจะให้โทษแก่เจ้าของ ส่วนคนที่โดนอิจฉาเขากลับภาคภูมิใจ
เพราะมีดีคนเลยอิจฉา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เพราะอะไรคนเรามักกลัวคนอิจฉา
เพราะว่าสิ่งที่ตนเองได้มานั้นอาจจะไม่ได้มาด้วยความสามารถของตัวเองจริงๆ
เขาเลยกลัวคนอิจฉา กลัวคนแก่งแย่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าสิ่งนั้นเราได้มาด้วยความ เข้มแข็ง ด้วยความสามารถของเราจริงๆ ไยจะกลัวกับคนอิจฉา ต้องภาคภูมิใจด้วยซ้ำ
ว่าเรามีดีเขาถึงอิจฉาเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เจอยากจะไม่หนี”
ทำไมเจอความทุกข์ยากถึงไม่หนี (ถึงหนีก็ไม่พ้น, ถ้าหนีก็ต้องหนีตลอด, ไม่มีใครหนีความทุกข์ยากพ้น) ไม่มีใครหนีความจริงแห่งโลกใบนี้พ้น ใครไม่มีความทุกข์ย่อมเป็นไปไม่ได้
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ต้องทุกข์เป็น
ใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งที่ท่านเรียกว่าสุข พุทธะเรียกว่าทุกข์น้อยเท่านั้นเอง สุขจริงๆ ไม่ใช่สุขในการอยู่บนโลกนี้
ไม่ใช่สุขในการเต้น มีเงิน มีทอง มีทรัพย์สิน แต่สุขที่แท้จริงคือสุขสงบต่างหาก สุขที่ไม่ต้องวนกลับมาทุกข์ คือสุขที่แท้จริง ท่านว่าจริงไหม
แต่ความสุขที่แท้จริงมนุษย์มักจะไปไม่ถึงเพราะว่าไม่ยอมขึ้นที่สูง
เลยไม่รู้จักความสุขของการอยู่ที่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เรามักจะพอใจว่าตรงนี้ฉันยืนดีแล้ว มีครบแล้ว
เรื่องอะไรต้องไปปีนเนินสูงๆ เหมือนเวลาเราเห็นดอกไม้ เรามักจะบอกว่าดอกไม้ดอกนี้สวยแล้ว
ใหญ่แล้ว หอมแล้ว สีก็สด
แต่มีใหญ่กว่านี้ไหม (มี) เหมือนสุขที่ท่านคิดว่าสุข
แต่ถามว่ามีสุขใหญ่กว่านี้ไหม (มี) แล้วมีสุขที่นิจนิรันดร์กว่านี้ไหม
(มี) ชีวิตนี้ท่านสามารถหาความสุขที่ใหญ่กว่านี้ได้
เป็นความสุขที่แท้จริงกว่านี้
ความสุขของพระพุทธเจ้าเป็นสุขในการกลับคืนนิพพาน
นั่นคือสุดยอดของความเป็นคน สุดยอดของการมีชีวิต
แต่ทำไมเราไปไม่ถึง
เราเหมือนท่านไหม (ไม่เหมือน)
ถ้ามองภายนอกท่านมีเหมือนพระองค์ทุกอย่างไหม
(เหมือน) ต่างกันตรงที่ปัญญา
แต่ท่านก็มีปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วพระพุทธเจ้ามีกิเลสหรือเปล่า
(ไม่มี) เคยมี ไม่อย่างนั้นพระองค์จะตัดกิเลสได้อย่างไร แล้วพระองค์มีทุกข์หรือเปล่า (มี) แต่พระองค์ยังโชคดีกว่าพวกท่าน
เพราะพระองค์มีทั้งความเป็นกษัตริย์ มีทรัพย์สมบัติทุกอย่าง ทำไมพระองค์วางได้
แล้วทำไมท่านวางไม่ได้ มีก็น้อยกว่าด้วย ตำแหน่งก็ต่ำกว่าด้วย ทำไมท่านวางไม่ได้
ขนาดเรามีฐานะสูงกว่า และเราเด็กกว่าด้วย เรายังวางได้
ท่านก็วางได้เหมือนกันแต่อยู่ที่ว่าเราสามารถที่จะเอาปัญญาไปต่อสู้ได้หรือไม่
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราจะมาสอนให้ท่านมีปัญญา ปัญญาที่เหนือปัญญา ปัญญาที่เรียกว่าปัญญายิ่งแล้ว
ดีไหม (ดี) เป็นปัญญาที่นำพาท่านให้พ้นจากกิเลส พ้นจากความทุกข์
ความเศร้าหมอง ดีหรือเปล่า (ดี)
คนทุกคนมีสองบุคลิก บุคลิกหนึ่งคือบุคลิกที่ยอมแพ้ อ่อนแอ เป็นด้านลบ อีกบุคลิกหนึ่งคือด้านบวก
สามารถทนสู้อุปสรรคนานาได้ สามารถเป็นคนเข้มแข็ง ฮึกเหิมและหาญกล้าได้
อยู่ที่ว่าเวลาเราดำเนินชีวิตเราประสบพบเจอเรื่องอะไร เราเอาด้านไหนออกมาแสดง ถ้าเราเอาด้านลบออกมาบ่อยๆ
เราก็กลายเป็นคนขี้แพ้ อ่อนแอ ไม่รู้จักสู้
แต่ถ้าเอาด้านบวกมาใช้เป็นประจำ
ท่านก็จะเป็นคนที่เข้มแข็งสามารถต่อสู้อยู่บนโลกใบนี้ได้
ถ้าพูดในทางธรรม การเอาด้านลบออกมาใช้ก็จะเป็นคนเลว คนชั่วร้าย
แต่คนที่รู้จักเอาด้านดีออกมารับก็จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี
รู้จักนำคุณธรรมมาสอนชีวิต
แล้วปรกติการมีชีวิต ท่านเอาด้านลบหรือเอาด้านบวกออกมา
เอาด้านขาวหรือด้านดำออกมา (สีเทา)
บางครั้งเราก็เอาสีเทา
คืออย่างละครึ่งหนึ่ง
แต่คนที่เป็นชายก็ไม่ใช่ หญิงก็ไม่เชิง ท่านว่าเป็นอะไร พวกที่เกิดมาผิดเพศใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตัวท่านที่ดีก็ไม่ใช่ ร้ายก็ไม่เชิง
อย่างนี้จะเรียกว่าอะไร
ก็คือพวกที่เกิดมาไม่รู้จักดำเนินชีวิต
ทำไมไม่เอาด้านใดด้านหนึ่ง ทำไมเดี๋ยวดีบ้าง เดี๋ยวร้ายบ้าง เดี๋ยวโง่บ้าง
เดี๋ยวเข็มแข็งบ้าง เดี๋ยวฉลาดบ้าง
ตัวเราเองนำตัวเองให้เที่ยงตรงตลอดไม่ได้หรือ
ต้นไม้คดๆ เคี้ยวๆ ท่านชอบไหม (ไม่ชอบ) ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านเกะกะท่านชอบไหม (ไม่ชอบ) ท่านชอบต้นไม้ตรงใช่หรือไม่ (ใช่) มีดคดท่านใช้ไหม (ไม่ใช้) คนคดท่านเลือกคบไหม (ไม่) แต่หน้าตาสวยคบไหม (คบ) ทำไมปากอย่างใจอย่าง บอกว่าคดหน่อยไม่เป็นไร ขอให้หล่อ
รวย สวยก็ใช้ได้ แต่พอคบไปก็ล้มกลางทาง
มีคำกล่าวว่า “ของปลอมหรือสิ่งหลอกลวง สิ่งที่ไม่แท้ สิ่งที่ไม่ใช่ของดี
แม้ตอนนี้จะใช้ได้แต่ไม่จีรัง” เหมือนการหลอกลวงคน แม้วันนี้ท่านหลอกได้ แต่วันหลังก็หลอกไม่ได้ ไม่เหมือนการใช้ของจริงหรือใช้ธรรม ตอนนี้แม้จะใช้ไม่ได้ ใช้แล้วยังติดขัด แต่ถ้าสามารถดำรงให้ดี ท่านย่อมใช้ได้นาน
คนย่อมวางใจ เชื่อใจ
ไม่เหมือนความชั่วร้าย ความคดโกง ความไม่ซื่อสัตย์ วันนี้ท่านดีใจที่หลอกเขาได้ แต่ต่อไปท่านจะยังดีใจได้ลงหรือเปล่า
หลอกได้ตอนต้นแต่ตอนปลายท่านกลับเศร้าใจ
ไม่เหมือนคุณธรรมความดี ทำไปเถิด ใช้ไปเถิด ไม่ว่าตอนไหนก็ใช้ได้ตลอด
ไม่ว่าตอนไหนก็พิสูจน์ค่าของความดีได้ตลอด
มนุษย์เรานั้นโดยปรกติมีความสว่างในใจอยู่แล้ว
ความสว่างในใจนี้จะนำพามนุษย์ไปสู่ความเจริญ ความดีงามและความยิ่งใหญ่ แต่เพราะมนุษย์เรามักจะพลาดกับกิเลส อุปสรรค
ตัณหาและอบายมุข
แทนที่จะทำให้ตนเองไปสู่ความเจริญ กลับทำให้ตนเองหม่นหมองและมืดมน เพราะเราคิดว่าของปลอม
สิ่งที่ไม่ดีหลอกคนได้ง่าย และทำได้ไว
ไม่เหมือนการทำความดี
ทำช้าแล้วก็ทำยาก และกว่าจะตกผลก็นาน เลยไม่ยอมทำ
เหมือนการฆ่าแมลงที่ฉีดยาเดี๋ยวเดียวก็ตายทันที แต่ผลที่กลับมานั้นยาวนาน เพราะมีสารตกค้าง สู้ฆ่าแบบธรรมชาติดีกว่า
เลี้ยงให้อ้วนเดี๋ยวก็ตายเอง
เพราะสัตว์พวกนี้เหมือนชูชก มีเท่าไรก็กินไม่หยุด เลือดของเรามีเท่าไรก็ปล่อยให้เขากินเถิด สักพักหนึ่งก็ตาย แต่ถ้าท่านฉีดยา คนที่รับผล
ก็คือตัวท่านหรือลูกหลานท่าน
ความดีและคุณธรรมก็เหมือนกัน
หากทำได้ คุณธรรมนั้นก็มีอำนาจที่ช่วยสะกดใจ
และมีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ในการดลใจคนให้กลับร้ายเป็นดีได้
จากอริกลายเป็นมิตรได้ แต่ขอให้ทำด้วยความจริงใจและเต็มที่
เราย่อมสามารถเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร เปลี่ยนคนร้ายเป็นคนดีได้
ขึ้นอยู่กับว่าการกระทำของเรานั้น บริสุทธิ์และจริงใจแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับคุณธรรมที่เราลงแรงนั้นได้บ่มเพาะเต็มที่มากเพียงไร ทำวันเดียวไม่มีใครเรียกท่านว่าเป็นคนดีได้ แต่ต้องทำทุกๆ วัน
เอาใจใส่และดูแลในการทำความดี แล้วต้นแห่งความดีย่อมบังเกิดขึ้นได้
ขอเพียงเราให้พลังอำนาจในการทำความดี มีพลังมีอำนาจเหนือความชั่วร้าย ความชั่วร้ายย่อมหมดไปจากใจได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดว่าไม่เป็นไร
เติมพลังให้ความชั่วหน่อย ทำเดี๋ยวเดียวไม่มีใครเห็น มืดๆ อย่างนี้ ห้องแคบๆ อย่างนี้ ไม่มีใครมอง
ฉันรู้คนเดียวเลยทำผิดได้ไหม (ไม่ได้)
แต่ทำไมเราชอบทำกัน กระซิบเบาๆ บนมนุษย์โลกแต่ดังถึงบนสวรรค์ มืดๆ ในบ้านท่านแต่สว่างในเมืองฟ้า รู้ไว้ด้วยว่าใครทำผิด บนสวรรค์เห็นหมด
เวลาเราส่องกระจกเราบอกว่าสวย แต่จริงๆ มีความผิดมาก แล้วในความสวย
ในลาภยศที่ท่านได้มามีความผิดผสมอยู่ด้วย ท่านจะยืนยิ้มได้เต็มที่ไหม (ไม่) เวลายิ้มก็ยิ้มแกนๆ
เขาบอกว่าสวยจังเลยแต่ใครจะรู้ว่าพอกมาเต็มที่ ดึงมาเต็มที่ เขาบอกว่าท่านร่ำรวย ใจดี แต่ที่ไหนได้กลับไปทำความผิดมา ฉะนั้นเกิดเป็นคนทั้งที
ทำไมไม่ปูพื้นฐานที่ดีสั่งสมไว้ ทำไมเราต้องไปดึงความชั่วมาเป็นมิตร
“ปลูกต้นโพธิ์มั่นคงผืนดินใหญ่ ปฏิบัติเมื่อเข้าใจถูกตอนขั้น”
เวลาท่านจะปลูกต้นไม้ ท่านต้องเรียนรู้วิธีปลูกก่อน เมื่อเข้าใจแล้วจึงลงมือปฏิบัติ
ปลูกต้นไม้ให้โตเป็นต้นไม้ที่เป็นประโยชน์ได้
แต่เราจะปลูกบ่มเพาะคนให้โตแล้วมีประโยชน์นั้นทำได้แต่ยาก เพราะต้นไม้อยู่กับที่ แต่ตัวคนไม่อยู่กับที่
ถึงบางครั้งจะอยู่กับที่แต่ใจไม่นิ่ง
ฉะนั้นคนเราเวลาจะดำเนินชีวิตหรือทำอะไรก็ตาม
อยากจะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ พื้นฐานในการทำงานนั้นคือความนิ่ง ความสงบ
เพราะความนิ่ง ความสงบเป็นบ่อเกิดในการเคลื่อนไหว
ถ้าเกิดว่าท่านไม่นิ่ง
หากกำลังตัดสินใจที่จะทำอะไรอยู่แล้วท่านเคลื่อนไหวทันที โอกาสผิดพลาดก็ง่าย เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักนิ่งก่อน
สำรวจให้เต็มที่ ไตร่ตรองให้ถูกต้องแล้วค่อยเคลื่อนไหว เหมือนการรบหรือการทำงาน เราต้องรู้เขารู้เรา
รู้กาลหรือรู้งาน เราถึงจะทำได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราจะปลูกต้นไม้
เราจะบ่มเพาะคน เราจะนำพาชีวิตตน เราก็ต้องรู้จักตนเองให้แจ่มชัด รู้จักทางที่จะไปให้ถูกทาง แล้วเราค่อยเคลื่อนไหวหรือขยับ
มีใครบ้างที่สามารถทำงานได้โดยไม่เคยเรียนมาก่อนเลย
อาจมีเหมือนกันแต่ต้องไปถามคนอื่น ให้คนอื่นสอนแล้วเราก็ทำตาม ทุกอย่างล้วนต้องเรียนรู้หมด เหมือนวันนี้จะบำเพ็ญธรรม
จะฝึกฝนตนเองก็ต้องเรียนรู้ก่อน
(พระนาจาเมตตาให้ทำท่าประกอบเพลง)
ฝึกบ่อยๆ ก็ถูกเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่าเพียงล่มตอนต้น
ถ้าทำผิดครั้งแรกแล้วก็ไม่ทำอีกเลย จะเป็นผู้สำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) บำเพ็ญครั้งแรกแล้วไม่ประสบผลสำเร็จก็เลิกบำเพ็ญเลยจะสำเร็จไหม
(ไม่สำเร็จ) ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าเจอความยาก
ยังไม่คล่องก็ต้องใช้ความพยายามแล้วฝึกบ่อยๆ
เราย่อมชำนาญแล้วเป็นผู้เก่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ยึดอดีตกลับจมฝันลอยคอ สุขทุกข์ที่พะนอหวานและขม”
มนุษย์เราขณะมีชีวิต มีอยู่สามกาลที่เราต้องประสบ กาลแรกก็คืออดีต กาลที่สองก็คือปัจจุบัน
กาลที่สามก็คืออนาคต
ถ้าเรามีชีวิตแล้วมัวแต่คำนึงถึงอดีตมากเกินไปจะเป็นอย่างไร
เราจะเล่าให้ฟัง มีชายคนหนึ่งเป็นคนที่อยากมีความก้าวหน้าให้กับชีวิต
เขาก็เลยคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะทำอย่างนี้ๆ วางแผนดิบดี
พอถึงพรุ่งนี้ก็บอกว่าไม่ใช่สิต้องทำอย่างนี้ๆ พอถึงพรุ่งนี้อีกก็บอกว่ายังไม่ถึงนี่เดี๋ยวค่อยทำ
รอพรุ่งนี้ก่อน อย่างนี้เขาจะก้าวหน้าไหม (ไม่ก้าวหน้า)
เพราะอะไร เพราะเขาคิดแต่ไม่ทำ มองแต่อนาคตไม่ยอมทำปัจจุบันให้ดี กับคนอีกแบบหนึ่งกลุ้มใจ ไม่สบายใจ
ที่แล้วมาทำไม่ดี รู้สึกเสียใจจังเลย พอผ่านไปอีกวัน ก็ยังทำใจไม่ได้ เพราะว่าจมอยู่กับอดีตจนเกินไป
มนุษย์เราจึงขึ้นอยู่กับสามกาลนี้
แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้จักวางสามกาลนี้ให้ถูก แล้วทำปัจจุบันให้ดี
อนาคตย่อมสดใส อดีตแม้จะเลวร้ายไม่เป็นไร
ถือเป็นบทเรียนที่มีค่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นคนเราจะสามารถมีอนาคตที่สดใสได้ต้องถามตอนนี้
ใครไม่เชื่อกรรมเราไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเกิดว่าตอนนี้ท่านไม่ทำดี
ต่อไปไม่ได้ดีท่านก็โทษใครไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้ท่านไม่รู้จักเริ่มทำ มัวแต่กังวลข้างหน้าแล้วก็ระแวงข้างหลัง
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระนาจาเมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ถ้าเกิดว่าเราให้ของที่ไม่มีประโยชน์ดีไหม (ไม่ดี) คนอยู่ในโลกนี้มักจะคำนึงถึงประโยชน์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเขาบอกว่าให้มานั่งฟัง
แต่เขาบอกว่ามาแล้วไม่มีประโยชน์ท่านจะมาไหม (ไม่มา) ส่วนมากมาเพราะคิดว่าต้องมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยถึงมากัน
ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วการอยู่ในโลกนี้เราควรคำนึงถึงประโยชน์หรือว่าไร้ประโยชน์ดี
(ประโยชน์) แต่ท่านสังเกตไหมว่าไม้ที่เหลืออยู่บนโลกมีประโยชน์หรือว่าไร้ประโยชน์ (ไร้ประโยชน์) ไร้ประโยชน์มักจะเหลืออยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนที่มีประโยชน์ตายเรียบ มักจะไม่มีชีวิตอยู่ทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้ท่านอยากได้สิ่งที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ (ไร้ประโยชน์) เปลี่ยนอีกแล้ว
ยังคิดว่ามีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ดี (ไร้ประโยชน์, มีประโยชน์) ก็ยังคิดว่ามีประโยชน์ดีกว่า
แม้ว่าจะถูกกำจัดก็ไม่เป็นไร แม้จะถูกใช้ก็ไม่เป็นไร ทำไมเราถึงพูดเช่นนี้
มีเรื่องหนึ่งเป็นนิทาน มีชายคนหนึ่งออกไปเที่ยวกับอาจารย์ แล้วก็เดินทางมาเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งสูงใหญ่มาก
ทุกคนต่างมาพักพิงที่ต้นไม้นี้
ลูกศิษย์ก็ถามว่าทำไมต้นไม้นี้ถึงได้โตได้ใหญ่ขนาดนี้
น่าจะมีคนตัดเอาไปใช้ประโยชน์ แต่อาจารย์ก็บอกว่าจริงๆ
แล้วต้นไม้นี้ไม่มีประโยชน์หรอก เอาไปสร้างเรือๆ ก็ผุ เอาไปสร้างบ้านๆ ก็ทรุด ต้นไม้ต้นนี้ก็เลยยังอยู่ได้ เขาก็บอกว่าการไม่มีประโยชน์เป็นสิ่งที่ดี
ทำให้เราสามารถอยู่รอด อยู่ได้ยืนนาน
แต่พอเขาไปถึงบ้านที่อาจารย์พาไปพักผ่อน ก็เห็นเป็ดสองตัวเดินมา อีกตัวหนึ่งไม่ร้อง อีกตัวหนึ่งร้อง วันนี้แขกมาก็ฆ่าตัวที่ร้องก๊าบๆ
นั่นแหละ มันร้องมากไร้ประโยชน์
เขาก็ถามอาจารย์บอกว่าอาจารย์ครับ สิ่งที่ไม่มีประโยชน์จะมีชีวิตรอด
แต่ทำไมเป็ดตัวนี้ไม่มีประโยชน์ คอยแต่ส่งเสียงร้อง มันกลับโดนฆ่าตาย
แปลว่าการมีชีวิตของคนถ้าทำตัวสูงเด่น ทำตัวมีประโยชน์มากเกินไปจะเป็นอย่างไร (ถูกกำจัด) อาจจะยังไม่โดนกำจัด แต่แรกๆ จะถูกโดนใช้บ่อย
ใครจะไปไหนก็เอามาใช้ประโยชน์ เพราะเก่งก็จะเหนื่อยก่อน ใช่หรือไม่ เหนื่อยแล้วก็ตายเพราะว่าความมีประโยชน์
ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่บางครั้งคนไร้ประโยชน์หรือคนที่มีประโยชน์น้อยกลับเป็นอย่างไร
กลับอยู่รอดและสบาย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางทีไร้ประโยชน์เกินไปในสังคมก็เป็นอย่างไร
กลับรำคาญ เกะกะแล้วโยนทิ้ง ใช่หรือเปล่า
แปลว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เราต้องรู้จักวางตรงกลางของชีวิตให้เป็น
แม้จะเก่งขนาดไหนบางครั้งต้องทำตัวไม่มีประโยชน์ให้เป็น เมื่อไรที่เราไม่มีประโยชน์
เราต้องรู้จักทำตัวให้มีประโยชน์ได้เป็น ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์แล้วดีใจ
ไปไหนก็ไม่มีใครใช้ฉัน มีความสุข แต่จะมีใครเขาอยากได้
มาก็มากินเปลืองข้าวเปล่าๆ
ยืนก็เกะกะเปล่าๆ ทำงานก็ไม่เป็น ฉะนั้นคนเราอยู่ในโลกนี้
ต้องรู้จักวางชีวิตให้เป็น อย่าทำตัวไร้ประโยชน์จนเกินไป และอย่าทำตัวเด่นจนเกินไป ไม่อย่างนั้นก็ถูกกำจัดทั้งสองอย่าง
ท่านวางชีวิตให้อยู่ตรงกลางเป็นไหม (ไม่เป็น) สมมุติว่าในหมู่คนเก่งเราต้องเป็นอย่างไร
จะยอมเป็นอีกาในฝูงหงส์หรือเปล่า
เราต้องรู้ว่าถ้าเราเข้าไปแล้ว
เราสามารถปรับให้อยู่กับเขาได้เราก็อยู่
แต่ถ้ารู้ว่าปรับไม่ได้ต้องรีบถอนตัวออกมา
ไม่อย่างนั้นเรานั่นแหละจะถูกกำจัดเพราะความไร้ประโยชน์ ถ้าเราอยู่ในหมู่ของคนไม่เก่ง เราต้องทำเป็นไม่เก่งไว้ก่อน อย่าอวดว่าฉันเก่ง ฉันทำได้ ทำไมเธอไม่เห็นฉัน เรียนก็เก่งแต่กลับไม่มีคนรัก กลับรังเกียจเราอีกต่างหาก แค่นี้เองทำเป็นหรือเปล่า ท่านมีชีวิตรอดมาได้ก็เก่งแล้ว ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ยังได้เห็นเรา รู้จักวางตัวเป็นก็แปลว่าเก่งแล้ว แม้ว่าจะร้องไห้ไปหลายครั้ง แม้จะเสียใจไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะได้บทเรียนที่ดีในการมีชีวิตอยู่
(พระนาจาเมตตาประทานแอปเปิ้ลให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
แอปเปิ้ลนี้เหมือนกับแอปเปิ้ลข้างนอกไหม (เหมือน) แต่คุณค่าและการได้มาต่างกัน แอปเปิ้ลนั้นท่านซื้อมาด้วยเงิน แต่แอปเปิ้ลนี้ท่านแลกมาด้วยปัญญา
ปัญญาของคนเปรียบเหมือนแก้วสารพัดนึก
เหมือนขุมทรัพย์ที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง
ทำไมเราถึงบอกว่าปัญญามีค่าเหมือนทรัพย์ เหมือนแก้วแหวนเงินทอง และบางทีปัญญายังเป็นอาวุธ
เป็นด่านป้องกันภัยได้ด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทำไมถึงใช่ ต้องมีเหตุผล
(เพราะว่าคนที่มีสติปัญญาก็ย่อมที่จะแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ
ได้, ย่อมแก้ไขได้ทุกอย่างได้) แล้วทำไมถึงบอกว่าปัญญาเหมือนเงินเหมือนทอง (ปัญญานำมาซึ่งความคิด) แล้วท่านทำงานได้เงินได้อย่างไร เอาปัญญาที่ไหนไปหาเงินมา ทำไมปัญญาเหมือนกำแพงแก้วป้องกันได้ เพราะว่าถ้าเราไม่มีอาวุธ
ปัญญานี้จะเป็นด่านหรือกำแพงป้องกันภัยหรืออันตรายทั้งปวง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าแต่ก่อนเราไม่เคยมีเงิน เรามีเงินได้เพราะเรารู้จักคิด
รู้จักเอาปัญญานี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
คิดว่าจะทำอย่างไร
คิดว่าจะต้องค้าขายอย่างไร
เพราะปัญญาทำให้ท่านมีเงิน มีชื่อเสียง
และเพราะปัญญาก็ทำให้เราอับจนได้เหมือนกัน
ขึ้นอยู่กับว่ามีปัญญาอย่างไร
การมีปัญญาที่ดี คือปัญญาที่บริสุทธิ์
ปัญญาที่บริสุทธิ์หมายความว่าปัญญาที่ทำให้เราไม่เดือดร้อน
เป็นปัญญาที่หาทรัพย์มาได้ เป็นเกราะป้องกันภัยได้ เป็นอาวุธได้ ปัญญาแบบไหนที่เรียกว่าปัญญาที่บริสุทธิ์ (มีสติคิด, ปัญญาที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์) ความซื่อสัตย์นั้นเป็นเกราะป้องกันภัยได้ด้วย แล้วปัญญาบริสุทธิ์แบบไหนที่จะสามารถใช้เป็นอาวุธและเกราะป้องกันภัยได้
(บริสุทธิ์ซึ่งไม่เบียดเบียนผู้อื่น) แม้เราจะบอกว่าบริสุทธิ์ แต่ถ้าบริสุทธิ์แบบเห็นแก่ตนก็ไม่ดี ปัญญาที่เป็นทั้งอาวุธ เงินทอง
และเป็นเกราะป้องกันภัยคุ้มกันภัย ต้องเป็นปัญญาที่บริสุทธิ์ไม่เบียดเบียนทำร้ายใครด้วยความเกลียดหรือด้วยความอยากของเราจนเกินไป
เพราะบางครั้งเรามีปัญญาคิดอยากเอาของเขา
แม้จะบริสุทธิ์กับเราก็ตาม แต่ไม่บริสุทธิ์กับเขา
"เพลามั่งคั่งในความนิยมนา"
ความนิยมในโลกมีอะไรบ้าง เรานิยมอะไรบ้าง
(นิยมความดีความชอบ) ท่านนิยมจริงๆ หรือ
แต่ถ้าท่านนิยมได้ก็ดี (เกียรติยศชื่อเสียง,
ความสวยความงาม,
ลาภยศ สุข,
สรรเสริญ,
วัตถุ) ต้องมีเงินเยอะๆ
ไม่รู้จักพอ แถมคิดไปไกลก็เลยเหนื่อยกับการหา ใช่หรือไม่ (ใช่) (นิยมในความศรัทธา) ใช่
ทำไมเราบอกว่าใช่
เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่ง เราเห็นทุกคนใส่กำไลพลาสติกกัน เขานิยมใส่แล้วกันผี ใส่แล้วไม่ตาย เลยใส่กันใหญ่ทั้งผู้ชายผู้หญิง บางคนใส่ไม่ได้เอาวางไว้หน้ารถก็ยังดี เราไม่ตายเรามีชีวิตอยู่บนรถ
รถอย่าตายก็แล้วกัน
ใช่นิยมในความศรัทธาหรือเปล่า (ใช่)
แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลาย
ในความนิยมเรามีอะไรบ้าง หนึ่งคือทรัพย์สมบัติ
มีบ้านไหนบ้างไม่มีทรัพย์สมบัติ
คงมีหมดทุกบ้าน มีบ้านไหนไม่มีทอง
มีนิดหนึ่งก็ยังดี ไม่สลึงก็ห้าสิบ
ใช่หรือเปล่า (ใช่) และนอกจากเงินทองแล้วมีอะไรอีก
(ชื่อเสียง)
มีใครนิยมน้ำใจไหม
เดี๋ยวนี้มีน้อยที่ใครจะนิยมให้น้ำใจแก่กัน
ยังมีวัตถุอะไรอีก
มีบ้านไหนบ้างไม่มีรถยนต์
มีบ้านไหนบ้างไม่มีรถมอเตอร์ไซด์
ไม่มีรถมอเตอร์ไซด์เป็นจักรยานก็ยังดี
วัตถุ ทรัพย์สินแล้วก็ตำแหน่งชื่อเสียง
เรามักจะมีสามอย่างนี้มาก
และชีวิตเรามักจะเสียเวลาไปกับสามอย่างนี้
ถ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ในโลกไม่ได้ ไม่ทันสมัย
เชย อายเขา ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองมีสามอย่างนี้ จริงๆ แล้วถ้าเรามีสามอย่างนี้เราจะสุขไหม บางครั้งเขาบอกว่าสุข พอมีแล้วก็อยากมีให้ได้มากที่สุด แต่เราอย่าลืมว่า วัตถุเมื่อเราโยนขึ้นสูงสุดก็ต้องตกลงมาสู่ที่ต่ำ
ใช่หรือไม่ (ใช่) เกียรติยศชื่อเสียงก็เหมือนกัน เมื่อเราขึ้นสู่ที่สูงแล้วก็ต้องเหยียบพื้นดินเหมือนกันทุกคน
แล้วเราจะไต่ไปทำไมให้เหนื่อย
ถ้าเกิดเรามีความสุข มีคำว่าพอดี รู้พอ
เราย่อมอิสระเสรีในการดำเนินชีวิตมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การติดในลาภยศชื่อเสียง
บางครั้งอาจจะทำให้เรายากที่จะมีความสุขได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งสังคมปัจจุบันนี้ คนมักจะหาชื่อเสียง
หาลาภยศเงินทอง เหมือนกับนิทานเรื่องหนึ่ง นิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่า
มีชายผู้หนึ่งโดนนกกระจาบเฉี่ยวหัว เขาก็เลยไปหาหนังสติ๊กมาเพื่อจะมายิงนก
แต่พอตอนที่เขาจะไปยิงนก เขาก็เห็นว่าข้างหน้านกที่เขาจะยิงนั้นมีตั๊กแตนอยู่
หน้าตั๊กแตนนั้นมีจั๊กจั่นอยู่ และหน้าจักจั่นนั้นมีหนอนอยู่
คนในสังคมก็เหมือนกัน
การดิ้นรนแสวงหาเป็นแบบนี้ เล็กกินใหญ่ ใหญ่กินเล็ก
แล้วในใหญ่ก็ยังมีใหญ่กินใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมบอกว่าบำเพ็ญธรรมให้รู้จักลดทอนเรื่องกิเลสตัณหาอย่างเดียวไม่พอ
แต่เราต้อง
รู้จักพอในความมีลาภยศชื่อเสียง
เพราะเราไม่รู้ว่าเราเป็นเล็กที่กำลังโดนใหญ่กินหรือเปล่า ในขณะที่เราหางาน
หาตำแหน่ง หาอาชีพอยู่นั้น มีใหญ่กำลังตะครุบเราอยู่หรือไม่ ในหมู่สังคมแห่งการหาลาภยศ หาชื่อเสียง ล้วนเป็นคนที่คบยาก
ใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าเป็นมิตรกันร่วมกิจการกัน
แต่พอมีเงินขึ้นมา มิตร ลูก พ่อแม่บางครั้งยังฆ่ากันได้เพราะเงินทองและชื่อเสียง
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมให้รู้จักลดทอนตรงนี้ก็เพื่อลดอันตรายให้กับชีวิตของท่าน
ถ้าเกิดรู้พอได้ก็อย่าเอาตัวไปเสี่ยง อย่าเอาตัวไปเสี่ยงให้กับใหญ่กินเล็ก
แล้วใหญ่ยังมากินใหญ่อีก ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราจะต้องเอาตัวเราไปเสี่ยงอันตราย
ในเมื่อชีวิตเราขับรถอยู่ดีๆ อันตรายอาจจะมาแบบไม่รู้ตัวก็ได้
ฉะนั้นการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
อย่าเอาตัวเราไปเพิ่มอันตรายให้กับตัวเราอีกถ้าทำอย่างนั้นเขาไม่ได้เรียกว่ารักตนเองใช่หรือเปล่า
(ใช่)
“ยืมกายปลอมบำเพ็ญสู่จริงแท้”
ท่านคิดว่าท่านเป็นพุทธะได้ไหม (ได้)
ท่านคิดว่าท่านมาจากฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่) เราสรุปว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนมาจากฟ้าหรือมาจากที่ใด ที่หนึ่ง และเราขออนุโลมว่าทุกคนมาจากฟ้าเหมือนกัน แล้วคนที่มาจากฟ้านี้กลับฟ้าได้ไหม (ได้) แต่การจะกลับฟ้าต้องกลับให้เหมือนกับที่มา ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนเรามาเรามาแบบตัวเปล่าและเป็นเด็กบริสุทธิ์
และการกลับฟ้าก็คงรู้ว่าต้องทำอย่างไร ก็คือต้องเปล่าและบริสุทธิ์
บริสุทธิ์ที่ไหน กายหรือว่าใจ (ใจ) ทั้งกายและใจ
ไม่ใช่ใจบริสุทธิ์แต่กายขอกินสักหน่อย
อย่างนี้เรียกว่าบริสุทธิ์ไม่จริง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ขออย่างเดียวท่านอย่าคิดว่าตนเองไม่สามารถเป็นพุทธะได้
อย่าคิดว่าตนเองยังเป็นคนชั่วร้ายอยู่เท่านั้นเอง ถ้าท่านไม่คิดตรงนี้ ท่านย่อมมีแรงผลักดันและมั่นใจในตัวเองให้กลับคืนฟ้าได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนเราแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
มักจะคิดว่าสิ่งที่ตนเองคิดถูกต้องแล้ว
สิ่งที่ตัวเองรู้แน่มากแล้ว
ในความแน่นั้นจริงๆ ก็อาจจะเปลี่ยนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนมีชายคนหนึ่ง
เขาชอบสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบ
สิ่งที่เขาว่าหอมคนอื่นว่าเหม็น สิ่งที่เขาว่าเหม็นคนอื่นว่าหอม แต่ถามว่าเขาผิดไหม (ไม่ผิด) แล้วท่านจะดึงเขาให้เขาเป็นแบบทุกๆ คนได้ไหม
ก็อาจดึงได้เหมือนกัน
แต่อยู่ที่ว่าเขาจะยอมเปลี่ยนหรือไม่
ค่านิยมของคนแต่ละคนแตกต่างกันไป
เราว่าท่านไม่ผิด ไม่เป็นไร
แต่ขออย่างเดียวขอให้มีใจที่จะกลับคืนขึ้นไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เขาจะมีความคิดที่แปลกกว่าคนอื่นก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้รักษาใจให้บริสุทธิ์
กายให้สะอาดก็เพียงพอ
เขาก็จะสามารถกลับคืนเบื้องบนได้
ขอเพียงรู้อย่างหนึ่งว่าตนเองเป็นพุทธะได้
ตนเองก็จะสามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
หากแม้นคิดว่าตนเองเป็นน้ำขุ่นจะกลับคืนฟ้าได้หรือไม่ (ไม่ได้) แต่ถ้าเกิดน้ำขุ่นยอมกลั่นตัวเองให้เป็นน้ำใส
เขาจะกลับคืนฟ้าได้ไหม (ได้) ท่านก็เหมือนกัน แม้ตอนนี้จะขุ่นมากเพียงใด
แต่น้ำขุ่นกับน้ำใสก็เป็นน้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านในตอนนี้กับตอนเป็นเด็กที่เกิดมาเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า
(คนเดียวกัน) แล้วทำไมกลับไม่ได้ ก็เป็นคนเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอเพียงท่านมั่นใจแล้วเดินให้ถูกทาง
ทำให้ถูกต้อง ท่านย่อมกลับคืนฟ้าได้ แต่น้ำจะกลับคืนฟ้าต้องยอมโดนแดด
โดนคนเหยียบย่ำ ทนได้ไหม ถ้าทนได้ท่านก็เป็นพุทธะได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ให้ยืมกายปลอมอันนี้บำเพ็ญสู่ความเป็นจริงแห่งจิตใจ
เพื่อกลับคืนสู่เบื้องบน
ผู้ปฏิบัติงานธรรมเหนื่อยไหม บางคนนอนก็ไม่ค่อยสะดวก
ทำงานหนักถือว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจ เราทำได้ ใครไม่ทำช่างเขา ใครทำคนนั้นก็ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
สถานธรรมนี้เป็นของส่วนรวมไม่ใช่ของของใคร เวลาทำอย่าทิ้งร่องรอยให้คนอื่นต้องมาตามเก็บ
ชีวิตก็เหมือนกัน หากเราดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ไม่ทิ้งอะไรให้คนอื่นต้องมานั่งเก็บ
คนๆ นั้นจะมีชีวิตที่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แต่ปัจจุบันนี้เรามีชีวิต ถ้าต้องให้คนอื่นมาช่วยเก็บ ช่วยล้างให้สะอาด อย่างนั้นแปลว่าชีวิตเราดำเนินไม่ถูก
ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงไม่ได้เล่นอะไรกับท่านมาก
ไม่ได้มาเล่นสนุกสนาน แต่มาเพราะอยากให้ท่านได้เรียนรู้หลักธรรม
หลักธรรมที่ทุกคนปฏิบัติได้ หลักธรรมที่ทุกคนทิ้งไปเสียนานแล้วลืมปฏิบัติ เมื่อไรที่เรานึกถึงธรรมะ
เมื่อไรที่เราคิดจะลงมือทำ ธรรมะก็มาใกล้เราได้ ไม่เคยห่างไปไหน ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อเข้าใจแล้วขอให้เกิดความเชื่อมั่น
เมื่อเชื่อมั่นแล้วขอให้ลงมือปฏิบัติ
หากยังไม่เข้าใจ ยังไม่เชื่อมั่นก็ไม่เป็นไร ให้ใช้เวลาตรงนี้ศึกษาเพิ่มเติมได้หรือไม่ เพียงสามวันคงไม่อาจทำให้ท่านกระจ่างในธรรมะได้ทั้งหมด
ขอเพียงให้เวลาเพิ่มเติมกับการศึกษาธรรม
ใครที่มาแค่สองวัน หรือมาแค่วันนี้ มีโอกาสรู้ มาศึกษาให้ครบได้ไหม
ชีวิตนี้เติมธรรมะให้ชีวิตได้ร่มเย็น น่าจะเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะชีวิตเราส่วนมากเผชิญอยู่กับการแก่งแย่งชิงดี
แข่งขันกัน
โอกาสที่จะมาหลบพักร้อนยากเหลือเกิน โอกาสที่จะมาหาธรรมอันร่มเย็น
ธรรมอันชุ่มชื่นให้กับจิตใจน้อยเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่) เติมธรรมะให้กับจิตใจ
เติมพลังให้กับใจก่อนที่จะออกไปสู้กับสังคม แล้วเราก็จะสามารถก้าวไปตลอดชีวิตได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอเพียงมั่นใจในตัวเองว่าตนเองทำได้
อะไรก็ไม่ยากเกินไป
แม้แต่จะบำเพ็ญธรรม
ถ้าไม่สู้ก็จะไม่สำเร็จ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ขอให้ท่านบำเพ็ญต่อไป
การที่ท่านบำเพ็ญถ้าท่านปฏิบัติทั้งกายและใจก็สามารถกลับคืนได้
วันที่ ๑๖ พฤษภาคม
พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟื้นฟูจิตของตนเองให้ผุดผ่อง ตามครรลองแห่งสัมมาแท้วิถี
หนึ่งชีวิตพิจารณาทำสิ่งดี มิรอทีคนสะกิดค่อยคิดทำ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า
คนเข้าใจไปปฏิบัติจักได้ผล ไม่เอาแต่ใจตนดั่งคนเขลา
ปวงกิเลสได้เวลาต้องบรรเทา ไม่เป็นเสาปักในโคลนรอวันล้ม
คนยิ่งใหญ่ในโลกหล้าคือคนจริง มิละทิ้งเหล่าเวไนยให้ขื่นขม
ฝึกคุณธรรมนำชีวิตน่าชื่นชม ความเกลียวกลมเกิดขึ้นได้จากใจทุกคน
อย่าไปหวังโชคลาภลอยแท้ไม่มี เป็นคนดีคนต้อนรับทุกแห่งหน
ขึ้นสวรรค์ลงนรกอยู่ที่ตน จะเวียนวนหรือพ้นเวียนว่ายอยู่ที่เรา
ในวันนี้ยินดีพบศิษย์รัก ขอรู้จักตนเองให้ดีกว่าเก่า
ทำจิตใสดังเด็กน้อยที่อ่อนเยาว์ รู้ทันเท่าปวงตัณหาพาร่มเย็น
พาตนเองสู่ทางกว้างเพราะใจกว้าง จงเหยียบย่างกลางดินแดนแสนทุกข์เข็ญ
ปลายของทุกข์คือความสุขอันใสเย็น อดทนเป็นอยู่บนโลกอย่าท้อเลย
ใช้ปัญญาพาก้าวสู่ทางลัด สู่ปรมัตถ์๑อย่าได้เอาแต่นิ่งเฉย
แก้นิสัยความเคยชินอันคุ้นเคย ไม่ละเลยทำวันนี้ให้ดีที่สุด
|
มุ่งทางลัดใจมิประมาท ฝึกความตั้งใจวันนี้ไม่สาย ถึงไกลเราพร้อมฝ่าไปด้วยกัน เกิดมาแล้วไม่แคล้วต้องยาก
มากความโศกศัลย์ น้ำใจแบ่งปัน ความทุกข์ร้อนคล้ายดังสิ้นไป
* ในที่สุด ใจพิสุทธิ์
เจ้าล้วนได้คืนเป็นของตน ธรรมดังสายชล
ชะล้างส่งผลแก่คนผู้ใช้ ย้อนมองเห็นตน
อย่ามัวว่ายวน นานวันยิ่งไกล เตือนศิษย์จำไว้ ลำบากเรียนรู้
ถึงได้รู้จริง (ซ้ำ *)
ทำนองเพลง : ลมรัก
เพลง :
ลำบากเรียนจะรู้จริง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มาฟังธรรมะทุกคนต้องตรงต่อเวลาไหม
ถึงเวลาที่เรือออกถ้าขึ้นเรือไม่ทันเป็นอย่างไร (ตกเรือ) ตกเรือเจ็บไหม (เจ็บ) เวลาที่มานั่งฟังธรรมะต้องเป็นคนที่ตรงต่อเวลา
เวลาตรงได้ใจเราก็ตรงได้ไม่ใช่ว่าใจเราคิดอย่างหนึ่งแต่ปากเรากลับพูดอีกอย่างหนึ่ง
ใครคิดว่าใจตนเองตรงแล้วบ้าง ตรงบางที
และไม่ตรงบางทีใช่หรือไม่
แล้วตรงกับไม่ตรงอะไรมากกว่ากัน
(ไม่ตรง) ไม่ตรงมากกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อใจนี้ไม่ตรงมากกว่าตรงจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อใจไม่ตรงสามารถเดินทางที่ตรงได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าใจ
ไม่ตรงแล้วตาเรา หูเรา ปากเราจะตรงไหม (ไม่ตรง) เพราะว่าใจเป็นจุด
เริ่มต้นของทุกๆ สิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นการที่เรามานั่งฟังธรรมะในสามวันนี้เพื่อมาฟื้นฟูจิตใจของตนเอง
ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครคิดว่าสภาพจิตใจที่ฟื้นแล้วควรจะเป็นอย่างไร
(ดีขึ้น,
ตรงขึ้น,
พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น,
เบาสบายขึ้น,
บริสุทธิ์ขึ้น,
แก้ไขในตัวของตนเอง,
ทำให้รู้จักตัวเอง,
นิ่งสงบ) แล้วนิ่งสงบหรือยัง (เป็นบางครั้ง) มนุษย์ชอบพูดว่าเป็นบางครั้ง เป็นบางที ใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นพุทธะก็เป็นบางที เป็นคนก็เป็นบางที ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วตัวเราเป็นอะไร เป็นอะไรก็ไม่รู้ก้ำๆ กึ่งๆ ใช่หรือไม่
(ใช่) พอก้ำกึ่งๆ มากเข้าแล้วเราจะเป็นเราได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นการที่เรามาสามวันนี้ก็เพื่อมาฟื้นฟูจิตใจของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตใจของเราที่เราไม่เคยยืนยันว่าจิตใจของเรานั้นได้รับความเที่ยงตรง
เราก็มาฟื้นฟูให้จิตใจนี้ตรง ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตใจที่ตรงแล้ว เป็นจิตใจที่ดีแล้ว มีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน (ดี) แล้วทุกๆ วันนี้กี่สิบปีที่ผ่านมา
เราพาจิตใจของเราให้ไม่ตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)
พอพาจิตใจของเราได้ไม่ตรง เราก็ไม่ได้รับผลดีเลย
เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาฝึกจิตใจของเราให้ได้ดีเพื่อที่จะได้รับผลดี
ดีหรือไม่ (ดี) ใครคิดว่าฟื้นฟูแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
(ทำให้จิตใจสะอาดขึ้น,
ทำให้การดำเนินชีวิตของเราไม่หลงทาง)
ถ้ามือสองข้างถือของ พอเห็นผลไม้ลอยมาก็จะรับเหมือนใครรู้ไหม มือสองข้างถือของก็คือคนที่ทุกๆ วันทุกๆ
เวลามือข้างหนึ่งจะจับกิเลสส่วนมืออีกข้างจับอารมณ์ไว้เป็นแม่นมั่น เห็นอะไรก็อยากได้ ใครทำไม่ดีด้วยเดี๋ยวก็ดีใจ
เดี๋ยวก็เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) โอบไว้จนเต็มไปหมด
คือใคร คือทุกๆ คนที่นั่งอยู่ที่นี่
ใช่หรือไม่ (ใช่) โอบไว้เสียเต็มไปหมด ถึงเวลาอาจารย์บอกว่า บำเพ็ญธรรมะหลุดพ้น
พอโยนไปให้ อย่างนี้ปล่อยมือไหม
ไม่ยอมปล่อยใช่ไหม
จะยกอะไรขึ้นมารับ มือว่างไหม (ไม่ว่าง) เพราะฉะนั้นมือไม่ว่างแล้วเราจะเอามือที่ไหนรับ
จะเอามือที่ไหนไปบำเพ็ญเพื่อผู้อื่น เพื่อ
ตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจะต้องวางอะไรก่อน
(ของที่ถือไว้ก่อน) วางที่ยึดมั่นถือมั่นลงไปก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราวางได้ก็คือวางจิตใจของเรานั้นให้โล่งสบาย
ทำใจให้ว่างเพื่อให้เราฝึกเป็นพุทธะได้อย่างสบาย ดีหรือไม่ (ดี)
ถ้าหากว่าเรายกของขึ้นมาก็คือยกกิเลสเหล่านี้ขึ้นรับมรรคผล
เราก็จะบำเพ็ญพุทธะได้ไม่ดีเพราะว่าเราไม่ยอมปล่อยอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) อารมณ์และกิเลสเหล่านี้ไม่ได้ทำร้ายผู้อื่น
แต่ทำร้ายใคร (ตัวเอง) ทุกวันนี้โดนทำร้ายมามากพอหรือยัง
(มากพอ)
ตัวเราทำร้ายตัวเราเองมากกว่าที่คนอื่นทำร้ายเรา
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นวันนี้มารักษาเยียวยาตัวเอง
ดีหรือไม่ (ดี) เยียวยาด้วยอะไร (ด้วยธรรมะ) ใครคิดว่าเยียวยาด้วยธรรมะยกมือขึ้น
คนที่ยกมือแน่ใจหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นแสดงว่าตลอดมาธรรมะที่อยู่ในจิตใจเราไม่ได้เป็นยาเลย ใช่หรือไม่
(ใช่) ธรรมในจิตใจของเรายังไม่ได้เข้าที่เหมือนยาที่ยังเคี่ยวไม่ถึงที่
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถเอามารักษาจิตใจของเราได้ ธรรมะแปลว่าความดี ในจิตของเราทุกคนนั้นมีความดีอยู่แล้ว
แต่ความดีของเรานั้นไม่ถึงที่ ไม่เข้าขั้น ไม่มากพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงไม่สามารถเยียวยาจิตใจของเรานี้ให้สามารถสู้กับกิเลสได้
มิหนำซ้ำทุกวันนอกจากไม่สามารถพาธรรมะที่มีในใจมาเยียวยากิเลส
ยังหนักยิ่งไปกว่านั้นคือพาใจกิเลสของเรานี้ให้มันเติบโตยิ่งกว่าต้นไม้ ผลิดอกออกผลแตกใบแตกหน่อจนยุ่งยากไปหมด
เพราะฉะนั้นจึงต้องหันมาฟื้นฟูใจตนเองเพราะฉะนั้นในสามวันที่เราเข้ามานั่งฟังธรรมะที่นี่จึงเข้ามาฟื้นฟูใจตนเอง
ไม่ใช่เข้ามานั่งคิดโน่นคิดนี่คิดนั่นไปไหนไกลไปหมด ถ้าเลิกคิดเมื่อไรก็หลับ ไม่นั่งคิดก็นั่งหลับอยู่สองอย่าง
ธรรมะที่ฟังมาสามวันก็เลยเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวา
“ฟื้นฟูจิตของตนเองให้ผุดผ่อง”
จิตใจของเราผุดผ่องไหม
ถ้าหากสามารถเอาจิตใจออกมาดูได้ จิตใจของศิษย์มีความผุดผ่องหรือว่าเป็นจิตใจที่เลอะเทอะ
(เลอะเทอะ)
“มิรอทีพอสะกิดค่อยคิดทำ”
ทุกวันนี้จะทำความดีสักอย่างหนึ่ง อยากจะมาห้องพระก็ต้องรอคนเรียก
ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากจะทำความดีสักครั้งหนึ่ง
ถ้าหากว่าไม่มีใครเห็นรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไร เราจึงต้องมาดูว่าตัวเรานั้นเวลาทำความดีต้องให้คนสะกิดก่อนหรือเปล่า จริงๆ
แล้วเราควรจะทำความดีด้วยจิตใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) การทำความดีเปรียบเสมือนเราเดินไปบนทางแล้วบังเอิญเห็นเศษแก้วที่เป็นปลายแหลมตั้งอยู่บนพื้น
เศษแก้วอันนี้เลอะเทอะมอมแมมมีรอยของฝุ่นดำขี้หมูขี้หมาเต็มไปหมดเลย
มีปลายแหลมโผล่ขึ้นมานิดหนึ่งให้เราเห็น เราจะเก็บไหม (เก็บ) มันเลอะเทอะไปหมดเลย
ถ้าหากว่าเราเก็บมือเราจะสกปรก
แต่ว่าเราก็ควรจะเก็บ ใช่หรือเปล่า (ใช่) การเก็บนี้ก็เหมือนกับการทำความดี
ดึงความดีของเราออกมาจากจิตใจให้มากพอที่จะส่งไปถึงมือของเราแล้วก็เอื้อมมือลงไปเก็บในสิ่งที่สกปรกนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความจริงแล้วหลายๆ คนพอเห็นเศษแก้วที่สกปรกตั้งอยู่
ข้างหน้า เราก็เดินข้ามไป แล้วก็หวังว่าคนอื่นจะเดินข้ามได้เหมือนเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) โดยที่เราไม่รู้เลยว่าในหนึ่งร้อยคนที่เดินข้ามเศษแก้วอันนี้ อาจจะต้องมีคนหนึ่งที่โดนบาด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าคนเรานั้นมีความฉลาด ความโง่
ปัญญาที่แตกต่างกัน บางคนนั้นอาจจะเดินข้ามได้แต่บางคนก็เดินข้ามไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์จะฝึกฝนตนเองก็ควรที่จะเอื้อมลงเก็บแก้วอันนี้
ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่ามือเราจะสกปรกสักนิดหนึ่ง สมควรทำไหม (สมควร) เพราะฉะนั้นกลับออกไปถ้าเห็นเศษแก้วตั้งอยู่ ข้างหน้า
มันเป็นสิ่งที่จะทำร้ายผู้อื่น ให้เราเอื้อมมือลงไปเก็บดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แก่นักเรียนคนหนึ่งแต่นักเรียนไม่รับ แล้วบอกว่าคนอื่นที่ยังไม่ได้ตอบจะได้ผลไม้บ้าง)
เราต้องมีใจที่คิดเผื่อแผ่ถึงผู้อื่นอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งก็ต้องรู้จักปฏิเสธบ้าง
อยู่ในโลกมนุษย์ทุกวันนี้คนเขาเอาของดีมาให้ก็รับไว้
พอมีคนเอาของไม่ดีมาให้ก็คิดว่าอาจจะมีของดีอยู่บ้าง
กิเลสตัณหาอาจจะมีของดีอยู่บ้างก็เลยรับไว้อีก ในที่สุดแล้วชีวิตนี้แทบจะไม่รู้จักการปฏิเสธ รู้จักรับไม่รู้จักให้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะได้รับเราต้อง รู้จักให้ก่อน
ใจที่ต้อนรับคนต้องเป็นจิตใจที่ใสสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตใจของศิษย์ใสสะอาดหรือยัง ถ้าจิตใจของเราไม่ใสสะอาดมากพอรับอาจารย์
อาจารย์ก็เปื้อนไปด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นจิตใจต้องเป็นจิตใจที่ใสสะอาด
ปราศจากความกังวล กลัดกลุ้มต่างๆ
ปราศจากจิตที่ลังเลสงสัย
จิตใจนี้จึงเป็นจิตใจที่ใสสะอาดมากพอที่จะต้อนรับคน ถูกหรือไม่
ถ้าใจหนึ่งอยากจะต้อนรับแต่อีกใจหนึ่งก็ยังรู้สึกว่าไม่แน่ใจเลย จิตใจนี้จึงเป็นจิตใจที่สะอาดไม่มากพอ
ใช่หรือไม่ (ใช่) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อาจารย์พูดว่าถ้าหากจิตของศิษย์ไม่ใสสะอาดมากพอก็จะพาลมาเปื้อนถึงอาจารย์ด้วย นี่เป็นเรื่องจริง อาจารย์ไม่ได้พูดเล่น อยู่กับศิษย์หนึ่งครั้งความแปดเปื้อนของศิษย์นั้นก็เปื้อนตัวอาจารย์ด้วยหนึ่งครั้ง เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการดีต่อศิษย์และอาจารย์
จงล้างจิตใจของตนเองให้ใสสะอาด ดีหรือไม่ (ดี)
เวลาพื้นสกปรกต้องล้างด้วยน้ำ คำว่า “น้ำ” ในภาษาจีนเปรียบได้เหมือนดั่งปัญญา
ปัญญานั้นเป็นน้ำอันใสสะอาดที่จะใช้ชะล้างความสกปรกได้สิ้น การที่จิตใจเราจะหายสิ้นจากความสกปรกต่างๆ
นั้นต้องอาศัยปัญญาของเราเท่านั้น
ทุกคนมีปัญญาหมด เพราะฉะนั้นต้องนำออกมาใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในสถานธรรมผู่ถีนี้
คนที่ร้องเพลงให้ศิษย์ฟังข้างหน้านั้นก็หมั่นฝึกฝนอยู่ทุกปีๆ
จนในที่สุดแล้วพวกเขาก็ร้องเพลงได้ไพเราะจับใจ
เพราะพวกเขาได้รับการฝึกฝน
ศิษย์เองก็เหมือนกัน
ถ้าอยากจะมีปัญญานั้นก็ต้องรู้จักฝึกฝน ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ปัญญาจะมีอยู่ในทุกคนอยู่แล้วแต่ว่าปัญญาของใครจะเป็นปัญญาที่สว่างกว่ากัน
อยู่ที่ว่าใครจะได้ขัดจิตใจของตนเองมากกว่ากัน เพราะฉะนั้นจิตใจของเราต้องขัดไหม (ขัด)
แท้จริงแล้วไม่มีคนไหนที่มีความสุข
เพราะว่าความสุขนั้นไม่ยอมอยู่กับเราตลอดเราเลยไม่มีความสุข ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่ามีใครสามารถที่จะมีความสุขได้ตลอดเวลาไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้นสุขน้อยๆ
เหมือนกับฝุ่นที่เกาะอยู่ข้างใจของเรานี้ เรารู้สึกพอใจกับเขาดีหรือไม่ ถ้าหากว่าเรารู้สึกพอใจกับฝุ่นน้อยๆ
ที่ติดอยู่ข้างในใจนี้เราก็จะรู้สึกมีความสุขขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะมีสุขหรือไม่มีสุขนั้นย่อมอยู่ที่ว่าเรารู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอยู่
ถ้าหากว่าไม่รู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเรามีอยู่เลยสักวันเดียว สักชั่วโมงเดียว สักนาทีเดียวก็ไม่เคยพอใจ แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความสุขนั้นหาได้จากที่ไหน (ใจของเรา) ต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่พอใจแล้วก็ไม่อาจจะสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มาฟังธรรมะในสามวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ศิษย์ของอาจารย์คิดจะมาแล้วก็มาได้ ต้องเป็นศิษย์คนที่รู้จักที่จะสละเวลามาด้วย
ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ได้สละแค่สามวันเท่านั้น สามวันนี้มาศึกษาให้เข้าใจ
หลังจากสามวันกลับออกไปต้องปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังธรรมะสามวันนี้มีความเข้าใจมากน้อยเท่าไร มีความเข้าใจมากก็ปฏิบัติมาก
มีความเข้าใจน้อยก็กลับออกไปปฏิบัติน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่ามีคนอีกประเภทหนึ่งที่กลับออกไปแล้วไม่ยอมปฏิบัติเลยเหมือนกับว่าไม่เคย ฟังมา
ถ้าหากว่าทำเช่นนั้นแล้วจะเป็นคนที่เข้าใจได้ไหม (ไม่ได้) คนที่
เข้าใจก็ต้องนำกลับออกไปปฏิบัติ
ถ้าหากไม่ปฏิบัติก็คือเรานั้นไม่ได้เกิดความเข้าใจขึ้นเลย
การที่จะเป็นพุทธะไม่ใช่ว่าทุกวันนั้นนอนตีพุงอยู่กับบ้าน ไม่ใช่ว่าอยู่สบายๆ แล้วจะได้เป็นพุทธะ
มารับธรรมะแล้วเป็นพุทธะ
ไม่ง่ายอย่างนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่คนที่จะเป็นพุทธะได้นั้นต้องรู้จักที่จะปฏิบัติตน
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกวันนี้เราต้องไปให้ดีและต้องปรับปรุงตนเองนั้นให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราปรับปรุงได้ไหม (ได้) เขาบอกว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
เพราะฉะนั้นการที่เราบอกว่าปรับปรุงได้นั้น ได้แค่เราพูดหรือเปล่า
ยังต้องดูว่าอีกหนึ่งปีสองปีสามปีข้างหน้านั้นเรายังปฏิบัติได้ดีหรือเปล่า ถึงจะนับว่าเรานั้นได้รู้อย่างถ่องแท้
เข้าใจแท้หรือไม่ เพราะ
ฉะนั้นมานั่งฟังธรรมะในสามวันนี้ต้องเกิดความเข้าใจจึงจะเอาไปปฏิบัติ
อาจารย์เห็นศิษย์แต่ละคนนั่งเหมือนดอกไม้ที่เฉาแล้ว คนสูงๆ เวลานั่งก็เตี้ยลงใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเวลานั่งก็นั่งให้เตี้ยลงไปอีก ถามว่าเมื่อเวลาเรายืนขึ้นก็ดูสง่างาม เมื่อเรานั่งลงเรายังดูสง่างามไหม ยังต้องดูสง่างาม ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนที่นั่งลงแล้วเตี้ยลงไปอีก สูงอยู่แล้วนั่งลงไปก็เตี้ยแล้วยังนั่งลงไปให้เตี้ยลงไปอีก ถามว่าคนนี้สง่างามไหม (ไม่สง่างาม) เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธะนั้นต้องนั่งให้สง่างาม
เวลายืนก็ยืนให้สง่างามเหมือนกับพระกวนอู
เวลานั่งลงต้องสง่างามเหมือนพระพุทธองค์
ไม่ใช่เวลานั่งเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ชีวิตนี้ไม่มีอะไรน่าสู้อีกแล้ว เพราะถ้าหากเราไม่สู้กับตนเองแล้ว จะไปสู้กับใครได้ แต่ถามว่าสู้กับผู้อื่นกับสู้กับตนเอง
อะไรสำคัญมากกว่ากัน (สู้ตนเอง) ถามว่าเราสู้อะไรในตนเอง (สู้กับใจ ตนเอง)
เวลาที่เรานั้นได้เงินทองมา ท่านถือเงินทองเต็มมือหนึ่งมือแล้ว ถ้ามีคนเอาเงินมาให้อีกจะเอาไหม (เอา) ถามว่าคนที่เอานั้นรู้จักพอไหม (ไม่พอ) โดยธรรมดานั้นคนที่มีหน้าที่การงานทางโลก มีฐานะ
ชื่อเสียง เงินทอง มีครอบครัว จะบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก เราจะบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว มือข้างนี้ก็เปรียบเสมือนชื่อเสียง เงินทอง
ลาภยศสรรเสริญทั้งหลายรวมทั้งครอบครัวด้วย
แล้วมืออีกข้างหนึ่ง แทนที่เราจะเอาไว้สำหรับการช่วยเหลือผู้อื่น
ฉุดผู้อื่น เราก็ยังรับเงินทองอีก
ชื่อเสียงลาภยศเต็ม
สองมือแล้วจะเอาที่ไหนไปบำเพ็ญ เอาที่ไหนไปช่วยผู้อื่น ฉะนั้นความโลภคือการอยากได้แล้วอยากได้อีก เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว มือข้างนี้ถือพอหรือยัง (พอ) สมมติว่าอาจารย์ให้เงินทองศิษย์คนละหนึ่งกำมือ ถ้าเป็นธนบัตร
ใบละพันถามว่าหนึ่งมือกำได้มากที่สุดเท่าไร (หนึ่งล้าน) ถ้ามีคนเอามาให้อีกล้านหนึ่งเอาไหม (เอา) ถึงบอกว่านี่คือความโลภของคน
ความโลภทำให้เรานั้นบำเพ็ญธรรมไม่ได้ เพราะว่าคนหนึ่งคนมีขาสองขา ขาหนึ่งมุ่งหมายไปเดินทางโลก อยากได้ชื่อเสียง เงินทอง
ลาภยศสรรเสริญอย่างเต็มที่
เมื่อไปเดินทางโลกเต็มที่
แล้วขาอีกข้างหนึ่งไปเดินทางธรรมก็ไม่ได้
การที่เราจะเดินสองฟากในคราวเดียวกันก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว เราจะเลือกเดินอย่างไรที่จะให้ทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อมๆ
กัน
เพราะว่าทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่ที่นี่ อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์นั้น ละทิ้งทางโลก
โกนหัวหรือเคร่งครัดชนิดมาทุกวัน
เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้ศิษย์นั้นเป็นปุถุชนที่บำเพ็ญธรรมได้จนบรรลุ (เดินควบคู่, มีเวลาว่างก็มาศึกษาธรรม) เพื่อนคนนี้ตอบว่าถ้ามีเวลาว่างก็ศึกษาธรรม
และปรกติก็ให้ทำงานทางโลก
แต่คนบนโลกมีปัญหาแปลกๆ คือถามว่าว่างไหมมักจะตอบว่าไม่ว่าง ถ้าหากว่างอยู่ก็ตอบว่าไม่ว่าง ไม่รู้จริงๆ
แล้วธุรกิจยุ่งเหยิงหรือว่าใจไม่ว่าง (ใจไม่ว่าง) คนบนโลกมักจะไม่ว่างเพราะใจเราไม่อยากจะว่าง เพราะฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า
คนนี้ตอบได้ถูกแล้ว
แต่ถ้าจะให้เป็นคำตอบที่รัดกุมยิ่งกว่านั้น
บอกได้ว่าการที่จะเดินทางโลกขอให้เดินตาม หน้าที่
คำว่า “หน้าที่” ต้องพ่วงด้วยคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” หลายคนมี
หน้าที่ทางโลก แต่เห็นเงินแล้วตาลุกวาวจึงไม่มีความสุจริตอยู่ในใจ คน ทั่วไปจึงเป็นคนที่ค่อนข้างจะคดโกง
ไม่คดโกงมากก็คดโกงเล็กน้อย แล้วคนที่คดโกงเล็กน้อยเป็นคนที่คดโกงหรือเปล่า (เป็น) เมื่อทำการแยกทรายสีดำและสีขาวออกจากกัน ถามว่าคนที่คดโกงเล็กน้อยดำไหม (ดำ) เพราะว่าชีวิตที่อยู่บนโลกนั้นเหมือนกับทรายเม็ดเล็กๆ
ที่กองเต็มไปหมดบนพื้นทรายผืนเดียวกัน
พอตักขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง
ทรายที่ดำก็คือทรายที่ดำ
ดำเล็กน้อยก็ถือว่าดำ ดำยิ่งมากยิ่งเห็นชัด
แต่ดำน้อยก็สามารถเห็นได้เหมือนกัน
เพราะว่าชีวิตคนเรานั้นเล็กจริงๆ ที่เรานั้นคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นการที่เราอยากปฏิบัติทั้งสองข้าง ก็คือให้เรานั้น
ขาที่ไปทางโลกก็ขอให้ทำหน้าที่อย่างสุจริต
ส่วนขาที่เดินทางธรรมนั้นต้องเป็นใจที่เต็มใจมาเอง
ไม่ใช่โดนคนอื่นบีบบังคับมา ไม่ได้มาด้วยความเกรงใจ แต่เราต้องเต็มใจมาบำเพ็ญเอง คนที่จะบำเพ็ญเองจึงสามารถที่จะหาวิสุทธิมรรคผลเอง ถ้าหากว่าเราโดนคนอื่นบังคับมา
เมื่อเราบำเพ็ญจนบรรลุแล้ว มรรคผลก็จะเป็นของคนที่บังคับเรามา
ไม่ใช่เป็นของเราเลย
ขอให้ทางโลกต้องทำตามหน้าที่
หน้าที่การงานต้องสุจริต
เป็นลูกก็ต้องเป็นลูกที่กตัญญู
เพราะว่าพุทธะบนฟ้าไม่มีใครที่ไม่กตัญญู
ทำงานต้องซื่อสัตย์สุจริตใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราเป็นลูกต้องเป็นลูกที่กตัญญู
เพราะว่าพุทธะบนฟ้าไม่มีใครที่บอกว่า ตัวเองอกตัญญูแล้วขึ้นไปเป็นพุทธะได้
เพราะฉะนั้นประการแรกเราต้องเป็นคนที่กตัญญูใช่หรือไม่
เมื่อเราเป็นพ่อคนเราต้องเป็นพ่อที่มีความเมตตาต่อลูก เป็นแม่ก็ต้องเป็นแม่ที่รู้จักอบรมสั่งสอน
เมื่อเราเป็นลูกเราต้องทำอย่างไร (กตัญญู)
เมื่อเป็นลูกก็ต้องเป็นลูกที่กตัญญู
เมื่อเป็นพ่อแม่ก็ต้องเป็นพ่อแม่ที่เมตตาต่อลูก เมื่อเราเป็นพี่เราต้องทำอย่างไร (เมตตา) เมื่อเป็นพี่ต้องเป็นพี่ที่รักน้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเป็นน้องต้องเป็นน้องที่เคารพพี่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อเป็นเพื่อนกับเพื่อนต้องเป็นอย่างไรกัน (ซื่อสัตย์ต่อกัน) เมื่อเป็นเพื่อนต้องมีสัจจะต่อกัน
มีวาจาที่เป็นสัจจะต่อกันจึงจะเป็นเพื่อนที่ดีได้
เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นอยากจะทำหน้าที่ในโลกมนุษย์นั้นต้องทำหน้าที่ด้วยหลักคุณธรรมนำพา
ไม่ใช่ทำเอาแต่อารมณ์ ตามแต่ใจ ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา
แล้วสุดท้ายเราก็ต้องยืนอยู่ลำพังคนเดียว
คนบนโลกแม้มากมายแต่มนุษย์ในโลกนี้หลายคนยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพัง เพราะว่าอะไร
เงินทองสามารถซื้อมิตรได้ไหม เงินทองสามารถซื้อพ่อแม่ได้ไหม เงินทองสามารถซื้อแค่สิ่งที่อำนวยความสะดวกให้เรา
วัตถุสิ่งของ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่มีคุณธรรมจริง
ถ้าเราไม่ใช่คนจริง ไม่ได้เป็นคนที่มีคุณธรรมพอที่จะให้คนอื่นนับถือ
คนอื่นก็จะนับถือเราแค่ เสื้อผ้าภายนอก แล้วก็แก้วแหวนเงินทองที่เราใส่ ใช่หรือไม่
(ใช่) เขาไม่ได้นับถือเราที่ตัวเราจริงๆ
เพราะฉะนั้นตอนนี้เราอยากให้คนอื่นเคารพเราจริงๆ เราต้องรู้จักที่จะฝึกคุณธรรม
ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าเราอยู่ในโลก
เราก็สามารถเอาธรรมะต่างๆ นั้นไปนำพาชีวิตให้เกิดความราบรื่นได้
อย่าเห็นว่าธรรมะนั้นมีอยู่แต่ในวัด มีอยู่แต่ในโรงเจ อยู่ในศาลเจ้า
หรือว่าธรรมะมีอยู่แต่ในสถานธรรม ธรรมะนั้นติดตามศิษย์ไปได้ทุกๆ ที่
ไม่ว่าศิษย์จะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว ธรรมะก็อยู่กับศิษย์ได้
ไม่ว่าศิษย์จะอยู่กับคนจำนวนมากธรรมะก็อยู่กับศิษย์ได้
ธรรมะจะไม่สามารถอยู่กับเราได้ ความดีจะไม่สามารถอยู่กับเราได้ในกรณีที่เรานั้นมีกิเลสมากเกินไป
มีตัณหาและมีอารมณ์ มีความโลภ
มีความโกรธมากเกินไป มีความหลงมากเกินไป
ธรรมะจะไม่สามารถอยู่กับประเภทนี้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นศิษย์อยากที่จะบำเพ็ญธรรมจึงต้องมีธรรมะอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่
ถ้าหากว่าเรามีธรรมะบางเวลา
เหมือนกับตอนแรกที่ศิษย์นั้นตอบอาจารย์ว่ามีบางทีบางครั้ง ดีบางที ดีบางครั้ง
ถามว่าคนประเภทนี้จะบำเพ็ญบรรลุพุทธะได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องมีอยู่ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที
ใช่หรือไม่ (ใช่) เรามีได้ไหม
ต้องกลับไปต้องขยันที่จะฝึกฝน ใช่หรือไม่
(ใช่) เราขยันฝึกฝนได้ไหม (ได้) ขยันกินข้าวมากกว่าหรือขยัน ฝึกฝนธรรมะมากกว่า เวลาที่เราหิวข้าว
เราก็รู้จักที่จะกินข้าว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจิตใจที่หิวโหยอันนี้ป้อนอะไรให้เขาบ้าง
รู้ไหมว่าจิตใจของเรานั้นหิวโหย รู้ไหมว่าจิตใจของเรานั้นมันเหมือนท้องที่ว่าง
ไม่มีธรรมะที่เป็นน้ำสักหยด ไม่มีธรรมะอันเป็นอาหารสักชิ้นตกลงไปถึงท้อง
เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงเป็นจิตใจที่หิวโหย ใช่หรือไม่ (ใช่) อันว่าท้องนั้นถ้าปล่อยว่างเกินไปก็จะเป็นโรคกระเพาะใช่หรือเปล่า
(ใช่) อันว่าจิตใจปล่อยว่างเกินไปตอนนี้ก็เลยกลายเป็นคนที่มีจิตใจที่มีปัญหาอยู่นิดๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) จิตใจเรามีปัญหาที่ไหน
จิตใจเรามีปัญหาที่เรานั้นไม่ชอบคนนี้ แล้วก็ชอบคนนี้
จิตใจเรามีปัญหาที่คนอื่นทำให้เราโกรธไม่ได้ หักห้ามไม่เป็น ควบคุมไม่ได้
นี่คือจิตใจที่มีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้น จิตใจของทุกคนนั้นจึงมีปัญหาคนละเล็กน้อย
ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนให้กลับคืนฟื้นฟูขึ้นสู่สภาพปกติได้หรือไม่ (ได้) เสียสละเวลาในการฝึกฝนจิตใจของตัวเราเองนั้นให้เป็นจิตใจที่เป็นปกติสุขดีไหม
(ดี)
“ความเกลียวกลมเกิดได้จากใจทุกคน”
อันว่าความเกลียวกลมนั้นถ้าหากว่าเราอยากที่จะเกลียวกลมกับผู้อื่น
อยากที่จะสมัครสมานสามัคคีกับผู้อื่นนั้น อาศัยตัวเราคนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเป็นคนทุกคนรักที่จะเกลียวกลม รักที่จะสามัคคีกัน
ใช่หรือไม่ (ใช่) เรายอมนิดหนึ่ง
เขายอมนิดหนึ่ง ในที่สุดแล้วเราก็เกลียวกลมกันได้
เราผิดอะไรก็ต้องรู้จักปรับปรุงแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ว่าเรานั้นมองแต่เขาแล้วก็บอกว่า
เขาผิดให้เขาแก้ตัว ให้เขาแก้ไข แต่เราผิดไหม(ผิด) ถ้าเรามองว่าเขาผิดได้
ก็แสดงว่าตัวเรานั้นก็มีผิดเหมือนกันที่ไปมองเขาผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าความเกลียวกลมนั้นเกิดขึ้นได้จากคนละไม้คนละมือ
ร่วมแรงร่วมใจกัน
ความเกลียวกลมนั้นขึ้นอยู่กับที่ใดบ้าง ไปงอกเงยอยู่ที่ใดบ้าง
ตั้งแต่ตัวเราเองก็ต้องกลมกลืนระหว่างกายกับใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่ปากว่า
ตาขยิบ ปากว่าอย่างใจว่าอย่าง อย่างนี้เป็นร่างกายที่เกลียวกลมกัน หรือเปล่า (ไม่เกลียวกลมกัน) เพราะฉะนั้นแม้แต่ตัวเราเองก็ต้องมีความเกลียวกลมกับตัวเราเอง
ในครอบครัวของเราต้องการความเกลียวกลมไหม (ต้องการ) ทุกคนต้องการให้ครอบครัวของเรานั้นดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ครอบครัวที่ดีได้ถามว่าเกิดจากใครบ้าง
เกิดจากเขาคนเดียวหรือเกิดจากเราคนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ทุกคนต้องรู้จักที่จะพึ่งพาอาศัยกัน
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ลูก พี่น้อง
ทุกคนต้องมีจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันถึงจะกลมเกลียวกันได้ เราลองกลับไปดูซิว่า
ที่บ้านเราทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ เพราะว่าอะไร เป็นเพราะว่าเขาผิดใช่ไหม
เราถึงไปทะเลาะกับเขาใครผิด ผิดทั้งคู่ใช่หรือไม่
ไม่ใช่บอกว่าเขาผิดเราถึงไปทะเลาะกับเขา แล้วเราก็ไปทะเลาะกับเขา ใครผิด ก็กลายเป็นเราผิด ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักอะลุ้มอล่วยซึ่งกันและกัน
ผ่อนหนักให้เป็นเบา เรื่องเบาๆ ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะ
บางทีก็ต้องทำตัวเป็นคนโง่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราฉลาดซะหมดถามว่ามีใครชอบให้คนอื่นฉลาดกว่าเราบ้าง(ไม่มี) ในโลกนี้ไม่มีใครชอบให้ใครฉลาดกว่าเราเลย
ชอบให้เราฉลาดที่สุดคนเดียวคนอื่นโง่ไปช่างเขาใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้นเปรียบเทียบเหมือนกับอะไร เปรียบเทียบเหมือนต้นไม้
มีต้นหญ้ากับต้นไม้ใหญ่ ต้นหญ้าเวลาลมพัดมาเป็นอย่างไร (ลู่ลม) ต้นไม้ใหญ่ขึ้นมาลมมาเป็นอย่างไร (โค่น) เขาบอกว่าไม้แก่ดัดยาก
ต้นไม้ใหญ่ก็เหมือนกับไม้ที่แก่แล้วเวลาลมมาก็เอนไปไม่ไหวเลย ฝืนเต็มที่
ใช่หรือไม่ เหมือนกับเราทุกคน เรานั้นทำตัวเป็นไม้แก่ดัดยาก ไปงอกกลางลมอยู่
เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะทำตัวให้เป็นหญ้าต้นเล็กๆ บ้าง
บางครั้งต้องรู้จักโง่บ้าง คนที่ทำตัวโง่นั้นเป็นคนที่ฉลาดที่สุด
คนที่ทำตัวฉลาดนั้นเป็นคนที่โง่ที่สุดรู้ไหม
เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ) คงเข้าใจคำนี้ดีเพราะว่าเกิดในโลกนี้นานแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเล่ห์เป็นกลอะไรก็เข้าใจหมดแล้ว คำพูดง่ายๆ ก็ต้องเข้าใจอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเวลาที่เรานั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ที่งอกอยู่ท่ามกลางลมฝน
สมมุติว่าเราเป็นต้นไม้ที่ใหญ่มาก เป็นผู้นำของบ้าน ผู้นำคนนี้เป็น ผู้ชาย ผู้ชายคนนี้งอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่มากเป็นผู้นำครอบครัว
ลมภรรยามาแรงมาก ถามว่าทำอย่างไรดี ถามว่าใครพัง สามีเป็นต้นไม้ต้นใหญ่
ต้นไม้ต้นใหญ่งอกขึ้นมา ลมภรรยาพัดเข้ามาหอบใหญ่เป็นลมพายุ
ถามว่าภรรยาพังหรือสามีพัง (สามี) พอสามีพัง ใครพัง (ภรรยา) พอสามีพังภรรยาก็พัง
เพราะฉะนั้นถามว่าให้ใครยอมใคร ให้ภรรยายอมดีกว่านะ
ภรรยาไม่ต้องมีลมไม่ต้องมีอารมณ์อย่าโกรธ ได้ไหม (ไม่ได้) ให้สามียอมเป็น
ต้นหญ้าต้นเล็กได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นคนที่โง่ที่สุดเป็นคนที่ฉลาดที่สุด
เราก็แกล้งโง่ทำตัวเป็นต้นหญ้าต้นเล็กๆ ดีไหม (ดี) เพราะอย่างไรเราก็เป็นคนนำครอบครัวอยู่แล้ว ใช่หรือไม่
(ใช่)
ความกลมเกลียวนั้นเกิดขึ้นได้ที่ไหนอีก ในพี่น้องก็ชอบทะเลาะซึ่งกันและกัน
ใช่หรือไม่ (ใช่) ในหมู่เพื่อนก็ยังนิยมทะเลาะซึ่งกันและกันใช่หรือไม่
(ใช่) ทะเลาะกันเพราะว่าอะไร
มนุษย์นั้นทะเลาะเบาะแว้งเพราะว่า หนึ่ง จิตใจ เริ่มจากใจไม่เห็นเข้าใจเขา
เขาก็เริ่มจะรู้สึกว่าเรานั้นไม่เห็นใจ ไม่รู้เลยว่าเขาลำบากตรงไหน จริงๆ
แล้วทุกคนมีความลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเริ่มแรกก็คือทะเลาะกันเพราะว่าจิตใจนั้นไม่ตรงกันถูก หรือเปล่า
พอจิตใจไม่ตรงกันแล้วอะไรไม่ตรงกันอีก การกระทำไม่ตรงกัน ถูกหรือเปล่า พอการกระทำไม่ตรงกัน
พูดออกมาวาจาก็กลายเป็นวาจาที่เสียดแทง
เป็นวาจาที่ยุยง ที่มุสา เป็นวาจาที่ไร้สาระ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้น การที่เราจะกลมเกลียวไว้ เราต้องควบคุมไว้ซึ่งกายคือการกระทำ
วาจาคือคำพูด และจิตใจ จิตใจนั้นต้องเป็นจิตใจที่ตรงกัน ไม่ใช่เขาคิดอย่างเราคิดอย่าง ทุกๆ คนมีความคิด ถ้าหากว่าเราก็คิด เขาก็คิด
ความคิดของใครถูก ไหนใครว่าความคิดของคนอื่นถูกยกมือขึ้น ไหนใครคิดว่าความคิดของตัวเราถูกที่สุด โดยทั่วๆ ไป
ธรรมดาของมนุษย์ก็คือ เห็น คนอื่นผิดและเห็นตัวเองถูก เพราะว่าเป็นเช่นนี้ทุกวันนี้จึงได้ทะเลาะกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับให้ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าชั้น มองดูพระพุทธรูปแล้ว
รู้สึกว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นอย่างไรบ้าง ย่อมมีความคิดหนึ่ง คนนั้นมองไปก็มีความคิดหนึ่ง
คนนี้มองไปก็ย่อมมีอีกความคิดหนึ่ง
ความคิดคือมุมมองที่ไม่เหมือนกัน
ทุกคนมีมุมมองที่ไม่เหมือนกันแล้วจะบอกว่าคนนี้ผิด คนโน้นผิดได้ไหม (ไม่ได้) แท้ที่จริงแล้วแต่ละคนมีเหตุปัจจัยมีกรรมต่างกัน
มีบุญต่างกัน
มีสายตาที่สั้นและยาวไม่เหมือนกัน ทุกคนไม่มีใครมองเหมือนกันเลย คนสายตาสั้นอาจจะบอกว่าคนนั้นตัวพร่าๆ มัว ส่วนคนสายตายาวบอกว่า
คนที่อยู่ตรงนี้แหละมัวคนที่อยู่ตรงโน้นชัด ใช่หรือไม่
(ใช่) เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมีความคิดเป็นของตัวเอง ถามว่าใครผิด
คนสายตาสั้นผิดหรือคนสายตายาวผิด (ไม่มีใครผิด) บางคนบอกว่าสายตาฉันปกติ มองไปที่ไหนก็ชัดหมดเลย แต่ถามว่าเอาอะไรวัดว่าตาของเราเป็นตาที่ปกติดี
ถ้าหากว่าสายตานั้นใช้เครื่องวัดนั้นก็ย่อมได้ แต่จิตใจใช้เครื่องวัดไม่ได้ คนไม่ได้คิดออกมาจากสมองแต่คิดออกมาจากจิตใจของเราที่ดีและไม่ดี
บางคนบอกว่าจิตใจฉันเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่แล้ว ถามว่าเอาอะไรวัดว่าจิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์กว่าคนอื่น โดยปกติแล้ว มาบำเพ็ญธรรมมีคำพูดหนึ่งว่า "ห้ามเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน" เพราะว่าเมื่อเกิดการเปรียบเทียบก็ย่อมเกิดความสูงต่ำ
เหลื่อมล้ำกันไปเรื่อย จึงไม่ให้เปรียบเทียบกัน
แต่มนุษย์นั้นชอบเปรียบเทียบกัน
ในที่สุดแล้วจึงไม่สามารถที่จะกลมเกลียวกันได้ เพราะว่าเราคิดว่าเราถูกเสมอ เวลาที่มีความคิดยามใด ในที่สุดแล้ว
ย่อมไม่ความกลมเกลียวกันในบั้นปลาย
เวลาที่นาข้าวจะเก็บเกี่ยวผลได้มากที่สุด คือเวลาที่รวงข้าวสุกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้าวนี้เปรียบชีวิตคนก็คือบั้นปลายชีวิต เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) บั้นปลายชีวิตชี้ชัดให้เห็นถึงชีวิตทุกวันนี้ที่ผ่านไป ถ้าหากว่าตอนที่เราชรา
ไม่มีใครอยากจะเลี้ยงเราเลย
แสดงว่าตลอดมา
เราทำให้คนไม่เคารพเราเลย
ไม่มีใครอยากเลี้ยง ลูกหลาน
ไม่อยากเลี้ยงเรา เพราะฉะนั้นคนนั้นสำคัญที่บั้นปลาย ตอนบั้นปลายไม่มีเงินใช้เลย
เป็นเพราะตอนที่สมัยหนุ่มสาวหาเงินแล้วไม่รู้จักอดออม ในบั้นปลายนั้นมีโรคมากเพราะอะไร เพราะว่าอาจจะชอบสูบบุหรี่ ชอบดื่มเหล้า
ชอบเล่นการพนัน ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตนเอง ในที่สุดบั้นปลายชีวิตของตนเองเป็นสิ่งที่ชี้ชัดให้เห็นชัดที่สุด
เหมือนกับนาข้าวที่รวงนั้นสามารถงอกเงยออกมางดงาม งอกออกมาพร้อมกันทั้งนาไหม แล้วเป็นรวงข้าวที่ดีหรือเปล่า เป็นข้าวชนิดดีหรือเปล่า ย่อมชี้ชัดได้ในตอนนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่ปักข้าวลงไปก็หน้าตาเหมือนกันหมดเลย เขียวๆ เต็มไปหมดเลย ชีวิตของศิษย์ก็คือเวลานี้ ในบั้นปลายนั้น อยากให้เกิดสิ่งใดขึ้นจงทำ เสียแต่ตอนนี้ ไม่ใช่รอคอยโชคลาภวาสนา คนที่ไปขอพระขอพร
คนที่ขอสำเร็จ
เพราะว่าชาติก่อนนั้นเคยสั่งสมคุณงามความดีไว้ ก็ดึงเวลาของลาภยศเข้ามาเร็วนิดหนึ่งให้ก่อน ดึงเข้ามาเร็วให้ก่อนนั้นเป็นลาภยศ
บุญกรรมของใครมาก่อน
เป็นบุญกรรมของใครสร้าง
ตัวเราสร้างไว้
พระท่านช่วยดึงมาให้ไว
แต่เราต้องสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากไม่สร้างแล้ว
ถามว่าดึงที่ไหนมา มีไหม ไม่มีใช่ไหม
ส่วนคนที่ไม่ได้สร้างก็ขอแล้วย่อมไม่สำเร็จ เพราะเราไม่เคยสร้างไว้ ถามว่าโชคลาภวาสานา แท้จริงมีไหม (ไม่มี)
ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์ทั้งนั้น
ว่าได้ทำสิ่งใดไว้
ทำสิ่งที่ดีก็ย่อมได้รับผลดี
ทำสิ่งที่ไม่ดีก็ย่อมได้รับผลเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จงดำเนินไปตามครรลองอันถูกต้อง ไม่ต้องไปเพ้อฝันว่าเรานั้นจะร่ำรวยมหาศาล ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องคิดฝันว่าจะมีคนดีกับเรา
ถ้าเรายังคิดไม่ดีกับ คนอื่น ใช่หรือไม่
(ใช่)
"อย่าไปหวังโชคลาภลอยแท้ไม่มี
เป็นคนดีคนต้อนรับทุกแห่งหน
ขึ้นสวรรค์ลงนรกอยู่ที่ตน จะเวียนวนหรือพ้นเวียนว่ายอยู่ที่เรา"
อาจารย์ไม่เคยบอกศิษย์เลย ให้ทุกๆ คนมากราบพระขอพร อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ
คนรู้จักให้พรตนเอง
พระให้พรแล้วหากว่าตนเองนั้นไม่รู้จักที่จะปฏิบัติตามพรนั้นๆ
ก็ย่อมจะเปล่าประโยชน์
เหมือนกับคนเข้าใจแล้วไม่รู้จักปฏิบัติก็คือคนที่ไม่เข้าใจ เหมือนรับธรรมะแล้วไม่รู้จักปฏิบัติ ไม่ต้องพูดถึงพุทธะย่อมไปไม่ถึงแน่นอน เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ แม้ว่าจะเป็นคนที่ร่ำรวย
แม้ว่าจะเป็นคนที่ยากจน แม้จะเป็นคนตัวขาว เป็นคนตัวดำ เป็นคนไทย เป็นคนจีน แน่นอนกินข้าวเหมือนกัน
การที่ศิษย์นั้นอยากที่จะบรรลุเป็นพุทธะนั้นก็ย่อมอยู่ที่ตัวเอง เพราะว่าทุกคนนั้นก็กินข้าวเหมือนกัน มีแรงเท่ากัน ปัจจัยสิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้นย่อมอยู่ที่ตัวเรากำหนดทุกๆ อย่างวันนี้เกิดมาเป็นคนโชคร้ายกว่าคนอื่น
จงอย่าได้ตัดพ้อ จงอย่าได้ต่อว่า เพราะว่าการที่เกิดมาโชคร้ายกว่าคนอื่น
ก็เพราะว่าเรานั้นได้ทำสิ่งที่ร้ายไว้ ยิ่งถ้าเรานั้นเกิดมาได้ดิบได้ดีอย่าหลงระเริง ความสุขไม่สามารถจะอยู่กับเราตลอดไป ใช่หรือไม่
(ใช่) มิหนำซ้ำความสุขในชีวิตนั้นก็ยังน้อยกว่าความทุกข์อีก
ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนอยากที่จะสมหวังอยากที่จะร่ำรวย แต่ถามว่าสมหวังทุกคนไหม (ไม่) ทุกๆ ครั้งทุกๆ เวลาเกือบจะทุกๆ
วันก็เผชิญแต่ความพ่ายแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นแพ้เรื่องข้างนอกไม่เป็นไร อย่าแพ้ใจตนเองดีไหม (ดี) เพราะถ้าหากแพ้ใจตนเองนั้นไม่สามารถไปชนะสิ่งใดได้
การที่ชนะใจตนเองนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงคำครอบพระโอวาท)
"สามารถ"
มีความสามารถไหม ความสามารถมากต้องใช้ให้ถูกทางต้องใช้ให้มีประโยชน์
ความสามารถมีประโยชน์ที่สุดตอนที่ใช้ให้คนอื่นได้รับความสามารถนั้นๆ จากเรา
“ก้าว”
คนนี้จะก้าวไหม
หลังจากจบจากชั้นนี้จะก้าวหรือจะอยู่กับที่ (ก้าวไปเรื่อยๆ
“ไกล”
คนนี้วงไกลแต่อยู่ใกล้อาจารย์ได้ไหม (พยายามจะให้ใกล้) พยายามมากหรือพยายามน้อย (พยายามมากๆ ) เพราะว่าตลอดมาคือไม่ค่อยพยายาม
เมื่อเราไม่พยายามก็คือไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พยายามให้มาก
“ได้”
ได้แล้วทำอย่างไร (ได้แล้วนำไปปฏิบัติ)
“ยาก”
ทำยากให้เป็นง่ายดีไหม หรือว่าทำยากให้เป็นยากดี (ไม่ดี)
“ก้าว”
ก้าวไหม (ก้าว) ก้าวไม่ใช่เรื่องหวยนะ เล่นหรือเปล่า (ไม่เล่น) คนที่ชอบเล่นหวยแทงเบอร์
เวลาไปขอเลขแล้วได้เลขไหม
ส่วนใหญ่จะไม่ได้
ใช่หรือเปล่า แต่เราก็เห็นคนอื่นเขาได้
เห็นคนอื่นเขาซื้อถูกแล้วอยากถูกบ้าง หารู้ไม่ว่าก็ใช้วิธีการเดียวกับที่อาจารย์พูด
ไปขอไปกราบพระ คนที่ให้อาจจะไม่ให้ถูกแต่เราแทงถูก พอได้มาพระท่านใช้วิธีไหน
วิธีการดึงบุญกุศลมาให้กับเราเพื่อเราจะได้ซื้อถูก
ในที่สุดแล้วที่ถูกเพราะเราทำบุญกุศลไว้ใช่หรือเปล่า (ใช่) น่าเสียดายไหมที่ศิษย์ของอาจารย์เอาบุญกุศลของตนเองไปซื้อหวยแทงเบอร์จนหมด
(น่าเสียดาย) เราชอบแต่ว่ารู้ไหมว่าบุญกุศลของเราจะไม่เหลือ
บุญกุศลมีผลดีอย่างไร ก็เหมือนกับอาหารที่เอาไว้กินระหว่างทางที่เราจะเดินทาง
ไม่มีอาหารหิวไหม (หิว) เวลาหิวแล้วทำอย่างไร เวลาหิวแล้วไม่มีกำลังใจจะเดินต่อดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญส่วนใหญ่ก็บำเพ็ญได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง
มิหนำซ้ำนอกจากไม่มีบุญกุศลพอที่จะเดินทางไกลแล้วยังต้องใช้กรรมของเราให้หมดด้วย
บุญกุศลกับกรรมเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) คนมีบุญเยอะต้องใช้กรรมไหม (ใช้) คนๆ
นี้เป็นมีบุญเยอะเป็นคนโชคดีแต่กรรมนั้นก็ต้องรับ กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง
ใช่หรือไม่ (ใช่) บุญใดใครสร้างบุญนั้นย่อมตอบสนองเหมือนกัน
ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดว่ามีบุญเยอะแล้วกรรมนั้นหมดไปเป็นไปได้ไหม
(ไม่ได้) ตอนที่เรารับบุญก็รับเต็มที่
เวลาที่รับกรรมก็ต้องรับเต็มที่
“คน”
ตอนนี้เราเป็นคน ทำอย่างไรถึงจะได้เป็นพุทธะ (ต้องมีความพยายาม) จริงๆ แล้วคนอายุมากน่ารัก ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าอีกหน่อยเราต้องอายุมาก ดูเขาแล้วก็ดูเราให้ดี ผิวหนังวันนี้ยังไม่เหี่ยว แต่วันหน้าก็เหี่ยว เรากลายเป็นคนแก่เหมือนกันไหม (เหมือน) วันหลังเราแก่แล้วอยากให้คนอื่นรักเรา วันนี้เราก็ต้องรักคนแก่ด้วย
ใช่หรือไม่ (ใช่) หลายคนไม่ชอบและไม่รักคนแก่ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ
แล้วคนแก่นั้นมีคุณกับเรามาก
ถ้าเขาไม่แก่แล้วเราจะเติบโตได้ไหม (ไม่ได้)
“ทราย”
ทรายมีประโยชน์หลายอย่าง
แก้วที่ใสๆ ก็มาจากทราย เพราะฉะนั้นตอนนี้สมมติว่าเราเป็นทรายแต่สักวันหนึ่งเราจะไปเป็นแก้วที่ใส
สะอาดไว้ให้คนอื่นได้ใช้
นั่นคือการทำให้ชีวิตของเรานั้นมีคุณค่าและมีประโยชน์ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ทาง”
ในโลกนี้มีหลายทาง
การที่จะเดินให้ถูกทางเป็นเรื่องยากเพราะว่าทางทุกทางสามารถเดินได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์หนึ่งทางเหมือนกันขอให้ศิษย์รู้จักมองและเลือกให้ดี
“อนาคต”
อนาคตในโลกสดใสได้ มืดมนได้
อนาคตพุทธะนั้นต้องกำหนดเอง
ต้องรู้ว่าอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ยากเดา
ใครๆ ก็อยากจะมีอนาคตที่สดใสแต่คนที่ได้รับจริงๆ นั้นมีน้อยมากในโลกนี้
"อยู่"
จะอยู่บำเพ็ญได้ไม่ได้อยู่ที่เรา
ให้รู้จักทำจิตใจของเราให้มั่นคงไม่ว่าอะไรมาล่อใจ ไม่ว่าอะไรผ่านเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นเงินทองนับล้าน
หรือจะเป็นฝุ่นเพียงเล็กน้อยก็อย่าได้หวั่นไหวกับมันดีไหม เราจึงสามารถอยู่บำเพ็ญได้ตลอดรอดฝั่ง
"ปัจจุบัน"
ปัจจุบันเป็นอย่างไร
ไม่ตอบอาจารย์ก็ไม่ได้ผลไม้ใช่ไหม นี่เป็นเรื่องปัจจุบัน ใช่ไหม ถ้าเราตอบอาจารย์ก็ได้ผลไม้ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นอยากได้อะไรต้องรู้จักหามาเอง ชีวิตนี้ปัจจุบันก็คือสิ่งที่เรานั้นสามารถตอบได้
อย่ารอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วก็นั่งคาดว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
หรือยังเสียใจกับอดีตที่ผ่านเลยไปแล้ว
ปัจจุบันอาจารย์ให้แอปเปิ้ลหนึ่งลูก
ไปทำให้แอปเปิ้ลลูกนี้เปรียบเสมือนมรรคผลที่ใหญ่โตพอที่จะนั่งได้ มองพระพุทธรูป มององค์พระข้างหน้านี้เห็นไหมว่าท่านนั่งอะไร ท่านนั่งดอกบัว ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งดอกบัวได้เพราะดอกบัวนั้นเป็นมรรคผล เป็นเสมือนต้นไม้ที่เรานั้นเฝ้ารดน้ำพรวนดินให้มันออกดอกที่สวยงาม แต่ว่าดอกบัวนั้นแม้จะไม่ต้องพรวนดินรดน้ำ แต่ก็หวังให้ศิษย์ไปดูแลรักษา อย่าเหมือนอาจารย์ทั้งปีๆ
ก็นั่งแต่ก้อนหิน
ขนาดเก้าอี้ที่ศิษย์นั่งอยู่สามวันนี้ ยังต้องเอาเก้าอี้นิ่มๆ เพราะฉะนั้นจงบำเพ็ญให้ตัวเรานั้นได้รับผลที่ดี
การที่ได้รับผลที่ดีได้วันนี้ก็ต้องทำสิ่งที่ดีด้วย
ถ้าหากวันนี้ไม่เริ่มทำสิ่งที่ดี อย่าหวังว่าวันหน้าจะได้ดี มันไม่มีทาง
"เป็น"
ในนี้อยากเป็นอะไรดี
อยากเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม อยากเป็นอาจารย์บรรยายธรรมหรือเปล่า
เป็นอะไรดี อยู่ในนี้เห็นไหมว่ามีคนหลายคนที่เขาทำงาน เป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ศิษย์ หวังว่าวันหน้ามีโอกาสจะมาศึกษาบ่อยๆ ดีไหม
ทำไมอาจารย์อยู่ดีๆ ให้แอปเปิ้ล
เขาบอกว่าในโลกนี้ไม่มีใครให้อะไรใครฟรีๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้ให้ฟรี
นั่งสามวันเหนื่อยไหม
เหนื่อยอยู่แล้ว
นั่งอยู่สามวันยังเหนื่อย
แต่อาจารย์บอกว่ามีเรื่องที่น่าเหนื่อยกว่านั้นอีก คือการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์
แม้ว่าศิษย์บางคนจะไม่เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แต่ไม่ต้องดูในสิ่งที่มองไม่เห็น
ให้ดูในสิ่งที่มองเห็นอยู่ทุกวันนี้
เก้าอี้ที่ศิษย์นั่งถ้าพังเอาไปทำใหม่ได้ไหม (ได้) สมัยนี้ทำได้ เพราะว่ามีธรรมชาติให้เรียนรู้
ให้เลียนแบบ ธรรมชาติก็คือธรรมะ ธรรมชาติคือชีวิต
เพราะฉะนั้นชีวิตศิษย์ที่เหมือนธรรมชาติอันนี้วนเวียนได้
เมื่อวนเวียนแล้วถามว่าถ้าหากชีวิตนี้ใช้ชีวิตมาแค่สิบกว่าปียังรู้สึกเบื่อๆ แล้วถามว่ายังต้องใช้ชีวิตไปอีกจนตาย พอตายแล้วก็กลับมาเกิดใหม่ เกิดแล้วก็ตายใหม่ น่าเบื่อไหม (น่าเบื่อ) น่าเบื่อยิ่งกว่าการนั่งสามวันนี้อีกนะ
เพราะฉะนั้นชีวิตของเราต้องหาทางที่จะหลุดพ้น จะมัววนๆ เวียนๆ เวียนๆ วนๆ
อยู่ตรงนี้ให้ชีวิตนี้มันน่าเบื่อกว่านี้หรือไง
ความทุกข์ที่เจอก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอ
ความสุขที่เจอก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอ
แต่มันเกิดมานับครั้งไม่ถ้วน
ถ้าศิษย์ของอาจารย์
ครั้งหน้าเกิดมาไม่ได้เกิดเป็นคนแล้วแต่เกิดเป็นสัตว์แทน เรานั้นจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เขาเลี้ยงเราโตขึ้นมาถึงเวลาก็เอาเราไปฆ่าแล้วก็กินเนื้อ แค้นไหมคนแบบนี้ (แค้น) เรารู้สึกแค้นใจในตัวเขาที่ชีวิตเราเติบโตมาแต่ให้คนอื่นเอาไปฆ่าเอาไปรังแก ศิษย์ของอาจารย์กำลังรังแกผู้อื่น คิดให้ดีๆ
ถ้าสามารถที่จะหยุดรังแกเขาได้ก็หยุดซะ
เพราะว่าชีวิตของเขากับชีวิตของเรามันเหมือนกัน เหมือนกันตรงไหน ถามว่าเขาเดินได้ไหม (ได้) เราเดินได้ไหม (ได้) เขามี ตาไหม (มี) เขามีเลือดไหม (มี) เขามีจิตใจไหม (มี) มีเหมือนกันหมดเลย เพราะฉะนั้นสมควรไหมที่เราจะรังแกเขา (ไม่สมควร) ตอนนี้ศิษย์คิดว่าศิษย์กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องไม่ผิด เราไม่รู้ตั้งแต่เล็กก็กินมาตลอด แต่ถ้าเสือคิดว่าเขากินคนแล้วไม่ผิด ให้เขากินดีไหม นับประสาอะไร
แค่ยุงกัดเรา เรายังตบเขาตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) เสือกินคนเราก็ขจัดเสือให้หมดป่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ในที่สุดทุกคนที่เป็นศัตรูของเรา เราขจัดได้หมด แต่คนที่เป็นศัตรูของสัตว์ สัตว์ขจัดได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเขาขจัดได้เขาจะมาขจัดเราไหม เขาย่อมทำ
ถ้าหากเราไม่ไปรังแกสัตว์ สัตว์จะรังแกเราไหม (ไม่รังแก) เพราะฉะนั้น
ตอนนี้ให้เราคิดและพิจารณาดูว่าชีวิตของเรานั้นเหมือนกันไหมกับเขา
"เตือนศิษย์จำไว้ลำบากเรียนรู้ถึงได้รู้จริง"
สามวันนี้มานั่งฟังด้วยความยากลำบาก
เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกไว้ว่า สิ่งที่เรียนรู้มาด้วยความยากลำบากนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ เพราะไม่ง่ายต่อการลืม ใช่หรือเปล่า ถ้าหากว่าเรียนรู้มาได้ง่ายๆ เหมือนตอนที่รับธรรมะมาง่ายๆ
ก็เลยไม่ยอมบำเพ็ญธรรม ใช่หรือไม่
คนในสมัยก่อนนั้น ถ้าหากว่ามีใครสามารถสอนวิชาความรู้ให้กับเขาได้ เขาจะตั้งใจเรียนตั้งใจศึกษา จะไม่ยอมปล่อยโอกาสของตนเองให้เลยผ่านไป สิ่งใดเรียนรู้มาจะไม่ลืมง่ายๆ
อาจารย์ก็หวังว่าสามวันนี้แม้จะไม่ได้ลำบากมากมาย
ลำบากเล็กๆ น้อยๆ
ก็ถือว่าเป็นความลำบากแก่ตน
ขอให้สามวันนี้ที่เรียนรู้สิ่งใดมาให้รู้จักนำกลับไปปฏิบัติ
ไม่ใช่กลับออกไปแล้วไม่ปฏิบัติก็คือคนที่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ในที่สุดแล้วไม่เข้าใจไม่ปฏิบัติ
ย่อมไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะได้
อย่าบอกว่านิพพานไกลจนเกินเอื้อม
พระพุทธองค์เองมีร่างกายเป็นคนมาก่อนหรือเปล่า (มี) แล้วตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่ในร่างกายของคนหรือเปล่า
(อยู่) อยู่เหมือนกัน
ท่านมีตาสองตา พุทธะทุกพระองค์เคยเกิดมาเป็นคนมีตาสองตา มีมือสองข้าง
มีเท้าสองข้างเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นทุกๆ ท่านบำเพ็ญบรรลุได้
ศิษย์ของอาจารย์ทำไมจะทำไม่ได้
สถานธรรมก็สร้างไว้แล้ว เรือนี้ก็สร้างขึ้นเสร็จแล้ว รอให้ศิษย์ศึกษาและปฏิบัติเท่านั้น มันง่ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามืออีก ทำไมทำไม่ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้
ถือว่าเราเป็นกระต่ายตื่นตูม
ยังไม่เห็นเลยว่าปฏิบัติธรรมะทำอย่างไร
ก็กลัวการบำเพ็ญเสียก่อน
ถือว่าเราเป็นคนที่กลัวในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่) คนสมัยก่อนเขาจะตั้งใจเรียนตั้งใจศึกษา
จะไม่ยอมปล่อยโอกาสของตนเองนั้นให้เลยผ่านไป สิ่งใดเรียนรู้มาจะไม่ลืมง่ายๆ
อาจารย์ก็หวังว่าสามวันนี้แม้จะไม่ได้ลำบากมากมาย ลำบากเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่าเป็นความลำบากแก่ตน
ขอให้สามวันนี้เรียนรู้สิ่งใดมาก็ให้รู้จักนำเอากลับไปปฏิบัติ
ไม่ใช่กลับออกไปแล้วไม่ปฏิบัติก็คือคนที่ไม่มีความเข้าใจอะไร
ในที่สุดแล้วไม่เข้าใจไม่ปฏิบัติย่อมไม่สามารถที่จะบรรลุเป็นพุทธะได้ อย่าบอกว่านิพพานไกลจนเกินเอื้อม พระพุทธองค์เองมีร่างกายเป็นคนมาก่อนหรือเปล่า
(มี) แล้วตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่ในร่างกายของคนหรือเปล่า
(อยู่) พุทธะทุกพระองค์เคยเกิดมาเป็นคน มีตาสองตา
มีมือและเท้าสองข้างเช่นเดียวกัน ทุกท่านบำเพ็ญบรรลุได้ ศิษย์ของอาจารย์ทำไมจะทำไม่ได้ สถานธรรมสร้างไว้แล้ว เรือนี้ก็สร้างเสร็จแล้ว
รอให้ศิษย์ศึกษาและปฏิบัติเท่านั้น
มันง่ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามืออีก ทำไมทำไม่ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้ถือว่าเราเป็นกระต่ายตื่นตูม
ยังไม่เห็นเลยว่าปฏิบัติธรรมะทำอย่างไร ก็กลัวการบำเพ็ญเสียก่อน ถือว่าเราเป็นคนที่กลัวในสิ่งที่เรามองไม่เห็น
นั้นเป็นการกลัวมากเกินไป
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลง ลำบากเรียนจะรู้จริง)
ลำบากเรียนไม่ใช่เรียนเรื่องความยากลำบาก
หมายถึงว่าเรียนสิ่งใดมาด้วยความยากลำบากแล้วย่อมได้รับความรู้จริง
ถ้าเรียนมาง่ายๆ ก็จะไม่เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้น
เพราะฉะนั้นความลำบากไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งลำบากยิ่งแจ้งจริง
เหมือนกับการขัดเกลาหยกอันนี้ให้มีความเงา
เหมือนกับการเผาทองอันนี้ที่ยิ่งร้อนยิ่งอร่าม เพราะฉะนั้นอยากเป็นทองที่อร่ามไหม (อยาก) อยากเป็นทองที่อร่ามต้องทนความร้อน
ทนความยากลำบาก
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทกับผู้ที่ตั้งห้องพระ)
ห้องพระตั้งแล้วต้องทำความสะอาด ต้องมีห้องพระที่สะอาดๆ จิตใจจึงสะอาด
ขยันอย่าได้เกียจคร้านในการทำสถานธรรมของตัวเองให้สะอาด แล้วเราก็เหมือนกัน
เป็นกำลังที่ดีให้แม่
เป็นกำลังที่ดีและกตัญญูให้มากๆ
เราแก่แล้วแต่ใจเราต้องสู้รู้ไหม ก้าวให้มั่น ก้าวให้ดี ดูให้ดีๆ แล้วก้าว
รู้ไหม อาจารย์นั้นจริงใจ อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปสู่อนาคตที่ดี
(อาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ทำวันนี้ให้ดีที่สุด)
อาจารย์บอกว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์ว่าให้ไป แก้ไขในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
แม้ว่าดวงชะตาของศิษย์บอกว่าศิษย์นั้นจะต้องยากจนค่นแค้น ไม่มีมิตร
ไม่มีเพื่อน แต่เราเปลี่ยนได้ เพราะชะตาฟ้าให้มาแต่คนเป็นผู้กำหนด กำหนดให้ดีขึ้นได้ไหม (ได้) ในทางกลับกัน กำหนดให้ทรุดได้ไหม (ได้) อยากจะทรุดหรืออยากจะดี อยากจะดีต้องทำอะไร
ต้องทำความดี
และก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
"ขอรู้จักตนเองให้ดีกว่าเก่า"
ใครที่บอกว่ารู้จักตนเองแล้ว
แท้จริงแล้วรู้จักอะไรของตนเอง
รู้จักว่าเราหน้าตาแบบนี้
นิสัยแบบนี้ รู้จักว่าวันนี้เราเป็นอย่างไร จิตใจเราคิดอะไร นี่เรียกว่าการรู้จักตนเองหรือเปล่า
ไม่ใช่ การรู้จักตนเองรู้จักอะไร รู้จักว่ากิเลสเราวิ่งไปทางไหน
เราจะขจัดกิเลสของเราได้อย่างไร
อารมณ์ของเรามาได้อย่างไร เราจะขจัดอารมณ์ของเราอย่างไร รู้จักว่าจิตใจของเรานั้นดีขึ้นหรือยัง รู้จักอย่างนี้จึงเป็นการรู้จักที่ดียิ่งกว่า ไม่ใช่รู้จักว่าหน้าตาเราเป็นอย่างนี้ ฐานะเราเป็นอย่างนี้
แล้วพอเราไปส่องกระจกแล้วก็ต้องยิ้มอย่างนี้ นั่นไม่เรียกว่าการรู้จักตนเอง
การรู้จักตนเองนั้นทำได้ด้วยการที่เรารู้จักใช้ปัญญาเท่านั้น อย่าใช้ความฉลาดอย่าใช้กลอุบาย ถ้าศิษย์ใช้กลอุบายกับตนเองนั้นศิษย์จะกลายเป็นคนที่โง่ที่สุด บางคนใช้กลอุบายกับตนเองคืออะไร คือชอบหลอกตนเอง หลายคนชอบหลอกตนเองว่าเรานั้นพอใจแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ใจลึกๆ ไม่เคยพอใจเลย คิดว่าตนเองอารมณ์นั้นคงที่แล้ว แต่จริงๆ ยังไม่คงที่เลย นี่เป็นการหลอกตนเองที่แย่ที่สุด
"พาตนเองสู่ทางกว้างเพราะใจกว้าง"
ทางนั้นจริงๆ แล้วเป็นแค่เพียงทางสมมุติที่อยู่ข้างนอก ทางบนโลกนั้นไม่ใช่ทางที่เราจะกำหนดได้ว่าจริงๆ
แล้วกว้างหรือแคบ แต่ทางที่กว้างจริงๆ
เพราะว่าใจเราเป็นคนที่ใจกว้างเท่านั้น
ถึงจะมีทางที่กว้างเกิดขึ้นจริงๆ
ในวันนี้เรามีโอกาสได้เจอกันเป็นบุญสัมพันธ์อันลึกล้ำอย่างยิ่ง ศิษย์นั้น
แม้ว่าบางคนบอกว่าตนเองเป็นพุทธะลงมาเกิด
แต่เป็นพุทธะลงมาเกิดแล้วก็คือปุถุชน ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่ต้องคิดว่าตนเองเคยเกิดเป็นอะไร ไม่จำเป็น
คิดแต่ว่าตอนนี้เราทำให้ดี
แม้ว่าเราเป็นพุทธะลงมาเกิด
มีบุญกุศลล้นพ้น
มีโชคลาภวาสนามากมาย
แต่หากว่าเรานั้นมัวแต่จมอยู่กับโชคลาภวาสนา ยิ่งสบายมากเท่าไร ยิ่งหลงลืมมากเท่านั้น คนที่สบายถามว่าไปทุกข์ได้ไหม ไปลำบากได้ไหม ไม่ได้
เขาทนไม่ได้
เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าให้ศิษย์อยู่กับวันนี้ แม้เราเป็นพุทธะลงมาเกิดก็ต้องบำเพ็ญเหมือนกัน พุทธะองค์นี้ลงมาเกิดแล้วเป็นคนที่มีกิเลส เป็นคนที่โมโหเก่งก็ต้องขัดเกลาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นพุทธะลงมาเกิดแล้ว กลับไปเราก็หายโกรธเอง กลับไปเราก็กลายเป็นคนที่ใจเย็นเอง กลับไปเราก็มีมรรคผลนั่งเอง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ทั้งกิเลสตัณหาและอารมณ์ต่างๆ
ของเรานั้นจะเผามรรคผลของเราที่เคยมีอยู่เดิมให้เป็นจุล ในวันนี้อาจารย์จึงบอกให้ศิษย์บำเพ็ญธรรม คำว่าเบื้องบนแดนนิพพานนั้นทุกคนสามารถไปได้ ขอให้อย่าดูถูกตนเอง
เวียนว่ายตายเกิดเหมือนกับวงกลม
วงกลมวงนี้ต้องอาศัยแรงเท่าไรที่จะเหวี่ยงตนเองออกไปนอกวง ต้องอาศัยแรงมาก
ศิษย์เองก็ต้องเหวี่ยงตัวเองอย่างนี้เช่นกันด้วยความแรง ให้หลุดจากโคจรอันนี้ออกไปสู่การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าหากไม่เหวี่ยง ไม่ออกแรง ไปเฉื่อยๆ
อย่างนี้ก็วนอยู่ที่นี่
บอกว่าเกิดมาแล้วมีทุกข์
ยิ่งเกิดยิ่งทุกข์ จึงต้องรู้จักที่จะพยายาม ออกแรงให้เยอะหน่อย เหวี่ยงตัวเองให้เยอะหน่อย
อย่ากลัว ตัวเองเจ็บมาก
“ปลายของทุกข์คือความสุขอันใสเย็น”
ทุกวันนี้ทุกคนอยากจะได้ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) ปลายของทุกข์คือความสุข ปลายของความสุขก็คือความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) จะบอกว่ามีความสุขก็สุขตลอดเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าหากว่าเราสามารถสุขได้ตลอดชีวิต อย่างนั้นเด็กที่เกิดมาก็ต้องคลานก่อน เติบโตแล้วก็สูงใหญ่ พอแก่แล้วก็ลงไปคลานใหม่ เพราะว่านี่คือธรรมชาติ คือวัฏจักร
เพราะฉะนั้นปลายของความทุกข์ก็วนไปสู่ความสุข ปลายของความสุขนั้นก็วนไปสู่ความทุกข์ ใครอยากได้สุขก็ต้องผ่านทุกข์มาก เพราะฉะนั้นอย่าได้กลัวที่จะเจอความทุกข์
ดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้และท๊อฟฟี่ให้แก่นักเรียนในชั้น)
ท๊อฟฟี่นั้นมีรสหวาน
อยากให้ศิษย์นั้นพูดจาให้หวานหู
ใครเห็นใครรัก ไม่มีใครชอบฟังคำที่ไม่ดี
อาจารย์ไม่สามารถจะเสกให้ใครมารักศิษย์ได้ถ้าศิษย์นั้นทำตัวไม่ให้คนอื่นรัก
เราต้องเข้าใจว่าแต่ละคนนั้นมีความคิดอ่านที่ต่างกัน ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลาจึงควรที่จะอภัยกัน เมื่อใครก็แล้ว
(พระอาจารย์เมตตาพูดกับหัวหน้าชั้น)
เป็นหัวหน้าชั้นของคนจำนวนมากแสดงว่าเรานั้นมีความเป็นผู้นำมากพอถึงได้รับการคัดเลือกขึ้นมา
ฉะนั้นใจเราต้องเที่ยงจึงนำเรือลำนี้มุ่งไปให้ตรงทาง จึงจะไปสู่ทางที่ถูกต้องแล้วขึ้นฝั่งได้อย่างรวดเร็ว ต้องรู้จักนำตนเองให้ดี
อาจารย์เข้าใจว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความสงสัยมากมาย ไม่เป็นไร ค่อยๆ
ศึกษาทำความเข้าใจ อย่าปิดโอกาสตนเอง ขอให้มาศึกษามากๆ
แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจสิ่งใด มีคนมากมายมาอยู่ที่นี้พวกเขาคงไม่โง่ ทั้งหมด เพราะฉะนั้นให้คิดให้ดีๆ บำเพ็ญให้ดี
เกิดมาชาตินี้ขอให้ดำเนินต่อ ชาติก่อนเคยสร้างกุศลไว้ชาตินี้ต้องสร้างให้ไปถึงจุดหมายที่ตั้งไว้เดิม มั่นใจ มั่นคงให้มากๆ
อย่าให้เวลามาเปลี่ยนแปลงเรา
ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจง่าย
แต่ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความพยายามที่จะเข้าใจ
ขอให้วันหน้าอาจารย์มาแล้วยังเห็นเราอีก
วันนี้ยังไม่ค่อยรู้เรื่องไม่เป็นไร วันหน้ายังมีโอกาส สามวันนี้รู้สึกว่าจิตใจเราดีขึ้นไหม
ขอให้ประคองสิ่งที่ดีนี้ตลอดไป
เราจะดีขึ้นกว่าเดิมไหม
(นักเรียนในชั้นร่วมร้องเพลง ทำนองเพลง “เจินจ้งไจ้เจี้ยน”)
ทำไมเพลงนี้อาจารย์ถึงบอกว่าอยู่เพียงลำพัง
เพราะรอบกายของอาจารย์นั้นไม่มีศิษย์ใช่ไหม ถึงต้องอยู่คนเดียว เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ส่วนใหญ่นั้นเวียนว่ายอยู่ในโลกมนุษย์นี้พ่ายแพ้ให้กับกิเลสตัณหา เปรียบไปแล้วเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ยอมถูกเมฆบังตลอดเวลา พระอาทิตย์ถึงไม่ส่องแสงไม่มีแสงแดดออกมา
ไม่สามารถรักษาความเป็นพระอาทิตย์อยู่ได้
พระอาทิตย์ดวงนั้นก็ดูจะไม่มีประโยชน์เหมือนกับศิษย์วันนี้ ตอนนี้อย่าสงสารอาจารย์ที่อาจารย์อยู่คนเดียว ถ้าสงสารอาจารย์จงบำเพ็ญตนให้ดีๆ
แล้วเรากลับไปอยู่ด้วยกัน
กลับไปอยู่ดินแดนอันแสนสุข
ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้
ไม่ต้องให้อาจารย์คอยห่วงอย่างนี้
อย่าทิ้งอาจารย์และอาจารย์จะไม่ทิ้งศิษย์ จงบำเพ็ญตนให้ดีๆ
แล้วเรากลับไปอยู่ด้วยกัน กลับไปอยู่ในดินแดนอันแสนสุข ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ ไม่ต้องให้อาจารย์คอยห่วงอย่างนี้ อย่าทิ้งอาจารย์ แล้วอาจารย์จะไม่ทิ้งศิษย์
ยามใดคิดถึงอาจารย์อาจารย์ก็อยู่กับศิษย์เสมอ เพียงแต่ไม่มีรูปลักษณ์ คอยบอกศิษย์ได้ เพราะฉะนั้นคำใดที่อาจารย์พูดไว้ ขอให้ศิษย์นั้นจำเป็นแม่นมั่น
อย่าได้ถือเป็นสิ่งไร้สาระ
คำพูดที่เลื่อนลอย
วันเวลาไม่คอยคนให้คิดได้
หากว่าเรานั้นปล่อยเวลาผ่านไป
เพราะเรานั้นมัวหลงอยู่กับโลกีย์อันนี้
ไม่พยายามจะเข้าใจตนเอง ไม่พยายามจะเข้าใจผู้อื่น
ไม่พยายามที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
คนไม่พยายามย่อมไม่ประสบความสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์อาจารย์ทุกคนนั้น อาจารย์ไม่เคยมองศิษย์ว่าเป็นคนต่ำต้อย หรือว่าสูงเลิศลอยจนเกินเหตุ อาจารย์นั้นเห็นศิษย์เหมือนๆ กัน เท่าๆ กัน ไม่มีใครโง่ ไม่มีใครฉลาด เพราะฉะนั้นศิษย์จงมองคนทุกๆ
คนด้วยสายตาอันเท่าเทียมกัน
สายตาอันเท่าเทียมนั้นเป็นสายตาของพุทธะ จงเริ่มทำในสิ่งที่พุทธะทำได้แล้วศิษย์ของอาจารย์วันหน้าจะเป็นพุทธะ
อย่าคิดว่าเรานั้นจะอยู่เฉยๆ ถึงเวลาสิ้นลมหายใจแล้วจะกลับไปเป็นพุทธะเป็นไปไม่ได้ ใครทำสิ่งใดไว้ก็จะได้สิ่งนั้น ฟ้าดินยุติธรรมเสมอ
ลากันวันนี้ขอให้วันหน้าอาจารย์ได้มีศิษย์ที่น่ารัก ที่เป็นพุทธะดีไหม (ดี) เข้าใจอาจารย์หน่อยนะ
ขอให้วันหน้าเราได้เจอกันใหม่ ความหมองอันเป็นเมฆในใจ
ขอให้สลายลงให้ได้นะศิษย์ทั้งหลาย
ลาก่อน
พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
หากว่าไม่สามารถเปลี่ยนซึ่งอนุสัย จะก้าวไกลได้ลำบากยากหนักหนา
แม้เราก้าวจนเหนื่อยอ่อนถอนอุรา ไม่ต่างย่ำกับที่หนาน่าช้ำใจ
ตามปรกติทุกคนล้วนรู้ระวัง แต่หันหลังเลิกประมาทเลยก็หาไม่
จึงมั่นคงไม่ต่างเดินบนผืนทราย เมื่อเข้าใจให้ผันตนเดินถูกทาง
อย่ามัวจมกับอดีตที่เลยผ่าน ไม่ฝันหวานอนาคตที่คาดหวัง
แต่ใจอยู่กับปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ผู้มั่งคั่งในสติไม่หลงวน