PDF 2542-05-08-ฉือเหยริน #7.pdf
วันเสาร์ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ชีวิตหนึ่งเพียงความฝันไม่ยืนยง ไม่มีใครจะดำรงไปชั่วฟ้า
ขอให้หันสู่ความจริงอยู่เบื้องหน้า สร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตตน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์
เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา ฮวา ฮวา
อันความสุขมีอยู่น้อยทุกข์มีมาก ความลำบากต้องเผชิญอยู่บ่อยบ่อย
ความพยายามพาสำเร็จขอชะรอย[๑] อย่ามัวคอยโชคลาภลอยแท้ไม่มี
ชีวิตหนึ่งมีค่าให้รักษา ธรรมดามีขมหวานปนฉะนี้
แม้ลำบากไม่ลืมจะมุ่งทำดี เมื่อคิดพลีต้องไม่เห็นแก่ตนเอง
วันเวลามีน้อยจงรู้ค่า ทางข้างหน้าไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
กิเลสที่แฝงใจตนต้องกำราบ พุทธะปราบมารลงได้ด้วยใจเที่ยง
อย่ายึดติดอัตตาของเน่าเสีย จิตจะเพลียเพราะคิดแต่อกุศล
ความมุ่งมั่นอันประเสริฐสู่เบื้องบน แม้อับจนย่อมไม่นานจนเกินไป
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขออย่าสุมจิตเบื้องต้นความสงสัย
ความศรัทธาดุจรากแก้วต้นไม้ใหญ่ ขอท่านไปตรึกตรองให้จงดี
อย่ามัวหลงโลกโลกีย์ภาพลวงตา สิ่งจอมปลอมแม้ควานหาไม่รู้พอ
อย่าชอบฟังแต่เสียงหวานคอยพะนอ ยาดีหนอขมปากนักรู้ไหมเอย
ขอให้รู้พาตนพ้นวัฏสงสาร การคืนบ้านชั่วชีวิตไม่นิ่งเฉย
ขจัดตัดเหล่าธุลีความชินเคย ไม่ละเลยตรวจสอบตนทุกทุกวัน
ใช้ความดีออกนำคนไม่ผิดพลาด ผู้ประมาทยากนำใครแม้ตนนั้น
คนหลงพาไปหลงอยู่ทุกวัน มองตนนั้นขณะนี้เป็นแบบใด
จงรู้ว่าชีวิตหนึ่งช่างมีค่า จะมัวช้าร่ำไรก็จะเสีย
ขอให้ใช้ทุกเวลาไม่ให้เสีย มารลามเลียจิตแข็งแกร่งฝ่าปวงภัย
สองวันนี้มาให้ครบจบหนึ่งชั้น แลขยันจะศึกษาตั้งใจยิ่ง
จบชั้นไปพบอุปสรรคจะไม่ทิ้ง จิตใจนิ่งเห็นเท็จแท้ด้วยปัญญา
พุทธระเบียบจงรักษาให้เคร่งครัด วางจัดจิตวางจัดกายให้เหมาะสม
แม้สองวันช่างน้อยนิดบัวพ้นตม ปัญญาคมตัดกิเลสไม่ถวิล
น้องชายหญิงจงสำรวมทั้งกายใจ อีกวาจาอย่าได้เบาบ่อยครั้ง
ขอให้รวมจิตใจรวมพลัง สู่ฟ้าฝั่งแม้แสนไกลย่อมไปถึง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ยืนคุมชั้นจรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
[๑]
ชะรอย เห็นจะ, เห็นทีจะ, ท่าจะ, บางที
วันเสาร์ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
พระโอวาทพระนาจา
ลมพัดเย็นคอยดับร้อนผ่อนสบาย ความโหดร้ายดับหายด้วยเมตตาจิต
คนวู่วามหยุดได้ด้วยยั้งคิด คนทำผิดจางหายด้วยแก้ไขตน
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานชั่วคราว แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม
เผลอหลับอีกครานี้ระทมนาน รู้เท่าทันตื่นขึ้นบำเพ็ญแก่น
ตามให้ทันอารมณ์ที่ชั่วแล่น จิตที่แสนหนักขุ่นจะบรรเทา
ถูกสมมติเมินหมางวางไม่ลง อัตตาส่งให้กลายเป็นคนเขลา
ถืออาวุธไม่ลดบาดตนเข้า ที่อยากเอาชนะคนอับจนจริง
ความอดทนของเราสร้างขึ้นได้ เมตตาใจชนะเหนือทุกทุกสิ่ง
กิเลสพ่ายในมือของคนจริง ได้ปลงยากคล้ายสิ่งสอบเมธา
ความผาสุกอยู่ไหนใช่สวรรค์ ทุกข์อนันต์ตกนรกล้วนโลกหล้า
ทั้งสองสิ่งล้วนสถิตกลางอุรา สถานนรกไปพ้นหนาด้วยสำนึก
ชีวิตนี้ก้าวหน้ามาไม่น้อย ก้าวหนึ่งถอยทบทวนเห็นตื้นลึก
ทำสิ่งใดหยุดทบทวนชนะศึก ต้องยอมฝึกฝ่าลำบากมากอภัย
จิตบำเพ็ญไม่เที่ยงต้องหมดไป เวลาสาม[๔]ให้รู้อยู่กับตน
จิตผยองผองมารจะใช้พึ่ง อ่อนน้อมจึงขาดแคลนตั้งแต่ต้น
เร่งฟื้นฟูเข้าที่ดวงกมล อนุชนพลันสืบทอดความดีงาม
เวลายากทดแทนกลับรู้รักษา ขาดมัชฌิมา[๕]สะท้านจิตผ่าดงหนาม
สุดท้ายหลงเหมือนเดิมแดนรูปนาม วาระสามพ้นหลงด้วยดวงปัญญา
เพื่อคืนฝั่งไม่พ้นต้องบำเพ็ญ ธรรมใสเย็นดับไฟทั่วทิศา
สิ่งใดดีมอบให้มวลประชา ก้าวสู่วันข้างหน้าพร้อมเพรียงกัน
ฮิ ฮิ
หยุด
[๑]
มนสิการ การกำหนดไว้ในใจ
[๑]
วัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดในโลก
[๑]
เวลาสาม อดีต
ปัจจุบัน อนาคต
[๑]
มัชฌิมา กลาง
พระโอวาทพระนาจา
เราฟังธรรมะมาค่อนวันแล้ว เริ่มเบื่อแล้วใช่หรือเปล่า
เราเป็นเด็กเวลาที่โดนคุณพ่อคุณแม่อบรมต้องเป็นเด็กดี พอฟังนานเราก็เบื่อแล้วใช่หรือไม่ แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่แต่ฟังมากๆ เราก็เป็นอย่างไร (เบื่อ) ก็เป็นธรรมดาที่เราต้องเบื่อต้องเมื่อย การที่เขาให้ท่านร้องเพลง
ให้ท่านมีการฟังคำถามแล้วให้ท่านรู้จักตอบก็เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ
ไม่จมอยู่กับความคิดใดความคิดหนึ่งจนเกินไป
มนุษย์เราถ้าจมอยู่ในความคิดใดความคิดหนึ่งจนเกินไปเราก็มักจะเป็นทุกข์
ในชีวิตนี้มีใครบ้างที่จะพูดได้ว่า
ชีวิตของเรานี้ตั้งแต่เกิดมาจนมีอายุถึงป่านนี้แล้ว เราไม่เคยมีธรรมะในตัวเราเลย
เราไม่เคยย่างกรายเข้าไปหาธรรมะเลย หรือแม้สักนิดหนึ่งเราก็ไม่เคยพูดถึงธรรมะ มีใครบ้างหรือเปล่าที่ชีวิตเราไม่เคยปฏิบัติธรรมะเลย
แล้วคนที่ชั่วร้ายที่สุดท่านคิดว่า เขาไม่มีธรรมะในหัวใจเลยหรือ (ไม่ใช่) แล้วทำไมท่านไปว่าเขาว่า คนไร้หัวใจ
คนไม่มีธรรม (ไม่ได้ว่า) แต่บางครั้งเราก็เผลอว่าเขาไปโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่
(ใช่) ก็เหมือนเราทุกคนในที่นี้ จะบอกว่าเราไม่มีธรรมเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต้องมีธรรมอยู่แล้ว แต่จะมีมากมีน้อยเท่านั้นเอง ทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมในการดำเนินชีวิต
แต่จะปฏิบัติได้เคร่งหรือไม่เคร่งเท่านั้นเอง
ธรรมะนั้นใช่อยู่ข้างนอก ใช่อยู่ที่คนพูด ใช่อยู่ที่คัมภีร์
แต่ธรรมะหาได้ในจิตใจของทุกคนที่มีความสำนึก ถ้าคนไหนใจยังสำนึกผิดชอบชั่วดีก็แปลว่า
คนนั้นย่อมมีธรรมะอยู่
ถ้าอย่างนั้นคนใดเผลอไม่มีสามัญสำนึกอยู่แปลว่า
เขาคนนั้นพร้อมที่จะไร้ธรรมะได้ทันทีใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า คนทุกคนมีหมด
แต่ที่ไม่มีเพราะขาดสามัญสำนึก ขาดความนึกถึงเรื่องคุณธรรมความดีงาม แล้วเป็นเพราะอะไรเราถึงลืมนึกไปหรือขาดหายไป (ไม่มีสติ) แปลว่าตอนนั้นเขาทำไปโดยไร้สติหรือ
(ไม่ใช่)
มีสติเหมือนกัน
ไม่เช่นนั้นเขาจะไปขโมยของมาได้อย่างไรจนสำเร็จ
แล้วอย่างสมมติไปตีเขา รู้อยู่แล้วตีเขา เขาเจ็บ
แล้วเดี๋ยวเขาต้องตีกลับแน่ ตีแล้วเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ดี แล้วเขาขาดสติหรือเปล่า มีสติเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เป็นสติของคนพาล
ไม่ใช่สติของคนดีหรือของผู้ประเสริฐหรือปัญญาชน
คนที่เป็นปัญญาชนมีความคิด มีปัญญาที่ดี มีมโนธรรมสำนึกที่ดี
เวลาทำอะไรเขาต้องคิดแล้วก็ไตร่ตรองก่อนที่จะลงมือกระทำ
วันนี้ก็เหมือนกันท่านมาฟังตรงนี้ ทุกคนในที่นี้เกือบทั้งหมดนับถือพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า “จะเกิดความศรัทธาได้ที่ใด คนที่นั่นต้องมีปัญญาและเหตุผล” วันนี้ท่านจะมาเชื่อธรรมะ
ถ้าท่านไม่เอาปัญญามาคิดเอาเหตุผลมาไตร่ตรอง ท่านจะเกิดความศรัทธาตรงนี้ได้หรือไม่
(ไม่ได้)
แล้วท่านจะเข้าใจตรงนี้ได้หรือไม่
(ไม่ได้)
ก็ไม่ได้เหมือนกัน
วันนี้เรามาฟังตรงนี้ขอให้ใช้ปัญญาและเหตุผลที่เขาพูดอยู่นี้
พิจารณาและฟังว่า มีเหตุผลหรือเปล่า ปัญญาเราพอหยั่งได้หรือเปล่าว่าจริงหรือเท็จ
น่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ ท่านคิดเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)
เราเป็นคน เรามีขา เรามีสมอง เรารู้จักเลือกทางเดินของเราได้
ไยจะต้องให้ใครมาจูงเรา
วันนี้ก็เหมือนกันท่านไม่อยากให้ใครมาจูงท่าน ท่านก็ต้องคิดให้เป็น
ใช้ปัญญาให้ถูกด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ถึงจะมาโดยที่ไม่ได้บอกว่า เราเชื่อแล้ว
ไม่ใช่บอกให้เชื่อก็เชื่อนะ
ท่านไม่ใช่คนแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านเคยเห็นเราหรือเปล่า
เราเคยเห็นทุกๆ ท่านเลยนะ เห็นหมดทุกอย่างเลยใครทำอะไรบ้างในวันหนึ่งๆ
เหมือนมดงานเลย ออกมาก็ใส่เสื้อผ้าไปทำงาน ทำงาน กลับมาก็เป็นอย่างไร
ก็หมดแรงเดินเข้าบ้านแล้วก็นอน หรือไม่ก็ยังมีแรงดูทีวี เป็นอย่างนี้ทุกวันเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนมด แล้ววันหนึ่งเกิดมีคนหมั่นไส้มด ขยี้มดขึ้นมา
ชีวิตจะเป็นอย่างไร (ตาย) ตายแบบไม่มีคุณค่าอะไรเลยใช่หรือเปล่า
(ใช่) แล้ววันใดท่านจะไปเป็นมดตัวนั้นที่ถูกใครบางคนขยี้เราก็ไม่รู้
ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใครรู้วันพรุ่ง เรารู้แค่วันนี้ขณะนี้
ขณะที่อีกต่อไปเราก็ไม่รู้ ฉะนั้นชีวิตของเราจะแขวนอยู่กับการไปเรื่อยๆ
หรือ ชีวิตของท่านจะแขวนกับการไปหาหมอดู หมอจะทายว่าอย่างไร
ขึ้นอยู่กับไพ่ใบหนึ่งหรือ หรือท่านจะอยู่กับการเขย่าๆ
แล้วออกแต้มสูงหรือแต้มต่ำ
เพราะถ้าคนเราชินอย่างไร สภาพก็จะผลักดันให้เราไปในทางนั้น ถ้าตอนนี้ชีวิตของท่านชินกับการเต้นตุ้งแฉ่ง
ตุ้งแฉ่ง ตายไปใจหรือความรู้สึกของท่านก็ยังอยากไปตุ้งแฉ่ง ตุ้งแฉ่งอีก
เพราะตอนนั้นยังตุ้งแฉ่งไม่ทันมัน
ยังสนุกไม่เต็มที่เลย
แล้วถ้าชีวิตตอนนี้ของท่านวันๆ เอาแต่ทำงานหาเงินนับเงิน
กลับไปท่านจะเป็นอย่างไร ก็ไปนั่งนับเงินต่อ
แต่เงินเป็นอย่างไร
เงินไม่มีค่าเพราะไม่มีชีวิตที่จะเอาเงินมาใช้ แล้วตอนนี้ถ้าชีวิตท่านมีอย่างนี้
ท่านไม่รู้จักปูพื้นฐานให้ดี
เมื่อหมดสิ้นไปแล้วความเคยชินนั้นก็ย่อมผลักดันให้ท่านไปทางเดิมใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ทำไมเราไม่พยายามดึงตัวเองไปสู่สภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นกว่าเดิมให้ได้บ้าง
เราสามารถดีดตัวเองให้พ้นจากสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรามักจะไม่เอา
พักตรงนี้ก็ดีแล้ว มีเงิน มีทอง มีทรัพย์ มีสิน มีเกียรติยศ มีหน้าที่ ชีวิตเลยมีเฉพาะตัวเองเท่านั้นเอง อย่างมากสุดเผื่อแผ่ให้หน่อยคือ ใครเดือดร้อนเราก็ยื่นเงินช่วยเขา
ใครเป็นทุกข์เราก็ยื่นความดีให้แก่เขา แต่ก็เพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง ถามจริงๆ
ว่าชีวิตหนึ่งเราว่างพอที่จะให้เขาอย่างนี้มากเกินหรือเปล่า ก็คงน้อยใช่หรือเปล่า (ใช่) หรือแม้กระทั่งเวลาให้ความสุขกับตนเองก็น้อยเหมือนกันใช่หรือไม่
(ใช่)
ศิษย์พี่เล่าอะไรให้ฟังง่ายๆ เรื่องหนึ่ง
ศิษย์น้องคงอยากฟังนิทานบ้าง
สมมติว่าศิษย์พี่มีกล่องใบหนึ่ง
กล่องใบนี้ไปอยู่กับคนตีแต่ละคน เขาก็ทำกล่องของศิษย์น้องแตกต่างกันออกไป อยู่ที่คนฝั่งนี้เขาก็ตีตุ้มๆ
ไม่สนใจใครฉันอยากตีฉันก็ตี
แต่คนนี้ถึงเวลาที่ควรตีเขาก็ตี ถึงเวลาที่ควรบรรเลงเขาก็บรรเลง
พอมาอีกคนหนึ่งเขาเป็นอย่างไร วางกล่องของศิษย์พี่ไว้ข้างๆ
นึกอยากจะดูก็แวะมาดูนิดหน่อยแล้วก็เดินผ่านไป
พอนึกขึ้นได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กล่องไว้ก็มาดูอีกนิดหนึ่ง แล้วก็ผ่านไป
กล่องใบนี้หากเทียบเป็นธรรมะก็เหมือนกับคนที่ได้รับธรรมะไป
ถ้าตอนนี้ศิษย์น้องไม่ได้มาประชุมธรรมศิษย์น้องก็อาจจะเอาธรรมะนั้นวางไว้ข้างๆ
หรือวางไว้ที่ใดที่หนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางคนรู้จักนำธรรมะอันนี้เอามาใช้
ถึงเวลาพูดก็เอาธรรมะนี้ไปพูด ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ถึงเวลาไม่เข้าใจก็ไปนั่งฟัง ให้กล่องนี้เพิ่มราคา
มีคุณค่าเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อีกประเภทหนึ่งเอากล่องไปเพราะอยากรู้ว่า
ธรรมะนี้แน่จริงแค่ไหน ป่าวประกาศให้ทั่วหมดเลยไม่สนใจว่าเป็นอย่างไร
นึกจะพูดก็พูด ที่เขาบอกห้ามพูดก็ไม่สนใจ
แปลว่าของสิ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับมือของคนใช่หรือไม่ (ใช่) จะพูดว่ากล่องที่อยู่ในมือคนนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่น่าศรัทธาได้หรือเปล่า (ไม่ได้) อย่างนั้นเวลาเรามองธรรมะเราใช้คนวัดหรือใช้ดูคุณค่าที่สิ่งๆนั้น
(คุณค่า) เราต้องดูที่คุณค่าของแก่นแท้ความเป็นจริงของสิ่งๆ
นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเอาธรรมะไปวัดที่ตัวคน
แต่คนที่รับธรรมะไปกลับไม่มองธรรมะเป็นธรรมะ
แต่มองธรรมะที่ตัวคนรับธรรมนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นแปลว่าเราตีค่า ตีราคาของผิด
เหมือนเวลาเราซื้อของสิ่งหนึ่ง
บ่อยครั้งที่เรามักจะดูแต่รูปแบบภายนอก วันนี้ท่านบอกว่าอยากซื้อเสื้อ ที่ท่านต้องซื้อเสื้อเพราะท่านไม่มีเสื้อจะใส่ แต่ถ้าหากว่าท่านเห็นเสื้อที่มีหลายแบบมาก
แต่ตัวเล็กเกินไป
ตัวหนึ่งประดับประดาสวยเกินไป
อีกตัวหนึ่งกำลังดีเหมาะกับเราใส่ได้ทุกโอกาส ถ้าหากว่า
ท่านสนใจแต่เปลือกนอกท่านคงเลือกตัวที่ประดับประดาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก็เหมือนกันเวลาเรามีชีวิตอยู่เราจะมอง เราจะใช้
เราจะทำสิ่งใด ขอให้ถามที่ตัวเราก่อนว่า เราต้องการสิ่งนั้นไปใช้อะไรใช่หรือไม่ (ใช่) พอเรารู้แล้วเราจะหยิบสิ่งนั้นที่มีเนื้อหาสาระเพียงพอกับที่เราขาดแคลนไปหรือไม่ใช่หรือเปล่า
(ใช่)
แล้วเราก็จะได้ของนั้นมาแบบมีคุณค่าและไม่เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตา
ให้นักเรียนในชั้นร่วมกันทำเสียงจังหวะดนตรี)
ชีวิตเราเหมือนเป็ดหรือเปล่า (เหมือน) บางทีเดินๆ
อยู่ดีๆ ก็ล้ม แต่ใครล้มแล้วจะลุกขึ้นสู้กันบ้างใช่หรือไม่ การล้มแล้วลุกขึ้นสู้
บางครั้งก็ทำให้เราได้รู้ชีวิตที่แท้จริง ให้รู้จักเรื่องราวที่เรากำลังทำอยู่
ทำให้รู้จักตัวเราเองว่าแข็งแกร่งแค่ไหนใช่หรือไม่ (ใช่) คนเราถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้หรอกว่าต้องทำตัวให้แข็งแรง
คนเราไม่สูญเสียก่อนก็คงไม่รู้ที่จะทะนุถนอมรักษาใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมต้องให้สูญเสียก่อนเราถึงจะรักษาเป็น
ต้องให้ชีวิตทุกข์ยากลำบากก่อนถึงอยากจะค้นหาความสุขที่แท้จริง
ถ้าถึงตอนนั้นศิษย์น้องจะมีเรี่ยวแรงที่จะมาค้นหาหรือเปล่า (ไม่มี) ก็เหมือนคนที่ล้มไปแล้ว
การจะลุกขึ้นยืนใหม่ก็คงยาก
แต่ในชีวิตของคนก็เปรียบเหมือนการมีชีวิตของเรา กว่าเราจะยืนขึ้นมาได้
กว่าศิษย์พี่จะยืนขึ้นมาได้ ล้วนต้องฝ่าช่วงอะไร ยืนไม่เป็นใช่หรือไม่ (ใช่) คนทุกคนก็เหมือนกัน แม้แต่สัตว์หรือแม้แต่ต้นไม้
กว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่ล้วนต้องมาจากต้นไม้เล็กๆ ต้องฝ่าความยากลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าเป็นปกติของทุกๆ เรื่อง
คนเราไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ว่าจะบำเพ็ญธรรมล้วนต้องผ่านช่วงอ่อนแอ ใครผ่านช่วงนั้นได้คนนั้นถึงจะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาอันร่มเย็น
ใช่หรือไม่ (ใช่) กว่าเราจะมีชีวิตยืนอยู่ตรงนี้ได้
ไม่มีใครที่มาโดยง่ายๆ
จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า “สุภาพชนนั้นจะกลายเป็นผู้ที่สง่างามได้
ล้วนต้องถูกคนกดทับ นินทาว่าร้าย เจออุปสรรคนานา แต่คนที่ไม่ใช่วีรชน
ไม่ใช่สุภาพชนล้วนแต่เป็นคนที่ชอบปล่อยตัวเองไปเรื่อยๆ
ตามสบายไม่คิดที่จะต่อสู้กับความยากลำบาก พอเจอความทุกข์ยากก็เอาแต่หนี
คนอย่างนี้ยากจะเป็นคนที่น่ายกย่องหรือเอาเยี่ยงอย่างได้” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราทุกคนอยากให้ลูกรักเรา อยากให้ลูกเคารพเรา
ถ้าเมื่อก่อนเราไม่เคยมีประวัติอันดีงามมาบ้างเลย ลูกเราจะเคารพเราได้เต็มที่ไหม (ไม่เต็มที่) เราก็คงไม่กล้าที่จะพูดอะไรให้ลูกเราว่า
ลูกทำแบบนี้เถอะ คงพูดได้ไม่เต็มปาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าได้ดูถูกประสบการณ์หรือความยากลำบาก แม้วันนี้มานั่งแล้วเจอความทุกข์ยาก
เจอความเมื่อย เจอความเบื่อ เราก็อย่าได้ดูถูก
ถ้าเราผ่านไปได้นั้นก็คือคนเก่ง
เป็นคนที่อดทนใช่หรือเปล่า (ใช่)
ในโลกนี้ ผ้าผืนนี้จะมีราคาก็ต่อเมื่อคนกำหนดราคาขึ้น ศิษย์พี่ไม่มีทอง สมมติว่าเป็นทอง
ทองที่เราเก็บได้ในธรรมชาติที่มีราคาก็เพราะคนสมมติกำหนดให้มีค่าขึ้นลาภยศ
ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องการของทุกๆ
คนก็เพราะว่าคนสมมติให้มีการแบ่งลำดับการทำงานขึ้น คำชม ติฉิน ด่าทอ
จะมีค่าแตกต่างกันก็เพราะคนกำหนดแบ่งว่าอะไรดี อะไรไม่ดี มนุษย์เราสมมติสิ่งต่างๆ
ให้มีค่าสมมติวาจาทำให้เรายินดี สมมติคำพูดทำให้เรามีทุกข์ได้
แล้วถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งสิ่งที่เราสมมติกลับมาทำร้ายเราเอง เราเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์) วางไม่ลงปลงไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตัวอย่างเช่นเราสมมติว่าเด็กคนนี้คือคนที่ดีเด็กคนนั้นคือคนที่ไม่ดี
เราก็เลยรู้สึกว่าเป็นธรรมดาที่ว่าเราต้องลำเอียงรักเด็กดีมากกว่าเด็กที่ไม่ดี
พอเขาทำให้เราผิดหวัง เป็นอย่างไร ทำไมไม่เป็นคนที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนวันนี้ท่านมีเงินท่านรู้สึกว่าเงินนั้นมีค่า
แต่พอเงินหมางเมินไม่สนใจท่าน ไปติดอยู่ในกระเป๋าของคนอื่นแล้ว
เดินหน้าเราหนีไปไปอยู่กระเป๋าคนอื่นหรือพูดง่ายๆ
ผู้หญิงที่ท่านรักมากที่สุดวันนี้ไม่รักท่านแล้วหมางเมินเหินห่างจากท่านไปรักคนอื่นแล้ว
ท่านเป็นอย่างไร (ทุกข์) แต่ก่อนที่จะพูดว่าตัดได้
ถามจริงๆ ทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์)
ทุกข์แบบจะกรีดตัวเอง
จะกินเลือดเนื้อเขาให้ได้ แต่หลายคนพอตัวเองไม่ได้แล้วเป็นอย่างไร ดึงอาวุธออกมา “ฉันไม่ได้ เรื่องอะไรเธอจะได้” ทำให้คนขาดมโนธรรมสำนึกไป
เรากำลังติดยึดกับสิ่งที่เรากำหนด ชูเชิด ยกย่อง เหยียดหยาม
ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำหนดขึ้นมาทั้งนั้น พอมีอารมณ์เข้าครอบงำ พอมีความอยาก กิเลส
คิดปลงไม่ได้และวางไม่ลงครอบจิตใจเราแล้ว คุณธรรมหายหมดเลย พร้อมที่ทำผิด หลง
หน้ามืดตามัวไปตลอดเลย แล้วอย่างนี้จะโทษใครได้หรือเปล่า โทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่คุ้มครองได้ไหม
ตัวท่านไปหลงเอง ไปเจอเองบอกว่าเป็นบุพเพสันนิวาส ทำให้เราได้เจอกัน
แล้วบุพเพก็อาละวาดทำให้เราแยกจากกัน
จะมีใครทำใจแล้วคิดได้ทัน ว่าจริงๆ แล้วตัวเราเองเป็นผู้ที่สร้างขึ้นมาเอง
แล้วก็ติดอยู่ในนั้นเองแล้วก็ลืมไปว่าวิธีแกะเป็นอย่างไร สวยจังเลยทองแกะไม่ออก ขอได้ไหม (ได้) ให้จริงๆ ด้วยหรือ ต้องรู้จักด้วยนะว่า เราอดทนได้ไหม
ปลงได้ไหม เปิดใจเมตตาไม่เอาได้ไหม เขาไม่เอาไม่เป็นไร เขาไม่รักไปรักคนอื่นก็ได้
เงินไปอยู่กระเป๋าคนอื่นก็ได้ทำได้หรือเปล่า ใครไม่ชมเราไปชมคนอื่นได้ไหม
คนชมเมินหมางเรา แต่ไม่เมินหมางคนอื่นก็ได้ เปิดใจเมตตาตรงนี้ได้ไหม (ได้) ต้องยอมรับความจริงบ้าง คนเรารู้ตัวเองถึงจะแก้ไขเป็น
ถ้าเราไม่รู้จักถามตัวเองว่าตัวเองเป็นคนเช่นไรเราจะแก้เป็นหรือไม่ (ไม่เป็น) และไม่รู้ด้วยว่าผิดตรงไหน
“กิเลสพ่ายในมือของคนจริง” ใช่หรือไม่
ถ้าเราเก่งจริงเอาชนะได้จริง เราย่อมสามารถปราบกิเลสให้โล่งเตียนได้เหมือนตัดหญ้า
เวลาหญ้าขึ้นต้นเดียวเราก็ใช้มือถอนทิ้งได้
หากหญ้าขึ้นทั้งแปลงทำอย่างไร (ตัด,ฉีดยา)
ศิษย์น้อง
ฉีดยาโหดร้ายหรือเปล่า เพราะว่าเราฆ่าธรรมชาติและได้ทำลายวัฏจักรของธรรมชาติ ตั๊กแตนมีมากก็เพราะเรากินนกกระจาบ
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมสิ่งนี้ถึงมีมาก
เราจะโทษธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่เพราะมนุษย์ทำลายดึงเอาวัฏจักรที่ควรจะหมุนเวียนไปสู่ความเป็นวัฏจักรออกไป
ทำให้สิ่งหนึ่งขาดไปอีกสิ่งกลับเพิ่มมากขึ้น
ตอนนี้ศิษย์พี่จะลงโทษโดยการเอาวัฏจักรของคนออกมา ดีหรือเปล่า (ดี) เอาออกมาจากวงจร
ตอนนี้ศิษย์พี่มาชวนศิษย์น้องออกจากวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดอันนี้
ใช้แรงศิษย์พี่อย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้) ต้องมีแรงผลักดันของตัวศิษย์น้องเองเพิ่มเข้าไปด้วย
ถึงจะทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ได้
แต่ตอนนี้ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยดึงตัวเองขึ้น เพราะศิษย์น้องเองก็มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบอยู่
คงไม่ต้องเป็นตอนนี้ ถ้าดึงตอนนี้เดี๋ยวคนทางบ้านของศิษย์น้องไม่มาอีกแน่เลย อะไรที่ปลงยากๆ อะไรที่มาแล้วขัดใจเรา
ก็ถือว่าเป็นการวัดใจเราอดทนไหวไหม เมตตาให้เขาเป็นหรือเปล่า
อภัยให้เขาได้หรือไม่
ความทุกข์อยู่ในนรกหรือเปล่าแล้วความสุขอยู่แห่งไหน (ใจ) แล้วทำไมไม่ตัดใจให้ได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า “จะตัดต้องตัดที่เหตุ” ใครทำให้เราทุกข์ (ใจของเรา)
ฉะนั้นต้องรู้จักรับให้น้อยบ้าง
พอใจในรักของตัวเองที่มีบ้าง คนไหนที่ทำให้เราทุกข์
ก็รู้จักพอใจในสุขในเงินที่ตัวเองมีบ้าง อย่าบอกว่าสุขไม่พอหรอกสิบบาทเอง
แต่ถ้าเทียบกับคนที่มีหนึ่งบาทท่านสุขกว่าไหม ถ้ามีร้อยบาทท่านสุขกว่าไหม
ถ้าบางทีเราหาได้แค่นี้ก็จงพอใจเสีย อย่ามองสูงมาก สูงมากก็เมื่อยคอ
หากมองต่ำบ้างก็จะไม่เมื่อย ก้มบ้างมองตัวเองบ้าง
หากไม่ไหวก็ไม่เป็นไรมองตัวเองเท่านี้ก็ดีได้ เงยบ้างก็ก้มบ้าง
รู้จักพอบ้างก็มีความสุขแล้ว โลกนี้เป็นทั้งสวรรค์และนรกได้
สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ทำไมถึงต่างกัน
อกกับใจอยู่ที่เดียวกันหรือเปล่า
อกอยู่ข้างนอก แต่ใจนั้นอยู่ข้างใน แปลกนะ เพราะสุขไม่ใช่สุขที่แท้
แต่ทุกข์นั้นเป็นทุกข์ที่แท้
ฉะนั้นศิษย์น้องอยู่บนโลกนี้ต้องคิดด้วยนะ
มนุษย์เรานั้นมักจะชอบก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
แต่บางครั้งการหยุดมองในสิ่งที่ตนเองทำสำเร็จจะทำให้เรารู้จักตรวจสอบว่าเราสำเร็จมาได้อย่างไร
เราผิดพลาดมาได้อย่างไร
ฉะนั้นการยอมก้าวถอยก็เพื่อตรวจสอบดูว่าสิ่งที่ผ่านไปนั้น
อะไรที่ทำให้เราสำเร็จ อะไรที่ทำให้เราผิดพลาด อย่าได้เป็นคนที่ก้าวหน้าเป็นแต่ถอยหลังไม่เป็น
รถยังเดินหน้าได้ ถอยหลังได้หยุดก็ได้
คนก็เช่นกันเอาแต่เดินหน้าไม่ยอมถอยให้คนอื่นได้ไหม บางครั้งทางมันแคบจริงๆ
เสียสละให้เขาย่อมบังเกิดจิตเมตตา
ชีวิตเราเหมือนขับรถบางครั้งต้องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเดินหน้าถอยหลัง
และก็ต้องเบรคเป็นด้วย บางครั้งถ้าหากหยุดอยู่กับที่ แต่อย่าหยุดนาน
หยุดแล้วมีครอบครัวมีรถเล็กๆ น้อยๆ จะเดินไหวไหม
จะเดินจะบำเพ็ญก็ยากลำบากขึ้น
แต่ศิษย์น้องก็อดไม่ได้ เลยมีรถเล็กติดตามออกมาเป็นแถวๆ
ก็เพราะตัวเราเองเพิ่มความทุกข์ให้กับตนเอง ศิษย์พี่ห้ามไม่ให้แต่งงานหรือเปล่า
แค่อยากให้คิดไตร่ตรองให้ดี หากเรานำชีวิตเป็น
ชีวิตใหม่จะมีครอบครัวนั้นก็ขึ้นกับการตัดสินใจของศิษย์น้องเอง หากเรายังดำเนินชีวิตไม่เป็น
ยังผิดบ้างถูกบ้างจะเอาเขามาผิดบ้างถูกบ้างกับเราด้วยหรือ
มีใครขับรถแล้วไม่เคยชนใครบ้าง การขับรถเหมือนกับขับชีวิตหรือเปล่า (ไม่เหมือน) มีไหมที่ศิษย์น้องจะไม่ผิดพลาดไม่มีใช่หรือไม่
นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น
แต่ชีวิตจริงเทียบกันไม่ได้เพราะมีแค่ครั้งเดียว ฉะนั้นต้องคิดให้ดีๆ
บางครั้งใครที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ลำบากท่านก็ต้องรู้จักให้อภัยเขา
ใครที่ทำให้ท่านทุกข์ลำบากถ้าเกิดเขารวยแต่ทำให้ท่านจนท่านยอมอภัยให้เขาได้หรือไม่
ความมีเมตตาและคุณธรรมที่จะบังเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เกิดตอนภาวะปกติแต่เกิดตอนที่มีคนขัดเรา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเป็นได้ไม่ใช่ผ่านความสบายมาตลอดแล้วเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เพราะท่านมีเรื่องที่น่าเคารพยกย่องแล้วเรื่องที่ท่านน่าเคารพยกย่อง
ก็ล้วนเป็นเรื่องที่มีคนมาขัดมาขวางในการบำเพ็ญของท่าน
ในการดำเนินชีวิตของท่านทั้งนั้น
เราอยากจะเป็นแบบอย่างที่ดีสามารถมีความรู้ที่ให้บุตรหลานเลียนแบบสืบทอด
เราจะต้องสร้างรากฐานที่ดีแล้วก่อตัวให้มั่นคง
นั่นก็คือความดีเท่านั้นที่จะนำพาและโน้มนำคนให้ไปกับเราได้
และทำให้เราอยู่กับคนได้อย่างมีความสุข ถ้าศิษย์น้องปราศจากซึ่งความดี
ปราศจากซึ่งคนขัดแล้วจะมีอะไรให้น่าภาคภูมิใจในชีวิตกันบ้างใช่หรือไม่
ฉะนั้นเจอคนขัดแม้เพียงชั่ววูบหนึ่งขอให้ชั่ววูบนั้นอย่าได้คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน
อย่าได้คิดถึงแต่ความปรารถนาของตนจนลืมนึกถึงพ่อแม่ เพื่อน พี่น้อง หน้าที่ของตน
คนๆนั้นแม้ดำรงชีวิตก็ไร้คุณค่า ถ้าเขาคำนึงแต่ความรู้สึกของตน
ปรารถนาตนหรือคิดถึงแต่ตนเองเป็นหลัก
ก็คงไม่มีใครอยากคบแม้แต่ที่บ้านเองก็คงไม่อยากรักคนผู้นี้ใช่หรือไม่
เพราะทำอะไรก็นึกถึงตนเองเป็นหลักไม่คำนึงถึงจิตใจเขาอยู่กับใครก็ไม่รอดแม้อยู่ที่บ้านของเราเองก็ไม่มีความสุข
ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งทีอย่าได้มองเห็นแต่ตนเองหรือคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเองต้องรู้จักเสียสละเป็น
ให้เป็น ยอมได้ คนที่รู้จักยอมได้เสียสละเป็นยอมเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมอบให้ส่วนรวม
คนผู้นั้นย่อมจะเป็นคนที่มีความสุขมากกว่าความสุขที่เป็นเงินทอง
แม้จะเอาเงินทองมาแลกความสุขตรงนี้ก็หาไม่ได้แล้วถ้าใครทำได้คนนั้นก็คือพุทธะ
คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถกลับเบื้องบนได้
ศิษย์พี่ก็เคยเป็นคนธรรมดาเหมือนศิษย์น้อง เคยไม่ยอม มีโกรธ มีรัก
มีโลภแต่เพราะอะไรล่ะถึงวางได้ตัดได้แล้วดีดตัวเองขึ้นไปสู่เบื้องบน
ก็เพราะรู้จักยอมเสียสละให้ แม้ตนเองไม่มีความสุขก็ไม่เป็นไร
ขอให้ศิษย์น้องทุกคนมีความสุขแม้ตนเองไม่ได้รับไม่เป็นไรขอให้ศิษย์น้องได้รับ
แม้ตนเองไม่ได้ไม่เป็นไรแต่ขอให้พ่อแม่ได้กินอิ่มมีความสุขนั่นก็น่าภาคภูมิใจแล้วถ้าศิษย์น้องยังไม่สามารถเสียสละให้ผู้อื่นได้เต็มที่
ก็ขอให้ทำให้บ้านของศิษย์น้องมีความสุขให้ได้ก่อน
ทำให้ใครที่อยู่กับศิษย์น้องแล้วมีความสุขได้
นั่นแหละเป็นการเริ่มต้นเสียสละแบบพื้นฐาน หลายคนทำได้แต่ก็เพียงครู่เดียว
แม้การที่จะเคยคำนึงถึงหัวอกพ่อแม่เวลาเราจะทำอะไรก็น้อย
เพราะเรามักจะนึกว่าฉันสุข ฉันกล้า ฉันแน่ แต่ไม่นึกถึงว่าที่เรากล้า ที่เราแน่
ที่เราสุขพ่อแม่เจ็บขนาดไหน
ที่เราบอกว่าเราเป็นคนดีแล้วนั้นเคยมอบความดีนั้นให้พ่อแม่ได้รับรู้และมีความสุขบ้างหรือไม่
บางทีก็แทบน้อยใช่หรือเปล่า ฉะนั้นขอให้ศิษย์น้องเสียสละให้กับครอบครัวตัวเองให้มีความสุข
ถ้าทำได้เมื่อใดแล้วศิษย์น้องก็แพร่ความสุขนี้ออกสู่ผู้อื่น สังคม สถานที่เรียน
สถานที่ทำงาน
คนรอบข้างก็จะเห็นศิษย์น้องเหมือนกับดอกไม้ที่เมื่อบานแล้วไปตั้งอยู่ตรงไหนก็ส่งกลิ่นหอม
มีความยิ้มแย้ม มีความยินดี อย่าให้ไปตั้งอยู่ตรงไหนก็เหมือนดอกอุตพิด
ไปทางไหนก็พ่นพิษใส่ไม่ดีเลยใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีอายุไม่เกิน
๒๐ ปี) เหตุที่ศิษย์พี่ส่งเสริมเขาเพราะเขามีจิตใจตั้งแต่เดิมปลูกฝังแต่สิ่งที่ดี
การเจริญเติบโตของเขาย่อมเป็นอนาคตที่สดใสของบ้านเมืองและสังคม
ตอนนี้คลื่นลูกใหม่กำลังจะมาแต่มาแล้วต้องมั่นคง
ไม่ใช่ปรวนแปรไปตามกระแสนิยมพร้อมที่จะผูกติดไปตามกระแสโลก
อย่างนั้นไม่ใช่คลื่นลูกใหม่ที่มีค่าควรเอาอย่าง
ศิษย์น้องเป็นเหมือนคนรุ่นใหม่แต่คนรุ่นใหม่นั้นก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงหวั่นไหวไปตามโลก ความนิยม
ประเพณีหรืออะไรที่ผิด ๆ ได้ใช่หรือไม่อะไรที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง
ควรธำรงรักษาขอให้ศิษย์น้องทำ แต่สิ่งใดควรชะล้างควรล้างทิ้งขอให้รีบเลิก
อย่าได้คิดข้องแวะเพราะคนเรานั้นติดย่อมง่ายกว่าปล่อยรับย่อมง่ายกว่าให้ใช่หรือไม่
ฉะนั้นศิษย์น้องอย่าเป็นคนที่ติดง่ายรับง่ายแต่ปล่อยไม่เป็น ให้ไม่เป็น
เช่นนั้นก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมเพราะผู้บำเพ็ญธรรมต้องพร้อมที่จะเสียสละเป็น
ให้เขาเป็น และเปิดใจกว้าง
เพราะว่าเราอยู่ตรงนี้อาจจะโดนทั้งข้างบนและข้างล่างว่าได้ใช่หรือไม่
เราเหมือนคนที่อยู่ตรงกลางจึงต้องรู้จักซึมซับ คัดเลือกสิ่งที่ดีให้กับชีวิตตนเอง
เราจะเป็นปราสาทหยก ปราสาทแก้วหรือปราสาทหิน ให้ศิษย์น้องไปเลือกสร้างเองนะ
อย่าเป็นปราสาทหินที่มีหินอิฐเล็กๆน้อยๆตามมา
ถ้าเป็นปราสาทแก้วอย่าเป็นแก้วที่เปราะบาง อย่าเป็นแก้วที่ถูกคนฉาบสีได้ทุกเมื่อ
แต่ขอให้เป็นปราสาทหยกที่พร้อมจะรักษาคุณค่าของความเป็นหยกได้ไม่ว่าจะมีอะไรมาเปื้อนก็ไม่เปรอะและไม่ทำให้หยกนั้นเปลี่ยนสีได้
แล้วหยกก็ยังมีความอ่อนมีความแข็งพร้อมที่จะถูกแกะสลัก
พร้อมที่จะถูกคนเจียระไนให้มีคุณค่าขอให้ศิษย์น้องบำเพ็ญให้ดีนะ
ชีวิตของเราจะทุกข์จะสุขขึ้นอยู่กับกรรมใช่หรือไม่ (ใช่) กรรมคืออะไร (การกระทำ) แปลว่า
กรรมอันนี้จะเปลี่ยนแปลงให้เราสุขหรือจะเปลี่ยนแปลงให้เราทุกข์ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเมื่อมีชีวิตใช่หรือไม่
(ใช่) แปลว่าตัวเราสามารถลิขิตชีวิตเราได้
พูดให้ยิ่งใหญ่คือตัวเราสามารถลิขิตชีวิตเราได้แล้วก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ด้วย
เป็นไปได้หรือเปล่า (เป็นไปได้, เปลี่ยนไม่ได้) ขึ้นอยู่กับว่า เราดำเนินชีวิตอย่างไร
แต่ยังมีกรรมอีกส่วนหนึ่งที่ทำอย่างไรเราก็เปลี่ยนไม่ได้
เราต้องยืดอกรับด้วยความภาคภูมิใจ นั่นก็คือ
ทำไมเราหน้าแบบนี้ ทำไมเราถึงอยู่กับครอบครัวนี้ ทำไมบางครั้งเราเรียนเท่าไหร่ก็ไม่เก่ง
ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าชีวิตของทุกๆ
คนย่อมมีสองส่วน ส่วนหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้
อีกส่วนหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราต้องยืดอกรับด้วยความยินดีและเต็มใจ
ทำไมมีเงินแค่สิบบาทไม่มีเงินร้อยบาท นั่นเป็นกรรมหรือเปล่า เปลี่ยนแปลงได้ไหม
(เปลี่ยนแปลงได้
เพราะถ้าทำงานวันละสิบบาท ให้ทำประมาณสิบวันก็จะได้เงินหนึ่งร้อยบาท) เพราะว่าไม่ได้เบียดเบียนใครใช่หรือไม่
ต้นทุนจริงๆ แค่สองบาท แต่บอกเขาว่าห้าบาทใช่หรือไม่ มีน้อยคนที่ทำงาน
แล้วจะไม่โกหก มีไหมที่ค้าขายแล้วไม่โกหกเขา คงหาได้ยาก มีใครบ้างที่อยู่บนตำแหน่งแล้วไม่ทำผิดพลาด
ทำการค้าอะไรจะไม่แอบโกหกบิดเบือนเขา คงหาได้ยาก
แต่ทำอย่างไรให้เราทำให้น้อยที่สุด ถ้ารู้ว่าผิดก็เลี่ยงอย่าไปพูด
เราก็ไม่โกหกเขาแล้วใช่ไหม (ใช่) แต่แม้จะผิดหน่อยก็ต้องยอมรับกรรมที่ศิษย์น้องโกหกเขานะ เพราะเวลาไปซื้อของเขา
ศิษย์น้องก็โดนเขาโกหกต่อ ก็เป็นวัฏจักรอยู่แล้ว
แล้วทำไมถึงบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ศิษย์พี่ว่าทั้งเปลี่ยนแปลงได้และเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาคนนั้น
ถ้าบอกว่ามีความสุข เขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเดือดร้อน
เขาก็เป็นสุขได้ในสิบบาทนี้ แต่คนที่ไม่มีความสุข
คิดว่าฐานะการเงินยังไม่พอต้องหาเพิ่มอีก เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) เปรียบเหมือนชีวิตของศิษย์น้อง
ศิษย์น้องจะพอใจกับราคาสิบบาทหรือจะพอใจกับราคาอันเอนกอนันต์ อันนี้น่าคิดใช่หรือไม่
ศิษย์พี่ยกตัวอย่างนกสามชนิด นกชนิดแรกถ้าไม่บินสูงจะไม่บินเด็ดขาด
เมื่อจะกางปีกแล้วต้องบินได้สูงเทียมเมฆ เมื่อจะลงหาอาหาร
ที่หาอาหารนั้นต้องเป็นที่ที่ดีและเลิศเท่านั้น นกประเภทที่สอง บินได้เท่านี้ก็พอ
อาหารอันนี้ดีกว่ามีอยู่ในดิน ดีกว่าสกปรกก็ดีแล้ว นกประเภทที่สาม สกปรกไม่เป็นไร บินก็บินได้เท่านี้
ถ้าคิดจะบินสูงแล้วก็ไม่บิน ศิษย์น้องอยากที่จะเป็นนกประเภทไหนในสามประเภทนี้
ถ้าเปรียบเทียบกับการดำเนินชีวิต ประเภทหนึ่งจะหาทางหลุดพ้นให้ได้ ประเภทสอง เวียนเกิดเวียนตายไม่เป็นอะไร ประเภทสาม ตกนรกก็ช่าง
แล้วศิษย์น้องจะเป็นประเภทไหน หากว่าเวียนต่อไปไม่เกิดเป็นคนแต่เกิดเป็นสัตว์
ศิษย์น้องจะเป็นสิ่งไหนศิษย์น้องรู้ไหม ไม่รู้ใช่หรือไม่
ศิษย์น้องมั่นใจหรือว่าถ้าหมดชีวิตไปศิษย์น้องจะสามารถเกิดเป็นคนได้อีก
ความดีเท่านี้จะกลับเป็นคนได้ไหม (ไม่แน่)
ล้วนไม่แน่ไม่นอนทั้งนั้นเลยใช่หรือไม่
ชีวิตนี้มีอะไรแน่นอน นับประสาอะไรกับใจ ฉะนั้นถ้าไม่ตั้งให้สูงไว้ก่อน
พอศิษย์น้องตั้งอยู่ตรงกลาง เดี๋ยวก็หดลงมาเอาธรรมดาก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์น้องไม่ตั้งสูงไว้เผลอสักพักก็ตกลงต่ำแล้ว
เพราะว่าขั้นสองมันใกล้กับขั้นสาม
ฉะนั้นทำไมไม่พยายามหน่อยล่ะศิษย์น้อง
คนเราจะเป็นอะไรขึ้นอยู่กับข้างนอกไหม (ไม่ใช่) ไม่ใช่อยู่ที่แค่มองผิวเผิน
เราต้องมองให้ถึงจิตใจของเรา มองให้ถึงแก่นแท้ของเราใช่หรือเปล่า (ใช่) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นได้เพราะเกิดเป็นคนเหมือนกัน
แต่ท่านหันมามองเข้าไปในพุทธะภาวะจนค้นพบพุทธภาวะในตน
และเอาพุทธภาวะนั้นสำแดงให้บรรเจิดคุณค่าและความงาม และพุทธภาวะนั้นก็มีอยู่ในศิษย์น้องทุกคน
อย่าได้มองเพียงผิวเผินว่ายังไม่ดีอยู่ ยังขี้บ่นอยู่ ยังชอบว่าเขาอยู่
ยังสูบบุหรี่ยังเลิกไม่ได้ ยังกินเหล้ายังวางแก้วไม่ลง พวกนี้ติดมาแล้วศิษย์น้องเลิกไม่ได้หรือ
แต่ก่อนมีหรือเปล่า แล้วทำไมตอนนี้ไม่มีไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแต่ก่อนไม่มี
ก็ทำตัวเหมือนแต่ก่อนไม่มีไม่เป็นหรือ ใช่หรือเปล่า ท่านเห็นหมูหรือเปล่า
ทำไมหมูเลือกกินอาหารสกปรก นั่นเพราะมันเลือกเกิดไม่ได้
แต่เราได้เกิดเป็นคนที่ประเสริฐแล้ว ทำไมเรายังไปสูบบุหรี่ ทำไมเรายังไปกินเหล้า
ไม่เหมือนหมูไม่เหมือนนกเค้าแมวที่กินอาหารเสียกินของผิดๆ หรือ ใช่หรือไม่ เดี๋ยวพอกลับบ้านไปแล้วกินไก่ทอด
อุตส่าห์กินเจมาได้ตั้งสองมื้อ แล้วทำไมหลุดแล้วล่ะ
ถ้าศิษย์พี่โมโหศิษย์พี่ตัดเนื้อศิษย์น้องแล้วเอามากินดีหรือเปล่า ฟ้าโหดร้ายหรือเปล่า
เดี๋ยวนี้มีคนกินคนนะศิษย์น้อง
ถ้าเกิดว่าแพร่ระบาดจนตอนนี้มีคนกินคนแล้วศิษย์น้องจะทำอย่างไร
ฉะนั้นเราไม่รู้ว่าวันใดความน่ากลัวจะเข้ามาในจิตใจคน
เราต้องรู้จักเอาธรรมะมาควบคุมตนเอง ก่อนที่จะสายเกินแก้ เพราะฉะนั้นคนอื่นยังไม่มีไม่เป็นไรขอให้ศิษย์น้องรีบมีก่อน
ถ้าศิษย์น้องมีแล้วธำรงความมีนี้ให้ดีให้ร่มเย็น
คนก็ย่อมพร้อมที่จะมาพึ่งพาและคิดจะเอาเป็นแบบอย่าง
“อ่อนน้อมจึงขาดแคลนตั้งแต่ต้น” คนที่ชอบหยิ่งผยอง
อวดตัวเอง เป็นเพราะว่าเขาขาดความอ่อนน้อมถ่อมตนใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่หยิ่งผยองนี้น่าคบหรือเปล่า (ไม่น่าคบ) เหมือนวันนี้ที่ศิษย์น้องมาแต่คิดว่า “ธรรมะฉันก็ได้ศึกษามา
พูดไปเถอะฉันก็รู้แล้วล่ะ” เป็นหรือเปล่า
ปราชญ์มักจะเคารพยกย่องคนที่สอนเขาได้ทุกอย่าง
ไม่ว่าคนนั้นจะเด็กหรือแก่หรืออายุน้อยกว่าหรืออายุมากกว่าเขาก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนทุกคนย่อมมีดีเหมือนกัน
เหมือนต้นไม้มีดีคนละแบบ คนทุกคนก็มีดีคนละแบบ อยู่ที่ว่าเรารู้จักคัดเลือก
รู้จักเลือกสรรและเอาสิ่งที่เราไม่มีนั้นไปขวนขวายจากคนอื่นแล้วเอามาใส่เราให้เต็มเป็นหรือเปล่า คนทุกคนต้องมีข้อพร่องข้อดี ไม่มีใครที่จะดีไปหมด แต่เราจะทำอย่างไร ผู้มีปัญญาผู้บำเพ็ญเป็นคือรู้จักเอาข้อดีของคนอื่นมาช่วยเสริมข้อพร่องของตนเองให้เป็นคนที่สมบูรณ์ใช่หรือไม่
(ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่านแต่งตัวและแต่งหน้าเป็นเด็ก
ทาแก้มสีแดง)
การจะฝึกตนเองเป็นพุทธะต้องดำเนินตามรอยแห่งพุทธะ เซียนเด็กทำไมแก้มแดงรู้หรือเปล่า
ก็เพราะท่านยิ้มบ่อยๆ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม) ขอให้มีความก้าวหน้าในการบำเพ็ญนะศิษย์น้อง
เจอความยากลำบากอะไรก็อย่ายอมแพ้
ถ้าใจเราไม่เที่ยง เวลาดำเนินชีวิตย่อมยากลำบาก
ทำไมศิษย์พี่ถึงบอกอย่างนี้ เพราะว่าบ่อยครั้งที่เวลาเราอยู่ในสังคม
ถ้ามีเด็กสองคนให้เราเลือก คนหนึ่งเป็นลูกของเรา
อีกคนเป็นลูกของเขาหรือคนหนึ่งเพื่อนเรา อีกคนเพื่อนของเขา ใจเราจะเที่ยงไหม
บางครั้งจึงยากในการตัดสินใจเวลาที่จะช่วยคน
การที่พระพุทธองค์ยอมตัดลูกตัดภรรยาแล้วเลือกมวลชน ท่านทำผิดไหม บ่อยครั้งที่ศิษย์พี่ได้ยินศิษย์น้องพูดว่า
“ทำไมพระพุทธองค์ใจร้ายขนาดนี้”
แต่จริงๆ
แล้วนั่นเป็นการเปรียบเทียบ นิทานก็คือเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา
แต่การที่พระพุทธองค์ทิ้งไม่ใช่เป็นการทิ้งจริงๆ
แต่เป็นการทิ้งแล้วมีการฝากให้ปู่ย่าตายายช่วยดูแล มนุษย์เราก็เหมือนกัน การอยู่ในโลกนี้
การจะตัดครอบครัวทันทีย่อมเป็นการยาก
แต่เราจะทำอย่างไรล่ะให้เราตื่นแล้วก็สามารถทำให้ครอบครัวตื่นด้วยแล้วบำเพ็ญธรรมไปพร้อมกับเราด้วย
ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสาม
ให้เรารับรู้แล้วให้ครอบครัวเราบำเพ็ญร่วมไปด้วยกัน ในการที่จะบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน และฉุดช่วยคน ถ้าเทียบกับสมัยก่อนศิษย์น้องคงไม่เลือกการบำเพ็ญธรรม
แต่สมัยนี้มีโอกาสง่ายขึ้น โดยการบำเพ็ญธรรมในบ้านนี่แหละ
ที่บ้านยังมีความสุขไม่ได้ แล้วศิษย์น้องจะไปทำให้สังคมมีความสุขได้อย่างไร บ้านก็คือ
รากฐานของสังคม การบำเพ็ญในยุคนี้ก็คือ การบำเพ็ญในครัวเรือน ผู้หญิงก็บำเพ็ญได้
ผู้ชายก็บำเพ็ญดี แต่รู้จักตัด รู้จักพอ รู้จักวางบ้างไหม
เพราะบ่อยครั้งที่ศิษย์น้องรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมนี้ดี แต่กลับไปมักจะวางไม่ลง
เสียสละได้ไม่เต็มที่ บางทีให้กลับมานั่งศึกษาพรุ่งนี้อีกวันยังนั่งคิดแล้วคิดอีก
เพราะมัวเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตในกระเป๋าเงิน ใช่หรือเปล่า
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้
คุณค่าชีวิตของเราไม่ได้อยู่ที่เงินมากหรือน้อย
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราปฏิบัติได้ดีพอหรือยัง
“สุดท้ายหลงเหมือนเดิมแดนรูปนาม” ในโลกนี้เต็มไปด้วยรูปและนาม
“รูป”
ก็คือรูปลักษณ์
“นาม”
ก็คือ คำยกย่อง
ลาภยศชื่อเสียง คำติฉินนินทา เรามักจะแกะวงอันนี้ไม่ค่อยหลุดกันใช่หรือเปล่า
ไม่ติดในวัตถุก็ไปติดในคำพูดคน ไม่ติดในคำพูดคนก็ไปติดในคำพูดว่าคน ฉะนั้นคนที่จะบำเพ็ญตนก็ต้องรู้จักฟังให้มากๆ
เรื่องใดที่คิดแล้วว่าไม่มั่นใจ ไม่น่าเชื่อ ก็อย่าเพิ่งพูด แต่เรื่องใดที่มั่นใจว่าเชื่อแล้วน่าจะถูก
เวลาพูดก็ขอให้ระมัดระวัง
ส่วนเวลาจะกระทำเรื่องใด หากทำแล้วรู้สึกว่าไม่แน่ใจ
ไม่มั่นใจก็อย่าทำดีไหม เพียงแต่มีความมั่นใจ
ตรวจสอบพิจารณาแล้วในด้านคุณธรรมก็ถูกต้อง
ด้านกฎหมายก็ถูกต้อง ในด้านเพื่อนก็ไม่เสียสัจจะก็ควรทำ แต่ก่อนที่จะทำต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ
ระมัดระวังสักนิด แล้วชีวิตก็จะไม่ผิดไม่พลาด หรือพูดง่ายๆ ว่าผิดน้อย ทำได้ไหม
คงไม่ยากเกินไป
ตรวจสอบให้ชัดเจนไม่ว่าทางไหนๆ ที่ควรจะตรวจสอบได้ก็ตรวจสอบ
ไม่ว่าจะพูดหรือทำก็ยากจะผิดพลาดได้
แล้วเราจะได้ไม่ต้องมาเสียใจ เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องเสียใจอีกเท่าไรในเรื่องที่คาดไม่ถึงของชีวิต
เพราะฉะนั้นเราอย่าเป็นผู้สร้างความเสียใจเพิ่มขึ้นมาอีกในชีวิตเลย
“เพื่อคืนฝั่งไม่พ้นต้องบำเพ็ญ” เราอยากกลับคืนนิพพาน
เราต้องบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน ฉุดช่วยคน มีอยู่สามอย่างเอง แต่จริงๆ แล้วบำเพ็ญตนและขัดเกลาตนก็คืออันเดียวกัน ในสิบอย่าให้มีแค่หนึ่งเลยนะ
ศิษย์พี่ว่าในสิบก็ขอให้มีสักสิบ ทำได้หรือเปล่า ชีวิตนี้บำเพ็ญยากหรือศิษย์น้อง
แค่เพียงรู้จักควบคุมตน ขัดเกลาตน ไม่เผลอทำผิดอีกมีโอกาสก็ช่วยคนมีเท่านี้เอง
ยากหรือไม่อยู่ที่พูดและทำให้เป็นเท่านั้น แต่ก่อนจะพูดและทำ ขอให้ทำความเข้าใจให้เต็มที่
จริงๆ แล้วการศึกษาธรรมมีคนอยู่สองประเภทเท่านั้นเอง ประเภทหนึ่งคือ คนรู้ก่อน
รู้แล้วถามว่าเข้าใจไหม ก็บอกว่าเข้าใจ แต่บอกให้ทำก็ไม่ทำ เรียกว่าเข้าใจเกิน
เข้าใจและรู้หมดเลยว่าทำแล้วดีอย่างไร ต้องทำอย่างไร แต่ถามว่าให้ทำ ทำไหม มักจะไม่ค่อยทำ
แต่พอให้เขาทำ ทำทีไรก็เกินทุกที บอกว่าต้องเป็นคนที่รักษาคุณธรรม รักษาสัจจะ
เขาก็รักษาจนเกินไป จนทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนก็มี กับอีกประเภทหนึ่งรู้ธรรมแล้วแต่ไม่เข้าใจ
แต่คนประเภทนี้มักจะมาบำเพ็ญธรรมเยอะ เพราะว่าแม้ยังไม่เข้าใจ แต่เขายังพากเพียรมาศึกษาได้
การทำความดีแล้วไม่ได้ผลกลับมาเราจะเลิกทำความดีหรือเปล่า
ไม่ทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) การที่เราจะปูฐานให้ยิ่งใหญ่ก็คงไม่ดี
แต่การทำให้รากหรือฐานสมานกันเป็นหนึ่งแล้วการจะปูชั้นที่สองหรือสามก็คงไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือไม่
เราจะสร้างความมั่นคงให้กับสถานธรรมในนครศรีธรรมราชให้มีธรรมะที่กว้างไกลได้หรือไม่
(ได้) ขอให้ศิษย์น้องมีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมสถานธรรม ดูว่าสถานธรรมที่นครศรีธรรมราช จริงๆ เป็นอย่างไร
ชีวิตไม่ใช่เกิดมาเพื่อเรียนหนังสือ
ทำงาน แต่งงานเท่านั้นเอง ทำไมเราไม่เพิ่มอะไรที่ดีๆ เข้าไปนำพาตนเองและครอบครัวไปสู่ทางที่ดีงามไปสู่ทางที่ประเสริฐล่ะ
ที่นี่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นนะ พรุ่งนี้ศิษย์น้องต้องมาอีกนะ เจอกันวันนี้ไม่รู้ว่าจะได้พบกันวันไหน
ศิษย์พี่ไม่ลืมศิษย์น้องหรอก
ศิษย์พี่มองศิษย์น้องอยู่ข้างบนทุกวันเห็นจนเบื่อแล้วยังไม่ยอมตื่นกันสักที วันนี้ตื่นแล้วขอให้ตื่นจริงๆ นะ
ลุกขึ้นก็ขอให้มองให้ชัดว่าโลกนี้ชีวิตนี้มันเป็นอย่างไร
เห็นมาก็เยอะแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลุกขึ้นสู้แล้วบินให้สูงไปให้ถึงนิพพานล่ะ
จะกลับบ้านทั้งทีต้องกลับบ้านจริงๆ
ไม่ใช่บ้านในโลกนี้
จะช่วยคนทั้งทีต้องช่วยให้เขามีชีวิตที่ประเสริฐที่ดีงาม
มีความคิดที่ถูกต้องเที่ยงตรง อย่าจากกันด้วยน้ำตาเลย
กลับไปศิษย์พี่ก็อาลัยและคิดถึงศิษย์น้องทุกคนนะ ต้องดูว่าศิษย์น้องตั้งใจแค่ไหนนะ
ทุกข์มากยังไงก็ขอให้ตัดทิ้งและลุกขึ้นสู้นะ ไปแล้ว
วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฉือเหยริน จ.นครศรีฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มีความทุกข์เกาะกินใจมามากนัก ขอแน่นหนักเพียรหลุดพ้นจะดีไหม
ความอดทนช่วยศิษย์รักเดินทางไกล ความตั้งใจให้เสมอซึ่งต้นปลาย
ข้าคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่โลกมนุษย์
แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
กาลเวลาไม่เคยคอยแม้ใครเลย อย่าละเลยการขัดเกลาตนเองหนา
รู้จักว่ายสวนกระแสดั่งฝูงปลา อย่าชักช้ามัวร่ำไรเร่งเดินทาง
เมื่อได้รู้ธรรมะแท้เร่งปฏิบัติ เดินทางลัดจิตใจนี้ต้องสว่าง
ปลดร้อยรัดเหล่ากิเลสให้จืดจาง มาว่างว่างไปว่างว่างเตือนใจตน
พายเรือธรรมนำพี่น้องให้ถึงฝั่ง คำเตือนฟังคำติรับเกิดงามผล
ธรรมะแท้ไปปฏิบัติจึงแยบยล ดั่งพุทธะไปทุกหนสร้างโลกงาม
อย่าไปกลัวความลำบากที่ขวางหน้า สร้างคุณค่าแห่งตนในยุคสาม
ความสำเร็จเกิดได้ด้วยความพยายาม ละรูปนามโลกนี้โล่งเบาสบาย
สิ่งดีอาจกลายเป็นร้ายได้ทุกเมื่อ เพียงศิษย์เชื่อร้ายอาจกลับดีขึ้นได้
ดังน้ำขึ้นดังน้ำลงผลัดกันไป เพียงมีใจงามเสมอไม่ต้องกลัว
ในวันนี้ข้ายินดีพบศิษย์รัก ขอรู้จักซึ่งตนเองให้ถ้วนทั่ว
ในยุคนี้บำเพ็ญธรรมในเรือนครัว ใจระรัวกลัวศิษย์ไม่คิดบำเพ็ญ
ตามอาจารย์มาติดติดอย่าให้ห่าง ดำเนินทางสายกลางกลางยุคเข็ญ
ขอให้ศิษย์รู้จักอดทนเป็น กลางยากเย็นมีความสุขอันแท้จริง
น้ำใจคืออมฤตในโลกหล้า ยามเหนื่อยล้าทำใจตนให้นิ่งนิ่ง
มีปัญญาจึงสามารถแยกเท็จจริง ให้เวไนยได้พึ่งพิงเสมอไป
ขอลาจากศิษย์รักไปขอศิษย์รัก ถนอมนักบุญสัมพันธ์คนทั้งหลาย
จงบำเพ็ญจากวันนี้จนวันตาย ตลอดไปข้าจะเคียงกับศิษยา
ฮา ฮา หยุด
จงสมัครสมาน แม้นานแสนนาน
ไม่มีสิ้นสุด แม้นเป็นจริงดังคำไม่โศกศัลย์ สักวันศิษย์เอ๋ย
* จงฝึกความอ่อนน้อม
รู้ถอยรู้ยอมให้ศิษย์คิดได้
แม้นดึงดันเข้าไปวุ่นวายใจ ไร้การบำเพ็ญ
ผิงซันเหมือนไกลเหมือนใกล้
ตื่นก่อนสาย ก่อนสายเกินไป
วอนศิษย์เอยจากนี้
รู้สามัคคีไว้เป็นที่ตั้ง
มิทิ้งใครลำพัง
อาจารย์หวังเจ้าล้วนคืนแดน (ซ้ำ * )
ชื่อเพลง : มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน
ทำนองเพลง : รักในฝัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ตอนนี้เวลาที่เราอยู่ในบ้านและนอกบ้านมีคนอยากเข้าใกล้เราหรือเปล่า (อยาก) เป็นคนชอบทำหน้าดุใช่หรือไม่
คนทำหน้าดุก็ไม่อยากมีใครอยากเข้าใกล้
หลังจากวันนี้เราเข้าใจธรรมะมากขึ้น มีหน้าที่ไปช่วยผู้อื่น
ไม่รู้กรรม
เพราะฉะนั้นต้องปลูกรอยยิ้มไว้บนหน้าใช่หรือ เปล่า (ใช่) เมล็ดพันธุ์นี้เป็นเมล็ดพันธุ์ยิ้มใช่หรือเปล่า รู้จักเมล็ดพันธุ์นี้ไหม ปลูกไว้สองข้างใช่หรือไม่ ต้องรู้จักยิ้มให้กว้างๆ ดีหรือเปล่า
เวลาอาจารย์บรรยายธรรม บรรยายแล้วเมื่อถามก็ขยันตอบหน่อย เวลาอาจารย์จี้กงถามขยันตอบหน่อยดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าวันนี้ใครไม่ตอบอาจารย์กลับไปพูดไม่มีเสียง ใครที่ขยันตอบอาจารย์จะให้มีเสียงดี
ดีหรือเปล่า
ถ้าใครไม่ตอบเดี๋ยววันนี้กลับไป(ไม่มีเสียง) กลับไปไม่มีเสียงไม่รู้ด้วย เมื่อกี้ร้องเพลงไปบอกว่า ใจอะไร (ใจเฝ้ารอคอย)
แม้ภายนอกไม่งาม
แต่ภายในใจช่างงามใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าใจมีความสำคัญกับเราหรือเปล่า (มี) ถามว่าตอนนี้ภายนอกงามหรือไม่งาม (งาม) งามเพราะว่าอะไร
เขาบอกว่า ไก่งามเพราะขน (คนงามเพราะแต่ง) แต่ว่าในที่นี้มีหลายคนไม่ได้แต่งใช่หรือไม่ (ใช่) ภายนอกก็เลยไม่งาม (ใช่) งามหรือไม่งาม (งาม) เพราะฉะนั้นอยากที่จะมีภายนอกที่งามต้องออกมาจากจิตใจที่งามใช่หรือไม่ (ใช่) ใจของเรานี้งามไม่งาม
(งาม) มีคนเขามานินทาให้เราฟัง
เราจะรู้สึกคล้อยตามหรือไม่
หัวเราะคนอื่นจิตใจงามหรือไม่งาม (ไม่งาม) ถ้าอย่างนี้ในโลกนี้ก็เลิกนินทาไปเลยดีหรือไม่ (ดี) อยากจะให้โลกนั้นเลิกการนินทาต้องให้คนในโลกเลิก เพราะฉะนั้นใครที่ควรเลิก (ตัวเรา) ตัวเราจะต้องเป็นคนเลิกใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ที่นี่ใครไม่เคยนินทาคนบ้าง (ไม่มี) ตอนที่เรานินทาเราบอกว่า เรานินทาด้วยความหวังดี
บอกให้เขารู้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจิตใจงามได้ต้องออกมาจากการฝึกฝน
เราจะลับมีดเร็วทำให้มีดคม มีดอันนี้ต้องเอามือเราไปรองรับใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติมีดเล่มนี้คือเรา เราโดนขูดไปทีหนึ่งเจ็บหรือเปล่า (เจ็บ) เวลาที่แม่บ้านขูดและลับมีด ลับรวดเร็วหรือเปล่า (รวดเร็ว) ใครไม่เคยลับมีด
อย่างน้อยก็ต้องเคยได้รู้ใช่หรือไม่ (ใช่) เราขูดมีดอย่างรวดเร็วใช่หรือไม่
(ใช่)
อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่คม คมด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้นต้องถูกลับหรือไม่ (ถูกลับ) ยอมหรือไม่ยอม (ยอม) คมหรือไม่คม (คม)
มีดคมคือ
ใช้งานได้
คนที่มีปัญญาจึงสู้เคราะห์กรรมได้. ชีวิตนี้จึงหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ใช่หรือไม่
(ใช่) อยากหลุดพ้นหรือไม่ (อยากหลุดพ้น) ชีวิตนี้ทุกข์หรือไม่ทุกข์
(ทุกข์) ทุกข์มากหรือทุกข์น้อย (ทุกข์มาก) สุขมากหรือสุขน้อย (สุขน้อย) เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ดีหรือไม่ดี
ชีวิตนี้ต้องบอกว่าเป็นชีวิตที่ดี
แต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็คือ ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นชีวิตร่างกายอันนี้ของเราดีไม่สวยก็ดีอยู่
แต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ก็คือ การที่เรานั้นไม่รู้จักพอใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้เรารู้สึกทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากให้คนอื่นรักเรามากกว่านี้ มีความรู้สึกไม่พอใช่หรือไม่ อยากได้เงินทองมากกว่านี้ อยากได้ตำแหน่งสูงกว่านี้ อยากให้ลูกเป็นคนดีกว่านี้ ทุกอย่างก็คือกว่านี้หมดเลย กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถามว่า ทุกอย่างกำหนดได้ทุกสิ่งหรือไม่ เรากำหนดสิ่งใดได้
ใครคิดว่าเรากำหนดได้ยกมือขึ้น ใครคิดว่าเรากำหนดไม่ได้ยกมือขึ้น
คนที่ไม่ยกมือก็แสดงว่าเราไม่ได้อยู่ที่นี่
ตัวอยู่ที่นี่ใจอยู่ที่อื่นใช่หรือเปล่า ยอมรับหรือไม่ยอมรับคนไม่ยกมือ
เพราะฉะนั้นมานั่งอยู่ที่นี่ตัวอยู่ที่นี่แล้วอะไรอยู่ที่นี่ด้วย ตัวอยู่ที่นี่ใจก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วย
ต้องมีใจฟังจึงเข้าใจใช่หรือไม่
จึงเข้าไปสู่ใจใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใจฟังก็ออกจากใจ ไม่ยอมเข้าใจแต่ออกจากใจ
ที่สุดแล้วคนไม่มีความเข้าใจ พอกลับไปปฏิบัติจะปฏิบัติอะไรในเมื่อไม่มีความเข้าใจ
เพราะฉะนั้นบอกว่าปฏิบัติแล้วหลุดพ้นได้
พอดีไม่ยอมปฏิบัติก็เลยหลุดพ้นไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอยากจะหลุดพ้นทำได้หรือไม่ (ได้)
ชีวิตนี้กำหนดได้
ที่นี่เราจะกำหนดให้ชีวิตของเรานั้นไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไป
เราจะฝึกฝนการเป็นพุทธะอย่างไร อย่าบอกว่าพุทธะสบาย คนรวยยังบอกคนรวยไม่เคยสบาย
เพราะฉะนั้นพุทธะก็บอกว่า พุทธะไม่เคยสบายอีกเหมือนกัน การเป็นพุทธะก็ไม่สบายต้องมีการฝึกฝนตนคนที่ไม่มีความเมตตาเป็นคนมีเมตตาเพิ่มขึ้นง่ายไหม
(ไม่ง่าย) จากศิษย์คนที่ไม่เคยอดทนเลยแม้แต่เรื่องเล็กน้อย
ขึ้นสู่คนที่พอมีความอดทนบ้างและคนที่มีความอดทนมาก ง่ายไม่ง่าย
จากศิษย์คนที่ไม่รู้จักความซื่อสัตย์เลยขึ้นสู่คนที่มีความซื่อสัตย์บ้างและขึ้นสู่คนที่มีความซื่อสัตย์มากทำง่ายไม่ง่าย
จากศิษย์คนที่ไม่มีความกตัญญูขึ้นสู่คนที่มีความกตัญญูบ้างและขึ้นสู่คนที่มีความกตัญญูมากง่ายไม่ง่าย
(ไม่ง่าย) เป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ยังบอกยาก
แล้วจะทำอะไรแล้วจะให้ลูกเรากตัญญูต่อเรามากได้หรือ
ในเมื่อเรายังบอกว่าเรากตัญญูต่อพ่อแม่มากๆ ทำยาก
เพราะฉะนั้นเราจะให้ลูกกตัญญูต่อเรามากได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นอยากให้ลูกกตัญญูต่อเรามากๆ
เราต้องกตัญญูต่อพ่อแม่มาก ๆ
(อาจารย์เมตตาเขียนตัวเลขให้นักเรียนในชั้นดูว่าเป็นเลขอะไร) เวลาไปขอหวยเขาก็ทำแบบนี้
อาจารย์เขียนเหมือนเดิมตลอดไม่มีเขียนอย่างอื่นก็แค่วาดมือตวัดสองทีเดากันได้ตั้งแต่
o ถึง 9
เวลาเราทำอย่างนี้เลขที่ออกเขาให้ถูก
แต่เราเดาผิดเองใช่ไหม คนข้างโน้นเห็นอะไร คนตรงกลางเห็นอะไร คนข้างๆ เห็นอะไร
นี่คือมุมมอง มุมนี้มองอย่างนี้ มุมโน้นมองอีกอย่าง เพราะฉะนั้นคนให้ให้ผิดหรือคนเดาเดาผิด
(คนเดาผิด)
เพราะคิดอย่างนี้ก็เลยซื้อเรื่อยๆ
ซื้อสิบครั้งถูกกี่ครั้ง
ซื้อร้อยครั้งอาจจะถูกครั้งเดียวเพราะฉะนั้นร้อยครั้งหรือสิบครั้งนี้หลายเงินไหมเท่ากับที่เราถูกครั้งหนึ่งหรือเปล่า
(ไม่เท่า) ที่เสียไปมากกว่าอีกใช่ไหม เพราะฉะนั้นซื้อหวยรวยหรือไม่
อยากซื้อไหม ความจริงแล้วยังมีคนซื้ออีกเยอะใช่หรือไม่
เมื่อมองไปแล้วศิษย์ของอาจารย์ก็เลยเป็นคนที่เวียนว่ายตายเกิดจากการที่เรานั้นไม่สามารถจะตัดสิ่งต่างๆ ขาด
เหมือนกับเวลาที่ตัดด้ายสักเส้นหนึ่ง
ด้ายหนึ่งเส้นมีเกลียวข้างในมัดด้วยเชือกสิบเส้นเล็กมัดรวมกันหนึ่งเส้น เวลาตัดครั้งเดียวเราเป็นคนเด็ดขาดตัดขาดไปเก้าเส้นเหลืออีกหนึ่งเส้น
เชือกเส้นเดียวนี้สามารถลากให้เราเดินไปไหนมาไหนได้ไหม เช่นการที่เราจะเลิกซื้อหวย เราอยากจะตัดเรื่องนี้แต่เราฝันดีมากเราเลยซื้อใช่หรือเปล่า
เราซื้อตามเลขหรือเลขตามเรา (ซื้อตามเลข) เราวิ่งตามเลขไปใช่ไหม ทำไมไม่หยุด ไม่ก็คือไม่
แล้วให้เลขตามเราใช่ไหม
ถ้าหากไม่สามารถตัดขาดไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ในที่สุดแล้วเราก็วิ่งตามเชือก เราให้เชือกนี้จูงไป เรายังหลงตามไปใช่ไหม
ยังมีเรื่องของอารมณ์ ความโลภ ความรัก ความรู้สึกชังผู้อื่น
กิเลสมีมากมายหลายอย่างและใช้กลวิธีหลายอย่างที่จะมาหลอกล่อให้มนุษย์นี้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
เปรียบเสมือนกับคนที่อยากซื้อรถ มีรถจักรยาน
เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
เปรียบเสมือนคนที่ต้องการซื้อรถ มีรถจักรยานแล้วก็อยากมีรถเครื่องใช่หรือไม่
มีรถเครื่องก็อยากมีรถกระบะใช่หรือไม่ (ใช่)
พอมีรถกระบะยังไม่พอก็อยากจะมีรถเก๋ง
รถเก๋งของเราไม่สวยพอต้องมีคันใหม่
ในที่สุดแล้วหาเงินหาทองดิ้นรนขวนขวายตามรถไปใช่หรือเปล่า เราได้นั่งรถสบาย แต่ตอนที่เราหาเงินสบายไหม ถามว่ามีรถจักรยานกับมีรถเก๋งไปถึงเหมือนกันหรือเปล่า
(ถึงเหมือนกัน) ที่อาจารย์เปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้หมายความว่า
ศิษย์ของอาจารย์ที่เริ่มบำเพ็ญอยู่
เมื่อเราบำเพ็ญไปบำเพ็ญมาก็เกิดการเปรียบเทียบกัน ไม่รู้ว่าใครดีกว่าใครจริงๆ หรอก แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ดีกับเขาเลย
ฉันก็ต้องทำตามที่เหมือน แต่ว่าทำตามสิ่งนี้คือ วัตถุภายนอก
ถามว่าตามวัตถุภายนอกมีประโยชน์หรือเปล่า ทำไมไม่ตามคุณธรรมความตั้งใจ
ความมุ่งมั่น ความเป็นคนที่งดงามของคนอื่น
ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่เฝ้าตามเหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่าเขาจะต้องตามเรา
เพราะว่าเราเหนือกว่า ความรู้สึกแค่คำว่าเหนือ เราเหนือกว่าเขา
กลายเป็นอุปสรรคอันหนึ่งที่ทำให้เรานั้นเป็นคนหลังแข็ง ก้มไม่ลงใช่หรือไม่
แล้วเราคิดว่าผู้อื่นต้องตามเรา จริงๆ แล้วใครตามใคร อาจารย์ว่าไม่มี
คนอยู่ด้วยกัน บ่าเคียงบ่าแล้วไหล่เคียงไหล่
เดินไปด้วยกันค้นหาจึงรู้ได้ใช่หรือไม่ ใครอยากอยู่เหนือกว่าเดินไปข้างหน้าเวลาสะดุดหินล้มก็ล้มก่อน
ใครอยากตามหลังไม่ยอมอยู่ข้างหน้า เวลาหมาวิ่งไล่กัดก็โดนกัดก่อน เพราะฉะนั้นหากว่ามีสุขเราจะร่วมสุข
มีทุกข์เราจะร่วมทุกข์ เวลาหมาวิ่งไล่กัดก็หันไปพร้อมกันแล้วก็ไล่ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาอยู่ข้างหน้าคนนี้มองไม่เห็นก้อนหินเราก็จะช่วยกันบอก
จะเดินข้ามอุปสรรคนี้ไปพร้อมๆ กัน
สำหรับศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่เป็นนักเรียนไม่ต้องมีการบำเพ็ญอันยิ่งใหญ่ในระยะทางไกลอันนี้
แต่ให้ศิษย์นั้นหันกลับไปมองบ้านและครอบครัวของเรา
ในวันนี้ช่วงเช้าที่ฟังนั้นเป็นหัวข้อกตัญญุตาธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องรู้จักที่จะสร้างครอบครัวของเรานั้นให้ดี ผู้บำเพ็ญธรรมควรที่จะเป็นผู้ที่เสียสละ
ต่อพ่อแม่เราเสียสละด้วยการที่เรารู้จักที่จะทำให้ท่านนั้นสุขสบายกายสุขสบายใจ
ต่อลูกหลานเราเสียสละการสั่งสอนที่ดี ด้วยการที่เรานั้นลงแรงปฏิบัติมาก่อน
อยากให้ลูกไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่พ่อแม่ต้องไม่กินเหล้าและสูบบุหรี่ด้วย เราต้อง อดให้ได้
ต่อพี่น้องเราเสียสละคือ เราเคารพผู้ที่เป็นพี่และเมตตาผู้ที่เป็นน้อง
นี่เป็นสิ่งที่ดีมากๆ สำหรับศิษย์
เพราะว่าครอบครัวสมัยนี้ พี่กับน้อง พี่ก็พี่เรียกชื่อเฉยๆ ก็พอ
น้องก็น้องทำไมจะแย่งซะอย่าง
ถามว่าพี่น้องไม่รักกันแล้วศิษย์จะอยู่เป็นพี่น้องกันไปอย่างไรถึงห้าสิบปีร้อยปีใช่หรือไม่
(ใช่) เกิดมาเป็นพี่น้องกันวันแรกก็ต้องเป็นไปจนชีวิตจะหาไม่
ตอนนี้เราไม่รู้จักรักษาพี่น้องให้ดีแล้วเราจะอยู่กับเขาไปอย่างไรจนวันตายใช่หรือเปล่า
(ใช่) ต่อสามีต่อภรรยาต้องมีความซื่อสัตย์เห็นอกเห็นใจ
มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ถ้าหากเป็นสามีไม่เข้าใจภรรยาหรือภรรยาไม่เข้าใจสามี
คงไม่มีใครเข้าใจ ต่อเพื่อนของเราควรมีการช่วยเหลือเกื้อกูล
เมื่อเพื่อนมีคำตักเตือนมาเราควรที่จะรับฟัง ถ้าไม่ฟังเขาจะเตือนให้ใครฟัง ความตั้งใจของเขาก็คือเตือนให้เราฟัง
บางทีแรงนิดหนึ่งเหมือนเอามือมาตบหน้า เราจะทำอย่างไร (เราควรที่จะถอยกลับมา)
เวลาที่เพื่อนตบหน้าเราด้วยการตักเตือนนั้น
ถามว่าเขารู้ไหมว่าเขาเอื้อมมือมาตบเราแล้ว เขาไม่รู้หรอก จริงๆ แล้วการตักเตือนของเขามันบาดใจของเรามาก
อันนี้เรียกว่านิสัยของมนุษย์
ในคนหนึ่งจะมีนิสัยมีแรงมีเบา มีดีมีชั่ว อยู่ที่ว่าคนๆ
นั้นจะเอาด้านไหนมาเสนอต่อเรา
เพราะฉะนั้นถามว่าเขาเตือนแรงไปนิดหนึ่ง โกรธดีไม่ดี (ไม่ดี) ถ้าหากเขาเตือนเราเบาไปนิดหนึ่งแล้วเราไม่รู้ตัว
ฟังไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เขาพูด จะทำเป็นลมเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาได้หรือไม่ (ไม่ได้) พยายามไต่ถามกันดีหรือเปล่า
บางคนมีนิสัยอ่อนโยนไม่กล้าพูดจารุนแรงเลยพูดไม่รู้เรื่อง
เราเป็นผู้ฟังนั้นต้องสงสัยใช่หรือไม่แต่มิใช่การนำกลับมาคิดมาก คิดเป็นตุเป็นตะ
คิดสามไปสิบ เขาบอกว่าดินกองเดียวเราคิดไปถึงภูเขาลูกหนึ่ง
อย่างนี้เรียกว่าการคิดมาก ขณะเดียวกันศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่ ทุกๆ
คนนั้นหลายคนก็เป็นคนคิดมาก ถามว่าคิดมากมีประโยชน์หรือเปล่า คิดน้อยมีประโยชน์ไหม
คิดน้อยๆ หรือคิดมากๆ ไม่ดีทั้งนั้น ต้องคิดให้พอดีๆ จึงจะดี
วันนี้เป็นวันที่สอง ผู้ฟังจะต้องนำกลับไปคิด แล้วต้องคิดในสิ่งที่ดีด้วย
วันนี้มาเป็นวันที่สองแล้วบ่ายคล้อยแล้วคิดจะบำเพ็ญหรือยัง ศิษย์เกิดมามีบุญน้อยหรือบุญมาก
เราเกิดมาแค่นี้เพราะฉะนั้นก็พอแค่นี้ ถ้าหากว่าเราอยากเจอชาติหน้าดีๆ
ชาตินี้ก็ทำดีๆ ดีหรือเปล่า ถ้าจะให้ดีกว่านั้นคือ ชาติหน้าไม่มีแล้ว อยากหลุดพ้นดีหรือเปล่า
หรือว่าอยากทุกข์ (หลุดพ้น) ต้องอยากหลุดพ้น
ถ้าคิดว่าชีวิตนี้ยังทุกข์ไม่พอก็ต้องกลับไปทุกข์เสียให้พอ หลุดพ้นดีหรือเปล่า (ดี)
“ความตั้งใจให้เสมอซึ่งต้นปลาย” เป็นอย่างไร ต้นก็คือ
เริ่มต้นวันนี้พอมีความตั้งใจในตอนนี้ต้องมีความตั้งใจให้ตลอด ปลายก็คือ บั้นปลาย
ตั้งแต่เริ่มต้นถึงบั้นปลายต้องมีความตั้งใจอันเป็นหนึ่ง
ถ้าความตั้งใจของเรานั้นดีอยู่แล้ว ถ้าบำเพ็ญแล้วยิ่งเกียจคร้าน
ตั้งใจน้อยกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ
พอถึงบั้นปลายก็จะไม่หลงเหลือความตั้งใจอยู่เลย
เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกให้ศิษย์นั้นเสมอต้นปลายในสิ่งที่เรานั้นตั้งมั่นไว้ในจุดที่ดีอยู่แล้ว
แต่ไม่ใช่เรามีกิเลสอย่างนี้แล้วมีต่อไปจนถึงบั้นปลายชีวิต
พุทธะนั้นเป็นผู้ที่ละกิเลสใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทให้อาจารย์บรรยายธรรมผู้ดำเนินรายการ) พอเชาฉือข้างหนึ่งหยุดพูด อีกข้างหนึ่งก็ต้องพูดต่อเลย ปรบมือให้เชาฉือหน่อยดีหรือเปล่า เป็นการฝึกหัด ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเริ่มต้น
การเริ่มต้นนั้นไม่จำเป็นจะต้องดีมากเสมอไป หลังจากวันนี้ไป
ถ้าเราเริ่มต้นได้ดีมากเท่าใด แม้ในชั้นเรียนเล็กๆ มีคนเพียงไม่กี่คน
เราต้องพยายามพูดและพูดให้ดีจึงจะสามารถดำเนินงานต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น ถึง
แม้ว่าเราจะสามารถดำเนินงานต่างๆ ได้
แต่เมื่อเทียบการที่เรายืนอยู่รอบข้างคงจะไม่ใหม่เท่าไหร่
จึงต้องรู้ว่าความยากลำบากของทุกคนมีเกิดขึ้น
คนทุกคนที่อยู่ตรงนี้ที่ผ่านมามีทั้งยากและง่าย
วันนี้อาจจะไม่รู้ว่าคนข้างหน้าลำบาก แต่เมื่อเราโตขึ้นเรื่อยๆ งานต่างๆ
นั้นที่เห็นไม่มีเรื่องไหนง่าย
เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมว่าจะต้องกลับไปฝึกฝนเข้าใจไหม
คนอายุมากคงจะเมื่อยแล้ว
ต้องรู้ว่าเราอายุมากแล้วให้บำเพ็ญธรรมใช่หรือเปล่า
แต่ความจริงแล้วอายุมากก็บำเพ็ญสู้คนหนุ่มสาวได้ เวลาเราเหลือน้อยแล้ว จะต้องรักษาเวลาให้ดี
และต้องบำเพ็ญให้ดีกว่าคนหนุ่มสาวเป็นสองเท่า สามเท่า เพราะร่างกายของเราอ่อนแอกว่าเขา เมื่อก่อนเคยแข็งแรง ยกของหนักๆ
แต่ตอนนี้ยกไม่ค่อยไหวแล้ว ชักเมื่อย ยืนนานชักอยู่ไม่ได้แล้ว
แสดงว่าร่างกายอันนี้เตือนเราว่าเข้าใกล้ฝั่งทุกทีใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราบำเพ็ญจิตใจของเรานั้น
ต้องหัดปล่อยวางมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่าสามเท่า
ต้องรู้จักเดินหน้ารุดหน้ามากกว่าคนอื่นสองเท่าสามเท่า เรื่องทำมาหากินเดี๋ยวนี้เราไม่ได้เน้นหนักมากมายแล้วใช่หรือไม่
บางทีเรานั้นมีเวลามาก เวลาเหล่านี้ใช้ในการบำเพ็ญธรรมดีหรือไม่
หัดทำจิตใจให้ปลอดโปร่งปราศจากสิ่งวุ่นวายดีหรือไม่ อาจารย์ถามศิษย์ว่าเรารู้จักกันใช่หรือไม่ คนเรานั้นรู้จักกันแต่เพียงชื่อ ที่อยู่
รวมไปถึงครอบครัวการเงิน
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นที่เราควรรู้จัก แต่สิ่งที่จำเป็นต้องรู้จักว่าอาจารย์นั้นมีความตั้งใจในการทำสิ่งใด
มีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใด แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดต้องทำตาม
อาจารย์มุ่งมั่นที่จะฉุดช่วยโลกนี้ให้สู่สันติสุขให้ได้
ให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ทั้งหลายก็ต้องรู้จักอาจารย์ในแง่นี้ ไม่ใช่รู้จักกันเพียงว่าชื่ออาจารย์จี้กง
เวลาประชุมธรรมแล้วมายืมร่าง แล้วก็ไป แค่นี้ไม่เอา
สิ่งที่อาจารย์พูดไปต้องคิดให้ได้ จึงจะเรียกว่าเรารู้จักกันอย่างแท้จริง
ตอนนี้อยู่ในชั้นเรียนต้องเก็บเรื่องส่วนตัวไว้ก่อน
ต้องพูดแต่ในเรื่องหลักธรรม เจี่ยงซือนั้นต้องอ่านหนังสือธรรมะทุกคืน
ถ้าจะขึ้นหัวข้อทีก็อ่านที มันก็ไม่เหลืออะไร
เหมือนกับเวลาที่เราจะเดินทางไปต่างจังหวัด ผ้าไม่พับไว้ ถึงเวลาจะมานั่งพับผ้า
หรือยัดผ้าใส่กระเป๋าจะทันไหม (ไม่ทัน)
ถ้าพับเสร็จแล้วเลือกเสร็จแล้วใส่เข้าไปเลย เวลาเราจะทำอะไรต้องเตรียมตัวก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) อันว่าหน้าที่ต่างๆ
ที่อยู่ในงานธรรมะที่แต่งตั้งขึ้นนั้น
ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์นั้นจะยึดติดมันเป็นรูปลักษณ์
แต่เมื่อเรานั้นได้รับตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ นั้นต้องฝึกฝนตนเองให้ไปถึงขั้นนั้น
อาจารย์เคยพูดไว้ที่ฉือฮุ่ย
พูดถึงเรื่องคำว่า “อาวุโสและผู้น้อย” มีศิษย์หลายคนที่ไม่เข้าใจในความหมายที่อาจารย์พูด
คำว่า “อาวุโสและผู้น้อย”นั้นแม้ว่าจะเป็นคำที่ใช้พูดกันทุกวันแต่มีใครที่เข้าใจจริงๆ
ผู้อาวุโสนั้นต้องอาวุโสไปด้วยความเปี่ยมคุณธรรม
หากศิษย์นั้นมองคำว่าอาวุโสคือผู้ที่รับธรรมะก่อน แล้วศิษย์นั้นจะสามารถตัดรูปลักษณ์ไปได้หรือ
ปัญญาอันสูงส่งและคุณธรรมอันสูงส่งนั้นจะผลักดันให้ศิษย์ไปเป็นผู้อาวุโสเอง
แม้ว่ามาทีหลังแต่คุณธรรมสูงส่งกว่า แม้แต่อาวุโสก็ยังต้องยอม เคารพเขาเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่) คำที่อาจารย์พูดไปนั้นความหมายโดยรวมคือให้ศิษย์นั้นวางรูปลักษณ์ต่างๆ
นั้นลงอย่าไปยึดติดมาก
แต่ในทางกลับกันนั้นควรจะฝึกฝนตนเองให้ขึ้นไปถึงอาวุโสอย่างแท้จริง
คำว่าผู้น้อยก็เป็นกันอยู่ทุกคน คนที่ยังบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมศึกษาธรรม
ยังไม่ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเราก็เป็นผู้น้อยของใครไปทั่วใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้นคำว่าผู้น้อย ไม่จำเป็นว่าเรามาก่อนใครมาหลังใคร
ทำตัวให้ถูกต้องเหมาะสม ถ้าหากว่านำคนอยู่ก็ต้องนำด้วยคุณธรรมอันงดงาม
ถ้าหากว่าตามก็ตามด้วยการเคารพบุคคลเบื้องหน้าจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
อย่าหวังให้คนมายกย่องเรานั้น
การที่เราได้รับการยกย่องนั้นเป็นภาระอันหนักหน่วงยิ่ง หากว่ามีคนเรียกอาจารย์จี้กงนั้นว่าเป็นผู้อนุเคราะห์ชาวโลก
อาจารย์เลิกได้ไหม (ไม่ได้) มีคนเรียกศิษย์ว่า เจี่ยงซือ
จะทำให้ศิษย์เลิกบรรยายได้ไหม
ถ้ามีคนเรียกศิษย์ว่าผู้ดูแลสถานธรรมเจ้าของสถานธรรม
เวลาคนมาจะไม่ยินดีต้อนรับใบหน้าบึ้งตึง บ้านไม่ถู หน้าพระไม่เช็ด เป็นฐันจู่ดีไหม (ไม่ดี) เวลาคนมาไม่ยินดีต้อนรับ ใบหน้าบึ้งตึง อยู่บ้านไม่ถู
หน้าพระไม่เช็ด มอซอ เป็นฐันจู่ที่ดีไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นพายเรือ) พายเรือต้องมีแรงพายใช่ไหม ไม่มีแรงพายก็ไปไม่ถึง
โดยเฉพาะคนที่ชอบเอาไม้พายมางัดกัน เขาพายข้างขวาเราพายข้างซ้ายแล้วไม้พายก็งัดกันในที่สุดก็วนอยู่ในอ่าง
เพราะฉะนั้นการที่เราทำงานร่วมกันงัดกันจึงต้องมีจิตใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เขาไปข้างซ้ายเราก็ซ้ายก่อนดีหรือไม่
ถ้าเรามาข้างขวาเขาก็คงมาข้างขวาก่อนจริงหรือเปล่า ถ้าเราไม่ยอมเขาเขาจะยอมเราไหม
แต่ที่สำคัญทุกคนต้องมีแรงพาย จะมัวกินแรงคนอื่นได้ไหม
เราจึงต้องรู้จักที่จะทำชีวิตของเรานี้ให้โล่งๆ สบายๆ
ไม่ใช่เอาไม้ไปงัดคนอื่นอยู่เรื่อย
ครั้งนี้มีคนมาประชุมธรรมมาก
เมื่อมีคนมากก็ทำให้รู้สึกง่วงนอนง่ายเป็นพิเศษใช่ไหม ในสภาพเช่นนี้เหมือนกับเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นแย่งกันทำมาหากินในสภาพที่อัดๆ
มนุษย์มีคำพูดว่า ”ใครมือยาวสาวได้สาวเอา” เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง
เวลาที่เรานั้นอยู่ร่วมกันถ้าหากว่าสามารถที่จะแบ่งปันกันได้เราควรที่จะแบ่งปันให้กันจึงจะนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอย่างแท้จริง
ถ้าหากว่าเราอยากที่จะแย่งจากคนอื่น ในที่สุดแล้วเราก็จะถูกแย่ง
แล้วก็ไม่พ้นเจ็บตัว ต้องชกต่อยกัน
“ธรรมะแท้นำไปปฏิบัติก็คือแยบยล” ในความแยบยลนั้นก็จำเป็นต้องให้ศิษย์ของอาจารย์ได้นำกลับไปปฏิบัติถ้าไม่ปฏิบัติ
ไม่นำออกสู่ตนเองแล้วก็จะไม่สามารถเกิดความแยบยลขึ้นได้ แม้ว่าธรรมะนี้ดีแต่หากว่านอนอยู่กับบ้านเฉยๆ
ก็จะไม่งอกเงย จิตใจไม่รู้จักแก้ไข ศิษย์ของอาจารย์จะได้รับผลดีไหม
เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้มีคนโทรไปชวนให้ไปไหว้พระ ไปฟังธรรมะ ไปไหม คำว่า “ไม่ว่าง” จะพูดไหม (ไม่พูด) อย่าได้เบื่อหน่าย
การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่เหมือนเรื่องทางโลก ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการตื่นเต้น
มีแต่เรียบๆไปเรื่อยๆ
มีแต่การเพ่งมองใจตนว่าตนนั้นได้แก้ไขจิตใจของตนนั้นได้นานสักเท่าไร
ชีวิตนี้มีร้อยปีเราก็แก้ไขร้อยปี อย่าได้กลัวว่าเรานั้นจะไม่สูงกว่าคนอื่น
เหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่ร่ำไป ในวันนี้มานั่งในที่นี้ก็เปรียบเสมือนพี่น้องกันทุกคนแม้ว่าจะเกิดมาคนละท้องพ่อท้องแม่
ก็ให้รักกันเหมือนพี่น้อง เวลาพี่น้องมีเรื่องขัดใจกันก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน
เวลาที่เรามาสถานธรรมมีเรื่องใดขัดใจต้องรู้จักที่จะปล่อยวางเพราะว่าคนทุกคนนั้นยังอยู่ในระยะของการบำเพ็ญทั้งสิ้น
อย่าได้เกิดความท้อถอย คำพูดปลิวไปตามสายลม มรรคผลของเราก็ปลิวไปตามสายลม
เพราะฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญธรรมจะต้องมีความหนักแน่น
พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนต้องผ่านความยากลำบาก คนที่ไม่ลำบากนั้นสำเร็จได้ไหม
คนที่ไม่ลำบากนั้นก็จะไม่รู้จักความสำเร็จใด ๆ
ในทางตรงกันข้ามใครที่ชอบแต่ความสบาย หาความสบายใส่ตัวอยู่ร่ำไปจะประสบความสำเร็จได้ไหม
เพราะฉะนั้นความลำบากจึงคู่กับความสำเร็จ
อยากจะเป็นผู้ที่มีความก้าวหน้าก็ต้องไปศึกษาหาความรู้มาก่อน
อยากเป็นพุทธะก็ต้องลงแรงปฏิบัติมาก่อนใช่ไหม
เราจะขจัดอะไรบ้างในสองวันนี้ที่ฟังมา เราคิดว่าเราไม่ดีตรงไหนเราก็ขจัดตรงนั้น ถ้าหากว่าล้อเล่นกับกิเลสอย่างนี้
ล้อเล่นกับชีวิต เมื่อถูกกินแล้วกินเลยใช่ไหม
เหมือนปลาตัวเล็กที่ถูกปลาตัวใหญ่กินเข้าไปแล้วปลาตัวใหญ่จะคายไหม กินแล้วไม่คาย
ตายแล้วตายเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้บอกว่าไม่กลัวถูกกินก็ต้องอดตายเพราะเล่นการพนัน
ไตรรัตน์เปรียบเสมือนกุญแจบ้าน ไม่มีกุญแจบ้านก็เข้าบ้านไม่ได้
ไตรรัตน์มีความสำคัญมาก ต้องจดจำให้ได้ ศิษย์หลายคนที่เสียชีวิตแล้ว
พอกลับไปถึงฟ้า ปัญหาแรกคือ จำไตรรัตน์ไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีกุศลเท่าไหร่
แต่ว่าอันแรกก็คือจำไม่ได้ จำไม่ถูก ถามว่ากุญแจลูกหนึ่งที่ใช้เปิดกุญแจบ้าน
แล้วต้องใช้กุญแจที่มีรหัสเท่านี้ กุญแจลูกที่เท่านี้ แต่เราหยิบดอกผิดมา
หรือว่าไปทำกุญแจเสีย ถามว่าเปิดเข้าบ้านได้หรือเปล่า เมื่อเปิดเข้าบ้านไม่ได้
ด่านแรกก็ผ่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นในบ้านเป็นอย่างไรไม่ต้องพูดถึง
การที่จะเข้าสู่นิพพานจึงเป็นไปไม่ได้ เวลาศิษย์ของอาจารย์ในโลกนี้มี เอทีเอ็ม
ถ้าหากว่าจำรหัสผิด จะถอนออกมาได้หรือไม่ เงินในธนาคารเป็นของใคร
แล้วทำไมเรานำเงินออกมาไม่ได้ (จำรหัสไม่ได้) หากว่าจำไม่ได้จะเอาออกมาได้หรือไม่
แม้จะเป็นเงินของเราเองก็ตาม ศิษย์จะไปบอกใครว่า เงินในธนาคารนั้นเป็นของเรา
แต่ไม่มีหลักฐาน กดไม่ถูก เอาเงินนี้คืนมาได้ไหม ไปขอก็ขอได้แต่ต้องมีหลักฐาน ต้องคิดให้ดีๆ
อาจารย์เทียบกับเรื่องสมัยใหม่ให้ฟัง
ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องฟังแล้วให้เข้าใจด้วย
ไตรรัตน์ที่มอบให้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด มอบให้ศิษย์แล้วต้องรักษาเอง
หากไม่รักษาก็ไม่มีใครรักษาให้และไม่สามารถไปเอากับใครได้
หากว่าจำไตรรัตน์ไม่ได้ก็เหมือนคนที่ยังไม่ได้รับธรรมะ ในที่สุดแล้วก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเดิม
ฟังธรรมะมาสองวันคิดว่าจะกลับไปแก้ไขอะไรได้ (ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีของตัวเอง,
ขัดเกลาความใจร้อน,
มีความเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น,
ทำจิตใจให้สงบ,
จะกลับไปขัดเกลาสติปัญญาให้ดีขึ้น)
โดยทั่วๆ ไป
คนที่ตอบมาทั้งหมดก็คือนำกลับไปปฏิบัติ ใช่หรือไม่ เรานำกลับไปปฏิบัติได้
ในวันนี้แม้จะพูดอะไรไปมากมาย ก็คงจะไม่ทำให้ศิษย์นั้นรู้แจ้งในสิ่งใดมากขึ้น
เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้เริ่มต้นปฏิบัติ จิตใจของเรารู้ดีว่าอยู่ในระดับไหน
ต้องการแก้ไขอะไรบ้าง แต่ตลอดมา ที่เราทำไม่ได้นั้น ก็เพราะว่าเข้าข้างตัวเอง
ว่าเรานั้นยังไม่ต้องหรอก เพราะว่าเราดีอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้ว
เรานั้นดีอยู่แล้วจริงหรือเปล่า เราย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์นั้นหลอกตัวเองว่าตัวเองดีอยู่แล้วไม่มีอะไรต้องแก้ไข
เพราะว่าการที่เราหลอกตัวเองนั้นก็เท่ากับเรานั้นตัดหนทางที่เราจะบำเพ็ญได้
เมื่อตัดทิ้งไปแล้วก็เหลือแต่หนทางแห่งปุถุชน
หนทางแห่งปุถุชนนั้นคือการเวียนว่ายตายเกิด
ปุถุชนนั้นแปลว่าคนธรรมดา คนธรรมดาทั่วๆ ไปนั้นเป็นคนที่รักง่ายหน่ายไว
เห็นสิ่งไหนดีกว่าก็เข้าหาสิ่งนั้น ถ้าหากว่าคิดจะทำดีแต่ความทุกข์นั้นบาดใจมาก
ก็เข้าหาสิ่งที่ง่ายๆ กว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่คือคนธรรมดาทั้งหลายที่เป็นอยู่ ศิษย์บอกว่าเรานั้นเป็นคนธรรมดา
อาจารย์นั้นไม่อยากให้ศิษย์เป็นคนธรรมดา แต่อยากให้ศิษย์เป็นคนที่เหนือธรรมดา
คือคนที่รู้จักยอมรับความลำบากไม่หนีปัญหา
หันหน้าสู้ความจริง ไม่เก็บตัวอยู่เงียบๆ
แล้วให้เหตุผลตนเองว่าอย่างนั้นอย่างนี้
ถึงเวลาแล้วเรานอกจากไม่สามารถช่วยตนได้แล้วยังไม่สามารถช่วยผู้อื่นได้ด้วยใช่หรือไม่
(ใช่) โลก สังคม ประเทศนี้ หากว่าเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วย
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นต้องเริ่มต้นจากตนเอง
ผลไม้หนึ่งลูกจะออกมาจากต้นไม้ ถามว่ามาแค่หนึ่งลูกหรือเปล่าต่อหนึ่งต้น (ไม่) หนึ่งต้นมีหลายลูก ศิษย์อยากได้ผลไม้หนึ่งลูก
ยังต้องลงมือปลูก ถ้าหากเป็นคนสมัยนี้ก็ออกไปซื้อ เป็นวิธีการที่ง่ายและสะดวกสบายทำให้ไม่รู้จักความยากลำบาก
แต่โดยปกติธรรมดาแล้วเราอยากจะกินผลไม้หนึ่งลูก
ก็ลงมือปลูกออกมาเยอะแยะแล้วก็กิน
เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้ว่าการที่เราจะลงมือทำสิ่งใด
เมื่อเราปลูกต้นไม้หนึ่งต้นขึ้นมา คนอื่นก็ได้ร่มเงาได้รับประทานเช่นเดียวกันใช่หรือไม่
ชีวิตนี้จึงต้องคิดต้องเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น
ไม่ใช่เป็นคนที่หลับหูหลับตาแล้วเป็นคนเห็นแก่ตัว หากว่าเป็นเช่นนั้น หนึ่งคน
สองคน สามคน เป็นเช่นนั้น โลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ด้านมืด
ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือได้
อยากช่วยให้โลกนี้ดีขึ้นไหม (อยาก)
“ความสำเร็จเกิดได้ด้วยความพยายาม” หลายๆ คนบอกว่า เราทำไม่ได้ มีความสามารถไม่พอ จริงๆ
แล้วมีใครบ้างในโลกนี้มีความสามารถไม่พอ
เพียงแต่ศิษย์นั้นไม่ได้รู้จักศึกษาทำความเข้าใจใช่หรือไม่
โดยเฉพาะเรื่องการบำเพ็ญธรรม การแก้ไขตนเองทั้งหมดเป็นเรื่องของเราเอง
ผู้อื่นไม่สามารถที่จะดึงใจของเรามาแล้วก็ล้างๆ ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นคนที่จะล้างใจคือเราเอง เวลาที่กวาดบ้าน บางบ้านชอบปัดฝุ่นเข้าซอก ถ้าหากให้คนบ้านอื่นมา กวาดบ้านเราเขาก็ไม่รู้ว่าเราปัดเข้าซอกไหน
ก็ไม่รู้ว่าสกปรกที่สุดคือซอกไหน แต่ว่าเรานั้นรู้จักบ้านเราดีที่สุด เราชอบปัดเข้าซอก ถึงเวลาทำความสะอาดใหญ่ เราก็ล้วงใหญ่ ตอนนี้ถึงเวลาทำความสะอาดใหญ่หรือยัง (ถึงแล้ว)
ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว
บางคนอายุยี่สิบกว่า สามสิบกว่า
สี่สิบกว่า ห้าสิบกว่า ยังไม่ทำความสะอาดเลย ขนาดร่างกายนี้ยังต้องอาบน้ำวันละสองหน ควรหรือไม่ที่ควรจะทำความสะอาดใจวันละหลายๆ
หน อย่างน้อยวันละสองหน เรากินข้าววันละกี่มื้อ (สามมื้อ) เวลาที่เราหากุศลให้กับตัวเราเอง
สิ่งที่ดีให้กับตัวเองมีกี่มื้อ
ร่างกายนี้กินเข้าไปวันละสามมื้อ แต่จิตใจเรากินวันละกี่มื้อ
จิตใจเราไม่ได้กินอะไรเลย ปล่อยให้อดโซหิว
จิตใจเราหิวมากแล้วใช่หรือไม่ หิวอะไร (ธรรมะ)
สมมติจิตใจนั้นเป็น วงกลมสีขาววงหนึ่ง ตอนนี้ใจของศิษย์เหลือสีขาวเท่าไหร่
ลองมองใจตัวเองดู เต็มที่เหลือห้าส่วน
ก็กลายเป็นคนดีครึ่งไม่ดีครึ่ง ใจเหลือแค่ห้าส่วนแล้วยกย่องตนเองว่าเป็นคนดีได้ไหม
(ไม่ได้) เรายกย่องว่าตัวเองนั้นเป็นคนดีก็มากไปนิดหนึ่งแล้ว
คนดีสมัยนี้เหลือความดีไม่ถึงห้าส่วน บอกว่าเป็นคนดีได้ไหม (ไม่ได้) ในที่นี้ศิษย์ของอาจารย์นั้นอาจจะเป็นคนดีในสายตาตัวเองแต่ไม่อาจจะเป็นคนดีที่จะสามารถเป็นคนดีของโลกได้ ถึงเวลาความเดือดร้อนมา เราก็วิ่งเข้าไปแก้ไข
เราก็เป็นคนดี ถ้าเราวิ่งหนีเราก็เป็นคนที่เอาตัวรอด
เพราะฉะนั้นคนดีสมัยนี้เหลือความดีแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งสูญเสียให้กับกิเลส ศิษย์ไม่รู้จักกิเลสเลย เพียงแต่รู้จักแค่ชื่อ
แต่กิเลสรู้จักศิษย์ไหม
รู้จักศิษย์ดีทีเดียว รู้ว่าศิษย์นั้นชอบสีแดง เห็นสีแดงแล้วอดไม่ได้ รู้ว่าศิษย์นั้นชอบสิ่งที่สวยงาม สิ่งพิเศษ
เวลาที่ไปเลือกซื้อผลไม้ก็อยากได้ที่สวยเป็นพิเศษ ทุกคนก็เลือกให้พิเศษหมดเลย
แล้วใครได้พิเศษที่สุด จริงๆ แล้วไม่มีใครได้สิ่งที่พิเศษที่สุด ทุกๆ
คนได้สิ่งที่เหมือนๆ กัน แต่กิเลสบอกว่าเป็นสิ่งที่พิเศษสุด แล้วเราก็เชื่อเขาใช่หรือไม่
(ใช่)
จิตใจดวงนี้เหลือครึ่งเดียวที่เป็นความดี
อาจารย์ให้ศิษย์ครึ่งหนึ่งที่เหลือความดีอยู่ เพราะฉะนั้นเรามารู้จักคำว่ากิเลส
ดีหรือไม่ กิเลสนั้นมีอยู่มากมาย
มีทั้งที่เป็นนามธรรม อันได้แก่ อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ใจร้อน อยากจะได้
ไม่อยากได้ ไม่พอใจ ดีใจ เสียใจ
นี่เป็นส่วนหนึ่งของกิเลส เป็นเพียงส่วนเดียว มีความรู้สึกที่จะอะไรทุกๆ
อย่างในความรู้สึกทั้งหลายเรียกว่าเป็นกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นนี่คือในแง่ของนามธรรมเป็นตัวอย่าง
ในแง่ของรูปธรรมมีรูปเป็นอย่างไรบ้างสวย บ้างไม่สวย เสียงที่เพราะ ไม่เพราะเป็นรูปธรรมเพราะว่าไปถูกใส่อยู่กับสิ่งต่างๆ อยากจะได้รถสักคันหนึ่งก็อยากได้รถที่สวยๆ
อยากได้แบงค์สักใบหนึ่งก็อยากได้แบงค์ที่ขาวๆ สีม่วงๆ เพราะฉะนั้นสีที่สวย
สิ่งที่ดีเราอยากได้ แต่สิ่งเหล่าทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่มีความไม่ดีมาก
เราอยากจะได้เขาเราจึงไปหา ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกทางเพื่อจะได้มา
สุดท้ายทางที่ไปทำนั้นอาจจะเป็นทางที่ไม่ดีก็ได้
จึงมีคำพูดให้ศิษย์นั้นมีอาชีพโดยสุจริต
กิเลสครึ่งหนึ่ง ใจครึ่งหนึ่ง อยากเป็นพุทธะต้องปราศจากกิเลส จะทำอย่างไร
ลดยากแต่ลบทีละนิด รอบแรกไม่สะอาดก็ลบรอบต่อไป ลบจนมันสะอาดทำได้หรือเปล่า ร่างกายของเรานี้ เราต้องให้เขากิน
จิตใจดวงนี้ก็ต้องให้กินเหมือนกัน
ในการที่เรานั้นอยู่ด้วยกันต้องไม่ทิ้งให้ใครอยู่คนเดียว
เราต้องรู้จักเข้าใจเขาในด้านที่คนอื่นเข้าใจยาก
เพราะว่าชีวิตหนึ่งนั้นเราก็รู้จักคนเพียงไม่กี่คนถ้าเทียบกับคนจำนวนมากหรือคนทั้งโลก
ทำไมคนจำนวนน้อยๆ เท่านี้เราจะรักษาน้ำใจกันไม่ได้
อาจารย์เคยพูดว่าน้ำอมฤตที่อยู่เบื้องบนนั้นก็คือน้ำใจที่อยู่ในแดนโลก
อาจจะเปรียบได้เหมือนกับสิ่งเดียวกัน
ศิษย์นั้นอยู่บนแดนโลกให้รู้จักทำน้ำอมฤตคือน้ำใจอันนี้ให้งอกเงยขึ้นมาให้ดีขึ้นมา
เพราะฉะนั้นน้ำใจที่มีให้กันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก
เวลาที่คนอื่นมอบให้ยากขอให้เรานั้นมอบให้ง่าย
เวลาที่เขามีอย่างล้นเหลือเราก็รีบเอาน้ำใจอันนี้ไปมอบให้กับผู้อื่นไม่ใช่รุมมอบให้กับคนๆ
เดียวมันไม่มีประโยชน์
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลง : มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน)คำนี้ได้ยินกันมาตั้งนานแล้วโดยเฉพาะคนที่นครศรีธรรมราช
อาจารย์หวังอย่างยิ่งให้ศิษย์นั้นมีความสามัคคีเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด
ศิษย์ที่อยู่ที่นี่มีปัญหามากที่สุดก็คือความคิดเห็นที่ไม่ลงรอย
ไม่สามารถจะรวมเป็นหนึ่งได้ ความคิดของเรานั้นมีหลากหลาย แต่ละคนนั้นสามารถคิดไปได้หลายๆ
อย่าง จริงๆ แล้วไม่มีความคิดของใครผิดและไม่มีความคิดของใครถูก
อาจารย์จะขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นสามารถที่จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้
ทุกวันนี้อาจารย์ก็เชื่อว่าทุกคนพยายามจะแก้ไขอยู่
จุดยืนของทุกคนนั้นต่างกันในจุดยืนที่ต่างกันนี้ย่อมมีจุดยืนที่เหมือนกันหนึ่งจุดใช่ไหม
อย่างน้อยก็มีความคิดที่จะบำเพ็ญธรรมเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเมื่อใครที่มีความคิดไม่เหมือนกันทำไมเราจะอภัยให้เขาไม่ได้
ทำไมไม่หันหน้าเข้าหากันแล้วก็พูดจากันให้รู้เรื่อง
ทุกคนมีความมุ่งหวังที่จะทำงานธรรมะเหมือนกัน ต้องการบำเพ็ญให้หลุดพ้นเหมือนกัน
ต่างมีนิสัยส่วนตัว ต่างมีทัศนคติที่ไม่เหมือนกัน อาจารย์ไม่เคยเห็นศิษย์คนไหนผิด
แต่อยากจะให้รู้ว่าการมองที่ศิษย์นั้นเห็นต่างกันนั้นอย่าคิดว่าเรานั้นคิดถูก
คนอื่นนั้นคิดผิด
(พระอาจารย์เมตตาให้นำกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งทั้งสี่ด้านมีสีไม่เหมือนกัน
เปรียบเหมือนการมองในเรื่องๆ หนึ่งของศิษย์แต่ละคนที่มองไม่เหมือนกัน) เพราะฉะนั้นไม่ควรบ่นว่ากล่าวโทษซึ่งกันและกัน
มีความลำบากต่าง ๆ นานานั้นต้องหันหน้าเข้าหากันแล้วก็ช่วยเหลือกัน
ไม่ใช่ว่าจะมัวมองสิ่งนี้ผิดหรือสิ่งนั้นถูกเสมอไป อีกทั้งศิษย์หลายๆ คนเป็นคนที่ค่อนข้างจะเคร่งเครียด
เป็นศิษย์อาจารย์นั้นต้องไม่เคร่งเครียด ไม่มีความกังวล แต่ไม่ใช่ให้ไม่เคร่งครัด
ไม่เคร่งเครียดแต่ต้องเคร่งครัดต่อตัวเอง จะเคร่งครัดต่อผู้อื่นนั้นอย่าได้กระทำ
ต้องรู้จักที่จะละเว้นเขาไว้ ความลำบากที่เจอต่างๆ นานานั้นให้ร่วมมือร่วมใจกันอย่าเกิดความแตกแยกกันเอง
ฉะนั้นจงปรับกระบวนความคิดของเราเอาจุดที่เหมือนกันนี้ให้มาอยู่รวมกันทำงานมุ่งมั่นฝ่าฟันในสิ่งเดียวกัน
สิ่งใดที่ไม่ถึงเวลาก็ย่อมจะไม่มาเป็นธรรมดา
สิ่งใดเมื่อถึงเวลาแล้วก็ย่อมจะคิดอ่านตรงกัน อย่างเรื่องสถานธรรมตอนนี้ยังมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแสดงว่ายังไม่ถึงเวลา
ถึงเวลาแล้วทุกคนก็จะคิดอ่านเหมือนกันว่าต้องทำ ไม่ต้องเร่งร้อน
ตอนนี้ต่างคนต่างบำเพ็ญจิตใจให้ดีงามอย่ากล่าวโทษ
อย่ากล่าวว่ากันเองเพราะคำพูดนั้นจะเป็นสิ่งที่ทดสอบคนได้มากที่สุด
ทุกคนต่างมีความดี ถ้าศิษย์ไม่ดีคงไม่คิดที่จะบำเพ็ญธรรมใช่ไหม
เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจสิ่งนี้ไว้ว่าเรานั้นต้องมองเขาให้ดี มองให้เห็นในสิ่งที่ดี
มีน้ำใจต่อกัน เอื้ออารีกันและอย่ากล่าวโทษกันเอง
อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นจะหันหน้าเข้ามาหากันได้
ให้มองเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไร ให้มองเรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กดีไหม
ให้รู้จักตนเองแล้วจึงจะรู้จักผู้อื่น ตนเองไม่รู้จักแล้วจะ
รู้จักผู้อื่นได้อย่างไร เรื่องเงินทองเป็นเรื่องที่ทดสอบคนมาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นจงหลีกเลี่ยงพูดเรื่องนี้กันให้น้อย
รู้จักผู้อื่นได้อย่างไร เรื่องเงินทองเป็นเรื่องที่ทดสอบคนมาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นจงหลีกเลี่ยงพูดเรื่องนี้กันให้น้อย
อาจารย์พูดคราวนี้ หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้น จะสามารถหันหน้าเข้ามาหากันได้
ให้มองเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไร
ให้มองเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก
ให้รู้จักตนเองแล้วจึงรู้จักผู้อื่น
ตนเองไม่รู้จักตนเองแล้วจะรู้จัก ผู้อื่นได้อย่างไร
เรื่องเงินทองนั้นเป็นเรื่องที่ทดสอบคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นจงหลีกเลี่ยงพูดเรื่องนี้กัน
ถ้ายังเข้าใจไม่พอก็จงอย่าพูด ร่วมมือกัน ร่วมใจกัน ร่วมแรงกัน
เราจะตบมือสักพักหนึ่งเพื่อเป็นการที่จะเรียกกำลังใจของตนเองดีหรือไม่
เรื่องใดที่หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่เก็บมาใส่ใจ
เราจะไม่ฝังใจในความผิดของใครแล้วจะไม่พูดจนไม่เลิกดีหรือไม่ (ดี) เพราะฉะนั้นจงตบมือให้กำลังใจตนเอง
เรื่องที่หลังจากวันนี้เราจะไม่ฝังใจติดใจค้างใจกันอีกต่อไปดีไหม
เพลงนี้อาจารย์ให้ไว้ด้วยเสียงจากใจอันนี้ทั้งสิ้น ตั้งแต่ท่อนแรกอาจารย์ก็พูดถึงว่า "จงสมัครสมาน
แม้นานแสนนานไม่มีสิ้นสุด" แม้นานเท่าไรความสมัครสมานในใจของศิษย์นี่ก็คงไม่สิ้นสุดลง
เพราะว่าใจของศิษย์ทุกดวงนั้นเป็นใจดวงเดียวกัน "แม้เป็นจริงดังคำ"
ถ้าหากเป็นจริงดังคำอาจารย์ได้
"ไม่โศกศัลย์สักวันศิษย์เอย"
ไม่โศกศัลย์อันนี้ไม่ใช่อาจารย์ไม่โศกศัลย์
ศิษย์เองก็ไม่โศกศัลย์ในการที่อยู่ร่วมกัน "จงฝึกความอ่อนน้อม"
จะสมัครสมานสามัคคีได้ทุกคนนั้นต้องเป็นคนที่อ่อนน้อม
ใครที่คิดว่าตนเองนั้นเก่งหรือว่าดีนั้นต้องรู้ว่า ถึงแม้ว่าเก่ง
ต้องเป็นคนอ่อนน้อมเก่งด้วย ไม่ใช่ว่าเราเก่งแล้วเราไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อม
เรื่องนี้นั้นจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าอ่อนน้อมเฉพาะใครคนหนึ่ง เราต้องอ่อนน้อมกันคนทุกคนเท่าๆ
กัน แม้ว่าคนนั้นจะมาทีหลัง คนนั้นจะอยู่เบื้องหน้าอะไรก็แล้วแต่
แม้แต่คนกวาดถนนก็ต้องอ่อนน้อมกับเขา
เพราะว่าเขามีคุณธรรมที่จะกวาดสิ่งสกปรกให้เรา
เพราะฉะนั้นการอ่อนน้อมมิได้ใช้เฉพาะในวงการธรรมะ สถานธรรมเท่านั้น ทุกๆ ที่ก็ต้องใช้ความอ่อนน้อมทั้งนั้น
“รู้ถอยรู้ยอม”
“ถอยหนึ่งก้าวยอมสามส่วน” ถอยหนึ่งก้าวเพื่อให้ผู้อื่นนั้นมีโอกาส เหมือนเรา
ถอยหนึ่งก้าวเพื่อให้ทางนั้นมันกว้างขึ้น เพราะบางทีนั้น
ถ้าหากว่ามีคนคิดที่จะแซงเรา เราต้อง ให้เขาแซง เพราะถ้าเรา ดีจริงนั้น
เราก็จะแซงเขาอีกทีหนึ่ง
นี่ไม่ไม่ใช่การแข่งขัน
แต่นี่เป็นการมุ่งมั่น เดินไปด้วยกัน บางคนเดินช้าบางคนเดินเร็วบางคนดีมาก
บางคนดีน้อยต้องรู้ให้ทันตนเอง รู้ถอยก็คือ ถอยหนึ่งก้าวให้ยอมสามส่วน เพื่ออะไร
สมมติว่ามีอาหารอร่อยจานหนึ่ง จะกินหมดคนเดียวสิบส่วนเลยไหม เรากินแค่สามส่วน อาจารย์กินเจ็ดส่วน
แต่สามส่วนให้ผู้อื่นได้ลองบ้างเพื่อเป็นการที่เรานั้นได้อยู่ร่วมกันได้
รู้ถอยคือรู้ยอม ยอมก็อย่างพูดไปให้ศิษย์คิดได้
นี่คือวิธีการที่จะอยู่ร่วมกันถ้าใครเหมาหมด
ทำก็คนเดียวกินคนเดียวใครจะอยู่ด้วยให้ศิษย์คิดได้ แม้นว่าใครดึงดันเข้าไป วุ่นวายใจตัวเอง
เหมือนกับเราโกรธผู้อื่น ไอแห่งความโกรธที่มีทำร้ายคนอื่นหรือเรา (เรา) แม้นว่าเราจะโกรธจนไม่สามารถยั้งมือไม้ไว้ได้
ไปทุบตีเขาแล้ว เท่ากับศิษย์ลงไม้ตีตนเอง ร้ายแรงไหม (ร้ายแรง) จิตใจนั้นจะบอบซ้ำ เพราะฉะนั้นโกรธจึงไม่ดี รัก โลภ ดีไหม (ไม่ดี) ต้องมีการรู้พอบ้าง
ถ้าเรารู้สึกว่าจะรักคนๆ นี้ เราก็พิเศษหน่อย
ถ้าหากว่าเราหันไปรักอีกคนหนึ่ง
เราก็พิเศษกับอีกคนหนึ่ง ต่อทุกคนสายตาของเรานั้นต้องเหมือนพุทธะ มองทุกๆ
คนให้เท่ากัน ดูทุกๆ คนให้เท่ากัน
ไม่มีใครดีกว่าใครเป็นพิเศษและไม่ดีต่อตัวเองเป็นพิเศษด้วย
“วุ่นวายใจไร้การบำเพ็ญ” เมื่อใจวุ่นวายแล้ว จะนับว่าเป็นใจที่บำเพ็ญได้หรือไม่
ถ้าใจดวงนี้ยังเป็นใจที่วุ่นวายอยู่
ขาวกับดำก็มั่วกันไปหมด
เขียวกับแดงก็ปนกันแล้ว เมื่อจิตใจวุ่นวายสับสน เช่นนี้เป็นจิตใจของคนที่บำเพ็ญไหม ศิษย์นั้นจะแยกแยะออกไหมว่านี่คือจริงและเท็จ ถ้าหากจิตใจวุ่นวาย (แยกไม่ออก) จะดูออกไหมว่าถูกหรือผิดถ้าจิตใจวุ่นวาย
“ผิงซันเหมือนไกลเหมือนใกล้” หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่าผิงซันดินแดนที่อาจารย์อยู่นั้น จะเหมือนไกลก็ได้ จะเหมือนใกล้ก็ได้
แล้วแต่ศิษย์ใช่หรือไม่ จิตอยู่กับเรา แต่เราปล่อยให้เขาไปเที่ยว
ไม่ชอบเอาใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว
เพราะฉะนั้น จิตอันนี้ จะอยู่กับศิษย์ไหม
ศิษย์จะเข้าถึงจิตของตนเอง จะเข้าไปถึงผิงซันไหม อยู่ที่ศิษย์นะ อาจจะไกล
เพราะว่าใจของเรานั้น เป็นใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อาจจะใกล้ถ้าเราใช้จิตของเรานี้ไปมองสิ่งต่างๆ
“ตื่นก่อนสาย ก่อนสายเกินไป” สายอันนี้ สายจากอะไร สายจากธรรมะๆ
ก็มีเวลาของการเก็บเหมือนกัน ชีวิตนี้ก็มีเวลาเก็บเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) โลกนี้ก็ต้องเก็บเหมือนกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนยาวอยู่ได้ตลอดไป
จึงบอกว่าตื่นก่อนสายก่อนสายเกินไป ที่สำคัญคือสายจากอะไร
ตื่นให้ทันจากกิเลสที่เผาใจตนเองนี่แหละ
ศิษย์อย่าคิดว่าใจของตนเองเผาเท่าไหร่ก็ไม่ไหม้นะ ใจนี้อาจจะมอดไหม้ไปก็ได้
ถ้าหากว่าศิษย์นั้นตื่นไม่ทัน เมื่อไหม้แล้วจะเอาใจที่ไหนมาบำเพ็ญ
“วอนศิษย์เอยจากนี้รู้สามัคคีไว้เป็นที่ตั้ง” อันนี้อาจารย์สรุปจากคำพูดที่อาจารย์พูดไว้แล้วว่าขอให้สามัคคีไว้เป็นที่ตั้งแล้วกัน
ไม่ว่าจะเจออะไร ไม่ว่าจะฝ่าอะไร อาจารย์เชื่อแน่ว่าผ่าน ขอเพียงแต่ว่าสามัคคีไว้เป็นที่ตั้ง ทำได้ไหม (ทำได้) ไม่ใช่เฉพาะที่นี่ แต่ทุกๆ ที่ ทุกๆ คน และทุกๆ ใจ
“ไม่ทิ้งใครลำพัง” ไม่ใช่ว่าเราทิ้งคนอื่น เพราะว่าเรานี้มีพวกมากกว่า
เราต้องเดินไปด้วยกัน คนนี้ไม่ดีหน่อยก็เตือนสติเขา ถ้าเราทิ้งคนอื่น
คนอื่นก็จะทิ้งเราเหมือนกัน เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เที่ยง วันนี้เราพวกมาก
วันหน้าเขาพวกมาก เราก็โดนทิ้งอยู่ดี ใช่ไหม (ใช่)
“อาจารย์หวังเจ้าล้วนคืนแดน” หมายความว่าให้เคียงบ่าเคียงไหล่
พร้อมหน้าพร้อมตากันกลับขึ้นไปเบื้องบนนะ
ต่อผู้บำเพ็ญด้วยกันนั้นต้องต้องมีความรู้สึกรักเขา เหมือนที่เรารักตัวเองนี่แหละ
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ใช่รักคนนี้เพราะคนนี้นั้นมีเงินทองมากกว่า
ไม่ใช่รักคนนี้เพราะคนนี้นั้นสวยกว่า หล่อกว่า แต่เราต้องรักทุกๆ คน เหมือนกัน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ศานติ”)
“ศานติ”
ศานติแปลว่าอะไร
แปลว่าความสงบสุข ความผาสุกความเจริญ
ศานติเป็นคำที่ไว้สำหรับคนที่เข้าถึงความสามัคคีนั้นแล้ว อาจารย์ขออวยพรล่วงหน้าขอให้ศิษย์ทุกคนมีศานติ
แต่ว่าคำว่าศานติทำไมต้องมีมือมาโอบรู้ไหม
เพราะว่าศานตินั้นไม่ใช่จะงอกเงยขึ้นมาเฉยๆ
เราต้องเอาศานตินั้นมาประคอง ความศานติจึงจะอยู่ในมือเราได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้น
การเอาสองมือเข้าประคองเอาสองมือขึ้นโอบนั้น เป็นเรื่องของทุกๆ คน ใช่หรือไม่ (ใช่) ศานติในใจเราก่อนศานติจากกิเลส
สงบจากความวุ่นวายไปสู่ความศานติให้กับคนรอบข้าง ไปศานติให้กับส่วนรวม
เพราะฉะนั้นความสงบสุขวันนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกัน หาได้ไหม (ได้)
“ใจที่อยากเอาชนะยากปลงได้” ถ้าหากว่าใครนั้นมีใจที่อยากจะเอาชนะคนอื่นร่ำไปก็จะไม่สามารถปลงได้
อยากแพ้คนอื่นไหม หากไม่อยากเอาชนะคนอื่นก็ต้องแก้คนอื่น จะแพ้คนอื่นบ้างดีหรือไม่
(ดี) เรานั้นอย่าคิดว่าเราจะชนะคนอื่นร่ำไป
มีใครยอมให้เราชนะบ้าง (ไม่มี) เพราะฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า
ไม่ว่าแพ้ชนะก็เป็นไปตามธรรมชาติ ได้ชัยชนะมาก็จงอย่าดีใจจนเหลิง
พ่ายแพ้ไปก็อย่าโศกเศร้า
ต้องรู้ว่าถ้าหากอยากชนะคนอื่นมันยากปลง ถ้าไม่ชนะคือแพ้ แพ้ปลงง่ายไหม
ไปคิดเอาเองนะ
“คล้ายตกไปนรกสถาน” ถ้าหากว่าคนที่ปลงไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้
เหมือนกับคนที่ตกลงไปในนรก
“ถอยหนึ่งก้าวยอมสามส่วนพ้นทุกข์พลัน” ถ้าหากเราถอยหนึ่งก้าวได้ยอมสามส่วนได้เราก็จะพ้นทุกข์
“อ่อนน้อมจงสืบสานมิขาดแคลน” ความอ่อนน้อมจงรู้จักที่จะจรรโลงไว้ให้สืบต่อสืบเนื่องไป
ออกจากเราไปสู่คนรอบข้าง สู่คนจำนวนมาก สู่คนที่มารุ่นหลัง
ถ้าหากว่าเราไม่แสดงอาการอ่อนน้อมให้คนรุ่นหลัง คนอื่นเขาจะอ่อนน้อมเป็นไหม (ไม่เป็น) จึงบอกว่าความอ่อนน้อมเป็นสิ่งสำคัญให้เรานั้นรู้จักนำออกไป
แต่บางคนนั้นอ่อนน้อมเป็นแต่ภายนอก จิตใจจริงๆ ข้างในนั้นแข็งกร้าว
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นการอ่อนน้อมที่อยู่ภายนอกก็ออกจะไม่จำเป็น
พระพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองลงมาก็ย่อมจะเห็นว่าใครนั้นอ่อนน้อมจริงหรือไม่
“ลดบาดหมางวางอารมณ์ที่ชั่วแล่น” ใครที่อยู่ที่นี่ที่เคยบาดหมางคนอื่น
ก็จงรู้จักวางเสียบ้าง
ถ้าเราไปบาดหมางคนอื่นแล้ว ถามว่าเป็นผลดีต่อเราไหม (ไม่ดี) คนที่ชอบคิดนิดเดียว แล้วคิดเป็นตุเป็นตะ ใหญ่โต
โกรธอย่างรวดเร็วไม่รู้จักวาง
คิดตามอารมณ์ชั่วแล่นที่พาไป ไม่มีสติมากพอ คนนี้ย่อมไม่สามารถที่จะหักห้ามตนเองได้
ย่อมตกสู่อบายภูมิ
“จิตไม่เที่ยงผองมารจะเข้าที่แทน” ใจที่ไม่เที่ยงนี้เป็นของมาร
ถ้าหากว่าอยู่บนความเที่ยงก็อยู่เบื้องบน
“กลับแดนเดิมไม่พ้นต้องบำเพ็ญธรรม” สุดท้ายนี้ใครที่คิดที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ก็ต้องบำเพ็ญธรรมทั้งนั้น ถ้าหากว่า
กลัวการบำเพ็ญธรรมกลัวการที่เรานั้นจะต้องรับความยากลำบาก เหมือนกับการถูกลับมีด
มีดที่ถูกลับไปนั้น ย่อมไม่สามารถที่จะเงาได้ ย่อมไม่สามารถที่จะคมได้
และไม่สามารถที่จะใช้งานได้
“เพียงศิษย์เชื่อร้ายอาจกลับดีขึ้นได้” เชื่อในที่นี้คือ
เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในผู้อื่น ไว้วางใจผู้อื่น
(พระอาจารย์เมตตา
ประทานผลไม้ให้กับผู้ปฏิบัติงานธรรมของจังหวัดนครศรีธรรมราช)
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมฆครึ้มที่อยู่ในใจของทุกคนนั้นได้คลี่คลายให้พระอาทิตย์ได้ลอดแสงออกมา บาดหมางใจอะไรกันไว้
เคยคิดอะไรกันก็ตัดทิ้งให้หมด อันที่ผ่านมาดีขึ้นแล้ว ขอให้ดีขึ้นอีก ที่จริงแล้วศิษย์อาจารย์ดูแล้วเป็นคนที่แข็งๆ
ทั้งนั้นเลย ขอให้ในยามที่คนหนึ่งเป็นหินอีกคนจงเป็นน้ำ
อีกคนเป็นไฟอีกคนต้องเป็นน้ำ อีกคนเป็นฟ้าผ่าอีกคนเป็นสายลม
เพราะว่าธรรมชาติแม้ว่าจะมีสองสิ่งที่ขัดกันดังเช่นน้ำกับไฟ แต่เสมอๆ
น้ำกับไฟอยู่กันได้ ขอให้ศิษย์เป็นอย่างนั้น แต่จงอยู่ด้วยกันอย่างศานติ ขอให้ไว้ใจผู้อื่นเท่าๆ กัน
ทุกคนนั้นต่างเป็นคนดี เวลามองให้มองข้อดีของเขา
สายตาของเรานั้นถ้ามองเห็นของดีของเขาจึงเป็นสายตาของพุทธะ บำเพ็ญธรรมอย่าท้อถอย อย่าเปลี่ยนใจ
เข็มแข็งไว้
(พระอาจารย์เมตตา
เชิญอาจารย์บรรยายธรรมที่รับผิดชอบอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช)
พวกศิษย์อยู่ด้วยกันทุกๆ วัน จริงๆ แล้วก็น่าสงสาร
แต่คนที่รับผิดชอบที่นี่น่าสงสารกว่า เพราะว่าเขาอาจทำตัวไม่ถูกได้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นทำให้เขาสบายใจไว้จะได้มีกำลังใจมาอยู่กับพวกศิษย์
ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ
อาจารย์มาคราวนี้ก็หวังอย่างยิ่งว่าจะได้พบพุทธะที่กลับคืนเบื้องบนนั้นมากขึ้นๆ
สองวันนี้มาอยู่ที่นี่ อาจมีความไม่สะดวก เพราะว่าคนมาก
แต่ศิษย์รู้ไหมว่าในโลกนี้ก็มีความแออัดยัดเยียดกันอย่างนี้
แต่เบื้องบนเป็นแดนที่ว่างจนไม่มีใครเลย น่าประหลาดใจหรือเปล่าที่พุทธะบนแดนฟ้า
เทวดานางฟ้าหายไปหมด
แต่แดนโลกมนุษย์กับแดนนรกนั้นแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
เพราะว่าคนสมัยนี้ทำความชั่วไม่กลัวตกนรก แย่งกันทำมาหากิน ไม่ลืมหูลืมตาเพราะพวกเขานั้นยังไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญธรรมไปทำไม ศิษย์ของอาจารย์ในที่นี้ทุกๆ
นั้นถือว่าเป็นคนที่มีบุญมาก่อน ทุกๆ
คนเป็นคนมีบุญแล้วจะตัดรากบุญของตนเองทิ้งหรือ ตนเองหน้าอย่างนี้หรือคนมีบุญ
หน้าอย่างศิษย์นี้แหละคนมีบุญ เพราะฉะนั้น
จงไปอยู่ที่โล่งๆ ที่เบื้องบน
อย่างบนนิพพาน บนสวรรค์
การขึ้นไปสู่เบื้องบนด้วยการบำเพ็ญนั้น อย่าได้กลัวความยากลำบาก
หรือความทุกข์ แม้ว่าเวลาบำเพ็ญธรรม
อาจจะมีความทุกข์มากกว่าชาวบ้าน มากกว่าคนอื่น
แต่ว่าเป็นความทุกข์ที่ขอเพียงครั้งเดียว หากว่าในกาลข้างหน้าศิษย์ไม่ต้องการกลับลงมาเกิดอีก
ก็จะไม่มีพุทธะองค์ไหนให้ศิษย์ลงมาเกิด
แต่ว่าชาตินี้ต้องบำเพ็ญให้จริงจัง หนักแน่นมั่นคง เชื่อมั่น
ไม่ใช่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
รู้บ้างไม่รู้บ้าง แล้วก็บอกว่าเรารู้
อย่างนี้นั้นมันไม่ได้
ใครที่อายุมากแล้วขอให้หมั่นเพียรพยายามบำเพ็ญเพียรให้ดีๆ
บำเพ็ญให้ว่องไวให้แข็งแรง กายเรานั้นไม่แข็งแรง แต่ใจเรานั้นต้องแข็งแรงกว่า
ดีไหม เพราะพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดจากใจเรานั้น ใจดีไม่ดีนั้นเรารู้
หลอกใครก็หลอกได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้
หัวหน้าชั้นไม่ง่ายที่จะเป็นผู้นำของคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญเพราะเราถูกเลือกมาแล้ว
เรานั้นยอดเยี่ยมที่สุด ต้องไม่ลืมนะ หลังจากวันนี้ ให้ศึกษามากๆ บำเพ็ญดีๆ
นะ
จากกันวันนี้ เมื่อไหร่จะได้พบกันอีก
อาจารย์ควรจะถามศิษย์ที่เป็นนักเรียนที่นั่งอยู่ที่นี่ มากกว่าใช่ไหม มนุษย์นั้น เมื่อตายไป ส่วนใหญ่ไม่พ้นที่จะลงนรกไป เพราะว่า ไม่เคยทำความดีอย่างจริงๆ จังๆ
นับขึ้นมาไม่ได้แม้แค่กอบกำมือเดียว แต่ความชั่วนั้นมากมายมหึมา
เหมือนกับภูเขาเลากา แล้ววันนี้นั้น อาจารย์ให้ทางที่ดีกว่า
ช่วยศิษย์ขึ้นมาจากนรกแล้ว
ขอศิษย์ว่าอย่ากระโจนกลับลงไปอีก เบื้องบนนิพพานนั้น
แทบจะไม่มีพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนอยู่แล้ว
เพราะว่าลงมาช่วยศิษย์อาจารย์หมด
อาจารย์จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือทั้งหลายจะไม่หลงงมงายไปกับโลกนี้ หลงในสิ่งที่สวยงามแล้วมองเห็นว่ามันนั้นจริงๆ จังๆ
งามเหลือเกิน ร่างกายอันงดงามนี้ ที่ศิษย์เฝ้าประโลมรักษา ในที่สุดแล้ว
มันก็เน่า มันก็เฉา แก่ไป
สุดท้ายไม่พ้นกลับลงดินไป โดนไฟเผาทิ้งไป
ร่างกายอันนี้ยังอยู่ไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่) คนที่มีอายุมากๆ
ที่ต้องระวังอย่างที่อาจารย์บอกไป
ร่างกายเราไม่แข็งแรงจิตใจเราต้องแข็งแรง วิ่งให้ทัน วิ่งให้เร็ว
ยิ่งกว่าคนที่หนุ่มๆ สาวๆ ขอให้ทุกคนนั้นสามัคคี กลมเกลียวกัน
ขอให้อยู่ด้วยกันด้วยความรัก
มองเห็นในสิ่งดีของผู้อื่นนะ ขอให้วันหน้าเราได้เจอกันอีกนะศิษย์ทั้งหลาย
ลาก่อน
[๑] ชะรอย เห็นจะ,
เห็นทีจะ, ท่าจะ, บางที
[๒] มนสิการ การกำหนดไว้ในใจ
[๓] วัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิดในโลก
[๔] เวลาสาม อดีต ปัจจุบัน
อนาคต
[๕] มัชฌิมา กลาง