วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2538

2538-08-05 พุทธสถานอิ๋งเต๋อ จ.นครสวรรค์



PDF 2538-08-05-อิ๋งเต๋อ #9.pdf


#สัปปุริสธรรม  #ศรัทธา


วันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานอิ๋งเต๋อ จ.นครสวรรค์

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ทะเลทุกข์เสมอด้วยความทุกข์ยาก จิตลำบากดั่งหุบเหวที่มิสุด

แต่บัดนี้ได้ชี้ธรรมอันพิสุทธิ์ จงเร่งหยุดกิเลสร้อยที่หลงไป

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

วาดวงกลมวัฏฏะนี้ลงที่ใด น้องตั้งใจพินิจดูรู้จริงหนา

อันอัตตาแห่งตนปนชีวา ตรวจดูค่าอันแท้จริงชาตินี้ดู

บาปเคียงคู่บุญหลอนท่านยึดติด ดวงชีวิตจึงอับเฉาไร้จุดหมาย

เร่งบำเพ็ญในนอกพร้อมใจกาย ยังมิสายหากไปเริ่มลงมือ

คะนึงสามให้รู้ตรวจตราจิต ย้อนมองตนที่ผิดถูกจึงมิเขลา

อันตัวเราปราชญ์แท้มิดูเบา มิมัวเมาตรากตรำจิตอีกต่อไป

เป็นผู้คนแดนดินตะวันออก คิดจะไปตะวันตกมิใช่เรื่องใหญ่

เพียงละลายกังขาแลเดินไป ผู้จริงใจย่อมไปถึงมินานเกิน

ขณะนี้ชีพยังอยู่ตรองให้ดี เมตตามีเวไนยอีกมากหลาย

ยุคขาวแล้วโปรดผู้มีบุญแผ้วพรรณราย มิเสียดายด้วยหนักแน่นจะก้าวเดิน

อันพระธรรมไร้รูปให้เห็นได้ เกิดรูปลักษณ์จึงวุ่นวายมิสิ้นสุด

ตรองจิตตนคือพุทธะแสวงจุด อย่าได้หาพระวิมุตตินอกกายปลอม

ประชุมธรรมสามโลกสะเทือนลั่น กัมปนาทฟาดฟันผู้หลับใหล

เพื่อตนเองตื่นรู้ญาณภายใน แลได้ไปช่วยบรรพชนที่รอคอย

อันระเบียบที่เคร่งครัดแห่งธรรมสถาน เพื่อจัดการดั่งกฎหมายอันยิ่งใหญ่

ด้วยเหตุผลทุกคนอย่าเผลอไป แลเข้าใจตั้งใจฟังซึ้งธรรมา

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่คุมมิห่างไกล

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทท่านจินถง อวี้หนวี่

มวลบุปผาบานแข่งกันกลีบสีสด เหลือบเห็นมดขยันทำงานแข่งแสงฉาย

ศีตคันธ์ลมโชยแผ่วมาทักทาย โอบล้อมใจทุกทุกดวงให้สุขจริง

เราทั้งสองคือ

จินถง อวี้หนวี่ ร่วมรับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทั้งชายหญิงฟังธรรมะเข้าใจหรือเปล่า

ยิ้มเบิกบานแม้แสงอาทิตย์ร้อน ฟ้าอาทรลมไหวให้พัดผ่าน

มวลพฤกษาโบกพลิ้วดูชื่นบาน ต่างขับขานบรรเลงเพลงเสียงกำจาย

ภุมรินโผผินถิ่นดอกไม้ จากดอกใหญ่ไปดอกเล็กเตือนใจหมาย

ในโลกนี้มีเรื่องราวอีกมากมาย สุขวันนี้โศกวันไหนใครรู้ทัน

ทุกชีวิตมีคุณค่าควรนึกถึง ว่าวันหนึ่งสิ้นเวลามีค่าไหม

ฟ้าบรรเจิดด้วยเมตตาปวงเวไนย เป็นสิ่งคอยเตือนให้ใจยั้งคำนึง

อย่าปล่อยให้บ่วงอารมณ์ที่ตนก่อ เกิดผลิหน่อยากลำบากในภายหลัง

ยิ่งฝังรากเติบใหญ่ให้ทุกข์ประดัง จิตหน้าหลังหวังแก้ลำบากใจ

ชีวิตนั้นผกผันตามสถานะ บ้างยอมละบ้างเข้มแข็งตึงผ่อนได้

ประคองจิตเฉกศิศุภาพเกษมฤทัย ดีหรือร้ายมิเก็บไว้ให้อาดูร

บำเพ็ญธรรมบำรุงพุทธจิต สถิตเที่ยงสงบแท้กลางสถาน

คุ้มเรือนกายประคองใจทุกทุกยาม เปรียบเพชรงามยิ่งเหลี่ยมยิ่งสว่างไสว

ฮิ ฮิ หยุด







ประชุมงานพุทธา พรมน้ำทิพย์โปรย น้ำทิพย์โปรย น้ำทิพย์โปรย ประชุมงานพุทธา พรมน้ำทิพย์โปรย ฟื้นญาณเดิม

สนุกสุขก็จงมา ยิ้มให้กัน ยิ้มให้กัน ยิ้มให้กัน สนุกสุขก็จงมายิ้มให้กัน สำราญใจ

เบิกบานเราก็จงมา ทักทักกัน ทักทักกัน ทักทักกัน เบิกบานเราก็จงมา ทักทักกัน สานไมตรี

หากใครเมื่อยก็มา เราจะทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบตุ๊บตุ๊บ หากใครเมื่อยก็มา เราจะทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบคลายปวด

อ้าว เวลาก็เดินมา ติ๊กติ๊กติ๊ก ติ๊กติ๊กติ๊ก ติ๊กติ๊กติ๊ก อ้าว เวลาก็เดินมา ติ๊กติ๊กติ๊ก พบกันใหม่

เพลง : บทเพลงแห่งความสุข

ทำนองเพลง : THE WHEEL OF THE BUS




พระโอวาทท่านจินถง อวี้หนวี่

ท่านอวี้หนวี่ : ทุกๆ ท่านเป็นคนที่จะต้องรับฟังธรรมะเอง อาจารย์บรรยายธรรมแต่ละท่านเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดให้ อยู่ที่พวกท่านจะรับเอามาหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) ถ้ารับเอามาก็ต้องเก็บเข้าแฟ้มให้เป็น อันไหนดีเราก็เก็บไว้ อันไหนมีประโยชน์เราก็นำไปใช้ ใช่ไหม

ทุกคนลองกำมือตัวเองดู แล้วลองสั่งให้มือแบ กำมือแล้วแบมือออก ทำง่ายหรือเปล่า (ง่าย) แต่ถ้าบอกให้ทุกคนลองหุบใจดู ทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) กางใจได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมทำไม่ได้ ในเมื่อทุกคนสั่งให้กำมือแบมือ ยังทำได้ แล้วทำไมสั่งใจเราไม่ได้ เพราะอะไร เพราะหาใจไม่เจอ ไม่รู้ว่าใจเราอยู่ไหน ไม่เหมือนมือที่มองเห็น สามารถให้หุบได้แบได้ ลองพิจารณาดูให้ดีๆ ทุกคนต่างก็มีปัญญาแห่งพุทธะ แต่อยู่ที่การรับฟังและการที่เปิดรับเอาเข้ามา ถ้าใจปิดแม้หลายคนพยายามส่งให้ เราก็ไม่รับเพราะใจเราปิดอยู่ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเองยังดูใจตัวเราเองไม่ได้ แล้วจะให้ใครมาดูใจตัวเราให้ว่าตอนนี้เรากำลังสงสัยไม่แน่ใจ หรือว่าต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาชี้แนะแบบนี้ ทุกคนถึงจะได้รับ เปิดใจ ปิดใจ ให้ใครชี้ (ตัวเราเอง) เมื่อเวลาหิวตัวเรายังรู้ว่าตอนนี้ต้องการกินข้าว ในอนาคตพวกเราจะต้องรู้ว่าจะทำอะไรแล้ว รู้ไหม (รู้) ใจยังสงสัยอยู่ เราก็ต้องเปิดใจวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องไหม สิ่งที่เรากำลังทำอยู่หลอกลวงทุกท่านหรือเปล่า เหมือนเราจะเดินเข้าซอย ถ้าปิดประตูซอยนี้แล้วเข้าไปไม่ได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าซอยนี้เป็นอย่างไร ใครก็บอกว่าในซอยนี้มีขุมทรัพย์มหาศาล ถ้าเราไม่เข้าไปดู เราจะรู้ไหม (ไม่รู้)

ท่านจินถง : ในเวลาปกติใจของมนุษย์เปรียบเหมือนทีวี เวลาเปลี่ยนช่องก็กดแช็กๆ ใจคนเดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ แล้วควรทำใจเหมือนอะไร (ใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร (มีเมตตา) เราควรทำใจเหมือนอะไร (เด็ก) แหงนมองขึ้นไปเห็นอะไร (ฟ้า) ใจแบบฟ้านี้ดีไหม ฟ้าเป็นอย่างไร (กว้าง) เวลามนุษย์ทำไม่ดีฟ้าตะโกนบอกว่าท่านทำไม่ดีหรือเปล่า ทำใจแบบฟ้ายากไหม ปกติใจของทุกๆ ท่านก็เป็นใจฟ้าอยู่แล้ว แต่ใจฟ้านี้ต้องให้อยู่เป็นฝ่ายกลาง คือดำรงความเที่ยง ใจฟ้าคือรู้จักเมตตา ท่านคิดว่าใจฟ้าเป็นอย่างไร (จิตใจกว้างขวาง สดใส โอบอ้อมอารี ใจดี) ถ้าไม่มีฟ้าพวกท่านจะมีข้าวกินไหม มีผู้บอกว่าผู้บำเพ็ญธรรมดื่มน้ำต้องระลึกถึงต้นธาร ท่านเคยคิดไหมว่าทุกท่านเกิดมาหนึ่งชีวิตก็มีต้นธารเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์เกิดมาก็ต้องมีต้นสาย (คิด)

ชีวิตนี้บางคนเกิดมาก็มีอายุถึงร้อยปี ร้อยปีนี้เป็นช่วงสั้น คนเราเวียนว่ายมานานแค่ไหนแล้ว (หกหมื่นปี) หากท่านสละเวลาที่เหลือในชีวิตนี้ ถ้าตอนเย็นว่างก็มาไหว้พระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็รับรู้ได้เสมอว่าท่านมาห้องพระบ่อยๆ เมื่อมาห้องพระบ่อยๆ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดีไหม (ดี) แต่ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของท่านว่ามีมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่ามาห้องพระแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองร้อยเปอร์เซ็นต์

ห้องพระที่นี่เพิ่งเปิดใหม่ ทุกคนต้องสามัคคีกัน หากพี่ล้มน้องจูง หากน้องทำไม่ถูก พี่ก็ช่วยเตือน

ท่านอวี้หนวี่ : “ยิ้มเบิกบานแม้แสงอาทิตย์ร้อน ฟ้าอาทรลมไหวให้พัดผ่าน

มวลพฤกษาโบกพลิ้วดูชื่นบาน ต่างขับขานบรรเลงเพลงเสียงกำจาย”

หมายถึง แม้ว่าเราจะร้อนระอุภายใน แต่ฟ้าก็ประทานลมเย็นๆ มาให้เรา เหมือนต้นไม้ สักพักก็โบกพลิ้วไปมา จริงๆ แล้วถ้าทุกคนจิตสงบ ตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วมองธรรมชาติที่โบกพลิ้วไปตามสายลม นั่นคือดนตรีชนิดหนึ่งที่ต้องใช้หูฟัง เป็นดนตรีที่เกิดจากธรรมชาติที่น่าฟังและน่ารื่นรมย์สดชื่น มนุษย์นั้นบางครั้งเกิดความวุ่นวาย เหมือนคนที่อยู่ในเมืองแล้วเห็นแต่ตึกรามบ้านช่อง บางครั้งอยากจะหลบหนีไปหาธรรมชาติ ไปมองความสวยงามจากภูเขา ลำน้ำ จริงๆ แล้วทุกคนก็ชอบความเป็นธรรมชาติใช่ไหม (ใช่) แต่บางครั้งก็ขอให้ได้ตกแต่ง ขอให้ได้เพิ่มเติมนิดหน่อยก็ยังดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนกับว่าเราเป็นผีเสื้อน้อยๆ ที่กำลังหาเกสรจากดอกไม้ดอกหนึ่ง เราไม่รู้หรอกว่าดอกที่เรากำลังหาอยู่นั้น เป็นดอกที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ดอกไม้ทุกๆ ดอก แต่เราก็ยังมองออกไปว่าตรงนั้นก็มี ตรงนี้ก็มี แต่บางทีเพราะความต้องการและความอยากของเรา ทำให้เราหวังไปหาดอกอื่นข้างหน้า แล้วเราก็มานั่งเสียใจภายหลังว่าดอกที่แล้วยังสวยกว่า หอมหวานกว่าและใหญ่กว่าอีก มีบ้างไหม (มี) เหมือนอย่างที่บอกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเราไม่เห็นคุณค่า แต่เมื่อเขาจากเราไป เราจึงเห็นคุณค่า

“ทุกชีวิตมีคุณค่าควรนึกถึง ว่าวันหนึ่งสิ้นเวลามีค่าไหม

ฟ้าบรรเจิดด้วยเมตตาปวงเวไนย เป็นสิ่งคอยเตือนให้ใจยั้งคำนึง”

คุณค่าชีวิตของทุกคนอยู่ที่ความดี แล้วคนที่ไม่ทำความดีเขามีคุณค่าไหม (ไม่มี) แต่เราว่ามี เพราะถ้าไม่มีคนไม่ดีแล้วจะมีคนดีเกิดขึ้นไหม (ไม่มี)

ทุกคนแบ่งเอาเองว่าเราดี เขาไม่ดี ฉะนั้นคุณค่าของชีวิตต้องอยู่ที่ว่าเรามีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิตหรือเปล่า แล้วจุดมุ่งหมายที่เรากำลังเลือกอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ต่อหมู่ชน ต่อสถาบัน ต่อคนที่แวดล้อมหรือเปล่า ถ้าเราทำแล้วไม่กระทบกระเทือนใคร ไม่ทำร้ายใคร สิ่งที่เราทำนั้นเป็นคุณค่าของใคร (ตัวเราเอง) ใครทำดีก็ไม่เท่าตัวเองตั้งอยู่ในความชอบ หวังทำแต่สิ่งที่ดี เมื่อเกิดฟ้าผ่า ฟ้าลั่น ทุกคนก็ยังสามารถหลบหลีกได้ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนเผลอไปทำสิ่งไม่ดีแล้ว เราจะหลบหลีกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะขนาดแค่ใจของเราเอง เรายังกลัวคนรู้ กลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาจับเราไหม สักวันหนึ่งจะมีคนรู้ไหมว่าเรากำลังทำผิด แค่เราทำผิดนิดหนึ่งตัวเราเองก็กลัวแล้ว ฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องรู้หลักรู้ควร อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ต้องรู้ในหลักสัปปุริสธรรม ๗ คือ ๑. รู้หลักหรือรู้จักเหตุ ๒. รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล ๓. รู้จักตน ๔. รู้จักประมาณ ๕. รู้จักกาล ๖. รู้จักชุมชน ๗. รู้จักบุคคล

วันนี้เราทั้งสองมาเพื่อเล่นละครให้ใครดูหรือเปล่า มาหลอกลวงและทำสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า (ไม่ใช่) เราไม่ได้หลอกลวงใช่ไหม เราเหมือนเอาทีวีมาให้ท่านดูจอหนึ่ง รายการนี้มีคุณค่าและมีสาระ อยู่ที่ว่าท่านจะนำคุณค่าและสาระนี้ออกไปใช้ประโยชน์หรือเปล่า ธรรมะพูดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด พร้อมที่จะเปิดใจเข้าไปศึกษา อย่าเพิ่งดูถูกตัวเอง เพราะตัวเองก็เป็นพุทธะน้อยๆ หรือพุทธะที่อาวุโสได้ อยู่ที่ว่าทุกท่านจะเข้าใจในสิ่งที่เราทำหรือไม่

ท่านจินถง : จากกลอนนำ มวลบุปผาคืออะไร (ดอกไม้) ดอกไม้มีอายุยืนไหม ชีวิตของพวกท่านเหมือนดอกไม้ซึ่งบานเพียงชั่วครู่ก็อาจจะเหี่ยวเฉาลงไปได้ ดอกไม้ที่สีสดๆ บานแข่งกันก็เหมือนกับชีวิตหนึ่งซึ่งหาเงินทองลาภยศ เพราะว่าดอกไม้บานแข่งกัน ชีวิตคนเหมือนดอกไม้ตรงที่ต้องแข่งกันทุกวันๆ เพื่อที่จะให้สีดอกไม้ของตนเองนั้นสวยสดกว่าใครใช่ไหม (ใช่) ท่านคิดว่าท่านเป็นดอกไม้ที่อยากจะให้ตัวเองสีสดใสอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วท่านคิดว่าดีไหม (ดี) ดีหรือ เมื่อสักครู่นี้เพิ่งจะฟังสัจธรรมแห่งชีวิต บอกว่าอเล็กซานเดอร์ตายแล้วไปมือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) แล้วลาภยศเงินทองนำติดตัวไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วท่านอยากจะให้ตัวเองแข่งกับผู้อื่น เป็นดอกไม้ที่สวยสดที่สุด อย่างนี้ท่านคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรือเปล่า (ไม่) ชีวิตคนเราเมื่อผิดพลาดไปแล้วจะนำกลับมาแก้ไขใหม่ไม่ได้ เมื่อนั้นคิดจะมาสร้างมาทำก็ช้าไปใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ในวันนี้ พิจารณาว่าวันนี้เราทำอะไรให้เป็นประโยชน์หรือเปล่า อย่าคิดว่าหน้าที่ของตัวเองนิดๆ หน่อยๆ เป็นคนทำครัว เราก็รู้ว่าการทำครัวให้อร่อยที่สุดนั้นอยู่ตรงไหน เป็นลูกเราจะกตัญญูอย่างไร เป็นมนุษย์ต้องรู้ว่าจะเมตตาอย่างไร ท่านคิดว่าหน้าที่พวกนี้พึงกระทำไหม (พึงกระทำ)

“เหลือบเห็นมดทำงานแข่งแสงฉาย” ถ้าเราเป็นดอกไม้ บังเอิญเหลือบไปเห็นมดทำงานแข่งกับเวลา เราต้องรู้ว่าชีวิตเราไม่ยืนยาว ตอนนี้เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมะ ต้องมีความเมตตา ต้องขัดเกลาจิตตัวเอง ถ้าหากว่าวันนี้เราผลัดไปเหมือนดินพอกหางหมู ผัดวันประกันพรุ่ง ท่านคิดว่าท่านจะเริ่มบำเพ็ญได้วันไหน

“ศีตคันธ์ลมโชยแผ่วมาทักทาย” ศีตคันธ์แปลว่ากลิ่นหอมเย็น กลิ่นหอมเย็นนี้โชยแผ่วมา ตอนนี้ถึงวาระที่พวกท่านซึ่งเป็นปุถุชนจะได้บำเพ็ญในครัวเรือน ท่านก็ควรจะตอบสนองด้วยอะไร เมื่อมีลมมากระทบกับดอกไม้ ดอกไม้ก็โอนไปโอนมา เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อท่านรับวิถีธรรมแล้ว เมื่อมาในสถานธรรมท่านก็เป็นดอกไม้ ท่านคิดว่าท่านจะสนองในวาระการบำเพ็ญในครัวเรือนได้อย่างไร (พาคนมารับธรรมะ ปฏิบัติธรรม สำรวจจิตตนเอง) การที่มีโอกาสรับรู้วิถีธรรมแล้ว สิ่งที่ทุกท่านต้องทำก็คือทำจิตใจตนให้กลับสู่ภาวะที่บริสุทธิ์ สะอาด การชวนคนมารับธรรมะเป็นเรื่องของความเมตตาซึ่งเกิดจากจิตของตัวเอง ผู้ที่ชวนคนมารับธรรมะแล้วต้องไปส่งเสริมเขาด้วย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะคิดว่าไม่มีสิ่งที่จริงอยู่ในธรรมะอันไร้รูปลักษณ์นี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) แล้วทุกท่านก็จะเป็นสุขจริงตามที่เราบอกไว้ เพราะเป็นสุขที่จีรังยั่งยืน แต่ถ้าจะสุขจริงๆ ต้องบำเพ็ญทั้งบ้าน การที่เราเป็นคนดี คนในบ้านเขาเห็นว่าเราเป็นคนดี เมื่อนั้นเขาก็จะเข้าใจว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาพูดกับนักเรียนในชั้นท่านหนึ่ง) เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเปล่า เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วจะไปบำเพ็ญกับภรรยาและลูกหรือเปล่า (ทุกวันนี้ก็บำเพ็ญอยู่แล้ว) การที่เราบำเพ็ญทั้งครอบครัวก็จะเกิดสุขจริงๆ นำครอบครัวไปบำเพ็ญดีไหม (ดี)

ประชุมงานพุทธะครั้งนี้มีน้ำทิพย์โปรย ธรรมะที่อาจารย์บรรยายธรรม บรรยายให้เราฟังนั้นก็เหมือนน้ำทิพย์ที่โปรยปราย เราก็ฟื้นญาณเดิม เมื่อเราสนุกสุขก็ยิ้ม เวลามีคนเข้ามาในห้องพระ เราก็ต้องยิ้มแย้มทักทายกัน ไมตรีจึงจะเกิดขึ้นได้ถูกไหม (ถูก) เราจะต้องสานไมตรีให้เกิดขึ้น แล้วก็ร่วมศึกษาธรรมะด้วยกัน สนทนาธรรมะให้เกิดประโยชน์ต่อจิตตัวเอง เข้าใจหรือเปล่า เมื่อฟังธรรมะแล้วเมื่อย เราก็จะทุบตุ๊บตุ๊บ การทุบนั้นก็เพื่อที่จะคลายปวดคลายเมื่อย เวลาก็เดินไปติ๊กติ๊กติ๊ก กายนี้ไม่ใช่ของเรา เราอยู่ได้ไม่นาน อยู่กับพวกท่านได้เพียงครู่เดียว แล้วเราก็บอกว่าพบกันใหม่ เข้าใจหรือเปล่า

เพลงนี้เราให้ชื่อว่า “บทเพลงแห่งความสุข” จริงๆ แล้วในโลกนี้ก็ไม่มีสุขไหนที่เป็นสุขจริง แต่เราก็สมมติว่าเป็นสิ่งที่มีความสุข ทำให้พวกท่านมีความเบิกบานในจิตใจขึ้นได้

อีกสักครู่เราทั้งสองจะไปแล้ว หากวันหน้าพวกท่านมาอีก ก็จะพบกับเราอีก คิดถึงพวกเราหรือเปล่า (คิดถึง) จริงหรือเปล่า (จริง) เราคิดถึงพวกท่านจริงๆ พวกท่านก็ต้องคิดถึงเราจริงๆ ด้วยนะ




------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลักสัปปุริสธรรม ๗ คือ ๑. รู้หลักหรือรู้จักเหตุ ๒. รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล ๓. รู้จักตน ๔. รู้จักประมาณ ๕. รู้จักกาล ๖. รู้จักชุมชน ๗. รู้จักบุคคล




วันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมตตาสถานเวไนยชนศิษย์รักข้า เปิดขึ้นมาใจนี้มั่นคงยิ่ง

ขอศิษย์รักร่วมแรงกันอย่าประวิง ทำสิ่งดีมิกลัวผลเหตุใดใด

เราคือ

พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน (อิ๋งเต๋อ) แฝงกายเคียมคัล

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยยากกันหรือเปล่า

หากน้อมนำอุดมธรรมแลรอบคอบ แบบทดสอบบ่งแท้มามิประหม่า

ศิษย์รักผ่านศรัทธาหนุนสนองบัญชา นิพัทธ์หล้าโปรดจริงแต่เพียงใจ

ฤทัยฟ้าเบื้องหลังแห่งสรรพสิ่งอาณา เมื่อภัยเกิดผ่องฟ้าอันตรธานหาย

จงสงบแลนิ่งทั้งใจกาย หาไม่เพลิงกลางฤทัยบังเกิดแทน

สักการะต่อพุทธะปรานีเลือกสรรดู บุปผาชูกลิ่งบัวกลางโคลนหนา

ยกช่อนั่นเครื่องบูชาควรพิจารณา ความงามเทียมแท้นิภาตรองฤทัย

ศูนย์ตากลางถ้ำโบราณเขาพุทธะ อาจารย์ชี้ให้ศิษย์รู้ทางเท่านั้น

ให้ไปเดินรู้เองแปรชีวัน แล้วตั้งมั่นไปบำเพ็ญทั้งครอบครัว

ฮา ฮา หยุด




ผงาดดังนก อิสระโผ เติบโตโดยเรียนรู้ ลู่ทางว่องไว ท่ามกลางทิวทัศน์งามตา ฝนหลั่งกลางฟ้าอุทัย บทบาทชีวิตก็เป็นฉะนี้

* แต่กับชีวิต แห่งจิตมนุษย์ เพิ่มความชำรุดทำลายจิตใจ ชีพคนเช่นนกหลงทาง ที่แตกตื่นหาทางไป คืบวาผันให้ยิ่งไกลเกินจริง

** นกที่ไร้รัง หันคืนทิศใด แผ่นฟ้าใส ไร้ทางคืนกลับ ศิษย์จงคิดดูดีดี บอกหนนี้คืนบ้านตน ฝ่าลมฝนจงเชื่อคำอาจารย์ (*, **)

เพลง : กลับบ้านเดิม

ทำนองเพลง : ไม่อยากให้เธอรู้

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์รักทุกคนเหนื่อยกันหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย) พอเห็นหน้าอาจารย์ก็บอกไม่เหนื่อย ศิษย์รักของอาจารย์น่ารักอย่างนี้ทุกคนใช่ไหม นั่งฟังธรรมะมาตั้งสองวันแล้ว เมื่อยกันหรือเปล่า เวลานั่งฟังธรรมะ ศิษย์ต้องรู้ว่าคนที่พูดให้ฟังไม่ใช่ว่าเขาจะมีความสามารถมากกว่าเรามากมาย สิ่งที่เขาพูดล้วนเกิดจากการศึกษาธรรมะทั้งสิ้น ศิษย์คิดว่าการศึกษาธรรมะเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า ศึกษาธรรมะเพื่อให้จิตของศิษย์ได้รับการขัดเกลากลับสู่ความสว่างไสว สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (อิ๋งเต๋อ) อิ๋งเต๋อแปลว่าสว่างดังหยก ห้องพระที่นี่มีชื่อแล้ว คนที่อยู่นครสวรรค์ทุกคนก็ต้องรู้ว่าเมื่อได้รับชื่อสถานธรรมแล้ว เราควรที่จะมาสถานธรรมบ่อยๆ และทำตัวเองให้เหมือนชื่อสถานธรรมนี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)

“อุดมธรรมแลรอบคอบ” ศิษย์เข้าใจว่าอย่างไร (การปฏิบัติธรรมที่รอบคอบ) การปฏิบัติธรรมอย่างรอบคอบต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้างจึงจะเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ การบำเพ็ญธรรมให้รอบคอบต้องประกอบไปด้วยสติ พระพุทธะกล่าวว่าปุถุชนกลัวอะไร (กลัวผล) พระพุทธะกลัวเหตุ ถ้าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้จักที่จะกลัวเหตุซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดผล ศิษย์ก็จะเป็นพุทธะได้ ความรอบคอบคือตั้งสติไว้ตลอดเวลา ถ้าศิษย์ของอาจารย์มีสติ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดๆ ก็จะไม่กลัว เพราะเราได้ตัดสินใจลงไปแล้วใช่ไหม (ใช่) การตัดสินใจนั้นจะต้องรู้ว่าได้ตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือเปล่า หรือว่าตัดสินใจผิดๆ ไปแล้วก็ยังจะทำ แต่การตัดสินใจต้องออกมาจากความเที่ยงของจิต เข้าใจหรือเปล่า

เมื่อวานนี้ท่านจินถง อวี้หนวี่มา ทุกคนเกิดความสนุกสนานหรือเปล่า (สนุก) การที่จะเกิดความสนุกสนานในจิตได้ จิตของเราต้องรู้จักเบิกบานเสียก่อน จิตที่เบิกบานคือจิตที่ไม่ขุ่นมัว แล้วจิตของศิษย์ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ขุ่นมัวหรือเปล่า ถ้าจิตไม่ขุ่นมัวแล้ว ศิษย์ของอาจารย์ก็เข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง ทำการใดๆ ก็ไม่กลัวพลาด ใช้ชีวิตอยู่ให้เกิดคุณธรรม ศิษย์ทำได้หรือไม่ เพื่อชีวิตนี้และเพื่อความสุขสดใสแห่งจิต ทุกๆ วันจะต้องรู้จักล้าง รู้จักเช็ด รู้จักปัด แล้วศิษย์ของอาจารย์ปัดเช็ดจิตนี้ทุกวันหรือเปล่า ฝุ่นในจิตมีหนาไหม (หนา) เป็นเพราะว่าเกิดมาแล้วตายไป วนอยู่อย่างนี้หลายภพหลายชาติ ถ้าหากวันนี้เข้าใจธรรมะแล้วก็ควรเริ่มต้นบำเพ็ญ รู้จักว่าจะขัดเกลาจิตอย่างไร การอยู่ร่วมกันก็จะมีความสุขอย่างยิ่ง ดูๆ แล้วศิษย์ทุกคนก็มีความศรัทธาอันมั่นคงยิ่ง ถ้าหากว่ารู้ที่จะนำไปสู่ทางที่ดี ไม่ลังเลสงสัย ไม่เดินครึ่งทาง ชีวิตนี้ก็เกิดความสงบสุขในการบำเพ็ญธรรมะ ส่วนการจะเกิดโชคลาภวาสนาได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อก่อนนี้ศิษย์เคยทำไว้หรือเปล่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไต่ถามใดๆ ถ้าหากคิดว่าลองสิ่งใดแล้วจะรู้ นั่นไม่ใช่ธรรม การศึกษาธรรมะก็เพื่อที่จะดำรงอยู่ได้และหลุดพ้นกลับไปได้ อาจารย์ไม่ได้มาเพื่อที่จะบอกว่าสิ่งนั้นทำให้ศิษย์เจริญรุ่งเรือง สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ตกอับลงไปได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

อาจารย์เปรียบชีวิตของคนว่าเป็นเหมือนนกที่มีบทบาทที่จะเติบโตเรียนรู้ ชีวิตของศิษย์มีเพียงแค่หากินอยู่วันหนึ่งๆ แค่นี้หรือเปล่า เหมือนกับว่าอยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อเช้าค่ำผ่านไป ค่ำมีฝนตก เช้าผ่านมาออกไปหากินใหม่ บทบาทของชีวิตมนุษย์ทุกๆ วันก็เป็นอย่างนี้ การดำรงเมตตาฉุดช่วยโปรดคนให้เกิดความสว่างไสว ให้เวไนยสัตว์เกิดความรู้แจ้งเร็วขึ้นจะดีไหม (ดี) แต่ว่าท่ามกลางการแก่งแย่งทำมาหากิน ศิษย์เกิดการทำลายและทำร้ายจิตใจ ทำลายไปเรื่อยๆ หนึ่งชาติผ่านไป ทำลายไปส่วนหนึ่ง สิบชาติผ่านไป ทำลายไปสิบส่วน บางคนเกิดมาชาตินี้เป็นมนุษย์ แต่ว่าชาติที่แล้วหรือชาติก่อน หรือบรรพชนเราจะไปเกิดเป็นอะไรไม่มีใครรู้ได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์เร่งบำเพ็ญเพื่อตัวศิษย์เอง เพราะว่าความสุขนั้นไม่อาจจีรังอยู่กับศิษย์ได้ตลอดไป วันนี้เหมือนกับนกที่บินหลงทางไป ถ้าเกิดว่ายิ่งแตกตื่น รุ่มร้อน เพื่อที่จะหาวิถีสัจธรรม ศิษย์อาจจะเจอ แต่ว่าศิษย์ยังเดินไม่ตรงทาง อาจารย์ไม่ได้บอกว่าทุกๆ อย่างที่ศิษย์หามาไม่เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าค่อยๆ เดินกลับเข้ามาให้จิตใจเราเที่ยงตรงขึ้น ไม่เกิดความลังเลสงสัยอยู่ในใจ

เมื่อวานนี้เซียนเด็กได้บอกว่าใจฟ้านั้นเป็นอย่างไร (กว้าง) แล้วกลับไปนอนมาหนึ่งตื่นแล้ว ใจฟ้าเริ่มกว้างขึ้นหรือยัง หัวหน้าชั้นใจฟ้าเริ่มหรือยัง (เริ่มแล้ว วันนี้รู้สึกคล่องกว่าเมื่อวาน) หัวหน้าชั้นผู้หญิง (เริ่มจะศึกษา) แล้วคนอื่นล่ะ (รู้สึกสบายใจ, กว้างเหมือนฟ้า, สดใสกว่าเมื่อวาน, เข้าใจมากยิ่งขึ้น) อาจารย์หวังว่าฟังธรรมะแล้ว ศิษย์รักของอาจารย์จะเข้าใจธรรมะมากยิ่งขึ้น เพราะว่าฟังไปมากเท่าไหร่ ถ้าไม่เข้าใจ ศิษย์รักของอาจารย์ฟังไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) คนในโลกมนุษย์นี้ชอบฟังอะไรไม่ชัดเจน ฟังหนึ่งไม่รู้ถึงสิบ ฟังหนึ่งรู้ครึ่งเดียว แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็เกิดจากการพูดต่อๆ กันไป ใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์คิดว่ารู้ในสิ่งดี พูดในสิ่งดี เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าหากว่าอย่างนี้แล้ว รู้สิ่งดี พูดสิ่งดี ทำได้หรือเปล่า แต่หากรู้ในสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเปลี่ยนใจตัวเองเป็นเตา แล้วก็หย่อนมันลงไปและเผาให้หมดใช่ไหม (ใช่) ถ้ารู้ในสิ่งดีก็เก็บไว้เชิดชู ทำได้หรือเปล่า (ทำได้)

คนส่วนมากเมื่ออยู่ในสถานที่ใหม่ๆ และผู้คนยิ่งมากเท่าใด เรื่องราวก็ยิ่งสืบทอดกันได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นหนึ่งคนดี สองคนดี สิบคนดี ร้อยคนดี ทุกๆ อย่างก็จะเกิดสิ่งที่ดีขึ้นใช่ไหม (ใช่) แต่ว่าการกระทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพียงวันสองวันก็สามารถทำได้ ขอให้ศิษย์หมั่นพยายามเข้า ดูธรรมะก็ดูที่คน เพราะว่าธรรมะไม่มีรูปลักษณ์ อยู่ที่ว่าคนนั้นจะทำในสิ่งที่ดีได้มากแค่ไหน ถ้าหากว่าเราจะนำพาคนอื่นๆ ตัวเราเองก็ต้องรู้ที่จะขัดเกลาตัวเองเสียก่อนจึงจะนำผู้อื่นได้ ถ้าหากว่าเราเป็นผู้นำ แล้วเราเองทำไม่ได้ ผู้ที่มองเราอยู่เกิดหมดความศรัทธา ศิษย์รักจะแก้ปัญหานี้อย่างไร (ทำตัวให้ดี ให้เขาเกิดความศรัทธาขึ้นมาใหม่) แล้วถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร (มีความอดทน) แล้วศิษย์รักจะอดทนได้จริงๆ หรือเปล่า สถานธรรมก็อยู่ข้างๆ ที่นี่ก็เป็นของเรา ต่อไปนี้ถ้าเข้าใจธรรมะก็ต้องช่วยคนที่นี่ใช่ไหม (จะพยายามช่วย)

(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าพายเรือ) ให้พายไปถึงเขาผิงซันที่อาจารย์อยู่ พายถึงแล้วหรือ ถ้าศิษย์ถึงแล้วต่อไปนี้คงไม่ต้องมาเกิดอีก แล้วจะเสียดายหรือเปล่า ไม่ต้องมาเกิดนี้แสนสุขสบาย แต่เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องมีหน้าที่ที่ลำบากอยู่ดี เพราะฉะนั้นกลัวความลำบากหรือเปล่า (ไม่กลัว) เวลาเดินไปบนทางที่มีอิฐหินกรวดทราย แล้วศิษย์รักของอาจารย์ไม่มีรองเท้าจะเจ็บไหม (เจ็บ) อย่างนี้ก็เป็นความลำบากชนิดหนึ่งที่อาจารย์ยกขึ้นมาให้ฟัง เป็นการสมมุต กลัวหรือเปล่า (ไม่กลัว) ฟังธรรมะแล้วเกิดข้อสงสัยจะทำอย่างไร (ถาม) ถามใคร (ถามพระอาจารย์) แล้วถ้าอาจารย์กลับไปแล้วจะทำอย่างไร ถามอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช่ไหม (ใช่)

กลอนบทแรกที่อาจารย์ให้ ถ้าเกิดว่ามีธรรมะที่อุดมแล้ว การที่เราจะอยู่ในความลำบากใดๆ ศิษย์ก็ไม่กลัว ถ้าเกิดว่าเมื่อนั้นศิษย์หายสงสัย เหลือแต่ความศรัทธา นิพัทธ์กล้าหมายถึงทั่วหล้า ทั่วแผ่นดิน ทั่วหล้าทั่วแผ่นดินนี้อาจารย์โปรดอย่างไร (ให้รู้จิตญาณเดิม) จริงๆ แล้วการโปรดของอาจารย์ไม่ได้โปรดทางกาย โปรดทางกายเช่นอะไร (ทรัพย์สินเงินทอง) อยากจะมีทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ยาก ศิษย์รักหาเองได้ มาวันเดียวจะได้มรรคผลหรือไม่ การมาวันเดียวยังไม่ได้ผลอะไร อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง สู้กับความจำเป็นของชีวิต ถ้าศิษย์สู้อาจารย์ก็สบายใจ ถ้าศิษย์ไม่สู้ก็คือคนที่ยังไม่ก้าวและไม่ยอมเดิน มีคนบอกว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าง ไม่ใช่ว่างเพราะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ถ้าหากอยากได้ก็ทำขึ้นได้ แต่ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา อาจารย์อยากให้ศิษย์ร่ำรวยพุทธธรรม ร่ำรวยความเมตตาและสิ่งที่ดี เข้าใจหรือเปล่า บางคนมีทรัพย์สินมากมาย แต่ตกอยู่ในความมืด เป็นเพราะว่าเขามีมากเกินไป ทำให้เกิดความกังวล บางคนได้ทรัพย์สินเงินทองมาด้วยการแย่งชิงและคดโกง เมื่อโกงเขามาศิษย์ก็ห่วงว่าเขาจะมาทวงคืน เหมือนกับการที่ศิษย์นินทาเขา ก็กลัวเขารู้ คนทุกคนเคยทำความผิดทั้งนั้น แต่ว่าเมื่อทำความผิดแล้วศิษย์จะต้องรู้จักที่จะแก้ไขและเริ่มต้นใหม่ ถ้าผิดสองครั้งแก้สองครั้ง ถ้าผิดสิบครั้งแสดงว่าศิษย์รักของอาจารย์อาจจะเกิดจิตที่แย่ๆ ขึ้นได้ จะทำอะไรก็อย่าให้ผิดหลายครั้งหลายหน เข้าใจไหม

เมื่อเกิดใจฟ้าก็เป็นพุทธญาณเดิม เมื่อใดเกิดภัยพิบัติขึ้น จิตก็เหมือนกับนกที่เกิดความแตกตื่นลังเล ไม่เข้าใจ แล้วศิษย์ของอาจารย์อยู่ในภาวะแตกตื่นหรือเปล่า เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นผู้กลัวภัย เช่นเกิดไฟไหม้ขึ้น ศิษย์จะทำอย่างไร (ตั้งสติ) ตั้งสติคือนิ่งทั้งใจและกาย เมื่อนิ่งแล้วก็จะเกิดความสุข ไฟภายนอกไม่ร้ายแรง แต่ไฟภายในร้ายแรงกว่า เข้าใจไหม

ศิษย์รักของอาจารย์เคยทำบุญด้วยดอกไม้ไหม เวลาไปทำบุญเลือกดอกไม้แบบไหน (สวยที่สุด) ดอกบัวนี้เกิดมาได้อย่างไร (จากโคลนตม) มีใครเคยย้อนเข้าสู่จิตตัวเองบ้างว่าจิตของเรานั้นงดงามเหมือนดอกบัวบ้างไหม ลองไปคิดดูให้ดี

ที่อาจารย์บอกว่าจุดที่รับชี้ไปนั้นเป็นถ้ำโบราณ เป็นเขาพุทธะ เขาพุทธะนี้เมื่อรู้แล้วให้ศิษย์ไปปฏิบัติเองและเรียนรู้เอง ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่พูดแล้วจะรู้ได้ ฟังธรรมะสองวันแต่บางคนบอกว่าไม่รู้อะไรเลย นั่นเป็นเพราะว่าจิตญาณของตัวเองรับรู้ในสิ่งที่เป็นคำพูด แต่ว่าจิตตัวเองนั้นไม่ได้รับรู้สภาวะแท้จริง จึงต้องไปเดินเอง รู้เองและเข้าใจเอง เมื่อรู้เอง เดินเอง ในที่นี้มีหลายคนที่มาเป็นครอบครัว เพราะฉะนั้นการที่เราแปรตัวเองได้ นำคนในครอบครัวได้ เราก็นำให้บำเพ็ญทั้งครอบครัว บางคนตัวเองบำเพ็ญอยู่คนเดียวก็เกิดความทุกข์ ด้วยจิตใจที่บำเพ็ญอย่างมุ่งมั่น บางทีอาจจะทำอะไรซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจจิตใจคนในบ้าน ฉะนั้นทั้งบ้านเกิดความปรองดองกันเป็นสิ่งที่ดี เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) อาจารย์ก็อยากให้ทุกคนบำเพ็ญได้ทั้งครอบครัว อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนมีความปิติสุขอย่างแท้จริง แม้เราจะเป็นคนเดียวในครอบครัว แต่ถ้าหากว่าศิษย์รักพยายาม อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนต้องทำได้แน่นอน

ขอให้ศิษย์รักของอาจารย์มีความมั่นคงในธรรม แล้วช่วยงานอาจารย์ดีไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันตั้งชื่อเพลง ได้ชื่อว่า “กลับบ้านเดิม”) แสดงว่าทุกคนอยากกลับบ้านเดิมใช่หรือเปล่า ศิษย์ของอาจารย์กลัวว่าจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเปล่า

อาจารย์ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มาช่วยงาน อาจารย์หวังว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนคงจะทำได้เหมือนวันนี้ ไม่เกิดความระแวงหรือลังเลสงสัยอยู่ในใจอีก ธรรมะที่ศึกษาไปสุดท้ายตัวศิษย์ก็ได้รับเอง ขอให้ศิษย์ทุกคนสามัคคีกัน ธรรมะจะเจริญรุ่งเรืองได้หรือไม่นั้นอาจารย์ไม่ได้หวัง หวังเพียงอย่างเดียวว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนมีความศรัทธาจริงใจและบำเพ็ญอย่างจริงจัง เพื่อให้ตัวเองได้กลับคืนขึ้นไป อย่ามุ่งหวังอยู่ในโลกอันจอมปลอมนี้ ภาพลวงตาอาจดูน่าชมยิ่ง แต่ว่าภายในซ่อนสิ่งใดไว้ศิษย์รักน่าจะรู้ดี อาจารย์ก็ฝากความหวังไว้ว่าศิษย์ทุกคนจะทำได้ดังเจตนาฟ้า ไม่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำงานทุกอย่างอยู่ที่เหตุและผล การเป็นพุทธะต้องเสมอต้นเสมอปลาย มิใช่ตั้งอยู่บนความประมาทเรื่อยไป เข้าใจไหม

อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนจะผ่านการทดสอบ แม้ว่าตอนนี้ศิษย์จะเหมือนกับฟ้าที่นิ่งสงบ วันข้างหน้าศิษย์อาจไม่เหมือนวันนี้ ขอให้ห่วงตัวเองมากๆ มีความเมตตาต่อผู้อื่นเสมอต้นเสมอปลาย

“กลางเพลิงไม่ปรานีบัวกลิ่ง ชูช่อ งามตา

กลางเทียมนั่นคือแท้ถ้า ศิษย์รู้ เดินไป”

ขอให้ศิษย์เป็นเหมือนบัวที่อยู่กลางไฟ กลิ่งแปลว่าเลือก ในเมื่อเลือกเองว่าวันนี้จะอยู่ในโลกีย์ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนก็จะต้องเป็นบัวที่งามให้ได้ ในโลกีย์ที่เทียมนี้ขอให้ศิษย์เป็นคนที่แท้แล้วเดินไปปฏิบัติบำเพ็ญให้ถึงที่สุด อาจารย์ห่วงศิษย์รักทุกคน แล้วศิษย์ห่วงตัวเองบ้างหรือเปล่า

อาจารย์ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มีศรัทธา วันไหนที่ศิษย์ขยันอาจารย์ก็รู้ วันไหนศิษย์เกียจคร้านอาจารย์ก็เห็น อย่าปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในกองกิเลสนั้นเลย ลาก่อนศิษย์รัก ขอบคุณที่มีความศรัทธาจริงใจ
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา