วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2538
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2538
2538-08-12 พุทธสถานไท่อิน กรุงเทพฯ
PDF 2538-08-12-ไท่อิน #10.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานไท่อิน กรุงเทพฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ประชุมธรรมงานพุทธาร่วมปราโมทย์ ใจพิสุทธิ์สิ้นโกรธหลงในจิตหนา
น้องต่างเคยเป็นพุทธาบนแดนฟ้า หกหมื่นปีถึงเวลาต้องคืนแดน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ชีพหนึ่งนี้น้องท่านวนเวียนว่าย เกิดแล้วตายล่วงเวลาอสงไขย
เดินทางผิดชีวิตอันตราย ปลงจิตไซร้ศึกษาได้รู้ธรรมแยบยล
น้องบางท่านสงสัยในจริต น้องลองคิดยุคสามโปรดครั้งใหญ่
ในกายนั้นใดปลอมจริงระวังระไว ตรองภายในมิหลอกเล่นพิจารณา
อันสายทองสืบมาโบราณกาล อริยาผ่านเกิดกายมนุษย์แล้วทั้งสิ้น
เกิดอารมณ์ตัดได้ด้วยขันติอาจิณ นิจศีลประคองญาณแท้ภายใน
ผู้มีบุญในยุคสามทั้งชายหญิง อย่าประวิงขึ้นนาวาจิตสุกใส
ธรรมะแท้โองการแท้เร่งเร็วไว เภทภัยใหญ่ล้วนจากใจมนุษย์เอง
ท่าน กงฉัง จื่อซี่ นำเรือน้อย ล่องลอยไปทะเลทุกข์อันแสนขม
บอกน้องท่านกาลมิเช้าอย่าชื่นชม อย่านิยมสังสารวัฏอันมิถาวร
หากวันนี้มิได้รับหนึ่งจุดชี้ ในฤดีต่างคงยังมิขวนขวาย
สามภูมิไกลสะเทือนลั่นดั่งวุ่นวาย แล้วน้องท่านเฉยอยู่ไยมีกายจริง
จงบำเพ็ญนอกในให้กระจ่าง อนุตตรธรรมเป็นทางแห่งมรรคผล
ลมหายใจเข้าออกคิดถึงตน แลบรรพชนที่รอคอยให้บำเพ็ญ
ทางยืดยาวเพียงก้าวเดียวหากหันกลับ สดับธรรมสองวันนี้อย่านิ่งเฉย
ปณิธานอันยิ่งใหญ่มิละเลย สู่แดนเคยเป็นสุขด้วยเมตตา
ในวันนี้แม้กลับไปลองพินิจ โลกวิกฤติน้องจะช่วยอะไรได้บ้าง
เริ่มจากตนเดินทางดีฤดีวาง กิเลสบางฝุ่นน้อยไปโปรดคน
จงเร่งรีบอย่าลืมที่พี่บอก ใจเที่ยงจริงรอบคอบสม่ำเสมอ
เดินทางไกลอย่าหยุดในครึ่งทางเมื่อเจอ อุปสรรคหรือทดสอบเพื่อเลื่อนชั้นอริยา
ในวันนี้น้องรักษาระเบียบจริง เคร่งครัดนิ่งสุขุมวิญญาหนา
จงตั้งใจฟังธรรมด้วยอดทนนา ได้รู้ค่าธรรมมีค่าต่อจิตตน
แล้วศิษย์พี่จรดพู่กันยืนข้างเคียง
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน หันเซียงจื่อ
แม้ม่านหมอกครอบคลุมรุมดวงจิต หาญพิชิตกล้าเผชิญคืนผ่องใส
ชนะใจฝ่าอุปสรรคมิเว้นไป บำเพ็ญไซร้ใคร่ครวญจริงกระจ่างดำเนิน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
เกิดวังวนธารมายาเวียนกระหน่ำ แม้จดจำชั่วครู่คืนถิ่นช้ำ
พบแสงทองนาวาพุทธาฟ้านำ วัตตาธรรมพร่างพรายพิสุทธิ์ฉุดโดยตน
บำเพ็ญเริ่มตรงอุตส่าห์แก้ไขสิ่งผิด แลพินิจบำเพ็ญคลายอัตตาผูกรัด
มากเท่าไหร่สะสมยิ่งเคยชินยากสลัด ยิ่งนับจำนวนยิ่งควรเร่งมลาย
จันทราให้แสงนวลตะวันแสงจ้า จะคิดหาทางทอนฤๅสัมฤทธิ์ผล
เพียงตั้งใจเหตุต้นเปิดตาตน ยุคลดั่งโลกมองตฤษณาเช่นธุลี
สวมหน้ากากแสดงละครเปรียบแสงเทียน บางอย่างเวียนวนาดอนประดับสี
แลมีวันสู่ลุ่มทุกข์ชีวี ประโยชน์ก็ที่ท่านนั้นเข้าใจธรรม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านแปดเซียน หันเซียงจื่อ
ทุกท่านมีใจมานั่งศึกษาธรรม การศึกษาเรียนรู้หลักธรรมนั้นหากจิตใจไม่สงบและไม่มีสมาธิ ก็อาจจะเข้าใจได้ไม่กระจ่างแจ้งนัก
การศึกษานั้นต้องใคร่ครวญให้กระจ่าง ถ้าศึกษาแล้วไม่ใคร่ครวญ ไม่คิดที่จะนำมาทบทวนให้เกิดความกระจ่างในใจ ศึกษาเรียนรู้ไปก็เสียเวลาเปล่า แต่เมื่อเราได้ยอมเสียเวลามาศึกษา ก็ควรที่จะใคร่ครวญพินิจให้เห็นเนื้อความภายใน เนื้อความบางอย่างนั้น เราจะมองเพียงเปลือกนอกไม่ได้ เปรียบเหมือนผลไม้ เรารู้ว่ามันมีประโยชน์ก็เพราะเราสามารถมองเห็นถึงเนื้อในและแก่นใน เราจึงรู้ถึงคุณค่าของผลไม้ได้ เปรียบเหมือนการศึกษาธรรม ถ้ามองเห็นแต่เปลือกนอก เห็นแต่แมลงที่เกาะกิน แต่ไม่ลองที่จะเปิดใจศึกษาหรือค้นคว้าถึงแก่นเนื้อข้างในแล้ว เราก็จะไม่รู้เลยว่าเนื้อในนั้นมีประโยชน์และบริสุทธิ์แท้จริงหรือเปล่า การศึกษาธรรมนั้นจริงๆ แล้วไม่ยาก อยู่ที่ว่าท่านจะค้นหาแก่นเนื้อในแห่งตนเองหรือเปล่า เนื้อในที่บริสุทธิ์ไร้สิ่งใดเกาะกิน ไร้สิ่งใดทำลาย แม้สิ่งที่มาเกาะกินทำลายนั้นจะเป็นเพียงสิ่งที่บังตา มองเห็นได้เพียงรูปลักษณ์ แต่ถ้าท่านไม่นำมันเข้ามายึดติด ไม่นำสิ่งเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในใจให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกผูกพันต่างๆ แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายแก่นเนื้อในของเราได้
ตัวอักษรสามารถเอามารวมเป็นคำ และคำนั้นก็สามารถให้ความหมายได้หลายรูปแบบ เปรียบเหมือนจิตใจของทุกๆ คน ถ้ายิ่งปรุงแต่งเท่าใด ก็ยิ่งห่างออกจากจิตเดิมแท้ เหมือนเราเดินทางอยู่บนเส้นทางหนึ่ง ตอนแรกก็มาตัวเปล่า แต่พอยิ่งเดินไปเคยหวนคิดไหมว่าทำไมยิ่งเดินแล้วยิ่งหนัก จากที่มีความสง่าผ่าเผยก็ทรุดลงไปเรื่อยๆ เหตุใดยิ่งเดินจึงยิ่งทรุดหนักลง ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกว่าความเบาสบายในการเริ่มต้นเดิน กับการเดินมาถึงครึ่งทางจึงแตกต่างกันมาก (มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ ก็เกิดการยึดติดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเรา นานๆ เข้าก็จะพอกพูนจนหนัก , เป็นเรื่องของกิเลสที่เราแบกไว้ตลอดเวลา อารมณ์ทั้งหลายที่เราแบกไว้ จึงทำให้ตัวเองรู้สึกว่าหนัก)
เคยมีคำกล่าวว่า ชีวิตเปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นด้วยน้ำตาและเสียงหัวเราะ จึงเป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อจิตใจเรา และมีคุณค่าสำหรับการดำรงชีวิต แต่บางคนเมื่อผ่านไปแล้วอาจจะปล่อยมันทิ้งไป ลืมมันไป แต่สิ่งที่เป็นน้ำตาและความทุกข์นั้น เป็นหนังสือที่มีคุณค่าและน่าจดจำมาก เพราะน้ำตาและหยาดเหงื่อที่ทุกท่านเขียนขึ้นมาจนมาถึงปัจจุบันนั้นไม่ใช่ง่าย ทุกท่านสามารถฝ่าฟันทุกๆ อย่างได้ด้วยตัวเอง แม้บางครั้งอาจยอมรับว่าการฝ่าฟันและการดำรงชีวิตอยู่นั้น อาจจะต้องพึ่งพาอาศัยจากผู้อื่นบ้าง แต่ถ้าเราคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว คนอื่นที่เราหวังพึ่งพาอาศัยนั้นก็ไม่สามารถช่วยเราได้ตลอดไป
บางครั้งเมื่อเราเผชิญกับปัญหา ถ้าเราเกิดความกลัวที่จะได้รับความทุกข์ เราไม่กล้าเผชิญและก็หลบหลีกไป แล้วเราก็มานั่งเสียใจภายหลังว่า เราน่าจะคิดให้รอบคอบและไตร่ตรองให้ละเอียดกว่านี้ ฉะนั้นสิ่งใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของทุกท่านแล้ว ก็ขอให้จดจำให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สิ่งใดมีคุณค่าก็เก็บรักษาไว้ สิ่งใดที่ทำให้เกิดหลุมบ่อในจิตใจก็รีบอุดรีบปิดเสีย หลักธรรมหรือสัจธรรมนั้นก็มีอยู่ในชีวิต ไม่ได้ห่างไปจากตัวเราเลย แต่อยู่ที่ว่าเมื่อดำรงชีวิตอยู่ เรารู้จักนำหลักธรรมและคุณธรรมมาใช้ในการดำรงชีวิตหรือนำมาเป็นหลักยึดในการบำเพ็ญหรือไม่ ฟังดูแล้วการเรียนรู้หลักธรรม ศึกษาหลักธรรมยากเกินไปหรือเปล่า (ไม่ยาก)
เราจะบอกวิธีการนั่งเพื่อให้คลายเครียดดีไหม (ดี) นั่งตัวตรงๆ วางมือไว้บนตัก จะวางแบ คว่ำหรือประสานมือไว้ก็ได้ ส่วนขานั้นไม่กางออกมากจนเกินไป วางให้พอเหมาะพอควร เริ่มจะไม่ง่วงแล้วใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเมื่อใดที่รู้สึกง่วง ให้วางเท้าชิดติดกัน แล้วค่อยๆ ยกเท้าขึ้น ยกจนรู้สึกว่าเส้นที่เท้านั้นผ่อนคลาย เมื่อยกขึ้นแล้วก็ค่อยๆ วางลง อย่ากระแทกเสียงดัง แค่นี้ก็เป็นการนั่งที่สามารถผ่อนคลายได้ บางครั้งอาจจะเมื่อยแขน เมื่อยมือก็เปลี่ยนอิริยาบทบ้าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนให้เหมาะสม เราเป็นผู้บอกวิธี ท่านเป็นผู้ทำ ฉะนั้นวิธีที่บอกไปจะสำเร็จผลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีคำกล่าวว่า ยิ่งดำรงชีวิตอยู่ก็เหมือนยิ่งสวมหน้ากากเข้าหากันและก็แสดงบทของตัวเองไปตามหน้ากากนั้น ปกปิดตัวตนที่แท้จริง บางครั้งก็แอบแฝงบางสิ่งไว้ภายใต้หน้ากากนั้น แต่การศึกษาธรรมนั้นต้องการให้ถอดหน้ากากออก ให้จุดแสงไฟอันเป็นเปลวเทียน เพราะการมาศึกษาธรรมก็เพื่อมาเรียนรู้หลักแห่งชีวิตตนเอง การมาเรียนรู้ชีวิตหนึ่ง ถ้าเราตามตนเองไม่ทัน ตามสติ ตามอารมณ์ ควบคุมไม่ได้แล้ว การดำรงชีวิตก็ย่อมพลั้งเผลอผิดพลาด ปัญหาต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้มากมาย ในเมื่อขณะนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าความผิดพลาดและความพลั้งเผลออาจทำให้เราต้องเผชิญกับปัญหา เมื่อรู้สิ่งที่ผิดพลาดก็ต้องหาทางแก้ แต่ทางแก้ที่จะสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้คืออะไร (คนเราต้องมีสติทุกเมื่อ จะคิดจะทำอะไรขอให้มีสติ จึงจะไม่เดินทางผิด) จริงๆ แล้วทุกท่านต่างก็รู้วิธีที่จะดับ วิธีที่จะคลาย แต่อยู่ที่ว่าจะชนะใจตนเองได้หรือเปล่าใช่ไหม (ใช่) บางครั้งเราก็รู้สึกยินดีที่วันนี้ชนะผู้อื่นได้ แต่เมื่อไรที่แพ้คนอื่นแล้วเป็นการชนะใจตนเองกลับรู้สึกเศร้าหมอง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
ทำอย่างไรจึงจะสามารถตามใจตนเองได้ทัน ก็คือต้องมีสติ มีสมาธิและมีปัญญา สามสิ่งนี้มีอยู่ในตัวทุกท่าน บางทีการเรียนรู้ชีวิต รู้ทั้งรู้ว่าผิด ทำไมถึงได้ชอบพลั้งเผลอ ทำไมถึงอยากลองทำ การชี้นำ การแนะนำนั้นทำไมต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือคนอื่นมาชักจูงเรา ทำไมตัวเราเองไม่ชักจูงและดึงใจของตนเองขึ้นมาให้ได้ ตอนนี้ถ้าเราจะบอกว่าทุกท่านไม่รู้ใจตนเอง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) การดึงใจตนเองขึ้นมา เมื่อดึงมาแล้ว ถ้าจิตใจสั่นไหวสั่นคลอน จะสามารถมองเห็นจิตใจที่แท้จริงได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าถ้าโยกคลอนและสั่นไหวแล้ว เราจะมองไม่เห็นความชัดเจนที่เกิดขึ้น แต่ถ้าดึงขึ้นมาแล้วต้องรู้จักสงบ จับวางนิ่งๆ ให้อยู่กับที่ ให้ตรงเที่ยง เมื่อสงบนิ่งแล้ว การที่จะมองสิ่งใดๆ ก็สามารถมองได้ง่ายและทะลุปรุโปร่ง ถ้ายังไม่เข้าใจ เรายกตัวอย่างให้ฟังดีไหม (ดี)
ถ้าในห้องนี้สั่นไหวขึ้นมา สิ่งแรกที่ทุกท่านจะทำคือหนีทันทีใช่หรือเปล่า (ใช่) เราบอกแล้วว่าถ้าเหตุการณ์ชักพาให้สั่นไหว แล้วเราก็สั่นไหวไปกับเหตุการณ์นั้นดัวย การที่เราจะมองให้ชัดเจนและทะลุปรุโปร่งมองได้หรือไม่ (ไม่ได้) ตรงกับสุภาษิตไทยคืออะไร (กระต่ายตื่นตูม) เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ทุกท่านจะต้องนึกถึงก็คือตั้งสติ
บางครั้งการชี้นำ การแนะนำที่ท่านยอมรับฟังเขา ก็เพราะเห็นเขาอาวุโส เห็นเขาเปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่ถ้าเราย้อนถามทุกท่านว่า ที่มองเห็นและยอมฟังเพราะเปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า เหมือนกับขวดน้ำ ถ้าทุกๆ ท่านคือขวดน้ำ ท่านแบ่งว่าขวดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ คุณวุฒิและวัยวุฒิก็คือน้ำที่ใส่ภายในขวด ถ้าเขามีคุณวุฒิและวัยวุฒิแต่ไม่ได้นำใส่ขวด แล้วขวดว่างเปล่าโปร่งใส เขย่าอย่างไรก็ไม่เกิดเสียง แต่ถ้าอีกขวดหนึ่งที่ไม่มีซึ่งคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่เป็นขวดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ เขย่าอย่างไรก็ไม่เกิดเสียงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการมองตัวบุคคลใช่มองที่คุณวุฒิและวัยวุฒิหรือเปล่า (ไม่ใช่) พูดยากเกินไปไหม นี่เป็นการเปรียบเทียบที่ดี แต่อยู่ที่ว่าสิ่งที่เราเปรียบเทียบนั้นจะนำพาถึงความกระจ่างของทุกท่านได้หรือเปล่า
การมองดู การฟัง การเห็น การรับรส ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เราอย่ายึดอยู่ในทวิภาคหรือทวินิยม คำว่าทวิภาคหรือทวินิยมก็คือของที่เป็นคู่ ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่าน้อยหรือมาก ถ้าเรามองทุกสิ่งทุกอย่างตรงกลางไม่เอนเอียงแล้ว ก็จะเข้าถึงสิ่งๆ นั้นได้ง่าย ตอนแรกเรากล่าวไว้ว่า ถ้าจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยรูพรุนแล้ว การกระทำสิ่งใดก็ต้องเจ็บปวดได้ เพราะเรามีแผลอยู่ที่ใจ เมื่อถูกกระทบกระเทือนก็ย่อมเจ็บแผลได้ แต่รูพรุนนั้นสามารถรักษาได้ รูพรุนนั้นจริงๆ แล้วก็เกิดจากตัวของเราที่สร้างรูพรุนแห่งความโกรธ รูพรุนแห่งความไม่พอใจ รูพรุนแห่งความอาฆาตพยาบาท ในการดำรงชีวิตของเรา เมื่อเกิดความโกรธขึ้นมา เราก็ฝังลงในรูพรุนนั้น แต่ฝังไปเท่าไรก็ไม่เต็ม หากรู้แล้วว่าเกิดแล้วท่านมีสติยั้งคิดทัน สงบใจไตร่ตรองดูสิ่งนั้น ก็สามารถดับไม่ให้เกิดได้ใช่ไหม
สุดท้ายนี้ที่เราอยากบอกทุกท่านก็คืออย่าปิดกั้นใจตนเอง ศึกษาธรรมให้ชัดเจน ถ้าไม่รู้หรือสงสัยก็ให้วางลงเสียก่อน แล้วศึกษาให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจหรือมีปัญหา ก็ให้ถามคนข้างหน้าดีไหม (ดี) มีโอกาสเราคงได้พบกันอีก
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา
ใบไม้ใบหนึ่งร่วงหล่นสู่ชลาธาร หมุนเคว้งคว้างศิษย์นั้นแพ้กระแส
ธารก็ไหลทางทะเลไกลจากแม่ ดวงแดข้าสานปณิธานเมื่อไหร่สำเร็จ
เราทั้งสองคือ
พระอรหันต์จี้กง ได้นำพา นาจาน้อย รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนล้วนเกษมฤๅ
วนแล้วเกิดเวียนมนุษย์ในสังสารวัฏ ประหลาดนักใจมิสิ้นในอวิชชา
เลือนดั่งลับเลือนทรัพย์แห่งปัญญา ดั่งนภาเมฆาบังไร้ดวงตะวัน
อย่าหลงว่ายเวียนอยู่ในโลกา พินิจเพราะในหล้าไหนมั่นคงสถาน
ที่เชื่อมั่นในหรือนอกปราการ พัฒนาการเป็นจุดหมายทางแนวที่ตรง
น้องระคนทุกข์และถ่วงชีวิตตน ยิ่งดิ้นรนยิ่งเกิดนิวรณ์ยิ่งหลง
ที่ได้ด้วยมีสติแลปลง รณรงค์ช่วยจิตตนท้อไม่มี
บังเกิดใจเต็มตื้นเพราะพบหน้า เพราะปัญญาขจัดกัดเซาะกิเลสหนี
ดั่งทิ้งไปจากใจไกลชีวี ประตูเปิดนี้จะพบในกตญาณ
เปิดคลังปัญญาวิสารทจรรยาปัญญาแกร่ง ญาณปัญญาแหล่งความแจ่มใสเมตตาพื้นฐาน
เหนื่อยไม่หน่ายด้วยใจศิษย์ชื่นบาน ไป่มมังการอีกรู้หยุดระวังตรอง
มีความกล้าควรดูแลคิดตรอง เพราะเพียงตรองเกิดความไม่ผยอง
หากบาดหมางจงกล้าอภัยครอง ฤทัยต้องคุณงามรักษายังน้อมใจ
ตัวแทนฟ้าประกาศธรรมมีจิตไผท มิวุ่นวายเกิดต่อผู้ที่สนอง
สามัคคีถ้าขาดจากกันพึงต้อง รอนราญหรือปรองดองกลับอาจารย์ให้คิด
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา
พระอาจารย์ : วันนี้มีความสุขกันจริงๆ หรือเปล่า ความสุขนี้รูปร่างเป็นอย่างไร แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสุข (สบายใจ) จิตใจเบิกบาน ฟังธรรมะแล้วเบิกบานด้วยหรือเปล่า ธรรมะมีรูปลักษณ์หรือเปล่า (ไม่มี)
อาจารย์เห็นคนมากมายขนาดนี้ ถ้าจะไม่มาก็กระไรอยู่ คอยอาจารย์อยู่หรือเปล่า (คอย) ศิษย์รักของอาจารย์น่ารักทุกคนหรือเปล่า (น่ารัก)
ฟังธรรมะไปสองวันแล้วเข้าใจกันบ้างหรือเปล่า (เข้าใจ) เข้าใจสัจธรรมแท้แม้ว่าไร้รูปลักษณ์ การบรรยายธรรมแม้ว่าจะสื่อความหมายของสัจธรรมได้ไม่หมดสิ้น แต่ว่าส่วนหนึ่งก็ต้องนำสู่จิตใจของตัวเอง การจะก้าวสู่อริยมรรคก็ต้องอาศัยตัวศิษย์เอง ทำได้แค่ไหนก็ดูว่าศิษย์รักของอาจารย์พยายามมากแค่ไหน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) รู้ไหมว่าทำไมเราจึงต้องเกิดมามีชีวิตจนเติบใหญ่ แล้วทำไมเราจึงได้รับวิถีธรรม (บัดนี้เข้าสู่ยุคสามแล้ว ซึ่งมีเหตุเภทภัยมากมาย เบื้องบนจึงได้ส่งพระวิสุทธิอาจารย์ลงมาช่วยสอน เพื่อให้พวกเราช่วยพระอาจารย์ฉุดช่วยเวไนยสัตว์ให้พ้นจากเภทภัยทั้งหลาย)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนทำท่าประกอบเพลงพายเรือธรรม) ออกแรงมากกันหรือยัง ถ้าตัวเองคนเดียวพ่วงด้วยเวไนยสัตว์และบรรพชนแล้ว ออกแรงแค่นี้พอหรือ (ไม่พอ) แล้วเวลาออกแรงคิดถึงตัวเองหรือคิดถึงผู้อื่นด้วย (คิดถึงผู้อื่นด้วย) การที่เราพายเรือธรรมะนี้ ไม่ได้พ่วงหรือฉุดเราขึ้นไปเพียงคนเดียว เรือธรรมะนี้ข้างในเต็มไปด้วยสัจธรรมมากมาย มีคุณธรรมอีกมากมายที่เราจะต้องซ่อม ประกอบด้วยคนที่เราจะพาขึ้นไปด้วย การที่เราจะพาคนมารับธรรมะนั้น สำคัญที่สุดอยู่ตรงไหน (เราชักชวนเขาว่าธรรมะนี้ดีขนาดไหน ช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายโดยเร็วไว และกลับบ้านเดิม โดยที่เราต้องทำตัวเราให้ดีเสียก่อนและทำให้ดีที่สุด เราถึงจะฉุดช่วยคนอื่นได้) การที่จะฉุดช่วยผู้อื่นได้สำคัญที่สุดต้องส่งเสริมเขาให้เหมือนเรา แต่ว่าเราเองต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ถูกไหม (ถูก) การที่เป็นแบบอย่างที่ดีนี้ ถ้าเราเป็นผู้ควบม้า เมื่อม้าวิ่งช้าก็ต้องลงแส้ ม้าตัวที่เราลงแส้นั้น เราต้องดูว่าม้าตัวนั้นมีแรงหรือเปล่า หากตัวเราเองไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่อยู่ใกล้พุทธสถานแล้ว จะมีแรงขึ้นมาได้อย่างไร คนที่รับวิถีธรรมไปแล้ว แม้ว่ารับแล้วแต่ไม่ได้ศึกษาก็เหมือนกับคนที่ไม่ได้รับธรรมะเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่ว่ารับธรรมะแล้วตัวเรามีสิ่งดีกว่าผู้อื่น คนที่กลับมาศึกษาธรรมะก็มักจะรู้อะไรดีๆ ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนก็เป็นผู้ที่ศึกษาอยู่ในสัจธรรม เป็นผู้ที่ชนะสรรพสิ่งทั้งปวงใช่ไหม (ใช่) ถ้าหากเรายอมที่จะอยู่ต่ำกว่าผู้อื่น เราก็จะแบกรับผู้อื่นไหว ถ้าเราคิดว่าเราจะช่วยเขา แต่เราอยู่สูงกว่าเขา เราจะช่วยเขาได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราไม่เข้าถึงจิตใจของผู้ที่อยู่รอบๆ ข้าง เราจะอภัยให้ผู้อื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
พระนาจา : หากต้องให้ผู้อื่นนำทุกครั้ง แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะรู้ด้วยตัวเอง การตักตวงนั้น ต้องตักตวงเอาความรู้จากธรรมะให้เกิดความกระจ่างในจิตใจ ไม่ใช่ตักตวงโดยมาดูการยืมร่าง คราวหน้าที่ไหนมีอีกก็จะต้องไปดูอีก ตักตวงอย่างนี้ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)
พระอาจารย์ : ศิษย์รักมาสถานธรรมไม่ใช่มาเพื่อดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าต่อไปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มาแล้ว ศิษย์รักจะมาสถานธรรมกันอีกหรือเปล่า (มา) คนเราชอบความสุขไม่ชอบความทุกข์ แต่ความทุกข์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเภทภัยหรือสิ่งใด ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมาเอง ศิษย์คิดว่าการช่วยให้ผู้อื่นหรือว่าช่วยให้โลกนี้เกิดความสันติสุข ช่วยผู้อื่นให้ตื่นขึ้นดีหรือเปล่า (ดี) การทำอย่างนี้ต้องอาศัยอะไร (ปฏิบัติตัวเราเองให้ดีเสียก่อน แล้วจึงไปชวนคนอื่นให้ทำได้) แล้วการที่จะช่วยผู้อื่นต้องอาศัยอะไรเป็นหลัก (หลักธรรมที่เราได้ฟังและมีโอกาสมารับธรรมในครั้งนี้) โอกาสนี้เป็นโอกาสของตัวเองในการช่วยคนรับธรรมหรือในการช่วยผู้อื่น บางคนบอกว่างานนี้เราไม่เคยทำ จึงไม่ทำ กุศลก็กลายเป็นของคนอื่น เช่น งานขัดห้องน้ำ งานเทขยะ หรือกวาดถูสถานธรรม ส่วนใหญ่คนไม่ชอบทำใช่ไหม ชอบนั่งอยู่เฉยๆ หรือว่าชอบที่จะสอนผู้อื่น หากมีแต่คนพูดธรรมะแล้วไม่มีคนทำกับข้าวให้ ศิษย์รักของอาจารย์จะมีอะไรทานหรือเปล่า (ไม่มี) กุศลนี้ก็ยิ่งใหญ่พอๆ กันถูกไหม (ถูก) งานทุกอย่างในโลกนี้มีความลำบากด้วยกันทั้งสิ้น มีอุปสรรคด้วยกันทุกอย่าง ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่เกี่ยงกัน ศิษย์ก็สามารถทำงานทุกๆ อย่างได้ด้วยมือของศิษย์เอง ถูกหรือเปล่า (ถูก) การก้าวไปสู่อริยมรรคขอเพียงแค่ศิษย์ตั้งใจแสดงความศรัทธาจริงใจออกมา เปิดใจออกให้กว้างก็จะฟังธรรมะได้เข้าใจ
พระนาจา : เมื่อสักครู่นี้เราให้กลอนไปบทหนึ่ง
“วนแล้วเกิดเวียนมนุษย์ในสังสารวัฏ ประหลาดนักใจมิสิ้นในอวิชชา
เลือนดั่งลับเลือนทรัพย์แห่งปัญญา ดั่งนภาเมฆาบังไร้ดวงตะวัน”
ทุกคนมีทรัพย์ในตนเอง ทรัพย์นั้นคืออะไร (ทรัพย์คือปัญญา มีปัญญา มีสติก็คือมีทรัพย์) ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เพราะเราศึกษาหาความรู้ เงินก็จัดเป็นทรัพย์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทรัพย์อันไหนมีคุณค่ามากกว่ากัน (ปัญญา) แต่ทำไมทุกคนชอบหาทรัพย์จากภายนอกมากกว่า เพราะบางครั้งมีความอยากมากเกิน จนไม่รู้จะนำปัญญามาใช้ประโยชน์อย่างไร และไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองกำลังค้นหาอยู่นั้นคือความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกคนลืมความสุขแห่งปัญญาเดิมอันแท้จริง ตอนนี้ความสุขทางปัญญานั้นหาไม่ยากเลย อยู่ที่ว่าทุกคนจะมีความพอเหมาะพอควรหรือเปล่า ความพอเหมาะพอควรก็คือความต้องการนั้นเกินความพอดีไหม เดือดร้อนผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าเกินความพอดีเดือดร้อนผู้อื่น แสดงว่าเราใช้ปัญญาในทางที่ถูกที่ควรไหม (ไม่ถูก) เพราะหากใช้ไม่ถูกไม่ควรแล้ว ทุกคนย่อมหลง หลงแล้วก็มองผิด ความหลงนั้นก็ย่อมทำให้ทุกคนไปในทางที่ผิด เสียเวลา เสียโอกาส ถ้าเราหลงเดินทางผิด อนาคตเราก็ดับวูบ ถ้าเราหลงทางเดิน หลงเข้าใจผิด ความสัมพันธ์ทางมิตรอันดีก็ขาดสะบั้นลงได้ ความหลงนี้น่ากลัวไหม (น่ากลัว) ฉะนั้นทุกท่านมาศึกษาวันนี้ทำไมเราถึงต้องให้ทุกท่านเปิดปัญญาก่อน แล้วค่อยไปศึกษาให้กระจ่างและเข้าใจตรงนี้ อย่างน้อยก็เรียกว่าศึกษาแล้วใช่หรือไม่ และเราก็ไม่ใช่ผู้หลง ศิษย์พี่บอกทางแล้ว อยู่ที่ว่าศิษย์น้องจะเดินตามที่ศิษย์พี่บอกหรือเปล่า อยากเป็นคนหลงไหม (ไม่อยาก)
พระอาจารย์ : อยู่กับพระนาจาแล้วสนุกไหม (สนุก) แล้วคิดว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะมีความสุขอย่างนี้ตลอดไปหรือเปล่า พระนาจาเขามีความสุขตลอดเวลา ถ้าไม่เชื่อก็ดูได้เพราะใบหน้าเขายิ้มตลอดเวลา ตอนอยู่ข้างบนเขาก็มีความสุขอย่างนี้ มาโลกมนุษย์เขาก็มาเล่นด้วย เพราะฉะนั้นต้องขอบคุณเขาหรือเปล่า (ขอบคุณพระนาจาเมตตา) คนเราเวลามีความสุขก็ต้องรู้เสมอว่าความสุขที่พอดีนั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยใจตัวเองให้ลอยไปเรื่อยๆ บางคนหลงอยู่ในโลก หลงอย่างไร ตอนนี้ศิษย์รักของอาจารย์เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดมาตั้งหกหมื่นปีแล้ว ดูว่าตอนนี้สร้างอะไรไว้ แล้ววันหน้าศิษย์อยากเป็นอะไร จุดมุ่งหมายชีวิตของศิษย์อยู่ที่ไหน แค่มีบ้านสวยๆ มีรถคันงามๆ แล้วก็มีครอบครัวที่อบอุ่นหรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วจุดมุ่งหมายชีวิตของศิษย์อยากจะได้อะไร การที่เราจะไปนิพพานนั้นลำบากหรือเปล่า (ลำบาก) ทางทุกเส้นทางก็มีความลำบากทั้งสิ้น อยู่ข้างนอกคนเขาบอกว่าโน่นก็จี้กง นี่ก็จี้กง จี้กงจริงๆ อยู่ในใจใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์ของอาจารย์โดยเฉพาะผู้หญิงชอบไปดูโน่นดูนี่ เวลาเขาบอกว่ามีจี้กงก็ไปดูด้วย อย่างนี้หรือเปล่า การที่เราไปดูภายนอกให้ย้อนกลับดูใจตัวเอง เราก็เป็นจี้กงน้อยๆ ได้ เราก็มีความสุขได้ หากศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนรู้จักเมตตาจริงๆ แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าหากในใจยังซ่อนหรือแฝงอะไรไว้ นั่นก็ไม่ใช่ความสุข
มีใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงสู่แม่น้ำ ศิษย์รักของอาจารย์ก็เหมือนกับใบไม้ใบนั้น ซึ่งเริ่มผลิใบออกมาแล้วค่อยๆ เติบโต จากนั้นก็เหี่ยวเฉา แล้วก็หล่นลงแม่น้ำ เหมือนกับชีวิตนี้ที่เกิดแก่เจ็บตายไม่มีที่สิ้นสุด กายของเรานี้ไม่ยั่งยืนถาวร ร่างกายของเราอยู่ได้ด้วยพุทธญาณ แต่ว่าพุทธญาณของศิษย์จะสว่างหรือว่าจะหมองอย่างไร ศิษย์เป็นผู้พินิจพิจารณาเอง ร่างกายนี้อยู่ได้ไม่นาน และเมื่อเจ็บป่วยก็อยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีจิตใจป่วยไปด้วยหรือเปล่า ถึงแม้ว่าร่างกายป่วย แต่ถ้าหากว่าจิตใจยังเป็นพุทธะอยู่ การที่ร่างกายเจ็บป่วยเราก็จะไม่สะทกสะท้านใช่ไหม (ใช่) บางคนมีความทุกข์กับโรคภัย บางคนมีความทุกข์กับความคิดของตัวเอง คิดจนตัวเองป่วย เพราะฉะนั้นการห้ามและการหยุดก็เกิดจากใจ ทีนี้ย้อนกลับมาที่อาจารย์พูดว่าใบไม้นี้ร่วงลงสู่สายธารแล้ว หากวันนี้ศิษย์รักของอาจารย์ยังเป็นใบไม้ที่เกาะอยู่กับต้น ยังมีกายสังขารนี้ คิดว่าจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเองบ้าง (ฟื้นฟูจิตญาณเดิมของตัวเอง ศึกษาธรรมะและปฏิบัติ) ศิษย์รักของอาจารย์อยู่ตรงกลาง ทางธรรมครึ่งหนึ่ง ทางโลกครึ่งหนึ่งดีไหม (ดี) อาจารย์ไม่ได้เรียกร้องให้ศิษย์หยุดทำงานเพื่อมาสถานธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ) การเชื่อธรรมะก็ควรจะเชื่ออย่างมีเหตุผล ดูว่าที่อาจารย์พูดศิษย์ทำได้ก็ให้เร่งรีบไปทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ค่อยๆ ทำดีไหม (ดี)
พระนาจา : ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญ การจะทำอะไรให้สำเร็จแล้ว ถ้าเราไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น จะทำสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) ถ้าเราตามใจตนเองทันและมีสติอยู่ทุกเมื่อ การที่จะกำหนดร่างกาย กำหนดตัวเองให้ทำอะไรนั้นยากไหม ทำไมปราชญ์อริยะสมัยก่อนถึงกล่าวว่า การจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้คิดเสมอว่ายากไว้ก่อน (เพราะว่าก่อนจะทำเราต้องตระหนักเสียก่อน แล้วจึงทำลงไป ความยากนั้นก็จะลดลง เพราะความตั้งใจจริง) ถ้าทุกอย่างเราคิดว่าง่าย เราก็ประมาทใจตนเอง เมื่อประมาทแล้วไปเจอยากก็จะท้อถอย ทุกๆ อย่างถ้าคิดว่ายากไว้ก่อน แล้วเรามีความเชื่อมั่นในตนเองที่จะทำ ไม่ว่าได้หรือไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นเมื่อพยายามทำเต็มที่แล้ว ถ้าไม่ได้เราก็ต้องมีคำว่าปลง จิตใจของศิษย์น้องก็อยู่ที่ศิษย์น้อง ไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่อยู่ที่ว่าเราแอบเอาใจของเราไปฝากไว้กับใครหรือเปล่า ถ้าศิษย์น้องเอาใจไว้ที่ตัวเองแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด ไม่ต้องทุกข์ เพราะเราไม่ได้เอาใจไปให้ใคร ไม่เอาใจไปผูกเจ็บกับใคร ศิษย์น้องก็จะไม่ทุกข์ใจ มีแต่ความสุขชื่นบาน
พระอาจารย์ : อาจารย์จะสอนเคล็ดลับแห่งความสำเร็จให้ การที่เราจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยสามสิ่ง คือปัญญา ความเมตตา และความกล้าหาญ
ปัญญาใช้สำหรับตัดสินใจว่าสิ่งที่กระทำนั้นได้ตัดสินใจลงไปด้วยความถูกต้อง ด้วยมโนธรรมหรือไม่
เมตตาคือการลงแรง ถ้าเราเมตตารู้จักไปปฏิบัติด้วยจิตอันเยือกเย็นและสงบ ก็จะทำให้เราลงมือได้อย่างราบรื่น ใช่ไหม (ใช่)
ความกล้าหาญ เวลาทำงาน ศิษย์รักเคยทำพลาดไหม (เคย) เมื่อทำพลาดแล้วต้องทำอย่างไร (แก้ไข) การที่เรามีความกล้าหาญ มีหิริโอตตัปปะ แล้วก็รู้จักที่จะลงมือกระทำ รู้จักยอมรับสิ่งต่างๆ นั้น ทำให้เรามีความกล้าหาญสมบูรณ์ยิ่ง เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
การทำงานมีทั้งทางธรรมและทางโลก ทางธรรมนั้นใช้เมตตาออกไปฉุดช่วยคน เมื่อเรานำปัญญา เมตตาและความกล้าหาญทั้งสามอย่างนี้ไปฉุดช่วยคน เราก็จะเป็นตัวแทนของฟ้าเบื้องบนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่การอยู่ร่วมกันศิษย์จะต้องมีความสามัคคีกัน ถ้าหากว่าแตกสามัคคีเมื่อไหร่ต้องทำอย่างไร (ต้องปรับความเข้าใจ) การปรับความเข้าใจนั้นบางคนปรับแต่ปากและสีหน้า คำจำกัดความของคำว่า “ปรับความเข้าใจ” คืออะไร (ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน) คำว่า “อภัย” นี้ถ้าทำได้คนที่เป็นสุขก็คือตัวเราเอง ทุกคนมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่เสมอ ไม่ทะเลาะด้วยวาจาก็ทะเลาะอยู่ในใจ ฉะนั้นขอให้อภัยด้วยความจริงใจ
ตั้งแต่วันนี้ไปคิดจะบำเพ็ญจิตใจกันหรือไม่ คิดจะบำเพ็ญธรรมเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ ให้เราเป็นเสมือนบันไดให้ผู้อื่นเหยียบได้หรือไม่ ถ้าศิษย์รักทำได้อย่างนี้ก็เกิดจิตใจของโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ต้องมีความเมตตาสม่ำเสมอ มีปณิธานอันมั่นคงและแข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าวันนี้โดนคนต่อว่า แล้วศิษย์รักก็ค่อยๆ ถอยห่างธรรมะไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่จิตของพระโพธิสัตว์อย่างแท้จริง อาจารย์อยากให้ศิษย์รักมีจิตใจแห่งโพธิสัตว์ มีความเมตตาที่ถาวรยิ่ง ขอให้รู้จักรักษาพุทธญาณที่อยู่ข้างในให้กลมใส รู้จักขัดเกลาจิตที่ไม่สว่างนี้ให้สว่างได้ รู้จักที่จะขัดเกลาฝุ่นที่กัดเซาะอยู่ในจิตใจนี้ให้หมดไป วันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ลองใหม่ พรุ่งนี้ทำไม่ได้ มะรืนก็ลองใหม่ เข้าใจหรือเปล่า
พระนาจา : วันนี้เรามากับพระอาจารย์ ไม่ได้มาเพื่อให้ศิษย์น้องวอนขอ แต่สิ่งที่ให้ก็คือความเข้าใจในหลักธรรม ธรรมะนั้นอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเอง ถ้าศิษย์น้องไม่คิดไม่ไตร่ตรองก็ไม่สามารถเข้าใจ เท่ากับว่าศิษย์น้องเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเอง การบำเพ็ญนั้นคือการบำเพ็ญธรรมด้วยหลักฟ้าดิน เป็นไปตามธรรมชาติ ถูกต้องกับหลักเหตุและผล บำเพ็ญธรรมถ้าเราไม่รักตัวเอง ไม่เห็นใจผู้อื่นแล้ว จะอยู่ในโลกนี้ได้ไหม (ไม่ได้)
อีกข้อหนึ่งที่ศิษย์พี่จะพูดก็คือ ดำรงชีวิตอย่างไร้พันธนาการ ก็คือไม่ผูกใจกับใคร ไม่ไปหาเรื่องกับใคร ไปไหนเราก็มีอิสระทางใจ มีโอกาสก็ต้องมาศึกษาธรรมะให้มาก ฟังให้มาก จะศึกษาสองวันพอไหม ต้องเข้าใจคำว่าตื่นให้แท้จริง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตแห่งพระโพธิสัตว์”) นี่คือปริญญาของศิษย์ อยู่ที่ว่าอาจารย์ให้แล้วศิษย์ทำได้หรือเปล่า ถ้าศิษย์ทำได้ตามที่อาจารย์บอกก็มีโอกาสบรรลุถึงนิพพานได้ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนบรรลุได้ ศิษย์ทุกคนบำเพ็ญได้ แต่ถ้าศิษย์ท้อก็จะทำไม่ได้ หากใครท้อก็แสดงว่าผู้นั้นเดินไม่ถึงครึ่ง แม้ว่านั่งสองวันอาจจะเหนื่อยและง่วงบ้าง การมาห้องพระก็ไม่ใช่ว่าจะเรียกศิษย์มาแค่สองวันเท่านั้น เพราะฉะนั้นปริญญานั้นต้องตัดสินใจเองว่า ศิษย์ของอาจารย์จะมาบำเพ็ญธรรมะอย่างไร ทำได้เหมือนกับโอวาทที่อาจารย์ให้หรือเปล่า เพียงประโยคเดียวแต่ต้องทำชั่วชีวิต ถ้าคิดว่ามีปณิธานอย่างนี้แล้ว การที่จะบรรลุก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือเปล่า คำว่าทำได้ของศิษย์นั้น หมายถึงศิษย์ทำได้ถึงวันสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า การเป็นโพธิสัตว์นี้ไม่ใช่ทำแต่เรื่องส่วนตัว แต่ต้องทำทุกสิ่งด้วยความเมตตา ให้อภัยตราบจนวันสุดท้าย ถ้าทำได้ศิษย์ของอาจารย์ก็จะมีจิตแห่งโพธิสัตว์ ญาณดวงนั้นก็จะเกิดความเบา ลอยขึ้นสู่เบื้องบน แต่ถ้าเราไม่มีจิตแห่งโพธิสัตว์แล้ว คิดจะสำเร็จธรรมเป็นไปได้ไหม เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนทำได้ดั่งโพธิสัตว์ เจริญรอยตามโพธิสัตว์ แล้วก็สำเร็จคืนดั่งโพธิสัตว์ อาจารย์ขออวยพรให้ศิษย์ทุกคน
ถ้ามองดีๆ ก็จะรู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเรานั้นมีความสุขอยู่คนเดียวหรือเปล่า ถ้ามองแล้วรู้ว่ามีการเกิดแก่เจ็บตาย รู้ว่าทรัพย์สินเงินทองเหมือนกับความหลงที่มีอยู่ อาจารย์อยากถามว่าที่ไหนคือจุดหมายของศิษย์ ทางใดคือแนวทางจุดหมายที่จะมุ่งเดิน จุดหมายนั้นมุ่งไปเพื่ออะไร หากว่าวันนี้มีแนวทางที่จะบำเพ็ญธรรมะ ดูว่าความเมตตาที่ส่องออกมานั้นมีมากแค่ไหน แล้ววัดที่ตัวเอง อย่าให้ผู้อื่นมาคอยชี้คอยเตือน เพราะมนุษย์นั้นล้วนมีอารมณ์ทุกๆ คน พอคนอื่นว่าเราผิด เราก็โกรธ เช่นนี้แล้วอย่าหวังให้ผู้อื่นคอยชี้นำ เราควรที่จะชี้นำตัวเองว่าควรเดินไปทางใด ดูว่าสติของตัวเองตามทันการกระทำแค่ไหน ลองคิดดูอาจารย์บอกว่าเปิดทางปัญญา ทางปัญญาที่อาจารย์พูดถึงมีทางวิสารทคือความแกล้วกล้า มีความชำนาญ ทุกคนทำงานก็มีความชำนาญทั้งสิ้น แต่ปัญญาตัวนี้อาจารย์ให้ไว้สำหรับทำอะไร (ใช้ในการตัดสินใจ) ในทางปัญญานั้น เมื่อมีความวิสารท มีจรรยา คือการประพฤติปฏิบัติซึ่งสมบูรณ์เพียบพร้อม อยู่ที่ว่าศิษย์ได้ตั้งใจนำสิ่งนั้นออกมาใช้หรือไม่ ถ้ามีปัญญาแต่ว่าไม่นำออกมาใช้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ความกล้านั้นสำคัญยิ่ง ถ้าเป็นผู้มีความกล้าแต่ไม่มีคุณธรรม ถึงแม้จะเป็นผู้นำอยู่ข้างหน้า ผู้อื่นจะให้ความเคารพไหม (ไม่) ฉะนั้นผู้ที่อยู่ข้างหน้าจะต้องพึงระลึกอยู่เสมอ อาจารย์ฝากฝังไว้อย่างสุดท้ายคือการบำเพ็ญ เพราะคนที่รู้ธรรมแล้ว บัดนี้เหมือนกับการได้รับปริญญาก่อน วันนี้ได้รับปริญญาแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือเรียน (หมายถึงการบำเพ็ญ) ศิษย์ของอาจารย์จะเรียนจบได้ไหม (ไม่ได้) การที่จะมีความรู้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้อย่างแท้จริง
การทำความดีเป็นสิ่งที่ไม่เสียหายใช่ไหม เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว พร้อมที่จะเดินไปกับอาจารย์หรือเปล่า (พร้อม) วันนี้คนที่บำเพ็ญก็อายุยังไม่มากนัก ขอให้อ่อนน้อมถ่อมตน ส่วนคนที่อายุมากแล้วก็ต้องเร่งรีบบำเพ็ญ อาจารย์หวังให้ศิษย์ตื่นขึ้นเพื่อตัวศิษย์เอง อย่าลืมว่าหนทางบำเพ็ญนั้นเราไม่ได้เดินไปคนเดียว ยังรวมถึงบรรพชนและผู้ที่อยู่รอบข้างที่ศิษย์ยังไม่ได้ฉุดช่วยหรือยังช่วยเขาไม่ได้ ขอให้ใช้ความพยายามเพิ่มขึ้น ฟังธรรมะสองวันอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ อาจารย์เองก็วางใจไม่ค่อยลง ความจริงใจที่ไม่สามารถสื่อถึงกัน ศิษย์อาจารย์แม้ผูกพันดั่งพ่อลูก แต่หากพ่อรักลูกฝ่ายเดียว ลูกไม่รักตัวเอง อยากถามว่าความรักนั้นเสียเปล่าไหม คนที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจ ส่วนคนที่ยังไม่เข้าใจธรรมะจะให้อาจารย์ใช้วิธีไหน ขอให้ศิษย์ทุกคนดำเนินทางของตัวเองด้วยความหนักแน่น ลาก่อน
พระนาจา : ศิษย์น้องทุกคนคิดถึงพระอาจารย์ไหม หนทางของการบำเพ็ญไม่ใช่จะราบเรียบเสมอ ต้องมีขรุขระบ้าง แต่เมื่อพบทางขรุขระแล้วจะยอมบำเพ็ญต่อหรือเปล่า พระอาจารย์รอศิษย์น้องอยู่ทุกๆ วัน มีโอกาสคงได้พบกันอีก ขอให้ศิษย์น้องโชคดี
วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2538
2538-08-05 พุทธสถานอิ๋งเต๋อ จ.นครสวรรค์
PDF 2538-08-05-อิ๋งเต๋อ #9.pdf
#สัปปุริสธรรม #ศรัทธา
วันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานอิ๋งเต๋อ จ.นครสวรรค์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ทะเลทุกข์เสมอด้วยความทุกข์ยาก จิตลำบากดั่งหุบเหวที่มิสุด
แต่บัดนี้ได้ชี้ธรรมอันพิสุทธิ์ จงเร่งหยุดกิเลสร้อยที่หลงไป
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
วาดวงกลมวัฏฏะนี้ลงที่ใด น้องตั้งใจพินิจดูรู้จริงหนา
อันอัตตาแห่งตนปนชีวา ตรวจดูค่าอันแท้จริงชาตินี้ดู
บาปเคียงคู่บุญหลอนท่านยึดติด ดวงชีวิตจึงอับเฉาไร้จุดหมาย
เร่งบำเพ็ญในนอกพร้อมใจกาย ยังมิสายหากไปเริ่มลงมือ
คะนึงสามให้รู้ตรวจตราจิต ย้อนมองตนที่ผิดถูกจึงมิเขลา
อันตัวเราปราชญ์แท้มิดูเบา มิมัวเมาตรากตรำจิตอีกต่อไป
เป็นผู้คนแดนดินตะวันออก คิดจะไปตะวันตกมิใช่เรื่องใหญ่
เพียงละลายกังขาแลเดินไป ผู้จริงใจย่อมไปถึงมินานเกิน
ขณะนี้ชีพยังอยู่ตรองให้ดี เมตตามีเวไนยอีกมากหลาย
ยุคขาวแล้วโปรดผู้มีบุญแผ้วพรรณราย มิเสียดายด้วยหนักแน่นจะก้าวเดิน
อันพระธรรมไร้รูปให้เห็นได้ เกิดรูปลักษณ์จึงวุ่นวายมิสิ้นสุด
ตรองจิตตนคือพุทธะแสวงจุด อย่าได้หาพระวิมุตตินอกกายปลอม
ประชุมธรรมสามโลกสะเทือนลั่น กัมปนาทฟาดฟันผู้หลับใหล
เพื่อตนเองตื่นรู้ญาณภายใน แลได้ไปช่วยบรรพชนที่รอคอย
อันระเบียบที่เคร่งครัดแห่งธรรมสถาน เพื่อจัดการดั่งกฎหมายอันยิ่งใหญ่
ด้วยเหตุผลทุกคนอย่าเผลอไป แลเข้าใจตั้งใจฟังซึ้งธรรมา
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่คุมมิห่างไกล
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านจินถง อวี้หนวี่
มวลบุปผาบานแข่งกันกลีบสีสด เหลือบเห็นมดขยันทำงานแข่งแสงฉาย
ศีตคันธ์ลมโชยแผ่วมาทักทาย โอบล้อมใจทุกทุกดวงให้สุขจริง
เราทั้งสองคือ
จินถง อวี้หนวี่ ร่วมรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทั้งชายหญิงฟังธรรมะเข้าใจหรือเปล่า
ยิ้มเบิกบานแม้แสงอาทิตย์ร้อน ฟ้าอาทรลมไหวให้พัดผ่าน
มวลพฤกษาโบกพลิ้วดูชื่นบาน ต่างขับขานบรรเลงเพลงเสียงกำจาย
ภุมรินโผผินถิ่นดอกไม้ จากดอกใหญ่ไปดอกเล็กเตือนใจหมาย
ในโลกนี้มีเรื่องราวอีกมากมาย สุขวันนี้โศกวันไหนใครรู้ทัน
ทุกชีวิตมีคุณค่าควรนึกถึง ว่าวันหนึ่งสิ้นเวลามีค่าไหม
ฟ้าบรรเจิดด้วยเมตตาปวงเวไนย เป็นสิ่งคอยเตือนให้ใจยั้งคำนึง
อย่าปล่อยให้บ่วงอารมณ์ที่ตนก่อ เกิดผลิหน่อยากลำบากในภายหลัง
ยิ่งฝังรากเติบใหญ่ให้ทุกข์ประดัง จิตหน้าหลังหวังแก้ลำบากใจ
ชีวิตนั้นผกผันตามสถานะ บ้างยอมละบ้างเข้มแข็งตึงผ่อนได้
ประคองจิตเฉกศิศุภาพเกษมฤทัย ดีหรือร้ายมิเก็บไว้ให้อาดูร
บำเพ็ญธรรมบำรุงพุทธจิต สถิตเที่ยงสงบแท้กลางสถาน
คุ้มเรือนกายประคองใจทุกทุกยาม เปรียบเพชรงามยิ่งเหลี่ยมยิ่งสว่างไสว
ฮิ ฮิ หยุด
ประชุมงานพุทธา พรมน้ำทิพย์โปรย น้ำทิพย์โปรย น้ำทิพย์โปรย ประชุมงานพุทธา พรมน้ำทิพย์โปรย ฟื้นญาณเดิม
สนุกสุขก็จงมา ยิ้มให้กัน ยิ้มให้กัน ยิ้มให้กัน สนุกสุขก็จงมายิ้มให้กัน สำราญใจ
เบิกบานเราก็จงมา ทักทักกัน ทักทักกัน ทักทักกัน เบิกบานเราก็จงมา ทักทักกัน สานไมตรี
หากใครเมื่อยก็มา เราจะทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบตุ๊บตุ๊บ หากใครเมื่อยก็มา เราจะทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบคลายปวด
อ้าว เวลาก็เดินมา ติ๊กติ๊กติ๊ก ติ๊กติ๊กติ๊ก ติ๊กติ๊กติ๊ก อ้าว เวลาก็เดินมา ติ๊กติ๊กติ๊ก พบกันใหม่
เพลง : บทเพลงแห่งความสุข
ทำนองเพลง : THE WHEEL OF THE BUS
พระโอวาทท่านจินถง อวี้หนวี่
ท่านอวี้หนวี่ : ทุกๆ ท่านเป็นคนที่จะต้องรับฟังธรรมะเอง อาจารย์บรรยายธรรมแต่ละท่านเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดให้ อยู่ที่พวกท่านจะรับเอามาหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) ถ้ารับเอามาก็ต้องเก็บเข้าแฟ้มให้เป็น อันไหนดีเราก็เก็บไว้ อันไหนมีประโยชน์เราก็นำไปใช้ ใช่ไหม
ทุกคนลองกำมือตัวเองดู แล้วลองสั่งให้มือแบ กำมือแล้วแบมือออก ทำง่ายหรือเปล่า (ง่าย) แต่ถ้าบอกให้ทุกคนลองหุบใจดู ทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) กางใจได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมทำไม่ได้ ในเมื่อทุกคนสั่งให้กำมือแบมือ ยังทำได้ แล้วทำไมสั่งใจเราไม่ได้ เพราะอะไร เพราะหาใจไม่เจอ ไม่รู้ว่าใจเราอยู่ไหน ไม่เหมือนมือที่มองเห็น สามารถให้หุบได้แบได้ ลองพิจารณาดูให้ดีๆ ทุกคนต่างก็มีปัญญาแห่งพุทธะ แต่อยู่ที่การรับฟังและการที่เปิดรับเอาเข้ามา ถ้าใจปิดแม้หลายคนพยายามส่งให้ เราก็ไม่รับเพราะใจเราปิดอยู่ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเองยังดูใจตัวเราเองไม่ได้ แล้วจะให้ใครมาดูใจตัวเราให้ว่าตอนนี้เรากำลังสงสัยไม่แน่ใจ หรือว่าต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาชี้แนะแบบนี้ ทุกคนถึงจะได้รับ เปิดใจ ปิดใจ ให้ใครชี้ (ตัวเราเอง) เมื่อเวลาหิวตัวเรายังรู้ว่าตอนนี้ต้องการกินข้าว ในอนาคตพวกเราจะต้องรู้ว่าจะทำอะไรแล้ว รู้ไหม (รู้) ใจยังสงสัยอยู่ เราก็ต้องเปิดใจวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องไหม สิ่งที่เรากำลังทำอยู่หลอกลวงทุกท่านหรือเปล่า เหมือนเราจะเดินเข้าซอย ถ้าปิดประตูซอยนี้แล้วเข้าไปไม่ได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าซอยนี้เป็นอย่างไร ใครก็บอกว่าในซอยนี้มีขุมทรัพย์มหาศาล ถ้าเราไม่เข้าไปดู เราจะรู้ไหม (ไม่รู้)
ท่านจินถง : ในเวลาปกติใจของมนุษย์เปรียบเหมือนทีวี เวลาเปลี่ยนช่องก็กดแช็กๆ ใจคนเดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ แล้วควรทำใจเหมือนอะไร (ใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร (มีเมตตา) เราควรทำใจเหมือนอะไร (เด็ก) แหงนมองขึ้นไปเห็นอะไร (ฟ้า) ใจแบบฟ้านี้ดีไหม ฟ้าเป็นอย่างไร (กว้าง) เวลามนุษย์ทำไม่ดีฟ้าตะโกนบอกว่าท่านทำไม่ดีหรือเปล่า ทำใจแบบฟ้ายากไหม ปกติใจของทุกๆ ท่านก็เป็นใจฟ้าอยู่แล้ว แต่ใจฟ้านี้ต้องให้อยู่เป็นฝ่ายกลาง คือดำรงความเที่ยง ใจฟ้าคือรู้จักเมตตา ท่านคิดว่าใจฟ้าเป็นอย่างไร (จิตใจกว้างขวาง สดใส โอบอ้อมอารี ใจดี) ถ้าไม่มีฟ้าพวกท่านจะมีข้าวกินไหม มีผู้บอกว่าผู้บำเพ็ญธรรมดื่มน้ำต้องระลึกถึงต้นธาร ท่านเคยคิดไหมว่าทุกท่านเกิดมาหนึ่งชีวิตก็มีต้นธารเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์เกิดมาก็ต้องมีต้นสาย (คิด)
ชีวิตนี้บางคนเกิดมาก็มีอายุถึงร้อยปี ร้อยปีนี้เป็นช่วงสั้น คนเราเวียนว่ายมานานแค่ไหนแล้ว (หกหมื่นปี) หากท่านสละเวลาที่เหลือในชีวิตนี้ ถ้าตอนเย็นว่างก็มาไหว้พระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็รับรู้ได้เสมอว่าท่านมาห้องพระบ่อยๆ เมื่อมาห้องพระบ่อยๆ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดีไหม (ดี) แต่ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของท่านว่ามีมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่ามาห้องพระแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองร้อยเปอร์เซ็นต์
ห้องพระที่นี่เพิ่งเปิดใหม่ ทุกคนต้องสามัคคีกัน หากพี่ล้มน้องจูง หากน้องทำไม่ถูก พี่ก็ช่วยเตือน
ท่านอวี้หนวี่ : “ยิ้มเบิกบานแม้แสงอาทิตย์ร้อน ฟ้าอาทรลมไหวให้พัดผ่าน
มวลพฤกษาโบกพลิ้วดูชื่นบาน ต่างขับขานบรรเลงเพลงเสียงกำจาย”
หมายถึง แม้ว่าเราจะร้อนระอุภายใน แต่ฟ้าก็ประทานลมเย็นๆ มาให้เรา เหมือนต้นไม้ สักพักก็โบกพลิ้วไปมา จริงๆ แล้วถ้าทุกคนจิตสงบ ตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วมองธรรมชาติที่โบกพลิ้วไปตามสายลม นั่นคือดนตรีชนิดหนึ่งที่ต้องใช้หูฟัง เป็นดนตรีที่เกิดจากธรรมชาติที่น่าฟังและน่ารื่นรมย์สดชื่น มนุษย์นั้นบางครั้งเกิดความวุ่นวาย เหมือนคนที่อยู่ในเมืองแล้วเห็นแต่ตึกรามบ้านช่อง บางครั้งอยากจะหลบหนีไปหาธรรมชาติ ไปมองความสวยงามจากภูเขา ลำน้ำ จริงๆ แล้วทุกคนก็ชอบความเป็นธรรมชาติใช่ไหม (ใช่) แต่บางครั้งก็ขอให้ได้ตกแต่ง ขอให้ได้เพิ่มเติมนิดหน่อยก็ยังดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนกับว่าเราเป็นผีเสื้อน้อยๆ ที่กำลังหาเกสรจากดอกไม้ดอกหนึ่ง เราไม่รู้หรอกว่าดอกที่เรากำลังหาอยู่นั้น เป็นดอกที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ดอกไม้ทุกๆ ดอก แต่เราก็ยังมองออกไปว่าตรงนั้นก็มี ตรงนี้ก็มี แต่บางทีเพราะความต้องการและความอยากของเรา ทำให้เราหวังไปหาดอกอื่นข้างหน้า แล้วเราก็มานั่งเสียใจภายหลังว่าดอกที่แล้วยังสวยกว่า หอมหวานกว่าและใหญ่กว่าอีก มีบ้างไหม (มี) เหมือนอย่างที่บอกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเราไม่เห็นคุณค่า แต่เมื่อเขาจากเราไป เราจึงเห็นคุณค่า
“ทุกชีวิตมีคุณค่าควรนึกถึง ว่าวันหนึ่งสิ้นเวลามีค่าไหม
ฟ้าบรรเจิดด้วยเมตตาปวงเวไนย เป็นสิ่งคอยเตือนให้ใจยั้งคำนึง”
คุณค่าชีวิตของทุกคนอยู่ที่ความดี แล้วคนที่ไม่ทำความดีเขามีคุณค่าไหม (ไม่มี) แต่เราว่ามี เพราะถ้าไม่มีคนไม่ดีแล้วจะมีคนดีเกิดขึ้นไหม (ไม่มี)
ทุกคนแบ่งเอาเองว่าเราดี เขาไม่ดี ฉะนั้นคุณค่าของชีวิตต้องอยู่ที่ว่าเรามีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิตหรือเปล่า แล้วจุดมุ่งหมายที่เรากำลังเลือกอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ต่อหมู่ชน ต่อสถาบัน ต่อคนที่แวดล้อมหรือเปล่า ถ้าเราทำแล้วไม่กระทบกระเทือนใคร ไม่ทำร้ายใคร สิ่งที่เราทำนั้นเป็นคุณค่าของใคร (ตัวเราเอง) ใครทำดีก็ไม่เท่าตัวเองตั้งอยู่ในความชอบ หวังทำแต่สิ่งที่ดี เมื่อเกิดฟ้าผ่า ฟ้าลั่น ทุกคนก็ยังสามารถหลบหลีกได้ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนเผลอไปทำสิ่งไม่ดีแล้ว เราจะหลบหลีกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะขนาดแค่ใจของเราเอง เรายังกลัวคนรู้ กลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาจับเราไหม สักวันหนึ่งจะมีคนรู้ไหมว่าเรากำลังทำผิด แค่เราทำผิดนิดหนึ่งตัวเราเองก็กลัวแล้ว ฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องรู้หลักรู้ควร อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ต้องรู้ในหลักสัปปุริสธรรม ๗ คือ ๑. รู้หลักหรือรู้จักเหตุ ๒. รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล ๓. รู้จักตน ๔. รู้จักประมาณ ๕. รู้จักกาล ๖. รู้จักชุมชน ๗. รู้จักบุคคล
วันนี้เราทั้งสองมาเพื่อเล่นละครให้ใครดูหรือเปล่า มาหลอกลวงและทำสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า (ไม่ใช่) เราไม่ได้หลอกลวงใช่ไหม เราเหมือนเอาทีวีมาให้ท่านดูจอหนึ่ง รายการนี้มีคุณค่าและมีสาระ อยู่ที่ว่าท่านจะนำคุณค่าและสาระนี้ออกไปใช้ประโยชน์หรือเปล่า ธรรมะพูดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด พร้อมที่จะเปิดใจเข้าไปศึกษา อย่าเพิ่งดูถูกตัวเอง เพราะตัวเองก็เป็นพุทธะน้อยๆ หรือพุทธะที่อาวุโสได้ อยู่ที่ว่าทุกท่านจะเข้าใจในสิ่งที่เราทำหรือไม่
ท่านจินถง : จากกลอนนำ มวลบุปผาคืออะไร (ดอกไม้) ดอกไม้มีอายุยืนไหม ชีวิตของพวกท่านเหมือนดอกไม้ซึ่งบานเพียงชั่วครู่ก็อาจจะเหี่ยวเฉาลงไปได้ ดอกไม้ที่สีสดๆ บานแข่งกันก็เหมือนกับชีวิตหนึ่งซึ่งหาเงินทองลาภยศ เพราะว่าดอกไม้บานแข่งกัน ชีวิตคนเหมือนดอกไม้ตรงที่ต้องแข่งกันทุกวันๆ เพื่อที่จะให้สีดอกไม้ของตนเองนั้นสวยสดกว่าใครใช่ไหม (ใช่) ท่านคิดว่าท่านเป็นดอกไม้ที่อยากจะให้ตัวเองสีสดใสอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วท่านคิดว่าดีไหม (ดี) ดีหรือ เมื่อสักครู่นี้เพิ่งจะฟังสัจธรรมแห่งชีวิต บอกว่าอเล็กซานเดอร์ตายแล้วไปมือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) แล้วลาภยศเงินทองนำติดตัวไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วท่านอยากจะให้ตัวเองแข่งกับผู้อื่น เป็นดอกไม้ที่สวยสดที่สุด อย่างนี้ท่านคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรือเปล่า (ไม่) ชีวิตคนเราเมื่อผิดพลาดไปแล้วจะนำกลับมาแก้ไขใหม่ไม่ได้ เมื่อนั้นคิดจะมาสร้างมาทำก็ช้าไปใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ในวันนี้ พิจารณาว่าวันนี้เราทำอะไรให้เป็นประโยชน์หรือเปล่า อย่าคิดว่าหน้าที่ของตัวเองนิดๆ หน่อยๆ เป็นคนทำครัว เราก็รู้ว่าการทำครัวให้อร่อยที่สุดนั้นอยู่ตรงไหน เป็นลูกเราจะกตัญญูอย่างไร เป็นมนุษย์ต้องรู้ว่าจะเมตตาอย่างไร ท่านคิดว่าหน้าที่พวกนี้พึงกระทำไหม (พึงกระทำ)
“เหลือบเห็นมดทำงานแข่งแสงฉาย” ถ้าเราเป็นดอกไม้ บังเอิญเหลือบไปเห็นมดทำงานแข่งกับเวลา เราต้องรู้ว่าชีวิตเราไม่ยืนยาว ตอนนี้เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมะ ต้องมีความเมตตา ต้องขัดเกลาจิตตัวเอง ถ้าหากว่าวันนี้เราผลัดไปเหมือนดินพอกหางหมู ผัดวันประกันพรุ่ง ท่านคิดว่าท่านจะเริ่มบำเพ็ญได้วันไหน
“ศีตคันธ์ลมโชยแผ่วมาทักทาย” ศีตคันธ์แปลว่ากลิ่นหอมเย็น กลิ่นหอมเย็นนี้โชยแผ่วมา ตอนนี้ถึงวาระที่พวกท่านซึ่งเป็นปุถุชนจะได้บำเพ็ญในครัวเรือน ท่านก็ควรจะตอบสนองด้วยอะไร เมื่อมีลมมากระทบกับดอกไม้ ดอกไม้ก็โอนไปโอนมา เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อท่านรับวิถีธรรมแล้ว เมื่อมาในสถานธรรมท่านก็เป็นดอกไม้ ท่านคิดว่าท่านจะสนองในวาระการบำเพ็ญในครัวเรือนได้อย่างไร (พาคนมารับธรรมะ ปฏิบัติธรรม สำรวจจิตตนเอง) การที่มีโอกาสรับรู้วิถีธรรมแล้ว สิ่งที่ทุกท่านต้องทำก็คือทำจิตใจตนให้กลับสู่ภาวะที่บริสุทธิ์ สะอาด การชวนคนมารับธรรมะเป็นเรื่องของความเมตตาซึ่งเกิดจากจิตของตัวเอง ผู้ที่ชวนคนมารับธรรมะแล้วต้องไปส่งเสริมเขาด้วย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะคิดว่าไม่มีสิ่งที่จริงอยู่ในธรรมะอันไร้รูปลักษณ์นี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) แล้วทุกท่านก็จะเป็นสุขจริงตามที่เราบอกไว้ เพราะเป็นสุขที่จีรังยั่งยืน แต่ถ้าจะสุขจริงๆ ต้องบำเพ็ญทั้งบ้าน การที่เราเป็นคนดี คนในบ้านเขาเห็นว่าเราเป็นคนดี เมื่อนั้นเขาก็จะเข้าใจว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาพูดกับนักเรียนในชั้นท่านหนึ่ง) เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเปล่า เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วจะไปบำเพ็ญกับภรรยาและลูกหรือเปล่า (ทุกวันนี้ก็บำเพ็ญอยู่แล้ว) การที่เราบำเพ็ญทั้งครอบครัวก็จะเกิดสุขจริงๆ นำครอบครัวไปบำเพ็ญดีไหม (ดี)
ประชุมงานพุทธะครั้งนี้มีน้ำทิพย์โปรย ธรรมะที่อาจารย์บรรยายธรรม บรรยายให้เราฟังนั้นก็เหมือนน้ำทิพย์ที่โปรยปราย เราก็ฟื้นญาณเดิม เมื่อเราสนุกสุขก็ยิ้ม เวลามีคนเข้ามาในห้องพระ เราก็ต้องยิ้มแย้มทักทายกัน ไมตรีจึงจะเกิดขึ้นได้ถูกไหม (ถูก) เราจะต้องสานไมตรีให้เกิดขึ้น แล้วก็ร่วมศึกษาธรรมะด้วยกัน สนทนาธรรมะให้เกิดประโยชน์ต่อจิตตัวเอง เข้าใจหรือเปล่า เมื่อฟังธรรมะแล้วเมื่อย เราก็จะทุบตุ๊บตุ๊บ การทุบนั้นก็เพื่อที่จะคลายปวดคลายเมื่อย เวลาก็เดินไปติ๊กติ๊กติ๊ก กายนี้ไม่ใช่ของเรา เราอยู่ได้ไม่นาน อยู่กับพวกท่านได้เพียงครู่เดียว แล้วเราก็บอกว่าพบกันใหม่ เข้าใจหรือเปล่า
เพลงนี้เราให้ชื่อว่า “บทเพลงแห่งความสุข” จริงๆ แล้วในโลกนี้ก็ไม่มีสุขไหนที่เป็นสุขจริง แต่เราก็สมมติว่าเป็นสิ่งที่มีความสุข ทำให้พวกท่านมีความเบิกบานในจิตใจขึ้นได้
อีกสักครู่เราทั้งสองจะไปแล้ว หากวันหน้าพวกท่านมาอีก ก็จะพบกับเราอีก คิดถึงพวกเราหรือเปล่า (คิดถึง) จริงหรือเปล่า (จริง) เราคิดถึงพวกท่านจริงๆ พวกท่านก็ต้องคิดถึงเราจริงๆ ด้วยนะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลักสัปปุริสธรรม ๗ คือ ๑. รู้หลักหรือรู้จักเหตุ ๒. รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล ๓. รู้จักตน ๔. รู้จักประมาณ ๕. รู้จักกาล ๖. รู้จักชุมชน ๗. รู้จักบุคคล
วันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เมตตาสถานเวไนยชนศิษย์รักข้า เปิดขึ้นมาใจนี้มั่นคงยิ่ง
ขอศิษย์รักร่วมแรงกันอย่าประวิง ทำสิ่งดีมิกลัวผลเหตุใดใด
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน (อิ๋งเต๋อ) แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยยากกันหรือเปล่า
หากน้อมนำอุดมธรรมแลรอบคอบ แบบทดสอบบ่งแท้มามิประหม่า
ศิษย์รักผ่านศรัทธาหนุนสนองบัญชา นิพัทธ์หล้าโปรดจริงแต่เพียงใจ
ฤทัยฟ้าเบื้องหลังแห่งสรรพสิ่งอาณา เมื่อภัยเกิดผ่องฟ้าอันตรธานหาย
จงสงบแลนิ่งทั้งใจกาย หาไม่เพลิงกลางฤทัยบังเกิดแทน
สักการะต่อพุทธะปรานีเลือกสรรดู บุปผาชูกลิ่งบัวกลางโคลนหนา
ยกช่อนั่นเครื่องบูชาควรพิจารณา ความงามเทียมแท้นิภาตรองฤทัย
ศูนย์ตากลางถ้ำโบราณเขาพุทธะ อาจารย์ชี้ให้ศิษย์รู้ทางเท่านั้น
ให้ไปเดินรู้เองแปรชีวัน แล้วตั้งมั่นไปบำเพ็ญทั้งครอบครัว
ฮา ฮา หยุด
ผงาดดังนก อิสระโผ เติบโตโดยเรียนรู้ ลู่ทางว่องไว ท่ามกลางทิวทัศน์งามตา ฝนหลั่งกลางฟ้าอุทัย บทบาทชีวิตก็เป็นฉะนี้
* แต่กับชีวิต แห่งจิตมนุษย์ เพิ่มความชำรุดทำลายจิตใจ ชีพคนเช่นนกหลงทาง ที่แตกตื่นหาทางไป คืบวาผันให้ยิ่งไกลเกินจริง
** นกที่ไร้รัง หันคืนทิศใด แผ่นฟ้าใส ไร้ทางคืนกลับ ศิษย์จงคิดดูดีดี บอกหนนี้คืนบ้านตน ฝ่าลมฝนจงเชื่อคำอาจารย์ (*, **)
เพลง : กลับบ้านเดิม
ทำนองเพลง : ไม่อยากให้เธอรู้
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์รักทุกคนเหนื่อยกันหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย) พอเห็นหน้าอาจารย์ก็บอกไม่เหนื่อย ศิษย์รักของอาจารย์น่ารักอย่างนี้ทุกคนใช่ไหม นั่งฟังธรรมะมาตั้งสองวันแล้ว เมื่อยกันหรือเปล่า เวลานั่งฟังธรรมะ ศิษย์ต้องรู้ว่าคนที่พูดให้ฟังไม่ใช่ว่าเขาจะมีความสามารถมากกว่าเรามากมาย สิ่งที่เขาพูดล้วนเกิดจากการศึกษาธรรมะทั้งสิ้น ศิษย์คิดว่าการศึกษาธรรมะเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า ศึกษาธรรมะเพื่อให้จิตของศิษย์ได้รับการขัดเกลากลับสู่ความสว่างไสว สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (อิ๋งเต๋อ) อิ๋งเต๋อแปลว่าสว่างดังหยก ห้องพระที่นี่มีชื่อแล้ว คนที่อยู่นครสวรรค์ทุกคนก็ต้องรู้ว่าเมื่อได้รับชื่อสถานธรรมแล้ว เราควรที่จะมาสถานธรรมบ่อยๆ และทำตัวเองให้เหมือนชื่อสถานธรรมนี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
“อุดมธรรมแลรอบคอบ” ศิษย์เข้าใจว่าอย่างไร (การปฏิบัติธรรมที่รอบคอบ) การปฏิบัติธรรมอย่างรอบคอบต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้างจึงจะเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ การบำเพ็ญธรรมให้รอบคอบต้องประกอบไปด้วยสติ พระพุทธะกล่าวว่าปุถุชนกลัวอะไร (กลัวผล) พระพุทธะกลัวเหตุ ถ้าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้จักที่จะกลัวเหตุซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดผล ศิษย์ก็จะเป็นพุทธะได้ ความรอบคอบคือตั้งสติไว้ตลอดเวลา ถ้าศิษย์ของอาจารย์มีสติ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดๆ ก็จะไม่กลัว เพราะเราได้ตัดสินใจลงไปแล้วใช่ไหม (ใช่) การตัดสินใจนั้นจะต้องรู้ว่าได้ตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือเปล่า หรือว่าตัดสินใจผิดๆ ไปแล้วก็ยังจะทำ แต่การตัดสินใจต้องออกมาจากความเที่ยงของจิต เข้าใจหรือเปล่า
เมื่อวานนี้ท่านจินถง อวี้หนวี่มา ทุกคนเกิดความสนุกสนานหรือเปล่า (สนุก) การที่จะเกิดความสนุกสนานในจิตได้ จิตของเราต้องรู้จักเบิกบานเสียก่อน จิตที่เบิกบานคือจิตที่ไม่ขุ่นมัว แล้วจิตของศิษย์ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ขุ่นมัวหรือเปล่า ถ้าจิตไม่ขุ่นมัวแล้ว ศิษย์ของอาจารย์ก็เข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง ทำการใดๆ ก็ไม่กลัวพลาด ใช้ชีวิตอยู่ให้เกิดคุณธรรม ศิษย์ทำได้หรือไม่ เพื่อชีวิตนี้และเพื่อความสุขสดใสแห่งจิต ทุกๆ วันจะต้องรู้จักล้าง รู้จักเช็ด รู้จักปัด แล้วศิษย์ของอาจารย์ปัดเช็ดจิตนี้ทุกวันหรือเปล่า ฝุ่นในจิตมีหนาไหม (หนา) เป็นเพราะว่าเกิดมาแล้วตายไป วนอยู่อย่างนี้หลายภพหลายชาติ ถ้าหากวันนี้เข้าใจธรรมะแล้วก็ควรเริ่มต้นบำเพ็ญ รู้จักว่าจะขัดเกลาจิตอย่างไร การอยู่ร่วมกันก็จะมีความสุขอย่างยิ่ง ดูๆ แล้วศิษย์ทุกคนก็มีความศรัทธาอันมั่นคงยิ่ง ถ้าหากว่ารู้ที่จะนำไปสู่ทางที่ดี ไม่ลังเลสงสัย ไม่เดินครึ่งทาง ชีวิตนี้ก็เกิดความสงบสุขในการบำเพ็ญธรรมะ ส่วนการจะเกิดโชคลาภวาสนาได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อก่อนนี้ศิษย์เคยทำไว้หรือเปล่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไต่ถามใดๆ ถ้าหากคิดว่าลองสิ่งใดแล้วจะรู้ นั่นไม่ใช่ธรรม การศึกษาธรรมะก็เพื่อที่จะดำรงอยู่ได้และหลุดพ้นกลับไปได้ อาจารย์ไม่ได้มาเพื่อที่จะบอกว่าสิ่งนั้นทำให้ศิษย์เจริญรุ่งเรือง สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ตกอับลงไปได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
อาจารย์เปรียบชีวิตของคนว่าเป็นเหมือนนกที่มีบทบาทที่จะเติบโตเรียนรู้ ชีวิตของศิษย์มีเพียงแค่หากินอยู่วันหนึ่งๆ แค่นี้หรือเปล่า เหมือนกับว่าอยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อเช้าค่ำผ่านไป ค่ำมีฝนตก เช้าผ่านมาออกไปหากินใหม่ บทบาทของชีวิตมนุษย์ทุกๆ วันก็เป็นอย่างนี้ การดำรงเมตตาฉุดช่วยโปรดคนให้เกิดความสว่างไสว ให้เวไนยสัตว์เกิดความรู้แจ้งเร็วขึ้นจะดีไหม (ดี) แต่ว่าท่ามกลางการแก่งแย่งทำมาหากิน ศิษย์เกิดการทำลายและทำร้ายจิตใจ ทำลายไปเรื่อยๆ หนึ่งชาติผ่านไป ทำลายไปส่วนหนึ่ง สิบชาติผ่านไป ทำลายไปสิบส่วน บางคนเกิดมาชาตินี้เป็นมนุษย์ แต่ว่าชาติที่แล้วหรือชาติก่อน หรือบรรพชนเราจะไปเกิดเป็นอะไรไม่มีใครรู้ได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์เร่งบำเพ็ญเพื่อตัวศิษย์เอง เพราะว่าความสุขนั้นไม่อาจจีรังอยู่กับศิษย์ได้ตลอดไป วันนี้เหมือนกับนกที่บินหลงทางไป ถ้าเกิดว่ายิ่งแตกตื่น รุ่มร้อน เพื่อที่จะหาวิถีสัจธรรม ศิษย์อาจจะเจอ แต่ว่าศิษย์ยังเดินไม่ตรงทาง อาจารย์ไม่ได้บอกว่าทุกๆ อย่างที่ศิษย์หามาไม่เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าค่อยๆ เดินกลับเข้ามาให้จิตใจเราเที่ยงตรงขึ้น ไม่เกิดความลังเลสงสัยอยู่ในใจ
เมื่อวานนี้เซียนเด็กได้บอกว่าใจฟ้านั้นเป็นอย่างไร (กว้าง) แล้วกลับไปนอนมาหนึ่งตื่นแล้ว ใจฟ้าเริ่มกว้างขึ้นหรือยัง หัวหน้าชั้นใจฟ้าเริ่มหรือยัง (เริ่มแล้ว วันนี้รู้สึกคล่องกว่าเมื่อวาน) หัวหน้าชั้นผู้หญิง (เริ่มจะศึกษา) แล้วคนอื่นล่ะ (รู้สึกสบายใจ, กว้างเหมือนฟ้า, สดใสกว่าเมื่อวาน, เข้าใจมากยิ่งขึ้น) อาจารย์หวังว่าฟังธรรมะแล้ว ศิษย์รักของอาจารย์จะเข้าใจธรรมะมากยิ่งขึ้น เพราะว่าฟังไปมากเท่าไหร่ ถ้าไม่เข้าใจ ศิษย์รักของอาจารย์ฟังไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) คนในโลกมนุษย์นี้ชอบฟังอะไรไม่ชัดเจน ฟังหนึ่งไม่รู้ถึงสิบ ฟังหนึ่งรู้ครึ่งเดียว แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็เกิดจากการพูดต่อๆ กันไป ใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์คิดว่ารู้ในสิ่งดี พูดในสิ่งดี เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าหากว่าอย่างนี้แล้ว รู้สิ่งดี พูดสิ่งดี ทำได้หรือเปล่า แต่หากรู้ในสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเปลี่ยนใจตัวเองเป็นเตา แล้วก็หย่อนมันลงไปและเผาให้หมดใช่ไหม (ใช่) ถ้ารู้ในสิ่งดีก็เก็บไว้เชิดชู ทำได้หรือเปล่า (ทำได้)
คนส่วนมากเมื่ออยู่ในสถานที่ใหม่ๆ และผู้คนยิ่งมากเท่าใด เรื่องราวก็ยิ่งสืบทอดกันได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นหนึ่งคนดี สองคนดี สิบคนดี ร้อยคนดี ทุกๆ อย่างก็จะเกิดสิ่งที่ดีขึ้นใช่ไหม (ใช่) แต่ว่าการกระทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพียงวันสองวันก็สามารถทำได้ ขอให้ศิษย์หมั่นพยายามเข้า ดูธรรมะก็ดูที่คน เพราะว่าธรรมะไม่มีรูปลักษณ์ อยู่ที่ว่าคนนั้นจะทำในสิ่งที่ดีได้มากแค่ไหน ถ้าหากว่าเราจะนำพาคนอื่นๆ ตัวเราเองก็ต้องรู้ที่จะขัดเกลาตัวเองเสียก่อนจึงจะนำผู้อื่นได้ ถ้าหากว่าเราเป็นผู้นำ แล้วเราเองทำไม่ได้ ผู้ที่มองเราอยู่เกิดหมดความศรัทธา ศิษย์รักจะแก้ปัญหานี้อย่างไร (ทำตัวให้ดี ให้เขาเกิดความศรัทธาขึ้นมาใหม่) แล้วถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร (มีความอดทน) แล้วศิษย์รักจะอดทนได้จริงๆ หรือเปล่า สถานธรรมก็อยู่ข้างๆ ที่นี่ก็เป็นของเรา ต่อไปนี้ถ้าเข้าใจธรรมะก็ต้องช่วยคนที่นี่ใช่ไหม (จะพยายามช่วย)
(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าพายเรือ) ให้พายไปถึงเขาผิงซันที่อาจารย์อยู่ พายถึงแล้วหรือ ถ้าศิษย์ถึงแล้วต่อไปนี้คงไม่ต้องมาเกิดอีก แล้วจะเสียดายหรือเปล่า ไม่ต้องมาเกิดนี้แสนสุขสบาย แต่เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องมีหน้าที่ที่ลำบากอยู่ดี เพราะฉะนั้นกลัวความลำบากหรือเปล่า (ไม่กลัว) เวลาเดินไปบนทางที่มีอิฐหินกรวดทราย แล้วศิษย์รักของอาจารย์ไม่มีรองเท้าจะเจ็บไหม (เจ็บ) อย่างนี้ก็เป็นความลำบากชนิดหนึ่งที่อาจารย์ยกขึ้นมาให้ฟัง เป็นการสมมุต กลัวหรือเปล่า (ไม่กลัว) ฟังธรรมะแล้วเกิดข้อสงสัยจะทำอย่างไร (ถาม) ถามใคร (ถามพระอาจารย์) แล้วถ้าอาจารย์กลับไปแล้วจะทำอย่างไร ถามอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช่ไหม (ใช่)
กลอนบทแรกที่อาจารย์ให้ ถ้าเกิดว่ามีธรรมะที่อุดมแล้ว การที่เราจะอยู่ในความลำบากใดๆ ศิษย์ก็ไม่กลัว ถ้าเกิดว่าเมื่อนั้นศิษย์หายสงสัย เหลือแต่ความศรัทธา นิพัทธ์กล้าหมายถึงทั่วหล้า ทั่วแผ่นดิน ทั่วหล้าทั่วแผ่นดินนี้อาจารย์โปรดอย่างไร (ให้รู้จิตญาณเดิม) จริงๆ แล้วการโปรดของอาจารย์ไม่ได้โปรดทางกาย โปรดทางกายเช่นอะไร (ทรัพย์สินเงินทอง) อยากจะมีทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ยาก ศิษย์รักหาเองได้ มาวันเดียวจะได้มรรคผลหรือไม่ การมาวันเดียวยังไม่ได้ผลอะไร อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง สู้กับความจำเป็นของชีวิต ถ้าศิษย์สู้อาจารย์ก็สบายใจ ถ้าศิษย์ไม่สู้ก็คือคนที่ยังไม่ก้าวและไม่ยอมเดิน มีคนบอกว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าง ไม่ใช่ว่างเพราะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ถ้าหากอยากได้ก็ทำขึ้นได้ แต่ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา อาจารย์อยากให้ศิษย์ร่ำรวยพุทธธรรม ร่ำรวยความเมตตาและสิ่งที่ดี เข้าใจหรือเปล่า บางคนมีทรัพย์สินมากมาย แต่ตกอยู่ในความมืด เป็นเพราะว่าเขามีมากเกินไป ทำให้เกิดความกังวล บางคนได้ทรัพย์สินเงินทองมาด้วยการแย่งชิงและคดโกง เมื่อโกงเขามาศิษย์ก็ห่วงว่าเขาจะมาทวงคืน เหมือนกับการที่ศิษย์นินทาเขา ก็กลัวเขารู้ คนทุกคนเคยทำความผิดทั้งนั้น แต่ว่าเมื่อทำความผิดแล้วศิษย์จะต้องรู้จักที่จะแก้ไขและเริ่มต้นใหม่ ถ้าผิดสองครั้งแก้สองครั้ง ถ้าผิดสิบครั้งแสดงว่าศิษย์รักของอาจารย์อาจจะเกิดจิตที่แย่ๆ ขึ้นได้ จะทำอะไรก็อย่าให้ผิดหลายครั้งหลายหน เข้าใจไหม
เมื่อเกิดใจฟ้าก็เป็นพุทธญาณเดิม เมื่อใดเกิดภัยพิบัติขึ้น จิตก็เหมือนกับนกที่เกิดความแตกตื่นลังเล ไม่เข้าใจ แล้วศิษย์ของอาจารย์อยู่ในภาวะแตกตื่นหรือเปล่า เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นผู้กลัวภัย เช่นเกิดไฟไหม้ขึ้น ศิษย์จะทำอย่างไร (ตั้งสติ) ตั้งสติคือนิ่งทั้งใจและกาย เมื่อนิ่งแล้วก็จะเกิดความสุข ไฟภายนอกไม่ร้ายแรง แต่ไฟภายในร้ายแรงกว่า เข้าใจไหม
ศิษย์รักของอาจารย์เคยทำบุญด้วยดอกไม้ไหม เวลาไปทำบุญเลือกดอกไม้แบบไหน (สวยที่สุด) ดอกบัวนี้เกิดมาได้อย่างไร (จากโคลนตม) มีใครเคยย้อนเข้าสู่จิตตัวเองบ้างว่าจิตของเรานั้นงดงามเหมือนดอกบัวบ้างไหม ลองไปคิดดูให้ดี
ที่อาจารย์บอกว่าจุดที่รับชี้ไปนั้นเป็นถ้ำโบราณ เป็นเขาพุทธะ เขาพุทธะนี้เมื่อรู้แล้วให้ศิษย์ไปปฏิบัติเองและเรียนรู้เอง ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่พูดแล้วจะรู้ได้ ฟังธรรมะสองวันแต่บางคนบอกว่าไม่รู้อะไรเลย นั่นเป็นเพราะว่าจิตญาณของตัวเองรับรู้ในสิ่งที่เป็นคำพูด แต่ว่าจิตตัวเองนั้นไม่ได้รับรู้สภาวะแท้จริง จึงต้องไปเดินเอง รู้เองและเข้าใจเอง เมื่อรู้เอง เดินเอง ในที่นี้มีหลายคนที่มาเป็นครอบครัว เพราะฉะนั้นการที่เราแปรตัวเองได้ นำคนในครอบครัวได้ เราก็นำให้บำเพ็ญทั้งครอบครัว บางคนตัวเองบำเพ็ญอยู่คนเดียวก็เกิดความทุกข์ ด้วยจิตใจที่บำเพ็ญอย่างมุ่งมั่น บางทีอาจจะทำอะไรซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจจิตใจคนในบ้าน ฉะนั้นทั้งบ้านเกิดความปรองดองกันเป็นสิ่งที่ดี เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) อาจารย์ก็อยากให้ทุกคนบำเพ็ญได้ทั้งครอบครัว อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนมีความปิติสุขอย่างแท้จริง แม้เราจะเป็นคนเดียวในครอบครัว แต่ถ้าหากว่าศิษย์รักพยายาม อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนต้องทำได้แน่นอน
ขอให้ศิษย์รักของอาจารย์มีความมั่นคงในธรรม แล้วช่วยงานอาจารย์ดีไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันตั้งชื่อเพลง ได้ชื่อว่า “กลับบ้านเดิม”) แสดงว่าทุกคนอยากกลับบ้านเดิมใช่หรือเปล่า ศิษย์ของอาจารย์กลัวว่าจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเปล่า
อาจารย์ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มาช่วยงาน อาจารย์หวังว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนคงจะทำได้เหมือนวันนี้ ไม่เกิดความระแวงหรือลังเลสงสัยอยู่ในใจอีก ธรรมะที่ศึกษาไปสุดท้ายตัวศิษย์ก็ได้รับเอง ขอให้ศิษย์ทุกคนสามัคคีกัน ธรรมะจะเจริญรุ่งเรืองได้หรือไม่นั้นอาจารย์ไม่ได้หวัง หวังเพียงอย่างเดียวว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนมีความศรัทธาจริงใจและบำเพ็ญอย่างจริงจัง เพื่อให้ตัวเองได้กลับคืนขึ้นไป อย่ามุ่งหวังอยู่ในโลกอันจอมปลอมนี้ ภาพลวงตาอาจดูน่าชมยิ่ง แต่ว่าภายในซ่อนสิ่งใดไว้ศิษย์รักน่าจะรู้ดี อาจารย์ก็ฝากความหวังไว้ว่าศิษย์ทุกคนจะทำได้ดังเจตนาฟ้า ไม่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำงานทุกอย่างอยู่ที่เหตุและผล การเป็นพุทธะต้องเสมอต้นเสมอปลาย มิใช่ตั้งอยู่บนความประมาทเรื่อยไป เข้าใจไหม
อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนจะผ่านการทดสอบ แม้ว่าตอนนี้ศิษย์จะเหมือนกับฟ้าที่นิ่งสงบ วันข้างหน้าศิษย์อาจไม่เหมือนวันนี้ ขอให้ห่วงตัวเองมากๆ มีความเมตตาต่อผู้อื่นเสมอต้นเสมอปลาย
“กลางเพลิงไม่ปรานีบัวกลิ่ง ชูช่อ งามตา
กลางเทียมนั่นคือแท้ถ้า ศิษย์รู้ เดินไป”
ขอให้ศิษย์เป็นเหมือนบัวที่อยู่กลางไฟ กลิ่งแปลว่าเลือก ในเมื่อเลือกเองว่าวันนี้จะอยู่ในโลกีย์ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนก็จะต้องเป็นบัวที่งามให้ได้ ในโลกีย์ที่เทียมนี้ขอให้ศิษย์เป็นคนที่แท้แล้วเดินไปปฏิบัติบำเพ็ญให้ถึงที่สุด อาจารย์ห่วงศิษย์รักทุกคน แล้วศิษย์ห่วงตัวเองบ้างหรือเปล่า
อาจารย์ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มีศรัทธา วันไหนที่ศิษย์ขยันอาจารย์ก็รู้ วันไหนศิษย์เกียจคร้านอาจารย์ก็เห็น อย่าปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในกองกิเลสนั้นเลย ลาก่อนศิษย์รัก ขอบคุณที่มีความศรัทธาจริงใจ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.