วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2538

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2538

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2538

2538-08-12 พุทธสถานไท่อิน กรุงเทพฯ



PDF 2538-08-12-ไท่อิน #10.pdf

วันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานไท่อิน กรุงเทพฯ

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ประชุมธรรมงานพุทธาร่วมปราโมทย์ ใจพิสุทธิ์สิ้นโกรธหลงในจิตหนา

น้องต่างเคยเป็นพุทธาบนแดนฟ้า หกหมื่นปีถึงเวลาต้องคืนแดน

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน เคียมคัล

องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

ชีพหนึ่งนี้น้องท่านวนเวียนว่าย เกิดแล้วตายล่วงเวลาอสงไขย

เดินทางผิดชีวิตอันตราย ปลงจิตไซร้ศึกษาได้รู้ธรรมแยบยล

น้องบางท่านสงสัยในจริต น้องลองคิดยุคสามโปรดครั้งใหญ่

ในกายนั้นใดปลอมจริงระวังระไว ตรองภายในมิหลอกเล่นพิจารณา

อันสายทองสืบมาโบราณกาล อริยาผ่านเกิดกายมนุษย์แล้วทั้งสิ้น

เกิดอารมณ์ตัดได้ด้วยขันติอาจิณ นิจศีลประคองญาณแท้ภายใน

ผู้มีบุญในยุคสามทั้งชายหญิง อย่าประวิงขึ้นนาวาจิตสุกใส

ธรรมะแท้โองการแท้เร่งเร็วไว เภทภัยใหญ่ล้วนจากใจมนุษย์เอง

ท่าน กงฉัง จื่อซี่ นำเรือน้อย ล่องลอยไปทะเลทุกข์อันแสนขม

บอกน้องท่านกาลมิเช้าอย่าชื่นชม อย่านิยมสังสารวัฏอันมิถาวร

หากวันนี้มิได้รับหนึ่งจุดชี้ ในฤดีต่างคงยังมิขวนขวาย

สามภูมิไกลสะเทือนลั่นดั่งวุ่นวาย แล้วน้องท่านเฉยอยู่ไยมีกายจริง

จงบำเพ็ญนอกในให้กระจ่าง อนุตตรธรรมเป็นทางแห่งมรรคผล

ลมหายใจเข้าออกคิดถึงตน แลบรรพชนที่รอคอยให้บำเพ็ญ

ทางยืดยาวเพียงก้าวเดียวหากหันกลับ สดับธรรมสองวันนี้อย่านิ่งเฉย

ปณิธานอันยิ่งใหญ่มิละเลย สู่แดนเคยเป็นสุขด้วยเมตตา

ในวันนี้แม้กลับไปลองพินิจ โลกวิกฤติน้องจะช่วยอะไรได้บ้าง

เริ่มจากตนเดินทางดีฤดีวาง กิเลสบางฝุ่นน้อยไปโปรดคน

จงเร่งรีบอย่าลืมที่พี่บอก ใจเที่ยงจริงรอบคอบสม่ำเสมอ

เดินทางไกลอย่าหยุดในครึ่งทางเมื่อเจอ อุปสรรคหรือทดสอบเพื่อเลื่อนชั้นอริยา

ในวันนี้น้องรักษาระเบียบจริง เคร่งครัดนิ่งสุขุมวิญญาหนา

จงตั้งใจฟังธรรมด้วยอดทนนา ได้รู้ค่าธรรมมีค่าต่อจิตตน

แล้วศิษย์พี่จรดพู่กันยืนข้างเคียง

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทท่านแปดเซียน หันเซียงจื่อ

แม้ม่านหมอกครอบคลุมรุมดวงจิต หาญพิชิตกล้าเผชิญคืนผ่องใส

ชนะใจฝ่าอุปสรรคมิเว้นไป บำเพ็ญไซร้ใคร่ครวญจริงกระจ่างดำเนิน

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก

องค์อนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

เกิดวังวนธารมายาเวียนกระหน่ำ แม้จดจำชั่วครู่คืนถิ่นช้ำ

พบแสงทองนาวาพุทธาฟ้านำ วัตตาธรรมพร่างพรายพิสุทธิ์ฉุดโดยตน

บำเพ็ญเริ่มตรงอุตส่าห์แก้ไขสิ่งผิด แลพินิจบำเพ็ญคลายอัตตาผูกรัด

มากเท่าไหร่สะสมยิ่งเคยชินยากสลัด ยิ่งนับจำนวนยิ่งควรเร่งมลาย

จันทราให้แสงนวลตะวันแสงจ้า จะคิดหาทางทอนฤๅสัมฤทธิ์ผล

เพียงตั้งใจเหตุต้นเปิดตาตน ยุคลดั่งโลกมองตฤษณาเช่นธุลี

สวมหน้ากากแสดงละครเปรียบแสงเทียน บางอย่างเวียนวนาดอนประดับสี

แลมีวันสู่ลุ่มทุกข์ชีวี ประโยชน์ก็ที่ท่านนั้นเข้าใจธรรม

ฮา ฮา หยุด




พระโอวาทท่านแปดเซียน หันเซียงจื่อ

ทุกท่านมีใจมานั่งศึกษาธรรม การศึกษาเรียนรู้หลักธรรมนั้นหากจิตใจไม่สงบและไม่มีสมาธิ ก็อาจจะเข้าใจได้ไม่กระจ่างแจ้งนัก

การศึกษานั้นต้องใคร่ครวญให้กระจ่าง ถ้าศึกษาแล้วไม่ใคร่ครวญ ไม่คิดที่จะนำมาทบทวนให้เกิดความกระจ่างในใจ ศึกษาเรียนรู้ไปก็เสียเวลาเปล่า แต่เมื่อเราได้ยอมเสียเวลามาศึกษา ก็ควรที่จะใคร่ครวญพินิจให้เห็นเนื้อความภายใน เนื้อความบางอย่างนั้น เราจะมองเพียงเปลือกนอกไม่ได้ เปรียบเหมือนผลไม้ เรารู้ว่ามันมีประโยชน์ก็เพราะเราสามารถมองเห็นถึงเนื้อในและแก่นใน เราจึงรู้ถึงคุณค่าของผลไม้ได้ เปรียบเหมือนการศึกษาธรรม ถ้ามองเห็นแต่เปลือกนอก เห็นแต่แมลงที่เกาะกิน แต่ไม่ลองที่จะเปิดใจศึกษาหรือค้นคว้าถึงแก่นเนื้อข้างในแล้ว เราก็จะไม่รู้เลยว่าเนื้อในนั้นมีประโยชน์และบริสุทธิ์แท้จริงหรือเปล่า การศึกษาธรรมนั้นจริงๆ แล้วไม่ยาก อยู่ที่ว่าท่านจะค้นหาแก่นเนื้อในแห่งตนเองหรือเปล่า เนื้อในที่บริสุทธิ์ไร้สิ่งใดเกาะกิน ไร้สิ่งใดทำลาย แม้สิ่งที่มาเกาะกินทำลายนั้นจะเป็นเพียงสิ่งที่บังตา มองเห็นได้เพียงรูปลักษณ์ แต่ถ้าท่านไม่นำมันเข้ามายึดติด ไม่นำสิ่งเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในใจให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกผูกพันต่างๆ แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายแก่นเนื้อในของเราได้

ตัวอักษรสามารถเอามารวมเป็นคำ และคำนั้นก็สามารถให้ความหมายได้หลายรูปแบบ เปรียบเหมือนจิตใจของทุกๆ คน ถ้ายิ่งปรุงแต่งเท่าใด ก็ยิ่งห่างออกจากจิตเดิมแท้ เหมือนเราเดินทางอยู่บนเส้นทางหนึ่ง ตอนแรกก็มาตัวเปล่า แต่พอยิ่งเดินไปเคยหวนคิดไหมว่าทำไมยิ่งเดินแล้วยิ่งหนัก จากที่มีความสง่าผ่าเผยก็ทรุดลงไปเรื่อยๆ เหตุใดยิ่งเดินจึงยิ่งทรุดหนักลง ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกว่าความเบาสบายในการเริ่มต้นเดิน กับการเดินมาถึงครึ่งทางจึงแตกต่างกันมาก (มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ ก็เกิดการยึดติดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเรา นานๆ เข้าก็จะพอกพูนจนหนัก , เป็นเรื่องของกิเลสที่เราแบกไว้ตลอดเวลา อารมณ์ทั้งหลายที่เราแบกไว้ จึงทำให้ตัวเองรู้สึกว่าหนัก)

เคยมีคำกล่าวว่า ชีวิตเปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นด้วยน้ำตาและเสียงหัวเราะ จึงเป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อจิตใจเรา และมีคุณค่าสำหรับการดำรงชีวิต แต่บางคนเมื่อผ่านไปแล้วอาจจะปล่อยมันทิ้งไป ลืมมันไป แต่สิ่งที่เป็นน้ำตาและความทุกข์นั้น เป็นหนังสือที่มีคุณค่าและน่าจดจำมาก เพราะน้ำตาและหยาดเหงื่อที่ทุกท่านเขียนขึ้นมาจนมาถึงปัจจุบันนั้นไม่ใช่ง่าย ทุกท่านสามารถฝ่าฟันทุกๆ อย่างได้ด้วยตัวเอง แม้บางครั้งอาจยอมรับว่าการฝ่าฟันและการดำรงชีวิตอยู่นั้น อาจจะต้องพึ่งพาอาศัยจากผู้อื่นบ้าง แต่ถ้าเราคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว คนอื่นที่เราหวังพึ่งพาอาศัยนั้นก็ไม่สามารถช่วยเราได้ตลอดไป

บางครั้งเมื่อเราเผชิญกับปัญหา ถ้าเราเกิดความกลัวที่จะได้รับความทุกข์ เราไม่กล้าเผชิญและก็หลบหลีกไป แล้วเราก็มานั่งเสียใจภายหลังว่า เราน่าจะคิดให้รอบคอบและไตร่ตรองให้ละเอียดกว่านี้ ฉะนั้นสิ่งใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของทุกท่านแล้ว ก็ขอให้จดจำให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สิ่งใดมีคุณค่าก็เก็บรักษาไว้ สิ่งใดที่ทำให้เกิดหลุมบ่อในจิตใจก็รีบอุดรีบปิดเสีย หลักธรรมหรือสัจธรรมนั้นก็มีอยู่ในชีวิต ไม่ได้ห่างไปจากตัวเราเลย แต่อยู่ที่ว่าเมื่อดำรงชีวิตอยู่ เรารู้จักนำหลักธรรมและคุณธรรมมาใช้ในการดำรงชีวิตหรือนำมาเป็นหลักยึดในการบำเพ็ญหรือไม่ ฟังดูแล้วการเรียนรู้หลักธรรม ศึกษาหลักธรรมยากเกินไปหรือเปล่า (ไม่ยาก)

เราจะบอกวิธีการนั่งเพื่อให้คลายเครียดดีไหม (ดี) นั่งตัวตรงๆ วางมือไว้บนตัก จะวางแบ คว่ำหรือประสานมือไว้ก็ได้ ส่วนขานั้นไม่กางออกมากจนเกินไป วางให้พอเหมาะพอควร เริ่มจะไม่ง่วงแล้วใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเมื่อใดที่รู้สึกง่วง ให้วางเท้าชิดติดกัน แล้วค่อยๆ ยกเท้าขึ้น ยกจนรู้สึกว่าเส้นที่เท้านั้นผ่อนคลาย เมื่อยกขึ้นแล้วก็ค่อยๆ วางลง อย่ากระแทกเสียงดัง แค่นี้ก็เป็นการนั่งที่สามารถผ่อนคลายได้ บางครั้งอาจจะเมื่อยแขน เมื่อยมือก็เปลี่ยนอิริยาบทบ้าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนให้เหมาะสม เราเป็นผู้บอกวิธี ท่านเป็นผู้ทำ ฉะนั้นวิธีที่บอกไปจะสำเร็จผลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)

มีคำกล่าวว่า ยิ่งดำรงชีวิตอยู่ก็เหมือนยิ่งสวมหน้ากากเข้าหากันและก็แสดงบทของตัวเองไปตามหน้ากากนั้น ปกปิดตัวตนที่แท้จริง บางครั้งก็แอบแฝงบางสิ่งไว้ภายใต้หน้ากากนั้น แต่การศึกษาธรรมนั้นต้องการให้ถอดหน้ากากออก ให้จุดแสงไฟอันเป็นเปลวเทียน เพราะการมาศึกษาธรรมก็เพื่อมาเรียนรู้หลักแห่งชีวิตตนเอง การมาเรียนรู้ชีวิตหนึ่ง ถ้าเราตามตนเองไม่ทัน ตามสติ ตามอารมณ์ ควบคุมไม่ได้แล้ว การดำรงชีวิตก็ย่อมพลั้งเผลอผิดพลาด ปัญหาต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้มากมาย ในเมื่อขณะนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าความผิดพลาดและความพลั้งเผลออาจทำให้เราต้องเผชิญกับปัญหา เมื่อรู้สิ่งที่ผิดพลาดก็ต้องหาทางแก้ แต่ทางแก้ที่จะสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้คืออะไร (คนเราต้องมีสติทุกเมื่อ จะคิดจะทำอะไรขอให้มีสติ จึงจะไม่เดินทางผิด) จริงๆ แล้วทุกท่านต่างก็รู้วิธีที่จะดับ วิธีที่จะคลาย แต่อยู่ที่ว่าจะชนะใจตนเองได้หรือเปล่าใช่ไหม (ใช่) บางครั้งเราก็รู้สึกยินดีที่วันนี้ชนะผู้อื่นได้ แต่เมื่อไรที่แพ้คนอื่นแล้วเป็นการชนะใจตนเองกลับรู้สึกเศร้าหมอง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

ทำอย่างไรจึงจะสามารถตามใจตนเองได้ทัน ก็คือต้องมีสติ มีสมาธิและมีปัญญา สามสิ่งนี้มีอยู่ในตัวทุกท่าน บางทีการเรียนรู้ชีวิต รู้ทั้งรู้ว่าผิด ทำไมถึงได้ชอบพลั้งเผลอ ทำไมถึงอยากลองทำ การชี้นำ การแนะนำนั้นทำไมต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือคนอื่นมาชักจูงเรา ทำไมตัวเราเองไม่ชักจูงและดึงใจของตนเองขึ้นมาให้ได้ ตอนนี้ถ้าเราจะบอกว่าทุกท่านไม่รู้ใจตนเอง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) การดึงใจตนเองขึ้นมา เมื่อดึงมาแล้ว ถ้าจิตใจสั่นไหวสั่นคลอน จะสามารถมองเห็นจิตใจที่แท้จริงได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าถ้าโยกคลอนและสั่นไหวแล้ว เราจะมองไม่เห็นความชัดเจนที่เกิดขึ้น แต่ถ้าดึงขึ้นมาแล้วต้องรู้จักสงบ จับวางนิ่งๆ ให้อยู่กับที่ ให้ตรงเที่ยง เมื่อสงบนิ่งแล้ว การที่จะมองสิ่งใดๆ ก็สามารถมองได้ง่ายและทะลุปรุโปร่ง ถ้ายังไม่เข้าใจ เรายกตัวอย่างให้ฟังดีไหม (ดี)

ถ้าในห้องนี้สั่นไหวขึ้นมา สิ่งแรกที่ทุกท่านจะทำคือหนีทันทีใช่หรือเปล่า (ใช่) เราบอกแล้วว่าถ้าเหตุการณ์ชักพาให้สั่นไหว แล้วเราก็สั่นไหวไปกับเหตุการณ์นั้นดัวย การที่เราจะมองให้ชัดเจนและทะลุปรุโปร่งมองได้หรือไม่ (ไม่ได้) ตรงกับสุภาษิตไทยคืออะไร (กระต่ายตื่นตูม) เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ทุกท่านจะต้องนึกถึงก็คือตั้งสติ

บางครั้งการชี้นำ การแนะนำที่ท่านยอมรับฟังเขา ก็เพราะเห็นเขาอาวุโส เห็นเขาเปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่ถ้าเราย้อนถามทุกท่านว่า ที่มองเห็นและยอมฟังเพราะเปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า เหมือนกับขวดน้ำ ถ้าทุกๆ ท่านคือขวดน้ำ ท่านแบ่งว่าขวดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ คุณวุฒิและวัยวุฒิก็คือน้ำที่ใส่ภายในขวด ถ้าเขามีคุณวุฒิและวัยวุฒิแต่ไม่ได้นำใส่ขวด แล้วขวดว่างเปล่าโปร่งใส เขย่าอย่างไรก็ไม่เกิดเสียง แต่ถ้าอีกขวดหนึ่งที่ไม่มีซึ่งคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่เป็นขวดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ เขย่าอย่างไรก็ไม่เกิดเสียงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการมองตัวบุคคลใช่มองที่คุณวุฒิและวัยวุฒิหรือเปล่า (ไม่ใช่) พูดยากเกินไปไหม นี่เป็นการเปรียบเทียบที่ดี แต่อยู่ที่ว่าสิ่งที่เราเปรียบเทียบนั้นจะนำพาถึงความกระจ่างของทุกท่านได้หรือเปล่า

การมองดู การฟัง การเห็น การรับรส ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เราอย่ายึดอยู่ในทวิภาคหรือทวินิยม คำว่าทวิภาคหรือทวินิยมก็คือของที่เป็นคู่ ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่าน้อยหรือมาก ถ้าเรามองทุกสิ่งทุกอย่างตรงกลางไม่เอนเอียงแล้ว ก็จะเข้าถึงสิ่งๆ นั้นได้ง่าย ตอนแรกเรากล่าวไว้ว่า ถ้าจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยรูพรุนแล้ว การกระทำสิ่งใดก็ต้องเจ็บปวดได้ เพราะเรามีแผลอยู่ที่ใจ เมื่อถูกกระทบกระเทือนก็ย่อมเจ็บแผลได้ แต่รูพรุนนั้นสามารถรักษาได้ รูพรุนนั้นจริงๆ แล้วก็เกิดจากตัวของเราที่สร้างรูพรุนแห่งความโกรธ รูพรุนแห่งความไม่พอใจ รูพรุนแห่งความอาฆาตพยาบาท ในการดำรงชีวิตของเรา เมื่อเกิดความโกรธขึ้นมา เราก็ฝังลงในรูพรุนนั้น แต่ฝังไปเท่าไรก็ไม่เต็ม หากรู้แล้วว่าเกิดแล้วท่านมีสติยั้งคิดทัน สงบใจไตร่ตรองดูสิ่งนั้น ก็สามารถดับไม่ให้เกิดได้ใช่ไหม

สุดท้ายนี้ที่เราอยากบอกทุกท่านก็คืออย่าปิดกั้นใจตนเอง ศึกษาธรรมให้ชัดเจน ถ้าไม่รู้หรือสงสัยก็ให้วางลงเสียก่อน แล้วศึกษาให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจหรือมีปัญหา ก็ให้ถามคนข้างหน้าดีไหม (ดี) มีโอกาสเราคงได้พบกันอีก




วันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา

ใบไม้ใบหนึ่งร่วงหล่นสู่ชลาธาร หมุนเคว้งคว้างศิษย์นั้นแพ้กระแส

ธารก็ไหลทางทะเลไกลจากแม่ ดวงแดข้าสานปณิธานเมื่อไหร่สำเร็จ

เราทั้งสองคือ

พระอรหันต์จี้กง ได้นำพา นาจาน้อย รับบัญชาจาก

องค์อนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายเคียมคัล

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนล้วนเกษมฤๅ

วนแล้วเกิดเวียนมนุษย์ในสังสารวัฏ ประหลาดนักใจมิสิ้นในอวิชชา

เลือนดั่งลับเลือนทรัพย์แห่งปัญญา ดั่งนภาเมฆาบังไร้ดวงตะวัน

อย่าหลงว่ายเวียนอยู่ในโลกา พินิจเพราะในหล้าไหนมั่นคงสถาน

ที่เชื่อมั่นในหรือนอกปราการ พัฒนาการเป็นจุดหมายทางแนวที่ตรง

น้องระคนทุกข์และถ่วงชีวิตตน ยิ่งดิ้นรนยิ่งเกิดนิวรณ์ยิ่งหลง

ที่ได้ด้วยมีสติแลปลง รณรงค์ช่วยจิตตนท้อไม่มี

บังเกิดใจเต็มตื้นเพราะพบหน้า เพราะปัญญาขจัดกัดเซาะกิเลสหนี

ดั่งทิ้งไปจากใจไกลชีวี ประตูเปิดนี้จะพบในกตญาณ

เปิดคลังปัญญาวิสารทจรรยาปัญญาแกร่ง ญาณปัญญาแหล่งความแจ่มใสเมตตาพื้นฐาน

เหนื่อยไม่หน่ายด้วยใจศิษย์ชื่นบาน ไป่มมังการอีกรู้หยุดระวังตรอง

มีความกล้าควรดูแลคิดตรอง เพราะเพียงตรองเกิดความไม่ผยอง

หากบาดหมางจงกล้าอภัยครอง ฤทัยต้องคุณงามรักษายังน้อมใจ

ตัวแทนฟ้าประกาศธรรมมีจิตไผท มิวุ่นวายเกิดต่อผู้ที่สนอง

สามัคคีถ้าขาดจากกันพึงต้อง รอนราญหรือปรองดองกลับอาจารย์ให้คิด

ฮา ฮา หยุด




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา

พระอาจารย์ : วันนี้มีความสุขกันจริงๆ หรือเปล่า ความสุขนี้รูปร่างเป็นอย่างไร แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสุข (สบายใจ) จิตใจเบิกบาน ฟังธรรมะแล้วเบิกบานด้วยหรือเปล่า ธรรมะมีรูปลักษณ์หรือเปล่า (ไม่มี)

อาจารย์เห็นคนมากมายขนาดนี้ ถ้าจะไม่มาก็กระไรอยู่ คอยอาจารย์อยู่หรือเปล่า (คอย) ศิษย์รักของอาจารย์น่ารักทุกคนหรือเปล่า (น่ารัก)

ฟังธรรมะไปสองวันแล้วเข้าใจกันบ้างหรือเปล่า (เข้าใจ) เข้าใจสัจธรรมแท้แม้ว่าไร้รูปลักษณ์ การบรรยายธรรมแม้ว่าจะสื่อความหมายของสัจธรรมได้ไม่หมดสิ้น แต่ว่าส่วนหนึ่งก็ต้องนำสู่จิตใจของตัวเอง การจะก้าวสู่อริยมรรคก็ต้องอาศัยตัวศิษย์เอง ทำได้แค่ไหนก็ดูว่าศิษย์รักของอาจารย์พยายามมากแค่ไหน เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) รู้ไหมว่าทำไมเราจึงต้องเกิดมามีชีวิตจนเติบใหญ่ แล้วทำไมเราจึงได้รับวิถีธรรม (บัดนี้เข้าสู่ยุคสามแล้ว ซึ่งมีเหตุเภทภัยมากมาย เบื้องบนจึงได้ส่งพระวิสุทธิอาจารย์ลงมาช่วยสอน เพื่อให้พวกเราช่วยพระอาจารย์ฉุดช่วยเวไนยสัตว์ให้พ้นจากเภทภัยทั้งหลาย)

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนทำท่าประกอบเพลงพายเรือธรรม) ออกแรงมากกันหรือยัง ถ้าตัวเองคนเดียวพ่วงด้วยเวไนยสัตว์และบรรพชนแล้ว ออกแรงแค่นี้พอหรือ (ไม่พอ) แล้วเวลาออกแรงคิดถึงตัวเองหรือคิดถึงผู้อื่นด้วย (คิดถึงผู้อื่นด้วย) การที่เราพายเรือธรรมะนี้ ไม่ได้พ่วงหรือฉุดเราขึ้นไปเพียงคนเดียว เรือธรรมะนี้ข้างในเต็มไปด้วยสัจธรรมมากมาย มีคุณธรรมอีกมากมายที่เราจะต้องซ่อม ประกอบด้วยคนที่เราจะพาขึ้นไปด้วย การที่เราจะพาคนมารับธรรมะนั้น สำคัญที่สุดอยู่ตรงไหน (เราชักชวนเขาว่าธรรมะนี้ดีขนาดไหน ช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายโดยเร็วไว และกลับบ้านเดิม โดยที่เราต้องทำตัวเราให้ดีเสียก่อนและทำให้ดีที่สุด เราถึงจะฉุดช่วยคนอื่นได้) การที่จะฉุดช่วยผู้อื่นได้สำคัญที่สุดต้องส่งเสริมเขาให้เหมือนเรา แต่ว่าเราเองต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ถูกไหม (ถูก) การที่เป็นแบบอย่างที่ดีนี้ ถ้าเราเป็นผู้ควบม้า เมื่อม้าวิ่งช้าก็ต้องลงแส้ ม้าตัวที่เราลงแส้นั้น เราต้องดูว่าม้าตัวนั้นมีแรงหรือเปล่า หากตัวเราเองไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่อยู่ใกล้พุทธสถานแล้ว จะมีแรงขึ้นมาได้อย่างไร คนที่รับวิถีธรรมไปแล้ว แม้ว่ารับแล้วแต่ไม่ได้ศึกษาก็เหมือนกับคนที่ไม่ได้รับธรรมะเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่ว่ารับธรรมะแล้วตัวเรามีสิ่งดีกว่าผู้อื่น คนที่กลับมาศึกษาธรรมะก็มักจะรู้อะไรดีๆ ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนก็เป็นผู้ที่ศึกษาอยู่ในสัจธรรม เป็นผู้ที่ชนะสรรพสิ่งทั้งปวงใช่ไหม (ใช่) ถ้าหากเรายอมที่จะอยู่ต่ำกว่าผู้อื่น เราก็จะแบกรับผู้อื่นไหว ถ้าเราคิดว่าเราจะช่วยเขา แต่เราอยู่สูงกว่าเขา เราจะช่วยเขาได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเราไม่เข้าถึงจิตใจของผู้ที่อยู่รอบๆ ข้าง เราจะอภัยให้ผู้อื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)

พระนาจา : หากต้องให้ผู้อื่นนำทุกครั้ง แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะรู้ด้วยตัวเอง การตักตวงนั้น ต้องตักตวงเอาความรู้จากธรรมะให้เกิดความกระจ่างในจิตใจ ไม่ใช่ตักตวงโดยมาดูการยืมร่าง คราวหน้าที่ไหนมีอีกก็จะต้องไปดูอีก ตักตวงอย่างนี้ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)

พระอาจารย์ : ศิษย์รักมาสถานธรรมไม่ใช่มาเพื่อดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าต่อไปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มาแล้ว ศิษย์รักจะมาสถานธรรมกันอีกหรือเปล่า (มา) คนเราชอบความสุขไม่ชอบความทุกข์ แต่ความทุกข์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเภทภัยหรือสิ่งใด ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมาเอง ศิษย์คิดว่าการช่วยให้ผู้อื่นหรือว่าช่วยให้โลกนี้เกิดความสันติสุข ช่วยผู้อื่นให้ตื่นขึ้นดีหรือเปล่า (ดี) การทำอย่างนี้ต้องอาศัยอะไร (ปฏิบัติตัวเราเองให้ดีเสียก่อน แล้วจึงไปชวนคนอื่นให้ทำได้) แล้วการที่จะช่วยผู้อื่นต้องอาศัยอะไรเป็นหลัก (หลักธรรมที่เราได้ฟังและมีโอกาสมารับธรรมในครั้งนี้) โอกาสนี้เป็นโอกาสของตัวเองในการช่วยคนรับธรรมหรือในการช่วยผู้อื่น บางคนบอกว่างานนี้เราไม่เคยทำ จึงไม่ทำ กุศลก็กลายเป็นของคนอื่น เช่น งานขัดห้องน้ำ งานเทขยะ หรือกวาดถูสถานธรรม ส่วนใหญ่คนไม่ชอบทำใช่ไหม ชอบนั่งอยู่เฉยๆ หรือว่าชอบที่จะสอนผู้อื่น หากมีแต่คนพูดธรรมะแล้วไม่มีคนทำกับข้าวให้ ศิษย์รักของอาจารย์จะมีอะไรทานหรือเปล่า (ไม่มี) กุศลนี้ก็ยิ่งใหญ่พอๆ กันถูกไหม (ถูก) งานทุกอย่างในโลกนี้มีความลำบากด้วยกันทั้งสิ้น มีอุปสรรคด้วยกันทุกอย่าง ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่เกี่ยงกัน ศิษย์ก็สามารถทำงานทุกๆ อย่างได้ด้วยมือของศิษย์เอง ถูกหรือเปล่า (ถูก) การก้าวไปสู่อริยมรรคขอเพียงแค่ศิษย์ตั้งใจแสดงความศรัทธาจริงใจออกมา เปิดใจออกให้กว้างก็จะฟังธรรมะได้เข้าใจ

พระนาจา : เมื่อสักครู่นี้เราให้กลอนไปบทหนึ่ง

“วนแล้วเกิดเวียนมนุษย์ในสังสารวัฏ ประหลาดนักใจมิสิ้นในอวิชชา

เลือนดั่งลับเลือนทรัพย์แห่งปัญญา ดั่งนภาเมฆาบังไร้ดวงตะวัน”

ทุกคนมีทรัพย์ในตนเอง ทรัพย์นั้นคืออะไร (ทรัพย์คือปัญญา มีปัญญา มีสติก็คือมีทรัพย์) ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เพราะเราศึกษาหาความรู้ เงินก็จัดเป็นทรัพย์ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทรัพย์อันไหนมีคุณค่ามากกว่ากัน (ปัญญา) แต่ทำไมทุกคนชอบหาทรัพย์จากภายนอกมากกว่า เพราะบางครั้งมีความอยากมากเกิน จนไม่รู้จะนำปัญญามาใช้ประโยชน์อย่างไร และไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองกำลังค้นหาอยู่นั้นคือความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกคนลืมความสุขแห่งปัญญาเดิมอันแท้จริง ตอนนี้ความสุขทางปัญญานั้นหาไม่ยากเลย อยู่ที่ว่าทุกคนจะมีความพอเหมาะพอควรหรือเปล่า ความพอเหมาะพอควรก็คือความต้องการนั้นเกินความพอดีไหม เดือดร้อนผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าเกินความพอดีเดือดร้อนผู้อื่น แสดงว่าเราใช้ปัญญาในทางที่ถูกที่ควรไหม (ไม่ถูก) เพราะหากใช้ไม่ถูกไม่ควรแล้ว ทุกคนย่อมหลง หลงแล้วก็มองผิด ความหลงนั้นก็ย่อมทำให้ทุกคนไปในทางที่ผิด เสียเวลา เสียโอกาส ถ้าเราหลงเดินทางผิด อนาคตเราก็ดับวูบ ถ้าเราหลงทางเดิน หลงเข้าใจผิด ความสัมพันธ์ทางมิตรอันดีก็ขาดสะบั้นลงได้ ความหลงนี้น่ากลัวไหม (น่ากลัว) ฉะนั้นทุกท่านมาศึกษาวันนี้ทำไมเราถึงต้องให้ทุกท่านเปิดปัญญาก่อน แล้วค่อยไปศึกษาให้กระจ่างและเข้าใจตรงนี้ อย่างน้อยก็เรียกว่าศึกษาแล้วใช่หรือไม่ และเราก็ไม่ใช่ผู้หลง ศิษย์พี่บอกทางแล้ว อยู่ที่ว่าศิษย์น้องจะเดินตามที่ศิษย์พี่บอกหรือเปล่า อยากเป็นคนหลงไหม (ไม่อยาก)

พระอาจารย์ : อยู่กับพระนาจาแล้วสนุกไหม (สนุก) แล้วคิดว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะมีความสุขอย่างนี้ตลอดไปหรือเปล่า พระนาจาเขามีความสุขตลอดเวลา ถ้าไม่เชื่อก็ดูได้เพราะใบหน้าเขายิ้มตลอดเวลา ตอนอยู่ข้างบนเขาก็มีความสุขอย่างนี้ มาโลกมนุษย์เขาก็มาเล่นด้วย เพราะฉะนั้นต้องขอบคุณเขาหรือเปล่า (ขอบคุณพระนาจาเมตตา) คนเราเวลามีความสุขก็ต้องรู้เสมอว่าความสุขที่พอดีนั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยใจตัวเองให้ลอยไปเรื่อยๆ บางคนหลงอยู่ในโลก หลงอย่างไร ตอนนี้ศิษย์รักของอาจารย์เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดมาตั้งหกหมื่นปีแล้ว ดูว่าตอนนี้สร้างอะไรไว้ แล้ววันหน้าศิษย์อยากเป็นอะไร จุดมุ่งหมายชีวิตของศิษย์อยู่ที่ไหน แค่มีบ้านสวยๆ มีรถคันงามๆ แล้วก็มีครอบครัวที่อบอุ่นหรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วจุดมุ่งหมายชีวิตของศิษย์อยากจะได้อะไร การที่เราจะไปนิพพานนั้นลำบากหรือเปล่า (ลำบาก) ทางทุกเส้นทางก็มีความลำบากทั้งสิ้น อยู่ข้างนอกคนเขาบอกว่าโน่นก็จี้กง นี่ก็จี้กง จี้กงจริงๆ อยู่ในใจใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์ของอาจารย์โดยเฉพาะผู้หญิงชอบไปดูโน่นดูนี่ เวลาเขาบอกว่ามีจี้กงก็ไปดูด้วย อย่างนี้หรือเปล่า การที่เราไปดูภายนอกให้ย้อนกลับดูใจตัวเอง เราก็เป็นจี้กงน้อยๆ ได้ เราก็มีความสุขได้ หากศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนรู้จักเมตตาจริงๆ แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้าหากในใจยังซ่อนหรือแฝงอะไรไว้ นั่นก็ไม่ใช่ความสุข

มีใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงสู่แม่น้ำ ศิษย์รักของอาจารย์ก็เหมือนกับใบไม้ใบนั้น ซึ่งเริ่มผลิใบออกมาแล้วค่อยๆ เติบโต จากนั้นก็เหี่ยวเฉา แล้วก็หล่นลงแม่น้ำ เหมือนกับชีวิตนี้ที่เกิดแก่เจ็บตายไม่มีที่สิ้นสุด กายของเรานี้ไม่ยั่งยืนถาวร ร่างกายของเราอยู่ได้ด้วยพุทธญาณ แต่ว่าพุทธญาณของศิษย์จะสว่างหรือว่าจะหมองอย่างไร ศิษย์เป็นผู้พินิจพิจารณาเอง ร่างกายนี้อยู่ได้ไม่นาน และเมื่อเจ็บป่วยก็อยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีจิตใจป่วยไปด้วยหรือเปล่า ถึงแม้ว่าร่างกายป่วย แต่ถ้าหากว่าจิตใจยังเป็นพุทธะอยู่ การที่ร่างกายเจ็บป่วยเราก็จะไม่สะทกสะท้านใช่ไหม (ใช่) บางคนมีความทุกข์กับโรคภัย บางคนมีความทุกข์กับความคิดของตัวเอง คิดจนตัวเองป่วย เพราะฉะนั้นการห้ามและการหยุดก็เกิดจากใจ ทีนี้ย้อนกลับมาที่อาจารย์พูดว่าใบไม้นี้ร่วงลงสู่สายธารแล้ว หากวันนี้ศิษย์รักของอาจารย์ยังเป็นใบไม้ที่เกาะอยู่กับต้น ยังมีกายสังขารนี้ คิดว่าจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับตัวเองบ้าง (ฟื้นฟูจิตญาณเดิมของตัวเอง ศึกษาธรรมะและปฏิบัติ) ศิษย์รักของอาจารย์อยู่ตรงกลาง ทางธรรมครึ่งหนึ่ง ทางโลกครึ่งหนึ่งดีไหม (ดี) อาจารย์ไม่ได้เรียกร้องให้ศิษย์หยุดทำงานเพื่อมาสถานธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ) การเชื่อธรรมะก็ควรจะเชื่ออย่างมีเหตุผล ดูว่าที่อาจารย์พูดศิษย์ทำได้ก็ให้เร่งรีบไปทำ ถ้าทำไม่ได้ก็ค่อยๆ ทำดีไหม (ดี)

พระนาจา : ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญ การจะทำอะไรให้สำเร็จแล้ว ถ้าเราไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น จะทำสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) ถ้าเราตามใจตนเองทันและมีสติอยู่ทุกเมื่อ การที่จะกำหนดร่างกาย กำหนดตัวเองให้ทำอะไรนั้นยากไหม ทำไมปราชญ์อริยะสมัยก่อนถึงกล่าวว่า การจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้คิดเสมอว่ายากไว้ก่อน (เพราะว่าก่อนจะทำเราต้องตระหนักเสียก่อน แล้วจึงทำลงไป ความยากนั้นก็จะลดลง เพราะความตั้งใจจริง) ถ้าทุกอย่างเราคิดว่าง่าย เราก็ประมาทใจตนเอง เมื่อประมาทแล้วไปเจอยากก็จะท้อถอย ทุกๆ อย่างถ้าคิดว่ายากไว้ก่อน แล้วเรามีความเชื่อมั่นในตนเองที่จะทำ ไม่ว่าได้หรือไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นเมื่อพยายามทำเต็มที่แล้ว ถ้าไม่ได้เราก็ต้องมีคำว่าปลง จิตใจของศิษย์น้องก็อยู่ที่ศิษย์น้อง ไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่อยู่ที่ว่าเราแอบเอาใจของเราไปฝากไว้กับใครหรือเปล่า ถ้าศิษย์น้องเอาใจไว้ที่ตัวเองแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด ไม่ต้องทุกข์ เพราะเราไม่ได้เอาใจไปให้ใคร ไม่เอาใจไปผูกเจ็บกับใคร ศิษย์น้องก็จะไม่ทุกข์ใจ มีแต่ความสุขชื่นบาน

พระอาจารย์ : อาจารย์จะสอนเคล็ดลับแห่งความสำเร็จให้ การที่เราจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยสามสิ่ง คือปัญญา ความเมตตา และความกล้าหาญ

ปัญญาใช้สำหรับตัดสินใจว่าสิ่งที่กระทำนั้นได้ตัดสินใจลงไปด้วยความถูกต้อง ด้วยมโนธรรมหรือไม่

เมตตาคือการลงแรง ถ้าเราเมตตารู้จักไปปฏิบัติด้วยจิตอันเยือกเย็นและสงบ ก็จะทำให้เราลงมือได้อย่างราบรื่น ใช่ไหม (ใช่)

ความกล้าหาญ เวลาทำงาน ศิษย์รักเคยทำพลาดไหม (เคย) เมื่อทำพลาดแล้วต้องทำอย่างไร (แก้ไข) การที่เรามีความกล้าหาญ มีหิริโอตตัปปะ แล้วก็รู้จักที่จะลงมือกระทำ รู้จักยอมรับสิ่งต่างๆ นั้น ทำให้เรามีความกล้าหาญสมบูรณ์ยิ่ง เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

การทำงานมีทั้งทางธรรมและทางโลก ทางธรรมนั้นใช้เมตตาออกไปฉุดช่วยคน เมื่อเรานำปัญญา เมตตาและความกล้าหาญทั้งสามอย่างนี้ไปฉุดช่วยคน เราก็จะเป็นตัวแทนของฟ้าเบื้องบนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่การอยู่ร่วมกันศิษย์จะต้องมีความสามัคคีกัน ถ้าหากว่าแตกสามัคคีเมื่อไหร่ต้องทำอย่างไร (ต้องปรับความเข้าใจ) การปรับความเข้าใจนั้นบางคนปรับแต่ปากและสีหน้า คำจำกัดความของคำว่า “ปรับความเข้าใจ” คืออะไร (ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน) คำว่า “อภัย” นี้ถ้าทำได้คนที่เป็นสุขก็คือตัวเราเอง ทุกคนมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่เสมอ ไม่ทะเลาะด้วยวาจาก็ทะเลาะอยู่ในใจ ฉะนั้นขอให้อภัยด้วยความจริงใจ

ตั้งแต่วันนี้ไปคิดจะบำเพ็ญจิตใจกันหรือไม่ คิดจะบำเพ็ญธรรมเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ ให้เราเป็นเสมือนบันไดให้ผู้อื่นเหยียบได้หรือไม่ ถ้าศิษย์รักทำได้อย่างนี้ก็เกิดจิตใจของโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ต้องมีความเมตตาสม่ำเสมอ มีปณิธานอันมั่นคงและแข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าวันนี้โดนคนต่อว่า แล้วศิษย์รักก็ค่อยๆ ถอยห่างธรรมะไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่จิตของพระโพธิสัตว์อย่างแท้จริง อาจารย์อยากให้ศิษย์รักมีจิตใจแห่งโพธิสัตว์ มีความเมตตาที่ถาวรยิ่ง ขอให้รู้จักรักษาพุทธญาณที่อยู่ข้างในให้กลมใส รู้จักขัดเกลาจิตที่ไม่สว่างนี้ให้สว่างได้ รู้จักที่จะขัดเกลาฝุ่นที่กัดเซาะอยู่ในจิตใจนี้ให้หมดไป วันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ลองใหม่ พรุ่งนี้ทำไม่ได้ มะรืนก็ลองใหม่ เข้าใจหรือเปล่า

พระนาจา : วันนี้เรามากับพระอาจารย์ ไม่ได้มาเพื่อให้ศิษย์น้องวอนขอ แต่สิ่งที่ให้ก็คือความเข้าใจในหลักธรรม ธรรมะนั้นอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเอง ถ้าศิษย์น้องไม่คิดไม่ไตร่ตรองก็ไม่สามารถเข้าใจ เท่ากับว่าศิษย์น้องเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเอง การบำเพ็ญนั้นคือการบำเพ็ญธรรมด้วยหลักฟ้าดิน เป็นไปตามธรรมชาติ ถูกต้องกับหลักเหตุและผล บำเพ็ญธรรมถ้าเราไม่รักตัวเอง ไม่เห็นใจผู้อื่นแล้ว จะอยู่ในโลกนี้ได้ไหม (ไม่ได้)

อีกข้อหนึ่งที่ศิษย์พี่จะพูดก็คือ ดำรงชีวิตอย่างไร้พันธนาการ ก็คือไม่ผูกใจกับใคร ไม่ไปหาเรื่องกับใคร ไปไหนเราก็มีอิสระทางใจ มีโอกาสก็ต้องมาศึกษาธรรมะให้มาก ฟังให้มาก จะศึกษาสองวันพอไหม ต้องเข้าใจคำว่าตื่นให้แท้จริง

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตแห่งพระโพธิสัตว์”) นี่คือปริญญาของศิษย์ อยู่ที่ว่าอาจารย์ให้แล้วศิษย์ทำได้หรือเปล่า ถ้าศิษย์ทำได้ตามที่อาจารย์บอกก็มีโอกาสบรรลุถึงนิพพานได้ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนบรรลุได้ ศิษย์ทุกคนบำเพ็ญได้ แต่ถ้าศิษย์ท้อก็จะทำไม่ได้ หากใครท้อก็แสดงว่าผู้นั้นเดินไม่ถึงครึ่ง แม้ว่านั่งสองวันอาจจะเหนื่อยและง่วงบ้าง การมาห้องพระก็ไม่ใช่ว่าจะเรียกศิษย์มาแค่สองวันเท่านั้น เพราะฉะนั้นปริญญานั้นต้องตัดสินใจเองว่า ศิษย์ของอาจารย์จะมาบำเพ็ญธรรมะอย่างไร ทำได้เหมือนกับโอวาทที่อาจารย์ให้หรือเปล่า เพียงประโยคเดียวแต่ต้องทำชั่วชีวิต ถ้าคิดว่ามีปณิธานอย่างนี้แล้ว การที่จะบรรลุก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือเปล่า คำว่าทำได้ของศิษย์นั้น หมายถึงศิษย์ทำได้ถึงวันสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า การเป็นโพธิสัตว์นี้ไม่ใช่ทำแต่เรื่องส่วนตัว แต่ต้องทำทุกสิ่งด้วยความเมตตา ให้อภัยตราบจนวันสุดท้าย ถ้าทำได้ศิษย์ของอาจารย์ก็จะมีจิตแห่งโพธิสัตว์ ญาณดวงนั้นก็จะเกิดความเบา ลอยขึ้นสู่เบื้องบน แต่ถ้าเราไม่มีจิตแห่งโพธิสัตว์แล้ว คิดจะสำเร็จธรรมเป็นไปได้ไหม เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนทำได้ดั่งโพธิสัตว์ เจริญรอยตามโพธิสัตว์ แล้วก็สำเร็จคืนดั่งโพธิสัตว์ อาจารย์ขออวยพรให้ศิษย์ทุกคน

ถ้ามองดีๆ ก็จะรู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเรานั้นมีความสุขอยู่คนเดียวหรือเปล่า ถ้ามองแล้วรู้ว่ามีการเกิดแก่เจ็บตาย รู้ว่าทรัพย์สินเงินทองเหมือนกับความหลงที่มีอยู่ อาจารย์อยากถามว่าที่ไหนคือจุดหมายของศิษย์ ทางใดคือแนวทางจุดหมายที่จะมุ่งเดิน จุดหมายนั้นมุ่งไปเพื่ออะไร หากว่าวันนี้มีแนวทางที่จะบำเพ็ญธรรมะ ดูว่าความเมตตาที่ส่องออกมานั้นมีมากแค่ไหน แล้ววัดที่ตัวเอง อย่าให้ผู้อื่นมาคอยชี้คอยเตือน เพราะมนุษย์นั้นล้วนมีอารมณ์ทุกๆ คน พอคนอื่นว่าเราผิด เราก็โกรธ เช่นนี้แล้วอย่าหวังให้ผู้อื่นคอยชี้นำ เราควรที่จะชี้นำตัวเองว่าควรเดินไปทางใด ดูว่าสติของตัวเองตามทันการกระทำแค่ไหน ลองคิดดูอาจารย์บอกว่าเปิดทางปัญญา ทางปัญญาที่อาจารย์พูดถึงมีทางวิสารทคือความแกล้วกล้า มีความชำนาญ ทุกคนทำงานก็มีความชำนาญทั้งสิ้น แต่ปัญญาตัวนี้อาจารย์ให้ไว้สำหรับทำอะไร (ใช้ในการตัดสินใจ) ในทางปัญญานั้น เมื่อมีความวิสารท มีจรรยา คือการประพฤติปฏิบัติซึ่งสมบูรณ์เพียบพร้อม อยู่ที่ว่าศิษย์ได้ตั้งใจนำสิ่งนั้นออกมาใช้หรือไม่ ถ้ามีปัญญาแต่ว่าไม่นำออกมาใช้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ความกล้านั้นสำคัญยิ่ง ถ้าเป็นผู้มีความกล้าแต่ไม่มีคุณธรรม ถึงแม้จะเป็นผู้นำอยู่ข้างหน้า ผู้อื่นจะให้ความเคารพไหม (ไม่) ฉะนั้นผู้ที่อยู่ข้างหน้าจะต้องพึงระลึกอยู่เสมอ อาจารย์ฝากฝังไว้อย่างสุดท้ายคือการบำเพ็ญ เพราะคนที่รู้ธรรมแล้ว บัดนี้เหมือนกับการได้รับปริญญาก่อน วันนี้ได้รับปริญญาแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือเรียน (หมายถึงการบำเพ็ญ) ศิษย์ของอาจารย์จะเรียนจบได้ไหม (ไม่ได้) การที่จะมีความรู้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้อย่างแท้จริง

การทำความดีเป็นสิ่งที่ไม่เสียหายใช่ไหม เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว พร้อมที่จะเดินไปกับอาจารย์หรือเปล่า (พร้อม) วันนี้คนที่บำเพ็ญก็อายุยังไม่มากนัก ขอให้อ่อนน้อมถ่อมตน ส่วนคนที่อายุมากแล้วก็ต้องเร่งรีบบำเพ็ญ อาจารย์หวังให้ศิษย์ตื่นขึ้นเพื่อตัวศิษย์เอง อย่าลืมว่าหนทางบำเพ็ญนั้นเราไม่ได้เดินไปคนเดียว ยังรวมถึงบรรพชนและผู้ที่อยู่รอบข้างที่ศิษย์ยังไม่ได้ฉุดช่วยหรือยังช่วยเขาไม่ได้ ขอให้ใช้ความพยายามเพิ่มขึ้น ฟังธรรมะสองวันอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจ อาจารย์เองก็วางใจไม่ค่อยลง ความจริงใจที่ไม่สามารถสื่อถึงกัน ศิษย์อาจารย์แม้ผูกพันดั่งพ่อลูก แต่หากพ่อรักลูกฝ่ายเดียว ลูกไม่รักตัวเอง อยากถามว่าความรักนั้นเสียเปล่าไหม คนที่เข้าใจธรรมะก็เข้าใจ ส่วนคนที่ยังไม่เข้าใจธรรมะจะให้อาจารย์ใช้วิธีไหน ขอให้ศิษย์ทุกคนดำเนินทางของตัวเองด้วยความหนักแน่น ลาก่อน

พระนาจา : ศิษย์น้องทุกคนคิดถึงพระอาจารย์ไหม หนทางของการบำเพ็ญไม่ใช่จะราบเรียบเสมอ ต้องมีขรุขระบ้าง แต่เมื่อพบทางขรุขระแล้วจะยอมบำเพ็ญต่อหรือเปล่า พระอาจารย์รอศิษย์น้องอยู่ทุกๆ วัน มีโอกาสคงได้พบกันอีก ขอให้ศิษย์น้องโชคดี

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2538

2538-08-05 พุทธสถานอิ๋งเต๋อ จ.นครสวรรค์



PDF 2538-08-05-อิ๋งเต๋อ #9.pdf


#สัปปุริสธรรม  #ศรัทธา


วันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานอิ๋งเต๋อ จ.นครสวรรค์

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ทะเลทุกข์เสมอด้วยความทุกข์ยาก จิตลำบากดั่งหุบเหวที่มิสุด

แต่บัดนี้ได้ชี้ธรรมอันพิสุทธิ์ จงเร่งหยุดกิเลสร้อยที่หลงไป

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

วาดวงกลมวัฏฏะนี้ลงที่ใด น้องตั้งใจพินิจดูรู้จริงหนา

อันอัตตาแห่งตนปนชีวา ตรวจดูค่าอันแท้จริงชาตินี้ดู

บาปเคียงคู่บุญหลอนท่านยึดติด ดวงชีวิตจึงอับเฉาไร้จุดหมาย

เร่งบำเพ็ญในนอกพร้อมใจกาย ยังมิสายหากไปเริ่มลงมือ

คะนึงสามให้รู้ตรวจตราจิต ย้อนมองตนที่ผิดถูกจึงมิเขลา

อันตัวเราปราชญ์แท้มิดูเบา มิมัวเมาตรากตรำจิตอีกต่อไป

เป็นผู้คนแดนดินตะวันออก คิดจะไปตะวันตกมิใช่เรื่องใหญ่

เพียงละลายกังขาแลเดินไป ผู้จริงใจย่อมไปถึงมินานเกิน

ขณะนี้ชีพยังอยู่ตรองให้ดี เมตตามีเวไนยอีกมากหลาย

ยุคขาวแล้วโปรดผู้มีบุญแผ้วพรรณราย มิเสียดายด้วยหนักแน่นจะก้าวเดิน

อันพระธรรมไร้รูปให้เห็นได้ เกิดรูปลักษณ์จึงวุ่นวายมิสิ้นสุด

ตรองจิตตนคือพุทธะแสวงจุด อย่าได้หาพระวิมุตตินอกกายปลอม

ประชุมธรรมสามโลกสะเทือนลั่น กัมปนาทฟาดฟันผู้หลับใหล

เพื่อตนเองตื่นรู้ญาณภายใน แลได้ไปช่วยบรรพชนที่รอคอย

อันระเบียบที่เคร่งครัดแห่งธรรมสถาน เพื่อจัดการดั่งกฎหมายอันยิ่งใหญ่

ด้วยเหตุผลทุกคนอย่าเผลอไป แลเข้าใจตั้งใจฟังซึ้งธรรมา

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่คุมมิห่างไกล

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทท่านจินถง อวี้หนวี่

มวลบุปผาบานแข่งกันกลีบสีสด เหลือบเห็นมดขยันทำงานแข่งแสงฉาย

ศีตคันธ์ลมโชยแผ่วมาทักทาย โอบล้อมใจทุกทุกดวงให้สุขจริง

เราทั้งสองคือ

จินถง อวี้หนวี่ ร่วมรับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทั้งชายหญิงฟังธรรมะเข้าใจหรือเปล่า

ยิ้มเบิกบานแม้แสงอาทิตย์ร้อน ฟ้าอาทรลมไหวให้พัดผ่าน

มวลพฤกษาโบกพลิ้วดูชื่นบาน ต่างขับขานบรรเลงเพลงเสียงกำจาย

ภุมรินโผผินถิ่นดอกไม้ จากดอกใหญ่ไปดอกเล็กเตือนใจหมาย

ในโลกนี้มีเรื่องราวอีกมากมาย สุขวันนี้โศกวันไหนใครรู้ทัน

ทุกชีวิตมีคุณค่าควรนึกถึง ว่าวันหนึ่งสิ้นเวลามีค่าไหม

ฟ้าบรรเจิดด้วยเมตตาปวงเวไนย เป็นสิ่งคอยเตือนให้ใจยั้งคำนึง

อย่าปล่อยให้บ่วงอารมณ์ที่ตนก่อ เกิดผลิหน่อยากลำบากในภายหลัง

ยิ่งฝังรากเติบใหญ่ให้ทุกข์ประดัง จิตหน้าหลังหวังแก้ลำบากใจ

ชีวิตนั้นผกผันตามสถานะ บ้างยอมละบ้างเข้มแข็งตึงผ่อนได้

ประคองจิตเฉกศิศุภาพเกษมฤทัย ดีหรือร้ายมิเก็บไว้ให้อาดูร

บำเพ็ญธรรมบำรุงพุทธจิต สถิตเที่ยงสงบแท้กลางสถาน

คุ้มเรือนกายประคองใจทุกทุกยาม เปรียบเพชรงามยิ่งเหลี่ยมยิ่งสว่างไสว

ฮิ ฮิ หยุด







ประชุมงานพุทธา พรมน้ำทิพย์โปรย น้ำทิพย์โปรย น้ำทิพย์โปรย ประชุมงานพุทธา พรมน้ำทิพย์โปรย ฟื้นญาณเดิม

สนุกสุขก็จงมา ยิ้มให้กัน ยิ้มให้กัน ยิ้มให้กัน สนุกสุขก็จงมายิ้มให้กัน สำราญใจ

เบิกบานเราก็จงมา ทักทักกัน ทักทักกัน ทักทักกัน เบิกบานเราก็จงมา ทักทักกัน สานไมตรี

หากใครเมื่อยก็มา เราจะทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบตุ๊บตุ๊บ หากใครเมื่อยก็มา เราจะทุบตุ๊บตุ๊บ ทุบคลายปวด

อ้าว เวลาก็เดินมา ติ๊กติ๊กติ๊ก ติ๊กติ๊กติ๊ก ติ๊กติ๊กติ๊ก อ้าว เวลาก็เดินมา ติ๊กติ๊กติ๊ก พบกันใหม่

เพลง : บทเพลงแห่งความสุข

ทำนองเพลง : THE WHEEL OF THE BUS




พระโอวาทท่านจินถง อวี้หนวี่

ท่านอวี้หนวี่ : ทุกๆ ท่านเป็นคนที่จะต้องรับฟังธรรมะเอง อาจารย์บรรยายธรรมแต่ละท่านเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดให้ อยู่ที่พวกท่านจะรับเอามาหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) ถ้ารับเอามาก็ต้องเก็บเข้าแฟ้มให้เป็น อันไหนดีเราก็เก็บไว้ อันไหนมีประโยชน์เราก็นำไปใช้ ใช่ไหม

ทุกคนลองกำมือตัวเองดู แล้วลองสั่งให้มือแบ กำมือแล้วแบมือออก ทำง่ายหรือเปล่า (ง่าย) แต่ถ้าบอกให้ทุกคนลองหุบใจดู ทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้) กางใจได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมทำไม่ได้ ในเมื่อทุกคนสั่งให้กำมือแบมือ ยังทำได้ แล้วทำไมสั่งใจเราไม่ได้ เพราะอะไร เพราะหาใจไม่เจอ ไม่รู้ว่าใจเราอยู่ไหน ไม่เหมือนมือที่มองเห็น สามารถให้หุบได้แบได้ ลองพิจารณาดูให้ดีๆ ทุกคนต่างก็มีปัญญาแห่งพุทธะ แต่อยู่ที่การรับฟังและการที่เปิดรับเอาเข้ามา ถ้าใจปิดแม้หลายคนพยายามส่งให้ เราก็ไม่รับเพราะใจเราปิดอยู่ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเองยังดูใจตัวเราเองไม่ได้ แล้วจะให้ใครมาดูใจตัวเราให้ว่าตอนนี้เรากำลังสงสัยไม่แน่ใจ หรือว่าต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาชี้แนะแบบนี้ ทุกคนถึงจะได้รับ เปิดใจ ปิดใจ ให้ใครชี้ (ตัวเราเอง) เมื่อเวลาหิวตัวเรายังรู้ว่าตอนนี้ต้องการกินข้าว ในอนาคตพวกเราจะต้องรู้ว่าจะทำอะไรแล้ว รู้ไหม (รู้) ใจยังสงสัยอยู่ เราก็ต้องเปิดใจวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องไหม สิ่งที่เรากำลังทำอยู่หลอกลวงทุกท่านหรือเปล่า เหมือนเราจะเดินเข้าซอย ถ้าปิดประตูซอยนี้แล้วเข้าไปไม่ได้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าซอยนี้เป็นอย่างไร ใครก็บอกว่าในซอยนี้มีขุมทรัพย์มหาศาล ถ้าเราไม่เข้าไปดู เราจะรู้ไหม (ไม่รู้)

ท่านจินถง : ในเวลาปกติใจของมนุษย์เปรียบเหมือนทีวี เวลาเปลี่ยนช่องก็กดแช็กๆ ใจคนเดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ แล้วควรทำใจเหมือนอะไร (ใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร (มีเมตตา) เราควรทำใจเหมือนอะไร (เด็ก) แหงนมองขึ้นไปเห็นอะไร (ฟ้า) ใจแบบฟ้านี้ดีไหม ฟ้าเป็นอย่างไร (กว้าง) เวลามนุษย์ทำไม่ดีฟ้าตะโกนบอกว่าท่านทำไม่ดีหรือเปล่า ทำใจแบบฟ้ายากไหม ปกติใจของทุกๆ ท่านก็เป็นใจฟ้าอยู่แล้ว แต่ใจฟ้านี้ต้องให้อยู่เป็นฝ่ายกลาง คือดำรงความเที่ยง ใจฟ้าคือรู้จักเมตตา ท่านคิดว่าใจฟ้าเป็นอย่างไร (จิตใจกว้างขวาง สดใส โอบอ้อมอารี ใจดี) ถ้าไม่มีฟ้าพวกท่านจะมีข้าวกินไหม มีผู้บอกว่าผู้บำเพ็ญธรรมดื่มน้ำต้องระลึกถึงต้นธาร ท่านเคยคิดไหมว่าทุกท่านเกิดมาหนึ่งชีวิตก็มีต้นธารเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์เกิดมาก็ต้องมีต้นสาย (คิด)

ชีวิตนี้บางคนเกิดมาก็มีอายุถึงร้อยปี ร้อยปีนี้เป็นช่วงสั้น คนเราเวียนว่ายมานานแค่ไหนแล้ว (หกหมื่นปี) หากท่านสละเวลาที่เหลือในชีวิตนี้ ถ้าตอนเย็นว่างก็มาไหว้พระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็รับรู้ได้เสมอว่าท่านมาห้องพระบ่อยๆ เมื่อมาห้องพระบ่อยๆ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดีไหม (ดี) แต่ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของท่านว่ามีมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่ามาห้องพระแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองร้อยเปอร์เซ็นต์

ห้องพระที่นี่เพิ่งเปิดใหม่ ทุกคนต้องสามัคคีกัน หากพี่ล้มน้องจูง หากน้องทำไม่ถูก พี่ก็ช่วยเตือน

ท่านอวี้หนวี่ : “ยิ้มเบิกบานแม้แสงอาทิตย์ร้อน ฟ้าอาทรลมไหวให้พัดผ่าน

มวลพฤกษาโบกพลิ้วดูชื่นบาน ต่างขับขานบรรเลงเพลงเสียงกำจาย”

หมายถึง แม้ว่าเราจะร้อนระอุภายใน แต่ฟ้าก็ประทานลมเย็นๆ มาให้เรา เหมือนต้นไม้ สักพักก็โบกพลิ้วไปมา จริงๆ แล้วถ้าทุกคนจิตสงบ ตั้งใจฟังให้ดีๆ แล้วมองธรรมชาติที่โบกพลิ้วไปตามสายลม นั่นคือดนตรีชนิดหนึ่งที่ต้องใช้หูฟัง เป็นดนตรีที่เกิดจากธรรมชาติที่น่าฟังและน่ารื่นรมย์สดชื่น มนุษย์นั้นบางครั้งเกิดความวุ่นวาย เหมือนคนที่อยู่ในเมืองแล้วเห็นแต่ตึกรามบ้านช่อง บางครั้งอยากจะหลบหนีไปหาธรรมชาติ ไปมองความสวยงามจากภูเขา ลำน้ำ จริงๆ แล้วทุกคนก็ชอบความเป็นธรรมชาติใช่ไหม (ใช่) แต่บางครั้งก็ขอให้ได้ตกแต่ง ขอให้ได้เพิ่มเติมนิดหน่อยก็ยังดีใช่หรือเปล่า (ใช่) เหมือนกับว่าเราเป็นผีเสื้อน้อยๆ ที่กำลังหาเกสรจากดอกไม้ดอกหนึ่ง เราไม่รู้หรอกว่าดอกที่เรากำลังหาอยู่นั้น เป็นดอกที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ดอกไม้ทุกๆ ดอก แต่เราก็ยังมองออกไปว่าตรงนั้นก็มี ตรงนี้ก็มี แต่บางทีเพราะความต้องการและความอยากของเรา ทำให้เราหวังไปหาดอกอื่นข้างหน้า แล้วเราก็มานั่งเสียใจภายหลังว่าดอกที่แล้วยังสวยกว่า หอมหวานกว่าและใหญ่กว่าอีก มีบ้างไหม (มี) เหมือนอย่างที่บอกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเราไม่เห็นคุณค่า แต่เมื่อเขาจากเราไป เราจึงเห็นคุณค่า

“ทุกชีวิตมีคุณค่าควรนึกถึง ว่าวันหนึ่งสิ้นเวลามีค่าไหม

ฟ้าบรรเจิดด้วยเมตตาปวงเวไนย เป็นสิ่งคอยเตือนให้ใจยั้งคำนึง”

คุณค่าชีวิตของทุกคนอยู่ที่ความดี แล้วคนที่ไม่ทำความดีเขามีคุณค่าไหม (ไม่มี) แต่เราว่ามี เพราะถ้าไม่มีคนไม่ดีแล้วจะมีคนดีเกิดขึ้นไหม (ไม่มี)

ทุกคนแบ่งเอาเองว่าเราดี เขาไม่ดี ฉะนั้นคุณค่าของชีวิตต้องอยู่ที่ว่าเรามีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิตหรือเปล่า แล้วจุดมุ่งหมายที่เรากำลังเลือกอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ต่อหมู่ชน ต่อสถาบัน ต่อคนที่แวดล้อมหรือเปล่า ถ้าเราทำแล้วไม่กระทบกระเทือนใคร ไม่ทำร้ายใคร สิ่งที่เราทำนั้นเป็นคุณค่าของใคร (ตัวเราเอง) ใครทำดีก็ไม่เท่าตัวเองตั้งอยู่ในความชอบ หวังทำแต่สิ่งที่ดี เมื่อเกิดฟ้าผ่า ฟ้าลั่น ทุกคนก็ยังสามารถหลบหลีกได้ แต่ถ้าจิตใจของทุกคนเผลอไปทำสิ่งไม่ดีแล้ว เราจะหลบหลีกได้ไหม (ไม่ได้) เพราะขนาดแค่ใจของเราเอง เรายังกลัวคนรู้ กลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาจับเราไหม สักวันหนึ่งจะมีคนรู้ไหมว่าเรากำลังทำผิด แค่เราทำผิดนิดหนึ่งตัวเราเองก็กลัวแล้ว ฉะนั้นจะทำอะไรก็ต้องรู้หลักรู้ควร อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ต้องรู้ในหลักสัปปุริสธรรม ๗ คือ ๑. รู้หลักหรือรู้จักเหตุ ๒. รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล ๓. รู้จักตน ๔. รู้จักประมาณ ๕. รู้จักกาล ๖. รู้จักชุมชน ๗. รู้จักบุคคล

วันนี้เราทั้งสองมาเพื่อเล่นละครให้ใครดูหรือเปล่า มาหลอกลวงและทำสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า (ไม่ใช่) เราไม่ได้หลอกลวงใช่ไหม เราเหมือนเอาทีวีมาให้ท่านดูจอหนึ่ง รายการนี้มีคุณค่าและมีสาระ อยู่ที่ว่าท่านจะนำคุณค่าและสาระนี้ออกไปใช้ประโยชน์หรือเปล่า ธรรมะพูดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด พร้อมที่จะเปิดใจเข้าไปศึกษา อย่าเพิ่งดูถูกตัวเอง เพราะตัวเองก็เป็นพุทธะน้อยๆ หรือพุทธะที่อาวุโสได้ อยู่ที่ว่าทุกท่านจะเข้าใจในสิ่งที่เราทำหรือไม่

ท่านจินถง : จากกลอนนำ มวลบุปผาคืออะไร (ดอกไม้) ดอกไม้มีอายุยืนไหม ชีวิตของพวกท่านเหมือนดอกไม้ซึ่งบานเพียงชั่วครู่ก็อาจจะเหี่ยวเฉาลงไปได้ ดอกไม้ที่สีสดๆ บานแข่งกันก็เหมือนกับชีวิตหนึ่งซึ่งหาเงินทองลาภยศ เพราะว่าดอกไม้บานแข่งกัน ชีวิตคนเหมือนดอกไม้ตรงที่ต้องแข่งกันทุกวันๆ เพื่อที่จะให้สีดอกไม้ของตนเองนั้นสวยสดกว่าใครใช่ไหม (ใช่) ท่านคิดว่าท่านเป็นดอกไม้ที่อยากจะให้ตัวเองสีสดใสอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วท่านคิดว่าดีไหม (ดี) ดีหรือ เมื่อสักครู่นี้เพิ่งจะฟังสัจธรรมแห่งชีวิต บอกว่าอเล็กซานเดอร์ตายแล้วไปมือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) แล้วลาภยศเงินทองนำติดตัวไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วท่านอยากจะให้ตัวเองแข่งกับผู้อื่น เป็นดอกไม้ที่สวยสดที่สุด อย่างนี้ท่านคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปหรือเปล่า (ไม่) ชีวิตคนเราเมื่อผิดพลาดไปแล้วจะนำกลับมาแก้ไขใหม่ไม่ได้ เมื่อนั้นคิดจะมาสร้างมาทำก็ช้าไปใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ในวันนี้ พิจารณาว่าวันนี้เราทำอะไรให้เป็นประโยชน์หรือเปล่า อย่าคิดว่าหน้าที่ของตัวเองนิดๆ หน่อยๆ เป็นคนทำครัว เราก็รู้ว่าการทำครัวให้อร่อยที่สุดนั้นอยู่ตรงไหน เป็นลูกเราจะกตัญญูอย่างไร เป็นมนุษย์ต้องรู้ว่าจะเมตตาอย่างไร ท่านคิดว่าหน้าที่พวกนี้พึงกระทำไหม (พึงกระทำ)

“เหลือบเห็นมดทำงานแข่งแสงฉาย” ถ้าเราเป็นดอกไม้ บังเอิญเหลือบไปเห็นมดทำงานแข่งกับเวลา เราต้องรู้ว่าชีวิตเราไม่ยืนยาว ตอนนี้เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมะ ต้องมีความเมตตา ต้องขัดเกลาจิตตัวเอง ถ้าหากว่าวันนี้เราผลัดไปเหมือนดินพอกหางหมู ผัดวันประกันพรุ่ง ท่านคิดว่าท่านจะเริ่มบำเพ็ญได้วันไหน

“ศีตคันธ์ลมโชยแผ่วมาทักทาย” ศีตคันธ์แปลว่ากลิ่นหอมเย็น กลิ่นหอมเย็นนี้โชยแผ่วมา ตอนนี้ถึงวาระที่พวกท่านซึ่งเป็นปุถุชนจะได้บำเพ็ญในครัวเรือน ท่านก็ควรจะตอบสนองด้วยอะไร เมื่อมีลมมากระทบกับดอกไม้ ดอกไม้ก็โอนไปโอนมา เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อท่านรับวิถีธรรมแล้ว เมื่อมาในสถานธรรมท่านก็เป็นดอกไม้ ท่านคิดว่าท่านจะสนองในวาระการบำเพ็ญในครัวเรือนได้อย่างไร (พาคนมารับธรรมะ ปฏิบัติธรรม สำรวจจิตตนเอง) การที่มีโอกาสรับรู้วิถีธรรมแล้ว สิ่งที่ทุกท่านต้องทำก็คือทำจิตใจตนให้กลับสู่ภาวะที่บริสุทธิ์ สะอาด การชวนคนมารับธรรมะเป็นเรื่องของความเมตตาซึ่งเกิดจากจิตของตัวเอง ผู้ที่ชวนคนมารับธรรมะแล้วต้องไปส่งเสริมเขาด้วย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะคิดว่าไม่มีสิ่งที่จริงอยู่ในธรรมะอันไร้รูปลักษณ์นี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) แล้วทุกท่านก็จะเป็นสุขจริงตามที่เราบอกไว้ เพราะเป็นสุขที่จีรังยั่งยืน แต่ถ้าจะสุขจริงๆ ต้องบำเพ็ญทั้งบ้าน การที่เราเป็นคนดี คนในบ้านเขาเห็นว่าเราเป็นคนดี เมื่อนั้นเขาก็จะเข้าใจว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาพูดกับนักเรียนในชั้นท่านหนึ่ง) เป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเปล่า เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วจะไปบำเพ็ญกับภรรยาและลูกหรือเปล่า (ทุกวันนี้ก็บำเพ็ญอยู่แล้ว) การที่เราบำเพ็ญทั้งครอบครัวก็จะเกิดสุขจริงๆ นำครอบครัวไปบำเพ็ญดีไหม (ดี)

ประชุมงานพุทธะครั้งนี้มีน้ำทิพย์โปรย ธรรมะที่อาจารย์บรรยายธรรม บรรยายให้เราฟังนั้นก็เหมือนน้ำทิพย์ที่โปรยปราย เราก็ฟื้นญาณเดิม เมื่อเราสนุกสุขก็ยิ้ม เวลามีคนเข้ามาในห้องพระ เราก็ต้องยิ้มแย้มทักทายกัน ไมตรีจึงจะเกิดขึ้นได้ถูกไหม (ถูก) เราจะต้องสานไมตรีให้เกิดขึ้น แล้วก็ร่วมศึกษาธรรมะด้วยกัน สนทนาธรรมะให้เกิดประโยชน์ต่อจิตตัวเอง เข้าใจหรือเปล่า เมื่อฟังธรรมะแล้วเมื่อย เราก็จะทุบตุ๊บตุ๊บ การทุบนั้นก็เพื่อที่จะคลายปวดคลายเมื่อย เวลาก็เดินไปติ๊กติ๊กติ๊ก กายนี้ไม่ใช่ของเรา เราอยู่ได้ไม่นาน อยู่กับพวกท่านได้เพียงครู่เดียว แล้วเราก็บอกว่าพบกันใหม่ เข้าใจหรือเปล่า

เพลงนี้เราให้ชื่อว่า “บทเพลงแห่งความสุข” จริงๆ แล้วในโลกนี้ก็ไม่มีสุขไหนที่เป็นสุขจริง แต่เราก็สมมติว่าเป็นสิ่งที่มีความสุข ทำให้พวกท่านมีความเบิกบานในจิตใจขึ้นได้

อีกสักครู่เราทั้งสองจะไปแล้ว หากวันหน้าพวกท่านมาอีก ก็จะพบกับเราอีก คิดถึงพวกเราหรือเปล่า (คิดถึง) จริงหรือเปล่า (จริง) เราคิดถึงพวกท่านจริงๆ พวกท่านก็ต้องคิดถึงเราจริงๆ ด้วยนะ




------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลักสัปปุริสธรรม ๗ คือ ๑. รู้หลักหรือรู้จักเหตุ ๒. รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล ๓. รู้จักตน ๔. รู้จักประมาณ ๕. รู้จักกาล ๖. รู้จักชุมชน ๗. รู้จักบุคคล




วันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมตตาสถานเวไนยชนศิษย์รักข้า เปิดขึ้นมาใจนี้มั่นคงยิ่ง

ขอศิษย์รักร่วมแรงกันอย่าประวิง ทำสิ่งดีมิกลัวผลเหตุใดใด

เราคือ

พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน (อิ๋งเต๋อ) แฝงกายเคียมคัล

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนเหนื่อยยากกันหรือเปล่า

หากน้อมนำอุดมธรรมแลรอบคอบ แบบทดสอบบ่งแท้มามิประหม่า

ศิษย์รักผ่านศรัทธาหนุนสนองบัญชา นิพัทธ์หล้าโปรดจริงแต่เพียงใจ

ฤทัยฟ้าเบื้องหลังแห่งสรรพสิ่งอาณา เมื่อภัยเกิดผ่องฟ้าอันตรธานหาย

จงสงบแลนิ่งทั้งใจกาย หาไม่เพลิงกลางฤทัยบังเกิดแทน

สักการะต่อพุทธะปรานีเลือกสรรดู บุปผาชูกลิ่งบัวกลางโคลนหนา

ยกช่อนั่นเครื่องบูชาควรพิจารณา ความงามเทียมแท้นิภาตรองฤทัย

ศูนย์ตากลางถ้ำโบราณเขาพุทธะ อาจารย์ชี้ให้ศิษย์รู้ทางเท่านั้น

ให้ไปเดินรู้เองแปรชีวัน แล้วตั้งมั่นไปบำเพ็ญทั้งครอบครัว

ฮา ฮา หยุด




ผงาดดังนก อิสระโผ เติบโตโดยเรียนรู้ ลู่ทางว่องไว ท่ามกลางทิวทัศน์งามตา ฝนหลั่งกลางฟ้าอุทัย บทบาทชีวิตก็เป็นฉะนี้

* แต่กับชีวิต แห่งจิตมนุษย์ เพิ่มความชำรุดทำลายจิตใจ ชีพคนเช่นนกหลงทาง ที่แตกตื่นหาทางไป คืบวาผันให้ยิ่งไกลเกินจริง

** นกที่ไร้รัง หันคืนทิศใด แผ่นฟ้าใส ไร้ทางคืนกลับ ศิษย์จงคิดดูดีดี บอกหนนี้คืนบ้านตน ฝ่าลมฝนจงเชื่อคำอาจารย์ (*, **)

เพลง : กลับบ้านเดิม

ทำนองเพลง : ไม่อยากให้เธอรู้

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์รักทุกคนเหนื่อยกันหรือเปล่า (ไม่เหนื่อย) พอเห็นหน้าอาจารย์ก็บอกไม่เหนื่อย ศิษย์รักของอาจารย์น่ารักอย่างนี้ทุกคนใช่ไหม นั่งฟังธรรมะมาตั้งสองวันแล้ว เมื่อยกันหรือเปล่า เวลานั่งฟังธรรมะ ศิษย์ต้องรู้ว่าคนที่พูดให้ฟังไม่ใช่ว่าเขาจะมีความสามารถมากกว่าเรามากมาย สิ่งที่เขาพูดล้วนเกิดจากการศึกษาธรรมะทั้งสิ้น ศิษย์คิดว่าการศึกษาธรรมะเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า ศึกษาธรรมะเพื่อให้จิตของศิษย์ได้รับการขัดเกลากลับสู่ความสว่างไสว สถานธรรมที่นี่ชื่อว่าอะไร (อิ๋งเต๋อ) อิ๋งเต๋อแปลว่าสว่างดังหยก ห้องพระที่นี่มีชื่อแล้ว คนที่อยู่นครสวรรค์ทุกคนก็ต้องรู้ว่าเมื่อได้รับชื่อสถานธรรมแล้ว เราควรที่จะมาสถานธรรมบ่อยๆ และทำตัวเองให้เหมือนชื่อสถานธรรมนี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)

“อุดมธรรมแลรอบคอบ” ศิษย์เข้าใจว่าอย่างไร (การปฏิบัติธรรมที่รอบคอบ) การปฏิบัติธรรมอย่างรอบคอบต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้างจึงจะเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ การบำเพ็ญธรรมให้รอบคอบต้องประกอบไปด้วยสติ พระพุทธะกล่าวว่าปุถุชนกลัวอะไร (กลัวผล) พระพุทธะกลัวเหตุ ถ้าวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้จักที่จะกลัวเหตุซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดผล ศิษย์ก็จะเป็นพุทธะได้ ความรอบคอบคือตั้งสติไว้ตลอดเวลา ถ้าศิษย์ของอาจารย์มีสติ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดๆ ก็จะไม่กลัว เพราะเราได้ตัดสินใจลงไปแล้วใช่ไหม (ใช่) การตัดสินใจนั้นจะต้องรู้ว่าได้ตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือเปล่า หรือว่าตัดสินใจผิดๆ ไปแล้วก็ยังจะทำ แต่การตัดสินใจต้องออกมาจากความเที่ยงของจิต เข้าใจหรือเปล่า

เมื่อวานนี้ท่านจินถง อวี้หนวี่มา ทุกคนเกิดความสนุกสนานหรือเปล่า (สนุก) การที่จะเกิดความสนุกสนานในจิตได้ จิตของเราต้องรู้จักเบิกบานเสียก่อน จิตที่เบิกบานคือจิตที่ไม่ขุ่นมัว แล้วจิตของศิษย์ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ขุ่นมัวหรือเปล่า ถ้าจิตไม่ขุ่นมัวแล้ว ศิษย์ของอาจารย์ก็เข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง ทำการใดๆ ก็ไม่กลัวพลาด ใช้ชีวิตอยู่ให้เกิดคุณธรรม ศิษย์ทำได้หรือไม่ เพื่อชีวิตนี้และเพื่อความสุขสดใสแห่งจิต ทุกๆ วันจะต้องรู้จักล้าง รู้จักเช็ด รู้จักปัด แล้วศิษย์ของอาจารย์ปัดเช็ดจิตนี้ทุกวันหรือเปล่า ฝุ่นในจิตมีหนาไหม (หนา) เป็นเพราะว่าเกิดมาแล้วตายไป วนอยู่อย่างนี้หลายภพหลายชาติ ถ้าหากวันนี้เข้าใจธรรมะแล้วก็ควรเริ่มต้นบำเพ็ญ รู้จักว่าจะขัดเกลาจิตอย่างไร การอยู่ร่วมกันก็จะมีความสุขอย่างยิ่ง ดูๆ แล้วศิษย์ทุกคนก็มีความศรัทธาอันมั่นคงยิ่ง ถ้าหากว่ารู้ที่จะนำไปสู่ทางที่ดี ไม่ลังเลสงสัย ไม่เดินครึ่งทาง ชีวิตนี้ก็เกิดความสงบสุขในการบำเพ็ญธรรมะ ส่วนการจะเกิดโชคลาภวาสนาได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อก่อนนี้ศิษย์เคยทำไว้หรือเปล่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไต่ถามใดๆ ถ้าหากคิดว่าลองสิ่งใดแล้วจะรู้ นั่นไม่ใช่ธรรม การศึกษาธรรมะก็เพื่อที่จะดำรงอยู่ได้และหลุดพ้นกลับไปได้ อาจารย์ไม่ได้มาเพื่อที่จะบอกว่าสิ่งนั้นทำให้ศิษย์เจริญรุ่งเรือง สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ตกอับลงไปได้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

อาจารย์เปรียบชีวิตของคนว่าเป็นเหมือนนกที่มีบทบาทที่จะเติบโตเรียนรู้ ชีวิตของศิษย์มีเพียงแค่หากินอยู่วันหนึ่งๆ แค่นี้หรือเปล่า เหมือนกับว่าอยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อเช้าค่ำผ่านไป ค่ำมีฝนตก เช้าผ่านมาออกไปหากินใหม่ บทบาทของชีวิตมนุษย์ทุกๆ วันก็เป็นอย่างนี้ การดำรงเมตตาฉุดช่วยโปรดคนให้เกิดความสว่างไสว ให้เวไนยสัตว์เกิดความรู้แจ้งเร็วขึ้นจะดีไหม (ดี) แต่ว่าท่ามกลางการแก่งแย่งทำมาหากิน ศิษย์เกิดการทำลายและทำร้ายจิตใจ ทำลายไปเรื่อยๆ หนึ่งชาติผ่านไป ทำลายไปส่วนหนึ่ง สิบชาติผ่านไป ทำลายไปสิบส่วน บางคนเกิดมาชาตินี้เป็นมนุษย์ แต่ว่าชาติที่แล้วหรือชาติก่อน หรือบรรพชนเราจะไปเกิดเป็นอะไรไม่มีใครรู้ได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์เร่งบำเพ็ญเพื่อตัวศิษย์เอง เพราะว่าความสุขนั้นไม่อาจจีรังอยู่กับศิษย์ได้ตลอดไป วันนี้เหมือนกับนกที่บินหลงทางไป ถ้าเกิดว่ายิ่งแตกตื่น รุ่มร้อน เพื่อที่จะหาวิถีสัจธรรม ศิษย์อาจจะเจอ แต่ว่าศิษย์ยังเดินไม่ตรงทาง อาจารย์ไม่ได้บอกว่าทุกๆ อย่างที่ศิษย์หามาไม่เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าค่อยๆ เดินกลับเข้ามาให้จิตใจเราเที่ยงตรงขึ้น ไม่เกิดความลังเลสงสัยอยู่ในใจ

เมื่อวานนี้เซียนเด็กได้บอกว่าใจฟ้านั้นเป็นอย่างไร (กว้าง) แล้วกลับไปนอนมาหนึ่งตื่นแล้ว ใจฟ้าเริ่มกว้างขึ้นหรือยัง หัวหน้าชั้นใจฟ้าเริ่มหรือยัง (เริ่มแล้ว วันนี้รู้สึกคล่องกว่าเมื่อวาน) หัวหน้าชั้นผู้หญิง (เริ่มจะศึกษา) แล้วคนอื่นล่ะ (รู้สึกสบายใจ, กว้างเหมือนฟ้า, สดใสกว่าเมื่อวาน, เข้าใจมากยิ่งขึ้น) อาจารย์หวังว่าฟังธรรมะแล้ว ศิษย์รักของอาจารย์จะเข้าใจธรรมะมากยิ่งขึ้น เพราะว่าฟังไปมากเท่าไหร่ ถ้าไม่เข้าใจ ศิษย์รักของอาจารย์ฟังไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) คนในโลกมนุษย์นี้ชอบฟังอะไรไม่ชัดเจน ฟังหนึ่งไม่รู้ถึงสิบ ฟังหนึ่งรู้ครึ่งเดียว แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็เกิดจากการพูดต่อๆ กันไป ใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์คิดว่ารู้ในสิ่งดี พูดในสิ่งดี เป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าหากว่าอย่างนี้แล้ว รู้สิ่งดี พูดสิ่งดี ทำได้หรือเปล่า แต่หากรู้ในสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเปลี่ยนใจตัวเองเป็นเตา แล้วก็หย่อนมันลงไปและเผาให้หมดใช่ไหม (ใช่) ถ้ารู้ในสิ่งดีก็เก็บไว้เชิดชู ทำได้หรือเปล่า (ทำได้)

คนส่วนมากเมื่ออยู่ในสถานที่ใหม่ๆ และผู้คนยิ่งมากเท่าใด เรื่องราวก็ยิ่งสืบทอดกันได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นหนึ่งคนดี สองคนดี สิบคนดี ร้อยคนดี ทุกๆ อย่างก็จะเกิดสิ่งที่ดีขึ้นใช่ไหม (ใช่) แต่ว่าการกระทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพียงวันสองวันก็สามารถทำได้ ขอให้ศิษย์หมั่นพยายามเข้า ดูธรรมะก็ดูที่คน เพราะว่าธรรมะไม่มีรูปลักษณ์ อยู่ที่ว่าคนนั้นจะทำในสิ่งที่ดีได้มากแค่ไหน ถ้าหากว่าเราจะนำพาคนอื่นๆ ตัวเราเองก็ต้องรู้ที่จะขัดเกลาตัวเองเสียก่อนจึงจะนำผู้อื่นได้ ถ้าหากว่าเราเป็นผู้นำ แล้วเราเองทำไม่ได้ ผู้ที่มองเราอยู่เกิดหมดความศรัทธา ศิษย์รักจะแก้ปัญหานี้อย่างไร (ทำตัวให้ดี ให้เขาเกิดความศรัทธาขึ้นมาใหม่) แล้วถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร (มีความอดทน) แล้วศิษย์รักจะอดทนได้จริงๆ หรือเปล่า สถานธรรมก็อยู่ข้างๆ ที่นี่ก็เป็นของเรา ต่อไปนี้ถ้าเข้าใจธรรมะก็ต้องช่วยคนที่นี่ใช่ไหม (จะพยายามช่วย)

(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าพายเรือ) ให้พายไปถึงเขาผิงซันที่อาจารย์อยู่ พายถึงแล้วหรือ ถ้าศิษย์ถึงแล้วต่อไปนี้คงไม่ต้องมาเกิดอีก แล้วจะเสียดายหรือเปล่า ไม่ต้องมาเกิดนี้แสนสุขสบาย แต่เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องมีหน้าที่ที่ลำบากอยู่ดี เพราะฉะนั้นกลัวความลำบากหรือเปล่า (ไม่กลัว) เวลาเดินไปบนทางที่มีอิฐหินกรวดทราย แล้วศิษย์รักของอาจารย์ไม่มีรองเท้าจะเจ็บไหม (เจ็บ) อย่างนี้ก็เป็นความลำบากชนิดหนึ่งที่อาจารย์ยกขึ้นมาให้ฟัง เป็นการสมมุต กลัวหรือเปล่า (ไม่กลัว) ฟังธรรมะแล้วเกิดข้อสงสัยจะทำอย่างไร (ถาม) ถามใคร (ถามพระอาจารย์) แล้วถ้าอาจารย์กลับไปแล้วจะทำอย่างไร ถามอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช่ไหม (ใช่)

กลอนบทแรกที่อาจารย์ให้ ถ้าเกิดว่ามีธรรมะที่อุดมแล้ว การที่เราจะอยู่ในความลำบากใดๆ ศิษย์ก็ไม่กลัว ถ้าเกิดว่าเมื่อนั้นศิษย์หายสงสัย เหลือแต่ความศรัทธา นิพัทธ์กล้าหมายถึงทั่วหล้า ทั่วแผ่นดิน ทั่วหล้าทั่วแผ่นดินนี้อาจารย์โปรดอย่างไร (ให้รู้จิตญาณเดิม) จริงๆ แล้วการโปรดของอาจารย์ไม่ได้โปรดทางกาย โปรดทางกายเช่นอะไร (ทรัพย์สินเงินทอง) อยากจะมีทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ยาก ศิษย์รักหาเองได้ มาวันเดียวจะได้มรรคผลหรือไม่ การมาวันเดียวยังไม่ได้ผลอะไร อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเอง สู้กับความจำเป็นของชีวิต ถ้าศิษย์สู้อาจารย์ก็สบายใจ ถ้าศิษย์ไม่สู้ก็คือคนที่ยังไม่ก้าวและไม่ยอมเดิน มีคนบอกว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าง ไม่ใช่ว่างเพราะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ถ้าหากอยากได้ก็ทำขึ้นได้ แต่ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา อาจารย์อยากให้ศิษย์ร่ำรวยพุทธธรรม ร่ำรวยความเมตตาและสิ่งที่ดี เข้าใจหรือเปล่า บางคนมีทรัพย์สินมากมาย แต่ตกอยู่ในความมืด เป็นเพราะว่าเขามีมากเกินไป ทำให้เกิดความกังวล บางคนได้ทรัพย์สินเงินทองมาด้วยการแย่งชิงและคดโกง เมื่อโกงเขามาศิษย์ก็ห่วงว่าเขาจะมาทวงคืน เหมือนกับการที่ศิษย์นินทาเขา ก็กลัวเขารู้ คนทุกคนเคยทำความผิดทั้งนั้น แต่ว่าเมื่อทำความผิดแล้วศิษย์จะต้องรู้จักที่จะแก้ไขและเริ่มต้นใหม่ ถ้าผิดสองครั้งแก้สองครั้ง ถ้าผิดสิบครั้งแสดงว่าศิษย์รักของอาจารย์อาจจะเกิดจิตที่แย่ๆ ขึ้นได้ จะทำอะไรก็อย่าให้ผิดหลายครั้งหลายหน เข้าใจไหม

เมื่อเกิดใจฟ้าก็เป็นพุทธญาณเดิม เมื่อใดเกิดภัยพิบัติขึ้น จิตก็เหมือนกับนกที่เกิดความแตกตื่นลังเล ไม่เข้าใจ แล้วศิษย์ของอาจารย์อยู่ในภาวะแตกตื่นหรือเปล่า เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นผู้กลัวภัย เช่นเกิดไฟไหม้ขึ้น ศิษย์จะทำอย่างไร (ตั้งสติ) ตั้งสติคือนิ่งทั้งใจและกาย เมื่อนิ่งแล้วก็จะเกิดความสุข ไฟภายนอกไม่ร้ายแรง แต่ไฟภายในร้ายแรงกว่า เข้าใจไหม

ศิษย์รักของอาจารย์เคยทำบุญด้วยดอกไม้ไหม เวลาไปทำบุญเลือกดอกไม้แบบไหน (สวยที่สุด) ดอกบัวนี้เกิดมาได้อย่างไร (จากโคลนตม) มีใครเคยย้อนเข้าสู่จิตตัวเองบ้างว่าจิตของเรานั้นงดงามเหมือนดอกบัวบ้างไหม ลองไปคิดดูให้ดี

ที่อาจารย์บอกว่าจุดที่รับชี้ไปนั้นเป็นถ้ำโบราณ เป็นเขาพุทธะ เขาพุทธะนี้เมื่อรู้แล้วให้ศิษย์ไปปฏิบัติเองและเรียนรู้เอง ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่พูดแล้วจะรู้ได้ ฟังธรรมะสองวันแต่บางคนบอกว่าไม่รู้อะไรเลย นั่นเป็นเพราะว่าจิตญาณของตัวเองรับรู้ในสิ่งที่เป็นคำพูด แต่ว่าจิตตัวเองนั้นไม่ได้รับรู้สภาวะแท้จริง จึงต้องไปเดินเอง รู้เองและเข้าใจเอง เมื่อรู้เอง เดินเอง ในที่นี้มีหลายคนที่มาเป็นครอบครัว เพราะฉะนั้นการที่เราแปรตัวเองได้ นำคนในครอบครัวได้ เราก็นำให้บำเพ็ญทั้งครอบครัว บางคนตัวเองบำเพ็ญอยู่คนเดียวก็เกิดความทุกข์ ด้วยจิตใจที่บำเพ็ญอย่างมุ่งมั่น บางทีอาจจะทำอะไรซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจจิตใจคนในบ้าน ฉะนั้นทั้งบ้านเกิดความปรองดองกันเป็นสิ่งที่ดี เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) อาจารย์ก็อยากให้ทุกคนบำเพ็ญได้ทั้งครอบครัว อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนมีความปิติสุขอย่างแท้จริง แม้เราจะเป็นคนเดียวในครอบครัว แต่ถ้าหากว่าศิษย์รักพยายาม อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทุกคนต้องทำได้แน่นอน

ขอให้ศิษย์รักของอาจารย์มีความมั่นคงในธรรม แล้วช่วยงานอาจารย์ดีไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันตั้งชื่อเพลง ได้ชื่อว่า “กลับบ้านเดิม”) แสดงว่าทุกคนอยากกลับบ้านเดิมใช่หรือเปล่า ศิษย์ของอาจารย์กลัวว่าจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเปล่า

อาจารย์ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มาช่วยงาน อาจารย์หวังว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนคงจะทำได้เหมือนวันนี้ ไม่เกิดความระแวงหรือลังเลสงสัยอยู่ในใจอีก ธรรมะที่ศึกษาไปสุดท้ายตัวศิษย์ก็ได้รับเอง ขอให้ศิษย์ทุกคนสามัคคีกัน ธรรมะจะเจริญรุ่งเรืองได้หรือไม่นั้นอาจารย์ไม่ได้หวัง หวังเพียงอย่างเดียวว่าศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนมีความศรัทธาจริงใจและบำเพ็ญอย่างจริงจัง เพื่อให้ตัวเองได้กลับคืนขึ้นไป อย่ามุ่งหวังอยู่ในโลกอันจอมปลอมนี้ ภาพลวงตาอาจดูน่าชมยิ่ง แต่ว่าภายในซ่อนสิ่งใดไว้ศิษย์รักน่าจะรู้ดี อาจารย์ก็ฝากความหวังไว้ว่าศิษย์ทุกคนจะทำได้ดังเจตนาฟ้า ไม่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำงานทุกอย่างอยู่ที่เหตุและผล การเป็นพุทธะต้องเสมอต้นเสมอปลาย มิใช่ตั้งอยู่บนความประมาทเรื่อยไป เข้าใจไหม

อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนจะผ่านการทดสอบ แม้ว่าตอนนี้ศิษย์จะเหมือนกับฟ้าที่นิ่งสงบ วันข้างหน้าศิษย์อาจไม่เหมือนวันนี้ ขอให้ห่วงตัวเองมากๆ มีความเมตตาต่อผู้อื่นเสมอต้นเสมอปลาย

“กลางเพลิงไม่ปรานีบัวกลิ่ง ชูช่อ งามตา

กลางเทียมนั่นคือแท้ถ้า ศิษย์รู้ เดินไป”

ขอให้ศิษย์เป็นเหมือนบัวที่อยู่กลางไฟ กลิ่งแปลว่าเลือก ในเมื่อเลือกเองว่าวันนี้จะอยู่ในโลกีย์ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนก็จะต้องเป็นบัวที่งามให้ได้ ในโลกีย์ที่เทียมนี้ขอให้ศิษย์เป็นคนที่แท้แล้วเดินไปปฏิบัติบำเพ็ญให้ถึงที่สุด อาจารย์ห่วงศิษย์รักทุกคน แล้วศิษย์ห่วงตัวเองบ้างหรือเปล่า

อาจารย์ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มีศรัทธา วันไหนที่ศิษย์ขยันอาจารย์ก็รู้ วันไหนศิษย์เกียจคร้านอาจารย์ก็เห็น อย่าปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในกองกิเลสนั้นเลย ลาก่อนศิษย์รัก ขอบคุณที่มีความศรัทธาจริงใจ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2538

2538-07-29 พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี


PDF 2538-07-29-เจิ้งซิน #8.pdf



วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานเจิ้งซิน อุบลราชธานี

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

กตัญญูเกิดจากใจฟ้าเที่ยง จิตลำเลียงให้ตรงบำเพ็ญเสมอ

ทั้งเกิดแก่เจ็บตายลวงบ่วงละเมอ ท่านพบเจอคิดจะพ้นหรือไม่กัน

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสำรวมตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

ในโลกนี้มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ ชะตานั้นขึ้นลงแก้เพื่อวาสนา

ใดจีรังลองตรึกตรองด้วยปัญญา ทรัพย์หามาเหนื่อยยากนี้เพื่อใครกัน

อันวันนี้น้องท่านรากบุญหนัก จิตจงพักทางโลกที่สับสน

แล้วฟังธรรมสองวันนี้มิอับจน ใช่ผองชนอาจหาญเล่นละครลวง

ประชุมธรรมสะเทือนทั่วทั้งสามฟ้า ในใต้หล้าขอจงเร่งสนอง

รู้ชีวิตจิตนี้ที่หมายปอง ฟื้นญาณทองที่มีอยู่ทุกผู้คน

อันกังขาเกิดลังเลแลสงสัย น้องลองไปพินิจดูให้รู้หนา

ยุคขาวนี้ถูกกำหนดแต่ก่อนมา ลงมาเพราะใจพุทธาจะลืมจริง

พินิจดูรู้อายุมิเดินกลับ น้องท่านจับสิ่งใดเป็นแก่นสาร

แลสิ่งใดคู่กายปลอมน้องดูแล วาระแท้โอกาสแท้ดูให้ดี

ทุกทุกท่านต่างมีบรรพชน รอทุกคนดูว่าใครขมันขมี

นำพระธรรมโปรดเวไนยทุกชีวี กุศลมีบำเพ็ญให้พร้อมนอกใน

ในวันนี้ศิษย์พี่กล่าวบอกน้อง ใจจงครองดั่งวีรชนผู้ยิ่งใหญ่

สำคัญตนตั้งใจฟังซาบซึ้งใจ ให้เข้าใจถึงแก่นแท้อย่าลังเล

อย่าลืมอันที่กว้างมักขาดระเบียบ แลอย่าเปรียบดั่งผู้ที่ลืมหลง

รักษากฎมิใช่ง่ายจิตดำรง ประภัสสรคงส่องไสวทั่วทั่วกัน

ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่คุมข้างชั้นเรียน

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน

ชีพดั่งเรือลำน้อยขาดมุ่งหมาย บ้างดั่งเรือลำใหญ่ขาดคุณค่า

ครานี้พบแสงธรรมเรือพุทธา เรือใหญ่น้อยหมายเมตตาโปรดเวไนย

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก

องค์อนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานชั่วคราว แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดา ถามเมธีทุกทุกท่านล้วนเกษมฤๅ

ศึกษาธรรมน้อมดวงใจไร้ทิฐิ พุทธะหากยึดวุฒิยากกระจ่างได้

น้ำเต็มแก้วไร้ประโยชน์พินิจใน เมื่อจิตเกิดความเข้าใจก้าวหน้าเอง

จิตเวไนยดั่งทะเลอันไพศาล ยากประมาณหยั่งลึกต่ออารมณ์ไหว

พลันสงบพลันถาโถมพลิกฉับไว ประคองใจหนึ่งจิตธรรมวิสุทธิ์เดิม

สรรพสิ่งล้วนเกิดดับที่ตรงหน้า กลับแสวงหาอย่างโดดเดี่ยวสถานไหน

เปรียบเมฆดำฟ้าค่ำตัณหาใจ จันทร์เต็มให้เดินย่ำรอยอริยา

เคารพตนประพฤติตนตามคลองธรรม บำเพ็ญปราชญ์กำใจนั้นไม่หวั่นไหว

รูปลักษณ์ก่อกิเลสเกิดพิชิตไว ชนะใจพลังแกร่งแล้วปล่อยวาง

อุปสรรคช่วยหล่อหลอมใจกายคู่ นำสู่เชิดชูภวังค์ไกลชีวีท่าน

พบสุขและทุกข์ราวีสองมัคคญาณ เพียงหวังท่านผ่านทรมานม่านโลกีย์

ชีวิตมีทางหนึ่งมีแสงชัย อยู่ไม่ไกลเกินเมื่อพบวิถี

มรรคตรงอยู่นิรันดร์หนึ่งประตูที่ จิตปรานีสว่างไสวแต่โบราณมา

วาระนี้คาบเกี่ยวปวงท่านหาก ในควรคิดสักนิดเตือนภัยใหญ่

จะดูแคลนไปไยบากบั่นใจ มรสุมก็จางไปยามพร้อมสมบูรณ์

เสียงกังวานหาญเรียกเพียรแจ้งชีวี บรรเลงเพลงล่องขับร้องนี้เยือนสถาน

เพื่อทันให้ไปชีวีตามรูปการณ์ ฟังนานย้อนเห็นแนวทางพิจารณา

ฮา ฮา หยุด




พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน

เมื่อมีแขกมาเยือน ผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องต้อนรับ ตอนนี้นักเรียนทุกท่านเหมือนเป็นเจ้าของชั้นเรียนนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาเยือนก็ต้องต้อนรับ เชิญเรานั่งใช่ไหม วันนี้มาทำอะไร (ประชุมธรรม) เมื่อมาประชุมธรรมต้องตั้งใจ กล้าตอบกล้ารับ

เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรลุหรือตรัสรู้แล้ว เหตุใดจึงมีใจอยากจะโปรดเวไนยสัตว์ (เพราะอยากให้ปุถุชนรู้จักธรรมได้ดีขึ้น) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรลุไป แล้วมีใจอยากช่วยเวไนยเพราะท่านรู้ว่าการเข้าถึงความสุขอันแท้จริง เข้าถึงรสพระธรรมมีความสุขยิ่งกว่าสุขในโลกหลายเท่า เมื่อท่านเข้าถึงแล้วก็มีใจเมตตา อยากให้เวไนยได้มีโอกาสลองสัมผัส ซึ่งแต่ละคนมีระดับจิตใจไม่เท่ากัน จะแจกแจงตามภาวะจิตของทุกคน ตอนนี้เพียงสรุปใจความให้ฟัง มาศึกษาถึงสิ่งที่มีอยู่ในจิตของทุกท่านอยู่แล้ว ธรรมอยู่ตรงไหน อยู่ในคัมภีร์หรือเปล่า คัมภีร์ที่ถูกกำหนดตราขึ้นมาจากความเข้าใจแล้วถึงถ่ายทอดเป็นคัมภีร์ การเรียนรู้สามารถศึกษาจากตัวอักษร เมื่อศึกษาแล้วเหมือนกับการขุดบ่อ หากไร้จุดมุ่งหมายแม้ขุดให้ถึงที่สุดก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่หากมีจุดมุ่งหมายว่าขุดเพื่ออะไร ทำประโยชน์อะไร เมื่อมีความพยายามหรือมีความมุมานะ ก็สามารถก่อประโยชน์ได้ โดยไม่เสียแรงและเหนื่อยเปล่า ดังนั้นสิ่งที่เราตั้งใจขุด ตั้งใจศึกษาจึงไม่เสียเปล่า อายุนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญในการศึกษาธรรม แต่สำคัญตรงที่จะต้องตั้งใจและไม่ปิดกั้นตนเอง เปิดใจมาศึกษา ธรรมะอยู่ที่พุทธจิตของทุกท่าน เหตุใดจึงกล่าวว่าพุทธจิตมีหลักธรรม ถ้ายกเหตุการณ์ขึ้นมาว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังจะไปเล่นในบริเวณใกล้น้ำ เมื่อเราเห็นก็รีบเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมา เพราะกลัวเด็กจะตกน้ำ คุณธรรมในจิตใจหาได้ไม่ยากเลย เราอยู่ในครอบครัว รักบิดามารดาและพี่น้อง มีบุตรรักบุตร มีสามีรักสามี ทำหน้าที่ตนได้อย่างถูกต้อง นั่นคือคุณธรรมสัมพันธ์ที่ให้กับครอบครัวและให้คนรอบข้าง คุณธรรมนั้นมีอยู่ในจิตใจของทุกท่านอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะนำออกมาใช้และใช้ได้ถูกสถานการณ์หรือไม่

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชอบมาคุกคามจิตใจอยู่เสมอ สิ่งนั้นคืออะไร (กิเลส) สิ่งที่ชอบมาคุกคามจิตใจคือกิเลส อารมณ์และทิฐิ สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจหลงไปตามสิ่งภายนอก หลงไปตามอารมณ์ความรู้สึก รูปขันธ์ อายตนะ เมื่อเห็นแล้วพึงพอใจก็ชอบ เมื่อมองแล้วไม่พึงพอใจก็เห็นว่าน่ารังเกียจ จิตใจนั้นเร็วกว่าอายตนะเพราะเมื่อมอง จิตใจก็ทำงานทันที

ในชีวิตที่ผ่านมาทุกท่านได้พบเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่เป็นประจำ พระพุทธองค์เห็นแล้วมีใจอยากจะหลุดพ้น แต่ทุกท่านมองว่าเป็นเพียงวัฏสงสาร บางครั้งอยากจะหลีกหนีจากสิ่งนี้ อยากจะหาที่สงบดับความวุ่นวายในใจ แต่ทุกท่านเคยคิดหรือไม่ว่ายิ่งหลีกหนีก็เหมือนยิ่งวิ่งเข้าหา ยิ่งปิดบังก็ยิ่งเปิดเผย เมื่อคิดที่จะศึกษาบำเพ็ญ ก็ต้องกล้าที่จะยอมรับความเป็นจริงในทุกเรื่องที่เรากระทำ และเมื่อผลออกมาเราต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น แต่ทำไมเมื่อกระทำแล้วมีปัญหาเกิดขึ้นเราจึงรับไม่ได้ เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ เมื่อผูกก็ต้องแก้ ทุกสิ่งไม่ยาก เมื่อเราพบปัญหาเราพร้อมที่จะยอมรับสภาพทุกอย่างไหม เมื่อเราเลือกที่จะเดินเอง เลือกที่จะกระทำเอง เราก็ต้องระมัดระวังตั้งตนให้อยู่ในความไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็สามารถควบคุมทั้งกาย วาจาและใจในการกระทำสิ่งต่างๆ การผิดพลาดก็ย่อมไม่เกิดหรือเกิดน้อยลง แต่อาจเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมาย นั่นก็คือกรรมเวรหรือชะตาที่ต้องรับ การดำรงชีวิตนั้นบางคนฟังดูแล้วอาจว่ายาก แต่บางคนอาจพูดว่าชีวิตนี้เกิดมาโชคดี การทำชีวิตให้มีความสุขก็คือการรู้จักพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนให้อุทาหรณ์ เป็นการหล่อหลอมสิ่งที่ดีให้เรา สิ่งที่เกิดข้างหน้าถ้าเรายอมรับและต่อสู้ด้วยความเบิกบานก็จะไม่มีความทุกข์ ลองยิ้มแล้ววางเรื่องทางบ้านลง ถ้าใครยังฟุ้งซ่าน คิดมาก ก็หยุดสักพักหนึ่ง บางทีถ้าทุกท่านยิ้ม ทุกท่านก็มีความสุขได้ แต่ความสุขนั้นจะยาวนานหรือไม่อยู่ที่ท่านจะยิ้มจนจบชั้นนี้ หรือจนตลอดชีวิตหรือเปล่า ไม่ใช่ยิ้มออกไปแล้ว พอโดนคนหาว่าเราบ้า แล้วเราก็เลิกยิ้ม นั่นถูกหรือเปล่า การปฏิบัติสิ่งที่ดี หากถูกคนต่อว่าแล้วเลิกทำ เช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ ถ้าตัดสินใจที่จะบำเพ็ญอย่างสดชื่นเบิกบาน เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้

ในสมัยก่อน ถ้าใครยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำก็จะมีแต่ผู้ยกย่อง เพราะฉะนั้นจะว่าตัวเองผิดบ้างก็ไม่เสียหายใช่ไหม ถ้าตนเองไม่เคารพตนเอง หาแต่สิ่งที่ไม่ดีมาใส่ตนเอง ต้องการแต่สิ่งที่ไม่ดี ก็เท่ากับเราไม่เคารพตนเอง เมื่อใดที่เราไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ไม่เคารพเราด้วย

ในสมัยก่อน ถ้าใครยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำก็จะมีแต่รู้ยกย่อง เพราะฉะนั้นจะว่าตัวเองผิดบ้างก็ไม่เสียหายใช่ไหม ถ้าตนเองไม่เคารพตนเอง หาแต่สิ่งที่ไม่ดีมาใส่ตนเอง หรือต้องการแต่สิ่งที่ไม่ดีก็เท่ากับเราไม่เคารพตนเอง เมื่อใดที่เราไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ไม่เคารพเราด้วย ถ้าเราพูดว่าตัวเราร้าย ตัวเราไม่ดี ชอบว่าคน ชอบขโมยของ เพียงเรากล่าวเช่นนี้ก็ทำให้คนที่เพิ่งจะคบกับเรา เขาเกิดความระแวงได้ เมื่อระแวงแล้วถึงแม้สิ่งดีๆ ที่เราเคยสร้างให้เขาก็ทลายลงได้ เพราะเราสร้างสิ่งที่ไม่ดีไปด้วย ดอกไม้นั้นหอมได้เพียงตามลม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมธีทุกท่านล้วนหอมไปทั่วสารทิศ เข้าใจคำว่าหอมทั่วสารทิศไหม (ความดีที่เราทำ ทำให้คนสรรเสริญไปทั่วทุกสารทิศ) การทำความดีไม่ว่าจะอยู่แห่งไหน ผลของการกระทำก็มีแต่ผู้ยกย่องสรรเสริญ

พลังจิตใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถึงแม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย แต่ถ้ามีกำลังในจิตใจ ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ สิ่งนั้นก็สามารถส่งเสริมให้เราต่อสู้ต่อไปได้ ธรรมะสำคัญอยู่ที่จิตใจของทุกท่าน เมื่อมีจิตใจมั่นคงแล้วก็ต้องมีใจที่เข้มแข็ง วันนี้เหมือนเป็นวันเริ่มต้นวางรากฐาน ถ้าวางรากฐานสั่นคลอน ไม่มั่นคงแล้ว การศึกษาเรียนรู้ต่อไป หากมีปัญหาก็จะยิ่งสั่นคลอนได้ง่ายขึ้น เปรียบเช่นต้นไม้ ถ้ารากยึดไม่มั่นคง เมื่อพบลมพัดรุนแรงก็อาจหักล้มลงได้ ฉะนั้นวันนี้เริ่มต้นศึกษาต้องวางรากฐานให้มั่นคง เมื่อไม่เข้าใจต้องรีบถาม

ทุกท่านเคยศึกษาประวัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือประวัติของพระพุทธองค์ไหม สิ่งที่ท่านละทิ้งคือละทิ้งจากความสุขและลาภยศชื่อเสียง แล้วเดินไปสู่สิ่งที่เป็นความทุกข์ (ทุกขกริยา) ความทุกข์ที่แสวงหานั้นทำให้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต เมื่อเข้าใจก็ทำให้หลุดพ้น เหตุใดพระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์กวนอินท่านจึงหลีกหนีจากลาภยศชื่อเสียงเพื่อแสวงหาธรรมและสิ่งที่เป็นนิรันดร์ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์อธิบาย : สิ่งศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งลาภยศชื่อเสียงซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งจอมปลอม ต้องการเข้าไปรู้จักความทุกข์ เพื่อที่จะหาทางให้ตนเองพ้นจากความทุกข์ แต่มิใช่เพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์เพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อท่านรู้ถึงทางพ้นทุกข์แล้วก็ยังโปรดเวไนยด้วยการชี้นำทางให้แก่เวไนยที่ยังไม่รู้ทางแห่งการพ้นทุกข์ ทุกท่านไม่ได้แสวงหาแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแสวงหาหนทางที่ทำให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์และสุข ฉะนั้นเมื่อพบกับสิ่งที่เป็นทุกข์หรือเกิดปัญหาก็อย่าท้อแท้ ตรงกันข้ามจะต้องมองกลับคิดที่จะสู้ สู้ให้ชนะใจของตนเองด้วยพลังแห่งจิตใจ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเลือกที่จะยึดหลักธรรมเป็นแกน

“วาระนี้คาบเกี่ยวปวงท่านหาก ในควรคิดสักนิดเตือนภัยใหญ่” (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : ในยุคนี้เป็นวาระสาม วาระปลาย เภทภัยใหญ่ทั้งหลายกำลังอยู่เบื้องหน้าเรา ซึ่งคาบเกี่ยวกับการที่จิตญาณเราได้มีโอกาสรับรู้ว่ารากญาณของเรามาจากไหน ถ้าเราได้รับธรรมะ เราปฏิบัติบำเพ็ญ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้น) เกี่ยวกับยุคและวาระ วาระนี้เป็นวาระสาม แต่ยังไม่ใช่วาระสามเต็มที่ (เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างธรรมะกาลยุคแดงเข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว เป็นช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ยุคขาวหรือยุคปลายจริงๆ โดยพระศรีอาริย์ฯได้จุติลงมาเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์และเพื่อแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นโลกใหม่ เป็นโลกแห่งความสุข ตอนนี้เบื้องบน พระอนุตตรธรรมมารดาทรงบัญชาให้สามพุทธะลงมาฉุดช่วยเวไนย ถ่ายทอดไตรรัตน์ หรือมาชี้ทางสว่างนี้ให้ทุกคนได้รู้ ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ และฉุดช่วยเวไนยให้ทั่วก่อน แล้วในที่สุดเภทภัยต่างๆ ก็ลงมาเก็บล้างคนชั่วคนเลวทั้งหลาย ถึงตอนนั้นจึงจะเกิดเป็นโลกยุคใหม่ขึ้น)

เมื่อเช้าท่านองค์ประธานคุมสอบสามภูมิได้กล่าวว่า ยุคนี้เป็นยุคขาว แต่เป็นยุคขาวที่ยังไม่เต็มที่หรือพร้อมสมบูรณ์ เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุคแดงกับยุคขาวอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะถ้าเป็นยุคขาวเต็มที่ ไตรรัตน์ก็ต้องเปิดเผยได้ และจะต้องมีผู้นำแห่งยุคขาวที่ปรากฏให้เห็นก่อน พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่ายุคขาวจะเข้ามา แต่ตอนนี้ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมยังต้องแบ่งแยกยุคแดง ยุคขาว เพราะว่าเภทภัยที่เกิดขึ้นนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์หรือพระแม่องค์ธรรมไม่ต้องการที่จะให้เกิด แต่เป็นเพราะว่าพุทธจิตของทุกท่านนั้นเกิดความขุ่นมัวหรือรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ถ้าตราบใดพุทธจิตของทุกๆ ท่านยังฟื้นความใสบริสุทธิ์ขึ้นมาไม่ได้ พลังที่คอยแอบแฝง คอยเข้าคุกคามก็พร้อมที่จะมาอย่างเต็มที่ การศึกษาธรรมะนั้นก็เพื่อขจัดพลังที่คอยแอบแฝง ฉุดช่วยคนที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ แล้วทำให้พลังนี้เบาบางลงไป ให้เภทภัยนี้น้อยลงไป เภทภัยจะมากหรือน้อย จะเกิดหรือยังไม่เกิดก็อยู่ที่ทุกๆ ท่านร่วมมือร่วมใจ เป็นแรงเป็นกำลังใจช่วยเหลือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนข้างหน้าก็คือความหวังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ คนข้างหลังก็คือแรงบันดาลใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ บันดาลใจว่าธรรมะนี้ พุทธจิตนี้จะฟื้นได้หรือเปล่า นิพพานนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายๆ พระองค์หรือเปล่า ฟังดูแล้วช่างยากเย็น แต่จริงๆ แล้วไม่ยากเลย อยู่ที่ทุกๆ ท่านพร้อมที่จะปฏิบัติ พร้อมที่จะบำเพ็ญหรือไม่ ตอนนี้พร้อมไหม (พร้อม) เมื่อพูดแล้วต้องกล้าที่จะทำ เมื่อทำแล้วก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)

การศึกษาธรรมะก็คือการศึกษาจิตใจของทุกท่านว่าพร้อมที่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ การบำเพ็ญธรรมะเป็นการควบคุมจิตใจ เพราะเมื่ออยู่ในสภาวะเหตุการณ์ใดต้องสามารถประคับประคองจิตใจให้อยู่เหนือเหตุการณ์ต่างๆ ได้ คำว่า “อยู่ในแต่ให้อยู่เหนือ” ฟังดูอาจจะยาก แต่ถ้าเรามองเห็นน้ำที่หยดลงบนใบบัวยังสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาเป็นอิสระได้ เปรียบกับชีวิตเราเมื่ออยู่ในโลก จิตใจก็ต้องมีสุขมีทุกข์ มีขึ้นมีลง ถ้าเราประคับประคองจิตใจให้อยู่เหนือความสุข เหนือความทุกข์ ไม่คล้อยไปตามกับอารมณ์ ไม่คล้อยไปตามรูปการณ์ ประคับประคองจิตใจให้ดีและมั่นคง นั่นก็คือเราอยู่เหนือและเรามีสติ เมื่อมีสติ ปัญญาก็เริ่มเกิด ฟังดูแล้วเหมือนไม่ยาก แต่ปฏิบัติได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเมื่อมีความสุข จิตใจก็ตื่นเต้นดีใจ เมื่อมีความทุกข์ จิตใจก็เศร้าหมองขุ่นมัว อย่างนี้ไม่เรียกว่าอยู่ในและสามารถอยู่เหนือได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อสุขก็ต้องระวังว่าอะไรจะเกิด เมื่อทุกข์ก็พร้อมที่จะยินดีรับสิ่งต่อไป หากทำได้เช่นนี้แล้ว การบำเพ็ญธรรมะก็ไม่ยาก และเมื่อเราดีแล้วเราคิดจะไปช่วยเหลือคนอื่นไหม ความเมตตานั้นทุกท่านมีอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าพร้อมที่จะส่งมอบให้คนอื่นหรือเปล่า เมตตาจะเป็นเมตตาจริงแท้ก็ต่อเมื่อเราส่งมอบ เราถ่ายทอดให้กับคนอื่นใช่ไหม (ใช่) เป็นข้อสรุปที่ให้ทุกท่านบำเพ็ญธรรมะ ถ้าใครพอเข้าใจ พรุ่งนี้ก็ต้องมาศึกษาต่อให้เข้าใจยิ่งขึ้นดีไหม (ดี) แต่ถ้ายังไม่เข้าใจพรุ่งนี้ต้องตั้งใจให้มากขึ้น มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ตั้งใจฟังธรรมะให้ดีๆ




วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

บ้านจี้กงเรือลำนี้มีแต่สุข เพื่อมาปลุกศิษย์ที่ยังงัวเงียหนา

จ้ำเร็วเข้าเอ้าหนึ่งสองเร่งเข้านา มิแบ่งว่าวุฒิหรือวัยต้อนรับทุกคน

เราคือ

พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายเคียมคัล

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนล้วนสบายดีหรือไร

มีสิ่งหนึ่งในปราการอันวิไล สมัครใจฉับพลันจะเดินปลอดภัยยิ่ง

ห่างปลอมและจริงแยกมิประวิง คือญาณจริงอิงธาตุเจ้าของกาย

ลองตรวจวิธีบำเพ็ญกันทุกคน ปุถุชนดึงแน่นไซร้เร่งคลายทันที

อริยามิขุ่นข้องในชีวี ผู้หย่อนเกิดที่แปรความภาคภูมิใจ

ดูสิ่งปลอมวุ่นวายแต่รักชอบ ใจไร้ขอบตนผันปานเผลอไผล

ดั่งศิษย์ขาดครวญใคร่ทบทวนใจ ในแหล่งพำนักแห่งใหม่ยากคะเน

อยากบอกศิษย์เข้าใจมาร่วมศึกษา วาระฟ้าถึงเวลาต้องหันเห

เมื่อร้ายกลายดีว่างมิโลเล ส่งสันติสุขข้ามทะเลทุกข์สู่นิพพาน




เพียงเข้าใจแลรู้ตนสว่างประเสริฐ จิตเกิดความเบิกบานมิเป็นสอง

มีแต่ใจขัดเกลาล่วงเลยจับจอง ศรัทธาทองนี้คืออาวุธฝ่าภยัน

แต่ทำไมยังไม่เคยจิตละ เดินสะเปะสะปะศิษย์จะสูญจิตรจเลข

คำพูดศิษย์ปณิธานครรลองดั่งจัณฑเวค แพ้อารมณ์โดยปัจเจกวิสัยหลงอุบาย

ฮา ฮา หยุด




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เมื่ออยู่ในกายเนื้อของปุถุชนตอนนี้อาจจะยังไม่สว่าง แต่ต่อไปภายหน้าศิษย์อาจจะสว่างที่สุดก็ได้ใช่ไหม อยากสว่างหรือเปล่า อะไรสว่าง (จิตสว่าง) จะทำได้หรือเปล่า (จะพยายาม) พยายามไม่ใช่ทำง่ายๆ ต้องพยายามไปชั่วชีวิต สิ้นชีวิตก็ไม่สิ้นพยายาม ถ้าหากคนเขาบอกว่าศิษย์ของอาจารย์งมงาย เช่นนี้ศิษย์จะหยุดพยายามไหม (ไม่หยุด) แต่ต้องดูว่าจะพยายามไปทางไหน ไม่ใช่มีคนบอกว่างมงายแล้วก็พยายามเหมือนกัน แต่พยายามไปให้ไกลๆ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง

มีคนบอกว่าติดธุระมาได้วันเดียว ถ้าวันนี้อาจารย์ติดธุระบ้าง อาจารย์ไม่มาได้หรือเปล่า (อาจารย์ไม่ติดธุระ เพราะอาจารย์มีจิตเมตตา) แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์มีจิตเมตตามาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม (ดี) ถ้ามาประชุมธรรมไปแล้ว กลับไปบอกว่าติดธุระ แล้วถ้าติดธุระยังจะมาได้ไหม (ได้) คนที่ตอบว่ามาได้ก็ต้องทำให้ได้จริงๆ เพราะสำคัญที่ศิษย์รู้จักแบ่งเวลาแค่ไหน การชวนคนมารับธรรมะก็ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์รักของอาจารย์ชวนคนให้ได้มากๆ เช่นเดียวกัน การมาสถานธรรมก็ไม่ใช่จะต้องมาทั้งวัน เพียงแต่สละเวลาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ชีวิตหนึ่งมีอายุ ๖๐-๘๐ ปี เท่านี้ก็ถือว่ามากแล้ว มีอายุยืนถึง ๘๐ ปี ประชุมธรรมแค่ ๒ วัน รับธรรมะก็แค่ครั้งเดียว ใช้เวลาเพียง ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น แต่กลับบอกว่าไม่มีเวลา รู้สึกว่าเวลาที่สละมาน้อยนิดไหม ถ้าน้อยอย่างนี้แล้วทีหลังมีคนไปตามอย่าบอกว่าพระอาจารย์จี้กงให้ไปตาม จึงจำใจต้องมา ขอให้มาด้วยความเต็มใจและมาบ่อยๆ ศึกษาธรรมะต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่ศึกษาแค่เปลือกนอก เข้าใจไหม (เข้าใจ)

เสียงที่เพราะที่สุดคือเสียงอะไร (เสียงศิษย์ร้องเพลงพร้อมกัน) เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนร่วมมือกันร้องเพลง เสียงก็จะเพราะที่สุด การอยู่ในสถานธรรมจะมีความสุขได้ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์ของอาจารย์ที่จะหาความสุขด้วยตัวเอง ความสุขนี้ถึงแม้จะไม่จีรังแต่ก็ทำให้ศิษย์ของอาจารย์หายเครียดและรู้สึกโล่งโปร่งสบายขึ้น อยู่กับอาจารย์ต้องมีใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะไม่ใช่ว่าจะอยู่ด้วยกันทุกวันหรืออยู่ได้ตลอดไป ถ้าศิษย์จะอยู่กับอาจารย์ตลอดไปต้องขึ้นไปอยู่ข้างบน

การที่ศิษย์มานั่งฟังธรรมคิดไหมว่าได้อะไรกลับไป ตอนนี้คิดบ้างหรือยังว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจริงหรือเท็จ แล้วคิดว่าจะบำเพ็ญอย่างไร ไม่มีใครตอบอาจารย์เลย ถ้าอาจารย์พูดอยู่คนเดียวก็เหมือนกับขว้างหินลงน้ำ การที่เราสนทนาธรรมะกันเพื่อให้จิตของศิษย์รักทุกคนเปิดออก ถ้าหากว่านั่งฟังเฉยๆ คิดว่าตัวเองอายุมากแล้วไม่ต้องตอบ อย่างนี้ก็เหมือนกับเป็นน้ำ เหมือนกับการเปิดประตูก็ต้องมีกุญแจไข เมื่อไขออกแล้วอาจารย์เอากุญแจไป ไม่มีรูกุญแจให้ไขจะทำอย่างไร ผลักเข้าไปก็ไม่ได้ กลัวศิษย์เจ็บ เพราะฉะนั้นการพูดธรรมะก็ต้องตอบ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าตอนนี้ศิษย์รักไม่มานั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์รักจะรู้ไหมว่ามานั่งทำอะไร แล้วจะรู้ไหมว่าธรรมะเป็นอย่างไร (ไม่รู้) เช่นนี้จิตของเราก็ไม่สามารถที่จะปรุโปร่งในเรื่องของธรรมะได้ การประชุมธรรมก็เพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้แล้วก็ตื่น ถ้าหลับๆ ตื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเข้ามานั่งฟังธรรมะแล้วต่อไปก็ต้องกลับมาศึกษา ถ้าหากไม่กลับมาศึกษา การมานั่งฟัง ๒ วันก็ไม่มีประโยชน์

ถ้าหากวันนี้อาจารย์ไม่พาไปในทางที่ดีศิษย์จะตามใคร (ตามอาจารย์) คิดได้ ๒ แง่คือ ๑.มีความมั่นคงดี ๒.การบำเพ็ญธรรมะไม่ให้ยึดตัวบุคคล ถ้าหากว่าคนที่พาศิษย์มา คนที่แนะนำรับรองเขาเกิดเปลี่ยนใจไป ศิษย์จะตามใครดี (ตามอาจารย์) ปกติเห็นอาจารย์หรือเปล่า (ไม่เห็น) แล้วจะตามใครดี แล้วตัวเองจะทำอย่างไร (มีจิตใจที่มั่นคง) นอกจากคำว่ามั่นคงแล้ว ต้องเชื่อมั่นอะไร (เชื่อมั่นในจิตใจตัวเอง) ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ควบคู่กับความเชื่อมั่นนี้คือการอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อมีคนต่อว่าเรา เราก็ต้องพินิจพิจารณาอยู่เสมอ นอกจากพินิจพิจารณาว่าถูกหรือผิดแล้ว ยังต้องพิจารณาอะไรอีก (พิจารณาตัวเองว่าควรแก้ไข) เมื่อวานท่านแปดเซียนได้สอนไว้แล้วใช่ไหม หรือว่าฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อย่าคิดว่าอาจารย์มาต่อว่า แต่โอกาสพบกันมีน้อย ถ้าหากไม่สอนศิษย์ ไม่บอกศิษย์ ไม่เตือนศิษย์ตอนนี้แล้วก็คงไม่มีโอกาสเตือน บางคนเผลอไผล บางคนลืมตัวเองไปจนไกล กลับมาสอนก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้เป็นยุคสาม เป็นวาระท้าย ศิษย์ต้องค่อยๆ ที่จะเดินหน้าไป เดินช้าเดินเร็วก็ขอให้เดินตรงๆ หากศิษย์รักของอาจารย์วันนี้พรุ่งนี้ไม่เริ่ม มัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง รับรองว่าเมื่อไหร่ก็ไม่ได้เริ่มใช่ไหม (ใช่) และถ้าอยากจะเริ่มก็ต้องเริ่มด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เริ่มไปอย่างนั้นเอง เริ่มโดยที่ตัวเองไม่พร้อมและไม่เข้าใจธรรมะ เช่นนี้ก็หลุดพ้นไม่ได้

คนบำเพ็ญธรรมะต้องมีความเบิกบานอยู่ตลอดเวลา ต้องมีจิตที่สำรวม เวลาเล่นก็อย่าเล่นจนเกินไป เวลาไม่เล่นก็ขอให้สำรวมไว้ โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานธรรม ใครที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้เล่นจนเกินไปและมากเกินไป ก็ขอให้ลดลงบ้าง เพราะว่าคนภายนอกเมื่อมองธรรมะก็จะมองที่ตัวคนข้างหน้า ถ้าเราไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขา เขาเข้ามาก็จะรู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับไป คนที่ตั้งปณิธานแล้ว ก็ควรที่จะพิจารณาตัวเอง พัฒนาตัวเอง ไม่หยุดอยู่กับที่ ควรที่จะสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ เข้าใจไหม (เข้าใจ)

ตอนนี้ใครเกิดความลังเลสงสัยก็ขอให้วางจิตนั้นลงไปก่อน ถ้าหากว่าเวลาฟังอาจารย์พูดไม่วางจิตลังเลสงสัยลงไป และใจไม่เปิดก็เหมือนกับว่าไม่ได้ฟังอะไรเลย ทุกสิ่งจะจริงหรือเท็จก็อยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ถ้าหากศิษย์เห็นว่าเป็นสิ่งปลอม ก็เหมือนกับฟังเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูด เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

สองวันนี้ฟังธรรมะไปแล้วชอบหัวข้อไหนมากที่สุด (ทุกหัวข้อ) คนไหนที่สามารถนำธรรมะกลับไปใช้ได้ก็เก็บไปใช้ ถ้านำกลับไปใช้ไม่ได้ก็เก็บรักษาไว้ มีคนดีๆ ก็ต้องแนะนำเขา เวลามีอารมณ์ก็ต้องเก็บเอาไว้เหมือนกัน เข้าใจไหม

มีใครเข้าใจคำว่า “ในปราการอันวิไล” ไหม ถ้าหากว่าร่างกายเราแยกปลอมและจริง ไม่มัวไปประวิงกับกายปลอม ญาณจริงนี้ก็อาศัยอยู่ในธาตุ คนเราประกอบไปด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อเกิด แก่ เจ็บ และตายแล้ว ก็กลายเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร อยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะปลงตกหรือเปล่า และจะให้ความสำคัญกับร่างกายนี้มากแค่ไหน อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้ไม่มีความสำคัญ เพราะหากไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายนี้ เขาก็จะอยู่กับเราไม่ได้นานเพราะขาดการเอาใจใส่ แต่หมายถึงผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีการตกแต่งเสริมอยู่เสมอ ไม่มีใครที่จะตัดเรื่องนี้ได้ขาดจริงๆ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็จะบอกว่าในปราการด่านนี้ หากศิษย์สามารถที่จะห่างออกไปได้ทั้งปลอมและจริง ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวแล้ว ก็จะเดินได้อย่างปลอดภัย เพราะว่าไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าเช่นนั้นมีใครพอจะอธิบายให้ฟังได้บ้างไหม (สิ่งที่เราปลงตกพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าและปฏิบัติ สละแล้วซึ่งกายเนื้อ) แล้วพร้อมที่จะตัดกันหรือยัง (พร้อมแล้ว) พร้อมที่จะเริ่มวันนี้หรือเปล่า ถ้าพร้อมก็ควรจะต้องมีจิตใจศรัทธาที่ตั้งมั่น ถ้าจะปีนเขาก็ปีนให้ถึงยอด จะดำลงสู่ทะเลลึกก็ต้องดำให้ลึกถึงที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ก็ต้องการใจชนิดนี้ ศิษย์รักของอาจารย์มีใจชนิดนี้หรือเปล่า ใจชนิดนี้ไม่ใช่ว่าทำได้ทุกคน แต่ว่าวันหนึ่งเมื่อได้ทบทวนตัวเองแล้วก็ต้องพยายามทำให้ถึง เข้าใจหรือเปล่า

(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง “หม่าโถว”) ร้องเพลงแล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับสู่อ้อมแขนของอาจารย์ กลัวหรือเปล่าที่จะกลับสู่อ้อมแขนของอาจารย์ ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์รักของอาจารย์ไม่มาที่สถานธรรมนี้ ก็คงไม่เข้าใจธรรมะ ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้ของศิษย์รักจะสละเพื่อการบำเพ็ญดีไหม การบำเพ็ญกับการปฏิบัติต่างกันอย่างไร (การปฏิบัติหมายถึงลงมือกระทำ) การบำเพ็ญคือบำเพ็ญที่จิตใจ การบำเพ็ญคือการซ่อมแซมภายใน ซ่อมแซมอะไรบ้าง (ซ่อมแซมใจ คิดดี พูดในสิ่งที่ดี) แล้วการปฏิบัติคืออะไร (คือการลงมือกระทำในสิ่งที่ดี, ชวนคนมารับธรรมะ) ถ้ามารับธรรมะ เข้าใจธรรมะก็สามารถพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ อย่างนี้น่าชื่นชมยิ่งนัก แต่การบำเพ็ญกับปฏิบัติถึงแม้จะอยู่คู่กัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน ความแตกต่างนั้นศิษย์ต้องไปพินิจพิจารณาระหว่างภายในและภายนอก บางทีภายนอกกระทำดีให้เข้าถึงภายใน บางทีออกจากจิตใจสู่ภายนอก ในและนอกประสานกันจึงนับว่าเป็นการบำเพ็ญธรรมะอย่างแท้จริง แต่วิธีบำเพ็ญและปฏิบัติก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ ถ้าหากบำเพ็ญภายในด้วยการซ่อมแซม บำเพ็ญภายนอกด้วยการปฏิบัติแล้ว ศิษย์รักของอาจารย์เกิดความเข้าใจในทางธรรมะก็จะไม่เกิดความสับสนอีกต่อไป เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์เข้าใจกันทุกคนแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกดีไหม คนที่บำเพ็ญอย่างโง่ๆ บำเพ็ญไปเรื่อยๆ มักจะสำเร็จเร็วกว่าคนที่ฉลาด บางคนเห็นว่าเราโง่จริงๆ มีโอกาสว่าเขาแล้วไม่รู้จักว่า อย่างนี้เราฉลาดทันเขาหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่ว่าเขาเลย แล้วศิษย์อยากจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่ (คนฉลาด) บางคนเขามาว่าเรา เขามาตีเรา แทนที่เราจะตีเขาตอบ แต่เราก็ไม่ตี อย่างนี้เราก็ฉลาด ถ้าเรื่องใหญ่กว่านั้นเราจะทำอย่างไร ถ้าเราหยุดได้หาหนทางแก้ไขได้ เราก็จะเป็นผู้ฉลาด แล้วศิษย์รักของอาจารย์ฉลาดทุกคนหรือเปล่า พอถึงเวลาโดนเข้าจริงๆ ฉลาดหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีลบใช่ไหม (ใช่) ทำไมถึงเป็นกรณีลบ (จิตใจยังมัวหมอง) เริ่มทำจากวันนี้ดีไหม (ดี) คนที่พูดได้แล้วทำได้เป็นคนจริง พูดได้ ทำได้ คิดได้ ก็รู้แจ้งได้ เมื่อถึงเวลานั้นเราเองเป็นผู้ฉลาดแล้วก็ฉลาดจริงๆ คนโดยมากเมื่อพูดไปแล้วทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่นับว่าเป็นคนจริง คนจริงพูดได้ทำได้ ธรรมะจริงพูดได้ทำได้ เพราะฉะนั้นทุกคนอยากจะเป็นคนจริงหรือคนปลอม แล้วจะถือธรรมะที่จริงหรือปลอม ถ้าจริงก็ต้องทำได้ พูดได้ เวลาโดนคนเขาตีหนึ่งที เราตีกลับ ๓ ทีหรือเปล่า มีคนเขาว่านิดหน่อย ในใจก็บ่นงึมงำ ไม่ยอมแพ้ ตอนนี้จะเริ่มยอมแพ้กันหรือยัง ผู้บำเพ็ญธรรมะต้องมีความเมตตากรุณาอยู่ในใจ ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ ความเมตตานั้นก็จะส่งออกสู่คนภายนอก ถึงเราไม่พูด เราไม่กระทำ พวกเขาก็รับรู้ได้เอง จิตสำนึกของเราต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเราสมควรกระทำสิ่งใด ธรรมะมีให้ศึกษาแต่หากศิษย์ไม่เป็นฝ่ายก้าวเดินออกมา ศิษย์ก็จะไม่ได้รับอะไรเลย เหมือนมีคนส่งของให้แต่ว่าไม่รู้จักแบมือรับ เขาจะมายัดเยียดให้ศิษย์ได้ไหม เราจะต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาและเปิดโอกาสให้ตัวเองสักนิดหนึ่ง เดินเข้ามาหาอีกหน่อยหนึ่ง พวกเขาก็จะสัมผัสเราได้ และพาเราไปในทางที่ดี เปิดโอกาสให้กับตัวเองหรือยัง (เปิดแล้ว) เปิดนี้ต้องเปิดตลอดไป ไม่ใช่บำเพ็ญไปสามปี พอโดนคนต่อว่า เราไม่ชอบก็เดินออกไป คนที่เดินออกไปก็คือตัวศิษย์เองใช่ไหม ธรรมะมีให้ศึกษามากมาย แต่มากมายที่สุดก็อยู่แค่จิตใจ ไม่ได้มากไปกว่านี้ ถ้าหากว่าวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ถดถอย ไม่ท้อแท้ ศิษย์รักของอาจารย์ก็จะสามารถนำบรรพชน นำพี่น้องและคนรอบข้างขึ้นไปได้ วันนี้เริ่มบำเพ็ญจากในครอบครัว ถึงแม้ศิษย์จะไม่เชื่อที่อาจารย์พูด ขอเพียงครอบครัวของศิษย์สงบสุข นั่นก็เป็นผลดีต่อศิษย์แล้วใช่ไหม แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับชีวิตปุถุชน แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก ชีวิตนี้เมื่อตายไป สิ้นกายเนื้อไปแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนและพบเจอกับอะไร นั่นเป็นเรื่องน่าสงสารที่สุด ถ้าหากว่าวันหนึ่งสิ้นลมหายใจไปแล้ว อาจารย์ไม่ได้บอกว่าตอนนี้ศิษย์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว อาจารย์จะสามารถช่วยได้ทุกคน รอดูว่าเมื่อไหร่ศิษย์รักของอาจารย์เข้าใจธรรมะ ศึกษาธรรมะ เมื่อนั้นศิษย์ก็จะไม่แพ้ จะสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธะได้ ทำได้หรือเปล่า

ทุกคนมีวิธีบำเพ็ญของตัวเอง บางคนบำเพ็ญในพระพุทธศาสนา นั่นก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญ บำเพ็ญในศาสนาใดก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ว่าลองตรวจสอบดูวิธีบำเพ็ญของแต่ละคนนั้นว่าเป็นเช่นไร (อาจารย์บรรยายธรรม : พระอาจารย์เมตตาให้ลองตรวจสอบวิธีการบำเพ็ญธรรมของแต่ละคน เมื่อสักครู่พระอาจารย์ก็พูดถึงแนวทางของพุทธศาสนาว่ามีแนวทางบำเพ็ญแตกต่างกันไป บางคนอาจจะถือศีลแปด ปฏิบัติตามแนวพุทธศาสนา หรืออาจจะปฏิบัติตามแนวของอิสลาม พิจารณาว่าเราบำเพ็ญกันอย่างไร ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่กำลังบำเพ็ญอยู่นั้นยังยึดติดกับสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์มากเกินไปหรือเปล่า ตึงอยู่กับด้านใดด้านหนึ่งหรือเปล่า ลองนึกย้อนถึงสมัยที่พระพุทธองค์ออกบำเพ็ญธรรมแสวงหาแนวทางปฏิบัติในยุคแรกๆ กว่าจะได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ได้พบแนวทางปฏิบัติ ทรงบำเพ็ญทุกขกริยาก่อนคือตึงไปข้างหนึ่ง ยึดในแนวทางใดแนวทางหนึ่งอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันเราอาจปล่อยปละละเลยชีวิตมากเกินไป สำหรับบางท่านถ้าตึงเกินไปก็ต้องเร่งคลายออกมาให้อยู่ในทางสายกลาง เราต้องพยายามตรวจสอบว่าเราจะเดินไปทางสายกลางได้อย่างไร) คนที่พูดได้และทำได้เป็นคนจริง เพราะฉะนั้นคนที่พูดได้ ทำได้ ก็บรรลุได้ แต่ว่าความหมายของอาจารย์นั้น ปุถุชนคือศิษย์รักทุกคน คนไหนรู้ตัวว่าตึงแน่นเกินไป บำเพ็ญธรรมมีกรอบมีระเบียบ บางคนกรอบสี่เหลี่ยมนิดเดียวแต่ก็ดึงเสียจนโย้ไปหมด ดึงแบบไหนลองไปพิจารณาดู แต่บางคนก็หย่อน พุทธระเบียบก็ไม่สนใจ คนบำเพ็ญธรรมทุกคนโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานธรรมมีวิธีการบำเพ็ญของตนเอง ไม่มีคนไหนผิดและไม่มีคนไหนถูก ทุกคนถูกด้วยตัวเองเสมอ บอกว่าตนเองถูกนั่นก็ใช่ แต่ว่าถูกนี้เข้าข้างตนเองหรือเปล่า ถ้าเกิดว่าคนที่หย่อน แสดงว่าความภาคภูมิใจหายไป ความภาคภูมิใจที่อาจารย์พูดถึงนี้ วันหนึ่งมีศิษย์ของอาจารย์เกิดความภาคภูมิใจในธรรมะ ธรรมะที่อาจารย์พูดถึงนี้เป็นสัจธรรมแท้ ถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดความลังเลสงสัย กังขาไม่เข้าใจ บอกว่าศิษย์รักของอาจารย์ขาดความภาคภูมิใจไปเสียแล้ว ถ้าความภาคภูมิใจสิ้นไป รู้ตัวไหมว่าหย่อนอย่างไร นำความเสียหายให้กับตนเอง ความคิดพิจารณาไม่ตั้งอยู่ตรงกลาง เมื่อยามนั้นศิษย์รักของอาจารย์ก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งหมดความภาคภูมิใจ ลองดูว่าตนเองเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า อาจจะไม่อยู่ที่ความภาคภูมิใจอย่างเดียว ความมั่นใจ ความมั่นคง ทุกอย่างให้กลับไปทบทวนดู เป็นหนทางซึ่งแนวทางบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่ารอให้ผู้อื่นมาว่าเรา ให้เราว่าตนเองเสียก่อน ดูตนเองเสียก่อนว่าทำได้หรือเปล่า ต่อไปก็จะเป็นผู้บำเพ็ญเหมือนกัน ลองดูว่าวิธีบำเพ็ญของตนบริสุทธิ์และถูกต้องหรือเปล่า

“ดูสิ่งปลอมวุ่นวายแต่รักชอบ” มีใครอธิบายได้บ้าง บำเพ็ญธรรมต้องมีความกล้าหาญ ถ้ารอให้จบชั้นเรียนก่อนจึงตอบ ตอนนั้นมีอาจารย์ได้ยินคนเดียว ตอนนี้ตอบได้ ได้ยินทั้งห้องเป็นวิทยาทานใช่ไหม (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราชอบ เรารู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่เราก็ยังชอบ) สิ่งปลอมตรงนี้อาจารย์หมายถึงสิ่งนอกกาย คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิด ชาติก่อนเคยเกิดเป็นวัว เป็นสัตว์ต่างๆ เป็นมนุษย์ แต่ว่าเมื่อมาชาตินี้ ตอนนี้ถ้าไม่ทบทวน อีกทั้งยังปล่อยตามใจตนเอง ใจของคนไร้ขอบเขต ไร้ขอบเขตในที่นี้หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม ถ้าไม่รู้จักทบทวน หากว่าไม่บำเพ็ญ ไม่ศึกษา ก็ต้องมีการเวียนว่ายอีก สำหรับตัวศิษย์เอง ชาติหน้าเกิดเป็นอะไรก็รับรองไม่ได้ ถ้าชาตินี้ลดละตัดไม่ได้ ชาติหน้าศิษย์ของอาจารย์ก็อาจจะอยู่อีกสภาพหนึ่งซึ่งศิษย์อาจคาดไม่ถึงก็ได้ อยากรู้ว่าชาติหน้าจะเป็นเช่นไร ให้ดูจากการกระทำปฏิบัติในชาตินี้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)

อาจารย์อยากบอกศิษย์ทุกคนให้เข้าใจถึงความล้ำค่าของธรรมะและเร่งมาศึกษากัน ถึงเวลาที่จะหันเหออกมา มิหลงเวียนว่ายตายเกิด หากพ้นจากวาระนี้ไปแล้วต้องรออีกนาน หากเข้าใจธรรมะแล้วก็จะแปรจากจิตที่ร้ายกลายเป็นดี ศิษย์รักของอาจารยืก็จะไม่เกิดความโลเล บำเพ็ญสู่สังคม สู่โลก เมื่อนั้นสันติสุขก็ส่งถึงนิพพานได้ เข้าใจไหม

ศิษย์มีสมาธิดีขนาดนี้แล้ว อย่างนี้อาจารย์ก็กลับได้แล้ว (ขอให้พระอาจารย์อยู่ต่อเพื่อสอนศิษย์ที่ยังเขลาอยู่) คนโง่ที่สุดก็คือคนที่ฉลาดที่สุด จิตของทุกคนเป็นสิ่งประเสริฐ ทุกคนเข้าใจด้วยปัญญาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ใด สิ่งที่ศิษย์ขาดไม่ได้คือความเบิกบานและจิตที่แจ่มใส หากการขัดเกลาเป็นประธานในใจแล้ว จิตศรัทธาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็หมายถึงตัวศิษย์เองใช้ศรัทธาเป็นอาวุธ แม้เป็นอาวุธที่มองไม่เห็น แต่ก็เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุด

“เดินสะเปะสะปะศิษย์จะสูญจิตรจเลข” เดินสะเปะสะปะแม้เดินไม่ตรงก็เดินอยู่ในทาง แต่ก็เดินช้าไม่ทันใจ เดินตามคนอื่นไม่ทัน อยู่รั้งคนอื่น ต้องให้คนอื่นชวนและจูง เหมือนดั่งสูญเสียจิตรจเลขหรือจิตที่งดงาม ถ้าจิตดวงนี้ขาดหายไป ต้องซ่อมแซม ก้าวไปแล้วก็กลับถอยหลังจะถึงจุดหมายไหม จะเดินกลับบ้านเดิมที่เป็นเบื้องบนก็ไม่ทันแล้ว

จัณฑเวคคือทะเลที่ไม่เคยสงบ ปณิธานมีมาแต่เดิม แต่ถ้าไม่นำมาลงมือลงแรง ปณิธานก็จะเหมือนกับทะเลที่ไม่มีวันจบ

ปัจเจกวิสัยคือนิสัยที่มีอยู่แล้วเฉพาะตัว การพ่ายแพ้อารมณ์และไม่สามารถชนะมารในจิตตนได้นั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือเปล่า ตัวเราน่ากลัวที่สุด คนอื่นไม่ได้น่ากลัวเหมือนตัวเรา อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่าให้ศิษย์ห่วงตน รักตน นำตัวเองให้ถูกทาง หากพรุ่งนี้ไม่พบอาจารย์อีก ก็ขอให้เตือนตนเองอยู่เสมอ ทำได้หรือเปล่า ถ้าเข้าใจธรรมะแล้ว ถึงแม้ไม่มีอาจารย์อยู่ด้วยก็คงเดินต่อไปได้ใช่ไหม ขอให้เชื่อตนเองและนำทางตนเองให้ดี

(พระอาจารย์ให้หัวหน้าชั้นพูดคำว่า “อิ๊” แปลว่าหนึ่ง หมายความว่าให้ลุกขึ้นยืน) การเป็นหัวหน้าชั้นเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่เพียงแต่พูด “อิ๊” ให้ผู้อื่นลุกขึ้นยืนเท่านั้น แต่เสียงเราต้องนำผู้อื่นได้ เพราะถูกเลือกมาเป็นหัวหน้าชึ้นแล้ว เพราะในการเลือกแต่ละครั้ง ทั้งชั้นจะเลือกเพียงคนเดียว ถ้าพูดได้แต่คำว่าหนึ่ง ก็เป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้ เพราะคนอื่นจะตามเราไม่ได้เหมือนกัน เข้าใจไหม อย่าคิดว่าอาจารย์ต่อว่าเลย (หัวหน้าชั้นบอกว่าจะปฏิบัติ)

อาจารย์ขอขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มาช่วยงานในครั้งนี้ แม้ความสัมพันธ์ยังไม่สามารถเข้าถึงใจของศิษย์ได้ การพบกันในวันนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของทุกคน วันนี้แม้ศิษย์จะไม่เข้าใจ แต่อาจารย์ก็จะรอ ขอให้ทุกคนบำเพ็ญให้ดี

อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2538

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2538

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2538

2538-06-03 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ


PDF 2538-06-03-เมี่ยวเต๋อ #7.pdf

#อุปกิเลส   #กิเลส



วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ ประจวบฯ

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

องค์ประธานบริสุทธิ์สว่างว่าง คุมสอบกลางจริมยุคอันคับขัน

สามประการปริญญากิเลสพลัน ภูมิภพชั้นรวมหนึ่งนิรพาณ

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่ธรรมสถาน แล้วกชกร

องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

ค่าอนันต์รู้ธรรมอันยิ่งใหญ่ กุศลจิตพ้นภัยอันตรายผอง

บำเพ็ญรุดก้าวหน้าพิจารณ์ตรอง หยุดนิ่งครองคีรีอันมั่นคง

ขอชำระล้างใจแต่บัดนี้ อย่าได้มีอารมณ์ที่ขุ่นข้อง

อย่าได้ให้เหล่าธุลีเปื้อนจิตตรอง เจริญธรรมละสองจิตเหลือเที่ยงกลาง

ปธานนั้นมั่นแล้วรุดก้าวไกล สำเร็จในวิถีธรรมด้วยว่างใส

ทั้งกุศลนอกในบำเพ็ญไป คุณธรรมได้ชิดใกล้อริยา

สามกาลละอย่าข้องแวะให้จิตหม่น ทรชนผิดแล้วพลั้งมิแก้ไข

เมธีต่างน้อมย้อนมองตรวจแจ้งได้ บำเพ็ญใจสติคงถูกวิธี

ประชุมธรรมสองวันช่างล้ำค่า ขึ้นนาวาแห่งธรรมเร่งพายหนา

ศึกษาในคำชี้แนะถนอมค่า หมดเวลาเที่ยวเพลินเล่นในโลกีย์

เพียรสำนึกผลกรรมตนชำระหนี้ จะทวีฉัพพรรณรังสี

โปรดเมตตาสู่เวไนยศรัทธาพลี อย่าได้หนีโชคชะตาเดินผิดทาง

ผู้บำเพ็ญกำหนดชะตาชีวีตน เวไนยชนไหลเรื่อยตามน้ำหนา

ขอใคร่ครวญเลือกบำเพ็ญดั่งอริยา ปรารถนามุ่งสู่ฟ้าสุขนิรันดร์

เรามิขอกล่าวความให้มากไป หยุดพู่กันจรดไว้คุมชั้นเรียน

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทท่านเซียนน้อยต้าเซี่ยว และ ท่านเสี่ยวเซี่ยว

อากาศร้อนร้อนที่ใจหรือภายนอก จิตเท่าตรอกหรือแผ่กว้างใหญ่ไพศาล

บำเพ็ญธรรมทารกน้อยละใจพาล ทั้งสามกาลคือว่างไร้อารมณ์

(พลอยเบิกบาน)

เราสองคือ

เซียนน้อยต้าเซี่ยว และ เสี่ยวเซี่ยว ร่วมรับบัญชาจาก

องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามปราชญ์เมธีทุกท่านเกษมฤๅ

ระอุร้อนกิเลสที่เผาใจอยู่ แจ้งรุดรู้ทันอารมณ์อยู่เสมอ

ตนในตนรวมหนึ่งเพื่อนเกลอ ชี้แนะเสนอร่วมอรรถาธรรมด้วยตั้งใจ

ใช่ต้นสนเกรียงไกรเพียงหญ้าน้อย อ่อนน้อมคล้อยตามพายุจึงตั้งรับ

จะบำเพ็ญฤทัยแม้ศิลาใหญ่ทับ ถามปรับตามรูปการณ์แข็งอ่อนบรรเทา

สรทะไม้ผลัดใบเก่าแห้งเฉา ตรมเมื่อคราวอายุขัยไม้ใกล้ฝั่ง

แปรจำนงกายาทุกข์มิสร่างหวัง เพียงมีพลังจุดหมายบรรลุปณิธานพลัน

ฮา ฮา หยุด

หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง




หยั่งดูใจมนุษย์โศก แสนเศร้าจากเหตุผลใด กักขังตนใส่กลอนใจ สะสมร้อยธุลีไม่ล้างบรรเทา ป่าวนเวียนรกร้างกว้าง พยายามเดินเข้าไป กลับหลงทางอยู่ภายใน โดดเดี่ยวเพียงไร ยิ่งเดินเคว้งคว้าง

กับสิ่งเท็จนั้น ทุกวันงมงายไขว่คว้า หลงใหลในมายา หนทางธรรมนำพา มิเดินยากฉุดรั้ง รู้สิ่งเท็จนั้น หลุมพรางเต็มใจถลำ เลิศร้ายเลือกทางใด เท็จแท้จงเข้าใจ กลับใจตรองดู (ซ้ำ )

เพลง : เลือกทางตนเดิน

ทำนองเพลง : ขอบใจจริงๆ




พระโอวาทท่านเซียนน้อยต้าเซี่ยว และ ท่านเสี่ยวเซี่ยว

ท่านต้าเซี่ยว : วันนี้ตั้งใจฟังธรรมะทุกหัวข้อหรือเปล่า (ตั้งใจ) แต่มีบางคนพอฟังไปก็ง่วง คิดว่าทำไมวันนี้เวลาผ่านไปช้าจริงๆ กว่าจะจบแต่ละหัวข้อใช่ไหม

“อากาศร้อนร้อนที่ใจหรือภายนอก” (คือคำถามว่าเราร้อนอะไรระหว่างภายในกับภายนอก ถ้าร้อนภายนอกยังพอแก้ไขกันได้ แต่ถ้าร้อนภายในนั้นแก้ไขไม่ได้)

“จิตเท่าตรอกหรือแผ่กว้างใหญ่ไพศาล” (คือจิตเราจะคับแคบไหม จะมืดมนหรือเปล่า ให้เราทำจิตให้แผ่กว้างขยายออกไป ไม่ให้คับแคบหรือคิดมากเกี่ยวกับเรื่องการง่วงนอน หรือว่าการร้อน)

“บำเพ็ญธรรมทารกน้อยละใจพาล (พลอยเบิกบาน)” (หมายความว่าบำเพ็ญธรรมให้เหมือนกับจิตเดิมแท้ ละอารมณ์ที่เป็นนิวรณ์ คือการง่วง และการฟุ้งซ่านออกไป)

“ทั้งสามกาลคือว่างไร้อารมณ์” (คือทำจิตให้ว่างไร้อารมณ์ไม่ให้นิวรณ์ต่างๆ มาแทรกแซงใจ ทำให้เราเบิกบาน สบายใจในการฟังธรรม)

ท่านต้าเซี่ยว : “ใช่ต้นสนเกรียงไกรเพียงหญ้าน้อย” ต้นสนใหญ่ๆ ที่ขึ้นตรงดูสูงสง่ามันจะแข็ง เมื่อโดนพายุพัดแรงๆ ถ้าหากไม่โอนเอนตามลมพายุจะเป็นอย่างไร (หักโค่น) ส่วนต้นหญ้าจะลู่ตามลมใช่ไหม (ใช่) ในนี้แฝงปริศนาธรรมคือความอ่อนน้อม ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพียงต้นหญ้าต้นเล็กๆ แต่ขอให้มีความอ่อนน้อม

“จะบำเพ็ญฤทัยแม้ศิลาใหญ่ทับ ถามปรับตามรูปการณ์แข็งอ่อนบรรเทา” คนเราในโลกนี้ บางครั้งก็ถูกแรงกดดันจากภายนอกใช่ไหม (ใช่) เช่นคนที่คิดจะบำเพ็ญ ก็อาจถูกคนภายนอกว่าเรานี้งมงาย ไร้สาระ หรือถูกคนว่าถากถางต่างๆ นานา ซึ่งเราต้องทำอย่างไร (อดทน) การบำเพ็ญธรรมนั้นสามารถปรับยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่แข็งจนเกินไป หรือว่าอ่อนจนเกินไป

ท่านเสี่ยวเซี่ยว : ที่นี่ใครเป็นเจ้าของสถานธรรมบ้าง คนที่เป็นเจ้าของ-สถานธรรมออกมาให้หมด บ้านใครเคยให้ที่เป็นที่รับธรรมะบ้าง ออกมาให้หมด ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว ที่ L.A. ฟลอริดา รวมทั้งเมืองไทยด้วย

ท่านต้าเซี่ยว : สถานธรรมเปรียบเหมือนอะไร (เรือธรรม) ในเมื่อเราเป็นเจ้าของสถานธรรม เราก็ต้องพายเรือได้ใช่ไหม (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เจ้าของสถานธรรม และผู้ที่เคยใช้สถานที่ที่บ้านเป็นที่รับธรรมะ ออกมาสอนและแสดงท่าประกอบเพลงพายเรือธรรม)

ท่านต้าเซี่ยว : เรือบางลำก็พายไปได้ไกล แต่ทำไมเรือบางลำพายแล้วอยู่กับที่

ท่านเสี่ยวเซี่ยว : นั่นสินะ (เรือรั่ว)

ท่านต้าเซี่ยว : รู้ว่ารั่วแล้วต้องทำอย่างไร ถ้าเรือของเรารั่ว น้ำก็เข้าเรือ เรือก็ล่ม แล้วจะพาคนอื่นไปถึงฝั่งธรรมได้อย่างไร (ต้องแล้วแต่จิตใจ)

สรทะแปลว่าฤดูอะไร (ฤดูใบไม้ร่วง) “สรทะไม้ผลัดใบเก่าแห้งเฉา” การที่ใบไม้ร่วงโรยไปนั้น เป็นเพราะใบนั้นแห้งเฉาแล้วใช่ไหม (ใช่) เมื่อใบนั้นเหี่ยวแล้วผลัดใบใหม่ขึ้นมา เป็นใบที่ใหม่และสดใสขึ้น ถ้าเปรียบเทียบแล้วแสดงว่าจิตใจเป็นอย่างไร จิตใจเราก็เหมือนใบไม้ เมื่อวันนี้จิตใจของเราอับเฉา ร่วงโรยไปแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นจิตใจของเราก็สามารถที่จะสดชื่นขึ้นมาได้อีก แสดงว่าจิตใจของมนุษย์เปลี่ยนแปลงอยู่กับความทุกข์ความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำอย่างไรที่เราไม่ต้องมีจิตใจที่เปลี่ยนแปลงอย่างนี้ แก้ไขที่ข้างนอกให้ดี หรือว่าแก้ไขที่จิตใจของเรา (แก้ไขที่จิตใจของเรา)

“ตรมเมื่อคราวอายุขัยไม้ใกล้ฝั่ง แปรจำนงกายาทุกข์มิสร่างหวัง เพียงมีพลังจุดหมายบรรลุปณิธานพลัน” เมื่อเรามีชีวิต อายุเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเข้าไป ตอนที่แก่ เราก็อาจจะมีความทุกข์ เพราะเรารู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย จะบำเพ็ญ จะไปทางไหน ร่างกายเราก็ไม่สะดวก มีโรคต่างๆ มากมาย คนที่อายุมากๆ บำเพ็ญอย่างไร พออายุมากๆ แล้ว การบำเพ็ญภายนอกที่ออกมาให้เห็นชัดก็คงจะลำบาก เพราะฉะนั้นต้องบำเพ็ญภายในให้จิตเที่ยง เมื่อจิตเที่ยงแล้ว แม้ว่าจะมีโรคภัย มีความกังวลอะไรก็จะหายไปหมด ถูกไหม (ถูก) ถ้าเราเป็นปู่ ย่า ตา ยาย เราก็สอนให้ลูกหลานนั้นรู้จักธรรมะ รู้จักปฏิบัติธรรม ลูกหลานเราเป็นคนดี เราก็จะมีความสุขใช่ไหม (ใช่) แล้วคนที่อายุน้อยๆ บำเพ็ญจิตให้เที่ยงได้ไหม (ได้) บำเพ็ญอย่างไร ควบคุมให้ความอยากน้อยลง ควบคุมอารมณ์ไม่ให้โลดเต้นมากมาย ถ้าเกิดมีความโกรธ แล้วต่อว่าเขาไปแล้ว ใครที่เป็นคนที่ทุกข์ก่อน (ตัวเราเอง) ทุกคนตอบได้แต่ทำไมทำไม่ได้ แสดงว่าเราต้องฝึกสติให้มั่น เมื่อมีสติมั่นแล้ว มั่นอยู่ที่จุดๆนั้นใช่ไหม (ใช่) ถ้ารับไตรรัตน์ไปแล้วไม่รู้จักใช้ ก็เหมือนกับคนในโลกที่ทุกข์บ้างสุขบ้างปะปนกันไป จะไม่รู้ว่าอันไหนคือสุขที่แท้จริง สุขในจิตที่ว่างเป็นสิ่งที่แท้จริง แต่ไม่รู้ว่ามีกี่คนทำได้ ว่างนี้ว่างอย่างไร บางคนบอกว่าฝึกสมาธิให้มีจิตที่สงบว่าง ไม่คิดอะไรเลย จิตที่ว่างนี้ก็คือจิตที่ว่างจากกิเลสและอารมณ์ ถ้าจะเรียกว่าคนไหนจิตว่างได้ก็หมายความว่าว่างทุกๆก้าวที่เดินไป นั่นคือจิตว่าง ไม่ใช่ว่างแค่ตอนนั่งสมาธิ ใช่ไหม (ใช่)

ให้เปลี่ยนแปลงความคิดที่คิดว่าร่างกายของเรานี้มีความทุกข์มาก ทุกข์จนเรารู้สึกทุกข์ ให้เราแค่รู้ว่าทุกข์ พอรู้ว่าทุกข์แล้วให้เราขจัดทุกข์ตรงนั้นออก แล้วทำอย่างไร ตรงนี้เป็นปัญหาที่ทุกๆคนต้องขบคิดในชีวิตประจำวันของตนเอง ทุกๆคนได้ประสบความทุกข์มาแล้ว ทุกข์มากทุกข์น้อย มีความทุกข์เพราะเราไม่สมหวัง มีความทุกข์เพราะคนอื่นขัดใจเรา ทุกข์แล้วให้เราดูว่าทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากไหน ให้เราตัดตรงนั้น แล้วให้เพิ่มความหวังเข้าไปให้เป็นพลังนำเราไปสู่จุดหมาย เพื่อบรรลุปณิธาน เพราะความทุกข์นี้ก็เป็นความทุกข์ที่เป็นมายา ความสุขก็เป็นความสุขที่เป็นมายาในโลก จะให้สุขจริง สุขอย่างไม่มีทุกข์ ให้เราอยู่ที่ว่าง เราต้องเปิดจิตใจศึกษาธรรมะ ทำจิตใจให้เหมือนกับอริยะ เจริญตามปณิธานของตัวเองที่มีไว้แต่เบื้องบน

“แจ้งรุดรู้ทันอารมณ์อยู่เสมอ” (หลักธรรมทั้งหลายที่นักเรียนและญาติธรรมทั้งหมดรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ใจเรา รู้อารมณ์ว่าตัวเองบางครั้งก็รุนแรงไปในคำพูดบางอย่าง ก็ขอให้เปลี่ยนจากอารมณ์นั้น คิดในสิ่งที่ดีอยู่เสมอ)

ท่านเสี่ยวเซี่ยว : ร่วมกันศึกษาธรรมะด้วยความตั้งใจชี้แนะเสนอ หมายความว่ามีหลายคนที่รู้สึกอยากศึกษาธรรมะ เมื่อรู้สึกอยากศึกษาธรรมะแล้ว เรื่องที่เราพูดกันก็เป็นเรื่องการบำเพ็ญของแต่ละคน เราจะบำเพ็ญอย่างไรให้ดีขึ้น ถ้าคนอื่นที่มีความรู้ทางธรรมมากกว่าเรา เขาชี้แนะให้เราเป็นคนดีที่เก่งขึ้น ก็จะมีประโยชน์กับเราใช่ไหม (ใช่) คนไหนบำเพ็ญตัวคนเดียว บำเพ็ญแต่จิตใจของตัวเอง แล้วไม่มีการเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น อย่างนี้แสดงว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวไหม (เห็นแก่ตัว) เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าสิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่ดี เราก็ต้องชี้แนะให้ผู้อื่นเป็นคนดีเหมือนกับเราด้วย

“ตนในตนรวมหนึ่งเพื่อนเกลอ” ตนกายภายนอกกับตนภายในรวมอยู่เป็นหนึ่ง เราเป็นเพื่อนกัน แต่เพื่อนเราสองคนชอบทะเลาะกัน เราต้องทำให้เพื่อนนั้นรวมเป็นหนึ่ง และมีจิตใจที่เป็นหนึ่ง ถ้ามีจิตใจที่เป็นหนึ่งแล้วทำอะไรมีความตั้งมั่น เราก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ถูกไหม เพราะฉะนั้นบางคนที่เป็นคนไม่ดี แต่ว่าเขาสามารถทำสิ่งที่ไม่ดีอันยิ่งใหญ่ได้นั้น เพราะตนข้างในถูกย้อม ตนอารมณ์ข้างนอกเป็นตนที่ชักนำ จึงทำให้โลกนี้วุ่นวาย แต่เราจะให้ใครเป็นคนที่ชักนำเลือกเอาจากสองคนให้เหลือคนเดียว เลือกใครดี (เลือกตนข้างใน) ในเมื่อทุกท่านเลือกตนข้างในก็ขอให้ทำให้ตนข้างในหนึ่งคน แล้วช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด

ท่านต้าเซี่ยว : กลอนธรรมดาอันหนึ่ง หากเราใส่กลอนจากข้างนอก เราสามารถจะขังคนข้างในได้ไหม (ได้) เช่นเดียวกัน ถ้าเราใส่กลอนจากข้างใน กลอนนั้นก็สามารถปิดกั้นคนข้างนอกได้ใช่ไหม เช่นเดียวกับธรรมะ ซึ่งดูผิวเผินอาจจะดูธรรมดา ถ้าศึกษาอย่างเข้าใจแท้จริง รู้หนทางแท้จริงแล้ว ก็สามารถจะปิดกั้นตัวเองจากกิเลสภายนอกได้ใช่ไหม (ใช่) เช่นเดียวกัน สิ่งภายนอกทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่าง ดูๆไปแล้วก็เหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าสามารถดึงดูดกักขังคนเราให้ติดอยู่ในห้วงเวียนว่ายตายเกิดได้ใช่ไหม (ใช่)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาท “เลือกทางตนเดิน”)

ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรามีแค่สองทาง ทางหนึ่งคือกลับเบื้องบน อีกทางหนึ่งคือลงไปข้างล่าง เลือกได้สองทาง เราจะเลือกทางไหน

ท่านต้าเซี่ยว : เราให้เพลงโอวาทแฝงธรรมะไว้ อยากให้ทุกท่านลองศึกษาและทำความเข้าใจดู ในสองวันที่ท่านมานั่งฟังธรรมะ ท่านสามารถเก็บความรู้อะไรได้มากเท่าไหร่ หรือว่าปล่อยเวลาที่มานั่งอยู่ที่นี่ให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เราบอกแล้วว่าเลือกได้สองทาง ทางหนึ่งคือทางขึ้นเบื้องบน อีกทางหนึ่งคือทางลงข้างล่าง ถ้าชาตินี้ยังเลือกไม่ได้ก็ทุกข์กับสุขไปก่อน ชาติหน้าเลือกไม่ได้ก็ทุกข์กับสุขอีก จนวันหนึ่งเลือกได้แล้วก็ต้องเลือกข้างบนและจูงมือกันไป

ท่านต้าเซี่ยว : ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ต่างล้วนแต่เป็นผู้ที่เริ่มเข้ามาศึกษาธรรมใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจะต้องสามัคคีกัน ร่วมศึกษาไปพร้อมๆกัน ให้กำลังใจกันและกัน เมื่อเห็นคนไหนห่างสถานธรรมไปก็ชักชวนเขากลับเข้ามา แล้วบำเพ็ญกลับคืนไปข้างบนด้วยกัน

วันนี้เราสองคนก็มารบกวนเวลาพวกท่านนานแล้ว เดี๋ยวตั้งใจฟังหัวข้อธรรมะต่อดีไหม (ดี) ตั้งใจหรือเปล่า (ตั้งใจ) มีโอกาสเข้ามาร่วมชั้นประชุมธรรมไม่ใช่ง่ายๆ บางคนพอคิดจะมาเข้าชั้นประชุมธรรมก็ต้องมีเหตุให้ไม่ว่าง หรือว่ามีธุระด่วน นั่นหมายถึงถ้าเขาไม่แสดงศรัทธาตั้งใจจริงออกมา ปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างบ้าง เท่ากับว่าเขาปิดโอกาสไม่ให้ตัวเองเข้ามาศึกษาธรรม

ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรารู้ว่าบางคนกลัวว่ามานั่งฟังธรรมะแล้วจะเบื่อและไม่เข้าใจ

ท่านต้าเซี่ยว : ไม่ใช่หรอก ทุกคนตั้งใจฟังธรรมะได้ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ก็เห็น เลือกทางเดินเอง ทางมีให้เลือกก็จงเลือกสิ่งที่ดี มนุษย์ในโลกนี้เปรียบเทียบได้กับเนื้อเพลงที่ว่า “ป่าวนเวียนรกร้างกว้าง พยายามเดินเข้าไป” รู้ก็รู้ว่าเป็นป่า ข้างในแฝงไว้ด้วยอันตรายมากมายและสิ่งต่างๆ ที่เราไม่รู้ ก็ยังจะเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง ก็เหมือนกับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ทั้งๆที่เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นมายาจะฉุดรั้งเราไว้ ยิ่งถ้าเรายึดติดมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งไม่สนใจศึกษาธรรมะมากเท่านั้น เหมือนกัน ตอนที่เราตั้งใจฟังธรรมะก็จะมีอีกจิตหนึ่งคอยดึงเราไว้ให้ฟุ้งซ่าน ทุกท่านจะทำให้จิตสงบได้เพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนเอง

ที่เราทั้งสองพูดมาทั้งหมดเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) แล้วพรุ่งนี้จะตั้งใจฟังธรรมะไหม อาจารย์ของพวกท่านคือใคร (อาจารย์จี้กง) เราก็เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงเหมือนกัน ถ้าพวกท่านมีความศรัทธา ไม่แน่พรุ่งนี้อาจารย์ของพวกท่านอาจจะมาพูดคุยกับพวกท่าน

ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรารอวันหนึ่ง วันที่เมธีทุกๆท่านขึ้นไปอยู่ข้างบนกับเรา




วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์ กล้า

วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา เจริญเมตตาเพ่งมองกรรมบำเพ็ญเจริญ

เราคือ

อรหันต์จี้กงวิปลาส รับบัญชาจาก

องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถาน แฝงกายเคียมคัล

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

พุทธจิตรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างขุมพลังอันไพศาล

ก่อกำเนิดใบใหม่พ้นหินพลัน หากมีใจเพียรหมั่นผลอนันต์

อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งเร่งถอนรากโคนบั่น

อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น มิอาจผันพ้นวิโมกข์ จากปฏิปทา

อดีตเคยยอมให้กิเลสบงการชีวัน ใจผจัญก้าวสูงส่งชนะหาญกล้า

ซ่อมบ้านก่อนลมฝนกระหน่ำมา สุขอุราวิมานในโลกสมบูรณ์ธรรม

ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อาจารย์อยากให้ศิษย์ตั้งใจฟังโอวาท เพื่อศิษย์จะได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับจิตญาณของตัวเองบ้าง

“ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์กล้า วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา เจริญเมตตาเพ่งมองกรรมบำเพ็ญเจริญ” การมีเมตตาอย่างสมบูรณ์แล้วก็หมายถึงการบำเพ็ญ แต่ถ้าคนไหนเจริญเมตตาเพียงแค่ขอบข่ายแคบๆ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการเจริญบำเพ็ญเท่าที่ควร มีใครอยากอธิบายไหม (“ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด” หมายความว่าศิษย์จะชดใช้หนี้กรรมด้วยอะไร “ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์กล้า” จะใช้หนี้กรรมกี่ชาติด้วยใจ) ให้เลือกสองทางจะชดใช้หนี้กรรม ด้วยการที่ชดใช้ในการเจ็บป่วยทางร่างกายหรือในการที่ทนทุกข์ทรมานในโลกไม่รู้กี่ชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้น หรือว่าจะชดใช้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์และกล้าหาญ

“วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา” ในการเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นวัฏสงสารนี้มีการผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ วันนี้ศิษย์เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ เจ้าหนี้อะไร ลูกที่ไม่ดีต่อพ่อแม่ ไม่กตัญญู มาทวงเอาที่พ่อแม่ ส่วนผู้ที่อยู่ในโลกนี้แล้วได้รับความทุกข์ต่างๆนานาจากเหตุการณ์รอบข้างมากมาย แสดงให้เห็นว่าศิษย์ก็เป็นลูกหนี้ด้วย และเจ้าหนี้ลูกหนี้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ให้ศิษย์ค่อยๆคิดกันเอง แต่ทุกๆวันที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปนี้ มีการสลับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆคนพิจารณาว่าสมควรแล้วหรือยังที่จะหยุดตรงนี้ สมควรหรือยังที่จะเริ่มบำเพ็ญ เปิดเมตตาออกมาฉุดช่วยผู้อื่น บำเพ็ญทั้งภายในภายนอก ถึงเวลาแล้วหรือยัง (ถึงแล้ว) ทุกคนรู้แล้วว่าถึงเวลา แต่ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไรใช่ไหม (ใช่)

“พุทธจิตรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างขุมพลังอันไพศาล” ถ้าพุทธจิตภายในใจของศิษย์มีรากฐานแห่งจิตใจที่มั่นคงและมีคุณธรรมแล้ว ขอให้ยึดเหนี่ยวเอาไว้ให้แน่น ไม่ให้สั่นคลอน ศิษย์ก็จะพบกับพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลสุดประมาณ

“ก่อกำเนิดใบใหม่พ้นหินพลัน” ตรงนี้อาจารย์จะอธิบายตอนให้กลอนข้างใน แล้วศิษย์จะรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร

“หากมีใจเพียรหมั่นผลอนันต์” การที่พุทธจิตของศิษย์ทุกคนจะสามารถมีรากฐานที่มั่นคงและไม่สั่นคลอนได้นั้นต้องมีอะไร (ความเพียร) ความหมั่นเพียรและอดทน หมั่นเพียรทุกๆวันก็จะได้รับผลอันยิ่งใหญ่

“อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งเร่งถอนรากโคนบั่น

อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น มิอาจผันพ้นวิโมกข์จากปฏิปทา” อุปกิเลสคืออะไร (ลักษณะความเคยชินที่ไม่ดีทั้งหลาย) คือสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เป็นสิ่งที่หมักหมมอยู่ในใจนี้ ขอให้ศิษย์ถอนรากถอนโคนขึ้นมา อย่าให้มีรากติดอยู่แม้แต่นิดเดียว เพราะว่ามันอาจจะขึ้นลุกลามได้

“อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น” ถ้าจิตใจของศิษย์มีรากฐานที่เหนี่ยวรั้งมั่นคงแล้ว อวิชชาต่างๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วเราก็ไม่หวั่นกลัวถึงอวิชชานั้นด้วย

“มิอาจผันพ้นวิโมกข์จากปฏิปทา” เราทุกคนนั้นสามารถจะหลุดพ้นได้ถ้าหากมีความมุ่งมั่น

อาจารย์อธิบายจบตรงนี้แล้ว อุปกิเลสคืออะไร (อุปกิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก มี ๑๖ อย่างคือ ๑.อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบ จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร ๒.โทสะ คิดประทุษร้าย ๓.โกธะ โกรธ ๔.อุปนาหะ ผูกโกรธไว้ ๕.มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ๖.ปลาสะ ตีเสมอ ๗.อิสสา ริษยา ๘.มัจฉริยะ ตระหนี่ ๙.มายา เจ้าเล่ห์ ๑๐.สาเถยยะ โอ้อวด ๑๑.ถัมภะ หัวดื้อ ๑๒.สารัมภะ แข่งดี ๑๓.มานะ ถือตัว ๑๔.อติมานะ ดูหมิ่นท่าน ๑๕.มทะ มัวเมา ๑๖.ปมาทะ เลินเล่อหรือละเลย) ทุกคนมีบ้างใช่ไหม อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง ถ้าถอนไม่ดีมีรากเหลือแม้นิดเดียว ต้นหญ้าก็ขึ้นมาอีกใช่ไหม (ใช่) ต้องถอนให้หมด หมั่นถอนบ่อยๆ เพราะบางครั้งคิดว่าถอนหมดแล้ว เวลาผ่านไปฝนตกมาใหม่หญ้าก็ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นต้องมีความไม่ประมาทเป็นที่ตั้ง อยู่ที่ตนของตนเองข้างในนั้น แล้วก็สามารถจะบำเพ็ญได้

“อดีตเคยยอมให้กิเลสบงการชีวัน” เมื่อก่อนนี้กิเลสหรือว่าจิตญาณที่เป็นพุทธจิตของเราเป็นคนสั่งการให้ทำอะไร อะไรเป็นเครื่องสั่งการ เมื่อก่อนนี้หรือกระทั่งเดี๋ยวนี้ (จิต) แน่ใจหรือ บางครั้งทำในสิ่งที่ดีก็เป็นจิต แต่ส่วนมากเราไม่ทันได้รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นกิเลส เพราะว่าเราไม่มีสติที่จะเตือนยั้งเลยใช่ไหม

“ใจผจัญก้าวสูงส่งชนะหาญกล้า” ถ้ามีใจกล้าหาญที่จะสู้ไปข้างหน้า ก็แสดงว่าจิตใจนี้สูงส่งแล้ว และสามารถจะชนะด้วยความกล้าหาญของตนเอง

“ซ่อมบ้านก่อนลมฝนกระหน่ำมา” เทียบกับจิตใจว่าอย่างไร (ให้เราตั้งใจปฏิบัติก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ, ซ่อมจิตใจเราก่อนที่จะมีหนี้กรรมมาทวง เราก็จะอยู่ในโลกมนุษย์มีธรรมะที่สมบูรณ์ในจิตใจ)

“สุขอุราวิมานในโลกสมบูรณ์ธรรม” ถ้าสามารถจะมีคุณธรรมในจิตใจและไม่ให้กิเลสเข้ามาได้ จิตใจนี้ก็จะมีความสุขเหมือนกับว่าโลกที่อยู่ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีแต่ความทุกข์และสุขปะปนกันไปเรื่อยๆ แต่โลกนี้เป็นโลกที่มีความสุขสงบและสมบูรณ์ในธรรมในจิตใจของทุกๆคน

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท) เมื่อสักครู่เวลาวงกลม หลายๆคนพยายามวงให้กลม แล้วใช้อะไรเป็นจุดศูนย์กลาง จุดจิตญาณตรงนั้นใช่หรือเปล่า เมื่อรู้ที่ตั้งแล้ว สติอยู่ตรงนั้นแล้ว ปัญญาก็ออกมาได้ รู้แล้วใช่ไหม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นรูปก้อนหินทับต้นหญ้า) ถ้าหินนั้นทับหญ้าเอาไว้ หญ้าข้างใต้ก็เหี่ยวไป แต่หญ้านั้นยังมีรากอยู่ ถ้าหญ้านั้นได้รับแสง มันก็ต้องพยายามสร้างรากเพิ่มจนสามารถผ่านหินออกมาได้ และเมื่อแตกใบออกมาได้รับแสงสว่าง ก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ถูกไหม (ถูก) อาจารย์ให้ศิษย์ดูต้นหญ้า ลองดูซิว่าหญ้าที่อาจารย์บอกมีความหมายอะไรบ้าง โดยดูจากกลอนบทต่อไป

“อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง” หญ้านี้เปรียบเหมือนอุปกิเลสที่เข้มแข็งมากและเราจำเป็นต้องพยายามถอนรากถอนโคนออกให้หมด นี่คืออย่างแรก อย่างที่สองคืออะไร

“หญ้าน้อยแม้ศิลาใหญ่ทับถม ใบเก่าแห้งเฉาตรมทุกข์มิสร่าง

หวังเพียงมีรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างใบใหม่พ้นหินพลัน

หากมีใจเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น

มิอาจให้กิเลสบงการชีวัน ใจผจัญก้าวพ้นสู่วิโมกข์”

อย่างที่สองคือความเข้มแข็ง และจากโอวาทของเมื่อวาน ก็มีอีกหนึ่งความหมายคือต้นหญ้านี้เมื่อลมพัดก็เอนอ่อนลงไปใช่ไหม การเป็นคนก็เหมือนกันถ้าเกิดแข็งก็หักได้ง่าย ถ้าเป็นหญ้าที่โอนอ่อนผ่อนตามไปเรื่อยๆ เช่นอ่อนน้อมคล้อยตามพายุจึงตั้งรับ ตรงนี้หมายความว่า เมื่อมีพายุมาต้นหญ้าก็พริ้วลู่ตามไปและสามารถคงอยู่ได้ แต่ต้นสนที่สูงใหญ่ เมื่อมีลมพายุพัดมาหักได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ทุกคนดูแล้วเข้าใจให้ดีๆ โอวาทซ้อนโอวาทนี้ อาจารย์ให้อ่านหลายๆครั้ง มีใครรู้สึกไหมว่าพออ่านหลายๆครั้งแล้วจะทำให้เข้าใจมากขึ้น (เข้าใจ) โอวาทนี้อาจารย์ไม่ได้อธิบายทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่เหลือเอาไว้ให้ศิษย์ค่อยๆไปศึกษาให้รู้แจ้งเอาเอง ทุกๆอย่างต้องอาศัยที่แรงลงมือปฏิบัติ การบำเพ็ญนั้นถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติ จะได้ผลไหม (ไม่ได้)

ถ้าไม่มีการทดสอบเสียบ้าง ทุกคนก็จะนึกว่าตัวเองเก่ง เพราะฉะนั้นทุกๆวันต้องมีจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เข้าใจหรือว่าไม่รู้อะไรก็ถามจากคนข้างหน้า เมื่อรู้แล้วก็ไปบอกคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราแพร่กระจายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนทั้งโลกนี้มีความสุขไหม (มี) และเมื่อคนไม่รบราฆ่าฟันกันแล้ว โลกก็จะสันติสุข ตอนนี้มีเภทภัยต่างๆมากมาย เป็นเพราะว่าศิษย์ไม่ได้ชดใช้หนี้กรรมของตนเองเลย เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่มีจิตสำนึกว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรไปบ้าง เมื่อไม่สำนึกแล้วก็ทำผิดไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร เมื่อกรรมนั้นตามมาถึงตัวแล้ว สำนึกตอนนั้นสายไปไหม (สาย) เร่งตื่นเสียตั้งแต่ตอนนี้ เร่งชดใช้เจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป ถึงเวลานั้นแม้แต่อาจารย์เองก็ช่วยศิษย์ไม่ได้

วันนี้แม้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันจะสั้นนัก แต่ความผูกพันที่เรามีต่อกันนั้นหยั่งลึกถึงรากที่เหนียวแน่นและมั่นคงยิ่งกว่ารากของต้นหญ้า ทุกคนจะเป็นต้นธรรมใหม่ เป็นต้นธรรมที่อาจารย์ได้ปลูกขึ้น แต่ทุกคนต้องช่วยกันรดน้ำพรวนดิน แรงของอาจารย์เพียงคนเดียวไม่สามารถที่จะฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งโลกนี้ได้ ศิษย์ช่วยเป็นมือ เป็นเท้า เป็นแรง เป็นกำลังให้อาจารย์ มุ่งไปด้วยความตั้งใจยิ่งๆขึ้น ทุกๆวันแม้อาจารย์จะเจ็บแค่ไหน หรือแม้จะมีความทุกข์ขนาดไหน อาจารย์ก็ยอมรับได้ รับด้วยความเข้มแข็ง ศิษย์ก็เหมือนกัน รับแค่หนี้กรรมของตัวเองเพียงน้อยนิด จะต้องรับให้ได้ ชดใช้ให้ได้ บำเพ็ญทั้งนอกทั้งในก็กลับขึ้นไปได้แล้ว ลาก่อนศิษย์รักทุกคน ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา