วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-14 สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ

西元二○一九年歲次己亥十一月十九日                                   仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒  สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  เป็นดั่งน้ำช่วยคนดับกระหาย        เป็นร่มเงาช่วยคลายความทุกข์เข็ญ
เป็นดั่งแสงทองนำทางส่องเช้าเย็น    ผู้ฝึกเป็นเสียสละให้ไม่หน่ายเลย
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                       ถามทุกท่านเกษมฤๅ

  โลกกลมกลมคนเดินกันขวักไขว่         คนบำเพ็ญล้ำสมัยมีหลายความเห็น
คิดใหม่ได้แต่ไม่ไร้การบำเพ็ญ             โลกยามเย็นจึงเห็นไฟส่องทาง
ความแค้นใจทำบ้านให้เป็นไฟ             ความใจเย็นทำบ้านไม่เหินห่าง
ใต้ร่มน้อมให้กันอุดช่องว่าง                เปิดรับฟังทุกความสามารถความเห็น
ต่างความเห็นจึงกว้างใหญ่ได้พัฒนา      คนศึกษาคนด้วยการต่างความเห็น
ดึงศักยภาพได้ดึงด้วยสิ่งที่เป็น            ดีทุกวัยทำใจเป็นบำเพ็ญดี
ส่งไม้ต่อรุ่นก่อนรุ่นใหม่รับ                  เหมือนได้ใจคืนกลับมาตอนนี้
รุ่นหลังรุ่นปลูกไม่รู้จักดินดี                  รุ่นร่มเย็นเห็นวิธีแตกกิ่งก้านใบ
    คนปฏิบัติเป็นเห็นได้เป็นนักปราชญ์      เดินหน้าปฏิบัติตามเวลาเอื้ออำนวยให้
ถือคุณธรรมเป็นหลักเป็นดั่งธงชัย         มั่นคงเหนือกาลร่วมใจร่วมเวลา
จะตลอดไปหรือไม่อยู่ที่เรา                 เปลี่ยนเมตตาอันเหงาเศร้าของเราหนา
เป็นเมตตาอันอบอุ่นคนเข้าหา             ด้วยปัญญาเป็นเข็มทิศในชีวิตตน
                                                                          ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ฟังธรรมเหนื่อยไหม ยังไหวอยู่ใช่หรือเปล่า (ไหวค่ะ) เป็นคำตอบที่น่าชื่นใจนะ รู้จักกันก่อนดีไหม  อากาศเย็นๆ พออยู่ร่วมกันก็กลายเป็นอบอุ่นได้ เพราะอะไรหรือ เพราะทุกคนต่างมีความร้อนในตัว ใช่หรือไม่ เกิดเป็นคนใจเย็นดีหรือใจร้อนดี แล้วส่วนใหญ่เราใจเย็นหรือเราใจร้อน ชอบคนใจเย็นแต่ตัวเองชอบใจร้อน จริงไหม ใจร้อนไม่ดีแล้วใจร้อนไหม เกิดเป็นคนกลัวเคราะห์กรรมเภทภัยไหม และเวรกรรมไหม (กลัว) ท่านเคยได้ยินไหมว่า ไม่มีเคราะห์ภัยใดน่ากลัวเท่ากับไฟที่เกิดจากโทสะ คนที่ขี้โมโหมักโกรธ เป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบด้วย ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอยากรู้ไหมว่าเราเป็นคนขี้โมโหหรือใจเย็น เวลาไปไหนคนเข้าหาหรือคนเดินหนี   เวลาไปไหนแล้ววงแตกไม่ใช่คนใจเย็น ใช่ไหม (ใช่)  ไปไหนมีแต่คนเดินหนีไม่มองหน้า แปลว่าเป็นคนใจร้อน จริงไหม (จริง)  ตกลงแปลว่าท่านเป็นคนใจร้อนที่อยากมีเวรมีภัย ที่ไม่มีใครเขาคบหา ไม่มีใครเขารักใคร่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราควรจะเป็นคนที่มักโกรธบ่อยๆ หรือเปล่า (ไม่)  รู้ว่าเป็นศัตรูตัวร้ายควรจะมีความโกรธไหม (ไม่มี) แล้วอะไรล่ะที่จะช่วยดับความร้อนได้ (ธรรมะ)
เราถามท่านหน่อยนะ เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนไม่โกรธ ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่คนโบราณมักจะชอบพูดและสอนคนไว้บ้างไหมว่า “คนเราดีไม่ทั่ว ชั่วไม่หมด” แปลว่าไม่มีใครดีจริงๆ และไม่มีใครร้ายจริงๆ ถึงจะขี้โมโหแต่ก็มีอะไรดีเหมือนกัน อารมณ์ร้อนแต่ก็ใจดีเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่) แปลว่ามีทั้งร้อนและเย็นอยู่ในตัว แต่ร้อนมากกว่าเย็น ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราอยากจะบอกท่านอย่างหนึ่งนะ บางครั้งมนุษย์ก็รู้ว่าอะไรไม่ดีอะไรดี แต่บางทีความดี
ไม่สามารถชนะความไม่ดีในใจได้ จริงหรือไม่ (จริง) ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่) อันนี้จำได้ขึ้นใจเลย ใช่ไหม ถ้าเราบอกว่าจริงๆ แล้วการที่เราฝึกเป็นคนใจเย็นๆ หน่อย ฝึกโมโหให้น้อยหน่อย ฝึกเกรี้ยวกราดให้น้อยหน่อยนั้นดี เราไม่ได้ทำดีเพื่อหวังให้คนรัก แต่เราทำดีเพื่อป้องกันการที่เราจะไปเบียดเบียนทำร้ายคนที่เรารัก จริงไหม (จริง) เรารักคนที่อยู่รอบข้างเราไหม (รัก) แล้วคนที่อยู่รอบข้างเรา เราเห็นเขาเป็นทุกข์ เราทนได้ไหม (ไม่ได้) เห็นเขาหน้าเบี้ยวหน้าบูด เราก็พลอยหน้าบูดหน้าเบี้ยว จริงไหม (จริง) ลองอยู่ในบ้านมีแต่คนหน้าบูดหน้าเบี้ยว เรายิ้มออกไหม แต่ถ้าเกิดทุกคนในบ้านยิ้ม
เราหน้าบูดหน้าเบี้ยวเรายังยิ้มออกเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เราพยายามใจเย็นไว้ไม่โกรธคนอื่น เพราะว่าเราไม่อยากเบียดเบียนและไม่อยากทำร้ายคนที่เรารัก
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เคยไหว้แล้วเอาท่านมาเป็นตัวเองไหม รู้ไหมว่าตัวท่านเอง
ก็คือพระพรหมของบ้านได้ ทำไมเราจึงบอกว่าท่านเป็นพระพรหมในโลกได้ และท่านเป็นพระพรหมในบ้านได้ เคยได้ยินไหม บิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก แล้วเราเป็นพระพรหมของลูกจริงไหม (จริง)
นั่นแหละเรียกว่า “จิตแห่งกรุณา” เห็นใครทุกข์อยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์
เป็นพระพรหมได้หรือยัง (ได้)  สองแล้วนะ และเมื่อเขาได้ดีมีสุข เรายินดีหรือเราอิจฉา (ยินดี)  นั่นได้สามข้อแล้ว ท่านเป็นพระพรหมของลูกได้ไหม (ได้) ฉะนั้นเวลาลูกทำผิดโกรธไหม (ไม่โกรธ) อันนี้ยากนะ แต่เราสามารถกลับใจ
เป็นกลางรักเขาเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) ว่าส่วนว่า โกรธส่วนโกรธ แต่ใจ
ยังรักเหมือนเดิมไหม (รัก) นี่แหละจิตที่สามารถกลับคืนสู่ความเป็นกลางได้
ไม่ว่าเขาจะร้ายจะเลวอย่างไร ก็ยังมีความหวังดีและอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์เสมอ แล้วอย่างนี้กราบไหว้พระพรหมไม่สู้ทำตัวเองเป็นพระพรหมในบ้าน  แล้วถ้าเกิดเราแผ่ความเป็นพระพรหมออกสู่คนในโลก อย่างนี้เราไม่ใช่คนที่ปฏิบัติแล้วเป็นที่ร่มเย็นของผู้อื่นหรอกหรือ ท่านรู้ไหมขอหวยสามตัวเดี๋ยวมันก็หมด มันชื่นใจครู่เดียวใช่ไหม (ใช่)  แต่การประพฤติปฏิบัติจนมีคุณค่า จนเป็นที่ร่มเย็นเป็นที่พึ่งพิงของคนอื่นนั้นอยู่ได้หลายภพหลายชาติจริงไหม (จริง) เพราะการประพฤติวันนี้เป็นตัวบ่งบอกอนาคตในวันหน้า เพราะการดำเนินชีวิตในวันนี้เป็นตัวกำหนดภพภูมิในชาติหน้า แล้วคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามในวันนี้จะสามารถพกติดตัวไป แม้จะต้องสิ้นชาติในการเป็นมนุษย์ แต่เราก็มีความดีงามพกติดตัวไปเป็นบุญวาสนานำพาให้เราไม่ว่าเกิดภพใดชาติใด ความเป็นพระพรหมนั้นก็จะคุ้มครองให้คนๆ นั้นประพฤติหรือปฏิบัติอยู่ที่ใดก็ร่มเย็นเป็นสุข หาเงินหาทองมีวันหมด แต่ประพฤติปฏิบัติด้วยความถูกต้องดีงามมันไม่มีวันหมด   มันจะติดตัวไปจนตาย และไม่ว่าจะภพไหนชาติไหน ความดีนั้นก็จะอยู่ในใจของเราไม่มีใครแย่งไปได้ อย่ามัวเห็นคุณค่าเงินทอง ทรัพย์สิน จนลืมคุณค่าความดีงามที่เรียกว่าธรรมในใจ เห็นอะไรมีค่าได้ แต่อย่าลืมเห็นคุณค่า
ในการประพฤติปฏิบัติอย่างผู้มีธรรม เห็นไหมว่าเป็นพระพรหม คนทั่วโลกก็มากราบไหว้ แล้วทำไมไม่เอาพระพรหมนั้นมาสถิตในใจเราด้วยการประพฤติปฏิบัติกันเล่า เราอยากช่วยให้คนมีความสุขไหม อยากช่วยให้คนพ้นทุกข์ไหม เห็นใครได้ดีมีสุข เราก็ดีใจกับเขาด้วยใช่ไหม ถ้าเห็นใครผิดพลาดไป เราซ้ำเติมเขาไหม ใครๆ ก็ผิดพลาดได้ ใช่หรือไม่ ถ้าท่านสามารถวางใจเป็นกลางได้
ไม่โกรธเกลียดใคร ไม่แช่งชักหักกระดูกใคร ไม่ด่าใคร ไม่นินทาใคร การเป็นพระพรหมในโลกยากหรือไม่ ยากอย่างเดียว เมื่อไหร่จะทำ
ก็คงไม่เผารนจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านปาดเหงื่อเลยหรือ จริงๆ แล้วสุขนั้นร้าย ทุกข์นั้นดี ความลำบากนั้นดีไหม ความสบายนั้นดีไหม ถ้าเราพูดตรงกันข้ามว่า “ความสบายนั้นแย่ ความลำบากนั้นดี” ท่านว่าจริงไหม เราถามท่านหน่อยนะ ยิ่งสบายเรายิ่งเอาแต่ใจตัว ขี้เกียจ อ่อนแอ และสู้คนไม่เป็น ใช่หรือไม่ เช่นนั้นยิ่งลำบากเรายิ่งเข้มแข็ง
ยิ่งยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ยิ่งโดนคนกดขี่ข่มเหงเรายิ่งรู้จักอยู่รอดให้ได้ ถ้าเราพูดว่าลำบากนั้นดี สบายนั้นแย่ผิดตรงไหน ในทางเดียวกัน “สุขนั้นแย่ทุกข์นั้นดี” พูดแบบนี้ผิดหรือไม่ ยิ่งสุขมากเรายิ่งอ่อนแอ ยิ่งสุขมากเรายิ่งเรียกร้องไม่จบสิ้นใช่ไหม แต่ยิ่งทุกข์เรายิ่งบอกว่าพอแล้ว คนที่ท่านรังเกียจ คนที่ท่านไม่ชอบ แท้จริงแล้วไม่มีดีหรอกหรือ ว่าฉันมากๆ เดี๋ยวฉันจะดีให้ได้ ดูถูกมากๆ เดี๋ยวฉันจะเก่งให้ได้เลย
แต่งงานนึกว่ามีความสุข เป็นอย่างไงล่ะ สุขจนพูดไม่ออกเลย ใช่ไหม (ใช่) มีลูกนึกว่าจะได้พึ่งพา เป็นอย่างไรเล่า หาไม่เห็นหัวเลยใช่ไหม (ใช่)  มีเงินนึกว่าจะได้มีบ้าน มีที่ดิน มีทรัพย์สินเป็นอย่างไรล่ะ หนี้ล้นพ้นตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะจึงสอนไว้ว่าบางครั้งคิดว่ายิ่งหาแล้วยิ่งได้ แต่ถึงที่สุดจึงได้รู้ว่าพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่อย่างนั้นยิ่งหายิ่งได้ไม่คุ้มเสียเลย ใช่ไหม (ใช่)  เคยคิดว่ายิ่งมีแล้วจะได้เต็มเปี่ยม แต่ทำไมยิ่งมีกลับยิ่งอยากให้มันโล่งๆ ถูกไหม (ถูก) แต่เมื่อไรรู้จักคำว่าโล่งจึงรู้จักคำว่าเต็มเปี่ยม เหมือนกับ เดี๋ยวก็ซื้ออันนี้เข้ามาในบ้าน เดี๋ยวก็ซื้ออันนั้นเข้ามาในบ้าน ซื้อจนเต็มบ้านจนสุดท้าย จะเอาอะไรไปบริจาคดี มันจะได้โล่งๆ ใช่ไหม (ใช่)  เราพูดอะไรตลกไหม ตลกนะชีวิต เหมือนชีวิตเรายิ่งพยายามดึงตัวเองให้เก่ง ดึงตัวเองให้สูง ยกตัวเองให้มี แต่คนมีเขา
ไม่อวด คนอวดนั้นไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) คนดีจริงเขาไม่คุย คนคุยแปลว่ายังไม่ดี แล้วเราเป็นแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพูดกันแบบเหมือนมีเหตุมีผล แต่ท่านรู้ไหมว่าถึงที่สุดเหตุผลก็ยังไม่ใช่ที่สุดของความจริง เหตุผลคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ และเหตุผลเป็นรากของความจริง แต่ความเป็นจริงบางครั้งก็อยู่เหนือเหตุและผล ถูกไหม (ถูก)  เหมือนเราเปรียบเทียบว่าตะกร้าคือสิ่งที่ถูก อย่างนั้นแปลว่าสิ่งที่ไม่ใช่แบบนี้กลายเป็นผิด แต่เราถามว่าสิ่งนี้ถูกจริงไหม เหมือนวันนี้เราพูดชนะเขาได้ เราเป็นคนถูก แต่เมื่อผ่านไปอีกสักวันหนึ่ง เราจะเป็นคนถูกไหม แล้วเราจะเป็นคนถูกเสมอไหม (ไม่เสมอ) แล้วเราจะเป็นคนที่ถูกตลอดไหม (ไม่ตลอด)  ก็เหตุผลนี้ฉันเป็นคนถูกแล้วนี่ ฉันคิดว่าฉันถูกต้องแล้ว เธอคือคนที่ผิด อย่างนี้เราจะยืนยันว่าเราถูก แล้วเธอเป็นคนที่ผิด ตลอดได้ไหม (ไม่ได้) ก็เธอคือคนที่น่าเกลียด แต่ฉันเป็นคนที่น่ารัก จริงไหม ถ้าพูดกันตามเหตุผล ฉันยังหน้าเด็ก แต่เธอเหี่ยวแล้ว อย่างนี้ใช่ไหม ถ้าเราพูดกันตามเหตุผลอย่างนี้ถูกต้องไหม ฉันน่ารักกว่าถูกไหม (ถูก)  เธอน่าเกลียดใช่ไหม (ใช่)  แต่ต่อไปฉันจะน่ารักตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่) เดี๋ยวฉันก็เหี่ยวไม่ต่างจากเธอถูกไหม (ถูก) อย่างนี้ตกลงใครถูก
ไม่ผูกพัน ช่วงใช้แล้วไม่ยึดติด อยู่ร่วมแล้วไม่เป็นทุกข์ คงยากนะ ตอบได้ดี
เราให้ดอกไม้เป็นกำลังใจ ดีไหม 
อันเป็นกลาง ถ้าเราเข้าใจความจริงอันเป็นกลาง เราจะยอมรับได้เลยว่า แท้จริงในโลกในร้ายก็ยังไม่ได้ร้ายที่สุด ยังมีคนร้ายกว่า ในดีก็ยังไม่ดีที่สุด
ยังมีคนดีกว่า ฉะนั้นถ้าเราวางใจเป็นกลางมองโลก เรานั่นแหละคือเข้าถึงพระพรหม และเข้าถึงธรรม
และระหว่างเจ็บกับตายอันไหนดีกว่ากัน หลายคนบอกว่าเจ็บนั้นทรมาน  ใช่ไหม (ใช่) แต่ตายโดยที่ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้สั่งเสีย บางทีอาจจะทำให้เรายิ่งเป็นทุกข์นะ จริงหรือไม่ (จริง)  
แต่ลืมลงแรงทำความเข้าใจที่ภายใน ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเข้าใจแล้วจะโกรธ จะปฏิบัติผิดไหม จะทุกข์ไหม (ไม่) ควรกลัวไหมความทุกข์ (ไม่กลัว) เพราะทุกข์ยังไม่แท้ สุขยังไม่จริง สู้ประคองใจให้นิ่งๆ และยอมรับความเป็นจริงอันเป็นกลางดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยึดติดความคิดว่าแบบนี้ดี อีกแบบหนึ่งก็จะไม่ดีในทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) เราถามท่านว่า เวลาเราถูกลอตเตอรี่ เป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม (ใช่) แล้วเวลาที่เราไม่ถูกลอตเตอรี่ เป็นสิ่งที่แย่ใช่หรือไม่ (ใช่) การถูกลอตเตอรี่บ่อยๆ ทำให้เราเสียเงินบ่อย ใช่ไหม (ใช่) แล้วการไม่ถูกลอตเตอรี่บ่อยๆ ทำให้เราไม่อยากจะเสียเงินแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วอะไรดีกว่าอะไร (การไม่เล่น)  เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่า
เราเอาใจไปวางไว้กับคนที่เราเกลียด แล้วรู้สึกว่าเจ็บ เราก็ไม่ต้องเอาใจเรา
ไปวางไว้ที่เขา มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง อะไรก็เสียได้ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะ
เสียภายนอก เสียแล้วดีขึ้น ก็เสียไปได้ แต่สำหรับใจ อย่าพยายามเสีย เพราะเมื่อเสียไปแล้ว จะเรียกกลับคืนมาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ารู้ เห็น มองแล้วจะรู้สึกว่า เสียใจ เราก็ต้องเห็นเหมือนไม่เห็น เหมือนมีแต่เหมือนไม่มี อย่างนี้จะ
ไม่มีผลกับใจ อย่าเอาใจไปเสียเด็ดขาด เพราะเมื่อเสียไปแล้ว จะเรียกกลับมาไม่ได้ จำไว้นะ อยู่ในโลกหากเสียเงินเสียทองแล้วดีขึ้นก็เสียไป แต่หากเสียที่ใจ เสียแล้วแก้ไม่ได้ หากผิดหวังแล้วจะให้กลับมาดีเป็นเรื่องที่ยาก ฉะนั้นพยายามอย่าให้ใจเสีย ถ้าเมื่อเห็นแล้ว จะรู้สึกเสียใจ จะรู้สึกทุกข์ใจ จะไม่สบายใจ อย่างนี้เราไม่ใส่ใจ จะดีกว่าไหม (ดี)

โดยส่วนใหญ่บางทีที่เราใจเย็น เพราะว่าเมื่อเราเย็นเราก็สุขใจถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นเมื่อเราใจเย็นเพราะเราไม่ได้หวังให้คนรัก แต่เราใจเย็นเพราะว่าเราไม่อยากเบียดเบียนใคร ไม่อยากทำร้ายใครให้เป็นทุกข์ จะทำให้เราโกรธคนยากขึ้น เขาสุขเราก็สุข เขาทุกข์เราก็ทุกข์ ฉะนั้นที่เราใจเย็นเราก็อยากเห็นเขามีสุข ไม่ใช่เพื่อให้เขามาชมเราว่าเราดี ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราก็คงโกรธน้อยลง แต่ท่านรู้ไหมว่าคนใจเย็นยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เป็นหนทางนำไปสู่การอยู่อย่างคนประเสริฐ มนุษย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ประเสริฐ เราประเสริฐตรงไหน อารมณ์ร้อน ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ท่านรู้ไหมว่าคนที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ คนที่มีธรรมอันประเสริฐ มีที่อยู่อันประเสริฐที่เรียกว่า ธรรม ฉะนั้น ถ้าเกิดเป็นคนแล้วเราใจเย็นไม่ได้ เราเอาแต่โมโห แปลว่าเราไม่ใช่คนประเสริฐ ผู้ใดก็ตามซึ่งสามารถรักษาซึ่งธรรมแห่งความใจเย็นได้ ผู้นั้นคือคนที่มีธรรมอันประเสริฐดำรงอยู่ และสามารถรักษาความบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหมในโลกได้ ท่านเคยเห็นพระพรหมสี่หน้าไหม (เคย) ไหว้ไหม (ไหว้) ไหว้เพราะขอ
เราลองมาดูคนที่เป็นพระพรหมของลูกได้ เราถามหน่อยว่าเวลาลูกเขาทำอะไรเราอยากให้เขามีสุขไหม (อยาก) ทำอะไรเขายิ้มได้เรามีสุขถูกไหม (ถูก) นั่นแหละเรียกว่าเมตตา หวังให้คนอื่นเป็นสุขโดยที่ตัวเองไม่สุขไม่เป็นไร ขอเขาได้สุขนั่นแหละ “เมตตา” และเมื่อไรที่ลูกทุกข์อยากให้เขาพ้นทุกข์ไหม
ลองมองดูให้ดีๆ ระหว่างความโกรธกับความใจเย็น ให้ผลแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนที่มักโกรธ หนีไม่พ้นเคราะห์กรรมเวรภัย ไม่มีใครรักจริง และไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  แต่คนที่ใจเย็นมีเมตตา รู้จักเห็นใจผู้อื่น กลับนำสู่ซึ่งความร่มเย็น คนที่ชิดใกล้ก็อบอุ่น คนประพฤติปฏิบัติก็มีความสบายใจร่มเย็นใจ ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักยั้งคิดรู้จักควบคุมอารมณ์ได้ ความโกรธ
แต่บางทีคนบางคนก็น่าโกรธ จริงไหม (จริง) ถ้ายังตอบว่าจริงอยู่ ก็ยังแปลว่าหนีความโกรธได้ไม่พ้นนะ ถ้าเราบอกท่านว่า “ในโลกนี้ไม่มีสุขจริง ในโลกนี้ไม่มีทุกข์แท้” ท่านว่าจริงไหม (จริง)  เชื่ออย่างนั้นเลยหรือ ถ้าเราพูดว่า ในโลกนี้สุขนั้นดี ทุกข์นั้นร้ายจริงๆ ท่านว่าใช่ไหม (ไม่ใช่) อย่างนั้นเราถามท่านหน่อยนะ เราพยายามแสวงหาความสุข แต่ทำไมในความสุขกลับให้ความทุกข์
มีสามีดีไหม ภรรยาน่ารักไหม มีเงินดีไหม สุขหรือทุกข์ พูดอย่างนี้
กลับกันถ้ามีคนชมมากๆ เหลิงไหม (เหลิง)  แย่ไหม (แย่)  แย่แน่ๆ เลยจริงไหม ก็จะไม่พัฒนาตัวเองต่อแล้วคิดว่าตัวเองดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่) เราถามท่านว่า ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลก อะไรหรือที่เรียกว่าสิ่งที่เราควรโกรธ อะไรหรือคือสิ่งที่เราเรียกว่าแย่จริงๆ และอะไรหรือคือสิ่งที่เราเรียกว่าสุข
ฉะนั้นที่สุดของความจริง ไม่ใช่การยึดติดถูกผิดดีร้าย แต่ที่สุดของความจริงสามารถทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ คือ ความเป็นอิสระ ไม่ชอบและไม่เกลียดสิ่งใด เพราะทุกสิ่งล้วนมีดีและไม่ดี ไม่ต่างกัน  ถ้าอยากเป็นอิสระและอยู่บนโลกได้อย่างคนที่เข้าใจความจริง ก็จะต้องไม่รักและไม่ชังอะไร
แล้วเมื่อนั้น ท่านจะเข้าใจพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า “ความจริงคือสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน” โลกพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเราต่างหากที่ไม่เคยพอ มองอะไรก็จึงไม่ดี จริงไหม (จริง)  เพราะความไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน เมื่อไม่เที่ยงแล้วอะไรหรือที่ร้าย จริงๆ เมื่อไม่แท้แล้วอะไรหรือที่ดีจริงๆ เมื่อไม่ทนแล้วอะไรหรือที่แท้จริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้รางวัลกับผู้ที่ตอบคำถาม)
อยากได้ผลไม้ ดอกไม้ หรือไม่เอาอะไรเลยดี  (ไม่เอาอะไรเลย) แปลว่าไม่เอาอะไรเลยก็ดี จริงๆ ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ได้แบบไม่เอาอะไรเลย แค่ยืมใช้ แล้วรู้จักปล่อยวาง เราก็คงไม่ทุกข์ แต่มีอะไรบ้างที่มนุษย์ข้องเกี่ยวแล้ว
(จิตที่ไม่ยึดติดว่าใช่หรือไม่ใช่) พูดได้ต้องทำได้ อย่างนั้นจะรับดอกไม้ดีหรือผลไม้ดี (ผลไม้ดีกว่า) ไหนบอกว่าไม่ยึดติดไง เห็นไหมพอถึงเวลา รู้กับปฏิบัติเรายังทำไม่ได้ ถูกไหม ถึงที่สุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจหลักธรรม อะไรก็ดี ผลไม้หรือดอกไม้ไม่สำคัญ สำคัญที่คนได้รับสิ่งนั้นไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะบอกให้นะ ได้ดอกไม้ไปทุกข์น้อยกว่าผลไม้ เพราะได้ดอกไม้ไปไม่ค่อยมีใครจะขอเท่าไร จริงไหม แต่ได้ผลไม้ไปเขาต้องบอกว่า แบ่งกันบ้างสิ ใช่ไหม
(จิตใจที่เข้าถึงธรรมะ) เลือกผลไม้ดีหรือดอกไม้ดี ดอกไม้ก็ให้แง่คิดของดอกไม้ ทำอะไรทำให้เต็มที่เพราะถึงวันที่ร่วงโรยแล้ว ไม่มีแรงแล้วต่อให้อยากทำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้แล้ว ฉะนั้นมีเวลาอย่าผัดวันประกันพรุ่ง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพราะเราไม่รู้วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคนที่ยังชอบแอบไปสูบบุหรี่ จริงไหม
(ทางสายกลาง) คำตอบนี้คือคำตอบที่ถูกที่สุด ธรรมคือความจริง
อยากได้ดอกไม้หรืออยากได้ผลไม้ (ไม่อยากได้อะไรเลย) จริงๆ แล้วร่างกายเราก็ไม่ใช่ของจริง ตัวท่านก็ไม่จริง ถ้าจริงต้องไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  แล้วเราเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ตอบว่า (ใจเราไม่มีวันไขว้เขว, ความจริงอันธรรมดา) ปรบมือให้นักเรียนในชั้นนี้ ล้วนตอบได้ดี ล้วนมีภูมิธรรม ไม่มากก็น้อย น่ายกย่อง
(คุณธรรม รู้พระคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเรามา) มโนธรรมสำนึกเป็นสิ่งดีงามที่มีอยู่ในจิตใจ สิ่งนี้ขอให้รักษาและแผ่ขยายไปให้กว้างไกล เราจะไปอยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักของคนอื่น
ล้วนตอบได้ดีทั้งอายุน้อยและอายุน้อยมาก รับผลไม้นี้ไปเพื่อเป็นมงคลกับชีวิตก็ได้นะ ถ้าชีวิตสามารถรักษาได้ในความคิดอันเป็นกลางตลอดก็ไม่มี  สิ่งใดที่ทำให้เรารักมากและเกลียดมาก เมื่อเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ เราก็ไม่ต้องกลัวความทุกข์ใช่หรือไม่ และเมื่อเรามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ความเจ็บน่ากลัวไหม ความตายน่ากลัวไหม
เราอยากบอกท่าน บางครั้งความเจ็บดี ตรงที่มาเตือนเรา ให้เรารู้จักคุณค่า เวลา และการอยู่ร่วมกัน ดีกว่าตายโดยที่ไม่ได้สั่งเสียเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงบอกว่าถ้าเรามองดูความเป็นจริงของชีวิตให้ดี ในโลกนี้ไม่มีอะไรร้ายถ้าใจเรารับไหว และในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ฉะนั้นถ้าวันนี้เราทำดีที่สุดพรุ่งนี้จะตาย ก็ไม่น่าห่วงใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ายังกลัวตายแปลว่ายังไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฟังธรรมะวันนี้ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  การเริ่มต้นศึกษาปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่เพียงสวดมนต์ไหว้พระทำบุญสุนทาน หลักธรรมที่แท้จริง  คือการมีปัญญาเข้าถึงธรรมและนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์  ฉะนั้นถือธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัตินำพาให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ถือธรรมเพื่อหวังวอนขอและวนเวียนอยู่ในทุกข์ พอเข้าใจไหม โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักเน้นปฏิบัติแต่ภายนอก
ที่เราโกรธเพราะเรายึดติดความคิดของเรา ถูกไหม (ถูก)  เราใช้ความคิดของเราเป็นหลักใช่ไหม ฉะนั้นหากเราต้องการทำใจให้เป็นกลาง ก็ต้องเปลี่ยน (ความคิด)  เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิต เป็นตัวครอบงำจิตใจ ถ้าเรา
ท่านเคยได้ยินไหม พุทธะพูดบ่อยๆ ถ้าใจเราดีอะไรๆ ก็ดี แต่ถ้าใจเราแย่เมื่อเขาพูดอะไรก็แย่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อพบปัญหาอย่าเพิ่งจัดการเขา เมื่อพบปัญหาต้องจัดการตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาอยากได้ก็ได้ไป เขาอยากได้อะไรก็ให้ไป แต่ขออย่างเดียว อย่าใจเสีย เพราะถ้าเสียใจกับเขาแล้ว ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลไปแล้วเรียกกลับไม่ได้ ด่าไปแล้วจะทำดีแค่ไหนก็ไม่ขึ้น ถูกไหม (ถูก)  เกลียดไปแล้ว ผูกพันไปแล้ว สร้างเวรสร้างกรรมไปแล้ว ชาติเดียวก็ใช้ไม่หมด ท่านว่าจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเห็นอะไรไม่ดี อย่าเพิ่งจัดการเขา แต่ต้องจัดการตัวเราเอง
เมื่อใจเราดีอะไรก็ดีขึ้นได้ เมื่อใจเราร้ายอะไรก็ดีไม่ขึ้น ฉะนั้นหน้าที่ของการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติประพฤติธรรมให้ถูกต้อง คือ ไม่ได้แก้ที่เขาแต่แก้ที่เรา ไม่ต้องไปว่าเขาแต่ควรว่าเรา ถ้าคิดแล้วเจ็บแล้วจะไปคิดทำไมให้เจ็บใจ อยู่กันแบบห่างๆ ห่วงๆ ดีหรือไม่ ใกล้เกินมันอึดอัด ชิดเกินไปหายใจรดกัน มันเหม็น มันร้อน ฉะนั้นอยู่ร่วมกันต้องมีระยะห่าง ทำอะไรต้องรู้จักระยะห่างแล้วเราจะได้ไม่เจ็บปวด รักษาระยะ ห่างอย่ายุ่งกับเขามากเกินไป เพราะถึงที่สุดทุกชีวิตล้วนมีหนทางของตนเอง เมื่อเราหวังให้เป็ดเป็นไก่ไม่ได้ เมื่อนั้นไก่ก็ไม่มีวันเป็นเป็ดได้ เราพูดตลกแต่มนุษย์ก็มักจะทำอะไรตลก รู้ว่าเขาได้แค่นี้ ก็ยังหวังว่าต้องมากกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ นั่นคือหวังเป็ดเป็นไก่ ทั้งที่จริงๆ แล้วได้แค่นี้ก็ดีแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ด้วยการให้เวลาตัวเองมาศึกษาปฏิบัติธรรม ธรรมสอนให้คนมีปัญญา ฉลาดในการดำเนินชีวิตแบบไม่ทุกข์


วันอาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ความสำเร็จในชีวิตทุกทุกอย่าง      ล้วนแล้วสร้างมาจากใจทั้งสิ้น
คนยิ่งใหญ่ต้องรู้ละความเคยชิน       คนติดดินรักเรียบง่ายจึงสูงส่ง
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินโจว แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจฟังดีไหม

บำเพ็ญต้องลงแรงให้ดีดี มาให้เห็นบ่อยบ่อย บำเพ็ญต้องลงแรงให้ดีดี ทำให้เห็นสักหน่อย บำเพ็ญต้องทำใจ       ให้ดีกับปัญหากร่อยกร่อย ทำบาปกันซะอร่อย ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้
บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี มาให้เห็นตลอด บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี ต้องทำให้ตลอด บำเพ็ญต้องตั้งใจให้ดี จึงจะไม่หายตลอด เมื่อไหร่ก็รู้ตลอด แต่ตอนนี้ไม่ไหว
*   ศิษย์ก็เฝ้าแต่คิด แต่ไม่คิดจะตระหนัก คิดเป็นข้อไม่กี่ข้อก็ฟุ้งซ่าน จิตอ่อนไหวต้านไม่ไหวก็พลุ่งพล่าน เรื่องพื้นฐานใครไม่ดื้อหันเข้าบ้าน จิตเป็นอะไรบ้าง จะต้องหาเรื่องแก้ คนฝึกหัดแก้ไข วันหนึ่งวันใดคนเหนือคนแน่ ไม่ต้องถือไว้ตลอด ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้
**  จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วถึงไหน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ ชีวิตแบกมาแสนไกล บำเพ็ญชีวิตบำเพ็ญหัวใจ ขอให้เบา
 *** จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วไม่ไหว ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ กลับทำมากมาย สรุปตัวเองบำเพ็ญเรื่อยไป ต้องลงแรงเพื่อการบำเพ็ญ
    บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี มาให้เห็นตลอด บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี ต้องทำให้ตลอด บำเพ็ญต้องตั้งใจให้ดี จึงจะไม่หายตลอด เมื่อไหร่ก็รู้ตลอด แต่ตอนนี้ไม่ไหว (ซ้ำ *, **, ***)

ทำนองเพลง : รักติดไซเรน
ชื่อเพลง : ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครอยากโดนพัดอาจารย์ตีหัวบ้าง เอาด้านสันตีหรือเอาด้านหน้าตี หรือเอามือตี ชีวิตถ้าเราคิดว่าอะไรก็ดี อะไรก็ได้ คงทุกข์น้อยลงจริงไหม ถ้าเราเรื่องเยอะเราก็ทุกข์เยอะจริงไหม (จริง)  ถ้าเราเรื่องมากเราก็ทุกข์มากจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเกิดบอกว่าอะไรๆ ก็ดี มันก็คงมีเรื่องง่ายๆ ขึ้นเยอะในชีวิตจริงไหม (จริง)  แล้วเรายอมให้ชีวิตมันง่ายแบบนั้นไหมหนอ อาจารย์แค่ถามง่ายๆ นะ ถ้าสมมติว่าในชีวิตของเรามีสิ่งที่ใจเราคิดใจเรากำหนด แล้วถ้าเกิดใจเราคิดใจเรากำหนด แล้วเราบอกว่า ขอให้เราเป็นคนที่ทุกข์ยาก สุขง่ายดีไหม ศิษย์อาจารย์ชอบเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ทำอะไรก็จะบอกว่า “เดี๋ยวก่อน”  ถ้าเกิดความทุกข์มาศิษย์ก็บอกว่า “เดี๋ยวก่อน”  ดีไหม (ดี)  ทำไมถึงเวลาไม่เห็นทำอย่างนี้
คิดถึงกันไหม (คิดถึง)  บางคนคงไม่คิดถึงอาจารย์แล้วใช่ไหม ออกจากห้องพระไปก็ลืมแล้วจริงไหม (ไม่จริง)  จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ได้ยินว่ามนุษย์ในโลกปากหวาน แต่ก้นก็เปรี้ยว เป็นอย่างนั้นไหม หรือเป็นประเภทปากว่าตาขยิบ เป็นคนพูดได้และเชื่อได้ใช่ไหม (เชื่อได้)  จริงหรือ (จริง)  เรามาคุยปรับความคิดกันก่อน ถ้าพูดถึงธรรมะปฏิบัติธรรมไม่ใช่ให้ตัดทางโลกเลย ไม่ใช่ให้เราไม่รับผิดชอบทางโลกเลย ไม่ใช่ไม่ให้เรารับผิดชอบทางโลกแล้วมาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว การปฏิบัติธรรมยังประกอบหน้าที่ของความเป็นคนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ แล้วยังรู้จักปฏิบัติธรรมในสังคม และก็ยังเอาธรรมมาปฏิบัติเพื่อช่วยคนในสังคมใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเข้าใจให้ถูกต้องว่าการมาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ตัดทางโลกแล้วไม่สนใจทางโลก แต่ยังรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และยังรู้จักมีน้ำใจที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยการเอาธรรมมาใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเรามารู้จักกันก่อนได้ไหม
ความสำเร็จในชีวิตทุกทุกอย่าง      ล้วนแล้วสร้างมาจากใจทั้งสิ้น
คนยิ่งใหญ่ต้องรู้ละความเคยชิน     คนติดดินรักเรียบง่ายจึงสูงส่ง”
ทำอะไรต้องทำด้วยใจใช่ไหม (ใช่) แต่ในใจนั้นเมื่อเราทำอะไรสักอย่างแล้ว เราต้องไม่คิดว่าเป็นเพราะเราคนเดียว แต่เรื่องราวในโลกหลายๆ อย่างสำเร็จได้ เพราะต้องเกิดจาก ความร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คน ไม่ใช่มีเราแล้วถึงสำเร็จได้ ไม่ใช่ขาดเราแล้วมันจะไม่สำเร็จ ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือจะเล็กกระจ้อยร่อยขนาดไหน สิ่งที่สำคัญก็คือไม่ถือตัว ต้องไม่สำคัญตัวเองผิด เก่งแค่ไหนก็ต้องอาศัยคนที่ไม่เก่ง ฉลาดแค่ไหนก็ยังต้องอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ฉลาดให้ได้ อยากอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ตัวเองสบายแล้วไม่คิดถึงคนอื่นได้ด้วยหรือ ถ้าทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ เดี๋ยวเขาก็ทำให้เราทุกข์เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  

(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบ ความแตกต่างทางโลกและธรรม)
โลก
วุ่นวาย
สุข ทุกข์
ลำเอียง
ธรรม
ความสงบ / จบ
พ้นทุกข์
เป็นกลาง

อาจารย์ถามหน่อยถ้าพูดถึงโลก เรานึกถึงความวุ่นวาย ถ้าพูดถึงธรรมเรานึกถึงความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีใจธรรม คือใจที่สงบ ฟังแล้วเข้าใจง่ายขึ้นมาเลยใช่ไหม (ใช่)  ฟังธรรมมาแล้ว ใจแบบไหนหรือที่เรียกว่า “ใจมีธรรม ใจที่ปฏิบัติธรรม” เปรียบเทียบแบบนี้เข้าใจง่ายดี ถ้าพูดถึงทางโลก เรียกว่า ความวุ่นวาย ถ้าพูดถึงทางธรรม เรียกว่า ความสงบสุข ถ้าพูดถึง ทางโลกมีความสุขและความทุกข์ สลับกันไปไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากพูดถึงทางธรรม ก็จะเป็นความสุขที่ไม่ใช่กลับไปเป็นทุกข์ แต่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรานั่งฟังธรรมะมาตั้งนานแล้ว แต่บางทีเราก็ยังมองเห็นคำว่า “ธรรม” ไม่ชัดเจน มนุษย์มักชอบการเปรียบเทียบ ดังนั้นอาจารย์จึงนำการเปรียบเทียบมาทำให้เรามองเห็นอย่างชัดเจนขึ้น
โลกคือความวุ่นวาย ธรรมคือความสงบ โลกคือสิ่งที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ มีดีและชั่ว แต่ธรรม คือ การพ้นทุกข์ ดีอย่างแท้จริง ดีแบบไม่กลับกลาย ไม่ใช่ดีหนึ่งวันแล้วก็ร้ายอีกหนึ่งวัน ดังนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมก็ต้องเป็นคนที่ดีแท้ๆ ถ้าเราบอกว่าเราปฏิบัติธรรม แต่ความจริงเรายังดีบ้างไม่ดีบ้าง แปลว่าเรายังไม่ใช่คนที่ปฏิบัติธรรม อย่างนี้เห็นชัดขึ้นไหม (ชัด)  อย่างนี้คนที่ปฏิบัติแบบสามวันดีสี่วันร้าย ก็แปลว่ายังไม่ใช่คนที่เข้าถึงธรรม ตอนนี้รู้กันแล้วว่าปฏิบัติธรรม เขาปฏิบัติอย่างไร ดังนั้นคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วมีธรรมจริงๆ นั้น ยิ่งอยู่ในโลกก็ยิ่งสงบไม่วุ่นวาย ยิ่งอยู่ในโลกก็ยิ่งต้องพ้นทุกข์ ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ปฏิบัติธรรมจริงๆ แล้ว ดีต้องดีแท้จริง ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์ถามศิษย์จริงๆ ว่า ปฏิบัติแล้วไปทางโลกหรือไปทางธรรม (ไปโลก, ไปทางธรรม)  ศิษย์บอกว่าไปทางธรรม แต่ก็เอียงเอนไปทางโลกเล็กๆ นะ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่า คนปฏิบัติธรรมเขาควรยิ่งปฏิบัติยิ่งเข้าสู่ทางสายกลาง ไม่ใช่รักลำเอียง ไม่ใช่เอียงซ้ายเอียงขวาใช่ไหม (ใช่)  แล้วใจเราตรงหรือใจเราเอียง (ตรง)  ดังนั้นถ้าพูดถึงธรรมคือความเป็นกลาง อะไรที่ทำให้เรากลับสู่ความเป็นกลางนั้นเรียกว่าธรรม  และธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เคยเจอคนที่ขี้เกียจตัวเป็นขนไหม (เคย)  เดินไปเดินมาอยู่นั่น เราก็ทำเข้าไป เขาจะเดินลอยไปลอยมาแล้วก็พูดว่า “แกต้องทำอย่างนั้นสิ แกต้องทำอย่างนี้” แต่ไม่เห็นเขาทำสักอย่างเลย เขาดีแต่พูด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งเราขยันแล้วเจอคนขี้เกียจ ทำอย่างไรให้ใจเราเป็นธรรมไม่เป็นโลก ถ้าวันหนึ่งเรารับผิดชอบหน้าที่แต่คนเอาเปรียบ ทำอย่างไรให้ใจเรามีธรรมไม่มีโลก เคยเอามาใช้จนเกิดธรรมบ้างไหม (เคย)  ทำอย่างไรหรือ (ทำด้วยตัวเอง)  เขาไม่ทำเราก็ทำเอง
(เราต้องตั้งใจทำ)  ใช่ โดยส่วนใหญ่ถ้าเราขยัน เรามีความรับผิดชอบต่องาน แล้วเราอยากมีหัวใจที่มีธรรม ไม่อยากมีหัวใจที่เป็นโลก เพราะเป็นโลกแล้วมันรก มันวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ถ้าเราเป็นคนขยันแต่เจอคนขี้เกียจ  แล้วเราด่าไหม ไม่ด่าทางปากแต่ด่าในใจไหม ถ้าเราปฏิบัติธรรมทั้งข้างนอกและในใจ เราต้องเอามาทำให้มันสงบ  ศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่น่ากลัวในตัวมนุษย์ที่น่ากลัวมากที่สุดคือ มโนกรรม เพราะมันเป็นตัวชักพาชีวิตและความคิดให้เกิดการกระทำ และส่งผลเป็นกรรม ฉะนั้นเราปฏิบัติธรรมอย่าเก่งแค่ปฏิบัติภายนอก แต่เราต้องเอาธรรมมาควบคุมใจเราได้ มายั้งใจได้ จำไว้เลยนะศิษย์ ธรรมแปลว่าสงบ สงบแปลว่าจบ จบแปลว่าไม่ต่อแล้ว ถ้าต่อแปลว่าอยากเกี่ยวกรรม ถ้าต่อแปลว่าอยากมีกรรมไม่อยากมีธรรม แล้วเราต่อไหม เกี่ยวกรรมเสร็จแล้วยังลากกรรมมาให้คนเขาร่วมเวรร่วมกรรม ก็ให้เพื่อนช่วยวิพากษ์วิจารณ์แล้วเราก็สะใจว่าเราคิดถูก แบบนี้เรียกว่าตอกย้ำความยึดมั่นถือมั่น และยึดกรรมเข้าไปอีกจริงหรือไม่ พูดแล้วทำให้คนที่โดนว่าดีขึ้นได้เพราะเราพูดไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากเข้าใจธรรมง่ายๆ อยากปฏิบัติธรรมง่ายๆ เริ่มตรงนี้ ธรรมแปลว่าสงบ จบ และพ้นทุกข์ ถ้าคิดแล้วยังทุกข์ไม่ต้องคิดดีไหม หน้าที่ปฏิบัติธรรมก็คือทำตัวเองก็พอ ถ้าตัวเองได้ดีเดี๋ยวมันก็ไปสะท้อน สะเทือนใจคนอื่น สอนโดยไม่ต้องพูดดีกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่เขาก็ไม่ทำ
ฉะนั้นเริ่มต้นการปฏิบัติธรรม ถามใจตนเองก่อน ทำแบบนั้นแล้วมันสงบไหม ถ้าสงบเรียกว่าใจมีธรรม ทำแบบนั้นแล้วพ้นทุกข์ไหม ถ้ามันพ้นทุกข์ด้วยสงบด้วยแล้วดีด้วย ก็ยิ่งกว่าการปฏิบัติธรรมทั้งนอกและในอีกจริงไหม(จริง) แต่เราเป็นแบบดีนอกแต่ข้างในร้ายไหม 
อาจารย์ให้กลอนยาวจนลืมหันมาคุยกับศิษย์เลย ให้คุยต่อดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อว่า เราอยู่ในโลกเราทุกข์ไหมศิษย์ (ทุกข์)  ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์)  แปลว่ายังไม่ค่อยทุกข์เท่าไรนะ ยังยิ้มได้ จริงๆ แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีทุกข์บ้างไม่ทุกข์บ้าง สลับกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ทุกข์ไหม ง่วงไหม กินข้าวเหนียวมากท้องตึง ทุกข์หรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์ แต่จริงๆ ก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราทุกข์กายหรือทุกข์ใจ (ทุกข์กาย, ทุกข์ใจ)  
ส่วนใหญ่กายจะทุกข์เพราะเป็นโรค ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจทุกข์เพราะมีปัญหา โดนว่าก็ทุกข์ โดนเขาเอาเงินไปไม่คืนก็ทุกข์ สามีไม่รักก็ทุกข์ ภรรยาหนีไปก็ทุกข์ มนุษย์มีทุกข์ทางใจเยอะแยะไปหมด แล้วเวลาเราทุกข์ใจ มันทุกข์หรืออะไรมาทำให้เราทุกข์ (ความคิด)  สิ่งที่ทำให้ทุกข์คืออะไร เหมือนเราทำงานแต่เพื่อนขี้เกียจ เราทุกข์เพราะความคิด เหมือนเราทำงานแล้วเราคิดว่าต้องได้กำไร แต่บังเอิญมันขาดทุน เราทุกข์เพราะความคิด อาจารย์ถามหน่อย เป็นเพราะเขาทำให้เราทุกข์หรือทุกข์เพราะใจเรา (ใจเรา) หรือว่าเขาไม่ดีดั่งใจเรา หรือเหตุการณ์ไม่เป็นดั่งใจเรา หรือสิ่งที่เราคาดหวังมันไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจเราไม่คิดอะไรเลย อะไรจะเกิดเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้ใจทุกข์คือความคิด ถ้าเราจัดการความคิดได้เราก็สิ้นทุกข์ได้ ถ้าเราควบคุมความคิดได้ ความคิดก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ทุกวันนี้ที่เราทุกข์อยู่ก็เพราะพยายามทำอย่างไรให้เราไม่ต้องคิด จริงหรือไม่ (จริง)  เราจะเป็นบ้าตายก็เพราะความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรานอนไม่หลับก็เพราะเรายังคิดไม่ตกใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นชัดหรือยัง สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ไม่ใช่ใจ แต่เป็นเพราะความคิดที่ครอบงำใจ และบังคับใจ แล้วเมื่อเราไหลไปตามความคิด เราก็ง่ายต่อการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ เพราะความคิด  ง่ายต่อการเข้าข้างตนเอง เมื่อเป็นเพราะความคิดก็ง่ายมากที่จะโทษคนอื่นไม่โทษตนเอง แล้วความคิดก็ชอบที่จะมองตามในสิ่งที่ตนเองอยากได้ แต่ไม่มองความจริง ฉะนั้นตัวปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใจ แต่อยู่ที่ความคิด ใจไม่มีปัญหา แต่ความคิดต่างหากที่มีปัญหา แล้วความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจที่เราสะสมเป็นตัวตนของเรา สิ่งที่ผ่านเข้าออกในใจของเราเป็นความคิดนั้นมาจากการสะสม เมื่อมีความคิดผ่านเข้าออก แล้วกระทบกับอารมณ์จึงกลายเป็นกิเลส ฉะนั้นความคิดที่เราสะสมจนกลายเป็นความรู้แล้วเรียกว่า “ใจ” ของเรานั้นจะไม่เหมือนกัน คนหนึ่งก็รักอย่างนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งก็รักอย่างนั้น คนหนึ่งก็คิดว่าแบบนี้ถูกต้อง แต่อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ ต้องแบบนั้นจึงจะถูก ฉะนั้นเราไม่ได้มีปัญหาทางใจ แต่เรามีปัญหาทางความคิด ความคิดไม่ลงตัวกัน เมื่อทะเลาะกันใจแม่กับใจลูกยังเหมือนเดิม ใจแม่ยังรักลูกอยู่ แต่ความคิดของแม่กับลูกเพียงไม่ตรงกัน ฉะนั้นต้องแยกให้ออก  หากเราแยกออก เราก็จะเกลียดใครไม่ลง เพราะเราเกลียดที่ความคิดไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิดไหมที่เขาคิดแบบนี้ (ไม่ผิด)  แล้วผิดไหมที่เขาคิดแบบนั้น (ไม่ผิด)  แล้วผิดไหมที่เราคิดแต่อย่างนี้ (ไม่ผิด) ก็เพราะว่าไม่เคยคิดเลยว่าเราคิดผิด ก็เลยไม่แก้ความคิดของตนเอง แล้วก็มาทะเลาะกันอย่างนี้ จริงไหม (จริง)  เมื่อไรเราจะควบคุมความคิดให้เราไม่ทุกข์ รู้ไหมว่าอะไรช่วยให้เราควบคุมความคิด และก็ทำให้เราไม่ทุกข์ได้ ท่านบอกว่าให้เอา “สติ” มาดึงเราให้กลับมาสู่ความเป็นกลางและหยุดกิเลสไม่ให้มันเติบโต เหมือนเราทำอะไรผิดไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่คิดไม่รอบคอบ คิดแบบขาดสติใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามาเราด่ากลับ เขาโกงมาก็โกงเขาเลย ลืมตัวไปจึงร้ายไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดมาปุ๊บก็ทำไปทันทีโดยเราไม่มีสติยับยั้งถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากมีธรรมต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ความคิดของคน เพราะความคิดของคนง่ายที่จะติดในอารมณ์กิเลส และอารมณ์กิเลสก็มาจากการเข้าออกของความคิดที่ยึดติด ชอบชัง ฉะนั้นเมื่อไรมนุษย์ดึงความชอบชังออกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่าเทียมกัน ถ้าเมื่อไรที่เอาชอบชังเข้าไปใส่ เราเริ่มแบ่งแยกว่า คนนี้หัวดำคนนั้นหัวขาว คนนี้หล่อคนนั้นน่าเกลียด คนนี้เหี่ยว คนนั้นไม่เหี่ยว เพราะเอาตัวตนเป็นบรรทัดฐานในความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามีสติควบคุมและระงับความคิดได้ ความคิดก็จะไม่เกิด
ศิษย์เอ๋ยเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “บำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นพุทธะ” (เคย)  แล้วพุทธะแปลว่าอะไร (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) และเราก็เป็นพุทธะได้ถ้าเรารู้ ฉะนั้น “การมีสติ แปลว่า การระลึกรู้ รู้ตัวรู้ตน” การเป็นพุทธะก็เป็นผู้รู้ ถ้าเราหาตัวรู้ได้เจอและไม่ขาดสาย รู้อย่างต่อเนื่องกับอาการของความคิดที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป แล้วไม่ไหลไปตามกิเลสอารมณ์นั้น แปลว่าเรากำลังดำเนินตามหนทางของความเป็นพุทธะตื่นในตัวเอง ตื่นแล้วพ้นทุกข์ ตื่นแล้วไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ศิษย์อยากมีเวรไหม แล้วศิษย์อยากจองเวรจองกรรมใครไหม (ไม่)  อยากอยู่แบบจบกรรม อยู่แบบคนมีบุญร่วมกันถูกไหม แล้วเวลาเขาด่ามาแล้วเราด่ากลับนี่มีบุญร่วมกันหรือมีกรรมร่วมกัน เรากำลังสร้างกรรมหรือกำลังสร้างบุญ ทำไมไม่เอาคำด่าของเขามาชำระล้างให้เราเกิดบุญ ทำไมเอาคำด่าของเขามาทำให้ตัวเองเกิดบาปทั้งๆ ที่ตัวเองก็ชอบทำบุญ ชอบหาความสงบไม่ใช่หรือ แล้วพอถึงเวลาไม่เห็นสงบเลย ศิษย์จำไว้นะ อารมณ์โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตน และมันชอบคนใส่ใจและแยแส แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไม่ใส่ใจและแยแเส เดี๋ยวมันก็หายไปใช่หรือไม่ หากความโกรธมาแล้วเราใส่อารมณ์เข้าไปอีกก็เท่ากับยิ่งเติมเชื้อไฟ
การฝึกสติไม่ได้ฝึกตอนที่ไม่มีใครด่า นั่งเงียบๆ ท่องพุทธโธๆ แต่การฝึกสติและสมาธิคือตอนโดนเขาด่า ตอนโดนเขาว่า ตอนโดนเขากดขี่ ตอนโดนเขาเอาเปรียบ แล้วเราสามารถรักษาความดีและไม่หวั่นไหวแล้วทำความเห็นแจ้งในธรรมได้ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมสุดยอด อะไรมาก็ให้แค่รู้ รู้แล้วอย่าเผลอไปเป็นมัน อย่าเผลอไปมีมัน มีตัวตนก็ทุกข์เพราะตัวตน มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีความอยากก็ทุกข์เพราะความอยาก เป็นแม่ก็ทุกข์อย่างคนเป็นแม่ เป็นพ่อก็ทุกข์อย่างคนเป็นพ่อ แต่ก่อนเราเป็นลูก ตอนนี้เรากลายเป็นพ่อ สักพักหนึ่งเราไปทำงานเรากลายเป็นเพื่อน จบจากที่ทำงานแล้วเรากลายเป็นคนแก่อยู่บ้าน เราเคยมีอะไรเป็นของเราจริงบ้าง แล้วเราควรยึดไหม
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์กับสิ่งที่มี เราก็จงจำไว้ว่า ทุกสิ่งมันมาแค่ให้เรารู้ รู้แล้วอยู่ร่วมกันอย่างไม่ทุกข์ ด้วยการมีก็เหมือนไม่มี  อยู่อย่างมีบุญดีกว่าอยู่อย่างมี (บาป, กรรม)  ด้วยการรู้จักมีสติเท่าทันความคิด อย่ายึดติดความคิดอย่างตายตัวพลิกแพลงไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ไม่ใช่คนอื่น แต่คือความคิดเราเอง
 ฉะนั้นสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นอย่างแรกเราต้องละบาปให้ได้ก่อน ถ้าละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญบุญไม่ได้ ถึงบำเพ็ญบุญแค่ไหน แต่ถ้าบาปไม่ละมันก็ไม่เรียกว่าบุญ
 (พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้ผู้ดูแลสถานธรรมและผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสถานธรรมแห่งนี้)
ห้องพระนี้สวยไหม ปาดเหงื่อไปกี่รอบ เหนื่อยไหมทุกคน อาจารย์ขอให้กำลังใจฐันจู่ที่ดูแลที่นี่ด้วยนะ อาจารย์ฝากดูแลห้องพระนี้ที่ศิษย์ตั้งใจกันด้วยนะ เริ่มต้นเสียสละแล้วไปให้ถึงที่สุด กลอนนำที่ท่านหลันต้าเซียนให้ อาจารย์อยากส่งให้ถึงใจศิษย์ เป็นทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยคน เป็นน้ำดับความร้อน เป็นร่มเงาดับความทุกข์เข็ญ เป็นเรือนำพาส่งผู้คนให้พ้นทุกข์ แต่ต้องเริ่มจากใจที่อุทิศเสียสละ อาจารย์ให้สับปะรดแล้วกันนะความหมายจะได้รุ่งเรือง ยิ่งให้อย่ายิ่งยึดติด ยิ่งให้ยิ่งต้องปล่อยวางให้ได้ ให้เหมือนไม่ได้ให้ ยิ่งให้ยิ่งกว้างใหญ่ ใช่หรือไม่ มุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด ดูแลสถานธรรมนำพาผู้คนด้วยจิตใจเบิกบาน ไม่ว่าเขาจะมาอย่างไรต้องให้เขาออกไปด้วยความสุข ออกไปด้วยความร่มเย็น ขอให้ที่นี่เป็นดั่งที่กลอนอาจารย์ให้ ร่มไม้ใบบัง ใครก็อยากเข้ามา ทุกข์แค่ไหนพอมาอยู่ที่นี่ก็เย็นสบาย อาจารย์มีอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง บอกคนที่ร่วมแรงร่วมใจจนทำให้วันนี้ประสบความสำเร็จได้ อาจารย์ฝากผลไม้ไปแจกด้วย คนที่ต้องเหนื่อยยาก เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ไม่เหนื่อยและยิ่งต้องเข้มแข็งด้วย จริงไหม (จริง)  ผ่านไปได้สำเร็จด้วยดี ยกนิ้วให้ ศิษย์ของอาจารย์เก่ง ทำได้ในสิ่งที่ยากทำ ทนในสิ่งที่ยากทน ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ถามจริงๆ ให้เราควักเพียงหนึ่งร้อยบาท เราคิดไหม คิดใช่ไหม แล้วนี่มากกว่าหนึ่งร้อย แล้วต้องลงทั้งแรง ลงทั้งเงิน และลงใจด้วย ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย อาจารย์จึงขอนับถือน้ำใจของศิษย์ทุกคนที่ทำจนห้องพระนี้ประสบความสำเร็จ งดงามได้ ฉะนั้นเมื่อพบสิ่งยากลำบาก ขอให้จดจำวันนี้ไว้ วันที่เราสำเร็จ วันที่เราทำได้ ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะทำได้ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนที่สร้างก็คิดว่าจะเสร็จเมื่อไร จะมีเงินไหม แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ภูมิใจ ได้ทำในสิ่งที่เราไม่คาดว่าจะทำได้  อย่างนี้อาจารย์จะมอบอะไรให้ดี ถ้าเป็นลูกอมก็เดี๋ยวฟันจะพุ ถ้าเป็นขนมก็เดี๋ยวจะอ้วน ไม่รู้ว่าจะให้อะไรศิษย์ดี อย่างนี้ให้ส้มโอแล้วกัน รู้ว่ากินแอบเปิ้ลเบื่อแล้ว เอาส้มโอและแตงโมไปแบ่งกัน กว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้หลายคน รู้ว่าหนักก็ยังสู้ต่อ รักษาใจนี้ไว้นะ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า อย่าดูถูกความสามารถและคุณค่าความดีงามในตัวเอง มนุษย์หากได้ตั้งใจทำอะไรดีๆ มักทำได้ดี ดีที่หนึ่ง ดีอย่างแน่แท้ด้วย ศิษย์อาจไม่ต้องเชื่ออาจารย์ก็ได้ แต่ขอเพียงศิษย์เชื่อศรัทธาความดีในใจตน เกิดเป็นคนนะศิษย์ บุญบารมีใครๆ ก็อยากได้ แล้วรอให้ฟ้าประทานหรือเราจะสร้างเอง (สร้างเอง)  แล้วการทำบุญบารมีจะทำด้วยวิธีอย่างไร จิตที่มีแต่ให้ ศิษย์รู้ไหมว่า ธรรม คือ ความโปร่ง โล่ง เบา จิตที่เอามีแต่หนัก แต่จิตที่ให้นั้นเบา โล่ง เหมือนอย่างนี้  ของมีเพียงชิ้นเดียว แย่งกันไปแย่งกันมา อย่างนี้เหนื่อยไหม เกลียดไหม (เหนื่อย, เกลียด)  ถ้าเราคิดง่ายๆ ก็ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไป เราก็รู้สึกโล่งทันที ถ้าแย่งกัน ชิงชังด่าว่ากันแทบตาย เมื่อถึงเวลาก็เอาไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นในเรื่องของธรรมะสามารถใช้ได้ในทุกอย่าง เรื่องศีลไว้สำหรับละบาป เรื่องคุณธรรมไว้สำหรับประกอบกิจในการดำรงความเป็นคน อยู่ให้มีคุณธรรมมีบุญบารมี ศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก เคารพนับถือ และให้เกียรติไหม (อยาก)  อย่างนั้นเราควรปฏิบัติอย่างคนที่มีธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีเมตตายากไหม เป็นคนพูดแล้วรักษาคำพูดยากไหม แต่เป็นคนชอบด่าคนอื่น ชอบจับผิดคนอื่น ชอบกินแรงคนอื่นดีไหม ชอบพูดมากแต่ไม่เคยทำเลยดีไหม แล้วเราเป็นไหม ฉะนั้นการที่เราต้องมีคุณธรรมไว้ ก็เพื่อยับยั้งจิตที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง และส่วนที่เราต้องมีศีลธรรมก็เพื่อยับยั้งไม่ให้เราก่อบาป เราชอบทำบาปไหม ยุงมาตบไม่ตบ มดมาบี้ไม่บี้ แมลงสาบมาเหยียบไม่เหยียบ เกิดเป็นคน สิ่งที่ดีที่สุดในการทำบุญก็คือไม่สร้างบาปเลย แล้วบาปที่เราไม่ควรทำมากที่สุดคือ การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ร่มไม้ใบบัง”)
ต้นไม้นั้นต้องมีใบบังได้ ปกคลุมได้ ต้นไม้นั้นจึงร่มเย็น ตัวศิษย์ไปอยู่ที่ไหนแล้วมีแต่คนอยากใกล้ชิด แปลว่าคนนั้นเป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วร่มเย็น แล้วศิษย์เป็นประเภทนั้นหรือเปล่า ฉะนั้นคำว่าร่มไม้ใบบัง ความหมายโดยนัยก็คือความร่มเย็น ร่มไม้ใบบังในความหมายนี้มีกลอนซ้อนอยู่ ลองอ่านดูแล้วลองไปทำความเข้าใจให้ละเอียดดีไหม (ดี)
ขอให้เป็นเกียรติบัตรที่นี่และประทับไว้ที่นี่ ขอให้เป็นสถานธรรมที่ใครเข้ามาก็คลายความทุกข์ร้อน ขอให้เป็นสถานธรรมที่ใครเข้ามาก็ช่วยดับความทุกข์ในใจผู้คนได้ ทำให้ได้ในทุกที่นะ ขอให้เราเป็นคนที่ใครอยู่ใกล้แล้วอบอุ่น ใครอยู่ใกล้แล้วไม่ทุกข์ร้อน
มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด ฉะนั้นต้องรู้จักมีสติกำกับ มีสติคอยดึง ดังนั้นถ้ามีสติคอยดึง เมื่อมีอะไรผ่านเข้ามาในความคิด มีอะไรผ่านเข้ามาในใจเรา เราก็ได้แค่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะทำอย่างไรให้แค่รู้แล้วจบ บางครั้งเราไม่แค่รู้ เราจะเป็นประเภทแบบว่ารู้แล้วเราชอบตัดสิน รู้แล้วเราชอบเปรียบเทียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้แล้วเราชอบมองยึดติด รู้แล้วเราไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเวลาเจออะไรที่ผ่านเข้ามาไม่ใช่ไปกระทบกายแล้วไปกระทบใจ แต่เมื่อกระทบกายแล้วจิตต้องแค่รู้แล้วไม่ตัดสินได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบกล้วยและส้มขึ้นมา)
อันไหนดีกว่ากัน (กล้วย) เห็นไหมว่าความคิดคนมันไว ศิษย์เอยอะไรมันก็ดี จริงไหม (จริง) นี่แหละนิสัยที่น่ากลัวของมนุษย์ ชอบยึดติด ชอบตัดสิน จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริง ใช่หรือไม่ ศิษย์เคยไหม เวลาเจออะไรมากระทบใจ ขอให้นิ่งให้ถึงที่สุดแล้วความจริงจะปรากฏ ไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องให้ค่า ไม่ต้องยึดติด มองตามความเป็นจริง เหมือนอาจารย์ถามว่ากล้วยหรือส้มดีกว่าถ้ายึดติดความหมายเราก็ชอบกล้วย แต่ถ้าจะกินก่อนกินข้าวเราก็คงเลือกส้ม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถามว่าอะไรดีที่สุดในชีวิต เวลาเราเจออะไรที่ไม่ดีของเขา (พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมออกมา 2 ท่าน) เห็นอะไรชัดไหม เราอดตัดสินไม่ได้นะ ความคิดมันไว แค่มองเห็นก็คิดแล้วว่า คนนี้จะสูงไปไหนเนี่ย แต่พอมองเห็นอีกคน ทำไมอ้วนอย่างนี้ เตี้ยจังเลย เห็นไหมว่าความคิดมันไว ถูกไหม (ถูก) อย่าบอกนะว่าในใจศิษย์ไม่คิด ฉะนั้นแค่รู้แต่ไม่ตัดสิน แค่รู้แต่ไม่ยึดติด เพราะทุกสิ่งเกิดแล้วมันก็จะจบทันที แต่ถ้าบอกว่าคนนี้สูงยาวเข่าดีได้ก็ดีนะ คนนี้อ้วนคงไม่ไหวท่าทางจะกินจุไปนะ มันเลยไม่จบเลยถูกไหม ฉะนั้นความโลภ โกรธ หลง จะไม่เกิดในจิตใจศิษย์เลย ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้แต่ไม่ตัดสิน อารมณ์จะไม่เกิดขึ้นทันที ถูกไหม (ถูก)
เริ่มต้นบำเพ็ญธรรมต้องมีศีลเพื่อละบาป มีคุณธรรมเพื่อสร้างบุญบารมี รู้จักจิตตนเอง ฝึกจิตตัวเองด้วยคุณธรรม เรียกว่าสัจธรรมเพื่อรู้แจ้งและพ้นทุกข์ ธรรมมีสามกองแค่นี้เอง กองหนึ่งคือกองละบาป กองหนึ่งคือกองบำเพ็ญบุญ อีกกองหนึ่งคือเข้าถึงความบริสุทธิ์ รู้แจ้งถึงความเป็นจริงและนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ที่เรียกว่า ศีลธรรม คุณธรรม และปัญญาธรรม มีโอกาสคงได้มาร่วมบุญกันอีกดีไหม เป็นบุญที่สร้าง เป็นบุญที่ร่วมกันศึกษาแล้วก่อเกิดปัญญา มีความตื่นรู้และพ้นทุกข์ ฉะนั้นมีโอกาสหมั่นให้ตัวเองมาเพิ่มปัญญาธรรม ด้วยการเสียสละ ละวางทางโลก วันนี้ถ้าไม่รู้จักฝึกหัด วันหน้าเราจะหัดทำใจไหวไหม
ใกล้ปีใหม่แล้วใครๆ ก็อยากให้อาจารย์อวยพร อาจารย์ไม่ขอให้แข็งแรง ไม่ขอให้ร่ำรวย แต่อาจารย์ขอให้ศิษย์มีปัญญารับมือกับทุกปัญหาเรื่องราวในความเป็นจริงของโลกด้วยสติและหัวใจที่กล้าหาญ เพราะในชีวิตเราเลือกไม่ได้ที่จะต้องเจอแต่สิ่งที่ดี บางครั้งถ้าเราไม่ดี ขอให้ศิษย์สู้ให้ไหว รับให้ได้ ไม่ว่าโลกมันจะพลิกไปขนาดไหน ขอให้พลิกใจตนเองให้เป็น ยกตัวเองให้พ้นทุกข์ให้ได้ แล้วความร่มเย็นสันติสุขจะเกิดจากใจ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยตื่นก็เป็นสุข ตายก็เป็นสุข เพราะทำดีที่สุดแล้ว จะกลัวอะไรกับความแก่ เจ็บ ตาย ถ้าทำเต็มที่แล้ว ขอให้ศิษย์มีสติ มีปัญญาและกล้าหาญ ฝ่าฟันความทุกข์ฝ่าฟันอุปสรรค อย่าให้ความคิดทำร้ายตัวเอง เป็นเด็กดีเข้มแข็ง รู้จักดูแลตัวเอง
(อาจารย์เป่าหัวให้หน่อย) หมดทุกข์หมดโศกได้เราต้องไม่สร้างเวร (หมดหนี้หมดสิน) หมดหนี้หมดสินต้องรู้จักลดละความอยาก ถ้ายังอยากอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีหนี้ไม่จบสิ้น ชดใช้ด้วยจิตใจที่รู้จักไม่ฟุ่มเฟือยนะ (สุขภาพแข็งแรง) ความแข็งแรงไม่สู้จิตใจที่กล้าสู้กับความจริงนะ
อย่ากลัวกับโรคภัย อย่ากลัวกับปัญหา ขอเพียงศิษย์สู้ โรคภัยก็สามารถเบาบางได้ ขอเพียงศิษย์เข้มแข็งปัญหาต่างๆ ก็ผ่านได้ เหนื่อยกันไหม ดูแลตัวเองให้ดี อย่าลืมจิตใจนี้ รักษาใจนี้ไว้ ใจที่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพื่อฉุดช่วยคน ใจที่ช่วยคนโดยไม่ห่วงตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็งแล้ว เก่งแล้ว ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญไปให้ถึงฝั่งด้วยหัวใจที่กล้าหาญ หัวใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เด็ดเดี่ยวห้าวหาญ ยอมรับความยากลำบากเป็นหัวใจที่ยอดที่สุดแล้ว ไม่ร้องไห้แล้วนะ เข้มแข็งนะ ไปให้ถึงฝั่งฟ้า ไปให้ถึงที่สุดที่เราทำได้ ดึงหัวใจที่ดีงามออกมานำทางผู้คน ดึงหัวใจที่เสียสละ ดึงหัวใจที่เสียสละอันนี้ให้คงอยู่จนทำให้เขาอยากเดินตามด้วยใจ ทำอะไรด้วยใจ เราก็จะได้ใจกลับมา จริงไหมศิษย์ เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ
เมื่อคิดจะทำอะไรต้องไตร่ตรองให้ดี อย่าคิดทำบาป อย่าทำผิด เพราะเมื่อศิษย์ผิดไปแล้ว อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเวรกรรมของใครคนนั้นก็ต้องรับเอง อาจารย์มีหน้าที่เพียงตักเตือนและชี้นำศิษย์ให้ถูกทาง อย่าหลงทางผิด จงเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเด็กดี อาจารย์ให้ผลไม้คนที่ปวดขา เอาผลไม้มาให้เขาด้วย และต้องรู้จักละบาป ไม่สร้างบาปเพิ่ม อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะได้สิ้นกรรม อาจารย์ช่วยได้เพียงการชะลอ แต่กรรมนั้นจะกลับมาอีก ถ้าศิษย์ยังกระทำเหมือนเดิม ศิษย์ต้องแก้ชะตาชีวิตของตนเองด้วยการเปลี่ยนการกระทำของตัวเอง คือ ไม่สร้างบาป ละบาป บำเพ็ญบุญให้ได้ ทำได้ไหม (ได้) 


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ร่มไม้ใบบัง”

    คนใจเย็นจึงทำบ้านให้ร่มเย็น           น้อมรับฟังทุกความเห็นจึงกว้างใหญ่
สามารถดึงศักยภาพคนได้ทุกวัย           ทำด้วยใจได้ใจคืนกลับมา
รุ่นก่อนปลูกรุ่นหลังร่มเย็น                  ปฏิบัติเป็นเห็นตามปฏิบัติหนา
คุณธรรมคงเหนือกาลเวลา                  เป็นร่มเงาอันเมตตาตลอดไป








อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-06 สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท

西元二○一九年歲次己亥十一月十一日            仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒           สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง  (小皮仙童)
  ชีวิตหนึ่งมีค่ามีความหมาย                 สุขที่ใจรู้ตนรู้หน้าที่
ขยันซื่อตรงละบาปสร้างสิ่งดี                  อย่าปล่อยชีวีผ่านไปแค่วันวัน
                              เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง   (小皮仙童)           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านหายง่วงหรือยัง
   วิธีการเปลี่ยนความคิดจิตยิบย่อย     ถึงแม้หัวเดียวนิดหน่อยไม่อ่อนแอ
กลัวไม้เรียวก็เลยคิดไม่ถ่องแท้           ไขกุญแจได้ชีวิตเป็นแยกทางตรง
อันชีวิตมีหนทางเรื่อยไปไกล             กล่าวถึงบั้นปลายเห็นมิชัดระวังหลง
อะไรที่ทำได้ทำด้วยใจปลง               แค่ประสงค์ความเปลี่ยนดีกว่าวันวาน
มีอัตตานิดเดียวทำตัวเองแย่             คนพ่ายแพ้คิดแต่อยู่อย่างนั้น
ชีวิตมีหน้าเดียวหรือไรทุกท่าน           บำเพ็ญกันคิดได้นี่แสนโล่งใจ
จริงใจเสริมยิ้มรอยนี้ดูสว่าง              ธรรมกระจ่างหน้าตาดูแล้วแจ่มใส
ประกายนัยน์ตาคนให้น่าชื่นใจ          บำเพ็ญใจทำได้ดีสุขในตา
คนมีสตินาทีมหาศาลส่งคุณ              คอยเกื้อหนุนนาวาแล่นกลับคืนฟ้า
จากหนึ่งลำเปลี่ยนเป็นหลายหลายนาวา    คุมวาจาความคิดนิดคนเต็มเรือ
ความสำเร็จไม่คิดจะครั้งเดียวเลิก       มงคลฤกษ์เดี๋ยวเดียวเป็นจิตที่เบื่อ
ต่างหลากหลายได้ไปใจทุกเมื่อ           เป็นคนทุกข์ง่ายต้องเผื่อทำใจ
                                                                                                    ฮิ ฮิ หยุด



พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง  小皮仙童



เราอยู่ในโลก โดยส่วนใหญ่เรามักทำในสิ่งที่เราชอบเราถึงทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ ขอถามท่านหน่อย ถ้าเราพูดถึงธรรมะ ถ้าธรรมะคือสิ่งที่ทำให้เราสงบเย็น ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ธรรมะ เราเรียนรู้แล้วก็ต้องนำธรรมะนั้นมาทำให้เราสงบเย็นได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นยิ่งฟังแล้วเรายิ่งสงบเย็นหรือยิ่งฟังแล้วเรายิ่งเบื่อ (สงบเย็น)  จริงๆ แล้วถ้าธรรมะคือความสงบเย็น การเรียนรู้ธรรมะก็คือเอาธรรมะมาทำให้ใจเราเย็นยิ่งขึ้น ใจเราสงบง่ายขึ้น
เหมือนที่คนโบราณบอกว่า เราอยู่ในโลกเป็นธรรมดาที่มีคนที่เราชอบและคนที่เราไม่ชอบ มีสิ่งที่เราชอบทำและไม่ชอบทำ ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรที่จะนำธรรมะมาอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบได้อย่างเป็นสุข แม้ไม่ชอบแต่เราก็สามารถที่จะสงบเย็นได้ เป็นเรื่องที่เราต้องคิดนะ เรารู้ว่าการสวดมนต์ไหว้พระเป็นอย่างไร แต่เราไม่รู้ว่าเมื่อเราเจอคนที่เราไม่ชอบหรือเจอภาวะที่เราไม่เข้าใจ แต่เราต้องทำความเข้าใจ และต้องสงบหรือเย็นให้ได้ เป็นเรื่องที่เราไม่เคยทำกัน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำได้ ก็จะทำให้เราค้นพบธรรมและพบกับความสงบเย็นได้ เหมือนที่เราบอกว่า เวลาเราโกรธ เราก็อภัยเขา สงบและเย็นได้ไหม (ได้)  จริงหรือ โดยส่วนใหญ่เราสงบไม่ได้ อภัยแค่ไหนเราก็ยังสงบและเย็นไม่ได้ ถ้าบอกว่าต้องเอาธรรมะมาใช้ นอกจากละบาปบำเพ็ญบุญแล้ว ต้องเข้าถึงความสงบและบริสุทธิ์ได้ นั่นถึงจะเรียกได้ว่าปฏิบัติธรรมได้อย่างแท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “มองเห็นโทษของตน เพื่อเข้าใจผู้คน และผ่อนปรนคนอื่น”  เราเคยนิสัยไม่ดี ปากร้ายและนินทาเพื่อนไหม (เคย)  ฉะนั้นถ้าเพื่อนนินทาเราจะโกรธไหม (โกรธ)  เราก็เคยทำนะ เราไม่ชอบคนที่โกหกเราใช่ไหม แล้วเราเคยโกหกไหม (เคย)  คนโบราณจึงสอนไว้ว่า “เห็นความผิดตนเพื่อเข้าใจผู้คนและผ่อนปรนความเกลียดชังเขา” สามารถล้างใจได้ไหม ที่ผ่านมาฉันก็เคยด่าเขา เขาด่าฉันก็ยุติธรรมแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉันเคยโกงเขา เขาโกงเรากลับ ก็ยุติธรรมแล้ว ถ้าเราเอาความเข้าใจตัวเรามามองคนอื่น เราจะรู้ว่าคนที่เราบอกว่าเขาน่าเกลียด แท้จริงแล้วเราก็น่าเกลียด เหมือนที่เราบอกว่า อาจารย์บ่นอะไรนักหนา ก็หนูทำได้แค่นี้ อาจารย์ไม่เข้าใจเลย จะมาบ่นอะไรหนู อาจารย์ไม่มีเมตตาเลย เราว่าอาจารย์ไม่มีเมตตา ตัวเราก็ไม่มีความเมตตากับอาจารย์ที่ไม่เข้าใจอาจารย์เลยว่า อาจารย์ก็เป็นแบบนี้ เอาความเข้าใจตัวเองมาเปิดให้กว้างๆ เพื่อเราจะได้เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น แล้วจะได้เกลียดใครไม่ลง เราถามหน่อย ตัวท่านเองอยากจะอยู่กับคนที่รักและเข้าใจเรา หรือเอาแต่จะเกลียดเราโดยไม่มีเหตุผล ถ้าอยากได้คนที่รักและเข้าใจเรา ถามจริงๆ ตัวท่านชอบไหม คนที่ชอบว่าแต่คนอื่น ไม่ดูตัวเองเลย (ไม่ชอบ)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม
เราเคยเข้าใจหัวใจพ่อแม่ และคนที่อยู่รอบข้างไหม ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกอย่าสนใจแต่เป้าหมาย จนลืมระยะทางในการเดินไปสู่เป้าหมาย อย่าสนใจแต่สิ่งที่เราปรารถนา จนลืมการที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนาว่าถูกต้องหรือไม่ คนโบราณจึงสอนว่า ไม่สำคัญว่าเธอเป็นอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือ เธอทำอะไรก่อนที่เธอจะได้เป็น บอกว่าฉันเป็นคนดีเป็นคนเก่ง แต่ที่ไหนได้แอบด่าเพื่อนทุกวันเลย เราอยากได้ความรัก แต่ไม่เคยสนใจความรักที่พ่อแม่ให้เลย มัวแต่ไปหวังความรักจากผู้ชายซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ แต่พ่อแม่ที่รักเรา เรากลับรำคาญ แล้วรู้ไหมว่าผู้ชายที่เราไปแอบหลงรักอยู่ เขาอาจจะพูดในใจว่ารำคาญเราก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าเราอยากได้สิ่งใด หรือปรารถนาสิ่งใด อย่ามัวแต่สนใจความอยากของตน อย่ามัวแต่สนใจเป้าหมายของตน จนลืมไปว่าระหว่างที่เราทำเพื่อไปสู่เป้าหมาย ถูกต้องไหม หรือเราสนใจแต่เป้าหมายจนลืมดูแลคนใกล้ชิดหรือเปล่า เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นอยู่ในโลกท่านคงเกลียดคนน้อยลง ถ้าเข้าใจว่าแท้จริงคนที่น่ารังเกียจ เราก็น่ารังเกียจไม่ต่างกัน แท้จริงคนที่นิสัยไม่ดี เราก็เคยนิสัยไม่ดีไม่ต่างกัน ถามท่านตรงๆ คนที่ท่านเกลียดนิสัยเป็นอย่างไร ชอบเอาของเราไปใช่ไหม แต่อย่าเผลอนะ เราก็เอาของคนอื่นไปเหมือนกัน ชอบแต่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เสื้อผ้าของตัวเองมักจะไม่พอใจ แต่มักพอใจเสื้อผ้าที่อยู่ในร้านค้า เงินที่มีไม่เคยพอ มักกระตือรือร้นกับการถูกลอตเตอรี่
ชีวิตหนึ่งมีค่ามีความหมาย        สุขที่ใจรู้ตนรู้หน้าที่
ขยันซื่อตรงละบาปสร้างสิ่งดี       อย่าปล่อยชีวีผ่านไปแค่วันวัน”
ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าชีวิตของทุกคน ที่ล้วนมีค่ามีความหมายตรงที่รู้จักสุขเป็น รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ขยันสัตย์ซื่อ ละบาปทำสิ่งดี หากเกิดเป็นคนมีชีวิตผ่านไปวันๆ ทั้งขี้เกียจ ไม่ซื่อตรง ชอบทำผิด ชอบทำบาป อย่างนี้ไม่น่าเรียกว่าชีวิตที่มีค่าเลยจริงไหม (จริง)  เราเป็นแบบนั้นไหม ละบาปหรือทำบาป บาปคือสิ่งที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง การตกเป็นทาสของกิเลสจนไม่รู้จักศีลธรรม คนที่ทำบาปคือคนที่ได้รับผลเป็นความทุกข์ เป็นเคราะห์ เป็นกรรม เป็นภัยพิบัติ ฉะนั้นถ้าเกิดเป็นคนไม่อยากมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีภัยพิบัติ ไม่อยากมีทุกข์ ก็ต้องพยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลง และการประพฤติผิดศีลขาดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งมนุษย์เราพ้นไหม (ไม่พ้น)  เพราะเรายังทำ (บาป)  ไม่ใช่การปล่อยวางเรื่องทางโลก แต่ต้องปล่อยวางเรื่องการยึดติดทางความคิด เพราะมนุษย์อดไม่ได้ที่จะชอบเอาตัวเองเป็นมาตรฐานในการวัดทุกสิ่ง บางทีสิ่งที่เราว่าใช่ ก็อาจไม่ใช่ สิ่งที่เราว่าไม่ใช่บางทีก็อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ เหมือนถามว่าเราจริงหรือเท็จ ถ้าเราบอกว่าจริงๆ แล้วเราก็เท็จท่านก็เท็จ เพราะความจริงคือทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง
เราบอกว่าก็เราหน้าตาแบบนี้ พอผ่านไปยี่สิบปีหน้าตายังเป็นแบบนี้ไหม ผ่านไปอีกสิบปี หน้าตายังเป็นแบบนี้หรือไม่ (ไม่)  อย่างนั้นแล้วตกลงว่าแบบนี้จริงหรือไม่ (ไม่จริง)  ฉะนั้นอะไรคือความแท้จริง ความแท้จริงคือความเปลี่ยนแปรผัน ท่านชอบคนขัดใจไหม (ไม่ชอบ) แต่ตัวท่านก็ไม่ชอบทำอะไรตามใจคนอื่นอยู่แล้วใช่ไหม บอกให้ไปทางหนึ่ง ท่านก็ไปอีกทางหนึ่ง บอกอย่าทำท่านก็ทำ แสดงว่าท่านก็ไม่ยอมฟังใครง่ายๆ จริงไหม เราพูดตามตรง มนุษย์มีจิตใจที่ดี ชอบคนเมตตา แต่บางครั้งที่ใจเราไม่ดีบ้าง ใจดำบ้าง โหดร้ายบ้าง บางทีมันฝืน ถามว่าลึกๆ แล้วเราเป็นคนใจดำมาตั้งแต่เกิดไหม (ไม่)  และลึกๆ เราเป็นคนเห็นใจคนใช่ไหม  ถ้าเราเห็นใจคนเราจะบ่นคนอื่นไหม (ไม่บ่น) แล้วจริงๆ เราบ่นไหม (บ่น)
การละบาปบำเพ็ญบุญ เข้าถึงความบริสุทธิ์ นี่คือหนทางแห่งความเป็นพุทธศาสนา แค่อภัยอย่างเดียว ยังไม่บริสุทธิ์พอ แต่ถ้าเราสามารถเข้าใจความเป็นจริงของผู้คน โดยสามารถปลดทุกข์ในใจได้ โดยไม่ก่อบาปได้ นั่นเรียกว่า ละบาปบำเพ็ญบุญ เข้าถึงความบริสุทธิ์ ที่เรียกว่าเห็นความผิดตน เข้าใจผู้คนและผ่อนปรนผู้อื่น เมื่อไรที่เขาด่าเรา ให้คิดว่าเราอาจจะเคยด่าเขา เมื่อไรที่เขารังเกียจเรา เราก็คิดว่าเราอาจจะทำตัวน่ารังเกียจก็ได้ เราเคยเป็นไหม เดินไปสักที่หนึ่งไปเจอคนนี้เราชอบ แต่อีกคนเราไม่ชอบ ไม่ถูกชะตาเลย ก็หัวอกเดียวกัน โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุก็ไม่ตกผล ถ้าเราไม่สร้างตรงนั้น แล้วเราจะมารับผลตรงนี้ไหม (ไม่)  ถ้าธรรมะสอนเพื่อให้ร่มเย็นและสบายใจ อะไรที่ทำให้เราร่มเย็นและสบายใจ เราต้องเปิดใจให้กว้าง และเข้าใจผู้คนให้มาก มนุษย์มีความเป็นคนไม่ต่างกัน เขาด่าเป็น เราก็ (ด่าเป็น)  และเก่งกว่า
ถ้าพูดธรรมะก็เบื่อใช่ไหม (ไม่เบื่อ)  แน่ใจนะ เราอยู่ในโลก มนุษย์อยู่ด้วยอารมณ์ ทำอะไรด้วยความรู้สึก ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ไม่ทำ อารมณ์เรามีวันเปลี่ยนแปลงกลับกลายไหม ตอนนี้เราไม่ชอบ แต่นานๆ ไปเราอาจจะชอบ ตอนนี้เราชอบอยู่นานๆ ไป เราอาจจะไม่ชอบ แล้วอารมณ์ของเรามีวันหมดไหม (มี)  เพราะยังมีคำว่า “หมดอารมณ์” เลย วันนี้เราชอบทานสิ่งหนึ่งแต่พอทานบ่อยๆ ก็หมดอารมณ์ชอบแล้ว วันนี้เกลียดคนๆ หนึ่ง แต่วันหนึ่งก็หมดอารมณ์เกลียดแล้ว ก็มองเขาว่าเขาก็มีดีเหมือนกันนะ จริงไหม ถ้าเราอยู่ในโลกทำอะไรแล้วใช้อารมณ์เป็นหลัก วันหนึ่งอารมณ์เกิดเปลี่ยนแปลง เกิดกลับกลาย หรือเกิดอารมณ์หมดขึ้นมา เราไม่แย่หรือจริงไหม เขาชอบและรักเราเพราะอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนี้มีวันหมดอารมณ์และเปลี่ยนไหม (มี)  เขายังมีวันกลับกลายไหม (มี) ก็เรายังเปลี่ยนเลยจริงไหม พอเห็นอีกคนก็รู้สึกชอบ พอมองไปมองมา ชอบคนนี้มากกว่า ชอบคนนี้น้อยลง ถ้าใช้อารมณ์ ก็มีวันหมดลงและไม่แน่นอนได้ ในอารมณ์ที่เราชอบ ถามหน่อยว่าเราทำไปแล้วเรากังวลไหม กังวลว่าทำในสิ่งที่ฉันชอบแล้ว เขาจะชอบฉันและรักฉันไหม ถ้าทำอะไรด้วยอารมณ์ก็จะมีความแกว่งไปแกว่งมา มีวันหมดอายุและเปลี่ยนแปลง
ถ้าเราอยู่ในโลก เราจะทำอย่างไรดีที่สามารถผูกเขาได้ ทำให้เขาไม่เปลี่ยนใจได้ ลองปฏิบัติกับเขาด้วยธรรม ใช้ความเมตตาและความซื่อตรง ความเห็นอกเห็นใจที่สุด สิ่งเหล่านี้จะมีวันหมดไหม ยิ่งความเมตตาก็จะเมตตาได้เรื่อยๆ เหมือนกับเราเป็นคนขี้สงสาร เห็นอะไรก็รู้สึกสงสาร มีวันหมดความสงสารไหม (ไม่มี)  ใช่ไหม ยิ่งใช้ธรรมะไปปฏิบัติกับผู้คนก็จะเป็นสายใยที่ผูกไม่มีวันขาด เป็นสายใยแห่งธรรมที่ปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม แต่รู้ไหมการปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ สิ่งที่ได้มาคือความชอบ ความชังและกรรม กรรมดีและกรรมไม่ดี ถ้าเราปฏิบัติต่อเพื่อน ด้วยความซื่อตรง ไม่นินทา ทำด้วยความจริงใจ ถามจริงๆ เพื่อนจะไม่รักเราหรือ คนอื่นอ้าปากนินทา แต่เราไม่เคยว่าใคร แบบนี้เรารักไหม เรากลัวเขาจะแทงเราข้างหลังไหม เพราะไปอยู่กับใคร เขาก็เป็นแบบนี้ เราปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมหรือปฏิบัติด้วยอารมณ์ต่อกัน (ปฏิบัติด้วยธรรม)  เพราะธรรมยั่งยืนและเที่ยงแท้กว่าอารมณ์ แต่ทุกชีวิตมักปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมหรือด้วยอารมณ์ (ด้วยอารมณ์)  เราก็เลยพร้อมจะเปลี่ยนแปลงและกลับกลาย สิ้นสลายเพราะไม่มีอะไรมั่นคง
(ท่านเสี่ยวผีเซียนถงเมตตาวาดรูปแอปเปิลบนกระดาน)
  

อันนี้ก็แอปเปิล อันนี้ก็แอปเปิล แม้จะขนาดเล็กหรือใหญ่ ถามว่าจริงๆ แล้วถ้าเราวาดพร้อมกันสองอัน ท่านอาจจะเห็นความแตกต่างบ้าง แต่จริงๆ แล้วก็ดูเหมือนเท่าๆ กัน ถูกไหม แล้วถ้าเราบอกว่า เราสามารถทำให้แอปเปิลสองลูกนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดินได้ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทำไมเชื่อง่ายจัง ไหนบอกว่าไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าเราบอกว่าผลแรกติดโบ ผลที่สองต้องมีโบไหม อันไหนมีค่ากว่าอันไหน เบอร์หนึ่งหรือสอง ไหนใครว่าเบอร์หนึ่งยกมือขึ้น ไหนใครว่าเบอร์สองยกมือขึ้น ทำไมคิดว่าเบอร์สองมีค่ามากกว่า (เพราะสวยกว่า)  สงสัยเราต้องวาดให้เหมือนกัน บังเอิญว่าวาดรูปหนึ่งใหญ่กว่ารูปหนึ่ง โดยทั่วไปเราก็มองอย่างนี้ ต่างไหม บางทีท่านอาจคิดว่าไม่ต่างหรอก อันนี้อาจจะเป็นหมายเลขหนึ่ง อันนี้อาจจะเป็นหมายเลขสอง หรืออาจจะคิดอีกอย่างว่า อันนี้ได้รางวัลที่หนึ่ง อันนี้ได้รางวัลที่สอง เริ่มแตกต่างกันไหม ถ้าสมมติว่าอันนี้กินแล้วรวย อันนี้กินแล้วจน ต่างไหม (ต่าง)  เมื่อสักครู่บอกไม่ต่าง ทำไมพอมีคำว่ารวยกับจนบอกว่าต่าง อันนี้กินแล้วโชคดี อันนี้กินแล้วโชคร้าย ต่างไหม เอาไหม เราถามท่านนะ จริงๆ แล้วในโลกใบนี้ แท้จริงแล้วทุกสิ่งก็เท่าเทียมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์เอาตัวเราไปกำหนดคุณค่า มนุษย์เอาตัวเราไปเปรียบเทียบ มนุษย์เอาความคิดเราไปแบ่งแยก เริ่มทำให้มองสรรพสิ่งที่เหมือนๆ กัน กลายเป็นแตกต่างกัน คนอื่นกำหนดคุณค่านั่นก็คือส่วนของเขา แต่ถ้าเราร่วมกำหนดคุณค่า เราก็จะเห็นโลกใบนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เหมือนเราถามท่านว่ายีราฟคอยาวไหม (ยาว)  เต่าคอสั้นไหม (สั้น)  แล้วท่านคอพอดีไหม (พอดี)  เมื่อเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บอกว่า เขาทำกับเราเกินไป เขาทำกับเราน้อยเกินไป เรานี่แหละพอดี นั่นเป็นเพราะว่าเขามากเกินไป หรือเราเอาตัวเราไปตัดสินผู้อื่น เหมือนเราถามท่านว่า ดอกกุหลาบกับดอกหญ้า อะไรมีค่ามากกว่ากัน (กุหลาบ)  เห็นไหมมนุษย์ก็อดติดในคุณค่าไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วดอกหญ้าก็มีความงามของดอกหญ้า ดอกกุหลาบก็มีความงามของดอกกุหลาบ
ฉะนั้นวันนี้บางสิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกชอบ กับบางสิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกไม่ชอบ เป็นเพราะว่าใจที่เรายึดติด แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีใจเรายึดติด ทุกอย่างก็เท่ากัน สมมติว่าเราลบหมายเลขสองออก ลบคำว่ารวยออก ลบคำว่าจนออก ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเท่ากัน ถ้าเราไม่เอาตัวเราไปวัดทุกสิ่ง เราไม่เอาตัวเราเป็นมาตรฐานคอยเปรียบเทียบ ไปยึดติด โลกนี้จะมีอะไรที่สูงกว่า และอะไรที่แย่กว่าไหม (ไม่)  บางครั้งที่มนุษย์เราทุกข์ ที่ไม่เข้าใจผู้คน เพราะเราชอบเอามาตรฐานตัวเองไปวัด และก็ยึดติดกับมาตรฐานนั้น แต่เราถามจริงๆ ยีราฟคอยาวเกินไปไหม (ไม่)  เต่าคอสั้นเกินไปไหม (ไม่)  และยีราฟคอยาวจนน่าเกลียดไหม (ไม่) เต่าคอสั้นจนน่าเกลียดไหม (ไม่)  เหมือนกันคนบางคนที่ทำอะไรเกินไปแล้วท่านรำคาญ เขาก็เหมือนกับยีราฟ เหมือนที่เราถามท่านว่า จะหวังให้ยีราฟเป็นเต่าได้ไหม (ไม่ได้)  ให้เต่าเป็นยีราฟได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลก อย่าเอามาตรฐานตัวเองไปวัดสรรพสิ่ง เพราะถ้าเมื่อไรเอาตัวเองไปวัด โลกก็จะเกิดการแบ่งแยกอย่างสุดขั้ว เมื่อเกิดการแบ่งแยกอย่างสุดขั้ว เราก็ก่อเกิดเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า ดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข ชอบชัง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราเข้าใจและเอาตัวเองออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกินไป แต่มีตัวเราต่างหากที่ยึดติดเกินไป ดังคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์หูตาไม่สว่างก็เพราะใจยึดติดมั่นหมาย ปัญญาไม่กระจ่างแจ้งก็เพราะว่าหัวใจชอบยึดติดยึดมั่น”
การหลีกหนีสภาวะแวดล้อม สิ่งที่ควรระมัดระวังคือใจที่ยึดติด ฟังเข้าใจไหม เหมือนเราถามท่านง่ายๆ ส้มหนึ่งผลน้อยไหม (น้อย)  นั่นแหละคือเราชอบยึดติด จริงๆ อาจจะไม่น้อยก็ได้ ถ้าหนึ่งนี้มันมีค่า อันนี้อาจจะเยอะเกินไปก็ได้ ถ้าเราไม่ยึดติด แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อใจของมนุษย์ยังมีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในใจ ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าการแสดงซึ่งปรากฏการณ์ทุกอย่างที่ออกมาจากใจ นั่นเรียกว่ามนุษย์ แต่การรู้จักระงับยับยั้งความคิดไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่คิด หรือยึดติดกับนามรูป นั่นแหละเรียกว่าธรรมะ
เมื่อสักครู่สิ่งที่เราพูด ถ้าเกิดทุกคนรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เราก็จะไม่เดือดร้อน และก็จะไม่ทุกข์ ดำก็สวยแบบดำ ดั้งหักก็สวยแบบดั้งหัก อย่าไปเอามาตรฐานคนอื่นมาทำร้ายตัวเราเอง คุณค่าไม่ได้อยู่ที่การแสดงออกภายนอก แต่คุณค่าคือการแสดงออกจากภายในและปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความถูกต้อง อยากทำตัวเองให้มีค่า และให้คนอื่นสนใจ หากเปลี่ยนแต่ภายนอกแต่ภายในไม่เปลี่ยนและแก้ไขก็ไม่มีประโยชน์ มีสวยก็มีสวยกว่า เราพยายามสวยเพื่อให้มีคนสวยกว่า หรือที่พยายามสวยเพราะขาดสวย ถ้าเรารู้จักคุณค่าตัวเองในแบบที่เราเป็น ทุกคนก็จะสวยกันคนละแบบ เหมือนท่านดูดอกไม้บนโต๊ะ สวยไหม (สวย)  แล้วถ้าเป็นดอกเดียวกันทั้งหมด ก็สวยไปอีกแบบใช่หรือไม่ แต่ในความเป็นจริงของดอกเดียวที่เหมือนกันทั้งหมด เหมือนกันจริงไหม ก็ยังมีบางอย่างที่แตกต่างกัน ฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองและเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตามเป็นคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นไหม คางต้องแหลม จมูกต้องโด่ง หน้าต้องขาว ใช่ไหม (ใช่)
ฟังธรรมวันนี้แค่นิดเดียวเอง ไม่ไหวแล้วหรือ ฟังรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  เราถามท่านว่าในโลกนี้ มีสรรพสิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วบางครั้งก็เหมือนมีสองขั้ว เมื่อมีฟ้า ฟ้าก็ต้องมีความมืดและความสว่าง อากาศมีร้อนก็มีหนาว มีน้ำก็มีไฟ มีความแข็งก็มีความอ่อน มีสุขก็มีทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นภาวะที่เราต้องเจอในโลกนี้ และเป็นการหมุนเปลี่ยนที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อเวลาเราเจออะไรสักอย่างหนึ่ง เราบอกว่าเราชอบอย่างหนึ่งแล้วเราไม่ชอบอีกอย่างหนึ่ง ได้ไหม (ไม่ได้)  เราถามท่านว่าท่านชอบความมืดหรือความสว่าง (สว่าง)  ชอบสุขหรือชอบทุกข์ (สุข)  อากาศหนาวกับอากาศร้อนชอบแบบไหน (หนาว, ร้อน)  บางคนชอบร้อนบางคนชอบหนาว อย่างนั้นถามหน่อยว่าแล้วโลกนี้เป็นไปได้ไหมที่เราหวังแต่จะสุขแล้วไม่ทุกข์ หวังแต่สว่างแล้วไม่มืด หวังแต่อากาศหนาวแล้วไม่ร้อน (ไม่ได้)  ฉะนั้นมีเขาก็ต้องมีเรา มีคนดีก็ต้องมีคน (ไม่ดี, เลว)  ไม่มีดีกว่าเลยหรือ ฉะนั้นโลกเป็นภาวะของความเปลี่ยนแปลงที่สมมติว่าเราอยากได้สิ่งหนึ่งแล้วเรา ไม่อยากได้อีกสิ่งหนึ่ง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนอยากได้แต่ข้างหน้าแต่ไม่อยากได้ข้างหลัง ได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ชอบแต่ข้างหน้า ข้างหลังไม่ชอบได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะต้องมีแต่เรื่องดี ไม่มีเรื่องร้าย (เป็นไปไม่ได้)  ท่านก็รู้นี่นา เราถามหน่อยเป็นไปได้ไหมวันนี้ค้าขายแล้วจะกำไรไม่ขาดทุน (ไม่ได้)  แล้วจะมีแต่สุขไม่มีทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเรามองว่าจริงๆ แล้วโลกนี้เมื่อมีสิ่งหนึ่งก็ต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งสองสิ่งของโลกนั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่อง พึ่งพิง และสร้างความสมดุลอย่างสอดคล้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงไหม (จริง)  เราอย่าหวังอยากสิ่งหนึ่ง จนเราลืมมองความเป็นจริง เพราะชีวิตของความเป็นจริงคือชีวิตแห่งธรรม และธรรมก็หนีไม่พ้นชีวิต ความผิดเป็นครูของความถูกต้อง สีขาวเป็นแม่ของสีดำ ทุกข์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสุข ฉะนั้นผู้มีปัญญาต้องมองออกถึงความเป็นจริงในโลกที่แม้จะแตกต่าง แต่ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เสียศูนย์เพราะยึดติดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนไม่ยอมมองความเป็นจริง เมื่อไรที่เราทุกข์แสดงว่าเราจมอยู่กับความทุกข์จนลืมหาความสุข ที่ท่านบอกว่ามนุษย์หูตาไม่สว่างก็เพราะใจชอบยึดติดมั่นหมาย ปัญญาไม่กระจ่างแจ้งก็เพราะชอบยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่ความเป็นจริงของโลกล้วนมีสองสิ่งที่คอยเกื้อหนุนกัน อย่ากลัวที่จะเจ็บไข้ อย่ากลัวที่จะเจอปัญหา อย่ากลัวที่จะอ่อนแอและพ่ายแพ้ เพราะไม่อ่อนแอจะรู้หรือว่าชีวิตมีค่า ถ้าไม่เจ็บป่วยจะรู้หรือว่าคนที่ใกล้ชิดเราต้องพยายามดูแลรักษาให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ มีโทษหรือ โลกล้วนสอนให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณแค่ไหนก็มีโทษ มีโทษแค่ไหนก็มีคุณได้ เหมือนเราเจอปัญหา แต่ปัญหากลับทำให้เรารู้จักก้าวต่อไปและเก่งขึ้น เหมือนความทุกข์ ถ้าไม่มีความทุกข์ เราจะเข้าใจตัวเองไหม (ไม่)  เราคิดว่าเก่ง แน่ เอาอยู่ แต่พอทุกข์จริงๆ ถึงได้รู้ว่าไม่เก่งเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำไว้นะศิษย์ เราไม่ได้ทำดีเพื่อเอาบุญ แต่เราทำดีเพื่อละบาปในใจ เพื่อยับยั้งใจที่ง่ายจะไหลลงต่ำ ฉะนั้นรู้หรือยังว่าทำไมเกิดเป็นคนแล้วจะต้องดี เพราะใจของมนุษย์ง่ายที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี และง่ายที่จะตามใจตนเองมากกว่าที่จะคิดถึงคนอื่น
(คนดี)  แล้วเรียกว่าคนบุญไหม เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  เมื่อเราเข้าใจว่าเราทำไมต้องดี พอเราดีแล้ว ต่อไปนี้เราก็จะไม่หวังว่าทำดีเพื่อต้องการ
คำชม เมื่อโดนคนว่า เราก็จะไม่ท้อถอย เพราะเราอยากทำดี เพราะเรา
จะได้ละบาป เวลาเราทำดีเราจะได้ไม่ท้อแท้ เพราะเหตุของการทำดีก็เพื่อเราจะได้ไม่สร้างบาปต่อ เข้าใจหรือยัง
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ร้ายนั้นไม่ใช่ใจ แต่สิ่งที่ร้ายคือความคิดที่ถูกครอบงำ แล้วสั่งให้ใจต้องทำตาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเราอยู่ดีๆ ถ้าเราไม่คิดก็ไม่มีอะไร เรื่องราวก็ผ่านไปก็จบไป ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเผลอคิดขึ้นมาแล้วคิดดีไม่เป็น มักจะคิดร้ายเสมอ อย่างนี้สรุปว่าใจไม่ดี หรือความคิดของเราไม่ดี ฉะนั้นเมื่อเราพูดว่าทุกสิ่งสำเร็จได้สำคัญที่ใจ อย่างนี้ที่บอกว่าไม่ดี ใจไม่ดี หรือความคิดที่ครอบงำใจไม่ดี (ความคิดที่ครอบงำใจไม่ดี)  ฉะนั้นจิตหรือความคิด ที่เป็นตัวทำให้เราร้าย (ความคิด)  ใช่หรือไม่
ใครอยากโดนก็โดนไป
ทั้งชีวิต แต่ความดีในใจมันยังมีอยู่ สู้ได้ไม่ได้เพื่อตัวเอง และเพื่อคนที่เขา
รักเรา จิตใจนี้ดีอาจารย์ขอให้เข้มแข็งสู้เอาชนะมันให้ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรอยากก็ให้แบกเก้าอี้ไป ถ้ามันอยากมากๆ ก็แบกเก้าอี้ไปไกลๆ
ไม่เกลียด ไม่อยาก จนเกินไป
สิบเจ็ดปีที่เริ่มหรือสิบเจ็ดปีที่กำลังจบ ทุกขณะที่ศิษย์พบคือทุกขณะที่ศิษย์พราก ทุกขณะที่ศิษย์เริ่มคือทุกขณะที่ศิษย์จบ ทุกขณะที่ศิษย์เกิดคือ
ทุกขณะที่ศิษย์กำลังตาย เราดีใจที่เราได้เกิดมายี่สิบปี แต่จริงๆ แล้วยี่สิบปีนั้นคือยี่สิบปีแห่งความตาย ฉะนั้นควรดีใจไหมกับวันเกิด ถ้าเรามองตามความเป็นจริง ทุกครั้งที่เราพบก็คือทุกครั้งที่เรากำลังจะพลัดพราก ทุกครั้งที่เรารู้จักกันคือทุกครั้งที่เรากำลังจะจากกัน ทุกครั้งที่เรากำลังมีชีวิตคือ
ทุกครั้งที่เรากำลังจะจบชีวิต ถ้าเราสำนึกอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เราจะใช้เวลาของชีวิตวันนี้ให้ดี เราจะทิ้งเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ค่าไหม (ไม่)  อย่าเพิ่งเบื่อ ฟังให้จบ มาแค่ฟังใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ใช่มาแค่ฟังจริงไหม เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเพิ่มปัญญา ปัญญาที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเจ็บปวดกับโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้
มาจากความ (คิด)  ความคิดที่เรียกว่าตัวตนของตัวเอง ความคิดที่เข้าออกและยึดติดในอารมณ์นั่นเรียกว่า กิเลส ฉะนั้นกิเลสเกิดจากความคิด ถ้าเราเปลี่ยนความคิดเป็น มองเห็นด้วยความเข้าใจ มองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง เราก็จะสามารถชำระความคิดนั้น ทำให้เราไม่สามารถจะคิดอีกได้ ถ้ามีคนมาด่าว่าศิษย์ โกรธไหม (โกรธ)  แต่ถ้าเราคิดว่าเขาคือคนบ้า เราจะโกรธไหม
(ไม่โกรธ) เพราะเราเข้าใจว่าเขาเป็นคนบ้า เหมือนกันถ้าเราเข้าใจอย่าง
แจ่มแจ้งในความเป็นจริงของโลก เราก็จะไม่ถูกโลกใบนี้ทำให้เราทุกข์ได้ หรือทำให้เราเจ็บปวดได้ เราจะคิดว่าทุกคนบ้าได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เราต้องคิดอย่างคนที่มีปัญญาและเข้าใจ
สิ่งที่ศิษย์ยึดติด สิ่งที่ศิษย์พยายามดูแลเพื่อไม่ให้ทุกข์ พุทธะเรียกอีกอย่างว่าอะไรรู้ไหม ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา)  ออกจากจมูกเรียกว่า (ขี้มูก)  ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก)  ออกจากมือเรียกว่า (ขี้มือ)  ออกจากตัวเรียกว่า (ขี้ไคล)  ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู)  แล้วอย่างนี้ตัวของเราใช่ถุงขี้หรือเปล่า
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสำนึกในความเป็นจริงว่า สิ่งที่ศิษย์เกลียดนั้นคือถุงขี้ แล้วสิ่งที่ศิษย์รักก็คือถุงขี้ แล้วศิษย์ชอบเล่นขี้ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วศิษย์ชอบแต่งถุงขี้ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วแต่งตัวทำไมหรือ แล้วศิษย์ว่าขี้น่ารังเกียจไหม (น่ารังเกียจ)  แล้วศิษย์นินทาไหม (นินทา)  นั่นก็คือการนำขี้ปากของคนอื่นมาละเลง แล้วนำขี้ปากของคนอื่นไปเล่าต่อ อย่างนี้เรียกว่าเล่นขี้
ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยนำขี้ปากของคนอื่นมาทาตัวเอง แล้วก็มาชโลมใจของตัวเองไหม (เคย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วไหนบอกว่าไม่เล่นขี้ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืนเขาไป แล้วเราจะรัก หลง หรือยึดแล้วอยากทำไม
ในเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่ถุงขี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราหลงถุงขี้ไหม
เวรกรรม ทำไมถึงจะต้องเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรม เพราะเมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรม เราจะไม่เกิดหน่อเนื้อหรือเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอะไรในโลกอีกเลย เพราะทุกครั้งที่อยากก็หนีไม่พ้นกิเลส กรรม ทุกข์ แล้วเราอยากทำบุญเพื่อกลับมาเกิดแล้วทุกข์อีกใช่หรือไม่ เราอยากเป็นคนดีเพื่อชาติหน้าจะได้มีบุญวาสนาดีๆ แล้วกลับมาเวียนทุกข์เวียนเกิดอีกใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นการสิ้นทุกข์ที่ดีที่สุดคือการไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเลย ขึ้นชื่อว่า “มนุษย์” เราเกิดมาเพราะมีกรรม และหนีไม่พ้นกรรมที่ตัวเองสร้าง เราควรอยู่เพื่อสร้างกรรม หรืออยู่เพื่อสิ้นกรรม (สิ้นกรรม) และทุกขณะที่เราทำเป็นการสิ้นกรรมหรือสร้างกรรม (สร้างกรรม)  แล้วเราจะพ้นกรรมได้อย่างไร
เมื่อวานเซียนน้อยบอกไว้ว่า อย่าปฏิบัติต่อใครด้วยอารมณ์ เพราะอารมณ์มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะอารมณ์มีวันกลับกลาย และเมื่อถึงที่สุดก็ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปบุญคุณโทษและเวรกรรมที่ต้องสนอง แต่จงปฏิบัติต่อผู้คน
คนที่อาวุโสกว่าเรา ก็ต้องให้เกียรติเคารพ คนที่อาวุโสน้อยกว่า ก็ให้มีเมตตารักใคร่ ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยธรรม ทำหน้าที่รับผิดชอบซื่อตรงให้ดีที่สุด
จงอยู่เพื่อธรรมอย่าอยู่เพื่อตน เพราะถ้าอยู่เพื่อตนจะหนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าอยู่เพื่อธรรมจะสิ้นกรรมและกลับคืนสู่ธรรม ต่างกันไหม (ต่าง)  แล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่อตน หรือมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติซึ่งธรรม จิตกลับสู่ฟ้า กายลงสู่ดิน ถ้าอัตตาตัวตนยังไม่สิ้น จิตก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าจิตจะกลับคืนสู่ฟ้า กายสู่ดินได้ ก็ต่อเมื่ออัตตาตัวตนสิ้นแล้วซึ่งความยึดมั่นถือมั่น กลับคืนสู่สภาวธรรม
ก็ไม่ได้ถ้าไม่มีความเจ็บ เราจะไม่รู้จักเวลาว่ามีค่า ถ้าเราไม่รู้จักความตาย
เอาตัวเองให้เป็นธรรมให้ได้ ธรรมที่สอนให้เราเป็นกลาง และสมดุลโดยไม่เสียศูนย์ ความยึดติดต่างหากที่ทำให้เราเสียศูนย์ ต้องเป็นแบบนี้ อย่าเป็นแบบนั้น แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าจะแบบนี้หรือแบบนั้นก็คือเรื่องธรรมดา
“เปลี่ยนความคิดนิดเดียว”)
เอาธรรมมายับยั้งใจและมองให้เห็นความจริง เราจะได้ไม่จมอยู่กับความทุกข์ เปลี่ยนความคิดได้ชีวิตก็เปลี่ยน จริงไหม (จริง)  เจ็บได้ที่ตัวแต่อย่าเจ็บลงที่ใจ ป่วยได้ที่กายแต่อย่าป่วยที่ใจ จำไว้นะศิษย์ และชีวิตตายได้ แต่ที่ยังตายไม่ได้ก็เพราะถ้ายังมีอัตตาตัวตนให้ยึดติดอยู่ ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่เรียกว่าบุญบาป แต่ถ้าศิษย์ศึกษาธรรมแล้วยังก้าวไปไม่ถึงที่สุด ไปไม่ถึงที่สุดอย่าเพิ่งตาย จะตายทั้งทีมันต้องคุ้มต่อชีวิตหนึ่งที่อุตส่าห์เสียสละมาดีก็ต้องดีที่สุด ซื่อตรงก็ต้องซื่อตรงให้ดีที่สุด ยากหรือศิษย์ ไม่ยาก แต่ยากตรงที่เมื่อไรจะทำสักที ไม่จำเป็นต้องเชื่ออาจารย์ แต่ขอเพียงให้เชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามในจิตใจของศิษย์ เชื่อมั่นในความดีงามของตัวเองว่าเรามีดี อย่าทำให้ตัวเองไม่ดีเพราะความอยาก ความหลง เพราะความอยากความหลง หนีไม่พ้นคือวัฏฏะแห่งความทุกข์ ศิษย์รู้ไหมโกรธมากๆ ก็คือเปลวไฟนรก อยากมากๆ ไม่รู้จักอิ่มก็เรียกว่าเปรต หลงมากๆ ก็เรียกว่าเดรัจฉาน รออยู่อย่างเดียวชีวิตนี้จะมีใครรักหนู เห็นสัตว์ไหมพอมีใครรักเท่านั้นแหละ นอนหงายยอมมอบกายถวายชีวิตเลย แล้วเราเป็นแบบนั้นหรือเปล่า เรารู้จักรักตัวเองไหม เรารู้จักเข้าใจตัวเองหรือเปล่า ฉะนั้นรู้จักควบคุมความคิดตัวเองให้ได้นะศิษย์ แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ใจ แต่คือความคิดโมโหชั่วแล่น ความคิดชั่ววูบที่มันเข้ามาแล้วทำให้เราทำผิดทำพลาดนั่นแหละน่ากลัวที่สุด
ดีงาม คุ้มครองจิตให้ศิษย์มีใจที่เข้มแข็ง เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต
จริงไหม เอาไหมเอาบุหรี่แลกแอปเปิล (เอาครับ)  ไม่ใช่แลกซองนี้นะ
แลกทั้งซองแห่งชีวิต อยากเมื่อไรควบคุมให้ได้นะ ชีวิตจะได้ไม่ต้องพบความทุกข์ความลำบากในอนาคต
ไม่ต้องกลัว ฟ้าให้ศิษย์อยู่ต่อ ตราบที่ศิษย์ยังสู้ไหว ใช่หรือไม่ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม น่าส่งเสริมน่ายินดี ใช่หรือไม่
จำคำอาจารย์ดีๆ นะ ทุกข์แค่ไหนอย่าฆ่าตัวเองตาย อย่าทำคนอื่นตายทั้งเป็น แปรความทุกข์เป็นสุข นำพาผู้คนด้วยความสงบร่มเย็นดีกว่านะ เปิดใจให้กว้างๆ มองให้ออก ในทุกข์มีสุขซ่อนอยู่เสมอ ในทุกข์มีทาง
พ้นทุกข์อยู่แล้ว ขอเพียงศิษย์พลิกเปลี่ยนความคิดได้จริงไหม (จริง)  ไปให้ถึงซึ่งความจริงแห่งธรรม
ต่อไหม อาจารย์ให้ศิษย์อยู่ต่อ แต่ศิษย์ต้องสู้กับความเจ็บให้ได้ ศิษย์ต้องเข้มแข็งกับความเจ็บให้ได้ ดีที่มันยังเจ็บ ถ้าไม่เจ็บแล้วก็ไปหาอาจารย์
จะเอาอย่างไร เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ฉะนั้นเจ็บเพื่อได้ปลดปลง เจ็บเพื่อได้ฝึกปล่อยวางให้กายกับใจแยกจากกัน อย่าติดในกาย เราต้องฝึกใจให้สูงฝึกใจให้พ้นทุกข์ เอาความทุกข์มาแปรเป็นหนทางที่นำพาให้พ้นทุกข์ นี่ถึงจะเป็นการฝึกบำเพ็ญธรรม ไม่ต้องกลัวเจ็บ ให้ขอบคุณที่เจ็บ จำไว้นะ ไม่ใช่ยิ่งเจ็บยิ่งแย่ ยิ่งเจ็บยิ่งซึมยิ่งถอย อาจารย์ให้ศิษย์อยู่ก็แปลว่าอยากให้ศิษย์ทำให้เต็มที่ เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมให้ได้ เข้าใจไหม

ผู้ที่เข้าใจธรรมคือยอมรับความเป็นจริงอันเป็นกลางด้วยความเป็นจริงและสอดคล้อง ถ้าเมื่อไรท่านรักความสุข แต่เกลียดความทุกข์ ก็แสดงว่าท่านไม่มีธรรม หวังแต่กำไร ไม่คิดขาดทุน แสดงว่าคิดแบบคนที่ไม่มีธรรม หวังแต่ให้คนชม ไม่ให้คนด่า แสดงว่าท่านกำลังลำเอียงกับตัวเอง
ฉะนั้นเราจึงอยากบอกทุกท่านในที่นี้ว่า สิ่งที่ท่านเกลียด สิ่งที่ท่านไม่ชอบและไม่อยากเจอ แท้จริงแล้วล้วนต้องการให้มนุษย์รู้จักสมดุล และมองความเป็นจริง ไม่มีอะไรร้ายถ้าเราเปิดใจกว้าง เหมือนวันนี้ไม่ชอบฟังธรรมะ แต่ถ้าเราเปิดใจสักนิด ลองชอบหน่อย บางทีก็มีอะไรดีๆ ที่เรามองไม่เห็น และสิ่งที่เราชอบมากๆ หากลองมองให้ดีๆ บางทีก็มีโทษเหมือนกัน ฉะนั้นเราควรอยู่อย่างคนที่ใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก หรือควรอยู่อย่างคนที่เอาธรรมะมาประจักษ์แจ้ง และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ เหมือนตอนนี้ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าความมืดไม่ได้เลวร้าย ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ทั้งความทุกข์ความผิดหวัง ความเจ็บป่วย มันก็มีดี เมื่อมีดีแล้วอะไรที่เราเกลียดก็ไม่มี อะไรที่เรารำคาญก็ไม่มี เมื่อไม่มีอารมณ์ ตัวเราก็ไม่มี เมื่ออารมณ์เราไม่มีแล้วเราก็ไม่มีกรรม เมื่อไม่มีกรรมเราก็ไม่มีทุกข์ เมื่อทุกข์ไม่มีเราก็ไม่มีเคราะห์ภัย แต่ถ้าเมื่อไรที่เราทำอะไรด้วยอารมณ์ ก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว หนีไม่พ้นทุกข์สุข และก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นเปิดใจให้กว้างๆ แล้วจะรู้ว่าในร้ายก็มีดี ในดีก็อาจจะมีร้าย และอะไรหรือที่เราควรเกลียด อะไรหรือที่เราควรหลงรักอย่างหัวปักหัวปรำ ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง
จิตใจของมนุษย์มีนิสัยเหมือนๆ กันอยู่อย่างหนึ่งคือ ชอบมองออกและชอบยึดติด อันเป็นต้นเหตุทำให้ทุกข์ แล้วก็ชอบใฝ่ไปในอารมณ์ที่ตัวเองใคร่ เวลามองคนอื่นก็โทษเขาก่อน ไม่เคยที่จะโทษตัวเอง รู้ว่าเป็นทุกข์แล้วก็ไม่ควรจมอยู่กับความทุกข์ แต่ก็ชอบยึดติดในความทุกข์ ถ้ารู้ใจตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขด้วยการเอาธรรมะมาสอนใจและข่มใจ ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อย่าขยันแต่ปฏิบัติภายนอก แต่ลืมลงแรงที่ใจ อย่าเป็นคนดีแค่การกระทำ แต่ลืมทำใจตัวเองให้ดี ฉะนั้นคนที่ใจดีๆ ย่อมใจเย็น ใจกว้าง และคนที่ใจมีธรรม ต้องใจเย็นและใจกว้าง ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ธรรมแล้วใจยังไม่เย็นและใจยังไม่กว้าง ก็แปลว่าเรายังไม่มีธรรม เรามักจะบอกว่า เรื่องธรรมเป็นเรื่องของคนแก่ ถ้าเรารู้ธรรมและมองเห็นความเป็นจริง และเข้าใจชีวิตตัวเอง จัดการกับตัวเองได้ ตอนนั้นเมื่อเราเจอกับอะไร เราก็สามารถที่จะรับมือได้ไหว ถูกไหม (ถูก)  เรารอจนกระทั่งเรารับมือไม่ไหว แล้วเราค่อยมาจัดการกับตัวเอง ทันไหม (ไม่ทัน)  กว่าจะคิดได้ (ก็สายแล้ว)
วันนี้เราคุยกับท่านง่ายๆ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ใช่แค่สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ แต่การปฏิบัติธรรมคือ เอาหลักธรรมความเป็นจริงมากระจ่างแจ้งภายในใจ จนนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์และเข้าใจผู้คน โดยไม่เกิดเป็นกิเลสและอารมณ์ มีแต่คนที่ฟังธรรมะมาเป็นสิบๆ ปี ถึงจะเข้าใจ แต่จงเชื่อเราสักอย่างหนึ่ง ทำอะไรอย่าใช้แต่อารมณ์ เพราะอารมณ์มีวันเปลี่ยนแปลงและกลับกลายได้ อารมณ์ไม่เคยทำให้ใครมีความสุขแท้จริงได้ แต่จงปฏิบัติด้วยธรรมย่อมดีกว่า
สิ่งสำคัญในการศึกษาธรรมคือเริ่มต้นที่ใจ ศรัทธาเชื่อมั่นในใจของตนเอง ถ้าบอกว่าไหวยังไงก็ไหว ถ้าบอกไม่เอา แค่ง่ายๆ ก็ไม่ไหว ฉะนั้นจะได้ไม่ได้อยู่ที่ใจเรา และวันนี้ทุกท่านจะประเมินใจตนเองแค่นี้ หรือจะประเมินใจตนเองให้สูง อดทนในสิ่งที่ยากทน นั่นเรียกว่าคนเก่ง อดทนในสิ่งที่ทนได้ยาก นั่นเรียกว่าคนบำเพ็ญตนเองเป็น ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ นั่นเรียกว่าคนเหนือคน และเราคิดว่าเราเป็นคนธรรมดาหรือคนเหนือคน ถามใจตนเอง
ฉะนั้นการศึกษาธรรมสอนให้มนุษย์มีปัญญา รู้นำพาชีวิตตนเอง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสนองกิเลสอารมณ์ และตกเป็นทาสแห่งบาปบุญและกรรม แต่เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งเห็นจริง ไม่เกลียดใครในโลก และไม่รักใครในโลกจนเกินไป เพราะมองเห็นธรรมอันเป็นธรรมดา ใครดีที่สุดไม่มี ใครแย่ที่สุดไม่เห็น เพราะทุกคนเหมือนกัน เขานิสัยไม่ดี เราก็ไม่ดี เขาขี้บ่น เราก็ขี้บ่น ว่าเขาเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง แล้งน้ำใจ ไม่ยุติธรรม แต่บางทีเราก็เป็น ฉะนั้นแปรความผิดบาปของตนเองเป็นความเข้าใจ และผ่อนปรนผู้อื่น เพื่อจะได้ลดละความโลภ โกรธ หลง ที่จะนำพาให้เราทุกข์ทน


วันเสาร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒        สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อย่ามัวทุกข์กับสิ่งที่ไม่จริง เพราะสิ่งที่แท้จริงไม่เคยทำให้ใครทุกข์
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  คนบำเพ็ญนำสุขใช้เดินฟันฝ่า          เป็นคนหลงรักเวลาด้วยจุดหมาย
กายสังขารไปเร็วเพิ่มทุกข์กลายกลาย   การวุ่นวายหนีจะยิ่งกว่าซ้ำเติม
จัดระเบียบความคิดพูดได้ทำได้         อีกเรื่องเรื่องวินัยส่งเสริมและสร้างเสริม
ส่วนความรู้หัดปัญญาฟื้นญาณเดิม      เรื่องไม่เปลี่ยนแก้ไขหมั่นเพิ่มจิตศรัทธา
จงระวังความคิดนิดเดียวไม่หยุด         เป็นมนุษย์รับธรรมบำเพ็ญขึ้นสู่ฟ้า
ชาตินี้ชาติเดียวคิดมากไร้ค่า             ยิ่งแก้ปัญหามีได้ความคิดใหม่
มโนธรรมสำนึกอย่างไรเป็นคนเต็มคน  จิตกุศลดีให้ได้เผยแผ่ได้
ตั้งใจเปลี่ยนนิดเดียวคนยิ่งใหญ่          ระวังใจความคิดนิดเดียวทำพัง
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ต้องเดินให้รอบๆ จะได้เห็นหน้าศิษย์ของอาจารย์ทุกคน จะถามว่าคิดถึงกันไหมก็ไม่ใช่ เพราะบางคนยังไม่เคยเจอกันเลย ยังไม่รู้จักกันเลย กินข้าวอิ่มแล้ว ฟังธรรมะอิ่มหรือยัง (ไม่อิ่ม)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ายังมีใจมีแรงฟังอาจารย์อยู่ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าให้ตอบอย่างเดียวบางทีก็จะหลับอีกจริงไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนตอบโดยใช้การยักไหล่แทนการตอบ)
นั่งมากๆ ก็เมื่อยเป็นธรรมดา เกิดเป็นคนยังมีอารมณ์ ยังมีความรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา ดีกว่านั่งแล้วไม่รู้สึกอะไร อย่างนี้ก็น่ากลัวนะ อย่างนี้บางทีก็ต้องขอบคุณที่ยังรู้สึกเจ็บ ขอบคุณที่ยังรู้สึกเมื่อย ขอบคุณที่ยังรู้สึกปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีกว่าไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)
นั่งหรือไม่นั่ง (นั่ง)  ศิษย์เอ๋ย เกิดเป็นคนอย่าคิดแต่อยากจะนั่งแล้วไม่ยืน ขึ้นชื่อว่าคน ก็ต้องนั่งได้ยืนได้ จริงไหม (ไหม)  ตอนนี้อยากนั่งหรืออยากยืน (นั่ง,ยืน)  ศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่อยากให้ชีวิตยุ่งยาก ก็อย่าคิดแบบยึดมั่นตายตัว นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ อย่างนี้จะไม่ทุกข์
อาจารย์ถามก่อน นักเรียนในชั้นของอาจารย์เป็นเด็กดีไหม (ดีมาก)  นักเรียนในชั้นกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าตัวเองเป็นคนดีมาก ดีจริงใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่สามวันดีสี่วันร้ายใช่ไหม (ใช่)  ที่พูดว่าดี ตกลงว่าอาจารย์คิดผิดหรือศิษย์พูดผิด โดยส่วนใหญ่นั้นเวลาเราศึกษาธรรม ธรรมนั้นสอนให้เราเป็นคนดี และเราก็รู้ว่าเราต้องพยายามเป็นคนดี แต่บางครั้งการที่เราเป็นคนดี แต่ก็อดถามใจตัวเองไม่ได้ว่าจะดีไปทำไม คนโบราณมักบอกว่าทำดีเพื่อเอาบุญ แต่บุญยังไม่อยากได้ อยากได้ความสบายใจก่อน ทำดีมากๆ ก็เหนื่อย การจะเป็นคนดีมักคิดถึงผู้อื่นก่อน อาจารย์ ศิษย์ก็พยายามเป็นคนดี แต่ถ้าคิดถึงคนอื่นมากเกินไป ชีวิตนี้ก็คงไม่ต้องทำอะไรเลย
ถ้าเราอยากเป็นคนดี เมื่อเราคิดถึงตัวเองแล้ว เราก็ต้องรู้จักคิดถึงผู้อื่นด้วย แล้วโดยส่วนใหญ่เราคิดถึงตัวเองหรือคิดถึงผู้อื่น (คิดถึงตัวเอง)  การเกิดเป็นคนนั้นบางทียากนะศิษย์ คิดถึงคนอื่นมากไปก็สูญเสียคุณค่าความเป็นคน คิดถึงตัวเองมากเกินไปก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ แต่ถ้าหากเราเกิดเป็นคนแล้ว บางครั้งทำอะไร เมื่อรู้จักนึกถึงตัวเองแล้วก็ให้รู้จักนึกถึงผู้อื่นให้มากกว่านี้อีกหน่อย ก็จะทำให้เราดียิ่งขึ้น ถ้าเราคิดถึงตัวเองมากกว่า และคิดถึงผู้อื่นน้อยกว่าเราจะดีน้อยลง ความดีช่วยทำให้เรารู้ว่า การเป็นคนดีนั้นควรรู้จักคำนึงถึงผู้อื่นมากกว่าคำนึงถึงตัวเอง คนดีควรเป็นคนที่ชอบชมตัวเองแล้วกดคนอื่น จริงไหม (ไม่จริง)  เราเกิดเป็นคนเราควรที่จะยกตัวเองหรือข่มตัวเอง เกิดเป็นคนเราควรจะยกตัวเองให้สูงหรือกดคนอื่นให้ต่ำเตี้ย บางทีอยู่ในโลกก็ชวนให้เราฉงนสนเท่ห์ เรายกตัวเองสูงคนก็พยายามกดเราให้ต่ำ แต่พอเรากดตัวเองให้ต่ำ แทนที่เขาจะยกเราให้สูง กลับมาเหยียบเราให้จมดิน เกิดเป็นคนควรทำอย่างไรดีถึงจะเรียกว่า ดีและถูกต้อง อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ใช่ เกิดเป็นคนมีชีวิตแล้ว ต้องไปให้สูง คิดต้องคิดให้ดี ก้าวต้องก้าวให้ไกลไปให้ถึง เมื่อตั้งใจอะไรแล้วนั่นเป็นจุดหมาย แต่ไม่ใช่เอามาเพื่อยกตัวเองแล้วข่มผู้อื่น อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เพราะมนุษย์มีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หลงตัวเอง เมื่อโดนชมหรือคนบอกว่าดีหน่อย หลงตัวเองไหม (หลง)  พอคิดว่าตัวเองดีก็เลยชอบมองคนอื่นว่ายังไม่ดี สิ่งที่เราต้องระวังอย่างหนึ่งคือ เกิดเป็นคนต้องยกและชมคนอื่นได้ เพื่อเป็นการให้กำลังใจและผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ดีๆ ให้ดียิ่งขึ้น แต่สำหรับคนไม่ดีก็อย่าไปนินทา เพราะไม่เคยมีใครได้ดีจากการนินทา ถ้าคนหนึ่งไม่ใช่คนดี และอาจารย์ก็เอาแต่ประจานและนินทา จะทำให้เขาดีขึ้นไหม มีแต่เขาจะยิ่ง (เกลียด)
ฉะนั้นอย่าคิดว่าการว่าคนแล้วจะทำให้คนที่ถูกว่านั้นดีขึ้น ไม่มีนะ ยิ่งว่าก็มีแต่จะทำให้เขายิ่งแย่ลง และเมื่อคนจนตรอกแล้วก็จะกัดไม่เลือก เขาไม่ดีจริงๆ ว่าไปให้สุด ด่าไปให้สุดเลย สุดท้ายแล้วพอถึงเวลาคนที่ถูกทำร้ายก็คือเรา เกิดเป็นคนว่าคนอื่นก็ไม่ดี ยกตัวเองเกินไปก็ไม่ดี แล้วจะทำอย่างไรที่จะทำให้เราไม่หลงตัวเอง นั่นก็คือรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหน ต้องอยู่ให้เขารักอย่าอยู่ให้เขาเกลียด และอยู่ให้เขาคิดถึงดีกว่าอยู่แล้วเขาอยากจะบอกให้เรารีบกลับไปๆ สักที
การศึกษาธรรมสอนให้เราต้องเป็นคนดี แต่โดยความเป็นจริงของมนุษย์นั้น มีดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นทำอย่างไรเราถึงจะสามารถเป็นคนดีได้ตลอดเวลา และมีพลังที่อยากจะเป็นคนดี เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเราก็จะดีบ้างไม่ดีบ้าง สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราต้องอยากดี เพราะมนุษย์มักคิดร้าย และมนุษย์ก็ง่ายที่จะทำเรื่องร้าย และการที่เราจะดีก็เลยกลายเป็นเรื่องยาก สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ทำไมเกิดเป็นคนต้องบำเพ็ญธรรม ทำไมเกิดเป็นคนต้องเป็นคนดีก่อน ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ก็บำเพ็ญธรรมไม่ได้ แต่ทำไมเราต้องเป็นคนดีศิษย์รู้ไหม เพราะการเป็นคนดีจะช่วยยับยั้งความชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่ในใจ โดยส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไรผิดมือจะสั่นไหม ตาจะลอกแลกไหม แล้วมักจะคิดว่าคนเราก็ต้องมีดีบ้างไม่ดีบ้าง นิดๆ หน่อยๆ ผิดพลาดไม่เห็นเป็นไรเลย แต่ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อกล้าทำผิดได้หนึ่งครั้ง เราก็กล้าที่จะทำผิดครั้งที่สอง เมื่อมีครั้งที่สองก็มีครั้งที่สาม แล้วพอไหม (ไม่พอ)  จากที่เคยลอกแลกก็จะไม่ลอกแลก  ฉะนั้นการทำดีเราทำดีเพื่อยับยั้งความชั่วในจิตใจ การทำดีเพื่อยับยั้งจิตใจที่ง่ายจะไหลลงที่ต่ำมากกว่าดึงขึ้นสูง เหมือนเวลาเรามองคนๆ หนึ่ง เราคิดดีหรือคิดร้าย
ศิษย์ต้องเข้าใจก่อน เมื่อเราทำดีก็จะได้ผลตอบแทนคือความดี เมื่อละบาปได้เราก็ได้บำเพ็ญบุญ แต่เมื่อทำบุญมาก หากไม่สามารถละบาปก็ไม่เรียกว่าบุญ ทำบุญมาตั้งมากมายแต่ละบาปไม่ได้ จะเรียกว่าได้บุญหรือได้บาป (ได้บาป)  มือหนึ่งทำบุญ แต่อีกมือหนึ่งยังชี้หน้าด่า หรือมือหนึ่งยังทำบุญ แต่อีกมือหนึ่งยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือบาป (บาป)  บาปที่พยายามจะเป็นบุญ สาเหตุหลักที่เราเกิดเป็นคน เมื่อศึกษาธรรมแล้วเราต้องเป็นคนดี จำไว้ว่าเราดีเพื่อเราจะได้ห่างไกลจากความคิดชั่ว ห่างจากบาป ห่างจากจิตที่ง่ายจะไหลลงต่ำ เมื่อละบาปได้เราก็คือคนบุญ อาจารย์ถามง่ายๆ ทำบุญตั้งมากมาย แต่บาปไม่เคยละ ยังเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  แต่ในทางตรงข้าม ละบาปหมด แต่ถึงแม้ไม่ได้ทำดี ยังเรียกว่าคนดีไหม
แล้วอะไรที่ทำให้จิตเราไหลลงต่ำ คิดร้ายมากกว่าคิดดี (กิเลสความอยาก)  อาจารย์เคยได้ยินว่า กิเลสนั้นไม่มีตัวตนนะ แล้วมาจากไหน (ความต้องการ)  ความต้องการมาจาก (ตัวเรา)  แล้วกิเลสร้ายหรือตัวเราร้าย (ตัวเราร้าย)  ถ้าเราบอกว่ากิเลสนั้นเลว กิเลสนั้นไม่ดี แล้วเราไปคบกับมันทำไม เอามาใส่ใจทำไม จริงๆ ตัวที่ร้ายไม่ใช่กิเลส แต่เป็นคนที่หวั่นไหวไปกับกิเลส คนที่พ่ายแพ้ต่อกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างนั้นแปลว่าคือตัวของเราใช่ไหม (ใช่)  ตัวเราเองที่ร้าย ถูกต้องไหม (ถูก)  แล้วตัวของเราตรงไหนหรือที่ร้าย ศิษย์เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ใจของเรานั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดมักจะคิดอะไรแย่ๆ จึงทำให้เมื่อมองอะไรในชีวิตก็เลยแย่ไปเสียทุกอย่าง เช่น ใจของเราอยู่ดีๆ แต่ตัวเราเองอยากพูดคำหยาบ “เฮ้ย มึงมองอะไรกูวะ” ชีวิตจึงหยาบๆ นิสัยจึงหยาบๆ ใช่ไหม (ใช่)  ใจนี้อยู่ดีๆ แต่ความคิดนั้นไม่ดี เช่น ทำดีรวยช้า ต้องทำชั่วๆ จึงจะรวยไวดี คิดดีไม่ได้ได้แต่คิดชั่ว ชีวิตจึงได้แบบชั่วๆ
ถ้าเราหาเหตุแห่งทุกข์ไม่พบ เราก็จะดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเรายังหาตัวปัญหาที่แท้จริงไม่พบ เราก็จะดับทุกข์ไม่ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นปัญหาที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์นั้น ไม่ได้อยู่ที่ใจ แต่ปัญหาที่น่ากลัวของมนุษย์คือ ความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้เราจะควบคุมความคิดได้อย่างไร เหมือนคำพูดที่ว่า จิตนั้นดี แต่ที่ไม่ดีและหม่นหมองก็เพราะความคิด ใช่ไหม (ใช่)
มีคนตอบอาจารย์ไหม ตอบว่า (มีสติ)  มีสติ รู้ทันตัวเอง รู้ทันผู้อื่น
แล้วถึงเวลาเรามีสติรู้ทันความคิดเราไหม (รู้)  แต่เสียอย่างเดียวเวลาอารมณ์มาครอบงำความคิดและชีวิตจิตใจ ถ้าเรารู้ไม่ทันเราก็จะพังไปทั้งชีวิตเลย ศิษย์อย่าบอกว่า อาจารย์ไม่เป็นไรหรอก ผิดนิดเดียวเดี๋ยวคนก็ให้อภัย อาจารย์ถามหน่อยมีใครบ้างที่ไม่กลัวบาปกรรม และเวรกรรมบ้าง อาจารย์ไม่เป็นไรหรอก ขาดสตินิดเดียว มันพังแล้วก็พังไปช่วยไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
ถ้าอาจารย์บอกว่าไปเอาเก้าอี้มาให้หน่อย วางไว้ เปลี่ยนใจเอากลับไปคืน เปลี่ยนใจเอากลับมาใหม่ อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าชีวิตเราหากโดนแกล้งขนาดนี้ เราโดนทำร้ายขนาดนี้ เพียงเพราะเราคิดว่าไม่เป็นไร ผิดนิดหน่อย ใช้เขานิดหน่อย ก็เราเป็นผู้ใหญ่กว่า นี่เป็นเด็กกว่า ใช้ได้ก็ใช้ไป ด่าได้ก็ด่าไป อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แต่อาจารย์ถามหน่อย ในความเป็นจริงของคนเรา แค่พูดว่าหยวนๆ แล้วมันจบไหม (ไม่จบ)  ร้ายมาร้ายตอบนี่คือนิสัยของมนุษย์ แรงมาแรงกลับนี่คือความเป็นคน เตะมาไม่ใช่เตะกลับด้วยบางทีเอามันให้น่วมเลย
ฉะนั้นเกิดเป็นคนศิษย์อย่าพูดว่า ไม่เป็นไรอาจารย์นิดเดียว แก้กันนิดเดียวก็หาย เป็นแล้วมันหายยาก ติดแล้วมันแก้ยาก มีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากบอก จิตมันดี แต่ความคิดความหลงมันครอบงำทำให้เราพลาดไป
ศิษย์จำไว้ว่า ชีวิตก็เหมือนหนทางๆ หนึ่ง จำไว้ว่าเมื่อเราเดินผ่านมาแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ นอกจากทำวันนี้ให้ดีที่สุด อดีตที่ผ่านมากลับไปแก้ได้ไหม อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ (ปัจจุบัน)  ฉะนั้นมีโอกาสทำสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด เมื่อศิษย์ผิดพลาดไปแล้ว ศิษย์รู้ไหมพระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า ไม่มีแรงใดต้านแรงกรรม ไม่มีอำนาจใดเอาชนะอำนาจแห่งเวรกรรมได้ เกิดเป็นคนทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามไว้ดีกว่า เพราะถ้าผิดแล้วมาขอโทษก็จะไม่จบ ถูกไหม (ถูก)  เราเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยสติ
อีกอย่างที่อาจารย์อยากบอกก็คือ ทำไมคนต้องมีธรรม เราทำดีเพื่อละบาป แต่เรามีธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เมื่อเรามีศีลเพื่อละบาป เรามีธรรมเพื่อบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อกัน เราเข้าใจธรรมเพื่อพ้นทุกข์ เมื่อดีแล้วยังไม่พ้นทุกข์ แต่เมื่อเข้าใจแบบแจ่มแจ้งในธรรม ธรรมนั้นจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ แล้วธรรมอะไรที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ ไม่โกรธ
เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่า อาจารย์สูงหรือเตี้ย (เตี้ย)  แต่ในความเป็นจริงธรรมะสอนให้เรารู้อย่างหนึ่งว่า ธรรมะคือความเป็นกลาง ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น เราเข้าใจความเป็นกลาง มนุษย์จะไม่เสียศูนย์ แล้วศิษย์ทุกคนเป็นกลางไหม (ไม่กลาง)  ให้ศิษย์จำไว้เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแท้จริงแล้วมีความเป็นกลางอยู่แล้ว เราจะหลงลำพองตัวเองไหมว่า ฉันอ้วนกำลังดี ฉันดำกำลังดี ฉันหุ่นกำลังดี แบบนี้หลงตัวเองไหม (ไม่หลงตัวเอง)  หากมีคนที่ดีกว่า เราจะรู้สึกว่าตัวเองแย่ไหม (ไม่แย่)  เพราะก็ยังมีคนที่แย่กว่า เวลาสิ่งที่เราได้มา เราบอกว่าแย่จัง เราลองมองในสิ่งที่ว่าแย่จัง มองไปอีกทีอาจจะมีสิ่งที่ (แย่กว่า)  เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นกลาง มนุษย์จะไม่อยากอะไรมากเกินไป และจะไม่หลงตัวเองมากเกินไป ไม่โกรธเขามากเกินไป เพราะว่าตราบใดชีวิตยังหมุนไม่สิ้น วันนี้ศิษย์ร้องไห้ที่โดนคนนี้เขาด่า พอเวลาผ่านไปก็คิดว่าไม่น่าร้องไห้เลย เพราะยังมีที่โดนด่ามากกว่านี้อีก
ศิษย์เอ๋ยถ้าชีวิตมันยังหมุนไปไม่ถึงที่สุด อย่ารักอะไรจนเกินไป อย่าเกลียดอะไรจนเกินไป และอย่าเพิ่งทุกข์กับอะไรในชีวิตจนเกินไป เพราะถึงที่สุดแล้วมันอาจจะมีทุกข์มากกว่า หรือทุกข์น้อยกว่า ฉะนั้นถ้าศิษย์มีธรรมคอยสำนึกอยู่ในจิตใจตลอดเวลา โอกาสที่เราจะทุกข์นั้นก็เป็นไปได้ยาก เช่น เขาว่าเรา เขาทำร้ายเรา เขาโกงเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้สึกเจ็บปวดไหมที่ถูกว่า (เจ็บ)  เรารู้สึกโกรธเคืองไหมที่ถูกทำร้าย (โกรธ) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าชีวิตยังหมุนเวียนเปลี่ยนผัน อะไรคือสิ่งที่น่าโกรธที่สุด การที่เราโกรธที่เขาว่าเราตรงนี้ คิดไปคิดมานั่นอาจจะไม่น่าโกรธ ถ้ามองจนไปถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถูกเขาทำร้าย คิดไปคิดมาก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากเราพบคนที่เลวร้ายกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมจึงสอนให้รู้ว่ามนุษย์อย่าลืมความเป็นกลาง มองไปจนถึงที่สุด ไม่มีอะไรที่ทำให้เราทุกข์ นอกจากความคิดของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชาย-หญิงส่งตัวแทนออกมาแถวละหนึ่งคน แล้วให้ทุกคนนำแก้วของตัวเองไปเติมน้ำ)
กติกาคือ ให้คนแรกเติมน้ำมาระดับหนึ่ง คนที่สองต้องไปเติมน้ำให้มากกว่าคนแรก แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์โลภมากเกินไป คนท้ายๆ จะแย่ เพราะถึงที่สุดจะต้องหาน้ำให้มากที่สุด แต่ห้ามล้นแก้ว ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะไปเอาน้ำ ศิษย์จะต้องดูว่าควรจะเติมน้ำแค่ไหน และจะต้องนึกถึงคนต่อไปว่าเขาจะเอาน้ำอย่างไรด้วย
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ชอบหาแล้ว ต้องหาให้มากขึ้น เยอะขึ้น แต่อย่าลืมนะ หามากเท่าไรก็ใช่ว่าจะได้มาก และเมื่อหามาก็ใช่ว่าจะไม่เดือดร้อนคนอื่น ฉะนั้นในเมื่อชีวิตชอบหา ก็ต้องหาโดยไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนกลุ่มใหม่ออกมา โดยให้ทำอย่างไรก็ได้ ให้น้ำในแก้วหมดไปให้เร็วที่สุด และนักเรียนทุกคนใช้วิธีการดื่มน้ำให้หมด)
การกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่กลัวลำบากและไม่เกี่ยงให้คนอื่น เป็นจิตใจที่น่ายกย่อง รักษาจิตใจนี้ไว้นะ จำไว้นะศิษย์ เกิดเป็นคนต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ขอให้รักษาใจนี้ไว้นะเด็กน้อย
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : เปลี่ยนความคิดนิดเดียว  ทำนองเพลง : อย่ามารักฉันเลย)
เพลงนี้มาจากคำที่ศิษย์ไปวงกลมในบทกลอนเมื่อสักครู่นี้ ไม่ใช่ได้มาลอยๆ อาจารย์ให้ศิษย์ไปวงกลมในบทกลอน แล้วได้เนื้อร้องออกมาเป็นเพลงนี้นะ นำสิ่งที่อาจารย์เมตตานี้ไปใช้ไปปฏิบัติให้ดี ปัญหาของความทุกข์ ปัญหาของชีวิตนั้นเกิดจากความคิดที่เรายึดติด ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ชีวิตก็เปลี่ยน จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนที่อาจารย์เมตตาไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า ใจนั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดมักพาให้ไปในทางที่แย่ ใจนั้นอยู่ดีๆ แต่นิสัยของเรามักจะทำ มักจะพูดอะไรหยาบๆ ใจก็เลยหยาบ ชีวิตก็เลยหยาบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจนั้นอยู่ดีๆ แต่ความคิดมักไหลไปในเรื่องร้ายๆ ชีวิตจึงมีแต่สิ่งที่ร้าย ฉะนั้นหากเราเปลี่ยนความคิดได้ เราสามารถควบคุมความคิดของเราได้ แล้วเรารู้จักจัดการกับความคิดของเราเองได้ สิ่งที่เรายึด สิ่งที่เราเข้าใจ เมื่อเรามองให้กว้างๆ แท้จริงแล้ว นั่นอาจจะไม่ใช่ความทุกข์หรือสิ่งที่เลวร้ายก็เป็นได้ ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินไหม ธรรมะมีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ชอบมองข้ามไป สรรพสิ่งในโลกเหมือนเป็นภาวะคู่ มีดีก็มีร้าย มีสุขก็มีทุกข์ มีดำก็มีขาว มีเกิดก็มีแก่ เจ็บ ตาย ถ้าอาจารย์ถามว่าวันนี้ศิษย์มีอายุเท่าไร (สิบเจ็ดปี)  สิบเจ็ดเป็นสิบเจ็ดปีที่เกิดหรือสิบเจ็ดปีที่ตาย สิบเจ็ดปีที่พบหรือสิบเจ็ดปีที่พราก
ศิษย์ยิ่งเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมมากเท่าไร การเกิดเป็นคนก็จะทุกข์และเจ็บปวดน้อยที่สุด สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง อาจารย์มีวิธีแก้ความโลภ ความโกรธ ความหลงให้แล้ว แต่ศิษย์รู้ไหมว่าอาจารย์ช่วยแก้ (ไม่รู้)  เราทำทุกอย่างก็เพื่อตัวเราเอง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ และมาเป็นทาสแห่งความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นทาสของกิเลสตัณหา แล้วศิษย์รู้ไหมว่า กิเลสตัณหา
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมา)
สมมติว่าเราเห็นคนหนึ่งหน้าตาดี ดีไหม (ดี) ชอบไหม (ชอบ)  ถ้าเราคิดแบบยึดติดว่าคนนี้ดี คนนี้หล่อ อาจารย์ถามว่าจริงๆ มีคนหล่อกว่านี้ไหม (มี)  แล้วจะหลงรักเขาไหม (ไม่)  การมองตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง จะทำให้เราไม่หลงยึดติดและไม่หลงรักใครโดยง่าย อาจารย์ขอถามหน่อย เขาหน้าตาดีหรือหน้าตาไม่ดี (หน้าตาดี)  ศิษย์อย่ามองแบบยึดติดตายตัวสิ ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่เป็นนายแบบ นางแบบ อาจารย์ว่าก็อย่างนั้นๆ เห็นไหมการประจักษ์แจ้งความจริงจะทำให้เราไม่หลงอะไรมากเกินไป และไม่เกลียดอะไรจนเกินไป เมื่อเราไม่หลงและไม่เกลียดจนเกินไป กิเลสก็ครอบงำอะไรเราไม่ได้ เมื่อเราคิดว่าเราก็ไม่ได้ดูดีเกินไป เราก็จะไม่หลงตัวเอง เมื่อมีคนมาว่าเรา หรือความแก่มาทำให้เราหน้าเหี่ยว หรือแดดมาทำให้เราหน้าดำ เราก็คงไม่แอบไปแต่งหน้า เพราะศิษย์รู้ไหมเมื่อถึงที่สุด
ศิษย์รู้ไหม พระพุทธะล้วนบอกไว้ว่า กายนี่คือถุงหนังที่มีรูทวารทั้งเก้า จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วอะไรคือที่สิ้นสุดของเราก็ไม่รู้ สิ่งที่จะกำหนดชะตาชีวิตของเราก็คือการทำวันนี้  ฉะนั้นอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ ชีวิตจะจบดีหรือไม่ดี หรือจะเป็นอย่างไรต่อก็อยู่ที่ว่า เรามีเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีเมล็ดพันธุ์ของความอยากอยู่ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์ดำเนินชีวิตแล้วสิ้นเมล็ดพันธุ์ของความอยาก เข้าใจถึงความอยากอย่างถ่องแท้แล้วว่าไม่มีอะไรในโลกน่าอยากเลย เราเพียงแค่ขอยืมใช้
ชีวิตของมนุษย์ไม่ใช่สิ้นสุดแค่มีชีวิต ตราบใดที่มนุษย์ยังหยั่งรากของจิตใจ ให้มีกิเลสนอนเนื่องอยู่ในกมลสันดาน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะของการเวียนว่าย ตราบใดที่มนุษย์ยังหนีไม่พ้นกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะของบาปเวรกรรมที่ตัวเองสร้าง  ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าเกิดเป็นคนให้ทำดี เพราะทำดีช่วยละบาป และทำไมต้องมีคุณธรรม เพราะการประพฤติอยู่ในคุณธรรมช่วยให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นโดยไม่สร้าง
ฉะนั้นให้ปฏิบัติด้วยธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติด้วยกิเลสอารมณ์ เหมือนที่
จงเรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ มองอย่างคนมีธรรม อย่ามองอย่างคนที่เอาแต่คิดยึดติด เพราะความคิดยึดติดหนีไม่พ้นกิเลสและกรรม เหมือนเวลาเรามองใครที่ทำไม่ดี ไม่น่ารัก แต่เราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรมดีไหม (ดี)  แล้วเราจะได้ไม่เสียใจ เพราะชีวิตเราไม่สามารถเดาได้ว่า เราจะเกิดและจบเมื่อไร เหมือนที่ศิษย์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าเกิดเป็นคนให้ทำบุญมากๆ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ จะให้ทานต้องให้ทานที่เรียกว่าประเสริฐ คือ ให้ธรรมะเป็นทาน เขาปฏิบัติต่อเราแบบไม่มีธรรม แต่ฉันจะให้ธรรมแก่เขา เขาปฏิบัติต่อเราทำให้เราขุ่นมัว แต่ฉันจะเอาการปฏิบัติที่ขุ่นมัวนั้นมาล้างใจให้บริสุทธิ์และสร้างบุญกับเขา เหมือนที่เรียกว่า อยู่กันด้วยบุญหรืออยู่กันด้วยกรรม
บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าอยู่กันแล้วมีแต่ความทุกข์ เขาเรียกว่า อยู่กันด้วยกรรม ล้างใจกับวัดได้ กับคนทำไมเราไม่รู้จักล้าง ทำบุญกับพระได้ กับคนทำไมไม่รู้จักทำบุญ เขาทำให้เราขุ่น เราจะไม่ขุ่น เขาทำให้เราร้าย เราจะไม่ร้าย เราจะแปรบาปเป็นบุญ เปลี่ยนความคิดนิดเดียว พลิกได้ชีวิตก็เปลี่ยนได้ เราจะสามารถทำทุกที่ให้เป็นวัด ทำทุกที่ให้สงบด้วยใจอันบริสุทธิ์ อย่าไปล้างโลกเลย ล้างใจเราดีกว่า ศิษย์เคยได้ยินไหม ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราแย่ อะไรที่ทำให้จิตใจเราแย่ ใช่ไม่ใช่ความคิด จิตนั้นดีอยู่แล้วแต่ความคิดแห่งความเป็นตัวตนเป็นตัวชักนำจิตให้มองไม่เห็นความดี ดั่งที่พระพุทธะสอนไว้ว่า “จิตเดิมแท้ประภัสสร หมองหม่นไปเพราะความคิดนั้นจรเข้ามา”  ถ้าเราหยุดความคิดได้ เราก็เอาชนะความทุกข์ได้ ความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย ทุกข์ไหม เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ยึดติดกับความทุกข์และมองเห็นเรื่องทุกข์เป็นเรื่องตาย เรื่องเจ็บ เรื่องแย่ แต่พุทธะไม่ยึดสำคัญมั่นหมาย มันเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ ถ้าไม่มีความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย เราจะรู้จักความหมายที่แท้จริงของชีวิตหรือ เราจะรู้ถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน และเราจะเข้าใจความเข้มแข็งได้ไหม
ฉะนั้นศิษย์อย่าทุกข์กับความคิดที่ยึดติดอย่างตายตัวเลย เพราะถึงที่สุดแล้วเราแค่มายืมใช้ ถึงเวลาเราต้องคืนเขาไป กลับคืนสู่สภาวธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
ฉะนั้นเมื่อไรความคิดไหลลงต่ำ ความคิดเกิดแย่ มีสติรู้ให้ทัน
ศิษย์เอ๋ยศึกษาธรรมเข้าใจแล้วนะ หนทางของการศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ละบาปบำเพ็ญบุญ ประกอบคุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน เข้าถึงความเป็นจริงเพื่อประจักษ์แจ้งและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และไม่เจ็บปวดกับโลกใบนี้ เมื่อศิษย์เข้าใจธรรมมากเท่าไร อาจารย์อยากจะบอกว่ามันจะทำให้ศิษย์ไม่ต้องร้องไห้กับโลกใบนี้ ไม่ต้องทุกข์กับคนบนโลกใบนี้เลย สังขารมันไม่เที่ยง ไม่ต้องไปสนใจ สนใจแค่เพียงจิตกลับคืนสู่ธรรม
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้วนะ ขอให้บุญแห่งความถูกต้องและ
จับมือไหม เด็กดื้อเชื่อไม่ได้ใช่ไหม ก็ไม่ต้องเชื่ออาจารย์นี่ แค่เชื่อในสิ่งที่ดีที่อยู่ในใจตัวเองก็พอ แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถูกหรือไม่ เราทำดีเราก็ปลอดภัย แต่ถ้าเราไม่ทำดี ชอบสูบบุหรี่ทำร้ายตัวเองก็ไม่มีใครช่วยได้
แล้วอย่าเอาทุกข์มาแบกไว้ทั้งชีวิตนะ เราแบกทุกอย่างไว้ไม่ได้ แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ อย่ากลัวความเจ็บป่วย อย่ากลัวความทุกข์ แต่จงรู้จักเข้มแข็งและลุกขึ้นสู้ ถ้าวันหนึ่งเราต้องไร้ชีวิต เราจะได้ไม่เสียดายเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ รักษาความดีนะ รู้เรื่องไหม ตั้งใจบำเพ็ญด้วยหัวใจที่เสียสละบ้าง ใช่ไหมเด็กดื้อ พบอาจารย์ต้องไม่ร้องไห้แล้ว พบอาจารย์ก็ต้องให้อาจารย์ภูมิใจในสิ่งที่ศิษย์เป็น อย่างน้อยทำให้เต็มที่ เราจะได้ไม่เสียดายกับชีวิตที่เกิดมา ชีวิตทุกคนมีเป้าหมาย แต่เป้าหมายนั้นต้องเกิดจากการที่ใจของเราสร้างขึ้นเอง ไม่ใช่เกิดจากแรงผลักดันจากใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป้าหมายนั้นจะยิ่งใหญ่ หรือจะเล็กนิดเดียว ก็อยู่ที่ความกล้าหาญ เกิดเป็นคนแล้วอย่ากลัว อย่ายอมแพ้ ทำให้ดีที่สุด
บางครั้งการที่เขายังไปไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่ห่วง ฉะนั้นเราต้องทำให้เขาหมดห่วง เขาจะได้สบาย อย่ายอมแพ้ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง รักษาความดีงามไว้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ไม่มีใครเราก็อยู่ได้ ไม่มีใครเราก็สุขได้ ใช่ไหม เข้มแข็งให้มากกว่านี้ อย่ายอมแพ้กับชะตาชีวิตที่มันเกิดขึ้น ความรู้ความสามารถมีมาก แต่เสียสละไม่ค่อยออกนี่น่าเสียดายนะ รู้เรื่องไหม ขอให้บุญรักษานะ จงมีศีลมีธรรม ชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับตัวของศิษย์แล้วนะ
ตั้งใจบำเพ็ญได้ดีแล้วขอให้ก้าวต่อไปให้ถึงที่สุดที่ศิษย์เข้าใจ อย่ายอมแพ้ รักษาความดีไว้อย่าผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรผิดพลาด ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ดีแต่อย่ามากเกินไป เดี๋ยวจะทำร้ายตัวเองนะศิษย์ เข้มแข็งนะ ถือว่าอุปสรรคที่ผ่านมาคือตัวที่ทำให้เราได้ชดใช้กรรม
ตั้งใจบำเพ็ญศึกษาธรรมให้กระจ่าง เพื่อนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ เมื่อไรที่ศิษย์ทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้นะ เราพ้นทุกข์ได้ เรามีทางเลือก อย่าฆ่าตัวเองด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ไม่อย่างนั้นมันจะบาปติดตัวไปตลอดชีวิต
ทำให้เขาหมดห่วงที่สุด เขาจะได้ไปสบาย ไหวไหมและอยากอยู่
เป็นห่วงศิษย์จริงๆ เป็นห่วงจากใจ อย่าได้ทุกข์เพียงเพราะสิ่งที่ไม่น่าทุกข์เลยนะ รักตัวเองดูแลตัวเองนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ได้ นี่ถึงจะเรียกว่า คนมีธรรมที่มีปัญญาอันชาญฉลาด ไปแล้วนะ อาจารย์ไม่ได้จับมืออย่าโกรธเคืองกันเลย แต่ความรักที่อาจารย์ให้ศิษย์ไม่เคยมีวันเปลี่ยนแปลง
(พระอาจารย์เมตตามาที่แผนกอักษร เพื่อแก้ไขกลอนนำ)
อาจารย์อยากให้เป็นคำพูดที่ทำให้เราฉุกคิดได้ อย่ามัวทุกข์กับสิ่งที่ไม่จริง เพราะสิ่งที่แท้จริงไม่เคยทำให้ใครทุกข์ ไม่ใช่กลอนนะ เป็นเหมือนคำที่ให้แง่คิด อย่ามัวทุกข์กับสิ่งที่ไม่แท้จริง เพราะสิ่งที่แท้จริงไม่เคยทำให้ใครทุกข์ เมื่อเราว่างกับสิ่งที่เรายึดติด จิตเราจะเป็นอิสระ และความคิดที่แบกทุกข์ก็จะไม่มี อยากให้ศิษย์เข้าถึงประโยคนี้ จะได้ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ เราทุกข์ที่ไม่ยอมรับความจริง ทุกข์ที่อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างใจ แต่จริงๆ แล้วเราหันไปมองกับสิ่งที่เราทุกข์เพราะมัน มันทำให้เราทุกข์หรือเปล่า หรือเราไม่ยอมรับที่มันเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วทุกสิ่งมันต้องเป็นไปตามความเป็นจริง จริงไหมศิษย์ เหมือนศิษย์ไม่อยากป่วย แต่ก็ต้องป่วย ถ้าเรารับไม่ได้ เราก็จะทุกข์ แต่ถ้าเรายอมรับมัน บางทีความทุกข์อาจจะจบแล้ว แต่เราไปจำว่า เมื่อวานเรายังเจ็บอยู่ วันนี้ก็ยังคงเจ็บอยู่ เพราะเรายังคิดยึดติดกับความเจ็บอยู่ว่ามันยังเจ็บ บางทีความเจ็บมันยังเจ็บแต่มันจบไปแล้ว ใจยังไปผูกมัดกับความเจ็บลึกๆ ที่มันอยู่ในใจว่า รู้สึกปวดขาจัง เมื่อวานยืนเมื่อยจนปวดขา แต่วันนี้อาจจะไม่ปวด แต่ใจไปยึดติดกับความปวด ลองทำความกระจ่างแจ้งตรงนี้ แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปลี่ยนความคิดนิดเดียว”
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว หัวเรียวก็เลยคิดได้ ชีวิตมีหนทางเป็นแยกเรื่อยไป   มิเห็นบั้นปลาย ทำได้ทำดี
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว ทำได้หน้าเดียวหรือนี่ รอยยิ้มเสริมหน้าตาคนให้ดูดี มหานที สติเป็นลำนาวา
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว ไม่คิดจะเป็นไปได้ หลายครั้งจิตใจ สุขทุกข์ง่าย ต้องใช้เวลา รักหลงเพิ่มเร็วไป คิดหนีจะยิ่งทุกข์กว่า หัดเรื่องวินัยส่งเสริมปัญญาหมั่นแก้ไข
เปลี่ยนความคิดนิดเดียว รับธรรมบำเพ็ญคิดได้ มีปัญหาขึ้นมา ความคิดเป็นอย่างไร สำนึกดีให้ได้ เปลี่ยนความคิดนิดเดียว
ทำนองเพลง: อย่ามารักฉันเลย
ชื่อเพลง: เปลี่ยนความคิดนิดเดียว



อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา