วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

2562-11-09 สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์

西元二○一九年歲次己亥十月十三 日                                       仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒             สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
  ความจริงอันเป็นธรรมะ               ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู                     กล้าสู้ยอมรับความจริง
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา                               ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
   เวลาในโลกมนุษย์                     สร้างวิมุตติ[๑]สุดประมาณ
หัวใจที่มีตะวัน                            ปัญญาญาณรู้วิธี
วุ่นวายในความสับสน                   กระวนกระวายใจนี้
ถึงปัญญาศรัทธามี                       สติใช้ต้องระวัง
ประโยชน์อำพรางความโลภ           ความโลภเมื่อไรกระจ่าง
ชีวิตซุกซ่อนความหลัง                  จะอยู่ธรรมมังอย่างไร
ปัจจุบันเชื่ออะไรอยู่                     รู้รู้มีอนุสัย[๒]
เข้าใจแบบไม่เข้าใจ                      ทำอย่างไรได้บำเพ็ญ
ฟังแล้วปราศจากธรรมะ                เสวนาควรงดเว้น
อคติความคิดเห็น                        คู่ซ้อมบำเพ็ญชั่วคราว
ไว้มารยาทนำกิริยา                      ไว้กายาไม่ก้าวร้าว
จงชั่งศีลธรรมเอา                        ครองเชาวน์[๓]พ่ายแพ้อย่างไร
บำเพ็ญไม่ยั้งอุปสรรค                   ธรรมมากกิเลสสลาย
ระวังเรื่องใจงมงาย                      สถิตในอารมณ์คน
รู้แล้วต้องปฏิบัติ                          สามารถแล้วอย่าสับสน
ปล่อยวางหัวใจกังวล                    อดทนในเรื่องธรรมดา
                                                                                                ฮา ฮา หยุด



[๑] วิมุตติ [วิมุด, วิมุดติ] น. ความหลุดพ้น; ชื่อหนึ่งของพระนิพพาน.(ป.; ส. วิมุกฺติ).
[๒] อนุสัย น. กิเลสที่สงบนิ่งอยู่ในสันดาน, กิเลสอย่างละเอียด มี ๗ อย่างได้แก่ ๑. กามราคะ = ความกำหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ = ความขัดใจคือโทสะ ๓. ทิฏฐิ = ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา = ความลังเลสงสัย ๕. มานะ = ความถือตัว ๖. ภวราคะ = ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา = ความไม่รู้แจ้งคือโมหะ. (ป. อนุสย; ส. อนุศย).
[๓] เชาวน์ [เชา] น. ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ. (แผลงมาจาก ป., ส. ชวน).

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ


ยังไม่เบื่อฟังธรรมะใช่ไหม หรือว่าตัดสินใจพรุ่งนี้ไม่มาแล้ว (มา)  ตอนยังไม่พูดเราเป็นนายเหนือคำพูด แต่ถ้าพูดไปแล้วเราต้องทำตามสิ่งที่พูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วศักดิ์สิทธิ์ ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด ไม่อย่างนั้นเราต้องตกเป็นทาสของคำพูดอยู่ร่ำไป แล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จริงหรือไม่ (จริง)
“ความจริงอันเป็นธรรมะ      ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู              กล้าสู้ยอมรับความจริง”
ธรรมะคือความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก อย่ามองธรรมะแค่เพียงการสวดมนต์ไหว้พระ อย่ามองธรรมะแค่เพียงการเป็นคนดี แต่แก่นของหลักธรรมะคือ ตื่นรู้ เข้าใจแท้จริง จนนำพาให้เราพ้นทุกข์
มีใครที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง โดยไม่สูญเสียความดีงามในจิตใจ มีใครบ้างที่สามารถอดทนฟันฝ่าความทุกข์แต่ไม่ทุกข์ใจได้ มีแต่ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านยังทุกข์ ยังเจ็บปวด ยังอ่อนแออยู่ แปลว่ายังไม่เข้าใจธรรมะที่แท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า “วางดาบพลันพบพระพุทธะ” อะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนแล้วเราชอบใช้ดาบมากกว่าใช้ความเป็นพุทธะ อารมณ์ความโกรธใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราวางอะไรก็ตามที่อยู่ในชีวิตเรา ที่ทำให้เราควักดาบออกมาแล้วทำร้ายผู้คน เราวางเสีย เราจะพบความเป็นพุทธะ เราวางเสียเราจะพบความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าวางดาบได้ความเป็นพุทธะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จริงหรือไม่ (จริง)
ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าทุกข์มันเกิดที่ตัวเรา ทุกข์มันอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แปลว่า ธรรมไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ธรรมอยู่ในตัวเรา ทุกข์เกิดจากตัวเรา ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าตัวเรานี้เป็นทุกข์ ตัวเรานี้ก็พร้อมจะเป็นธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นเป็นที่สิ้นทุกข์พบพระนิพพาน ต่างกันแค่ชั่วขณะคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  วางดาบลงก็พบพุทธะ ชั่วขณะคิดไม่ได้ ทำใจไม่ได้ กลายเป็นกิเลส กรรม เวียนว่าย ความทุกข์ แต่ชั่วขณะคิดได้ขึ้นมา กลายเป็นสิ้นกรรม หมดกรรม พ้นทุกข์ อยู่ที่แค่ชั่วขณะคิด พลิกใจได้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข พลิกใจไม่เป็นก็จมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งไม่มีใครช่วยได้ ไปหลายวัดแล้วทุกข์ก็ไม่หมดจากใจ จริงไหม (จริง)
เราถามคำถามท่านว่า ถ้ามีอาจารย์ที่มีความรู้ แต่ไม่เคยคิดจะสอนวิชาความรู้ถ่ายทอดให้กับผู้อื่นเลย พออาจารย์ท่านนี้จากไป ความรู้ก็หมดไป จริงไหม (จริง)  ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องลงมา นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ ถ้าท่านรู้แล้ว แต่ไม่บอกต่อ และปล่อยให้ความรู้นั้น บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อนแล้วไม่สอน ท่านว่าใจร้ายใจดำหรือไม่ เหมือนพวกหวงวิชา เหมือนพวกเก็บความรู้ไว้กับตัวเองคนเดียว ฉะนั้นจะมาบอกว่าเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมาสอนทำไม ก็คงเป็นแบบเดียวกันว่าทำไมอาจารย์ต้องถ่ายทอดความรู้ เพื่อจะได้ให้ความรู้นั้นไม่หายไป และความรู้นั้นก็เป็นความรู้ที่สามารถนำพาให้เราอยู่บนโลก แต่ไม่ต้องทุกข์ ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ พุทธะกับกิเลส หรือความทุกข์กับธรรมะ ต่างกันแค่ชั่วขณะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความไม่รู้แสดงออกซึ่งกิเลส ตัณหา เวรกรรม แต่ความรู้แสดงออกซึ่งพุทธธรรม แล้วรู้อย่างไรจึงเรียกว่าธรรม แล้วไม่รู้อะไรจึงเรียกว่า กิเลส กรรม และความทุกข์
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ เพราะความไม่รู้จึงแสดงออกเป็นกิเลส เพราะความตื่นรู้จึงแสดงออกเป็นธรรม รู้หรือไม่รู้ จึงแสดงออกต่างกัน หากเราสามารถรู้ได้ กิเลสก็จะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมก็จะกลายเป็นกิเลส
มนุษย์เราทุกข์เพราะความอยาก เวลาอยากแล้วไม่สมหวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  เวลาอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เรารู้แก่ใจไหมว่า มีโอกาสได้และมีโอกาสไม่ได้ มีโอกาสสำเร็จและก็มีโอกาสล้มเหลว รู้ไหม (รู้)  อย่างนั้นเวลาล้มเหลวทุกข์ไหม (ทุกข์)  นี่ไง รู้แต่ไม่ยอมทำตัวให้รู้ ถ้าเราระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เราจะอยากได้นั้นมีโอกาสได้และไม่ได้ ได้แล้วก็ดีใจ แต่เมื่อไม่ได้ จะทุกข์ไหม ก็รู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสได้และไม่ได้มีเท่ากัน จริงไหม (จริง)  เรารู้อะไรที่เรียกว่าธรรมะ แล้วเราไม่รู้อะไรที่กลายเป็นความทุกข์ เราทุกข์เพราะเราสูญเสีย เราเสียใจที่เราสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราถามว่า รู้ไหมว่าอยู่ในโลกจะต้องสูญเสีย รู้ไหมว่าถ้าอยู่กับใครแล้วเราต้องพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดา (รู้)  ถ้ารู้แล้วถึงเวลาสูญเสียทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้แต่เลือกที่จะไม่ยอมรับรู้
ทุกครั้งที่ท่านได้มาล้วนต้อง (สูญเสีย)  เสียเวลาไหม เสียเงินไหม (เสีย)  แล้วได้ไหม (ไม่ได้)  หลอกตัวเองว่ารู้ หลอกตัวเองว่าได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เสียหรือได้ (เสีย)  เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเงิน เงินที่ได้มาก็ไม่เคยอยู่กับเราเลย ถึงที่สุดเราก็ต้องเสียไหม (เสีย)  เราไม่ได้อะไร แล้วเราเสียอะไรไหม คิดให้ดีๆ ถึงที่สุดมีเงิน มีความรู้ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มียศถา มีบ้าน มีอะไรมากมาย ถึงเวลาจริงๆ ของใคร รู้ไหม (รู้)  รู้แล้วจะทำผิดไหม รู้แล้วจะทุกข์ไหม รู้แล้วจะเหนื่อยแทบตายเพื่อได้มาไหม เมื่อใดที่ท่านยอมรับว่าตัวเองรู้ ท่านจะพบธรรม แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับให้ตัวเองรู้ ท่านก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วหลอกตัวเองให้ทุกข์อยู่ร่ำไป
แล้วท่านเคยได้ยินไหม ถ้าของจะเป็นของเรา ยังไม่ทำอะไรก็ได้มา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำแทบตาย เจ็บแทบตาย ยังไงเขาก็ไม่อยู่กับเรา เรารู้ไหม (รู้)  เราทุกข์เพราะโดนเขาทำร้าย เราทุกข์เพราะเขาสวยกว่า เราทุกข์เพราะเขารวยกว่า เราทุกข์เพราะเขาว่าเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วรู้ไหมว่าในโลกไม่มีใครไม่โดนว่า ก็รู้ใช่ไหม (ใช่)  ผู้หญิงที่หน้าตาสวยๆ รู้ไหมว่าในโลกนี้สวยอย่างไรก็มีคนสวยกว่า ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ขอถามฝ่ายชาย ท่านมีครบหมดทุกอย่าง บ้าน รถ หน้าตาดี แต่ถึงเวลามีคนที่มีบ้านเยอะกว่า เงินเยอะกว่า หน้าตาดีกว่า แล้วเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  และถึงแม้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เราทุกข์ไหม (ทุกข์ )  บางคนอวัยวะยังมีไม่ครบสามสิบสองเลย ถ้าเราตรองให้ดีๆ เรารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราพูดว่าทุกข์ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทุกข์เมื่อเทียบกับคนที่แย่กว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  วันนี้เราโดนเขาว่า ถ้าเทียบกับอีกสองสามวันข้างหน้าเราจะโดนเขาว่าหนักกว่า วันนี้เราคงหัวเราะที่โดนเขาว่าแค่นี้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราควรทุกข์ไหม (ไม่)  ทำอะไรจะไม่มีการโดนว่า เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครดีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คนๆ หนึ่งมีดีบ้างก็ต้องไม่ดีบ้างเป็น (ธรรมดา)  สิ่งที่เขากระทำต่อเราเขาก็อาจจะไม่ดีบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่บางทีผ่านไปสองสามวันเขาอาจจะมาทำดีกับเราก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  หรือไม่ก็ทำไม่ดีกับเราตลอดชีวิต เช่นนี้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
สัจธรรมมีอยู่ในทุกชีวิตและมีอยู่ในตัวเรา เราดี เราไม่ดี เรารู้ จริงไหม (จริง)  บางทีเราก็โลภจนน่ากลัว บางทีก็ขี้บ่นจนน่าใจหาย บางทีก็เห็นแก่ตัวจนไม่มีใครอยากจะคบหา เรารู้ว่าเราเป็นอะไร เรายอมรับไหม (ยอมรับ)  เราขี้เกียจไหม เราชอบเอาเปรียบไหม เราก็รู้อยู่เต็มอก แต่ละคนเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่ก็ไม่อะไรที่ต่างกันจริงไหม (จริง)  บางทีเราขยัน เขา  ขี้เกียจ บางทีเราขี้เกียจ เขาขยัน แล้วทำไมไปว่าคนอื่นขี้เกียจ ธรรมะจึงสอนว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่รู้ข้างนอก แต่รู้ธรรมที่แท้จริงภายในอันทำให้เราพ้นทุกข์ และความจริงนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่เราย้อนมองและยอมรับธรรมนั้นในตัวเราหรือไม่ ถ้าตามหลักธรรมะก็จะสอนว่า เมื่อเวลาเจอเรื่องราวอะไร จะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ รู้แล้วว่ามีคนดีและคนไม่ดี คนมีได้ มีเสีย รู้แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทำสิ่งใดก็ตามก็ต้องมีศีล มีศีลก็ต้องมีสมาธิ มีสมาธิแล้วก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องอะไรมา สมมติโดนเขาว่ามา รู้ไหมว่าการถูกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และช่วงที่เป็นธรรมดานั้นเกิดคิดได้ สงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ตรวจสอบตนเองแล้วไม่ผิดในศีล ไม่ผิดในธรรม สงบ ไม่หวั่นไหว มีปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง การที่โดนเขาว่ามันจบทันทีเลย ไม่เกี่ยวกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก) สิ่งที่โดนเขาว่ากลายเป็นพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่โดนเขาทำร้ายกลายเป็นตื่นรู้ในความเป็นจริง ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่ตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้วแค่แสดงออกภายนอก แต่สามารถสงบและจบลงที่ใจด้วยความเป็นปกติ หรือรักษาความเป็นปกติของใจได้ ยากไหม (ไม่ยาก)  ทุกครั้งที่ถูกกระทบไม่ว่าจะก่อเกิดเป็นกิเลสหรืออารมณ์ ลองยั้งสติคิดดูว่า สิ่งที่เราโดนกระทบลึกๆ เรารู้ไหม (รู้)  ถ้าไม่ยอมมันก็กลายเป็นทุกข์ แต่ถ้ายอมรับ ทุกข์ก็จะแปรเป็นสุขได้ แปรเป็นธรรมะที่เข้าใจความจริงได้
อะไรหนอที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความเป็นจริง ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นเราก็รู้ ความจริงอันเป็นธรรมดาโลก ถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอ จะทำให้เราไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างหนอ พอตอบได้ไหม
(ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)  มีแล้วดีไหม (ไม่ดี)  แล้วมีไหม (มี)  เรารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถแปรสิ่งที่รู้ กลายเป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ เราขาดสติไหม เราขาดความเข้าใจในความเป็นจริงอันแจ่มชัดหรือไม่ เราชอบตามอารมณ์มากกว่าตามความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่เป็นความถูกต้องเราไม่เคยตาม อะไรที่เกิดอารมณ์เราวิ่งไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรมากระทบ ก่อนที่จะวิ่งตามอารมณ์ เราลองหยุดสักพักหนึ่ง แล้วลองหันไปมองความจริง ทำอะไรด้วยสติ แล้วลองหันไปมองความจริง เราจะตามอารมณ์ไหม
คนข้างนอกทำให้เราทุกข์หรือเราทำให้ตัวเราทุกข์เอง (เราทำทุกข์เอง)  แต่ถึงเวลาเราแก้ที่คนข้างนอกหรือเราแก้ตัวเอง (คนข้างนอก)  เรามักบอกให้คนอื่นแก้แล้วก็อ้างว่าตัวเองหวังดีปรารถนาดี ใช่ไหม (ใช่)  เราหวังเป็ดให้กลายเป็นหงส์ ได้ไหม (ไม่ได้)  เราหวังเป็ดให้ขายาวเหมือน นกกระยางได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  และอาจจะยังเป็นอยู่ถ้ามีลูกหลาน และอาจจะเป็นอยู่ถ้ายังมีความหวัง ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกลับมาดูให้ชัดว่า อะไรที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความจริงได้ สิ่งนั้นเริ่มที่นี่ สิ่งนั้นเกิดที่นี่ สิ่งนั้นทุกข์ที่นี่ สิ่งนั้นก็ต้องจบที่นี่ เขาว่าเรา เราทุกข์เพราะเขาว่า หรือเราทุกข์เพราะเราไม่อยากโดนว่า (ทุกข์เพราะไม่อยากโดนว่า)  เราทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดเราเอง เขาว่าเราคำพูดเขาจบแล้ว แต่เรายังเจ็บอยู่ เราเจ็บเพราะเอาความคิดมาเชือดเฉือนเรา และเรารู้ไหมว่าเราเจ็บเพราะความคิด (รู้)  แล้วแก้โดยไปไหว้พระเก้าวัด หายไหม (ไม่หาย)  ไปบนร้อยวัด หายไหม (ไม่หาย)  จะหายต้องแก้ที่ตัวเราเอง จริงไหม (จริง)
ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาได้เพราะความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นตัวตน ตัวตนคือผลิตภัณฑ์ของความคิด ความรู้ ความเข้าใจและตัวเราเป็นผู้ผลิตความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่คิดตีกรอบชีวิตเรา อะไรเราก็ยอมรับ อะไรเราก็ยอมได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่โดยส่วนใหญ่คำว่าตัวตนของมนุษย์ทุกคน มักตีกรอบว่า จนไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ด่าไม่ได้ แพ้ไม่ได้และทำไมต้องให้คนอื่นก่อน เมื่อคิดแบบนี้ก็ทุกข์ แค่คิดว่าโดนว่าไม่ได้ ให้ไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัวแล้ว แค่คิดว่า ต่อว่าไม่ได้ ยอมไม่ได้ ก็แล้งน้ำใจแล้ว และในความคิดนี้เมื่อฝังอยู่ในตัวเรา เมื่อฝังแล้วด่าเมื่อไหร่ก็เจ็บ และเมื่ออยู่ในตัวเราแล้วว่าอย่างไรก็ทุกข์ แต่ถ้าตัวเราไม่มีความคิดนี้ ด่าได้ไม่เป็นไร ทุกข์ได้ไม่เป็นไร สูญเสียได้เป็นธรรมดา เราจะทุกข์ไหม สิ่งที่ทำให้เราไม่เห็นความจริงและไม่สามารถตื่นรู้ในธรรมะได้ คือความคิดที่ตีกรอบปิดบังความจริง ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้เราทุกข์ รักแล้วต้องรักเลย รักแล้วห้ามจากไป ตัวเรากำหนดเอง แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ได้แล้วต้องมีแต่ได้ แล้วก็ต้องได้อีก ห้ามสูญเสีย ห้ามขาดทุน เป็นไปได้หรือ (ไม่ได้)  แล้วใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเรา)  ฉันต้องสวย ฉันต้องเลิศเลอ ฉันต้องดีงาม เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นอย่าลืมหันไปมองความจริงบ้าง อย่าเอาแต่ตามใจตัวเอง เพราะการตามใจตัวเองและปลูกฝังความคิดการตามใจตัวเอง ผลที่สุดคือ หนีไม่พ้นทุกข์ และน่ากลัวที่สุดคือ วิบากกรรมที่ทำให้หนีไม่พ้นอบายภูมิ แต่การเรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริง ผลที่สุดคือกลับคืนสู่สภาวธรรมและพ้นทุกข์นิจนิรันดร์
หนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ้นทุกข์ และสิ้นกรรม อยู่เพื่อใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ ฉะนั้นอยากให้ดี ตามความคิดหรือตามความถูกต้อง (ความถูกต้อง)  มองอย่างคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ตีกรอบคับแคบ หรือเปิดใจกว้าง (เปิดใจกว้าง)  กล้ายอมรับความจริงไหม (กล้า)  เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดี แต่แก่นหลักของการเรียนรู้ธรรมคือ นำพาตัวเองตื่นรู้แล้วพ้นทุกข์ด้วยธรรมในใจตน ไม่มีใครฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ได้นอกจากตัวเอง ไม่มีใครปลุกให้เราเข้มแข็งได้นอกจากหัวใจเราเอง หัวใจที่เข้าใจความเป็นจริง อยากเข้าใจคนอื่น แต่ไม่เข้าใจตัวเองก็เปล่าประโยชน์ อยากจะเป็นแบบคนอื่น แต่ยังไม่เข้าใจแบบที่ตัวเองเป็นก็ น่าเสียดาย เกิดเป็นคนอย่าลืมรากเหง้าของตนเอง เรามีรากเหง้าเหมือนกันคือธรรมะ และถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ธรรมะ ถ้าเราเอาแต่ยึดตัวตน ก็หนีไม่พ้นเวรกรรม แต่ถ้าเราสามารถวางตัวตนได้กลับคืนสู่สภาวธรรมได้ นั่นเรียกว่าพระนิพพาน ไม่ยากเลยนะ แค่เราไม่ยอมรู้ใจตัวเอง ไม่ยอมรู้ธรรมในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน เวลาเจอใคร อยากให้เป็นบุญหรือเป็นกรรมร่วมกัน (เป็นบุญ)  อยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่อยู่ที่คำพูด จริงไหม (จริง)  เวลาเจอใครว่า เราอยากให้สิ้นบุญหรือว่าอยากให้สิ้นกรรม (สิ้นกรรม)  อย่างนั้นเขาต่อว่าเราก็โต้ตอบเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไตร่ตรองให้ดี เราเจอเขาแต่ทำไมคนอื่นไม่เจอเขา เพราะมีกรรมร่วมกันมา รู้ไหม (รู้)  แล้วจะอยากมีกรรมต่อไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอยู่กันอย่างมีธรรมเราก็จบกรรม แต่ถ้าอยู่กันอย่างมีกรรม เราก็ไม่มีวันสิ้นเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รักษาโอกาสและเวลาของชีวิตให้ดี อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้วันพรุ่งนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดและทุกข์เพราะการสูญเสีย รักษาเวลาตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับเขาอย่างมีความสุขที่สุด อยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒         สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อันหลักธรรมแก่นแท้มีหนึ่งเดียว    จงขับเคี่ยวตนเองดั่งน้ำงวด
ไม่ต้องสนใครเป็นเพชรใครเป็นกรวด คนยิ่งยวดเมื่อเข้าถึงสภาวธรรม
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม
   
    ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
    *หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
**ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**)

    **แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม (ซ้ำ *,**)

ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้
ชื่อเพลง : ธรรมะไม่ใช่เรื่องลี้ลับ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าปล่อยให้จิตมัวหมองเพราะกิเลสตัณหาในใจเรา ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่สามารถรักษาจิตให้บริสุทธิ์ได้ แต่อย่าปล่อยให้มันมัวหมองไปเพราะความหลง ความโลภ ความไม่เที่ยง ศิษย์บริสุทธิ์ได้ แล้วทำไมไม่รักษาให้มันแกร่งดั่งเพชร
อยากมีชีวิตอิ่มเอิบก็ยิ้มเข้าไว้ ทุกข์อย่างไรก็ต้องยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง มีแต่รอยยิ้มที่ช่วยปลอบใจเราได้ดีที่สุด ถ้าเรื่องที่แย่ที่สุด เรื่องที่ทุกข์ที่สุด เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด เรายังยิ้มได้ เรายังสู้ไหว จะมีอะไรน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่
อย่ากลัวความจน อย่ากลัวลำบาก แต่ควรกลัวใจที่ไม่ยอมสู้กับความจน ใจที่ไม่สามารถเอาชนะความลำบากได้ อย่ากลัวคนอื่นดูถูก แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบดูถูกตัวเอง อย่าไปกลัวคนอื่นกดขี่ข่มเหง แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบกดตัวเองให้ไร้ค่า อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองถ้าศิษย์อยากจะเป็นคนที่น่ารัก นอกจากยิ้มเก่งแล้วอย่าเป็นคนยกตนข่มท่าน อย่าเป็นคนที่ชอบเอาใจตัวเองเป็นเกณฑ์แล้วตัดสินคนอื่นว่าคนอื่นผิด ตัวเองถูก สิ่งที่ไม่ชอบอย่าไปทำกับคนอื่น สิ่งที่เราไม่อยากได้ก็อย่าไปทำกับคนอื่น
พระพุทธะสอนให้เราไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว แต่เป็นคนดีแล้วต้องมีปัญญา ไม่ใช่เป็นคนดีที่ไร้ปัญญา การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราทำอะไรอยู่บนโลกแล้วต้องรู้จักใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเอาแต่เชื่ออย่างงมงาย อย่าเอาแต่เชื่ออย่างที่เขาว่าตามกันมาแล้วเราก็ทำตามไป แต่เราต้องมีปัญญาด้วย ทุกเรื่องราวต้องเอามาทำให้เราสูงขึ้น ไม่ใช่กดเราต่ำเตี้ยลง นี่ถึงจะเรียกว่าคนมีปัญญา แล้วทุกวันนี้ชีวิตเรายกให้ตัวเองสูงขึ้นหรือต่ำลง เอาเรื่องราวมาทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง
ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม (สบายดี)  บางทีคำว่าสบายดีของชีวิตแต่ละคนไม่ใช่ออกมาง่ายๆ จะพูดคำว่าสบายดีได้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสบายจริงๆ ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย ไม่มีที่พึ่งไหนประเสริฐที่สุดเท่ากับที่พึ่งของคนที่รู้จักมีปัญญาปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจชีวิตตัวเอง โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว รู้จักผู้อื่นไม่มีประโยชน์เท่ารู้จักใจตัวเอง และพื้นฐานของการเข้าใจชีวิตตัวเอง ก็เมื่อเจอเรื่องราวอะไร หันกลับมาย้อนดูตัวเอง และรักษาความสมดุลให้ได้
คนเมื่อยามทุกข์ คนเมื่อยามเจ็บ เรียกว่า คนเสียศูนย์  แต่ธรรมะคือความสมดุลอันเป็นกลางและเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์เพราะเสียศูนย์ ก็ต้องเอาธรรมะมาช่วยยั้งให้กลับมาสมดุลและเข้าใจความจริงอันเป็นกลางความเป็นจริงอันสมดุลทำให้เราอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข      ถ้าเมื่อไรที่มองคนอื่นมากจนเจ็บปวด ลองลดการมองคนอื่นแล้วหันมามองตัวเองว่าดีกว่าเขาแล้วหรือยัง เมื่อไรที่ทุกข์มากๆ ลองมองให้ดีว่า มีทุกข์แล้วไม่มีสุขเลยจริงหรือ เมื่อไรที่มนุษย์หาความสมดุลในชีวิตได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทุกข์ แต่เราจะอยู่อย่างคนกลมกลืน สอดคล้องในธรรม
เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะศิษย์มักบอกว่าไกลเกินตัว เพราะตายแล้วก็จบกัน  ธรรมะก็ไม่ต้องสนใจ ผิดชอบชั่วดีก็ไม่ต้องกังวล ตายแล้วจบไหม     (ไม่จบ)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า การกระทำวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกคนจำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีแม่นกว่ากัน (สิ่งที่ไม่ดี)  ใครทำดีจำได้ไหม (ไม่ได้)  ใครทำไม่ดีจำได้ไหม (จำได้)  อย่าบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง เมื่อไรที่มนุษย์จำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่าสิ่งที่ดี โอกาสที่มนุษย์จะผูกเวรจองกรรมก็เป็นเรื่องง่าย และโอกาสที่เราจะแก้แค้นก็เป็นเรื่องง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าตอนเกิดยังไม่สิ้นทุกข์ ตอนตายก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ตอนเกิดยังเต็มไปด้วยความโลภ ความเศร้า กิเลสเต็มตัวไปหมด ตอนตายจะสิ้นทุกข์ไหม (ไม่)  มีแต่ต้องสิ้นทุกข์ก่อนตาย ตายไปถึงจะหมดทุกข์ แล้วเราสิ้นทุกข์หรือยัง หมดทุกข์หรือยัง (ยัง) 
อย่างนั้นเราควรจะทำอะไรเผื่อก่อนตายไหม (ความดี)  ถ้าชีวิตต้องมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้ เราควรจะทำอะไรเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องกลับมาชดใช้ดีไหม (ดี)  แล้วถ้าชีวิตหนึ่งเผื่อสิ้นทุกข์ได้ แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูบ้าง แล้วเราคิดว่าเราสิ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  อยากจะอยู่ในโลกให้สิ้นทุกข์ได้ เราต้องมองทุกอย่างในโลกอย่างที่คนมองแล้วเห็นชัด แล้วทำให้เราไม่เจ็บปวดได้เลย ถึงจะเรียกว่าคนที่สามารถเข้าใจชีวิต มีแฟนเราก็ทุกข์ มีเงินก็ทุกข์ มีเสื้อผ้าก็ทุกข์ มีรองเท้าก็ยังทุกข์ มีผมดำแล้วกลายเป็นผมขาวทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วมีอะไรที่ไม่ทำให้ทุกข์มีบ้างไหม (ไม่มี)  มีเงินแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ธรรมง่ายๆ มีเหมือนไม่มี แต่เรามีแล้วเหมือนไม่มีไหม มีเงินอยู่ในธนาคารหนึ่งหมื่นบาทถามว่ามีไหม (ไม่มี) เพราะถ้ามีแล้วจะเอาอีกไหม (ไม่เอา)  แต่บอกว่าไม่มีทุกทีทั้งที่จริงๆ มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกข์เพราะมีหรือไม่มี (มี)  ฉะนั้น ถ้ามีแล้วทุกข์ก็คิดว่ามีก็เหมือนไม่มี มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกมีได้ ถ้าใจยังไม่พอ ถ้าใจยังไม่สุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีความสุข จงคิดว่า ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว ส่วนที่เหลือจะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร รักษาความสมดุล มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี ฉะนั้นอย่าลืมความสมดุลของจิตใจ อย่าคิดว่าตัวเองขาดแคลน จนลืมว่าตัวเรามี อย่าคิดว่าตัวเองมีจนขาดแคลนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นศิษย์จะทุกข์ใจเพราะตัวเองที่ถูกความคิดครอบงำ ตายเพราะความคิดตัวเอง ทำไมฉันยังไม่มี ทั้งที่จริงแล้วถ้าเทียบกับคนอื่น ก็เรียกว่ามีแล้วนะ
มนุษย์มีทุกข์กับสิ่งที่มี และทุกข์กับสิ่งที่ไม่มี อะไรที่ทำให้เราเห็นว่ามีแล้วทุกข์ ก็หลับตาแล้วคิดว่า มีก็เหมือนไม่มี เหมือนอะไรที่เห็นมาก รู้มาก เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วศิษย์เคยคิดไหมว่า สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่เห็น ไม่รู้ รู้จักสามีมาก็นานแล้ว ทำไมสามีถึงทำกับเราอย่างนี้ จริงไหม (จริง)  สามีเองก็รู้จักภรรยา แต่ถึงเวลาภรรยากับสามีต่างก็ทำอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตที่เราคิดว่าเรารู้ชัด เห็นชัด คนที่เรารู้จักเขาดี ทำอะไรที่เราไม่คาคคิดได้ไหม (ได้)  แล้วชีวิตสามารถพลิกจนเรานึกไม่ถึง เป็นไปได้ไหม แล้วทำไมไม่เผื่อใจบ้าง เวลาชีวิตเจอทางตันจะได้มีสติ ว่าชีวิตมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ขึ้นชื่อว่าชีวิต อะไรมันก็เปลี่ยนได้ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้บางครั้งก็อาจจะ (ไม่รู้)  สิ่งที่ศิษย์เข้าใจ บางครั้งศิษย์ก็อาจจะ (ไม่เข้าใจ)  เพื่อรักษา (ความสมดุล)  และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่จิตรักษาความเป็นปกติได้ นั่นคือการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับความแตกต่างที่เรียกว่า สภาวะคู่
โลกนี้มีภาวะคู่ มีดำก็มี (ขาว)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มีทุกข์ก็มี (สุข)  มีล้มเหลวก็มี (สำเร็จ)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรหวังแต่สำเร็จไม่ให้ล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไหร่ที่คิดอย่างนั้นศิษย์กำลังจะทำให้ตัวเองเสียศูนย์ในความเป็นจริง และหลงลืมความเป็นจริงที่เรียกว่า สภาวธรรมอันเป็นกลาง
ศิษย์เอ๋ย เกิดมาทั้งทีอย่าอกหักแล้วตาย อย่าจนแล้วฆ่าตัวตาย อย่าล้มละลายแล้วผูกคอตาย น่าเสียดาย จริงไหม (จริง)  เอาให้อกหัก ล้มละลาย ยากจน ชดใช้ให้ครบ ก่อนจะตายถ้ายังไม่ครบอย่าเพิ่งตาย ให้รู้หมดทุกรสชาติ จะได้เกิดมาไม่เสียเปล่า ยากจนก็เคย ล้มละลายก็เคย แล้วตอนนี้ยังยืนอยู่ได้ น่าภูมิใจนะ การเกิดเป็นคน ประเสริฐที่สุด สามารถทำบุญสร้างกุศลได้ สามารถทำให้ถึงคำว่า “มรรคผลพระนิพพาน” ได้ ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง ถึงแม้จะผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ถ้าเราทุกข์แล้วจะทำอย่างไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ทำได้ด้วยการเอาธรรมะมาใช้ (รู้ทันใจตัวเอง, ความเป็นจริงของชีวิต, การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา) 
(พระอาจารย์เมตตาหยิบลูกทับทิมขึ้นมาเป็นตัวอย่าง)
ศิษย์เคยใช้อะไรอย่างหนึ่งมาทำให้เห็นในใจตัวเองไหม เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนเห็นอีกสิ่งหนึ่ง 
เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนตัวตนและเห็นสิ่งหนึ่ง เห็นมากกว่าเห็น เหมือนเราเห็นทับทิมลูกหนึ่งเราสามารถเห็นได้ถึงความทุกข์ยากลำบากกว่าจะปลูกอันนี้มาได้ เราเห็นถึงน้ำตา เห็นถึงการสูญเสีย เห็นถึงการหลอกลวง เห็นทั้งหยาดเหงื่อแรงงาน เรามองเห็นไหม (เห็น) แต่ชีวิตมนุษย์มักไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ถ้าอาจารย์ถามว่ากินทับทิมอันนี้อร่อยไหมก็น่าจะอร่อย แต่คำว่าน่าจะอร่อยมันมีไม่อร่อยไหม (มี) ฉะนั้นถ้าเราซื้อแล้วเราคาดหวังว่ามันจะอร่อย แล้วก็ยึดติดว่ามันจะอร่อย คนที่ยึดติดและคาดหวังก็คือคนที่สร้างกรอบให้ตัวเองทุกข์โดยง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้ว่าอันนี้มันคือทุกข์ แล้วเราเห็นชัด แล้วเราไม่เป็นทุกข์กับมัน เราแค่เห็น แล้วไม่เอามาใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่ทุกครั้งที่เวลาทุกข์มา เราหยิบมาใส่ใจทันที “ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ เมื่อไรที่รู้ว่าเป็นทุกข์ จงมีสติยั้งคิด จงมีธรรมะยั้งใจว่าเราจะเป็นแค่ผู้เห็น แต่ไม่ไปเป็น” ธรรมะนี้เป็นธรรมะขั้นสูงนะ เพราะต้องฝึกที่จิตใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ยังไม่เห็นใครทำได้อย่างนี้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยไหม ถ้าตอนนี้เราเห็นมันเป็นทุกข์และเราเห็นใจตัวเราเองด้วย ประเมินใจตัวเองได้ ไม่ไหวแน่ ไม่รับ ไม่เอา แล้วเราหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้)
ศิษย์ส่วนใหญ่ใครโกรธมาก็โกรธกลับ ใครด่ามาก็ด่ากลับ แรงมาก็แรงกลับ อาจารย์จะบอกว่า ผู้เข้าถึงธรรมจะสามารถทั้งเห็นและไม่เห็น จะเห็นทั้งข้างนอกและสามารถสะท้อนถึงข้างใน นั่นเรียกว่า ฝึกฝนบำเพ็ญจนเกิดปัญญา อะไรก็ลวงให้หลงไม่ได้อีกต่อไป ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่เมื่อไรจะทำสักที ตกเป็นทาสของความคิดทุกที ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่ให้เป็นทุกข์นะศิษย์ ทั้งอยากและไม่อยาก เผื่อใจไว้ศิษย์ รักษาสมดุลในใจไว้ ได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ฉันเข้าใจตัวเองว่า ฉันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมก็พอ ส่วนใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา เราถูกต้องเป็นพอ จริงไหม (จริง) สิ่งที่มันธรรมดา มันกลายเป็นสิ่งที่อยากและไม่อยากได้ด้วยหัวใจของมนุษย์ กินแล้วสุขมากเท่าไร ก็ทุกข์มากเท่านั้น จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตนี้มีอะไรบ้าง ที่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) 
อะไรในโลกที่ศิษย์มีสุขมากแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ตัวเราสุขมากเท่าไหร่ ตัวเราก็เจ็บมากเท่านั้น เรารักสามีมากเท่าไรก็เจ็บมากเท่านั้น เงินทองหามาเหนื่อยแทบตาย ยิ่งหามากก็ยิ่งเจ็บมาก แล้วเอาไหม (เอา)  สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือทุกข์จากความเป็นจริงที่ใครๆ ก็หนีไม่พ้น ใครหนีความแก่ หนีเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) 
ฉะนั้นควรดีใจกับความเป็นจริง (แก่,เจ็บ,ตาย) เพราะเมื่อไรที่จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในความแก่ เจ็บ ตาย เมื่อความแก่เจ็บตายมาถึงจะได้ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรใจเราตีกรอบ อย่าแก่ พอแค่โดนทักหน่อยว่าแก่แล้ว พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความทุกข์ทีศิษย์เป็นคนสร้างแล้วตีกรอบให้ตัวเองยิ่งทุกข์นั่นคือ “ห้ามทุกข์ ห้ามล้มเหลว ห้ามโดนด่า ห้ามอกหัก” เป็นทุกข์ที่ศิษย์เป็นคนกำหนดเอง ตีกรอบยึดมั่นว่าห้ามทั้งที่จริงๆ แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วในใจเรามีสิ่งนี้อยู่ไหม (มี)  แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นแล้วควรจะมีไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นวิธีแก้ที่ดีที่สุดที่เราจะพยายาม ศิษย์รู้ไหมสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ก็คือ ความคิดที่ครอบงำชีวิต เมื่อไรที่ปล่อยให้ความคิดครอบงำชีวิต มนุษย์จะไม่สามารถเข้าถึงปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมได้ ดั่งเช่นเวลาที่เราตีกรอบว่า “ธรรมะ ต้องเป็นพระภิกษุพูดเท่านั้น” ถ้าคิดแค่นี้ศิษย์ก็จะฟังใครที่พูดธรรมะไม่ได้ “ธรรมะต้องอยู่ในวัดเท่านั้น” ฉะนั้นข้างนอกไม่ใช่ธรรมะหรือ เหมือนกันถ้าชีวิตเราตีกรอบความคิดว่า ฉันต้องสุข ห้ามทุกข์ ฉันต้องดีห้ามร้าย ฉันต้องสำเร็จห้ามล้มเหลว คิดแบบนี้ก็ทุกข์แล้ว ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เข้าใจความจริง ศิษย์ต้องล้างความคิดนี้ออกจากใจ เพราะถ้าล้างไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์
แม้ฟังพระเทศน์หรือแม้แต่พระพุทธองค์ลงมาโปรดศิษย์ก็ทุกข์ เพราะศิษย์อยากมีสุขอย่างเดียว ไม่เข้าใจความทุกข์ ในทุกข์ที่สุดในผิดหวังที่สุด ไม่มีความสำเร็จไม่มีความสุขหรือ (มี)  ยามที่ศิษย์อ่อนแอที่สุด มีความเข้มแข็งไหม (มี)  ในวันที่เราเจ็บปวดที่สุด ไม่มีเรื่องดีๆ ให้เราเห็นบ้างหรือ (มี)  แล้วเราลุกขึ้นมายืนกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องระวังความคิดที่มาครอบงำจิตใจศิษย์ เหมือนที่ศิษย์มองอาจารย์แล้วคิดว่า นี่คือพระอาจารย์จริงหรือเปล่า หลอกกันหรือเปล่า หากคิดเช่นนี้ตลอดก็ฟังอาจารย์ไม่เข้าใจ เพราะความคิดอยู่ข้างใน มองใครก็มองไม่รู้ ฟังใครก็ฟังไม่ชัด
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัว และทำให้เราหนีไม่พ้นเวรกรรม นั่นคือ ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ตัณหา ความโลภหลง
ศิษย์จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง หนีไม่พ้นคือ ทุกข์ บาป เวรกรรม และวิบากกรรมที่ต้องรับ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ต้องชดใช้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง จนลืมซึ่งคุณธรรมความดี ศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์จะต้องกลับไปแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรละ ที่จะแก้ไข โลภ โกรธ หลง นี้ได้ เราไม่เคยจัดการมันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา (ตัวเราเอง)  แล้วโรงงานที่ผลิตโลภ โกรธ หลงคือใคร (ตัวเราเอง)  เช่นนั้นเราควรทำลายโรงงาน หรือควรทำลายโลภ โกรธ หลง (โลภ โกรธ หลง)  พระพุทธองค์จึงกล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถ้าโรงงานผลิตกิเลสยังคงสร้างอยู่ไม่จบสิ้น  แก้กันมาเป็นสิบปีก็ยังแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นตัวเองก็อดหลงตัวเองไม่ได้ (เป็น)  เห็นใครไม่ดีก็อดโมโหโทโสไม่ได้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจอะไรจนชัด เห็นอะไรจนมันแจ่มแจ้งแล้ว เรายังอยากจะได้มันอีกไหม (ไม่)  ถ้าสิ่งที่ศิษย์จะได้ มันทั้งทุกข์ ทั้งเจ็บ ทั้งพลัดพราก ทั้งทำให้เราสูญเสียความเป็นคน หรือทำให้เราสูญเสียชีวิตได้ เราจะมีมันไหม (ไม่มี)  จะเอาไหม (ไม่เอา)  แล้วถึงเวลาเอาไหม (เอา)  แปลว่าเรายังเห็นไม่ชัดใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีเงินแล้วมันเจ็บเพราะเงิน จะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าอยากมีเงิน มีแล้วมันทำให้เราผิดศีล ไม่มีก็ได้ ความอยากนั้นก็จะไม่ฆ่าเรา แล้วส่งผลให้เราต้องทุกข์ ถ้ามีเงินแล้วทำให้เราขาดความเป็นคน ขาดคุณธรรมความเป็นคน มีน้อยหน่อยก็ได้ ดีไหม (ดี)  ถ้ามีเงินแล้วมันทำให้เราต้องทุกข์จนหาที่สิ้นสุดทุกข์ไม่เจอ ก็ควรพอเท่านี้ เราจะหยุดโลภทันทีเลยจริงไหม แต่ถึงเวลาพอมีเงิน เรามักไม่สนใจศีลธรรม ศิษย์เอ๋ย ธรรมะที่เราเรียนรู้ ศีลมีไว้เพื่อไม่ประพฤติผิด ธรรมมีไว้เพื่อดำรงตนให้มีคุณค่า สร้างคุณค่าให้กับตัวเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่วนการรู้แจ้งในธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์และไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ หรือไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าดำรงชีวิตครองในศีล ไม่เบียดเบียนใคร ความโลภนั้นจะทำให้เราทำบาปไหม (ไม่)  ถ้าดำรงชีวิตครองในคุณธรรม จะมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก เราจะโกงใครไหม (ไม่)  เราจะเบียดเบียนใคร เราจะฉ้อฉลไหม (ไม่)  แล้วทุกครั้งที่เราตกเป็นทาสของกิเลส เรามีศีลไหม (ไม่มี)  เรามีธรรมไหม (ไม่มี)  แล้วเรานึกถึงความเป็นจริงไหม (ไม่) มันก็เจ๊งไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทุกข์ แล้วเวียนไปในวัฏจักรแห่งกรรมที่เรียกว่า “ตัวตนเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล” หรือเรียกอีกอย่างว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างและก็เป็นผู้ทำลายทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เป็นตัวตนของผลผลิตกรรมที่เราสร้าง อนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำสิ่งใด ฉะนั้นเมื่อยังมีกรรมก็ต้องเวียนไม่สิ้น เพื่อรับผลกรรม แต่ถ้าเรามีวิถีทางหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรามีโอกาสที่จะทำให้กรรมมันสิ้น แล้วกลับคืนสู่สภาวธรรม โดยที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราสนใจไหม (สนใจ)  และเราคิดว่าเราทำได้ไหม (ทำได้)  เหมือนเวลาที่เรารู้กันโดยส่วนใหญ่ว่า เราเกิดมาเพราะเรามีกรรม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราสิ้นกรรม เราก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังสร้างกรรมอยู่เราก็จะเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าเราไปตีเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง เวลาเขาเอาคืนเขาตีเราคืนเบาๆ ไหม (ไม่)  เขาจะตีเราแบบไหน (ตีแรงมากกว่าเราตี)  ถ้าเราด่าเขาว่า ไอ้โง่ แล้วเขาจะด่าเราคืนว่า ไอ้โง่ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่จะด่ามากกว่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  เราจะเจ็บกว่าเราด่าเขาไหม (เจ็บกว่า)  แล้วที่ศิษย์ไปเอาของเขามาทั้งชีวิต แล้วที่ศิษย์ไปโกงเขามาทั้งชีวิต ไปเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต ทั้งพรากลูก พรากแม่ พรากพ่อเขา เขาจะไม่เอาคืนเจ็บกว่าหรือ และเมื่อกรรมนั้นตกผล ตอนนั้นศิษย์จะร้องขออะไร ขอให้ธรรมะช่วยหรือ ในเมื่อตอนมีธรรมะไม่คิดอยากจะมี แล้วพอมีกรรมถึงอยากจะมีธรรมะ ทันไหม (ไม่ทัน)
ควรจะยั้งก่อนมี หรือมีแล้วค่อยมีธรรม (ยั้งก่อนมี)  แล้วถึงเวลาเรามีธรรมหรือเราสร้างกรรม (สร้างกรรม)  ศิษย์จำไว้นะ เมื่อไรที่ศิษย์ทำอะไรขาดศีลจะตกเป็นทาสของการสร้างกรรม เมื่อศิษย์ทำอะไรศิษย์ขาดคุณธรรม ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรม ฉะนั้น พระพุทธะจึงสอนให้เราเกิดเป็นคน ศีลมีไว้เพื่อละบาป ธรรมมีไว้เพื่อประพฤติความเป็นคนให้ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ที่คนเขายกย่องว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ประเสริฐเพราะคุณธรรม ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นมีคุณอันประเสริฐ ฉะนั้น ถึงศิษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าบาปศิษย์ไม่ละ ศิษย์ก็ยังหาเป็นคนดีไม่ ถึงศิษย์จะทำบุญมากขนาดไหนแต่ใจนั้นยังแอบเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ โกรธ หลง บุญนั้นก็หาบริสุทธิ์ไม่ ถ้ากระทำบุญนั้นยังยึดติดในความถือตัวถือมั่น บุญนั้นก็ไม่เรียกว่าบุญอย่างแท้จริง แต่ยังเคลือบแฝงไปด้วยความหลง ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วไปให้ถึงที่สุด บุญนั้นจะได้มากกว่าบุญ ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วไม่ยึดมั่นหวังวอนขอ บุญนั้นเรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วสามารถชะล้างความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะกลายเป็นบุญแท้ที่นำไปสู่กุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำแล้วยังมีตัวตนไปรองรับ แปลว่าเราอยากได้บุญนั้นเพื่อกลับมาเสวยบุญอีก และเมื่อหมดบุญเราก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วมั่นใจหรือว่าบุญที่ศิษย์สร้างจะพอทำให้ศิษย์กลับเป็นคน ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ควรที่จะตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะทำอะไร ยั้งใจถามตัวเอง ถูกต้องในศีลไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เสียสมดุลจนลืมธรรมะที่แท้จริง หรือเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งศิษย์ก็ไม่เคยผ่านด่านนี้เลยนั่นคือ โดนคนเขาด่า เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่มีใครผ่านได้สักคน หวั่นไหวทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บปวดทุกทีที่โดนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าโดนเขาด่า แล้วเราทำบุญด้วยการให้อภัย นั่นเรียกว่าเรากำลังสร้างทาน แปรบาปให้กลายเป็นบุญ แปรบุญให้กลายเป็นกุศล อภัยแปลว่าในใจยังยึดติดอยู่ แต่ถ้าเขาด่ามา เราเข้าใจความเป็นจริง รักษาจิตให้มันปรกติ มีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงว่ามีคนชมก็มีคน (ด่า)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะพ้นไหม (พ้น)  พ้นแล้วนะ มันไม่มีตัวตนไปรองรับทุกข์อีก ถูกไหม (ถูก)  มันกลายเป็น เช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่ายตายเกิดจนหมดสิ้น มนุษย์จะต้องขจัดความเป็นตัวตนให้หมด เพราะถ้าขจัดความเป็นตัวตนหมดได้ มนุษย์จะสิ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)  
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลง)
“ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา”  ถ้าศิษย์เรียนรู้อะไรเอาแต่มอง แต่ไม่ศึกษาอาจจะทำให้เราโดนหลอกได้ เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ และสิ่งที่เห็นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นให้ใช้การรู้จักฟัง ฟังมากๆ ยิ่งได้กำไรมากใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาแต่มองอย่างเดียวโดยไม่ศึกษาเรียนรู้ โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมเช่นนี้น่าเสียดาย หลักธรรมะโดยส่วนใหญ่บางคนบอกว่าลึกล้ำ ลึกลับ จริงๆ ธรรมะไม่ลึกลับเลยอยู่ที่เราจะค้นหาแล้วศึกษาด้วยความตั้งใจหรือเพียรพยายามหรือไม่
คนตอบคำถามอาจารย์ แล้วจะได้แอปเปิลแห่งความทุกข์มาก แล้วก็สุขมากเอาไหม (เอา)  ให้ก็เอา เอาทุกอย่างเลย เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่จบสิ้นสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนน่ายึดน่าเอาเลย เหมือนตอนที่ศิษย์ยังไม่แต่งงาน ก็อยากแต่ง แต่พอแต่งแล้วก็อยากไม่แต่ง ใช่ไหม (ใช่)
เกิดเป็นคนควรมีคุณธรรมอะไรอยู่ในใจตน ง่ายมากเลยจริงไหม 
(ความเมตตา)  เมื่อเมตตาจะนินทาใครไหม (ไม่)  ถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม (ไม่)  เราจะมีแต่ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นรักษาความเมตตาในใจจนทำให้เราสามารถมีศีล ธรรมและไม่ประพฤติผิด ถ้าเมตตาเราจะเบียดเบียนใครไหม เราจะคดโกงใครไหม (ไม่)  เมตตาแล้วเราจะเข่นฆ่าใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นที่เรานินทาเขาได้ โกงเขาได้ เพราะเราไม่เมตตาพอ จริงหรือเปล่า
(ไม่คดโกง)  ซื่อตรงแล้วอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ถ้าคนไม่อยากจริงๆ อะไรเขาก็จะไม่โลภแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาความซื่อตรงนี้ไว้นะ ถ้าซื่อตรงได้ โลภ โกรธ หลง ก็คงน้อยลง
(การยอมรับความจริง) ถ้ารู้จักยอมรับความจริง เราจะเข้มแข็งได้นะ ยากนะ ทำให้ได้นะ
(ความซื่อสัตย์ ของเราและเขา) ไม่ต้องไม่สนใจเขา ของเราพอ เขามีไม่มีไม่เป็นไร เพราะเราเปลี่ยนคนข้างนอกไม่ได้ แต่เราดูแลใจตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่)  รักษาให้ดีนะ ไม่ใช่แค่นิดหน่อยก็โกงนะ
(ความอ่อนน้อมถ่อมตน)  ตอบได้ดีนะ  ถ้าศิษย์มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ไหนจะเป็นที่รักเลย (ความอดทน)  อดทนนั้น อดทนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เราอดทนได้มากกว่านั้นคือ เข้าใจ เพราะอดทนมันมีเวลาจำกัด มันมีความจำกัด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจ เข้าใจความเป็นคน เข้าใจคนเป็นแบบนี้ ไม่ต้องอดทนเลย คนก็เป็นแบบนี้ อ่อ เราก็เคยเป็นแบบนี้ เขาก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ใช้ความเข้าใจให้กว้างให้ลึกที่สุด แล้วเราจะไม่โกรธใคร แต่เราจะมีแต่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(มีความเพียร)  คนเราจะสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความเพียรพยายาม ฉะนั้นถ้าศิษย์ตั้งใจอะไร อาจารย์ก็คิดว่าขาดความเพียรไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่ล้มเหลว ถามใจตัวเองว่าเราเพียรน้อยไปหรือเปล่า เรายังมีความเพียรในความดีไม่ถึงที่สุดหรือไม่  (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป)  เกิดเป็นคน ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ผิดบาปจะไม่เกิดเลย เมื่อผิดบาปไม่มี ทุกข์และเวรกรรมก็จางหายได้ แต่กลัวอย่างเดียว เล็กๆ กล้าทำ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าประมาทกับสิ่งที่เล็ก เพราะสิ่งที่เล็กเมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  รักษาใจดวงนี้ให้ดีนะ (ละบาปทำความดี)  รู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ อะไรที่เป็นบาปเราจะไม่ทำ แล้วบาปที่น่ากลัวที่สุดคือ (คิดผิดในใจตัวที่ไม่รู้จักบังคับตัวเอง)  ผิดแล้วยังฝืนใจทำ ไม่ได้ฝืนใจ ผิดแล้วยังจงใจทำอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหยั่งรากลึกแห่งธรรมให้เยอะๆ อย่าทำให้ชีวิตต้องมัวหมองเพราะบาปกรรมที่ตัวเองก่อ เพราะเมื่อผลกรรมมันตกผลไม่มีใครช่วยศิษย์ได้นอกจากตัวเอง จริงไหม (จริง)   
(ความซื่อสัตย์ ไม่ขโมยของผู้อื่นและมีธรรมในตน)  ซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่ขโมยของนะศิษย์ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อความเป็นคน ซื่อสัตย์ต่อการอยู่ในครอบครัว และซื่อสัตย์ต่อการดำรงตน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ จะไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ไม่ทำร้ายเพื่อน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน เราจะไม่ฉ้อฉล ไม่คดโกง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทำให้ได้นะ
(นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า กลับบ้านไปสามารถนำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาถวายพระได้หรือไม่)  อาจารย์ให้ศิษย์คิดเองนะ อาจารย์ถามใจของศิษย์ ถ้าเกิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพที่อยู่บนฟ้า สิ่งหนึ่งที่ท่านมีคือ คุณธรรมมหาเมตตาที่ไม่จำกัด อย่างนั้น หัวอกคนมีเมตตาจะเอาชีวิตเขาเพื่อมาบำรุงชีวิตเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนเขาทำบาปเพื่อเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนทำผิด ฆ่าคน เพื่อเราไหม (ไม่)  อย่างนั้น พุทธะอยากได้อาหารเนื้อสัตว์ไหม (ไม่)  แต่อาจารย์เห็นที่ไหว้เนื้อสัตว์ ไม่ได้ไหว้ให้พุทธะ แต่ไหว้เพราะตัวเองอยากกิน จริงไหม (จริง)  ส่วนตอนนี้การที่ศิษย์จะกินเจหรือไม่ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้บังคับ เพราะเมตตาจิตต้องออกมาจากจิตที่ตั้งใจจริงๆ  จึงเรียกว่าเมตตา ถ้าออกมาจากการบังคับก็ไม่ใช่เมตตา แต่คือการข่มใจ แต่การกินเจต้องเกิดจากใจเมตตา เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่ศิษย์กินล้วนต้องเกิดจากการฆ่า รู้ แต่ศิษย์ทำเหมือนไม่รู้ ศิษย์รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ศิษย์เจ็บจากการโดนมีดบาดหนึ่งที ศิษย์ยังร้องโอย ไกลหัวใจ แต่ร้องเหมือนถูกเชือด
เล็บหลุดแค่นี้ยังเจ็บแทบตาย แล้วความตายที่ศิษย์ไปยัดเยียดให้กับสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เพื่อมาเสวยความอยากของเราแค่ไม่กี่คำ แล้วกลืนลงไปก็ออกมาเป็นของเสีย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า งดได้ก็งด ละได้ก็ละ  เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ต้องรับ ถึงศิษย์จะมีน้ำตานองหน้า ขอพระพุทธะก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำเอง ฉะนั้นหัวอกของคนที่เรียกว่า มนุษย์ประเสริฐควรหรือที่ทำบาปเพียงเพื่อสนองความอยากของตัวเอง อาจารย์ถามจริงๆ นะ ไม่กินเขาแล้วเราจะตายไหม (ไม่ตาย)  ไม่กินเขาแล้วเราอยู่ได้ไหม (อยู่ได้)  พระพุทธะที่มีคนนับถือ มีคนกราบไหว้ เพราะเขายอมลำบากเพื่อคนอื่น เลือกให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบาย จึงเรียกว่า จิตแห่งพุทธะ จิตของคนที่มีธรรม แต่คนปัจจุบันนี้ ตัวเองสบายคนอื่นจะลำบากก็ช่างเขา อย่างนี้เรียกว่า จิตพุทธะหรือจิตมนุษย์ (จิตมนุษย์)  ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนไม่มีทางเลือก ทางมีให้เลือกแต่ศิษย์จะเลือกทางไหน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ใช่มีแค่สองทางคือนรกกับสวรรค์ แต่ยังมีอีกทางที่เรียกว่า ทางพ้นทุกข์นิจนิรันดร์ ก็คือทางกลับคืนสู่สภาวธรรมในใจตัวเอง กายกลับคืนสู่ดิน แต่จิตต้องกลับคืนสู่ฟ้า เมื่อใดที่มนุษย์ยังยึดถือความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏแห่งการเวียนว่าย คือผลแห่งกรรม แต่เมื่อใดที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ อาจารย์ให้ศิษย์ยังทำเหมือนเดิม แต่อย่าทำบุญแค่เอาบุญ แต่ทำบุญไปให้ถึงกุศลและความสิ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรมด้วยการที่ทำแล้วสลัดความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่โลภมาก จะได้ปลงได้บ้าง ให้ไปเลย นั่นไม่ใช่แค่บุญ แต่ยิ่งกว่าบุญคือได้กุศล ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้กระชากความหลงความยึดติดที่เราเคยมีมานาน ยากไหมไม่ยากเลย แล้วทุกครั้งที่เวลาใครว่าเรามา ดี ขอบคุณ ฉันจะจบกรรมวันนี้ โดนด่าฉันจะขอบคุณ เพราะถ้าด่ากลับก็เป็นเวรกรรมไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  ถ้าแช่งชัก ไม่เป็นไรอดทนไว้ อย่างนี้ก็ยังไม่สิ้นกรรม เราต้องสามารถสิ้นกรรมจนใจนี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่หวั่นไหว ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา กลับคืนสู่ความสมดุล นั่นเรียกว่ากลับสู่ธรรม ไม่ห่วงตัวเองหรือศิษย์ ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ในเมื่อมีโอกาสที่จะไปอีกทางหนึ่ง ให้ถึงที่สุด ทำไมเราไม่ไป 
“ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา” เวลาที่ศิษย์ทำอะไรก็ตามโดยเชื่อในหลักความถูกต้อง เชื่อในหลักความดีงาม แต่ความเชื่อนั้นต้องไม่อำพรางปัญญาที่แท้จริง เขาทำตามกันมาแล้วศิษย์ก็ทำ ทำอย่างไรที่บุญนั้นไม่ก่อบาป บุญนั้นไม่อิงแอบไปด้วยความโลภ ถ้าบุญนั้นยังมีบาปอยู่ บุญนั้นยังไม่บริสุทธิ์ แต่บุญนั้นต้องสามารถชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหมดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหาในใจได้ บุญนั้นจึงจะบริสุทธิ์และบุญจะกลายเป็นกุศล นำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ได้ 
ศิษย์ยังมีบ้านที่ต้องกลับ กายยังรู้จักกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านหรือ เราคือหนึ่งในธรรมะ เราคือหนึ่งในสภาวธรรม และทุกคนมีสภาวธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่คิดกลับบ้านที่แท้จริงหรือ ทำไมอยากกลับแต่บ้านที่มันมีแต่เวรกรรมทุกข์สุข ไม่เคยอยากกลับบ้านที่แท้หรือ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่ศิษย์ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ไม่ต้องมาร้องขอให้อาจารย์ช่วยอีก แต่บ้านนั้นจะค้นพบได้ด้วยตัวศิษย์ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติ จริงไหม (จริง)  เวลาท้อแท้ เรามีบ้านให้พึ่งพิง แต่เมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์ยังมีธรรมะให้ศิษย์พ้นทุกข์ มีธรรมะให้ศิษย์กลับคืน ฉะนั้น อย่าลืมธรรมในตัวเอง ธรรมที่บริสุทธิ์งดงาม ร่มเย็น ธรรมที่ไม่ต้องการอะไรเลย แต่มันคือความบริสุทธิ์ใสที่แท้จริง
อาจารย์ก็ไม่อยากร้องไห้หรอก แต่เสียดายจริงๆ ที่ศิษย์ยังทำไม่ได้ แล้วถึงที่สุดศิษย์ก็ไม่ทำ ช่างน่าเสียดาย รู้จนถึงที่สุด แต่ถึงที่สุดก็ไม่ทำ ที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถึงที่สุดก็เลือกทำในสิ่งที่ไม่ดี ประคองรักษาความดีงามในใจตัวเองนะ อย่าพ่ายแพ้กิเลส อารมณ์ และความอยากเพียงชั่ววูบ ไม่เคยมีอะไรที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บไม่ทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ไม่อยากได้อะไรในโลกนี้แล้ว จริงไหม (จริง)  เราเคยมาหมดทุกอย่างแล้วนี่ พอไม่ได้หรือ หยุดไม่ได้หรือ โกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วเราก็เจ็บ โลภ หลงมาแล้วได้อะไร เราจะสูงกว่าคนอื่นไหม เราก็ต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดาเหมือนกัน จริงไหมมาตัวเปล่าก็ต้องกลับ (ตัวเปล่า)  มาแบบไม่มีก็ต้องกลับสู่ (ไม่มี)  แล้วจริงๆ เรามีอะไร เราอยากมีอะไร อยากเพื่อให้เจ็บ เจ็บเพื่อให้ทุกข์ ทุกข์แล้วก็ทุกข์อีก แล้วถึงเวลาต้องมาทำใจดับทุกข์ ไตร่ตรองให้ดีนะ สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้เพื่อตัวศิษย์เอง ถ้ารู้ได้เราก็พ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  อย่ากลัวความพ่ายแพ้ คนที่กล้ายอมแพ้คือคนที่ชนะแท้จริง แต่คนที่ไม่เคยแพ้แล้วพยายามไม่อยากแพ้ นั่นคือคนที่แพ้อย่างแท้จริง 
อย่ากลัวความทุกข์ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์มันมีทางพ้นทุกข์อยู่ในนั้นอยู่แล้ว อาจารย์ก็ขอบคุณในความมุ่งมั่นตั้งใจของศิษย์ รักษาสิ่งที่ถูกต้องอย่าทำในสิ่งที่ผิดบาปเลย ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องรับผลของการกระทำนั่นก็คือตัวเราเอง บำเพ็ญให้ดี ไปให้ถึงที่สุด ถ้ายังมีอัตตาตัวตนเราจะไม่มีวันสิ้นทุกข์ อะไรที่ทำให้เราสิ้นอัตตาตัวตน สิ่งนั้นคือการตัดภพเวียนว่ายตายเกิดได้ “ทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน” ทำดีแล้วรักษาความดีต่อไป ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะศิษย์ เข้มแข็งไม่อ่อนแอ  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเกียจคร้าน ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
บำเพ็ญยากไหม ไม่ยาก แต่กลัวศิษย์ไม่ทำ  ดูแลตัวเองให้ดีนะ รักษาความดีงามไว้ มีจิตใจที่มุ่งมั่นเป็นสิ่งที่ดี มีจิตใจเมตตาก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้รักษาจิตใจมุ่งมั่นและเมตตาไปพร้อมกัน อาจารย์คงต้องไปแล้ว บุญของศิษย์อยู่ที่ความกตัญญูรู้คุณ บารมีของศิษย์ก็อยู่ที่คุณธรรม ฉะนั้น รักษาบุญกับบารมีนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ถูกต้องนะ
พากเพียรจนถึงที่สุด นั่นแหละคือหัวใจของศิษย์และหัวใจของอาจารย์ที่เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวลำบาก เสียสละอุทิศเพื่อผู้คน ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวทุกข์
ศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์พูดอย่างหนึ่งยอมฟังไหม ยอมรับความจริงเถิดนะ อย่าฝืนเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริง กลับไปเริ่มต้นใหม่ ศิษย์อย่าไปฝืนเลย มันเจ็บพอแล้ว มันทุกข์พอแล้ว เริ่มต้นใหม่เถอะเชื่ออาจารย์ ได้ไหม อย่าฝืนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
บุญรักษานะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ขอความเข้มแข็งจงมีแด่ศิษย์ทุกคน ลุกขึ้นเดินนะ ดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์เลย มีโอกาสกลับมาร่วมศึกษาบำเพ็ญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าธรรมะในใจตัวเอง อย่าหลงพลาดผิดเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำให้ชีวิตต้องพังทลายเลย น่าเสียดายนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องนั้นอาจจะแลกด้วยน้ำตา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องอาจจะฝืนใจ แต่ถ้าผ่านได้ เราคือผู้ที่เข้าใจสภาวธรรมอันว่างเปล่าจากตัวตน กลับคืนสู่ธรรมกันเถิด ตัวตนมีแต่ความทุกข์ กลับสู่ธรรมกันไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ศีล ทำ”

ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา    ศรัทธามีโลภหลงอยู่
สับสนในความรู้รู้   จะอยู่มีธรรมเมื่อไร
ต้องใช้สติมานำ    ศีลธรรมยั้งใจเอาไว้
ครองธรรมสถิตคู่กาย ไม่แพ้กิเลสอารมณ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562

2562-10-26 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น

西元二〇一九年嵗次已亥九月廿八日                  仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒         สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง
  อย่าปล่อยอยากจนลืมมองความจริง  สรรพสิ่งล้วนมาจากธรรมชาติหนา
ใครเจ้าของล้วนเปลี่ยนผันไปหลายหน้า แค่ยืมใช้สักวันหนาต้องคืนไป
                    เราคือ
  เสียวเสี่ยวเซียนถง (小小仙童)  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก น้อมกายกตัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                  ถามเมธีทุกท่านอยากสนทนาธรรมกับเราหรือเปล่า
  คนพึงรู้การใช้จังหวะจะโคน           ฝึกอ่อนโยนงามสง่าดั่งม้าย่าง
ขาดฝึกใจคนยิ่งกว่าลิงค่าง               แม้ไล่จับยังชรายังไม่พอ
ประคองใจไม่อยู่มักไม่ได้พัก             แปรชังนักเป็นชอบได้เมื่อไรหนอ
แค่ใจสู้แต่ไม่รู้จักตัวพอ                   แม้กำลังไปต่อทำตัวเองงง
พูดปั้นน้ำเป็นตัวอย่าว่าแค่               จนน้ำเต็มแก้วแย่ยังเฉยส่ง
ใจแคบมีแต่ความคิดเจาะจง             แก้วน้ำโล่งแล้วเก่งแบบตัวจริง
อย่าเอาแต่ชมชื่นตัวเองอยู่               รู้ทั้งรู้ดื้อก็เพราะรู้ยิ่ง
เสยหัวเหม่งรั้นหัวชนฝากระทิง          จำพวกกลิ้งตากลมฉลาดแบบดึงดัน
เลยรีบคุยกับจิตใจใฝ่ทบทวน            ธรรมในใจอะไรสมควรทำแบบนั้น
รักษาศีลเหมาะสมลดผูกเลิกพัน         สติทันอารมณ์อัตตาคลายปมหลายปม
เหมือนบำเพ็ญยังไม่เป็นหรือไรหนอ     รู้ตัวก็ต้องแก้อย่างเหมาะสม
ไม่ใช่ก้าวหน้าแต่ไม่เคยล้ม               อย่าลอยลมถ้าหมายมั่นสู่นิรันดร์
                                                                              ฮิ ฮิ หยุด



พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง

เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  ฟังต่อได้ไหม (ได้)  เมื่อสักครู่เราแค่แกล้งลองถามท่าน ว่าท่านเป็นคนใจกว้างหรือใจแคบ (กว้าง, แคบ)  คนใจกว้างฟังอะไรก็ได้  ฟังอะไรก็ไหวใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนอดทนเก่งไหม (เก่ง)  เห็นชมตัวเองตลอด ทั้งใจกว้าง ทั้งอดทนเก่ง ทั้งไหว แต่ถึงเวลาไหวหรือไม่ไหว (ไหว)  สู้หรือไม่สู้ (สู้)  ตื่นหรือยัง (ตื่นแล้ว)  ถ้าเช่นนั้นเราเปลี่ยนบรรยากาศจากการที่ฟังธรรมเฉยๆ มาเป็นคุยแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันดีหรือไม่ (ดี)  ได้ไหม (ได้) 
โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงธรรมะ ท่านจะมองเรื่องความดีคือธรรมะ ทำบุญใส่บาตรคือธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ก็เป็นธรรมะและไปวัดก็เป็นธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  พระและองค์พระก็คือธรรมะใช่ไหม (ใช่)  เรารู้ธรรมะแค่นี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วเรามักจะพูดว่า ถ้าพูดถึงธรรมะก็ต้องเป็นพุทธศาสนาถึงจะเรียกว่าธรรมะใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เราลองมาปรับความคิดกัน ดูว่าความคิดเราจะตรงกันไหม โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงธรรมะเราก็จะมองใกล้ๆ กันว่าธรรมะคือแค่ความดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีศีล มีธรรม เรียกว่าธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมะมีมากกว่านั้นไหม (มี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
(เสียวเสี่ยว(小小) แปลว่า เล็กมาก)
เราคือ เสียวเสี่ยวเซียนถง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเล็กมากจนแทบไม่มีตัวตนเลย ถ้าท่านเข้าใจความนัยที่เราพูด ท่านจะอยู่บนโลกอย่างไม่มีทุกข์ ยิ่งมีอัตตาตัวตนมากเท่าไร ยิ่งยึดมั่นถือมั่นความมีตัวตนมากเท่าไร เราก็จะยิ่งทุกข์มากเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรตัวตนเราหดหาย ตัวตนเราไม่เหลือเป็นความว่างเปล่า ทุกข์จะเกาะกินได้ที่ใดจริงไหม (จริง)  อยู่ที่ไหนพอมีชื่อเรา เราก็พร้อมจะเจ็บ อยู่ที่ไหนพอมีเราเกี่ยวข้อง เราก็พร้อมจะทุกข์ อยู่ที่ไหนพอมีเราไปผูกพัน เราก็พร้อมจะเจ็บช้ำ ใช่หรือไหม (ใช่)  แต่ถ้าไปอยู่ที่ไหนแล้ว เห็นความสำคัญฉันบ้างเคยเห็นฉันในสายตาไหม แล้วใครเจ็บ
บางครั้งอยู่ในโลก การมีตัวตนมันเจ็บปวด บางทีเรามีเหมือนไม่มีบ้างก็ดีนะ ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนมากเท่าไร ยิ่งเห็นว่าตัวเองสำคัญมากเท่าไร เราก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น ฉะนั้นบางครั้งมีเหมือนไม่มีบ้างก็ได้ อยู่แบบใครไม่เห็นค่าบ้างก็ได้ เรารู้คุณค่าตัวเองก็พอ คนขี้น้อยใจก็ต้องเศร้าใจ
คิดมากไปยึดมั่นมากไป คนที่ทุกข์ก็คือคนที่คิดใช่หรือไม่ บางทีทำตัวเองเหมือนว่างเปล่าบ้างก็ได้ เพราะบางครั้งความมีมันเจ็บ ไม่มีก็เจ็บ แล้ว
ในโลกนี้มีอะไรแล้วเหมือนมีบ้าง

มีสามีเหมือนมีไหม (ไม่มี) มีเงินเหมือนมีไหม (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีบ้านแล้วเหมือนมีบ้านไหม (ไม่มี)  ไม่ค่อยกลับบ้านชอบออกนอกบ้าน
มีงานแต่ทำตัวเหมือนคนไม่มีงานใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ากลัวความไม่มีเลย บางครั้งความไม่มีก็ทำให้เราเบาสบายใจได้เหมือนกันจริงไหม (จริง)  โดยส่วนใหญ่คนก็จะบอกว่าชีวิตนี้ก็ยุ่งมากพอแล้ว มีธรรมะไปทำไม แล้วฟังธรรมะให้เข้าใจไปเพื่ออะไร ฟังธรรมไปแล้วก็ยังเอาตัวไม่รอดแล้วให้บำเพ็ญอีก เรื่องยากใหญ่เลย แต่บางครั้งท่านเคยได้ยินไหม คนที่มีธรรมะแม้จนก็รวยได้ แม้อัปลักษณ์ก็งามได้ และคนที่มีธรรมะแม้โง่แต่ก็มีปัญญาทัดเทียมคนฉลาดได้ แล้วคนไม่สวยแต่เป็นคนมีเมตตา เป็นคนใจดีเรียกว่าสวยไหม (สวย)  และบางคนสวยหน้าตาดีแต่ใจดำ สวยไหม (ไม่สวย)  สวยแต่กิน
ไม่ลง จริงไหม

ฉะนั้นมีธรรมดีไหม (ดี)  แล้วธรรมะทำคนจนไม่จริง เชื่อหรือไม่ คนที่มีธรรมะแม้จะจนอย่างไร แต่หากเขามีธรรมะ แม้รู้ว่าตัวเองไม่ค่อยมี แต่พอมีใครขอก็ให้ ถ้าคนมีธรรมะสงสาร ให้เขา กินน้อยหน่อยไม่เป็นไร ให้เขากินอีกหน่อย อย่างนั้นเราควรมีธรรมะเสริมบารมีตัวเองดีไหม (ดี)  เสริมหน้าตาดูดีไหม (ดี)  เสริมปัญญาเราดีไหม (ดี)  แล้วเราควรมีธรรมะไหม (ควร) 
คนหน้าตาไม่สวยแต่น้ำใจดี คนหน้าตาไม่ดี แต่รู้จักรับผิดชอบ ซื่อตรง จริงใจ จะน่ารักมากขึ้นจริงไหม คนตัวดำผมหยิก เตี้ยก็เตี้ย แต่เวลาไปไหนเจอใครก็ทักทาย สวัสดี น่ารักไหม แต่อีกประเภทหนึ่ง หุ่นดี สมาร์ท หล่อ แต่เวลาเจอใครไม่ทักทาย หล่อแต่กินไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคน
เราควรมีธรรมะไหม (ควร)  แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะใช้ธรรมะทำให้เรา
มีปัญญาแล้วเข้าถึงความจริง ทำอย่างไรที่จะทำให้เราใช้ธรรมะแล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข ตามความเข้าใจเรา ธรรมะคือความดี  เราก็ปฏิบัติดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมบางคนปฏิบัติดีแต่ไม่น่ารัก จริงไหม (จริง)  ปฏิบัติดีแต่หน้ายักษ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยไหมเราปฏิบัติดีกับผู้คนกับคนอื่นแต่เขาไม่ต้องการ เคยไหม (เคย)  เราปฏิบัติดีกับคนอื่นแต่เขารำคาญ เช่นนั้นแปลว่าเรากำลังปฏิบัติธรรมผิดใช่หรือไม่ (ใช่, ไม่ใช่) เราเลิกปฏิบัติเลยดีไหม (ไม่ดี)  เราอย่าลืมว่าทองแท้ต้องไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงต้องไม่กลัวมารและอุปสรรคใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าคนดี

ธรรมะคือความจริงอันเป็นธรรมดา อะไรที่เป็นธรรมดานั่นคือความจริงที่เรียกว่าธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  คนด่าเราก็คือธรรมดา  คนเอาเงินเราไปแล้วไม่คืนก็คือธรรมดา สามีเราไปมีกิ๊กใหม่ก็คือธรรมดา เขาสวยกว่าเรา เรากลายเป็นคนน่าเกลียดเราก็คือ ธรรมดา จริงไหม (จริง)  มีชมก็มีด่า มีได้เปรียบก็มีเสียเปรียบ มีได้ก็มีเสีย มีสวยก็มีขี้เหร่ ใช่หรือไม่ ล้วนเป็นธรรมดา  ธรรมะอันเป็นธรรมดาและเป็นจริงที่หนีไม่พ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นผู้ใดที่ประจักษ์แจ้งในความเป็นจริง ผู้นั้นจะเข้าสู่สภาวธรรมอันทำให้คนนั้นพ้นทุกข์  ถ้าเราอยากอยู่กับธรรมะได้เราต้องสอดคล้อง กลมกลืนและสมดุล  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเกิดมาเราก็ต้องอยู่กับธรรม และเราเกิดมาเราก็ต้องใช้กรรม และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ
คนตายได้แต่ธรรมะไม่เคยตาย ถ้าสามารถเข้าใจธรรมะและสามารถอยู่ร่วมกับธรรมะได้อย่างกลมกลืนสอดคล้อง ธรรมะจะทำให้เราไม่ตาย แต่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้เราตายไวและทำให้เราตายทั้งเป็น ธรรมะสอนว่าในสิ่งที่ขื่นขม เราสามารถค้นหาความหวานได้ ถ้าในสิ่งที่ทุกข์ทน เราสามารถหาทางพ้นทุกข์ได้ เราก็คือผู้เอาธรรมะมาประจักษ์แจ้งจนนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ และสอนคนโดยไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงอะไร เอาตัวเองเป็นตัวอย่าง ลูกเป็นอย่างไรก็ล้วนมาจากพ่อแม่เป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างไร
เราก็ติดเชื้อพ่อแม่มาอย่างนั้น เกลียดพ่อจังเลยพ่อเป็นคนแบบนั้น เกลียดแม่จังเลยแม่เป็นคนแบบนั้น ถ้าหันมาดูตัวเอง ตัวเองก็มีสิ่งที่ตัวเองเกลียดพ่อแม่อยู่ในตัวเรา ถ้าเมื่อใดมนุษย์ประจักษ์แจ้งในความเป็นจริงแห่งธรรมะ มนุษย์จะสามารถอยู่ในโลกและพ้นทุกข์ได้

ฉะนั้นจำไว้นะ ธรรมะคือความจริงอันเป็นธรรมดา ผู้ใดที่สามารถ
อยู่ร่วมได้อย่างกลมกลืนและสอดคล้องไม่เสียสมดุล คนนั้นจะสามารถหาทางพ้นทุกข์และดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง แม้เขากำลังจะว่าเราก็ตาม จริงหรือไม่ (จริง)  ธรรมะไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ทุกขณะเราสามารถปฏิบัติและรู้แจ้งในธรรมได้ คนฉลาดเขาไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปแล้วมานั่งเสียใจ แต่คนฉลาดเขาจะรู้จักเอาทุกเรื่องมาทำให้ตัวเองสูงขึ้น เก่งขึ้น และเข้าใจธรรมะมากขึ้น เพราะทุกชีวิตล้วนคือธรรม หนีไม่พ้นธรรม และธรรมจึงจะยืนยง แต่อัตตาตัวตนล้วนเสื่อมสลาย จริงหรือไม่ (จริง)  ก่อนเราเกิดมาธรรมะก็มี แม้แต่เราตายไปธรรมะก็ยังคงอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้ประจักษ์แจ้งในธรรมอันเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนดังคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ทุกความเป็นจริงแห่งธรรม ล้วนมีสัจจะแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ ผู้ใดประจักษ์แจ้งในสัจจะ ผู้นั้นจะตื่นรู้และค้นพบความจริงอันบริสุทธิ์จนเกิดปัญญาแจ่มแจ้ง”

เหมือนเวลาเรามองอะไรอย่างหนึ่ง (ท่านเสียวเสี่ยวเซียนถงเมตตา ยกโถกำยานบนโต๊ะพระขึ้นมา)  อันนี้เป็นธรรมะไหม อยากเห็นธรรมะไหม (อยาก)  อย่างนั้นต้องรอให้มันตกแตกแล้วจึงเห็นธรรมะหรือ แล้วชีวิตทำไมต้องรอให้ตัวเองทุกข์จึงเห็นธรรม ในความเป็นจริงมันมีธรรมซ่อนอยู่แต่เราปิดบังตัวเองไว้จริงไหม (จริง)  ทำไมต้องรอให้เจ็บแล้วเข้าใจธรรม ทำไมต้องรอให้ทุกข์แล้วค่อยพยายามค้นพบความสุข ทำไมต้องรอให้พลัดพราก ทำไมต้องรอให้เจ็บปวด เราดูถูกตัวเองไปหรือเปล่า ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งมีธรรมซ่อนอยู่ภายใน ไม่ต้องค้นแค่หยั่งให้ถึงมันก็รู้ เหมือนเราถามท่านว่า โถกำยานนี้มีวันแตกไหม (มี)  แล้วเราถามท่านนะตัวเรามีวันแตก มีวันเจ็บ มีวันสูญเสียไหม (มี)  มีวันทุกข์และมีวันพลัดพรากไหม (มี)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เจ็บ เมื่อไรที่ทุกข์ พลัดพราก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ก็มันเป็นจริงอันเป็น (ธรรมดา)  ถ้าเสียสมดุลก็คือไม่เข้าใจธรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ทุกข์จงมองออกให้เห็นความจริงอันเป็น (ธรรมดา)  เพราะธรรมะคือความเป็น (ธรรมดา)  ธรรมะคือความจริงอันเป็นธรรมดาที่เป็นกลาง มีทุกข์ก็คือเอียง มีสุขก็คือเอียง มีได้ก็คือเอียง มีเสียก็คือ (เอียง) เข้าใจว่ามันมีได้มีเสียคือ (กลาง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเสียก็จะรู้สึกว่า เดี๋ยวมันก็ได้ถ้าไม่ยอมแพ้  แล้วเวลาได้ก็จะรู้สึก (ธรรมดา)  เวลาได้มันก็จะไม่หลงเพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่ได้มานั้นเราเสียไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ถูกสามสิบเสียไปกี่บาท ได้สองตัวเสียไปกี่ร้อย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วจริงๆ ได้หรือเสีย (เสีย)  ปลอบใจตัวเอง ถูกสองตัวได้มาตั้งสองพัน แต่ที่แล้วมาเสียไปกี่พันก็ไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมองให้ดีๆ ถ้าท่านมีสติดำเนินชีวิตอย่างเข้าใจธรรมท่านจะไม่หลอกตัวเอง เหมือนเราถามว่าให้เราหนึ่งร้อยแล้วเราจะให้หนึ่งพันเอาไหม (เอา)  ของฟรีมีในโลกไหม ให้หนึ่งร้อยเดี๋ยวเราให้หนึ่งพันเอาไหม (ไม่เอา)  ตอนนี้บอกไม่เอา พอเขามาหลอกล่อนิดหน่อยก็บอกว่ารอเดี๋ยวจะไปกดเงินให้
ธรรมะที่เราพูดยากไหม เราขอถามท่านว่า เคยโกรธไหม เคยด่าคนไฟแลบไหม เคยแช่งชักหักกระดูกใครไหม เคยโกหกไหม เคยขโมยไหม (เคย)  ทำหมดทุกอย่างเลยใช่หรือไม่ แล้วยังมีอะไรที่ยังไม่เคยอีก เคยเห็นคนด่าคนอื่นไหม เขาโกหกเราเป็นธรรมดาไหม เราโกหกเขาเป็นธรรมดาไหม ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์ประจักษ์แจ้งในความเป็นจริงแห่งธรรม เห็นตัวเองชัดและยอมรับความผิดพลาดของตนเองมากเท่าไร เชื่อเถอะว่าท่านจะเข้าใจผู้อื่นได้มากเท่านั้น และไม่สามารถที่จะว่าใครได้เลย เคยด่าคนอื่นไหม แล้วคนอื่นเขาด่าคนอื่นบ้างผิดไหม เราไม่ผิดแต่เขาผิด ไม่ถูกนะจริงไหม (จริง)  เรามีความเป็นมนุษย์เหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  เราโกรธ เราว่า เราขโมยเป็นเหมือนกันไหม (เหมือน, ไม่เหมือน)  เหมือนกัน แต่มากน้อยต่างกันแค่นั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรที่เรามีความเข้าใจในตัวเองและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นมากเท่าไร เราจะไม่สามารถโกรธคนอื่นได้และว่าคนอื่นได้เลย เพราะสิ่งที่ว่าเขา ไปขโมยของเขาตัวเองก็ (เป็น)  ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ธรรม ธรรมะจึงสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา ว่าโลกนี้ไม่ได้อยู่เพียงภายนอก แต่มันอยู่ภายใน ในตัวเรามีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมนั้นเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเอาความเข้าใจที่เป็นธรรมดานั้น มายกตัวเองให้สูงขึ้นหรือมากดตัวเองให้ต่ำลง (สูงขึ้น)  ขึ้นอยู่กับตัวท่านเลือกเดินเองใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่นี้พอเข้าใจธรรมะไหม
อยากกลับบ้านไหม ทุกคนล้วนมีบ้าน แต่บ้านจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าธรรมอยู่ที่ไหน (ฟ้า)  อยู่ฟ้าหรือ แล้วทำตัวเหมือนคนมาจากฟ้าหรือทำตัวเหมือนคนมาจากดิน ถ้าคิดว่าตัวเองมาจากฟ้าแล้วอยากกลับฟ้าก็จงทำตัวให้เหมือนฟ้า อย่าทำตัวเหมือนคนมาจากดินแล้วอยากกลับลงดินนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำตัวเหมือนคนบนฟ้าหรือคนบนดิน (บนฟ้า) สิ่งที่เราพูด เราไม่ได้บอกให้ท่านปฏิเสธการทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่) พื้นฐานของความดียังต้องมีอยู่ พื้นฐานของศีลธรรมยังต้องมีอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนปฏิบัติธรรม หากไม่มีศีลไม่มีธรรมก็เรียกว่าคนไม่ดี ใช่หรือไหม (ใช่) ถ้าไม่อยากรับผลก็จงอย่าสร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องทุกข์ทน ไม่มีใครทำร้ายเรา นอกจากตัวเราทำตัวเอง ไม่มีใครเปลี่ยนเราได้ นอกจากเราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฉะนั้นธรรมะเน้นย้ำให้เราหันกลับมามองตัวเอง ยิ่งมองตัวเองมากเท่าไร เข้าใจตัวเองมากเท่าไร ท่านจะเข้าใจผู้คนมากเท่านั้น หากวันหนึ่งท่านศึกษาธรรมท่านจะพบความจริงอย่างหนึ่งที่ธรรมะสอนไว้ว่า “ไม่ต้องออกไปข้างนอก ไม่ต้องไปเรียนรู้มากมาย บางครั้งก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับเรียนรู้ใจตัวเอง”
เห็นแจ่มแจ้งและเข้าใจผู้คน เห็นแจ่มแจ้งไหม เราด่าเป็นไหม เราโกรธเป็นไหม เราขี้หวงเป็นไหม เราเอาเปรียบคนเป็นไหม เรากินแรงคนไหม เราก็เคย เราเจ้าเล่ห์ฉ้อฉลไหม เราก็เป็น ยิ่งเราเป็นมากเท่าไร และเรายอมรับความเป็นจริงมากเท่าไร เราก็จะยิ่งเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเข้าใจผู้อื่นเชื่อหรือไม่ว่าต่อไปท่านจะไม่กล้าตำหนิติเตียนหรือเกลียดชังใคร เพราะเข้าใจความเป็นคนอันเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นถ้ารักษาความเป็นกลางได้ ท่านก็จะพ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่ (จริง) 
มีโอกาสกลับมาศึกษาต่ออีกได้หรือไม่ ขอเพียงอย่าดูถูกคุณค่าธรรมในใจตัวเอง ไม่ต้องไปศึกษาธรรมไกลที่ไหน อย่าลืมศึกษาธรรมในใจตนเอง มีธรรมหรือยัง เห็นธรรมในใจตนเองหรือยัง ถ้ายุติธรรมพอก็ยุติธรรมกับคนอื่นได้ ถ้ามีธรรมมากพอธรรมนั้นก็นำพาให้เราพ้นทุกข์และช่วยคนอื่นได้
โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  แค่ทำตัวให้ถูกให้ดีงาม อย่าเป็นคนเก่งแล้วน้ำเต็มแก้วไม่มีประโยชน์ ทำตัวเป็นแก้วว่างเปล่าก็ดีนะ เพราะเมื่อไรที่คิดว่าตัวเองมีเราก็จะอดอวดไม่ได้ ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีเราก็จะไม่อวดใคร อย่าลืมนะว่าเก่งแค่ไหนก็มีคนเก่งกว่า ฉลาดแค่ไหนก็มีคนฉลาดกว่า สวยแค่ไหนก็มีคนสวยกว่า ดีแค่ไหนก็มีคนดีกว่า อย่างนั้นเราไม่ดีเลยดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นมีธรรมก็อย่าลืมความกลมกลืนสอดคล้องและสมดุล โดยไม่ลืมความเป็นกลาง



วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒             สถานธรรมฮุ่ยอวี้  จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ว่าคนอื่นน้ำเต็มแก้ว                    แล้วเราล่ะเป็นบ้างไหม
หนึ่งนิ้วที่ชี้ว่าไป                           สามนิ้วเหลือหาตัวเอง
                    เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                  ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

เจ้าท้อเจ้าเหนื่อยบ้างไหม  ต้องกลั้นน้ำตาไว้ลำพัง เคราะห์กรรมซัดโดยไม่ยั้ง เจ้าอยากเป็นอย่างไร วันนี้เมื่อยังไม่พ้น อยู่เพื่อแพ้กับทนสู้ไหว เลือกชีวิตเพราะทำได้ ทำเถอะเพื่อเจ้าเอง
พอเมฆคลายใจตายไปกลับฟื้น จงกลับคืนสู่ฟ้าด้วยเท้าเปล่า ฟ้าของใครเดินก้าวไปให้สุด ลดฟ้าให้เตี้ยมารอเจ้าคืนไหม เวลางดงามทำให้ดีรู้ไหม ศิษย์อยู่ไหนขอใจมีตะวัน ( ซ้ำทั้งเพลง,    )
ทำนองเพลง : เขียนถึงคนบนฟ้า
ชื่อเพลง : ขอใจมีตะวัน



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ส่วนใหญ่เรามองเขาดีหรือร้าย (มองดี) ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม ตาเราจะบ่งบอกความคิดหรืออารมณ์ที่ซ่อนอยู่ภายในใจเสมอใช่หรือไม่  ทำให้เวลาที่เรามองสิ่งใดก็ตามจึงมองได้ไม่แจ่มชัด และมองเขาเหมือนมีอะไรบังใจเราอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะคนที่เรารู้จัก เรามองเขามองแบบมีอารมณ์ร่วมหรือไม่มีอารมณ์เลย นี่จึงทำให้มนุษย์เวลาอยู่ที่ไหนจึงไม่สามารถรักษาใจให้บริสุทธิ์ดังเดิมได้ ใช่หรือไม่ และอยู่ที่ไหนก็ไม่สามารถมีอิสระทางความคิดและการมอง หรือการฟังได้จริงไหม เพราะทุกขณะที่เรามอง เรามีความคิดแอบแฝงอยู่ มีความรู้ความเชื่อมั่นในตนเองอยู่ จะมองจะฟังอะไรก็เลยไม่อิสระเต็มที่ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เคยไปทำบุญไหม (เคย)  ภาวะจิตในตอนนั้นมันเป็นอย่างไร (ดี)
ศิษย์สบายใจใช่ไหม แต่พอหันกลับไปเจอคู่อริเป็นอย่างไร บุญเมื่อสักครู่มีอยู่ไหม้ทันที หากวันหนึ่งศิษย์ต้องมีอันเป็นไป แล้วขณะนั้นศิษย์เห็นคนที่ศิษย์เกลียดที่สุด ศิษย์ว่าศิษย์จะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ รู้เลยใช่ไหม ฉะนั้นถ้าภาวะจิตตอนนั้นเห็นคนที่เกลียดที่สุดกลายเป็นวัดที่สวยงามที่สุด นรกก็กลายเป็นสวรรค์ เช่นนั้นใครจะฉุดเราได้ มีแต่ตัวเราเอง
การศึกษาบำเพ็ญธรรมเน้นย้ำสำคัญคือ เราต้องหันกลับมาดูจิตดูใจตัวเรา คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ สำคัญคือเราต้องรักษาภาวะจิตของเราให้ดีให้งาม เพราะคนที่ดึงเราตกนรกไม่ใช่คนที่เราเกลียด แต่มันคือใจของเราที่รับคนเกลียดไม่ได้ ถ้ายังยึดติดในรูปนามก็หนีไม่พ้นนรกสวรรค์ แต่เมื่อไรที่จิตของเราพ้นจากการยึดติดรูปนามแล้ว  เข้าสู่สภาวะความว่าง
นิรันดร์ ศิษย์ก็จะไม่มีนรกสวรรค์ให้ศิษย์ต้องไปเลย ดีไหม (ดี)  การศึกษาธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องการตื่นรู้ด้วยปัญญาและดูแลจิตตัวเองอย่างเดียว ใครดีไม่ดีไม่เป็นไร เราต้องดีให้แท้จริง ใครจะร้ายใครจะไม่ดีไม่เป็นไร เราต้องไม่ร้ายตามเขา ถ้าทำได้อย่างนี้ ไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย

กินไม่อิ่มหรือ  เสียงเลยไม่มี มาลองกินอาหารที่ไม่มีเวรไม่มีบาปกรรมไม่ดีหรือ (ดี)  ปกติกินแต่อาหารที่มีเวรมีกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์ขอให้ไม่กินแค่สามอย่าง สามอย่างที่ไม่ให้ศิษย์กินคือ สัตว์ที่อยู่บนฟ้า สัตว์ที่อยู่บนดิน สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ศิษย์ทำได้ไหม (ได้)  ใครว่าทำได้ยกมือขึ้น อาหารของอาจารย์กินแล้วไม่มีบาป ไม่มีกรรม ไม่มีเวร ติดตัว ไม่มีเวร ไม่มีกรรมผูกพันด้วย อาจารย์ขอแค่สามอย่างนี้ได้ไหม (ได้)  แน่ใจว่าทำได้นะ (แน่ใจ)  ทำทุกวันเลยไหม เอาแค่สองวันก็ได้ วันที่พระอาทิตย์ขึ้นกับวันที่พระอาทิตย์ตก ทำได้เราจะมีเวรไหม (ไม่มี)  ทำได้เราจะเบียดเบียนสร้างกรรมไหม (ไม่)
เราเกิดมาบนโลกอยากโดนใครเบียดเบียน อยากให้ใครมาทำร้ายชีวิตเราไหม อยากมีเวรมีกรรมไหม ถ้าเราไม่อยากเราก็ต้องไม่สร้างเหตุให้มันเกิดผล และไม่สร้างปัจจัยที่ทำให้ต้องมีผล เคยได้ยินไหมว่าทำอะไรได้อย่างนั้น ทำอะไรก็ต้องรับอย่างนั้น อยากหนีเวรหนีกรรมก็จงอย่าสร้างกรรม
เพราะถ้าบาปยังละไม่ได้ก็ไม่มีบุญอันบริสุทธิ์ ทำบุญแค่ไหน แต่ถ้ายังสร้างบาปอยู่ก็ไม่ใช่คนบุญจริงๆ เรียกว่าหน้าเนื้อใจเสือ ปากว่าตาขยิบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากมีเคราะห์ ไม่อยากมีภัย ไม่อยากต้องมารับกรรม ลดได้ควรลด เลิกได้ควรเลิก
ธรรมะสอนให้เรา หนึ่งไม่พึ่งคนอื่น สองไม่ดูถูกคุณค่าและความสามารถตนเอง สามไม่เกียจคร้านไม่ผัดวันประกันพรุ่ง สี่ล้มได้ก็ลุกได้ แพ้ได้ก็แพ้ใหม่ได้ อย่าบอกว่าล้มแล้วจะชนะ แม้ไม่ชนะก็อยู่กับแพ้ให้เข้มแข็งได้
บาปเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์และกรรมเวรที่ไม่สิ้นสุด จริงหรือไม่ (จริง) การยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนเอง ก็เป็นทางแห่งบาปได้เหมือนกัน เชื่อว่าตัวเองถูก เชื่อว่าตัวเองแน่ เชื่อว่าตัวเองเก่ง เราก็หลงตัวเองและสร้างบาปได้ หลงว่าเก่ง หลงว่าแน่ก็ดูถูกคนอื่นว่าแย่ใช่หรือไม่ (ใช่) หลงว่าตัวเองดีตัวเองเลิศก็ดูถูกคนอื่นว่าอัปลักษณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากรู้ว่าภาวะจิตตัวเองเป็นแบบไหน ลองหลับตาสักพักหนึ่ง สิ่งที่เราคิดมันคืออะไร ถ้าสิ่งที่เราคิดมันไม่มี มันว่าง มันก็ดี แต่มันไม่ใช่ พอหลับตาสิ่งที่เราคิดคือเราห่วงกังวล นี่ก็ยังไม่เสร็จ นั่นก็ยังไม่จบ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจิตที่ห่วงเป็นอย่างไร ตายไปคอยห่วงลูกหลาน แล้วก็คอยเฝ้าสมบัติ เอาไหม สิ่งที่ทำให้เราเจอบาปเจอทุกข์เจอเคราะห์กรรมมาจากอะไร อันแรกคือการยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน อีกอันที่ศิษย์มักจะมีกันคืออะไร ที่ทำให้เราง่ายที่จะสร้างบาป ง่ายที่จะสร้างกรรม คิดร้ายใช่หรือไม่ คิดดีก็สร้างบาปกรรมได้ไหม (ได้)  ถ้าคิดดีแล้วหลงติดดีก็สร้างบาปกรรมได้ อะไรที่เป็นต้นเหตุของบาปกรรมนั่นก็คือ โลภ โกรธ หลง เป็นทางแห่งบาป ทุกข์ วิบากกรรม และเป็นทางสู่อบายภูมิ มีใครบ้างโกรธแค่นิดเดียว มีใครบ้างโกรธแล้วไม่โกรธอีก มีใครบ้างอยากแล้วไม่ทำผิด มีใครบ้างโกรธแล้วไม่ประพฤติผิด แล้วเราลด โลภ โกรธ หลง ได้ไหม
ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “ศีล” ไหม “ศีลช่วยละบาป คุณธรรมช่วยสร้างคุณ” พอเราจะตีใครก็คิดว่ามันเบียดเบียนเขา พอจะแอบไปมีกิ๊กก็คิดว่าไม่ซื่อตรง พอจะขโมยของก็คิดว่าลักทรัพย์ ถ้าทุกขณะเรามีศีลเราจะสร้างบาปไหม แล้วเรามีศีลทุกขณะไหม ฉะนั้นศีลมีไว้เพื่อละบาป คุณธรรมมีไว้เพื่อบำเพ็ญบุญ ถ้าศิษย์บำเพ็ญบุญ ศิษย์ก็ละบาปได้ เพราะว่าถ้าซื่อตรงในชีวิต เราจะนินทาอาจารย์ไหม (ไม่) เราจะแอบนินทาเพื่อนไหม (ไม่) ศิษย์อยากได้คนใจดำหรือคนใจดี อยากได้คนซื่อตรงหรือคนคดโกง แล้วตัวเองใจดำหรือใจดี (ใจดี)  ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ใช่หรือไม่ ศิษย์พูดว่าทำดีมาก็มาก แต่ทำไมไม่ได้ดี อาจารย์ถามหน่อยคนทำดีไม่ได้ดี ละบาปแล้วหรือยัง ถ้าทำดีขนาดไหนแต่บาปยังไม่ละ ดีก็ไม่ส่งผล บำเพ็ญดีขนาดไหนแต่ถ้าชั่วยังไม่เลิก ก็ยังไม่ใช่บุญที่สะอาด ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ต้องถามใจตัวเองว่า เราทำดีแล้วเราละบาปได้หรือยัง พระพุทธะองค์จึงสอนว่า
“ละบาปได้เมื่อไรก็คือการบำเพ็ญบุญเมื่อนั้น” แต่ถ้าทำดีไม่ละชั่วจะเรียกคนดีไหม เราไม่ได้มีศีลไว้ที่วัดแต่เรามีศีลเพื่อยับยั้ง หยุดการสร้างบาปกรรมและสร้างทุกข์ให้กับตนเอง

การเบียดเบียนผู้อื่นคดโกงผู้อื่นทำแล้วเป็นคนมีเมตตาไหม ทำแล้วเป็นคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีไหม ถ้าทุกขณะศิษย์คิดอย่างนี้ มีสติยั้งคิดตลอด ศิษย์จะพลาดไปทำชั่วไหม ฉะนั้นศิษย์เอย ศิษย์ไม่สมบูรณ์แบบไม่เป็นไร แต่ขอผิดแล้วแก้ไขตัวทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปด้วยใจที่ไม่ท้อก็พอ อาจารย์รู้ศิษย์ทุกคนไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครงามตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เมื่อรู้ผิดแล้วแก้ไข แล้วพยายามดีให้ได้ ไม่ใช่ผิดแล้วปล่อยเลยตามเลยแล้วไม่คิดที่จะดีขึ้น
ศิษย์เป็นคนชอบทำบุญทำทานไหม (ชอบ)  ศิษย์ทำกับทุกคนไหม ทำเฉพาะกับพระ แล้วก็ทำเฉพาะกับคนที่ทุกข์ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มีวิธีหนึ่ง ทำบุญทำทานกับทุกคนได้เอาไหม (เอา)  เจอใครอย่าคุยด้วยอารมณ์ แต่คุยด้วยเมตตาเป็นทาน เจอใครอย่าคุยด้วยอารมณ์ แต่คุยด้วยซื่อตรงเป็นทาน ดีไหม (ดี)  โมโหใคร อย่าโมโหด้วยอารมณ์ แต่โมโหด้วยเมตตา ศิษย์เอ๋ย ทำไมศิษย์ทำทานกับคนไกลตัวได้ แต่กับคนใกล้ตัวศิษย์ไม่รู้จักทำทาน ทำไมศิษย์สร้างบุญกับคนไกลตัวได้ แต่คนใกล้ตัวศิษย์หาบุญไม่เจอ ถ้าศิษย์ปฏิบัติต่อคนด้วยการให้ธรรมะเป็นทาน คุยกับเขาด้วยอภัยเป็นทาน ปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อตรงเป็นทาน
ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกว่าเราไม่มีวิถีทาง เราตกเป็นทาสอารมณ์มาเยอะแล้ว ผลของการตกเป็นทาสอารมณ์คือความทุกข์ ให้ผลคือความเจ็บ ทำไมเราลองไม่เปลี่ยนธรรมะเป็นทาน ศิษย์เอ๋ยการที่รู้จักปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความเมตตาด้วยคุณธรรม ผลตอบแทนมันให้รสที่หวานชื่นกว่าการปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยกิเลสอารมณ์ เพราะผลที่ตอบแทนมันให้ความทุกข์ทนจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรต่อดี รู้แบบนี้แล้วเราก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ ยังควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ยังอยากมีอารมณ์อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำอย่างไรดี ศิษย์ว่าเราอยู่ในโลกนี้เราเห็นและรู้จักทุกคนไหม (ไม่)  จริงๆ แล้วเราเห็นหรือไม่เห็น (ไม่เห็น)  เห็นแอปเปิลไหม (เห็น)  กินไหม (ไม่)  แปลว่าเราเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเราเห็นในความหวานอร่อยถูกไหม (ถูก)  ถ้าอาจารย์ถามว่า ถ้าแอปเปิลนี้มีแล้วจะทุกข์เอาไหม (ไม่เอา)  มีแล้วจะเจ็บ สูญเสีย ตายเอาไหม (ไม่เอา) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งออกไปหน้าชั้น)
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าอาจารย์มีศิษย์คนนี้แล้วอาจารย์จะทุกข์ จะเจ็บและตายเพราะเขาไหม (ไม่)  ทำไมกับแอปเปิลอาจารย์พูดว่ามันทุกข์ มันมีความเจ็บ มันมีความตาย ศิษย์เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วคนนี้มีไหม (มี)  ฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นก็มีไม่เห็นอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เรารู้ก็มีไม่รู้อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามจริงๆ ที่เราไม่เห็นเราก็ไม่รู้จริงไหม (จริง)  แล้วมีไหมที่เป็นแฟนเราแล้วไม่เคยเจ็บปวดแล้วไม่ทุกข์เพราะเขา (ไม่มี)  มีแล้วไม่ตายเพราะเขา (ไม่มี)  ถ้าเช่นนั้นจะมีเขาแล้วมีทุกข์ไหม (มี) เจ็บไหม (เจ็บ)  ตายไหม (ตาย)  เอาไหม (เอา, ไม่เอา)
(พระอาจารย์เมตตาให้รองหัวหน้าชั้นออกมาหน้าชั้น)
ถามศิษย์นะ แล้วมีคนนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้ได้อย่างไร เดาได้ มีไหมที่มีอะไรในโลกแล้วไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ ไม่ตาย (ไม่มี)  เราก็ต้องตาย มีแล้วอย่างไรเราก็ยังต้องเจ็บ ต้องทุกข์ ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่ามีแล้วเจ็บ ทุกข์ ต้องตาย อยากมีไหม (ไม่มี)  เอาไหม (ไม่เอา)  จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นศิษย์เอยเราใช้ศีลก็แล้ว ใช้ธรรมก็แล้ว เรายังดับทุกข์และความอยากใจในไม่ได้ อย่างนั้นใช้หลักสัจธรรมเลย หลักสัจธรรมล้วนชี้เข้าไปในแก่นของความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งที่ศิษย์อยากได้ ที่เกลียด ที่โลภ ที่หลง ที่ศิษย์พยายามไปช่วงชิงมา จนผิดศีลผิดธรรม มันมีแล้วสุขขึ้นเยอะกว่าเดิมหรือไม่ (ไม่)  เรายังตาย เจ็บ ยังทุกข์เหมือนเดิมไหม (ทุกข์)  แล้วจะหาทุกข์เพิ่มไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นถ้าไม่หาจะโลภไหม (ไม่โลภ)  จะหลงไหม (ไม่หลง)  จะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  โกรธแล้วทำไม (โกรธแล้วเป็นทุกข์)
อยากไหม (อยาก)  นี่แหละเพราะเรายังไม่ประจักษ์แจ้งเห็นจริง ศิษย์เคยได้ยินไหมในมายามีมายาซ่อนอยู่ ในรูปลักษณ์อันสวยงามมีความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่หาได้สวยงามไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองเห็นแต่ในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น จนลืมความจริงอันเป็นแก่นแท้ที่เรียกว่าสัจธรรม ทำไมถึงบอกว่าศึกษาธรรมอย่าศึกษาแค่ศีล แค่ธรรม แต่ให้หยั่งลึกลงไปถึงหลักสัจธรรมจนเกิดปัญญาเห็นแจ่มแจ้งแล้วไม่อยากได้อะไรแล้ว เพราะถ้าอยากหนึ่งก็เพิ่มทุกข์อีกหนึ่ง และศิษย์เคยคิดไหมว่ามีหนึ่งแล้วจะทุกข์แค่หนึ่ง หนึ่งบวกหนึ่งมักเป็นสอง และสาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ จริงไหม บางครั้งหนึ่งบวกหนึ่งก็ติดลบห้าสิบ ใช่หรือ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์อย่ามั่นใจว่าสิ่งที่ศิษย์โลภมาอย่างผิดศีล ขาดธรรม สิ่งที่ศิษย์อยากได้มาอย่างขาดคุณธรรมไร้ความปราณี มันจะทำให้ศิษย์มีสุขมากขึ้น ศิษย์เคยได้ยินไหม สุขเท่าไรก็ทุกข์เท่านั้น สมหวังมากเท่าไรก็ผิดหวังมากเท่านั้น เราควรหรือที่จะอยาก ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่ามันไม่ใช่มีแค่ดี ละบาปบำเพ็ญบุญ แต่ธรรมะยังสอนอีกว่า สัจธรรมความเป็นจริงอย่าเห็นเฉพาะที่เราอยากเห็น แต่จงเห็นให้มากกว่านั้น และการเห็นให้มากกว่านั้นจะทำให้ศิษย์ไม่กล้าที่จะเอาอะไรในโลกเลย เพราะเอามาก็เพิ่มทุกข์ เพราะเอามาก็เพิ่มเจ็บ ตายก่อนตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังอยากไหม (ไม่อยาก)  แล้วถ้ามันอยากขึ้นมา ตอนนี้ได้มาแล้วจะอยู่กับมันอย่างไร จำไว้นะศิษย์เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้บ้าง พยายามรู้ทุกอย่างก็เจ็บ พยายามเห็นทุกข์อย่างก็ทุกข์จริงไหม (จริง) เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมีธรรมะอยู่แล้ว มีก็เหมือนไม่มี จริงไหม (จริง)
เหมือนมีคนหนึ่งไปไหนต้องไปกัน เป็นไปได้ไหม แฟนฉันๆ เป็นไง มันไปได้ไหมศิษย์ เขาดีนะศิษย์ ไปไหนไปกัน อีกสองวันอาจารย์จะตายแล้วไปกับอาจารย์ไหม (ไปครับ)  อาจารย์มีความอยากอยู่นะศิษย์ อาจารย์อยากได้ศิษย์ที่สูง ผมหยิก ตัวดำ ดั้งหัก มาเป็นลูกศิษย์อาจารย์ สมมติอาจารย์มีความอยากอยู่ อาจารย์ก็รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ตอนนี้อาจารย์อยากหาศิษย์ของอาจารย์ที่ผมหยิก ดั้งหัก ตัวดำ สูงกว่าอาจารย์นิดหน่อยมีไหม ก็อาจารย์อยากได้ มีไหม คนเรารู้ทั้งรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถึงเวลาอยากได้ไหม (อยากได้)  มีคนใกล้เคียงนิดหนึ่ง ผมหยิกตัวดำดั้งหัก เป็นศิษย์อาจารย์แล้วต้องดีให้ได้ตลอด ดีวันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องดี มะรืนก็ต้องดี แล้วก็ต้องดียิ่งๆ ขึ้นไปได้ไหม มองตามความจริงศิษย์ มันได้หรือ ถึงศิษย์จะปรารถนาดี ถึงศิษย์จะรู้ดีขนาดไหน แต่ศิษย์อย่าลืมว่ามันไม่มีอะไรเป็นดั่งใจเรา และไม่มีอะไรได้ดั่งใจเรา ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนลืมมองความจริง ไม่เช่นนั้นคนที่ทำให้ตัวเองทุกข์ก็คือคนที่หลอกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกเรื่องหนึ่ง ศิษย์ของอาจารย์ชอบของขลังไหม มีแล้วไม่ตาย มีแล้วไม่แก่เอาไหม (เอา)  อยากได้ไหม (อยากได้)  แต่อาจารย์ถามจริงๆ มีอะไรบ้างกินแล้วไม่แก่ตาย มีอะไรแล้วอยู่ค้ำฟ้า มีไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากมันบดบังจนลืมเห็นในสิ่งที่ควรเห็น อย่าปล่อยให้ความอยากมันบดบังจนลืมมองความเป็นจริงที่เรียกว่า ธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)
ตั้งแต่อาจารย์มาใครตอบคำถามอาจารย์ๆ มีรางวัลให้ดีไหม (ดี) แอปเปิลที่กินแล้วทุกข์ เอาไหม (เอา)  อย่ากลัวที่จะทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะความทุกข์ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วยสตินะ พยายามเป็นเด็กดีได้หรือเปล่า
มงคลมันอยู่ที่ตัวเราสร้างไม่ได้อยู่ที่อาจารย์ให้ อาจารย์ถามหน่อยทำอะไรเป็นมงคลและทำอะไรเป็นอัปมงคล (ทำความดีให้เป็นมงคล)  ตอบได้ดี  (ความชั่วเป็นอัปมงคล)  แล้วเราทุกวันทำดีหรือทำชั่ว (ทำดี) ใช่หรือ (ใช่) ชั่วล่ะ ลดไหม (ลดครับ)  ลดเลิกได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ การพนันไม่เล่น (ครับ) แต่ทำมาหมดแล้วใช่ไหม ฉะนั้นต่อไปก็เลิกนะ
(ดูแลพ่อแม่)  เป็นมงคลชีวิตนะ แต่ดูแลพ่อแม่ก็อย่าท้อ อย่าเหนื่อยนะ ต้องให้เขาช่วยตัวเอง อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์โลภ
(ดูแลแม่)  ไม่ใช่ดูห่างๆ นะ
(การด่าให้ร้ายคนอื่น) การหวังดีกับคนอื่นเป็นมงคล แต่การด่าให้ร้ายคนอื่นเป็นอัปมงคล ตอบได้ดี
(ตั้งใจเรียน)  สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากได้มากกว่าตั้งใจเรียนคือ มีจิตรู้สำนึกคุณคน แม้ว่าใครจะทำดีมากแค่ไหน ทำดีน้อยแค่ไหน ในความดีนั้นก็มีความไม่ดี แค่เราสำนึกแต่สิ่งที่ดีไว้ คนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ จริงไหม
(ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลายทั้งปวง)  สุรานารีพาชีกีฬาบัตร (ยาเสพติดทั้งหมดด้วย)  ผู้หญิงก็เป็นได้ใช่หรือไม่  ต้องระวังให้มากนะ  ทำให้ได้นะ
(พูดดี คิดดี)  การพูดดี คิดดีเป็น (มงคล)  การพูดร้ายเป็น (อัปมงคล)  แล้วเราพูดดีหรือพูดร้าย (พูดดี)  คิดดีหรือคิดร้าย (คิดดี)
(การไม่หาเรื่องผู้อื่น)  ถ้าเราไม่อิจฉาเขาเราก็ไม่หาเรื่องเขาหรอก (การทำดีมีเมตตากับผู้อื่นก็เป็นมงคลกับชีวิต) การมีเมตตากับคนอื่น ทำให้ได้นะแม้เขาจะร้ายก็ตาม (การช่วยเหลือผู้อื่น เช่น ขอทาน และการใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนใคร)  แค่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเอง ไม่ต้องไปทำไกล ทำในบ้านกับพ่อกับแม่ กับเพื่อนเรา (การกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีบุญคุณ การฆ่าความโกรธ)  แต่ความโกรธบางทีมันก็ฆ่ายากนะ อาจารย์มีวิธี เมื่อไรที่มีความโกรธ จงมีสติ แล้วอย่าไปให้ค่ามัน อย่าไปสนใจมัน ไปสนใจเรื่องอื่นแทน แล้วความโกรธมันจะหายไป (การเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่า)  แล้วคนที่อายุน้อยกว่าเราก็ให้ความเมตตาได้ ให้เกียรติเขาได้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้เกียรติเฉพาะผู้ที่อายุสูงกว่า เด็กเขาก็ต้องการคนให้เกียรติเหมือนเรา ใครมาดูถูกเรา เราชอบไหม ฉะนั้นอย่าแค่เคารพคนที่อายุมากกว่า คนอายุน้อยกว่าเราก็ควรเคารพให้เกียรติ ใช่หรือเปล่า
(คิดไปเอง)  การคิดไปเองเป็นสิ่งที่น่ากลัว คิดว่าเขาด่า บางทีเขาอาจจะไม่ได้ด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะต้องระวังความคิด อยู่กับตนระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังคำพูดจา ทำให้ได้นะ
(กตัญญูต่อพ่อแม่)  แล้วทำได้ไหมหนา ไม่ใช่เพื่อนชวนไปเที่ยวก็ทิ้งพ่อแม่แล้วนะ อย่าลืมหน้าที่ตัวเอง ถ้าทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ทำหน้าที่ได้ดีก็เรียกว่ากตัญญูแล้ว (ให้ทาน)  แล้วทานเราสามารถให้ได้ที่ไหน สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในการให้ทานไม่ใช่ให้อามิสเป็นทาน แต่สามารถให้ธรรมะเป็นทาน พูดกับใครด้วยความซื่อตรง ทำกับใครด้วยความเมตตา ปฏิบัติต่อใครด้วยความรับผิดชอบ นี่แหละสามารถทำทานได้ทุกที่ และสร้างบุญได้ทุกโอกาส
(การดูแลครอบครัวและญาติพี่น้องทุกคน)  ดูแลตัวเองได้ดีก็เท่ากับดูแลครอบครัวได้ดี ถ้าตัวเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ เราก็ดูแลครอบครัวได้ยากจริงไหม (จริง)  รักษาจิตรักษาใจให้เข้มแข็ง อย่าเป็นคนโมโหง่าย อย่าเป็นคนขี้น้อยใจ อย่าเป็นคนคิดมากใช่ไหม
(การดูแลพ่อแม่ยามเจ็บไข้)  ตอนท่านเจ็บป่วยเราค่อยดูแลหรือศิษย์เอย ตอนท่านดีเราก็ต้องดูแลต้องใส่ใจด้วย อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมดูคนที่เรารัก เพราะมีเขาจึงมีเรา ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเราจริงไหม
(ความริษยา ความโกรธ ความหลง)  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เราชอบมองคนอื่นด้วยความหลงใหลได้ปลื้ม เมื่อไม่หลงใหลได้ปลื้ม เราก็อิจฉาชิงชังใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังที่จะทำให้เกิดมงคลหรือไม่มงคลนั่นก็คือ จิตใจ ถ้าสูงก็มงคล ถ้าต่ำก็อัปมงคล
(เมตตา, พูดธรรมะไม่ว่าใคร, ไม่นินทา)  นักเรียนในชั้นนี้ไม่นินทาใคร ไม่ด่าใครใช่ไหม (ใช่)  หลังจากนี้ไม่ด่าใครนะ ถ้าเราไม่อยากมีบาปมีกรรมต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ มองสิ่งที่เราชอบหรือชังให้ดี สิ่งที่เราเกลียดมันมีดีบ้างไหม ในอุจจาระยังมีประโยชน์เลย ในน้ำเน่ายังมีน้ำสะอาดเลย แล้วคนที่เราเกลียดไม่มีดีเลยหรือ ยิ่งเขาดำเท่าไรเราก็ยิ่งขาวเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งเขาสกปรกเท่าไรเราก็สะอาด จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าไปเกลียด ทุกอย่างมันมีดี
(เป็นเด็กดีของพ่อแม่)  อย่าดีแตกนะ (มีสติ)  ต้องมีสติ (ให้ทาน)  กับเพื่อนเราก็ให้ทานได้ อาจารย์มีของขลังของดีที่อยากให้ศิษย์ ของดีของอาจารย์ถ้าพิจารณาบ่อยๆ จะทำให้ศิษย์ไม่อยาก ไม่โลภ โกรธ หลง และรู้จัก ทุกข์ เจ็บ แก่ ตายเป็น (การไม่ว่าร้ายคนอื่น)  ทำให้ได้นะ แม้จะโดนคนอื่นว่าก็ตาม
พระพุทธองค์ทรงเคยกล่าวไว้ในอดีตกาล “ขอให้พิจารณาอยู่บ่อยๆ จะลดความลุ่มหลงมัวเมาในตัวตน จะลดความปรารถนาใคร่ดีและทำผิดบาปได้” และจะลดความโลภ โกรธ หลง ได้คือ หมั่นพิจารณาเตือนตัวเองบ่อยๆ แก่ เจ็บ ตาย เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า ถ้าเราท่องอยู่เสมอว่าคนเรามีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็นธรรมดา แล้วในความแก่ เจ็บ ตาย นั้นมีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา มีทุกข์เป็นธรรมดา และมีความพลัดพรากเป็นธรรมดา และว่างเปล่าเป็นที่สุดเป็นธรรมดา แล้วเราอยากมีอะไรไหม เพราะถ้ามีแล้ว มันเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์เราจะรับได้ไหม การพิจารณาหลักธรรมจึงไม่ใช่อยู่แค่ศีล ไม่ใช่อยู่แค่การประพฤติปฏิบัติคุณธรรม ศีลมีไว้สำหรับระงับยับยั้งชั่งใจไม่ให้ทำชั่ว คุณธรรมคือการปฏิบัติต่อกันด้วยความร่มรื่นและสมัครสมาน ถ้าเราปฏิบัติต่อผู้อื่นเราก็จะสามารถอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข ส่วนหลักสัจธรรมที่เรียกว่า แก่เจ็บตายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ว่างเปล่า เอาไว้เพื่อพิจารณา เพื่อดับความอยาก ความโลภ ความหลง ถ้าทำได้ถึงสามขั้นนี้ การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก จริงหรือไม่ (จริง) แต่เรามีสติหยั่งรู้ได้ถึงศีลธรรม และสัจธรรมหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง ชื่อเพลง : ขอใจมีตะวัน ทำนองเพลง : เขียนถึงคนบนฟ้า)
เพลงนี้เศร้าหน่อย ปกติที่นี่อาจารย์มักจะให้เพลงสนุกสนาน แต่จริงๆ แล้วในการดำเนินชีวิตบางครั้งเหนื่อยกับคน ท้อกับชีวิตใช่ไหม (ใช่) เหมือนพยายามทำเท่าไร อยากจะมีมันก็ไม่มี อยากจะดีกว่านี้มันก็ได้แค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเช่นนั้นหากไม่มีวันชนะแล้วชีวิตต้องจมอยู่กับความแพ้ศิษย์จะยังสู้ไหม (สู้) แล้วในความแพ้เราเลือกได้ว่าจะแพ้แล้วแพ้อีกก็สู้ แพ้แล้วไม่ชนะเลย ชีวิตเรามีแค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าเรามีโอกาสสู้ มันมีสามทางให้เดิน ทำดีที่สุดไปเลยกับช่างหัวมัน เลวร้ายไปเลย กับอีกทางหนึ่ง เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตและรักษาธรรมอันเป็นกลางให้ได้ เจอเรื่องอะไรก็ไม่หวั่นไหว ไม่หยิ่งลำพอง ไม่รู้สึกแย่ รักษาใจอันเป็นกลางอันธรรมดาได้ นั่นแหละเรียกว่ากลับคืนสู่สภาวธรรมอันดั้งเดิม มนุษย์ใจมีอยู่สองอย่าง ไม่ดีจนใจหายก็ร้ายจนแย่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมะสอนว่าลองรักษาความเป็นกลาง ไม่ต้องดีมากไม่ต้องแย่มากแต่ยอมรับความดีกับความแย่ของคนในโลกให้ได้ ด้วยหัวใจที่เป็นกลาง ด้วยหัวใจที่สงบเย็นยากหรือไม่
ศิษย์ถามอาจารย์ว่า อาจารย์แล้วบำเพ็ญนั้นบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยากบำเพ็ญคือหันกลับมาดูใจตัวเองและประคองใจให้อยู่ในศีลธรรมและเห็นความแจ่มแจ้งในชีวิตจนไม่หวั่นไหวไปกับเรื่องราวใดๆ ในโลกนี้อีกแล้ว แต่มันคงยากถ้าศิษย์แค่ฟังแต่ไม่ทำใช่หรือไม่ (ใช่)  และมันคงยากถ้าศิษย์ยังทำตามใจตัวเองอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองไปพิจารณาให้ดีนะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้เพื่ออะไร เพื่ออาจารย์หรือเพื่อตัวศิษย์เอง สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นแค่คำพูดธรรมดา แต่คำพูดธรรมดาถ้าศิษย์ประจักษ์ชัด ศิษย์จะไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้อีกต่อไป อาจารย์ไม่มีสามตัวให้ แต่มีสามคำที่อยากบอก “ดูแลตัวเองให้ดี”
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมนะศิษย์เอย ดูแลจิตดูแลใจตนเองให้ดี รักษาจิตรักษาใจ ไม่ว่าเจอเรื่องราวอะไรก็จงเข้มแข็งและก้าวต่อไปด้วยความดีงาม
คำว่า “ลดฟ้าให้เตี้ย” หมายความว่าอย่างไร อาจารย์ยอมศิษย์ทุกอย่าง ศิษย์อยากเป็นคนอย่างไร อยากเป็นคนแบบไหน ทำไปลดจนเตี้ยไม่มีข้อแม้ อยากบำเพ็ญอย่างไร แต่ขอให้มีใจอย่างเดียว ใจที่สู้ไม่ถอย ใจที่เสียสละอุทิศเพื่อช่วยคนอื่น แค่นั้นเอง ขนาดนี้แล้วยังไม่บำเพ็ญอีก ยอมขนาดนี้แล้วยังไม่ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญอีกมันก็น่าเสียดาย ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องราวอะไร อย่ามืดมนเพราะคำพูดคน อย่าท้อแท้เพราะคำปากคน
“ขอใจมีตะวัน” ขอให้ใจสว่างในความดีงามนั้นตลอดไป ขอให้ใจมั่นคงในความดีนั้นตลอดไป อย่าให้ใจดำ เพราะคนทำให้ดำ ต้องรักษาใจนี้ให้ดี ได้หรือไม่ (ได้)  เพื่อตัวศิษย์เองนะ อย่าหลงพลาดผิดเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบ อย่าหลงตกเป็นทาสอารมณ์เพียงเพราะความหลงในรูปกายอันไม่เที่ยงแท้ มองให้ดีศิษย์เอย มีอะไรบ้างมีแล้วไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างมีแล้วไม่เจ็บ แล้วเราควรหรือที่จะยอมผิดบาปเพื่อการมีสิ่งนั้นโดยลืมคุณค่า
ความดีงามในใจตนเอง น่าเสียดายนะ ฉะนั้นก่อนจะมีอารมณ์อะไรแล้วทำผิดบาป เอาธรรมะมายั้งคิด เอาสติมายั้งใจหน่อย เลือกทำที่ถูก อาจารย์ไม่ต้องการศิษย์สมบูรณ์เต็มร้อย แต่อาจารย์ต้องการศิษย์ที่ผิดแล้วแก้เป็น ผิดแล้วสู้ทำให้ถูกต้องทำให้ดี แค่นั้นพอ ไม่มีใครดีที่สุดจริงไหม (จริง) แต่ขอเป็นคนที่สู้ไม่ถอย มุ่งมั่นในสิ่งที่ดีอย่างไม่ยอมแพ้ นั่นก็น่าภูมิใจแล้ว ลองเอาไปพิจารณานะศิษย์เอย เกิดเป็นคนจะดีจะชั่วไม่ได้อยู่ที่ใครกำหนด อยู่ที่ตัวเราสร้างสรรค์ตัวเราเอง วันนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่ศิษย์ทำทั้งนั้นเลยจริงไหม (จริง) ทำไมถึงเน้นอยากให้มีธรรม เพราะมีธรรมทำให้เราพ้นกรรม แต่ถ้ามีกิเลสอารมณ์ทำให้เราไม่พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไยน้ำเต็มแก้ว”)
“ไย” แปลว่า ทำไม “น้ำเต็มแก้ว” ก็คือ ความเป็นตัวเองสูงจนไม่ยอมลดละลงมาบ้าง ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเองมากเท่าไรก็ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปกรรมที่ตัวเองสร้างมากเท่านั้น ไม่รู้บ้าง แพ้บ้าง โง่บ้าง ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ศิษย์ จริงไหม (จริง) จะเก่งไปทำไมตลอดเวลา ถูกหรือเปล่า (ถูก) แต่เมื่อไม่เก่งแล้วก็ต้องเก่งให้เป็น แต่เมื่อเก่งเป็นแล้วก็ต้องถอยให้เป็น
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองเอาไปศึกษาดูนะ  มีโอกาสกลับมาเจอกันอีก

ฉะนั้นไม่ว่าเรื่องราวอะไรขอให้รักษาความสว่างแห่งจิตใจให้ได้ ขอให้รักษาความดีให้อยู่ยั้งมั่นคง ขอให้มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงฝั่งนะศิษย์ อย่าแพ้ใจตัวเองเลย คนมีค่าเพราะรู้จักทำตัวเองให้ทรงคุณค่า
เข้มแข็งหรือยัง อาจารย์ขอให้ศิษย์โชคดีดีกว่านะ ศิษย์เอย บำเพ็ญธรรมแล้วไม่ใช่ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันทุกข์ แต่คนบำเพ็ญเมื่อยามทุกข์ เมื่อยามเจ็บมีปัญญาคิดได้ พ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วเจอแต่เรื่องดี  บำเพ็ญธรรมแล้วหากเจอไม่ดี
ก็พยายามหาทางออกให้ดีให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกว่าคนชีวิตดีๆ แต่ชอบทำไม่ดี นั่นน่ากลัวยิ่งกว่าจริงหรือไม่ (จริง) บำเพ็ญธรรมขอแค่เพียงใจที่บริสุทธิ์ ใจที่งดงาม ใจที่มุ่งมั่นเท่านั้นเอง อาจารย์ขอแค่ศิษย์คนเดิมที่ดีงาม ที่น่ารัก ที่ไม่ใช่คนดื้อ ที่ไม่ใช่คนหลงผิด ที่เป็นคนอยู่ร่วมกับคนได้อย่างเข้าใจ ที่เป็นคนมุ่งมั่นแล้วสู้ไม่ถอย ที่เป็นคนที่แพ้ล้มแล้วลุกยืนขึ้นได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง

อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ มีโอกาสมาผูกบุญกันอีก มีโอกาสกลับมาฝึกฝนปัญญาด้วยการเรียนรู้หลักธรรม นำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ อย่าหลงไปกับโลกจนลืมธรรมะในตัวตน อย่าหลงไปกับกิเลสอารมณ์จนลืมความดีงามที่แท้จริงในใจตัวเองนะศิษย์เอ๋ย ดูแลตัวเองนะ เอาตัวเองให้รอดให้ถูกทาง อย่าหลงผิดเลย อาจารย์พูดไม่ออกนะ ถ้ารู้ว่าศิษย์จะจบลงที่ใด อยากช่วย อยากผลักดันให้ดีที่สุด ให้ดีงามที่สุด แต่ถ้าศิษย์ก้าวผิดแล้ว ไม่มีใครช่วยได้นะ จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าศิษย์พลาดแล้วใครก็ช่วยไม่ได้นอกจากตัวศิษย์เองต้องรีบปรับความคิด เปลี่ยนความคิด ล้างความไม่ดีด้วยการกระทำความดีใหม่ ที่ยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองก่อด้วยหัวใจที่กล้าหาญน เข้าใจนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ไยน้ำเต็มแก้ว”
    ใจคนยิ่งกว่าลิงม้า                             ชรายังจับไม่อยู่
มักชอบเป็นนักต่อสู้                               แต่ไม่รู้จักตัวเอง
ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว                              แย่แล้วมีแต่ความเก่ง
ชื่นชมแต่แบบตัวเอง                               หัวเหม่งดื้อรั้นตากลม
ฉลาดคุยกับจิตใจ                                   อะไรสมควรเหมาะสม
ลดคลายอัตตาอารมณ์                            ผูกปมก็ต้องแก้เป็น



พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท ให้ไว้ ณ สถานธรรมฉือเหริน เมื่อวันที่ ๖-๘  กรกฎาคม ๒๕๖๒
กลอนพระโอวาทหน้า ๑
เดิม     ความคิดสิ้นและเกิดใหม่ง่ายดาย  สุขอย่างไรสุดท้ายทุกข์ไม่มีจริง
แก้เป็น  ความคิดสิ้นและเกิดใหม่ง่ายดาย  ทุกข์อย่างไรสุดท้ายทุกข์ไม่มีจริง
เพลงพระโอวาทหน้า ๑๗
เดิม       เคี่ยวเข็ญตนนำแสงประกาย
แก้เป็น    เคี่ยวเข็ญตนงำแสงประกาย

แก้ไขเพลงพระโอวาท ให้ไว้ ณ สถานธรรมอิ๋งเซียน วันที่ ๒๒-๒๓ มิถุนายน๒๕๖๒
เดิม    ** ใช้ชีวิตเพลินกว่าตรงย้อนมองกลับมา พาเข้าใจความหมาย ใช้ชีวิตชีวาเผยความสุขออกมา ยิ้มออกมาได้ไหม ใจเป็นบุญพลิกฟื้นยืนเดิม เกรงกลัวกรรมใช้ธรรมนำใจ ใช้ชีวิตใหม่ขอให้เริ่มจากตัวเอง (ซ้ำ *, **)
แก้เป็น ** ใช้ชีวิตเพลินกว่าตรงย้อนมองกลับมา พาเข้าใจความหมาย ใช้ชีวิตชีวาเผยความสุขออกมา ยิ้มออกมาได้ไหม ใจเป็นบุญพลิกฟื้นยืนเดิน เกรงกลัวกรรมใช้ธรรมนำใจ ใช้ชีวิตใหม่ขอให้เริ่มจากตัวเอง (ซ้ำ *, **)

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมตั้งชื่อเพลงที่ประทานให้ไว้ ณ สถานธรรมฉือเหริน  ทำนองเพลง หมื่นคำลา ชื่อเพลง ต่างคิดแต่ไม่ต่างธรรม)

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

2562-07-06 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一九年嵗次己亥六月初四日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
เกิดเพื่อดับแน่แท้เชียว บาทเดียวเอาไปไม่ได้
ห่วงไว้ก็ต้องปล่อยเป็นไป เหลือไว้แค่ดีชั่วนา
แบบอย่างให้คนกล่าวถึง ไยจึงเหลือน้อยหนักหนา
มีธรรมก็ทรงคุณค่า ใช้ธรรมความทุกข์ห่างไกล
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจมาฟังธรรมะให้ครบสามวันจริงไหม
คนรู้ความคือธรรมเป็นสำแดง คนแก่งแย่งสิ่งเดิมไม่เบื่อหรือ
ใจเที่ยงแท้ความเป็นชีวิตคือ ไม่ยึดถือก่อนมาล้วนบริสุทธิ์
ปฏิบัติธรรมคืนธรรมจากที่เที่ยง ร้อยจำเรียง[1]สู่ธรรมดาคือที่สุด
จันทร์ไร้เว้าไร้แหว่งเพ็ญวิสุทธิ์ ทว่ามนุษย์ตัวต้นเหตุจองใจ
คนมีความทุกข์ที่ชอบประมาท คนฉลาดมีทุกข์ที่ไม่สลาย
ความคิดสิ้นและเกิดใหม่ง่ายดาย สุขทุกข์อย่างไรสุดท้ายทุกข์ไม่มีจริง
เหมือนถนนทุกสิ่งไปมาได้ มาไม่ไปไม่มีแค่สรรพสิ่ง
รู้ชีวิตแค่คืนกลับความจริง กำหนดชีวิตรู้แล้วยิ่งหมั่นทบทวน
ขอจงตื่นจากความฝันสรรพางค์[2] ธรรมยวดยิ่งอนันต์หลังวิบากป่วน
โลกกว้างใหญ่กิเลสสุดผันผวน ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงแปรสัจธรรม
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนอย่างงดงาม แจ้งใจความปัจจัยตามไม่ระส่ำ
ทำใจว่างจึงมีมณฑล[3]ธรรม ประกายงำแก้วเปล่าน้ำจึงริน
ผู้ฝึกตนแท้จริงยิ่งประจักษ์ คนมีปากไร้คำรักษาศีล
ฝึกหลุบตาไม่จับผิดอาจิณ[4] เป็นเทวดาเดินดินฝึกทุกวัน
ฮิ ฮิ หยุด

[1] จำเรียง (ก.) แปลว่า ขับลํา, ขับกล่อม, ร้องเพลง. (แผลงมาจาก เจรียง).
[2]สรรพางค์ (น.) แปลว่า ทั้งตัว, ทั่วตัว, มักใช้เข้าคู่กับคำ กาย เป็นสรรพางค์กาย เช่น เจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย
[3]มณฑล (น.) แปลว่า แสง, รัศมี; วงรอบ, วงกลม; เขต, บริเวณ, เขตการปกครองหลายๆ จังหวัดรวมกัน เรียก มณฑล.
[4]อาจิณ (ว.) แปลว่า เคยประพฤติ, ทำมาแล้ว, เป็นนิสัย, สม่ำเสมอ.



พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา



มาฝึกเอาธรรมะหรือมาฝึกตามใจตัวเอง (เอาธรรมะ)  มาฝึกเพื่อความอดทนหรือมาฝึกเพื่อไม่ต้องอดทน (อดทน)  นั่งฟังอย่างเดียวก็เริ่มเบื่อ เริ่มเมื่อย เริ่มไม่ไหวแล้วใช่ไหม วันนี้ท่านเก่งที่สุดเลย นั่งฟังโดยไม่พูดได้เกือบวันเลย อดทนเก่งไหม (เก่ง)  เมื่อก่อนมักจะพูดไม่หยุด แต่มาที่นี่ต้องหยุดพูดใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการฝึกฝนธรรมอย่างแรกก็คือ หนึ่งมาฝึกเพื่อลดละความเป็นอัตตาตัวตน อย่างน้อยฝึกให้เรารู้จักอดทนอดกลั้น ฝึกให้เรารู้จักฟังมากกว่าพูด ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้จะเข้าใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราฟังมากกว่าพูดได้ แล้วเราก็ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้เหมือนกัน ไหนใครว่าวันเดียวพอแล้ว (3 วัน)  ทั้งชั้นมีคนเดียวเอง
โดยปกติเราอยู่ในโลก เราไม่เคยใช้คุณธรรมหรือใช้ธรรมในการดำเนินชีวิตเท่าไหร่จริงไหม (จริง)  โอกาสที่เราจะเอาธรรมมาใช้ยากมาก อย่างมากสุดก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ ใช่หรือไม่ แต่จะปฏิบัติให้เข้าใจธรรมบางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเรายังห่างไกล แล้ววันนี้ เราจะทำอย่างไรจึงสามารถเอาธรรมมาใช้ในชีวิตได้ อย่างน้อยวันนี้ไม่มีใครสอนไม่มีใครบอกกล่าว แต่สิ่งที่เราสามารถเอาธรรมะมาใช้ได้ทันทีก็คือจะอดทนได้มากแค่ไหน จะพากเพียรวิริยะจนถึงวันที่ตัวเองสัญญาว่าจะครบ 3 วัน ได้หรือเปล่า จะรักษาสัจจะวาจาได้หรือไม่ อย่างน้อยถ้าเราทำได้ครบ 3 วัน ท่านก็ได้ฝึกธรรมะเรื่องความอดทน ได้ฝึกธรรมะเรื่องสัจจะวาจา เช่นนี้ก็ไม่ยากที่จะนำธรรมะมาใช้ในชีวิต แต่การจะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตมีแค่นั้นหรือ ถ้าอย่างนี้เรามาคุยกัน ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนสนทนาคุยกันได้หรือไม่ (ได้)
อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วน่าเชื่อถือ คนที่พูดอะไรใครก็รับฟัง ถ้าอย่างนั้นรับปากอะไรแล้วต้องทำให้ได้ จริงไหม แต่ถ้าครั้งหนึ่งพูดแล้วรักษาคำพูดไว้ไม่ได้ก็ไม่มีใครเคารพ พูดแล้วทำไม่ได้ก็ไม่มีใครเชื่อถือ จริงไหม ถ้าอย่างนั้นทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่มีใครลดคุณค่าเราได้นอกจากตัวเราทำตัวเอง จริงไหม
ระหว่างทำดีกับดวงดี ให้เลือกเอาอันไหน (ทำดี)  จริงหรือ ไม่จริง ส่วนใหญ่มักจะเลือกดวงดีก่อนแล้วค่อยทำดีใช่ไหม ถ้าศิษย์น้องเข้าใจ ศิษย์น้องจะเลือกทำดีมากกว่าดวงดี เพราะว่าทำดีแล้วจะมีดวงที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่เลือกทำดีและเอาแต่ดวงดี ศิษย์น้องก็จะมีวันหมดดวง และคนส่วนใหญ่เป็นแบบเลือกแต่ดวงดีแต่ไม่ยอมทำดี ก็เลยไม่มีดวง ถูกไหม ฉะนั้นชะตาชีวิตของเรา คุณค่าชีวิตของเรา ความหมายชีวิตของเรา สุขหรือทุกข์อยู่ที่ดวงดีหรือทำดี (ทำดี)  แล้วถึงเวลาเราเลือกดวงดีหรือทำดี ฉะนั้นที่ดวงไม่ดีก็ต้องถามตัวเองว่าทำดีไหม ไม่ใช่ทำนิดหน่อยแล้วขอ แล้วจะได้ดีไหม (ไม่ได้)  เพราะไปขอหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วความหมายของชีวิตนั้นคืออะไร ความสุขของชีวิตคืออะไร บางครั้งเราพยายามค้นหาชีวิต อยากมีความสุขให้กับชีวิต อยากมีชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย เราก็เลยพยายามทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนก็เลือกทำดี บางคนก็เลือกทำดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนหวังอยากดวงดีก็คงพยายามรักษาทุกสิ่งที่ดีและทำดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อความดีนั้นจะได้ป้องกัน ไม่ทำให้เราต้องเจอสิ่งร้ายจริงไหม ความหมายของชีวิตคนคืออะไร เคยไหมเราเจอผลไม้ชนิดหนึ่งท่าทางจะอร่อย หวาน ลูกเดียวพอไหม (ไม่พอ)  (ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาหยิบแอบเปิลบนโต๊ะพระมายกตัวอย่าง)  เอาสักสามลูกเลย สามลูกมากแล้ว พอก่อนๆ แล้วเราก็บอก อร่อย นี่คือความหมายของชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  เจออะไรที่ดี เราก็เก็บไว้คนเดียว กับอีกอันหนึ่ง อร่อยนะเอาไหม อร่อยนะแบ่งกัน ไม่เอาหรืออร่อยจริงๆ เอาไหม ไม่มีใครเอาเลยหรือ อยากแบ่งนะอร่อยๆ เอาไหม เอาหรือ อยากเอาหรือ เราให้ เอามีดมา เดี๋ยวเราแบ่งให้ ความหมายของชีวิตของคนบางคนได้อะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว ทำไมต้องแบ่ง ไม่ต้องแบ่งไม่ต้องให้ กับอีกแบบความหมายของชีวิต ได้อะไรมาแล้วแบ่งปัน แบ่งปัน ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นแบบไหนหรือ (แบ่งบัน)
ฉะนั้นดวงดีไม่สู้ทำดี ทำดีที่ไหนเราไปอยู่กับใครก็มีดวงดี แต่ชีวิตของคนไม่ใช่ เวลาได้อะไรมาแล้ว เก็บไว้ก่อนแบ่งไหม ยังไม่แบ่ง ให้ไหม ยังไม่ให้ ทำอย่างไรต่อ ไปหาอีกใช่ไหม (ใช่)  พอได้มากแล้วเป็นอย่างไร ฉันรวย พวกแกมันจน  แล้วก็คิดว่าตัวเองมีมากกว่า แล้วก็มองคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขที่แท้จริง ความหมายชีวิตที่แท้จริง คือการมีแล้วเก็บจนอิ่มเลยไม่สนใจใคร หรือทุกขณะที่มีก็แบ่งปัน ทุกขณะที่ได้ก็แบ่งปันจำไว้นะ ดวงดีไม่สู้ทำดี
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของชีวิตคือ ความสุขที่ไม่ใช่แค่เรามี แต่มีแล้วยังรู้จักให้ ถึงแม้ว่าไม่มี แต่ก็ยังรู้จักถาม เป็นอย่างไรเหนื่อยไหม  เมื่อยไหม สวัสดีลุง สวัสดีป้า  เป็นอย่างไรบ้างฟังธรรมะ สบายไหม ไม่สบายหรือบอกได้ ช่วยนวด เมื่อยไหม ความหมายของชีวิตคนจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าเราทำอะไรสำเร็จ เราเก่งอะไร เราเป็นอะไร แต่คือ เราอยู่กับใคร เราก็ทำให้เขามีความสุข เราอยู่กับใครเราก็จริงใจ มีน้ำใจ รักใคร่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จึงเรียกว่าชีวิตที่มีค่ามีความหมาย ถ้าอย่างนั้นชีวิตของเรา คุณค่าและความหมาย อยู่ที่ไหน เงินทอง เกียรติยศหรือ แม้ไม่มีเงินทองแต่เรามีน้ำใจ แม้ไม่มีเงินมากมายแต่เรามีความจริงใจ ความซื่อตรง หรือแม้เราจะมีน้อย แต่เราก็ยังรู้จักแบ่งบัน
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่ความสุขแค่เห็นแก่ตัว มีความสุขที่สามารถส่งให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ มีความสุขได้ด้วย และทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมายด้วย  แต่คนบางคนในโลกนี้ความสุขคืออะไร เอามากกว่าให้ รอมากกว่าที่จะแบ่งปัน ใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์พี่เป็นคนที่อยู่ในโลก แต่อยากมีใครสักคนหนึ่ง  เหงาไหม  บางทีเหงานะ ใช่ไหม คุณค่าและความหมายที่แท้จริงคืออะไร มันทุกข์จังเลย ถ้าอย่างนั้นหาใครสักคนมาเติมเต็มความสุขแล้วปกปิดความทุกข์ของเราในใจดีไหม (ไม่ดี)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมดีไหม (ไม่ดี)  จริงหรือ (จริง)  แต่คนบางคนแปลกนะ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม อยู่คนเดียวก็เหงาแล้ว แต่อยู่กับอีกคนหนึ่งแล้วเขาไม่ใยดีสนใจเรา เหงายิ่งกว่า ถูกไหม (ถูก)  การที่เราคิดว่ามีใครสักคนหนึ่ง จะทำให้เราหายเหงา คิดว่าเอาความสุขของคนอื่นมาปิดความทุกข์ของตัวเอง แล้วจะทำให้ตัวเองมีความสุข  แต่เป็นความสุขที่จอมปลอม  ดั่งที่บอกว่า อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว แต่มีเขาข้างกายแต่ไม่เคยอบอุ่นใจสักวันเลย มันเหงายิ่งกว่าจริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม  ฉะนั้นตั้งแต่แรกความสุขของเรา เราเข้าใจความหมาย ทุกขณะชีวิตเราปฏิบัติกับทุกคนด้วยความสุข ความเข้าใจ ความรักที่เต็มเปี่ยมแล้ว เราจะขาดแคลนความรัก ขาดแคลนความสุขไหม เพราะทุกวันเราทำได้เต็มที่แล้ว เหมือนการเอาแต่รอให้ใครมารัก กับการที่รู้จักมอบความรักให้กับทุกคน ถามว่าใครทุกข์กว่ากัน (รอให้คนมารัก)
มีใครสักคนจะมารักเราไหม รอไปทุกวันก็ไม่มีความสุขสักที แต่ในทางกลับกัน เราจะรักทุกคนให้เต็มที่ เราจะทำดีกับทุกคนให้เต็มที่ ไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่คน (รัก)  แล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นใครจะรักเราหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราให้คนอื่นได้เรามีให้ทุกคน แล้วชีวิตของศิษย์น้องเป็นแบบไหน ความหมายและคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่การเอาแต่รอให้ดวงดี แต่ทำทุกวันให้เป็นวันที่ดี ด้วยการกระทำของตัวเอง ดีไหม (ดี)
ในเมื่อเรารู้คุณค่าตัวเองแล้ว เรามีความสุขอยู่ที่ไหนเราก็ให้ความสุขกับทุกคน ถ้าวันหนึ่งศิษย์น้องโดนคนด่า โดนคนว่า ศิษย์น้องจะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  เพราะอะไร เพราะเรารู้คุณค่าตัวเอง คำด่าของคนอื่นไม่มีผลต่อใจ แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่รู้จักคุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง คำชมคนอื่นก็จะเปล่าประโยชน์ เพราะถึงเวลาแล้วเราดีตรงไหน มาชมว่าเราดีแต่จริงๆ เราดีไหม จริงไหม (จริง)  คำว่าคุณค่าและความหมาย เมื่อใดที่มนุษย์เข้าใจตัวเองและปฏิบัติตัวเองได้ถูกมนุษย์จะไม่สูญเสีย แม้โดนว่าหรือโดนชมก็จะไม่เสียความเป็นคนของตัวเอง ดีกว่าคนที่ไม่รู้จักตัวเองและไม่รักษาความดีในตัวเอง ไม่ว่าจะโดนชมโดนว่าก็หวั่นไหว ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนคนไม่สวย ศิษย์น้องเคยยอมรับไหมว่าตัวเองไม่สวย (เคย)  ฉะนั้นใครชมว่าสวยมันก็ไม่มีประโยชน์ ใครว่าเราไม่สวยเราก็ไม่โกรธ เพราะรู้ตัวเองและก็ยอมรับตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ในชีวิตของเราถ้ารู้ว่าความสุขที่แท้จริง มันไม่ใช่อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง ตัวเราก็จะสามารถทำให้มีความสุขได้ทุกที่ อยู่ที่ไหนแม้ไม่มีคนใดคนหนึ่งเราก็ยังมีสุขได้ แต่มนุษย์ในโลกมักจะชอบมีสุขอยู่แค่คนๆ เดียว พอคนๆ เดียวตายไป เราก็เลยเป็นอย่างไร (อยู่คนเดียว)  อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว มีเขาแต่ไม่อบอุ่น เหงากว่า ใช่หรือไม่ เอาไว้เตือนใจเลย ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไร ถ้าต้องทนอยู่กับคนที่ไม่รัก และถ้าต้องทนอยู่กับสิ่งไม่ถูกใจเรา เคยไหม ศิษย์น้องเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม เอาเปรียบคนอื่นเป็นภัย แต่ถูกเขาเอาเปรียบเป็นวาสนา และถูกเขาเอาเปรียบแล้วไม่ทำร้ายเขาให้เจ็บใจเป็นวาสนาแล้วยังสร้างเมตตาธรรม เหมือนอยู่ในโลกมีคนรังแกเราบ้างทำร้ายเราบ้าง รังแกคนอื่นเป็นภัย แต่อภัยผู้อื่นเป็นวาสนาและสามารถช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้เป็นกรุณา จริงไหม แล้วถึงเวลาเราอดทนให้เขาเอาเปรียบและรังแกไหวไหม ไม่ไหวหรอก ใช่ไหม แม้จะรู้ว่าที่พูดมันดีแต่ถึงเวลามันทำยาก ศิษย์น้องเคยได้ยินสำนวนๆ หนึ่งไหม ถ้าเวลามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันด่าฉัน ถ้าเราไม่นิ่งชีวิตเราจะถูกเขาบงการ แต่ถ้าเกิดว่าเขาด่าเรา แต่เรานิ่งเราจะสามารถควบคุมตัวเอง บงการตัวเอง และสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมาะสม และเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการได้
น้ำดับไฟได้ฉันใด แต่ถ้าหากเรายืนผิดที่ผิดทาง ไฟก็เผาน้ำให้มอดไหม้ได้ฉันนั้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่รู้จักเข้าใจคุณค่า รู้จักชีวิตตัวเอง รู้จักความหมายในการดำเนินชีวิตตัวเอง เขาย่อมสามารถแปรร้ายเป็นดี แปรบาปเป็นบุญ แปรเคราะห์กรรมเป็นโชค ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเราต้องเจอเคราะห์ร้าย คนที่เอาเปรียบเราคือคนที่จะมีภัย แต่เราจะไม่เอาเปรียบใคร เพราะถ้าโดนเขาเอาเปรียบเราจะได้วาสนาและบุญ โดนเขารังแกเราจะได้วาสนา ฉะนั้นถ้าเราโดนเขาเอาเปรียบ โดนเขารังแก เราจะแปรร้ายเป็นดีหรือแปรร้ายเป็นยิ่งร้าย ศิษย์น้องจำไว้นะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตมากระทบใจแล้วเรานิ่งไม่ได้ เมื่อนั้นเราจะตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ทำเราโกรธ เราก็เป็นทาสอารมณ์โกรธและเดินตามไปโกรธ จริงไหม แต่ถ้าเมื่อใดเรานิ่งได้ เราจะไม่เป็นทาสอารมณ์ของใคร แต่เราจะสามารถควบคุมจัดการ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ถูกหรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจงนิ่งให้ได้ก่อน ทำอย่างไรให้นิ่งได้ วิธีแรกที่จะทำให้นิ่งคือ
  1. ใจต้องไม่แปรปรวน ใจต้องเหมือนเดิม ใจตรง เวลาถูกด่ามา ใจตรงไม่ปรวนแปร
  2. จิตใจต้องมั่นคง
  3. จะต้องไม่พยายามหลุดด่าออกมาเป็นวาจาชั่วร้าย
  4. พยายามอนุเคราะห์เขาด้วยวาจาสุภาพ เป็นประโยชน์ และพยายามเมตตาให้มากที่สุด
ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรมา การบำเพ็ญจึงไม่ใช่ไปแก้เขา การบำเพ็ญคือการหันกลับมา เพราะตัวปัญหาคือใจของเรา และใจของเราที่สร้างปัญหาคือกิเลสที่เกิดในใจ ถ้าเราสามารถมีสติเท่าทัน กิเลสจะมากี่ร้อยกี่พัน เราก็สามารถจัดการได้ เมื่อจัดการภายในได้ ภายนอกถึงจะมีปัญหาก็จะง่าย แต่ถ้าจัดการใจตัวเองไม่ได้ ภายนอกก็ตายแน่เลย จริงไหม (จริง)  ทำยากไหม (ไม่ยาก)
กิเลสสามารถขจัดได้ด้วยคุณธรรมและความถูกต้องอันดีงาม เราอยากจะให้โกรธหายไปได้อย่างไร ถ้าไม่เอาคุณธรรมเมตตาออกมาจากใจ เราอยากจะให้ความเกลียดหายไปได้อย่างไร ถ้าเราไม่รักษาใจของเราให้เมตตาเข้าไว้ เมตตาคือไม่เบียดเบียนใครให้ทุกข์  กรุณาคือนำพาเขาให้พ้นทุกข์  ทำยากไหม ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าอย่างนั้นนักเรียนในชั้นนี้จะเป็นคนอดทนเก่ง ไม่โกรธเก่ง ทำได้ไม่ได้ (ได้)  กลับบ้านไปโดนสามีถาม กลับบ้านทำไมดึกดื่น  โดนภรรยาถามไปเที่ยวอีหนูที่ไหนมา จะนิ่งได้ไหม (นิ่งได้)  ได้แน่หรือ ยังไม่ทันนิ่งเดินหนีก่อนเลย
ฉะนั้นสิ่งสำคัญเราต้องรู้คุณค่า เข้าใจความหมายตัวเองก่อน  ถ้าทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไยต้องกลัวอุปสรรค ความยากลำบาก แต่ถ้าทำไม่ดี ทำสิ่งไม่ถูกต้อง ต้องระมัดระวังกาย ใจ ตัวเอง
เราอยากมีดวงดี หรือดวงไม่ดี (ดวงดี)  อยากอยู่กันแบบมีกรรม หรือมีมิตร (มีมิตร)  ทุกครั้งทำให้เป็นมิตรหรือทำให้เป็นกรรม ทำให้เป็นมิตรหรือให้เป็นศัตรู (เป็นมิตร)
ฟังแบบนี้ก็ไม่ยากนะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าจะเริ่มศึกษาหลักธรรม เริ่มศึกษาการปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญก็คืออย่าหนีความเป็นจริงของโลก ถ้าท่านยังไม่สามารถอยู่บนโลก และอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข แล้วคิดว่าไปปฏิบัติธรรมจะพ้นทุกข์ ไม่มีทางต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสมบูรณ์พร้อมก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราจะไปปฏิบัติธรรมก็สบาย แต่คนบนโลกมักหนีความจริงแล้วไปปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะและเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ถ้ายังปฏิบัติคุณธรรมแห่งความเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ เหมือนคำพูดที่มนุษย์พูดว่า มนุษย์ปรารถนาความสุข แต่ความสุขจะมาได้ก็ต้องสงบและถึงสุข จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังสงบไม่ได้เราก็ (สุขไม่ได้)  แล้วเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสุขไหม การบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการค้นหาความหมายแห่งชีวิต และเอาความหมายแห่งชีวิตมาปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยมีทำนองคลองธรรมเป็นพื้นฐาน และทำนองคลองธรรมพื้นฐานก็คืออยู่ในศีลอยู่ในธรรม เมื่อเราอยู่ในศีลในธรรมถูกต้องแล้ว การจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็ไม่ยาก  แต่สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือไม่เคยอยู่ในศีลในธรรมได้แท้จริงสักครั้ง สามวันดีสี่วัน (ไข้)
ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วขาดสติ จุดยืนของการเป็นคนเราก็จะหวั่นไหวไปกับโลกภายนอกได้ง่าย ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์น้องเคยลำบาก เหนื่อย ขยัน มีความสุข กับสบายแต่ขี้เกียจ เอาเปรียบผู้อื่น และผิดศีลขาดธรรม แบบไหนดีกว่ากัน (อย่างแรก)  ถึงแม้เราจะลำบากหน่อย ได้เงินช้าหน่อย แต่เราไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ไม่ขาดความเป็นคน แล้วเรารู้จักพึ่งตัวเอง ก็จะหาความสุขได้ไม่ยาก แต่ดีกว่าเอาสบายเอาเปรียบ แล้วผิดศีลขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกให้ว่า เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนที่สามารถอดทนและนิ่งได้อย่างแท้จริง บางทีก็ยากนะ ยากไหม (ยาก)  ถ้าอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ภัยก็ไม่เกิด แต่ถ้าเล็กๆ น้อยๆ อดทนไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้อง อย่าดูถูกพลังจิตใจของตัวเอง ถ้ารักจะทำต้องทำให้ถึงที่สุด ถ้าคิดจะดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำอะไรแล้วถึงที่สุดเราก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่เรามา แต่ถ้าวันนี้เราทำดีบ้างไม่ดีบ้าง ชีวิตก็จะเป็นอย่างนี้ กระท่อนกระแท่นๆ อยากมีชีวิตที่ดี อยากมีชีวิตที่ราบรื่นเวลาทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ เต็มเหนี่ยว ให้สุดแรง ไม่ใช่ว่า เดี๋ยวเอาเดี๋ยวไม่เอา ชีวิตเลยเป็นแบบนี้ ลมเพลมพัด ลมพัดลมเพ ฟ้าไม่ได้กำหนดชีวิตเราแต่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง ความสุขอยู่ที่ (เรา)  ความทุกข์ก็อยู่ที่ (เรา)  ฉะนั้นอยากนั่งแบบมีความสุขหรืออยากนั่งแบบคนมีความทุกข์ อยากนั่งแบบคนมีความสุขแล้วไปให้ถึงบุญไปให้ถึงนิพพาน ไปให้ถึงสวรรค์ นั่งแบบไหนดี นั่งแบบเบื่อ ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะบอกให้นะ เราอยากนั่งแล้วทำให้เรามีสุขแล้วได้บุญพ้นทุกข์ ไม่ยากเลย  มันอยู่ที่เราวางความคิดแบบไหน ถ้านั่งแล้วดี ได้ฝึกใจตัวเอง ได้ลดความยึดมั่นถือมั่น ดีได้ปล่อยวางได้โล่งเบาบ้าง ดีได้ลืมตัวเองบ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่ายิ่งนั่งฟังยิ่งมีสุข ยิ่งได้บุญ เพราะบุญคือขจัดกิเลส แล้วสามารถลดอัตตาตัวตนได้ เพราะบุญนำไปสู่กุศล และพอขจัดตัวตนแล้ว ดีได้ลืมตัวเองบ้าง ชีวิตมันวุ่นวาย กุศลนำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ที่ไม่ยึดติดตัวตน จริงไหม แล้วเรานั่งเพื่อให้ได้แบบนั้นไหม นั่งแล้วทุกข์ สิ่งที่ได้จึงเป็นนรก ใช่ไหม เราว่าใช่นะศิษย์น้อง จริงไหม ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะฝึกความนิ่งความอดทนให้ได้ และสามารถบำเพ็ญเข้าถึงความถูกต้องและความดีงามได้ถึงที่สุด ศิษย์น้องเคยถูกคนถากถางไหม เคยถูกคนต่อว่าไหม เคยถูกคนดูถูกไหม แล้วเวลาโดนดูถูกถากถางเราเจ็บไหม โกรธไหม ด่าไหม นินทาไหม ศิษย์น้องลองแปรเปลี่ยนเคราะห์กรรมให้เป็นบุญวาสนา ลองแปรเปลี่ยนกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ลองแปรเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นพ้นทุกข์ โดยการเข้าใจความทุกข์ให้ถึงแก่นแท้ ถ้าเรารู้ตัวเราดี เรารู้ว่าเราทำอะไร และเรารู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน คำดูถูก คำต่อว่า คำด่าทอ มันจะมีผลอะไรกับใจเราไหม และถ้าเราทำมาตลอดชีวิต เราทำดีที่สุดแล้ว เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว คนดูถูกถากถาง มันจะมีผลกับใจเราไหม แต่เราจะรู้สึกดี แปลว่ามันอิจฉาเรา
ทำไมมีแต่คนอิจฉา มีแต่คนต่อว่า แต่คิดอีกที อย่างน้อยก็มีคนสนใจเรา  ถ้าไม่สนใจไม่บ่นไม่ด่าให้เมื่อยปากจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเมตตาว่า ถ้าเวลาเราถูกคนต่อว่า เวลาเราถูกคนดูถูกถางถากให้นึกถึงดิน ขุดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด  พอเป็นหลุมเป็นบ่อก็จะมีคนถมให้เต็ม ฉะนั้น ถ้าเวลาเราโดนคนว่า โดนคนถากถาง รักษาใจให้หนักแน่นเหมือนดิน ได้ไหม (ได้)  แล้วเคยไหมที่ถูกคนเข้าใจผิด เคยไหมที่ถูกคนใส่ไคล้  ถูกยุแยงตะแคงรั่ว ถูกคนเลื่อยขาเก้าอี้ ถูกคนนินทา แล้วเราเคยยุแยงและนินทาเขาไหม (เคย)  ดังนั้นก็อย่าไปว่าคนอื่นเพราะเราก็เคยทำอย่างนั้นมาแล้ว กงกรรมกงเกวียน ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น ศิษย์พี่จะบอกนะ เราไม่อยากเจอสิ่งใด อย่าสร้างเหตุปัจจัยให้เราต้องไปรับผลของสิ่งนั้น ถ้าเราไม่สร้างแล้วสิ่งที่เหลือก็คือกรรมเก่าที่เราเคยทำมาแค่นั้นเอง  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่โดนคนยุแยง ใส่ร้ายป้ายสี โดนคนกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ดี ให้ศิษย์น้องทำใจให้เหมือนฟ้า  เขาใจแคบมา เขาดูถูกมา เขาคับแคบมา ฉันจะ (กว้าง)  ได้ไหม  ไม่ใช่เขาคับแคบมาเราก็ (คับแคบไป)  อย่างนี้จะจบไหม  ชีวิตจะหมดทุกข์ไหม อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย  (สงบ)  อยากอยู่อย่างมีทุกข์หรือสิ้นทุกข์ (สิ้นทุกข์)  แล้วทุกวันนี้ทำแบบสิ้นทุกข์หรือหาทุกข์ (หาทุกข์)
ฉะนั้นเขาแคบมา ร้ายมา ฉันจะดีตอบ กว้างตอบ ฉันจะแปรบาปให้เป็นบุญ จะแปรร้ายให้เป็นดี จะแปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  เพราะเกิดมากรรมก็เยอะแล้วจริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากมีกรรมอีกไหม กรรมไม่แบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครคับแคบมา เราจะใจกว้างยิ่งกว่ากว้าง  ดีไหม (ดี)  จำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำจิตใจให้เหมือนดิน เหมือนฟ้า แล้วบางทีเรื่องบางเรื่องมันเจ็บปวดใจ ลืมไม่ลง ถ้าอย่างนั้นจงทำใจให้เหมือนน้ำไหลแล้วไม่ย้อนกลับ เพราะชีวิตอยากสงบ ไปแล้วก็ไปลับ แต่เราไปแล้วก็กลับ เขาด่าจบแล้ว แต่เราจบไหม (ไม่จบ)  เขายืมเงินเราไป จบแล้วยัง (จบแล้ว)  แต่เราไม่จบ เพราะอะไรให้เขายืมไปเยอะ ช่วยไม่ได้ก็ให้เขายืมเยอะทำไม
ชีวิตก็แบบนี้นะศิษย์น้อง บางอย่างถ้ามันไปแล้วมันไม่เคยกลับมา ของถ้ามันจะเป็นของเรามันก็เป็นของเรา ถ้าทำบุญกันมาแค่นี้ก็ต้องยอมรับแค่นี้ ฉะนั้นธรรมชาติสอนธรรมะเสมอ บางอย่างผ่านไปแล้วเอาเก็บกลับมาให้มันเน่าในใจทำไม น้ำถ้าไม่ไหลเวียนมีแต่เน่าใน แล้วเราปล่อยให้ผ่านแล้วผ่านไปหรือว่าเราเก็บกักไว้ ไหลผ่านหรือเน่าใน (ไหลผ่าน)
อย่าให้มองเลยคนนั้นเห็นแล้วเบื่อ อย่าให้พูดถึงเลยเจ็บใจ  แล้วอยู่อย่างนี้มีความสุขไหม ฉะนั้นถ้าเรานิ่งได้ ยอมรับความจริงได้ มีจุดยืนในการเป็นคนได้ คนทุกคนไม่ใช่ปัญหา คนทุกคนไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่คนทุกคนกลับมาทำให้เราเข้าใจตัวเองและเรียนรู้ที่จะดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ทำให้เกิดทุกข์ใจ และสร้างปัญหากับคนรอบข้าง บำเพ็ญแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เป็นเหมือน ( ดิน ฟ้าและน้ำ)  ฉะนั้นลองฝึกความอดทน ฝึกความใจนิ่งให้ได้อย่าง ดิน ฟ้า และน้ำ ศิษย์น้องก็จะเป็นถุงหนังที่ฟอกแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ ใครตีอย่างไรก็ไม่ดำ ถ้าฟอกดี บำเพ็ญดี ใครตีอย่างไรก็ไม่ทุกข์
ถ้าเราทำได้ดีก็ไม่ต้องกังวลว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน และเราก็ไม่ต้องเอาชีวิตไปแขวนอยู่กับดวงราหู เพราะเรารู้จักควบคุมชีวิตตัวเอง คนที่รู้จักควบคุมตัวเองรู้จักคุณค่าความหมายของชีวิตตัวเอง แม้หมอดูก็ดูชะตาชีวิตเขาไม่ได้ เพราะสามารถพลิกผันไปได้ด้วยสติปัญญาของเขา ที่จะดำเนินชีวิตไปเช่นไร แต่สงสัยคงหาได้ยาก  เพราะชีวิตยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เลย จริงไหม (จริง)
ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ขอคุยกับศิษย์น้องเบื้องต้นง่ายๆ  แบบนี้ก่อน ไม่ยาก  ฉะนั้นลองไปฝึกฝนปฏิบัติดู ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเรายังทำไม่ถูกต้อง และนิ่งไม่ได้  ก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะต้องหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ แต่ถ้าเมื่อไรเราทำถูกต้องและนิ่งได้ อะไรมากระทบ เราก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเรารู้คุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง แล้วเราก็สามารถมีสุขได้
ถ้ามีโอกาสลองมาศึกษาเพิ่มเติม ดีหรือไม่ (ดี)  ให้เวลากับชีวิตตัวเองเพียงวันเดียวเองหรือน่าเสียดาย ชีวิตก็คือธรรมชนิดหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจเรียนรู้ธรรมจะเข้าใจชีวิตหรือ  แล้วเรียนรู้ธรรม เรียนรู้ชีวิตเพียงวันเดียวจะเข้าใจไหม ไม่มีทาง เพราะทุกวันเรามัวแต่ปล่อยชีวิตไป แต่เราไม่เข้าใจชีวิต การมาฟังธรรมคือการย้อนมองตน เรียนรู้ การเข้าใจความเป็นคนที่แท้จริง คนเช่นไร ที่เรียกว่ามีธรรม และมีธรรมเช่นไร ที่จะนำพาให้เรามีสุขและพ้นทุกข์  ถ้าไม่ใช่การเรียนรู้และเข้าใจความหมายการเกิดเป็นคนที่แท้จริง
ฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ที่คนอื่น คุณค่าความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่อยู่ที่ตัวเราทำเช่นไร เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ หรือแบ่งปันมีน้ำใจ ห่วงแต่ตนไม่ห่วงใคร รู้จักห่วงผู้อื่นหรือห่วงตัวเอง ฉะนั้นคนที่จะเข้าใจชีวิตคนอื่นได้คือคนที่เข้าใจชีวิตตัวเอง เหมือนศิษย์น้องถ้ามีความสุข ก็สามารถแบ่งปันความสุขได้อย่างไม่เหนื่อยหน่าย ไม่มีมีวันหมด
แต่ถ้าเรารู้และเชื่อมั่นในความสุขในใจของตัวเอง แล้วไม่กลัวว่าจะหมดยิ่งให้ก็ยิ่งมี จริงไหม (จริง)  เอาแค่ง่ายๆ ยิ้ม พอเรายิ้มคนอื่นเขาก็ยิ้มตอบ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสุขและความดีก็เช่นกัน ขอเพียงเราให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเต็มใจ มันจะไม่มีกลับมาเลยหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคุณค่าและความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันอยู่ที่ตัวศิษย์น้องทำตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพน่ารักน่าเชื่อถือ ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ถ้าไม่ทิ้งโอกาสตัวเองนะ


วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เคี่ยวเข็ญตนงำนำแสงประกาย ฝึกบำเพ็ญเป็นหัวใจคนได้ดีเพราะธรรม อวดเบ่งเกินเป็นคางคก ชอบพูดยกตัวหน้าตาคว่ำ ทบทวนการกระทำ      รู้เรารู้เขารู้ตัว
                   ทำนองเพลง : ลูกทุ่งเสียงทอง
ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม

                   เราคือ
 จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว         ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับกันบ้างไหม   
                     
คงเพราะใจวุ่นวุ่นมานาน    ได้คืนบ้านแห่งใจบ้างไหม ไม่ว่าการกระทำและคำพูดใด ที่แล้วล้วนเจอปัญหา
ต่างก็ผ่านชีวิตมานาน เจ้ามีด้านแห่งธรรมบ้างไหม ใช้สติเท่าทันและความชั่งใจเปลี่ยนชีวิตไปด้วยศรัทธา
*ต่างคนต่างช่วยไปมา ต่างกันแต่ไม่เป็นไร
**ต่างบำเพ็ญด้วยหลักธรรม ต่างกันแค่คิดบางอย่าง แต่ช่วยกันดี     ต่างกับเหมือนอยู่ที่ใจ ไม่มีเรื่องไหนเรื่องใหม่ ศิษย์พากเพียรมานักต่อนัก
(ซ้ำทั้งเพลง, **, ** )

ทำนองเพลง : หมื่นคำลา
ชื่อเพลง ต่างคิดแต่ไม่ต่างธรรม


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ให้เลือกระหว่าง เรามาแล้วท่านต้องช้าไปอีกสี่หรือห้าชั่วโมง กับอีกอย่างคือให้เรากลับไปเลยท่านจะได้เร็วขึ้น เอาอย่างไหน ให้โอกาสท่านเลือกนะ เพราะอย่างไรก็มีพรุ่งนี้อีกวัน ชีวิตมีโอกาสเลือกได้ไม่กี่ครั้ง จริงๆ  ในโลกนี้เรามีโอกาสเลือกที่จะทำได้ เลือกที่จะเป็นได้ แต่อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เราเข้าถึงธรรมะที่ฟังบ้างไหม (เข้าถึง)  เข้าหูซ้ายออกหูขวา อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เข้าใจอะไร น่าเสียดาย ถ้ามาฟังวันครึ่ง เกือบสองวันแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร จริงไหม
อย่างนั้นถ้าเราบอกว่าธรรมะคือความธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ ธรรมะคือความเป็นกลาง แต่ถ้าหากว่าเราเอียงซ้ายเอียงขวา ก็แปลว่าเราไม่ค่อยมีธรรมะ เราไม่สามารถยอมรับความเป็นธรรมดาได้ ก็แปลว่าเราไม่เข้าใจธรรมะ ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราเห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทำให้เราเจอธรรมะ แต่เราเคยเห็นความเป็นธรรมดาไหม แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เห็นธรรมไหม เห็นทุกข์มากกว่าเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าความหมายของธรรมะคืออะไร ถ้าธรรมคือความธรรมดา ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง และธรรมคือความสามัญ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ซิกซ์เซนส์[1] ใช่หรือไม่ คนมักจะบอกว่าฉันมีเซนส์ ฉันรู้ แต่ว่าตราบใดสิ่งที่ศิษย์รู้ยังมีความหลง ยังมีกิเลสเคลือบแคลง ยังมีความยึดมั่นถือมั่น นั่นก็ไม่ไช่เรียกว่าธรรม นั่นก็ไม่สามารถเป็นธรรมที่นำพาให้พ้นทุกข์ได้ เหมือนศิษย์บอกว่า เราก็ดีแล้วจะบำเพ็ญธรรมทำไม แล้วจะรู้ธรรมมากมายทำไม ฉันไม่ได้อยากเป็นอรหันต์ ไม่ได้อยากพ้นทุกข์ จริงไหม
อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  แล้วเป็นคนดีหรือยัง อย่าบอกว่าดีข้างหนึ่งไม่ดีข้างหนึ่งนะ แบบนั้นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  สมมติอาจารย์ก็เป็นคนดีทำบุญตักบาตร แต่พอเจอใครก็บ่น อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าศิษย์ตั้งใจจะปฏิบัติบำเพ็ญ ศิษย์ต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า การเรียนรู้ธรรมคือสอนให้เราเป็นกลาง ไม่เอียงซ้ายไม่เอียงขวา ยอมรับในความเป็นจริงอันธรรมดาสามัญโดยไม่เกิดทุกข์ เมื่อใดศิษย์เข้าใจธรรมอันธรรมดาสามัญและเป็นกลางได้ ศิษย์ก็ค้นพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  แต่เรายอมรับความเป็นจริงไหม เมื่อเราไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาศิษย์ก็เลยต้องทุกข์ เมื่อเราไม่สามารถยืนอยู่ในความเป็นกลางได้ ศิษย์ก็เลยเอียง คนนั้นไม่ดี คนนี้เขาเลว ศิษย์รักษาความเป็นกลางไม่ได้ ศิษย์ก็เลยทุกข์ เพราะธรรมคือความเป็นกลาง เมื่อใดเรายอมรับความสามัญได้ รักษาใจเป็นกลางได้ ศิษย์ก็จะพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เห็นธรรมง่ายไหม (ง่าย)  แล้วเราเห็นธรรมแบบนี้ไหม เรามักจะรักลำเอียง ถูกไหม เมื่อใจแบ่งแยกแล้วก็ชอบยึดติดในการแบ่งแยกจนไม่สามารถมองเห็นความเป็นธรรมได้
ถ้าวันนี้อาจารย์จะมาคุยกับศิษย์ในเรื่องความทุกข์และทางดับทุกข์ ศิษย์จะอนุญาตให้อาจารย์อยู่ด้วยไหม (อนุญาต)  เต็มใจไหม (เต็มใจ)  เพราะถ้าไม่เต็มใจไม่อนุญาตก็จะไม่ฝืนทำให้ใครทุกข์ ก็ศิษย์ไม่อยากทุกข์ อกเขาอกเราอาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ แล้วก็ไม่อยากเห็นใครทำหน้าทุกข์เวลาอยู่กับอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเกิดเป็นคนทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวของตัวเองยังไม่พอ ยังไปทุกข์กับหัวจรดเท้าของคนอื่นอีก จริงไหม ฉะนั้นเรามารู้วิธีแก้ทุกข์กันง่ายๆ ดีไหม
เขาแต่งตัวประหลาดก็เรื่องของเขา ถูกไหม แต่ปากเรา ใจเรา ทำไมแต่งแบบนี้ ทุเรศจริงๆ ไม่ดูตัวเองเลย ว่าเขาไหม แล้วทุกข์ไหม พูดและบ่นไหม แล้วลืมดูตัวเองว่าแต่งตัวอะไร ใช่หรือไม่ การแต่งตัวก็บ่งบอกความเป็นตัวเองเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้กำลังทุกข์เรื่องการแต่งตัวของอาจารย์ บอกแล้วมนุษย์ทุกข์หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหนถ้าอยากให้คนเคารพให้เกียรติ เราก็ต้องรู้จัก (เคารพให้เกียรติผู้อื่น)  เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคน และนอกจากเคารพให้เกียรติแล้วสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเป็นคนน่ารักยิ่งกว่าคนอื่นก็คือ  การอ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่าย และอาจารย์ก็คิดว่านักเรียนชั้นนี้ อ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่ายใช่ไหม (ใช่)
อยากอยู่ที่ไหนให้คนมีสัมมาคารวะ อยากอยู่ที่ไหนให้คนอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องเริ่มที่ตัวเรา อยากอยู่ที่ไหนมีคนให้เกียรติ ก็ต้องอยู่ที่เราให้เกียรติเขาไหม ก็อยู่ที่เราทำดีกับเขาไหม อย่าไปชี้หน้าว่าเขา แต่ตัวเราใจดำ อย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นไม่มีมารยาท แต่ตัวเองไม่เคยมีเมตตากับใคร
มนุษย์เราหนีไม่พ้นความทุกข์ ถ้าเราเป็นคนดี เราจะทุกข์ไหม คนดีทุกข์ไหม (ทุกข์)  ก็ยังมีทุกข์ตามประสาคนดีอยู่ ทุกข์มีหลากหลายแบบ และมีทุกข์อีกแบบที่เราหนีไม่พ้น แม้จะเป็นคนดีอย่างไรก็หนีทุกข์นี้ไม่พ้น ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความแก่ เจ็บ ตาย เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  เป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจและทำให้เราพ้นทุกข์ได้
เรามีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เรามักเจอกันคือ ทุกข์แห่งความสุข ทุกข์กับสิ่งที่เรียกว่าดีร้าย สิ่งที่เรียกว่าเคราะห์ภัย สิ่งที่เราเรียกว่าได้เสีย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเรา คนด่าเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเราก็ทุกข์ แค่เพราะว่าเขาชมศิษย์ว่าสวย ปกติออกจากบ้านไม่เคยดูกระจก พรุ่งนี้เวลาออกจากบ้านต้องดูกระจกก่อนว่าสวยหรือยัง วันนี้เขาชมศิษย์ว่าแต่งตัวดูดี พรุ่งนี้ออกจากบ้านเริ่มลำบากแล้วว่า จะใส่ชุดอะไรดี ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์มีทุกข์อีกประเภทหนึ่งที่เกิดจากการกระทำ ทุกข์ที่เกิดจากผลของการกระทำ เป็นทุกข์ที่เราสร้างเหตุมา แล้วเราต้องรับผลของปัจจัยที่เราสร้างเหตุนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทุกข์แรกเราหนีไม่พ้น แล้วทุกข์นี้เราสามารถที่จะควบคุมและทำให้เบาบางได้ไหม ศิษย์ว่าทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราเคยมองเห็นไหม (มองเห็น)  แล้วเคยคิดที่จะขจัดทุกข์ไหม (เคย)  ด้วยการไปหาความสุขจนใจทุกข์ นั้นคือการแก้ที่ถูกไหม (ไม่ถูก)  ด้วยการหนีทุกข์ไปเลย แล้วไปเจอทุกข์ใหม่  ด้วยการไปบวชชีสามวันเจ็ดวัน แล้วกลับมาจะได้ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราทุกข์เพราะอะไร อาจารย์จะมาพูดทุกข์อันนี้กัน แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีวิธีแก้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้มันมีไฟก็ต้องมีน้ำดับ ถูกไหม (ถูก)  ถ้ามันมีทุกข์แล้วจะไม่มีวิธีดับทุกข์หรือ ถ้ามีทุกข์จะไม่มีวิธีพ้นทุกข์หรือ มีแต่เราเคยหาไหม (ไม่เคย)  เอาไว้ก่อนขอสุขก่อน เวลาสุขจนถึงที่สุดมันกลับมาเป็น (ทุกข์)  แล้วตอนนี้จะหันหน้ามาสู้กับมันไหม (สู้)  เหมือนตอนนี้นั่งแล้วเมื่อย สู้ไม้สู้ (สู้)  นั่งต่อไหม (ต่อ)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องหันกลับมาดูก็คือ ความทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้างเอง กำหนดเอง แล้วก็ตายเอง ความทุกข์ที่เราหามาเองแล้วก็หนีไม่พ้นเอง แล้วเราจะแก้อย่างไร เราก็ต้องดูก่อนว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์
อาจารย์ถามหน่อยแล้วเราทุกข์เพราะอะไร เรามาแก้กัน ทุกข์เพราะความคิด จริงไหม ถ้าอย่างนั้นเวลาเราทุกข์เพราะความคิดที่ไม่เป็นอย่างใจ คิดให้มันไปซ้ายแต่มันไปขวา คิดให้มันดีแต่มันไม่ดี คิดว่ามันจะสำเร็จมันกลับ (ไม่สำเร็จ)  คิดอย่างได้อีกอย่างทุกทีเลย ใช่หรือไม่ แล้วทำอย่างไรที่เราจะแก้ความคิดได้ ถ้าอย่างนั้นศิษย์ไปไหว้พระเก้าวัดเจ็ดวัดศิษย์จะได้หายจากความทุกข์ที่เกิดจากความคิด ศิษย์ไปทำบุญจะได้ถวายส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันต้องแก้ที่ไหน (ตัวเรา)  ความคิดที่เรายึดติดที่ทำให้เราทุกข์ ความคิดที่ขาดสติ เพราะเอาแต่คิดแต่ไม่มองความจริง ฉะนั้นความทุกข์จะกลายเป็นความพ้นทุกข์ได้ถ้าเรารู้จักพลิกความคิดเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน จริงไหม สมมติว่าตั้งความหวังไว้สูงแต่มันได้แค่นี้ หวังว่ามันจะดีมากแต่มันได้แค่นี้ ทำใจได้ไหม ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยทำใจได้มันก็พ้นทุกข์ ทำใจไม่ได้มันก็ทุกข์ต่อไป เพราะไม่มีใครเปลี่ยนความคิดในใจศิษย์ได้นอกจากศิษย์ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ทำไมไม่คิดว่า แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม เพราะไม่แน่ทำใหม่จากที่ตอนแรกมันได้แค่นี้ แต่ตั้งไว้แค่นี้ พอทำใหม่มันอาจได้ (นิดเดียว)  และถ้ามันต่ำกว่านี้ศิษย์จะทุกข์ไหม ถ้าศิษย์ทำเต็มที่ทำดีที่สุดและทำทุกวันให้ถูกต้องงดงาม ผลมันไม่ได้อยู่ที่ตอนท้าย แต่ผลมันอยู่ที่ทุกๆ วันเราทำ เหมือนวันนี้ความสุขของศิษย์อย่าไปกำหนดที่บั้นปลาย แต่ความสุขของศิษย์ควรจะกำหนดอยู่ที่ทุกๆ วันได้ทำอะไร ใช่ไหม
ศิษย์บอกว่า พอถึงเวลาถึงที่สุดแล้ว มีก็ดีกว่าไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยพอไม่มีก็ดีกว่าที่จะไม่เคยได้รู้จักเลยจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนความคิดเราให้ได้ คนที่ทุกข์และคนที่เจ็บคือตัวเรานะศิษย์จริงไหม (จริง)  คนที่เราคาดหวัง คนที่เราหวังดีเขาสนใจไหม (ไม่สนใจ)  ก็ไม่สนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาทุกข์กับเราไหม (ไม่)  แล้วเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่า ในโลกของความเป็นจริงนี้ บังคับใครบังคับอะไรให้เป็นดังใจไม่ได้ และควบคุมให้มันเป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ แล้วอยากจะควบคุมไหม ยังอยากจะยึดติดไหม (ไม่)  จริงหรือ (จริง)
ถ้าอาจารย์ถามว่าได้แอปเปิลลูกนี้แล้วมีความสุขเอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยถึงจะรู้ความจริง แต่ถึงที่สุดศิษย์ก็เอา อาจารย์ถามหน่อย อะไรในโลกที่ควบคุมได้ วันนี้ปากก็บอกว่ามันสุขที่สุด แต่สุขที่สุดที่ศิษย์เคยเจอ มันก็ให้ทุกข์ได้จริงไหม (จริง)  ถ้าอาจารย์ให้มังคุดลูกนี้ แล้วทำอะไรมันจะคุด มันจะอับเฉา มันจะไม่งอกเงยเลยเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ย ทุกสิ่งถึงแม้จะเป็นจริงขนาดไหน แต่มันก็เปลี่ยนแปลงได้ ถึงเราจะควบคุมมันไม่ได้ และมันจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาด แม้ร้ายมันก็มีดี แม้ดีมันก็ไม่ใช่จะดีไปทั้งหมดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวมันไม่ได้อยู่ที่ความคิด แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อใจเราต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด และเราจะควบคุมมันได้หรือไม่ อาจารย์ถามว่า ถ้าสองอย่างนี้เอาไม่เอาสุขด้วยทุกข์ด้วยเอาไหม   มนุษย์จึงหนีไม่พ้นทั้งที่รู้อยู่ว่า มีอะไรสุขแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นทุกข์ ต้นเหตุที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมความอยากได้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งนั้นอาจจะทำให้เกิดทุกข์ไม่ต่างกับสุข สุขไม่ต่างกับทุกข์
โดยส่วนใหญ่เราอยากทุกข์หรืออยากสุข (สุข)  รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหน ก็มาจากความสุข มาจากอะไรอีก (ความอยาก)  มาจากความอยาก ความโลภ ความเกลียด ความหลง แล้วศิษย์รู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เมื่อเกิดขึ้นในใจเราแล้ว เราจะหนีไม่พ้นบาป และหนีไม่พ้นทุกข์ เวรกรรม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่อยากมีทุกข์เพิ่ม ศิษย์ก็ต้องพยายามควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง  ถ้าควบคุมไม่ได้มันก็จะทำโทษเรา เหมือนที่เมื่อไรมนุษย์ไม่รู้จักใจตัวเอง มนุษย์ก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสร่ำไป  ถ้าเรารู้ว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางแห่งบาป แห่งอกุศล และความทุกข์ และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถ้าเราอยากเป็นทุกข์น้อยๆ  เราก็จะไม่เป็นทาสของโลภ โกรธ  หลง  แล้วเราเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง มีไหม (มี)  ถ้าศิษย์รู้ว่าศิษย์มี แสดงว่าศิษย์มีใจยอมรับ และเมื่อยอมรับให้มีครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที (สอง)   ครั้งที่  (สาม)  ครั้งที่  (สี่)  แล้วหยุดไหม ไม่หยุด ฉะนั้นเรามารู้จัก โลภ โกรธ หลง ในตัวเราหน่อยดีไหม
ศิษย์จำไว้ ถ้าศิษย์อยากจะเอาชนะและควบคุมได้ ศิษย์ก็ต้องรู้จักมันให้ชัด ถ้ารู้จักมันชัด ควบคุมมันได้ มันก็ไม่มีอิทธิพลต่อเรา อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม มีรูปร่างไหม แล้วนิสัยมันเป็นอย่างไรศิษย์อยากรู้ไหม มันชอบคนเข้าข้าง มันชอบคนใส่ใจ และมันชอบคนให้ค่าและเอาใจ แต่มันมีนิสัยอย่างหนึ่ง คือมันไม่ชอบคนไม่เห็นค่า ถ้าเมื่อไรไม่เห็นค่ามัน มันจะขี้อายและมันจะบอกว่า ไปก็ได้ และมันก็เกลียดคนรู้ทัน เวลาเราจะโกรธ เขาด่ามา โกรธไหม แต่ว่าโกรธมาอย่าไปเห็นโกรธเขา ให้เห็นโกรธในตัวเรา พอโกรธมา บอกเห็นแล้วไม่เอา แล้วโกรธจะอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แต่เวลาเห็นโกรธแล้วให้ค่ามันไหม เอาไหม (เอา)  เป็นไหม (เป็น)  แล้วก็เลยหนีไม่พ้นวิบากกรรม บาป และทุกข์ที่ศิษย์ก่อก็กลายเป็นเวรกรรมที่ต้องมาชดใช้เกี่ยวกรรมกัน ฉะนั้นทางศาสนาพุทธสอนไว้ว่า จงมีศีล สมาธิ ปัญญา แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้ทำที่วัด แต่ทำตอนที่เขาโกรธเรา และเราจะโกรธตอบ อยากมีศีลไหม ศีลคือไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่า ไม่กระทำผิด ฉะนั้นพอโกรธมา ฉันจะมีศีล ฉันจะมีสมาธิที่มั่นคงในศีล และฉันจะมีปัญญาเห็นแจ้ง เอาสิ่งนั้นมาขจัดให้ฉันพ้นทุกข์และล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ทานคือการสละออกโดยไม่ยึดติด และถ้าหากทานนั้นเป็นธรรมะทานก็เป็นทานอันประเสริฐ ฉะนั้นถ้าเขาด่ามา เราเห็นความโกรธ เราไม่โกรธ และเรายังเอาความไม่โกรธนั้นมาทำให้เราไม่ผิดศีล มีสมาธิ มีปัญญาเห็นแจ้ง และชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ คนที่ด่าเรา เรากำลังได้ทำบุญทำทาน จริงไหม
แล้วถ้าหากคนที่ด่าเรา สามารถทำให้เราละความยึดมั่นในตัวตนได้ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นอกจากทำบุญทำทานแล้วยังได้กุศลด้วย ฉะนั้นการทำบุญที่แท้จริง จึงไม่ใช่การอยู่แค่ในวัด แต่เราสามารถทำได้ทุกที่ แล้วถ้าบุญนั้นไม่เจาะจงด้วยก็เป็นเหมือนสังฆทานที่ใหญ่ กับใครเราก็ทำบุญ ใครด่ามาเราก็ได้ทำบุญ ใครนินทามาเราก็ได้ทำบุญ ดีไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราก็สามารถปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ไม่สร้างทุกข์ได้ ฉะนั้นเมื่อใดที่เขาด่ามา อย่าเห็นแต่เขาให้กลับมาเห็นเรา อย่าเห็นแต่กิเลสในตัวเขาแต่ให้กลับมาเห็นกิเลสในตัวเรา ถ้าหากเห็นอะไรสวยๆ งามๆ อยากไหม (อยาก)  อาจารย์บอกว่ากินอันนี้จะถูกลอตเตอรี่ เอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์บอกแล้วนะความโลภมันเกิดแค่นิดหนึ่ง มันก็หนีไม่พ้นบาป กรรม ทุกข์ เลขสามตัวเอาไหม เอา ไปโลภก่อนแล้วทำบุญทีหลังมันแก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ให้จริงนะ  พออาจารย์จี้กงไปก็หากันอีก เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์เอ๋ยอย่ามองเห็นเป็นความโลภเล็กๆ เหมือนทำบุญทำดี ถ้าอยากให้บริสุทธิ์ อยากให้พ้นทุกข์ บุญนั้นต้องไม่อิงแอบซึ่งความหลง ความโลภ เหมือนทำดีแล้วขอพร ขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้สบาย แบบนี้การทำบุญถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าทำแล้วใจยังอิงแอบไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ก็หนีไม่พ้นบาป ถึงบอกว่าทำดีแค่ไหน แต่ถ้ายังละโลภ โกรธ หลง ไปจากใจไม่ได้ ก็ยังไม่เรียกว่าผู้บริสุทธิ์แท้จริง
อย่างนั้นเรามาเข้าใจหน่อยนะว่าแล้วทำดีเพื่ออะไร เราทำดีเพื่อป้องกันการเกิดกิเลส บางทีมันอดไม่ได้อาจารย์ เห็นแล้วสวย เห็นแล้วหล่อ เห็นแล้วต้องขูดหน่อยสามตัว ทำไมมันไม่ออก มันต้องออกสิ ขอขูด บ้างดีกว่า ใช่ไหม มันก็อยากอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรที่จะอยู่ในโลก อยากแล้วศิษย์ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง และไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ให้ศิษย์เอาศีลมาเป็นตัวกรอง เอาคุณธรรมมาเป็นตัวปกป้อง ศีลทำให้เราไม่ผิด ไม่บาป ใช่หรือไม่ อาจารย์มีธรรมะ มีเมตตา แล้วศิษย์มีเมตตาไหม เมตตาในใจ ศิษย์จะอยากโลภไหม รู้ว่ามันเป็นของคนอื่น ศิษย์จะอยากเอามาเป็นของเราไหม ถ้ามีเมตตาในใจ ถ้ารู้จักซื่อตรงในใจเอาไหม แต่ถ้าหากไม่มีเมตตา ไม่มีความซื่อตรงเอาไหม  อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง คุ้มครองและป้องกันได้ด้วยศีลและธรรม ศีลทำให้เราไม่ผิดพลาด ไม่ทำให้เราหลงใหลไปในทางต่ำ ส่วนธรรมทำให้เวลาเราอยู่ร่วมกับใครก็ปฏิบัติกับเขาได้อย่างสงบสุข เหมือนเราเคารพให้เกียรติกัน เคารพให้เกียรติความซื่อตรงจริงใจกัน เหมือนเราจะทำร้ายเขา ศิษย์ก็บอกอาจารย์ นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร บางทีเราโกรธเขา บางทีเกลียดเขา เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปขอโทษ หายไหม (ไม่หาย)  อาจารย์ถามลึกๆ ไม่โกรธ แต่อย่าเป็นอีก ใช่ไหม
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อย่าบอกว่านิดเดียว โกรธนิดหน่อยเอง   ไปเอามานิดหน่อยเอง เดี๋ยวไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปแก้ใหม่ได้ หายกันไหม (ไม่หาย)  แล้วบางคนเวลาเอาคืน เขาเอาคืนเบาๆ ไหม (ไม่เบา)  เราตีเขาแปะเดียว เขาทุบเราเอาถึงตาย
ศิษย์อย่าดูเบาเรื่องความโลภ โกรธ หลงในใจ อย่าดูเบาเรื่องความผิดพลาดในชีวิต เพราะถ้าผิดพลาดไปแล้ว ต่อให้เอาน้ำทั้งโลกมาล้าง ก็ล้างไม่ได้ ต่อให้ศิษย์ทำดีตลอดชีวิต ก็แก้ความรู้สึกผิดในใจของศิษย์ไม่หมด จริงไหม ฉะนั้นเราควรที่จะอยู่อย่างคนที่มีสติ  ไม่ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง แล้วศิษย์จะเบาบางทุกข์ไปได้ครึ่งหนึ่งของชีวิตได้เลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม ทำนอง : ลูกทุ่งเสียงทอง และทำนองเพลง : หมื่นคำลา)
อาจารย์ให้เพลงสองเพลง เพลงหนึ่งทำนองเพลง ลูกทุ่งเสียงทอง อีกเพลงหนึ่งเป็นแบบวัยรุ่นช้าๆ เนิบๆ ให้เพลงแล้ว อาจารย์จะเอากลอนพระโอวาทมาแยกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายโดยนัย กลับไปให้ศิษย์เอาไว้คิดดีไหม (ดี)  แต่อาจารย์ก็ยังมีธรรมะอีกหลายเรื่องที่อยากจะถกกับศิษย์  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดเรื่องความทุกข์ และต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ บางทีถ้าเรารู้ว่าเป็นทุกข์ ความแก่เจ็บตาย เราจะพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แก่เจ็บตายเป็นทุกข์ของสังขารหรือเป็นทุกข์ของจิตญาณ (สังขาร)  ในเมื่อเป็นทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของจิตญาณเดิมแท้ แปลว่าญาณเดิมแท้ของเราไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายได้ หรือเป็นเพราะว่าที่เราสามารถพ้นทุกข์ได้ เพราะเรายึดมั่นถือมั่นกับ (กายสังขาร)
เคยนั่งรถไปบนถนน แล้วเห็นถนนพยับแดด รู้จักพยับแดดไหม คือมองไกลเห็นเป็นน้ำ แต่พอเข้าไปใกล้ไม่มี อาจารย์ถามหน่อย ชีวิต สังขาร เหมือนพยับแดดไหม มองไกลๆ เห็นไหม (เห็น)  มองใกล้ๆ เห็นไหม (เห็น)  แต่ในความเห็น ให้มองไปถึงที่สุดมันเห็นไหม มีไหม อย่างนี้เรียกว่า กายสังขาร และอันนี้เรียกว่าตัวเรา ควบคุม บังคับไม่ได้ ไม่เป็นดั่งใจเรา และเป็นที่รวมแห่งความทุกข์ ตีตรงนี้ก็ (เจ็บ)  หยิกตรงนี้ก็ (เจ็บ)  ดึงตรงนี้ก็ (เจ็บ)  เป็นลางแห่งความทุกข์ ถ้าเรายึดทุกที่ก็ทุกข์ ถ้าไม่ยึดสักที่ก็ไม่เจ็บ อาจารย์ถามว่า ถ้าเราสามารถรู้จนสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เรียกว่าปัญญาตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมะ เหมือนที่พระพุทธะบอกว่า ให้เรามีจิตที่สงบและมองเห็นความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้ง แล้วความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้งนั้น เราสามารถมองเห็นได้ไหม (ได้)  รู้ได้ไหม รู้ได้ เราก็จะพ้นทุกข์ได้ ถามจริงๆ ตัวเรานี้เรียกว่า สังขาร ถูกไหม (ถูก)  มองเข้าไปในผิวหนังเป็นเลือดเนื้อ มองเข้าไปในเลือดเนื้อเป็นกระดูก มองเข้าไปในกระดูกเป็นตับไต ไส้พุง มองเข้าไปในตับไตไส้พุงเป็นธาตุ ใช่หรือไม่ มองผ่านธาตุเป็น (ความว่างเปล่า)  ร่างกายมันเหมือนพยับแดดเราเห็นว่ามันมี แต่ว่าไปถึงที่สุดมันมีไหม (พระอาจารย์เมตตาชี้ส่วนของร่างกาย)  อันไหนตัว ต้องเป็นทั้งหมดถึงจะเรียกว่าตัว แล้วทั้งหมดนี้เรียกว่าตัว แล้วเมื่อก่อนไม่ตัวหรือ เมื่อก่อนที่เล็กกว่านี้ตัวไหม แล้วต่อไปเหี่ยวกว่านี้ตัวไหม แล้วอันไหนตัว
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เห็น สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เข้าใจ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมันจริงๆ เพราะถ้าศิษย์เห็นเข้าใจมันจริงๆ ที่กำลังด่าเรา ที่กำลังว่าเรามันเหมือนพยับแดด มองใกล้ๆ เข้าไปอีก เขายืนด่าเราไหม ผ่านไปอีกชั่วโมงเขายังด่าไหม ผ่านไปอีกสองชั่วโมงยังด่าไหม ถ้าทั้งวันยังด่าก็เกินไปแล้ว จริงไหม มันก็เหมือนกับพยับแดด เหมือนว่าเห็นเขาด่าเราก็จริง แต่พอเราเข้าไปใกล้จนถึงที่สุด ใกล้จนถึงที่สุด มีก็เหมือนไม่มี และอยู่ตลอดไหม แล้วเราที่โดนด่า มีไหม (ไม่มี)  ยึดติดมันก็มีแต่ถ้าไม่ยึดติดมันก็ไม่มีกลายไปความว่างกับความว่างกำลังด่ากันอยู่ แล้วเราอยากเอาตัวเราไปรับทุกข์ไหม ทั้งที่เขาก็ว่าง เราก็ว่าง เขาก็ไม่มี เราก็ไม่มี ถ้าอย่างนั้นที่เราทุกข์เพราะเขาด่าเราโง่ไม่โง่ โง่ที่เราไม่เคยเห็นความจริง บางคนบอกว่า อาจารย์ก็มันอดไม่ได้ โลกนี้มีดีและไม่ดี ถ้าอย่างนั้นคนดูถูกเรา ดีไม่ดี คนด่าเรา ดีไม่ดี (ไม่ดี)  แปลว่าศิษย์ยังไม่เห็นจริง เคยเห็นไหม คนบางเอาคำดูถูกมาทำให้ตัวเองสำเร็จ มีไหม (มี)  ถ้าอย่างนั้นบอกว่าคำดูถูกไม่ดี หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้ชัด
      คนชมเรา ดีไม่ดี (ดี, ไม่ดี)  เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักตัวเอง ดีไม่ดีไม่รู้ ฉันรู้แค่เพียงฉันดีหรือไม่ดีแค่นั้น ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องเห็นให้มากกว่าเห็น เห็นชนิดที่ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ความเห็นนั้นจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ใช่ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  แก่ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าไม่อยากแก่ ตายไปเลยตั้งแต่เด็ก เอาไหม แต่ตอนนี้ยังไม่ตาย ยังได้อยู่ แก่ดีไหม (ดี)  แล้วแก่มันไม่ดีตรงไหน เห็นไหมเพราะศิษย์เห็นไม่ชัด ถ้าเห็นชัดมันจะทุกข์เพราะความแก่ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มันจะหัวเราะได้ว่าหกสิบแล้วฉันยังไม่ไปฉันยังอยู่ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นเวลาเจ็บไข้ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาเจ็บไข้ทีมันก็ทำให้เรารู้ว่าเรากินหวานมากเกิน เรากินรสจัดมากเกิน เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มันสมดุล ใช่ไหม (ใช่)  เราหาเงินมากเกิน ร่างกายเลยอ่อนเพลียกินไม่ครบ แล้วก็ทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริงเวลาเราเจ็บป่วย ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์มักจะพูดว่าไม่มีหมามาเหลียวแลเลย อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ความตายดีไหม (ดี)  ดีทันทีเลย ศิษย์เอ๋ยถ้าอยู่แล้วทำถูกต้องทำดี เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนมีคุณธรรม ตายดีกว่าอยู่อีก แล้วตายก่อนตายมันดียิ่งกว่ามีชีวิตอยู่ แล้วไม่รู้จักตายให้เป็นอีก แล้วอะไรล่ะน่ากลัว ใจที่ไม่รู้จักยอมรับสักที จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่ทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเราขาดสติรู้ความเป็นจริงในโลกใบนี้ หรือเราทุกข์เพราะเราขาดการรู้จักตัวเอง จึงตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าใครตอบได้อาจารย์ให้แอบเปิลแห่งความทุกข์ดีไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ถ้าเห็นชัดในทุกข์มีสุข เอาต้องเอาให้สุดๆ  มีพระนิพพาน มีความสิ้นทุกข์ในโลกแล้ว เอาทำไมเพียงสุข เอาแล้วต้องเอาให้สูง ต้องเอาให้พ้นทุกข์ ถึงเรียกว่าฉลาด เพราะธรรมสอนให้เราฉลาด
ศิษย์เอ๋ยการกระทำอันใดก็ตาม บางครั้งเราคิดว่าเราเอาตัวรอดก็พอ แต่ถ้าตัวเองรอดแล้วเผลอทุกข์หรือเผลอทำผิด เราก็ทำคนอื่นเดือดร้อนได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเอง ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน กลัวแต่ตัวเองยังเอาไม่ดี กลัวแต่มัวดูเขาจะยืนไหม แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้ยืนใช่หรือเปล่า ศิษย์เอ๋ย มีชีวิตอยู่สำคัญคือ  รู้ตัวเอง มีสติรู้ตัวเอง พอเรารู้ตัวเอง เราจะไม่ทำใครเดือดร้อน แต่ถ้าไม่รู้ตัวเองเราจะทำคนอื่นเดือดร้อน
เราอยู่ในโลกนี้เป็นธรรมดา คนมีหลากหลายแบบ จะให้เป็นดั่งใจเป็นดั่งคิดไม่ได้ เหมือนเอาคนมาสัก สาม สี่ คน เหมือนกันไหม นิสัยเหมือนกันไหม เป็นได้ดั่งใจไหม เป็นได้ดั่งคิดไหม แต่เราเรียนรู้ธรรมแล้ว เข้าใจธรรมแล้ว ต้องจำไว้ว่าความเป็นจริงแห่งธรรมนั้น อะไรที่ทำให้เรารู้และทำให้เราพ้นทุกข์ คือรู้ยิ่งกว่ารู้ แล้วรู้อะไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์คือ รู้ว่าในความเป็นจริงของโลก ที่มีหลากหลายแบบ บางครั้งเราเห็นแต่ก็เหมือนไม่เห็น ความจริงที่รู้แล้วไม่ทำให้ทุกข์ คือ เห็นเขาก็เหมือนไม่เห็น เมื่อเรารู้ในใจ ว่าจริงๆ  แล้วเห็นแค่ไหน ก็เหมือนไม่เห็น เราจะโกรธไหมที่เขาจะอยู่หรือเขาจะไป จะโกรธไหมเมื่อเขาเปลี่ยนไป เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ จนถึงที่สุดแล้วเห็นก็เหมือนไม่เห็น แล้วเคยไหม รู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก เห็นก็แล้ว รู้จักก็แล้ว แต่ถึงที่สุดความจริงเหมือนไม่เห็น และสิ่งที่อาจารย์บอกอีกอย่างบางครั้งทะเบียนก็เป็นทะเบียนของเรา นี่ก็คนของเรา ชื่อก็ชื่อเรา แฟนก็แฟนเรา ของก็ของเรา แล้วเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วอาจารย์ถามหน่อยในโลกนี้อะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  แฟนใช่ไหม (ไม่)  ลูกและ ร่างกายฟังศิษย์ไหม (ไม่)  บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ อย่าตายก็ไม่ฟัง คงไว้ได้ไหม แล้วยึดทำไมให้เป็นทุกข์  ความรู้จริงอีกอย่างที่รู้แล้วให้เราพ้นทุกข์ได้คือ เห็นเหมือนไม่เห็น  รู้เหมือนไม่รู้  ครอบครองได้ แต่จริงๆ ไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมนี้เราจะไม่ทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ แต่จงจำหลักธรรมนี้ไว้นะศิษย์
รู้อะไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์ (รู้สุขจะได้ไม่ทุกข์)  ศิษย์เอ๋ยรู้ทุกข์ดีกว่านะจะได้เข้าใจทั้งทุกข์และเห็นสุข ดีกว่ารู้สุขแต่ไม่เคยเข้าใจทุกข์ ฉะนั้นอย่ากลัวความทุกข์ (รู้เท่าทันอารมณ์, ไม่ยึด รู้ปล่อยวาง)  ศิษย์เอ๋ยคำว่าปล่อยวางก็คือเห็นแล้วไม่คิด ถ้าข้างในไม่มีข้างนอกก็ไม่มีผล แต่ถ้าข้างในมีแม้ข้างนอกไม่มีมันก็มีเรื่อง ฉะนั้นรู้ข้างนอกไม่สู้รู้ข้างใน ปราบผีข้างนอกไม่สู้ปราบผีข้างใน ปราบตัวร้ายข้างนอกไม่สู้ปราบตัวร้ายข้างใน เพราะคนที่ร้ายคือเรา (รู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่สังขารของเราเอง)  ขอให้คิดให้ได้แบบนี้เสมอนะ อย่าเผลอไปโลภมากแล้วผลสุดท้ายทำใจไม่ได้ (รู้เท่าทันตัวเอง)  ตอบได้ดีรู้จักคนอื่นไม่เรียกว่าฉลาด แต่ถ้ารู้จักตัวเองเรียกว่าฉลาดนักแล
เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ แต่บางครั้งมันก็ชอบมาให้เราเห็นมาให้เรารู้ แล้วก็ทำให้เราเจ็บ ฉะนั้นเหมือนที่อาจารย์บอกข้างนอกมีอะไรก็แล้วแต่ข้างในไม่มี ข้างนอกเราก็จัดการได้ (รู้เท่าทันอารมณ์)  ขอให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง คนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปรู้ รู้เท่าทันใจตัวเอง ฉะนั้นใครว่าเราไม่สวยไม่งามก็ไม่เป็นไร (รู้จักเขารู้จักเรา)  แต่อาจารย์จะบอกนะศิษย์เอ๋ย รู้จักเราให้ชัดก็จะรู้จักเขาชัด แต่คนภายนอกชอบรู้เขาชัด แล้วก็มองตัวเองไม่ชัด ฉะนั้นอย่าพูดว่ารู้เขาแล้วจะรู้เราไม่เคยมี มีแต่รู้เราชัดก็จะเห็นเขาชัด เพราะปัญหาทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ตัวเรา (รู้ตัวเอง)  เวลาเรารู้เราชอบ อดตัดสินไม่ได้จริงไหม ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เรารู้แล้วเห็นชัดเจนที่สุดก็คืออย่ารู้โดยใช้ความคิด อย่ารู้โดยใช้เหตุผล เพราะความคิดและเหตุผลเป็นรากเหง้าของกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่จงรู้ตามสัจจะความเป็นจริง เมื่อใดที่ไร้ความคิดและเหตุผลเมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างตามเป็นจริง แต่มันยากเพราะเห็นอะไรแล้วอดคิดไม่ได้ เหมือนอาจารย์บอกหนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  เห็นไหมทันทีเลย เพราะสมองเรามันชอบติดกับความคิดกับเหตุผล อาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่งเราอดไม่ได้เราเห็นอะไรแล้วชอบตัดสิน จริงไหม (จริง)
เห็นอะไร (ขาวกับดำ)  นี่แหล่ะเราอดไม่ได้พอเราเห็นเราชอบตัดสิน เราชอบวิพากษ์วิจารณ์เราจึงมองไม่เห็นความจริง เราเห็นความต่างอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่  ถ้ามนุษย์ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับคำว่าเหตุผลจะทำให้มนุษย์ไปไม่ถึงที่สุดของความจริงเพราะเหตุผลกับความคิดมันมาจากความรู้ความจำที่เป็นอัตตาตัวตน เหมือนศิษย์บอกว่าอาจารย์คนนี้ไม่มีเหตุผลเลย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยเหตุผลของศิษย์ เป็นเหตุผลที่ยุติธรรมหรือเข้าข้างตัวเอง ความคิดของศิษย์เป็นความคิดที่บริสุทธิ์หรือเอียงเข้าข้างตัวเอง ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ออกจากความคิดความรู้และเหตุผลของศิษย์ เป็นความจริงแท้หรือความหลงผิด  ฉะนั้นเวลาศิษย์เห็นอะไร อย่าเพิ่งรีบตัดสิน ไม่อย่างนั้นศิษย์จะอดเห็นความจริง อย่าเพิ่งผูกขาดไม่เช่นนั้นศิษย์จะไม่เห็นความจริงแท้ เหมือนเวลาเราไม่ชอบคนดำ อาจารย์จะบอกว่าไม่ว่าแบบไหน ล้วนมีทั้งทุกข์และสุข ดีและร้ายในความเป็นจริง ถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกโดยไม่ทุกข์จงอย่าติดแค่สิ่งที่ตัวเองคิด จงอย่าติดในเหตุผลที่ตัวเองมี แต่จงมองให้ลึก มองให้เข้าใจ และสัจจะความเป็นจริงมันจะไม่ไปไหน เราจะตื่นรู้ในธรรมด้วยตัวเราเอง อย่างที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นเมื่อถูกกระทบ จบเลยไม่ต้องเริ่ม
พอถึงที่สุดอันนี้ก็ไม่เอา เพราะเราเอาอะไรไม่ได้เลย เพราะเราเกิดมาเพียงเพื่อยืมใช้ และใช้ให้ถูกที่สุด โดยไม่ยึดอะไร เรียกว่าสิ้นทุกข์สิ้นกิเลส เราจะได้สิ้นการเวียนว่าย แต่ถ้าศิษย์อยากเจออีก ก็เคียดแค้นชิงชังเอากันให้ถึงที่สุด เอาไหม (ไม่เอา)
ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้ พึ่งตัวเองให้มากที่สุดและสู้ไม่ถอย ศิษย์จะไม่มีวันลำบาก พึ่งตัวเองให้มากที่สุด ลำบากอย่างไรก็สู้ไม่ถอย สิ้นก็จะไม่พบความลำบาก ถ้าศิษย์เชื่ออาจารย์  ถ้าศิษย์เอาแต่พึ่งคนอื่น เอาแต่ขี้เกียจ ไม่ยอมสู้ ศิษย์ลำบากแน่ๆ แต่ถ้าตั้งใจบำเพ็ญ พึ่งตัวเอง สู้ไม่ถอย ลำบากอย่างไรก็จะฟันฝ่า ลำบากอย่างไรก็จะไหว เจ็บอย่างไรก็จะสู้ ก็ไม่มีวันลำบาก วันที่ลำบากคือวันที่จบแล้วได้กลับคืน ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นอย่ายอมแพ้ สู้ให้ถึงที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์ขอปรบมือดังๆ ให้ศิษย์หน่อย ทำไมอาจารย์อยากปรบมือดังๆ ให้ศิษย์รู้ไหม เพราะศิษย์ยอมมาลำบาก ยอมฝืนความลำบากเพื่อฟังธรรมะ ให้ไปอยู่บ้านสบายๆ ก็ได้ไม่เอา แต่ยอมมานั่งลำบากเพื่อฟังธรรมะ นี้ถึงเรียกว่ามาสร้างบุญ บุญที่ทำให้เราชำระล้างใจให้เราบริสุทธิ์ บุญที่ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่รู้จักละความยึดมั่นถือมั่น และรู้จักให้เรามีปัญญาในการกระจ่างแจ้งในหลักธรรม ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไหวไหม (ไหว)  สู้ไหม (สู้)
เมื่อสักครู่ฟังธรรมะที่อาจารย์พูด รู้เรื่องและเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ)  แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งรู้แล้วแต่ละไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้แล้วยังวางไม่ลงมันน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นชีวิตเราไม่รู้ว่าจะมีอีกชีวิตหนึ่งหรือเปล่า ถ้าชีวิตนี้เป็นชีวิตเดียวทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุด ดีก็ให้ดีสุดๆ เหมือนตอนนี้เราพึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกหลานพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  คนที่ช่วยศิษย์ได้คือตัวเอง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าตัวเองแม้จะแก่ขนาดไหนก็สู้ไม่ถอย เจ็บอย่างไรก็สู้ไม่ถอย ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอย่าเป็นคนอายุมากที่ไม่น่ารัก แต่จงเป็นคนอายุมากที่ขยัน สู้ไม่ถอย ยิ้มเก่ง ไม่มีวันลำบาก เชื่ออาจารย์ เจออะไรลูกไม่รัก ไม่เข้าใจก็ยิ้ม อย่างไรแม่ก็รัก พึ่งคนอื่นมันพึ่งไม่ได้พึ่งเราเอง รอลูกให้มันมาดูแลแล้วเราก็นอนรอลูก ฉะนั้นไม่ต้องรอ ธรรมสอนไว้อย่างหนึ่งตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องรู้จักพึ่งตัวเอง มีความสุขได้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้ฉันสุขมากที่สุดก็คือ อายุปูนนี้แล้วฉันยังอยู่ และอายุปูนนี้แล้วฉันยังไหว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอายุปูนนี้อะไรฉันก็ยังดี มันยังไม่สุขหรือ (สุข)  ฉะนั้นชีวิตถึงจะเหลืออีกแค่ครึ่งหนึ่งก็จงสู้ต่อไป ไม่พึ่งใครพึ่งตัวเอง ถึงที่สุดเวลาอาจารย์ไปก็สบาย เพราะอาจารย์ไม่ยึดอะไรแล้ว และอาจารย์ทำเต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เหมือนที่อาจารย์พูดเสมอ เงยหน้าไม่ผิดต่อฟ้า ก้มหน้าไม่ผิดต่อดิน ต่อผู้คนมีคุณธรรมจริยธรรมครบ ฉะนั้นวันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว เราเกิดมาถึงที่สุดก็ต้องกลับ ศิษย์เอ๋ย ชีวิตยังรู้จักกลับบ้าน แล้วจิตญาณเดิมแท้ ไม่รู้จักกลับบ้านบ้างหรือ แล้วบ้านของจิตญาณเดิมแท้อยู่ที่ไหน เรามาจากธรรม เราก็ต้องกลับสู่ธรรม ฉะนั้นรู้จักกลับบ้านของสังขาร จะต้องรู้จักกลับบ้านของจิตญาณ คือสภาวะธรรมอันไร้ตัวตน จะได้ไม่ต้องทุกข์อีก เวียนว่ายตายเกิดอีก จะได้หมดห่วงต่อไป สู้นะ ทำให้ได้นะ ทำได้แล้วจะได้กลับสู่ธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ว่างเปล่า ดีไหม (ดี)  แข็งแรง เข้มแข็ง อย่ากลัวลำบาก  มีความคิดที่ดี หมั่นศึกษาให้มากๆ  เพิ่มพูนปัญญานำพาชีวิตผู้อื่นให้ได้ ด้วยหัวใจที่หนักแน่น ไม่มีใครเราก็ต้องเข้มแข็งได้ ไม่มีใครเราก็รักตัวเองได้ รักษาตัวเอง ทำให้ได้นะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พาใจกลับบ้าน”)
อันนี้เป็นแค่รูป แต่ความหมายโดยนัยน์ คือ ทุกข์มีใจอันเดิมแท้เดียวกัน และใจอันนั้นเรียกว่า สัจภาวะ ความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นใช่ไหม (ใช่)  คำว่า “ใจ” อย่ามองเป็นตัว เป็นรูปลักษณ์ ใจอันนี้คือสภาวะธรรมอันหนึ่ง ที่จริงๆ แล้ว มันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ที่เรียกว่า สัจธรรม สัจธรรมคือสิ่งที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์แล้วก็ว่างเปล่า อยู่ในทุกชีวิตและอยู่มีในทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าเป็นรูปหรือนามใช่ไหม (ใช่)  สังขารต้องกลับคืนสู่ธาตุทั้งห้าถูกไหม (ถูก)  แล้วจิตญาณเดิมแท้ต้องกลับคืนสู่ที่ที่มา ฉะนั้นใจกลับคืนสู่บ้าน บ้านไหน บ้านที่ไม่ได้เรียกว่า สวรรค์ เพราะสวรรค์เสวยสุขเสร็จ ยังต้องกลับมาเวียนว่าย แต่บ้านเดิมแท้ที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเรียกว่า (นิพพาน)
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา   จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด
ที่ที่ไร้ตัวตนเหตุแห่งความทุกข์       ที่ที่เกิดและสิ้นสุดทุกสิ่งไป
ไม่มีไปไม่มีมาแค่กลับคืน              แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่
ล้วนไม่เที่ยงผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย   ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา” จิตญาณเดิมแท้ของเราคือธรรม “จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด” กลับคืนสู่ธรรม เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับ เดินตามรอยธรรมชาติ เกิดเพื่อดับถูกไหม เป็นแนวทางของธรรมะที่เราหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตญาณเดิมแท้ของเราจึงไม่เรียกว่าตัวเรียกว่าตน แต่จิตญาณเดิมแท้ของเราจริงๆ คือ ธรรม และเรากำลังจากธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมเป็นอย่างไร ธรรมก็คือความธรรมดา ที่ธรรมดาแต่กลับสูงที่สุด และมีอยู่ในทุกชีวิต และในธรรมที่สูงที่สุดและธรรมดานั้น มันไร้ตัวตน มันไร้เหตุแห่งความทุกข์ และมันเป็นที่ที่สามารถเกิดตัวตนได้ และมันก็สามารถสิ้นสุดตัวตนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่า มันไม่มีไปหรือมีมา เพราะมันคือการกลับคืน  แต่มนุษย์มักจะพูดว่า ตายไปเกิดมา นั่นคือการเวียนว่ายและการยึดติด แต่ผู้เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงคือ ไม่มีไปไม่มีมา แต่ได้กลับคืน คืนที่ที่ศิษย์จากมานะ มันยากนะ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึง ถ้าเข้าถึงศิษย์จะพ้นทุกข์ที่แท้จริง แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่ ล้วนไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันมี มันไม่มี สิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันคือตัวตนของศิษย์ จริงๆ มันไม่ใช่ตัวตน แต่ความหลงต่างหากที่ไปยึดเอาตัวตน จึงมองไม่เห็นความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ตัวยังรู้จักกลับบ้าน อย่าลืมพาใจกลับบ้าน หลงมานานแล้ว กลับบ้านกันเถอะ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายในโลกใบนี้ บ้านที่ทำให้ศิษย์สงบเย็นจริงๆ กลับมา ไม่ต้องกลับมาเจออาจารย์ กลับไปบ้านเดิมแท้เลย กลับให้ถึงที่สุด
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็คงต้องกลับบ้านก่อนนะ คิดให้ดีนะ ตรองให้ดี พิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้หลอกศิษย์ไหม หรือว่าเพื่อช่วยศิษย์เอง ขอเพียงศิษย์ศรัทธาในความถูกต้อง มุ่งมั่นในความดีและเชื่อในธรรมของตัวเอง อย่าได้ทุกข์อีกเลยนะ เพราะอาจารย์เห็นศิษย์ทุกข์มานักต่อนักแล้ว แต่ช่วยศิษย์ไม่ได้มันก็น่าเสียชื่อที่เป็นอาจารย์ จริงไหม อยากช่วยศิษย์พ้นทุกข์แต่ศิษย์ก็ไม่ยอมหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความทุกข์ อยากให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายแต่ศิษย์ก็เพียรตกไปเวียนว่ายตายเกิด อยากให้ศิษย์พ้นเจ้ากรรมนายเวรแต่ศิษย์ก็หาเรื่องสร้างกรรมเวรไม่จบสิ้น มันเลยจุกพูดไม่ออก เพราะพูดไปถึงที่สุดศิษย์ก็พ่ายแพ้ความเคยชิน พ่ายแพ้นิสัย พ่ายแพ้กิเลสจริงไหม ลองไตร่ตรองให้ดี อาจารย์ห่วงจริงๆ นะ ห่วงจากใจ ดูแลตัวเองให้ถูกต้องมีศีล มีธรรม อย่าหลงผิด อย่าติดอบายมุข อย่าตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ทำอะไรคิดให้ดีเพราะถึงที่สุดแล้วคนที่ทุกข์ไม่ใช่ศิษย์คนเดียว แต่คนที่รักศิษย์ก็ทุกข์ด้วยจริงไหม นอกจากศิษย์ไม่มีค่าจริงๆ ถึงไม่มีใครเขาสนใจ แต่อาจารย์เชื่อว่าฟ้าให้กำเนิดศิษย์ แปลว่าฟ้าเห็นศิษย์มีค่า เห็นศิษย์ดี จึงอยากให้ศิษย์เกิดมาและเข้าใจในความจริง ฟ้าไม่ให้คนเกิดมาไร้ค่า แต่ศิษย์จะรู้จักประโยชน์และคุณค่าตัวเองไหม เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุดนะ อย่าเป็นแค่คนดีแต่เป็นคนที่เข้าใจหลักธรรมและนำพาตัวเองพ้นทุกข์นะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ บุญรักษานะ เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์  รู้จักมีศีลมีธรรม ศีลธรรมจะทำให้ศิษย์เดินทางไปในทางที่ถูกต้อง พ้นจากอันตรายนะศิษย์  ตั้งใจบำเพ็ญนะ ระมัดระวังอารมณ์ตัวเองให้ดี ไหวไหม เหนื่อยไหม ใช้ความเมตตาเป็นหลักนะ  คนที่จับมืออาจารย์แปลว่าจะไม่มีวันทิ้งกัน ตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่มีวันทิ้งกัน  ถ้าให้อาจารย์จับหัว ก็แปลว่ายังด้อยปัญญา ต้องเพิ่มปัญญาเยอะๆ ตั้งใจทำดีเลิกให้ได้ในสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง รักษาความดีไว้ด้วยหัวใจที่มั่นคง ตั้งใจบำเพ็ญนะ  ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตัวเองให้ดี อย่าหลงผิด ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตั้งใจนะ ทำได้ดีแล้ว สู้ต่อพยายามต่อนะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องได้ไหม อาจารย์ขอ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหล้าบุหรี่ดีหรือ  ทำให้ได้นะ ศิษย์เป็นคนดีอยู่แล้ว อาจารย์เชื่ออย่างนั้น ขอให้บุญและความดีนำพาศิษย์ให้พบทางที่ถูก นำพาไปสู่ความสว่าง อย่ากลัวความเจ็บไข้ ความยากลำบาก ถ้ามีหัวใจที่มั่นคง ความเจ็บไข้และความลำบากจะมีทางออกเอง ดูแลตัวเอง ความพยายามความตั้งใจดี อาจารย์เห็น รักษาไว้ดูแลให้ดีนะศิษย์ ไปแล้ว อย่าลืมพาใจกลับบ้าน ที่เรียกว่าสภาวะธรรมอันว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวตน สิ้นแล้วซึ่งกิเลสและเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลไปให้ถึงนะศิษย์
[1]ซิกซ์เซนส์ คือ สัมผัสที่หก หมายถึงบุคคลที่มีประสาทสัมผัสพิเศษที่นอกเหนือไปจากประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ผี วิญญาณ


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา