วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

2562-07-06 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一九年嵗次己亥六月初四日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
เกิดเพื่อดับแน่แท้เชียว บาทเดียวเอาไปไม่ได้
ห่วงไว้ก็ต้องปล่อยเป็นไป เหลือไว้แค่ดีชั่วนา
แบบอย่างให้คนกล่าวถึง ไยจึงเหลือน้อยหนักหนา
มีธรรมก็ทรงคุณค่า ใช้ธรรมความทุกข์ห่างไกล
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนตั้งใจมาฟังธรรมะให้ครบสามวันจริงไหม
คนรู้ความคือธรรมเป็นสำแดง คนแก่งแย่งสิ่งเดิมไม่เบื่อหรือ
ใจเที่ยงแท้ความเป็นชีวิตคือ ไม่ยึดถือก่อนมาล้วนบริสุทธิ์
ปฏิบัติธรรมคืนธรรมจากที่เที่ยง ร้อยจำเรียง[1]สู่ธรรมดาคือที่สุด
จันทร์ไร้เว้าไร้แหว่งเพ็ญวิสุทธิ์ ทว่ามนุษย์ตัวต้นเหตุจองใจ
คนมีความทุกข์ที่ชอบประมาท คนฉลาดมีทุกข์ที่ไม่สลาย
ความคิดสิ้นและเกิดใหม่ง่ายดาย สุขทุกข์อย่างไรสุดท้ายทุกข์ไม่มีจริง
เหมือนถนนทุกสิ่งไปมาได้ มาไม่ไปไม่มีแค่สรรพสิ่ง
รู้ชีวิตแค่คืนกลับความจริง กำหนดชีวิตรู้แล้วยิ่งหมั่นทบทวน
ขอจงตื่นจากความฝันสรรพางค์[2] ธรรมยวดยิ่งอนันต์หลังวิบากป่วน
โลกกว้างใหญ่กิเลสสุดผันผวน ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงแปรสัจธรรม
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนอย่างงดงาม แจ้งใจความปัจจัยตามไม่ระส่ำ
ทำใจว่างจึงมีมณฑล[3]ธรรม ประกายงำแก้วเปล่าน้ำจึงริน
ผู้ฝึกตนแท้จริงยิ่งประจักษ์ คนมีปากไร้คำรักษาศีล
ฝึกหลุบตาไม่จับผิดอาจิณ[4] เป็นเทวดาเดินดินฝึกทุกวัน
ฮิ ฮิ หยุด

[1] จำเรียง (ก.) แปลว่า ขับลํา, ขับกล่อม, ร้องเพลง. (แผลงมาจาก เจรียง).
[2]สรรพางค์ (น.) แปลว่า ทั้งตัว, ทั่วตัว, มักใช้เข้าคู่กับคำ กาย เป็นสรรพางค์กาย เช่น เจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย
[3]มณฑล (น.) แปลว่า แสง, รัศมี; วงรอบ, วงกลม; เขต, บริเวณ, เขตการปกครองหลายๆ จังหวัดรวมกัน เรียก มณฑล.
[4]อาจิณ (ว.) แปลว่า เคยประพฤติ, ทำมาแล้ว, เป็นนิสัย, สม่ำเสมอ.



พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา



มาฝึกเอาธรรมะหรือมาฝึกตามใจตัวเอง (เอาธรรมะ)  มาฝึกเพื่อความอดทนหรือมาฝึกเพื่อไม่ต้องอดทน (อดทน)  นั่งฟังอย่างเดียวก็เริ่มเบื่อ เริ่มเมื่อย เริ่มไม่ไหวแล้วใช่ไหม วันนี้ท่านเก่งที่สุดเลย นั่งฟังโดยไม่พูดได้เกือบวันเลย อดทนเก่งไหม (เก่ง)  เมื่อก่อนมักจะพูดไม่หยุด แต่มาที่นี่ต้องหยุดพูดใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการฝึกฝนธรรมอย่างแรกก็คือ หนึ่งมาฝึกเพื่อลดละความเป็นอัตตาตัวตน อย่างน้อยฝึกให้เรารู้จักอดทนอดกลั้น ฝึกให้เรารู้จักฟังมากกว่าพูด ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้จะเข้าใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราฟังมากกว่าพูดได้ แล้วเราก็ทำในสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้เหมือนกัน ไหนใครว่าวันเดียวพอแล้ว (3 วัน)  ทั้งชั้นมีคนเดียวเอง
โดยปกติเราอยู่ในโลก เราไม่เคยใช้คุณธรรมหรือใช้ธรรมในการดำเนินชีวิตเท่าไหร่จริงไหม (จริง)  โอกาสที่เราจะเอาธรรมมาใช้ยากมาก อย่างมากสุดก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ ใช่หรือไม่ แต่จะปฏิบัติให้เข้าใจธรรมบางทีเราก็รู้สึกว่าตัวเรายังห่างไกล แล้ววันนี้ เราจะทำอย่างไรจึงสามารถเอาธรรมมาใช้ในชีวิตได้ อย่างน้อยวันนี้ไม่มีใครสอนไม่มีใครบอกกล่าว แต่สิ่งที่เราสามารถเอาธรรมะมาใช้ได้ทันทีก็คือจะอดทนได้มากแค่ไหน จะพากเพียรวิริยะจนถึงวันที่ตัวเองสัญญาว่าจะครบ 3 วัน ได้หรือเปล่า จะรักษาสัจจะวาจาได้หรือไม่ อย่างน้อยถ้าเราทำได้ครบ 3 วัน ท่านก็ได้ฝึกธรรมะเรื่องความอดทน ได้ฝึกธรรมะเรื่องสัจจะวาจา เช่นนี้ก็ไม่ยากที่จะนำธรรมะมาใช้ในชีวิต แต่การจะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตมีแค่นั้นหรือ ถ้าอย่างนี้เรามาคุยกัน ถือว่าเรามาแลกเปลี่ยนสนทนาคุยกันได้หรือไม่ (ได้)
อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วน่าเชื่อถือ คนที่พูดอะไรใครก็รับฟัง ถ้าอย่างนั้นรับปากอะไรแล้วต้องทำให้ได้ จริงไหม แต่ถ้าครั้งหนึ่งพูดแล้วรักษาคำพูดไว้ไม่ได้ก็ไม่มีใครเคารพ พูดแล้วทำไม่ได้ก็ไม่มีใครเชื่อถือ จริงไหม ถ้าอย่างนั้นทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่มีใครลดคุณค่าเราได้นอกจากตัวเราทำตัวเอง จริงไหม
ระหว่างทำดีกับดวงดี ให้เลือกเอาอันไหน (ทำดี)  จริงหรือ ไม่จริง ส่วนใหญ่มักจะเลือกดวงดีก่อนแล้วค่อยทำดีใช่ไหม ถ้าศิษย์น้องเข้าใจ ศิษย์น้องจะเลือกทำดีมากกว่าดวงดี เพราะว่าทำดีแล้วจะมีดวงที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่เลือกทำดีและเอาแต่ดวงดี ศิษย์น้องก็จะมีวันหมดดวง และคนส่วนใหญ่เป็นแบบเลือกแต่ดวงดีแต่ไม่ยอมทำดี ก็เลยไม่มีดวง ถูกไหม ฉะนั้นชะตาชีวิตของเรา คุณค่าชีวิตของเรา ความหมายชีวิตของเรา สุขหรือทุกข์อยู่ที่ดวงดีหรือทำดี (ทำดี)  แล้วถึงเวลาเราเลือกดวงดีหรือทำดี ฉะนั้นที่ดวงไม่ดีก็ต้องถามตัวเองว่าทำดีไหม ไม่ใช่ทำนิดหน่อยแล้วขอ แล้วจะได้ดีไหม (ไม่ได้)  เพราะไปขอหมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วความหมายของชีวิตนั้นคืออะไร ความสุขของชีวิตคืออะไร บางครั้งเราพยายามค้นหาชีวิต อยากมีความสุขให้กับชีวิต อยากมีชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย เราก็เลยพยายามทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนก็เลือกทำดี บางคนก็เลือกทำดีบ้างไม่ดีบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนหวังอยากดวงดีก็คงพยายามรักษาทุกสิ่งที่ดีและทำดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อความดีนั้นจะได้ป้องกัน ไม่ทำให้เราต้องเจอสิ่งร้ายจริงไหม ความหมายของชีวิตคนคืออะไร เคยไหมเราเจอผลไม้ชนิดหนึ่งท่าทางจะอร่อย หวาน ลูกเดียวพอไหม (ไม่พอ)  (ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาหยิบแอบเปิลบนโต๊ะพระมายกตัวอย่าง)  เอาสักสามลูกเลย สามลูกมากแล้ว พอก่อนๆ แล้วเราก็บอก อร่อย นี่คือความหมายของชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  เจออะไรที่ดี เราก็เก็บไว้คนเดียว กับอีกอันหนึ่ง อร่อยนะเอาไหม อร่อยนะแบ่งกัน ไม่เอาหรืออร่อยจริงๆ เอาไหม ไม่มีใครเอาเลยหรือ อยากแบ่งนะอร่อยๆ เอาไหม เอาหรือ อยากเอาหรือ เราให้ เอามีดมา เดี๋ยวเราแบ่งให้ ความหมายของชีวิตของคนบางคนได้อะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว ทำไมต้องแบ่ง ไม่ต้องแบ่งไม่ต้องให้ กับอีกแบบความหมายของชีวิต ได้อะไรมาแล้วแบ่งปัน แบ่งปัน ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นแบบไหนหรือ (แบ่งบัน)
ฉะนั้นดวงดีไม่สู้ทำดี ทำดีที่ไหนเราไปอยู่กับใครก็มีดวงดี แต่ชีวิตของคนไม่ใช่ เวลาได้อะไรมาแล้ว เก็บไว้ก่อนแบ่งไหม ยังไม่แบ่ง ให้ไหม ยังไม่ให้ ทำอย่างไรต่อ ไปหาอีกใช่ไหม (ใช่)  พอได้มากแล้วเป็นอย่างไร ฉันรวย พวกแกมันจน  แล้วก็คิดว่าตัวเองมีมากกว่า แล้วก็มองคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุขที่แท้จริง ความหมายชีวิตที่แท้จริง คือการมีแล้วเก็บจนอิ่มเลยไม่สนใจใคร หรือทุกขณะที่มีก็แบ่งปัน ทุกขณะที่ได้ก็แบ่งปันจำไว้นะ ดวงดีไม่สู้ทำดี
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของชีวิตคือ ความสุขที่ไม่ใช่แค่เรามี แต่มีแล้วยังรู้จักให้ ถึงแม้ว่าไม่มี แต่ก็ยังรู้จักถาม เป็นอย่างไรเหนื่อยไหม  เมื่อยไหม สวัสดีลุง สวัสดีป้า  เป็นอย่างไรบ้างฟังธรรมะ สบายไหม ไม่สบายหรือบอกได้ ช่วยนวด เมื่อยไหม ความหมายของชีวิตคนจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าเราทำอะไรสำเร็จ เราเก่งอะไร เราเป็นอะไร แต่คือ เราอยู่กับใคร เราก็ทำให้เขามีความสุข เราอยู่กับใครเราก็จริงใจ มีน้ำใจ รักใคร่ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จึงเรียกว่าชีวิตที่มีค่ามีความหมาย ถ้าอย่างนั้นชีวิตของเรา คุณค่าและความหมาย อยู่ที่ไหน เงินทอง เกียรติยศหรือ แม้ไม่มีเงินทองแต่เรามีน้ำใจ แม้ไม่มีเงินมากมายแต่เรามีความจริงใจ ความซื่อตรง หรือแม้เราจะมีน้อย แต่เราก็ยังรู้จักแบ่งบัน
ฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่ความสุขแค่เห็นแก่ตัว มีความสุขที่สามารถส่งให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ มีความสุขได้ด้วย และทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมายด้วย  แต่คนบางคนในโลกนี้ความสุขคืออะไร เอามากกว่าให้ รอมากกว่าที่จะแบ่งปัน ใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์พี่เป็นคนที่อยู่ในโลก แต่อยากมีใครสักคนหนึ่ง  เหงาไหม  บางทีเหงานะ ใช่ไหม คุณค่าและความหมายที่แท้จริงคืออะไร มันทุกข์จังเลย ถ้าอย่างนั้นหาใครสักคนมาเติมเต็มความสุขแล้วปกปิดความทุกข์ของเราในใจดีไหม (ไม่ดี)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมดีไหม (ไม่ดี)  จริงหรือ (จริง)  แต่คนบางคนแปลกนะ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม อยู่คนเดียวก็เหงาแล้ว แต่อยู่กับอีกคนหนึ่งแล้วเขาไม่ใยดีสนใจเรา เหงายิ่งกว่า ถูกไหม (ถูก)  การที่เราคิดว่ามีใครสักคนหนึ่ง จะทำให้เราหายเหงา คิดว่าเอาความสุขของคนอื่นมาปิดความทุกข์ของตัวเอง แล้วจะทำให้ตัวเองมีความสุข  แต่เป็นความสุขที่จอมปลอม  ดั่งที่บอกว่า อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว แต่มีเขาข้างกายแต่ไม่เคยอบอุ่นใจสักวันเลย มันเหงายิ่งกว่าจริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม  ฉะนั้นตั้งแต่แรกความสุขของเรา เราเข้าใจความหมาย ทุกขณะชีวิตเราปฏิบัติกับทุกคนด้วยความสุข ความเข้าใจ ความรักที่เต็มเปี่ยมแล้ว เราจะขาดแคลนความรัก ขาดแคลนความสุขไหม เพราะทุกวันเราทำได้เต็มที่แล้ว เหมือนการเอาแต่รอให้ใครมารัก กับการที่รู้จักมอบความรักให้กับทุกคน ถามว่าใครทุกข์กว่ากัน (รอให้คนมารัก)
มีใครสักคนจะมารักเราไหม รอไปทุกวันก็ไม่มีความสุขสักที แต่ในทางกลับกัน เราจะรักทุกคนให้เต็มที่ เราจะทำดีกับทุกคนให้เต็มที่ ไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่คน (รัก)  แล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นใครจะรักเราหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราให้คนอื่นได้เรามีให้ทุกคน แล้วชีวิตของศิษย์น้องเป็นแบบไหน ความหมายและคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่การเอาแต่รอให้ดวงดี แต่ทำทุกวันให้เป็นวันที่ดี ด้วยการกระทำของตัวเอง ดีไหม (ดี)
ในเมื่อเรารู้คุณค่าตัวเองแล้ว เรามีความสุขอยู่ที่ไหนเราก็ให้ความสุขกับทุกคน ถ้าวันหนึ่งศิษย์น้องโดนคนด่า โดนคนว่า ศิษย์น้องจะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  เพราะอะไร เพราะเรารู้คุณค่าตัวเอง คำด่าของคนอื่นไม่มีผลต่อใจ แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่รู้จักคุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง คำชมคนอื่นก็จะเปล่าประโยชน์ เพราะถึงเวลาแล้วเราดีตรงไหน มาชมว่าเราดีแต่จริงๆ เราดีไหม จริงไหม (จริง)  คำว่าคุณค่าและความหมาย เมื่อใดที่มนุษย์เข้าใจตัวเองและปฏิบัติตัวเองได้ถูกมนุษย์จะไม่สูญเสีย แม้โดนว่าหรือโดนชมก็จะไม่เสียความเป็นคนของตัวเอง ดีกว่าคนที่ไม่รู้จักตัวเองและไม่รักษาความดีในตัวเอง ไม่ว่าจะโดนชมโดนว่าก็หวั่นไหว ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนคนไม่สวย ศิษย์น้องเคยยอมรับไหมว่าตัวเองไม่สวย (เคย)  ฉะนั้นใครชมว่าสวยมันก็ไม่มีประโยชน์ ใครว่าเราไม่สวยเราก็ไม่โกรธ เพราะรู้ตัวเองและก็ยอมรับตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ในชีวิตของเราถ้ารู้ว่าความสุขที่แท้จริง มันไม่ใช่อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง ตัวเราก็จะสามารถทำให้มีความสุขได้ทุกที่ อยู่ที่ไหนแม้ไม่มีคนใดคนหนึ่งเราก็ยังมีสุขได้ แต่มนุษย์ในโลกมักจะชอบมีสุขอยู่แค่คนๆ เดียว พอคนๆ เดียวตายไป เราก็เลยเป็นอย่างไร (อยู่คนเดียว)  อยู่คนเดียวว่าเหงาแล้ว มีเขาแต่ไม่อบอุ่น เหงากว่า ใช่หรือไม่ เอาไว้เตือนใจเลย ถ้าอย่างนั้นต้องทำอย่างไร ถ้าต้องทนอยู่กับคนที่ไม่รัก และถ้าต้องทนอยู่กับสิ่งไม่ถูกใจเรา เคยไหม ศิษย์น้องเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม เอาเปรียบคนอื่นเป็นภัย แต่ถูกเขาเอาเปรียบเป็นวาสนา และถูกเขาเอาเปรียบแล้วไม่ทำร้ายเขาให้เจ็บใจเป็นวาสนาแล้วยังสร้างเมตตาธรรม เหมือนอยู่ในโลกมีคนรังแกเราบ้างทำร้ายเราบ้าง รังแกคนอื่นเป็นภัย แต่อภัยผู้อื่นเป็นวาสนาและสามารถช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้เป็นกรุณา จริงไหม แล้วถึงเวลาเราอดทนให้เขาเอาเปรียบและรังแกไหวไหม ไม่ไหวหรอก ใช่ไหม แม้จะรู้ว่าที่พูดมันดีแต่ถึงเวลามันทำยาก ศิษย์น้องเคยได้ยินสำนวนๆ หนึ่งไหม ถ้าเวลามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันด่าฉัน ถ้าเราไม่นิ่งชีวิตเราจะถูกเขาบงการ แต่ถ้าเกิดว่าเขาด่าเรา แต่เรานิ่งเราจะสามารถควบคุมตัวเอง บงการตัวเอง และสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เหมาะสม และเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการได้
น้ำดับไฟได้ฉันใด แต่ถ้าหากเรายืนผิดที่ผิดทาง ไฟก็เผาน้ำให้มอดไหม้ได้ฉันนั้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่รู้จักเข้าใจคุณค่า รู้จักชีวิตตัวเอง รู้จักความหมายในการดำเนินชีวิตตัวเอง เขาย่อมสามารถแปรร้ายเป็นดี แปรบาปเป็นบุญ แปรเคราะห์กรรมเป็นโชค ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเราต้องเจอเคราะห์ร้าย คนที่เอาเปรียบเราคือคนที่จะมีภัย แต่เราจะไม่เอาเปรียบใคร เพราะถ้าโดนเขาเอาเปรียบเราจะได้วาสนาและบุญ โดนเขารังแกเราจะได้วาสนา ฉะนั้นถ้าเราโดนเขาเอาเปรียบ โดนเขารังแก เราจะแปรร้ายเป็นดีหรือแปรร้ายเป็นยิ่งร้าย ศิษย์น้องจำไว้นะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตมากระทบใจแล้วเรานิ่งไม่ได้ เมื่อนั้นเราจะตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ทำเราโกรธ เราก็เป็นทาสอารมณ์โกรธและเดินตามไปโกรธ จริงไหม แต่ถ้าเมื่อใดเรานิ่งได้ เราจะไม่เป็นทาสอารมณ์ของใคร แต่เราจะสามารถควบคุมจัดการ และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ถูกหรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจงนิ่งให้ได้ก่อน ทำอย่างไรให้นิ่งได้ วิธีแรกที่จะทำให้นิ่งคือ
  1. ใจต้องไม่แปรปรวน ใจต้องเหมือนเดิม ใจตรง เวลาถูกด่ามา ใจตรงไม่ปรวนแปร
  2. จิตใจต้องมั่นคง
  3. จะต้องไม่พยายามหลุดด่าออกมาเป็นวาจาชั่วร้าย
  4. พยายามอนุเคราะห์เขาด้วยวาจาสุภาพ เป็นประโยชน์ และพยายามเมตตาให้มากที่สุด
ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรมา การบำเพ็ญจึงไม่ใช่ไปแก้เขา การบำเพ็ญคือการหันกลับมา เพราะตัวปัญหาคือใจของเรา และใจของเราที่สร้างปัญหาคือกิเลสที่เกิดในใจ ถ้าเราสามารถมีสติเท่าทัน กิเลสจะมากี่ร้อยกี่พัน เราก็สามารถจัดการได้ เมื่อจัดการภายในได้ ภายนอกถึงจะมีปัญหาก็จะง่าย แต่ถ้าจัดการใจตัวเองไม่ได้ ภายนอกก็ตายแน่เลย จริงไหม (จริง)  ทำยากไหม (ไม่ยาก)
กิเลสสามารถขจัดได้ด้วยคุณธรรมและความถูกต้องอันดีงาม เราอยากจะให้โกรธหายไปได้อย่างไร ถ้าไม่เอาคุณธรรมเมตตาออกมาจากใจ เราอยากจะให้ความเกลียดหายไปได้อย่างไร ถ้าเราไม่รักษาใจของเราให้เมตตาเข้าไว้ เมตตาคือไม่เบียดเบียนใครให้ทุกข์  กรุณาคือนำพาเขาให้พ้นทุกข์  ทำยากไหม ทำได้ไหม (ได้)  ถ้าอย่างนั้นนักเรียนในชั้นนี้จะเป็นคนอดทนเก่ง ไม่โกรธเก่ง ทำได้ไม่ได้ (ได้)  กลับบ้านไปโดนสามีถาม กลับบ้านทำไมดึกดื่น  โดนภรรยาถามไปเที่ยวอีหนูที่ไหนมา จะนิ่งได้ไหม (นิ่งได้)  ได้แน่หรือ ยังไม่ทันนิ่งเดินหนีก่อนเลย
ฉะนั้นสิ่งสำคัญเราต้องรู้คุณค่า เข้าใจความหมายตัวเองก่อน  ถ้าทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไยต้องกลัวอุปสรรค ความยากลำบาก แต่ถ้าทำไม่ดี ทำสิ่งไม่ถูกต้อง ต้องระมัดระวังกาย ใจ ตัวเอง
เราอยากมีดวงดี หรือดวงไม่ดี (ดวงดี)  อยากอยู่กันแบบมีกรรม หรือมีมิตร (มีมิตร)  ทุกครั้งทำให้เป็นมิตรหรือทำให้เป็นกรรม ทำให้เป็นมิตรหรือให้เป็นศัตรู (เป็นมิตร)
ฟังแบบนี้ก็ไม่ยากนะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าจะเริ่มศึกษาหลักธรรม เริ่มศึกษาการปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญก็คืออย่าหนีความเป็นจริงของโลก ถ้าท่านยังไม่สามารถอยู่บนโลก และอยู่กับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข แล้วคิดว่าไปปฏิบัติธรรมจะพ้นทุกข์ ไม่มีทางต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีสมบูรณ์พร้อมก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราจะไปปฏิบัติธรรมก็สบาย แต่คนบนโลกมักหนีความจริงแล้วไปปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะและเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ถ้ายังปฏิบัติคุณธรรมแห่งความเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ เหมือนคำพูดที่มนุษย์พูดว่า มนุษย์ปรารถนาความสุข แต่ความสุขจะมาได้ก็ต้องสงบและถึงสุข จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังสงบไม่ได้เราก็ (สุขไม่ได้)  แล้วเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสุขไหม การบำเพ็ญธรรมจึงเป็นการค้นหาความหมายแห่งชีวิต และเอาความหมายแห่งชีวิตมาปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยมีทำนองคลองธรรมเป็นพื้นฐาน และทำนองคลองธรรมพื้นฐานก็คืออยู่ในศีลอยู่ในธรรม เมื่อเราอยู่ในศีลในธรรมถูกต้องแล้ว การจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ก็ไม่ยาก  แต่สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือไม่เคยอยู่ในศีลในธรรมได้แท้จริงสักครั้ง สามวันดีสี่วัน (ไข้)
ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วขาดสติ จุดยืนของการเป็นคนเราก็จะหวั่นไหวไปกับโลกภายนอกได้ง่าย ถ้าศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า ศิษย์น้องเคยลำบาก เหนื่อย ขยัน มีความสุข กับสบายแต่ขี้เกียจ เอาเปรียบผู้อื่น และผิดศีลขาดธรรม แบบไหนดีกว่ากัน (อย่างแรก)  ถึงแม้เราจะลำบากหน่อย ได้เงินช้าหน่อย แต่เราไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ไม่ขาดความเป็นคน แล้วเรารู้จักพึ่งตัวเอง ก็จะหาความสุขได้ไม่ยาก แต่ดีกว่าเอาสบายเอาเปรียบ แล้วผิดศีลขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกให้ว่า เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนที่สามารถอดทนและนิ่งได้อย่างแท้จริง บางทีก็ยากนะ ยากไหม (ยาก)  ถ้าอดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ภัยก็ไม่เกิด แต่ถ้าเล็กๆ น้อยๆ อดทนไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยากจะพบความสุขที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้อง อย่าดูถูกพลังจิตใจของตัวเอง ถ้ารักจะทำต้องทำให้ถึงที่สุด ถ้าคิดจะดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำอะไรแล้วถึงที่สุดเราก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่เรามา แต่ถ้าวันนี้เราทำดีบ้างไม่ดีบ้าง ชีวิตก็จะเป็นอย่างนี้ กระท่อนกระแท่นๆ อยากมีชีวิตที่ดี อยากมีชีวิตที่ราบรื่นเวลาทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ เต็มเหนี่ยว ให้สุดแรง ไม่ใช่ว่า เดี๋ยวเอาเดี๋ยวไม่เอา ชีวิตเลยเป็นแบบนี้ ลมเพลมพัด ลมพัดลมเพ ฟ้าไม่ได้กำหนดชีวิตเราแต่ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง ความสุขอยู่ที่ (เรา)  ความทุกข์ก็อยู่ที่ (เรา)  ฉะนั้นอยากนั่งแบบมีความสุขหรืออยากนั่งแบบคนมีความทุกข์ อยากนั่งแบบคนมีความสุขแล้วไปให้ถึงบุญไปให้ถึงนิพพาน ไปให้ถึงสวรรค์ นั่งแบบไหนดี นั่งแบบเบื่อ ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ศิษย์น้อง ศิษย์พี่จะบอกให้นะ เราอยากนั่งแล้วทำให้เรามีสุขแล้วได้บุญพ้นทุกข์ ไม่ยากเลย  มันอยู่ที่เราวางความคิดแบบไหน ถ้านั่งแล้วดี ได้ฝึกใจตัวเอง ได้ลดความยึดมั่นถือมั่น ดีได้ปล่อยวางได้โล่งเบาบ้าง ดีได้ลืมตัวเองบ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่ายิ่งนั่งฟังยิ่งมีสุข ยิ่งได้บุญ เพราะบุญคือขจัดกิเลส แล้วสามารถลดอัตตาตัวตนได้ เพราะบุญนำไปสู่กุศล และพอขจัดตัวตนแล้ว ดีได้ลืมตัวเองบ้าง ชีวิตมันวุ่นวาย กุศลนำพาไปสู่ความพ้นทุกข์ที่ไม่ยึดติดตัวตน จริงไหม แล้วเรานั่งเพื่อให้ได้แบบนั้นไหม นั่งแล้วทุกข์ สิ่งที่ได้จึงเป็นนรก ใช่ไหม เราว่าใช่นะศิษย์น้อง จริงไหม ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะฝึกความนิ่งความอดทนให้ได้ และสามารถบำเพ็ญเข้าถึงความถูกต้องและความดีงามได้ถึงที่สุด ศิษย์น้องเคยถูกคนถากถางไหม เคยถูกคนต่อว่าไหม เคยถูกคนดูถูกไหม แล้วเวลาโดนดูถูกถากถางเราเจ็บไหม โกรธไหม ด่าไหม นินทาไหม ศิษย์น้องลองแปรเปลี่ยนเคราะห์กรรมให้เป็นบุญวาสนา ลองแปรเปลี่ยนกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ลองแปรเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นพ้นทุกข์ โดยการเข้าใจความทุกข์ให้ถึงแก่นแท้ ถ้าเรารู้ตัวเราดี เรารู้ว่าเราทำอะไร และเรารู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน คำดูถูก คำต่อว่า คำด่าทอ มันจะมีผลอะไรกับใจเราไหม และถ้าเราทำมาตลอดชีวิต เราทำดีที่สุดแล้ว เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว คนดูถูกถากถาง มันจะมีผลกับใจเราไหม แต่เราจะรู้สึกดี แปลว่ามันอิจฉาเรา
ทำไมมีแต่คนอิจฉา มีแต่คนต่อว่า แต่คิดอีกที อย่างน้อยก็มีคนสนใจเรา  ถ้าไม่สนใจไม่บ่นไม่ด่าให้เมื่อยปากจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเมตตาว่า ถ้าเวลาเราถูกคนต่อว่า เวลาเราถูกคนดูถูกถางถากให้นึกถึงดิน ขุดเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด  พอเป็นหลุมเป็นบ่อก็จะมีคนถมให้เต็ม ฉะนั้น ถ้าเวลาเราโดนคนว่า โดนคนถากถาง รักษาใจให้หนักแน่นเหมือนดิน ได้ไหม (ได้)  แล้วเคยไหมที่ถูกคนเข้าใจผิด เคยไหมที่ถูกคนใส่ไคล้  ถูกยุแยงตะแคงรั่ว ถูกคนเลื่อยขาเก้าอี้ ถูกคนนินทา แล้วเราเคยยุแยงและนินทาเขาไหม (เคย)  ดังนั้นก็อย่าไปว่าคนอื่นเพราะเราก็เคยทำอย่างนั้นมาแล้ว กงกรรมกงเกวียน ทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น ศิษย์พี่จะบอกนะ เราไม่อยากเจอสิ่งใด อย่าสร้างเหตุปัจจัยให้เราต้องไปรับผลของสิ่งนั้น ถ้าเราไม่สร้างแล้วสิ่งที่เหลือก็คือกรรมเก่าที่เราเคยทำมาแค่นั้นเอง  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่โดนคนยุแยง ใส่ร้ายป้ายสี โดนคนกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ดี ให้ศิษย์น้องทำใจให้เหมือนฟ้า  เขาใจแคบมา เขาดูถูกมา เขาคับแคบมา ฉันจะ (กว้าง)  ได้ไหม  ไม่ใช่เขาคับแคบมาเราก็ (คับแคบไป)  อย่างนี้จะจบไหม  ชีวิตจะหมดทุกข์ไหม อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย  (สงบ)  อยากอยู่อย่างมีทุกข์หรือสิ้นทุกข์ (สิ้นทุกข์)  แล้วทุกวันนี้ทำแบบสิ้นทุกข์หรือหาทุกข์ (หาทุกข์)
ฉะนั้นเขาแคบมา ร้ายมา ฉันจะดีตอบ กว้างตอบ ฉันจะแปรบาปให้เป็นบุญ จะแปรร้ายให้เป็นดี จะแปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  เพราะเกิดมากรรมก็เยอะแล้วจริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากมีกรรมอีกไหม กรรมไม่แบเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครคับแคบมา เราจะใจกว้างยิ่งกว่ากว้าง  ดีไหม (ดี)  จำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำจิตใจให้เหมือนดิน เหมือนฟ้า แล้วบางทีเรื่องบางเรื่องมันเจ็บปวดใจ ลืมไม่ลง ถ้าอย่างนั้นจงทำใจให้เหมือนน้ำไหลแล้วไม่ย้อนกลับ เพราะชีวิตอยากสงบ ไปแล้วก็ไปลับ แต่เราไปแล้วก็กลับ เขาด่าจบแล้ว แต่เราจบไหม (ไม่จบ)  เขายืมเงินเราไป จบแล้วยัง (จบแล้ว)  แต่เราไม่จบ เพราะอะไรให้เขายืมไปเยอะ ช่วยไม่ได้ก็ให้เขายืมเยอะทำไม
ชีวิตก็แบบนี้นะศิษย์น้อง บางอย่างถ้ามันไปแล้วมันไม่เคยกลับมา ของถ้ามันจะเป็นของเรามันก็เป็นของเรา ถ้าทำบุญกันมาแค่นี้ก็ต้องยอมรับแค่นี้ ฉะนั้นธรรมชาติสอนธรรมะเสมอ บางอย่างผ่านไปแล้วเอาเก็บกลับมาให้มันเน่าในใจทำไม น้ำถ้าไม่ไหลเวียนมีแต่เน่าใน แล้วเราปล่อยให้ผ่านแล้วผ่านไปหรือว่าเราเก็บกักไว้ ไหลผ่านหรือเน่าใน (ไหลผ่าน)
อย่าให้มองเลยคนนั้นเห็นแล้วเบื่อ อย่าให้พูดถึงเลยเจ็บใจ  แล้วอยู่อย่างนี้มีความสุขไหม ฉะนั้นถ้าเรานิ่งได้ ยอมรับความจริงได้ มีจุดยืนในการเป็นคนได้ คนทุกคนไม่ใช่ปัญหา คนทุกคนไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่คนทุกคนกลับมาทำให้เราเข้าใจตัวเองและเรียนรู้ที่จะดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ทำให้เกิดทุกข์ใจ และสร้างปัญหากับคนรอบข้าง บำเพ็ญแบบนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เป็นเหมือน ( ดิน ฟ้าและน้ำ)  ฉะนั้นลองฝึกความอดทน ฝึกความใจนิ่งให้ได้อย่าง ดิน ฟ้า และน้ำ ศิษย์น้องก็จะเป็นถุงหนังที่ฟอกแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ ใครตีอย่างไรก็ไม่ดำ ถ้าฟอกดี บำเพ็ญดี ใครตีอย่างไรก็ไม่ทุกข์
ถ้าเราทำได้ดีก็ไม่ต้องกังวลว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน และเราก็ไม่ต้องเอาชีวิตไปแขวนอยู่กับดวงราหู เพราะเรารู้จักควบคุมชีวิตตัวเอง คนที่รู้จักควบคุมตัวเองรู้จักคุณค่าความหมายของชีวิตตัวเอง แม้หมอดูก็ดูชะตาชีวิตเขาไม่ได้ เพราะสามารถพลิกผันไปได้ด้วยสติปัญญาของเขา ที่จะดำเนินชีวิตไปเช่นไร แต่สงสัยคงหาได้ยาก  เพราะชีวิตยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่เลย จริงไหม (จริง)
ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ขอคุยกับศิษย์น้องเบื้องต้นง่ายๆ  แบบนี้ก่อน ไม่ยาก  ฉะนั้นลองไปฝึกฝนปฏิบัติดู ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเรายังทำไม่ถูกต้อง และนิ่งไม่ได้  ก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะต้องหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ แต่ถ้าเมื่อไรเราทำถูกต้องและนิ่งได้ อะไรมากระทบ เราก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเรารู้คุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเอง แล้วเราก็สามารถมีสุขได้
ถ้ามีโอกาสลองมาศึกษาเพิ่มเติม ดีหรือไม่ (ดี)  ให้เวลากับชีวิตตัวเองเพียงวันเดียวเองหรือน่าเสียดาย ชีวิตก็คือธรรมชนิดหนึ่ง ถ้าไม่เข้าใจเรียนรู้ธรรมจะเข้าใจชีวิตหรือ  แล้วเรียนรู้ธรรม เรียนรู้ชีวิตเพียงวันเดียวจะเข้าใจไหม ไม่มีทาง เพราะทุกวันเรามัวแต่ปล่อยชีวิตไป แต่เราไม่เข้าใจชีวิต การมาฟังธรรมคือการย้อนมองตน เรียนรู้ การเข้าใจความเป็นคนที่แท้จริง คนเช่นไร ที่เรียกว่ามีธรรม และมีธรรมเช่นไร ที่จะนำพาให้เรามีสุขและพ้นทุกข์  ถ้าไม่ใช่การเรียนรู้และเข้าใจความหมายการเกิดเป็นคนที่แท้จริง
ฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ที่คนอื่น คุณค่าความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่อยู่ที่ตัวเราทำเช่นไร เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ หรือแบ่งปันมีน้ำใจ ห่วงแต่ตนไม่ห่วงใคร รู้จักห่วงผู้อื่นหรือห่วงตัวเอง ฉะนั้นคนที่จะเข้าใจชีวิตคนอื่นได้คือคนที่เข้าใจชีวิตตัวเอง เหมือนศิษย์น้องถ้ามีความสุข ก็สามารถแบ่งปันความสุขได้อย่างไม่เหนื่อยหน่าย ไม่มีมีวันหมด
แต่ถ้าเรารู้และเชื่อมั่นในความสุขในใจของตัวเอง แล้วไม่กลัวว่าจะหมดยิ่งให้ก็ยิ่งมี จริงไหม (จริง)  เอาแค่ง่ายๆ ยิ้ม พอเรายิ้มคนอื่นเขาก็ยิ้มตอบ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสุขและความดีก็เช่นกัน ขอเพียงเราให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเต็มใจ มันจะไม่มีกลับมาเลยหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคุณค่าและความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่มันอยู่ที่ตัวศิษย์น้องทำตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพน่ารักน่าเชื่อถือ ใช่ไหม (ใช่)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ถ้าไม่ทิ้งโอกาสตัวเองนะ


วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมฉือเหริน  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เคี่ยวเข็ญตนงำนำแสงประกาย ฝึกบำเพ็ญเป็นหัวใจคนได้ดีเพราะธรรม อวดเบ่งเกินเป็นคางคก ชอบพูดยกตัวหน้าตาคว่ำ ทบทวนการกระทำ      รู้เรารู้เขารู้ตัว
                   ทำนองเพลง : ลูกทุ่งเสียงทอง
ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม

                   เราคือ
 จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว         ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับกันบ้างไหม   
                     
คงเพราะใจวุ่นวุ่นมานาน    ได้คืนบ้านแห่งใจบ้างไหม ไม่ว่าการกระทำและคำพูดใด ที่แล้วล้วนเจอปัญหา
ต่างก็ผ่านชีวิตมานาน เจ้ามีด้านแห่งธรรมบ้างไหม ใช้สติเท่าทันและความชั่งใจเปลี่ยนชีวิตไปด้วยศรัทธา
*ต่างคนต่างช่วยไปมา ต่างกันแต่ไม่เป็นไร
**ต่างบำเพ็ญด้วยหลักธรรม ต่างกันแค่คิดบางอย่าง แต่ช่วยกันดี     ต่างกับเหมือนอยู่ที่ใจ ไม่มีเรื่องไหนเรื่องใหม่ ศิษย์พากเพียรมานักต่อนัก
(ซ้ำทั้งเพลง, **, ** )

ทำนองเพลง : หมื่นคำลา
ชื่อเพลง ต่างคิดแต่ไม่ต่างธรรม


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ให้เลือกระหว่าง เรามาแล้วท่านต้องช้าไปอีกสี่หรือห้าชั่วโมง กับอีกอย่างคือให้เรากลับไปเลยท่านจะได้เร็วขึ้น เอาอย่างไหน ให้โอกาสท่านเลือกนะ เพราะอย่างไรก็มีพรุ่งนี้อีกวัน ชีวิตมีโอกาสเลือกได้ไม่กี่ครั้ง จริงๆ  ในโลกนี้เรามีโอกาสเลือกที่จะทำได้ เลือกที่จะเป็นได้ แต่อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เราเข้าถึงธรรมะที่ฟังบ้างไหม (เข้าถึง)  เข้าหูซ้ายออกหูขวา อย่างนี้เรียกว่าเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เข้าใจอะไร น่าเสียดาย ถ้ามาฟังวันครึ่ง เกือบสองวันแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร จริงไหม
อย่างนั้นถ้าเราบอกว่าธรรมะคือความธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ ธรรมะคือความเป็นกลาง แต่ถ้าหากว่าเราเอียงซ้ายเอียงขวา ก็แปลว่าเราไม่ค่อยมีธรรมะ เราไม่สามารถยอมรับความเป็นธรรมดาได้ ก็แปลว่าเราไม่เข้าใจธรรมะ ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราเห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทำให้เราเจอธรรมะ แต่เราเคยเห็นความเป็นธรรมดาไหม แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เห็นธรรมไหม เห็นทุกข์มากกว่าเห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าความหมายของธรรมะคืออะไร ถ้าธรรมคือความธรรมดา ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง และธรรมคือความสามัญ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ซิกซ์เซนส์[1] ใช่หรือไม่ คนมักจะบอกว่าฉันมีเซนส์ ฉันรู้ แต่ว่าตราบใดสิ่งที่ศิษย์รู้ยังมีความหลง ยังมีกิเลสเคลือบแคลง ยังมีความยึดมั่นถือมั่น นั่นก็ไม่ไช่เรียกว่าธรรม นั่นก็ไม่สามารถเป็นธรรมที่นำพาให้พ้นทุกข์ได้ เหมือนศิษย์บอกว่า เราก็ดีแล้วจะบำเพ็ญธรรมทำไม แล้วจะรู้ธรรมมากมายทำไม ฉันไม่ได้อยากเป็นอรหันต์ ไม่ได้อยากพ้นทุกข์ จริงไหม
อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  แล้วเป็นคนดีหรือยัง อย่าบอกว่าดีข้างหนึ่งไม่ดีข้างหนึ่งนะ แบบนั้นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  สมมติอาจารย์ก็เป็นคนดีทำบุญตักบาตร แต่พอเจอใครก็บ่น อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าศิษย์ตั้งใจจะปฏิบัติบำเพ็ญ ศิษย์ต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า การเรียนรู้ธรรมคือสอนให้เราเป็นกลาง ไม่เอียงซ้ายไม่เอียงขวา ยอมรับในความเป็นจริงอันธรรมดาสามัญโดยไม่เกิดทุกข์ เมื่อใดศิษย์เข้าใจธรรมอันธรรมดาสามัญและเป็นกลางได้ ศิษย์ก็ค้นพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  แต่เรายอมรับความเป็นจริงไหม เมื่อเราไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาศิษย์ก็เลยต้องทุกข์ เมื่อเราไม่สามารถยืนอยู่ในความเป็นกลางได้ ศิษย์ก็เลยเอียง คนนั้นไม่ดี คนนี้เขาเลว ศิษย์รักษาความเป็นกลางไม่ได้ ศิษย์ก็เลยทุกข์ เพราะธรรมคือความเป็นกลาง เมื่อใดเรายอมรับความสามัญได้ รักษาใจเป็นกลางได้ ศิษย์ก็จะพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เห็นธรรมง่ายไหม (ง่าย)  แล้วเราเห็นธรรมแบบนี้ไหม เรามักจะรักลำเอียง ถูกไหม เมื่อใจแบ่งแยกแล้วก็ชอบยึดติดในการแบ่งแยกจนไม่สามารถมองเห็นความเป็นธรรมได้
ถ้าวันนี้อาจารย์จะมาคุยกับศิษย์ในเรื่องความทุกข์และทางดับทุกข์ ศิษย์จะอนุญาตให้อาจารย์อยู่ด้วยไหม (อนุญาต)  เต็มใจไหม (เต็มใจ)  เพราะถ้าไม่เต็มใจไม่อนุญาตก็จะไม่ฝืนทำให้ใครทุกข์ ก็ศิษย์ไม่อยากทุกข์ อกเขาอกเราอาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ทุกข์ แล้วก็ไม่อยากเห็นใครทำหน้าทุกข์เวลาอยู่กับอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเกิดเป็นคนทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวของตัวเองยังไม่พอ ยังไปทุกข์กับหัวจรดเท้าของคนอื่นอีก จริงไหม ฉะนั้นเรามารู้วิธีแก้ทุกข์กันง่ายๆ ดีไหม
เขาแต่งตัวประหลาดก็เรื่องของเขา ถูกไหม แต่ปากเรา ใจเรา ทำไมแต่งแบบนี้ ทุเรศจริงๆ ไม่ดูตัวเองเลย ว่าเขาไหม แล้วทุกข์ไหม พูดและบ่นไหม แล้วลืมดูตัวเองว่าแต่งตัวอะไร ใช่หรือไม่ การแต่งตัวก็บ่งบอกความเป็นตัวเองเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้กำลังทุกข์เรื่องการแต่งตัวของอาจารย์ บอกแล้วมนุษย์ทุกข์หัวจรดเท้า เท้าจรดหัวใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหนถ้าอยากให้คนเคารพให้เกียรติ เราก็ต้องรู้จัก (เคารพให้เกียรติผู้อื่น)  เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในความเป็นคน และนอกจากเคารพให้เกียรติแล้วสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเป็นคนน่ารักยิ่งกว่าคนอื่นก็คือ  การอ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่าย และอาจารย์ก็คิดว่านักเรียนชั้นนี้ อ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่ายใช่ไหม (ใช่)
อยากอยู่ที่ไหนให้คนมีสัมมาคารวะ อยากอยู่ที่ไหนให้คนอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องเริ่มที่ตัวเรา อยากอยู่ที่ไหนมีคนให้เกียรติ ก็ต้องอยู่ที่เราให้เกียรติเขาไหม ก็อยู่ที่เราทำดีกับเขาไหม อย่าไปชี้หน้าว่าเขา แต่ตัวเราใจดำ อย่าไปชี้หน้าว่าคนอื่นไม่มีมารยาท แต่ตัวเองไม่เคยมีเมตตากับใคร
มนุษย์เราหนีไม่พ้นความทุกข์ ถ้าเราเป็นคนดี เราจะทุกข์ไหม คนดีทุกข์ไหม (ทุกข์)  ก็ยังมีทุกข์ตามประสาคนดีอยู่ ทุกข์มีหลากหลายแบบ และมีทุกข์อีกแบบที่เราหนีไม่พ้น แม้จะเป็นคนดีอย่างไรก็หนีทุกข์นี้ไม่พ้น ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความแก่ เจ็บ ตาย เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  เป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าใจและทำให้เราพ้นทุกข์ได้
เรามีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เรามักเจอกันคือ ทุกข์แห่งความสุข ทุกข์กับสิ่งที่เรียกว่าดีร้าย สิ่งที่เรียกว่าเคราะห์ภัย สิ่งที่เราเรียกว่าได้เสีย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเรา คนด่าเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนชมเราก็ทุกข์ แค่เพราะว่าเขาชมศิษย์ว่าสวย ปกติออกจากบ้านไม่เคยดูกระจก พรุ่งนี้เวลาออกจากบ้านต้องดูกระจกก่อนว่าสวยหรือยัง วันนี้เขาชมศิษย์ว่าแต่งตัวดูดี พรุ่งนี้ออกจากบ้านเริ่มลำบากแล้วว่า จะใส่ชุดอะไรดี ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์มีทุกข์อีกประเภทหนึ่งที่เกิดจากการกระทำ ทุกข์ที่เกิดจากผลของการกระทำ เป็นทุกข์ที่เราสร้างเหตุมา แล้วเราต้องรับผลของปัจจัยที่เราสร้างเหตุนั้น ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทุกข์แรกเราหนีไม่พ้น แล้วทุกข์นี้เราสามารถที่จะควบคุมและทำให้เบาบางได้ไหม ศิษย์ว่าทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราเคยมองเห็นไหม (มองเห็น)  แล้วเคยคิดที่จะขจัดทุกข์ไหม (เคย)  ด้วยการไปหาความสุขจนใจทุกข์ นั้นคือการแก้ที่ถูกไหม (ไม่ถูก)  ด้วยการหนีทุกข์ไปเลย แล้วไปเจอทุกข์ใหม่  ด้วยการไปบวชชีสามวันเจ็ดวัน แล้วกลับมาจะได้ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราทุกข์เพราะอะไร อาจารย์จะมาพูดทุกข์อันนี้กัน แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีวิธีแก้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้มันมีไฟก็ต้องมีน้ำดับ ถูกไหม (ถูก)  ถ้ามันมีทุกข์แล้วจะไม่มีวิธีดับทุกข์หรือ ถ้ามีทุกข์จะไม่มีวิธีพ้นทุกข์หรือ มีแต่เราเคยหาไหม (ไม่เคย)  เอาไว้ก่อนขอสุขก่อน เวลาสุขจนถึงที่สุดมันกลับมาเป็น (ทุกข์)  แล้วตอนนี้จะหันหน้ามาสู้กับมันไหม (สู้)  เหมือนตอนนี้นั่งแล้วเมื่อย สู้ไม้สู้ (สู้)  นั่งต่อไหม (ต่อ)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องหันกลับมาดูก็คือ ความทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้างเอง กำหนดเอง แล้วก็ตายเอง ความทุกข์ที่เราหามาเองแล้วก็หนีไม่พ้นเอง แล้วเราจะแก้อย่างไร เราก็ต้องดูก่อนว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์
อาจารย์ถามหน่อยแล้วเราทุกข์เพราะอะไร เรามาแก้กัน ทุกข์เพราะความคิด จริงไหม ถ้าอย่างนั้นเวลาเราทุกข์เพราะความคิดที่ไม่เป็นอย่างใจ คิดให้มันไปซ้ายแต่มันไปขวา คิดให้มันดีแต่มันไม่ดี คิดว่ามันจะสำเร็จมันกลับ (ไม่สำเร็จ)  คิดอย่างได้อีกอย่างทุกทีเลย ใช่หรือไม่ แล้วทำอย่างไรที่เราจะแก้ความคิดได้ ถ้าอย่างนั้นศิษย์ไปไหว้พระเก้าวัดเจ็ดวัดศิษย์จะได้หายจากความทุกข์ที่เกิดจากความคิด ศิษย์ไปทำบุญจะได้ถวายส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันต้องแก้ที่ไหน (ตัวเรา)  ความคิดที่เรายึดติดที่ทำให้เราทุกข์ ความคิดที่ขาดสติ เพราะเอาแต่คิดแต่ไม่มองความจริง ฉะนั้นความทุกข์จะกลายเป็นความพ้นทุกข์ได้ถ้าเรารู้จักพลิกความคิดเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน จริงไหม สมมติว่าตั้งความหวังไว้สูงแต่มันได้แค่นี้ หวังว่ามันจะดีมากแต่มันได้แค่นี้ ทำใจได้ไหม ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยทำใจได้มันก็พ้นทุกข์ ทำใจไม่ได้มันก็ทุกข์ต่อไป เพราะไม่มีใครเปลี่ยนความคิดในใจศิษย์ได้นอกจากศิษย์ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ทำไมไม่คิดว่า แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม เพราะไม่แน่ทำใหม่จากที่ตอนแรกมันได้แค่นี้ แต่ตั้งไว้แค่นี้ พอทำใหม่มันอาจได้ (นิดเดียว)  และถ้ามันต่ำกว่านี้ศิษย์จะทุกข์ไหม ถ้าศิษย์ทำเต็มที่ทำดีที่สุดและทำทุกวันให้ถูกต้องงดงาม ผลมันไม่ได้อยู่ที่ตอนท้าย แต่ผลมันอยู่ที่ทุกๆ วันเราทำ เหมือนวันนี้ความสุขของศิษย์อย่าไปกำหนดที่บั้นปลาย แต่ความสุขของศิษย์ควรจะกำหนดอยู่ที่ทุกๆ วันได้ทำอะไร ใช่ไหม
ศิษย์บอกว่า พอถึงเวลาถึงที่สุดแล้ว มีก็ดีกว่าไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยพอไม่มีก็ดีกว่าที่จะไม่เคยได้รู้จักเลยจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนความคิดเราให้ได้ คนที่ทุกข์และคนที่เจ็บคือตัวเรานะศิษย์จริงไหม (จริง)  คนที่เราคาดหวัง คนที่เราหวังดีเขาสนใจไหม (ไม่สนใจ)  ก็ไม่สนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาทุกข์กับเราไหม (ไม่)  แล้วเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่า ในโลกของความเป็นจริงนี้ บังคับใครบังคับอะไรให้เป็นดังใจไม่ได้ และควบคุมให้มันเป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ แล้วอยากจะควบคุมไหม ยังอยากจะยึดติดไหม (ไม่)  จริงหรือ (จริง)
ถ้าอาจารย์ถามว่าได้แอปเปิลลูกนี้แล้วมีความสุขเอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยถึงจะรู้ความจริง แต่ถึงที่สุดศิษย์ก็เอา อาจารย์ถามหน่อย อะไรในโลกที่ควบคุมได้ วันนี้ปากก็บอกว่ามันสุขที่สุด แต่สุขที่สุดที่ศิษย์เคยเจอ มันก็ให้ทุกข์ได้จริงไหม (จริง)  ถ้าอาจารย์ให้มังคุดลูกนี้ แล้วทำอะไรมันจะคุด มันจะอับเฉา มันจะไม่งอกเงยเลยเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ย ทุกสิ่งถึงแม้จะเป็นจริงขนาดไหน แต่มันก็เปลี่ยนแปลงได้ ถึงเราจะควบคุมมันไม่ได้ และมันจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาด แม้ร้ายมันก็มีดี แม้ดีมันก็ไม่ใช่จะดีไปทั้งหมดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวมันไม่ได้อยู่ที่ความคิด แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อใจเราต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด และเราจะควบคุมมันได้หรือไม่ อาจารย์ถามว่า ถ้าสองอย่างนี้เอาไม่เอาสุขด้วยทุกข์ด้วยเอาไหม   มนุษย์จึงหนีไม่พ้นทั้งที่รู้อยู่ว่า มีอะไรสุขแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นทุกข์ ต้นเหตุที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมความอยากได้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งนั้นอาจจะทำให้เกิดทุกข์ไม่ต่างกับสุข สุขไม่ต่างกับทุกข์
โดยส่วนใหญ่เราอยากทุกข์หรืออยากสุข (สุข)  รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหน ก็มาจากความสุข มาจากอะไรอีก (ความอยาก)  มาจากความอยาก ความโลภ ความเกลียด ความหลง แล้วศิษย์รู้ไหมว่า โลภ โกรธ หลง เมื่อเกิดขึ้นในใจเราแล้ว เราจะหนีไม่พ้นบาป และหนีไม่พ้นทุกข์ เวรกรรม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่อยากมีทุกข์เพิ่ม ศิษย์ก็ต้องพยายามควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง  ถ้าควบคุมไม่ได้มันก็จะทำโทษเรา เหมือนที่เมื่อไรมนุษย์ไม่รู้จักใจตัวเอง มนุษย์ก็ง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสร่ำไป  ถ้าเรารู้ว่า โลภ โกรธ หลง เป็นทางแห่งบาป แห่งอกุศล และความทุกข์ และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถ้าเราอยากเป็นทุกข์น้อยๆ  เราก็จะไม่เป็นทาสของโลภ โกรธ  หลง  แล้วเราเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง มีไหม (มี)  ถ้าศิษย์รู้ว่าศิษย์มี แสดงว่าศิษย์มีใจยอมรับ และเมื่อยอมรับให้มีครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที (สอง)   ครั้งที่  (สาม)  ครั้งที่  (สี่)  แล้วหยุดไหม ไม่หยุด ฉะนั้นเรามารู้จัก โลภ โกรธ หลง ในตัวเราหน่อยดีไหม
ศิษย์จำไว้ ถ้าศิษย์อยากจะเอาชนะและควบคุมได้ ศิษย์ก็ต้องรู้จักมันให้ชัด ถ้ารู้จักมันชัด ควบคุมมันได้ มันก็ไม่มีอิทธิพลต่อเรา อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม มีรูปร่างไหม แล้วนิสัยมันเป็นอย่างไรศิษย์อยากรู้ไหม มันชอบคนเข้าข้าง มันชอบคนใส่ใจ และมันชอบคนให้ค่าและเอาใจ แต่มันมีนิสัยอย่างหนึ่ง คือมันไม่ชอบคนไม่เห็นค่า ถ้าเมื่อไรไม่เห็นค่ามัน มันจะขี้อายและมันจะบอกว่า ไปก็ได้ และมันก็เกลียดคนรู้ทัน เวลาเราจะโกรธ เขาด่ามา โกรธไหม แต่ว่าโกรธมาอย่าไปเห็นโกรธเขา ให้เห็นโกรธในตัวเรา พอโกรธมา บอกเห็นแล้วไม่เอา แล้วโกรธจะอยู่ไหม (ไม่อยู่)  แต่เวลาเห็นโกรธแล้วให้ค่ามันไหม เอาไหม (เอา)  เป็นไหม (เป็น)  แล้วก็เลยหนีไม่พ้นวิบากกรรม บาป และทุกข์ที่ศิษย์ก่อก็กลายเป็นเวรกรรมที่ต้องมาชดใช้เกี่ยวกรรมกัน ฉะนั้นทางศาสนาพุทธสอนไว้ว่า จงมีศีล สมาธิ ปัญญา แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้ทำที่วัด แต่ทำตอนที่เขาโกรธเรา และเราจะโกรธตอบ อยากมีศีลไหม ศีลคือไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่า ไม่กระทำผิด ฉะนั้นพอโกรธมา ฉันจะมีศีล ฉันจะมีสมาธิที่มั่นคงในศีล และฉันจะมีปัญญาเห็นแจ้ง เอาสิ่งนั้นมาขจัดให้ฉันพ้นทุกข์และล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ทานคือการสละออกโดยไม่ยึดติด และถ้าหากทานนั้นเป็นธรรมะทานก็เป็นทานอันประเสริฐ ฉะนั้นถ้าเขาด่ามา เราเห็นความโกรธ เราไม่โกรธ และเรายังเอาความไม่โกรธนั้นมาทำให้เราไม่ผิดศีล มีสมาธิ มีปัญญาเห็นแจ้ง และชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ คนที่ด่าเรา เรากำลังได้ทำบุญทำทาน จริงไหม
แล้วถ้าหากคนที่ด่าเรา สามารถทำให้เราละความยึดมั่นในตัวตนได้ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นอกจากทำบุญทำทานแล้วยังได้กุศลด้วย ฉะนั้นการทำบุญที่แท้จริง จึงไม่ใช่การอยู่แค่ในวัด แต่เราสามารถทำได้ทุกที่ แล้วถ้าบุญนั้นไม่เจาะจงด้วยก็เป็นเหมือนสังฆทานที่ใหญ่ กับใครเราก็ทำบุญ ใครด่ามาเราก็ได้ทำบุญ ใครนินทามาเราก็ได้ทำบุญ ดีไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  แล้วเราก็สามารถปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ไม่สร้างทุกข์ได้ ฉะนั้นเมื่อใดที่เขาด่ามา อย่าเห็นแต่เขาให้กลับมาเห็นเรา อย่าเห็นแต่กิเลสในตัวเขาแต่ให้กลับมาเห็นกิเลสในตัวเรา ถ้าหากเห็นอะไรสวยๆ งามๆ อยากไหม (อยาก)  อาจารย์บอกว่ากินอันนี้จะถูกลอตเตอรี่ เอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์บอกแล้วนะความโลภมันเกิดแค่นิดหนึ่ง มันก็หนีไม่พ้นบาป กรรม ทุกข์ เลขสามตัวเอาไหม เอา ไปโลภก่อนแล้วทำบุญทีหลังมันแก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ให้จริงนะ  พออาจารย์จี้กงไปก็หากันอีก เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์เอ๋ยอย่ามองเห็นเป็นความโลภเล็กๆ เหมือนทำบุญทำดี ถ้าอยากให้บริสุทธิ์ อยากให้พ้นทุกข์ บุญนั้นต้องไม่อิงแอบซึ่งความหลง ความโลภ เหมือนทำดีแล้วขอพร ขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้สบาย แบบนี้การทำบุญถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าทำแล้วใจยังอิงแอบไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ก็หนีไม่พ้นบาป ถึงบอกว่าทำดีแค่ไหน แต่ถ้ายังละโลภ โกรธ หลง ไปจากใจไม่ได้ ก็ยังไม่เรียกว่าผู้บริสุทธิ์แท้จริง
อย่างนั้นเรามาเข้าใจหน่อยนะว่าแล้วทำดีเพื่ออะไร เราทำดีเพื่อป้องกันการเกิดกิเลส บางทีมันอดไม่ได้อาจารย์ เห็นแล้วสวย เห็นแล้วหล่อ เห็นแล้วต้องขูดหน่อยสามตัว ทำไมมันไม่ออก มันต้องออกสิ ขอขูด บ้างดีกว่า ใช่ไหม มันก็อยากอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรที่จะอยู่ในโลก อยากแล้วศิษย์ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง และไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ให้ศิษย์เอาศีลมาเป็นตัวกรอง เอาคุณธรรมมาเป็นตัวปกป้อง ศีลทำให้เราไม่ผิด ไม่บาป ใช่หรือไม่ อาจารย์มีธรรมะ มีเมตตา แล้วศิษย์มีเมตตาไหม เมตตาในใจ ศิษย์จะอยากโลภไหม รู้ว่ามันเป็นของคนอื่น ศิษย์จะอยากเอามาเป็นของเราไหม ถ้ามีเมตตาในใจ ถ้ารู้จักซื่อตรงในใจเอาไหม แต่ถ้าหากไม่มีเมตตา ไม่มีความซื่อตรงเอาไหม  อย่างนั้นโลภ โกรธ หลง คุ้มครองและป้องกันได้ด้วยศีลและธรรม ศีลทำให้เราไม่ผิดพลาด ไม่ทำให้เราหลงใหลไปในทางต่ำ ส่วนธรรมทำให้เวลาเราอยู่ร่วมกับใครก็ปฏิบัติกับเขาได้อย่างสงบสุข เหมือนเราเคารพให้เกียรติกัน เคารพให้เกียรติความซื่อตรงจริงใจกัน เหมือนเราจะทำร้ายเขา ศิษย์ก็บอกอาจารย์ นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไร บางทีเราโกรธเขา บางทีเกลียดเขา เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปขอโทษ หายไหม (ไม่หาย)  อาจารย์ถามลึกๆ ไม่โกรธ แต่อย่าเป็นอีก ใช่ไหม
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อย่าบอกว่านิดเดียว โกรธนิดหน่อยเอง   ไปเอามานิดหน่อยเอง เดี๋ยวไปทำบุญชดเชย เดี๋ยวศิษย์ไปแก้ใหม่ได้ หายกันไหม (ไม่หาย)  แล้วบางคนเวลาเอาคืน เขาเอาคืนเบาๆ ไหม (ไม่เบา)  เราตีเขาแปะเดียว เขาทุบเราเอาถึงตาย
ศิษย์อย่าดูเบาเรื่องความโลภ โกรธ หลงในใจ อย่าดูเบาเรื่องความผิดพลาดในชีวิต เพราะถ้าผิดพลาดไปแล้ว ต่อให้เอาน้ำทั้งโลกมาล้าง ก็ล้างไม่ได้ ต่อให้ศิษย์ทำดีตลอดชีวิต ก็แก้ความรู้สึกผิดในใจของศิษย์ไม่หมด จริงไหม ฉะนั้นเราควรที่จะอยู่อย่างคนที่มีสติ  ไม่ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง แล้วศิษย์จะเบาบางทุกข์ไปได้ครึ่งหนึ่งของชีวิตได้เลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : ฝนทั่งให้เป็นเข็ม ทำนอง : ลูกทุ่งเสียงทอง และทำนองเพลง : หมื่นคำลา)
อาจารย์ให้เพลงสองเพลง เพลงหนึ่งทำนองเพลง ลูกทุ่งเสียงทอง อีกเพลงหนึ่งเป็นแบบวัยรุ่นช้าๆ เนิบๆ ให้เพลงแล้ว อาจารย์จะเอากลอนพระโอวาทมาแยกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายโดยนัย กลับไปให้ศิษย์เอาไว้คิดดีไหม (ดี)  แต่อาจารย์ก็ยังมีธรรมะอีกหลายเรื่องที่อยากจะถกกับศิษย์  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดเรื่องความทุกข์ และต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ บางทีถ้าเรารู้ว่าเป็นทุกข์ ความแก่เจ็บตาย เราจะพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  แก่เจ็บตายเป็นทุกข์ของสังขารหรือเป็นทุกข์ของจิตญาณ (สังขาร)  ในเมื่อเป็นทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของจิตญาณเดิมแท้ แปลว่าญาณเดิมแท้ของเราไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถพ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตายได้ หรือเป็นเพราะว่าที่เราสามารถพ้นทุกข์ได้ เพราะเรายึดมั่นถือมั่นกับ (กายสังขาร)
เคยนั่งรถไปบนถนน แล้วเห็นถนนพยับแดด รู้จักพยับแดดไหม คือมองไกลเห็นเป็นน้ำ แต่พอเข้าไปใกล้ไม่มี อาจารย์ถามหน่อย ชีวิต สังขาร เหมือนพยับแดดไหม มองไกลๆ เห็นไหม (เห็น)  มองใกล้ๆ เห็นไหม (เห็น)  แต่ในความเห็น ให้มองไปถึงที่สุดมันเห็นไหม มีไหม อย่างนี้เรียกว่า กายสังขาร และอันนี้เรียกว่าตัวเรา ควบคุม บังคับไม่ได้ ไม่เป็นดั่งใจเรา และเป็นที่รวมแห่งความทุกข์ ตีตรงนี้ก็ (เจ็บ)  หยิกตรงนี้ก็ (เจ็บ)  ดึงตรงนี้ก็ (เจ็บ)  เป็นลางแห่งความทุกข์ ถ้าเรายึดทุกที่ก็ทุกข์ ถ้าไม่ยึดสักที่ก็ไม่เจ็บ อาจารย์ถามว่า ถ้าเราสามารถรู้จนสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เรียกว่าปัญญาตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมะ เหมือนที่พระพุทธะบอกว่า ให้เรามีจิตที่สงบและมองเห็นความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้ง แล้วความเป็นจริงอันกระจ่างแจ้งนั้น เราสามารถมองเห็นได้ไหม (ได้)  รู้ได้ไหม รู้ได้ เราก็จะพ้นทุกข์ได้ ถามจริงๆ ตัวเรานี้เรียกว่า สังขาร ถูกไหม (ถูก)  มองเข้าไปในผิวหนังเป็นเลือดเนื้อ มองเข้าไปในเลือดเนื้อเป็นกระดูก มองเข้าไปในกระดูกเป็นตับไต ไส้พุง มองเข้าไปในตับไตไส้พุงเป็นธาตุ ใช่หรือไม่ มองผ่านธาตุเป็น (ความว่างเปล่า)  ร่างกายมันเหมือนพยับแดดเราเห็นว่ามันมี แต่ว่าไปถึงที่สุดมันมีไหม (พระอาจารย์เมตตาชี้ส่วนของร่างกาย)  อันไหนตัว ต้องเป็นทั้งหมดถึงจะเรียกว่าตัว แล้วทั้งหมดนี้เรียกว่าตัว แล้วเมื่อก่อนไม่ตัวหรือ เมื่อก่อนที่เล็กกว่านี้ตัวไหม แล้วต่อไปเหี่ยวกว่านี้ตัวไหม แล้วอันไหนตัว
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์รู้ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เห็น สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เข้าใจ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจมันจริงๆ เพราะถ้าศิษย์เห็นเข้าใจมันจริงๆ ที่กำลังด่าเรา ที่กำลังว่าเรามันเหมือนพยับแดด มองใกล้ๆ เข้าไปอีก เขายืนด่าเราไหม ผ่านไปอีกชั่วโมงเขายังด่าไหม ผ่านไปอีกสองชั่วโมงยังด่าไหม ถ้าทั้งวันยังด่าก็เกินไปแล้ว จริงไหม มันก็เหมือนกับพยับแดด เหมือนว่าเห็นเขาด่าเราก็จริง แต่พอเราเข้าไปใกล้จนถึงที่สุด ใกล้จนถึงที่สุด มีก็เหมือนไม่มี และอยู่ตลอดไหม แล้วเราที่โดนด่า มีไหม (ไม่มี)  ยึดติดมันก็มีแต่ถ้าไม่ยึดติดมันก็ไม่มีกลายไปความว่างกับความว่างกำลังด่ากันอยู่ แล้วเราอยากเอาตัวเราไปรับทุกข์ไหม ทั้งที่เขาก็ว่าง เราก็ว่าง เขาก็ไม่มี เราก็ไม่มี ถ้าอย่างนั้นที่เราทุกข์เพราะเขาด่าเราโง่ไม่โง่ โง่ที่เราไม่เคยเห็นความจริง บางคนบอกว่า อาจารย์ก็มันอดไม่ได้ โลกนี้มีดีและไม่ดี ถ้าอย่างนั้นคนดูถูกเรา ดีไม่ดี คนด่าเรา ดีไม่ดี (ไม่ดี)  แปลว่าศิษย์ยังไม่เห็นจริง เคยเห็นไหม คนบางเอาคำดูถูกมาทำให้ตัวเองสำเร็จ มีไหม (มี)  ถ้าอย่างนั้นบอกว่าคำดูถูกไม่ดี หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้ชัด
      คนชมเรา ดีไม่ดี (ดี, ไม่ดี)  เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักตัวเอง ดีไม่ดีไม่รู้ ฉันรู้แค่เพียงฉันดีหรือไม่ดีแค่นั้น ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องเห็นให้มากกว่าเห็น เห็นชนิดที่ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ความเห็นนั้นจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ใช่ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  แก่ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าไม่อยากแก่ ตายไปเลยตั้งแต่เด็ก เอาไหม แต่ตอนนี้ยังไม่ตาย ยังได้อยู่ แก่ดีไหม (ดี)  แล้วแก่มันไม่ดีตรงไหน เห็นไหมเพราะศิษย์เห็นไม่ชัด ถ้าเห็นชัดมันจะทุกข์เพราะความแก่ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มันจะหัวเราะได้ว่าหกสิบแล้วฉันยังไม่ไปฉันยังอยู่ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นเวลาเจ็บไข้ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาเจ็บไข้ทีมันก็ทำให้เรารู้ว่าเรากินหวานมากเกิน เรากินรสจัดมากเกิน เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มันสมดุล ใช่ไหม (ใช่)  เราหาเงินมากเกิน ร่างกายเลยอ่อนเพลียกินไม่ครบ แล้วก็ทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริงเวลาเราเจ็บป่วย ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์มักจะพูดว่าไม่มีหมามาเหลียวแลเลย อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ความตายดีไหม (ดี)  ดีทันทีเลย ศิษย์เอ๋ยถ้าอยู่แล้วทำถูกต้องทำดี เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนมีคุณธรรม ตายดีกว่าอยู่อีก แล้วตายก่อนตายมันดียิ่งกว่ามีชีวิตอยู่ แล้วไม่รู้จักตายให้เป็นอีก แล้วอะไรล่ะน่ากลัว ใจที่ไม่รู้จักยอมรับสักที จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่ทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเราขาดสติรู้ความเป็นจริงในโลกใบนี้ หรือเราทุกข์เพราะเราขาดการรู้จักตัวเอง จึงตกเป็นทาสของทุกสิ่ง ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าใครตอบได้อาจารย์ให้แอบเปิลแห่งความทุกข์ดีไหม เอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ถ้าเห็นชัดในทุกข์มีสุข เอาต้องเอาให้สุดๆ  มีพระนิพพาน มีความสิ้นทุกข์ในโลกแล้ว เอาทำไมเพียงสุข เอาแล้วต้องเอาให้สูง ต้องเอาให้พ้นทุกข์ ถึงเรียกว่าฉลาด เพราะธรรมสอนให้เราฉลาด
ศิษย์เอ๋ยการกระทำอันใดก็ตาม บางครั้งเราคิดว่าเราเอาตัวรอดก็พอ แต่ถ้าตัวเองรอดแล้วเผลอทุกข์หรือเผลอทำผิด เราก็ทำคนอื่นเดือดร้อนได้จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเอง ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน กลัวแต่ตัวเองยังเอาไม่ดี กลัวแต่มัวดูเขาจะยืนไหม แต่ตัวเองก็ยังไม่ได้ยืนใช่หรือเปล่า ศิษย์เอ๋ย มีชีวิตอยู่สำคัญคือ  รู้ตัวเอง มีสติรู้ตัวเอง พอเรารู้ตัวเอง เราจะไม่ทำใครเดือดร้อน แต่ถ้าไม่รู้ตัวเองเราจะทำคนอื่นเดือดร้อน
เราอยู่ในโลกนี้เป็นธรรมดา คนมีหลากหลายแบบ จะให้เป็นดั่งใจเป็นดั่งคิดไม่ได้ เหมือนเอาคนมาสัก สาม สี่ คน เหมือนกันไหม นิสัยเหมือนกันไหม เป็นได้ดั่งใจไหม เป็นได้ดั่งคิดไหม แต่เราเรียนรู้ธรรมแล้ว เข้าใจธรรมแล้ว ต้องจำไว้ว่าความเป็นจริงแห่งธรรมนั้น อะไรที่ทำให้เรารู้และทำให้เราพ้นทุกข์ คือรู้ยิ่งกว่ารู้ แล้วรู้อะไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์คือ รู้ว่าในความเป็นจริงของโลก ที่มีหลากหลายแบบ บางครั้งเราเห็นแต่ก็เหมือนไม่เห็น ความจริงที่รู้แล้วไม่ทำให้ทุกข์ คือ เห็นเขาก็เหมือนไม่เห็น เมื่อเรารู้ในใจ ว่าจริงๆ  แล้วเห็นแค่ไหน ก็เหมือนไม่เห็น เราจะโกรธไหมที่เขาจะอยู่หรือเขาจะไป จะโกรธไหมเมื่อเขาเปลี่ยนไป เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ จนถึงที่สุดแล้วเห็นก็เหมือนไม่เห็น แล้วเคยไหม รู้จักแต่ก็เหมือนไม่รู้จัก เห็นก็แล้ว รู้จักก็แล้ว แต่ถึงที่สุดความจริงเหมือนไม่เห็น และสิ่งที่อาจารย์บอกอีกอย่างบางครั้งทะเบียนก็เป็นทะเบียนของเรา นี่ก็คนของเรา ชื่อก็ชื่อเรา แฟนก็แฟนเรา ของก็ของเรา แล้วเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วอาจารย์ถามหน่อยในโลกนี้อะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  แฟนใช่ไหม (ไม่)  ลูกและ ร่างกายฟังศิษย์ไหม (ไม่)  บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ อย่าตายก็ไม่ฟัง คงไว้ได้ไหม แล้วยึดทำไมให้เป็นทุกข์  ความรู้จริงอีกอย่างที่รู้แล้วให้เราพ้นทุกข์ได้คือ เห็นเหมือนไม่เห็น  รู้เหมือนไม่รู้  ครอบครองได้ แต่จริงๆ ไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมนี้เราจะไม่ทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ แต่จงจำหลักธรรมนี้ไว้นะศิษย์
รู้อะไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์ (รู้สุขจะได้ไม่ทุกข์)  ศิษย์เอ๋ยรู้ทุกข์ดีกว่านะจะได้เข้าใจทั้งทุกข์และเห็นสุข ดีกว่ารู้สุขแต่ไม่เคยเข้าใจทุกข์ ฉะนั้นอย่ากลัวความทุกข์ (รู้เท่าทันอารมณ์, ไม่ยึด รู้ปล่อยวาง)  ศิษย์เอ๋ยคำว่าปล่อยวางก็คือเห็นแล้วไม่คิด ถ้าข้างในไม่มีข้างนอกก็ไม่มีผล แต่ถ้าข้างในมีแม้ข้างนอกไม่มีมันก็มีเรื่อง ฉะนั้นรู้ข้างนอกไม่สู้รู้ข้างใน ปราบผีข้างนอกไม่สู้ปราบผีข้างใน ปราบตัวร้ายข้างนอกไม่สู้ปราบตัวร้ายข้างใน เพราะคนที่ร้ายคือเรา (รู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่สังขารของเราเอง)  ขอให้คิดให้ได้แบบนี้เสมอนะ อย่าเผลอไปโลภมากแล้วผลสุดท้ายทำใจไม่ได้ (รู้เท่าทันตัวเอง)  ตอบได้ดีรู้จักคนอื่นไม่เรียกว่าฉลาด แต่ถ้ารู้จักตัวเองเรียกว่าฉลาดนักแล
เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ แต่บางครั้งมันก็ชอบมาให้เราเห็นมาให้เรารู้ แล้วก็ทำให้เราเจ็บ ฉะนั้นเหมือนที่อาจารย์บอกข้างนอกมีอะไรก็แล้วแต่ข้างในไม่มี ข้างนอกเราก็จัดการได้ (รู้เท่าทันอารมณ์)  ขอให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง คนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปรู้ รู้เท่าทันใจตัวเอง ฉะนั้นใครว่าเราไม่สวยไม่งามก็ไม่เป็นไร (รู้จักเขารู้จักเรา)  แต่อาจารย์จะบอกนะศิษย์เอ๋ย รู้จักเราให้ชัดก็จะรู้จักเขาชัด แต่คนภายนอกชอบรู้เขาชัด แล้วก็มองตัวเองไม่ชัด ฉะนั้นอย่าพูดว่ารู้เขาแล้วจะรู้เราไม่เคยมี มีแต่รู้เราชัดก็จะเห็นเขาชัด เพราะปัญหาทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ตัวเรา (รู้ตัวเอง)  เวลาเรารู้เราชอบ อดตัดสินไม่ได้จริงไหม ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เรารู้แล้วเห็นชัดเจนที่สุดก็คืออย่ารู้โดยใช้ความคิด อย่ารู้โดยใช้เหตุผล เพราะความคิดและเหตุผลเป็นรากเหง้าของกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่จงรู้ตามสัจจะความเป็นจริง เมื่อใดที่ไร้ความคิดและเหตุผลเมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างตามเป็นจริง แต่มันยากเพราะเห็นอะไรแล้วอดคิดไม่ได้ เหมือนอาจารย์บอกหนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  เห็นไหมทันทีเลย เพราะสมองเรามันชอบติดกับความคิดกับเหตุผล อาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่งเราอดไม่ได้เราเห็นอะไรแล้วชอบตัดสิน จริงไหม (จริง)
เห็นอะไร (ขาวกับดำ)  นี่แหล่ะเราอดไม่ได้พอเราเห็นเราชอบตัดสิน เราชอบวิพากษ์วิจารณ์เราจึงมองไม่เห็นความจริง เราเห็นความต่างอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่  ถ้ามนุษย์ยึดติดกับความคิด ยึดติดกับคำว่าเหตุผลจะทำให้มนุษย์ไปไม่ถึงที่สุดของความจริงเพราะเหตุผลกับความคิดมันมาจากความรู้ความจำที่เป็นอัตตาตัวตน เหมือนศิษย์บอกว่าอาจารย์คนนี้ไม่มีเหตุผลเลย ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยเหตุผลของศิษย์ เป็นเหตุผลที่ยุติธรรมหรือเข้าข้างตัวเอง ความคิดของศิษย์เป็นความคิดที่บริสุทธิ์หรือเอียงเข้าข้างตัวเอง ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ออกจากความคิดความรู้และเหตุผลของศิษย์ เป็นความจริงแท้หรือความหลงผิด  ฉะนั้นเวลาศิษย์เห็นอะไร อย่าเพิ่งรีบตัดสิน ไม่อย่างนั้นศิษย์จะอดเห็นความจริง อย่าเพิ่งผูกขาดไม่เช่นนั้นศิษย์จะไม่เห็นความจริงแท้ เหมือนเวลาเราไม่ชอบคนดำ อาจารย์จะบอกว่าไม่ว่าแบบไหน ล้วนมีทั้งทุกข์และสุข ดีและร้ายในความเป็นจริง ถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกโดยไม่ทุกข์จงอย่าติดแค่สิ่งที่ตัวเองคิด จงอย่าติดในเหตุผลที่ตัวเองมี แต่จงมองให้ลึก มองให้เข้าใจ และสัจจะความเป็นจริงมันจะไม่ไปไหน เราจะตื่นรู้ในธรรมด้วยตัวเราเอง อย่างที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นเมื่อถูกกระทบ จบเลยไม่ต้องเริ่ม
พอถึงที่สุดอันนี้ก็ไม่เอา เพราะเราเอาอะไรไม่ได้เลย เพราะเราเกิดมาเพียงเพื่อยืมใช้ และใช้ให้ถูกที่สุด โดยไม่ยึดอะไร เรียกว่าสิ้นทุกข์สิ้นกิเลส เราจะได้สิ้นการเวียนว่าย แต่ถ้าศิษย์อยากเจออีก ก็เคียดแค้นชิงชังเอากันให้ถึงที่สุด เอาไหม (ไม่เอา)
ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้ พึ่งตัวเองให้มากที่สุดและสู้ไม่ถอย ศิษย์จะไม่มีวันลำบาก พึ่งตัวเองให้มากที่สุด ลำบากอย่างไรก็สู้ไม่ถอย สิ้นก็จะไม่พบความลำบาก ถ้าศิษย์เชื่ออาจารย์  ถ้าศิษย์เอาแต่พึ่งคนอื่น เอาแต่ขี้เกียจ ไม่ยอมสู้ ศิษย์ลำบากแน่ๆ แต่ถ้าตั้งใจบำเพ็ญ พึ่งตัวเอง สู้ไม่ถอย ลำบากอย่างไรก็จะฟันฝ่า ลำบากอย่างไรก็จะไหว เจ็บอย่างไรก็จะสู้ ก็ไม่มีวันลำบาก วันที่ลำบากคือวันที่จบแล้วได้กลับคืน ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นอย่ายอมแพ้ สู้ให้ถึงที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์ขอปรบมือดังๆ ให้ศิษย์หน่อย ทำไมอาจารย์อยากปรบมือดังๆ ให้ศิษย์รู้ไหม เพราะศิษย์ยอมมาลำบาก ยอมฝืนความลำบากเพื่อฟังธรรมะ ให้ไปอยู่บ้านสบายๆ ก็ได้ไม่เอา แต่ยอมมานั่งลำบากเพื่อฟังธรรมะ นี้ถึงเรียกว่ามาสร้างบุญ บุญที่ทำให้เราชำระล้างใจให้เราบริสุทธิ์ บุญที่ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่รู้จักละความยึดมั่นถือมั่น และรู้จักให้เรามีปัญญาในการกระจ่างแจ้งในหลักธรรม ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไหวไหม (ไหว)  สู้ไหม (สู้)
เมื่อสักครู่ฟังธรรมะที่อาจารย์พูด รู้เรื่องและเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ)  แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งรู้แล้วแต่ละไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้แล้วยังวางไม่ลงมันน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นชีวิตเราไม่รู้ว่าจะมีอีกชีวิตหนึ่งหรือเปล่า ถ้าชีวิตนี้เป็นชีวิตเดียวทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุด ดีก็ให้ดีสุดๆ เหมือนตอนนี้เราพึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกหลานพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  คนที่ช่วยศิษย์ได้คือตัวเอง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าตัวเองแม้จะแก่ขนาดไหนก็สู้ไม่ถอย เจ็บอย่างไรก็สู้ไม่ถอย ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอย่าเป็นคนอายุมากที่ไม่น่ารัก แต่จงเป็นคนอายุมากที่ขยัน สู้ไม่ถอย ยิ้มเก่ง ไม่มีวันลำบาก เชื่ออาจารย์ เจออะไรลูกไม่รัก ไม่เข้าใจก็ยิ้ม อย่างไรแม่ก็รัก พึ่งคนอื่นมันพึ่งไม่ได้พึ่งเราเอง รอลูกให้มันมาดูแลแล้วเราก็นอนรอลูก ฉะนั้นไม่ต้องรอ ธรรมสอนไว้อย่างหนึ่งตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องรู้จักพึ่งตัวเอง มีความสุขได้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้ฉันสุขมากที่สุดก็คือ อายุปูนนี้แล้วฉันยังอยู่ และอายุปูนนี้แล้วฉันยังไหว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอายุปูนนี้อะไรฉันก็ยังดี มันยังไม่สุขหรือ (สุข)  ฉะนั้นชีวิตถึงจะเหลืออีกแค่ครึ่งหนึ่งก็จงสู้ต่อไป ไม่พึ่งใครพึ่งตัวเอง ถึงที่สุดเวลาอาจารย์ไปก็สบาย เพราะอาจารย์ไม่ยึดอะไรแล้ว และอาจารย์ทำเต็มที่ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เหมือนที่อาจารย์พูดเสมอ เงยหน้าไม่ผิดต่อฟ้า ก้มหน้าไม่ผิดต่อดิน ต่อผู้คนมีคุณธรรมจริยธรรมครบ ฉะนั้นวันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต
ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว เราเกิดมาถึงที่สุดก็ต้องกลับ ศิษย์เอ๋ย ชีวิตยังรู้จักกลับบ้าน แล้วจิตญาณเดิมแท้ ไม่รู้จักกลับบ้านบ้างหรือ แล้วบ้านของจิตญาณเดิมแท้อยู่ที่ไหน เรามาจากธรรม เราก็ต้องกลับสู่ธรรม ฉะนั้นรู้จักกลับบ้านของสังขาร จะต้องรู้จักกลับบ้านของจิตญาณ คือสภาวะธรรมอันไร้ตัวตน จะได้ไม่ต้องทุกข์อีก เวียนว่ายตายเกิดอีก จะได้หมดห่วงต่อไป สู้นะ ทำให้ได้นะ ทำได้แล้วจะได้กลับสู่ธรรมอันเดียวกัน ธรรมที่ว่างเปล่า ดีไหม (ดี)  แข็งแรง เข้มแข็ง อย่ากลัวลำบาก  มีความคิดที่ดี หมั่นศึกษาให้มากๆ  เพิ่มพูนปัญญานำพาชีวิตผู้อื่นให้ได้ ด้วยหัวใจที่หนักแน่น ไม่มีใครเราก็ต้องเข้มแข็งได้ ไม่มีใครเราก็รักตัวเองได้ รักษาตัวเอง ทำให้ได้นะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พาใจกลับบ้าน”)
อันนี้เป็นแค่รูป แต่ความหมายโดยนัยน์ คือ ทุกข์มีใจอันเดิมแท้เดียวกัน และใจอันนั้นเรียกว่า สัจภาวะ ความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นใช่ไหม (ใช่)  คำว่า “ใจ” อย่ามองเป็นตัว เป็นรูปลักษณ์ ใจอันนี้คือสภาวะธรรมอันหนึ่ง ที่จริงๆ แล้ว มันมีอยู่ในตัวของมนุษย์ที่เรียกว่า สัจธรรม สัจธรรมคือสิ่งที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์แล้วก็ว่างเปล่า อยู่ในทุกชีวิตและอยู่มีในทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าเป็นรูปหรือนามใช่ไหม (ใช่)  สังขารต้องกลับคืนสู่ธาตุทั้งห้าถูกไหม (ถูก)  แล้วจิตญาณเดิมแท้ต้องกลับคืนสู่ที่ที่มา ฉะนั้นใจกลับคืนสู่บ้าน บ้านไหน บ้านที่ไม่ได้เรียกว่า สวรรค์ เพราะสวรรค์เสวยสุขเสร็จ ยังต้องกลับมาเวียนว่าย แต่บ้านเดิมแท้ที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกเรียกว่า (นิพพาน)
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา   จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด
ที่ที่ไร้ตัวตนเหตุแห่งความทุกข์       ที่ที่เกิดและสิ้นสุดทุกสิ่งไป
ไม่มีไปไม่มีมาแค่กลับคืน              แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่
ล้วนไม่เที่ยงผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย   ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง
ธรรมคือความเดิมแท้ความเป็นมา” จิตญาณเดิมแท้ของเราคือธรรม “จากธรรมคืนสู่ธรรมดาคือที่สุด” กลับคืนสู่ธรรม เพราะทุกชีวิตล้วนต้องกลับ เดินตามรอยธรรมชาติ เกิดเพื่อดับถูกไหม เป็นแนวทางของธรรมะที่เราหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตญาณเดิมแท้ของเราจึงไม่เรียกว่าตัวเรียกว่าตน แต่จิตญาณเดิมแท้ของเราจริงๆ คือ ธรรม และเรากำลังจากธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมเป็นอย่างไร ธรรมก็คือความธรรมดา ที่ธรรมดาแต่กลับสูงที่สุด และมีอยู่ในทุกชีวิต และในธรรมที่สูงที่สุดและธรรมดานั้น มันไร้ตัวตน มันไร้เหตุแห่งความทุกข์ และมันเป็นที่ที่สามารถเกิดตัวตนได้ และมันก็สามารถสิ้นสุดตัวตนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงบอกว่า มันไม่มีไปหรือมีมา เพราะมันคือการกลับคืน  แต่มนุษย์มักจะพูดว่า ตายไปเกิดมา นั่นคือการเวียนว่ายและการยึดติด แต่ผู้เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงคือ ไม่มีไปไม่มีมา แต่ได้กลับคืน คืนที่ที่ศิษย์จากมานะ มันยากนะ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึง ถ้าเข้าถึงศิษย์จะพ้นทุกข์ที่แท้จริง แค่รู้ตื่นจากความหลงอันยิ่งใหญ่ ล้วนไม่เที่ยง ผันแปรเปลี่ยนตามปัจจัย ความมีจึงว่างเปล่าไร้ตนแท้จริง ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันมี มันไม่มี สิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันคือตัวตนของศิษย์ จริงๆ มันไม่ใช่ตัวตน แต่ความหลงต่างหากที่ไปยึดเอาตัวตน จึงมองไม่เห็นความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ตัวยังรู้จักกลับบ้าน อย่าลืมพาใจกลับบ้าน หลงมานานแล้ว กลับบ้านกันเถอะ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายในโลกใบนี้ บ้านที่ทำให้ศิษย์สงบเย็นจริงๆ กลับมา ไม่ต้องกลับมาเจออาจารย์ กลับไปบ้านเดิมแท้เลย กลับให้ถึงที่สุด
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็คงต้องกลับบ้านก่อนนะ คิดให้ดีนะ ตรองให้ดี พิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้หลอกศิษย์ไหม หรือว่าเพื่อช่วยศิษย์เอง ขอเพียงศิษย์ศรัทธาในความถูกต้อง มุ่งมั่นในความดีและเชื่อในธรรมของตัวเอง อย่าได้ทุกข์อีกเลยนะ เพราะอาจารย์เห็นศิษย์ทุกข์มานักต่อนักแล้ว แต่ช่วยศิษย์ไม่ได้มันก็น่าเสียชื่อที่เป็นอาจารย์ จริงไหม อยากช่วยศิษย์พ้นทุกข์แต่ศิษย์ก็ไม่ยอมหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความทุกข์ อยากให้ศิษย์ไม่ต้องเวียนว่ายแต่ศิษย์ก็เพียรตกไปเวียนว่ายตายเกิด อยากให้ศิษย์พ้นเจ้ากรรมนายเวรแต่ศิษย์ก็หาเรื่องสร้างกรรมเวรไม่จบสิ้น มันเลยจุกพูดไม่ออก เพราะพูดไปถึงที่สุดศิษย์ก็พ่ายแพ้ความเคยชิน พ่ายแพ้นิสัย พ่ายแพ้กิเลสจริงไหม ลองไตร่ตรองให้ดี อาจารย์ห่วงจริงๆ นะ ห่วงจากใจ ดูแลตัวเองให้ถูกต้องมีศีล มีธรรม อย่าหลงผิด อย่าติดอบายมุข อย่าตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ทำอะไรคิดให้ดีเพราะถึงที่สุดแล้วคนที่ทุกข์ไม่ใช่ศิษย์คนเดียว แต่คนที่รักศิษย์ก็ทุกข์ด้วยจริงไหม นอกจากศิษย์ไม่มีค่าจริงๆ ถึงไม่มีใครเขาสนใจ แต่อาจารย์เชื่อว่าฟ้าให้กำเนิดศิษย์ แปลว่าฟ้าเห็นศิษย์มีค่า เห็นศิษย์ดี จึงอยากให้ศิษย์เกิดมาและเข้าใจในความจริง ฟ้าไม่ให้คนเกิดมาไร้ค่า แต่ศิษย์จะรู้จักประโยชน์และคุณค่าตัวเองไหม เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุดนะ อย่าเป็นแค่คนดีแต่เป็นคนที่เข้าใจหลักธรรมและนำพาตัวเองพ้นทุกข์นะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ บุญรักษานะ เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์  รู้จักมีศีลมีธรรม ศีลธรรมจะทำให้ศิษย์เดินทางไปในทางที่ถูกต้อง พ้นจากอันตรายนะศิษย์  ตั้งใจบำเพ็ญนะ ระมัดระวังอารมณ์ตัวเองให้ดี ไหวไหม เหนื่อยไหม ใช้ความเมตตาเป็นหลักนะ  คนที่จับมืออาจารย์แปลว่าจะไม่มีวันทิ้งกัน ตราบลมหายใจสุดท้ายก็ไม่มีวันทิ้งกัน  ถ้าให้อาจารย์จับหัว ก็แปลว่ายังด้อยปัญญา ต้องเพิ่มปัญญาเยอะๆ ตั้งใจทำดีเลิกให้ได้ในสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง รักษาความดีไว้ด้วยหัวใจที่มั่นคง ตั้งใจบำเพ็ญนะ  ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตัวเองให้ดี อย่าหลงผิด ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตั้งใจนะ ทำได้ดีแล้ว สู้ต่อพยายามต่อนะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องได้ไหม อาจารย์ขอ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหล้าบุหรี่ดีหรือ  ทำให้ได้นะ ศิษย์เป็นคนดีอยู่แล้ว อาจารย์เชื่ออย่างนั้น ขอให้บุญและความดีนำพาศิษย์ให้พบทางที่ถูก นำพาไปสู่ความสว่าง อย่ากลัวความเจ็บไข้ ความยากลำบาก ถ้ามีหัวใจที่มั่นคง ความเจ็บไข้และความลำบากจะมีทางออกเอง ดูแลตัวเอง ความพยายามความตั้งใจดี อาจารย์เห็น รักษาไว้ดูแลให้ดีนะศิษย์ ไปแล้ว อย่าลืมพาใจกลับบ้าน ที่เรียกว่าสภาวะธรรมอันว่างเปล่าไร้ซึ่งตัวตน สิ้นแล้วซึ่งกิเลสและเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลไปให้ถึงนะศิษย์
[1]ซิกซ์เซนส์ คือ สัมผัสที่หก หมายถึงบุคคลที่มีประสาทสัมผัสพิเศษที่นอกเหนือไปจากประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ผี วิญญาณ


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-22 สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

西元二○一九年歲次己亥五月二十日                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒               สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
  คนไม่รู้เกิดมาเพื่ออะไร                  แม้ตายไปไปไหนก็ไม่รู้
ปัจจุบันก็ไม่รู้ทำอะไรอยู่                 เลยไม่รู้ต้องต่อสู้กับสิ่งใด
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

   ทำไมใช้ชีวิตเยอะแต่คนแย่              ยุ่งกว่าแม้ในสงบไม่สงบ
ชีวิตมัวจับยามในทางลบ                 กระทบก็ต่างเปิดขันธ์ไม่ควบคุม
จัดชีวิตเป็นกว่าเดิมเพิ่มระเบียบ          ปัญหาเพียบใช้เรื่องร้อนสอนสุขุม
อะไรมาจะอะไรก็ไม่กลุ้ม                  วาจานุ่มงานสะท้อนค่าของคน
พบปะแค่สังสรรค์เป็นเรื่องเล่นเล่น       ทว่าอย่างมาบำเพ็ญต้องเห็นผล
อยู่ด้วยกันเหมือนกระจกสะท้อนตน     โดนวานไหว้โดนบ่นเรื่องธรรมดา
จงใส่ใจบำเพ็ญเป็นคนใหม่               เช้าเข้าใจเย็นถึงมั่นคงหนา
คนเดียวกันดื้อรั้นเจ้าปัญหา              อนิจจาหัวดียึดไม่มีดี
สติใช้ชะลอคุ้มครองพูดคิด                มีชีวิตมากกว่าตามหน้าที่
สร้างเต็มค่าตัวเองเปล่งราศี              มีเวลาไม่ทำดีทำอะไร
หากหงอยเหงาหงอหงอคือชีวิต          เลือกใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาได้
หลงปัญหาคิดไม่ออกเพราะอะไร         จิตกระพือคิดพอใจใส่อารมณ์
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ




ชีวิตหนีไม่พ้นความเกิดและความตาย ใช่ไหม (ใช่)  เคยสงสัยไหมเกิดมาเพื่ออะไร (เคย)  ตายแล้วจะไปไหน บางคนก็บอกว่า เกิดมาก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่เพราะเดี๋ยวตายไปก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว จริงไหม (จริง)  เเต่ท่านเคยได้ยินไหม จิตเป็นเนื้อนาบุญ ปลูกสิ่งใดได้สิ่งนั้น ถ้าทุกวันเราปลูกเเต่กิเลสตัณหา ความอยากได้ใคร่มีไม่เคยหยุด เหตุปัจจัยเเห่งความอยากยังไม่สามารถหยุดได้ ยังคงอยู่ต่อเนื่องในจิตใจ เมื่อยามมีชีวิตเรายังหยุดไม่ได้ แล้วถ้าตายไปจะหยุดได้ไหม นั่นอาจจะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องเกี่ยวเนื่องและเวียนวนก็เป็นได้
เหมือนที่มนุษย์มักจะพูดว่าเมื่อจิตดับไปแล้วมีความห่วงหาอาทร จึงทำให้จิตนั้นไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสงบสุข ถ้าจิตของมนุษย์ยังมัวติดอยู่กับตัณหา เเละความอยาก กิเลสตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้มนุษย์หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไรที่ยังมีหน่อเนื้อแห่งการอยาก เมื่อไรที่ยังมีเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากอยู่ มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายกลับมาเกิดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์มักจะพูดว่า ความตายน่ากลัว แต่พุทธะกลับบอกว่าการเกิดมาแล้วต้องรับผลซึ่งความทุกข์ ความเจ็บปวดและความตายอันนับไม่ถ้วนนั้นน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  เพราะความเกิดเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ถ้าเมื่อไรที่จิตใจของมนุษย์ยังไม่ยั้งหยุดเมล็ดพันธุ์เเห่งความอยาก มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไรก็จงมองดูปัจจุบันหรือเมื่อยามมีชีวิต เพราะชีวิตปัจจุบันเป็นตัวกำหนดภพภูมิในอนาคต หรือที่พูดอย่างง่ายก็คือ ถ้าใสบริสุทธิ์ก็กลับคืนฟ้า เเต่ถ้าจิตหนักขุ่นหม่นหมองก็ลงสู่พื้นพสุธา อย่างนั้นลองทบทวนตนว่าเราเกิดมาเพื่ออยากหรือเกิดมาเพื่ออะไร สนองความอยากให้เต็มที่เเล้วจบกันใช่หรือไม่ หากทำเพื่อสนองความอยากเต็มที่เเต่ไม่จบ เเล้วกลับกลายเป็นเหตุปัจจัยเเห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้นเราจะทำอย่างไร ถ้าชีวิตนี้เป็นเเค่การเริ่มต้นเเละกำลังจะไปต่อเราพร้อมหรือยังที่จะไปต่อ พร้อมแล้วหรือยังไม่รู้อะไรเลย บางคนก็เเก้ด้วยการทำบุญทำกุศล เเม้หากทำบุญมากเเค่ไหน เเต่บาปไม่ละ กรรมก็ตามทันจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ทำบาปนั่นเรียกว่าบุญแล้วประเสริฐกว่าไหม
เปรียบอย่างง่ายว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ไม่มีใครตอบได้ เเต่ความเป็นจริงเเห่งธรรมล้วนให้คำตอบอยู่ในใจ เเต่ไม่เคยมีใครหยั่งรู้ ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อดับ เเต่เรามีชีวิตอยู่เพื่อดับหรือเพื่อเกิด เเละทุกขณะที่เราทำเป็นไปเพื่อดับหรือเป็นไปเพื่อสนองความอยากได้ใคร่มี ความจริงเราต้องกลับไปสู่ความดับ ทุกชีวิตล้วนเผชิญความดับ เราจะกลับคืนสู่ธรรมที่เรามาได้ก็ต่อเมื่อเราดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรม
แต่ชีวิตของคนไม่เคยสอดคล้องในธรรม ธรรมสอนให้เราเกิดเพื่อดับ มาว่างเปล่าก็ต้องไปว่างเปล่า แต่เราไม่เคยว่าง เราไม่เคยดับได้จริงๆ เราเกิดแล้วก็เกิดอีก อยากแล้วก็อยากอีก มีชีวิตเพื่อถมความอยากให้เต็ม ทั้งที่ธรรมก็บอกอยู่เสมอว่า ใจที่ถมความอยากไม่มีวันเต็ม มีแต่ใจที่หยุดความอยากได้ จึงจะถมได้เต็ม ถ้าชีวิตนี้เรารักชีวิตและเรารับผิดชอบต่อชีวิตตัวเราเองได้ ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ถ้าชีวิตนี้เรายังรักตัวเองไม่พอ เรายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ความทุกข์ก็เป็นเรื่องที่ท่านหนีไม่พ้น และน่ากลัวอยู่ทุกๆ วัน จริงไหม (จริง)  แล้วไยจึงไม่หาทางพ้นทุกข์หนอ
เหมือนเมื่อก่อนเราหาเพื่อความมี เราหาเพื่อจะได้ไม่จน เราหาเพื่อชีวิตจะได้ไม่ลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้ว่าตรงไหนคือสิ่งที่เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา แต่ตอนนี้เรามี มีในสิ่งที่เราไม่เคยมี มีทุกอย่าง แล้วเรากำลังสู้อยู่กับอะไร ความยากจนภายนอก หรือความยากจนในใจ เรากำลังสู้เพราะเราอยากมี หรือเราสู้เพราะลึกๆ แล้วเรากลัวที่จะไม่มี แต่มนุษย์มักจะหาแล้วหลงลืมว่า จริงๆ แล้วเราหาเพื่อมี หรือเราหาเพื่อชนะใจตัวเองที่กลัวความจริง ถูกไหม (ถูก)  หาไปเพื่ออะไรไม่รู้ หาไปทำไมก็ไม่รู้ ถามว่าแต่ก่อนหาเพราะว่าอยากมี แต่ตอนนี้มีแล้ว แต่ทำไมยังต้องหา เพราะลึกๆ คือกลัวจะรับกับความไม่มีไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วความไม่มีคือความจริงแท้แห่งสัจธรรม และทุกคนต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้เราอยากได้ อยากกินอะไรเราไปหาได้ วันนี้เราอยากทำอะไรเราทำได้ แต่ถ้าวันหนึ่งท่านทำอะไรไม่ได้อย่างที่อยาก ความทุกข์นั้นอยู่ในใจ ให้ใครช่วยซื้อก็ไม่ถูกใจ ให้ใครทำให้ก็ไม่ถูกปาก แต่สิ่งที่เราต้องเอาชนะให้ได้ เราต้องสู้ให้ได้นั่นคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นลองถามตัวเองดูว่าเรามีชีวิตเพื่ออะไร เรากำลังหาอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วหาไปถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทิ้งทุกอย่าง ได้ไปจนถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องวางทุกอย่าง อย่างนั้นทำไมเราไม่ฝึกอะไรที่ทำให้เราได้ไปด้วยและก็ทำใจวางได้ด้วย มีไปด้วยก็เข้าใจความไม่มีไปด้วย ซึ่งนั่นคืออะไรก็ไม่รู้
หลายคนมักจะถามว่า มาฟังธรรมะทำไม ธรรมะก็รู้อยู่แล้ว แต่แปลกตรงที่รู้อยู่แล้วแต่ไม่เคยทำได้สักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรามามองกันง่ายๆ คร่าวๆ ก่อนดีไหม โดยส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมะกับพูดถึงเรื่องทางโลก ก็เหมือนอยู่ตรงกันข้ามกัน จริงไหม (จริง)  ถ้าพูดถึงทางโลก เราก็มักจะนึกถึงความฝัน ความอยาก กิเลส ตัณหา และความวุ่นวาย ในโลกยังมีความสุขด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความสุขก็มีความทุกข์ เมื่อพูดถึงโลกก็หนีไม่พ้นสุขทุกข์ ความอยาก กิเลส ตัณหาและความวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพูดถึงทางธรรมจะเรียกว่าสงบ เย็น มีสติ และทำอะไรด้วยปัญญา และทำให้เราหาทางพ้นทุกข์ได้เเละพบสุขที่เเท้จริง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตอยู่ในทางโลกเเล้วเราบอกว่าทางธรรมเอาไว้ก่อนนั่นก็แปลว่าเราอยากมีชีวิตทางโลกที่วุ่นวาย ไม่สงบเย็นเเละมีสุขทุกข์เวียนไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะเป็นเรื่องไกลตัวเดี๋ยวเเก่ไปค่อยว่ากัน ก็เเปลว่าเราไม่ต้องการธรรมะที่เย็นใจ ไม่ต้องการธรรมะที่ช่วยดับทุกข์ ไม่ต้องการธรรมะที่ช่วยให้เราละวางกิเลส บางคนยังไม่เข้าใจว่าที่เรามานั่งที่นี่มาทำอะไร มาศึกษาอะไร เรามาศึกษาธรรมะที่เป็นกลางไม่อิงอะไร และเกี่ยวกับชีวิตเราโดยตรง ดีไหม (ดี)
ถ้าธรรมะคือความสงบเย็นเเละการทำอะไรอย่างมีสติ สอนให้เรารู้จักละวางความโลภ โกรธ หลง ทำให้เราเย็นใจเบาใจ เช่นนั้นคนเราควรจะมีธรรมไว้ในชีวิตไหม (ควร)  เมื่อไรที่เราวุ่นวายเเล้วรู้จักธรรม ธรรมจะทำให้เราแม้วุ่นขนาดไหนก็เย็นได้ ถ้าชีวิตเราอยู่ทางโลกเเละเรามีธรรม ทุกข์ขนาดไหนเมื่อมีสติปัญญาก็สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ถ้าเราอยู่ทางโลกเเละเรามีธรรม แม้ใจเราร้อนขนาดไหน ธรรมก็จะทำให้เราใจเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้มีแต่ร้อนไม่เคยเย็น วุ่นไม่เคยสงบ แสดงว่าเราไม่มีธรรม หรือเป็นเพราะว่าเรามัวเเต่ยุ่งทางโลกจนลืมทางธรรม เเล้วจะรอให้ตัวเองทุกข์ที่สุด เจ็บที่สุด เเย่ที่สุดเเล้วค่อยนำธรรมมาใช้จะทันไหม แก้ไหวไหม (ไม่ไหว)  อย่างนั้นเราควรอยู่ทางโลกแล้วมีธรรมะด้วยดีไหม (ดี)  พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องมีธรรมะ (เข้าใจ)  ธรรมะเป็นเรื่องของคนแก่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าคนเข้าใจธรรมก็จะต้องรู้ว่าธรรมคือชีวิต ชีวิตหนีไม่พ้นธรรม เพราะเราก็คือธรรม เขาก็คือธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือธรรม จะเป็นไปได้หรือว่า เราอยู่ในโลกโดยไม่ต้องสนใจธรรม การมีชีวิตอยู่ในโลกและมีธรรมเป็นคู่ชีวิต ดีหรือไม่ (ดี)  
อยู่ในโลกที่เห็นแก่ตัวมาก ธรรมจะช่วยถ่วงสมดุลให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เราอยู่ในโลกที่มีความอยากมาก แต่พอเรามีธรรม ความอยากทำให้เรารู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป และรู้จักคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น บางครั้งเราคิดถึงคนอื่นมากเกินไป จนเราเอาธรรมมาสอนชีวิต ธรรมจึงสอนว่าอย่าลืมนึกถึงตนและนึกถึงผู้อื่น และอย่ามัวแต่นึกถึงผู้อื่นจนลืมนึกถึงตัวเอง ฉะนั้นเมื่อไรที่ชีวิตขาดสมดุล เมื่อไรที่ชีวิตทุกข์ นั่นแปลว่าเราลืมเอาธรรมมาถ่วงสมดุลใจ เพราะธรรมช่วยให้เราไม่หลงจนเกินไป ยั้งใจได้ด้วยสติและปัญญารู้นำคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ควรหรือไม่ที่จะมีธรรม (ควร)  ตอนไหน (ตอนนี้)  ควรมีธรรมในทุกขณะ เมื่อคิดเห็นแก่ตน ธรรมจะสอนว่าอย่าลืมคิดถึงคน เมื่อคิดถึงคนอย่าลืมคิดถึงตน เมื่ออยากอย่าลืมนึกถึงความผิดชอบชั่วดี เพราะถ้าผู้ใดมีชีวิตขาดซึ่งความสงบ ขาดซึ่งความเย็น นั่นแปลว่าเขาขาดซึ่งธรรม ชีวิตหาทางพ้นทุกข์ไม่เจอ มีแต่ความทุกข์ไม่จบสิ้น นั่นแปลว่าเขาลืมธรรม
ฉะนั้นฟังธรรมจากเราไม่ยากเลย อยู่ในโลกต้องมีธรรมเพราะธรรมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ถ้าเมื่อไรที่ท่านมีชีวิตอยู่ วุ่นวาย สุขทุกข์ ขาดสติ นั่นแปลว่าท่านลืมธรรม จริงหรือไม่ แล้วทำอย่างไรเราถึงจะมีธรรม ง่ายๆ เลยอะไรที่ทำให้เราสงบ อะไรที่ทำให้เราเย็น นั่นก็คือ (สติ)  ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ฟังเราพูดแล้วต้องรู้แล้ว เมื่อไรที่ทำอะไรอย่างมีสติและสงบเย็นนั่นคือถึงธรรมะ แต่ถ้าเมื่อไรทำอะไรแล้ววุ่นวายไม่จบสิ้นนั่นคือยังมีเรื่องของทางโลก มีความเห็นแก่ตน
โลกสอนให้เราฉลาด โลกสอนให้เราเก่ง ความเก่งและความฉลาดทำให้เราเย็นและสงบไหม ทำอย่างไรที่จะเรียกว่ามีชีวิตแล้วอยู่ในโลกประกอบไปด้วยธรรม มนุษย์มักจะถูกสอนให้อยู่ในโลกต้องเก่ง ต้องฉลาด ต้องได้ ต้องสำเร็จ เก่งแล้วถือดีอวดตนมีธรรมะไหม (ไม่มี)  เก่งแล้วคิดว่าตัวเองแน่ มองคนอื่นแบบดูถูกมีธรรมไหม (ไม่มี)  ฉันเก่ง ฉันรู้หมด แน่ใจไหม (ไม่แน่ใจ)  แล้วอย่างไรที่เรียกว่าเก่งแล้วมีสุขและมีธรรม ไม่ทุกข์ใจ (มีธรรมะ) ธรรมะอะไร (มีสติ)  มีสติพอไหม (ต้องมีจิตกุศล)  เก่งแล้วต้องมีจิตที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเก่งแล้วทำอย่างไรให้ความเก่งนั้นสามารถทำให้เราสงบเย็น ไม่วุ่นวาย ทำอะไรแบบมีสติ แล้วเกิดปัญญาได้ในความเก่ง
(เก่งแล้วต้องเผื่อแผ่)  เก่งขนาดไหน ถ้าไปอยู่ที่ไหนแล้วเติมธรรมะสักหนึ่งข้อเข้าไป ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นที่รัก
(จิตเมตตา)  (แบ่งปัน)  รู้จักแบ่งปันก็ตอบได้ดี แต่เอามาเต็มที่แล้วค่อยแบ่งปันหรือ
(ต้องมีคุณธรรม)  (อ่อนน้อมถ่อมตน)  เก่งแค่ไหนก็บอกว่ายังไม่รู้ ฉันยังต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก เธอเก่งกว่าฉัน ถ้าไม่มีเธอฉันก็ไม่เก่ง แต่คนปัจจุบันเก่งแล้ววุ่นวายเพราะคิดว่าฉันเก่งคนเดียว ไม่มีฉันเธออยู่ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราลืมไปหรือเปล่า ถ้าเราอวดในความเก่ง ความเก่งนั้นก็ทำให้เรากลายเป็นคนไม่เก่งได้ เพราะยังมีคนที่เก่งกว่า ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเก่ง จงอย่าลืมอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเมตตา แล้วก็แบ่งปัน อยู่ที่ไหนคนก็ไม่รังเกียจ อยู่ที่ไหน คนก็รัก และในความเก่งก็ไม่ทำให้เราวุ่นวาย เพราะยิ่งเก่งแล้วอวดเก่งมากจะเหนื่อยไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ทางโลกจึงลืมทางธรรมไม่ได้ ถ้ามีทางธรรมเป็นคู่ชีวิต ชีวิตจะมีค่าและเดินไปในโลกอย่างสงบสุข
เรื่องที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยาก เเละไม่ใช่เรื่องหลอกลวงให้ท่านงมงาย เเต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมที่ให้ท่านใช้ในการดำเนินชีวิต เรามักใช้ตามองออกมากกว่ามองเข้า ชอบจับผิดมากกว่าชื่นชม ชอบเห็นร้ายมากกว่าเห็นดี ระหว่างตากับใจ อะไรน่ากลัวกว่ากัน (ใจ)  สิ่งที่น่ากลัวคือนิสัยเขาหรือใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง (ใจเรา)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ผีเห็นผี ว่าเขาร้ายก็เเปลว่าเราร้าย ว่าเขาเลวก็เเปลว่าเราเลว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยู่ในโลกเเล้ว สามารถมีธรรมได้ก็คือ เมื่อเรามองออกเเล้วเห็นในสิ่งที่เราไม่อยากเห็น เมื่อเรามองออกเเล้วพบในสิ่งที่เราไม่อยากพบเเล้วเราจะทำอย่างไรดีให้ใจนั้นสงบ เมื่อมีคนด่าเรา เเล้วก็มีอีกคนด่าเราอีก เราจะทำอย่างไร  (ต้องพิจารณาตัวเอง)  แต่ถึงเวลาไม่เห็นพิจารณาตัวเองเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราอยากอยู่ในโลกอย่างคนที่มีธรรม หรืออยู่ในโลกอย่างคนที่วนเวียนในโลก ถ้าอยู่อย่างมีธรรม อะไรที่ทำให้เราสงบ นั่นคือเรามีธรรม แต่อะไรที่ทำให้เราวุ่นวาย นั่นคือเป็นโลก ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าโลก คือความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่สิ่งที่เรียกว่าธรรมคือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง ถ้าเกิดเขาว่าเรา เราอยากมีธรรม หรือว่าเราอยากอยู่ฝั่งทางโลก (อยากมีธรรม)  ถ้าเราอยากมีธรรม เราก็ต้องทำสิ่งที่ทำให้เราละโลภ ละโกรธ ละหลง และเย็นสงบ นั่นคือมีธรรม แต่ถ้าเกิดเขาว่าแล้วเรามีโลภ มีโกรธ มีหลง นั่นก็คือเรามีทุกข์ ไม่มีธรรม เมื่ออยากมีธรรมอย่าขาดสติ แต่ถ้าอยากอยู่ฝั่งทางโลกจงไปตามกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นโลกกับธรรมต่างกันที่สติกับกิเลสอารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทำอะไรด้วยสติแล้วละซึ่งความโลภ โกรธ หลง เข้าถึงความบริสุทธิ์ นอกจากถึงธรรมแล้วยังเข้าถึงภาวะบุญ เพราะบุญคือเครื่องชำระล้างใจ ฉะนั้นคนด่าเรา เราก็ได้สร้างบุญ และยิ่งถ้าเกิดเขาด่าเรา เราละโลภ โกรธ หลงได้ แล้วยังปฏิบัติต่อเขาด้วยคุณธรรม นั่นแปลว่า เรากำลังสร้างบุญและยังให้ธรรมะเป็นทาน แปลว่าทุกที่เราก็ทำบุญและปฏิบัติธรรมได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ เมื่อไรที่ตามองออก จงหันกลับมามองข้างใน ท่านเชื่อไหมว่าถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างที่เราพูด ภายใน 3 เดือน 7 เดือน กิเลสจะไม่เกิดขึ้นในจิตใจ ทุกครั้งที่เห็นอะไร ย้อนมองกลับเข้ามาที่ตัวเอง แล้วถามตัวเองว่าเราดีแล้วหรือ เขาด่าเรา หันกลับมาถามตัวเองว่าเราเคยด่าใครไหม เราว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่ดี เมื่อต่างคนต่างไม่ดีจะโกรธกันไหม จะเกลียดกันไหม อย่าไปว่าเขาเลย เขาก็ไม่ต่างกับเราหรอก จริงไหม (จริง)  แต่ทุกครั้งที่เราว่าเขาเพราะเรารู้สึกว่าเราดีกว่าเขา ถ้าทุกครั้งที่เขาโกงเรา ด่าเรา เอาเปรียบเรา แก่งแย่งเรา ลองถามสิว่าเราเคยด่าเขาไหม โกงเขาไหม เอาเปรียบเขาไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะละโลภโกรธหลงได้ในใจเรา และจบที่ใจเรา ไม่ต้องไปแก้ที่เขา และไม่ต้องไปเปลี่ยนเขาเลย เพราะเรามองว่าเขากับเราก็ไม่ต่างกัน จริงหรือเปล่า (จริง)  ว่าคนอื่นเขาไม่ดี ตัวเองดีแล้วหรือ ว่าเขาชั่วร้าย เราไม่ชั่วร้ายเลยหรือ ถ้าสังเกตพระพุทธรูป มีปริศนาธรรมอย่างหนึ่งคือ ท่านไม่เคยเปิดปาก แต่ใช้ดวงตาย้อนมองตน ธรรมะไม่ใช่ให้เราฝึกฝนแก้ใคร แต่ให้ฝึกฝนแก้ไขตัวเรา ไม่ใช่ไปเพ่งโทษใคร แต่เพ่งโทษตรวจสอบตน เหมือนเวลาเราใจดี รู้สึกดี อะไรก็ดีไปหมด แต่เวลาอารมณ์เสียก็เอะอะพาโล จริงไหม ฉะนั้นทุกข์สุขดีร้ายไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนทำร้ายเรา แต่ขึ้นอยู่กับภาวะใจเราเข้มแข็งและมองออกเพียงไร ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่)
เราอยู่ในโลกเราพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุด แล้วก็สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดที่ชีวิตเราจะหาได้ แต่แปลกที่เราหาสิ่งที่ดีที่สุดแล้วแต่ก็ยังมีสิ่งที่ดีกว่า อย่างนั้นเราจะต้องเปลี่ยนไปเท่าไรเพื่อหาสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดในชีวิต
สมมติว่าตอนนี้เรายังไม่มีดอกไม้ในตะกร้านี้ วันหนึ่งเราเกิดความอยากขึ้นมา บังเอิญไปเจอดอกไม้ดอกหนึ่ง สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว แต่พออยู่ไปอยู่มาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง)  แบบนั้นก็ไม่ดี แบบนี้ก็ไม่ดี แบบนี้ก็แย่ ไปหาใหม่ ตรงนั้นมีดีกว่าเยอะเลย หามาแล้ว ต่างกันไหม (ต่าง)  เริ่มเบื่อของเก่า เริ่มถูกใจของใหม่ใช่ไหม (ใช่)  สวยแปลกตา ของเก่าไม่ได้เรื่อง แต่พอผ่านไปสักเดือนหนึ่ง เริ่มเป็นอย่างไร ไม่ต่างอะไรกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าจะได้ดีกว่า แต่กลับเป็นอย่างไร (ไม่น่ามาเลย)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านไม่เคยสังเกตหรือว่า ยิ่งเราคิดแบบนี้มากเท่าไร แล้วเรายิ่งพยายามถมความอยาก สิ่งที่เราอยากหาความสมบูรณ์มากเท่าไร ทำไมก็วกกลับมาเป็นความรู้สึกเดิมที่ว่า ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย ถมความอยากมากเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งเราเอาธรรมมาใช้ในชีวิต เราจึงรู้ว่าถึงที่สุดแล้ว เราจะอยู่กับสิ่งที่เรามี และใจที่ปล่อยวางได้อย่างไร นั่นคือความยากของมนุษย์ รู้ว่ามีแล้วทุกข์ รู้แล้วว่ามีแล้วเจ็บ รู้ว่าความมีความอยากได้ ทำให้เราหนีไม่พ้นความเจ็บปวดและความทุกข์ แต่ก็ยังอยากมีไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามีแล้วทำอย่างไรไม่ทุกข์ ทำให้ทุกข์ที่เราเห็นกลายเป็นสุขทันที ทำอย่างไร (รู้จักพอ)  (หาความพอดีในตัวเอง)  (จงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี)  อย่างแรกก็คือคิดว่า “มีหรือไม่มีก็ดี” เเละเมื่อมีเเล้วเป็นแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขเเล้ว เเค่นี้ก็พอแล้ว เช่นนี้จะได้หรือไม่ได้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เเล้วจะเปลี่ยนไปขนาดไหนเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เพราะในใจเรารู้จักพอ เมื่อถึงที่สุดถ้าไม่พอวันหนึ่งความเป็นจริงก็จะสอนให้เราต้องพอให้เป็น แล้วทำไมเราไม่เรียนรู้ที่จะจบก่อนที่จะเจ็บ อย่าเจ็บเเล้วค่อยจบ ถ้าเขาได้เเค่นี้ก็ดีแล้ว การที่เราห่วงที่สุด หวังที่สุดก็ไม่มีอะไรเป็นดั่งหวัง เป็นดั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่)
คุณค่าของชีวิตที่เเท้จริงคือการมีชีวิตอยู่เพื่อธรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อตนเเล้วสนองกิเลสตัณหาเวียนว่ายวน เพราะธรรมนำพาซึ่งความประเสริฐ สงบเย็น เเละเป็นสุข ถามตัวท่านว่าหลังจากนี้อยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อตน (เพื่อธรรม)  การกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความจริงที่สงบ ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความหลง เเละไม่ใช่กิเลสตัณหาเเละอารมณ์ ลองพิจารณาให้ดี วันนี้เราไม่ได้มาทำให้ท่านงมงาย ไม่ได้มาหลอกลวงเงินทอง ในใจเราโปร่งโล่งเเล้วเพราะทุกท่านยอมรับเเล้วว่าเราไม่ได้มาหลอกท่าน การคุยบางอย่างทำให้เราสว่าง ธรรมบางอย่างทำให้เราสงบ ทำไมเราจึงไม่เพียรไปคุยเพื่อพบสงบเเละสว่าง เเต่บางอย่างยิ่งคุยยิ่งมืด ยิ่งคุยยิ่งทุกข์ ทำไมเพียรไปคุยในเรื่องที่ทำให้มืดเเละทุกข์ ชีวิตท่านเลือกเอง กำหนดเอง ไม่ใช่ฟ้า ไม่ใช่คนอื่น เเต่ล้วนเป็นตัวเราเองที่จะกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง ลองให้เวลาตัวเองในการศึกษาธรรมเพื่ออบรมจิตดูเเลใจ ตามใจตัวเองมามากเเล้ว วันนี้ลองฝืนใจดู ทวนกระเเสใจดู อาจจะอึดอัดบ้าง เบื่อบ้าง เเต่เอาชนะได้ด้วยตัวเอง เเละเมื่อเราเจอกับอะไรที่อึดอัดบ้าง เบื่อบ้าง เราจะได้รู้ว่าเราก็ทำได้
อย่ายึดติดเลยนะ ยึดติดแล้วก็เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  หลักธรรมหนึ่งที่เราอยากทิ้งท้ายไว้บอกท่านก็คือ มนุษย์เราทุกข์เพราะมีรัก มนุษย์เราทุกข์เพราะมีเกลียด เมื่อใดมนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่รักไม่เกลียด ก็จะไม่ทุกข์ พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “ในโลกใบนี้สิ่งที่ไม่น่ารัก คนประมาทกลับเห็นว่าน่ารัก สิ่งที่ไม่น่ายินดี คนประมาทกลับเห็นว่าน่ายินดี สิ่งที่ทุกข์ คนประมาทกลับเห็นว่าสุข” ผู้ใดที่ไม่อยากมีทุกข์ จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต และมองเห็นชีวิตให้ถ่องแท้ว่าจริงๆ แล้วก็แค่นั้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นผู้ที่ไม่อยากทุกข์ ก็จะไม่รักและไม่เกลียดสิ่งใด ลองมองให้ดี สิ่งที่ท่านว่าน่ารักนั้น น่ารักจริงไหม แล้วสิ่งที่ท่านว่าน่าเกลียด น่าเกลียดจริงไหม ถ้ามองลึกๆ อย่างไม่เอาแต่ความคิด ท่านจะพบความเป็นจริงว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสุขจริง ทุกข์แท้ และไม่มีอะไรดีจริงและร้ายจริง สิ่งที่ตัดสินว่าดีร้ายคือความคิดที่ยึดติด ถ้าสนใจใคร่รู้ในธรรม พรุ่งนี้ลองมาศึกษาต่อดีไหม

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๒            สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  นาฬิกาทุกเรือนเดินสองรอบ           จะเลือกทำที่ชอบทั้งหมดไม่ได้
เวลานี้ชีวิตอยู่ชั่วยามใด                  เหลือเวลาให้แก้ไขหรือไม่กัน
จะต้องรู้ความหมายแห่งชีวิต             ฝึกดวงจิตให้มีความมุ่งมั่น
แม้ว่าโลกดูเหมือนไม่ยุติธรรม            ตื่นจากฝันสุขทุกข์ล้วนอันเดียวกัน
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
   
    ใช้ชีวิตเยอะกว่า แม้ในยามเปิดตา ก็สงบในขันธ์ ใช้ชีวิตเป็นกว่า เรื่องอะไรจะมา เป็นแค่งานสังสรรค์ อย่ามาบำเพ็ญเหมือนโดนไหว้วาน ใส่ใจบำเพ็ญถึงเย็นเข้ากัน หัวดียึดมั่นรั้นไม่มีชะลอ
    ใช้ชีวิตมากกว่าคุ้มค่าเต็มเวลา ไม่ทำตัวหงอหงอ ใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาคือปัญหา พอคิดคิดไม่พอ คนบำเพ็ญยิ่งเป็นยิ่งเพลิน คนจะดีรู้งี้ไม่พอ รู้เขาปะเหลาะ รู้แล้วบ้ายอทำไม
*   คนบำเพ็ญต้องคิดมุมกลับ จับมุมมองข้อคิดจูงใจ ไม่อยากเป็นพวกสวมหน้ากาก หากจะทำต้องทำจากใจ
** ใช้ชีวิตเพลินกว่าตรงย้อนมองกลับมา พาเข้าใจความหมาย ใช้ชีวิตชีวาเผยความสุขออกมา ยิ้มออกมาได้ไหม ใจเป็นบุญพลิกฟื้นยืนเดินเดิม เกรงกลัวกรรมใช้ธรรมนำใจ ใช้ชีวิตใหม่ขอให้เริ่มจากตัวเอง (ซ้ำ *, **)
ทำนองเพลง : สาวอีสานรอรัก
ชื่อเพลง : ใช้ชีวิตให้เป็น

หมายเหตุ : เนื้อเพลงวรรคแรกมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



กินอิ่มไหม ทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ลำบากไหม แปลว่าทานได้เรื่อยๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นต่อไปจะทานต่อไหม (ได้)  พูดแล้วทำไม่ได้ก็คือโกหกนะ โกหกก็เป็นการผิดศีลผิดธรรม แล้วก็ดูไม่น่าเชื่อถือจริงไหม วันนี้นั่งฟังวันที่สองแล้ว จบแล้วจบกันไหม (ไม่)  อย่างน้อยเอาสิ่งที่รู้ไปใช้ปฏิบัติก็ยังดี ไม่มากก็น้อย มีบางคนคงรู้สึกยังแปลกใหม่อยู่ แต่บางคนคงเริ่มชินแล้ว เพราะเจอกันครั้งที่สองแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราอยู่ในโลกนี้ก็มีเรื่องที่จริง เรื่องที่เท็จ เรื่องที่ใช่และเรื่องที่ไม่ใช่ บางครั้งในจริงก็มีเท็จ ในเท็จก็มีจริง ในสุขก็มีทุกข์ ในทุกข์ก็มีสุข ฉะนั้นเมื่อเราเจอทุกข์ ให้คิดว่าเราต้องหาทางออกให้เจอ ถ้าอาจารย์ถามศิษย์ว่า โลกนี้เป็นภาวะคู่ เมื่อมีด้านหนึ่งมันก็ต้องมีอีกด้านหนึ่ง และโลกมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกัน ก็ต้องมีอะไรมาแก้กัน สมมติว่าเวลาเราร้อนใน เราต้องกินอะไรที่ทำให้เราเย็น เพื่อดับร้อน ถูกหรือไม่ เหมือนเวลาที่เราทุกข์ เราจึงรู้ว่าเราต้องค้นหาทางพ้นทุกข์ แปลว่าในความเป็นจริงของโลกใบนี้ ถ้ามีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ก็ต้องมีเรื่องหนึ่งที่สามารถดับลงได้ เพราะโลกนี้เป็นสิ่งที่คู่กันอยู่ แล้วก็มีอะไรที่มาเเก้กัน ดั่งที่เมื่อมีไฟเกิดขึ้นเรารู้จักที่จะนำน้ำไปดับ เมื่อเราเกิดความทุกข์เราจะเอาอะไรดับทุกข์ มีอะไรที่มาทำให้ดับทุกข์ได้ เเก้ทุกข์ได้ หรือทำให้สิ้นทุกข์ได้ ถ้าสิ่งนี้คือความทุกข์ สิ่งนี้คือความสุข ก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ถ้าเราอยากอยู่บนโลกนี้เเล้วพ้นทุกข์เเละมีแต่สุขจะมีไหม (มี)  เมื่อมีทุกข์เราก็ต้องรู้วิธีเเก้คือการไปหาสุข เเต่ความสุขที่ไปเเก้นั้นก็ยังต้องเวียนกลับมาทุกข์ เเละในความทุกข์เราก็ต้องพยายามวิ่งไปหาสุข ซึ่งสุขนั้นก็ไม่เคยเเก้ทุกข์ได้จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเเรงเหวี่ยงที่เหวี่ยงไปมา ถ้าในโลกนี้มีอะไรที่เเก้กันได้จริง ก็น่าจะมีอะไรที่สามารถดับทุกข์เเล้วไม่กลับมาเหวี่ยงเป็นทุกข์เเละสุขอีก แล้วสิ่งนั้นคืออะไร
(การปล่อยวาง)  ปล่อยวางจากทุกข์ จิตที่ไม่ฟุ้งซ่าน ดังนั้นมาช่วยกันคิด ในเมื่อในโลกนี้มีสิ่งที่เเก้กันได้เเละมีภาวะที่ตรงกันข้าม เเละมีสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ สิ่งนั้นคืออะไร เเละอยู่ที่ไหน เคยเเต่งประโยคหรือไม่ การแต่งประโยคจะต้องมีประธาน กริยา เเละกรรม เราเกิดมาเพื่อมีกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  เเล้วเราจะพ้นกรรมได้ไหม ถ้าเราไม่มีประธาน เมื่อมีประโยคจึงมีกริยา และจึงมีกรรม ดังนั้นในเมื่อเราอยู่ในโลกเเล้วเราอยากพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นทุกข์ และพ้นเวียนว่าย เราก็ต้องไม่เป็นประธานความอยากก็จะไม่เกิด แล้วกรรมก็จะไม่มี แล้วเราจะจัดการกับประธานตัวนี้อย่างไร เพราะเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล เกิดจากประธานตัวเดียว ฉะนั้นถ้าเราหาทางกำจัดประธานตัวนี้ได้ ทุกข์ก็จะไม่มี ทุกข์เกิดที่นี่ เริ่มที่นี่ เราก็ต้องวางลง แล้วจบได้ที่นี่ แต่จะทำอย่างไรให้ ตัวนี้ ไม่เป็นประธาน แล้วก็ไม่เกิดกริยา ฉะนั้นเวลามีปัญหา เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วเราผูกคอตาย อย่างนี้จะพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  แล้วจะต้องทำอย่างไร (ฆ่าประธาน)  ฆ่าอย่างไรที่ทำให้เราไม่มีกรรมอันจะส่งผลให้ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ฆ่าอย่างไรที่ไม่ทำให้เราบาป และไม่มีเวรไม่มีกรรม ทำให้เราต้องตกอยู่ในอบายภูมิ ตกอยู่ในวัฏสงสารที่ไม่จบสิ้น ต้องมีวิธี แต่เราเคยคิดบ้างไหม ทำไมเรื่องคิดหาเงินหาทอง คิดเป็น แต่คิดให้ตัวเองพ้นทุกข์ คิดไม่เป็น น่าเสียดาย ปัญญาเรามีไหม (มี) สติเรามีไหม (มี) ความสามารถเรามีไหม (มี) แต่เราคิดไหม (ไม่คิด) ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่ฉลาดแต่เรื่องข้างนอก แต่ลืมฉลาดในเรื่องตัวเอง อย่าเป็นคนที่รู้ข้างนอกรู้เรื่องคนอื่นชัดเจน แต่ไม่รู้จักตัวเองสักนิด แล้วต้องไปแบมือ ขอให้หมอดูช่วยดูหน่อย เวลาคนในบ้านพูดเราก็ด่าเขา แต่พอหมอดูพูดก็มักจะบอกว่าแม่นๆ จบอะไรมาก็ไม่รู้แต่เชื่อหมอหมดเลย แม่นจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เคยได้ยินไหม ทุกสิ่งที่ปรากฎล้วนเป็นภาพสะท้อนออกจากจิต ทุกคนเห็นคนดีคนสวยไม่เท่ากัน ทุกคนเห็นคนดีคนร้ายไม่เท่ากัน และทุกคนมีเหตุมีผลไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามนุษย์เราสามารถรู้จักจิตตัวเอง เราก็จะสามารถควบคุมเรื่องราวในโลกนี้ได้ และถ้าเราสามารถเข้าใจจิตตัวเอง เราก็จะสามารถเข้าใจและจัดการเรื่องราวในโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เรารู้จักตัวเราแล้วหรือยัง เข้าใจตัวเราแล้วหรือยัง เข้าใจคนอื่นเยอะ แต่ไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าทุกครั้งเราเอาแต่มองออกไม่เคยย้อนมองดูตัวเอง แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะรู้จักตัวเอง
มนุษย์ชอบพูดอยู่คำหนึ่ง “รู้อะไรไม่สู้รู้งี้” รู้งี้ซื้อก็ดี รู้งี้ทำก็ดี ฉะนั้นมันไม่ดีสักทีก็เพราะไม่เคยรู้งี้แล้วทำได้ก่อนรู้งี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกือบจะซื้อแล้วรู้งี้ซื้อก็ดี ยิ่งเป็นล็อตเตอรี่นี่รู้งี้บ่อยเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาถามคำถามนักเรียน)
“อะไรในโลกที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน” (ความรู้จักพอ)
สติปัญญาทุกคนเท่ากันไหม (ธรรมะในตัว)  ธรรมะในตัวเหมือนกันใช่ไหม (ความสามารถ)  ความสามารถอาจไม่เท่ากันนะ (มีจิตใจความเป็นมนุษย์เท่ากัน,ความเป็นคนเท่ากัน)  อาจารย์ว่าจริงๆ คนเหมือนกัน แต่จิตสำนึกในความเป็นคนไม่เท่ากัน มันอยู่ที่ว่าทุกวันศิษย์ใช้จิตสำนึกดีงาม หรือทุกวันศิษย์ใช้แต่กิเลสอารมณ์ ถ้าใช้กิเลสอารมณ์ จิตสำนึกดีงามจะค่อยๆ หดหาย แต่ถ้าทุกวันทำอะไรนึกถึงความถูกต้องดีงาม จิตสำนึกก็จะมีมากขึ้น
อะไรที่ทำให้ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน (ศักดิ์ศรีความเป็นคน, ความตาย , มีสิทธิ์คิดเท่ากัน )  แปลว่ามนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้เท่ากัน ใช่หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกหรือไม่เลือก จะทำให้ความเป็นคนไม่เท่ากัน แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ถูกต้องคือท่านนั้นตอบได้ถูกต้องแล้วนะ ถ้าอาจารย์ถามว่าถ้าตอบได้ถูกแล้ว ให้คนอื่นนั่งแล้วตัวเองยืน ยอมไหม (ยอม)  แล้วทุกคนจะกล้านั่งไหม (ไม่กล้า)  โลกนี้จะยุติธรรมได้ทันที จริงไหม จริงๆ ทุกอย่างยุติธรรมได้และเท่าเทียมได้ เเต่อยู่ที่เราจะวางชีวิตตนเองอย่างไร เขาอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าเราถูกดูถูก ถูกเหยียดหยาม เเต่เราก็สามารถทำให้การที่ถูกดูถูกเหยียดหยามนั้นมั่นคงขึ้นมา เเข็งเเกร่งขึ้นมา มุ่งมั่นขึ้นมาก็เป็นได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเเม้จะร้ายขนาดไหน ถ้าเป็นคนฉลาด เป็นคนรู้จักใช้ปัญญาเขาจะคว้าทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นโอกาสในชีวิต มาเป็นกำไรในชีวิต มีเเต่คนที่ไม่สู้ชีวิตเท่านั้นที่จะเอาทุกอย่างมาทำร้ายตัวเอง ศิษย์ตอบได้ถูก ความเเก่ ความเจ็บ ความตาย ทำให้ชีวิตเเม้จะต่างกันขนาดไหนเเต่ก็ต้องกลับมาเดินสายเดียวกัน คือความเป็นจริงเเห่งธรรมะ ฉะนั้นเกิดเป็นคนจะพูดว่าไม่ต้องมีธรรมะ ไม่ต้องสนใจธรรมะไม่ได้ สักวันหนึ่งความเป็นจริงเเห่งธรรมะจะเคาะประตูบอกให้หันกลับมามอง หันกลับมาเข้าใจ เเล้วท่านจะพ้นทุกข์
อาจารย์ให้บทกลอนหนึ่ง รับรองทุกคนจะบอกว่าอาจารย์ให้ผิด “นาฬิกาทุกเรือนเดินสองรอบ” จริงไหม (จริง)  ใครคิดออกบ้าง (ในขณะที่เดินไปข้างหน้า เเต่เวลาก็ถอยหลังเหมือนกัน, เดินสองรอบหมายถึงกลางวันเเละกลางคืน)  ตอบได้ดี เเสดงว่านักเรียนในชั้นนี้ล้วนเป็นผู้มีปัญญา ฉะนั้นอย่าดูเบาปัญญาตัวเอง เพราะมีรอบเที่ยงวันเเละเที่ยงคืน ซึ่งชีวิตมีเเค่ปัจจุบันใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เเล้วจะเลือกทำเเต่สิ่งที่ชอบไม่ได้ บางครั้งเราต้องยอมรับความเป็นจริง ซึ่งความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจเราก็เป็นได้  
ฉะนั้นเมื่อความเป็นจริงสอนชีวิต เราจึงต้องเอาความเป็นจริงนั้นมาพิจารณาจนเกิดแพข้ามฟากทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เพราะชีวิตนี้หลายคนมักจะพูดว่าคนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม และในกรรมนั้นก็ทำให้เราหนีไม่พ้นความทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเป็นกรรมแล้วทำให้เราทุกข์ อย่างนั้นความทุกข์นี้ เราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการสร้างกรรมใหม่ หรือว่าเราจะพ้นทุกข์ด้วยการสิ้นกรรม ทุกครั้งเวลาเราโดนใครว่า โดนใครทำร้าย เราสร้างกรรมใหม่หรือว่าเราสิ้นกรรม ถ้าทุกขณะเราทำอะไร เราพิจารณาด้วยปัญญา ทุกขณะเรามีชีวิตอยู่ เราไม่ล้อเล่นกับชีวิต เพราะชีวิตปัจจุบันนี้เป็นตัวกำหนดอนาคตในวันหน้า และเป็นตัวกำหนดภพภูมิที่เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิหน้า ถูกหรือไม่ (ถูก) 
หากวันนี้เราเจอเรื่องอะไรมา แล้วทำให้เราทุกข์ เราควรจะดับทุกข์หรือเวียนว่ายในทุกข์ (ดับทุกข์)  ฉะนั้นเวลาเราดับทุกข์ เราแก้ทุกข์แก้กรรมอย่างไร ส่วนใหญ่ด่ามาก็ (ด่าไป)  ร้ายมาก็ (ร้ายไป)  อย่างนั้นจะสิ้นกรรมไหม (ไม่)  ฉะนั้นเรามีวิธีอะไรหนอที่จะอยู่ในโลกนี้แล้วกรรมไม่เกิดอีก แต่อยู่เพื่อใช้กรรมเก่า (ไม่สร้างกรรม)  แล้วทำอย่างไรที่จะไม่สร้างกรรมใหม่ เราก็ต้องมารู้จักตัวเองก่อน เพราะตัวเราเองเป็นเหตุให้เกิดกิเลส ตัวตนเกิดจากความนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจ ฉะนั้น ถ้าเห็นอะไรแล้วคิด แล้วนึก แล้วสรุปว่าดีหรือไม่ดี อย่างนั้นแปลว่าเราเกิดตัวตน ถูกไหม (ถูก)
ตัวตนเกิดจากความรู้ ความนึกคิด ความเข้าใจ แล้วความรู้ ความนึกคิด ความเข้าใจนี้มันสามารถก่อเกิดเป็นกิเลส กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้าเห็นคนนี้แล้วเราเกิดความคิดว่าตัวก็ดำ หน้าก็นิ่ง ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ตัวตนของเราก็จะเกิด กิเลสก็จะเกิด แล้วเราก็สรุปเป็นว่าแบบนี้เราชอบ แบบนี้เราไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อตัวตนเกิด กิเลสเกิด ความทุกข์ก็เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้หยิบผลกีวี่บนโต๊ะพระ)
เรารู้จักไหม (รู้)  อร่อยก็ต้องหาเงินมาซื้อ แพงก็ซื้อ ใช่ไหม (ใช่) ไม่ยึดติดกับอะไรก็ไม่ต้องมีกรรมกับมันจริงไหม (จริง)  ถ้าเรารู้ว่ากินแล้วอร่อยแล้วเราจะติด ถ้าไม่อร่อยเราก็ไม่เอา เรารู้จนเห็นชัดเราก็จะไม่เกิดความหวั่นไหวในตัวตน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพอเจอกีวี่อีกครั้ง เราก็จะเฉยๆ ถูกไหม (ถูก)  
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายหญิงคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
สมมติว่าอาจารย์เห็นศิษย์ท่านนี้ เกิดความคิดว่า สวยเหมือนกันเนอะ เห็นไหมว่า แค่คิดปุ๊บตัวตนเกิดทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่าเขาอ้าปากพูดอะไร เราคิดต่อว่าหน้าก็สวยแต่วาจาไม่ไหวเลย กลายเป็นอย่างไร เกิดเรื่องดี เรื่องร้ายทันที แล้วก่อเกิดเป็นกรรมทันที แต่ถ้าเกิดว่าเราเห็นเขาจนชัด สวยก็เท่านั้น ไม่สวยก็เท่านั้น เกี่ยวอะไรกับเรา แล้วเราจะเกี่ยวกรรมไหม (ไม่เกี่ยว)  มันจบตั้งแต่ยังไม่เกิด ศิษย์ได้สุขมาแค่ไหนก็ทุกข์แค่นั้น ในโลกมีอะไรที่สุขแล้วไม่ทุกข์ โชคดีจังเลยที่เจอเธอ แต่ตอนท้ายไม่รู้ว่ากรรมหรือโชคดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอะไรก็ตาม มองเห็นจนมันชัด จนทะลุทะลวง จนถึงที่สุด มันจะอยากไหม จะเอาไหม จะเกิดกิเลสไหม (ไม่เกิด) 
ชีวิตนี้อยากมาตั้งเท่าไร ทุกข์มาตั้งเท่าไร ไม่เคยเบื่อบ้างหรือ แล้วยังอยากอีกหรือ ถ้าศิษย์อยากทำให้ตัวตนมันไม่เกิด ก็แค่เห็นจนเข้าใจ และไม่อยากเอาอะไรอีกเลย เมื่อนั้นกิเลสก็ไม่มี กรรมก็ไม่มา ที่เหลือก็ทนอยู่กับกรรมเก่า แต่เราเพิ่มกรรมทุกวัน เดี๋ยวอยากได้อันนั้น อยากได้อันนี้ เพิ่มตรงนั้นอีกนิด เพิ่มตรงนี้อีกหน่อย แล้วมันหมดไหม ฉะนั้นจึงมีต่อไปว่า เมื่อไรที่ความคิดเกิดก็เลยหนีไม่พ้นกิเลส แล้วตามมาด้วยบาปกรรมและการเวียนว่าย ความคิดจึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงแห่งธรรม ถ้าจะใช้ธรรม ถ้าจะมีธรรม จงอย่าเอาแต่คิด เพราะคิดแล้วมันจะไม่เห็นธรรม ยากไหม ดับตัวตนยากไหม เหมือนเราเห็นแล้วเราไม่คิดต่อ เหมือนเขาด่าเรา แล้วเราไม่คิดต่อ จบไหม เพราะธรรมคือคำว่า จบ สงบ เย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทางโลกคือไม่จบ ไม่สงบ ไม่เย็น ฉะนั้นถ้าเห็นทุกอย่างแล้วมันจบอยู่แค่นั้น ประธานก็ไม่มี กิริยาก็ไม่มี กรรมก็ไม่มี เหมือนตอนนี้เราเห็นว่าชีวิตเราเกิดมาแล้ว อยากมาแล้ว เห็นแล้วเราไม่คิดต่อ เหมือนเราเห็นกระเป๋าสวย อยากได้ไหม (อยาก)  อยากได้กระเป๋า เสื้อ รองเท้า มโนภาพคิดว่าตัวเองได้สวมกระเป๋า ได้สวมรองเท้า แล้วจะหล่อ จะเท่ห์ขนาดไหน เริ่มปรุงแต่ง เริ่มคิดไปเรื่อยใช่ไหม (ใช่)  ทุกครั้งที่เกิด นั่นคือ เมื่อไรที่เกิดตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้น กิเลส เวรกรรม บาปและทุกข์ เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง ถ้าเราหยุดเกิดได้ ทุกข์ก็จะเบาบางลงได้
ศิษย์เคยมีสติ รู้เห็นความอยากของตัวเองที่อยู่ในใจบ้างไหม (เคย)  เวลามีความโกรธเกิดขึ้นมา แล้วมองเห็นทันที  บอกกับตัวเองว่าฉันไม่โกรธ ฉันไม่อยาก กิเลสมีอยู่หนึ่งอย่างที่อาจารย์ชอบพูดอยู่บ่อยๆ คือ กิเลสก็มีความขี้อาย ถ้ากิเลสมาแล้ว ศิษย์ไม่สนใจ ศิษย์ไม่ให้ค่า กิเลสก็จะบอกว่าไปก็ได้ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้ากิเลสมาแล้วศิษย์ให้ค่า ซื้อสักหน่อย ไม่เป็นไร วันนี้อยาก แล้วพรุ่งนี้ค่อยหยุดอยาก วันนี้ไปเบียดเบียนก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหยุดเบียดเบียน แล้วอย่างนี้เราจะหยุดได้ไหม ใจที่มีความอยากไม่เคยถมเต็มใช่ไหม (ใช่)  แล้วกระแสของกิเลสนั้นก็ให้ผลคือความทุกข์ บาป และกรรมทั้งมวล ศิษย์ถามอาจารย์ว่า ศิษย์จะอยู่ในโลกอย่างไรที่ทำให้เราไม่มีกรรม ก็ให้อยู่อย่างคนไม่มีอยาก แล้วกรรมจะน้อย แล้วทำอย่างไรให้ความอยากเราน้อยลง ก็อยู่อย่างคนที่ใช้ศีลมาค้ำความอยาก อย่าบอกว่าเราทำดีเพื่อจะได้ไปสวรรค์  ไม่ใช่เราทำดีเพื่อไม่ต้องทำชั่ว ข้อสำคัญของการทำดี ทำเพื่ออะไร ทำดีเพื่อให้จิตไม่ไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราทำอะไรก็ตาม ไม่ว่ามีกิเลส หรือมีอะไร ขอให้เรามีสติ รู้ตัว เพราะทุกขณะเรามีสติรู้ตัว สติจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา และนำพาให้มนุษย์พ้นกรรมพ้นทุกข์ และไปถึงยอดแห่งบุญทั้งปวง ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้มีสติรู้ตัว
ในโลกมีของที่คู่กันเเละเเก้กัน ถ้าเราทำดีมีความสุขเเล้วติดในความดี ความสุขนั้นก็ทำให้เราไปสวรรค์ เเต่ถ้าทำชั่วเเล้วเราละชั่วไม่ได้ ละบาปไม่ได้ ความชั่วนั้นก็จะติดตัวทำให้เรามีทุกข์เเละตกนรก เเต่หนทางเเห่งความเป็นจริงของมนุษย์ยังมีอีกทางซึ่งเรียกว่าทางสายกลาง เรียกว่าธรรมะ ถ้าธรรมะคือตรงกลาง ธรรมะก็คือหนทางที่จะทำให้เราพ้นสุขพ้นทุกข์
ความคิดเเห่งตัวตนสร้างกิเลสเเละสร้างอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเรามีตัวตนเเละมีกิเลส เราจึงมักจะเเบ่งอารมณ์เป็นสองความรู้สึก รู้สึกดีเรียกว่าสุข รู้สึกไม่ดีเรียกว่าทุกข์ ในสุขเเละทุกข์ไม่มีความรู้สึกนั้นเรียกว่า (กลาง)  การเข้าถึงธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นเเล้วไม่สุขไม่ทุกข์ พบธรรมก็ไร้ตัวตน
ถ้าทุกขณะศิษย์ไม่ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ว่าสุขหรือทุกข์ นั่นก็คือธรรม จริงๆ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ทุกข์จริงไหม (ไม่จริง)  สิ่งที่เรียกว่าสุข สุขจริงไหม (ไม่จริง)  มีแฟนสุขไหม (สุข) มีเงินสุขไหม(สุข) มีตำแหน่งหน้าที่สุขไหม (สุข)  มีคนให้เกียรติเคารพนับถือสุขไหม (สุข)  แต่สุขนั้นเคยพลิกไปเป็นทุกข์ไหม (เคย)  แล้วทุกข์นั้นเคยทำให้เราสุขไหม (เคย)  จริงๆ แล้วทั้งทุกข์ทั้งสุขนั้นคือตัวเดียวกัน คือความเป็นกลางอันเป็นธรรม แต่ความเป็นตัวตนทำให้เราแบ่งแยกและไม่พบธรรมอันเป็นกลาง เพราะเราเห็นอะไรเราชอบตัดสิน ชอบยึดติด ชอบแบ่งแยก ทั้งที่จริงๆ แล้วที่ว่าร้ายก็ไม่ร้าย ที่ว่าดีก็ไม่น่าดีเท่าไร จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำได้ไหม (ได้)  แต่อยู่ที่ว่าเคยทำบ้างไหม ถ้าคำว่าธรรมคือความเป็นกลาง ทุกครั้งที่ศิษย์เห็นอะไรแล้วไม่ปักใจรัก ไม่ปักใจเกลียด นั่นคือเรากำลังเป็นกลางและเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมกิเลสเกิดไหม (ไม่เกิด)  กรรมและวิบากกรรมมีไหม (ไม่มี)  ต้องใช้ขันติไหม (ไม่ต้อง)  ขอแค่รู้ใจตัวเองและรักษาความเป็นกลาง 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายคนหนึ่งออกมายืนคู่กับพระอาจารย์)
เห็นอะไร (สูง, เตี้ย)  ถ้ายังคิดอย่างนั้นยังเป็นตัวตนอยู่ จริงไหม (จริง)  อย่าให้รูปลักษณ์มาลวงหลอกความจริงแท้ อย่าให้ความคิดมาบดบังปัญญาอันแท้จริง หากเรามองแล้วเห็นคนนี้สูงกว่าอาจารย์ ต้องมองให้สุด อย่ามองแค่นี้ อย่ามองแล้วยึดติด เพราะชีวิตยังไหลเลื่อนไปได้เรื่อยๆ จริงไหม (จริง) 
ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต จะไม่จมปลักอยู่กับเรื่องใดๆ เพราะชีวิตเมื่อไหลเลื่อนแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไป ถูกหรือไม่ มีแต่คนโง่ที่จมปลัก เพราะมันจบไปแล้ว แต่เรามักลากเอาความทุกข์ของเรามาแล้วขังตัวเองอยู่ในทุกข์ ไม่มองความจริง ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง มองบนมีคนสูงกว่า แต่ถ้ามองล่างก็มีคนเตี้ยกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกวิธีที่ทำให้เราพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นเวียนว่ายคือ ตื่นรู้ในความเป็นจริงจนสิ้นตัวตนแห่งการยึดถือ ถ้าศิษย์ทำได้แบบนั้น ศิษย์จะไม่ทุกข์และไม่เกิดอะไรอีกเลย จริงไหม (จริง) 
นิพพาน แปลว่าสงบเย็น อย่าคิดว่าชีวิตมีแค่ 2 ทาง คือสุขและทุกข์ แต่ยังมีทางสายกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างสุขกับทุกข์ ด้วยความรู้อย่างเข้าใจ ตื่นรู้อย่างแจ่มแจ้งจนมองไม่เห็นตัวตน ซึ่งเราสามารถค้นพบได้ในสัจธรรม เมื่อไรค้นพบสัจธรรมเมื่อนั้นก็จะค้นพบความจริง และสัจธรรมนั้นก็คือจิตญาณเดิมแท้ของตัวเรา จิตไม่ใช่ดวงญาณกลมๆ ถ้าคิดมีตัวตนเมื่อไรมันก็จะมีที่ให้ทุกข์ แต่จิตคือความเป็นจริงที่ไม่เที่ยงและถึงที่สุดแล้วก็ว่างเปล่าจากตัวตน เหมือนร่างกายเราว่างเปล่าจากตัวตนไหม (ไม่ว่าง) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ชอบชื่อผลไม้ความหมายดีหรือความหมายไม่ดี ถ้าชอบความหมายดีอาจารย์แจกแอปเปิล ถ้าชอบความหมายไม่ดีอาจารย์แจกมังคุด ดีไหม (ดี) เอามังคุดดีไหม เอามังคุดหรือแอปเปิล น่าเสียดายรู้ว่าสิ่งใดดีไม่คว้า รู้ว่าสิ่งใดไม่ดีก็ไม่แก้ไข ทำให้มนุษย์หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เอามังคุดไปเถอะเผื่อกิเลสมันจะได้คุดลงบ้าง เอามังคุดไปเถอะเผื่อความเป็นตัวตนมันจะได้คุดลงไปบ้าง แต่ยิ่งมีมันก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง) 
ชีวิตขึ้นอยู่ที่ตัวศิษย์เองว่าเลือกกระทำเช่นไร อาจารย์บอกแล้วว่าทุกสิ่งเป็นภาพสะท้อนในจิตใจของเรา อย่าไปยึดติดดีร้าย เพราะถึงที่สุดแล้ว ดีหรือร้ายเราก็สามารถควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง ฉะนั้นอย่าดูถูกดูเบาคุณค่าของตัวเอง ถ้าเข้าใจธรรมะเราก็สามารถนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ถึงขนาดสิ้นกรรมได้
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ เเละมนุษย์ทุกคนก็มีกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้เราไม่มีกรรม ที่ทำได้ง่ายก็คืออย่าพยายามผิดศีลเเละเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เพราะเมื่อไรที่เราผิดศีล เมื่อนั้นเราก็สร้างเวรกรรมได้ การที่เรารักษาศีลได้ครบจะทำให้เรายากที่จะสร้างเวรกรรมได้ง่าย นักเรียนในชั้นนี้รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานธรรม มีศีลห้าครบไหม (ไม่ครบ)  อย่างนั้นก็หนีไม่พ้นเวรกรรมที่ตนเองก่อ อยากเป็นคนมีบุญบารมีไหม (อยาก)  อย่างนั้นเวลาทำอะไรก็อย่าเอาเเต่ใจและให้รู้จักมีคุณธรรม ธรรมระดับศีลช่วยระงับยับยั้งไม่ให้ประพฤติชั่ว ธรรมระดับคุณธรรมช่วยเสริมสร้างบารมีทำให้เราอยู่กับผู้อื่นด้วยบารมีเเละนำพามาซึ่งความสันติสุข  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าศีลไม่มี ธรรมก็ไม่มี ชีวิตก็จะหาความสุขสงบเเละความสบายใจไม่ได้เลย
ธรรมะมีศีลธรรม มีสัจธรรม มีคุณธรรม ระดับศีลคือป้องกันการประพฤติผิดประพฤติชั่ว ระดับคุณธรรมคือความเมตตา ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การเคารพให้เกียรติ ล้วนเป็นระดับคุณธรรมที่ประพฤติไว้เพื่อสร้างบารมีเเละนำพามาซึ่งความสันติสุข ฉะนั้นถ้าอยู่กับใครเเล้วไม่เกิดความสันติสุขนั่นเเปลว่าเรากำลังขาดธรรม ถ้าอยู่กับใครเเล้วเจอทุกข์เจอชะตากรรมไม่ดีเเปลว่าเราขาดศีล เเต่ถ้าเกิดก็ครบ ธรรมก็ครบ แบบนี้ก็ไม่ยาก แบบที่ยากคือ ทำอย่างไรให้พ้นทุกข์ เป็นระดับของสัจธรรมเข้าใจนะ แล้วถ้าเข้าใจระดับสัจธรรม แม้จะนั่งสมาธิจนเข้าถึงฌาณสมาบัติ ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญาตื่นรู้ในความจริงแห่งสัจธรรม ในการเกิดแก่เจ็บตาย หรือเรียกว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” แม้เพียงชั่วหนึ่งขณะ เคยได้ยินไหม (เคย)  แล้วเคยเข้าถึงสักหนึ่งนาทีไหม (เคยแวบเดียว)  พอถึงเวลาอารมณ์ก็ไปต่อแล้วใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เกิดจากความคิด)  คิดในแบบที่ไม่ควรจะคิด และคิดแบบที่ไม่ยอมรับความจริง (ยึดติด) ถ้าอาจารย์บอกว่าแอปเปิลนี้เป็นของศิษย์ แต่บังเอิญหล่น เอาไหม (ทุกข์จากการกระทำ)  การกระทำของใครหรือ (ของตัวเรา)  ถึงเวลาเราโทษตัวเองไหม (ทุกข์เกิดจากการเกิด)  เกิดกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง ยิ่งถ้าเกิดเป็นอัตตาตัวตน ก็ยิ่งทุกข์
(ทุกข์เพราะความอยาก , ทุกข์เพราะมีตัวตน , ทุกข์เกิดจากใจเรา )
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนอง : สาวอีสานรอรัก ชื่อเพลง : ใช้ชีวิตให้เป็น)
มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์แตกต่างกันไป แม้แต่ตอนนี้พอนั่งแล้วไม่ได้ยืนก็เริ่มเป็นทุกข์แล้วใช่ไหม แล้วเราสามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้) ได้นั่งก็ดีนักหนาแล้ว ดูข้างๆ เขายืนจนขาแข็งแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนยืนขาแข็งก็คิดซะว่าดีแล้วฉันได้เสียสละเพื่อคนอื่นบ้าง ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าแอปเปิลนี้ไม่มีของใครจะตกจะเปื้อนเราก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าแอปเปิลเป็นของศิษย์เมื่อไหร่ตกก็ไม่ได้เปื้อนก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราทุกข์เพราะ (ยึดติด)  ถ้าเปื้อนขี้เอาไหม (เอา)  อาจารย์ถามจริงๆ แอปเปิลกว่าจะออกมาเป็นลูก มันไม่ได้รดด้วยขี้ปุ๋ยขี้วัวขี้ควายหรือ  แล้วจะบอกว่ามันไม่เปื้อนขี้จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเอาไหม (เอา)  เห็นไหมถ้าคิดให้ดีมันก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ายึดในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วมันต้องเป็นแบบนี้ ทุกข์ไหม
ศิษย์เคยคิดไหมอยากให้แอปเปิ้ลมันเป็นส้ม (ไม่เคย)  หวังให้คนหนึ่งต้องเป็นอีกคนหนึ่ง หวังให้อีกคนหนึ่งต้องดีแบบอีกคนหนึ่ง หวังให้ชีวิตไม่อยากเป็นแอปเปิลจงเป็นส้ม แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  เราทุกข์เพราะไม่เคยยอมรับแอปเปิลเป็นแอปเปิล ไม่เคยยอมรับส้มเป็นส้ม แต่หวังอยากให้แอปเปิลเป็นส้ม แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วรู้ไหม แก้ไหม (แก้)  ถ้าแอปเปิลมันเปื้อนขี้ ใครอยากจะเอา ถ้าแอปเปิลมันตก ใครอยากจะเอา แต่อาจารย์ถามหน่อยนะวันนี้ศิษย์ได้แอปเปิลไม่เคยเปื้อนขี้ ไม่เคยตก แต่พออยู่ไปอยู่มา มันตกไหม มันเปื้อนขี้ไหม เราหาคนที่ดีที่สุด เหมาะสมกับเราที่สุด งดงามกับเราที่สุด แต่ถึงที่สุดแล้วเขางดงามไหม เขาดีไหม แล้วเอาไหม แล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อยึดมั่นแล้ว ครอบครองแล้วจะไม่ทุกข์ อย่างนั้นศิษย์ก็จงจำไว้นะ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี ครอบครองเท่าไรก็เหมือนว่างเปล่า อาจารย์ถามหน่อย เธอเป็นคู่ฉัน ไปไหนไปด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน ได้ไหม ฉันตายต้องตายด้วยกันได้ไหม ฉันทุกข์เธอสุขได้ไหม 
สิ่งที่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งก็คือ เรามีอะไรก็ตาม ถึงมีอย่างไรก็ครอบครองไม่ได้ ถึงมีอย่างไรก็เป็นดั่งใจไม่ได้ ถึงมีแค่ไหนถึงที่สุดก็เหมือนไม่มี ถ้าไม่อยากทุกข์ จำคาถาเด็ดของอาจารย์ไว้ มีก็เหมือนไม่มี ได้ก็เหมือนไม่ได้ รู้ก็เหมือนไม่รู้ ศิษย์อยู่กับเขามาตลอดชีวิต รู้จักเขาดีไหม (รู้)  แต่ถึงที่สุดก็เหมือนไม่รู้อะไร เพราะโลกแห่งความเป็นจริงนั้นพลิกเปลี่ยนแปรผัน ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจสัจธรรมที่เรียกว่า ไม่เที่ยง ไม่ควรยึด เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ควรที่จะเอาสัจธรรมมาใช้ในชีวิต ควรเอาสัจธรรมมาพิจารณาจนนำพาให้เราพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ครองอะไรได้ มีอะไรเป็นของเรา ทะเบียนก็แค่ชื่อ แต่ถึงเวลาใจเขาไม่อยู่กับเรา เงินอยู่ในกระเป๋าแต่ถึงเวลาผ่านมากี่เจ้าของ อะไรเป็นของเราแท้จริง แม้กระทั่งสังขาร ทำอย่างไรเมื่อตัวเจ็บแล้วใจจะไม่เจ็บ เมื่อตัวแก่แล้วใจจะไม่แก่ เมื่อตัวตายแล้วใจจะตายก่อน แล้วไม่ตายอีกเลย จริงไหม (จริง)  ทำอย่างไร พุทธองค์สอนหลักสัจธรรมที่นำพาให้พ้นทุกข์ พ้นการเกิดและสิ้นการตาย ไม่มีใครไปถึงตรงนั้นเลย ทุกคนแค่อยากทำดีและไปขึ้นสวรรค์ แต่ตรงนี้ มีใครใส่ใจและเอาไปพิจารณาจนบังเกิดความรู้แจ้งเข้าถึงธรรม สนใจไหม (สนใจ)  
เจ็บป่วยหาหมอก็หาย เจ็บเเต่กายอย่าให้เจ็บที่ใจ ฉะนั้นเป็นความเจ็บกับเเค่รู้ความเจ็บอะไรหนักกว่ากัน (เป็นความเจ็บ)  เป็นทุกข์กับรู้ทุกข์อะไรเบากว่ากัน (รู้ทุกข์)  ไม่ว่าความเจ็บอะไรที่เกิดขึ้นกับสังขาร อย่าให้ลงที่ใจ ให้ใจมีหน้าที่เเค่รู้ เเล้วเราจะเจ็บเเค่ที่กายไม่เจ็บลงที่ใจ เเต่ทุกครั้งที่กายเจ็บ ใจเราก็เจ็บ ก็เลยทรมานทั้งกายเเละใจ ฉะนั้นใจจึงมีหน้าที่เเค่รู้ เมื่อไรที่เราเจออะไรเเล้วเเค่รู้ก็จะว่างจากตัวตน เเต่ถ้าเมื่อไรกายเจ็บใจก็เจ็บ นั่นเเปลว่าเรากำลังทำใจให้มีตัวตนเเละมีที่ให้ทุกข์นั่นเอง ฉะนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญาเห็นเเจ้ง เเต่มนุษย์มักจะไม่ค่อยยอมอยู่ในความรู้ ไม่หยุดที่เเค่รู้ ถ้าทำได้ชีวิตศิษย์จะไม่กลัวการตายเเละการเจ็บ เพราะเจ็บเป็นเรื่องของสังขาร กรรมก็เป็นของสังขาร เเต่ไม่เคยเป็นของใจเดิมเเท้ จิตคือสัจธรรมเเละความไม่เที่ยง จิตคือความทุกข์เเละความว่างเปล่าจากตัวตน เเต่มนุษย์ไม่เคยเอาจิตเป็นสัจธรรม มนุษย์มักเอาจิตไปยึดว่าฉันคิดแบบนั้นคิดแบบนี้ ก็เลยหนีไม่พ้นกิเลส กรรมเเละการเวียนว่าย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยโดนตีไหม (เคย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  เเต่ถ้าเราลากความเจ็บว่าใจเราเจ็บ ถ้าเราเจ็บก็เเสดงว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ เเต่ถ้าเเค่รู้ว่ากายเจ็บเราจะเจ็บเเค่ที่กาย เเละจะไม่ลากลงมาที่ใจ เหมือนกับที่เวลามีคนมาด่าเรา เราก็รู้ว่าเขาด่า ไม่ใช่รู้สึกว่าตัวเองโดนเขาด่า ความรู้สึกต่างกันไหม (ต่าง)  เขากำลังด่า เเต่เรากลับคิดว่าเราถูกเขาด่า เรากำลังหาประธานเพื่อไปรับกิริยาเเล้วไปรับกรรม ถ้าเราโดนเขาโกงเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่ต้องไปคิด เขาโกงไม่เกี่ยวกับเรา ชีวิตนี้เรามาตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)   มีเงินทอง มีตำเเหน่งหน้าที่ ล้วนเเต่มาทีหลัง เเละถึงที่สุดเราก็ต้องไม่มี ความไม่มีคือสิ่งเดิมเเท้ ความมีมาทีหลังใช่ไหม (ใช่)  เราไม่ได้อะไรเเละไม่เสียอะไร ฉะนั้นเราโดนเขาโกงไหม (ไม่)  
กลับมายืนที่เดิม ไม่ตายก็หาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) จะไปด่าเขา จะไปแค้นเขาทำไม ศิษย์มีเมตตาให้เขายืมเอง ใช่ไหม แต่ถ้ายืมแล้วเขาไม่คืนต้องฝึกทำใจไว้ว่าให้ยืมแบบชนิดที่ว่าไม่คืนก็ไม่เป็นไร อย่าให้จนหมดตัว ไม่อย่างนั้นมันก็ทุกข์ ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
การศึกษาบำเพ็ญธรรมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เอาธรรมมาพิจารณาจนตื่นรู้ในความจริงและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาศิษย์แก่ ศิษย์เจ็บ ศิษย์ตาย เราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์เอ๋ย ทุกครั้งที่เจ็บ ทุกครั้งที่ต้องแก่ ให้มองว่าเราแก่แค่สังขาร เราเจ็บแค่สังขาร ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่เอาอะไร ขอไปอย่างคนว่างๆ ไม่ยึดติด ดีขนาดไหนก็ไม่ยึด ชั่วขนาดไหนฉันก็ไม่ทำ ทำจิตให้ว่างๆ แล้วไปอย่างคนที่เบาแล้ว สบายแล้ว ได้ไหม
แต่สิ่งสำคัญศิษย์ต้องรักษาความดีงามในใจให้ได้ก่อน ถ้ายังเป็นคนดีไม่ได้ ก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ความดีทำได้ถึงที่สุดหรือยัง (ยัง)  มีเมตตาคุณธรรมถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอย ถ้าคนอื่นเขาใจดำแต่เราจะใจดีให้ถึงที่สุด คนอื่นเขาจะใจร้ายด่าเรายังไงแต่เราจะใจดีให้ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้ว เวลาศิษย์เจ็บป่วย ศิษย์จะปลงได้ ไม่เอาอะไรแล้ว ศิษย์อยากไปแบบโล่งๆ เบาๆ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าศิษย์ยังไม่ดีที่สุด อย่าเพิ่งตายแล้วมาหาอาจารย์ เพราะอาจารย์ไม่อยากช่วยแก้ปัญหา  ฉะนั้นตราบที่ยังมีลมหายใจ ทำตัวเองให้ดีที่สุด มีเมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เสียสละให้มากที่สุด ลดความเป็นอัตตาตัวตนให้น้อยที่สุด แล้วเข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมคือความว่างเปล่าได้ไหม เพราะถึงที่สุดแล้วไม่มีใครเอาอะไรไปได้ ฉะนั้นฝึกฝนบำเพ็ญ อย่าลงแรงแค่การกระทำภายนอก แต่ลืมลงแรงที่จิตใจ อย่าแก้อะไรได้แต่แก้ใจตัวเองไม่ได้ อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ใจเย็นมากหรือยัง ถึงเวลาให้หรือรับมากกว่ากัน 
ศิษย์เอยหนทางแห่งการบำเพ็ญรักษาศีลให้ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติอย่างผู้มีคุณธรรม ให้มากกว่ารับ เชื่ออาจารย์เถอะ ถึงเวลาก็แค่พอกินพอใช้ ถ้ายังสละให้ไม่ได้ ก็บำเพ็ญได้ยาก จริงหรือเปล่า (จริง)  ตั้งใจบำเพ็ญ มีสติรู้ตัวกับทุกขณะที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าเกิดอะไร ถามใจตัวเอง ศีลธรรมมีหรือยัง คุณธรรมถึงพร้อมหรือยัง ถ้าศีลธรรมถึงพร้อม คุณธรรมถึงพร้อม อะไรจะเกิดก็ไม่หวาดหวั่น เจ็บก็ได้ ตายก็ได้ แต่เจ็บแค่กาย ตายแค่กาย แต่จิตว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำให้ได้นะ เป็นศิษย์ที่ทำให้อาจารย์ภูมิใจ เป็นศิษย์ที่ทำให้อาจารย์มั่นใจว่าศิษย์จะเดินไปจนถึงที่สุดนะ อย่าเอาแต่ดื้อดึง อย่าเอาแต่ใจ อย่าขี้น้อยใจ เลิกตัดพ้อต่อว่า ทำให้ได้นะ เพราะถึงที่สุดแล้ว เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ พึ่งตัวเองดีกว่า
ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าศิษย์มั่นใจในชีวิตตัวเอง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองทำได้ศิษย์สู้ไหว ไม่ต้องกลัวหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะในเมื่อเราสู้ไหวเราทำได้ จริงไหม (จริง)  เอาแต่พึ่งพาคนอื่นนั้นทำให้เราไม่รอดนะ เป็นผู้บำเพ็ญต้องรู้จักดูแลตัวเอง พึ่งพาตัวเอง นำพาตัวเองให้ถูกทาง เราบำเพ็ญเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น เพื่อละความหลง ไม่ใช่ละแล้วยึดติดในตัวตน อย่างนี้ก็ผิดทาง เราบำเพ็ญเพื่อสละไม่ยึด ตั้งใจแล้วบำเพ็ญให้ถึงที่สุด ไปให้สุดลมหายใจที่เราทำได้ เมื่อจะเดินก็เดินให้ดีที่สุด เมื่อจะไปก็ไปให้ถึงด้วยหัวใจที่ถูกต้องดีงาม 
อาจารย์เมตตาศิษย์อยู่แล้ว แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องกล้าที่จะรู้ กล้าที่จะรับ เพราะว่าความจริงเท่านั้นเป็นธรรมที่ทำให้เราปลดปลง ปล่อยวางได้ เรามาจากความไม่มี ความมีหรือความไม่มี ก็ไม่เคยเที่ยง ใช่ไหม (ใช่)
สุขภาพไม่ดี เข้มแข็งนะ เอาเวลาที่มีอยู่ทำให้เต็มที่ สังขารมันไม่เที่ยง ยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ ใช้ชีวิตมากกว่า เวลาเท่ากัน แต่บางคนทำได้เต็มที่ ทำได้มาก นั่นหมายความว่า ใช้ชีวิตมากกว่า ใช้ชีวิตดีกว่า ใช้ชีวิตเยอะกว่า ใช้ชีวิตเป็นกว่า อาจารย์อยากจะให้ศิษย์รู้ว่า ใช้ชีวิตให้เป็นดีกว่า เวลาเจอปัญหาใช้ความคิดอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้พ้นปัญหาได้ เพราะปัญหาที่แท้จริงมักจะเกิดจากจิตของเรา เห็นว่าเป็นปัญหาก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้าเห็นไม่เป็นปัญหาก็จะพ้นปัญหาได้ จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”)
เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ธรรมะหรือความเป็นจริงล้วนบอกไว้แล้วว่า “เราเกิดมาเพื่อดับ” ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์ แล้วเวียนทุกข์ แล้วก็ไม่จบในทุกข์ แล้วเราเกิดมาเพื่อดับอะไร ดับความเป็นตัวตนที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวลด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในตัวเรา เคยเห็นธรรมในตัวเราไหม
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้ว จะดีมากยิ่งขึ้นถ้าศิษย์นำธรรมไปใช้ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วทำให้ทุกที่เป็นที่ๆ เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ สิ่งใดที่ทำให้เราสละความโลภ สละความโกรธ สละความหลง แล้วเกิดจิตผ่องใสนั่นเรียกว่า มีศีล มีบุญ มีธรรมะ มีทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ศิษย์ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อสนองกิเลสแห่งตัวตน แต่เกิดมาเพื่อเข้าถึงธรรมในใจตัวเองและประจักษ์แจ้งในความจริงของตัวเองว่า เราก็คือธรรม ธรรมที่ไม่ทุกข์ เปลี่ยนแปลง และถึงที่สุดว่างเปล่า
ศิษย์เอ๋ย อย่าล้อเล่นกับชีวิต เพราะถ้าพลาดผิดไปครั้งเดียว กรรมที่ศิษย์ต้องรับชาติเดียวก็ไม่หมด เคยได้ยินไหม ด่าเขาแค่ครั้งเดียวแต่แค้นจนตาย ทำเขาแค่นิดเดียว เอาให้ถึงที่สุด อย่างนั้นเราควรเกิดมาแล้วประมาทในการใช้ชีวิตหรือ แล้วเราควรใช้ชีวิตตามอารมณ์หรือ ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ แล้วไยจึงไม่รู้จักใช้ธรรม เพื่อนำพาให้เราประเสริฐ ลองนำสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทุกวันล้วนดับไป ใช่หรือไม่
จำคำอาจารย์ไว้นะ ใครทำให้ศิษย์ทุกข์ จงจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อดับ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อเจ็บปวด แต่ฉันจะเอาสิ่งที่เจ็บปวดและเป็นทุกข์ เป็นแพข้ามฟากให้ฉันดับให้ได้ ไปให้ถึงนะ ขอสิ่งดีงามจงมีในใจศิษย์ทุกคน ขอจิตที่ประเสริฐจงนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์นะ อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต ฉะนั้นศิษย์อย่าล้อเล่นกับชีวิตตัวเอง ทำให้ดี ทำให้ถึงที่สุด

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เกิดมาเพื่ออะไร”
    ใช้ชีวิตเยอะกว่า แม้ในยามเปิดตาก็สงบในขันธ์
ใช้ชีวิตเป็นกว่า เรื่องอะไรจะมา เป็นแค่งานสังสรรค์
อย่ามาบำเพ็ญ เหมือนโดนไหว้วาน ใส่ใจบำเพ็ญถึงเย็นเข้ากัน
หัวดียึดมั่นรั้นไม่มีชะลอ ใช้ชีวิตมากกว่าคุ้มค่าเต็มเวลา ไม่ทำตัวหงอหงอ
ใช้ชีวิตดีกว่าปัญหาคือปัญหา พอคิดคิดไม่พอ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา