วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-01 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一九年歲次己亥四月廿八日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป        คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน       สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา
                              เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์น้องทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

  การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด     กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง              หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
สังเกตุใจแอบกระถด[๑]ออกทีละหน่อย    สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ           เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน
คบไฟหยัดยืนส่องทางสามแพร่ง          มองลอดแสงหัดพุทธบุตรกลับสวรรค์
จิตชนะพุทธะเป็นผู้ข้องใดกัน              ฟื้นใจตะวันให้ได้ขัดเกลาใจ
พอหรือไม่วินิจฉัยตนอยู่เนืองเนือง       แจ้งว่าเรื่องใดเป็นทุกข์ต้องขยาย
คุมความคิดตัวเองความโลภทั้งหลาย    การอ่อนให้ทำให้ตกเป็นทาส
    หมายแก้ทางนั้นไม่มีวันสำเร็จ             เข็ดกิเลสปลดแอกใช่ด้วยความสามารถ
ไม่ต้องเก่งบางทีพิจารณาข้อจำกัด        คนจักรู้ที่เคร่งครัดโดยปริยาย
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์     ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม           แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ
                                                                             ฮิ ฮิ หยุด

 พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
รอความศักดิ์สิทธิ์ข้างนอก ไม่สู้สร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในตัวเรา รอแต่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แต่ลืมทำตัวเองให้น่าเคารพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ใครก็ปรารถนา รักและอยากใกล้ชิด เพราะนำความร่มเย็น ทำไมเรามัวแต่รอความร่มเย็นจากภายนอก ทำไมเราไม่รู้จักทำความร่มเย็นจากภายใน ฉะนั้นมัวแต่หาภายนอกก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับพยายามทำภายในให้ศักดิ์สิทธิ์ ร่มเย็นและน่าเคารพ ไม่เช่นนั้นกราบไหว้พระพุทธะไปก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไหว้ไปแล้ว แต่ตัวเองยังทำตัวไม่น่าเคารพ ไหว้ไปแล้ว ขอไปแล้ว ยังทำตัวเองไม่ร่มเย็น อย่างนี้อยากเอาพระกลับมาบ้านด้วยไหม แม้เอากลับมาบ้านแล้วก็ยังไม่ร่มเย็น เอามาแขวนกับตัวก็ยังไม่ร่มเย็น เพราะพระไม่ศักดิ์สิทธิ์หรือตัวเราเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วคนที่ทำให้ตัวเองต้องเจอเคราะห์ร้ายไม่ใช่พระแต่เป็นตัวเราเอง พูดไม่ถูกต้อง พูดไม่เหมาะสม ถ้าทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้เหมาะสม ไปอยู่ที่ไหนก็รอดปลอดภัย แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่เหมาะ ทำไม่ถูก ทำผิดศีลธรรม ขาดธรรม แม้มีพระคุ้มครอง พระก็ไม่คุ้มครอง จริงหรือไม่ (จริง)  พระก็ไม่อยากอยู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกราบไหว้พระ อย่าลืมนำความเป็นพระมาใส่ไว้ที่ใจ อยากได้ความสงบร่มเย็น อย่าลืมนำความสงบร่มเย็นมาอยู่ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเริ่มต้นง่ายๆ อย่างนี้ คุยกันได้ไหม ยอมให้เรามาคุยด้วยได้ไหม (ได้)  ถ้าท่านยอม เราก็อยู่ แต่ถ้าท่านไม่ยอม เราก็ (อยู่)  เราเพิ่งเคยได้ยิน ยอมก็อยู่ไม่ยอมก็อยู่ โดยส่วนใหญ่ ถ้าไม่ยอมให้อยู่ก็ต้องกลับใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าจะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านแล้วนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนทำตัวน่ารัก คนทำตัวร่มเย็น คนทำตัวน่าเคารพ มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยู่ใกล้แล้วไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ อยู่ด้วยแล้วร้อนเป็นไฟ อย่างนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย แม้แต่ตัวเราเองยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย แล้วเราทำตัวเองไหม (ไม่ทำ)  จึงมีคำพูดง่ายๆ ว่า ถ้าความดี ความถูกต้อง การมีศีล มีธรรม เปรียบเหมือนน้ำ ความชั่ว ความโลภ ความผิดศีลขาดธรรม การมีโลภ โกรธ หลง เปรียบเหมือนไฟ เกิดเป็นคนตายเพราะน้ำ ดีกว่ามีชีวิตอยู่แล้วถูกไฟเผาตายทั้งเป็น จริงไหม (จริง)  เคยไหมถูกความโกรธเผาจนอยู่ไม่เป็นสุข อยู่ที่ไหนก็ร้อน (เคย)  แต่เลือกไหมที่จะนำน้ำแห่งความดีมาปฎิบัติ ก็ไม่เลือก จริงไหม (จริง)  โลภแล้วก็ทำให้อิจฉาริษยา ทำให้แก่งแย่ง ทำให้ผิดศีล ทำให้ขาดธรรม ทำให้ใจร้อนรุ่ม อย่างนี้อยากจะโลภอยู่ไหม (ไม่อยาก)  แต่ก็ยังโลภอยู่
ฉะนั้นตายเพราะความดี กับตายเพราะกิเลส ชีวิตไหนจะมีค่ากว่ากัน (ความดี)  แต่ถึงเวลาจริงๆ แล้ว เรายอมอดทนจนถึงซึ่งความดีไหม ก็ตบะแตกก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่ แต่เหมือนถูกความทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง และการผิดศีลขาดธรรม เผารนจิตใจอยู่ และเหมือนไม่เคยมีความสุข
เพราะเราไม่เคยดีแท้ ๆ แต่เรามักเป็นดีที่มีโลภโกรธหลง ใช่หรือไม่
  “คำพูดสวยอาจไม่จริงเสมอไป    คำพูดจริงอาจไม่ใช่ดีทั้งนั้น
หนึ่งคำพูดมีความหมายสารพัน    สิ่งสำคัญอยู่ที่กระทำมากกว่าวาจา”
เคยไหม คนชักแม่น้ำทั้งห้า อันนี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ฟังแล้วดูดี แต่ในความดีนั้นก็ยังดูไม่จริงไปเสียทั้งหมด ใช่หรือไม่ และบางครั้งถึงเขาจะพูดจริงขนาดไหน แต่มันก็ยังเหมือนจะดี แต่ยังดีไม่ตลอด ดีเกิน ตรงเกิน ก็เหมือนขวานผ่าซาก ใช่หรือไม่ จริงเกินไปก็เจ็บปวดใช่หรือเปล่า ฉะนั้นหากพูดแล้วคิดว่ากำลังจะโกหกก็ยิ้ม ๆ แทนได้ไหม หรือบอกว่าเดี๋ยวไปทำธุระก่อน ใช่ไหม แต่ในความเป็นจริงเราพูดอย่างไร เหมือนเขา ถามว่าเขาดีไหม ถ้าเราตอบชัดเจนว่าไม่ดี แล้วเขาอยากดีขึ้นไหม (ไม่อยาก)  หากเขากำลังอยากทำดี เลยไม่ทำเลย ใช่หรือไม่ แล้วเราเป็นแบบนี้บ่อยไหม ฉะนั้นพูดจริงเกินไปก็ใช่ว่าจะ(ดี)  พูดสวยแต่หาความจริงไม่ได้ก็ใช่ว่าจะ (ดี)  ฉะนั้นไม่พูดเลยดีไหม (ไม่ดี)  แต่เราอยากบอกว่าดี ลองอยู่ในโลกพูดให้น้อยทำให้เยอะ น่ารักใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่ในโลกนี้พูดมากทำน้อยไม่น่ารักเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นประเภทแรกหรือประเภทหลัง เงียบเลย อย่างนั้นแปลว่าเป็นแบบหลังใช่ไหม พูดมากแต่ไม่ค่อยทำ
การบำเพ็ญต้องสอดคล้องพูดทำคิด  กายใจจิตทำงานประสานแข็งแกร่ง
  กำลังใจให้ตัวเองไม่เหี่ยวแห้ง      หาไม่เรี่ยวแรงเข้มแข็งมีมาจากไหน
ถ้าวันนี้ใครนั่งฟังแล้วก็หลับ แปลว่าไม่ค่อยให้กำลังใจตัวเองในการฟังธรรมใช่หรือเปล่า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  รู้ไหมว่าการฟังทำให้เกิดปัญญาอันสว่างไสว จิตมักมืดมนไปเพราะกิเลส การมาฟังธรรมคือทำให้จิตสว่างโดยไม่ถูกกิเลสมาทำให้มืดมน เหมือนคนโบราณชอบเข้าวัดเข้าวาเพราะทำให้จิตผ่องใส กลับมาแล้วเบิกบานใจแต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา จะเข้าก็เพราะไปเอาสามตัวสองตัว ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ไปเพื่อผ่องใสหรือเพื่อมืดมน สามตัวได้มานั่งลุ้นวันที่สิบหก ถูกหรือไม่ถูก แล้วก็กลับมามืดมนใหม่ เพราะถูกกิน
“สังเกตใจแอบกระถดออกทีละหน่อย สะดุดเป็นแม้ถอยได้เดินหน้าได้
ถึงเป็นแสงหิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ     เป็นเทียนเล่มน้อยแพ้พ่ายแค่ตะวัน”
เกิดเป็นคนมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือยังไม่ทำอะไรก็ยอมแพ้ กับอีกประเภทหนึ่งคือสู้ยิบตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนักเรียนในห้องนี้เป็นประเภทไหน (สู้ยิบตา)  สู้ยิบตาจริงๆ หรือ สู้ยิบตาเพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้อง หรือสู้ยิบตาเพื่อให้ได้ตามใจของตัวเอง ความหมายไม่เหมือนกันนะ
เราขอเริ่มต้นง่ายๆ ก่อน โดยส่วนใหญ่เมื่อมานั่งฟัง ทุกคนก็มักจะคิดว่า ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะบำเพ็ญรอดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  แค่ชีวิตตอนนี้ทำมาหากินก็จะแย่อยู่แล้ว แล้วจะให้มาบำเพ็ญอีก ก็ดูเป็นเรื่องที่ไกลไปหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกคนก็มักจะบอกว่า เดี๋ยวก่อน ดีขนาดไหน ก็บอกเดี๋ยวก่อน เพราะตัวเองยังไม่รอดเลย อย่างนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  โดยส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะคิดว่า ถ้าตัวเองยังไม่รอด อย่ามาพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ อย่ามาพูดถึงเรื่องการเป็นคนดี ขอให้ชีวิตของตัวเองรอดไปก่อน เมื่อรอดแล้ว อยู่ตัวแล้ว แล้วค่อยมาว่าเรื่องการบำเพ็ญ การเป็นคนดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราถามนะ ถ้าคนๆ หนึ่ง มีจุดหมายว่า ตัวเองต้องรอดก่อน แล้วช่วงที่จะรอด จะต้องฆ่าคนอื่นให้ตายหมดก่อน แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วถ้าอย่างนั้น ก็ฆ่าคนนี้บ้าง เหลือคนนี้บ้าง ฆ่าคนโน้นบ้าง แล้วทำดีกับคนนี้บ้าง แล้วตัวเองรอด อย่างนี้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นก็แปลว่า ถ้าเราจะไปรอด คนนั้นก็ต้องอยู่ด้วย คนนี้ก็ต้องอยู่ด้วย คนนั้นเราก็ต้องดี คนนี้เราก็ต้องดี ศีลเราก็ไม่ขาด ธรรมเราก็ไม่บกพร่อง แล้วเราก็รอดด้วยใช่ไหม (ใช่)  เราว่าที่เราเห็นไม่ใช่แบบนี้นะ คนไหนศีลห้า ไม่บกพร่องเลยยกมือขึ้น
ทุกคนมีเป้าหมาย คือ ต้องมีเงิน ต้องสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่สิ่งผิดที่ทุกคนมีเป้าหมายในการมีความอยากบ้าง อยากทำโน่น อยากทำนี่ แต่ความอยากนั้นต้องไม่ทำให้เราขาดไปซึ่งคุณธรรมความเป็นคน ความอยากนั้น ต้องไม่ทำให้เราเป็นคนที่ผิดศีลขาดธรรม เพราะคุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จ แต่คุณค่าของคน คือ ทุกขณะที่ก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ เราสามารถกอดเพื่อน รักเพื่อน แล้วเดินไปพร้อมกับเพื่อน ไปด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในชีวิตจริง เราเป็นเช่นนี้ไหมหนอ ไม่เคยทิ้งเพื่อน ไม่เคยเตะเพื่อน ไม่เคยโกหกเพื่อน ไม่เคยเบียดเบียนใคร เพื่อความสำเร็จและเพื่อการได้เงินมา ไม่เคยผิดศีลขาดธรรมเลย ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าคุณค่าของความหมายของชีวิต คือ ความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ได้มาแล้วต้องยืนอย่างโดดเดี่ยว ความสำเร็จที่ได้มาแล้วไม่เหลือซึ่งใครที่เป็นมิตรแท้ หรือไม่เหลือซึ่งความเป็นคน การหามาเช่นนี้ก็หาใช่จะทำให้เรามีความสุขที่แท้จริงไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าทำเพื่อความสำเร็จ แต่ฆ่าคนทุกคน แล้วตัวเองอยู่รอด ได้ไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม ตัวเองรอดก่อนคนอื่นทีหลัง กับอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดว่ารอดแล้วยังไม่พอยังขอมีอีกนิดหนึ่ง มีอีกเยอะๆ หน่อยใช่หรือไม่ แล้วก็คิดว่าเยอะๆ แล้วจะได้มีความสุข สมมติมีคนชมว่าเราเก่ง ไม่เคยชมเลยแล้วชมว่าเราเก่ง เรารู้สึกว่าดีใช่หรือไม่ แต่ถ้าทุกวันชมเราว่าเก่ง เยอะไปมันก็ไม่ดี บางอย่างอะไรที่เราชอบกินบ่อยๆ มันก็ไม่ค่อยอร่อย เงินหาบ่อยๆ หาเยอะๆ ดีไหม สุขไหม บางอย่างเราหาเยอะๆ ก็ดี แต่ในทางกลับกันเยอะแล้วกลับไม่มีประโยชน์อะไรเพิ่มเติม คุณค่ามันก็แค่นั้น เท่านั้น สิบกับหนึ่งบางทีก็ไม่ต่างกันเลย บางทีหามากเกินก็กลายเป็นไม่สมดุล มัวแต่หาเงินจนลืมดูแลครอบครัว ลืมความสัมพันธ์ที่ดีที่ควรจะมีต่อกัน มัวแต่ห่วงเรื่องเงินจึงทำลายมิตรภาพ เคยเห็นไหมเงินเพียงสิบบาททะเลาะวิวาทกัน ฉะนั้นเงินมันสำคัญกว่ามิตรภาพหรือ บางอย่างเราคิดว่าหาเยอะๆ แล้วเราจะได้ แต่โลกน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าของนั้นเป็นของเรายังไงมันก็เป็นของเรา แต่หาแทบตายมันกลับไม่ใช่ของเรา แล้วเรายังหาไหม
ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่สำคัญคือ ธรรมะ เราขาดไม่ได้ เพราะธรรมะจะสอนให้เราพบความจริง และอยู่บนโลกแห่งความจริงโดยไม่ทุกข์ และธรรมะอะไรล่ะที่จะสอนให้เราพบความจริงและไม่ทุกข์ ศิษย์พี่ถามง่ายๆ นะ ในเมื่อหามากๆ ก็ไม่ค่อยดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นหาแต่สิ่งที่ดี ดีไหม ชีวิตเราเกิดมาแล้วก็อยากมีสิ่งดีๆ ในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่า ศิษย์พี่อยากเลี้ยงเป็ดหนึ่งตัว เพราะคิดว่าถ้ามีเป็ดหนึ่งตัวแล้วจะมีความสุข เป็ดตัวนี้ก็ดีนะ สมบูรณ์อ้วนท้วนกำลังดี แล้วศิษย์พี่ก็คิดอีกทีว่า โอ้ย ชีวิตมันต้องดี เป็ดตัวหนึ่งพอไหม (ไม่พอ)  เพิ่มอีกตัวดีไหม (ดี)  หาแล้วหาอีกก็ได้เป็ดอีกหนึ่งตัว แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมา ตัวนี้อ้วนกว่า ตัวนี้ผอม ก็เลยตีตัวอ้วนแล้วก็บอกว่า แกต้องแบ่งให้ตัวผอมบ้าง แล้วก็เอาแต่รังแกเป็ดตัวอ้วน เพราะทำให้เป็ดอีกตัวผอม ใช่หรือไม่ เป็นความผิดของเป็ดตัวอ้วนใช่ไหม (ไม่ใช่)  เห็นชีวิตของศิษย์น้องก็เป็นอย่างนี้ ไม่โทษตัวเอง โทษเป็ด ไม่โทษตัวเองทำผิด แต่โทษเพื่อนร่วมงาน ไม่โทษว่าตัวเองคิดผิดแต่โทษว่าคนอื่นคิดไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพิ่มเป็ดตัวที่สามอีกดีไหม ชีวิตต้องหาสิ่งที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ ตัวนี้ก็ได้แล้ว ตัวนั้นก็ได้แล้ว พอใจไหม (ไม่พอ)  แล้วก็หวังว่าเป็ดอีกตัวจะทำให้อีกสองตัวดีขึ้น ใช่หรือไม่ คราวนี้เป็นอย่างไร พอไหม เอาอีกไหม
ฉะนั้นบางทีเราพยายามหาสิ่งที่ดี ให้มาก ๆ และคิดว่าตัวนี้ดีแล้ว แต่ถึงเวลา ที่นึกว่าจะได้ดีกว่าเดิมแล้ว ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วหาอีกตัวดีไหม (ไม่ดี)  ชีวิตมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือศิษย์น้อง อันนี้ก็ไม่เคยพอ แล้วสุดท้ายเป็ดสามตัวทะเลาะกันไหม ทะเลาะกันตั้งแต่เป็ดสองตัวแล้วใช่ไหม แล้วคิดว่าจะหยุดเป็ดไหม หรือหยุดความคิดตัวเอง แล้วเวลาเราแก้ปัญหาเราแก้ที่เป็ดหรือแก้ที่ความคิด
แล้วในโลกแห่งความเป็นจริง แท้จริงแล้วอะไรที่เราต้องพบ บางทีก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีต้องพบ อย่างนั้นที่ไม่ดี เพราะว่าเราไม่ดีพอ หรือว่าเป็ดไม่เคยพอดี เมื่อถึงเวลาเรามักโทษเป็ด เป็ดไม่ดีพอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราต่างหากที่ไม่พอดี หรือดีไม่พอ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังมีอีกไหม บางทีหวังอยากให้เป็ดเป็นหงส์ ทำไมเป็ดไม่เป็นหงส์ นี่คือความผิดของเป็ดที่ไม่ยอมเป็นหงส์ ผิดไหมที่เป็ดไม่เป็นหงส์ (ไม่ผิด)  มนุษย์ก็แปลกนะ ได้อย่างหนึ่ง แต่ก็อยากได้อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นแค่นี้ แต่อยากให้เขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วเป็ดไม่เป็นหงส์ ผิดที่เป็ดไหม (ไม่)  เมื่อก่อนเป็ดน่ารักกว่านี้ ผอม และดูดีกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เป็ดดูอ้วนเกินไป เราเป็นไหม เมื่อก่อนภรรยาน่ารักกว่านี้ เมื่อก่อนสามี และลูก ก็น่ารักกว่านี้ แต่ทำไมตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปนะ อย่างนี้โทษเป็ดไหม
เข้าใจที่ศิษย์พี่เปรียบเปรยไหม เมื่อเราอยู่ในโลกธรรมะสอนให้รู้ว่าจริงๆ แล้วแท้จริงแล้วความไม่เที่ยงความไม่ทนความไม่แท้นั่นแหละคือความพอดี สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเรานั่นเองที่มันดีไม่พอ จึงมองเห็นทุกอย่างไม่พอดี เป็ดมันเกินไปหรือใจเราต่างหากที่ยึดติด เป็ดจริงๆ มันแย่ไหม หรือใจเราต่างหากที่แบ่งแยกเปรียบเทียบ คาดหวัง
การเรียนรู้หลักธรรม ปฏิบัติธรรม จึงมีสามแบบ
แบบที่หนึ่ง คือการปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส เรียกว่า ระดับศีล
แบบที่สอง เพื่ออยู่กับผู้อื่นได้อย่างสงบร่มเย็น เรียกว่าระดับคุณธรรม
แบบที่สาม ปฏิบัติแล้วทำให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วพ้นทุกข์ เรียกว่าสัจจะความเป็นจริง
ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมเพื่อลดละกิเลส เราก็ต้องมีศีล ถ้าศิษย์น้องอยากปฏิบัติธรรมแล้วอยู่กับคนอื่นได้อย่างสันติสงบสุขร่มเย็น เราก็อย่าขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เกิดเป็นคนต้องมีเมตตา ต้องมีสัจจะวาจา เราทำได้ไหม ถ้าทำได้อยู่กับใครก็ร่มเย็น
อีกอันหนึ่งคือระดับพ้นทุกข์ เอาแค่ศีลและคุณธรรมยังไม่พ้นทุกข์ ถ้าจะศึกษาระดับธรรมที่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าถึงสัจจะความจริง ที่เรียกว่า โลกอันไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน ในโลกนี้มีสิ่งใดเที่ยง แท้ ทน ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ แต่ความยึดติดของคนต่างหากจึงเรียกโลกว่าดีว่าร้าย เรียกว่าทุกข์สุข
ถ้าเอาศีลมาดับทุกข์จะยาก เอาคุณธรรมมาดับทุกข์จะยาก เหมือนคนที่พยายามเมตตากับคน แต่อย่างไรก็ไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ที่ไม่เข้าใจเพราะว่าเราหวังให้เป็ดเป็นหงส์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราก็ไม่เคยพอใจในเป็ดที่เป็นเป็ด มักคิดว่าเป็ดต้องดีกว่าเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือถ้าไม่ดีกว่าเดิมก็ต้องไม่ต่างจากเดิม แต่ถ้าเราเอาหลักธรรมความเป็นจริงมาพิจารณาว่า โลกนี้ในตัวเราทุกคนทุกสรรพสิ่งในรูปในนามไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ล้วนเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ เหมือนถามว่าเรามีชีวิตเรารักชีวิตไหม (รัก)  ขึ้นชื่อว่าชีวิตเกิดแล้วต้อง (แก่)
การพิจารณาหลักธรรมจนเข้าถึงหนทางที่จะสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ อย่างเมื่อสักครู่ที่เราพูดตั้งแต่แรกแล้วว่า จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีดีไม่มีร้าย ไม่มีทุกข์จริงไม่มีสุขแท้ สุขและทุกข์ ดีและร้าย นั้นเกิดมาจากความยึดติดในความคิด เรามักใช้ความคิดเป็นตัวตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วมีดีหรือร้ายจริงๆ ไหม (ไม่จริง)  ระหว่างเราเป็นผู้ให้ กับผู้รับ เราชอบแบบไหนมากกว่ากัน (ได้)  เสียกับได้ เราชอบแบบไหน (ได้)  ศิษย์พี่ถามนะว่า ในโลกนี้มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีเสียบ้าง (ไม่มี)  ศิษย์น้องก็รู้อยู่แล้ว ถ้าหลับตาข้างเดียว ก็บอกว่าตัวเองได้ แต่จริงๆ เสียไปแล้วเท่าไรก็ไม่รู้ ถูกหวยสามตัว ดีใจมากเลย แต่ตอนเสียไป ไม่เคยนับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยิ่งเจ็บใจมากยิ่งขึ้น เวลาได้ดันซื้อน้อย แต่เวลาเสียดันซื้อมาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองให้ชัดๆ มองแบบจริงจังอย่างคนที่จิตใจสงบ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า ถ้าจิตเราสงบ เราจะเป็นนายเหนือสถานการณ์ แต่ถ้าจิตฟุ้งซ่าน สถานการณ์จะครอบงำเราให้ตกเป็นทาส ฉะนั้นถ้าเราจิตสงบในทุกเรื่องราว เราก็สามารถควบคุมสถานการณ์และฉลาดในการมีชีวิตได้ จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ที่แล้วมาเราทุกข์ คือเราโง่กันทั้งนั้นเลยใช่ไหม ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในความเป็นจริง เหมือนคำว่า “ชีวิต”
“ชีวิต” มีได้แล้วเสียไหม (เสีย)  มีเกิดแล้วมีตายไหม (มี)  แล้วในเกิดตายมีเจ็บไหม มีแก่ไหม (มี)  ถ้าเราอยากมีชีวิตให้มีแต่เกิดแล้วไม่ตายได้ไหม แล้วเราบอกว่าเกิดดีตายไม่ดีได้ไหม ถ้าโลกนี้เกิดดี มีแต่คนเกิดไม่มีคนตายดีไหม (ไม่ดี)  แล้วอยากเกิดไหม คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว แต่อยากเกิดอีกไหม บางคนบอกว่าทำบุญชาตินี้เดี๋ยวชาติหน้าจะได้สบาย ชาตินี้มันไม่สบาย ชาติหน้ามันจะสบายหรือ ถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต ใจเราจะไม่กระเพื่อมไหวและไม่ยึดติดว่าอะไรดีอะไรร้าย เพราะจริงๆ แล้วในร้ายมันก็มีดี ในทุกข์มันก็มีสุข แต่เราขาดปัญญาเห็นจริงเท่านั้นเอง ในความเกิดของเราแท้จริงมีความตายอยู่ทุกขณะ เรามองให้ดีๆ แล้วจะไม่ถูกโลกพลิกให้ตัวเองเจ็บปวด แต่เราจะรู้จักพลิกแล้วให้ตัวเองฉลาดมีปัญญาขึ้น เพราะธรรมสอนให้เราเข้าถึงปัญญา ธรรมไม่ได้สอนแค่ศีล สมาธิ แต่ถึงที่สุดคือระดับปัญญาที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ ความหมายของชีวิตจึงไม่ใช่คำว่าเกิด แต่ความหมายของชีวิตคือเกิดแล้วตายอยู่ด้วยกันเสมอ สุขและทุกข์ไม่เคยอยู่คนละมุม แต่มันอยู่ด้วยกันเสมอ ร้ายและดีมันก็ไม่ได้อยู่คนละด้าน แต่มันอยู่เกี่ยวเนื่องหนุนนำกันเสมอ แต่ใจเราเองต่างหากที่มันมืดบอดยึดติดความคิด จึงเห็นเหมือนคนละด้านคนละมุม ทั้งที่จริงๆ แล้วอย่างเดียวกัน เพราะมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ไม่ทนและไม่แท้ ฉะนั้นควรหรือที่เราจะถอยห่างสัจธรรม แต่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้สัจธรรมเพื่อจะทำให้เราเข้าใจตัวเองและเห็นชัดผู้อื่น
ฟังแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  สิ่งที่ศิษย์น้องควรกลัวไม่ใช่ความตายไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นใจที่มองไม่เห็นความจริง และทำให้เราอับจนสู้ไม่ได้ต่างหากจริงไหม เจ็บป่วยใครๆ ก็เป็นถูกไหม ลองมีชีวิตไม่เจ็บแล้วตายทันทีเอาไหม เห็นไหม ไม่มีใครเอาสักคนเลย แต่ทำไมลึกๆ ขอให้มีชีวิตอยู่แล้วตายเลย จริงๆ แน่ใจหรือว่าอยากได้อย่างนั้นใช่ไหม เจ็บหน่อยเพื่อเตรียมตัวยังดีกว่าไม่เจ็บเลยแล้วตายทันทีใช่หรือไม่ แล้วบางทีความตายดูอาจจะน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วความตายก็เป็นแค่การหมุนเวียนเปลี่ยนผันจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่งที่เราเป็นผู้กำหนดใช่ไหม เอาง่ายๆ เบาใสขึ้นฟ้า หนักมึดดำขุ่นมัวลงดิน ตอนนี้เบาใสหรือหนักดำ (เบาใส)  นักเรียนชั้นนี้น่ารักจริงๆ เลยใช่ไหม (ใช่)  ทั้งเบาทั้งใสเลยนะ
ชอบร้องเพลงคร่ำครึไม่ค่อยเป็นทุกข์ ตอนกลุ้มใจเข้ากระดูกเพลงช่วยได้
แกล้งทำปล่อยสู้กับตัวเองทำไม       แกล้งวางไม่ท้วงอะไรกลับยิ่งรอ”
เวลาทุกข์มากๆ นะบางทีร้องเพลงอ้าปากดังๆ เลยอยู่ในห้องน้ำ ถึงจะทุกข์แค่ไหนก็มีความสุข ก็มันเครียดทำอะไรก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แก้ก็ไม่ได้ ได้แต่ต้องยอมรับความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นบางทีการร้องเพลงก็อาจจะช่วยให้เรา (โล่งใจ)  แล้วก็บอกมีคนขว้างปามาโบ้งเบ้ง เราก็ร้องอ๊าก ฉะนั้นบางครั้งในโลกนี้ที่เราทุกข์ที่เราเจ็บปวด เพราะเราไม่รับความจริง ชอบให้เป็ดเป็นหงส์และชอบให้เป็ดต้องดีกว่าเดิม ถ้าศิษย์น้องยอมรับความจริงว่า ไม่แน่เขาอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เราไม่ยึดติดความคิด เราไม่ยึดติดความคาดหวัง เรายอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่เป็น เราสุขเขาก็สุข เพราะใจของมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ชอบไหลลงทุกข์มากกว่าจะดึงตัวเองให้พบความสุข เหมือนนั่งตรงนี้ให้ยิ้ม ยิ้มไหม ก็ยิ้มไม่ออก จะให้ทำยังไงและผลสุดท้ายคนที่ต้องแบกรับความทุกข์คือคนที่ยิ้มไม่ออก  ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องเรียนรู้ยอมรับความจริงและรู้จักพิจารณาความจริงจนบังเกิดทางพ้นทุกข์ นั่นแหละเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ลองเปิดใจแล้วศึกษาธรรมดูนะ เพราะธรรมจะทำให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ศิษย์พี่เอาตามพระอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีแต่ขอเป็นคนไม่ประพฤติชั่วก็ดีที่สุดแล้ว ดีกว่าเป็นคนดีที่ยุงก็ไม่ตบ มดก็ไม่บี้ แมลงสาปก็ไม่ขยี้ แต่พอคนรู้จักทำอะไรผิดเราด่าเขาเลย อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  ก็ฉันเป็นคนดี
เราเป็นอย่างนั้นไหมหนอ มดก็ไม่ขยี้ ยุงก็ไม่ตบ แมลงสาปก็ไม่เคยฆ่า แต่ถ้าใครไม่ดีก็ด่าเลย อย่าเป็นอย่างนั้นนะ เพราะผู้บำเพ็ญที่แท้จริง คือ ชั่วไม่ทำ เรียกว่าดี ดีกว่าดีก็ทำ ชั่วก็ทำ อย่างนั้นหาดีไม่ ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                  สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เฝ้าหวงแหนดินน้ำทรัพย์สินสมมุติ ปล่อยแดนวิสุทธิ์อยู่ไกลกว่าเดิมหนอ
ยึดตายตัวไหนเลยจะรู้พอ              วิมุติก็ไม่ได้ไปหากไม่ปลง
จะลงเอยแค่บำเพ็ญใจให้ดี              จิตไม่ว่างปล่อยชีวีให้ลุ่มหลง
สิ่งใดใดในโลกล้วนไม่ยืนยง            เดินทางตรงพ้นเวียนว่ายคืนนิรันดร์
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อย่าเดินหนี  ชีวิตเหนื่อยอ่อนล้า มีปัญหาความรู้ไม่เคยจะช่วยใคร เรื่องใจสับสนเกิน  คำพูดคนอยู่รอบกาย ศิษย์รักทำใจ ศิษย์รักก็รู้เอง
อยู่เยี่ยงไหนได้พบสุขจริง ศิษย์แย่งชิงสู้เขาไม่รู้ทำไปทำไม ไม่ทำแบบเดิมเดิม  ฝึกเพิ่มเติมที่หัวใจ แก้ไขทุกการกระทำจากใจนี้
บำเพ็ญค่อนชีวิต  รับภาระกันขึ้นอีกนิด  หลายครั้งทำตัวไร้ความคิด ชอบเดินหนี อดเจอตัวเองคนสำคัญ ศตวรรษเพลิดเพลิน  ก้าวเดินบรรลุผ่าน พาดไปบนฟ้าไกล  แต่นี้ทุกลมหายใจไว้บำเพ็ญ

ทำนองเพลง : มากกว่ารัก
ชื่อเพลง : ลมหายใจไว้บำเพ็ญ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


    (พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ลุกขึ้นๆ ต้องให้อาจารย์เมตตาอีกหรือ ไม่ต้องแล้วนะ ต้องเข้มแข็งรู้จักนำพาตัวเองได้แล้วนะ จิตที่เต็มไปด้วยความสุข จิตที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ จะทำให้เราอยู่กับใครก็นำพาซึ่งความสุข อยู่กับใครก็จะไม่โกรธ เพราะเรามีสุขและเข้าใจ อยู่กับใครอยากมีสุขไหม ศิษย์ก็อยาก เขาก็อยาก ศิษย์เข้าใจเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจก็ไม่มีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะที่แท้จริงคืออยู่กับใครก็กลมกลืนสอดคล้อง เรียกว่าหัวใจแห่งธรรม แต่ถ้าอยู่แล้วขัดแย้ง อยู่แล้วเจ็บปวดแปลว่าไม่ใช่ธรรมะจริงไหม (จริง)  สุขได้แล้ว คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย พูดอะไรนึกถึงคนข้างๆ บ้าง เดี๋ยวเขาจะเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ในตัวมนุษย์นั้นมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านดี อีกด้านหนึ่งคือด้านไม่ดี แล้วเราส่วนใหญ่ใช้ด้านไหนมากกว่ากัน (ด้านดี)  ถ้าเราใช้ด้านดี ก็แปลว่า
ในด้านดี คนดีมักเป็นคน (ดี)  ถ้าใช้ด้านดีบ่อยๆ ก็แปลว่า สามารถปฏิบัติอะไรออกมาเป็นคนดีได้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าใช้ความดีได้บ่อยๆ เราจะทำดียากหรือทำดีง่าย (ง่าย)  ถ้าบอกว่าทำดียาก ก็แปลว่าไม่ค่อยได้ทำ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำดี ต้องทำอย่างไร (ไม่เสียดสีคนอื่น)  ไม่พูดเสียดสี ไม่พูดเท็จ แปลว่า ไม่เคยโกหกคนเลยใช่ไหม (ใช่)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  ไม่เคยโกหกแน่ใจหรือ ร้อยทั้งร้อยเห็นมาพูดอย่างนี้ ก็โกหกมาแล้วทั้งนั้น จริงไหม (จริง)  ยังจะจริงอีกนะ

ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนดี ทำดีบ่อยๆ อย่างนั้นคนดีเขาจะทำผิดศีลผิดธรรมไหม (ไม่)  ผิดไหม (ไม่)  แล้วคนดี เขาทำอย่างไรจึงเรียกว่าคนดี (คิดดี พูดดี ทำดี)  แปลกนะคิดได้เพียง คิดดี พูดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่ว อย่างนี้ก็ยังไม่เรียกว่าดี จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์รู้ว่า ในตัวของเรามีสองด้าน ด้านหนึ่งเรียกว่าด้านดี และอีกด้านหนึ่งเรียกว่าด้านไม่ดี ถ้าเรารู้จักใช้ด้านดีบ่อยๆ การจะแสดงออก หรือการจะปฏิบัติซึ่งธรรม ซึ่งความดีงาม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อถึงเวลาต้องทำจริงๆ แล้ว การแสดงออกซึ่งการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติดี บางคนกลับทำได้ยาก แล้วไม่รู้จักที่จะทำด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนมองเฉยๆ ปล่อยคนอื่นดีไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนที่เลือกด้านดีหรือเปล่า
คนที่เลือกทำในด้านที่ดี เขาต้องคำนึงถึงความถูกต้องและคุณธรรม ใช่หรือไม่ อย่างที่เรียกว่ามโนธรรมสำนึก ทำแล้วถูกต้องกับมโนธรรมสำนึกในจิตใจไหม ถ้ารู้จักคิดตรงนี้ตลอด เราจะไม่มีวันทำผิดศีลขาดธรรมได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้มโนธรรมสำนึก เอาแต่ทำอะไรตามใจตนเอง จะเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเช่นนั้นคนที่มีธรรม ควรปฏิบัติตามธรรมหรือปฏิบัติตามใจตนเอง (ตามธรรม)  เมื่อตามใจตนเองก็ไม่เรียกว่าธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่า เราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตัว แล้วปกติเราเห็นแก่ธรรมหรือเราเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  ถ้าเราเห็นแก่ธรรมเป็นหลัก ทุกอย่างต้องมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก ทุกอย่างต้องมีรู้จักละอายใจเกรงกลัวต่อบาปกรรม เราจะผิดไหม (ไม่ผิด)  แต่ส่วนใหญ่เรามักทำตามใจตนเอง มากกว่าตามธรรม ฉะนั้นอยากรู้ว่าตนเองมีธรรมหรือไม่มีธรรม ก็ดูว่าตามใจตนหรือไม่ตามใจตน ใช่หรือไม่ แล้วเราส่วนใหญ่เห็นแก่ธรรมหรือเห็นแก่ตน (เห็นแก่ตน)  เมื่อเห็นแก่ตนก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม กรรมดีกรรมชั่ว และความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  และเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  และยังอยากทำแบบเดิมไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเช่นนั้นเรามาศึกษาธรรมกันหน่อยดีไหม อย่างไรเรียกว่า เห็นแก่ธรรมมากกว่าเห็นแก่ตน ยากไหม (ไม่ยาก)  แปลกนะ ไม่ยากแต่ไม่มีใครอยากทำ
(ละเว้นความชั่วปฏิบัติธรรม)  ใช่ไหม อย่างเช่นเวลาขายของ สินค้านี้ดีหรือไม่ดี เราพูดเพื่อเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ธรรม เห็นแก่ตัวอยากเอากำไรเยอะหน่อย เราก็จะบิดเบือนธรรม แต่ถ้าเราเห็นแก่ธรรม เราก็จะพูดตามความจริงว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี แต่เมื่อแม่ค้าอยากขายได้กำไรก็เอาดีกับไม่ดีมาผสมกันแล้วบอกว่าดี เหมือนกันเวลาโดนเขาว่า เราจะเห็นแก่ธรรมหรือเราจะเห็นแก่ตัวเอง ถ้าเห็นแก่ธรรมเราจะทำอย่างไร คำว่าความดีนั้น หรือคนที่ทำอะไรนึกถึงธรรมมากว่านึกถึงตนก็จะคิดให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม ศีลทำให้คนเป็นคนดี ทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรมเราก็จะเป็นคนดีและสันติสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เราต้องเริ่มต้นจากการทำดีให้ได้ก่อน ถ้าบาปยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการบำเพ็ญบุญ ถ้าความชั่วยังละไม่ได้ อย่าพูดถึงการเป็นคนดี หลักของการเป็นคนดีส่วนใหญ่ที่เรารู้และเข้าใจก็คือ เพื่อละชั่ว
เหมือนเราทำบุญเพื่อ
(ทำดีชำระกิเลส , สะสมบุญ , ทำใจให้สงบ)  เพื่อความสงบแห่งจิตใจ ทำแล้วสงบบ้างไหม (ไม่นิ่ง, ไม่สงบ)  เพราะเรายังวอนขออยู่ ก็ไม่สงบ เขาตอบได้ถูก ตอบได้ดี จุดหลักของการมีศีลมีธรรมคือความสงบ คือความเย็นใจ คือความสบายใจไม่มีอะไรที่ทำให้เราเดือดร้อนอีกแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำบุญแล้วยังขอจะสงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล สงบไหม (ไม่สงบ)  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล เย็นไหม (ไม่เย็น)  ถ้าอย่างนั้นเรากำลังทำบุญถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วทำไหม (ทำ)  ฉะนั้นอย่างแรกที่เราต้องเข้าใจให้เหมือนๆ กัน ปรับความคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะคุยกันยาวๆ เรื่องยากๆ เราต้องเริ่มที่เรื่องง่ายๆ และเป็นพื้นฐานก่อน คือเรื่องการทำความดีงามใช่ไหม ละบาปไม่ได้ก็จะบำเพ็ญบุญไม่ได้ ละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญดีไม่ได้ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะละบาปได้ ถ้าไม่เข้าใจจุดหลักของการละบาปเราก็บำเพ็ญไม่ได้ บำเพ็ญไม่ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)  โดยพื้นฐานของการเข้าใจในการทำบุญทำทาน เราทำเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความโลภโกรธหลง ทำบุญเพื่อความสบายใจเย็นใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอาจารย์ถามนะ เราสามารถทำบุญได้เฉพาะที่วัดใช่ไหม (ไม่ใช่)  แสดงว่าถ้าอาจารย์อยู่กับใครแล้วละกิเลสได้และทำให้สงบเย็นได้ และสามารถปฏิบัติกับเขาจนมีธรรมได้เท่ากับอาจารย์กำลังทำบุญทำทานและให้ธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ไม่)  ถ้าเราจับหลักของคำว่าบุญกับทานได้ถูกศิษย์จะอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำบุญกับเขาได้ เพราะอยู่กับเขาแล้วเราสงบ อยู่กับเขาเราได้ละกิเลส อยู่กับเขาแล้วเราได้เย็นใจ แต่อยู่กับใครกิเลสก็ไม่ละ เป็นบุญหรือเป็นบาป (บาป)  แล้วมันมีศีลมีธรรม หรือผิดศีลผิดธรรม (ผิดศีลผิดธรรม)  ตกลงเรามีบุญมีศีลมีธรรมเฉพาะวัด ใช่หรือไม่
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากเทียบว่า ถ้าสมมติว่าใครด่าเรามา เราอยากทำบุญกับเขา หรืออยากเกี่ยวกรรมกับเขา ถ้าเราอยากทำบุญกับเขา ถ้าเขาด่ามาแล้วเราละความโกรธได้ เราสงบได้ เราให้ธรรมะเป็นทานได้ เท่ากับว่า เขาด่ามา เราได้ทำบุญ เขาด่ามา เราได้ให้ธรรมะที่ประเสริฐที่สุดที่เรียกว่า ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามา เรายังสามารถเข้าถึงศีลได้ด้วย เพราะว่าไม่เบียดเบียนใคร ไม่โกหกใคร ไม่ทำร้ายใคร ไม่ผิดสำนึกในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าเขาด่ามา เราสามารถสร้างทาน สร้างบุญ สร้างศีล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทุกที่เราสามารถทำบุญ ทำทาน มีศีล มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำอย่างนี้ไหม (ไม่ทำ, ทำ)
ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามีใครก็ตาม ทำอะไรให้เราเจ็บ แต่เราสามารถกระชาก กิเลสออกจากตัวได้ แล้วเราสามารถสงบเย็นได้ เราสามารถให้ธรรมะเป็นทานได้ แปลว่าทุกที่เรากำลังทำให้เขาเป็นพระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรากำลังทำทุกที่ให้เป็นวัด เรากำลังทำทุกที่ให้สงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปรากฏว่าเราอยู่ในโลก เรามักจะคิดว่านี่ก็มาร นี่ก็ปีศาจ นี่ก็ชั่วร้าย ใช่ไหม โลกนี้ก็เลยเต็มไปด้วย มารและปีศาจ ใช่ไหม ฉะนั้นปรับความคิดพื้นฐานให้ถูกได้หรือยัง
อย่างนั้นการปฏิบัติให้ได้ทำบุญ ทำทาน ให้ได้มีศีลมีธรรม เราสามารถทำได้ที่ไหน (ทุกที่) แล้วสามารถทำได้ทุกตอน แม้จะถูกคนด่า เราก็ทำได้ ถ้าเขาเอาเงินไป แล้วไม่คืน เราจะยอมไหม (ยอม)  ถ้าเขาเอาสามีของเราไป แล้วไม่คืน ยอมไหม (ไม่ยอม/ยอม)
เมื่อวานพระนาจาก็บอกแล้วว่า ของอะไรที่เป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา ถ้าของที่ไม่ใช่ของเรา อย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา แล้วนั่นใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  ไม่มีใครเป็นของเราจริงหรอก ถ้าศิษย์เข้าใจ จริงไหม (จริง) 
หลักสำคัญของการทำทาน ทำบุญ หรือมีศีลมีธรรม ก็คือ เพื่อความสงบเย็น ใช่หรือไม่(ใช่)  หลักสำคัญของการให้ทาน ก็คือ เพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละแล้วซึ่งกิเลสโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละกิเลส โลภ โกรธ หลง เราก็ได้ทำบุญ ทำทาน ถ้าหากเราปฏิบัติกับใครแล้วสามารถสละซึ่งโลภ โกรธ หลง แล้วยังสามารถนำพาซึ่งความสงบร่มเย็น นั่นก็คือ เราได้ทำบุญ ทำทาน และได้ปฏิบัติธรรมแต่หากว่าปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความโลภ เกิดความหลงขึ้น เช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  เช่นนี้เรียกว่าตกเป็นทาสของ (กิเลส)  แล้วเมื่อตกเป็นทาสของกิเลส หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  มีใครบ้างมีทุกข์แค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโลภแค่ครั้งเดียว มีใครบ้างโกรธแค่ครั้งเดียว แล้วมีใครบ้างที่โกรธแล้ว เข็ดแล้ว ไม่โกรธอีก (ไม่มี)
มนุษย์เรามีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์ที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เรามีทุกข์โดยพื้นฐาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราอยากเพิ่มทุกข์ให้ตนเองไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเช่นนั้นการตกเป็นทาสของกิเลส ได้ความทุกข์หรือความสุข (ความทุกข์)  และพอไหม ฉะนั้นการตกเป็นทาสของกิเลสก็คือ การเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง อยากหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง อยากสองก็ (ทุกข์สอง)  อยากสามก็ (ทุกข์สาม)  และเราเคยพอทุกข์ไหม (ไม่พอ)  และเป็นความทุกข์ที่ตามมาด้วยกรรมชั่วและวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์บอกว่า มนุษย์กลัวเคราะห์กรรม มนุษย์กลัวโชคร้าย
เคราะห์กรรมแห่งการโชคร้ายมาจากคนปฏิบัติดีมีศีลธรรมหรือมาจากคนที่ปฏิบัติชั่วตกเป็นทาสของกิเลสและอบายมุข ถ้าเราไม่อยากมีเคราะห์กรรม ไม่อยากมีกรรมชั่ว ไม่อยากมีวิบากกรรม ไม่อยากมีกรรมเลวร้าย เราก็ควรไม่ปฏิบัติชั่ว แล้วเราปฏิบัติดีไหม ถ้าเรารู้ว่าการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง การตกเป็นทาสของความทิฐิยึดติดในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นซึ่งความทุกข์ วิบากและความชั่ว เราจะเพิ่มกรรมให้ตนเองไหม เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าชั่วกับดีต่างกันอย่างไร ถึงเวลาเราอยากเลือกชั่วหรืออยากเลือกดี จำไว้ว่าชีวิตมีทางเลือกเสมอ อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เลือกที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังหรืออยู่กับที่ เลือกที่จะก้าวให้ดีขึ้นหรือทำตัวให้แย่ลง หรือทำตัวให้ปล่อยวางและเข้าใจในความจริง เรามีสิทธิ์เลือกใช่หรือไม่ อย่าบอกว่าเราหยุดทุกข์ไม่ได้ เรารับมือกับทุกข์ไม่เป็น มันไม่ใช่ แต่มันอยู่ที่ว่าเมื่อเวลาทุกข์มันมาเจอกับตัว ศิษย์แก้ไขอย่างไร
วันนี้หลักใหญ่ๆ ที่อาจารย์จะมาพูดคือเรื่องความทุกข์ เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็ทุกข์ได้
มีใครบ้างที่ทุกข์แล้วไม่ทุกข์อีก ศิษย์เคยทุกข์แล้วไปพบคนอื่นที่ทุกข์ เรารู้สึกว่า เราเฉยๆ เลย ศิษย์เคยรู้สึกอย่างนี้ไหม (เคย)  เช่น ตอนนี้เราทุกข์เหลือเกิน แต่เมื่อศิษย์พบคนที่เขาทุกข์ไม่ต่างจากเรา แล้วดูน่าจะหนักกว่าเราด้วย ความทุกข์ของเราก็เหมือนจะน้อยลง เล็กลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจริงๆ แล้ว บทของความทุกข์นั้นมีสอนใจเราอยู่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะน้อมนำความทุกข์นั้นมาสอนใจเรา และนำมาลงมือปฏิบัติแก้ไขหรือไม่ จริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราเทียบกับคนอี่นแล้ว จะรู้ว่าเรานั้นโชคดีกว่าเขามาก ใช่ไหม (ใช่)  แขนขาก็ครบ เงินก็มี บ้านก็มี รถก็มี แต่ไม่มีอย่างเดียวคือ ความพอดี ถูกไหม (ถูก)  กับอีกแบบหนึ่ง ความทุกข์ที่อาจารย์เห็นเป็นประจำแล้วอาจารย์คิดว่าน่ารักดี คือ ตัวเองก็ทุกข์ คนที่รักก็ทุกข์ แต่ยอมพูดว่า ไม่ทุกข์ เพราะว่าถ้าพูดว่าตัวเองทุกข์ จะทำให้คนที่ตัวเองรักยิ่งทุกข์ อย่างนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  เพราะถ้าเราพูดไป เขาก็ทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเขาเลยไม่ (ทุกข์)  เพราะเมื่อไรที่เราทุกข์ และมีคนที่ต้องทุกข์มากกว่า เราจะสามารถอดทนและความทุกข์นั้นจะเยียวยาใจเราได้ให้ทุกข์ที่เราพบนั้นเหมือนไม่เจ็บ เพราะถ้าเราเจ็บ จะมีคนที่เจ็บกว่าเรา แล้วคนที่เจ็บกว่าเรานั้นเป็นคนที่เรารักมากที่สุด ยกตัวอย่าง แม่ลูกคู่หนึ่ง แม่ก็จูงลูกไป ปรากฏแม่สะดุดล้มคว่ำ ลูกก็ล้มคว่ำ ทั้งแม่ทั้งลูกก็แขนถลอกหมดเลย แม่ถามว่าลูกเจ็บไหม ลูกตอบว่าไม่เจ็บ ทั้งที่ลูกเลือดไหลมากแต่ลูกไม่กล้าเจ็บ เพราะเดี๋ยวแม่จะเจ็บกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์มีคนที่รักมากกว่าตัวเอง ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เพราะความทุกข์นั้นจะทำให้คนที่รักศิษย์หรือห่วงศิษย์เขาจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้แล้วยังทุกข์แล้วไม่รู้จักรักษาเยียวยาความทุกข์ ก็แปลว่า ศิษย์ไม่เคยรักใครมากกว่าตัวเอง
ใช่เลย จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่ศิษย์มีคนที่ศิษย์เห็นค่าและรักศิษย์มากกว่า ศิษย์จะไม่กล้าทุกข์ เหมือนบางทีศิษย์อยู่ในโลก ศิษย์คิดว่าศิษย์ทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็นทุกข์เลย เคยไหม (เคย)  อาจารย์อยากบอกว่าเขาเหล่านั้นก็ทุกข์ แต่บางทีเขาไม่แสดงออกซึ่งความทุกข์ เพราะแสดงออกไปแล้วทุกข์ก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวเอง และคนรอบข้างดีขึ้นเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นคนที่มีทุกข์แล้วไม่เคยแสดงออก แปลว่าเป็นคนที่รู้จักเห็นใจคนอื่น แต่ถ้าเราทุกข์แล้วเราชอบแสดงออกแปลว่าเราเป็นคนที่ (เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นเหมือนกันเวลาศิษย์ทุกข์ ถ้าศิษย์เห็นอะไรมีค่ามากกว่าตัวเอง ศิษย์จะสามารถยอมอดทนในทุกข์ได้ และทิ้งทุกข์ได้เพื่อสิ่งนั้น เพราะมีค่ามากกว่า เราไม่ยอมทุกข์เพราะอะไร เพราะเราอยากกตัญญูกับพ่อแม่ เราไม่ยอมเจ็บปวดเพราะอะไร เพราะเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข จิตมันใหญ่กว่าเดิมไหม เห็นไหมว่าเราสามารถทำบุญได้ แม้ในความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนนี้ยิ้มจังเลย หัวเราะจังเลย เขาไม่เคยทุกข์บ้างเลยหรือ ไม่ใช่เขาไม่เคยทุกข์ แต่เขาไม่รู้ว่าจะแสดงออกทุกข์ไปเพื่ออะไร เพราะความทุกข์มันมีค่าน้อยกว่าการทำให้คนอื่นมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราเป็นแบบนั้นไหม
ฉะนั้นอาจารย์แค่พูดง่ายๆ เริ่มต้นของความเป็นคนธรรมดา แต่มันกลับทำให้เวลายืนด้วยกันแล้วทำไมเขาดูสูงจัง ถ้าคนด้วยกันปฏิบัติเข้าถึงธรรมแล้ว อยู่กับคนนี้แล้วเย็นใจจัง อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่าง ใช่ เพราะเขาปฏิบัติถึงซึ่งคุณธรรมความเป็นคน มากกว่าเห็นแก่ตัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแค่คน หรืออยากเป็นมากกว่าคน (มากกว่า)
ฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเจอทุกข์ สมมติว่าความทุกข์เหมือนลูกสับปะรด จับแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  จับสับปะรดแล้วน่าจะทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  จับดีๆ ก็ไม่ทุกข์นะ จับไม่ดีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่จับเลยก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ถ้าสมมติว่าสับปะรดคือความทุกข์ แล้วความทุกข์ไปอยู่กับศิษย์ วิธีที่ศิษย์เจอความทุกข์ศิษย์จะเอาชนะความทุกข์อย่างไร (ปล่อยวาง)  ถ้าสมมติว่าความทุกข์เป็นสับปะรด ส่วนใหญ่บอกว่า ปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  และการปล่อยวางที่ดีที่สุดคืออะไร (ปลอกแล้วเอามากิน)  ปล่อยวางแล้วปลอกแล้วเอามากิน ถ้าเป็นความทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไร โดยส่วนใหญ่เวลาเจอทุกข์มีไม่กี่ทางเลือกอย่างแรกคือจ่อมจมกับมันเลย ให้ตายไปเลย ไม่เขาตายก็เราตายไปข้างหนึ่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหนื่อยๆ กลับมาทุกข์ใหม่ แล้วคิดแล้วทุกข์ไหม แล้วคิดไหม คิดต่อ พอเหนื่อยเสร็จก็กลับมาคิดต่อ คิดต่ออีกหรือไม่ (คิด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีเจอทุกข์ เมื่อเราเจอทุกข์คนบางคนเลือกที่จะจ่อมจมกับมัน กับอีกวิธีหนึ่ง หนีไปให้ไกลๆ แล้วหลอกตัวเองหาความสุขอย่างอื่นแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหายไหม (ไม่หาย)  พอหันกลับไปมอง หันกลับไปเจอเดิมๆ (ทุกข์อีก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีแก้วิธีรับมือของศิษย์มีอยู่สองอย่าง ไม่ทุกข์กับมันให้ตายไปเลยข้างหนึ่งก็เดินหนีไปสักพักหนึ่ง แล้วกลับมาเจอมันใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  แม้ว่าไปเอาพลังคนอื่นมาเต็มปอด ได้กำลังใจมาแล้ว ว่าไหวแล้ว พอเจออีกทีก็ลมจับ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยอมรับให้ได้ว่าสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น เพราะมันเป็นอยู่แล้ว)  อย่างแรกคือ ต้องยอมรับให้ได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร เพราะเรายึดกับความคิดเราจนไม่ยอมมองความจริง เรายึดกับใจที่เราอยาก จนเราไม่ยอมมองความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นเราไม่อยากทุกข์ ก็ต้องปล่อยวางสิ่งที่เรายึด อยาก และรับความจริงให้ได้ เมื่อรับความจริงได้ ก็คือเอาความทุกข์มาทำให้เกิดสติตื่นรู้ จนมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริง นำพาให้เราพ้นทุกข์ ท่านนั้นตอบได้น่ารักนะ ถ้ามันเป็นทุกข์เอามาทุ่มศีรษะก็โง่เกินไป ฉะนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทำไมศิษย์ไม่ลองมองมันให้ชัด ทำให้เกิดความเข้าใจ และพ้นทุกข์ล่ะ ไม่ต้องเป็นความสุขแต่เป็นความเข้าใจ เหมือนทำใจเรื่องสามี สุดท้ายก็ได้เท่านี้ หวังมากกว่านี้ เขาก็ได้เท่านี้ เหมือนสามีที่ทำอะไรกับภรรยาไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะบ่นมากแค่ไหน เดี๋ยวเขาก็หยุดบ่นเองถ้าเขาเหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนลูกเราหวังขนาดไหน ทุ่มเทขนาดไหน หากเขาทำได้แค่นี้ เราก็ต้องแค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปหวังมากกว่านี้ก็ทรมาน
ศิษย์รู้ไหมว่า ชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบัน แต่คนที่จมอยู่กับอดีต คือคนที่ปล่อยให้ตนเองตายแล้ว และเราจะอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับความคิดในอดีต แล้วคนที่มีชีวิต คือคนที่อยู่กับปัจจุบันหรือคนที่จมอยู่กับอดีต (คนที่อยู่กับปัจจุบัน)  ศิษย์จำไว้นะ มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้น จึงอยู่กับอดีต เพราะเขาแก้อะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่มีชีวิต เขาจะไม่ฆ่าตัวเองให้ตายทั้งเป็นและจมอยู่กับอดีต แต่จะพยายามมองไปข้างหน้า และอยู่กับปัจจุบันให้มี (ความสุข)  เราทำบุญกับสามีดีไหม ทำบุญกับลูกดีไหม (ดี)  ไปทำบุญเก้าวัดไกลๆ ได้ ทำไมไม่ทำบุญใกล้ๆ บ้าง
ถ้าทำกับเขาแล้วมันได้ลดกิเลส ได้ลดความเป็นอัตตาตัวตน แล้วเราได้แสดงศักยภาพของคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ออกมา เราไม่ได้ทำบุญทำทานกับแฟนเราหรือ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราจ่อมจม แต่จงเอาทุกข์มาทำให้เราเกิดสติปัญญา และนำพาให้เราพ้นทุกข์โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสุขก็ได้ แต่เป็นความเข้าใจและยอมรับความเป็นเช่นนั้นเอง เพราะมันได้แค่นี้ ถ้าเขาได้แค่นี้เราก็ต้องแค่นี้ดีแล้ว เราก็ต้องรู้จักพลิกแพลงให้เป็น บางคนเราอยู่ด้วย เขาทำงานกับเราพูดกี่ครั้งเขาก็ได้แค่นี้ เมื่อเรามีทุกข์เราจะไม่กลัวแล้วใช่ไหม เมื่อเราไม่กลัวทุกข์เราก็จะรับมือกับทุกข์ได้ ถ้าเราอยากจะแก้ทุกข์เราก็ต้องมองให้ออกว่า แล้วทุกข์มันมีสาเหตุมาจากอะไร (ทุกข์เกิดจากใจ)  ใจที่ไม่ค่อยยอมรับความจริงแต่ยึดติดแต่ความคิดเห็นของตนเอง แล้วก็บอกผู้อื่นว่า ฉันปรารถนาดีนะ ปรารถนาดีกับลูกแต่ลูกทำได้แค่นี้เราก็ต้องยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำงานเต็มที่ เราไม่ได้เลื่อนขั้นแต่คนอื่นได้เลื่อนขั้นเราก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าเรายังฝืนยืนยันว่าทำไมๆ เราถึงไม่ได้ เราก็มีแต่ทุกข์และก็มีบาปติดตัว เกลียดคนนั้นเพราะคนนั้นแน่เลยฉันถึงไม่ได้เลื่อนขั้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานสับปะรดให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
เอาสับปะรดไปช่วยอาจารย์แบกเลย
(การกระทำ)  การกระทำอะไรที่ทำให้เราทุกข์ นั่นคือการกระทำที่เรายึดติด การกระทำที่ประกอบไปด้วยความอยาก การกระทำที่ไม่อยู่ในศีลในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ยึดเหตุผล)  ทุกข์เพราะยึดในความคิดว่าเรามีเหตุผลที่ถูกต้อง เคยไหมว่า ฉันมีเหตุผล ฉันถูก คนอื่นเหตุผลไม่ดีไม่ถูก เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วเป็นบ่อยไหม คนทุกคนมีเหตุผล เหตุผลมาจากความรู้ความเข้าใจที่ตัวเองสรุปเอาเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  และโดยส่วนใหญ่เหตุผลที่เราสรุปเองว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี มักจะลำเอียงหรือเที่ยงตรง (ลำเอียง)  เข้าข้างตัวเองมากกว่าตรงกลาง แล้วเหตุผลเราถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์บอกว่าเราทุกข์เพราะเรายึดในเหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของผู้อื่น นั่นก็เป็นปัญหาได้ เพราะเรามองแต่เหตุผลของตัวเองจนลืมมองเหตุผลของคนอื่น เหตุผลที่ถูกต้องคือมีศีลธรรมไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เหตุผลช่วยไม่ได้ เพราะเหตุผลไม่ใช่ที่สุดของความจริง
มีเหตุผลว่าเราดี แต่คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกว่าดีก็ได้
(แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์)  ความเป็นธรรมดาของสังขาร แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์อันเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเป็นธรรมดาแล้วเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่)  ฉะนั้นแก่ก็ไม่ทุกข์ ตายก็ไม่ทุกข์
ดังนั้นการพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็ไม่ทุกข์ การถูกว่าก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมดา จำให้ได้อย่างนี้เสมอๆ นะ
(ทุกข์เพราะตนเองเป็นผู้กระทำเอง)  ศิษย์เอ๋ย ทำดีที่สุดก็ยังถูกว่า ทำไม่ดีก็ถูกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำสิ่งหนึ่งนั้น ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คน ไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน ถูกว่านิดถูกว่าหน่อยก็ไม่เห็นต้องเป็นอะไรเลย เพราะว่าสิ่งนั้นคือความธรรมดา ใช่หรือไม่ ถูกเข้าใจผิด ถูกดูถูกกล่าวหา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม เพราะเพชรจริงไม่กลัวการเจียระไน ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวก็แต่ว่า เรายังดีไม่พอ แล้วก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มีใครจะตอบพระอาจารย์อีกไหม เราทุกข์เพราะอะไรหรือ
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เป็นสิ่งที่ละไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับทุกข์โดยไม่ทุกข์ได้ เราจะเลือกแค่เห็นทุกข์หรือเราเป็นทุกข์ เขาพูดให้เจ็บเราจะแค่เห็นหรือเก็บเอามาใส่ใจแล้วเป็นทุกข์ ถ้าแค่เห็นแล้วไม่คิดก็จบ เพราะหลักแห่งธรรมคือความสงบ แต่เราไม่เคยสงบ เพราะเราไม่ยอมจบ เราก็เลยเอามาคิดและก็ทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าเราจับแก่นหลักธรรมตั้งแต่แรกเลยเราสงบไหม เมื่อสิ่งนั้นเป็นทุกข์เราควรเอามาคิดไหม ถ้าเราเห็น แต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น ไม่เห็นแต่เราคิดมันไม่มีก็เหมือนมี ถ้าเราเห็นแต่เราทำเหมือนไม่เห็น จะมีอะไรกับใจเราไหม จะมีอะไรมากวนใจเราไหม ที่เรียกว่าไม่ใส่ใจ ถ้ามันทุกข์แล้วจะทำให้เราเจ็บปวด เราไม่เอามาใส่ใจจะทำเราทุกข์ไหม เหตุหลักของความทุกข์คือการยึดมั่น พระพุทธะจึงกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มนุษย์ไม่ยึดมั่น ความตายความเจ็บก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป แต่ที่เรายังเจ็บ ปวดและทุกข์ เพราะว่าเรายึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเรายึดสิ่งใดได้ไหม สามียึดได้ไหม ฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจแก่นของสัจธรรม เพราะแก่นของสัจธรรมล้วนบอกให้เรารู้ว่า เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ เอาไว้เป็นคาถาเด็ดปลดทุกข์เลยศิษย์ เห็นเขาอยู่แต่ก็เหมือนไม่อยู่ เพราะไม่รู้เขาจะไปเมื่อไหร่ และบางทีคิดว่าเขาทำให้เราทุกข์ บางครั้งเราทุกข์เพราะเขา แต่บางครั้งเขาก็ทุกข์เพราะเรา ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เพราะเขาคนเดียว แต่เขาก็อาจกำลังทุกข์เพราะเราก็ได้ เราอยู่ในโลกเห็นเหมือนไม่เห็น บางทีมันอาจจะทำให้เราทุกข์น้อยลง
บางทีปากเขาว่าเราแต่ใจเขาอาจจะห่วงเรา เราเคยโมโหลูกแล้วว่าเจ็บๆ แสบๆ ไหม (เคย)  แต่ลึกๆ เรารักลูกไหม (รัก)  แล้วว่าลูกไหม (ว่า)  อย่างนั้นคนที่ว่าเราเจ็บแสบ ลึกๆ เขาอาจจะรักเรา เพราะถ้าไม่รัก เขาจะว่าให้เมื่อยปากไหม แล้วจะว่าให้เปลืองน้ำลายไหม ก็ไม่นะ ที่เราว่าเขาเจ็บแสบเพราะเรารัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอกเขาอกเรา เวลาถูกเขาว่าเจ็บแสบก็คิดเสียว่าเขารักเรา เพราะบางทีเราเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น สิ่งที่เรามองไม่เห็นเราลืมไป เหมือนที่บอกว่าดูในร้ายแต่ก็มีดี ดูในดีแต่ก็มีร้าย เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ มีก็เหมือนไม่มี ถามว่าเงินมีร้อยบาท เคยรู้สึกว่ามีร้อยบาทไหม มีหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน เคยรู้สึกว่ามันเป็นของเราบ้างไหม (ไม่เคย)  มีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  สามีมีเท่าไรก็เหมือน (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ นะศิษย์ พ้นจากตาเราใช่ของเราไหม อยู่กับเรา ใจเขาเป็นของเราไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงเอาแก่นของความเป็นจริงแห่งสัจธรรมมาย้ำเตือนใจจนสามารถพ้นทุกข์ ทะลุทะลวงความทุกข์ แล้วใดๆ ในโลกก็ไม่อยากและไม่ยึดอีกต่อไป ที่เรียกว่าแก่นของหลักธรรมคืออะไรในโลกก็ไม่เอากับมันแล้ว อาจารย์ถามหน่อยศิษย์ มีพัดก็ทุกข์เพราะพัด มีแอปเปิล ก็ทุกข์เพราะแอปเปิล มีเสื้อก็ทุกข์เพราะเสื้อ มีอะไรบ้างในโลกที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีไหม (ไม่มี)  แล้วเราอยากมีอีกไหม รู้แล้วยังจะอยากอีก ฉะนั้นจึงต้องรู้จักทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อสนองกิเลสความอยาก ความหมายเลยไม่เหมือนกัน เมื่อไรที่เราเข้าถึงหลักแห่งความเป็นจริง คนจึงมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม แต่ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตัวแล้วหนีไม่พ้นวิบากกรรม
ฉะนั้นวัฏฏะสงสารเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความอยาก เมื่อไรที่มนุษย์สิ้นกิเลสความอยากแห่งการเป็นตัวตน เมื่อนั้นมนุษย์ก็สิ้นการเวียนว่ายตายเกิด ตัวตนเป็นมายา ถ้ายังหลงยึดติดในตัวตนแห่งมายา และทำทุกอย่างเพื่อตัวตน มนุษย์ก็จะหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์สามารถสิ้นกิเลสสิ้นตัณหาในใจ เมื่อนั้นมนุษย์ก็พ้นวิบากกรรมได้จริงไหม (จริง)
เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ฉะนั้นเราอยู่เพื่อสร้างกรรมต่อ หรือเราอยู่เพื่อจบกรรม (จบกรรม)  ตอบอาจารย์ว่าจบกรรม แต่ทุกอย่างที่ทำมานั้นเป็น การก่อกรรมทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เป็นธรรม ถ้าศิษย์อยากจบกรรมกับเขา อย่างนั้นหากเขาว่ามา ศิษย์จะต้องไม่ว่าเขากลับ เขาโกงมาศิษย์จะต้องไม่โกงตอบ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์จะไม่ได้อยู่เพื่อสนองความอยากแห่งกิเลส แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม ทำตามหน้าที่ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี ทำถึงที่สุดแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับในสิ่งที่เป็น นั่นจึงเรียกว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อสิ้นกรรม
แต่เรากลับตรงกันข้าม เรามักปฏิบัติเพื่อสนองความอยากว่า วันนี้อยากได้อะไร วันนี้เกิดโลภอะไร ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย ก็มาจากกิเลส เมื่อไรที่เชื้อแห่งกิเลสยังไม่หมดไปจากใจ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันหนีพ้นจากวิบากกรรมแห่งวัฏฏะการเวียนว่าย ดังที่เรียกว่า ถ้าจะดับ ก็ต้องดับจนไม่เหลือแม้สักเล็กน้อยที่เรียกว่าเชื้อแห่งความอยาก ดังที่เรียกว่า ตายก่อนตาย
อย่าบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จชาติหน้า แต่ “ต้องบำเพ็ญชาตินี้ เพื่อสำเร็จตอนนี้ และไม่มีชาติหน้า” เพราะเราไม่รู้ว่า ชาติหน้า เราจะทำได้สมกับที่เราได้เกิดเป็นคนเหมือนในชาตินี้หรือเปล่า แล้วอย่างนี้ทำไมเราจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อเราก็มีร่างกายครบสมบูรณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ช่วยอาจารย์แต่งชื่อเพลงหน่อยดีไหม ปกติอาจารย์จะให้ทำนองเพลงและชื่อเพลงเลย แต่ในชั้นนี้อาจารย์อยากให้นักเรียนในชั้นนี้ร่วมกันตั้งชื่อให้เพลงนี้ อาจารย์มีชื่ออยู่ในใจแล้วถ้าอาจารย์บอกศิษย์ต้องเอาชื่อเพลงที่อาจารย์ตั้งแน่เลย เพลงเพราะไหม (เพราะ)  เพลงเพราะหรือคนร้องเพราะ (เพลงเพราะ)
(ชื่อเพลง สุขจริง, อย่าทำอะไรแบบเดิมเดิม, มีธรรมะในหัวใจ, นี่คือชีวิต)
ตั้งชื่อว่า (บำเพ็ญบุญต่อไป)  ศิษย์รู้ไหมว่า ชื่อที่ศิษย์ตั้งเหมาะกับให้ศิษย์ไว้ใช้กับตนเอง และเตือนใจตนเองว่ารู้จักบำเพ็ญบุญต่อ อย่าทำบาป อย่าหลงอบายมุขนะ เพราะว่าชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว ตายแล้วก็ไม่ฟื้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคำที่ศิษย์เขียน เหมาะกับตัวของศิษย์เองทั้งนั้นเลย จริงไหม (จริง)  อาจารย์ว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครอยากได้แอปเปิลของอาจารย์บ้างไหม (อยาก)  เมื่อสักครู่เราคุยกันค้างไว้ว่า มีอะไรก็เป็นทุกข์ แล้วศิษย์ยังอยากได้อยู่ไหม อยากหรือ มีแอปเปิลก็ทุกข์นะ อร่อยก็ทุกข์ ไม่อร่อยก็ (ทุกข์)  แต่ก็ยังอยากได้ทุกข์
เมื่อสักครู่เราคุยกันว่า ความทุกข์เกิดจากความยึดและความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราต้องการเอาชนะความทุกข์ได้ หรือเข้าใจความทุกข์ได้ เราก็ต้องไม่ (อยาก)  แล้วก็ (ไม่ยึด)  เพราะว่าในโลกใบนี้มีอะไรบ้างที่เราสามารถครอบครองได้ (ไม่มี)  แสวงหาได้แต่ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ร่างกายนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ตัวเองนี้ครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้ว่าไม่ได้ แต่เราก็ยังอยาก แล้วก็ (ยึด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรที่จะเป็นการเรียกว่าการปฏิบัติและบำเพ็ญ แล้วทำให้เราทุกข์น้อยลง
ตอบได้ไหม แปลว่าที่พูดไปไม่มีใครจำได้เลยใช่ไหม (ความอยากได้เป็นทุกข์ ทำให้เข้าใจว่า สิ่งที่อยากได้เดี๋ยวมันก็ไม่ใช่ของเรา ถ้ามาเป็นของเราเราก็รับไว้ แต่รู้ว่านั่นมันเป็นของเราแล้ว ซึ่งตรงนี้จริงๆ แล้วมันยากที่คนเราจะทำได้ เราก็ต้องฝึกใจเรา ฝึกปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ตลอดทุกเวลานาที คิดอยู่ตลอดว่าอันนั้นไม่ใช่ของเรานะ แต่ถ้ามันเป็นของเราเราก็ยอมรับมัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ก็ยอมรับมัน)  หมั่นเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเป็นของเราก็เป็นของเรา ถ้าไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา เรามีหน้าที่แค่ทำให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติง่ายๆ เลยนะศิษย์ ทำหน้าที่ของตัวเองปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ผิดต่อฟ้า ไม่ผิดต่อดิน ไม่ผิดต่อความเป็นคน แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามันจะใช่มันก็ใช่ ถ้ามันจะได้มันก็ได้ อาจารย์อยากจะบอกนะศิษย์ ในโลกนี้ถึงศิษย์จะบอกว่าศิษย์หามาเท่าไหร่แล้วทำไมศิษย์ต้องเสีย ทำไมศิษย์ต้องยอมให้เขา ทำไมเขาต้องเอาของศิษย์ไป อาจารย์อยากจะบอกว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้ มีอะไรเป็นของเรา เราเหมือนเราได้ เราเหมือนเรามี จริงไหม แต่จริงๆ แล้วเราไม่เคยมีอะไรเลย ไม่เคยได้อะไรจริงๆ เลย ถามใจลึกๆ ศิษย์มีจริงๆ ไหม จริงๆ เราไม่เคยมี และจริงๆ เราก็ไม่เคยได้ แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งที่เราคิดว่าเรามี คิดว่าเราได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ของเรา เราแค่บังเอิญได้เจอมันชั่วขณะหนึ่ง แต่บังเอิญมันอาจไม่ใช่ของเราอีกขณะหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดเสมอว่าเราเสีย เราไม่ได้เสีย เราได้ก็ไม่ได้ได้ แท้จริงเราไม่ได้และไม่ได้เสีย เพราะเรามาจากความว่างเปล่า แล้วเราก็ต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า แล้วเราจะยึดติดกับความอยากว่า เขาเอาของฉันไป เขาเอาของฉันไป เพื่อสร้างเหตุปัจจัยให้กลับมาเวียนเจอกันอีกใช่ไหม เพื่อสร้างภพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของการยึดติด เราก็ไม่อยากใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายังทุกข์กับอะไรอีกหรือ
ถ้าให้ตอบแบบสุ่มตอบ แล้วไม่มีใครตอบ อาจารย์บังคับให้ตอบดีไหม ด้วยการส่งสับปะรด หากสับปะรดไปอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ ก็คือ เราไม่เคยรู้เท่าทันใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เคยมองเห็นทันความทุกข์ที่มา เมื่อความทุกข์มาเราจึงยึดความทุกข์ทันที ฉะนั้น เราต้องฝึกสติ สติจะทำให้เรารู้จักคิด รู้จักทำ และกลับมาสู่ความเป็นกลาง อาจารย์จึงให้ศิษย์ส่งสับปะรด เพื่อฝึกสติ
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกม และส่งสับปะรด)
เมื่อร้องเพลงที่อาจารย์ให้ หากอาจารย์บอกให้หยุด แล้วสับปะรดอยู่ที่ใคร คนนั้นต้องตอบคำถามอาจารย์ว่า ตัวเราแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์บ่อยที่สุด ตัวเราที่ช่างคิด ตัวเราที่ช่างโกรธ หรือตัวเราที่ช่างน้อยใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้สับปะรดจะกลายเป็นแอปเปิล
(โรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยไข้เจ็บ เป็นเพราะสิ่งที่เราทาน ไม่รู้จักระมัดระวังในการทาน
จริงๆ โรคภัยไม่น่ากลัว โรคภัยเป็นทุกข์แค่สังขารแต่ไม่ใช่ทุกข์ที่จิตใจ เรามีกรรมแค่ที่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ เหมือนที่เขาเรียกว่ากายเจ็บได้อย่าให้ใจเจ็บ กายทุกข์ได้อย่าให้ใจทุกข์ เพราะจะล้มพังไม่เหลืออะไรเลย
(คนรอบข้างทำไม่ถูกใจ)  เหมือนเรื่องเมื่อวานเลย อยากให้เป็ดเป็นหงส์ใช่ไหมแล้วเป็ดก็ไม่ยอมเป็นหงส์สักที บางทีอาจเป็นไก่ไม่ยอมเป็นเป็ด จงยอมรับในธรรมชาติของทุกสิ่งแล้วเราจะไม่ทุกข์
(ใจเราไม่นิ่ง เมื่อใจเรานิ่งทุกข์มากๆ จะน้อยลง)  แค่เห็นทุกข์อย่าไปเป็นทุกข์แค่นั้นเอง เห็นแต่ไม่เป็น ถ้าเราไปเป็นทุกอย่างก็ทุกข์ตาย เราแค่เห็นทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะการดับ เราเห็นโรคแต่เราไม่เป็นโรค เห็นโรคในร่างกายแต่ใจเราไม่เป็นโรค เรามีกรรมแค่สังขารแต่เราไม่มีกรรมที่ใจ ใจเราพ้นกรรมมานานแล้วแต่มนุษย์ชอบเอาตัวตนมาบังคับใจของเรา จึงทำให้เราไม่เห็นจิตเดิมแท้
มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์ แล้วจริงๆ เราเคยมีหรือเคยไม่มี (ไม่มี)  แล้วสุดท้ายเราต้องมีหรือไม่มี (ยังอยาก)  ยังอยากอีกหรือศิษย์ปูนนี้แล้วควรจะปล่อยๆ บ้างนะศิษย์ ที่ควรจะมีก็มีเกือบหมดแล้ว ที่ไม่เคยรู้ก็รู้หมดแล้ว ที่ไม่เคยได้ก็ได้เกือบหมดแล้ว จริงไหม (จริง)  แล้วยังอยากอีกหรือ เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ จะมีเวลาเพื่อสนองกิเลสอีกหรือ (ความอยากเป็นของธรรมชาติ)  ความอยากเป็นของธรรมชาติไหม ความอยากไม่ใช่ธรรมชาติแท้จริง ถามใจจริงลึก ๆ ความอยากคือธรรมชาติแท้จริงที่เราแสวงหาอย่างนั้นหรือ ความอยากเพื่ออะไร จริงแล้วเราอยากเพื่อแค่บำรุงเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอด แค่อยากเพื่อปัจจัยสี่ แล้วพออยากไปถึงที่สุดลึกๆ ในความอยากมีความว่างอยู่ มีเท่าไรก็เหมือนไม่มี แล้วอะไรถึงเป็นแบบนั้น เพราะธรรมะต้องการสอนว่าอยากไปเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี (บางคนมีมากก็ไม่อยากมี)  แล้วเราจะเกิดมาเพื่อวนเวียนวัฏฏะแห่งความอยากอย่างนั้นหรือ (ภายในครอบครัว, สุขภาพตัวเองไม่แข็งแรง)
จริงๆ อาจารย์อยากได้ชื่อเพลงว่า “ลมหายใจเพื่อบำเพ็ญ” เหมือนที่ศิษย์พูดว่า คนเรามีความอยากเป็นธรรมดา ใช่ไม่ผิด แต่ถ้าความอยากนั้น เป็นอยากที่ทำให้ศิษย์เดินเข้าไปในวัฏฏะของการเวียนว่ายแห่งความทุกข์ไม่จบสิ้น กับอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องอยากมาก แต่อยากเท่าที่พอทำได้ คือ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองความอยาก แต่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรม กลับคืนสู่ความเป็นจริงอันเดิมแท้ที่เรามา ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลส
อาจารย์ถามง่ายๆ นะ ระหว่างกิเลส กับธรรม อะไรคือสิ่งที่เป็นเดิมแท้ของใจศิษย์ (ธรรม)  อาจารย์ก็ว่า น่าจะเป็นธรรม ธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติเดิมแท้ในใจของเรา จริงไหม (จริง)  อารมณ์นั้นมาทีหลัง ถูกไหม (ถูก)  แล้วชีวิตของเราจะกลับคืนสู่ธรรม หรือสนองกิเลส แล้วเวียนว่ายกรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ถ้าอาจารย์ก้าว แล้วก้าวหนึ่งขึ้นฟ้า กับอีกก้าวแค่เล็กน้อยแล้วได้แค่บุญบาป อาจารย์อยากให้ศิษย์ก้าวแล้วถึงฟ้าเลยดีไหม (ดี)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะผลักดันศิษย์ อาจารย์ก็ควรจะผลักดันให้ศิษย์กลับคืนสู่ที่เดิมที่ศิษย์มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เพียงแค่ผลักดันให้ศิษย์กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ใครอยากตาย ก็ไม่มีใครอยากตาย จริงไหม (จริง)  เราอยากแก่อีกไหม เราก็ไม่อยากแก่ อยากเจ็บอีกไหม ศิษย์ก็ไม่อยากเจ็บ เพราะในโลกนี้แก่ครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียวก็พอแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นถ้าศิษย์ไปสนองความอยากแล้วศิษย์ต้องแก่ต้องเจ็บ แล้วต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างนี้ศิษย์ยังจะอยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)
มันแค่อยู่ที่ก้าวว่าศิษย์จะเลือกทางไหน ถ้าเลือกทางนี้สนองความอยาก แต่ถ้าลดความอยากนิดหนึ่งแล้วมันทำให้เราเข้าถึงธรรม ลดละความอยากความโลภ ลดละการยึดถืออัตตาตัวตนแล้วพ้นทุกข์ ทำไมเราไม่ลองก้าวทางนี้ดู ตอนนี้เราเดินมาเจอทางสามแพร่ง ทางหนึ่งอาจารย์ชี้บอกว่ามากกว่าขึ้นสวรรค์คือพ้นทุกข์นิรันดร์ และอีกทางหนึ่งคือกลับไปเหมือนเดิมคือเวียนว่ายในความทุกข์ อีกทางหนึ่งคือยึดติดในความดี ทำดีแล้วสนองความดีนั้น พอหมดกรรมดีก็กลับมาเวียนว่ายกรรมดีกรรมชั่วอีก ศิษย์ว่าอาจารย์ควรชี้ทางไหนดี แล้วทางแรกวิธีที่จะแก้ แล้วทำให้ถึงที่สุดคือ เมื่อไหร่ที่ศิษย์สามารถเอาหลัก
สัจธรรมมาสอนตัวเอง มาทำให้ศิษย์ตั้งตรงอยู่ในสัจจะความเป็นจริง ไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว เข้าสู่ความเป็นกลางเมื่อนั้นศิษย์จะพ้นบาปกรรมและการยึดติดในตัวตนนั้นชาตินี้ ตอนนี้เลย แต่ไม่เลย เราเห็นอะไรเราก็อยาก ชอบ ไม่ชอบ ชอบก็เรียกว่ากรรมดี ไม่ชอบก็เรียกว่ากรรมชั่ว แต่ถ้าเห็นอะไรแล้วไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องวิเคราะห์ดี ไม่ต้องยึดติดดี ไม่ต้องยึดติดร้าย เพราะถึงที่สุดมันไม่มีอะไรดีจริง ร้ายจริง เพราะทุกสิ่งมันเป็นกลาง เมื่อเห็นเป็นกลางมันก็เลยไม่มีกรรม แต่มันเป็นธรรม

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น แล้วให้พับแขนเสื้อ ทำท่าเหมือนนักเลง)  ถ้าอาจารย์บอกว่า ลักษณะแบบนี้เรียกว่านักเลง
ทันทีเลย การยึดติดในความคิด อารมณ์ ความรู้สึก แล้วชอบวิพากษ์วิจารณ์ หรือตัดสินคน ทำให้เราเข้าไม่ถึงธรรมและมองไม่เห็นความจริงแต่กลับเหวี่ยงไปเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ดี ร้าย ทั้งที่จริงๆ แล้วอันนี้ที่ศิษย์ตัดสินว่าเด็กเป็นจิ๊กโก๋แค่เสื้อผ้า เพราะเมื่อครู่ศิษย์ก็เห็นตั้งแต่เขาเดินมา เขาก็ไม่ได้เป็นจิ๊กโก๋นี่ แค่อาจารย์บอกให้เขาทำเหมือนจิ๊กโก๋ แล้วจริงๆ เขาเป็นจิ๊กโก๋ไหม (ไม่)  
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าถึงแก่นของหลักธรรม เราจะไม่ตัดสินอะไรดีอะไรชั่ว แล้วเราจะไม่อยากยึดเขา หรือไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขา เราจะแค่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความถูกต้องเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปฏิบัติและเคารพให้เกียรติต่อเขา เราก็มีจริยธรรม มีเมตตาธรรม ซื่อตรงต่อเขา แม้เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม เรารู้ตัวเองว่าเราดีพอ ปฏิบัติกับเขาถูกพอ และเราก็ไม่ผิดต่อการเกี่ยวกรรมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ศิษย์ตัดสินมันไม่เป็น “ธรรม” แต่มันกลายเป็น “กรรม” ทันทีจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเจออะไรอย่าตัดสิน เพราะเขาอาจจะดีหรือไม่ดี ไม่อาจวัดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดเขาจะร้าย ทุกข์หรือสุข เราก็ไม่อาจรู้ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีสติทุกขณะ เราจะมีศีลมีธรรมและบำเพ็ญธรรมสิ้นกรรมพ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าอยู่กับเขาหรืออยู่กับใคร สมมติว่าเรารับประทานอาหารแล้วเจอรสเปรี้ยวโกรธไหม (ไม่โกรธ)  กินแกงจืดแล้วรสเป็นต้มยำโกรธไหม (โกรธ)  ซื้อส้มบางมดแล้วคนขายบอกว่าหอมหวาน แต่พอกินแล้วเปรี้ยว โกรธไหม (โกรธ)  เห็นไหมกลายเป็นกรรมเลยไหม ฉะนั้นเขามีสิทธิ์จะพูดเป็นเรื่องของเขา แต่สำหรับศิษย์คือ “การควบคุมใจตัวเอง” ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ต้องรอ ปฏิบัติทุกขณะที่เราโดนกระทบ แล้วเราเลือกได้ว่าจะเป็นผู้มีศีลธรรม หรือเราจะถูกกระทบแล้วเราสร้างกรรม จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยู่ที่เราจะแปลสิ่งที่รู้ให้รู้จนถึงที่สุด เชื่อไหมศิษย์ อาจารย์อยากได้คนแบบนี้ “ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่ทำ”
เพราะถ้ายึดดีก็ต้องไปเสวยกรรมดี และถ้าหากทำชั่วแล้วละชั่วไม่ได้ก็หนีไม่พ้นที่ต้องไปรับผลของกรรมชั่ว แต่หากว่าดี ทำถึงที่สุดแล้วเราไม่ยึดดี ชั่วเราก็ไม่คิดทำ แต่เราก็สามารถคงไว้ซึ่งคุณธรรมความถูกต้อง นั่นคือ ทางพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาชื่อเพลงลมหายใจไว้บำเพ็ญ)
ถ้าเช่นนั้นเวลาที่เหลือของศิษย์นั้นอยู่ที่ ศิษย์จะมีลมหายใจเพื่อสนองกิเลสกรรม หรือมีลมหายใจเพื่อบำเพ็ญศีลทานคุณธรรมและนำพาให้ตนพ้นทุกข์ อยู่ที่ศิษย์เลือกเดินแล้วนะ ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องปฏิบัติเอง รู้เอง อาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทางสว่าง ถ้าศิษย์จะสว่างก็ต้องสว่างให้ถึงที่สุด อย่าเอาสว่างแค่วับ ๆ แวม ๆ ในโลกไม่มีอะไรร้าย ถ้าคุมใจตนเองได้ เราก็สามารถควบคุมคนในโลกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเราคุมใจตนเองไม่ได้คนในโลกก็สามารถบีบคั้นจิตใจเราได้ ศิษย์รักตนเองไหม (รัก)  แต่ทำไมเพียงแค่ถูกคนว่า ศิษย์ก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่น แปลว่าคน ๆ นั้นไม่เคารพตนเอง ไม่ให้คุณค่ากับตนเอง ปล่อยชีวิตของตนไปอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน เช่นนั้นเมื่อใดที่ถูกคนว่าเราก็หน้าเสีย เขายิ้มเราก็หน้ายิ้ม แสดงว่าเราไม่มีความสุขด้วยตนเองเลย ต้องอยู่ที่หน้าตาและคำพูดคน จริงไหม เรื่องที่ง่าย ๆ ที่สุด เพียงแค่เราถูกคนว่า หากเขาว่าเราแล้ว เราจะปฏิบัติให้ได้ศีล ธรรม ทาน คุณธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง” ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องทุกข์ เจอเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิด ก็จงทำจิตใจให้เข้มแข็ง ได้ไหม (ได้)  แต่อย่าแข็งโป๊กๆ จนกลายเป็นคนดื้อรั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ศิษย์กลับไปพิจารณาอีกที ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องลาจากศิษย์แล้วนะ มีพบก็มีจาก เมื่อยามมีชีวิตอยู่ จงทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เราต้องจากไป เราจะได้ไม่เสียชาติเกิด เพราะทำจนถึงที่สุดแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
อาจารย์ไม่ต้องปลอบใจอะไรแล้ว ทำไมยังไม่เข้มแข็งอีกนะ ต้องเข้มแข็ง มั่นคง นำพาคนให้ได้ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
ดีใจจังเลย มีความทุกข์อะไรอยากให้อาจารย์ช่วยเหลือไหม มีเวลาน้อยจะได้รักษาเวลานี้ให้มากที่สุด หรืออยากให้อาจารย์พูดปลอบใจอะไร อายุน้อยนะ นักเรียนชั้นนี้อายุน้อย แข็งแรง สดใส แล้วก็ยิ้มหวานทั้งนั้นเลย ฉะนั้นในสิ่งที่ไม่มี เราจะมีให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในสิ่งที่ขาดแคลนเราจะสมบูรณ์ให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราผ่านมาทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสมบูรณ์ที่สุด เราก็จะส่งมอบต่อให้คนอื่นได้มากที่สุด จริงไหม (จริง)  มีแต่คนที่มีความสุข ถึงจะส่งมอบความสุขให้ผู้อื่นได้ มีแต่คนที่มีใจกว้าง ถึงจะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเข้มแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอายุเท่านี้แล้วไม่หงอยแล้วนะ ยิ้มเข้าไว้ ภูมิใจเข้าไว้ว่าเราใช้ชีวิตมาเต็มที่แล้ว
ฉะนั้นหลังจากนี้เราจะเหลือคุณค่าและทรงคุณค่าที่ดีที่สุด ด้วยการเข้าใจชีวิตว่าเราไม่เกิดมาเพื่อรับกรรม ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจความจริง
ที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่ทำแล้วทำให้เราปล่อยวางความยึดถือ เข้าถึงความบริสุทธิ์ ใส สว่าง สะอาด ในใจ อะไรที่ทำให้ใจของเราสกปรก ก็อย่าไปคิด อะไรที่ทำให้ใจของเราร้าย ก็อย่าไปเอามา เพราะใจของฉันจะกลับฟ้า ฉันจะนำใจเดิมกลับฟ้า ใจฉันต้องสะอาด ต้องใส ต้องดีที่สุด ดีจนไม่มีใครเคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ฉันจะดีได้ถึงขนาดนี้ ทำได้ไหม (ได้)  ทำให้ได้นะ ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การประคองใจของตัวเองให้ถูกต้อง ให้ดีงาม ให้มีธรรม ธรรมที่เรียกว่า ทำให้เราประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ ร่มเย็นยิ่งกว่าร่มเย็น ดีงามยิ่งกว่าดีงาม
อาจารย์เชื่อในศิษย์ว่า ขอแค่เพียงศิษย์มั่นใจว่าทำได้ เราก็ทำได้ จริงไหม (จริง)  ศรัทธาเชื่อในความดี ศรัทธาเชื่อใจธรรมที่เรามี แล้วเราจะได้กลับไปสู่สิ่งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นดูแลจิตใจของตัวเองนะ เรามีกรรมแค่เพียงสังขาร แต่ใจเดิมแท้ของเรานั้นไม่มีกรรม เรามีทุกข์เพียงแค่ร่างกาย แต่ใจเดิมแท้ของเราไม่เคยทุกข์นะ
ศิษย์รู้ไหม การช่วยคนก็คือการช่วยตัวเอง ยิ่งเราพยายามช่วยคนมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้ช่วยตัวเองมากเท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญจึงไม่ดูถูกคุณค่าของตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นศิษย์ที่อาจารย์รัก ที่สมแล้วกับการเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กง มีหนทางเดินที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติจริงที่งดงาม มีการกระทำที่ดีและถูกต้อง โลภ โกรธ หลง ความอยากในโลกนี้ไม่เคยช่วยให้ศิษย์พ้นทุกข์เท่ากับธรรมะ ธรรมะแห่งความเมตตา ธรรมะที่รู้จักอุทิศเสียสละ
ให้ให้ถึงที่สุด ให้โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น
(ใจไม่ปล่อยวาง)  ก็มัวแต่หมกมุ่นกับความคิด ถ้าเมื่อไรที่คิดฟุ้งซ่าน ลองเอาเพลงธรรมะมาร้อง จะทำให้เราวางลงได้บ้าง เพราะคิดไปก็ไม่ช่วยอะไร จริงไหม ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็งก้าวต่อไป กายทิ้งไว้ที่โลกนี้ เอาจิตเดิมแท้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์ เข้มแข็งแล้วรู้จักหาทางออกให้ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้ว
ทุกข์ก็อย่าแบกมันไว้ เข้มแข็งและยอมรับความจริงนะ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยคุณธรรมความเป็นคน ดูแลตัวเองด้วย ทำให้ได้ ตั้งใจนะ มีโอกาสศึกษาบำเพ็ญให้ดี อย่าดื้อและเลิกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชีวิตของศิษย์เองศิษย์ต้องเลือกเอง แต่เมื่อเลือกแล้วจงเลือกสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด เพราะชีวิตมันเดินหน้าแล้วมันย้อนกลับไม่ได้ อย่าคิดว่าอายุมากแล้ว ฟังธรรมไม่ค่อยรู้เรื่อง
ยิ่งยากเท่าไร ยิ่งต้องฟังให้ได้ ยิ่งต้องฟังให้รู้ ปัญญามีอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวศิษย์เองทุกคนจะนำปัญญานั้นมาเข้าถึงธรรมไหม อย่าเกี่ยงงอนในการเรียนรู้ธรรม ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ทุกข์ แต่ต้องพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ทำตัวให้ถูกต้องนะศิษย์เอย เป็นอะไรอาจารย์ไม่ว่า ขอแค่ทำให้ถูกต้อง ได้ไหม แล้วสักวันศิษย์จะเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พยายามให้ศิษย์รู้ แค่อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่ได้อยากให้ศิษย์ทุกข์ในโลกเลยนะ คิดให้ดีๆ


วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าเรารู้อะไรที่มันไม่ถูก เราต้องรีบแก้ เราต้องยอมรับอย่าฝืน ถ้าฝืนไปแล้วมันไม่ใช่ แม้บางครั้งผิดก็ต้องผิด อย่ากลัวที่จะผิด เพราะความผิดทำให้เราก้าวหน้า ความผิดทำให้เรารู้จักยอมตัวเองยิ่งขึ้น
จริงๆ อาจารย์อยากคุยกับฐันจู่ ฐันจู่จินโจวเป็นอย่างไรบ้าง
ขอบใจนะศิษย์เอ๋ย อุทิศเพื่อคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่น ยอมอยู่ข้างหลังบ้าง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วนะ  หมดแรงหรือยัง ผลักดันกันไปให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อาจจะมีไม่ถูกใจกันบ้าง ก็ขอให้อะลุ่มอล่วยไปให้ถึงที่สุด อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว บางทีการสร้างห้องพระก็เหมือนการฝึกใจเราที่สุด ฝึกใจให้กว้างยิ่งกว่ากว้าง ยอมยิ่งกว่ายอม ให้ยิ่งกว่าให้
อาจารย์แจกผลไม้เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจ ให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เป็นลูกศิษย์อาจารย์ทั้งทีต้องเข้มแข็ง อย่างน้อยต้องให้สมกับที่ต้องตั้งใจบำเพ็ญ เหนื่อยหน่อยนะ มาเยอะเลย อย่างนี้ผลไม้อาจารย์ไม่พอแน่เลย แต่อย่าลืมนะ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้อย่าไปกลัวใช่หรือไม่ ร่วมแรงร่วมใจกันนะ ถ้อยทีถ้อยอาศัย อะลุ่มอล่วย นิดๆ หน่อยๆ ก็ให้อภัยกัน
อย่าถือสาเอาเรื่องเอาราว เรามาบำเพ็ญเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาด เรามาบำเพ็ญเพื่อละความเป็นตัวตน ถ้าบำเพ็ญแล้ว นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ยอมแปลว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่จริงไหม ฉะนั้นอะไรที่ควรยอมได้ก็ควรยอม อะไรที่ควรให้ได้ก็ควรให้
ฉะนั้นเราได้โอกาสที่ดี เราก็ควรรู้จักแปลงโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ได้ฝึกฝนจิต ไม่ใช่โอกาสที่ตามใจตัวเราเอง อยู่ที่ใจของเราถ้านิดๆ หน่อยๆ เรายอมแพ้ โรคที่มีอยู่นิดๆ ก็จะมีเยอะ แต่ถ้านิดๆ หน่อยๆ ฉันไหวฉันสู้ ฉันได้ฉันผ่าน ที่นิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นไม่มี อาจารย์เคยบอกไว้ตั้งหลายรอบแล้ว กรรมเป็นแค่ที่สังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ถ้าจิตอ่อนแอไปตามกายตามสังขาร เราก็เจ็บทั้งกายและใจ แต่ถ้าเรามีกรรมไว้แค่ที่สังขาร กรรมนั้นก็ทำอะไรที่ใจเราไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกก็จะทำให้เราเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ เพราะถึงที่สุดกายของเราก็ต้องทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ มีแต่จิตเท่านั้นที่จะต้องไป
ศิษย์เอ๋ย ทำจิตใจให้เข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง ผ่านทุกเรื่องราวด้วยหัวใจที่ดีงาม อะไรที่เก็บไว้แล้วมันเหม็น มันไม่ถูกไม่ดีก็อย่าเก็บ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คนที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ  แล้วเราจมอยู่กับเรื่องเก่าๆ ของใครหรือเปล่า  อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสก็ตั้งใจให้เต็มที่นะศิษย์เอ๋ย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำจิตใจให้เข้มแข็ง”
            ทำจิตใจให้เข้มแข็ง                          เรื่ยวแรงไม่มีถดถอย
    แม้เป็นแสงเทียนเล่มน้อย                          หิ่งห้อยไม่แพ้แสงไฟ
    หยัดยืนหัดเป็นพุทธะ                               ชนะใจตนให้ได้
    ขัดข้องไม่ว่าเรื่องใด                                 วินิจฉัยความคิดตัวเอง
    ความทุกข์ทำให้อ่อนแอ                            ทางแก้ไม่ใช่ต้องเก่ง
    บางทีรู้จักร้องเพลง                                  คร่ำเคร่งไม่สู้ทำใจ
    ปล่อยวางไม่ท้วงหวงแหน                          ดินแดนวิสุทธิ์อยู่ไหน
    ตัวตายก็ไม่ได้ไป                                     หากใจปล่อยวางไม่ลง


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมผูถี เมื่อวันที่
๑๑-๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒   

จากเดิม เพียงผิดหวังไปบ้าง แก้เป็น เพียงผิดหวังไม่ตาย
จากเดิม สุขใจก็มีทุกข์ได้ แก้เป็น สุขใจก็มีความทุกข์ได้

ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน  ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา  สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า  ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย  ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ  ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา  อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำ พิจารณา  ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป  ซึมเศร้ากันไปไหน  คนดีต้องมีละอายเพียงผิดหวังไม่ตาย  ธรรมไมไปไม่มา
ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง  จึงได้บำเพ็ญ เป็นใจเองวุ่นวาย  สุขใจก็มีความทุกข์ได้  สุขเพราะปลงความทุกข์ไป  คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาว์
ทำนองเพลง : ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง : กำไรจากความทุกข์



[๑]กระถด : ถดถอย, กระเถิบ, ขยับ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

2562-05-11 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก

西元二〇一九年歲次己亥四月初七日仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๑พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  งานธรรมะเฟื่องฟูเมืองสองแคว        คนเก่าแก่และคนใหม่ไม่แตกต่าง
การบำเพ็ญเป็นหลักใหญ่เป็นแนวทาง   งานแผ่กว้างใช้หลักธรรมเป็นหัวใจ
                    เราคือ
  ศิษย์พี่นาจาน้อย                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามทุกคนสบายดีไหม
  หมั่นเตือนตนชีวิตคนดั่งเทียนไข     จงตั้งใจบำเพ็ญด้วยความบากบั่น
สร้างทุกบุญเป็นวันดีทุกวัน              ชีพแสนสั้นใช้ชีวิตผิดเป็นครู
เปิดปัญญาประเดิมใจไปทั้งหมดฟ้า    แรกพร้อมศรัทธาสิ่งที่เห็นที่รู้
ทำได้ดีตรงทางธรรมเป็นอยู่            เกียรตินั้นของหน้าที่ผู้ช่วยเบื้องบน
ธรรมคู่คิดหรือไม่มองตาพูด             ธรรมไร้สูตรเอาธรรมไปฝึกฝน
เหล่าความคิดติดลบมักลวงตน         ไม่ช่วยคนสุขแต่เห็นแก่ตัว
คนรักแต่สบายไม่อยู่ให้เข็ญ             ชวนบำเพ็ญไม่บำเพ็ญทุกข์กับเรื่องตัว
ไม่อยากโดนใจทุกข์มาพันพัว           บำเพ็ญทั่วหาไม่แล้วไม่แจ้งใจ
ไม่ว่าใครมีสบายไม่เพลินบ้าง           ที่เพลินบ้างก็ด้วยปล่อยตามนิสัย
คนนั้นเกิดมาอยู่ในโลกทำไม            พ้นเวียนว่ายพ้นทุกข์คนพ้นโลก
รู้จักพิจารณาช้ำแล้วไม่ช้ำอีก            ภายใต้ปีกหลักธรรมแรงลมกรรโชก
ฐานบัวปรากฏฐานย่อมอยู่ในโลก       ดูกระจกชัดแจ้งในตนทบทวน
                                                                         ฮิฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

    ศาสนาเกิดจากความกลัวเรามีศาสนาเพราะเรากลัว  เรายึดศาสนาเป็นที่พึ่งเพราะเรากลัวกลัวตาย กลัวทุกข์กลัวเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกศาสนาล้วนมีหลักอันเดียวกันคือสอนให้คนอยู่กับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยการที่เราไม่ต้องทุกข์  ฉะนั้นศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัวแต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้ความจริงอันเป็นธรรมดาที่หลีกหนีไม่พ้นและเมื่อเราพบความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทุกข์แต่เราสามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเราต้องพบความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นธรรมจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมสอนให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริงโดยไม่ทุกข์ การเรียนรู้ธรรมจึงต้องการให้เราเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาโลกโดยที่เราอยู่กับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลกแล้วเราไม่ทุกข์
ฉะนั้นถ้าใครมีศาสนาแล้วเข้าใจธรรม เมื่อถูกว่าก็จะไม่ (โกรธ)  เจ็บปวดก็จะไม่ (ทุกข์)  พบความตายก็จะไม่ (กลัว)  ถ้าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม นี่ก็เป็นความจริงอันเป็นธรรมดาได้นั่งก็ต้องได้ (ยืน)  ถ้ายืนแล้วนั่งไม่ได้แสดงว่าเริ่มมีโรคแล้ว  หรือนั่งแล้วยืนไม่ได้ก็เรียกว่าเป็นอัมพาตฉะนั้นถ้าเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตเราก็จะรู้ว่าเกิดเป็นคนไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นธรรมดาของโลกเราไม่ควรที่จะทุกข์แต่เราควรที่จะพบธรรมและพ้นทุกข์ถึงจะเรียกว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแต่เมื่อไรที่เราถูกว่า เจ็บป่วย สูญเสีย พลัดพราก เรายังทุกข์  พอแก้ไขอะไรไม่ได้เราก็ไปทำบุญเพื่อให้พ้นทุกข์ แต่เราพ้นทุกข์ไหม(ไม่พ้น) เพราะปัญหาอยู่ที่ความคิด ความรู้และความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่บุญต้นเหตุของความทุกข์นั้นอยู่ที่ความคิดและไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเมื่อไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้องเป็นไปเราก็ต้องทุกข์แล้วหวังแต่อิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้นแปลว่า เรากำลังบำเพ็ญธรรมผิดใช่หรือไม่ ถ้าคิดแล้วทุกข์ แต่ก็คิดซ้ำๆควรทำอย่างไร(ปล่อยวาง)  ตอบได้ดี แล้วปล่อยวางอย่างไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์บางครั้งสิ่งที่เห็น แต่ถ้าเราไม่เอามาคิดเห็นก็เหมือนไม่เห็นถูกไหม (ถูก)  บางอย่างหากเราไม่คิดถึงสิ่งที่มีก็เหมือนไม่มีแต่ทีไม่มีถ้าเราคิดว่ามีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติเราเห็นอะไรแว๊บๆตอนกลางคืน ถ้าเราไม่คิดไม่สนใจก็ไม่มีผีแต่ถ้าเราคิดแม้ไม่มีผีจริงก็เหมือนกับ (มี)  เช่นมีคนที่เราโกรธแต่เราไม่ใส่ใจ ไม่ให้คุณค่าเขา ไม่ให้ความสำคัญเขาจะมีผลต่อใจเราไหม (ไม่มี)  ความทุกข์ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์น้องทุกข์แล้วศิษย์น้องไม่คิดทุกข์มีก็เหมือน (ไม่มี)  ฉะนั้นแม้ว่าเวลาเราเจ็บแต่เราไม่คิดถึงเราพยายามทำตัวให้แข็งแรงๆมีก็เหมือน (ไม่มี)  การปล่อยวางที่แท้จริงก็คือสิ่งนั้นมีแต่เราไม่คิดมนุษย์ทุกคนรู้จักคำว่าปล่อยวางชอบพูดคำว่าปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะปล่อยอย่างไรในเมื่อเห็นทุกวันเกลียดทุกวันนั่นคือเห็นแล้วเราไม่คิดเห็นแล้วเราไม่ใส่ใจ หรือถ้าคิดแล้วมันทุกข์ หันไปทางไหนๆ ก็ทุกข์ทำไมเราไม่ลองพลิกใจแล้วหันไปทางอื่นบ้างในเมื่อโลกนี้ยังมีอะไรที่น่าดูและเรียกว่าความสุขอีกมากเลยในเมื่อเห็นแล้วทุกข์เห็นแล้วเจ็บ คิดแล้วปวด แล้วทำไมไม่รู้จักพลิกใจบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนแค่รู้จักหยุดความคิดชีวิตก็ไม่มีความทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้แล้วเอาแต่คิดว่า “เมื่อย  เมื่อไรจะจบ เบื่อแล้ว” นั่งไปก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าคิดในทางที่ดี เช่น“มันก็ดีนะ มันก็สบายนะนั่งเฉยๆเดี๋ยวก็มีคนทำนั่นทำนี่ให้กินก็ดีนะ สาธุด้วยนั่นได้บุญนะอนุโมทนาบุญด้วยนะ พูดดี ยินดีด้วยนะ” คิดแบบนี้ได้บุญไหม (ได้)  แล้วทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ แปรทุกข์เป็นสุขธรรมสอนให้เราฉลาด มีปัญญาธรรมไม่เคยสอนให้คนโง่ ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วโง่แปลว่าไม่ใช่ธรรม แต่หากทำอะไรแล้วฉลาด เกิดการปล่อยวางเกิดการพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่าปัญญาธรรม
โดยส่วนใหญ่เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมกันมามาก แต่ถามว่า ธรรมคืออะไร บางทียังหาไม่ได้ ถ้าธรรมคือความสว่าง ความสงบ ความร่มเย็น ความว่าง ชีวิตเราเคยมีธรรมไหม ถ้าเราอยากมีธรรมเราก็แค่หยั่งรู้ในความสงบหยั่งรู้ในความว่าง มีสติอยู่กับความสงบ ความว่าง เราก็คือคนที่มีธรรมถ้าเมื่อไรเราคว้าความว่างความสงบก็แปลว่าเรากำลังคว้าธรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคว้าความมี ความยึดติดความอยาก ความโลภเราก็เป็นผู้ที่ไร้ธรรม ถ้าทุกชีวิตพยายามยึดความมีเราก็จะไม่มีวันพบความว่างถ้าพยายามยึดความมีความอยากได้ สิ่งที่เราได้ก็คือกิเลสตัณหา ทิฐิ อัตตาตัวตน แต่ถ้าทุกขณะที่เราคว้าความว่าง ความไม่มี เราก็พบความสงบและพบธรรมแล้วในชีวิตจริงเราไม่เคยพบธรรมเพราะเราพยายามคว้าความมี ความอยากความโลภ เราจึงหนีไม่พ้นความทุกข์และไร้ธรรม 
ท่านอาจจะบอกว่าเกิดเป็นคนต้องมีนั่นมีนี่ ไม่มีก็ไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) เราถามท่านว่ามีมากมายแล้วพ้นทุกข์หรือไม่มีจนถึงที่สุด สุดท้ายท่านก็อยากหาธรรม อยากว่างบ้างแล้วใครจะช่วยได้ในเมื่อตนเองยังอยากมีฉะนั้นอยากพบธรรมก็แค่หยุดความอยากมี อยากยึดเพราะถ้ายังยึดไม่จบก็ไม่มีวันพบธรรมจริงหรือไม่ (จริง) แต่หากรู้จักวาง รู้จักปลงทำให้ดีที่สุดแล้วสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเราก็แค่ยืมเขาใช้แล้วปล่อยวางไปแบบนี้จะทุกข์หรือไม่ แล้วจะวางใจอย่างไรให้มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วทำให้มีธรรม
ท่านว่าฟ้ากว้างหรือไม่ (กว้าง) ในความกว้างมีขอบเขตหรือไม่ (ไม่มี)ในความไม่มีขอบเขตมีรูปลักษณ์ที่แน่นอนหรือไม่ (ไม่) ไม่แน่นอนแล้วในความว่างของฟ้ามีก้อนเมฆมีลม มีมืด มีสว่าง หรือไม่ (มี) ในเมื่อมี แล้วทำไมฟ้าไม่ทุกข์ แต่ทำไมเราทุกข์  ฟ้าเหมือนเรา ในตัวเรามีความว่างในความว่างก็มีความมี  ในความมีก็มีความว่าง  ในความว่างก็มีความมืด มีความสว่าง  ทำไมเราทุกข์แต่ฟ้ากลับไม่ทุกข์ ต่างกันตรงที่เพราะฟ้าไร้ตัวตนที่ยึดติด ฉะนั้นหากเราไม่ยึดถือไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถ้าวันหนึ่งจะมืดหรือจะสว่างก็เป็นธรรมดาของชีวิต วันหนึ่งตั้งขึ้นได้วันหนึ่งก็ล้มลงได้ ก็เป็นธรรมดาของชีวิต หากเข้าใจหลักนี้เราจะไม่ทุกข์ฉะนั้นตัวตนคือความหลงที่ยึดติดและหนีไม่พ้นถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีทุกข์  แต่ถ้ายึดตัวตนเราก็ทุกข์กับทุกๆสิ่งที่เราพยายามเอาตัวตนไปเกี่ยวข้อง  เช่นถ้าเราบอกว่าผ้าผืนนี้เป็นของฉันถ้าผ้านี้หายไป หรือสกปรกไปเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  แต่ถ้าผ้านี้ไม่เป็นของใครแม้ว่ามันจะหายไปหรือสกปรกไปเราเป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นจำไว้ธรรมสอนให้เราเป็นแค่ผู้รู้ เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นและยึดติดนี่เป็นหลักใหญ่รู้และรักษาความรู้ให้ปกติมั่นคงจนเกิดความเห็นแจ้งในปัญญาและความจริงของโลกทั้งปวง เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญาทันที  ศีลก็คือความปกติสมาธิคือความมั่นคงในความปกติปัญญาคือรู้แจ้งในความปกติจนไม่ยึดมั่นถือมั่นจนไม่ทำให้ตัวเองทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นบำเพ็ญศีล สมาธิ  ปัญญาในทุกขณะที่เรามีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงของโลกใบนี้อันเรียกว่าธรรมะ ยากไหม (ไม่ยาก) 
เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก เห็นก็เหมือนไม่เห็นถ้าอยากเข้าถึงความว่างที่เรียกว่าธรรมะ ต้องไม่มีขอบเขต   ถ้าเราสามารถเอาสิ่งนั้นมาย้ำเตือนเราทุกครั้งที่เรามองสรรพสิ่งเราก็จะไม่ยึดติด และเราจะค้นพบธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเห็นใครในโลกแล้วเห็นอย่างแท้จริงบ้าง  เราเห็นก็เหมือน (ไม่เห็น) เหมือนท่านเห็นความว่าง ท่านอยากเข้าถึงธรรมโลกนี้สอนเรื่องความว่างอยู่อย่างหนึ่งว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็นเพราะมีบางสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่ยากเดาจากคนๆ หนึ่งเช่นกัน  ถ้าท่านอยากพบธรรมะ จำไว้ว่า เห็นเขาเหมือนมีแต่ก็เหมือน (ไม่มี)  แฟนลูก เงิน เหมือนมีอยู่กับเราแต่จริงๆ แล้วก็ไม่อยู่กับเราเหมือนเห็นเขาอยู่ใกล้ๆ เรา แต่จริงๆ แล้วใจเขาไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนครอบครองและรู้จัก แต่จริงๆแล้วเราเหมือนคนที่ไม่รู้จักเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเขาก็ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับเราได้ ใช่ไหมฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้จักก็เหมือนไม่รู้จักเหมือนครอบครองได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้และเอาหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตกับทุกสรรพสิ่งแล้วเราจะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นของเราเพราะถึงที่สุดแล้วก็คือความว่างการพยายามยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์และวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย หรือเรียกอีกอย่างว่าวิบากกรรม
ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงความว่างของธรรมได้มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นการยึดติดความคิดแห่งตัวตนเมื่อยึดติดความคิดแห่งตัวตนก็จะมีสิ่งที่เรายึดเรียกว่าดีและไม่ดีชอบและไม่ชอบก็เลยหนีไม่พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะหนีไม่พ้น กิเลส กรรม มนุษย์มักจะพูดบอกว่า “ถ้าเรารู้จักฟ้าเราจะไม่โทษฟ้า ถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่โทษใคร” เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ ถ้าเรารู้จักฟ้า เราจะไม่ตัดพ้อต่อว่าฟ้าลำเอียงฟ้าไม่ยุติธรรม และถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่บ่นด่าใคร ฉะนั้นแปลว่า“ฟ้า”เราก็ไม่รู้จัก “คน”เราก็ไม่รู้จัก เราจึงด่าทั้งฟ้าแล้วก็ด่าทั้งคนจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นเพราะฟ้ากำหนด คนจัดการหรือเราเป็นผู้จัดการและกำหนด
คนเราจะดีหรือร้ายโชคดีหรือโชคร้ายเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ใครกำหนด (เรากำหนด)การกระทำของเรากำหนดเองใช่ไหม (ใช่)  เรา ไม่ควรว่าเขาแต่ควรว่า (ตัวเอง) ไม่ควรบ่นฟ้าแต่ควรบ่น (ตัวเอง)  ฉะนั้นถ้าท่านไม่ทำบาป ไม่ผิดศีลไม่ประพฤติผิดจะกลัวอะไรกับเคราะห์กรรมและโชคร้ายถ้าท่านเป็นคนดีที่สุดเป็นคนน่ารักที่สุดแล้วจะกลัวอะไรกับคำว่าดีหรือไม่ดีที่คนอื่นพูด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพิจารณาก่อนทำย่อมประสบสุข แต่ถ้าทำแล้วค่อยคิดย่อมประสบทุกข์หากอยู่ในโลกรู้จักให้อภัยผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธผู้อื่นไม่เคยแค้นเคืองใคร มีหรือจะไม่เป็นที่รักของใครดังนั้นไม่ว่ามีเรื่องอะไรถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วตำหนิต่อว่าตัวเองก่อน “ขอโทษนะฉันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้” คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนมีหรือใครจะไม่รัก  แต่ถึงเวลาดำเนินชีวิตจริงๆ นอกจากเราไม่อภัยแล้วยังถือสาหาความแล้วว่าเขาอีกจริงไหม (จริง)  จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์นั้นแปลกเดินไกลเป็นร้อยก้าวพันก้าวสามารถมองเห็นชัดแต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังตัวเองกลับมองไม่เห็นฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกให้เป็นสุขก็ต้องรู้จักเข้มงวดตนผ่อนปรนผู้อื่นเอาความรู้ระดับปราชญ์มาตรวจสอบตน เอาความรู้ระดับปุถุชนไปตรวจสอบผู้คนเรียกว่าเอาสิ่งที่เข้มงวดที่สุดมาตรวจสอบตัวเองนำสิ่งที่ผ่อนปรนไปใช้กับผู้อื่น แล้วเราจะไม่ถือโทษใคร
ถ้าในใจเรารู้สึกว่ามีแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่นเต็มหัวใจเราจะไม่สามารถอยู่กับใครได้อย่างร่มเย็น ไม่สามารถเมตตาปรานีเขาได้และเราจะไม่สามารถอยู่กับใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ดังนั้นเราจึงไม่ควรช่างว่า ช่างตำหนิ และควรให้อภัยไม่ถือสาถ้าเราเห็นทุกคนไม่มีคุณค่าเราก็อยู่กับคนที่ไร้ค่าเต็มไปหมดแต่ถ้าเห็นทุกคนมีคุณค่ามีคุณประโยชน์เราก็อยู่กับคนที่เต็มไปด้วยความน่ารักถ้าเรายังเข้าถึงความว่างไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เพราะธรรมะสอนเราว่าคนเราเกิดมาเดินหน้าตรง ไม่ก้มหน้า ไม่เงยหน้าธรรมะสอนให้เรามองอย่างเป็นกลาง แต่เราชอบมองแบบยึดติดว่ามันแย่ธรรมะสอนเราว่าแย่ก็ไม่ไปคิด ดีก็ไม่หลง ศาสนาพุทธสอนให้เราเป็นกลางแล้วตัวเราเป็นกลางหรือไม่ ตัวเป็นกลางแต่ใจมันลำเอียงธรรมไม่เคยสอนให้เรายึดติด มีสุขเราก็ติดสุข มีทุกข์เราก็ติดทุกข์แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง และเข้าใจว่ามันก็มีวันมืดและก็มีวันสว่างและเราเกิดมาเพื่ออยู่ตรงกลางอย่างสมดุล ถ้ายึดเมื่อไรก็หนีไม่พ้นทุกข์ฉะนั้นจะเอาหัวจมอยู่กับทุกข์หรือว่าจะยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฟ้าดินยังมีคนที่แย่กว่าเราและคนที่ดีกว่าเราถ้ารู้สึกแย่มันทุกข์เราก็หันไปมองคนที่เขาแย่กว่าเราก็จะทำให้เรารู้สึกดีถ้ามองดีมากแล้วทำให้หลงก็อย่าลืมว่ามันไม่เที่ยงเพราะถึงที่สุดแล้วชีวิตอยู่ที่เราเลือกเดิน ถ้าเข้าใจหลักของฟ้าจะไม่โทษฟ้าเข้าใจหลักของความเป็นคนจะไม่ด่าทอคนให้เกิดวิบากกรรมที่เรียกว่า เกลียดโกรธ หลง แค้น จองเวรจองกรรมอีกเลย การรู้แจ้งจะทำให้เราพ้นกิเลสพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่ต้องอดทน แต่จะเกิดความกระจ่างแจ้งว่า “ช่างเขา” ไม่คิดก็ไม่มี ยิ่งคิดก็ยิ่งมี จริงไหมฉะนั้นปล่อยความคิดและรักษาความเป็นกลางให้สมดุลวันนี้รักมากก็หัดมองให้ชัดเจนวันนี้เกลียดมากก็ลองมองดูว่าเขามีอะไรน่ารักไหม แท้ที่จริงแล้วคนที่เราเกลียดจนแช่งชักหักกระดูกเขาก็มีมุมที่น่ารักและคนที่เรารักมากจนทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเขาก็มีอะไรที่น่ารังเกียจเหมือนกันฉะนั้นเราควรโกรธให้สะใจ แล้วเป็นทุกข์ เป็นหนี้บาปกรรม เป็นวัฏฏะการเวียนว่ายหรือเราควรจะไม่โกรธดี (ไม่โกรธ)  โดยไม่ต้องใช้คำว่าอดทนหรืออภัย แต่เป็นความเข้าใจ
แปลกนะ มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาต้นเหตุเพื่อดับทุกข์แต่พยายามหาสุขทั้งที่จริงๆแล้วถ้าดับทุกข์ได้ทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขแต่มนุษย์หนีทุกข์และพยายามหาสุขถึงที่สุดแล้วความสุขที่พยายามหานั้นก็ให้ทุกข์ไม่ต่างกันเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเรารู้แจ้งเข้าถึงความจริงแห่งทุกข์เราก็จะพบสุขได้โดยที่ไม่ต้องแสวงหาสุขจากภายนอกเลยสภาวธรรมหรือสภาวะความว่าง จริงๆแล้วมีอยู่ในตัวเราทุกคนนะแต่อยู่ที่ว่าท่านเคยใช้สติ หยั่งลงมองให้เห็นความจริงในใจตนเองไหมถ้าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่นก็มองไม่เห็นความว่างแต่ถ้ามองให้ดีแล้วในความมีมันมีความว่างอยู่
สรุปง่ายๆจิตที่ว่างไม่ใช่ไม่มีความคิดอะไรจิตที่ว่างยังมีความคิดเต็มไปหมดแต่รู้เท่าทันความคิดด้วยสติและก็สงบได้จิตที่สงบและบริสุทธิ์ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องราวหน้าที่อะไรยังมีเรื่องราวหน้าที่แต่สามารถรักษาความสงบสุขท่ามกลางความวุ่นวายได้เวลาเราไปทะเล เราอยากหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  เราขึ้นภูเขาเราก็อยากไปตากอากาศเย็นสบายและหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บนภูเขาเราหนีเสียงนกได้ไหม (ไม่ได้)  ขึ้นบนเขาก็ยังมีเสียงนกเสียงน้ำตก เสียงลม และก็ยังมีเสียงจั๊กจั่น จิ้งหรีดแต่ทำไมเราว่ามันสงบนั่นเป็นเพราะเราชอบเช่นกันอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมถ้าจะไม่มีเสียงคนถ้าถือว่าเสียงคนเป็นเสียงนกกระจิบที่เราได้ยินบนภูเขาเราก็จะสงบได้ถ้าที่ไหนก็สงบก็คือที่ที่เราพักผ่อนแต่ถ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่สงบถึงจะขึ้นภูเขาเข้าป่า ไปว่ายน้ำไปเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่สงบ ก็เหมือนคนที่หลอกตัวเองเพราะลึกๆมันไม่สงบ ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงถึงที่สุดก็ไม่สามารถหนีความว่างได้แต่ถ้าศิษย์น้องยังอยากยึดความมีศิษย์น้องก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องเข้าถึงความว่างศิษย์น้องจะพ้นจากกรรมดีกรรมชั่วและวัฏสงสาร คิดดูนะ ถ้าทำอะไรรู้จักพิจารณาก่อนทำเราก็จะไม่เดือดร้อนแต่ถ้าทำแล้วค่อยพิจารณาเราลำบากแน่เลย
ถ้ายังมีรากบุญดีอีกไม่นานก็จะกลับมาผูกบุญกันอีกแต่ถ้าไร้รากบุญแล้วแม้พบกันวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นวันสุดท้ายก็ได้จริงไหม (จริง)  บุญหรือบาปบุญหรือเคราะห์กรรมไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่กำหนดแต่อยู่ที่ศิษย์น้องเป็นคนสรรค์สร้างเอง  ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญและรักษาบุญด้วยการหมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามและช่วยชำระล้างจิตใจได้ไหม (ได้)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกอย่าดูถูกตัวเองเราสามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้และสามารถสร้างชะตาด้วยการปลูกบารมีให้ธรรมะเป็นทานได้  แล้วธรรมที่เป็นทานที่ยิ่งใหญ่คือธรรมที่ไม่ถือสาหาความ เห็นเหมือนไม่เห็นไม่ยึดติดความคิดตัวเองจนกลายเป็นวิบากกรรมให้ทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  กลับแล้วนะ

*** ประวัติศิษย์พี่พระนาจา
สมัยปลายราชวงศ์เซียง คาบเกี่ยวต้นราชวงศ์จิว ในรัชสมัยของจิวบุ้นอ้วงเป็นฮ่องเต้ ตำนานกล่าวถึงเทพนาจาเป็นบุตรคนที่ 3 ของแม่ทัพหลี่จิ้ง มีกำเนิดที่ไม่ปกติเพราะอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 3 ปี 6 เดือนกว่าจะคลอด และเมื่อคลอดออกมาก็มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหุ้มอยู่ จนบิดาต้องใช้กระบี่ฟันก้อนเนื้อจึงปรากฏทารกเพศชายมีผ้าสีแดง มีห่วงทองคำ สร้างความปีติแก่ครอบครัวอย่างมาก รุ่งเช้านักพรตไท้อิกจิงยิ้งได้มาร่วมแสดงความยินดีกับแม่ทัพหลี่ และเห็นลักษณะนาจาว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูง จึงได้รับไว้เป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้ เมื่อนาจาอายุได้ 7 ขวบ ได้ออกไปท่องเที่ยวจนเกิดการวิวาทกับบุตรชายเจ้าสมุทร และพลั้งมือจนบุตรชายเจ้าสมุทรเสียชีวิต เจ้าสมุทรจึงมาแก้แค้นนาจา บิดาของนาจาโกรธเคืองบุตรของตนเป็นอย่างยิ่งนาจาต้องยอมผ่าท้องควักไส้ตนเองเพื่อชดใช้ความผิดด้วยชีวิต ต่อมาเทพไท้อิกจิงยิ้งได้ชุบชีวิตนาจาขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นนาจา บิดาหลี่จิ้งและพี่ชายทั้งสองได้ไปช่วยแม่ทัพเจียงไท่กงทำสงครามกับกองทัพราชวงศ์เซียง จนได้ชัยชนะ ล้มราชวงค์เซียงไป เกิดราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์จิว นาจา บิดา และพี่ชายทั้งสองได้กลับไปบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรม กลับคืนเบื้องบน


วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒          สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ในระหว่างตั้งตัวกลัวไม่ตั้งใจ          บอกกับใจว่าไม่เอาแต่หยวน
กำหนดบ้างไว้ทุกข์ในสัดในส่วน        รักชีวิตคงไม่ด่วนให้ท้ายตน
แต่นี้ไปตายจากความเหลาะแหละ      ดับอารมณ์เศร้าซึมและจิตสับสน
ถกเถียงกันไปไหนเรื่องเวียนวน        คำติบ่นไม่ส่งเสริมกำลังใจ
                    เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมโพธิ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
    ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา
ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว

    ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน คนดีต้องมีละอาย เพียงผิดหวังไม่ตายไปบ้าง ธรรมไม่ไปไม่มา
    ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง จึงได้บำเพ็ญ  เป็นใจเองวุ่นวาย สุขใจก็มีความทุกข์ได้
สุขเพราะปลงความทุกข์ไป คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาวน์


ทำนองเพลง: ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง: กำไรจากความทุกข์

หมายเหตุ ที่ขีดเส้นใต้คือพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

   อยู่ในโลกคนที่น่ารักคือคนที่กล้ายอมรับความจริง คือคนที่ไม่เกียจคร้าน มีน้ำใจไม่ใช่รักแต่สบายไม่ใช่คนที่ชอบเอาแต่อู้งานมาตากแอร์ในห้องดีกว่าไม่ต้องทำอะไร ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนโดยส่วนใหญ่มักจะบ่นๆ ว่าเกิดเป็นคนดีก็ยากแล้วดีแล้วแล้วยังต้องพยายามบำเพ็ญอีกก็ยิ่งยากจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นบางคนก็ถามอาจารย์ว่าเป็นคนดีไปทำไมเป็นคนดีก็ยากแล้วยังให้บำเพ็ญอีก เป็นคนดียังไม่ค่อยรอดเลยแล้วให้บำเพ็ญจะรอดไหม อาจารย์ถามว่าคนที่ดีคนที่รู้จักบำเพ็ญน่าจะเป็นคนแข็งกระด้างหรือคนอ่อนน้อม (อ่อนน้อม)  น่าจะเป็นคนที่รักการเรียนรู้หรือดื้อแพ่งไม่ฟังใคร (รักการเรียนรู้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราเป็นประเภทไหน (รักการเรียนรู้)  รู้หมดแล้วอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เรามาเริ่มต้นเรื่องง่ายๆ ก่อน เริ่มจากการเป็นคนดีก่อนถ้ายังเป็นคนดีไม่พอจะยังบำเพ็ญไม่ได้ การเป็นคนดีอย่างน้อยคนดีต้องไม่ทำ (ความชั่ว)ขึ้นชื่อว่าคนดีต้องไม่ทำผิดบาป เพราะถ้าเราจะบำเพ็ญแต่ความชั่วความผิดบาปเรายังไม่ละเลิกอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนบำเพ็ญยังไม่ได้ เพราะเป็นคนดียังไม่รอดถ้าใจหนึ่งก็อยากทำดี แต่อีกใจหนึ่งก็ยังละบาปไม่ได้อย่างนี้เรียกว่าดีหรือไม่ (ไม่ดี)  เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่แท้)คนดีอยู่ที่ไหนก็ต้องดีใช่หรือไม่ (ใช่) 
เพราะการบำเพ็ญต้องเริ่มต้นตั้งแต่ดีให้ได้ก่อนฉะนั้นคนดีที่แท้จริงคือคนที่ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อบายมุข โลภโกรธ หลง สิ่งเสพติด สารมึนเมา ไฮโล การพนัน ติดชาย ติดหญิง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องละบาปให้ได้ก่อนเราถึงจะบำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่พยายามเป็นคนดีแต่ไม่ละบาป หรือไม่ก็ทำบาปก่อนแล้วค่อยทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอ๋ยถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วทุกข์น้อยที่สุดก็คือ จะนั่งหรือยืนก็ได้อะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมเผชิญ ชีวิตก็ไม่ทุกข์  แต่ถ้ายืนแล้วไม่ให้นั่งก็โกรธอย่างนี้ก็ยึดติดเกินไป หาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางครั้งชีวิตไม่ใช่เรากำหนด มีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องด้วยฉะนั้นเราจะหวังให้เป็นดั่งใจทุกอย่างเป็นไปไม่ได้
เป็นศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แค่พยายามไม่ประพฤติผิดเพราะคนในโลกพยายามเป็นคนดีเหลือเกิน แต่ไม่ละความผิดและยึดติดความดีจนเป็นความดีหลงผิดอย่างน้อยเริ่มต้นการเป็นคนดีก็คือไม่ประพฤติผิด หนทางของความดีคือต้องมีศีล มีธรรม  ศีลยังนำมาซึ่งความสงบและปกติ ธรรมนำมาซึ่งความสุขและสงบเย็น  ตอนนี้ชีวิตเราปกติดีไหม (ดี)ปกติแล้วสบายดี ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่ชีวิตเราผิดปกติ นั่นแปลว่าเราขาดศีลเมื่อไรที่ชีวิตเราไม่สงบสุข จงถามตัวเองว่าเราขาดธรรมหรือไม่คนที่ดี ไม่ใช่แค่ดีอย่างเดียวหนทางของการเป็นคนดีนั้นต้องมีศีลมีธรรมด้วย ศีลคือทำให้เราปกติธรรมคือทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุขศีลสอนให้เราไม่เบียดเบียนธรรมสอนให้เราประพฤติให้ถูกต้องและมีคุณงามความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเรามีศีลมีธรรมอยู่ทุกขณะกับผู้คน เราก็คือคนดีคนหนึ่งแต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่า “คนเราก็มีผิดพลาดได้ คนเราก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง”ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว เกิดศึกกลางเมือง”  “ถ้าทิ้งก้นยาสูบไม่ถูกที่ก็เกิดไฟไหม้ป่าได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความผิดเพียงเล็กน้อย เราอย่าคิดว่าเป็นเพียงแค่เล็กน้อยแต่เมื่อผลสะท้อนกลับมา เราก็ต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจกับสิ่งที่เราผิดพลาดถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนเราควรที่จะทำผิดไหม (ไม่ควร)  เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าไม่สร้างเหตุที่ถูกแล้วเราจะได้ผลที่ถูกไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราสร้างเหตุที่ผิดเราก็ต้องรับผลที่ (ผิด)  นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำไมเราต้องเป็นคนดีเพราะการเป็นคนดี และอยู่ในศีลในธรรม จะช่วยป้องกันให้ไม่ต้องมีทุกข์และไม่ต้องรับผลของการกระทำที่เรียกว่ากรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาแล้วมีทุกข์ เราอยากเกิดไหม (อยาก)  อย่าหลอกอาจารย์ว่าไม่อยากยังอยากไม่จบ อยากได้โน่น อยากได้นี่จริงไหม (จริง)  เราเกิดมามีทุกข์ หนีกรรมไม่พ้น แล้วยังอยากเกิดหรือไม่ (อยาก)อยากเพราะคิดว่าเผื่อจะมีกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วหากเราไม่อยากรับกรรมในภายหน้าเราต้องรักษาตัวเองให้อยู่ใน (ในศีลในธรรม)แล้วเราอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่ อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับอดีตที่ทำมาและปัจจุบันที่ทำไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากทุกข์แต่ศิษย์รู้หรือไม่ว่าที่ศิษย์ทำดีมีศีลมีธรรมแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ศิษย์จำไว้นะว่าการทำระดับศีล  ระดับบุญ ระดับการทำความดี ยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้เป็นเพียงการป้องกันเราไม่ให้ตกเป็นทาสของกรรมชั่วทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำมาซึ่งทุกข์  วิบากกรรมและความเจ็บช้ำน้ำใจที่เราจะต้องรับในสิ่งที่เราสร้าง  เข้าใจหรือไม่  เหมือนกับที่ศิษย์บอกว่าบุญศิษย์ก็ทำมาก พระก็สร้าง วัดก็ช่วยทำบุญแต่ทำไมไม่เห็นพ้นทุกข์เลย  อาจารย์จะบอกว่าถึงศิษย์จะทำบุญมากแค่ไหนมีดีมากแค่ไหน  แค่ระดับบุญ ศีล ทาน ธรรมยังไม่สามารถนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้  แต่เป็นเพียงป้องกันไม่ให้เรามีทุกข์เพิ่ม  รู้หรือไม่ (ไม่รู้) ไม่รู้ คิดว่าทำบุญทำทานก็พ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าอาจารย์ชอบทำบุญแต่วันหนึ่งอาจารย์เผลอไปตีหัวคนอาจารย์ถามว่าบุญจะล้างบาป จะชดเชยบาปที่เราทำได้หรือไม่บุญที่เราทำมาก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วน (บาป)หากเราไม่อยากมีบาปเราก็อย่า (ทำบาป) ฉะนั้นไม่อยากอายผีก็อย่าทำผิดบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง  ไม่เช่นนั้นผีและวิญญาณร้ายจะดูถูกและเหยียดหยามถ้าเราทำดีมากๆ เหมือนการเติมน้ำลงไปในน้ำเกลือ เพื่อทำให้น้ำเกลือเจือจางลงแต่อาจารย์จะบอกว่าเกลืออยู่ในน้ำอย่างไรมันก็เป็นเกลือ  เช่นกันถ้าศิษย์ทำผิดไปแล้วยอมขอโทษ และอุทิศส่วนกุศลให้เขาศิษย์คิดว่าเขาจะหายโกรธหรือไม่ (ไม่หาย)อาจารย์ถามว่าเราเกิดมาแล้วถูกทำร้ายหนึ่งครั้ง เราอยากเอาคืนหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องตีกลับให้แรงๆ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากย้ำกับศิษย์มากที่สุดก็คือ อย่าทำผิดบาปเพราะเมื่อผิดบาปส่งผลเป็นกรรมเป็นเวรแล้วให้ผลเป็นทุกข์แล้วแม้ศิษย์จะน้ำตานองหน้า แม้ศิษย์จะกราบพระขอให้อภัยเขาก็ไม่ละเว้นอย่าประมาท อย่าดูเบาความผิดเล็กๆ น้อยๆเพราะเมื่อผลกรรมมันตกผล จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นและเขาไม่ได้จองเวรชาติเดียวนะ ถ้าเขาเอาได้เขาก็คงเอาทุกๆ ชาติที่เขาจำได้เหมือนพระเทวทัตกว่าที่จะบรรลุธรรมได้ก็ต่อเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) 
นอกจากการมีศีลมีธรรมแล้วสิ่งที่ศิษย์จะต้องรู้อีกอย่างคือการบำเพ็ญ แล้วทำอย่างไรจะเรียกว่าบำเพ็ญเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์เอาธรรมอะไรที่มาช่วยพิจารณาจนหยั่งถึงและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ตอบได้ไหม (บำเพ็ญเพียรภาวนา) เอาอะไรมาภาวนาแล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ถ้ามนุษย์หมั่นพิจารณาเอาหลักความเป็นจริงซึ่งเป็นแก่นของทุกสรรพสิ่งและเป็นแก่นของรูปนามทั้งปวงมาใช้พิจารณาอยู่เนืองๆ มนุษย์จะสามารถพ้นทุกข์ได้หรือที่ศิษย์บอกว่าจะกลับคืนสู่นิพพานได้อย่างไรแต่ก็ยังเป็นแค่นิพพานชั่วขณะหนึ่งที่เราพิจารณา เราได้พิจารณาอย่างต่อเนื่องหรือไม่สิ่งที่เป็นหลักที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้นั่นก็คือการพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจารย์พูดเรื่องนี้บ่อยครั้ง  แล้วเราพิจารณาจนพ้นทุกข์บ้างหรือไม่สิ่งที่เรารู้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มต้น คือศีลระดับทานและระดับต่อไปคือมั่นคงในความดีงามจนถูกต้องเพื่อเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมแล้วเราจะเข้าถึงปัญญาอันแจ่มแจ้งในธรรมได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งนี้มาหยั่งรู้ในใจและทำให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกฉะนั้นเมื่อไรที่เราพบความเจ็บ ความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสียพบอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจสิ่งนี้จะเตือนใจว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์และมันว่างเปล่าจากตัวตน  ศิษย์เคยเห็นไหมเวลาที่มีเราโมโหคน เรากำลังมีความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และไม่มีใครเคยทุกข์ครั้งเดียวทุกคนล้วนทุกข์แล้วทุกข์อีกถูกไหม (ถูก)  เวลาที่ศิษย์เคยพบคนที่ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เราทุกข์ศิษย์มักถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ทำไมศิษย์ต้องพบคนแบบนี้อาจารย์ศิษย์ไปทำกรรมอะไรมาศิษย์ต้องพบกับคนแบบนี้ทำไมเขาต้องทำกับศิษย์แบบนี้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่พบในสิ่งที่มันไม่คาดคิดเอาอันนี้มาคิดมาพิจารณามันจะแตกยอดออกไปว่า “จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าแขวนตัวเองไว้กับความนึกคิดคาดหวังอย่าผูกใจตัวเองกับอดีตที่แล้วมาแล้วเราจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระและเป็นสุขในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงนี้” จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ก่อนเขาอาจเคยเป็นคนให้ศิษย์ แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่จะเอาจากศิษย์จนศิษย์หมดตัวหรือไม่ไหวจนศิษย์อยากหนีไปให้พ้นๆ ถ้าศิษย์พบคนแบบนี้ ศิษย์จะหนีหรือลุกขึ้นสู้ ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย  อาจารย์จะบอกศิษย์อีกอย่างนะจำไว้ โลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนทุกคนล้วนต้องมีบุญ กรรมกันมาถึงต้องมาพบกันช่วงแรกศิษย์อาจบอกว่า บุญอะไรให้มาพบกันแต่พออยู่ไปสักพักหนึ่งศิษย์อาจจะบอกว่าเป็นกรรมอะไรนะศิษย์จำไว้ไม่ใช่มีแค่กรรมแต่มีทั้งกรรมและบุญมาพร้อมๆ กัน  และถ้าบังเอิญเกิดขึ้นแล้วเขาทำร้ายเราให้เจ็บปวด  เราอยากจบกรรมหรืออยากเกี่ยวกรรมกันต่อ (จบ) เมื่อจบแล้วยอมไหม (ยอม) ถ้าทั้งชีวิตเขาเอาไปหมดเลย แล้วเราต้องมานับหนึ่งใหม่ เรายอมไหม (ยอม, ไม่ยอม)  อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าสู้ได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าระดับหนึ่งแล้วไปไม่รอด ให้กลับมาตั้งหลักใหม่แล้วอยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งไม่ดีกว่าหรือแล้วถ้าสู้ไปก็เจ็บ สู้ไปก็ทุกข์อย่างนั้นอยู่กับสิ่งที่มีให้ได้ไม่ดีกว่าหรือ เราเกิดมาก็มาตัว (เปล่า)ไปก็ไปตัว (เปล่า) แล้วจะเหนื่อยทำไม ไปด่าเขาทำไม ไปแย่งเขาทำไมถ้าเขามีความสุข แล้วเราสละความยึดมั่นถือมั่นได้ ให้ไปเถอะไม่ตายหาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาตรงนี้เนื่องๆ  ศิษย์จะเข้าใจและรู้ว่าทุกข์นั้นไม่มี ผลจากการพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทำให้รู้ว่า
อนิจจังความไม่เที่ยง ถ้าเข้าใจจะ เห็นเหมือนไม่เห็น
ทุกขังความไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิม ถ้าเข้าใจจะ รู้เหมือนดั่งไม่รู้ 
อนัตตาความไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจจะมีเหมือนดั่งไม่มี 
อาจารย์ชอบบทนี้มากที่สุด เพราะบทนี้ช่วยปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ปลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้และทำให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้ด้วยทั้งหมดนี้ดียิ่งกว่าศีลทานอีก ศีลทานเป็นแค่ความดีเบื้องต้นถ้าศิษย์เข้าถึงบทนี้ได้ ศิษย์จะละชั่วได้เลย ศิษย์จะไม่สร้างบาปศิษย์จะไม่โลภ ศิษย์จะไม่หลง เพราะว่าสิ่งที่เห็นเหมือนไม่เห็นสิ่งที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี ในโลกนี้มีอะไรที่อยู่กับเราบ้าง แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่ารู้ นั้นรู้ไหม (ไม่รู้)  ใครจะทำอะไร ยังไม่ทันอ้าปาก เราก็รู้แล้ว  แต่จริงๆเขาก็อาจทำอะไรที่เหนือความคาดหมายก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เห็นเราก็เหมือนไม่เห็น สิ่งที่รู้ เราก็เหมือนไม่รู้สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี  ดังนั้น ถ้ามีคนด่าเรา เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าเราเห็นคนน่ารัก เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะหลงไหม (ไม่หลง)  จะทำให้ศิษย์ไม่ประพฤติชั่วได้เลย คือไม่โลภไม่โกรธ ไม่หลง เพราะสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าสวยนั้นไม่สวยสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าดี ยังดีไม่แท้ ใช่หรือไม่ (ไม่)  แล้วที่ศิษย์เห็นว่าคนนี้ร้ายอย่าเพิ่งโกรธเขา เพราะคนนี้อาจยังไม่เท่าไร  แต่คนที่จะพบในอนาคตอาจจะเลวกว่าคนนี้ที่เราพบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากเราเข้าใจในหลักธรรมอันนี้ แม้กระทั่งตัวตนศิษย์ก็ละวางได้และเกิดมาแค่ใช้ชีวิตให้ถูกต้องและเรียนรู้ตัวตน และกลับไปสู่ความว่างเปล่าร่างกายตัวนี้วันนี้เห็นเป็นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเหมือนเดิมหรือไม่เอารูปเมื่อสิบปีที่แล้วมาดูก็ไม่เหมือนตอนนี้แล้วหากร่างกายเป็นของเราจริงก็ต้องเชื่อฟังเรา เราต้องบังคับได้จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราบังคับมันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วเราไปยึดมันไว้หรือไม่  ยึดเมื่อไรก็เป็นทุกขัง  ทุกขังแปลว่าสภาพที่ทนได้ยากและต้องการให้เราพ้นจากทุกข์นั้น  ทุกขังไม่ใช่ทุกข์แล้วจะตายเหมือนวันนี้เราเจ็บเราต้องหาทางเพื่อพ้นทุกข์ถ้าเราทุกข์เราควรจมกับความทุกข์หรือลุกขึ้นมาสู้กับความทุกข์ (สู้กับความทุกข์) แต่อาจารย์เห็นแต่ศิษย์ที่จมกับความทุกข์   เข้าใจบ้างหรือไม่ (เข้าใจ)หากศิษย์เข้าใจสักนิดจะรู้ว่าการบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก
แล้วการบำเพ็ญคืออะไร  จะบำเพ็ญตอนไหน  ตอนที่เราถูกกระทบใจ สมมติว่าอาจารย์มีผลไม้ถาดหนึ่ง ประมาณยี่สิบลูกเป็นผลไม้ที่กินแล้วดี กินแล้วเป็นมงคลทุกคน อยากได้ไหม (อยากได้)  แต่ผลไม้นี้มีแค่ยี่สิบลูก ถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ไม่อยากได้เพราะศิษย์อยากเอาไปให้คนอื่นแทนหรือเสียสละไปให้คนอื่นแทน” ดีไหม (ดี)  แต่ส่วนใหญ่อยากได้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นอยากแล้วค่อยให้ ไม่เรียกว่าบำเพ็ญแต่ยังไม่ทันอยากก็ให้แล้วนั่นเรียกว่าบำเพ็ญตั้งแต่เริ่มต้นเลย คือละบาปบำเพ็ญบุญ และมีปัญญาเห็นแจ้งจริง รู้จักไม่เอาและสละให้แต่ในโลกของความเป็นจริง เอามาก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์ไปขโมยผลไม้มา เป็นผลไม้ที่สามารถรักษาคนให้หายเจ็บหายไข้ได้ อาจารย์ไปขโมยของคนที่เขากินแล้วเขาใกล้จะหาย เพื่อจะมาให้ศิษย์ ศิษย์จะรับไหม (ไม่รับ)  นี่คือศิษย์กำลังบำเพ็ญและได้ละบาปแล้ว ถ้าศิษย์บอกว่า “ไม่เอาอาจารย์อาจารย์ไปขโมยเขามา อาจารย์เอาไปคืนเขาเถอะสงสารเขา” ศิษย์ได้มีศีลมีธรรมและยังช่วยเตือนอาจารย์ให้ไม่ผิดศีลผิดธรรม 
ฉะนั้นการบำเพ็ญไม่ใช่ต้องไปวัดแต่เราสามารถทำได้ทุกขณะที่เราอยากถ้าอยากแล้วก่อเกิดเป็นกิเลสไม่อยากดีไหม (ดี)  ถ้าอยากแล้วมันผิดกลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมหยุดก่อนดีไหม (ดี)  แล้วเมื่อเราไม่อยาก แล้วเราเข้าใจ แล้วเราเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าได้มาก็เหมือนไม่มีอะไร ไม่เอาดีกว่าเราก็มีปัญญาเห็นแจ้งเข้าไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่ทำแค่ภายนอกแต่ทำได้ทุกขณะทุกเวลายากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนั้นเราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  แก่ก็ไม่ (ทุกข์)  เจ็บก็ไม่ (ทุกข์)  ตายก็ไม่ (ทุกข์) 
เมื่อครู่ใครตอบอาจารย์ให้ยืนขึ้น อาจารย์อยากให้รางวัลเอาหรือไม่ เอาทั้งถาดเลยดีไหม (เอา)  เขากล้าขออาจารย์ก็ให้นะจะเอาแค่หนึ่งหรือเอาทั้งถาด (แค่หนึ่ง)  ศิษย์เอยชีวิตนี้มันก็เหมือนกับการอยากได้อยากมี  มีหนึ่งก็ทุกข์แค่หนึ่ง
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์อีกอย่างนั่นก็คือใจที่ไม่ยอมรับความจริงความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่ากลัวเท่าใจกับใจที่ไม่ยอมรับความจริงมีคำกล่าวคำหนึ่งบอกว่า “อย่าหนีปรากฏการณ์แต่จงหลบหลีกความคิดปรุงแต่งในใจตน” เราไม่สามารถหนีคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราเราเปลี่ยนแปลงคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราไม่ได้อย่างนั้นเราควรเปลี่ยนความยึดมั่นคาดหวังที่เราคิดว่าเขาน่าจะดีแต่ถ้าเขาไม่ดีก็ขอเรียนรู้และยอมรับความไม่ดีของเขา เปลี่ยนจากความคิดที่ว่าชีวิตควรจะสงบแต่ถ้าไม่สงบเราก็เปลี่ยนที่ใจตัวเรายอมรับความไม่สงบนั้นให้ได้
ศิษย์เอยในบรรดาทุกข์ทั้งหลายความผิดพลาด ความล้มเหลว ความตาย ความเจ็บปวดเงินทอง อะไรน่ากลัวที่สุดและทำให้เราทุกข์มากที่สุด (ความทุกข์)  ถ้าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ศิษย์ก็ไม่รู้จักวิธีพ้นทุกข์ปัญญาเกิดเพราะมีทุกข์ ความหลุดพ้นได้ก็เพราะมีทุกข์คนเราแจ้งในทุกข์ได้ก็เพราะเห็นทุกข์ชัดฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คือ
(เงินทอง) เงินไม่น่ากลัวแต่คนที่โลภแล้วอยากได้เงินจนไม่รู้จักผิด รู้จักถูก น่ากลัวจริงไหม เงินอยู่เฉยๆแต่คนที่อยากได้เงินจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นน่ากลัว 
(ความเจ็บปวดน่ากลัว)  ความเจ็บปวดไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไร้ปัญญา ใจที่ยอมรับความจริงไม่ได้ ใจที่ไม่ต่อสู้กับความเจ็บปวดแล้วกลับมาเข้มแข็งน่ากลัวกว่า ใช่ไหม
(ความตาย) ความตายไม่น่ากลัวเพราะคนที่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่พ้นทุกข์ แต่คนที่ไม่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น จงกล้าตายเพราะทำถึงที่สุดแล้ว เราทำดีที่สุดแล้วอย่างไรเราก็หนีความตายไม่พ้นแต่จงตายอย่างมีสติ และมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดก่อนที่จะตายจะได้คุ้มค่าที่เกิดมาใครก็หนีความตายไม่พ้นฉะนั้นขอแค่เพียงมีศีล มีศีลก็มีธรรมและมีคุณธรรมความเป็นคนปฏิบัติต่อคนก็ไม่ผิดศีลขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน  ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่คือการได้จบจากการเวียนว่ายตายเกิดการได้จบกรรมกลัวแต่มีชีวิตอยู่ชอบสร้างกรรมไม่จบสิ้นเป็นเช่นนี้ความตายถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ใช่ไหม
(ความคิด) ความคิดน่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะ“ตัวตน” ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดเราจะรู้จักตัวตนก็ให้มองความคิด เราคิดอย่างไร ตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์เราต้องเปลี่ยนความคิดถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ถ้าเราสามารถอยู่เหนือความคิดและมองเห็นความคิดได้อย่างแจ่มแจ้งก็แปลว่านอกจากเราจะพ้นทุกข์แล้ว เรายังพ้นจากการยึดติดกรรมเวรชีวิตเราก็จะเปลี่ยน
ความคิดคือตัวตน ตัวตนคือความคิดและความคิดจะพ้นจากตัวตนได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ที่แจ่มชัด ความคิดก็ยึดไม่ได้ตัวตนก็ยึดไม่ได้ เรามีหน้าที่แค่รู้แล้วก็วางทำให้ดีที่สุดแล้วก็ยอมวางลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(การเกิด)  การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนเราเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวใช่ไหม( ไม่ใช่)  จริงๆคนเราตายครั้งเดียวแต่ความเกิดมีหลายครั้ง เกิดอยากได้ก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากมีก็ทุกข์หนึ่งอย่างเกิดอยากเป็นก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากด่าก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่าง เกิดอยากชมก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้นดับความเกิดได้มากเท่าไรก็ดับทุกข์ได้มากเท่านั้น ฉะนั้นไม่อยากทุกข์ก็จงอย่ามีความเกิด
(อวิชชา)  สิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดก็คือความไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่รู้เพราะอวิชชา จึงเกิดตัณหา จึงเกิดอุปาทานแต่ตอนนี้รู้ยิ่งกว่ารู้แต่เมื่อไรจะเอาสิ่งที่รู้ไปประพฤติปฏิบัติจนเห็นแจ้ง อย่าบอกว่าไม่รู้  สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้คือ การขาดสติ ถ้าขาดสติเมื่อไร สัมปชัญญะปัญญาก็ไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงรู้ขนาดไหนทำอะไรจงมีสติรู้เท่าทันคนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตัวเอง
เราทุกข์เพราะอะไรหรือ (ทุกข์เพราะกิเลส)  จะบอกอะไรให้กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้ามีตัวตนก็มีกิเลส ถ้าไร้ตัวตนก็ไร้กิเลส  เรารักแบบหนึ่งคนอื่นก็รักแบบหนึ่งเราเกลียดแบบหนึ่งคนอื่นก็เกลียดแบบหนึ่งความรักความเกลียดของแต่ละคนไม่เท่ากันแล้วแต่ความนึกคิดที่เรายึดติดฉะนั้นถ้าเราอยากจะละกิเลส เราก็ต้องรู้จักระวังความนึกคิดความยึดติดแห่งตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ตัณหา)  ตัณหาแปลว่าความทะยานอยาก ตัณหาเกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่ศิษย์ได้มาทำให้เกิดโลภ เกิดโกรธเกิดหลง สิ่งที่ศิษย์ได้มานั้น มีก็เหมือนไม่มีเห็นก็เหมือนไม่เห็นแล้วเรายังอยากอีกไหมอาจารย์ถามหน่อยชีวิตเราทุกข์ครั้งเดียวไม่พอหรือ  ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก เจ็บแล้วเจ็บอีกแล้วคนเราเอาทุกข์มาให้เจ็บหรือควรเอาทุกข์มาเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่เจ็บฉะนั้นถ้าศิษย์มีความอยากขึ้นมาจงอยากตามหน้าที่แต่ไม่ได้อยากเพื่อสนองกิเลสตัณหาทำตามหน้าที่กับทำสนองกิเลสตัณหาคนละความหมายกันใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เขาเรียกว่าทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อสนองกิเลสอัตตาในใจตน
มนุษย์ทุกข์เพราะยึดติดสมติเขาด่าเราถามว่าเราทุกข์เพราะเขาด่าหรือทุกข์เพราะว่าไม่อยากให้เขาด่าเราห้ามปากให้คนไม่ด่าเราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่ห้ามได้คือใจเราเราเปลี่ยนปรากฏการณ์ไม่ได้แต่เราเปลี่ยนการยอมรับในใจเราได้มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นกับความคาดหวังในใจยึดติดกับความคิดที่เราผูกไว้ในใจ เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดาแต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บมากที่สุดก็คือใจที่เราไม่ได้อย่างที่คิด “ต้องชมอย่าด่า ต้องดี ต้องสวย” ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ศิษย์ต้องมองให้ออกว่าทุกข์ที่เขาหรือทุกข์ที่เราไม่ยอมรับความจริงและเราจะเอาความจริงนั้นมาสอนเราหรือเอาความจริงมาทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก 
(ทุกข์เพราะไม่มีใครสนใจ)  นั่นแหละเหตุที่เราทุกข์เพราะเรายึดติดและคาดหวัง อาจารย์ถามว่า “เราเดินไปและบอกให้คนอื่นยิ้ม” หวังให้ทุกคนยิ้มกับเรา หวังให้คนอื่นดีกับเรา ได้หรือไม่ ในเมื่อแก้คนอื่นไม่ได้ ก็แก้ที่เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นยอมรับความจริงดีกว่าไหมเพราะคนเราก็มีเข้มแข็งและอ่อนแอสิ่งที่เราต้องแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ได้คือความยึดมั่นในความคิดและสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์มากที่สุดคือเราไม่อยากทุกข์ ไม่อยากร้ายไม่อยากผิด ไม่อยากเลว ไม่อยากแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราแย่ เราเลวการปฏิบัติที่ดีที่สุดเวลาเราอยู่ร่วมกันก็คือทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ไม่ผิดศีล ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคนถึงที่สุดได้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลเพราะเราทำดีที่สุดแล้วและอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ 
คนส่วนใหญ่ทำอะไรจะหวังว่าต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องได้ ต้องดีเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมมีสำเร็จก็มีล้มเหลว มีได้ก็มีเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรายังมีปัญญา ยังไหว วันนี้ล้มเหลวก็ลุกขึ้นใหม่ วันนี้ทุกข์วันพรุ่งนี้จะพยายามไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สติเราก็มีอยากแค่เพียงพอบำรุงเลี้ยงชีวิต แต่ไม่อยากจนทำร้ายชีวิตและก่อวิบากกรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ใครบ้างเกิดมาอยากมีกรรมชั่วศิษย์เกิดมาพร้อมกับกรรมดี ฉะนั้นจงรักษากรรมดีนั้นไว้ อย่าเผลอหลงผิดและจงรู้จักต่อยอดกรรมดีนั้น ด้วยการให้ให้มากที่สุด
(ถ้าผมนอนอยู่แล้วร้อน แล้วถีบผ้าห่มออกถามว่าผมทราบไหมว่าผมถีบผ้าห่มออก)  ศิษย์เอย ถ้าทุกขณะเราทำด้วยสติอาจารย์ก็เชื่อว่าความรู้สึกตัวนั่นแหละที่จะบอกว่าเราต้องถีบผ้าแล้วศิษย์ไม่มีสติรู้เลยหรือว่าต้องถีบ  ฉะนั้นถ้าฝึกให้มีสติอยู่ทุกขณะแม้ขณะฝันศิษย์ก็สามารถควบคุมฝันได้ด้วย  ถ้าเขามาทำร้ายศิษย์ยังรู้จักรับมือ แล้วหยุดการทำร้ายนั้นได้  หรือแม้แต่ศิษย์คิดจะทำร้ายศิษย์ยังสามารถควบคุมสติได้จนถึงขนาดว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา  เพราะสิ่งที่อยู่ใต้สำนึกเกิดจากการสั่งสมของสัญญา ความรับรู้ความหมายรู้ในจิตของเรา ที่เราฝังลงไปในใจ ที่เรียกว่าจิตเนื้อนาบุญปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาปแต่โดยส่วนใหญ่สิ่งที่เราปลูกคือความคิดเห็นอันเป็นอัตตาตัวตนที่เรียกว่านิสัย อารมณ์ กิเลส แล้วก็จะฝังอยู่ในตัวเราแล้วออกมาทางความรู้สึก ความฝัน และการประพฤติในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถย้อนกลับไปมองที่ตัวต้นเหตุได้ด้วยการมีสติรู้และไม่ฝังอะไรลงไปในสัญญา เราก็จะสามารถควบคุมชีวิตได้เรียกว่า นอนแล้วไม่ฝัน หลับแล้วไม่ทุกข์ 
อาจารย์จะบอกให้ลึกลงไปอีกว่า ต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหนเราประกอบด้วยกาย ใจ จิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิต เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แต่ถูกบดบังไป เพราะใจที่มีอัตตาตัวตนจึงทำให้เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ ที่มนุษย์มักจะพูดว่าจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ใส ไม่มีรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ จิตไม่ใช่ดวงวิญญาณกลมๆ จิตเดิมแท้เป็นภาวะแห่งความว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีเมื่อมีก็เลยถูกกระทบ เมื่อกระทบก็หนีไม่พ้นยึดติดแบ่งแยกแบ่งแยกเป็นสิ่งที่เรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์ เรียกว่าดี เรียกว่าร้ายฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถกลับคืนไปสู่ความว่างได้นั่นก็คือกลับสู่จิตเดิมแท้ แต่เรากลับยึดติดว่า“ก็หนูเป็นแบบนี้อาจารย์จะเอาอะไรกับหนูนักหนาก็หนูทำได้แค่นี้อาจารย์ก็คิดมากไปช่างมันเถอะ ตายไปมันก็จบกัน”ในความจริงมันไม่จบ ใช่หรือไม่ เพราะว่า กายเกิดมาเพื่อรับกรรมฉะนั้นกรรมจึงเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จำไว้นะศิษย์กรรมเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จิตพ้นกรรมมานานแล้วแต่ที่มันไม่สามารถพ้นกรรมได้ก็เพราะว่าเราเอาใจไปผูกยึดกับกายและจิตจึงทำให้จิตนี้มีคำว่าตัวตนบังซ้อนอยู่เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางตัวตนที่บังซ้อนอยู่ได้ศิษย์จะสามารถกลับคืนสู่จิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ได้ ด้วยคำว่าว่างแต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง ชอบความมี ทั้งที่จริงๆแล้วความว่างมันทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดแล้วกายก็กลับสู่ความว่าง ใจที่อยากได้นั่นอยากได้นี่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็ไม่เที่ยง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บำเพ็ญจึงไม่ใช่แค่การเป็นคนดีแต่ยังหยั่งรากลึกลงไปถึงการกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ด้วยซึ่งศิษย์จะต้องมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม เหมือนถามว่าตัวตนเกิดจากอะไรตัวตนเกิดจากความคิด ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจสั่งสมจนเกิดเป็นตัวตนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตัวตนคือสิ่งที่ปรุงแต่งจากความคิดแล้วความคิดมันมีตัวตนหรือไม่ (ไม่มี)  เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ไหนครอบงำอารมณ์อยากครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความอยากอารมณ์ดีครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความดีอารมณ์โกรธครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความโกรธทั้งที่จริงๆแล้วตัวเราไม่ต้องการอะไร แต่เรามักไม่ชอบความว่างเราชอบฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องมีแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์อยากไปให้ลึกกว่านั้น เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางความคิดเห็นแล้วไม่คิดคือใจที่ว่าง แต่มนุษย์เห็นแล้วมักดึงให้ชอบเห็นแล้วมักผลักให้ชัง ก็เลยกลายเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ชอบ ชังแต่ถ้าทุกขณะเห็นแล้วไม่ดึงให้ชอบ ไม่ดึงให้ชัง มันก็ว่าง มันก็ไม่มีมันก็จบ เหมือนถูกเขาด่า เราไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดติด มันก็ว่างจะเป็นกรรมไหม (ไม่เป็น)  มันก็กลายเป็นอกรรม ฉะนั้นสิ่งที่เขาว่ามาเราก็แค่ชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่เมื่อเราสิ้นกรรมก็แปลว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อไม่สร้างกรรมเมื่อสิ้นกรรมตลอดและทุกอย่างทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  และยังจะมีวิบากกรรมให้ต้องไปรับอีกไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงต้องกลับไปที่คำแรกว่า เกิดเป็นคนต้องมีศีลธรรมเพราะเราปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมไม่ได้ปฏิบัติกับเขาด้วยกิเลสตัณหาเราปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อสัตย์แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์ปฏิบัติต่อกันเพราะฉันอยากได้อะไรจากเธอ เธอจะให้อะไรกับฉัน ฉันจะดีกับเธอแค่ไหน เธอจะดีกับฉันแค่ไหน จึงเป็นกิเลสและกรรมไม่ใช่ธรรม  แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ความเมตตา ความซื่อตรง จริงใจเคารพให้เกียรติ และไม่ผิดศีล ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่กรรมที่เรียกว่าตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
ไม่ใช่ให้ปล่อยวางแต่ให้ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วได้กรรมยกตัวอย่างเช่น ไปทำบุญแล้วขอให้ถูกหวย ขอให้ครอบครัวร่มเย็นการขออย่างนี้ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อละ แต่ปฏิบัติแล้วหลงยึด ปฏิบัติแล้วได้กรรมเพราะที่สุดของบุญคือชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บาปก็คือยึดมั่นถือมั่นจนเกิดความลุ่มหลง ฉะนั้นถ้าทำบุญแล้ววอนขอจึงเป็นบุญที่มีบาป ทำบุญแล้วหวังยังเป็นบุญที่อาบด้วยกิเลส แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นเราก็ใช้กรรมต่อไป อาจารย์ถามว่าศิษย์สร้างกรรมดีมากกว่าหรือสร้างกรรมชั่วมากกว่ากรรมชั่วเล็กๆ ก็สามารถทำร้ายให้เราเจ็บปวดได้ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเราจะอยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อสร้างกรรม  แล้วเราปฏิบัติเพื่อธรรมหรือเพื่อตน (เพื่อธรรม)ส่วนใหญ่จะไม่เพื่อธรรม แต่จะเพื่อตนเองตลอดเลยจริงหรือไม่ (จริง)
หนทางการปฏิบัติความหมายจึงต่างกัน อาจารย์ยกตัวอย่าง เวลาเราไปทำงาน ทำเพื่ออยากได้เงินเดือนหรือทำเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด (ปฏิบัติหน้าที่)ถ้าทำเพื่อเงินไม่ใช่เรียกว่าธรรมแต่ถ้าเราทำเพราะอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด จริงใจที่สุด  ดีที่สุด ให้สมกับคนที่มีคุณธรรมมากที่สุดนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อธรรม แต่ถ้าบอกว่าปฏิบัติแล้วจะได้เงินเดือนเพื่อจะได้ไปเที่ยว ซื้อของนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อกรรมและสนองกิเลสตัณหาแห่งตน ใช่ไหม (ใช่)  ความหมายต่างกัน  ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าบำเพ็ญต้องเริ่มตั้งแต่ตอนแรกคือเราปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง รับผิดชอบซื่อตรง และเพื่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน ฉะนั้นผิดก็ยอมรับผิดแล้วแก้ไข ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตน  คุณค่าความหมายคือมีชีวิตอยู่เพื่อธรรมและกลับคืนสู่ธรรมแต่ถ้าทำเพื่อตนก็มีชีวิตหนีไม่พ้นเวรกรรมเพราะคำว่าตนมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คำว่าธรรมมีแค่คำว่าธรรม และธรรมฉะนั้นถามใจตัวเอง จะทำเพื่อตนหรือทำเพื่อธรรม (เพื่อธรรม)  ที่แล้วมาทำเพื่อตนและสนองกิเลสแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้บอกว่าศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรไม่ต้องทำอะไร แต่เรายังรับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้วถึงที่สุดอะไรจะเกิดก็ไม่กลัวเพราะอะไรจะเกิด ก็มีปัญญาธรรมจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าถึงเวลาศิษย์ต้องพบทุกข์ แม้เรื่องที่ง่ายที่สุดที่เรียกว่าถูกด่าถูกว่า ไยจึงไม่เห็นธรรม ไยจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดแล้วก่อเวรกรรมทั้งที่เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดต่อไปถ้ามีคนมาด่าเรา เราจะด่ากลับเหมือนเคยไหม (ไม่)  อยากพบเขาอีกใช่ไหมถ้าอยากพบเขาอีกก็จองเวรจองกรรมไปเลย แต่ถ้าไม่อยากพบเจอก็จบกันแค่นี้ดีไหม (ดี)  เขาด่าเราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาปัญหาอยู่ที่เราใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคิดว่าเราถูกด่าไม่ได้ก็เป็นกรรมแล้วแต่ถ้าคิดว่าเราถูกด่าได้จากกรรมมันกลายเป็นธรรมสอนใจเลยจริงหรือไม่ (จริง)  อาจารย์ก็พูดอยู่ทุกครั้งที่ว่าธรรมคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นคือความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกแล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลก มีได้ก็มีเสียมีสุขก็มีทุกข์ มีสมหวังก็มีผิดหวัง ศิษย์อย่าดูถูกใจตัวเองศิษย์อย่าดูเบาใจตัวเอง คนที่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับใบหน้าคนอื่น คือคนที่ดูถูกคุณค่าตัวเองแล้วพร้อมจะตกเป็นทาสอารมณ์ของคนอื่นถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉันจะสุขจะทุกข์ต้องอยู่ที่คนนี้จะยิ้มหรือไม่ยิ้มฉันจะสุขจะทุกข์ก็ต้องอยู่ที่คนนี้จะด่าหรือชม ต่อไปถ้าเขาด่าศิษย์ก็ยิ้มเขาชมศิษย์ก็ยิ้มจำไว้นะศิษย์ชีวิตเรา เราเลือกได้ ทุกข์มาเราเลือกได้ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือจะเลือกทำในสิ่งที่ผิดต่ออย่าดูถูกตัวเองก็พอใช่หรือเปล่า (ใช่)  
อย่างนั้นบอกอาจารย์หน่อยว่าจะรับมือกับโลภ โกรธ หลงในใจอย่างไร (ปล่อยวาง, ทำจนถึงที่สุด, ใช้ปัญญา, ปลง) ปลงบ้าง ได้มาก็สะสมของเต็มไปหมดอายุปูนนี้แล้วถ้ายังปลงไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ (ใช้สติ)เมื่อไร้สติก็เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้ามีสติรู้จักยั้งคิดโลภโกรธหลงก็จะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ คนมีอารมณ์เป็นเพราะขาดสติ (แค่รู้)  เวลาความโกรธมาไม่ให้ค่าไม่สนใจ เดี๋ยวโกรธจะหายไปเองแต่ถ้าเมื่อไรเราสนใจเราให้ค่าเราปรุงแต่ง ความโกรธจะเผาใจเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)  
(ใช้ขันติ)  ใช้ขันติข่มใจ ถ้าปัญญายังหยั่งไม่ถึงความเข้าใจในธรรมนั้นก็ต้องรู้จักใช้ขันติข่มใจ
(ปล่อยจิตให้ปล่อยวางไม่คิดอยากได้ของใครมาเป็นของตน)  เมื่อไรที่อยากเท่ากับศิษย์เพิ่มความทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ 
(ปล่อยใจให้ว่าง)  พอได้ก็ว่างได้ ไม่พอก็ไม่ว่าง 
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาท“กำไรจากความทุกข์”)
เมื่อเราพบทุกข์จงแปรทุกข์ให้เป็นปัญญาเมื่อไรที่สามารถแปรทุกข์เป็นปัญญาความทุกข์จะทำให้เรามีกำไรในการเกิดมาและในการใช้ชีวิตเราทุกข์พอแล้วนะศิษย์ และเราก็เจ็บมาพอแล้ว และทำไมเราจึงอยากทุกข์อีกอย่าดูถูกปัญญาตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองอย่าดูถูกชีวิตตัวเองเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แต่เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งในทุกข์อันเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้นและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญาเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสก็คงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์หวังน้อยๆ ว่าในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ จะช่วยทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิตมากขึ้นและรู้จักบำเพ็ญให้ถูกทาง อย่าติดแค่บุญ อย่าติดแค่ความดีแต่จงรู้จักเอาบุญและความดีเป็นรากฐานในการบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงอันไม่เที่ยงในโลกใบนี้ ตัวเราก็ไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วทำไมไม่สร้างคุณความดีและบำเพ็ญดีให้ถึงที่สุดเพื่อเราไม่ต้องกลับมารับทุกข์อีกต่อไปทุกข์ยังไม่พออีกหรือ ถ้าพอศิษย์จะรู้จักอยากอย่างมีสติอยากอย่างคนที่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะสิ่งที่น่ากลัวในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจของเราเองใจที่ไม่สู้กับความจริงซึ่งแม้ความจริงนั้นเป็นทุกข์แต่ก็ใช่ว่าเรานั้นจะต้องทุกข์ทุกข์มาปัญญาเกิด ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ฉะนั้นมีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีกนะ  ชีวิตไม่ว่าพบเรื่องราวอะไร ขอให้เข้มแข็ง จริงๆอาจารย์ก็ไม่อยากให้เข้มแข็ง เพราะว่าพอเข้มแข็งแล้วก็กลับมาอ่อนแออีก ใช่หรือไม (ใช่)  รักษาสมดุลของชีวิตให้ได้ วันใดพบเรื่องอ่อนแอจงรู้จักเข้มแข็งให้เป็น วันใดที่ตัวเองเข้มแข็งก็จงเข้าใจว่าชีวิตก็อ่อนแอได้ เหมือนวันใดที่มีสุขวันนั้นก็เข้าใจว่าแม้จะทุกข์มาก็ไม่เจ็บปวด สังขารคืนสู่ดินแต่จงเอาจิตกลับคืนสู่ฟ้าสังขารเกิดมาเพื่อใช้กรรมแต่จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์นานแล้วอย่าเอาความเป็นตัวตนไปทำให้จิตหม่นหมองและยึดติดในทุกข์นะ ใช่ไหม (ใช่)  เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ดูเบาปัญญาตัวเองความเป็นจี้กงจะมีอยู่ในใจศิษย์ได้จี้กงคือหัวใจที่รู้จักอนุเคราะห์ฉุดช่วยชาวโลก ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
อะไรจะเกิดก็กล้ารับ เข้มแข็งนะ อาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ทุกข์แต่อาจารย์อยากเห็นศิษย์ที่มีปัญญาเข้าใจในความทุกข์ไม่ต้องพยายามหาว่าตัวเองเป็นอย่างไร เพราะถ้าหาว่าตัวเองเป็นอย่างไรก็กลายเป็นยึดติด สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่เคยเป็นอะไรและไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย  อย่างนั้นจะดีกว่า คิดว่าตัวเองมีก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีบางทีอาจจะดีกว่าก็ได้ ลองคิดให้ดี
ขอให้บุญรักษาศิษย์ ขอให้ปัญญาในธรรมจงเกิดแก่ศิษย์ เห็นชัดในชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม 
หายไข้ไม่มีประโยชน์ ขอแค่เข้าใจในความเจ็บป่วยดีกว่า จริงไหม
อย่าทำสิ่งที่ผิดเลย รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องน  หนทางบุญเดินให้ถึงที่สุด 
รักษาคุณงามความดีด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง รักษาหัวใจให้แกร่งดั่งเพชร
มีโอกาสช่วยงานฟ้านะศิษย์นะ ทำงานธรรมด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอยนะ บำเพ็ญอะไรหรือถ้ายังยึดติดอยู่ก็บำเพ็ญไม่ได้มีปณิธานแล้วจงลุในปณิธาณด้วยหัวใจที่เสียสละขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ให้เดินไปจนถึงที่สุดที่ศิษย์ตั้งใจนะ  ตั้งใจบำเพ็ญนะ สู้ไหม ช่วยงานอาจารย์ทำไมถึงหวาดกลัวล่ะควรจะมีหัวใจที่เข้มแข็งสิ สู้ให้สมกับเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สู้เพื่อคนอื่นตั้งใจบำเพ็ญนะ อุทิศเสียสละด้วยหัวใจอันดีงามด้วยใจอันประเสริฐ  ควบคุมอารมณ์ให้ได้ รู้จักปณิธาณของตัวเอง ซื่อตรงไปให้ถึงเป้าหมาย เข้าใจไหม มีความมุ่งมั่นและไปให้ถึงที่สุดอย่าหวั่นไหวเลือกทำสิ่งที่ดีงามด้วยหัวใจที่เสียสละอาจารย์อยากเห็นความมั่นคงในหัวใจศิษย์ทุกคนนะ
มีโอกาสกลับมาอีกนะ ชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่าอ่อนแอแต่จงเข้มแข็งและกล้าหยัดยืนทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีปณิธานมีความมุ่งมั่นก็อยู่ที่ว่าศิษย์จะตั้งใจทำได้มากแค่ไหนขอเพียงแค่อย่าให้อารมณ์ความคิดที่ผิดพลาดมาทำให้เราต้องทุกข์เลยรักษาความดีไว้นะ ถ้าศิษย์มีใจสักครึ่งหนึ่งอย่างอาจารย์ก็คุ้มแล้วที่อาจารย์มา อย่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งจิตให้ดีตั้งใจบำเพ็ญเอาหัวใจที่ดีงามเสียสละเป็นจุดมุ่งหมายเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไม่จำเป็นต้องถามว่าตัวเองเป็นอะไรแค่ถามว่าตัวเองจะทำอะไรให้ดีที่สุดกับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาแล้วถ้าชีวิตหนึ่งทำได้ดีที่สุดทำไมจะไม่ทำสักวันศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องเสียสละทำไมถึงต้องช่วยคน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรียนรู้อยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งดูแลหัวจิตหัวใจตัวเองให้ดีนะ เอาความดีชนะใจสิ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงธรรม นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ อย่าจมกับความทุกข์ในโลกเลย อย่าจมกับการยึดติดในตัวเองเลยเพราะทำให้ศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรม เพราะถ้าวิบากกรรมมาสนองเมื่อไรตอนนั้นศิษย์จะเรียกอาจารย์ช่วย อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้เพราะกรรมใครคนนั้นก็ต้องรับ ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์แล้วอย่าทำผิดได้ไหม (ได้)  ถ้าจะทำผิดยกความผิดนั้นมาให้อาจารย์ศิษย์จะได้ไม่ต้องทำอย่าเผลอทำเลยนะศิษย์เพราะถ้าทำแล้วศิษย์จะต้องรับผลของกรรมนั้นอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วตอนนั้นใครก็ช่วยไม่ได้ บุญก็ช่วยไม่ได้สิ่งที่ช่วยได้คือปัญญาที่ต้องยอมรับความเป็นจริง ศึกษาธรรมเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดปัญญา  นำพาให้มีสติพ้นทุกข์และอยู่กับความจริงให้ได้นะศิษย์เอย ความจริงในโลก ไม่น่าเจ็บช้ำไม่น่าทุกข์ แต่ที่เจ็บและทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่คิดว่าคนที่ทำกับเราคือคนที่รักเรามากที่สุด คือคนที่เรารักเขาสุดหัวใจและก็ไม่คิดว่าคนที่เรารักสุดหัวใจจะต้องมารับกรรมแทนเรา เพราะบางทีกรรมไม่ตกที่เรา แต่ตกที่ลูกหลาน เราจะรับไม่ไหว ฉะนั้นก็อย่าทำผิดเลย เชื่ออาจารย์นะ อย่าทำผิดเลยเพราะถ้าลูกศิษย์ยังดีไม่ได้อาจารย์จะเอาหน้าไปบอกเขาได้อย่างไรว่าศิษย์กำลังบำเพ็ญในเมื่อศิษย์ไม่เลือกทำสิ่งที่ดี อาจารย์ไปต่อรองเจ้ากรรมนายเวรอาจารย์ก็สงสารเขา ศิษย์ทำเขามา และเมื่อเขาจะแก้แค้นคืนอาจารย์ก็ต้องยุติธรรมก็ต้องให้ศิษย์รับกรรมไป ไม่ใช่อาจารย์ไม่อยากช่วยไม่คุ้มครอง แต่กรรมใครก็ต้องรับจริงไหม อาจารย์ขอย้ำแล้วย้ำอีก อย่าทำผิด


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”


 ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา   ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา