วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-03-16 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一八年嵗次戊戌正月二十九日              仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑   สถานธรรมฉือฮุ่ย  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  อย่าลืมใจเริ่มแรกเมื่อแรกเริ่ม             ในคนเดิมที่ใจสู้ไม่ถอยหนี
อายุมากยังรักษาซึ่งความดี                  ชีวิตนี้เสียสละฉุดช่วยคน
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ           

  เพราะคร่ำหวอดทางธรรมเวลานาน       ด้วยประสบการณ์การฝึกกำลังแคล่วคล่อง
อย่าปล่อยจิตให้มีนั้นลำพอง                  ความดีต้องหมั่นทำมีวินัย
ไม่วุ่นเพิ่มคือจิตสติขบ                          ความคิดสงบให้ใจระลึกได้
แก่นความรู้สัมปชัญญะครบเป็นหัวใจ       ทิฐิไม่พบพานย่อมรวมพลัง
ไหลรวมธรรมทั้งหลายหล่อหลอมใจ        ทำหัวใจสุขุมเย็นอารมณ์ว่างว่าง
รู้ปัจจุบันให้เป็นสติเป็นกำลัง                  มืดสว่างจิตนิ่งไม่หมุนตาม
ยึดความเห็นใช้อารมณ์ไปทำไม              คนส่วนใหญ่โทษเป็นคนประจำ
ไม่อุเบกขาแต่ว่ากล้ามีกรรม                   สัญญาจำลงวางย่อมต่อปาก
โทสะเผาได้ย่อมร้อนแล้วสำแดง             ฟ้าอยากแจ้งใจคนวู่วามนัก
ทุกชีวิตมีดีแต่ไม่รัก                              แม้ลำบากไม่ไปวู่วามตามใจ
                                                                                         ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ 

ใจแรกเริ่มที่บริสุทธิ์ ไม่คิดมาก ไม่ทุกข์มาก ไม่ต้องกลุ้มกังวลมากกับใจตอนนี้ที่ต้องคิดเยอะกลุ้มเยอะ ทุกข์เยอะ ท่านว่าใจดวงไหนดีกว่ากัน  (ใจแรกเริ่ม)  ท่านว่าเปลี่ยนทันไหม (ทัน)  กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม (ได้)  พูดได้แต่ทำไมทำไม่ได้ แล้วทำไมไม่คิดทำ ใช่หรือไม่ มีคำหนึ่งที่มนุษย์มักจะกล่าวว่า บางครั้งการฟังธรรมก็ช่วยล้างใจให้สะอาด การปฏิบัติธรรมก็ช่วยทำให้หัวใจได้กลับมาบริสุทธิ์ ฉะนั้นวันนี้นั่งฟังธรรมมาเกือบครึ่งวันแล้ว ธรรมะได้ทำให้ใจเราสะอาดบ้างไหม ธรรมะได้กล่อมเกลาให้ใจเรารู้สึกใสบริสุทธิ์บ้างไหม (ได้)  หรือยังขุ่นเหมือนเดิม
มานั่งฟังเพื่อทนฟังหรือมานั่งฟังอย่างคนมีจุดหมาย (นั่งฟังอย่างมีจุดหมาย)  แล้วจุดหมายของท่านที่ฟังวันนี้คืออะไร (อยากไปสู่หนทางนิพพาน)  บางท่านก็บอกว่าไกลเกินเอื้อม แต่ไม่แน่นะใช่ไหม (ใช่)  เราขอเวลาท่าน จากตลอดชีวิตขอเวลาแค่สามวันลองศึกษาธรรมดู ศึกษาธรรมเพื่อล้างใจ เพื่อกลับคืนสู่ใจดวงเดิม ลองดูสักตั้งไหม (ลองดู)  โดยส่วนใหญ่ที่เรามองเห็นหรือเล็งเห็น มนุษย์ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมไม่ได้เพื่อกลับคืนสู่ใจเดิม ไม่ได้เพื่อพระนิพพานแต่เพื่อขอให้รวย ขอให้อยู่ดีมีสุข ขอให้มีโชคลาภ ขอพรให้ทำอะไรก็สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องเจอสิ่งที่ดี อย่าเจอสิ่งที่ร้าย ต้องมีแต่โชค ไม่มีเคราะห์ภัย แล้วต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เป็นจริงเช่นนั้นไหม คิดอย่างนั้นตลอดใช่ไหม แต่ถามหน่อยนะ เหล่าพระพุทธะที่ท่านกราบไหว้มีท่านไหนไหมที่สอนว่า ชีวิตนี้เจอแต่ดี ไม่เจอร้าย (ไม่มี)  ชีวิตนี้มีแต่สุขไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า ท่านกำลังเข้าใจผิด คิดว่าปฏิบัติดี แล้วต้องเจอแต่สิ่งที่ดี เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ทำดีต้องได้ดี” พอไม่ได้ดีก็ว่าฟ้าไม่ยุติธรรม สวรรค์ลำเอียง
อย่าลืมใจเริ่มแรกเมื่อแรกเริ่ม             ในคนเดิมที่ใจสู้ไม่ถอยหนี
อายุมากยังรักษาซึ่งความดี      ชีวิตนี้เสียสละฉุดช่วยคน
กลอนบทนี้ให้มีสองความหมาย ความหมายแรกสำหรับคนที่ยังไม่เริ่มปฏิบัติ เสียสละ ในอดีตตอนเด็กๆ เรามุ่งมั่นอยากทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ถามหัวใจทุกคน ตอนเราเป็นเด็กเราอยากเป็นคนดีที่สุด แล้วถ้าทำได้จะทำตัวให้เป็นคนดี และมุ่งมั่นทำดีให้ถึงที่สุดถูกไหม แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร ความมุ่งมั่นหายไปไหน คนดีที่อยากจะทำดี ทำไมกลายเป็นคนร้าย เหมือนผู้ปฏิบัติธรรม แรกเริ่มอยากอุทิศเสียสละ ช่วยผู้คนให้มากที่สุด แต่พอเวลายาวนาน หัวใจเริ่มท้อ ความดีเริ่มอ่อนแอ น่าเสียดายนะ ทำไมเราจึงไม่รักษาใจเดิมอันนี้ไว้ล่ะ ในเมื่อมันเป็นใจที่ดี จริงไหม
การเรียนรู้ธรรมทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าในโลกแห่งคำว่าธรรม และในโลกแห่งมนุษย์เราหนีไม่พ้นสุขทุกข์ ดีร้าย ได้เสีย ล้วนเป็นธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ยอมรับความเป็นธรรมดาได้ย่อมรับความเป็นจริงอันหลีกหนีไม่พ้นได้ ก็คงทุกข์น้อยลง แต่ใจมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะหวังว่าชีวิตต้องมีดีไม่มีเสีย ต้องมีถูกไม่มีผิด ต้องมีสุขไม่มีทุกข์ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจริงๆ แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) แต่เราก็ยังหวัง ฉะนั้นเราจึงหนีไม่พ้นทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็เลยหันหน้าเข้าหาธรรมและคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะทำให้สุขแล้วไม่ทุกข์ ทำให้ดีแล้วไม่ร้าย แล้วเป็นจริงอย่างนั้นไหม (ไม่) 
อย่างนี้เรามาลองดูกันก่อนว่า ทำไมเราพยายามมุ่งมั่นปฏิบัติดีแล้ว แต่ทำไมยังโชคไม่ดี ทำไมยังไม่มีสุข ทำไมยังทำอะไรมักไม่สำเร็จ เคยได้ยินคนโบราณพูดไหม อยากเป็นคนทำอะไรสำเร็จ ถามตัวเองว่าขยันหรือ   ขี้เกียจ อยากเป็นคนทำอะไรประสบผลสำเร็จ ถามตัวเองว่าอดทนหรือไม่อดทน อยากเป็นคนทำอะไรก็ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ถามตัวเองว่ามีความเพียรในสิ่งที่ยากเพียรยากทนหรือไม่ ถ้าทำได้ครบสามอย่างนี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อดทนได้ไหม ขยันหรือเปล่า  มีความเพียรเป็นเอกเป็นกำลัง เพียรในสิ่งที่ยากเพียร ยากทนหรือไม่      ใช่ไหม (ใช่)  อยากทำอะไรก็สำเร็จ ฉะนั้นขอพระไม่สู้ขอใจตน บำเพ็ญแล้วอยากเป็นคนมีความสุข บำเพ็ญแล้วอยากได้ครอบครัวร่มเย็น แต่บำเพ็ญแล้วปากยังเปราะ อารมณ์ยังร้อน บำเพ็ญแล้วจะสุขไหม (ไม่สุข)  รู้จักคนปากเปราะไหม (รู้จัก)  ชอบโกหก ชอบเอาเปรียบ ชอบเห็นแก่ได้ ชอบดูถูกดูแคลน ปฏิบัติธรรมใส่บาตรก็แล้วสวดมนต์ก็แล้ว แต่นิสัยไม่ดีไม่แก้ไข จะสุขไหม (ไม่สุข)  อย่างนั้นควรขอพระให้เรามีสุขหรือขอตัวเราให้รู้จักแก้ไขนิสัย (ขอตัวเรา)  แล้วถึงเวลาขอตัวเองไหม
อยากเป็นคนมีโชคมีวาสนาดี มีบุญบารมีเหมือนคนอื่นเขา ถามตัวท่านว่า มีชีวิตอยู่สร้างบุญมากกว่าหรือสร้างบาปมากกว่า (สร้างบุญมากกว่า)  อยากโชคดีไม่อยากโชคร้าย อยากไม่มีเคราะห์ร้ายไม่มีภัย รู้ไหมว่าคนผิดศีลขาดธรรมประพฤติตัวตามอารมณ์ตามนิสัย หนีไม่พ้นเคราะห์บาปเวรกรรม มือหนึ่งทำบุญแต่อีกมือหนึ่งยังผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้ปฏิบัติดีแล้วจะโชคดีไหม (ไม่)  แล้วท่านชอบทำบุญใส่บาตรใช่ไหม (ใช่)  แต่ศีลธรรมมีครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าปฏิบัติดีได้ไหม (ไม่ได้)  ก่อนที่จะไปว่าฟ้าลำเอียง คนไม่ยุติธรรม ถามใจตัวเองก่อน เที่ยงตรงไหม  ดีจริงหรือเปล่า ปฏิบัติได้สุดจิตสุดใจหรือยัง แล้วจะมาพูดบ่นไม่ได้ว่า ทำดีไม่ได้ดี ต้องถามใจตัวเองก่อนว่า ดีจริงๆ ไหม ยังเอาเปรียบคนอื่นอยู่เลย  ยังโป้ปดอยู่เลย ยังเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตนเองอยู่เลย แล้วอย่างนี้จะบอกว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเห็นบอกว่าตัวเองดี ตอนนี้ยังดีจริงๆ หรือ อยากมีความสุข แต่เจอหน้า ก็เอาแต่บ่น เอาแต่ติ อยากได้ครอบครัวร่มเย็น นิดๆ หน่อยๆ ก็ถือสาไม่ยอมความ อยากได้เพื่อนรักสามัคคี แต่ก็ชอบเป็นคนคดโกง เอาเปรียบเพื่อน แล้วอยู่ที่ไหนจะมีความสุขไหม อยากได้ชีวิตร่มเย็น แต่ตื่นขึ้นมาก็คิดเบียดเบียนว่าจะเอาอะไรจากใคร บุญบารมีเกิดจากการให้ โชคลาภวาสนาเกิดจากการอุทิศเสียสละ แต่บาปเคราะห์กรรมเกิดจากการที่คิดแต่จะเอา ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมาเรามีบุญหรือมีบาปกรรม ก็ดูที่ว่าคิดให้หรือคิดเอา แล้วปกติเราคิดให้หรือคิดเอา (ให้, เอา)  ไม่อยากให้คนอื่นลำเอียง เราอย่าลำเอียง     ไม่อยากเจอคนโป้ปด ตัวเราอย่าโป้ปดใจตนเอง ไม่อยากได้คนหลอกลวง เราก็อย่าหลอกลวงใจตน ฟ้าชัดเจนเสมอ ตาข่ายฟ้ายิ่งแจ่มชัดยิ่งนัก      ทำอะไรได้อย่างนั้น แต่ถามใจท่านก่อนว่า ใจท่านเที่ยงตรง ซื่อตรง ดีจริงหรือไม่
ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองดีหรือไม่ดี เมื่อไรที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี   นั่นคือเริ่มเป็นคนดี แต่ถ้าเมื่อไรคิดว่าตัวเองนั้นดี นั่นแปลว่ายังไม่ดี      ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูดดูว่าจริงไหม เพราะไม่ดีจึงพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น แต่เพราะคิดว่าตัวเองดีจึงไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย อย่างนั้นตอนนี้ดีหรือไม่ดี    (ไม่ดี) 
วันนี้ทุกท่านฟังธรรมอย่างหนึ่งที่ในใจท่านอยากได้มากที่สุดก็คือ   ฟังธรรมอย่างไรจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ ท่านเคยได้ยินไหมว่ามนุษย์หนีไม่พ้นทุกข์ แต่พุทธะกลับพูดว่า ทุกข์แท้จริงหามีไม่ เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ไม่เคยใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูหน่อยนะว่าเราจะแก้ทุกข์นี้กันอย่างไร
เรายกตัวอย่างเรื่องๆ หนึ่ง ท่านรู้จักพระจันทร์ไหม พระจันทร์มืดหรือสว่าง (สว่าง, มืด)  อยู่ในโลกนี้เป็นคนต้องหูตากว้างไกล รู้อะไรต้องรู้ให้จริง เห็นอะไรต้องเห็นให้แจ่มชัด จะได้ไม่ถูกหลอก พระจันทร์มืดหรือสว่าง (สว่าง, มืด)  ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน เราก็มองว่าพระจันทร์ มีทั้งมืดและสว่าง หรือพระจันทร์แล้วแต่ว่าวันไหนสว่างน้อยสว่างมากก็ขึ้นอยู่กับข้างขึ้น ข้างแรม
ทำไมเราถึงยกตัวอย่างเรื่องพระจันทร์ ถ้าพระจันทร์เปรียบเหมือนใจของเรา เมฆ อากาศ ที่อยู่ข้างนอกเหมือนสังขารของเรา อย่างนั้นใจเราจริงๆ มืดหรือสว่าง (มืด, สว่าง)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมแล้วใจเราล่ะ มืดหรือสว่าง (สว่าง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ใจเรามืดหรือสว่างไม่อาจหยั่งรู้ได้ แต่ถ้าเราบอกว่า ใจเราก็เหมือนพระจันทร์ แท้จริงแล้วไม่สว่างและก็ไม่มืด เป็นสภาวธรรมสภาวะหนึ่ง แต่มืดไปหรือสว่างไปนั้นเพราะอะไร เทียบง่ายๆ พระจันทร์เวลาเต็มดวงสวยและสุกสกาว แต่พอมีเมฆมาบังเป็นอย่างไร (มืด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นแท้จริงพระจันทร์ไม่มืดและไม่สว่าง พระจันทร์เดิมเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่สภาวะเหตุการณ์ทำให้เราอยู่บนโลกแล้วมองเห็นจันทร์สว่าง และบางเหตุการณ์ทำให้เรามองเห็นจันทร์มืด ถูกไหม (ถูก) 
ฉันใดก็ฉันนั้น ใจเดิมแท้ของมนุษย์ไม่เคยมืดบอด แล้วไม่เคยสว่าง แต่ที่เราเห็นว่าสว่างเพราะเหตุการณ์บางเหตุการณ์มาโดนใจ ทำให้ใจเรารู้สึกดี บางเหตุการณ์มาโดนใจทำให้ใจเรารู้สึกหดหู่ แต่ถามจริงๆ ใจจริงๆ มืดหรือสว่าง (ไม่มืดไม่สว่าง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่าแท้จริงใจมนุษย์ไม่ได้ทุกข์ แต่มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดไม่ยอมรับความจริงของใจที่กำลังเผชิญ เหมือนที่เราถามว่าจันทร์มืดไหม ก็ไม่ได้มืด จันทร์สว่างไหม ก็ไม่ได้สว่าง ใจท่านก็เหมือนกัน ร้ายไหม ก็ไม่ได้ร้าย ดีไหม (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเวลาท่านทุกข์ ถามจริงๆ ใจท่านทุกข์หรือความคิดที่ไม่ยอมรับเหตุการณ์ตอนนั้นมันทำให้เราทุกข์ (ความคิด)  ใจเราไม่ได้ทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง
ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องสูญเสีย ใจเราสูญเสียหรือความคิดทำให้เรารู้สึกสูญเสีย (ความคิด)  เวลาเราเจ็บใจ เราเจ็บหรือความคิดที่ไม่ยอมเจ็บทำให้เรายิ่งเจ็บ (ความคิด)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นสามีทิ้งเรา ใจเราถูกทิ้งหรือความคิดเรารับไม่ได้ที่ถูกทิ้ง (ความคิดเรารับไม่ได้ที่ถูกทิ้ง) ถามกลับ สามีถ้าภรรยาด่าเรา เราโกรธเขาเพราะใจเราหรือความคิดเราไม่รับว่าภรรยาบ่นด่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ กายจะแยกออกจากใจ ใจจะหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งสังขารที่หนีไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะลาออกจากความทุกข์ได้ทันที เราจะมีทุกข์แค่สังขาร แต่ไม่ลงไปที่ใจ เพราะใจเราไม่ได้ทุกข์ ที่ทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความจริงที่เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของสังขาร ถ้าท่านเข้าใจธรรมตรงนี้ ท่านจะลาออกจากความทุกข์ได้ทันที ใจท่านจะอยู่เหนือกาย กายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ กายโดนด่า ใจไม่ได้โดนด่า กายสูญเสีย ใจไม่ได้สูญเสีย มองเห็นจันทร์ก็เห็นใจ ใจเราไม่ได้มืด ใจเราไม่ได้สว่าง แต่ใจเราคือสภาวธรรมหนึ่ง ที่ว่างจากตัวตน แต่ความคิดที่ไม่ยอมและยึดติดว่าต้องมีตัวตนทำให้เราทุกข์ หรือเทียบง่ายๆ เราพูดไปตามอารมณ์ และอารมณ์เป็นไปตามความคิด ฉะนั้นถ้าอารมณ์คิดดีแล้วก็พูดดี ถ้าตอนนี้เราไม่คิด เราจะพูดไหม (ไม่พูด)  ฉะนั้นวาจาเป็นดั่งใจ และใจก็เป็นอยู่ที่ความคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนวาจาดี ใจดีใช่ไหม วาจาเป็นไปตามอารมณ์ อารมณ์หมุนเวียนไปตามความคิด ฉะนั้นวาจาดีใจดีจริงไหม วาจาร้ายใจร้าย จริงไหม (ไม่จริง)  ฉะนั้นเจอใครปากร้ายเขาใจร้ายใช่ไหม (ไม่ใช่)  คิดให้ได้อย่างนี้  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวบางครั้งจึงไม่ได้อยู่ที่การพูด แต่อยู่ที่ความคิด ถึงพูดดีแต่ประสงค์คิดร้ายก็ไม่ดี ถึงพูดร้ายแต่ใจเขาไม่ได้คิดร้ายใจเขาหวังดีก็อาจจะเรียกว่าไม่ร้ายจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้ามนุษย์มองออกชัด มองใจตัวเองชัด เราจะเห็นผู้อื่นชัดว่า ถึงปากเขาจะเป็นอย่างนี้ ถึงการกระทำเขาจะเป็นอย่างนี้ แต่ใจเขาอาจจะไม่ใช่ ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ใจเราจะเสียสูญไหม เสียไหม (ไม่เสีย)  เพราะอะไร เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดกัน เห็นแต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม เหมือนผีไม่เห็น แต่อดคิดไม่ได้ว่ามีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกสิ่งเป็นไปตามความคิด ความคิดเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตและทุกข์สุขเรา ไม่ใช่ผู้อื่น ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชีวิตจงเปลี่ยนความคิด
เขาด่า ใจไม่คิด เห็นก็เหมือน (ไม่เห็น)  เขาเลิกด่าแต่ใจคิด ไม่เห็นก็เหมือน (เห็น)  ไม่โดนว่าก็เหมือน (โดนว่า)  เพราะใจ (คิด)  ฉะนั้นถ้าเราแยกความคิดออกจากใจ เป็นแค่ความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดมาจากไหน    มาจากใจที่ไม่รู้ชัด ใจที่มองไม่เห็นชัด ฉะนั้นถามท่านนะ เกิดเป็นคนมีตา ควรสายตาสั้นหรือสายตายาว (สายตายาว)  มีใจควรใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  เมื่อมองอะไรควรมองให้รอบคอบหรือมองเล็กนิดหน่อย (มองให้รอบคอบ)  ก็พูดเองนะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีตาแล้วสายตาสั้น มีใจแล้ว ใจแคบ มองอะไรแล้วมองไม่เห็น เคยไหมคนอยู่ใกล้กัน คนอื่น รู้ชัด แต่เราไม่รู้จัก เคยไหม (เคย)  ทำไมคนอื่นรู้จักลูกเราดีกว่าเรา ทำไมคนอื่นรู้จักเราดีกว่าตัวเรา เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมนุษย์เป็นโรคอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงได้ นั่นคือชอบเป็นโรคคาดหวัง หวั่นวิตก และยึดติด เห็นเขาไม่ชัด เพราะหวังว่าเขาต้องดี พอไม่ดีก็เลยไม่เคยเห็นว่า   เขาอาจจะมีดีกว่าที่เราคิด แต่ใจมันคิดว่าไม่ดีๆ เราก็เลยไม่เคยเห็นความดี เหมือนตัวเราเอง เคยเห็นตัวเราไหม (ไม่เห็น)  ก็เพราะไม่เคยมองเลย     ใช่ไหม (ใช่)  เอาแต่เวลาไปมองคนอื่น
อยากอยู่กับโลกใบนี้แล้วมีแต่สุขและไม่วิตกทุกข์ร้อน พระพุทธะสอนไว้ว่า “ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ตำหนิตัวเองให้เยอะ แล้วชีวิตนี้จะไม่ต้องมีเรื่องวิตกทุกข์ร้อน” ฉะนั้นอยากอยู่ในโลกแล้วมองเห็นแจ่มชัด ลองมองดูใจตัวเอง วันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ซึ่งเป็นไปตามปกติแห่งธรรมดาของสังขาร   มีใครในโลกไม่ทุกข์ ไม่สูญเสีย ไม่เจ็บป่วย (ไม่มี)  แล้วมีใครในโลกไม่ตาย (ไม่มี)  ฉะนั้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ดี ร้าย ล้วนเป็นไปตามสภาวะเปลี่ยนไปแห่งธรรมชาติ และหนีไม่พ้นคือสังขาร หรือแม้กระทั่งความคิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ้นสภาวะหลักธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลง นั่นคือใจ หรือ จิตเดิมแท้ แต่คงไปไม่ถึงนะ เมื่อไรที่ท่านเข้าใจ จะเห็นชัดเลยว่า ใจจะหลุดพ้นจากความทุกข์ และเป็นอิสระจากสังขาร เราจะทุกข์เพียงกาย แต่ไม่ทุกข์ใจ เพราะเราเห็นชัดแล้วว่า ที่เราทุกข์เพราะความคิด ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงว่า เกิดมาแก่ก็ได้ เจ็บก็ได้ ตายก็ได้ สูญเสียก็ได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพ้นได้คือใจ ใจที่เป็นอิสระจากสังขาร และพ้นจากความยึดติดทางความคิด     ถูกไหม (ถูก)
แต่ส่วนใหญ่มักจะหยุดความคิดไม่ได้ และก็ห้ามความคิดไม่ได้ สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ตั้งความคิดให้ถูกต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก เมื่อหยุดคิดความคิดก็จางหายไป แต่เราจะทำอย่างไร ให้เราเข้าใจความคิด สิ่งสำคัญเราต้องกล้ายอมรับความจริงให้ได้ก่อน สุขได้ก็ทุกข์ได้ ทุกข์ได้ก็สุขได้ มีได้ก็มีเสีย เข้มแข็งได้ก็ (อ่อนแอได้)  อ่อนแอได้ก็เข้มแข็งได้ ถ้ากล้ายอมรับความจริง ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่)  แล้วเราจะทุกข์เพราะความคิดอีกไหม (ไม่)  แต่ทำไมยังทุกข์กันอีก
อย่างนั้นเรามีวิธีง่ายๆ ความคิดของมนุษย์ชอบไหลไปอยู่สองทาง  ไม่ทางดีก็ทางร้าย ท่านเคยได้ยินทางสายกลาง ท่านไม่อยากทุกข์ก็อย่าไปคิดร้าย เพราะบางทีคิดดีก็ (ทุกข์)  ฉะนั้นคิดอย่างคนพ้นทุกข์ คือคิดอย่างคนไม่ดี ไม่ร้าย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถามจริงๆ คนที่เขาชมเราคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง สุขหรือทุกข์ (สุข)  แต่ถ้าคิดอย่างคนเป็นกลาง  ทุกข์หรือสุข เขาชมเราว่าสวย พอวันไหนไม่สวย ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาชมเราว่าหล่อ หน้ายังดูอ่อนเลยทั้งๆ ที่ผมขาวแล้ว ทุกข์ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดความคิดทำให้เรายึดติดดีร้ายได้เสีย ทำไมไม่วางความคิดให้อยู่ตรงกลาง เมื่ออยู่ตรงกลางเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เราจะสุขไหม (ไม่สุข)  แต่เราเป็นกลาง คือความสงบเย็น เขาชมเรา ไม่ทุกข์ไม่สุข เขาว่าเราไม่มีทุกข์ไม่มีสุข วันนี้เราถูกลอตเตอรี่ ทุกข์หรือสุข เสียไปเท่าไรกว่าจะถูกหนึ่งตัว ใช่ไหม สุขดีใจถูกลอตเตอรี่แต่ที่เสียไปไม่เคยนับเลยใช่ไหม (ใช่)  เขาชมเราว่าสวย ทุกข์หรือสุข ตอนที่เขาชมใหม่ๆ สุข แต่พอนานไป พอไม่สวย ทุกข์แล้ว   ใช่ไหม (ใช่) 
ดีใจไหม ตอนเสียเงิน (เสียใจ)  จริงๆ แล้วได้หรือเสีย ถามจริงๆ     ที่ได้มาต้องเสียไปเท่าไหร่ ฉะนั้นทุกข์หรือสุข ไม่มีทุกข์และไม่มีสุข ถามใจท่านเอง อะไรสุขอะไรทุกข์ ทุกสิ่งล้วนเป็นกลางอยู่แล้ว แต่ใจเราต่างหากที่ชอบคิดว่าชมคือสุข ได้คือสุข เสียคือทุกข์ ด่าคือทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วชมอาจจะทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่มนุษย์มีตาแต่มองไม่เห็น สายตาสั้นมากกว่าสายตายาว มีใจแต่ใจไม่เปิดกว้างก็เพราะยึดติดกับความคิดจนลืมมองความจริง
เวลาเราเจ็บป่วยทุกข์หรือสุข ส่วนใหญ่มักจะพูดว่าทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ลองมองให้ดีๆ ท่านจะเห็นว่าความเจ็บป่วยทำให้เราบางทีได้รู้ซึ้งน้ำใจคน และความเจ็บป่วยทำให้เรารู้ว่าร่างกายเริ่มมีสิ่งผิดปกติ ถ้าเราไม่หันกลับมาดูแล เราจะใกล้สู่ความตาย เจ็บก่อนดีกว่าไม่เจ็บแล้วตายนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามองให้ดีอย่ายึดติดความคิด เพราะใจเดิมมันไม่ได้ทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะความคิดที่ยึดติด ถ้าเราไม่ยึดติด ไม่คาดหวัง มองโลกให้เห็นความเป็นจริง แล้วเราจะเห็นชัดได้ว่าไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันคิดไปเองทั้งนั้น จริงไหม เมื่อเราเห็นชัดว่าไม่มีทุกข์ไม่มีสุข โลกจริงเป็นกลาง เมื่อเป็นกลางแล้วเราจะสร้างวิบากกรรมได้อย่างไร แต่เมื่อเราเห็นแล้วยึดติดมีทุกข์ มีสุข มีดี มีร้าย มีได้ มีเสีย จึงก่อเกิดกรรมดีกรรมชั่ว จึงก่อเกิดวิบากกรรม      ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อพ้นทุกข์แล้วก็พ้นกรรมได้เพราะทุกสิ่งเราเห็นเป็นกลาง ไม่มีอะไรที่เราจะต้องพยายามให้ดีที่สุด และไม่มีอะไรที่เรารู้สึกว่าร้ายที่สุด เมื่อใจเราเป็นกลางเราก็เป็นอิสระจากการยึดติดผูกมัดของภาวะทุกข์สุข  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราโดนเขาว่า ใจเราคิดยึดติดดีร้ายได้เสีย โดนเขาว่าเราเริ่มสร้างกรรมปากแล้ว อยากว่ากลับ ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมไม่ดีถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าใจเราไม่คิดร้าย แล้วก็ไม่คิดดี เราจะทำดีเพื่อหวังผลขึ้นสวรรค์ไหม        เราจะยึดดีเพื่อหวังผลแล้วจะได้ไปเสวยบุญต่อไหม ภพชาติเราจบ ทุกข์เราสิ้น กรรมเราหมด เหลือแต่ใช้กรรมเก่า ถูกไหม (ถูก)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)    แจ่มแจ้งไหม (แจ่มแจ้ง)  แต่มนุษย์เราทำไม่ได้ ยังอดติดความคิด โดนว่าก็เกลียดโกรธ โดนชมก็หลงรักชอบใจ โดนใครเอาไปก็ต่อว่าด่าทอ ช่างน่าเสียดายนะ ชีวิตเรามีสิ่งที่ดี แต่ถึงเวลาเรากลับไม่รัก จริงหรือเปล่า
วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านสั้นๆ แค่นี้ พอรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  ถ้าเรายึดติดสังขาร เราก็หนีไม่พ้นความเจ็บป่วย แต่ถ้าเมื่อไรเราดึงจิตออกจากสังขาร เราก็จะเห็นว่า แท้จริงแล้วพระจันทร์ไม่ได้มืดไม่ได้สว่าง แล้วก็ไม่ได้เว้าแหว่ง ยังกลมอยู่อย่างนั้น แต่ที่ยังเห็นว่าเว้าแหว่ง ที่เห็นว่าสูญเสียไป นั่นเป็นเพราะภาวะเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ทำให้เราหลงผิดเท่านั้นเอง ชีวิตก็เหมือนกัน ใจก็เหมือนกัน ใจเราไม่เคยสูญเสีย ใจเราไม่เคยแก่ ใจเราไม่เคยเจ็บป่วย แต่เมื่อไรที่เรายึดติดสังขาร เราจะมองไม่เห็นใจเดิมแท้ น่าเสียดายนะถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ถ้าวันนี้ไม่รู้จะอดทนให้สำเร็จไหม (อดทน)  แปลว่าพรุ่งนี้จะ (มา)  ลองพยายามดูสักตั้งหนึ่งนะ ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้จะต้องเข้าใจยิ่งขึ้น พรุ่งนี้เข้าใจแล้ว วันมะรืนก็ยิ่งต้องแจ่มชัดยิ่งขึ้น เพราะวันนี้มาศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ใจ เราไม่เคยรู้ใจตัวเองเลย เพราะวันๆ เอาแต่มองออกแล้วก็ไปตามความคิดจนลืมดูใจ เมื่อไรที่ใจทุกข์ เมื่อไรที่ใจท้อ จงหันไปมองจันทร์ แล้วถามจันทร์ว่า จันทร์แหว่งหรือจันทร์เต็ม จันทร์มืดหรือจันทร์สว่าง ใจเราก็เช่นกัน ไม่ได้แหว่ง ไม่ได้หาย ไม่ได้มืด ไม่ได้สว่าง แต่เป็นสภาวธรรมว่างเปล่า จะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม    จริงไหม (จริง)  เพราะถึงที่สุด ทั้งสังขารและชีวิตก็ต้องไหลเวียนกลับไปสู่ความว่าง ใครบ้างหนีพ้นความตาย (ไม่มี)  ใครบ้างหนีพ้นความไม่มี (ไม่มี) 
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ดีหรือไม่ (ดี)  รักษาโอกาสนี้ให้ดี มีเวลาหมั่นนำธรรมมาพิจารณาชำระล้างใจ ล้างใจที่หลงผิดไหลไปตามความคิด มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะ


วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑        สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย        บำเพ็ญจิตต่อไปไม่ขาดช่วง
อายตนะเชื่อแล้วย่อมถูกลวง               เมื่อพ้นบ่วงมายาพบสัจธรรม
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
  โลกวุ่นต้องนิ่งให้เป็น                         ใจเย็นสตินำทาง
รับฟังความคิดที่ต่าง                            กระจ่างสุขุมในตน
ต้องกล้าในทางถูกต้อง                         สอดคล้องในธรรมแห่งตน
เรื่องวุ่นที่เวียนวกวน                            มองตนไม่คิดโทษใคร
ต้องมองตามความเป็นจริง                     ไม่อิงเอาแต่นิสัย
ใจนิ่งก็เย็นสบาย                                 ถือไว้ต้องทุกข์ต้องทน
โกรธไปเป็นบาปแก่ใจ                          ร้ายไปเป็นกรรมแก่ตน
แค้นไปชิงชังตกผล                              สร้างทุกข์จำทนไม่ดี
สติดึงใจให้กลาง                                 บนทางตื่นรู้ใจนี้
สำนึกประพฤติทำดี                             อย่ามีอารมณ์นำพา                                                            ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อาจารย์เคยเห็นโดยส่วนใหญ่ ก่อนที่เราจะคุยเรื่องอะไรกันก็ตาม เราต้องมีเครื่องวัดระดับจิตใจกันสักหน่อย อาจารย์จะได้รู้ว่าจะพูดธรรมะลึกหรือตื้นแค่ไหนให้ศิษย์ได้ ดังนั้นอาจารย์มีเกมที่จะวัดระดับจิตใจของศิษย์แต่ละคน ดูว่าศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนจะตอบอาจารย์ว่าอย่างไร  ทุกคนมีสิทธิ์ตอบได้หมดในเกมอันนี้ ดีไหม (ดี)  เกมนี้ไม่มีแพ้ไม่มีชนะนะ เกมของอาจารย์ง่ายๆ
ถ้าถามว่า ตอนนี้อาจารย์มีต้นไม้สองต้น ต้นหนึ่งคือต้นกล้วยอีกต้นหนึ่งคือต้นทุเรียน ศิษย์อยากปลูกต้นอะไร ศิษย์จะตอบอะไรก็ได้เพราะอาจารย์อยากวัดระดับจิตของศิษย์ อยากจะเลือกต้นทุเรียนก็ได้ อยากจะเลือกต้นกล้วยก็ได้ หรือจะไม่เลือกสักต้นก็ไม่ผิด หรือจะเลือกทั้งสองต้นก็ได้ ใครเลือกต้นกล้วย ส่วนใหญ่จะเลือกต้นกล้วย เพราะอะไร (เพราะจะได้ง่ายๆ )  เห็นไหมดูระดับจิตได้เลย อะไรง่ายๆ เอาไว้ก่อน อะไรยากๆ ไม่เอา ใช่ไหมศิษย์ แค่ถามก็รู้ใจศิษย์แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องถามอะไรมาก อยากดูใจตัวเองก็ดูเรื่องนี้ อย่างนั้นอาจารย์ถามใครอยากปลูกต้นทุเรียน ทำไมอยากปลูกต้นทุเรียนทั้งๆ ที่รู้ว่าปลูกยาก (ทุเรียนปลูกช้า กินได้นาน กินได้หลายปี)  แต่กล้วยมันกินได้ไม่หลายปีหรือ จริงไหม (จริง)  ถึงแม้ง่ายแต่ก็ต้องหมั่นปลูกบ่อยๆ เพราะต้นอ่อนใหม่เกิดขึ้นต้นเก่าก็จะตาย คิดง่ายๆ ถ้าไม่ขยันปลูกต่อก็ไม่มีกล้วยให้กิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดยากๆ เพราะแอบคิดลึกๆ คือไม่ต้องปลูกบ่อยๆ หรือพูดง่ายๆ ลงทุนทีเดียว สบายไปอีกนาน หรือพูดง่ายๆ อีกคือแอบขี้เกียจเล็กๆ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ เหมือนกัน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน อาจจะแตกต่างกันก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กล้วยก็คิดแบบหนึ่ง ทุเรียนก็คิดอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคิดถึงผลประโยชน์ มองการณ์ไกล ทุเรียนดีกว่า แต่ถ้าคิดระยะทุกๆ วันมีกิน หรือมีโอกาสกินได้ทุกเมื่อและบ่อยๆ ไม่ต้องรอเป็นปี
กว่ามันจะออก แล้วกล้วยมันมีประโยชน์ตั้งแต่หัวยัน (ราก)  แต่ถามจริงๆ ลึกๆ ถ้าให้เลือกปลูกอะไร (ปลูกกล้วย)  ถ้าอย่างนั้นป่านนี้อาจารย์คงเห็นคนใต้ปลูกกล้วย จริงไหม (จริง)  อาจารย์อุตส่าห์ไม่พูดนะว่าระหว่างปลูกกล้วยกับปลูกต้นยางจะปลูกอะไร
ฉันใดก็ฉันนั้นศิษย์เอ๋ย ชีวิตของมนุษย์เรามีโอกาสเลือกที่จะมีสุขได้ในทุกๆ วัน แต่ไยชอบมองสุขไกลโพ้น มีโอกาสทำดีได้ทุกๆ วัน แต่ไยต้องรอทำดีใหญ่ๆ ในวันข้างหน้า เหมือนกันเรามีโอกาสทำดีกับทุกๆ คนได้ แต่ไยไม่ทำเลย ชอบเอาแต่รอ เรามีโอกาสสำเร็จในทุกๆ ก้าว แต่ไยต้องไปสำเร็จในวันข้างหน้า จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นชีวิตก็เหมือนกัน ศิษย์บอกว่าชีวิตมันทุกข์เหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นสุขของศิษย์อยู่ที่คำว่า “ไกลโพ้น” หรือสุขของศิษย์อยู่ที่คำว่า “เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ และตอนนี้” จบชั้นเมื่อไร เดี๋ยวจะไปสุขให้เต็มที่ ทำไมเราไม่ทำทุกที่ทุกเวลา อะไรก็ได้ฉันก็สามารถมีสุข ทำไมต้องไปรอ ศิษย์อยากพ้นทุกข์ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมไม่ทำทุกขณะให้มันมีสุขล่ะ ยังได้หายใจ ยังมีอากาศให้หายใจ ดีแล้ว สุขแล้ว มีแค่นี้ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  หรือว่าเหี่ยวไปแล้ว ก็ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดเรายังมีลมหายใจ ทำไมเราไม่เลือกสุข แต่ไยจึงเลือกทุกข์ ทำไมเราไม่เลือกสิ่งดีให้กับชีวิต ทำไมเราเลือกทำร้ายชีวิตด้วยการคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทำสุขให้เกิดขึ้นทุกวันล่ะ และทำอะไรก็ได้ให้มันมีสุขในตัวเราไม่ได้หรือ แล้วเราเห็นใครเป็นต้นกล้วยล่ะ ไม่ดีหรือ เห็นเขามีประโยชน์ตั้งแต่หัวยันเท้าเลย ดีไหม (ดี)  แต่คนบางคนชอบเป็นทุเรียน มันออกดอกอีกนาน แต่มันออกดอกที เฮ้อ! ชื่นใจ แต่กว่าจะให้มันชื่นใจเรานะ เมื่อไรมันจะดีสักทีนะ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์อยากให้เป็นต้นกล้วย หรือต้นทุเรียน (ต้นกล้วย)  อย่างนั้นหรือ แล้วศิษย์ปลูกต้นกล้วยกับเขาหรือปลูกต้นทุเรียน หวังเขาเสียสูงลิบ แล้วเมื่อไรมันจะได้ทุเรียนออกผล หวังเอาต้นกล้วย แค่มันยิ้มก็น่ารักแล้วหรือมันแค่เหี่ยวๆ ก็ดีหนักหนาแล้ว หรือแค่เขาจะด่าเรา ก็ดีแล้วที่เขายังมีลมหายใจให้ด่าเรา ถ้าเขาไม่ห่วงไม่รัก เขาก็คงไม่ด่าเราหรอกนะ แม่บ่นไป ดีใจ แม่ยังอยู่ แม่ไม่อยู่พ่อก็แย่เหมือนกันนะ นั่นซิพ่ออยากไปไปเลย แต่ยังกลับมาบ้าน ยังมาซุกหัวนอนก็ดีแล้ว ดีกว่าไปแล้วไปลับไม่กลับมาใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์เห็นเขามีคุณค่า อะไรมันก็มีคุณค่า ถ้าศิษย์เห็นเขาว่าดี มองอย่างไรมันก็ดี มันก็ชื่นใจ แต่ถ้าศิษย์บอกว่า ทุเรียนเอ๋ย เมื่อไรมันจะออกดอก เอาใจก็แล้ว ชมก็แล้ว ว่าก็แล้ว มันก็ไม่เคยตกผลให้ชื่นใจสักทีเลย แล้วเราล่ะเป็นทุเรียนหรือเป็นต้นกล้วย (ต้นกล้วย)  อย่างนั้นหรือ อาจารย์ว่าเป็นทุเรียนมากกว่า
คุยแบบนี้ฟังง่ายไหม  (ง่าย)  ถ้าอย่างนั้นลองหันไปถามตัวเองแล้วมองกระจกนะ ว่าตัวเองทำตัวเองให้มีคุณค่าเหมือนต้นกล้วย หรือทำตัวเองนานๆ ที จะดีสักครั้งหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  เพราะไม่ใช่นานธรรมดา อาจารย์จะพูดว่า ถ้าอาจารย์ยังไม่หมดลมหายใจจะบอกว่า นาน มากๆกว่าจะดีสักครั้งให้เราชื่นใจ
อาจารย์ถามต่อว่า ระหว่างเงินกับคน เลือกอะไร (คน) ระหว่างรถกับคนเลือกอะไร (คน)  เลือกคนหรือเงิน (คน) จริงหรือ เราไม่เลือกเงินใช่ไหม อาจารย์ว่าโกหก ถึงเวลาอาจารย์เห็นเลือกเงินมากกว่าคน เลือกรถมากกว่าคน ยิ่งเมื่อเวลามีคนมาทำร้ายรถเรา เราเป็นยังไง เลือกรถใช่ไหม ยอมรับมาตรงๆ เถอะ  เลือกเงินมากกว่ารถ เลือกเงินมากกว่าเลือกคน เลือกรถมากกว่าเลือกคนใช่ไหม (ใช่) รู้ไหม เลือกเงินมากกว่าเลือกคน เลือกรถมากกว่าเลือกคน ผลที่สุด คนนั้นแหละจะทำให้เราสูญเสียทั้งเงินและรถ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเรารู้ มีจิตใจรักษาคนไว้ คนนั้นแหละจะทำให้เราได้ทั้งทั้งรถ และเงิน
เราอยู่เพื่อเงินหรืออยู่เพื่อช่วยคน (เพื่อช่วยคน)  พูดจริงหรือ (จริง)  อาจารย์เห็นนะ โดยส่วนใหญ่ยังเอาตัวไม่รอดเลยจะไปช่วยเขาทำไม ไม่ช่วยเขาแล้วยังไปเบียดเบียนเขาอีก ทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่จริง ทำทั้งเพเลยใช่หรือเปล่า ยอมรับมาเถอะ ชีวิตนี้เลือกเงินมากกว่าเลือกคนอีกใช่ไหม ถ้าเลือกคุณธรรมระหว่างความเป็นคน เราจะเลือกเงินน้อย เลือกรถน้อย          แต่เลือกคนมากกว่า อย่าลืมนะ เงินมันซื้อความซื่อตรงไม่ได้ เงินมันซื้อคนจริงใจไม่ได้ ถ้าคนนี้ยังไม่เคยจริงใจกับใคร เงินมันซื้อมิตรแท้ไม่ได้ถ้าคนๆ นี้ยังไม่เคยเป็นมิตรแท้กับใคร แต่ถ้าเราเสียเงินแล้วเราได้มิตร ทำไมเราไม่ยอมเสีย รถเราบุบนิดหน่อยเราจะไม่ได้ศัตรู แต่เราได้เพื่อน ถ้าเรายอม    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้เห็นวัตถุมีมากกว่าน้ำใจคน เห็นวัตถุมีค่าและสูงส่งกว่าคุณธรรมที่ควรมีต่อคน ซึ่งไม่ต้องถามใครที่ไหน เรานั่นแหละที่เป็น เจอใครแล้งน้ำใจ เจอใครคดโกงและเจอใครเอาเปรียบเราว่าไหม  แต่ตัวเองคดโกงเอาเปรียบว่าตัวเองไหม ว่าเขาเสียงดังแต่ว่าตัวเองไม่มีเสียงเลย เช่นนี้แล้วถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วจะแก้ไหม (แก้)  ค่อยชื่นใจหน่อย
ยิ่งเล่นเกมก็ยิ่งเห็นใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร ถ้าอยู่ในโลก เสียเปรียบกับได้เปรียบ ยอมเป็นคนแบบไหน ถามจากใจลึกๆ ระหว่างเสียเปรียบคนอื่นอยู่ตลอด ต้องยอมคนอื่นตลอด กับได้เปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่นได้ เราเป็นแบบไหน เราเลือกแบบไหนในความเป็นจริง ฝั่งชาย (ได้เปรียบ)  แน่ล่ะฝั่งชายได้เปรียบเสมอ ฝั่งหญิงเสียเปรียบตลอดใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดมากน่ะ
โดยส่วนใหญ่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราอยากเป็นคนที่เสียเปรียบหรือได้เปรียบผู้อื่น เราอยากเป็นคนที่กินแรงเอาเปรียบคนหรือว่ายอมเสียเปรียบช่วยคน (ยอมเสียเปรียบช่วยคน)  อาจารย์ไม่เข้าใจจริงๆ เลย  ต่อหน้าอาจารย์ทำไมพูดดี แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ไม่เห็นดีสักราย ทำตรงข้ามตลอดเลย จริงไหม ถึงเวลาเราเอาเปรียบหรือเราได้เปรียบเขา ใครกินแรงหน่อย เรายอมไหม (ไม่ยอม)  สมมติมีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง เขาเอาไปเจ็ดเหลือเราสาม ยอมไหม (ไม่ยอม)  เห็นไหมทันทีเลย ทำก็ทำเท่ากันถึงเวลาได้แค่สามเขาได้ตั้งเจ็ด เอาไหม (ไม่เอา)  อ้าวไหนบอกว่ายอม ศิษย์เอยอยากจะรู้ว่าคนนั้นเป็นคนทำบุญเก่ง หรือว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ต้องดูที่ว่าเขาเสียเปรียบอยู่ร่ำไปหรือเอาเปรียบอยู่ร่ำไป คนที่กล้าให้ผู้อื่นเสมอแปลว่า คนนั้นมีรากฐานที่ดีคือไม่อยากมีเรื่องราว แต่คนที่ไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่นอยู่ร่ำไปเป็นคนที่จะทำดียากจริงไหม ฉะนั้นอยากดูจิตใจตัวเองว่าดีจริงแท้  แค่ไหน ก็ดูที่ว่าศิษย์กล้าที่จะยอมเสียเปรียบและยอมให้ผู้อื่นอยู่ร่ำไปหรือไม่ อย่างนั้นตอนนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  ยังบอกตัวเองว่าดีอีก ยอมแบบไม่ค่อยเต็มใจ ยอมแบบด่าเขาในใจอีก อย่างนี้เรียกว่ายอมไหม (ไม่ยอม)
ยอมก็เพราะจำใจยอม พูดไม่ได้ บ่นไม่ได้ แต่แอบด่าในใจ อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าดีนะ ถ้ายอมก็ต้องยอมสุดจิตสุดใจ นั่นแหละที่เรียกว่าคนดีที่หนึ่ง แต่คนในโลกนี้ มีหรือจะยอมกันจริง อาจารย์ถามหน่อย คนที่ได้เปรียบคนอื่น แท้จริงเขาได้เปรียบใครไหม ถ้ามองให้กว้าง เปิดใจให้กว้าง แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีใครได้มากกว่าใคร แต่กลัวศิษย์ตาบอด อารมณ์เป็นใหญ่เลยมองไม่เห็นความจริง  ศิษย์หลายคนมักพูดว่า อาจารย์เราอยู่ในโลกนี้เป็นคนดีก็พอแล้วทำไมยังต้องปฏิบัติธรรมอีก มีใครคิดแบบนี้ไหม (มี) แค่เป็นคนดีก็ยากจะแย่แล้ว แล้วตอนนี้ให้มาฟังธรรม แล้วปฏิบัติธรรมอีก ยากไปหน่อย สาเหตุหลักที่มนุษย์คิดปฏิบัติธรรมก็คือ เราอยากพ้นทุกข์ อยากไปสวรรค์ ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด แต่เป็นแค่คนดีจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  ก็รู้นี่ การเป็นคนดีอย่างสุดจิตสุดใจก็ยากแล้ว น่าจะพ้น อย่างน้อยไม่พ้นทุกข์แต่ขึ้นสวรรค์ก็ยังดี มักจะเข้าใจว่า แค่คนดีที่สุดก็หนักหนาแล้ว       จะปฏิบัติธรรม แต่ความดีมันทำให้เราพ้นทุกข์ ยังไม่ได้ อาจารย์เทียบง่ายๆ คนดีก็ยังมีทุกข์ของความดี อย่างเช่น เวลาเราทำดีเจอคนไม่ดีตอบ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำดีแล้วไม่ได้ดีตอบทุกข์ไหม (ทุกข์)  แค่ปฏิบัติดีพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ทำดีอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ได้ ทำดีโดยไม่ต้องหวังผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกครั้งทำดีขอพรไหม รู้อยู่เต็มอกก็อดปากไม่ได้ ขอสักนิดเถอะอาจารย์ ถึงเวลาเรากลับทำไม่ได้ช่างน่าเสียดาย ศิษย์เอย หลักธรรมของทุกศาสนามีหลักธรรมอันเดียวกันคือ ทำแล้ว ต้องมีจิตที่เบา จิตมีอิสระ ทำแล้วจิตไม่ยึดติด ทำแล้วต้องละวาง ถ้าทำดีแล้วยึดติด แสดงว่าเรากำลังทำดีผิดทาง เพราะหลักของธรรมะสอนไว้ว่า ทำแล้วต้องไม่ยึดติด ทำแล้วต้องละวาง ทำแล้วใจมันต้องเบา       แต่ทำไมใจยังหนักอึ้ง ทำแล้วใจมันยังหลง ทำแล้วใจยังโลภ อย่างนี้เรียกว่าความดีที่มีกิเลสแอบแฝง ฉะนั้นถ้าจะทำดีแล้ว เป็นความดีที่แท้จริง ต้องไม่มีกิเลสนอนเนื่องในจิตใจ ไม่มี โลภ หลง  ทำแล้วต้องเบา แต่ทำไมทำแล้วยังกลุ้มกังวลใจ แล้วจะได้ไหม ถูกไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำดีแล้ว ศิษย์อยากพ้น ศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์ต้องทำแล้วไม่หวังผล ทำเต็มที่แล้วสู้สุดจิตสุดใจแล้ว ทำให้เขาเต็มที่แล้ว เขาจะว่าอย่างไรก็ (ช่าง)  ไหนว่าไม่ยึดติดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีแล้ว ถึงที่สุดแล้วก็ปล่อยวาง เพราะเราถือไปแล้วถึงเวลามันจะได้อะไรไหม กลุ้มกังวลไปแล้วได้อะไรไหม กลายเป็นทำดีก็ทุกข์ใจเพราะจะได้รับคำชมไหม จะหน้าบานไหม ใครจะเห็นไหมว่าเราทำบุญตั้งหนึ่งร้อย ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าทำดีเเล้วหวังว่ายังมีหน้า ทำดีแล้วต้องมีคนให้ความสำคัญ ทำดีแล้วคนต้องประกาศชื่อ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าทำดีแล้วพ้นทุกข์ เพราะการทำดีแล้วอยากพ้นทุกข์ เราต้องไม่ยึดติดใดๆ ทำแล้วสามารถสละตัวตน เบาบางด้วยการเจือไปด้วยกิเลสนอนเนื่องในใจได้ นี่แหละเรียกว่าทำดีแล้วมาถูกทาง จะมาจะเดินก็ต้องเดินให้ถูก ฉะนั้นต่อไปนี้จะขออีกไหม ก็ยังไม่แน่ ถูกหรือเปล่า
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าทำดีที่สุดแล้ว พระพุทธรูปปั้นสวยมีไหมที่ไม่มีคนติ ไม่มีคนว่า (ไม่มี)  อาจารย์ถามกลับศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว มีไหมไม่มีคนบ่น ไม่มีคนด่า (ไม่มี)  แล้วจะทุกข์ทำไม ฉะนั้นทำดีที่สุดแล้วก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เรารู้อยู่แก่ใจเขาอยากว่าช่างปากเขา หมาเห่าใบตอง (แห้ง)  แต่ศิษย์รู้ไหมเขาเป็นหมาเราก็เป็นหมาเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีต่อแล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรที่จะทำให้เราสามารถพ้นทุกข์ได้ ถ้าเกิดว่าทำดีแล้วยังยึดติดมันดีไหม ไม่ดี ถูกไหม จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งที่พระพุทธะ มักจะพูดไว้เสมอๆ ก็คือ เมื่อใดที่เรายังยึดติด เราก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่จะต้องไปรองรับ เหมือนเรายึดติดว่าเราทำดี เราเป็นคนดีเราก็หนีไม่พ้น ฉันอยากรับผลดี แล้วหนีพ้นไหม แปลว่าเราอยากมารับบุญต่อ เราอยากมาเกิดต่อใช่ไหม ถ้าศิษย์บอกว่าชาตินี้พอแล้ว ไม่อยากเกิดแล้ว ฉะนั้นทำดีก็ต้องไม่หวังผล ฉะนั้นเมื่อเราไม่ยึดติดจะมีวิบากกรรมต้องไปรองรับไหม จะมีคำว่าตัวตนที่มีกรรมต้องมารับผลอีกไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกิดอีกจะทำดีหวังผลไหม คิดให้ดีๆ นะ ถ้ายังยึดติดก็แปลว่าเราอยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลบุญในการกระทำนั้น แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดเราก็จบแล้วจบกัน แถมทำแล้วได้สละความเป็นตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วผู้ปฏิบัติธรรมยิ่งปฏิบัติแล้วใจเบาขึ้นไหม (เบา)
ยิ่งปฏิบัติจิตใจยิ่งใสขึ้นไหม (ใส)  ยิ่งปฏิบัติจิตใจยิ่งมีอิสระเสรีไหม (มี)  อาจารย์ว่ามันตรงกันข้ามกันหมดเลย ยิ่งปฏิบัติเดี๋ยวก็ติดคนนั้น เดี๋ยวก็ติดคนนี้ เดี๋ยวก็มีปัญหากับคนนั้น เดี๋ยวก็มีเรื่องกับคนนี้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติถูกหรือปฏิบัติผิด (ปฏิบัติผิด)  ถ้ามีปัญหาแล้วเอาแต่แก้ที่เขา แก้ที่คนอื่นไม่ได้แก้ตัวเอง ปฏิบัติอย่างไรก็ไปไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเข้าใจให้ถูก การปฏิบัติธรรมหลักสำคัญก็คือ หนึ่งปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ถ้าปฏิบัติดีแล้วยังทุกข์กับคนนั้น ยังมีปัญหากับคนนี้ อย่างนี้คือปฏิบัติผิด ยังไม่ชอบคนนั้น ไม่ชอบคนนี้ อาจารย์ทำไมยังเป็นแบบนั้น ทำไมผู้บรรยายถึงพูดแบบนี้ นั่นเรียกว่าปฏิบัติผิดทาง เพราะปฏิบัติแล้วยังยึดติด ถูกไหม (ถูก)  รู้อยู่แก่ใจ แต่ปากมันพูดอีกอย่างหนึ่ง เพราะปากไม่เคยตรงกับใจ เราปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อใช้ธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เราปฏิบัติธรรมเพื่อเอาธรรมมายับยั้งชั่งใจ ไม่ให้เราก่อเกิดกิเลสและกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายกับเขาไม่จบสิ้น เราเอาธรรมมาปฏิบัติเพื่อย้ำเตือนใจไม่ปล่อยให้ความอยากความโลภมาทำให้เราก่อวิบากกรรมแล้วเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น เราปฏิบัติธรรมเพื่อเอาธรรมะมาประพฤติในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เข้าใจคำว่าปฏิบัติหรือยัง (เข้าใจแล้ว)
ปฏิบัติธรรมอย่างไรล่ะอาจารย์ถึงจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติ ศิษย์ชอบทำบุญไหม (ชอบ)  บุญที่เรียกว่าสังฆทานเป็นบุญที่ใหญ่ อยากสะเดาะอะไรก็ไปทำ (สังฆทาน)  ถ้าอยากทำทานที่ช่วยสะเดาะเคราะห์ที่ทำให้เราไม่มีภัยกับใครก็คือ ทำทานแบบไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ (ธรรมะเป็นทาน)  ให้ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ถามศิษย์รอไปสะเดาะเคราะห์ที่วัด กับศิษย์สะเดาะเคราะห์กับทุกๆ คน ไม่เจาะจงกับใคร ศิษย์ก็ให้ธรรมะเป็นทาน กับใครศิษย์ก็มีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อ ซื่อตรง และเคารพให้เกียรติ อย่างนี้ศิษย์ไม่เรียกว่าศิษย์ทำบุญทุกวันหรือ และศิษย์ก็กำลังทำสังฆทานทุกวันใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เพราะศิษย์ทำบาปกับเขาทุกวันเลย ไม่พอใจก็ด่า เกลียดก็บ่น อยากกินแรงเอาเปรียบ ก็กินแรงเอาเปรียบ อาจารย์จึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมหลักสำคัญก็คือ สามารถปฏิบัติธรรมแล้วไปอยู่กับใครก็ได้เราก็ปฏิบัติได้ทุกเมื่อ และการปฏิบัติธรรมที่ดีทีสุด คือเราซื่อตรงกับเขาไหม เราเมตตาจริงใจไหม เรามีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรารู้จักเคารพให้เกียรติไหม เรารู้จักเป็นมิตรสนิท ชิดเชื้อให้ความจริงใจหรือเปล่า ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราทำไหม
เจอใครเราก็มีเมตตากับเขา เจอผู้ใหญ่ก็เคารพให้เกียรติ เจอเด็กก็มีเมตตาจริงใจ เจอเพื่อนก็ซื่อตรง ถ้าทำอย่างนี้เราจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)     เราจะสร้างกรรมไหม (ไม่สร้าง)  เราจะเบียดเบียนใครไหม (ไม่เบียดเบียน)  มันก็ยังไม่แน่นะอาจารย์ มันต้องดูบางอารมณ์ใช่ไหม อารมณ์ดีก็ใจดี อารมณ์ร้ายอย่าให้ขึ้นเชียวอาจารย์ หัวหงอกหัวดำ เอาหมด ใช่ไหม (ใช่) 
แล้วการปฏิบัติธรรมหรือมีธรรมตลอดเวลาในจิตใจ ยังมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือจะคอยช่วยย้ำเตือนใจเวลาที่ชีวิตเราต้องเจอเรื่องร้ายๆ หรือเจอเรื่องแรงๆ เราจะมีภูมิคุ้มกัน เหมือนเราย้ำเตือนใจ ชีวิตมันไม่แน่นอน ชีวิตมันแปรเปลี่ยน มีดีก็มี (ไม่ดี)  มีร้ายก็มี (ดี)  เราหมั่นเตือนใจอยู่ตลอด เราหมั่นเอาธรรมมาสอนใจตลอด เวลาเราเจอเรื่องที่ร้ายมากๆ เจอเรื่องที่หนักมากๆ ใจเรามันจะคอยบอกตัวเองว่า มันเป็นอย่างนี้แหละ ใจเรามันจะเข้มแข็งขึ้น ใจเรามันจะมีพลังขึ้น ฉะนั้น “การหมั่นปฏิบัติธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควรมีไว้ในชีวิต อย่าเป็นแค่คนดี แต่ควรมีธรรมสอนใจอยู่ทุกนาที เพราะยิ่งมีทุกวันๆ ภูมิต้านทานเราในการเจอกับความเป็นจริง มันจะทำให้เราแข็งแกร่ง แต่ถ้าเราไม่เคยมีธรรมเลย ไม่เคยเอาธรรมมาเตือนใจเลย เวลาเราเจอชีวิตที่มันพลิกผัน ศิษย์รับไหวไหม (ไม่ไหว)  เวลาชีวิตมันพลิกแพลงไปอีกอย่างหนึ่ง ศิษย์ทนได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเตรียมใจ และเราไม่เคยฝึกใจเราก่อน ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า อย่าเป็นแค่คนดี แต่ต้องเป็นคนดีที่พร้อมปฏิบัติธรรม มีธรรมอยู่เนืองๆ ในใจ แล้วมันจะทำให้เรามองโลก และเห็นโลกชัด ไม่ทุกข์กับโลกอีกต่อไป
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ให้มนต์บทหนึ่งเอาไว้ท่องเตือนใจ เวลาเจอเรื่องอะไรที่น่ายินดี ศิษย์ก็จะท่องไว้เสมอ “ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย” ท่องไว้ทุกครั้งที่เวลาเจอใคร เวลาเจอใครดี เจอเรื่องดีๆ จะได้จำไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  เจอคนไม่ดีเราก็ท่องไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  ดีไหม (ดี)  บอกชีวิตไว้เสมอๆ และเมื่อไรที่ชีวิตต้องเจอเรื่องที่หนักเกินรับมือ ศิษย์จะได้จำไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  แต่พอกลับบ้านก็ลืมเลยใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ไม่ลืม)  ขอให้ไม่ลืมจริงๆ เถอะนะ แล้วอย่างไรล่ะเรียกว่าปฏิบัติ การหมั่นพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ จะทำให้เรามีธรรมยั้งคิด และธรรมช่วยให้เรายับยั้งทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นธรรมไหม (เป็น)  ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง   ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย เวลามีคนชมก็ท่องไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  สมมติว่าตอนนี้เราอยากจะปฏิบัติธรรมบ้างแล้ว หรือว่ายังเหมือนเดิม เวลาเราปฏิบัติธรรมแล้วเจอเรื่องที่มันไม่เป็นดั่งใจ โดยส่วนใหญ่ศิษย์จะร้ายมาก็ (ร้ายไป)  ด่ามาก็    (ด่าไป)  ศิษย์อาจารย์น่ากลัวจริงเลย ถ้าเกิดว่าชีวิตเราอยากปฏิบัติธรรม แต่เจอคนที่ไม่เข้าตาเรา หรือเจอคนที่หลอกลวงเรา โกงเรา ทำร้ายเรา   เรายังอยากที่จะปฏิบัติธรรมกับเขาได้ไหม ทำกับคนแบบนี้ได้ไหม (ได้)  ศิษย์ว่าได้นะ แต่จะจบแบบไหน เลือกแบบไหน อันนี้สำคัญ จะเกี่ยวกรรมกันต่อไป หรือจะจบเวรจบกรรม หรือหมดเรื่องหมดราว ถูกหรือไม่
(อาจารย์เลือกนักเรียนมายืนข้างหน้าสองคน แล้วให้นักเรียนในชั้นเรียนเลือกว่าคนไหนน่าจะดี และไม่ดี)
คนสองคนนี้ คนใดดูน่าจะหาเรื่องหาราวกับเรามากกว่ากัน โดยให้ศิษย์กลับหลังไม่ให้ดูหน้า แล้วให้เลือกว่าคนไหนน่าจะดี และไม่ดี  แล้วหันหน้ามา อาจารย์บอกแล้วว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์มองทุกสิ่งทุกอย่าง มักจะเห็นคุณค่าแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ใจเรายึดสำคัญมั่นหมายอย่างไร    ถ้าเรายึดว่าแบบนี้หาเรื่อง มองอย่างไรก็มีเรื่อง  แบบนี้ดูไม่น่ามีเรื่อง     มองอย่างไรก็ไม่น่ามีเรื่อง มันขึ้นกับสิ่งที่มั่นหมายในใจเรา หรืออยู่ที่ตัวเขา (เรา)  เวลาเรามีเรื่องมีราว สิ่งสำคัญมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่มั่นหมายในใจเรา หรืออยู่ที่ตัวเขา (ตัวเรา)  อยู่ที่ตัวเรา
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนสองคน แสดงบทบาทต่างกัน ให้อีกคนแสดงทำตัวให้น่ารัก และให้อีกคนเดินไปอีกทาง ทำตัวให้เหมือนจิ๊กโก๋ที่สุด ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนอื่นคิดไว้)
ศิษย์ลองดูคนที่ศิษย์คิดว่าเขาน่ารักพอเขาทำตัวไม่น่ารักจะเป็นอย่างไร ดีไหม (ดี)  ก็ในเมื่อในโลกของความเป็นจริงล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น ในความคิดเราว่าเขาไม่ดี แน่ใจหรือว่าเขาไม่ดีไปตลอด แล้วถ้าศิษย์ปักใจเชื่อว่าเขาดี แน่ใจหรือ ว่าเขาจะดีไปตลอด
ศิษย์เอ๋ยนี้น่ารักที่สุดแล้วใช่ไหม เพราะการไม่มีเรื่องไม่มีราวกับใครก็เป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดนะ เดินไปเจียมตัว กลับมาแบบเจียมๆ ตัว ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไร ปลอดภัยที่สุด ถูกไหม (ถูก)  น่ารักไหม (น่ารัก)  น่ารักในแบบ (ของเขา)  ฉะนั้นถ้าเราไม่คาดหวังเยอะเราก็คงไม่ผิดหวังใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครคาดหวังเหมือนอาจารย์บ้าง อาจารย์นึกว่าจะได้มากกว่านี้นะ อีกทีไหมศิษย์ (ไม่)  ไม่แล้วหรือ ไม่ยากอาจารย์บอกง่ายๆ นะ     เวลาเดินไปแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ คุณยายน่ารักจังเลย คุณตาน่ารักจังเลย” ง่ายไหม ไหนลองทำสิ จริงๆ เขาน่ารักอยู่แล้วนะ ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าบางครั้งเวลาเราอยู่บนโลกใบนี้สิ่งที่เราคาดหวังและเรายึดติด บางทีมันก็อาจไม่เป็นอย่างนั้น ถูกไหม (ถูก)    ฉะนั้นถ้าเราไม่ปักใจเชื่อเสียอย่าง บางทีเราอาจเห็นมุมมองที่ดีในใจของเขาก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราไม่ปักใจเชื่อว่าเขาร้ายอย่างเดียว บางครั้งเราอาจเห็นอะไรที่น่ารักๆ ในตัวของเขาก็เป็นได้ ฉะนั้นที่มนุษย์ทุกวันนี้มีปัญหากัน มีทุกข์กัน หรือต่างถือทิฐิใส่กัน เราต่างไม่ยอมทำสิ่งที่ควรปฏิบัติให้แก่กัน   ใช่ไหม (ใช่)  เวลาทำชั่วเรากล้าทำ แต่น่าแปลกนะ เวลาทำดีก็อาย อายไหม (ไม่อาย) แน่ใจนะ ถ้าแน่ใจเดินไปสวัสดีให้ทั่วห้องเลยนะ
การปฏิบัติธรรมอย่างไรนะ ที่จะทำให้เราช่วยดับทุกข์ในใจของเราได้ เรามีทุกข์ไหม (มี)  ทุกข์มากทุกข์น้อย (ทุกข์มาก ทุกข์น้อย)  อยู่กับอาจารย์ยังทุกข์อีกหรือ แล้วเราจะดับทุกข์ในใจของเราได้อย่างไร อาจารย์ถามหน่อย ส่วนใหญ่ถ้าเราอยากจะดับทุกข์ได้ ศิษย์เคยได้ยินประโยคนี้ไหม “ถ้าใจเราว่าง ทุกสิ่งก็ว่าง ถ้าใจเรานิ่ง ทุกสิ่งวุ่นวายขนาดไหน เราก็สามารถทำให้มันนิ่งได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  “แต่ถ้าเกิดโลกภายนอกมันนิ่ง แต่ถ้าใจเราวุ่น เราก็สามารถทำสิ่งที่นิ่งให้วุ่นวายได้ เพราะใจเรา” ฉะนั้นเหมือนกันถ้าเราคิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็มี แต่ถ้าเราไม่คิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เหมือน (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นแล้วไม่คิดมันจะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  เห็นแล้วไม่ถือสา จะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  เห็นแล้วใจเราไม่วุ่น จะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  ถ้าเราเห็นเขาว่าง ใจเราก็ (ว่าง)  ถ้าเราเห็นเขาวุ่น ใจเราก็ (วุ่น)  อยากปฏิบัติธรรม ถ้าเห็นเขาวุ่น ใจเราต้องพยายามนิ่ง เมื่อนิ่งจึงรับมือกับความวุ่นได้ ถ้าวันหนึ่งศิษย์เจอคนที่โกง หลอกลวงศิษย์ เจอคนที่ด่าศิษย์ ศิษย์จะแก้อย่างไร ศิษย์บอกว่าคิดดีไว้อาจารย์ ทำอะไรไม่ได้ ให้อภัย หรือไม่ก็ทำมันกลับสักทีหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่ ไม่ใช่) เวลาเราเจอคนโกง คนร้าย เราจะร้ายกลับดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าร้ายกลับแสดงว่าเราต้องอยากเกี่ยวกรรมต่อเนื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราต้องคิดดีเข้าไว้ ดีไหม (ดี)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมักจะบอกว่า วิธีปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ให้คิดดีเข้าไว้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทุกข์เพราะความคิด  ฉะนั้นเมื่อศิษย์พยายามคิดดีเข้าไว้ ความคิดนั้นทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด เมื่อเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม เราใช้อารมณ์ ใช้ความคิด มันจะวุ่นไม่จบ แต่ถ้าเมื่อไร เราเจอเรื่องราวเราใช้สติ จะพบความสงบ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เจออะไรคิดดีไว้ก่อน  อาจารย์ถามหน่อย ถ้าเขาโกง คิดดีช่างมันเถอะจะได้หมดเวรหมดกรรม แต่ความคิดมันจบไหม (ไม่จบ)  พอถึงเวลาทำไมมันโกงล่ะอาจารย์ ก็พยายามอภัยแล้วนะ แต่ทำไมยังโกงอีก ฉะนั้นถึงจะใช้คำว่าคิดดี ก็ยังไม่พ้นทุกข์  แล้วคิดอย่างไรที่จะพ้นทุกข์ (ให้อภัยเขาทุกอย่าง)  ศิษย์เอยถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังคิดว่าต้องพยายามให้อภัยแปลว่าในใจศิษย์ยังไม่ชอบใจอยู่ใช่ไหม  ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดี เวลาเจอเรื่องราวที่ไม่เป็นดังใจเราให้อภัย
คิดให้อภัยเป็นการแก้ที่ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ เพราะเมื่อไรที่เราพยายามคิดดีเข้าไว้ คิดให้อภัย แล้วถ้าเกิดเขาไม่เป็นดั่งใจ เขายังเป็นซ้ำอีก อภัยลงไหม ถ้าสมมติว่าเขาทำไม่ดีกับเรา เราพยายามคิดให้อภัย คิดบวกเข้าไว้ คิดดีเข้าไว้ เขายังทำอีก (ไม่ถือสา)  ตอบได้ดี (ไม่ต้องคิดเลย)  เพราะคิดดีเขาก็ไม่ดี คิดร้ายก็มีแต่ทำให้ใจเราเจ็บปวด อย่างนั้นอย่าคิดเลย ใช่หรือไม่ เพราะคนทั้งโลกเขาไม่เเกล้งแต่เขามาแกล้งเรา คนทั้งโลกเขาไม่หลอกลวง แต่เขามาหลอกลวงเรา คนทั้งโลกเขาไม่โกง เขาโกงเรา แปลว่ามันต้องมีกรรมเกี่ยวกันมา ใช่ไหม ฉะนั้นคิดให้สบายใจก็ช่างมัน อย่าไปคิดดีกว่า คิดเเล้วก็เจ็บช้ำน้ำใจใช่ไหม
(พูดกับเพื่อนแรง ไม่รู้ว่าจะกลับไปดีกับเขาอย่างไร)  เพื่อนกันถึงร้ายกันยังไงก็ตัดไม่ขาดใช่ไหม ง่ายๆ คำเดียวสั้นๆ ขอโทษ แค่ “ขอโทษ” เมื่อสักครู่ศิษย์ก็พูดเองว่าศิษย์พูดแรง พูดหนักด้วย และทำเพื่อนเขาเจ็บด้วยใช่ไหม รักเพื่อนไม่ใช่หรือ แค่พูดว่า “ขอโทษ” ไม่ยากหรอก ผิดก็ยอมรับผิด ทำเลยไม่ต้องคิด เพราะถ้าคิดจะไม่ได้ทำ และถ้ายิ่งคิดมันก็ยิ่งไม่ทำ ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์อยากอยู่บนโลกแล้วไม่มีปัญหากับใคร เวลาเจอเรื่องที่มันกระทบใจแล้วจะก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ อย่าใช้ความคิดเพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัย กิเลส อารมณ์ และมันง่ายที่จะลำเอียงเข้าข้างตัวเอง และความคิดมันง่ายที่จะเหมือนสาดน้ำมันใส่อารมณ์ โกรธไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะด่า ใช่ไหม ฉะนั้นเมื่อใดที่ใจต้องกระทบแล้วเกิดอารมณ์ จำไว้อย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ สติจะดึงใจให้กลับมาสู่ความเป็นกลาง
รู้จักเอาสติ ดึงสติมา ไม่ใช่อาจารย์บอกว่าปฏิบัติธรรม ไม่ต้องคิดไม่ใช่นะ แต่ถ้าเกิดว่าต้องทำงานรู้จักใช้สมองนั้นแหละต้องคิด แต่ถ้ามีเรื่องอะไรกระทบใจ อย่าคิด เพราะความคิดมันเป็นกิเลสอารมณ์ง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหม อารมณ์หมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ความคิดเป็นสิ่งที่นอนเนื่อง ก่อเกิดให้กิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าเจออะไรมากระทบใจ ไม่อยากก่อเกิดเป็นวิบากกรรมแล้วทำให้ต้องทุกข์ จงอย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ สติจะดึงใจให้กลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริงอย่างแจ่มชัด
ฉะนั้นเราเจอเรื่องราวอะไรจำไว้นะศิษย์ อะไรที่มากระทบแล้วจะก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ “อย่าคิด” ถึงแม้การคิดนั้นจะเป็นการคิดบวกก็ตาม มันก็ทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะเวลาเราคิดบวก “ช่างมันเถอะๆ” ความคิดก็คือความทุกข์ ความทุกข์ก็คือความคิด ถ้าเรายังไม่เห็นชัดในความคิดเราก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  เข้าใจไหม ฉะนั้นเวลาเจออะไรให้ใช้ (สติ)  ใช้สติแล้วถ้าคิด คิดให้มันกลาง อย่าคิดดีและอย่าคิดร้าย เพราะถ้าคิดดีมันก็หลงรัก พอหลงรักไม่เป็นดังรักมันก็โกรธ โกรธเสร็จก็เกลียด เกลียดเสร็จด่า ด่าเสร็จก็เกี่ยวกรรม พอเห็นแล้วคิดร้าย คิดร้ายก็จองเวรจองกรรมอีก มันพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  แล้วเราอยากอยู่อย่างมีกรรมหรืออยากอยู่อย่างหมดกรรม (หมดกรรม)  แล้วตอนนี้เราทำอย่างคนมีกรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)  เห็นเกี่ยวกรรมตลอดเลย ฉะนั้นเจออะไรพยายามอย่าคิดบวกหรือคิดลบ มองเขาเป็นกลาง ดีไหม (ดี)  เวลาเจอใครแบบไหนก็มองเป็น (กลาง)  เราจะผิดหวัง เราจะทุกข์ และเราจะเสียใจไหม (ไม่)  คำว่ากลางนั้นก็คือไม่ยินดียินร้าย เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเจอหน้าแบบนี้กลางไหม ห้ามยิ้มนะ บึ้งไว้ มองหน้าแบบนี้กลางไหม (กลาง)  อดคิดไม่ได้หน้าเขาก็ดูน่ากลัวเหมือนกันนะอาจารย์ ฉะนั้นเจอเรื่องราวจะเป็นอย่างไร มองให้เป็นกลางไว้ เพราะถึงที่สุดร้ายก็มี (ดี)  ในดีก็มี (ร้าย)  ในสุขก็มี (ทุกข์)  ในแย่มี (ดี)  ในไม่หล่อก็มี (หล่อ)  จะหล่อมากๆ เลย ถ้าไม่ติดเหล้าไม่ติดบุหรี่ ขยันทำมาหากิน ทำได้ไหม แล้วยังกินเหล้าสูบบุหรี่ไหม สูบหรือ กลับไปยังสูบไหม (ไม่สูบ)  แน่นะ เอาแอปเปิลมาเลยเร็ว ถ้ารู้จักรักตัวเองเป็น เรื่องอะไรจะรักคนอื่นไม่เป็น แต่ถ้าเขายังทำร้ายตัวเอง และเรายังโง่ไปเลือกเขามาเป็นสามี ศิษย์นั่นเหละโง่ที่สุดแล้ว ใช่ไหม
 (พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลให้กับคนที่ตอบคำถาม)  กินแอปเปิลยังมีวันหมด แต่ถ้าเอาธรรมะของอาจารย์ไปปฏิบัติไม่มีวันหมด หมดอย่างเดียวคือช่วยหมดทุกข์ เอาแอปเปิลหรือเอาธรรม (เอาสองอย่าง)  ศิษย์ฉลาด
อาจารย์ถามหน่อยโดยส่วนใหญ่มนุษย์ปรารถนาความสงบหรือความวุ่นวาย (ความสงบ)  จริงหรือ อาจารย์ลงไปข้างล่างดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ได้ เกิดเป็นคนต้องรู้จักเสียสละ ถ้าไม่เสียสละชีวิตจะไม่มีวันสงบ ชีวิตนี้เคยมีความสงบสบายใจบ้างไหม (มีบ้าง)  เราปรารถนาความสงบหรือเราปรารถนาความวุ่นวาย (ความสงบ)  จริงหรือ ถ้าปรารถนาความสงบชีวิตเราคงไม่ไปหาเรื่องใครให้วุ่นวายหรอก  สงบแปลง่ายๆ แปลว่ายอมจบ ถ้าไม่ยอมจบก็แปลว่าไม่มีวันสงบ ถูกไหมศิษย์ แล้วชีวิตนี้ศิษย์ยอมจบบ้างไหม ใครว่าเรายอมจบไหม ใครโกงเรายอมไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตแล้วไม่อยากมีกรรมต่อ อยากมีชีวิต คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรมถูกไหมศิษย์ และมีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี แล้วเราอยากเพิ่มกรรมดีหรือเพิ่มกรรมชั่ว (กรรมดี)  อยากมีกรรมต่อหรือ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วก็ไม่อยากเพิ่มแล้วใช่ไหม เพราะถ้าเพิ่มก็แปลว่าเรายังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วถ้าหากว่าเรามาเวียนว่ายตายเกิดแล้วศีลเรามีไม่ครบ ความเป็นคนเราปฏิบัติได้ไม่ดี การกลับมาเกิดก็ไม่สามารถจะทำให้เราเกิดเป็นคนได้ ฉะนั้นเราอยากจบกรรมไหม ถ้าอยากจบเจอเรื่องราวอะไรควรจบ พอจบจะพบความสงบ   แต่ถ้าไม่จบมันจะวุ่นวาย ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ทำอะไรเอาแต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย แต่ถ้าชีวิตนี้ทำอะไรใช้สติ ก็จะพบความสงบและจบได้ แต่ถึงเวลาพอเราเจอเรื่องราว เราจบและสงบจริงไหม แต่โดยส่วนใหญ่เรามักชอบความวุ่นวายมากกว่าความสงบใช่ไหม (ใช่)  พอถึงเวลาให้เข้าวัดกับไปผับไปไหน (วัด)  ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีเรื่องราวอะไร ถ้าเรารู้จักจบให้ไว มันก็วุ่นวายน้อย แต่ถ้าจบช้า มันก็วุ่นวายมาก หรือพูดให้ยากเข้าไปอีกหน่อย ถ้าทำอะไรเอาแต่ใช้อารมณ์เป็นหลักเราก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย แต่ถ้าทำอะไรรู้จักใช้สติเป็นหลักเราก็มีความสุขสงบได้
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย คำว่า “สติ” แปลว่าอะไร (การยับยั้งชั่งคิด, ปัญญา)  สติแปลว่าปัญญา มีสติจึงมีปัญญา ถ้าสติไม่มี ปัญญาก็ไม่เกิดนะศิษย์ แต่สติไม่ได้แปลว่าปัญญา (สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญญาไม่มี)  ต้องได้อย่างนี้แหละ แต่ถึงเวลาไม่เห็นมีสติเลย สติแปลว่า (ความยับยั้งชั่งใจ, ความระลึกได้)  ระลึกอะไรได้ (ความดีความชั่ว)  สติแปลว่า ความระลึกได้ ตั้งตนให้อยู่ในศีลในธรรม ระลึกในศีล ระลึกในธรรม (คิดก่อนแล้วค่อยทำ)  แต่ความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยและอารมณ์นะ แล้วสติมันจะช่วยยับยั้งชั่งใจอย่างไร ถ้าสติมันไหลไปตามความคิด จริงไหม (จริง)  อาจารย์เพิ่งพูดเองว่า ถ้าเกิดเราเจอเรื่องอะไร อย่าใช้ความคิด เพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลและตกไปเป็นทาสของอารมณ์ ถ้าอะไรมากระทบใจแล้วมันจะก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ อย่าใช้ความคิด เพราะความคิดนั้นมันไหล มันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยของใจคน แต่สติมันทำให้เราระลึก รู้ผิดชอบชั่วดี รู้พิจารณาความเป็นจริง รู้ให้กลับมาสู่ความเป็นกลาง
สติกับสมาธิ  ศิษย์จะถามอาจารย์ว่าอันไหนมาก่อน สติทำให้เรานิ่งกลับสู่ภาวะกลาง และภาวะกลางถ้ารักษาได้ตลอดจะเกิดสมาธิ และเมื่อสามารถรักษาสติให้เกิดสมาธิหรือสงบจนเป็นกำลัง จนก่อเกิดเป็นปัญญา เป็นปัญญาที่สามารถดับทุกข์สิ้นกิเลส แต่มนุษย์ไม่ใช้สติ ชอบใช้ความคิด เมื่อใช้ความคิดก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย และไม่สามารถมีสมาธิได้ และไม่สามารถเกิดปัญญาที่เห็นแจ่มชัดได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าสติแปลว่า ระลึกรู้ กายในกาย ใจในใจ จิตในจิต ว่าสิ่งที่มันมากระทบมันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง ไม่น่ายินดี ไม่น่ายินร้าย เมื่อรักษาสติได้ตลอดเนื่องๆ จึงก่อเกิดเป็นสมาธิที่เรียกว่าสงบไม่หวั่นไหว เมื่อโดนกระทบมีสติไหม รักษาสติได้ตลอดไหม สติคือการกลับมาดึงใจเราให้ระลึกได้ว่า มันไม่เที่ยง คนที่ตีเรามันก็ไม่แน่ วันนี้ตี เดี๋ยววันต่อไป ขอโทษ แล้ววันนี้คนที่เราบอกว่าเขาน่ารัก บางทีอาจจะตีเราก็ได้
ศิษย์เอ๋ยคนที่นั่งสมาธิแล้วก่อเกิดปัญญาต้องนั่งกี่ชั่วโมง อาจารย์ไม่สามารถตอบได้ แล้วแต่ภูมิธรรมในจิตของเราเอง การที่เราฝึกสติบ่อยๆ เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ให้คำยืนยันว่า มันสามารถจะกำหนดหนทางพ้นทุกข์ได้ แต่ขอเริ่มต้นให้มีสติ เมื่อเวลาที่ถูกกระทบ มีสติแล้วรักษาความสงบได้ไหม แล้วมองเห็นแจ้งจนตื่นรู้และสิ้นทุกข์ได้หรือเปล่า ถึงแม้ศิษย์จะไปนั่งสมาธิในป่า  ไม่โดนคนว่า คนด่าเลย ศิษย์สงบ แต่พอกลับมา โดนคนด่า คนว่า ศิษย์ยังมีสติไหม เอาอีกแล้วหรือ ฉะนั้นถึงจะนั่งในป่าสงบ แต่ถ้าอยู่ในเมืองแล้วศิษย์ไม่สงบก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่มันอยู่ที่ข้างใน ศิษย์ทำแล้วยัง ให้ทำ อย่ามัวแต่ถาม  คนที่ตัดสินความ ถ้าเขามีปัญญา เขาก็จะสามารถตัดสินคนไม่ผิดพลาด อยากให้เป็นอย่างนั้น อาจารย์พูดตามตรง คนในโลกถึงแม้ศิษย์จะหวังให้เขาไปปฏิบัติธรรม แต่เมื่อลืมตาก็อดเห็นไม่ได้ ใจก็เอนเอียง     ถึงเราจะยุติธรรมขนาดไหน แต่เราบอกว่าคนนี้ผิด แต่ถามจริงๆ เขาผิดจริงไหม ไม่สามารถตัดสินใจได้ เราไม่สามารถตีความได้ว่าใครผิดหรือถูก ฉะนั้น การศึกษาธรรม จึงสอนให้รู้ว่า ไม่มีคดีความ ไม่ตัดสินใครผิด  ใครถูก ดีที่สุด เพราะถึงที่สุดแล้วถ้ายังมีลมหายใจ คนนั้นก็ยังมีวันเปลี่ยนแปลง
อย่าลืมว่าคนเราในโลกใบนี้หรือมนุษย์ในโลกใบนี้มีหลายอย่างที่พูดอย่างทำอย่าง ทำอย่างแต่ใจคิดอีกอย่าง จริงไหม แล้วเราจะบอกว่าคนที่พูดดีแล้วดีจริงไหม แล้วคนพูดถูกแล้วถูกจริงไหม เราไม่สามารถตอบได้     แล้วเราไม่สามารถตัดสินได้ ใช่หรือไม่ อาจารย์จึงอยากบอกกับศิษย์ให้รู้ว่าเหตุผลไม่ใช่ที่สิ้นสุดของคำตอบ แต่คำตอบที่แท้จริงที่สุดคือใจของศิษย์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจตจำนงนั่นแหละที่ศิษย์พูดศิษย์ทำ ดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ใช่หรือเปล่า เอามนุษย์เป็นกฎเกณฑ์ไม่ได้หรอกนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติเป็นกำลัง”
มี “สติเป็นกำลัง” เป็นคำโบราณที่เขาพูดกันในหลักธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหม คำโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นเจริญทุกเมื่อ ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นมีความสงบสุข ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นทำชีวิตให้เป็นผู้ประเสริฐ แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์ทุกคนมักใช้อารมณ์มากกว่าใช้สติ ใช่หรือไม่ มีอารมณ์เป็นกำลังของใจ ไม่ได้มีสติเป็นกำลังของชีวิต ฉะนั้นมีโอกาสจงทำอะไรด้วยสติ สติแปลว่าระลึกรู้ในศีลธรรม ระลึกรู้ในความถูกต้องแห่งธรรม เจอเรื่องอะไรจงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ ความคิด ได้ไหม ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อเราใช้สติอยู่เนืองๆ สติจะก่อเกิดเป็นพลังที่ทำให้เราสงบ เมื่อสงบอยู่เนืองๆ กำลังของพลังแห่งความสงบจะก่อเกิดเป็นปัญญาที่ทำให้เรามองเห็นโลกแจ้งชัด และสามารถตัดกิเลสและดับทุกข์ได้ แต่สติจะมาได้อย่างไร ต้องเริ่มต้นถามศิษย์ก่อนว่าศิษย์เป็นคนมีศีลหรือยัง สติทำให้เราสงบใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีสติแต่ขาดศีลก็ไม่สงบ ถูกหรือไม่ ฉะนั้นมีสติแล้วอยากสงบต้องมีศีล แล้วศีลครบไหม (ไม่)  ไม่ครบหรือ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมีสติแล้วกลับคืนสู่ความสงบได้ ศิษย์ต้องมีศีล ศิษย์รู้ไหม ศีลเป็นธรรมที่มีคุณ เพราะเป็นธรรมที่สามารถนำพาให้ชีวิตกลับคืนสู่ความพ้นทุกข์ได้ และผู้ที่จะมีศีลได้ เรียกว่ามนุษย์ เทวดา พรหม แต่ศิษย์ไม่เคยมีศีล ศิษย์ก็เลยไม่ใช่มนุษย์ ถูกไหม ฉะนั้นรักษาศีลให้ครบ ถ้าศีลไม่ครบศิษย์ก็เป็นสัตว์ในคราบมนุษย์ วิธีฝึกจิตให้มีกำลังต้องหมั่นทำจิตใจนั้นให้สงบ
“มีสติระลึกรู้สัมปชัญญะครบ ย่อมพานพบธรรมทั้งหลายหลอมรวมใจ”
ฉะนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้นต้องพยายามฝึกอารมณ์ให้เย็นและมีความสุขุมในใจให้มาก และเมื่อเราอารมณ์เย็นแล้ว สุขุมแล้ว สติจะทำให้เรามองเห็นว่าการมีอารมณ์นั้นเป็นโทษ ไม่ควรจะมีไว้ แปลกนะมนุษย์ฝึกอะไรฝึกได้ แต่ฝึกไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งคือ ใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฝึกให้เย็นได้ไหม ทำไมเวลาอารมณ์ร้อนไม่เห็นต้องฝึกทุกคนก็เป็นแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ต้องเรียนเลย ด่าปุ๊บร้อนปั๊บ ติดทันทีเลย ฉะนั้นพยายามนะศิษย์เอย
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมขอพระอาจารย์เมตตาชื่อสถานธรรมที่เปิดใหม่)
อาจารย์ถามศิษย์นะ หมดรุ่นศิษย์แล้วมีรุ่นต่อไปมีไหม เงียบเชียว ศิษย์เอยสร้างห้องพระขึ้นมายังต้องดูแลต่อเนื่องจนถึงที่สุด ถ้าไม่มีรุ่นต่อไป การสร้างห้องพระมาจะเป็นภาระที่สร้างแล้วถูกทิ้งวางไว้ น่าเสียดายใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ใช่แค่เราเข้มแข็งแต่เราต้องสร้างบุคลากรต่อไปให้เข้มแข็ง และดูแลห้องพระต่อไปได้ด้วยและมีจิตใจที่เสียสละอุทิศช่วยคนเหมือนศิษย์ด้วย ถูกหรือไม่ ฉะนั้นภาระในการสร้างห้องพระยากแล้ว แต่ทำห้องพระให้อยู่ยงมีคนสืบต่อ และฉุดช่วยคนต่อยากยิ่งกว่า ไหวนะ (ไหว)  แน่นะ จะไม่ทะเลากันนะ จะไม่น้อยใจกันนะ จะไม่แอบหนีหน้ากันนะ รับแล้วต้องรับเลยนะ มาถอดใจไม่ได้นะ มาบอกอาจารย์จี้กง หนูขอลาออกไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่หนักแน่นอาจารย์ให้ชื่อชั่วคราวไปก่อน มั่นใจไหม (มั่นใจ) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่ อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช)  ให้ชื่อว่า “เสวียนเจวี๋ย” (玄覺佛堂) มีจิตตื่นรู้ในความแยบยลแห่งธรรมในใจตน มนุษย์มีธรรมที่แฝงอยู่ในตัวแต่เรามักมองไม่เห็นเพราะความหลงและความยึดติดที่คิดว่าตัวเองป่วยตลอดเวลา      ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมพระพุทธะจึงสอนว่าจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แปลว่าอดีตมันผ่านไปแล้ว ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน เมื่อวานเราป่วยแต่วันนี้ความป่วยมาด้วยไหม (ไม่)  แต่ใจทำไมลากมันมาล่ะ เรามีแค่ปัจจุบันวันนี้ เมื่อวานเราป่วย แต่วันนี้ไม่ป่วย เมื่อวานเจ็บแต่วันนี้ไม่ต้องเจ็บ แต่ศิษย์ของอาจารย์ชอบลากความเจ็บมาแล้วตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองว่าเจ็บ ทั้งที่เจ็บเมื่อตอนไหน เจ็บเมื่อสองปีที่แล้ว แต่วันนี้ยังเจ็บอยู่อาจารย์ ปวดขายังปวดอยู่และยังปวดทุกวันเมื่อนึกได้ โง่หรือฉลาดศิษย์
ไม่จำ ที่ไม่ควรจำ จำเอา จำเอา แล้วก็ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ ฉลาดหรือโง่ (โง่)  แล้วชีวิตควรอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับอดีต (ปัจจุบัน)  ส่วนคนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่อยากตาย เพราะคนที่ตายเท่านั้น ไม่มีปัจจุบัน  มีแต่อดีต ฉะนั้น ศิษย์มัวแต่จมอยู่ว่าตัวเองป่วย นั้นก็แปลว่าตัวเองอยากตาย แล้วก็โง่ เพราะจมอยู่กับอดีต เราปวดขาเมื่อไหร่ ทุกข์เมื่อไหร่ เจ็บเมื่อสามวันที่แล้ว แต่วันนี้ยังเจ็บอยู่อาจารย์ ควรเจ็บไหม (ไม่ควร)  เราปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อซ้ำเติมให้ตัวเองเป็นทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติผิด แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม มองให้เต็มตาหน่อย เป็นทุกคน แล้วจะช่วยใครได้ในเมื่อช่วยตัวเองยังช่วยผิดเลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับผู้ดูแลพุทธสถานที่จะเปิดในเดือนมิถุนายน ที่ อำเภอบางแก้ว จังหวัดสงขลา) 
เอาแอปเปิลเป็นกำลังใจ ให้สิ่งที่หวังราบรื่นสำเร็จนะ เยอะขนาดนี้ จะไม่น้อยใจกัน ถือสาหาความกัน สมัครสมานกันสามัคคีร่วมช่วยคน และจะมีจิตหนึ่งใจเดียวสู้ไม่ถอยได้ไหมศิษย์  ปณิธานนี้เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และยิ่งมีห้องพระและจะพายเรือนำพาเวไนย หัวเรือต้องเข้มแข็ง ฝีพายต้องหนักแน่น ถ้าหัวเรือก็ไม่เข้มแข็ง ฝีพายก็ไม่หนักแน่น ศิษย์ก็จะช่วยใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเอง ฉะนั้นอาจารย์ให้คำว่า “ปัญญา” รู้ตื่นในความมีปัญญา ฮุ่ยเจวี๋ย” (慧覺佛堂) ขอให้สำเร็จดังหวังตั้งใจในความดีงามนะ มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ อย่าขอลาออกจากอาจารย์นะ ตั้งใจแล้วช่วยให้ดีที่สุดนะ ทำให้สมกับความตั้งใจในวันนี้ รักษาใจที่มุ่งมั่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเจออะไรถือว่ามาขัดเกลาใจ ถือว่ามาชำระละลายหนี้บาปเวรกรรมในใจ ไม่ว่าเรื่องจะยากแค่ไหน เรื่องจะแย่แค่ไหน ถือว่าจะได้หมดเวรหมดกรรม และกลับคืนหาอาจารย์ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ใส งานหนักนะศิษย์เอย เสียสละตัวเองให้คนอื่น เสียสละเวลาความสุขเพื่อช่วยคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วใช่ไหม
นอกจากรู้จากมีสติแล้วจะนำพาชีวิตให้พบความสงบ พบปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตแล้ว เราต้องมีศีลเป็นข้อแรก    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราควรมีอะไรเป็นข้อที่สอง (มีศีลมีธรรม)  ตอบได้ดีนะ (มีธรรม)  ธรรมอะไรหรือ (ธรรมะ)  ศิษย์ของอาจารย์น่ารักจริงๆ เลย มีศีล แล้วมีอะไรอีก      (มีสมาธิ)  มีสมาธิหรือ ศีลยังไม่ครบเลย สมาธิจะมาไหม (คุณธรรม)  คุณธรรมอะไรหรือที่จะทำให้เราศีลครบ (มีคุณธรรมและธรรมะ)  คุณธรรมที่ทำให้เรามีศีลก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์นั่นก็คือมีเมตตา ไม่ผิดลูกผิดเมียนั่นคือ    (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  ไม่ผิดศีล มีศีลและมีธรรม ไม่เบียดเบียนเขาก็คือมีเมตตา ไม่ประพฤติผิดในกามก็คือซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดคำไหนเป็นคำนั้น นั่นคือ (สัจจะ)  มีศีลและมีธรรม (มีปัญญา)  แล้วจะเกิดได้ไหม (มีศีล  มีธรรม)  มีศีลมีธรรมแล้วมีอะไร ที่ทำให้เราต้องทำบ่อยๆ แล้วมันจะเกิดสติ พลังแห่งสติ แล้วก่อเกิดเป็นสมาธิ แล้วก่อเกิดเป็นปัญญานะ เขาเรียกว่าอะไร (สติ, มีสัจธรรมในตัวเอง)  สัจธรรมมันมีอยู่แล้วในตัว แต่เราเคยมองเห็นสัจธรรมในตัวไหม ถ้าไร้สัจจะก็ไม่มีธรรม (การปฏิบัติธรรม)     การปฏิบัติธรรมใช่ไหม (มีความเพียร) เยส! ใช่ไหมศิษย์ ถ้าศิษย์มีสติ ศิษย์มีศีล แต่ศิษย์ไม่มีความเพียรที่จะละบาป บำเพ็ญบุญกุศล มีศีล มีสมาธิ แล้วสมาธิจะเกิดได้อย่างไรถ้าศีลยังไม่ครบ แล้วศีลจะมีครบได้อย่างไร ถ้าศิษย์ยังไม่ละบาปในใจตน พยายามไม่เบียดเบียน แต่ถึงเวลาก็กินเขา พยายามไม่โกหก แต่ถึงเวลาก็โป้ปดมดเท็จ ฉะนั้นเพียรที่ถูกต้องเพียรแบบละบาปบำเพ็ญบุญ
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยากทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จสิ่งที่ขาดไม่ได้คือความเพียร ใช่หรือไม่ แล้วอยากมีสติแล้วสงบแล้วก่อเกิดปัญญาสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ สิ่งที่ทำให้ก่อเกิดความสงบในใจ แล้วก่อเกิดสติ ก่อเกิดเป็นศีล สมาธิ ปัญญา อะไรก็ตามนั้น จะก่อเกิดได้นอกจากมีความเพียรแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคืออะไรรู้ไหม (วิริยะ, ความเมตตา, อดทน)
อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราควรสร้างเหตุแล้วค่อยมาแก้ผลหรือเราไม่ต้องมาสร้างเหตุ แล้วเราจะได้ไม่ต้องตกผลเลย เอาแบบไหน ไม่สร้างเหตุเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราจะก่อเกิดสติ ก่อเกิดปัญญา ก่อเกิดสมาธิได้ ถ้าเราสามารถที่จะหยุดยั้งต้นเหตุได้ ที่มนุษย์ต้องวุ่นวายและหาความสงบหาความมั่นคง หาปัญญาไม่เจอเพราะว่าเราหยุดความคิด ความอยากในใจไม่ได้ ถ้าชีวิตอยากสงบจงรู้จักพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ เราจะสงบทันที และเราจะไม่ผิดศีลมากไปกว่านี้ ถ้าไม่พอ วันนี้สงบเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปวุ่นวายเพราะความอยากมาอีกแล้วใช่หรือไม่ พอเข้าใจพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมหรือยัง พอเข้าใจไหม
การปฏิบัติธรรมคือ  (แก้ไขตัวเราได้ อภัยผู้อื่น, การมีสติ สมาธิ, มีศีลมีธรรม)  ก็ถูก สิ่งสำคัญในการปฏิบัติธรรมนั้นก็คือเริ่มด้วยการมีศีล      มีธรรม ถามศิษย์ก่อนว่าทุกครั้งที่มีชีวิตอยู่ ศีล ธรรม ศิษย์ครบไหม (ไม่) เมื่อไม่ครบศิษย์จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เมื่อไม่ครบศิษย์จะมีความสงบ   มีสันติสุขได้อย่างไร ฉะนั้นเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการปฏิบัติธรรมนอกจากทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ ถามใจตัวเองก่อนว่า ศีล ธรรม มีครบแล้วหรือยัง ถ้าศีล ธรรมมีครบ เราก็หยุดยั้ง บาป กิเลสได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ละบาป บำเพ็ญบุญ)  ตอบได้ดี ทำให้ได้นะ ทำอะไรก็คิดให้ดีๆ นะ
ศิษย์ถ้าอยู่ในโลกนี้ ถ้าเข้าใจธรรมที่อาจารย์พยายามบอกศิษย์เสมอๆ  ศิษย์จะเห็นโลกนี้ชัดเจนว่า โลกนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ายึด ไม่น่าเอา อาจารย์ถามหน่อย เงิน ลาภยศ ชื่อเสียง สามี ภรรยา ความรัก เอาไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วสิ่งที่เอาไปได้คือ (บุญ บาป ความดี) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ  ไม่มีอะไรติดตัวเราได้นอกจากบาปกับบุญ แล้วเราสามารถหยุดยั้งบาป บุญได้ไหม ด้วยการทำอะไรไม่ยึดติด
อาจารย์ขอสรุปก่อนกลับ ทุกครั้งที่ศิษย์ดำเนินชีวิตอยู่ ทำอะไรติดชอบมันก็ก่อเกิดเป็นกรรมดี ทำอะไรไม่ชอบก็ก่อเกิดเป็นกรรมชั่ว แล้วมนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับกรรมดี กรรมชั่ว ไม่จบสิ้น ถูกไหม (ถูก)  เจอใครถูกใจก็สร้างกรรมดี เจอใครไม่ถูกใจก็ก่อเกิดเป็นกรรมชั่ว ไม่จบสิ้น แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า เรายังมีอีกทางหนึ่งที่เรียกว่า    ทางพ้นกรรม ทางใช้กรรม และทางจบกรรม นั่นก็คือ เจอใครไม่ต้องตัดสินว่าเขาดีหรือชั่ว ทำอะไรไม่ต้องยึดติดว่ามันดี หรือมันชั่ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันไม่มีดีที่สุด ไม่มีชั่วที่สุด และไม่มีอะไรแจ่มชัด ว่ามันดีหรือชั่ว วางจิตให้เป็นกลาง เมื่อมันเป็นกลางมันจะก่อเกิดให้เป็นกรรมไหม เมื่อไม่เป็นกรรม มีชีวิตอยู่คือการชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ แล้วเราจะชดใช้อย่างไร เมื่อเจออะไรมากระทบ ไม่ตัดสิน ไม่คิด เพราะการตัดสิน และการคิด มันง่ายที่จะหลงไปตามกิเลสและอารมณ์ แต่พอเจออะไรมากระทบปุ๊ป เป็นกลาง เป็นกลาง สติ สงบ พิจารณาให้เกิดธรรม   ไม่เที่ยง ไม่แน่ จบไหม ต้องคิดอีกไหม ในเมื่อมันจบในทุกๆ วัน แล้วเราจะมีกรรมอะไรให้ต้องเวียนว่ายอีกต่อไป เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม   ถ้าวันนี้เราใช้กรรมหมด เราจะต้องเวียนว่ายต่อไหม
ตอนนี้เรามีอีกทางหนึ่งในการปฏิบัติธรรมคือ ไม่ตัดสิน ไม่วิพากวิจารณ์ ดูแลใจตัวเองว่ารักษาความเป็นกลางได้หรือยัง เมื่อเราไม่เกี่ยวอารมณ์ก็ไม่เกิดเคราะห์กรรม เมื่อเราไม่สร้างบาปก็ก่อเกิดเป็นบุญมีความสุข ถูกไหม เมื่อทุกวันสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศลชะตาชีวิตก็งดงาม ฉะนั้นพรุ่งนี้ขึ้นอยู่ที่วันนี้ ชีวิตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่ที่การกระทำในวันนี้ ถูกหรือไม่ แล้วทำไมศิษย์ต้องรอให้คนอื่นช่วย ทำไมศิษย์ต้องรอให้ทุกข์แล้วค่อยแก้ ทำไมไม่จัดการตั้งแต่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ ถูกไหม เข้าใจไหม พอรู้ยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม ศิษย์รู้ไหมเพราะศิษย์ปฏิบัติธรรมศิษย์ก็กำลังช่วยคนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ทุกครั้งศิษย์ไม่ตัดสินเขาว่าเขาดีเขาแย่ ศิษย์ไม่ว่าเขาไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ต้องไปชมเขามากมายว่าเขาดีมาก เพราะศิษย์วางใจเป็นกลาง เมื่อวางใจเป็นกลาง เขาเห็นธรรมในใจเรา เราก็ฉุดช่วยเขาได้ ใช่หรือไม่ แปลกจริงใครๆ ก็ชมฉันหมด ใครๆ ก็ด่าฉันหมด ทำไมเธอไม่ด่าฉันล่ะ     ใช่ไหม เพราะอะไรล่ะ เราก็ให้แง่คิดเขาได้ว่าชีวิตมันไม่เที่ยง ชีวิตมันไม่ดีอย่างไร ฉันก็ไม่ดี แล้วฉันจะว่าเธอทำไม เพราะว่าฉันก็ไม่ต่างอะไรกับเธอ ใช่หรือไม่ ทำไมเธอไม่ชมฉันล่ะ เพราะฉันชมไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอรู้ใจตัวเธอเองว่าดีไม่ดี เธอไม่ต้องรอฉันชมหรอก ใช่ไหม เห็นไหมเราได้สอนเขาไปในตัวและก็สอนเราด้วย ถูกไหม นี่แหละ ปฏิบัติธรรมช่วยตนช่วยคน  เข้าใจหรือยัง ฉะนั้นหนทางธรรมจึงไม่ได้มีแค่ดีและชั่ว หนทางธรรมมีอีกหนึ่งทางในวันนี้คือ ความเป็นกลางที่ไม่อิงแอบดีหรือชั่ว ฉะนั้นศาสนาพุทธคือศาสนาที่สอนให้เรารู้   แต่ไม่ใช่รู้คนอื่น แต่รู้ใจตน รู้แล้วนำพาตนให้พ้นทุกข์ ปฏิบัติให้ถูกทาง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟังชั้นล่าง)
วันนี้มาฟังธรรมรอบที่เท่าไรแล้ว บางท่านหลายรอบแล้วใช่ไหม (ใช่)  เอาไปปฏิบัติบ้างหรือยัง (ปฏิบัติแล้ว)  มีความใจเย็นบ้างหรือยัง (ใจเย็นแล้ว)  มีความอิสระวางลงบ้างหรือยัง (วางแล้ว)  ยังอารมณ์ร้อนขี้โมโหอีกไหม (ไม่)  ยังเอาแต่ใจอีกหรือเปล่า (ไม่เอาแต่ใจ)  ยังขี้น้อยใจอีกไหม    (ไม่น้อยใจ)  ศิษย์เอ๋ย บำเพ็ญธรรมมาถึงระดับนี้แล้วนะ ฟังมาหลายรอบแล้ว อย่าเอาแต่ฟัง แต่จงเอามาปฏิบัติ เมื่อเอามาปฏิบัติแล้ว ศิษย์จะ     ขัดเกลาจนสามารถพบธรรมในใจ อย่าเอาแต่พบธรรมที่เขาพูด อย่าเอาแต่พบธรรมที่ในตำรา แต่จงพบธรรมในใจตน ธรรมที่เราสามารถมีได้ และมั่นคงได้ ธรรมที่เราเกิดขึ้นจากใจเราที่รู้จักเสียสละ ใจเราที่กล้าจะให้ธรรมกับผู้คน นี่แหละถึงจะเรียกว่าศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ไม่เสียหลาย กล้าเสียสละ กล้าอุทิศให้ กล้าปฏิบัติธรรม เอาธรรมให้กับเขา ถ้ายังยึดมั่นกับความคิดตัวเอง เราก็จะไม่มีวันพบธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยวางความคิด เราจะกระจ่างแจ้งในธรรมว่า ธรรมไม่ใช่อยู่ที่คนพูด ธรรมไม่ใช่อยู่ที่หนังสือ คัมภีร์ตำรามันเป็นเพียงสิ่งที่เหลือของผู้ที่ตื่นรู้ในธรรมแล้ว ทำไมเราไม่ตื่นรู้ในธรรมในใจตนล่ะ รู้สละไหม รู้ให้ไหม รู้ยอมไหม รู้ยอมปล่อยวางจนไม่ยึดติดในความเป็นตัวตนไหม ฉะนั้นถามใจศิษย์นะ ถ้าบำเพ็ญแล้วยังติดขัดโน่นติดขัดนี่ แปลว่าเรายังฝึกไม่ได้ดี แต่ถ้าบำเพ็ญแล้วเรายอมได้จนสุดใจ อะไรเราก็ยอม เรามีเมตตาในใจ เราอยากให้ เราอยากเสียสละ เราอยากอุทิศ เราไม่หวังอะไรในตัวตนแล้ว นั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกทาง เพราะธรรมะถึงที่สุด เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ น้อยใจไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ งกมากไปแล้วได้อะไร ถ้าไม่เคยเอาเงินที่ได้มาไปทำบุญทำกุศล ถูกไหม (ถูก)  ถ้าสละแล้วมันทำให้เราลดความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงในรูปนาม สละไปเถอะ ถ้ายอมแล้วมันทำให้เราก่อเกิดความสงบใจ ทำไมไม่ยอม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพูดแล้วมันทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ทำไมไม่หยุดพูด ทำไมต้องรอให้เกิดเหตุ แล้วค่อยพยายามดับทุกข์ ทำไม ไม่ดับมันเสียก่อนที่จะเกิดทุกข์ ความทุกข์ไม่น่ากลัว ความทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าคนยังจมอยู่ในทุกข์แปลว่ายังมองไม่เห็นทุกข์อย่างชัดเจน อาจารย์เชื่อมั่นว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนทำได้ ปฏิบัติได้ เสียสละได้ อะไรดีอะไรชั่วรู้หมด แต่เมื่อไรจะทำ อย่าเป็นคนมือหนึ่งทำบุญ แต่มือหนึ่งก็ทำบาป ไม่เอา ศิษย์ที่ดีที่สุดของอาจารย์ก็คือ แม้มือหนึ่งไม่ทำบุญ แต่มือนี้จะไม่สร้างบาปอีกต่อไปได้ไหม ไม่ว่าเขา ไม่น้อยใจ ไม่มีอารมณ์ ไม่เห็นแก่ตัว กล้าเสียสละได้ไหม (ได้)
เหนื่อยไหม (ไม่)  เป็นลูกศิษย์อาจารย์เหนื่อยหน่อยนะ แต่เหนื่อยแล้ว เราเข้าใจชีวิตเราช่วยคนเป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวป่วย จำคำอาจารย์ไว้นะ ทุกวันคือวันใหม่ ความเจ็บมันเป็นของเมื่อวานไม่ใช่วันนี้ ความเจ็บมันเป็นของสังขารไม่ใช่จิตใจ จิตเดิมแท้ไม่มีทุกข์ไม่มีกรรม เรามีกรรมแค่สังขาร เราต้องชดใช้กรรมเพราะสังขารเรามีกรรม แต่จิตเราไม่มีกรรม ฉะนั้นกรรมแค่กายแต่อย่ากรรมที่ใจ ทุกข์แค่กายอย่าไปลงทุกข์ที่ใจ ทำได้ไหม (ทำได้)  ไปให้ถึงนะศิษย์ ไปอย่างคนที่เบาๆ วางได้ปลงได้ มันอยากเจ็บช่างมันแต่ใจหนูจะมาไหว้พระ ใจหนูอยากมาขอขมากรรม เขาอยากโกงก็เอาไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไม่โกรธไม่เกลียด ขอบใจที่มาโกง ถ้าแกไม่โกงฉันไม่ตัดใจสักที ห่วงอยู่นั้นเหละ ใช่ไหม (ใช่)  ขอบใจที่คุณทิ้งฉัน ถ้าคุณไม่ทิ้งฉัน ฉันก็คงห่วงคุณไม่จบสิ้น ฉันเป็นอิสระแล้ว
การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือกลับคืนสู่ใจอันอิสระและโปร่งเบา อะไรก็ไม่เอาใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์พูดเยอะ ขอเยอะไปไหม (ไม่)  ทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงฝั่ง ไปล่ะ
ลำบาก เจ็บ สู้ ไม่ถอย รักษาใจอันนี้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน กลับคืนสู่สภาวธรรมที่ไม่มีตัวตนให้ต้องยึดถือ ทำได้สละตัวตนไป เพราะยิ่งมีตัวตนมันก็มีที่แห่งทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเราทำจนลืมตัวตนแปลว่าเราไม่มีทุกข์ให้ยึดเกาะอีกต่อไป ไปให้ถึงนะ (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)  ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่น ขอบคุณสำหรับแรงกายแรงใจที่ศิษย์ตั้งใจ

(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่นของศิษย์ที่สู้ไม่ถอย ไม่ขี้น้อยใจอีกต่อไป คิดได้แล้วนะ คนที่มีทุกข์อย่ารอให้อาจารย์ปลด แต่ศิษย์ต้องปลดด้วยใจของตัวเอง ถ้ารออาจารย์ชี้ ศิษย์จะไม่มีวันหมดกรรม เมื่อไรที่เราเจอกรรม จงปลดกรรมด้วยตัวเอง อย่าปลดเพราะอาจารย์พูด แต่ปลดด้วยใจของตัวเอง แล้วกรรมมันจะสิ้นสุด ตื่นรู้ด้วยใจของตัวเอง เวลาเจออะไร ทำไมอาจารย์ไม่ให้กำลังใจ เพราะอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักปลุกมันด้วยตัวเอง วางด้วยตัวเอง อาจารย์ที่ดีต้องให้ศิษย์ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ใช่มาพึ่งพิงอาจารย์ตลอด ไปแล้วนะ ต้องกลับแล้ว ฟังธรรมให้ดี รักษาจิตใจให้ดี มีแต่พระอยู่ในใจ ได้ไหม
มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ทำให้ดีนะ อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่    ทำอะไรจงมีสติยั้งคิด ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ มีโอกาสกลับมาอีกนะ คำนี้ออกจากใจอาจารย์ยาก เพราะอาจารย์รู้ว่าบางคนไม่มาอีกแล้ว แต่ถ้าไม่มา ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะเมื่ออารมณ์เป็นใหญ่แล้ว จะชักพาให้ศิษย์ตกต่ำและง่ายที่จะหนีไม่พ้นความ  วุ่นว่าย การเวียนว่ายตายเกิด และตกเป็นทาสของกิเลสและกรรมเวร ขอให้ทำอะไรใช้สติยั้งคิดให้มากๆ ชีวิตจะเป็นอะไร ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์ ไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่ฟ้า แต่อยู่ที่ตัวเราจะตัดสินใจ เลือกทำอะไร ทำอย่างคนที่มีสติยั้งคิด หรือทำอย่างคนที่เอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์เหมือนเก่า แล้วหนีไม่พ้นเวรกรรม หรือจะทำอย่างคนมีสติยั้งคิด และสิ้นเวรสิ้นกรรมวันนี้  ถามใจศิษย์ดูแค่นี้ยังทุกข์ไม่พอหรือ  ชีวิตนี้ยังเจ็บไม่พอหรือ แล้วยังจะทุกข์อีกทำไม ใครๆ ก็อยากมีสุข แล้วทำไมไม่นำพาให้ตัวเองมีสุข ไหว้พระ ขอพรเปล่าประโยชน์ ขอตัวเองดีกว่า ว่าเมื่อไรจะละบาป แล้วตั้งใจสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงามจริงไหม (จริง)  มีจิตสำนึกได้เป็นสิ่งที่ดี แต่ต่อไปแก้ไขแล้วทำให้ถูกต้องได้หรือไม่ (ได้)
มีโอกาสอาจารย์คงได้กลับมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ หรือต้องพูดว่าศิษย์จงรักษาโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ได้ไหม แล้วรู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้องและดีงามด้วยสติของตัวเอง รู้จักยั้งคิดด้วยใจของตัวเอง จำไว้นะศิษย์ โลกนี้มันเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่มีอะไรดีที่สุดและไม่มีอะไรแย่ที่สุดหรอก ผู้ที่มีสติระลึกรู้และเข้าใจธรรมจึงเข้าใจโลก และไม่ทุกข์หรือหลงใหลกับโลกใบนี้ เพราะถึงที่สุดจะมีใครดีที่สุด จะมีใครแย่ที่สุด ใช่ไหม และชีวิตตราบยังมีลมหายใจ ความทุกข์ก็ยังวนเวียนไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นดูแลจิตดูแลใจตัวเองให้ดีนะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อยากพูดมากมายแต่เปล่าประโยชน์เพราะถ้าพูดเยอะไป แต่ศิษย์ไม่สนใจคำพูดนั้นก็ไร้ค่า ดูแลตัวเองกันให้ดีนะ รักษาสุขภาพ ถนอมจิต ถนอมใจตัวเองให้ดี เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ ได้ไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติเป็นกำลัง”
     การฝึกจิตให้มีกำลังนั้น                         คือต้องหมั่นทำจิตใจให้สงบ
มีสติระลึกรู้สัมปชัญญะครบ                        ย่อมพานพบธรรมทั้งหลายหลอมรวมใจ
อารมณ์เย็นสุขุมนิ่งให้เป็น                          สติเห็นใช้อารมณ์เป็นโทษใหญ่
คนกล้ายอมวางลงได้ย่อมแจ้งใจ                  คนร้อนแล้ววู่วามไปไม่มีดี


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

2561-01-13 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี

西元二○一八年歲次丙申十一月廿七日                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑          สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ทำผิดศีลอย่าพูดว่าจำเป็น              แล้วที่เป็นตัวเราก็ต้องเปลี่ยน
ตัดอวัยวะรักษาชีวิตดุจเล่มเทียน         อย่าวนเวียนติดนิสัยกิเลสอารมณ์
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง ไม่ลองดูเหมือนจะง่าย ถ้าไม่ทุกข์จะเป็นจะตาย ก็ไม่ทำใจโลกที่ท่านรู้กัน ชีวิตของคนที่มีทุกข์ สร้างบุญไม่หวังผลบ้าง ไม่รู้
ก็ไม่ระวัง ไม่เกิดทุกข์ก็ไม่พบธรรม

* อย่าได้หลงรักความโลภแบบไม่ลืมตา อย่าเสียปัญญา อุตส่าห์ฝึกฝนไว้จนได้ คิดจนหลับใหล ทุกข์มาจากไหน ก็ยิ่งหนักหัวตา ไม่ใช้ความเครียดเพราะหมายถึงความเศร้าหมอง ทุกข์สุขเป็นกองอากาศ ก็พัดผ่านได้ ทุกข์แค่ไหนท้อแค่ไหนแค่ใจหลอก
การบำเพ็ญเป็นการพัก วันหนึ่งประจักษ์กับหัวใจ ถอนสลักไร้ตัวตน หลุดพ้นได้
** ถ้าบำเพ็ญได้ไม่พอ พร้อมทะเลาะกับผู้คนเสมอ เตือนท่านควานที่แผลจนเจอ เจ็บที่สุดอย่าเผลอลืมแก้ไข ซ่อนกิเลสบำเพ็ญสร้างปัญหา
ไม่ศึกษาแล้วจะพูดธรรมแบบไหน ท่านเกิดแก่เจ็บและตายได้ ชีวิตเพื่ออะไร

(ซ้ำ **, *, *, เบิ่งให้ออกเด้อ…คนดี)
                                         ทำนองเพลง : คำแพง
                                         ชื่อเพลง : ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

เกิดเป็นคนถ้าไม่ซื่อตรงแล้วยังผิดศีลธรรม จะหาความเป็นมงคล ความประเสริฐ ความดีในชีวิตก็คงยาก ดังที่มนุษย์พูดว่า หว่านพืชเช่นไร
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าหมั่นสร้างความดี กรรมดีย่อมนำพาให้เราพบความสุข ความเจริญ แต่ถ้าเราสร้างกรรมชั่ว ประพฤติปฏิบัติผิดศีลธรรม จะหวังความเป็นมงคลให้กับชีวิต ก็คงเป็นไปได้ยาก คนที่ทำผิดศีลธรรม ก็คือคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ดี เมื่อประพฤติปฏิบัติไม่ดี หวังจะมีความสุขก็เป็นไปได้ยาก หวังจะก่อเกิดชีวิตอันร่มเย็นก็ยิ่งยาก ถามตัวเองว่าวันนี้เป็นเช่นไร จะโทษฟ้าโทษดินได้กระนั้นหรือ ควรจะถามตัวเองว่าแต่ก่อนทำเช่นไรมา วันนี้ถึงต้องพบพาลเรื่องราวแบบนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ หวังให้ชีวิตดีงาม มีสิ่งมงคล มีโชคลาภ ถามตัวเองว่า ประพฤติปฏิบัติถูกต้องต่อศีลธรรม มีความซื่อตรงหรือไม่ เหมือนเราถามท่านว่า เกิดเป็นคนเอาแต่โลภ มีหรือจะไม่ถูกลวงให้หลง เกิดเป็นคนเอาแต่หลงหัวปักหัวปำ มีหรือจะไม่ทำผิดพลาด เกิดเป็นคนเอาแต่ยึดมั่นความคิดของตัวเอง ไม่รับฟังความคิดของใคร คิดว่าตัวเองถูกอยู่ร่ำไป มีหรือชีวิตจะพานพบสิ่งที่ดีงาม ไม่พบความเสียใจ ฉะนั้นก่อนที่จะถามคนอื่นว่ามา
ทำร้ายเราทำไม ควรจะหันมาย้อนมองและถามตัวเองก่อนว่า ตนเองปฏิบัติได้ดี ได้ถูกต้องในศีลธรรมแห่งความเป็นคนหรือไม่

ท่านอยู่กับใครก็อยากอยู่อย่างมีความสุข แล้วอยู่อย่างไรให้มีความสุข เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ โกหกผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้หรือเรียกว่ามีความสุข ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว กระทำเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ เปิดใจกว้าง เห็นใจและให้อภัย มีหรือผู้คนจะไม่จริงใจ ซื่อตรง เห็นใจ และให้อภัยเรา แต่คนโดยส่วนใหญ่ต่างคนต่างเอาตัวเองรอด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราพบความสุขไหม (ไม่)  แต่ไยมนุษย์จึงชอบบ่นตัดพ้อว่า ทำไมต้องทำดีกับคนที่ไม่ดี ทำไมฉันต้องเป็นคนเสียสละ ทำไมฉันต้องเป็นคนยอม ทั้งที่คนที่เรายอมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ จนบางครั้งเราท้อจนไม่อยากทำ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความคิดที่ยึดติดในตัวตนเป็นหนทางแห่งความเห็นแก่ตัว และนำพาให้มนุษย์ง่ายที่จะหลงทำผิดพลาด แต่การที่รู้จักอุทิศเสียสละให้ ยอมทำดี เป็นมงคลอันประเสริฐแก่ชีวิต
ถ้าเราพยายามที่จะให้ พยายามที่จะเสียสละ แต่อีกฝ่ายก็ยังจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เรายังทำดีไหม (ทำ)  เพราะอะไร เพราะความคิดที่ยึดติดว่าคนนั้นถูก คนนี้ผิด แล้วไม่มุ่งมั่นทำดีตลอด ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเราเห็นแก่ตัว และก็ง่ายที่จะทำให้หลงผิดพลาด ไม่เหมือนกับจิตใจที่เราอุทิศให้ เสียสละ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงามอันเป็นมงคลที่เรียกว่า คุณธรรม เมตตา ความซื่อตรง ความเสียสละ ยิ่งทำให้เป็นมงคลกับชีวิตและเป็นความสุขกับชีวิต เรียกง่ายๆ ว่า กรรมดีกับกรรมชั่ว
กรรมชั่วเมื่อทำ ผลที่ได้ก็คือเป็นทุกข์ ทำลายชีวิต ถ้าถึงที่สุดก็หนี
ไม่พ้นผลชั่วที่ตัวเองสร้าง แต่การประพฤติปฏิบัติความดีโดยไม่ย่อท้อ ความดีเป็นชื่อของความสุข เป็นชื่อของชีวิต ความสว่างไสว ความเจริญเติบโต
ยิ่งทำยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำยิ่งสว่างยิ่งโล่ง ถ้าเมื่อไรเลิกทำความดี ก็ง่ายต่อการที่จะเดินไปสู่หนทางที่เรียกว่า นรก คือคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นแก่ใครจนถึงที่สุด เมื่อไรที่ทำดีแล้ว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เมื่อนั้นไม่อาจเรียกว่า ความดี

ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นคนมีศีลมีธรรมไหม มีคำกล่าวว่า เกิดเป็นคนถ้าผิดศีลขาดธรรม แม้จะไม่มีภัยภายนอก แต่ภายในใจก็ยากหาความสงบได้  ฉะนั้นแม้มีความสำเร็จมากมาย แต่ใจลึกๆ หาความสุขกายสบายใจไม่ได้ นั่นก็แปลว่าตัวท่านต้องถามตัวเองและยอมรับว่าศีลธรรมเรามีครบหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าทำบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผิดศีลเป็นสิ่งที่นำพาให้เป็นทุกข์ แต่มนุษย์ก็อ้างว่าจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ช่างน่าเสียดาย ฉะนั้นถ้าถอนเสียได้ซึ่งจิตอกุศล ถอนเสียได้ซึ่งความผิดบาปทั้งมวล มุ่งมั่นเติมจิตใจให้มีแต่ความดีงามถูกต้อง แผ่ขยายต่อชีวิตตัวเองและไปสู่ชีวิตของผู้อื่น มีหรือวันหน้าจะไม่พบสุข มนุษย์เอาแต่ผิดศีลขาดธรรม แล้วผลที่สุดก็ต้องมานั่งแก้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ หยุดยั้งความชั่วร้ายในใจนั้นหยุดยากหรือ เราว่าทำดีง่ายกว่าทำชั่วอีกนะ เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ กับเดินไปต่อว่าให้เขาเจ็บปวด อะไรง่ายกว่ากันหรือ (เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ)  แต่เมื่อถึงเวลา ทำไมคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” จึงออกจากใจของเราได้ยากกว่า
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ตัวเองกำหนดตัวเอง

เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านปล่อยให้ชะตาชีวิตกำหนดเรา หรือเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต ท่านมักจะปล่อยให้ชีวิตไปตามยถากรรมมากกว่า ถูกไหม (ถูก)  เกิดเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตัวเองแล้ว อย่าพูดถึงศีลธรรมเลย แค่พูดกับเรายังโกหกเลย แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร
เราเคยคิดไตร่ตรองไหมว่า ถ้าเราเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง แล้วชีวิตเราขึ้นอยู่กับอะไร ทำไมบางครั้งจึงอยากทำดี บางครั้งไม่อยากทำดี ท่านคิดว่า ตัวเรานี้มักจะปล่อยให้ตัวเราทำไปตามอะไร (ตามใจ)  ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่ที่ใจ ใจดีก็ (ดี)  ใจร้ายก็ (ร้าย)  ถ้าใครว่าเรา ตอนนั้นเราใจดี เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ตกลงชีวิตของท่านไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่ที่ (ตัวเราเองกำหนด)  ฉะนั้นเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ชะตาดีหรือชะตาร้าย อย่างนี้จะโทษใครได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะโทษที่ไหน (โทษที่ตัวเราเอง)
ฉะนั้นถ้าอยากจะแปรเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดี ก็ต้องแปรที่ใจ
ใจของเราจะดีหรือจะร้ายนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้นว่าเป็นเช่นไร
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอารมณ์ดี อะไรๆ ก็ดี ถ้าอารมณ์ร้าย อะไรๆ ก็ร้าย ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา หากเราอารมณ์ดี ใจของเราก็ (ดี)  อย่างนั้นหากเขาชมเรา
แต่เราอารมณ์ร้าย ผลก็ไม่ดี เพราะอารมณ์ของเราไม่ดี ฉะนั้นดีหรือร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครกำหนด แต่ดีหรือร้ายก็ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจของเราเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)

ท่านเคยได้ยินไหม “ชีวิตหมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ผลของการกระทำแห่งชีวิตล้วนมาจากใจที่นึกคิดเช่นไร” สิ่งที่ควบคุมใจเราได้คือ “ความคิด”  ฉะนั้นถึงตามใจได้ ถึงรู้ทันใจ แต่ถ้าไม่เท่าทันความคิด ความคิดก็ชักพาใจให้หลงผิดได้ ลองมองดูว่าความคิดมีอิทธิพลต่อใจไหม ความคิดบงการทั้งกายและใจ และความคิดยังอิทธิพลต่อคำพูด การกระทำและชะตากรรม เราคิดเช่นไรเราก็ดำเนินชีวิตเช่นนั้น เราคิดตัดสินแบบใดเราก็พูดแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วโดยส่วนใหญ่มนุษย์คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นทันที ไม่เคยฝืนความคิด คิดจะว่าก็ว่า คิดจะโมโหก็โมโห แปลว่าใจมักไหลไปตามความคิด ถ้าอยากเปลี่ยนใจเปลี่ยนชะตากรรมเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เรามาดูหน่อยว่าความคิดของคนน่ากลัวไหม มนุษย์มักคิดต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง แล้วเมื่อความคิดรวมกับนิสัยของใจคน ยิ่งน่ากลัวยิ่งนัก เพราะใจคนมักเป็นใจที่ไม่ค่อยยอมแพ้ เอาแต่ได้ ถือดี เมื่อใจรวมกับความคิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยอมคนไหม ท่านแพ้เขาชนะ ท่านยอมไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ใจอย่างเดียว แต่เป็นนิสัยของใจที่รวมกับความคิด นิสัยของใจชอบระแวงมากกว่าระวัง คิดร้ายมากกว่าคิดดี และเมื่อคิดร้ายแล้วก็ชอบเชื่อมั่นยึดติดว่าตัวเองคิดถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพูดออกมา กระทำออกมา แสดงออกมา จึงกลายเป็นชะตากรรมที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ไม่ค่อยซื่อตรงและจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่ความคิดและนิสัยของใจ เปลี่ยนเป็นคิดดีๆ เข้าไว้ดีไหม (ดี)  ดีแต่น่ากลัวตรงที่พอคิดดีแล้วกลายเป็นคนชอบจับผิด เหมือนที่ท่านบอกว่าให้มองแง่ดีไว้ แต่มองแง่ดี มองไปมองมากลายเป็นคนจับผิด ไม่เห็นดีเลย ธรรมะจึงสอนว่าจงเอาธรรมะมาช่วยขัดเกลาความคิด จงเอาธรรมะมาช่วยชำระล้างใจให้ถูกต้อง เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีธรรม มนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดและปล่อยตามนิสัยของใจที่ไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ที่ชอบเอาดีเอาได้มากกว่ารู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วนำธรรมะอะไรมาคอยควบคุมความคิด และชะล้างนิสัยของใจที่ชอบหลงผิด ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดอย่างคนมีสติ รู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำชักนำความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  การมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยอารมณ์ครอบงำความคิด จึงเป็นยารักษาที่ดี ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างสุขุม ใจเย็นและระมัดระวัง อันนี้แค่เป็นความเข้าใจ เป็นความรู้พื้นฐาน แต่สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ช่วยยับยั้งความคิด
ชะล้างนิสัยของใจ

นิสัยของใจอีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ชอบจมอยู่กับความทุกข์ แล้วรู้ว่าเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ชอบจมอยู่ในความทุกข์ เราจะมาช่วยแก้ วิธีที่จะแก้ก็คือ จงรู้จักนำธรรมะมาควบคุมความคิด มาชะล้างใจ เคยไหมเวลาเจอคนที่หน้าบึ้ง จิตเราก็ตก พูดไม่ไพเราะ ใจก็แย่ ใช่ไหม (ใช่)  แค่คนที่ขายของสะบัดเสียงใส่เรา เราก็อารมณ์เสีย นั่งรถด้วยกัน เจอใครพูดนินทา เราก็อารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ก็บอกว่า ชีวิตขึ้นอยู่กับใจของเรา แต่ถึงเวลาเราก็อดผันแปรไปตามสิ่งที่กระทบที่เรียกว่า แวดล้อมพัดผ่านมาไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธะท่านสอนว่า จงรู้จักนำธรรมมาใช้ควบคุมความคิด ชำระล้างใจ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ธรรมสอนให้เราพบเจอความสว่าง ความสงบ ความเย็นและพ้นทุกข์ ถ้ายิ่งคิดแล้วยิ่งมืด ยิ่งทุกข์ ยังจะคิดต่อไหม ก็ยังคิด แถมหาดนตรีมาบรรเลงขับกล่อมให้ยิ่งเศร้า แถมอะไรมาซ้ำเติมให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ถ้าคิดแบบนี้ทำให้พ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ธรรมสอนว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วทำให้สว่าง สงบเย็นและพ้นทุกข์  เคยไหม คิดแบบคนสว่าง คิดแล้วทำให้เราสงบ คิดแล้วทำให้เราใจเย็น คิดแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ คิดแบบไหน (ปล่อยวาง)  ปล่อยได้ไหม ก็ยากใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์มักเป็นคือการจ้องจับผิด เมื่อจ้องจับผิดก็จะเห็นคนโน้นก็ไม่ดี เห็นคนนั้นก็แย่ การจ้องจับผิดคือทางที่ทำให้เรามืด ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราไม่สงบ ฉะนั้นไม่จ้องจับผิดใคร เอาแต่ขัดเกลาแก้ไขตนเอง อย่างนี้จะสว่างไหม (สว่าง)  จะสงบไหม (สงบ)  พ้นทุกข์ไหม (พ้น)  ฉะนั้นถ้าอยากสว่างก็เลิกจับผิด แล้วเปลี่ยนระแวงเป็นระมัดระวังใจ อยากแก้ความคิด อยากแก้นิสัย ก็เลิกระแวงผู้อื่น แล้วทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วเอาเวลาจับผิดผู้อื่นนั้นมาเป็นเวลาแก้ไขตัวเอง ระมัดระวังตัวเอง เพราะตัวเองจะได้ไม่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยดับให้เราสามารถคลายความเศร้า คลายความรังเกียจเขาได้ ก็คือ แปรความเกลียดความไม่ชอบ เป็นความเห็นใจ เข้าใจ อภัย ไม่เกลียดไม่โกรธ สิ่งนี้จะแปรเปลี่ยนใจที่คิดร้าย ใจที่ทุกข์ ให้เป็นใจที่สงบเย็น หากเราว่าเขา เราก็เจ็บ เขาผิดเราก็ไม่ได้ถูกกว่าเขา เขาแย่เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขา จริงไหม (จริง)  ว่าเขาไม่ดี แล้วเราดีกว่าเขาสักเท่าไรหรือ เห็นเขาแล้วไม่เห็นเรา หรือว่าเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย เขานิสัยไม่ดี เราก็ (ไม่ดี)  ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ากล้ายอมรับอย่างนี้ การที่เราจะมองเขาแย่ การที่เราจะรังเกียจ การที่เราจะโกรธ จะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความมืดความทุกข์จะกลายเป็นความสว่าง สงบเย็นและสบายใจ และธรรมะก็สอนให้สร้างบุญอย่าสร้างบาป ทำคนอื่นเจ็บก็คือบาป ทำคนอื่นมีสุขก็คือบุญ ท่านอยากสร้างบุญหรือสร้างบาป (บุญ)  และทุกครั้งที่ว่าผู้อื่นบาปหรือบุญ (บาป)  ทำบุญแต่ที่วัด กับคนไม่เคยทำบุญเลย รู้จักแต่ให้ทาน แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานเลยใช่ไหม ให้อภัยเป็นทานไม่ได้หรือ  ฉะนั้นก่อนจะคิดอะไรตามใจตัวเอง ตามนิสัยของใจ จงมีสติคิดทบทวนก่อนว่า ถ้าความคิดนั้นพาไปสู่ความมืด ความวุ่นวายและความทุกข์ นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าความคิดใดทำแล้วสว่าง ทำแล้วพ้นทุกข์ ทำแล้วบังเกิดบุญ คิดแบบนั้น
ไม่ดีกว่าหรือ คิดได้ทันอย่างนั้นไหม นิสัยของใจชอบขึ้นแล้วก็ลง ดีแล้วก็ร้าย ใจเราก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติที่มีขึ้นได้ก็ลงได้ ลงได้ก็ขึ้นได้ แต่แปลกเวลาลงทำไมขึ้นยาก แล้วเวลาขึ้นหรือลงกลับมาปกติไม่ได้หรือ ทำไมต้องเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา เป็นคนปกติไม่เป็นใช่ไหม น้ำยังมีวันขึ้นและลง ใจของคนมีขึ้นและลง แต่อย่าลืมกลับมาปกติ และอยู่กับความปกติธรรมดา ธรรมชาติของใจก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติของน้ำ ขึ้นได้ลงได้และกลับมาปกติได้ ความปกติคือคุณธรรมของความเป็นคน แต่ความเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา คือความผิดปกติที่ทำให้มนุษย์ง่ายที่จะขาดศีลธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศึกษาปฏิบัติธรรม อย่าลืมใจอันเป็นกลาง แต่มนุษย์ใจมักจะติดร้าย ติดดี แล้วก็บอกว่า ก็เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ แล้วมีอีก คือความธรรมดา

อีกเรื่องหนึ่งก่อนจะจากกัน มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เวลามีความสุข ก็ชอบคิดในเรื่องที่พาลให้ทุกข์ เจอคนชมน่าจะดีใจก็กลับระแวง เจอเรื่องที่ได้ น่าจะสุขใจก็กลับวิตกกังวล ฉะนั้นถ้าเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะถ้าคิดแบบนี้ทำให้ตัวเองทุกข์เปล่าๆ ถ้ากลัวแล้ว
ทำให้ทุกข์ วิตกกังวล กลัวตัวเองเจ็บปวด ทำไมไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง ใจของคน ชีวิตของคน ไม่ได้เกิดมาเป็นทาสของอารมณ์เสมอไป แล้วเมื่ออารมณ์มาแล้ว จำไว้นะว่าเราเลือกได้ที่จะจมอยู่กับอารมณ์หรือจะหลุดพ้นจากอารมณ์

เราหนีให้เราไม่คิดไม่ได้ เราหนีให้เราไม่มีอารมณ์ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะมีอารมณ์แล้วพ้นทุกข์ เห็นแจ้งจริง หรือวิตกกังวลและจมกับทุกข์ เราเลือกได้ ใช่ไหม (ใช่)  ขอแค่เพียงมีสติ รู้ทันความคิดและนิสัยของใจตน แล้วชะตาชีวิตก็ไม่ต้องกราบฟ้า ไม่ต้องไหว้ดิน ไม่ต้องขอใครให้ชม เราก็สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ เพราะเรารู้จักคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดให้สว่าง คิดให้สงบเย็น และพ้นทุกข์
ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูด ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็แปลว่าใจไม่ได้จดจ่อ ไม่ได้ใส่ใจ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มีใจอันประเสริฐอยู่หนึ่งอย่าง ขอแค่เพียง
ใส่ใจและรักที่จะทำ สิ่งที่ธรรมดาก็จะกลายเป็นสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ดูเป็นปกติ
ก็จะกลายเป็นคุณงามความดีได้ ขอแค่เพียงการใส่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่น่าเสียดายลืมใส่ใจที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง มัวแต่ห่วงคนอื่นว่ารักหรือไม่รักเรา แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ใส่ใจและรักคุณค่าของตัวเองให้เดินไปสู่ทางที่ถูกต้องและดีงาม สุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการกระทำคือตัวเรา แล้วทำไมไม่คิดให้ดีก่อนจะพูด ก่อนจะทำ คิดอย่างคนสว่าง คิดอย่างคนสงบ คิดอย่างคนพ้นทุกข์ ไม่ใช่คิดอย่างคนวุ่นวาย มืดมน หลงผิดบาปและจมในห้วงทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ชีวิตอยู่ที่ความคิด ความคิดควบคุมได้ด้วยคุณธรรม ความคิดชีวิตและจิตใจควบคุมได้ด้วยธรรม อย่าปฏิบัติธรรมแต่เพียงภายนอก แต่ลืมเอาธรรมมาควบคุมนำพาชะตาชีวิตและจิตใจตน หว่านพืชเช่นไรรับผลเช่นนั้น ไยจึงไม่สร้างธรรมเพื่อรับผลธรรม ไยจึงสร้างกรรมแล้วผลสุดท้าย
ก็ต้องรับกรรม

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญรักษาโอกาสนี้กันให้ดี มีชีวิตคิดอย่างสว่าง คิดอย่างสงบ และคิดอย่างคนพ้นทุกข์ อย่าคิดอย่างคนจมอยู่ในทุกข์ และนำพาให้ตนเองมืดมนเลยนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑       สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  บำเพ็ญนอกแต่ภายในไม่ฝึกฝน         ท้ายก็พ่ายติดขัดวนนิสัยเก่า
ติดอัตตาตัวตนความเป็นเรา              ยอมขัดเกลาหรือว่าทำตัวแบบเดิม
ใจที่วุ่นก็วุ่นไปทุกสิ่ง                      ใจที่นิ่งทุกสิ่งก็ยิ่งเพิ่ม
ทุกสิ่งล้วนเริ่มจบที่ใจเดิม                 ไม่โทษเขาแต่เริ่มย้อนดูตน
        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีบ่

  เพราะศรัทธาจึงพร่ำยกมือไหว้         ศรัทธาใดไม่ปฏิบัติไร้ประโยชน์
มีศรัทธาไม่ปฏิบัติย่อมเกิดโทษ           แสนปราโมทย์ปฏิบัติเป็นธรรมบูชา
ฝึกธรรมะฝึกปัญญาฝึกพลิกแพลง        ฝึกความแกร่งฝึกนิสัยฝึกจิตนิ่ง
ฝึกยอมรับโดยไม่แบกไว้ทุกสิ่ง            ฝึกวางจริงแต่ไม่ใช่แล้งน้ำใจ
โลกที่รู้ไม่เป็นอย่างที่เห็น                 เรื่องที่เจนไม่เป็นอย่างที่หมาย
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป                  ไม่ยึดในรูปธรรมนามธรรม
บำเพ็ญจิตให้เป็นไทไม่เป็นทาส          บำเพ็ญกายไม่ให้พลาดไม่ให้พลั้ง
คำพูดจาต้องไม่สร้างวจีกรรม            หนทางธรรมไม่สร้างหนี้จองเวรใคร
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีนกตัวหนึ่งที่พยายามบินและบินให้สูงที่สุด ชีวิตของนกตัวนี้ต้องหมดสิ้นแล้ว แต่ใจของนกตัวนี้ยังอยากที่จะบินให้สูงที่สุด แม้ร่างกายตัวนี้จะหมดไปแล้ว แต่ใจที่จะกลับคืนสู่สภาวะที่สูงที่สุด ดีที่สุด ยังคงมีอยู่
ศิษย์เกิดเป็นคนย่อมหนีไม่พ้นความแก่เจ็บตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถจะลืมได้คือ หัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น แม้สังขารและร่างกายเราจะไม่มี แต่เรามีใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น ใจดวงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรม ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยอมทิ้งร่างกาย ยอมทิ้งความยึดมั่นถือมั่น เพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เคยทอดทิ้งมา ไม่ห่วงแล้วร่างกาย ขอกลับไปสู่ใจที่เป็นสภาวะเดิมที่ประเสริฐที่สุด ที่งามที่สุด ที่ดีที่สุดดวงนั้นดีกว่า
ความเป็นคนมีเวลาจำกัด แต่ใจที่เข้าถึงธรรมที่ไม่ยอมแพ้ ที่จะมุ่งมั่นไปสู่สิ่งที่ดีงามที่สุด ไม่มีเวลาจำกัด สามารถสละตัวตนและกลับคืนสู่สภาวธรรมได้ ความมุ่งมั่นของคนเป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าทำอะไรด้วยใจที่สู้ไม่ถอย แม้สังขารจะละแล้วแต่ใจที่สู้ไม่ถอยสามารถกลับคืนสู่ฟ้าได้
ถึงเวลาศิษย์ต้องทิ้งร่างกายไหม (ทิ้ง)  ระหว่างนรกกับฟ้า เราอยากไปไหน (ฟ้า) หลายคนก็อยากเลือกไปฟ้า แล้วฟ้าเป็นแบบไหน (กว้าง)  แล้วใจเรากว้างหรือแคบ วันนี้เราอยู่บนโลกถ้าตายไปเราก็อยากกลับสู่ฟ้า ไม่อยากลงนรก นรกใจกว้างหรือแคบ (แคบ)  แคบมากใช่ไหม แคบจนดำมาก แล้วใจเราตอนนี้ใจขาวหรือใจดำ กว้างหรือแคบ (กว้าง)  ขาวหรือดำ (ขาว)  หนักหรือเบา (หนัก)
หากอยากขึ้นฟ้า นอกจากต้องใจกว้าง ใจสะอาด ใจเบา แล้วเบาไหม (เบา)  เห็นยึดถือทุกอย่าง สิ่งนั้นก็ไม่ยอม สิ่งนี้ก็ไม่ยอม อย่างนี้เรียกว่า หนักหรือเบา (หนัก)  ตอนนี้มีความสุขหรือความทุกข์ ถ้าอยู่บนโลกแล้วทุกข์มากกว่าสุข นั่นก็แปลว่าไม่ใช่สวรรค์ นั่นคือนรก เพราะนรกเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่สวรรค์เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างนี้ไม่ต้องถามแล้วว่าตายแล้วไปไหน
สวรรค์เป็นที่ที่มีธรรมหรือไร้ธรรม แล้วตอนนี้เรามีธรรมหรือไร้ธรรม มีเมตตา มีความซื่อตรง มีความเสียสละ มีจิตใจกรุณาปรานี เรามีแบบนี้ไหม นานๆ ถึงจะมีใช่ไหม
อาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ แค่นี้ ศิษย์ก็ดูตัวเองออกแล้วว่าชีวิตตัวเองจะไปทางไหน จะไปสุขหรือไปทุกข์ ไปนรกหรือไปสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจของศิษย์ เมื่อรู้อย่างนี้อยากมีใจที่เป็นสุขไม่มีใจที่เป็นทุกข์กันบ้างไหม ถ้าอยากแล้วทำแบบไหน กลับไปทำแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างเงินกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต)  ทำไมอาจารย์เห็นหลายๆ คนหาเงินแบบลืมชีวิต หาเงินแบบไม่คิดชีวิต และบางคนหาเงินจนทำร้ายชีวิตก็มี หรือยิ่งหนักเข้าไปอีกคือทำร้ายชีวิตแล้วยังไปผูกเวรผูกกรรมก็มี นั่นแปลว่าเงินสำคัญกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ในใจก็บอกอาจารย์ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเงินมันก็ตายนะ ตกลงจะเอาเงินหรือเอาชีวิต แต่ตอนนี้เอาเงินก่อน ชีวิตไว้ที่หลังใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  อาจารย์ขอเวลาสักช่วงหนึ่งสนทนาธรรมกับศิษย์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน และการแลกเปลี่ยนนี้เผื่อจะเป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้ศิษย์มองเห็นโลก เห็นชีวิตได้เข้าใจยิ่งชัดขึ้น เหมือนที่ตอนแรกศิษย์บอกว่า เงินกับชีวิตอะไรสำคัญ เราก็พูดได้ว่าชีวิตสำคัญ แต่บางครั้งเราหาเงินจนลืมชีวิต เราว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญแต่บางครั้งเรามัวสนใจอารมณ์ ความรู้สึกตนจนทำร้ายชีวิต ห่วงแต่ความรู้สึกว่าตัวเราทุกข์ แล้วก็ฆ่าชีวิตตัวเองให้ตายทั้งเป็น อารมณ์สำคัญกว่าชีวิตหรือ สิ่งที่สำคัญในชีวิตกว่าชีวิตนั่นก็คือการยังมีลมหายใจเพื่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่บางครั้งความคิดสั้น ความคิดง่ายๆ ก็ทำร้ายชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตคือร่างกาย แต่ในชีวิตก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าจิตใจ เรามัวแต่บำรุงร่างกาย เรารู้วิธีบำรุงร่างกายให้ดีให้งดงาม แต่เราอย่าลืมบำรุงใจ มนุษย์มักสนใจเพียงกายภายนอกจนลืมสนใจจิตใจ เพราะถ้าไม่มีจิตใจที่เข็มแข็ง ถ้าไม่มีจิตใจที่รู้จักคิด รู้จักเข้าใจชีวิต เราก็ไม่สามารถทำชีวิตภายนอกให้เติบโตได้ ฉะนั้นภายในก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเท่ากับภายนอก ถ้าเราสนใจแต่ภายนอก จนลืมดูแลภายใน เราก็จะพบทุกข์และแก้ไขทุกข์ไม่ออก
เคยเห็นไหมคนที่ใจสลาย เคยเห็นไหมคนที่ตรอมใจจนตาย ร่างกายของเขาก็ดีๆ แต่เพราะอะไรหรือที่เขาใจสลาย เพราะอะไรหรือที่เขาตรอมใจ เพราะอะไรหรือที่เขาทุกข์เจ็บปวดใจจนไม่อยากมีชีวิต เราไม่เคยฝึกจิตให้ยอมรับความจริงเลย ทุกขณะที่มีชีวิตเราเอาแต่ตามใจตัวเองตลอด สนองใจของตัวเองตลอด แล้ววันหนึ่งให้มายอมรับความจริง อย่างนี้ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาศิษย์ตามใจตัวเองมาโดยตลอด แล้วถ้าวันหนึ่งเจอเรื่องที่ขัดใจ เจอเรื่องที่ไม่ใช่กับใจที่เราต้องการ แล้วตอนนั้น ศิษย์จะทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  เมื่อไม่ทัน บางคนก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกเลย เพราะรับความจริงไม่ได้ อายที่จะต้องเจอกับความจริง แล้วทำไมตอนนี้เราไม่เรียนรู้ที่จะฝึกใจของตัวเราเอง ฝึกใจที่จะยอมรับความจริงบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตามใจตัวเองมาเยอะ วันนี้ลองมาฝึกใจเรียนรู้ความจริง เพื่อให้ภายในเข้มแข็งและภายนอกแข็งแกร่ง
การยอมรับความจริงคือเรียนธรรมะ เรียนความจริงให้ฝึกฝนที่จะอยู่บนโลกความจริงนี้ให้ได้ ใจที่ฝึกดีแล้ว ใจที่เรียนรู้รับความจริงได้แล้ว จะสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนพลิกผันได้ด้วยความเข้าใจและไม่ทุกข์ ปัจจุบันนี้เราไม่คิดจะมองความจริง เรามองแต่สิ่งที่ตามใจ พอความจริงฟาดเข้ามาทีหนึ่ง เราก็ทุกข์ทีหนึ่ง พอเข้ามาหลายๆ ที ก็เกือบตายทั้งเป็น ถ้าเรารู้จักยอมรับความจริง ไม่เอาแต่โทษและไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็ไม่ทุกข์ แต่คนในโลก ชอบคิดว่าผู้อื่นทำเราลำบาก ไม่ยอมช่วยเรา แต่ลืมมองว่าตัวเรายึดติดความคิดตัวเราเองหรือไม่
ใจของมนุษย์ที่รับความจริงไม่ได้เพราะมนุษย์อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เรียนรู้ความจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร และเราไม่เคยได้อะไร เมื่อถึงเวลาจะได้จะมีจะเป็นหรือจะไม่ได้จะไม่มีจะไม่เป็น ศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความต้องการของมนุษย์กับความจริงมักตรงข้ามกันเสมอ มนุษย์ต้องมีต้องเป็นต้องได้ต้องยิ่งใหญ่ แต่การเรียนรู้ธรรมกลับทำให้เรายิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเราไม่เคยมี ไม่เคยเป็น และไม่เคยได้ ถึงที่สุดเราก็เล็กจนแทบไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ศิษย์จะไม่ทุกข์ แต่มีมนุษย์กี่คนที่จะเข้าใจประโยคที่อาจารย์พูดตรงนี้
เรามีไปเรื่อยๆ มีก็เหมือนไม่มี เราพยายามจะเป็นคนเก่งเป็นคนดีเป็นคนมีความสามารถเป็นคนที่สำเร็จ แต่ยิ่งเป็นก็เหมือนไม่ได้เป็น สำเร็จอย่างหนึ่งถึงเวลาอีกอย่างหนึ่งก็ไม่สำเร็จ สำเร็จที่เคยคิดว่าเป็นแบบแผนของความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่จะใช้ได้อีก
ธรรมสอนให้เรารู้ว่า เรียนรู้ให้เป็น ให้มี แล้วอย่าไปเอา เพราะไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริงๆ เราว่าเรามีแฟน ถึงเวลาแฟน (ไปมีคนอื่น)  เราว่าเรามีเงินมากมาย ถึงเวลาตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  โมโห เกลียด ด่าเขา ถึงเวลาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เอาไปได้แต่ความเจ็บแค้นในใจ แล้วก็เผาใจ ทำให้ใจหนักและตกนรก แล้วควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  โกรธไปก็ไม่ได้อะไร หลงไปก็ไม่ได้อะไร แต่พอโกรธไป หลงไป แต่ได้เพิ่มมาอย่างหนึ่งเป็นของแถมคือ ตกนรก แต่ถ้าไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ยึดมั่น ได้ของแถมคือ ขึ้นสวรรค์
อาจารย์ขอถาม เราอยู่เพื่อให้หรือเราอยู่เพื่อรับ คนที่รับมาแล้วค่อยให้ กับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยรับมีแต่ให้ ควรเอามาก่อนแล้วค่อยให้ หรือควรจะให้ไปเลยแล้วไม่ต้องเอา (ควรให้ไปเลย)  ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ควรจะให้ไปเลย ไม่ต้องเอาอะไรไป เพราะจะได้เบาที่สุด จะได้ไม่มืด ไม่หนัก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตของเราจะรับหรือให้ คนที่ไปรับมาก่อนแล้วค่อยให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม
ศิษย์ชอบทำบุญทำทานไหม (ชอบ)  แล้วเคยได้ยินไหม การถวายสังฆทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใดๆ สังฆทานคือทางที่ไม่เจาะจง ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นถ้าเราอยากทำบุญที่ดีเราต้องถวายสังฆทาน เพราะเป็นทานที่ไม่เจาะจง ดังนั้นไม่ว่าจะกับใคร ศิษย์ก็ไม่เจาะจง ศิษย์ก็ให้ อย่างนี้ศิษย์ก็ได้ให้ตลอดชีวิตเพราะไม่เจาะจงว่าให้กับใคร ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน การให้นั้นได้ถอนความเป็นตัวตน ถอนความงง ถอนความงก ถอนกิเลส ถอนอัตตา ถอนความยึดติด คนดีเขาจะเลือกที่รักมักที่ชังไหม (ไม่) ถ้าคนที่ดีจริง เขาต้องทำได้ทุกที่ ทุกคน ทุกเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเดินหนทางที่แท้จริง หนทางที่กลับคืนสู่ความจริง ในเมื่อศิษย์ก็รู้ว่า โลภไปแล้ว หลงไปแล้ว ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าศิษย์เริ่มต้นปฏิบัติด้วยการให้ เราดำเนินชีวิตทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะเรามีความสุขที่ได้ทำงาน ความสุขเราไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ตำแหน่ง และศักดิ์ศรี ความสุขเราอยู่ที่ทำตัวเป็นคนให้ดีที่สุด
เราก็รู้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วศิษย์อยากมีกรรมเพิ่มไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อศิษย์ไม่อยากมีกรรม แค่ได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำงาน ได้ปลูกข้าว ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีความสุขแล้ว ความสุขมีอยู่ทุกวันที่ได้ทำงาน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ความสุขอยู่ที่การเอาเงินไปเที่ยว ความสุขอยู่ที่การได้รับเงินเดือน ความสุขอยู่ที่การได้กำไร ความสุขมีอยู่วันเดียว แต่ความสุขของอาจารย์มีทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตัวและไม่ผิดศีลธรรม อาจารย์มีสุขทุกวันแล้ว อาจารย์ต้องง้อใครไหม ว่าคนนี้ต้องให้ตำแหน่งอาจารย์ ต้องชมอาจารย์ อาจารย์ไม่ง้อแล้ว เพราะอาจารย์มีสุขทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ สุขเมื่อผู้อื่นชม แล้วเราไม่รู้คุณค่าตัวเองหรือ สุขเมื่อเลื่อนตำแหน่ง สุขเมื่อได้รับคำชมได้รับเกียรติ
ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นหนทางกลับคืนสู่ฟ้า ฟ้าต้องการให้เราเบา ให้เราสูง ให้เรามีธรรม ให้เราให้ ฟ้าไม่เคยให้แล้วเรียกร้องผล ฉะนั้นอยากกลับสู่ฟ้า อยากเป็นใจฟ้า อยากมีใจธรรม ศิษย์ลองไปให้คนที่เขายากไร้มากๆ เราคิดว่าเราช่วยเขา เราให้เขาแล้วเขายิ้มและขอบคุณ เราได้สุขกลับมาทันที ป้าๆ ไม่ต้องขอบคุณหนูขนาดนั้น หนูมีเยอะหนูเลยแบ่งให้ป้า เราคิดว่าเราช่วยเขาแต่ไปๆ มาๆ เขากลับ (ช่วยเรา)  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ความสุขของพระพุทธะคือ การกระโดดลงไปช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่ความสุขของมนุษย์คือ ความสุขอย่างเห็นแก่ตัวที่นิ่งดูดาย ไม่คิดช่วยใคร นี่คือใจเราต่างจากใจฟ้ายิ่งนัก เพราะเริ่มต้นเราไม่คิดจะให้ เราคิดแต่จะรับ ศิษย์รู้ไหมการให้คือ รากฐานแห่งความดีงามทั้งปวง ถ้าศิษย์ให้ไม่ได้ ศิษย์จะเมตตาใคร ยอมใครและซื่อสัตย์กับใคร ให้ได้ไหม (ให้ได้)  การให้ที่ง่ายที่สุดคือ ให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้น้ำใจไมตรี ให้ความซื่อตรง ให้ความน่าเคารพเชื่อถือ ให้ความน่าศรัทธา ให้เกียรติ แบบนี้ต้องเสียทรัพย์ไหม (ไม่เสีย)  ซื่อตรงได้ไหม ไม่ใช่ซื่อแต่ไม่ตรงนะ
เคยถวายสังฆทานกับคนไหม (เคย)  อะไรก็ถวายได้โดยไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่)  ให้น้ำใจเขา ให้อภัยเขา ไม่เคืองโกรธเขา ไม่ผูกใจเจ็บเขา ให้เมตตาเขา นี่เรียกว่าให้ธรรม ทำได้โดยการให้ธรรมะเป็นทาน สร้างบุญแล้ว สร้างสังฆทานแล้วยังสร้างกุศล ได้ชำระล้างตัวตนไม่ยึดถือด้วย ฉะนั้นการเริ่มต้นจึงเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วศิษย์ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าเรามีโอกาสเจอหน้าใคร เราจะให้อะไรเป็นทาน
(ให้โอกาสคนผิด)  ให้โอกาสคนผิดด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง (ให้มิตรภาพ ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ ไม่ว่าคนนั้นเขาจะจริงใจหรือไม่จริงใจ (ให้อภัยและมีความเป็นมิตรกับทุกคน ให้อภัย ความรู้) ก่อนที่จะให้อภัยแปลว่า โกรธ ฉะนั้นถ้าพยายามให้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องพยายามอภัยใครเลย ยิ่งถ้าเราเมตตาเขามากๆ เรายังต้องให้อภัยใครไหม (ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น)  โดยเอาตัวเราเป็นแบบอย่าง ทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ดีกว่าสอนด้วยคำพูดอีก (ให้ความรักความเมตตา)  แต่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ รักแล้วต้องรักเท่าๆ กันถึงจะไม่บาป ไม่สร้างกรรม รักแล้วยึดติดก็ก่อเกิดทุกข์ รักแล้วต้องวางให้เป็นด้วย (ให้รอยยิ้ม)  รอยยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ปากยิ้มแต่ใจคดโกงไม่เอา ปากยิ้มแต่ตาแอบไปมองคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องมีความซื่อตรงจริงใจ
รู้จักให้เกียรติไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แล้วก่อนที่จะให้เกียรติผู้อื่น เราก็ต้องทำตัวเองให้น่าเคารพด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าเป็นเพียงแค่คำพูด แต่ต้องทำให้ได้ด้วย จริงไหม (จริง)
(ความเมตตาและรักกัน)  แต่รักกันก็อย่ารักกันเฉพาะแค่พวกพ้อง ถ้าจะรักก็ต้องรักให้เท่ากันทุกคนใช่ไหม (ใช่)  (รู้จักบุญคุณคน)  แปลว่าทุกคนมีบุญคุณเราก็จะไม่นินทาใช่ไหม (ใช่)  (ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ เพราะถ้าเจอคนที่ไม่จริงใจ จงอย่าท้อ (ความรักความเมตตา)  ความรักนั้นต้องไม่เป็นการยึดมั่นถือมั่น (ให้รอยยิ้มและกำลังใจ)  บางครั้งก็ต้องรู้จักให้โอกาสคนที่เขาผิดพลาดด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเจอโลกที่ไม่ยุติธรรมไม่ซื่อสัตย์แล้วเรายังจะให้อยู่ไหม (ให้อภัย)  ศิษย์เอ๋ยถ้าเมื่อไรศิษย์คิดจะให้อภัย แปลว่าลึกๆ แล้วศิษย์แอบโกรธเขาก่อน ไม่พอใจเขาก่อน ใช่ไหม (ใช่)  (ให้อภัยและให้ธรรมะ)  ธรรมะอะไรหรือ (ให้เขามาปฏิบัติธรรม)  สู้เราปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่างให้เขาดูดีกว่า
(อภัยและรอยยิ้ม)  ถามจริงๆ ตอนที่รู้สึกต้องให้อภัยเรายิ้มออกไหมศิษย์ พยายามให้ความเข้าใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจให้มากที่สุด แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องใช้คำว่า อภัย เพราะเขาผิดได้ เราผิดได้ เขาแย่ได้ เราแย่ได้เหมือนกัน (รักกันและชอบกัน)  แต่บางคนเหม็นขี้หน้ากัน ยังไม่ทันได้ชอบกัน ต้องทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ทำให้ได้อย่างนี้นะ (เขาไม่ดีเราต้องให้โอกาสและต้องซื่อสัตย์)  เราต้องอดทนให้ได้ในสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้น บางครั้งนอกจากให้คนอื่นเป็นแล้ว ศิษย์ต้องให้ใจตัวเองทำอย่างไรให้รับกับคนแบบนั้นให้ได้ ศิษย์อย่าลืมสังฆทานให้คนอื่น อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง หนูจะต้องทนให้ได้ (ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)  ตอบได้ดี เพิ่งก้าวแรกเองไปรอดไหม เริ่มต้นทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้จักให้ แต่เราต้องให้กำลังใจตัวเองในการยอมรับผู้คนที่ไม่ได้ดั่งใจเรา
รู้จักถวายสังฆทานให้ผู้อื่น อย่าลืมสังฆทานให้ตัวเองด้วยนะ อดทนให้ได้กับสามีที่เป็นแบบนี้ เข้มแข็งให้ได้กับลูกที่เป็นแบบนี้ ยอมรับให้ได้กับเพื่อนที่เป็นแบบนั้น เมื่อเคลียร์ใจตัวเองได้ เราก็ยอมให้ได้ เขาไม่จริงใจแต่เราจะจริงใจ เขาไม่ดีแต่เราจะดี ให้รู้กันไปชีวิตนี้ดีไม่ได้แต่เราจะดีให้ได้ เราจะสู้และไปต่อ ก้าวแรก คือ “ให้”
ก้าวที่สอง คือ ต้องละชั่วให้ได้ ต้นเหตุแห่งบาปทั้งมวลล้วนก่อเกิดมาจากกิเลสที่เรียกว่า “โลภ โกรธ หลง” ถึงแม้เราจะขจัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ แต่ตัวต้นเหตุที่สร้างโรงงานโลภ โกรธ หลง คือ (ความคิด)  ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ้นกิเลสยังไม่สิ้นทุกข์ ตราบใดตัวสร้างทุกข์ยังคิดไม่เป็น ยังไม่มีสติยังไม่มีธรรมะพอ อย่างนั้นคนที่จะเดินขึ้นสวรรค์นอกจากให้แล้ว อยู่เพื่อสนองกิเลสหรืออยู่เพื่อลดละกิเลส (ลดละกิเกส)  เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยหล่อ ถ้าศิษย์จะก้าวต่อไปศิษย์ต้องละกิเลสให้ได้ ถ้าศิษย์ยังละกิเลส ละความโลภโกรธหลงไม่ได้ ศิษย์ก็จะก้าวต่อไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่เท่ากับความโลภ” ถ้ารู้จักพอก็สงบได้ รู้จักพอรู้จักหยุดก็หลีกหนีภัยพิบัติได้
แต่มนุษย์มีใครบ้าง มีแบงก์ร้อยแล้วไม่มีแบงก์พัน ได้เงินมาสนองกิเลสอารมณ์ แต่ครอบครัวแตกแยก ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีเพื่อนจริงเอาไหม (ไม่เอา)  มีบ้านมีรถครบครันแต่ลูกอยู่ทาง พ่อแม่อยู่โดดเดี่ยวเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังคงผิดศีลขาดธรรม ศิษย์ก็จะไม่มีวันครอบครัวร่มเย็นได้ เมื่อละบาปได้ก็ต้องบำเพ็ญบุญ เมื่อเราไม่ผิดศีลแล้ว สิ่งที่ศิษย์ต้องสร้างให้คนที่ดีแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป นั่นก็คือการมีคุณธรรมต่อกัน การมีคุณธรรมต่อกันทำให้ครอบครัวร่มเย็น ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่มีความซื่อตรงจริงใจกับใคร ไปอยู่ที่ไหนจะมีใครรักไหม (ไม่มี)  อาจารย์ถามศิษย์เจอใครหล่อ สวย มองไหม (ไม่มองแค่เหล่ๆ)  หลงไหม (ไม่หลงแต่ขอดูอีกสักทีหนึ่ง)  ไม่ได้นะศิษย์ ใจเขาใจเรา อกเขาอกเรา เรายังอยากได้คนซื่อตรงแต่ตัวเราไม่ซื่อตรง เรายังอยากได้คนจริงใจไม่เอาเปรียบไม่เอาแต่ได้ แต่เราเอาเปรียบเอาแต่ได้ไม่จริงใจ ฉะนั้นก้าวที่สองที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้ได้คือ หนึ่งต้องไม่เบียดเบียนทั้งตา กาย ใจ สองต้องไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา สามซื่อตรงจริงใจรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด คำไหนคำนั้นถ้าทำได้เช่นนี้ นี่แหละก้าวที่สอง
ซื่อตรงไหม (ซื่อตรง)  เบียดเบียนไหม (ไม่เบียดเบียน)  จริงใจไหม (จริงใจ)  แน่ใจนะ อย่างนี้แปลว่ากลับบ้านไปจะไม่เบียดเบียนชีวิตของใครให้เป็นชีวิตของเราใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ก็แปลว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ใช่ไหม เอาไหมอาจารย์ให้ ไม่กิน 3 อย่างเอง แค่ไม่กินสัตว์บนฟ้า สัตว์บนบก และสัตว์ในน้ำ ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะได้รับผลไหม (ไม่รับ)  แล้วศิษย์ไปเบียดเบียนชีวิตของเขาเพื่อชีวิตของเรา แล้วศิษย์คิดว่าเขาจะไม่เบียดเบียนศิษย์กลับหรือ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในใจของศิษย์จำคนที่ด่าศิษย์ได้แม่นกว่าจำคนที่ชมศิษย์ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันกับที่ศิษย์ไปเอาชีวิตของเขา แล้วคิดว่าเขาจะไม่จำศิษย์ฝังใจหรือ แล้วศิษย์กินเขา คิดว่าเขาจะไม่แค้นศิษย์หรือ แล้วถ้าศิษย์ตบเขาแล้วเขาขอตบคืน คิดว่าเขาจะตบกลับเท่ากับที่ศิษย์ตบเขาไหม (ไม่)  เขาก็เอาคืนให้ศิษย์เจ็บที่สุด ถ้าศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็เอาคนที่ศิษย์รักที่สุด แล้วทำให้ศิษย์ทรมานแล้วตายทั้งเป็น เอาแบบนี้ไหม (ไม่เอา)  จงไปคิดดูนะ
ละบาปบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญบุญด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา รักแค่ไหน ดีแค่ไหน ได้แค่นี้พอแล้ว ดีกว่านี้ก็ไม่เอา แต่มนุษย์ไม่ใช่มีแต่เรียกร้องให้เธอต้องดีกับฉันอีกนิด เธอไม่เหมือนเดิมนะ เธอต้องดีกว่านี้อีกสิ ใช่ไหม เพียงแค่คิดว่าเขาต้องดีกับเรา นั่นก็แปลว่า อยากได้ของเขามาเป็นของเรา แล้วเมื่อได้แล้ว เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  ฉะนั้นเมื่ออยากลดความโลภ ก็ต้องรู้จักพอ รู้จักหยุดเป็น
อาจารย์ถาม กิเลสอะไรที่ศิษย์อยากกำจัดทิ้งที่สุด (กิเลสตัณหา)  อายุขนาดนี้แล้วยังมีตัณหาอีกหรือศิษย์ อาจารย์ตกใจนะ ตัณหาแบบไหน ไม่ใช่แบบชายหญิงนะ ตัณหาคือ ความอยากไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ความโลภ)  ต้องไม่โลภ เพราะถ้าโลภมากจะเป็นเปรตนะศิษย์ (ใจเย็นมีสติ)  ทำอะไรอย่าใจร้อน (น้อยใจ, อย่าเห็นแก่ตัว)  ตัวโตทำไมขี้น้อยใจ กล้าตอบก็ตอบได้ดี บางทีน้อยใจที่รักเขาแต่เขาไม่รักตอบเลยน้อยใจ เราอย่าเห็นแก่ตัว เพราะถ้าเราเอาแต่เห็นแก่ตัว เราก็จะไม่มีน้ำใจให้กับใคร
(กิเลสตัณหา)  ยังเหลืออยู่หรือ (ยังเหลือ)  อายุเท่าไร (62 ปี)  ยังมีตัณหาอีกหรือ อายุขนาดนี้ไม่ควรมีแล้ว ควรจะต้องปลงและปล่อยวางได้แล้ว (ไม่โกรธมากลาภหาย)  อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่า โลภมากลาภหาย (ต้องมีศีลห้าเป็นหลัก)  เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดคือ ศีลห้า คือความเป็นปกติ คนที่ไม่มีศีลห้าคือ คนที่ผิดปกติ แล้วชีวิตนี้ศีลห้าถือได้ครบไหม (ครบครับ)  แค่นี้ก็โกหกแล้ว ศีลห้าทำคนให้เป็นคนปกติ แต่ถ้าไม่มีศีลห้าก็ไม่ปกติ
(ไม่โลภ ไม่โกรธและไม่หลงตัวเอง)  ไม่หลงตัวเองหรือเพศตรงข้าม ต้องระวัง (ความใจร้อน)  ตอนนี้ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ไตร่ตรองให้ดี (กิเลสในใจเรา)  ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน มักคิดว่า ตนถูกเสมอ

ข้อที่สาม มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด จนไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งตัวตน เมื่อเข้าถึงสภาวสัจธรรม สัจธรรมจะสลายความเป็นตัวตนจนหมดสิ้น จนเข้าถึงสภาวะว่าง หรือเรียกว่า “ธรรมอันเดิมแท้”  แต่มนุษย์มักจะชอบใช้ความคิดความเข้าใจจนลืมมองความจริง ในโลกนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไหม คงอยู่ไหม ทุกสิ่งมีเหมือนไม่มี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราเข้าใจว่าสิ่งที่คงอยู่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เราจะทุกข์กับมันไหม ถ้าวันหนึ่งหน้าเราจากดีๆ กลายเป็นเหี่ยว มีแขนขาครบกลายเป็นแขนด้วน วันหนึ่งชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วศิษย์จะทุกข์ไหม ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์มองแล้วเข้าใจความเป็นจริง ศิษย์จะรู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่มีอะไรที่คงที่ตลอด เมื่อเกิดการแปรเปลี่ยนเกิดการพลิกผัน ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์กับสิ่งนั้น เพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องก้าวไปให้ถึงก็คือ พิจารณาธรรมแห่งความเป็นจริงจนบังเกิดความรู้แจ้ง และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ในใจตน นั่นแหละคือสิ่งที่ศิษย์ต้องพิจารณาให้เนื่องๆ ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หมั่นพิจารณาแล้วศิษย์จะเข้าใจในธรรมอันแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างแค่คงอยู่ชั่วคราว แล้วถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป
อาจารย์ถามศิษย์ว่า ระหว่างไฟกับน้ำอะไรน่ากลัวกว่า (ไฟ)  อะไรดีกว่า (น้ำ)  ถ้ามีแต่น้ำแต่ไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบไฟเหมือนความโกรธ ความเกลียด น้ำเหมือนความเมตตา จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เสียสละ เราอยู่ในโลกมีแต่น้ำไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหม ที่ในโลกนี้มีแต่คนมีเมตตา ไม่มีคนน่ากลัว (เป็นไปไม่ได้)  เป็นไปได้ไหมที่ภูเขากับพื้นดินต้องเป็นระนาบเดียวกัน (ไม่ได้)  ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า สูงและต่ำ แล้วเราอยู่ระหว่างสูงกับต่ำได้ จึงเรียกว่า ชีวิต ถ้าคำชมเหมือนการขึ้นภูเขาสูง คำด่าเหมือนกับคนที่กดให้เรามาเหยียบพื้นดิน อยู่บนพื้นดินน่ารังเกียจสู้ไม่ได้กับการอยู่บนภูเขาสูงหรือ แล้วเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะมีแต่พื้นดินไม่มีเขาสูง และมีเขาสูงไม่ยอมรับพื้นดิน (ไม่ได้)  เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
แท้จริงแล้วโลกมีความเป็นกลางอยู่ แต่มนุษย์ยึดติดชอบชัง จึงรู้สึกว่าอันนี้ดีอันนี้แย่ แต่ถามจริงๆ คำด่าของเขาแย่ไหม (ไม่แย่)  คำด่าทำให้เราเห็นตัวเองชัด แต่คำชมทำให้เราลืมความจริงและหลงตัวเอง เหมือนที่ศิษย์ว่า “ไฟมันร้อนแต่ก็ขาดไฟไม่ได้ น้ำมันเย็นแต่ถ้าอยู่กับน้ำจนเกินไปก็ฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น”  ธรรมะจึงสอนให้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรแย่ แต่สิ่งที่เรียกว่า ดี แย่ คือใจของศิษย์ที่ยึดติดแบ่งแยก แท้จริงแล้วฟ้าสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง เมื่อไรที่ศิษย์สามารถเข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลางได้ เมื่อนั้นบาปกรรมจะไม่เกิดขึ้นในใจศิษย์ แต่เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาปกรรมและการเวียนว่าย เราอยากอยู่เพื่อทุกข์หรืออยากอยู่เพื่อสุข (สุข)  ในทุกข์ยังมีสุข ในสุขยังมีทุกข์ แล้วชีวิตนี้เราด้อยปัญญาจนหาสุขในทุกข์ไม่เจอหรือศิษย์ คนเราเข้มแข็งขนาดไหนยังต้องมีอ่อนแอ แต่อ่อนแอขนาดไหนเราหาความเข้มแข็งไม่ได้หรือ แล้วในความอ่อนแอเข้มแข็งเรากลับมาปกติ ไม่ต้องเข้มแข็งไม่ต้องอ่อนแอไม่ได้หรือ แล้วเราอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครรัก แต่รู้จักรักตัวเองและรักคนอื่นไม่ได้หรือ (ได้) ทำไมต้องรอให้ใครมารัก ต้องรอให้ใครมาเห็นค่าด้วย ตัวเองไม่เห็นค่าตัวเองหรือ สร้างสรรค์คุณงามความดีด้วยชีวิตตัวเอง ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง
ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนไม่มีใครหนีความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ เพราะความเจ็บความตายมันทำให้ศิษย์เด็ดเดี่ยวต่อความมุ่งมั่นว่าจะกลับคืนฟ้า และกลับสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่างเปล่า สังขารนี้ไม่ต้องห่วงมัน อยากตายๆ ไป รักษาใจดีกว่า ใจมันไม่มีกรรม ใจมันไม่มีอยากได้ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน และกลับสู่ความจริงแท้ ถ้าชีวิตได้เดินกลับสู่ความจริง และทำให้เราว่างเปล่า ทำให้เราปลดปลง ทำไมต้องกลัวความจริงข้างหน้า สู้เข้มแข็งไปให้ถึงสภาวธรรมที่แท้จริงที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก ที่ไม่ต้องพึ่งใครแต่พึ่งตัวเอง เชื่อมั่นในความดีตัวเอง และนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยหัวใจความเป็นพุทธะ ด้วยใจที่แจ้งถึงความเสียสละ ถอนตัวตนจนหมดสิ้น กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ที่เป็นรากเดิมของใจศิษย์ อย่ามัวหลงกับโลภ กิเลส อย่ามัวหลงกับร่างกายอันไม่เที่ยงแท้ แต่ต้องตื่นขึ้น และเห็นความจริง ไม่มีอะไรเป็นของเรา และเราไม่เคยได้อะไร และเราไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร แค่กลับสู่ที่เดิมที่เรามา มีชีวิตไหนบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ตาย มีแล้วไม่กลับสู่ความว่าง ถ้ายังหลงมีอีกมันก็จะมีไม่จบสิ้น แต่ถ้าปล่อยความมีได้ กลับสู่ความว่างได้ นั่นแหละพ้นทุกข์โดยแท้จริง แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม
อาจารย์อยากให้ขวัญและกำลังใจแก่ศิษย์ทุกคน ให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นก้าวต่อไป ด้วยหัวใจที่ไม่ยึดติดในโลภ โกรธ หลง หรือสังขารอันไม่เที่ยงแท้นี้ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่แจ่มชัด โลกนี้น่าหลงใหลนักหรือ ตัวตนนี้น่ายึดถือจนทิ้งวางไม่ลงเลยหรือ รักษากายใจและความมุ่งมั่นให้เด็ดเดี่ยว เหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีแต่ให้ แล้วก็ให้ แล้วยังจะเอาอะไรอีกหรือกับโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนนั้นคือความสุขที่สุด สุขที่เย็นที่สุด สุขที่พ้นทุกข์ที่สุด ทำให้ได้นะ อาจารย์เชื่อมั่นในตัวของศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของหัวใจนี้ ลองดูนะ ลองนำธรรมไปพิจารณาให้เห็นแจ้งความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายของเนื้อเพลง “ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ”)
“ทุกข์แค่ไหน ท้อแค่ไหน แค่ใจหลอก” ใจนั้นหลอกให้ไหลไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเรามองให้เห็นความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความท้อก็เป็นเพียงแค่ช่วงหนึ่ง ทุกข์ก็เพียงแค่ช่วงหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริงแท้ สำคัญที่ใจ อย่าให้ไหลไปตามอารมณ์ ต้องเป็นแบบใจเดิม ใจที่ว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร อะไรจะเกิดก็กล้ารับได้ คำว่า “จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง”แปลว่า ยิ่งเราฝึกฝนบำเพ็ญมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า เรายังพร่องอยู่ เรายังไม่ดีอยู่ เราจึงต้องแก้ไขให้มากที่สุด
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ มุ่งมั่นในการทำความดีต่อไปนะ จิตที่อุทิศเสียสละคือจิตแห่งโพธิสัตว์ จิตที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น จิตที่ไม่กลัวความเหนื่อยยากคือจิตแห่งพุทธะที่ศิษย์ต้องรักษาให้ดี ยอมเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อนำพาให้คนอื่นพ้นทุกข์ เพื่อให้คนได้กินอิ่มมีสุข นี่คือจิตแห่งพุทธะ
เดินให้ถึงที่สุดนะ ไม่รักศิษย์ตรงนี้แล้วจะไปรักศิษย์ที่ไหนใช่ไหม
มีโอกาสคงได้กลับมาร่วมบุญศึกษาธรรมร่วมกันอีกนะ  อย่าปล่อยชีวิตให้ซัดเซพเนจร หลงโลก หลงกิเลส จนลืมมองความจริง อย่าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ จนลืมความจริงแท้ที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์เศร้า ทุกข์ของโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย เพื่อช่วยเวไนย อย่าท้อ เพื่อช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ เข้มแข็งให้ได้นะ


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา