วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-23 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一七年嵗次丁酉五月二十九日                                              仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐      สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
   พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
  เรื่องของใจนั้นต้องใช้สติ                คอยยั้งคิดไม่ให้ผิดพลาดพลั้ง
มีสติรู้เท่าทันเป็นกำลัง                   อารมณ์ยั้งคอยตระหนักโทษตามมา
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลกแฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                 ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญบ้างหรือไม่
  อคติรู้แบบไม่ตรงไม่ซื่อ                  ปรุงแต่งคือไม่มีสติยิ่ง
การมีสติใช่มีแต่นิ่ง                        ทว่านิ่งการคิดออกค่อยสำแดง
คำพูดบอกเตือนเลือกฟังอย่างไร         ไม่พอใจให้ระลึกถูกแย้ง
แยกแยะคิดพูดทำฝึกแจง                ลหุโทษแห่งผิดด้วยสติดี
อันหน้าที่คนสำนึกประจำใจ             ทำให้ปลอดภัยคนบำเพ็ญมีกระบี่
ลมหายใจจะรักษากรรมดี                มั่นในธรรมรักษาศีลแค่มรณา
อย่าหมายว่าต้องชดเชยอะไร            ขาดอะไรจงรู้ใช้ใจรักษา
ทั้งที่รู้รู้เรื่องเคืองชะตา                   พักอุราอยู่มีที่หนึ่งกระเบียด
ต่อให้เก่งมากก็ต้องระวัง                  ผ่อนคลายบ้างเป้าหมายกลับทำให้เครียด
คนฉลาดขาดสติรู้โดนเกลียด             สังเกตเครียดทุกทีดูจิตแทน
ไม่พูดแทรกแซงไม่แต่งคำพูด             ธรรมทูตแห่งการกระบวนแบบแผน
จงหัดใช้สติเคลื่อนหมุนแทน              เช็ดแว่นเป็นกลับใจปกติธรรมดา
มีสติขัดเกลาจนจิตเบิกบาน              เมื่อจิตทำการหยุดกิเลสหมดตัณหา
ในที่สุดได้ปัญญาเป็นปัญญา             ดั่งจันทราสว่างฟ้าไร้เมฆบัง
ฮาฮาหยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ฟังธรรมะมาทั้งวันอยากพักไหม (ไม่อยาก)  อยากกลับบ้านไหม (ไม่อยาก)  นึกว่าอยากกลับบ้านแย่แล้ว  วันนี้นั่งฟังธรรมะมาเกือบวันความอดทนมีขีดจำกัดหรือไร้ขีดจำกัด (ไร้ขีดจำกัด)  ถ้าไร้ขีดจำกัดสามวันก็น่าจะได้ไม่ใช่หรือ (ใช่)  เราเคยได้ยินได้ฟังมาว่า การฟังธรรมทำให้เกิดปัญญาปัญญาทำให้เกิดแสงสว่างในจิตใจ เคยได้ยินแบบนี้ไหม (เคย)  ฉะนั้นถ้าได้ปัญญา ต้องใช้คำว่าอดทนไหม (ไม่ต้อง)  ถ้ายิ่งฟังยิ่งเกิดปัญญา ยิ่งเกิดความสว่าง ฉะนั้นก็ไม่ควรจะใช้คำว่าอดทนจริงไหม (จริง)  เพราะยิ่งฟังยิ่งกระจ่าง ยิ่งฟังยิ่งสว่าง ยิ่งฟังยิ่งผ่อนคลาย แต่ถ้ายิ่งฟังแล้วยิ่งอึดอัดยิ่ง ฟังแล้วยิ่งต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ต้องบังคับใจอย่างแรง แปลว่าช่วงที่กำลังอดทนและบังคับใจ เป็นช่วงที่มืดหรือสว่าง (มืด)  จะสว่างใช่ไหม พอจบหนึ่งครั้งก็สว่างหนึ่งครั้ง แล้วอย่างนั้นเรียกว่ามีปัญญาเป็นพักๆ หรือมีปัญญาตอนหยุดพูดธรรม เขาพูดธรรมน่าจะทำให้เรากระจ่าง สว่าง โล่ง เบา แต่ทำไมยิ่งพูดเรายิ่งอึดอัด หนักแน่นคับอกคับใจ ไม่พอใจ แสดงว่านั่งฟังธรรมแล้วไม่เกิดปัญญา แต่เกิดความยึดมั่นถือมั่นในความคิดที่เรียกว่าอัตตาตัวตน
ยินดีต้อนรับที่จะให้เรามาสนทนาธรรมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านไม่ต้อนรับบอกเราตรงๆ เราก็จะไป เราไม่อยู่ให้ใครอึดอัดใจ เราไม่อยู่ให้ใครทุกข์ใจ ยินดีไหม (ยินดี)  ถ้าท่านยินดีเราก็อยู่ต่อ แต่ถ้าท่านไม่ยินดีเราพร้อมที่จะกลับเพราะไม่อยากจะทำให้ท่านทุกข์และลำบากใจ ถ้าเราอยู่ในโลกนี้เรารู้จัก ถอยบ้าง หยุดบ้าง และรู้จักยอมรับว่าถ้าอยู่แล้วเราทำให้เขาทุกข์ บางครั้งการจากไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร ดีกว่าดันทุรังเขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์อย่างนั้นไหม รู้ว่าเขาไม่ชอบแล้วยังเจอหน้าเขาอีกไหม รู้ว่าเขาไม่ชอบยังแอบให้เขาไปว่าอีกไหม เราเคยหยุดตัวเองกันบ้างหรือเปล่าใช่หรือไม่
เมื่อสักครู่ถามว่าเกษมสำราญแปลว่าสบายดีไหม (สบายดี)  เราพึ่งรู้นะว่าหน้าตาคนสบายดีเป็นแบบนี้นะ ยิ้มไม่ออก จะบอกก็บอกไม่ถูก ไม่อยากโดนใครหลอกลวง เราอย่าหลอกลวงใจตัวเองสิ จริงหรือไม่ (จริง)  สบายไม่สบาย (สบาย)  จำใจพูดใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ถือว่าเรามาคุยสนทนาธรรมกัน ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าเวลาคุยก็แปลว่าต้องมีคนตอบเราด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดไม่ตอบแปลว่าเราพูดคนเดียว เราคุยคนเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสนทนาแปลว่า ต้องมีการโต้ตอบ เราตกลงเหมือนๆ กันนะว่าเราจะมาสนทนากัน เราไม่ได้พูดอยู่คนเดียวใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าตอนนี้สนทนากัน อีกฝ่ายหนึ่งยืนอีกฝ่ายหนึ่งนั่ง ดีไหม (ดี)  รีบตอบทันทีเลย นึกว่าให้เรานั่งแล้วท่านยืนหรือ นี่แหละนะใจมนุษย์ชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าฝ่ายหนึ่งนั่งฝ่ายหนึ่งยืนสนทนาธรรมตกลงไหม (ตกลง)  ฝ่ายหนึ่งยืนฝ่ายหนึ่งนั่งไม่ได้ ต้องนั่งทั้งสองฝ่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดได้อย่างนี้แปลว่ารู้จักมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น แปลว่าต้องนั่งทั้งสองฝ่ายใช่ไหม (ใช่)  แต่ส่วนใหญ่ถ้าเรานั่งท่านก็คงไม่เห็นหน้าเราจริงไหม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่าเรื่องของใจต้องใช้สติอย่าเอาแต่ใช้ความคิด จริงไหม (จริง)  ทำไมเรื่องของใจจึงกล่าวว่าให้ใช้สติไม่ให้ใช้ความคิด เพราะเรื่องของใจถ้ายิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งคิดยิ่งง่ายไหลลงต่ำ ผลสุดท้ายก็ต้องจมกับความคิด ก็ต้องทุกข์เพราะความคิด และก็ต้องตายเพราะความคิด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เรื่องของใจต้องใช้สติ อย่าใช้ความคิด แล้วใช้สติดีอย่างไร ทำให้เรารู้เท่าทันความคิดที่ไหลมาสู่ใจเรา อย่างเราเห็นเด็กคนนี้ความคิดเกิดขึ้นว่าใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือไม่ใช่ สงสัยถูกหลอกแน่ๆ อย่างนี้เรียกว่าคิด แล้วปรุงแต่งไปในความคิด แต่ถ้าเรื่องของใจ พระพุทธะจึงสอนว่าให้รู้จักใช้สติ เพราะการใช้สติจะทำให้เรารู้เท่าทันความคิด และปรับอารมณ์เป็นกลาง กิเลสหยุดทำงาน เคยมองเห็นแล้วทันขนาดนี้ไหม ไม่เคยเลยใช่ไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสมมติว่ามีคนๆ หนึ่งว่าเรา เราโกรธ แล้วเราใช้ความคิดว่า ทำไมมาด่าเรานิสัยแย่ นายดีกว่าฉันหรือ แต่ถ้าเวลาเขาด่าเรา เราใช้สติ สติสอนให้เรารู้จักยั้งคิด และรู้เท่าทันความคิด เมื่อยั้งคิดอารมณ์ที่มันกำลังเพิ่มกลายเป็นกลาง กิเลสที่กำลังเติบโต กลายเป็นหยุดเติบโต เราเคยมีสติแล้วมองเห็นใจ แล้วหยุดอารมณ์ได้ขนาดนั้นไหม
ส่วนใหญ่เราใช้ความคิดไม่ได้ใช้สติ ท่านเคยได้ยินไหมความคิดมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าใจมันบอกว่าไม่มี ที่เห็นว่ามีมันก็ (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางกลับกัน ถ้าใจเราบอกว่ามี ที่เห็นว่าไม่มีมันก็กลายเป็นมี จริงไหม (จริง)  เหมือนใจเราบอกแวบหนึ่งว่าผีหรือเปล่า พอเราคิดว่าเป็นผีแน่ๆ ใช่หรือไม่ ไม่มีก็เหมือน (มี)  ไม่ใช่ก็เหมือน (ใช่)  ฉะนั้นเหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเกิดว่าเราเจอเรื่องราวที่มันไม่ใช่ เจอเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกแย่ เจอเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกทุกข์ ภายนอกมันมี แต่ในใจเราไม่รู้สึก  ฉะนั้นมีก็เหมือนไม่มี เหมือนกันสามีกลับมาไม่มีอะไรหรอก เขาอาจจะกลับมาดึกตามปกติ แต่ถ้าในใจเราระแวงเป็นอย่างไร ฝ่ายหญิงรู้ดีเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกันฉันใดฉันนั้น ถ้าสมมติของเราหาย ในใจเราคิดว่าต้องเป็นคนนี้แน่ๆ ที่เป็นขโมย เชื่อไหมว่าท่าทางอะไรเราก็รู้สึกว่าเขาเป็นขโมยใช่ไหม (ใช่)  แต่พอเรารู้ความจริงได้แล้วว่าไม่ใช่เขาขโมย แต่เราทำตกหล่นเอง ที่ตอนแรกบอกเหมือนขโมย ทำไมพอไปมองใหม่ไม่เหมือนแล้วล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใช้ความคิดแล้วลืมใช้สติ สิ่งที่เห็นก็เหมือนไม่เห็นสิ่งที่มีก็เหมือน (ไม่มี)  เหมือนเรามาตอนนี้ ถ้าท่านไม่ใส่ใจที่เห็นก็เหมือน (ไม่เห็น)  แล้วท่านจะทุกข์กับเราไหม ที่มีก็เหมือนไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลก ถ้าคิดต้องคิดให้เป็น ถ้าจะใช้สติต้องใช้ให้ถูก เพราะสติจะนำพาให้เราพ้นกิเลส พ้นการตกเป็นทาสของอารมณ์ แต่ถ้าเราใช้ความคิดให้เป็นและรู้เท่าทันใจของเรา คนภายนอกก็ยากมีผลต่อใจ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าเวลาเราอารมณ์ดีใครพูดอะไรก็ (ดี)  แม้แต่โดนด่าก็ยัง (ดี)  แต่ถ้าเวลาเราอารมณ์ไม่ดี แม้โดนชมก็ยังมองว่าไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวภายนอกร้ายหรือดี อาจจะยังไม่น่ากลัวเท่ากับหัวใจเรา มีร้ายหรือมีดีจริงไหม (จริง)  และเราจะทำร้ายท่านได้หรือไม่ เราจะหลอกลวงท่านได้หรือไม่ ถ้าท่านไม่มีเราอยู่ในใจจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเขาจะด่าเราแค่ไหน เขาจะทำเราทุกข์แค่ไหน ถ้าเราไม่เอาไปใส่ในความคิด ไม่เอามาใส่ในใจ ที่มีก็เหมือน (ไม่มี)  เราถามนะ โลกทุกวันนี้น่าอยู่ไหม (ไม่น่าอยู่)  คนทุกวันนี้น่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  อายุปูนนี้แล้วโลกทุกวันนี้น่าอยู่ไหม (ไม่น่าอยู่)  ถ้าเรามองแต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรารู้จักมองสิ่งที่ดีโลกนี้ก็ยัง (น่าอยู่)  ฉะนั้นแปลว่าที่ตอบเราว่าไม่น่าอยู่ เพราะว่ามัวแต่จำแต่สิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  คนเดี๋ยวนี้น่ารักไหม (น่ารัก)  ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า คิดอย่างไรเห็นอย่างนั้น หรือที่เรียกว่าผีเห็นผี ว่าเขาไม่ดีก็แปลว่าตัวเราไม่ดี ว่าเขาน่าเกลียดก็แปลว่าตัวเราน่าเกลียด ว่าเขาไม่น่ารักก็แปลว่าตัวเราไม่น่ารัก เป็นหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
โลกนี้ที่ยังน่าอยู่ได้ เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะว่าในร้ายแค่ไหน ก็ยังมีดีอยู่ ในเรื่องราวที่มืดมนแค่ไหนก็ยังมีแสงสว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในคนที่น่ารังเกียจชิงชังเรามากแค่ไหน ก็ยังมีคนที่รักและปรารถนาดีกับเราอยู่ ในโลกที่แก่งแย่งแค่ไหน ก็ยังมีคนที่ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่เรารู้สึกว่าโลกยังดีอยู่ คนยังน่ารักอยู่ก็แปลว่าเรายังมองเห็นความดีงามในโลกนี้ ความดีงามในผู้คนนี้ ฉะนั้นวันนี้ตรวจสอบนะ ถ้ายังมองว่าโลกเลวร้ายลองถามตัวท่านเองว่า เอาแต่เสพเรื่องร้ายหรือเสพเรื่องดี ถ้ามองว่าโลกนี้มีแต่สิ่งสกปรกโสมม ลองถามตัวเองว่า มัวแต่จมอยู่กับสิ่งสกปรกหรือขึ้นมาอยู่บนความสะอาดเสียที
ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีควรจะมีไว้ และทำให้โลกน่าอยู่ แต่ถ้าตอนนี้เราทำแต่เรื่องร้ายๆ อะไรที่จะช่วยเยียวยาใจเราได้ (ธรรมะ)  ธรรมะสามารถช่วยรักษาใจเราได้ เราเลือกธรรมะ หรือเลือกตกนรก ที่เราทุกข์ เราหวังที่จะมีธรรมะมาเยียวยาจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไหม ศึกษามาตั้งเยอะเรียนรู้มาตั้งมาก แต่บางทีก็ยังไม่เข้าใจธรรมเท่าไหร่ หรือเราถนัดฟัง ไม่ถนัดปฏิบัติ เป็นอย่างนั้นไหม ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเมื่อหาธรรมะเยียวยาใจไม่ค่อยได้ สิ่งที่จะเยียวยาใจก็คือ หาความสุขภายนอกก็แล้วกันเผื่อจะเยียวยาใจภายใน แต่ความสุขภายนอกช่วยเยียวยาใจเราให้ใจเราเข้มแข็งได้ไหม (ไม่ได้)  กลับไม่ค่อยได้ เพราะว่ายิ่งหาเรายิ่งเป็นอย่างไร (หาไม่เจอ)  ยิ่งหาก็หาไม่เจอ ยิ่งหาก็ยิ่งทุกข์ ปราชญ์โบราณจึงสอนไว้ว่า ถ้ามนุษย์เข้าใจหลักธรรมอันหนึ่ง จะรู้เลยว่ายิ่งหาภายนอกไม่สามารถเติมเต็มภายในได้ เคยได้ยินไหมว่า ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ เหมือนเราพยายามหาคนที่ดี อยู่กับคนโน้นก็รู้สึกไม่ดี อยู่กับนี้ก็รู้สึกไม่ดี ทำไมยิ่งหาก็รู้สึกว่ามีดีไหม (ไม่ดี)  แล้วยิ่งหาคิดว่าจะเติมเต็มชีวิตเราไหม (ไม่)  ยิ่งได้มาก็ยิ่งไม่พอ ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ประโยคนี้ท่านอาจจะยังไม่เข้าใจแต่ถ้าถามว่า เคยเห็นไหมคนที่พยายามทำตัวเองดูดี แต่งตัวให้ดูดี ยิ่งแต่งมากแสดงว่าเขาขาดหรือมี (ขาด)  ยิ่งแต่งให้ตัวเองดูดีมากเท่าไหร่แสดงว่าขาดหรือมี (ขาด)  ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงที่แต่งให้ตัวเองดูสวยมากเท่าไหร่แสดงว่าเขาขาดหรือมี (ขาด)
ลองถามจากใจสิ สิ่งที่แต่งแปลว่าเรารู้สึกว่าเราขาดหรือมี (เราขาด)  ยิ่งหาทำไมเรารู้สึกไม่พอ เพราะในใจเรารู้สึกว่ามัน (มันยังขาด มันยังไม่พอ)ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งเราเรียกร้องสิ่งที่ดีแปลว่าเราขาดหรือว่าเรามี (ขาด)  จริงหรือ  (จริง)   เห็นปกติคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี แล้วก็ว่าคนนี้แล้วว่าคนนั้น ไม่เคยว่าตัวเองเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งหายิ่งคล่อง ยิ่งได้มายิ่งไม่พอ ฉะนั้นทุกข์ที่แท้จริงหรือปัญหาที่แท้จริงเขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)  เริ่มยอมรับแล้วหรือ เห็นปกติว่าแต่คนอื่นไม่ดี คนนี้ถูกใจท่านไหม ไม่ถูกใจ คนนี้ทำถูกใจท่านไหม ก็ยังมีข้อตำหนิอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไหนสมบูรณ์พร้อมสำหรับใจท่าน (ไม่มี)  ถามจริงๆ เขาไม่ดีหรือเราไม่เคยพอที่จะดีสักที ทำไมตอนคุยกับเรารู้หมดล่ะ แต่พอถึงเวลาว่าเขาเอา ว่าเขาเอา จริงไหม (จริง)  เหมือนเราถามท่านนะ ทำไมท่านยิ่งหามันยิ่งพร่อง เพราะท่าน เราถึงบอกว่า อย่าเอาภายนอกมาเยียวยาภายใน เพราะถ้าทุกข์มันเกิดจากใจ ท่านเอาภายนอกมาเยียวยา เยียวยาก็ไม่หายเหมือนดั่งคำกล่าวของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ยิ่งหาก็ยิ่งพร่อง ยิ่งได้ก็ยิ่งไม่พอ เพราะประเด็นที่แท้จริง มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่อยู่ที่ข้างในใจเราต่างหาก พอหรือยัง เมื่อไม่พออะไรๆ ก็ไม่เคยดี จริงไหม (จริง)  ถ้ารู้จักพอ อะไรๆ มันก็ (ดี)  แล้วตอนนี้ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ดีหรือไม่ดี (ดี)  ถ้าดีก็แปลว่าน่าจะพอบ้างแล้ว ฉะนั้นถ้าผู้หญิงยังกลับไปแต่งสวยก็แปลว่าตัวเอง (ไม่สวย)  ถ้าผู้ชายยังพยายามหาดีก็แปลว่าตัว (ไม่พอ)  ไม่มีดี จริงไหม (จริง)  เราไม่ได้ว่านะแต่นี่เป็นนัยที่ทำให้เราได้รู้ว่า เรายิ่งหานี่แปลว่าเราไม่เคยพอใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งหามากเท่าไหร่ ยิ่งบ่งบอกความพร่องของเรามากเท่านั้น เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า คนรวยขี้อวด รวยจริงไม่อวด ที่อวดไม่รวยจริงใช่ไหม (ใช่)  ถูกลอตเตอรี่สามตัวพูดตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เขาได้เดือนหนึ่งเป็นล้านๆ เป็นแสนๆ เขาเคยพูดไหม (ไม่พูด)  แต่คนที่ไม่เคยได้อยู่ๆ ได้พูดไหม (พูด)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)
ส่วนใหญ่มนุษย์เราทำอะไรตามความคิด เราคิดอะไรตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ปัจจุบันเราเป็นอย่างไรก็เป็นเพราะความคิดที่เราคิดมา ความคิดที่เรารู้มา ฉะนั้นถ้าความคิดความเข้าใจเป็นรากของการเป็นตัวตนของเรา ถ้าเราปรับความคิดได้ ปรับความเข้าใจได้ การเป็นตัวตนของเราก็ปรับเปลี่ยนได้ เหมือนที่มนุษย์พูดว่า ความรู้ ความเข้าใจ ความคิดก่อเกิดเป็นนิสัย ความเคยชิน อารมณ์ตัวตนของเรา ความรู้ ความคิด ความเข้าใจก่อเกิดเป็นนิสัย อารมณ์ ความเคยชินแห่งตัวตนของเรา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งเมื่อแสดงออกกลายเป็นความประพฤติ และเมื่อประพฤติบ่อยๆ กลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นแปลว่า ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ คือรากฐานของชะตากรรม ฉะนั้นถ้าชะตากรรมเราดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ความคิด ชะตากรรมเราดีไม่ดี ก็อยู่ที่ความรู้ ความเข้าใจ
ร้าย ก็แปลว่า เราคิดร้าย ดั่งที่มนุษย์พูดกันง่ายๆ ว่า ถ้าต้นน้ำใส ธารน้ำก็ย่อมใสสะอาด ฉะนั้นถ้าต้นน้ำขุ่นมัว ธารน้ำจะใสได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกันถ้าถูกมองว่า ตอนนี้ชะตาเราร้าย ชะตาเรามีเคราะห์ ฉะนั้นตอนนี้เราควรจะไปสะเดาะเคราะห์ หรือเปลี่ยนความคิด ความเข้าใจ (เปลี่ยนความคิด)  ถ้าอย่างนั้น ถ้าเปลี่ยนความคิด เราก็ไม่ต้องสอนไม่ต้องคุยอะไรแล้วนะ เอาใหม่บางคนยังไม่ทันที่เราพูด ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นนิสัย อารมณ์ ความเคยชิน และทำบ่อยๆ กลายเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมทำบ่อยๆ กลายเป็นชะตากรรม ถ้าย้อนกลับไปชะตากรรม เราร้ายก็เหมือนกับต้นน้ำ ถ้าต้นน้ำเราใส ธารน้ำก็ใส ฉะนั้นถ้าความคิดเราดี ความเข้าใจเราถูกต้อง ชะตากรรมเราก็น่าจะดี แต่ถ้าเกิดความคิดเราไม่ดีแล้ว ความเข้าใจเราก็ไม่ดี การกระทำเราก็ไม่ดี ชะตากรรมเราก็ไม่ดี ฉะนั้นเวลาแก้ทำไมเราต้องไปสะเดาะเคราะห์ ทำไมไม่แก้ที่ตรงนี้ ไม่แก้ที่ใจ แล้วไปบอกว่าไหว้พระไม่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพราะพระไม่ศักดิ์สิทธิ์ หรือแก้ผิดที่ (แก้ผิดที่)  อย่างที่เราบอกว่า ความเป็นไปของเราล้วนเกิดจากความคิดที่เราปลูกฝัง สมมติเราคิดว่าบุหรี่แอบสูบได้ เราก็ไปแอบสูบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เนื้อสัตว์เรากินได้เราก็ไปกิน ไม่ต้องแอบเราก็กินให้เห็นเลย การฆ่าไม่บาปท่านก็ไปฆ่า การฆ่าแล้วท่านจะไม่ได้รับการฆ่าตอบหรือ เห็นไหม พูดกันอย่างมีเหตุมีผล ท่านฆ่าเขาตอนต้นเพื่อบำรุงตัวเองแล้วถ้าวันหนึ่ง ชะตากรรมท่านถูกฆ่า เป็นเพราะใคร (ตัวเอง)  ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนชะตากรรมควรเปลี่ยนที่ความคิด และความเข้าใจ และรู้ไหมว่าความคิด ความเข้าใจ นอกจากกำหนดชะตากรรมในอนาคตแล้ว ความคิด ความเข้าใจ ยังมีผลต่อจิตใจด้วย จริงไหม เหมือนท่านพูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นั่งอยู่บนสวรรค์ หรือกำลังตกนรก เราไม่ได้ขึ้นสักทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่ได้ขึ้นแปลว่าอยู่ที่ท่านคิดไม่ใช่อยู่ที่ตัวเราถูกไหม (ถูก)
มนุษย์มักจะยึดติดกับความคิดและปล่อยให้สิ่งที่เรายึดติดอยู่กับความคิดนี้ สร้างความยึดติดแล้วทำให้เราทุกข์ได้อย่างไร สมมติว่านักเรียนในชั้นนี้โดนคนอื่นว่า เขาชี้หน้าว่าท่านได้ไหม (ได้)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เราถามหน่อยนักเรียนในชั้นนี้ เป็นผู้ยอมแพ้ได้และเป็นผู้โดนว่าได้ไหม (ได้)  เป็นผู้ที่ใครทำอะไรดีต้องได้ดีตอบ ไม่ดีไม่ได้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เขาชนะแล้วทำให้เราแพ้ เขาร้ายหรือเราร้ายที่ไม่ยอมรับความแพ้ (เราร้ายที่ไม่ยอมรับความแพ้)  ถามท่านนะ มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าอยู่ในโลกต้องเจอเรื่องดี แพ้ไม่ดี โดนว่าไมได้ สูญเสียไม่ได้ แล้วก็ยอมไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเขาชนะเรา เขาร้ายหรือเราร้ายที่แพ้ไม่เป็น (เราร้ายที่แพ้ไม่เป็น)  เขาไม่ดีที่ชนะเราแล้วทำให้เรากลายเป็นคนแพ้ที่รู้สึกย่ำแย่ ท้อแท้ หดหู่ ใช่ไหม (ใช่)  ถามต่อนะ เขาไม่ดี เพราะเขาร้ายหรือเราร้ายที่ไม่ยอมรับความไม่ดีของคนๆ หนึ่ง (เราร้าย)  ฉะนั้นที่เขาว่าเรา เขาไม่ดีที่ว่าหรือเราไม่ดีที่ไม่ยอมรับการถูกว่าบ้าง (เราไม่ดีที่ไม่ยอมรับการถูกว่าบ้าง)  ไม่มีใครชนะตลอด ไม่มีใครได้รับสิ่งที่ดีตลอด
ถ้าเรายึดติดในความคิด ว่าฉันต้องเจอสิ่งที่ดี ฉันต้องชนะ ฉันต้องสมหวัง ฉันต้องไม่โดนเขาว่า ถ้าเราคิดแบบนี้แล้วโดนเขาว่า โดนเรื่องไม่ดีใครทุกข์ (ตัวเรา)  ใครคิด (เราคิด)  ถ้าไม่คิด แล้วใครจะทุกข์ ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนชะตากรรม เขาว่าแล้วไม่ทุกข์ ไม่เกลียด เราจะยึดติดการที่ถูกว่าไม่ได้ เรายึดติดว่า ห้ามต่อว่า ห้ามเจอเรื่องไม่ดี ห้ามสูญเสีย ห้ามแพ้ พอเราเจอเรื่องพวกนี้ แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือพอเขาว่า เราก็ทุกข์ โกรธ ท้อแท้ หดหู่ รู้สึกแย่ เพียงแค่เราไม่ยอมรับการถูกต่อว่า อารมณ์ตามมาเป็นกระบวนการเลย เพราะมันเริ่มจากความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วความจริงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ ฉะนั้นถ้าอยากเข้าใจธรรมะจะต้องกล้ายอมรับความจริง และความจริงนั้นจะไม่เจ็บ ถ้าไม่เอามาใส่ใจ อย่างที่บอกตั้งแต่ต้น เราเป็นคนที่ว่าก็ได้ แพ้ก็ได้ แต่ขอแค่เพียงเรารู้จักคุณค่าของตัวเอง
เราถามท่านมีใครในโลกชนะแล้วไม่แพ้ ใครในโลกโดนชมแล้วไม่โดนด่า มีใครในโลกสำเร็จแล้วไม่ล้มเหลว มีใครในโลกมีสุขไม่มีทุกข์ ฉะนั้นถ้าอยากให้หัวใจเข้าใจธรรม อยากให้ชะตาชีวิตเข้าใจธรรม ทำไมในโลกนี้เมื่อไรมีมืด ก็ต้องมีสว่าง เมื่อไรมีดี ก็ต้องมีร้าย แต่ก็อยากจะบอกว่าในความร้ายก็ยังมีความดี แต่ไม่ใช่อยู่ตรงข้าม มันอยู่ในที่เดียวกัน มันอยู่ที่เราคิด ถ้าเรามัวแต่จับแยกเราก็หาดีในร้ายไม่เจอ แต่ถ้าเรามองให้เห็นในร้ายก็มีดี เหมือนทุกคนบอกว่าความเจ็บป่วยดีไหม (ดี)  เราว่าดีออกนะ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และอีกอย่างหนึ่งทำให้เรารู้จักวางเสียบ้าง ได้นอนพัก กินอิ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราแก้ที่ความคิด ความคิดจะทำให้เรามีมาซึ่งความโกรธ ความท้อแท้ ความระทมทุกข์ ความเกลียดใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นควรแก้ที่สะเดาะเคราะห์ หรือแก้ที่ความคิด (แก้ที่ความคิด)  แล้วความคิดนั้นทำอย่างไรล่ะ ถึงทำให้เราเข้าใจ นั่นคือกล้ายอมรับความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุยกับเรายากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากเลยนะแค่เปลี่ยนความคิดใช่หรือเปล่า (ใช่)
ไม่เช่นนั้นถ้าท่านไม่เปลี่ยนความคิด เห็นคนอื่นเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น อย่างที่มนุษย์ชอบพูดว่าผีก็เห็น (ผี) เห็นเราร้ายท่านก็ร้าย เห็นเราเป็นคนดีท่านก็เป็น (คนดี)  แล้วตอนนี้ส่วนใหญ่เห็นร้ายหรือเห็น (ดี)  ระวังนะเกลียดสิ่งใดมักจะเจอ (สิ่งนั้น)  ฉะนั้นสู้แก้ความคิดจะได้ไม่ต้องเกลียดและไม่ต้องเจอ แล้วท่านเคยได้ยินไหมว่า ผู้ที่แน่วแน่มั่นคงในความถูกต้องมักไม่มีเวลาไปจับผิดใคร ผู้ที่แน่วแน่ในการกระทำที่ถูกต้องดีงาม มักไม่มีเวลาไปสอดส่องควบคุมจับผิดใคร เพราะการสอดส่องควบคุมจับผิดผู้อื่นเป็นทางมาแห่งกิเลสบาปกรรมได้ง่าย จริงหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเมื่อใดเราสลัดใจที่คอยจับผิดผู้อื่นได้ เราก็จะตัดทางมาแห่งกิเลสและบาปทั้งมวลได้ทันที จริงไหม (จริง)  เพราะทุกวันมัวแต่ทำตัวเองให้ถูกต้อง ตัดความคิดให้ดีงาม ดำเนินชีวิตให้งดงามและถูกต้องเราจะมีเวลาไปจับผิดใครไหม (ไม่มี)  เพราะเมื่อไรที่จับผิดเขาก็แปลว่าตัวเราก็มีไม่ต่างกัน ฉะนั้นถ้าเห็นเขาร้ายก็แปลว่าเรา (ร้าย)  ถ้าเห็นเขาแย่ก็แปลว่าเรา (แย่)
ถ้าอย่างนั้นบอกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอยากเรียนรู้ธรรมะต้องเริ่มต้นที่ความคิด ความเข้าใจต้องถูกต้องก่อน ถ้าความคิด ความเข้าใจไม่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตก็ย่อมง่ายที่จะผิดพลาด เหมือนถามท่านว่า ท่านว่ากระต่ายวิ่งไวไหม เต่าช้าไหม ตัวหนึ่งไวใช่ไหม ก็อยู่ที่เราคิดถามว่ากระต่ายวิ่งไวไหม ก็เหมือนจะไม่ไว เต่าวิ่งช้าไหม ที่เราคิดว่ากระต่ายวิ่งไว เต่าวิ่งช้า เพราะเราคิดเปรียบเทียบยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้นที่เราว่าเขาไม่ดี เรากำลังเปรียบเทียบยึดติดกับสิ่งใด ฉะนั้นเต่าเดินช้าหรือใจเราเร่งรีบ กระต่ายเดินไวเพราะใจเราเปรียบเทียบ หรือเรายอมรับความจริง หรือเราไม่ยอมรับความจริง ในโลกใบนี้คนที่เขาเกินไป กับคนที่เขาขาดไป ใช่เขาเกินหรือเขาขาดจริงๆ หรือ หรือใจของเราที่คิด (ใจของเรา)  ถ้าเราเข้าใจธรรมะ คนในโลกร้ายหรือดี (ดี, ร้าย)  ไม่สามารถพูดได้ มันอยู่ที่ใจเรามองอะไร คิดอะไร ยึดอะไร ลองถามใจท่าน ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ ใครละที่จะทำให้เราเกลียด อารมณ์จะเกิดไหม ใครจะทำให้เรารัก กิเลสตัณหาจะมาทำใจเราได้ไหม ถ้าเราปรับความคิด มองความจริงแห่งธรรม ใครหรือร้าย หรือดี มีแต่ความเป็นธรรมดา เช่นนั้นเอง ใครหรือสวย หล่อ จริงไหม ถ้าตัวเราไม่คิด
ฉะนั้นธรรมะสรุปง่ายๆ ถึงแม้สภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจ ถ้าใจเราสงบที่ใดก็สงบ ถูกไหม (ถูก)  แม้สภาวะแวดล้อมมีผลต่อใจ ใจท่านสงบ อยู่ที่ใดท่านก็สงบ แต่ถ้าใจท่านไม่สงบ แม้สภาวะแวดล้อมดีอยู่ที่ใด ท่านก็ไม่สงบ ฉะนั้นผู้ที่มั่นคงในความเข้าใจชีวิต เข้าใจตัวเอง รู้จักควบคุมความคิด และมองอย่างคนที่เข้าใจธรรม อะไรหรือที่เกิน หรือขาดไปไม่มี จริงไหม เมื่อไม่มีอะไรเกินไป จะมีเกลียดไหม เมื่อไม่มีอะไรที่ขาดไป จะมีอะไรที่แย่ไหม (ไม่มี)  ถ้าอย่างนั้นปัญหาอยู่ที่ใด (ใจ)  อยู่ที่เรารู้จักความคิด เท่าทัน ความคิด เท่าทันใจตัวเอง
วันนี้เราคงมีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ สิ่งที่วันนี้เราพูดมาไม่ได้ให้ท่านมากราบเคารพเรา หรือเชื่อมั่นในตัวเรา แต่เราอยากให้ท่านทำตัวให้น่ากราบน่าเคารพและน่าเชื่อมั่น ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  อย่ามัวแต่กราบไหว้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก จนลืมพระพุทธะที่อยู่ในใจของตัวเอง อย่ามัวแต่แสวงหาความมั่นคงภายนอก แต่ลืมหาความมั่นคงในจิตใจตัวเอง อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นช่วยเหลือ ตราบที่ท่านยังไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง เรื่องดีไม่คิดทำ เรื่องไม่ดีขยันหมั่นเพียรทำ แล้วชะตาชีวิตจะดีหรือร้าย  ฉะนั้นจะแก้จะเปลี่ยนใช่สะเดาะเคราะห์ หรือเปลี่ยนที่ความคิดการกระทำของเรา (เปลี่ยนที่ความคิดการกระทำของเรา)  อย่าลืมนะมนุษย์ทุกคนไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร หรือต่อไปนี้จะเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าวันนี้ทำดีที่สุดแล้ว ขณะต่อไปทำไมต้องกลัว ทำไมต้องกังวลใช่หรือไม่
ท่านรู้ไหม ศัตรูทำร้ายเรายังไม่เจ็บปวดเท่ากับใจเราที่คิดไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  ศัตรูว่าเราเจ็บปวดครั้งหนึ่ง แต่ใจเราที่คิดไม่เป็นทำเราเจ็บปวดนับครั้งไม่ถ้วน ฉันใดก็ฉันนั้น ความคิดถ้าไม่รู้จักเข้าใจให้ถูกต้อง คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดนั่นคือ ความคิดตัวเอง หาใช่ผู้อื่นไม่ เราไม่ใส่ใจใครจะทำเราเจ็บปวด ถ้าเราเข้าใจความคิดที่แท้จริง เราโดนว่าก็ได้ ทุกข์ก็ได้ แพ้ก็ได้ แต่เรารู้คุณค่าตัวเอง แพ้เราก็กลับมายืนใหม่ได้ เข้มแข็งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเราเรากำหนด หรือชีวิตเราอยู่ที่คนอื่นกำหนด (เรากำหนด)  จำไว้นะชีวิตท่าน ท่านกำหนดเอง ฟ้าก็ช่วยท่านไม่ได้ ท่านเป็นคนที่เลือกชะตาชีวิตแบบนี้เอง ฉะนั้นอย่าโทษผู้อื่น ถ้าตัวเองยังไม่เข้าใจความคิด ไม่ยอมรับความจริงแห่งสัจธรรม เรานั่นแหละคือคนที่ทำให้ตัวเราทุกข์หรือสุข ขอแค่รู้ทันความคิดและยอมรับความจริง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ เหลืออีกสองวันอาจได้มาผูกบุญกันอีกนะ เหลืออีกสองวันอาจจะได้เจอกันอีก จะตัดโอกาสหรือผูกบุญดี (ผูกบุญ)  เราไม่รู้ขึ้นอยู่กับความคิดท่าน

วันเสาร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐  สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  หยุดเอาไว้คำนั้น  พูดไปแล้วแค่นั้น  แค่อีกความเห็น  หยุดคำนี้คำนั้น
  หยุดปากไว้แค่นั้น  โป้ปดพึงเว้น  หยุดดีดีหรือมีปัญหาก่อน  หยุดดีดีหัวคงไม่ร้อน
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือเหริน  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม 
  สำนึกเองดีกว่าคนมาเที่ยวบอก         รู้ภายนอกหาช่วยอะไรไม่
จงศรัทธาในความดีอันยิ่งใหญ่           ผู้เกรียงไกรอย่าสะดุดขาตนเอง
ชีวิตนี้ดั่งความฝันที่สร้างได้               โลกมนุษย์ชื่นใจแต่คนเก่ง
เบื้องบนชมคนรู้ผิดบาปกลัวเกรง         แม้แสนเก่งหลงผิดคิดก็เวียนวน
โลกไกลกว้างใจก็มีแค่หนึ่ง                เข้าไม่ถึงธรรมไม่นับว่าฝึกฝน
เรื่องราวล้วนเกิดมามักซ้ำวน             เมื่อเปลี่ยนคนไม่ได้ให้เปลี่ยนเรา

                             ฮาฮาหยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้อาจารย์ขอถามหน่อย ใครมาเพื่ออยากพบหนทางแห่งการตื่นรู้หรือหนทางแห่งการบำเพ็ญ เพื่อเข้าถึงธรรมให้กระจ่าง หรือเพื่อความสิ้นทุกข์บ้าง ใครตั้งใจมาฟังแบบนี้บ้าง จริงหรือ ตั้งใจมาฟังเพื่อเกิดปัญญาที่กระจ่างเพื่อจะได้สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นที่ไม่ได้ยกมือโดนบังคับมาหรือมาเพียงเพื่อศึกษา แต่ไม่รู้ว่าจะกระจ่างไม่กระจ่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะพ้นทุกข์หรือไม่พ้นทุกข์ก็ไม่รู้ ถ้าวันนี้ศิษย์มาเพื่อฟัง เพื่อหาความมีสิริมงคล กับอีกแบบหนึ่งคือมาฟังเพื่อเกิดปัญญาตื่นรู้ กระจ่างในความเป็นจริงแห่งชีวิต และนำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่าย ศิษย์อยากมาเพียงเพื่อความมีสิริมงคลหรือเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่าย(สิ้นทุกข์, สิ้นการเวียนว่าย)  ไม่ใช่มาเพื่อขอเลขมงคล ขอความเป็นมงคลให้กับชีวิต ขอไหม เอาไหม (เอา)  เอาทันทีเลย ถ้าศิษย์ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ดีงาม ทำสิ่งที่เรียกว่ามีศีลมีธรรม มีหรือมงคลจะไม่เกิดกับชีวิต
แต่ถ้าทุกวันเอาแต่โป้ปด โกหก ผิดศีลขาดธรรม ตระบัดสัตย์ ไม่มีความเป็นคน ศิษย์จะมีมงคลแก่ชีวิตไหม (ไม่มี)  ในเมื่อศิษย์ตั้งใจแล้วว่า จะมาฟังธรรมเพื่อเกิดความกระจ่างในชีวิต จะมาฟังธรรมเพื่อนำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ ฉะนั้นอย่ามาหวังขอเลขสามตัวอาจารย์ อย่ามาหวังให้อาจารย์ตีหัวเคาะกะโหลกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้อาจารย์จับมือใครแล้วบอกว่าเคาะหัวหน่อย แปลว่าไม่ใช่แล้วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก็คือ ถ้ามนุษย์เรามีความเข้าใจในความเป็นจริงแห่งชีวิตมงคล หรือคำว่าสิริมงคล หรือบุญบารมีไม่ต้องรอให้คนอื่นสร้าง เราสร้างด้วยตัวเอง รู้จักให้มีหรือจะไม่สร้างบุญใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกวันเอาแต่เอาเอาๆ จะมีบุญไหม (ไม่มี)  และทุกวันนี้เอาหรือให้ (ให้)  ที่อาจารย์เห็นเอามากกว่าให้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอามาจนมากแล้วค่อยไปให้ทันไหม (ไม่ทัน)  ศิษย์ก็รู้อยู่เต็มอก บุญบารมีเกิดจากการให้ อยากมีบุญวาสนาดีทำไมไม่รู้จักให้ ถึงเวลาเอาก่อนอาจารย์แล้วค่อยให้ได้หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าอยากมีบุญบารมีทำไมไม่ทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่เข้าใจ ปัญญาที่ตื่นรู้ จะสามารถสร้างยิ่งกว่าบุญบารมี สร้างทางอันประเสริฐนำพาให้เราพ้นทุกข์อีกจริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อวานศิษย์ได้ฟังมาจากท่านแปดเซียน ท่านพูดว่า “ปัญญาเกิดจากการฟัง และทำให้เจอหนทางสว่าง” อาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่ง ปัญญาเกิดได้อีกทางหนึ่ง ตอบได้อาจารย์ (ก็อยู่ต่อ)  ตอบไม่ได้อาจารย์ (อยู่)  ทำไมตอบไม่ได้แล้วอาจารย์ต้องอยู่ต่อ อยู่เพื่อต้องสอน ต้องบอกให้ศิษย์รู้ใช่ไหม (ใช่)  (สติ) สติทำให้เกิดปัญญา เกิดปัญญาได้คือ หยั่งรู้ในความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่)  สติอาจทำให้เรามีรู้เท่าทันความคิด แต่ทำให้เรายังไม่สามารถมองให้ทะลุทะลวง แต่ปัญญาที่ทำให้เราทะลุทะลวงได้คือ การหยั่งรู้ในความเป็นจริง แล้วชีวิตเรา เราเคยหยั่งรู้ในความเป็นจริงแล้วบังเกิดปัญญารู้แจ้งบ้างไหม มีไหม ไม่มีเลยหรือ ไม่มีให้อาจารย์ชื่นใจสักคนเลยหรือ มีไหม หยั่งรู้ในความเป็นจริงจนเกิดปัญญารู้แจ้งในธรรม เราเคยหยั่งรู้บ้างไหม แล้วอะไรล่ะที่เป็นธรรมที่จะทำให้เราหยั่งรู้แล้วเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม แล้วไม่ทุกข์อีกต่อไป
ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม (ยินดี)  อ้อหน้าตายินดีหน้าตาแบบนี้หรือ หน้าตาแบบบึ้งๆ เฉยๆ หรือ ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันมีเรื่องทุกข์เยอะแยะไปหมด ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อมันมีทุกข์เยอะไปหมด ถ้าบางเรื่องเราทำหน้าบูด หน้าเบี้ยว หน้าตึง แล้วเรามีความสุขไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นยิ้มง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือ แต่มนุษย์โลกบางคนนี่ยิ้มยากนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ มนุษย์ทุกคนดูน่ารักดูสวยงามดูดีได้ ขอแค่เพียงยิ้มบ่อยๆ จริงไหม (จริง)  หน้าสวยก็เท่านั้นแต่งตัวดีก็เท่านั้น แต่ถ้ายิ้มไม่เป็นยิ้มไม่ออกมันก็เปล่าประโยชน์นะศิษย์เอ๋ย จริงไหม (จริง)  รีบยิ้มทันทีเลยนะอาจารย์ถามจริงๆ แต่งตัวดูดี ความรู้ดี การศึกษาดี หน้าที่การงานดี แต่ไม่ค่อยยิ้มให้ใครเลย ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  การศึกษาก็ไม่ค่อยมี เงินก็ไม่ค่อยมี แล้วก็ยังไม่ค่อยยิ้มอีก ใครจะเอาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเป็นคนยิ้มง่ายหน่อยไม่ดีหรือ (ดี) ศิษย์รู้ไหมบุญวาสนาและทำให้คนอื่นชักมาในเรื่องดีๆ เริ่มต้นที่รอยยิ้มจริงไหม ลองไปที่ไหนสิแล้วศิษย์เดิน (พระอาจารย์เมตตาทำหน้าบึ้ง)  เป็นอย่างไร ต่างกันไหม แล้วถึงเวลาจริงๆ เราเลือกบึ้ง หรือเราเลือกยิ้ม (ยิ้ม)  แล้วการยิ้มมันเป็นการผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีงาม ฉะนั้นเจอหน้าคนอยากผูกบุญหรืออยากผูกกรรม (ผูกบุญ)  อย่างนั้นหรือ เห็นเจอหน้ากันมีแต่หากรรมใส่กันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นคนที่อยู่ด้วยกันอย่างคู่บุญคู่วาสนากันนี่ก็อยู่กันอย่างมีความสุข อยู่กันอย่างเบิกบาน หรืออยู่กันอย่างหวานอมขมกลืน (เบิกบาน)  พูดอย่างทำอย่างนะศิษย์เอ๋ยใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้ศิษย์ยินดีต้อนรับอาจารย์ทุกคนแล้วใช่ไหม (ใช่)  แน่ไม่แน่ (แน่)  แต่สิ่งที่อาจารย์จะพูดกับศิษย์ก่อนก็คือ ขอบอกไว้อย่างหนึ่งว่าอาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์ขอพูดหลักธรรมที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน หลักธรรมที่ไม่สอนให้ใครแบ่งแยกแตกต่างกัน แต่หลักธรรมเมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว มันจะทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วทุกคน คือความเป็นธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นถ้าอาจารย์พูดถึงธรรมก็แปลว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ลองเริ่มต้นทดสอบภูมิปัญญาหน่อย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “ใต้หล้าฟ้านี้มีแค่หนึ่งคืออะไรตอบได้อาจารย์ให้นั่ง ตอบไม่ได้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ดีไหม (ดี)  จำไว้นะ ศิษย์ไม่มีพุทธะองค์ไหน ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านใดช่วยคนที่ไม่รู้จักช่วยตัวเองถูกไหม (ถูก)  มีไหมไม่ทำอะไรแล้วพุทธะจะประทานอะไรให้ (ไม่มี)  ไม่มีศิษย์ต้องทำเองก่อน แล้วฟ้าถึงจะหนุนส่งให้ ผลักดันให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ให้ดีขึ้นถูกหรือไม่ (ถูก)  ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย เคยได้ยินไหม “ใต้หล้าฟ้านี้มีแค่หนึ่ง (ดวงอาทิตย์)
บอกอันนี้ไปไม่ถูกเลยใช่ไหม อาทิตย์มีดวงเดียว ศิษย์ตอบว่าตัวเราใช่ไหม (ใช่, ทุกอย่างเริ่มจากตัวเราก่อน) ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงหนึ่ง แปลว่า ทุกอย่างเริ่มตัวเราก่อนใช่ไหม (ใช่)  มีแค่เราหนึ่งเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเมื่อสักครู่บอกว่าใช่ล่ะ ทุกอย่างต้องเริ่มจากหนึ่งก่อนถูกไหม (ถูก)  อันนี้ใช่ แต่ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงหนึ่ง แปลว่ามารดาคนเดียวใช่ไหม ถ้าศิษย์ยังเวียนว่ายตายเกิด ศิษย์ก็มีมารดาหลายคนเหลือเกินจริงไหม ตอบได้จะได้นั่ง ตอบไม่ได้มายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ว่าอย่างไรนะ (จิตวิญญาณ) ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงจิตวิญญาณหนึ่งเดียวแปลว่า ที่รู้มามันไม่ใช่จิตวิญญาณใช่ไหมมันเป็นสัมภเวสีหรือ ใครตอบได้เร็ว ใต้หล้าฟ้านี้มีฟ้าเดียวกันใช่ไหม ศิษย์ว่าอย่างไรนะ (ธรรมะ)  ตอบได้ดีนะศิษย์ ปัญญาดีแต่ทำไมไม่มั่นใจในตัวเองล่ะ จริงไหม ใต้หล้าฟ้านี้มีเพียงหนึ่ง ศิษย์มักจะเคยเห็นบางคนที่ชอบไหว้พระพุทธะองค์เล็กๆ รูปที่เป็นพระพุทธเจ้าตอนเล็กๆ แล้วชี้หนึ่งเข้าใจไหม นั่นแหละแปลว่าอะไร ชี้หนึ่งแปลว่า ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดธรรมก็มีอยู่แล้วรูปปริศนาธรรม เป็นหนึ่งเดียว เราก็คือธรรม ตัวศิษย์ก็คือธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วธรรมนั่นแหละ ทำให้ทุกคนเข้าถึงธรรม จะดี จะร้าย จะมี จะจน เราก็ต้องกลับสู่กระแสธรรมเดียวกัน คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฉะนั้นศิษย์จะหาแค่ไหน ศิษย์หนีไม่พ้นต้องเกิด ศิษย์จะรวยแค่ไหนศิษย์ก็หนีไม่พ้น (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหนึ่งชีวิตที่เราเกิดมาเราถอนตัวเองได้ ถอนความเป็นตัวตนได้แล้วเหลือคงไว้ซึ่งธรรม เราจะต่างอะไรกับความว่างแห่งฟ้าดินและธรรมชาติ เราจะต่างอะไรกับธรรมที่เราพยายามค้นหา แต่มนุษย์ไม่สามารถถอนความเป็นตัวตนได้ ยังยึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้คือตัวตน เลยมองไม่เห็นธรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอยู่ เมื่อยังมีความอยากอยู่ก็ก่อเกิดเป็นการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่มนุษย์สามารถกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นหนึ่ง หมดอยากแล้ว หมดตัวตนแล้ว ก็ไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
อยู่แล้วยังอยาก อยากแล้วยิ่งตามอยาก เพื่อสมอยาก แล้วก็อยากใหม่ แล้วก็ฝังลงไปในจิต ว่าจิตตัวเองเป็นแบบนี้ แท้จริงจิตเราคือธรรม ธรรมที่ไม่มีตัวตน อาจารย์ถามคนที่ตอบอยากนั่งหรือไม่อยากนั่ง นั่งคนเดียวหรือจะให้ทุกคนนั่ง ให้ทุกคนนั่งแล้วศิษย์ยอมยืนคนเดียวใช่ไหม ถ้าศิษย์อยากเข้าถึงธรรม สละตัวตนแล้วอุทิศเพื่อประชา นั่นแหละคือผู้กลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดมั่นตัวตน ไม่รู้จักละวางตน นั่นก็หนีไม่พ้นเวรกรรม อาจารย์ถามศิษย์ อยากจะสละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ไม่ห่วงตัวเอง แต่ห่วงผู้อื่น ยอมให้ผู้อื่นนั่ง ยอมไหม (ยอม)  ถ้าเขาให้ศิษย์นั่งแล้วปล่อยให้เขายืน ศิษย์ยอมไหม (ไม่ยอม)  เมื่อเขาถึงธรรมได้ เราก็ต้องถึงธรรมได้เหมือนกัน เมื่อเขากล้าเอาคุณธรรมให้เรา เราก็ต้องกล้าเอาคุณธรรมให้เขาต่อ ฉะนั้นก็ไม่ต้องนั่งเลยดีไหม (ดี)  ในโลกนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไหนใครเป็นคนดียกมือขึ้น ไหนใครคิดว่าตัวเองมีทั้งดี และไม่ดียกมือขึ้น แล้วที่ไม่ยกเลยคิดว่าตัวเองไม่ดีเลยยกมือขึ้น มีไหม แปลว่าโดยส่วนใหญ่ มักจะพูดว่าตัวเองเป็นคนทั้งดีด้วย และไม่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราทำดีบางครั้งเราก็กลายเป็นคนที่ดีด้วยและไม่ดีด้วย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยนะ ส่วนใหญ่เวลาเป็นคนดีเขาก็เรียกว่าเทพเทวาใช่ไหม คนชั่วถ้าเกิดรู้ว่าตัวเองชั่วก็เรียกว่าภูตผีปีศาจใช่ไหม (ใช่)  แล้วคนที่ก้ำกึ่งเขาเรียกว่าอะไรหรือศิษย์ ครึ่งผีครึ่งคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์เป็นคนประเภทนั้นใช่หรือไม่ ยังเอาแน่เอานอนใจไม่ได้ ใช่ไหม แล้วเคยไหมศิษย์เวลาเราพยายามทำดีที่หลายต่อหลายคน เขาก็ชอบมาบอกกับอาจารย์ว่าหนูเป็นพวกดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะว่าเวลาทำดีแล้วมันเหนื่อย ใช่ไหม ทำดีแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ท้อไหม (ไม่ท้อ)  ไม่ท้อไม่เหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคนเขาทำดีไม่เหนื่อยไม่ท้อเขาก็จะไม่ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วก็ไม่ได้ทำดีตามแต่อารมณ์ด้วย จริงหรือไม่ (จริง)  ยังไงๆ เขาก็ต้องทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเริ่มที่เรื่องง่ายๆ ก่อนถ้าทุกคนชอบทำดีชอบไหม (ชอบ)  แล้วบางคนชอบทำชั่วใช่ไหม ทุกคนชอบทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์เคยไหมบางครั้งเวลาเราทำดีแล้ว ความดีเรามันเหมือนธรรมดา มันดูเหมือนกระดาษเปล่ามันดูไม่จริงใจ บางทีคนเขามองเราแล้วดูเราเป็นคนธรรมดาๆ ดูไม่เห็นดีไม่มีค่าอะไรเลย เคยเจอแบบนี้ไหม (เคย)  อาจารย์ถามหน่อย มีคนประเภทหนึ่งเข้าวัดเก่ง ทำบุญเก่ง สวดมนต์ก็เก่ง เจอพระวัดไหนไหว้หมดทุกวัด แล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนดี บุญอะไรทำมาหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ถามหน่อยคนประเภทนี้เวลาออกนอกวัด เจอคนไม่ดี ซุบซิบๆๆ นินทาผู้อื่นอาจารย์ว่าคนแบบนี้ ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะงานฉันก็ทำแล้วนี่ บุญฉันก็ทำนะ มาว่าฉันอย่างนี้ได้อย่างไร พระฉันก็ไหว้นะ ผ้าป่ามากี่ซองฉันใส่หมดทุกซองเลย มาว่าฉันไม่ดีได้อย่างไร อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  ต่อหน้าไหว้ลับหลังหลอก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ชอบทำบุญไหม (ชอบ)  ชอบสวดมนต์ไหม (ชอบ)  ชอบใส่บาตรไหม (ชอบ)  กฐินผ้าป่า สังฆทานทำไหม (ทำ)  ทำหมดเลยนะใช่ไหม (ใช่)  แต่ยังนินทาไหม (นินทา)  ยังโกหกไหม (โกหก)  อาจารย์ถามหน่อย ทำไมความดีของคนที่ทำแบบนั้น ทำไมจึงดูธรรมดา และว่างเปล่าไร้ค่า ก็ง่ายๆ อยู่ที่วัดดีเรียบร้อย ดีหมดทุกอย่าง แต่พอออกนอกวัด องค์พระหายไปแล้วกลายเป็นมารลงใช่ไหม (ใช่)  เจออะไรนิดอะไรหน่อยยอมไหม (ไม่ยอม)  ต้องเอามันๆ มันร้ายมาร้ายกลับใช่ไหม (ใช่)  ด่ามาด่ากลับใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย คนทำดีแบบนี้ดีจริงไหม (ไม่ดี)  ความดีของเขาเหมือนความดีที่ไม่จริงใช่ไหม (ใช่)  คนดีจริงอยู่ที่ไหนก็ต้อง (ดี)  ถามหน่อยที่บอกว่าทำดีไม่ได้ดี ศิษย์เป็นประเภทอยู่ที่ไหนก็ดีไหม ศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ศิษย์ทำดีแล้วไม่มีผลอะไร ทำไมไม่เห็นได้เรื่อง ทำไมคนไม่เห็นคุณค่า ศิษย์เป็นแบบนั้นหรือเปล่า (ไม่)  ดีเป็นบางหย่อมๆ หย่อมนี้ถูกใจทำดี หย่อมนี้รำคาญใจขออาละวาดก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยทำดีลูบหลังใช่ไหม ถามใจศิษย์ ถ้าคนเขาเป็นแบบนี้ ตอนดีดีใจหาย ตอนด่าด่าเช็ดไม่เหลืออะไร อาจารย์ถามหน่อยดีจริงไหม (ไม่จริง)  ศิษย์เป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์ไปฆ่าเขาแล้วเอามาทำบุญอย่างนี้เรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์ไปขายของ ศิษย์ไปทุจริต ศิษย์ไปเอาเปรียบ ศิษย์ไปกินแรงเขา ศิษย์บอกเดี๋ยวศิษย์เอามาทำบุญ ศิษย์ดีจริงไหม (ไม่จริง)  แล้วบอกทำดีไม่ได้ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่ามาบอกว่า ท้อกับการทำดี ต้องถามตัวเองว่า ตัวเองดีแท้ไหมใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอีกประเภทหนึ่ง ศิษย์เป็นคนดีนะอาจารย์ ศิษย์ของอาจารย์บางคนเป็นคนดี ไหว้พระก็ไหว้ นินทาใครก็ไม่นินทา โกหกใครก็ไม่โกหก มีธรรมะ ธรรมโม แต่เสียอย่างเดียวอาจารย์ เป็นคนที่ทำดีแล้วเธอต้องดีๆ ทำดีแล้วเธอต้องดีตอบๆ (หวังผล)  ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่แค่หวังผลเรียกร้องไม่จบสิ้น ฉันดีแล้ว เธอต้องดี ทำไมเธอไม่ดี เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ไม่เคยเรียกใครเลย เรียกแต่ตัวเองทำให้อย่างเดียวใช่ไหม ใครจะดีไม่ดีไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอยถ้าทำดีแบบนี้ ทำกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง จำคำอาจารย์ไว้นะ ถ้าทำแล้วเรียกร้อง หวังผล ทำกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง แต่ถ้าทำดีแล้ว ทำดีอย่างหนึ่ง วันหนึ่งไม่ดี ทำดีวันหนึ่ง อีกวันไม่ดี อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำดีแบบเปล่าไร้ หาความจริงแท้ไม่เจอ ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เป็นความดีแบบไหน
อาจารย์ทำดี ต้องให้ไม่เรียกร้องเอา แต่มีอีกประเภทหนึ่ง อาจารย์ศิษย์ขอทำบุญสิบบาท และขอเปลี่ยนเป็นถูกสองตัว ขอถูกสามตัว ขอให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุข การงานก้าวหน้า เถิดสาธุ แล้วศิษย์จะไปทำดี เราเป็นดีแบบนั้นไหม ถ้าอย่างนั้นไม่เรียกว่าทำดี แต่เรียกว่ากำลังค้าขายแลกเปลี่ยน แล้วศิษย์เป็นดีแบบไหน เป็นทั้งสองเลยอาจารย์ แล้วแต่อารมณ์ไปทางไหน ฉะนั้นถ้าทำดีแล้วดีเป็นหย่อมๆ ไม่ได้เรียกว่าดีแท้จริง ถ้าทำดีแล้วยังเอาแต่เรียกร้องคนอื่นต้องปฏิบัติกลับให้ดี ทำดีแล้วยังต้องบอกว่าคนนั้นยังต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ถึงจะดี อย่างนี้เรียกว่าความดีแบบ ทำกี่ครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง เพราะเป็นความดีที่ยังยึดมั่นถือมั่น จุดมุ่งหมายของความดีคือทำเพื่อให้ แล้วเราให้จริงๆ ไหมจุดมุ่งหมายของการทำดีคือ ทำเพื่อสละ ละการยึดมั่นถือมั่น ที่จะไม่ทำให้เรากลายเป็นคงหลง หรือติดในความดีตอนนี้ศิษย์ดีหรือยัง (ยัง)  แล้วเป็นดีแบบไหนบ้าง ฉะนั้นการทำดีที่แท้จริงความหมายคือ ทำเพื่อสละ ละ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงตกเป็นทาสของกิเลส จุดประสงค์หลักของการทำดีก็เพื่อ (ขัดเกลาจิตใจตัวเอง)  อาจารย์จะบอกให้ทำดีเพื่อให้ตัวเองไม่ไหลลงต่ำและทำถูก ทำดีเพื่อไม่ตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ เพื่อเราจะได้ไม่เห็นแก่ตัว เอาแต่โลภ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจ เราไม่ได้ทำดีเพื่อการเป็นเทพ เป็นนางฟ้า หนทางของการทำดีที่แท้จริงคือ ทำดีเพื่อยับยั้งใจไม่ให้ไหลลงต่ำและคิดชั่ว และประพฤติชั่วหรือทำดีเพื่อยับยั้งใจให้ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และความยึดมั่นถือมั่นหลงตัวเอง ฉะนั้นคนทำดีที่แท้จริง จะไม่หวังผล คนที่เข้าใจความหมายของความดีที่แท้จริง เขาจะทำแล้วไม่ยึดติดหวังบันดาลดล เพราะความดีเมื่อทำก็อิ่มใจอยู่แล้ว
ถ้าเราอยู่ในโลก ใจเรามีศีลต่อความประพฤติของคน เรามีคุณธรรม เรามีความเมตตา เรามีความซื่อตรง ถึงที่สุดแล้วผลมันจะเป็นอย่างไรไม่ต้องกังวลจริงไหม (จริง)  ในเมื่อเราอยู่กับตัวเรา ใจเรามีศีล อยู่กับคนอื่นรู้จักมีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ ต่อพ่อแม่มีความกตัญญู ต่อเพื่อนมีความซื่อตรง ต่อภรรยาต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจ ต่อผู้น้อยเรารู้จักเมตตาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต่อผู้คนที่สูงกว่าเราให้ความเคารพ เราให้เกียรติ หรือต่อเพื่อนธรรมดาเราก็ให้เกียรติเคารพ ถ้าทำเช่นนี้แล้วอาจารย์ถามหน่อย มันดีอยู่ที่ตัวเอง ไม่ต้องรอผลจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดทำ นี่อะไร อย่างนี้ไม่เคารพคนอื่น ผลมันก็รู้อยู่แล้ว ไปอยู่ใกล้ๆ ใครเขาก็รังเกียจ นี่อะไรนี่หมายความว่าไงนะ อะไร อย่านะ ดีได้ก็ร้ายได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักยับยั้งใจเรา มันง่ายที่จะไหลลงต่ำ ถามฝ่ายชายดูสิ เขามองตาขวางๆ คิดดีหรือคิดร้าย (คิดร้าย)  เอาดีหรือเอาร้าย (เอาร้าย)  หาเรื่องใช่ไหม (ใช่)  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความดีทำเพื่อไม่ให้เราไหลลงต่ำ ทำดีเพื่อไม่ให้เราตกเป็นทาสของกิเลส และไม่ยึดตัวเองเป็นนักเลง เป็นเจ้าพ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนจึงบอก โอ้โหอาจารย์ทำดีนั้นมันเหนื่อย ไม่ต้องทำมันหรอก ใช่ไหม (ใช่, ไม่เหนื่อย)  มันอยากดีๆ ไป ไม่เอาหรอก ถามจริงอาจารย์ ทำดีมันก็โดนด่า ไม่ดีมันก็โดนด่า ฉะนั้นไม่ต้องทำมันก็โดนด่าใช่ไหมศิษย์ (ไม่ใช่)  มีคนคิดอย่างนี้ พอถึงเวลาทำไหม (ไม่ทำ)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย เกิดเป็นคนอยากยกให้ตนเองสูง หรืออยากกดให้ตัวเองต่ำ (สูง)  อย่างนั้นหรือ ถ้ายกให้ตัวเองสูง ก็จะต้องทำตนเองให้มีค่ายิ่งกว่าความเป็นคนใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งควรต้องทำตัวให้น่าเคารพน่าศรัทธา ยิ่งควรทำให้เป็นคนที่คนอื่นเขารักใคร่ แล้วคนที่ไม่ยอมทำดี เขากำลังกดให้ตัวเองสูง หรือกดให้ตัวเองต่ำ (ต่ำ)  อาจารย์ถามหน่อย มีบ่อน้ำที่ใสสะอาด กับบ่ออุจจาระศิษย์ลงบ่อไหน (บ่อใสสะอาด)  ฝ่ายชายบ่อน้ำกับบ่ออุจจาระ ศิษย์ลงบ่อไหน (บ่อน้ำ)  ลงบ่อน้ำหรือ ไม่ลงบ่ออุจจาระหรืออาจารย์ถามต่อ มีบ่อที่เย็นใสกับบ่อที่ร้อนระอุลงบ่อไหน (บ่อเย็นใส)  อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นบ่อที่ไม่มีบุหรี่กับบ่อที่มีบุหรี่ ลงบ่อไหน (บ่อไม่มีบุหรี่)  ถ้าอย่างนั้นบ่อที่มีเหล้ากับบ่อที่ไม่มีเหล้าลงบ่อไหน (บ่อไม่มีเหล้า)  แล้ว บ่อที่ชนวัว แข่งรถ ลงบ่อไหน (ไม่ลงสักบ่อ)  อย่างนั้นหรือ ลงทุกบ่อเลย ขอให้ว่างอาจารย์ ไม่ว่างก็ต้องว่างใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ถามทางดีๆ มีให้เดิน เดินไหม (เดิน)  ทางไม่ดีไม่มีให้เดิน เดินไหม
รู้ว่าเหล้ากินไม่ดีกินไหม (กิน)  ศิษย์ไม่ต้องร้อน อาจารย์ว่าคนที่กินที่ร้อนนี้ไปแอบกินมาใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่เคยกินเลยแน่นะ เงียบ ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าทางหนึ่งคือทางที่ดี อีกทางหนึ่งเป็นทางที่ไม่ดี อาจารย์ไม่เป็นไรหรอกพอเสียชีวิตแล้วก็จบกันช่างหัวมันใช่ไหม(ไม่ใช่)ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเราอยู่บนโลกนี้ เวลาเราทำอะไรมีแต่คนบอกว่า ขอให้เจริญๆ นะพ่อคุณแม่คุณ กับอีกอย่างหนึ่ง ไม่ยกมือแต่ในใจบอกว่า เมื่อไหร่มันจะตายโหงตายห่าไปเสียทีหนอ ศิษย์ว่าอะไรดีกว่ากัน (อย่างแรก)  อย่างแรกดีกว่า แต่ถึงเวลาถามใจเรา เราทำจนคนยกมือไหว้ หรือทำจนคนพูดไม่ออก (ยกมือไหว้)  เมื่อพูดถึงเรื่องดี ไม่ดี และวิธีการปฏิบัติที่เรียกว่าดีแล้ว คืออย่างไร อะไรที่เรียกว่าปฏิบัติดีเข้าใจหรือยัง เข้าใจหรือ ฉะนั้นการปฏิบัติดีก็คือ ในใจมีศีล ปฏิบัติต่อผู้อื่นมีคุณธรรมความเป็นคน ถึงเวลาทำให้ดีที่สุด ถึงที่สุดจะอย่างไรก็กล้ายอมรับความจริง นั่นคือเรียกว่าปฏิบัติดี ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล ถ้าทำได้อย่างนี้
ศิษย์อยากฟังธรรมเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นกิเลสในโลกนี้มีอยู่หนึ่งคือ สิ้นกิเลสกับสิ้นทุกข์ เป็นเรื่องที่ทำกันไม่ค่อยจะถึง ฉะนั้นถ้าอยากสิ้นกิเลสกับสิ้นทุกข์ สิ้นอะไรแล้วทำให้มันหมดได้ทันที อยากรู้บ้างว่ามีใครตอบอาจารย์ได้ สิ้นกิเลสกับสิ้นทุกข์ ศิษย์ว่าทำอะไรที่จะทำให้สิ้นแล้ว แล้วมันจะสิ้นได้จริงๆ (สิ้นกิเลส)  โดยส่วนใหญ่จะบอกว่าสิ้นกิเลส (สิ้นทุกข์)  สิ้นทุกข์จะทำให้ปลอดจากทุกอย่าง ว่าง ปลอดจากกิเลสด้วย แน่ใจ ตอบให้เพื่อนได้ฟัง ตอบได้ดี แต่ท่านนี้ตอบว่าสิ้นทุกข์ได้ ก็สิ้นกิเลสได้ ยกตัวอย่างให้อาจารย์ฟัง สิ้นทุกข์อย่างไรที่ทำให้สิ้นกิเลสได้ด้วย และสิ้นทุกข์ได้แท้จริง (สิ้นทุกข์คือนิพพานเลย)  นิพพานแปลว่า (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย)  แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เข้านิพพานแล้ว แต่ตอนที่ท่านตรัสรู้แล้วท่านยังต้องแก่ เจ็บ ตาย (สุดท้ายก่อนที่จะตาย)  สิ้นทุกข์ให้ได้ก่อนที่จะตาย แล้วสิ้นทุกข์ที่ตรงไหน (ความไม่สบายใจ)  เข้าใจไหม ไม่เข้าใจหรือ อาจารย์จะอธิบายง่ายๆ อยากสิ้นกิเลสต้องสิ้นกรรม กรรมคือการกระทำ ถ้าอยากสิ้นทุกข์ต้องสิ้นการยึดติดตัวตน เมื่อสิ้นการยึดติดตัวตน ก็สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส ง่ายกว่าไหม ถ้าอยากสิ้นกิเลสเราต้องสิ้นกรรมก่อน ถึงจะสิ้นกิเลส กรรมคือการกระทำ ฉะนั้นถ้าการกระทำของเราไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส เมื่อเราสิ้นกรรมแล้วหรือกลายเป็นอกรรม กรรมที่ไม่มีผลตอบรับ กิเลสเราก็สิ้นได้ แต่ถ้าเราสิ้นความอยากแล้วเราสิ้นทุกข์ไหม อาจารย์จะบอกว่าถึงศิษย์หมดอยากได้ แต่ยังไม่สิ้นทุกข์ เพราะมนุษย์ยังหนีไม่พ้น แก่ เจ็บ ตาย  ฉะนั้นถ้าอยากจะสิ้นกรรม สิ้นกิเลส แล้วสิ้นทุกข์ ศิษย์จะต้องสิ้นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อไรสิ้นความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ก็จะสิ้นทุกข์ สิ้นกรรม สิ้นกิเลส ทันทีอาจารย์ฟังอย่างนี้ก็ยาก
หยั่งรู้อะไรที่จะทำให้เราเข้าถึงปัญญา สิ้นทุกข์ สิ้นกรรม สิ้นกิเลส ธรรมที่มนุษย์ท่องกันอยู่ทุกวัน รู้กันอยู่ทุกขณะ เห็นกันอยู่ทุกขณะ แต่พระพุทธเจ้าเอาธรรมอันนั้นมาทำให้กระจ่างแจ้ง จนสามารถสิ้นทุกข์ สิ้น กิเลส สิ้นกรรมได้ แล้วธรรมอันนั้นเรียกว่าอะไรรู้ไหม ที่หยั่งรู้แล้วทำให้เราพ้นทุกข์รู้ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหม พระพุทธเจ้าเห็นความแก่ แล้วเอาสิ่งนั้นมาทำตัวเองสิ้นทุกข์ ใช่หรือไหม (ใช่)  เราเห็นทุกวันไหม ดูทุกวันไหม ท่องมันออกทุกวันไหม แล้วเราสิ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ไม่เคยสิ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเกิดว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คือสภาวธรรมที่กลับคืนไปสู่ความว่างเปล่า ฉะนั้นถ้าเราอยากสิ้นทุกข์ การกลับคืนสู่ความว่างเปล่า คือการกลับคืนสู่ความสิ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  ถ้าการยึดมั่นถือตัวตน คือความมีไม่สิ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าธรรมคือความว่าง ตัวตนคือความมี ฉะนั้นถ้าความว่างคือธรรม ความมีก็คือกรรมใช่ไหม (ใช่)  ถ้าความว่างคือไม่มีอะไรพอไม่มีอะไรก็ไม่มีกรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรากลับคืนสู่ความว่าง เราก็คือธรรม แต่ถ้าเรายึดติดความมีนั่นก็คือกรรม หรือที่เรียกว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกรรมจึงมีสองอย่างคือ กรรมดีและกรรมชั่ว  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่อยากว่าง ไม่อยากมีธรรม มนุษย์อยากมีตัวตนก็แปลว่าเราอยากมีกรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์โดยส่วนใหญ่ ศิษย์ไม่อยากว่าง อาจารย์ศิษย์ไม่อยากว่าง ศิษย์ไม่ชอบความว่าง ศิษย์อยากมี พอมี ก็หนีไม่พ้นกรรม หนีไม่พ้นการถูกกระทบกระแทก ความว่างทำให้ศิษย์เหมือนไม่มีอะไร ศิษย์ยังอยากมีอยู่ พอความมีมีมากๆ ก็กลายเป็นวุ่น ยุ่งแล้วก็ยึดจึงหนีไม่พ้นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากกลับคืนสู่สภาวธรรม ก็ต้องทำตัวให้ว่าง เราว่างไหม ไม่เคยว่างเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมา)
ทำอย่างไรที่เรียกว่าว่างแล้วคืนสู่ธรรม ที่เรียกว่าไม่ว่างแล้วกลายเป็นกรรมดีกรรมชั่ว นึกออกไหม ไม่ออกอาจารย์เทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์ตีศิษย์ (พระอาจารย์เมตตาตีหัวหน้าชั้น)  ว่างหรือมี (ว่าง)  ดีหรือร้าย (ดี)  ดีจำไว้นะ แค่ความรู้สึกเพียงชั่วหนึ่งก็ทำให้เราออกห่างจากความว่าง แค่รู้สึกดี ว่างคำว่าดีก็ยังเป็นกรรมดีจริงไหม (จริง)  จำไว้นะศิษย์คำว่า ว่างแปลว่า เมื่อถูกกระทบไม่รู้สึก เมื่อถูกกระแทกไม่มีกรรม เมื่อถูกกระทั้นกระเทือนไม่มีคิด ไม่มีตัวตน เรียกว่ากลับคืนสู่ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่กระทบครั้งหนึ่งด่า ชอบ ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมีตัวตนจึงเกิดกระแสกรรม พระพุทธะจึงบอกว่า กลับคืนสู่ทางสายกลาง กลางคือไม่ร้าย ไม่ดี หรือเรียกว่าไม่มี จึงเรียกว่าธรรม แต่เมื่อไรศิษย์ยึดติดว่า ดีไม่ดี เรียกว่ายังมีกรรมดี กรรมชั่ว และยังมีตัวตนต้องไปรับกรรม ซึ่งไม่ใช่การกลับคืนสู่ธรรม จริงนะศิษย์ ถ้าเราอยู่ในโลกไม่ว่าเจออะไร อาจารย์บอกง่ายๆ ถ้าโดนกระทบ ศีลฉันไม่ผิด คุณธรรมฉันไม่ด่างพร้อย เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าฉันไม่อายดิน ต่อหน้าผู้คนฉันไม่เคยประพฤติผิดกลัวอะไร ถึงที่สุดแล้วโกรธทำไม เกลียดทำไม ถ้าโกรธแล้วกลายเป็นกรรมชั่ว ชื่นชมแล้วมันกลายเป็นหลงใหล แล้วเรียกว่ากรรมดี อย่างนั้นไม่เอาขอเป็นธรรม ฉะนั้นอะไรที่กระทบมาก็เป็น (ความว่างคิดว่าไม่มีก็คือไม่มี)  จริงหรือ ถ้ายังคิดก็แปลว่ายังมีความเป็นตัวตนถูกไหม ความคิดเป็นบ่อเกิดของกิเลส มีบ่อเกิดมาจากความคิดถูกไหม ฉะนั้นมันพ้นจากความคิด อาจารย์จึงบอกว่าถ้าเมื่อไรศิษย์มีปัญญาหยั่งรู้ความจริง ศิษย์จะไม่เอาอะไรในโลกนี้ เพราะถ้าเอาแล้วมันเป็นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และการยึดเพื่อสนองผลบุญ ฉะนั้นศิษย์จะเอาไหมล่ะ ถ้าหากเราโดนกระทบโดนกระแทกแล้วเราสามารถวางซึ่งความเป็นตัวตน กระแสแห่งกรรมก็จะไม่เกิดถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราสามารถทำได้เช่นนั้นไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชาย๒คนออกมาหน้าชั้น)
สมมติอาจารย์บอกว่าอาจารย์มีศิษย์สองคน คนหนึ่งอาจารย์รักน่ารักจริงๆ เลยศิษย์คนนี้ดีมากๆ กับอีกคนรังเกียจ ขับไล่ไสส่ง ฉะนั้นถ้าเราโดนแบบนี้ โดนเกลียด โดนทั้งด่า โดนเขาว่าจนไม่เหลือดี ศิษย์อยากจะเข้าถึงธรรมหรือศิษย์อยากจะเกี่ยวกรรมกับอาจารย์ ถ้าเข้าถึงธรรมควรที่จะโกรธหรือควรที่จะว่า ถึงเวลาว่างจริงๆ แล้วนะ กี่ชีวิตแล้วหนอ ตามใจปากมากตามใจตัวมากเป็นสุสานเคลื่อนที่นะศิษย์ มันเต็มไปด้วยชีวิตคนอื่นเขาทั้งนั้นเลยใช่ไหม เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน มีอะไรก็กิน ฉะนั้นถ้าเกิดมันเป็นผักกับเนื้อสัตว์กินไหม กินอะไร (ผัก)  แล้วเนื้อสัตว์ล่ะ
บางอย่างมันกินแล้วมันไม่มีกรรมเพิ่ม แต่บางอย่างมันกินแล้วมีกรรมเพิ่ม ศิษย์อยากกินแล้วมีกรรมเพิ่มหรือไม่มีกรรมเพิ่ม (ไม่มีกรรมเพิ่ม)  อย่างนั้นหรือ แล้วศิษย์กินผักหรือศิษย์กินเนื้อสัตว์ล่ะ (กินผัก)  จริงนะ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากมันทำให้เราสร้างกระแสกรรม อย่าปล่อยให้แค่โดนกระทบ แล้วลุ่มหลงหรือหลงใหลไปเกี่ยวกรรม ไม่ว่าดีหรือร้ายมันก็ล้วนเป็นกรรม แล้วเราอยากเกิดมาเพื่อรับผลกรรมอีกไหม (ไม่อยาก)  เพราะฉะนั้นเวลาโดนอะไรเราควรที่จะโต้ตอบเขาด้วยธรรม หรือโต้ตอบเขาด้วยกรรม (ธรรม)  ถ้าบอกว่าโต้ตอบเขาด้วยธรรม ฉะนั้นถ้าเกิดเขาด่าเรามา เราควรจะให้ธรรม หรือให้กรรมกลับ (ธรรม)  ด่ากลับเรียกว่าธรรมหรือกรรม (กรรม)  แล้วพอถึงเวลาเราด่ากลับไหม (ไม่ด่า)
ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย บุญก็ไม่สร้าง ศีลก็ไม่มี ทุกวันเอาแต่เกี่ยวกรรมกัน แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าชีวิตนี้อนาคตข้างหน้าศิษย์มันจะเป็นกรรมหรือธรรม อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน แล้วสิ่งที่ศิษย์ทำล่ะ กรรมดีหรือว่าธรรม ถ้าอย่างนั้นจะกลับไปอย่างธรรมหรือกลับไปอย่างมีกรรม (กลับไปอย่างคนมีธรรม) ฉะนั้นก็จงรู้จักประพฤติปฏิบัติอย่างคนมีธรรม คนมีธรรมมีเมตตาเป็นหลัก คนมีธรรมมีกรุณาเป็นหลัก แต่ถามศิษย์ของอาจารย์ถ้าชีวิตนี้มีเมตตาเป็นหลัก กรุณาเป็นหลัก เราจะด่าใคร เราจะเบียดเบียนชีวิตใคร เราจะเยาะเย้ยใครไหม เวลาใครผิด เราจะเหยียบซ้ำไหม (ไม่เหยียบ)  แล้วเวลาใครผิดเราไม่เคยกดไลค์เขาเลย เวลาได้ยินข่าวไม่ดีแล้วไม่แอบด่าเขาเลยมีไหม เงียบเชียว นั่นแหละเรียกว่าสร้างกรรมต่อใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอย่าไปหลงรักใครในโลกให้มากสุดใจ รักแล้วมันทุกข์ไหม (ทุกข์)  เกลียดแล้วมันทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าอย่างนั้นควรจะรักไหม (ไม่ควร)  ควรจะเกลียดไหม (ไม่ควร)  แล้วศิษย์ล่ะ ถ้าเราอยู่ในโลกไม่อยากทุกข์ อะไรมันก็ไม่น่ารัก อะไรมันก็ไม่น่าเกลียดหรอก ถ้ามองให้ดีๆ จริงไหม (จริง)  เพราะถ้ารักมันก็มีกรรมแห่งความรักที่ต้องเจ็บและทุกข์ เพราะถ้าเกลียดมันก็มีกรรมแห่งความเกลียดที่ต้องเคียดแค้นชิงชัง จองเวร จองกรรม จะเอาไหมล่ะ แล้วมีบ้างไหมที่รักแล้วไม่เกลียด รักแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  แล้วยังรักไหม (รัก)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเราศึกษาธรรมเพื่อเข้าถึงธรรม ทำไมเอาแต่กรรมไม่เอาธรรม จริงไหม (จริง)  ดั่งที่อาจารย์มักจะพูดเสมอ ถ้าชั่วขณะที่อาจารย์ตีคิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แล้วถ้าพ้นจากความคิดทั้งสองเรียกว่าสงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสงบเย็นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พระนิพพาน” แต่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง ถูกไหม ฉะนั้นถ้าโดนกระทำจะขึ้นสวรรค์ลงนรกหรือไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ถามใจศิษย์นะใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นโดนกระทบ มีสติ ไม่ใช่การคิดออก แต่คอยบอกเตือนใจให้ระลึก บางครั้งสติและความมั่นใจ ก็ทำให้เราทำอะไรไม่สำเร็จ มีสติแต่อย่ามีความมั่นใจจนเกินไป มนุษย์เราทุกคนหนีไม่พ้นความเจ็บ ความป่วย แต่เราบำเพ็ญธรรม สอนให้เรารู้ว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องของสังขารที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นเราต้องรู้จักวางใจให้เป็นธรรม อย่าเอาใจไปจมอยู่กับความเจ็บ ชีวิตนี้เรามีค่าคือการคืนกลับสู่ธรรมไม่ได้กลับไปจมอยู่กับความเจ็บป่วย ฉะนั้นจงเจ็บป่วยเพียงร่างกาย แต่อย่าเจ็บป่วยที่จิตใจ ใจจงปล่อยไปสู่ความว่าง กลับคืนสู่กระแสแห่งธรรมที่ไร้ตัวตนยึดถือ ฉะนั้นไม่ว่าเจ็บป่วยก็เป็นเพียงสังขาร ไม่ใช่ที่จิตใจเรา แม้แต่โดนด่า ก็โดนด่าเพียงสังขาร ไม่โดนด่าที่ใจ ถ้าทำได้ความเจ็บป่วยก็เป็นชะตากรรมของธรรมชาติ ไม่ใช่ชะตากรรมที่เรายึดมั่นไว้ให้ทุกข์ เข้าใจนะ
(พระอาจารย์จี้กงเมตตากับผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์เอ๋ยเราฝึกธรรมะ เราฝึกปฏิบัติธรรม ไม่ได้ฝึกเพื่อยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน แต่เราฝึกธรรมปฏิบัติธรรมเพื่อละวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะอะไรที่ทำให้เรายึด มันเรียกว่ากรรม แล้วอะไรที่มันทำให้เราว่าง แล้วไม่มีตัวตน แล้วไม่ต้องทุกข์ทนนั่นเรียกว่า ธรรม ฉะนั้นถ้าเราโดนด่ามาแล้วเรายังยึด มันก็ไม่ใช่ธรรม แต่มันกลายเป็นกรรม ฉะนั้นเราโดนด่ามา เราไม่ยึดเราปล่อยวางมันเป็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้หนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างไรก็ต้องเจ็บใช่ไหม (ใช่)  หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อหนีความเจ็บ ความตายไม่ได้ ฉะนั้นถ้าสังขารมันเจ็บ มันตาย เราจะยึดให้มันมีกรรม หรือเราจะปล่อยให้มันเป็นธรรม ยึดให้มันเจ็บปวดเป็นทุกข์ หรือปล่อยให้มันเป็นธรรม (ปล่อย)  ฉะนั้นจงเจ็บแค่สังขาร แค่ร่างกาย แต่อย่าไปเจ็บที่ (ใจ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จำไว้เสมอนะศิษย์ ยึดเมื่อไรกลายเป็นกรรม ปล่อยเมื่อไรก็คือธรรม แล้วเราอยากมีกรรมหรืออยากมีธรรม (อยากมีธรรม)  หรือเราอยากเวียนว่ายตายเกิดในกระแสกรรม ธรรมหรือกรรม ทำไมอาจารย์ได้ยินเป็นกรรมๆ ฉะนั้นศิษย์มองง่ายๆ อาจารย์ยกตัวอย่าง มือยังขยับเขยื้อนได้จึงเรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามือมันกำแล้วแบไม่ได้ มันเรียกว่า กรรมถูกต้องไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าใจมันขยับเขยื้อนอิสระไม่ได้มันเรียกว่า กรรม แต่ถ้าใจมันยังอิสระขยับเขยื้อนได้นั้นแหละ ศิษย์กำลังเข้าสู่กระแสธรรม ธรรมทำให้เราสิ้นเวรสิ้นทุกข์นะศิษย์ แต่กรรมทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏฏะเวียนว่ายทุกข์ไม่จบสิ้น เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นเป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงอย่ากลัวการเจ็บป่วย เพราะความเจ็บป่วยทำให้เราเข้าถึงสภาวธรรมและไม่ยึดกรรม ฉะนั้นโดนตี โดนด่า อยากยึดมีกรรม หรืออยากว่างแล้วมีธรรม (อยากว่าง)  ถ้าอย่างนั้นเวลาทำอะไรแล้วไม่มีคนชม อยากยึดเพื่อมีกรรมดี หรืออยากว่างเพื่อสิ้น (อยากว่าง)  ถึงเวลาขอให้ได้อย่างนั้นนะ ไม่ใช่พอทำดีแล้วไม่เห็นมีใคร ไม่เห็นมีใครเห็นความสำคัญเราเลยอย่างนี้เขาเรียกว่ายังยึดเพื่ออยากมีกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยคุณธรรมความถูกต้อง ภายในใจมีศีลธรรมความดีงาม ถึงที่สุดอะไรจะเกิดมันก็เป็นแค่กรรมของสังขาร ไม่ใช่กรรมของใจ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  โดนมากี่ครั้งแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นยังอยากเสวยกรรมแห่งสังขารแล้วใจมันพ้นทุกข์ไหม แล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์ หรือว่ายืมใช้แล้วก็ปล่อยวางไป แค่นี้ก็ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลามีโอกาสฟังธรรมแล้วก็ต้องเอาไปปฏิบัติด้วย ทำใจให้มันสงบด้วย อะไรจะเกิดก็ยอมรับด้วยหัวใจที่กล้าหาญเข้มแข็ง ยอมรับความจริงว่า ทุกชีวิตล้วนจะต้องเดินหน้าไปสู่ความแก่ เจ็บ ตาย หนีไม่พ้น ฉะนั้นเจ็บก็ไม่เห็นเป็นอะไร ตายก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะใจของศิษย์กลับเข้าสู่กระแสธรรม คืนสู่ธรรมแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไปนะ ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ สมานสามัคคีกัน อะไรเล็กน้อยช่วยได้ก็ช่วยกัน อย่าทอดทิ้งกันดีไหมศิษย์ (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  การบำเพ็ญธรรมคือสละความเป็นตัวตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ยิ่งละวางตัวตนได้มากเท่าไร ก็ยิ่งเข้าสู่กระแสธรรมได้ไวมากเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรที่เรายังละวางตัวตนไม่ได้ เราก็จะยากที่จะกลับคืนสู่ธรรม จริงหรือไม่ (จริง)  ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอย ทำให้ถึงที่สุดนะ เพื่อตัวศิษย์เองนะได้ไหม (ได้)  ตั้งใจฟังดีกว่านะ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกลับคืนสู่กระแสการละวางอย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกิดเป็นกรรมนะศิษย์ อยากมีกรรมหรืออยากมีธรรม (ธรรม)  ฉะนั้นจำไว้นะจงมีธรรม อย่ามีกรรม เพราะกรรมมันไม่ใช่ชีวิต แต่ธรรมมันคือชีวิต
(พระอาจารย์จี้กงเมตตากับผู้ดูแลสถานธรรมใหม่)  เรือธรรมสร้างมาแล้วอีกเรือหนึ่ง สถานธรรมมีแล้วอีกสถานธรรมหนึ่งสร้างธรรมะแล้ว สร้างเรือธรรมะแล้ว สร้างก็ยาก แต่ยังทำให้เรือธรรมยังคงอยู่ แล้วยังสามารถนำพาเวไนย นำพาผู้คนให้พ้นทุกข์ด้วย เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ฉะนั้นศิษย์ต้องมีหัวใจ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ หัวใจแห่งพุทธะ ที่อุทิศเสียสละเพราะว่าถึงเวลาที่มีห้องพระแล้ว ความเป็นส่วนตัวมันจะหายไปเยอะ จะต้องมีแต่คิดถึงผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น ยังไงก็เกิดจากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน จะมีคนนี้ไม่มีคนนั้นก็ไม่ได้ จะมีสองคนนี้ไม่มีคนนี้ค้ำชูก็ไม่ได้ ฉะนั้นขอให้ใจยังประสานกันยังเป็นหนึ่งเดียว รักษาจิตที่มุ่งมั่นที่จะบุกเบิกอุทิศตัวเองเพื่อเวไนยให้ถึงที่สุดนะ อาจารย์ให้ชื่อคำว่า “ฉือเซิ่ง” (慈聖佛堂)  หัวใจที่เป็นเหมือนพระพุทธะ เรือนี้คือเรือที่มีหัวใจที่เมตตาเช่นพระพุทธะ ทำให้ได้นะอาจารย์ให้ศิษย์ลูกเล็กไป เอาไปให้ที่บ้านด้วยนะ เพราะเรามีคนที่บ้านที่คอยช่วยด้วยใช่หรือไม่ ฉะนั้นฝากไปให้เขาด้วยนะ และรู้จักพูดให้เป็นมันไม่ได้ของหนูคนเดียว แต่มันเป็นของคนทั้งบ้าน ฉะนั้นให้กำลังใจข้างหลังเขาด้วย อันนี้รู้จักพูดว่าบุญกุศลไม่ใช่ของศิษย์คนเดียว ไม่ใช่ของคนเดียว แต่เกิดจากพ่อแม่ช่วยด้วย ฉะนั้นอาจารย์ให้ อาจารย์จึงไม่ใช่ให้แค่ศิษย์รักสองคน แต่ให้ทั้งบ้านเข้าใจไหม เพราะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกัน จงรู้จักเอาไปสร้างบุญต่อ อย่าเก็บเอาไว้กินคนเดียว ให้แล้วให้ต่อบุญนั้นจะไม่จำกัด อย่าเก็บไว้แค่ตัวเอง บุญนั้นมันจะมีจำกัดใช่ไหม
รู้จักให้ต่อ อย่าเก็บไว้คนเดียวนะ อาจารย์พูดธรรมะแล้วศิษย์รู้เรื่องไหม ถ้ารู้เรื่องอาจารย์ก็ไปต่อ แต่ถ้าไม่รู้เรื่อง อาจารย์ก็กลับแล้วนะ การฟังธรรมมันต้องเกิดปัญญาหยั่งรู้ให้ถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์พยายามพูดให้ศิษย์รู้ในเรื่องธรรมะ ธรรมคืออะไร ธรรมที่ศิษย์ต้องควรจะหยั่งรู้เพราะมันเป็นแก่นของชีวิต และมันเป็นความเป็นจริงของทุกชีวิตและทุกสรรพสิ่ง นั่นคือเรียกว่าธรรมะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราพิจารณามันบ่อยๆ ในใจ หยั่งมันลงไปในใจบ่อยๆ เจอใครไม่สมบูรณ์แบบบ้าง เจอใครไม่ดีพร้อมบ้าง มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่าจากตัวตน เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  เราจะรักใครไหม (ไม่รัก)  ศิษย์เอ๋ยพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีโศก ที่นั่นก็ต้องมีทุกข์ แล้วที่ใดมีโศก มีทุกข์ ก็หนีไม่พ้นความวิตกกังวล แล้วศิษย์รู้ไหมว่า โศก ทุกข์ เพราะความวิตกกังวล ล้วนมีรากเหง้ามาจากความรัก” ใช่ไหม (ใช่, อาจารย์แล้วที่รักไปแล้วทำอย่างไร)  รักแล้วทำอย่างไร ก็ไม่ยากศิษย์ รักแล้วทำตัวเองให้ดี ไม่ต้องไปเรียกร้องเขา ทำตัวเองให้ดี และปฏิบัติต่อเขาให้ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะเป็นอย่างไร เราก็ยอมรับความจริง นั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่ศิษย์ไม่ใช่ ตัวเองก็ยังไม่ดี แล้วยังไปเรียกว่าเขาต้องดีใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอย่างนั้นต่อไปทำให้ได้อย่างที่พูด แล้วความรักนั้นจะไม่ก่อทุกข์พระพุทธองค์สอนไว้ว่า คนใดที่ประมาทคนนั้นกำลังเดินไปสู่ความตาย คนประมาทคือคนที่เห็นสิ่งที่ไม่น่ารักแล้วมองเห็นว่าน่ารัก สิ่งที่ทุกข์มองเป็นสุข สิ่งที่ร้ายมองเป็นดี ฉะนั้นศิษย์กำลังประมาทและเดินทางไปสู่ความตาย (ถ้ารักแล้วถึงตายก็ยอม)  รักแล้วถึงตายก็ยอม ใจที่หยั่งลงไปว่า อยากจะรักจนถึงที่สุดแล้วปล่อยวางความรักไม่ได้จะก่อเกิดเป็นกรรม ตายไปไม่รู้กี่ภพชาติ ก็จะมารักเขา ไปผูกกรรมกับเขา ไปรักเขา แล้วถ้าบุญศิษย์ไม่เสมอกัน อาจจะไม่ได้เกิดเป็นคน ศิษย์ก็จะมาเกิดเป็นสุนัข เป็นแมว มารักเขา (ยอมรับชะตากรรม)  เราเกิดมาเพื่อที่จะเวียนว่ายตายเกิดมีกรรมไม่จบสิ้นหรือศิษย์ ทำถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องปล่อยมือ (วางยากแต่จะพยายาม)  ปล่อยบ้างจริงๆ แล้วเขาพูดถูก ทุกคนก็เป็นแบบนี้ และสิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุด ก็คือความรักในตัวตน เราทำทุกอย่างเพื่อตัวตน เพราะมีหนึ่งนี้ถึงมีตัวตน โน่น นี่ นั่น เต็มไปหมด แต่ถ้าเราวางหนึ่งนี้ได้ อันโน่น นี้ นั่น ก็จะไม่มีผล ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่ศิษย์รักเขา แต่อยู่ที่ตัวศิษย์เอง ใจศิษย์มองให้ถึงที่สุด รักแล้วถึงเวลาเขาไปกับเราไหม รักแล้ว ห่วงแล้ว ดูแลเขาแล้วถึงที่สุด ช่วยอะไรเขาได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงเวลาควรช่วยใคร หรือจะรอให้ถึงที่สุดแล้วจะปล่อย หรือจะปล่อยเสียแต่ตอนนี้ ตอนนี้ยังมีกำลังคิดได้ ไปรอจนเจ็บซ้ำน้ำใจ แล้วค่อยมาปล่อย ทำไม่ทัน ศิษย์ก็ยังมีความรู้สึกอยู่จะให้ทำแบบไม่รู้สึกรู้สา มองใครก็เฉยๆ ทำไม่ได้ ถ้าศิษย์ไปเกี่ยวกรรมถึงที่สุดแล้ว จะมาทำบุญทำทานเพื่อชดใช้กรรม ไม่ช้าไปหรือ เหมือนเวลาที่ผูกกรรมเขาศิษย์รักมากก็ด่ามากจริงไหม  ที่ไม่ด่าเลยเพราะไม่รักเลย  ที่ยังด่าก็เพราะรักมาก รักจึงด่ามาก แต่รักแล้วกลายเป็นทุกข์ แล้วกลายเป็นโกรธ เป็นเกลียด ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์วางเฉยบ้าง ปล่อยวางบ้าง แล้วจะได้ไม่ก่อเกิดเป็นกระแสกรรม ทำไมศิษย์บอกว่าทำไม่ได้ ศิษย์ต้องทุกข์ก่อนแล้วมาทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  ใจเยียวยาใจไหม ทำไม่รู้จักหยุดใจไว้ก่อน มองให้ออกก่อนมองให้ชัด
ฉะนั้นรู้จักมีสติ คิด พูด ทำก่อน ก่อนที่การกระทำนั้น คำพูดนั้นจะกลายเป็นกระแสวิบากกรรม บางครั้งอยู่ในโลกนะศิษย์ พูดไปแล้วมันก็เจ็บมันก็เหนื่อยใจ บางครั้งไม่พูดบ้างดีไหม (ดี)  แล้วเราทำได้ไหม (ได้)  ถ้ามีสติยั้งคิดทันเราก็หยุดปากเราได้ แต่ถ้าเราไม่มีสติยั้งคิดทัน เราก็หยุดอะไรไม่ได้ แล้วก็ปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามชะตากรรม เราจะรู้ธรรมไปเพื่ออะไร ในเมื่อธรรมของพุทธะสอนให้เราละชั่ว ทำดี เข้าถึงความบริสุทธิ์ แต่ถ้าศิษย์ชั่วก็ไม่ละ ดีก็ไม่ทำ บริสุทธิ์ก็ไม่มี แล้วอย่างนี้ศิษย์จะเรียกว่า ศิษย์ปฏิบัติธรรมตรงไหน ในเมื่อหนทางที่เราทำอยู่เพื่อละชั่ว ทำดี เข้าสู่ความบริสุทธิ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาคือความรู้แจ้ง รู้แจ้งจนถึงกับว่ากรรมไม่ผูกอีกแล้ว บริสุทธิ์แล้ว ศีลคือความปกติ สมาธิคือความมั่นคง เห็นชัดไม่เกิดความหวั่นไหว มองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ แล้วยอมรับว่าก็แค่นั้น บ่นแล้วได้อะไร อยากแล้วทำให้สุขมากกว่าเดิมไหม อยากแล้วรวยขึ้นแล้วทำให้ทุกข์ไหม อาจารย์ถามหน่อยมีเงินมากนึกว่าประโยชน์จะมาก แต่มีเงินมากก็ทุกข์มากใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งพอมีเงินมากแล้ว คนอื่นเราก็ไม่เคยดูดำดูดี มัวแต่มองเงินจนลืมน้ำใจที่ควรมีต่อกันอย่างนี้ก็ไม่ดี เราเป็นประเภทมองเงินมากกว่ามองคน เราเกิดมาเพื่อเงินหรือเราเกิดมาเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งธรรม ถามตัวเองนะว่าตอนนี้ทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อกรรม (ทำเพื่อธรรม)  ทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อเงิน (ทำเพื่อธรรม)  ถ้าทำเพื่อธรรมน่าจะละวางแล้วเกิดความสบายใจ โล่งใจใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทำแล้วยังยึดหวังวอนผล อยากเป็นเทพเทวดา แปลว่ายังหนีไม่พ้นกรรมนะศิษย์จริงไหม (จริง)  แต่เราควรทำแล้วละวาง กลับสู่ความเป็นจริงแห่งธรรม อาจารย์ถามหน่อย คนชั่ว คนด่า เราเรียกว่าธรรมไหม (เรียกว่าธรรม)  ธรรมหรือกรรม (ธรรม)  จำไว้นะศิษย์ คนด่าเราถ้าศิษย์ยังคิดว่าเป็นกรรม แสดงว่าศิษย์ยังมีตัวตนที่ต้องชดใช้ แต่ถ้าเมื่อไรคนด่าเรา เรามองเห็นเป็นธรรม แปลว่าเราสิ้นตัวตน สิ้นกิเลส สิ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  เขาด่าเราคือความเป็นจริงแห่งธรรม ฉะนั้นถ้าเรามองเป็นกรรมแสดงว่าเราต้องมีตัวตนไปชดใช้เขา มีตัวตนเพื่อต้องให้เขาชดใช้ ชดใช้กันไปชดใช้กันมา อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าธรรม แต่ถ้าเรามองใครด่าเราก็แล้วแต่ ใครโกงเงินเราก็แล้วแต่ ใครแช่งชักหักกระดูกเราก็แล้วแต่ ล้วนเป็นธรรม แปลว่าเราไม่มีตัวตนยึดถืออีกต่อไปแล้ว เราสิ้นเวรสิ้นกรรมตั้งแต่เขาด่าจนจบไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรายังบอกว่าเขาด่าฉันๆ ก็แสดงว่าศิษย์กำลังยึดกรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรายังยึดอยู่ก็แปลว่าเราอยากจะจองเวรจองกรรม อยากมีอีกไหม ฉะนั้นถ้าเขาด่ามากรรมหรือธรรม (ธรรม) ชื่นใจ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์กลับคืนกระแสแห่งธรรม ถ้าหยั่งมันเยอะๆ ศิษย์จะรู้ว่าคนด่าโลกนี้มันเป็นโลกแห่งความหมุนเวียนเปลี่ยนผันถูกไหม ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเขาด่าเราจบยัง (จบแล้ว)  แล้วเราจบไหม (จบ)  ถ้าเราไม่จบเราก็คือกรรม แต่ถ้าเราจบแล้ววางเราก็คือธรรม สงบ จริงไหม ฉะนั้นการหยั่งรู้ถึงธรรมบ่อยๆ มันจะทำให้เราไม่ยึดมั่นอะไรเลย เพราะมันไม่เคยเที่ยง เพราะมันมีแต่ทุกข์ ถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่าจากตัวตนให้ยึดถือ อะไรหรือที่ดีจริง อะไรหรือที่ร้ายจริง เพราะถึงที่สุดมีดีก็มีดีกว่าใช่ไหม มีร้ายก็มีร้ายกว่า มีแย่ก็มีแย่กว่า แล้วอะไรดีที่สุดล่ะ ฉะนั้นศิษย์อยากจะดีหรืออยากจะทำกรรม แล้วอยากจะหยั่งให้ถึงธรรมหรือไปให้ถึงกรรม (ไปให้ถึงธรรม) สาธุ ทำให้ได้นะศิษย์ ฝึกตอนไหน ฝึกตอนที่โดนกระทบ ไม่ว่าจะกระทบหู หรือกระทบตา อยากจะกรรมหรืออยากจะธรรม (ธรรม)  กรรมมันแปลว่ายึด ธรรมมันแปลว่าปล่อยวาง แต่ต้องทำให้ถึงที่สุดก่อนนะใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท“มีสติ คิด พูด ทำ”)
วันนี้อาจารย์กลับได้แล้วนะ ถ้ายังมีโอกาสถ้าศิษย์ยังมีบุญอยู่ ไม่แน่พรุ่งนี้อาจารย์จะมา ถ้าศิษย์หมดบุญแล้วไม่แน่อาจารย์ก็ไม่มานะ อย่างนั้นก็ต้องดูรากบุญของศิษย์ ว่ารากบุญนั้นมันจะเป็นธรรมหรือเป็นกรรมนะใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์เอยโลกใบนี้ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ศิษย์ว่าน่ากลัวแล้ว แต่การยึดในกรรมหรือความรู้สึกแห่งความเป็นตัวตน ทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่าย แก่ เจ็บ ตายไม่จบสิ้นนะศิษย์ ฟังให้ดีนะ ศิษย์ว่าความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วศิษย์อยากเวียนว่ายอีกไหม (ไม่)  ถ้าไม่อยากเวียนว่าย จงอยู่อย่างคนสิ้นเวร สิ้นกรรม กลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม แต่ถ้าศิษย์ยังอยากเวียนว่ายศิษย์ก็เกี่ยวกรรมไป อาจารย์ไม่ว่าแต่เวลาทุกข์อย่าเรียกอาจารย์ เพราะอาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะว่า อัญเชิญพระพุทธะมาร้อยรูปพันรูปก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนใจคนที่คิดผิดได้ อัญเชิญพระพุทธะร้อยรูปพันรูปมาปรกโปรดคนที่คิดผิด พระพุทธะร้อยรูปพันรูปก็แปรเปลี่ยนใจคนนั้นไม่ได้ นอกจากใจคนนั้นจะรู้ด้วยตัวเอง เพราะพุทธะเป็นเพียงผู้ชี้ทางสว่าง ส่วนคนที่กลับสู่ทางสว่างคือตัวศิษย์เอง ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ วันนี้จะเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าหรือวันนี้จะสร้างกรรมใหม่ แล้วมีอนาคตที่มีกรรมไม่จบสิ้น ถามใจศิษย์ดู
อาจารย์สอนวิธีกลับคืนสู่ธรรม ไม่กลับไปเกี่ยวกรรม แล้วตอนนี้ศิษย์ยังห่วงแต่ความรู้สึกตัวเอง จนเอากรรม หรือเอาธรรมดี คิดให้ดีๆ นะ เพียงความรู้สึกที่ไม่เที่ยง แล้วคนที่ศิษย์รู้สึกรัก รู้สึกดีมันเที่ยงไหม แล้วควรยึดไหม เราควรมองให้เห็นธรรม หรือเห็นกรรมดี ฉะนั้นจงไปให้ถึงธรรม อย่าไปเพียงกรรมและกรรม เพราะชีวิตชดใช้กรรมมาพอแล้ว ศิษย์รู้ไหม สิ่งที่ศิษย์เกิดมาเป็นคนเพียงแค่เศษกรรม เศษเอง กรรมจริงๆ คือหลังจากตายศิษย์จองเวรใคร ศิษย์ฆ่าใคร ศิษย์เบียดเบียนใคร โกหกใคร ทำร้ายใคร นรกจะอยู่ที่ใจศิษย์ทั้งนั้น ทำไมล่ะ ทุกครั้งที่เราทำอะไร ใจคอยบอกเสมอว่า ฉันเคยขโมย เคยด่า เคยโกง นี่แหละศาลที่ยุติธรรมที่สุดคือ ใจศิษย์ที่เรียกว่ามโนธรรมสำนึก ฉะนั้นทำไมไม่ล้างใจด้วยธรรม ทำไมยังอยากจะให้ใจคลุกกรรมไม่จบสิ้น วันนี้รู้ขนาดนี้แล้วกลับคืนสู่ธรรมกัน ธรรมที่สงบเย็นธรรมที่ไม่เกี่ยวใคร ใครจะร้ายจะดีอย่างไร ดีแล้ว ฉันเห็นแล้ว ฉันรู้ชัดแล้ว ฉันเจ็บพอแล้ว ทุกข์พอแล้ว แต่ทุกข์ตอนนี้จะไม่ทุกข์เพื่อกรรมอีก จะทุกข์เพื่อเห็นแจ้งแล้วกลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ไม่โกรธ เกลียด ใครจะอย่างไรก็ช่าง ขอจบกรรมกันเท่านี้ ไม่เกี่ยวกรรมแล้ว ไม่ดีกว่าหรือ ถามใจตัวเอง จะทำอะไรคิดให้ดีๆ เรามีสิ่งประเสริฐอยู่ที่เรียกว่าธรรม แล้วทำไมไม่เอาธรรม ทำไมเอากรรม เรามีสิ่งประเสริฐที่เรียกว่าธรรมแห่งการเป็นพุทธะ ทำไมเราไม่เป็นพุทธะ ทำไมเราอยากเป็นมาร ทำไมล่ะศิษย์ ยังเจ็บยังทุกข์ไม่พอหรือ อยากทุกข์อีกหรือ อาจารย์อยากจะถามใจศิษย์ ควรจะเกลียดเขา ควรจะด่าเขา ก่อนจะจองเวร จองกรรมเขา คิดให้ดีๆ มันทำแล้วสุขใจ สบายใจไหม โลกนี้คนร้ายเยอะ ขาดคนดี ขาดคนดีที่กล้าหาญมุ่งมั่นแท้จริง จนตัวตาย แม้ตัวตายธรรมเหลือไว้ประเสริฐที่สุดแล้ว ดีกว่าตัวเหลือไว้แต่ธรรมสักข้อก็ไม่มี อาจารย์ว่าไร้ค่ามาก แล้วถามตัวศิษย์มีธรรมบ้างหรือยัง เกิดเป็นคนที่เขาเรียกมนุษย์ผู้ประเสริฐทำอย่างนี้หรือ คนประเสริฐ เรียกว่าคนดี ถ้าหากรู้ว่าไม่ใช่ หยุดได้ไหม ยอมเขาหน่อย แพ้บ้างก็ไม่เป็นไร โดนดูถูกบ้างก็ไม่เป็นไร โดนด่าก็ไม่เป็นไร อกหักบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้าทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิตแท้จริงแล้วไม่เกี่ยวกรรมกับใครอีกต่อไป อาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์ ก็ขอหวังสักนิดก็ยังดี หวังให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรม อย่ากลับไปสู่กระแสกรรม เพราะหวังดี และคิด ก็ขอให้ถึงใจศิษย์ได้ไหม ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมปฏิบัติธรรมสละตัวตนจนกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม ธรรมที่อุทิศเพื่อผู้อื่น ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ เมื่อไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ก็มีกรรมเพียงสังขารเจ็บเพียงสังขาร แต่ใจเราไม่เจ็บ ใจเราพ้นทุกข์แล้ว ฉะนั้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพียงสังขาร ไม่ใช่ใจของศิษย์ ใจศิษย์ก็จะสงบ เย็น ถามตัวเองนะศิษย์ อาจารย์ทำเพื่อใคร

หยุดตาไว้เพียงนั้น  เรื่องราวไว้เพียงนั้น  ตั้งแต่ตอนเห็น  หยุดความคิดเพียงนั้น  หยุดใจไว้แค่นั้น  จะได้บำเพ็ญ  หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว  บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
หยุดเอาไว้คำนั้น  พูดไปแล้วแค่นั้น  แค่อีกความเห็น  หยุดคำนี้คำนั้นหยุดปากไว้แค่นั้น  โป้ปดพึงเว้น  หยุดดีดีหรือมีปัญหาก่อน  หยุดดีดีหัวคงไม่ร้อน
*ใจเป็นกรงทอง  จับจองคำพูดใคร  ขังอะไรในกรงใจ  จงปล่อยวางไปให้ไกล  ถึงเวลา  ใจหมดพันธสัญญา
**ใจเป็นกรงทอง  จับจองคำพูดใคร  ขังอะไรในกรงใจ  จงปล่อยวางไปให้ไกล  ถึงเวลา กรงที่เคยขัง  เปิดออกมา
***หยุดใจไว้ตรงนี้  ไม่ต้องคิดเท่านี้  สิ้นสุดตรงนั้น  หยุดความคิดตอนนี้อย่าไปคิดเรื่องไม่ดี  หยุดที่ใจฉัน  สะดุดไปหลายครั้งอย่าหยุด  หยุดโดยดีไม่มีเดียดฉันท์ (ซ้ำ*,**,***,*,**)
ชื่อเพลง:หยุดใจ
ทำนองเพลง:เก็บใจ

มายเหตุ:พระอาจารย์เมตตาเพลงไว้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน และย่อหน้าที่สองพระอาจารย์มาเมตตาประทานเพิ่มให้ที่สถานธรรมฉือเหริน


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ คิด พูด ทำ”
       มีสติไม่ใช่การคิดออก             แต่คอยบอกเตือนใจให้ระลึก
เลือกถูกผิดคิดพูดทำด้วยสำนึก        คนที่ฝึกสติประจำจะปลอดภัย
คนบำเพ็ญรักษาศีลรักษาธรรม        มีกรรมแค่รู้ว่าต้องชดใช้
เรื่องรู้รู้ที่มีอยู่มากมาย                   กลับทำให้บางทีขาดสติรู้
       รู้ดูแต่ไม่แทรกแซง                 กระบวนการแห่งสติ
ใจกลับเป็นปกติ                           จนกิเลสหยุดทำการ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมจินจง

กลอนหน้า ๑ บรรทัดที่ ๙
เดิม สมัยใหม่ซึ่งมานำใจใครโยชน์       ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง
แก้เป็น สมัยใหม่ซึ่งมานำใจไกลโยชน์      ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一六年歲次丁酉五月二十三日                                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐       สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอเมตตา
  อย่าอยู่อย่างอยากจนยึดติด            อย่าอยู่อย่างผิดศีลขาดธรรม
จงอยู่อย่างทำให้ดีไม่สร้างกรรม          เมื่อรู้ธรรมทำแล้ววางรับความจริง                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานจินจง  เเฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                            ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
  ชีวิตคนไม่ใช่รูปก็คือนาม              มีแต่ความจริงให้แด่ตนหนา
จิตใจยึดติดทำให้ขาดปัญญา           สามเวลามาฝึกจิตยังน้อยไป
มีสุขทุกข์เป็นใจไม่เป็นปกติ             ขาดขาดเกินเกินสติอยู่ที่ไหน
ใจหนักหนักบรรทุกจิตมีกิเลสไว้        ธรรมค้ำจุนรับน้ำใจไว้บำเพ็ญ
เวลาท้อไม่ไหวดั่งโลกพังพาบ           ทำใจแล้วไม่หาบความคิดเห็น
น้ำเต็มแก้วล้นที่ใดใจลำเค็ญ            ไม่จำเป็นยังเทใส่ใจจึงทุกข์
คนทำได้ละลดเดินมองทาง             ตาสว่างเห็นทางอย่าหลงพันผูก
ไม่ติดความมั่นยึดวันเวลาสุข            ไม่ผูกถูกผิดติดอัตตาจะโล่ง
สมัยใหม่ซึ่งมานำใจใครโยชน์           ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง
กินเต็มชามความดีกลับลดลง           คนไม่หลงปลงสายใจสายสัมพันธ์
เพิ่มลดได้เป็นทางกลางมืดสว่าง        ปล่อยวางลงวางกระด้างเป็นนักปราชญ์
วางลงก็เป็นสุขไม่อึดอัด    จงสัมผัสธรรมด้วยใจใฝ่ลงแรง
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
วันนี้มาฟังธรรมเพื่อธรรมหรือมาฟังธรรมเพื่อเอาบุญ เอาวาสนา
เอาโชค เอาลาภ  บุญวาสนาโชคลาภอยู่ที่การให้ทาน โชคดีโชคร้ายอยู่ที่กรรมใช่หรือไม่ ฉะนั้นฟังธรรมแล้วจะเอาบุญเอาวาสนาพ้นกรรมมีโชคมีลาภเป็นไปได้ไหม บอกมาตามตรงเราก็ไม่ว่า

มีทั้งเต็มใจแล้วก็มีทั้งโดนขัดใจและจำใจมาฟังใช่หรือไม่ ตั้งใจไหม (ตั้งใจ)  ตั้งใจนะ เพราะว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว ถ้าคนตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน  แต่ถ้าคนไม่ตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปช้า  แล้วใจตอบว่าช้าหรือเร็ว  ถ้าวันนี้ท่านมาฟังธรรมเพื่อธรรมจริงๆ ไม่ได้มาฟังเพื่อเอาโชคเอาลาภ เอาบุญวาสนา เราก็คงคุยกันต่อได้ ถ้าทำแล้วยังหวังยึดถือ หวังวอนบันดาลดลนั่นก็เรียกว่า คนปฏิบัติธรรมแบบลุ่มหลง เพราะหลักการปฏิบัติธรรมคือทำเพื่อละวางการยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  หากถือมั่นอยู่ก็ยังเรียกว่า ทำบุญแต่ก็ยังหลง มีกิเลส หลงบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะถามว่า เรามาฟังธรรมเกือบวันหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ค่อยเห็นธรรม ยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมเท่าไหร่ เห็นแต่ความเป็นจีน แบบจีน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามท่านนะ โดยส่วนใหญ่เวลาเรามองธรรม หรือเราอยากเห็นธรรม ธรรมที่ในใจเราคิด คือ  ธรรมที่เรามองแล้วสงบ ธรรมที่ปฏิบัติแล้วเราเย็น  ธรรมที่เราปฏิบัติแล้วเราโปร่ง โล่งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามาศึกษาธรรมแล้วยังไปยึด ต้องมีโชค มีลาภ อย่างนี้เรียกว่ามองเห็นธรรมถูกไหม (ไม่ถูก) ไปถึงธรรมไหม (ไม่ถึง)   ฉะนั้นไม่ใช่เรียกว่าธรรม เพราะในใจของทุกคนคิดว่าธรรมคือความ สงบ เย็น โล่ง โปร่ง สบาย ใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วเรายังหวังขอพร หวังโชค หวังลาภ นั่นเป็นไปเพื่อความสงบเย็น หรือความยึดมั่นถือมั่น (ยึดมั่น)
เป็นความปล่อยวางหรือความยึดติด (ยึดติด)  และการคิดแบบนั้นเรียกว่าการปฏิบัติธรรมถูกต้องไหม (ไม่ถูก) เวลาทุกข์ เวลาท้อ เวลาวุ่น เวลาสับสน จิตใจล้า เสียใจมากๆ อยากเข้าหาธรรม ธรรมในความคิดของทุกคนคือความสงบ ความเย็น ความสบาย ถ้าใจคนทำให้เราวุ่น ไม่สงบ ไม่เย็น ไม่โปร่ง ไม่โล่ง อย่างนั้นทำไมไม่ลองฝึกใจธรรม มีใจเป็นธรรมบ้าง เรามัวแต่หาธรรมข้างนอกแต่ลืมใจเราที่เป็นธรรม เพราะถ้าใจเราเป็นธรรม เราอยู่ที่ไหนก็สงบ เย็น โปร่ง โล่ง เบา แต่ถ้าเราเป็นใจคน อยู่ที่ไหนเราก็วุ่น ก็ยึดติด ก็เรียกร้อง ฉะนั้นตอนนี้อยากหาใจคนหรืออยากหาใจธรรม (ใจธรรม)  อย่างนั้นตอนนี้ท่านเป็นใจคนหรือใจธรรม (ใจธรรม)
มนุษย์ปรารถนาที่จะเข้าถึงธรรม  หรือปรารถนาที่จะมีธรรมเพื่อนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นให้กับชีวิต  เพราะรู้สึกว่าชีวิตความเป็นคน  หรือใจความเป็นคนนั้นวุ่นวาย  เต็มไปด้วยความทุกข์  เต็มไปด้วยความท้อ  และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด  บางทีการหันหน้าเข้าสู่ธรรมอาจจะทำให้เราพบทางสงบ  พบทางร่มเย็นใช่หรือไม่  แต่ว่าถ้าเราหันหน้าเข้าสู่ธรรมแต่ใจเรายังมีความเป็นคนอยู่  เราก็จะไม่มีวันเห็น
ถ้าเราอยากเข้าสู่ธรรม เราต้องฝึกใจเราให้เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะมองว่าการฝึกใจธรรม คือ ฝึกให้ใจมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่จริงๆ แล้วคำว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมบางครั้งอาจจะดูเหมือนเราลำเอียงใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากฝึกใจธรรม เราจะฝึกแบบไหนที่จะทำให้เรามองเห็นและฝึกได้ง่าย พระพุทธะกล่าวไว้ว่า อยากฝึกใจธรรมก็ให้เลียนแบบดิน เลียนแบบฟ้า ใจที่สงบ ใจที่สว่าง ใจที่สะอาด ใจที่กว้างใหญ่ เปรียบเทียบได้กับใจธรรมเรียกว่าใจฟ้า จริงไหม (จริง)  กว้างไหม ยิ่งใหญ่ไหม และเปรียบเทียบได้กับใจดิน ใจดินหนักแน่น และรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง ดินรังเกียจเดียดฉันท์ไหม (ไม่)  ดังนั้นการที่เราจะฝึกใจฟ้าใจดินได้เราต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ใจฟ้าใจดินหรือเรียกว่าใจธรรมนั้น แตกต่างจากใจคนตรงที่ใจฟ้าใจดินไม่มีตัวตน แต่ใจคนมีตัวตน ฉะนั้นถ้าอยากเข้าถึงใจธรรมต้องวางซึ่งตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่เป็นใจธรรมเป็นอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ ถ้ามนุษย์ใจกว้างสุดประมาณจะไม่มีใครที่ทำให้เราต้องอดทน อดกลั้น ถ้ามนุษย์ใจหนักแน่นในความดีงามอย่างถึงที่สุดจะไม่มีใครที่ร้ายจนย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกท้อแท้ เราเทียบง่ายๆ ใจธรรมเหมือนใจฟ้ากับใจดิน ฉะนั้นคนที่มีใจฟ้าแปลว่ากว้างสุดประมาณ เมื่อกว้างสุดประมาณจะมีใครไหมที่ทำให้เราต้องพยายามอดทนอดกลั้น ฉะนั้นใจฟ้าจะไม่มีคำว่าตัวตน
อะไรๆ ก็ว่าง ก็โล่ง ก็โปร่ง ก็สงบ ก็เย็นใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรเราฝึกใจธรรมแต่เรายังบอกคนนี้ยังใช้ไม่ได้ คนนี้ยังไม่ดี แปลว่าใจเรายังไม่กว้างเท่าฟ้า ฉะนั้นถ้าเราฝึกใจธรรมแบบดิน คือ หนักแน่นในความถูกต้องอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และรู้จักผันแปรสิ่งที่เรียกว่าเลวร้าย ให้ก่อเกิดเป็นคุณประโยชน์ นำมาซึ่งความสร้างสรรค์และดีงาม ถ้าเรามีใจดินที่เรียกว่าเป็นใจธรรม จะมีใครย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วหรือไม่ จะมีใครที่ย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่อยากดีอีกต่อไปหรือไม่ ฉะนั้นคนที่ฝึกใจธรรมและเลียนแบบใจฟ้าใจดินจะเป็นคนที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความอดทน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า คนทำดีแล้วต้องพยายามทำให้ดี ถ้าฝึกใจดินจะไม่ท้อจะไม่เหนื่อย จะไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกย่ำแย่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าฝึกใจธรรมเลียนแบบใจฟ้าดิน ก็ไม่มีใครทำให้เราต้องรู้สึกอดทนอดกลั้นหรือทำให้เราไม่อยากดีอีกต่อไป คนใจฟ้าแปลว่ากว้างจนถึงที่สุด แต่ความเป็นใจคนมีอัตตา มีรูปแบบ มีการติดยึด ฉะนั้น พอเจอเรื่องอะไรมากระทบยอมได้ไหม เมื่อยอมไม่ได้ก็เลยต้องอดทนอดกลั้น เมื่อยังต้องอดทนอดกลั้นแปลว่าไม่ว่าง ไม่สงบ ไม่เย็น ฉะนั้นคนฝึกใจฟ้าเมื่อว่างแล้วก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าเย็นแล้ว ถ้าสงบแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เกินเลยจนทำให้เราต้องโมโหและรับไม่ได้ ฉะนั้นตอนนี้เราเคยมีใจฟ้าบ้างไหม  หรือที่ฝึกมายังคงเป็นใจคนอยู่จริงไหม ยังไปไม่ถึงใจธรรมเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่เข้าถึงใจธรรม ถามท่านง่ายๆ ใจธรรมคือใจที่สงบ เย็น โล่ง บริสุทธิ์ แต่ถ้าฝึกใจธรรมแล้วยังต้องอดทนอดกลั้น แปลว่ายังไม่เย็นนะ แปลว่ายังไม่มีธรรม จริงหรือไม่ (จริง) 
พูดถึงตรงนี้แล้ว  แล้วใจแห่งธรรมเป็นอย่างไร ใจแห่งคนเป็นอย่างไร แตกต่างกันตรงไหน เคยมองบ้างไหม ไม่เคยเลยใช่หรือเปล่า ถ้ามีใจธรรมเราจะสงบเย็น โล่งโปร่งเบา  แต่ถ้ามีใจแห่งความเป็นคน เราจะมีแต่ความยึดติด สุขทุกข์และรำคาญใจ แล้วใจธรรมต่างจากใจคนอย่างไร  เคยสังเกตไหม ทุกวันนี้มัวแต่หาเงินใช่ไหม พอหาเงินจนทุกข์แล้วค่อยมาหาธรรมใช่ไหม แล้วตอนนั้นมีแรงจะหาธรรมไหวไหม หาเงินจนเงินทำให้เจ็บช้ำ ความรักทำให้เจ็บช้ำ มีทุกข์จนเจ็บช้ำแล้วตอนนั้นมาหาธรรมจะหาทันไหม เยียวยาใจทันไหม ใจธรรมต่างจากใจคนตรงไหน
ถ้าเอาใจฟ้าและใจดินเป็นใจธรรม ฟ้าและดินหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้กำเนิดสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง และประกอบกิจอย่างไม่ทวงบุญคุณ ฟ้าดินให้สรรพสิ่งมีชีวิต ให้เราเกิด ให้เรามีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ แต่ไม่เคยทวงสิทธิ์เราคืนถูกไหม  เจือจุนเกื้อหนุนแต่ไม่บังคับบีบคั้นใจเรา สร้างสรรค์ให้สรรพสิ่งเกิดและดำรงอยู่โดยไม่ถือครอบครอง และเมื่อทำถึงที่สุด ทำแล้วก็แล้วไป ไม่ยึดติดหวังผล นี่แหละเรียกว่าหัวใจแห่งธรรม  หัวใจแห่งธรรมคือ ให้สรรพสิ่งกำเนิดขึ้นมาโดยไม่ถือสิทธิ์ ประกอบกิจก็ไม่ทวงบุญคุณ เมื่อเจือจุลเกื้อหนุนสรรพสิ่งแล้วก็ไม่บีบคั้น และสร้างสรรค์สรรพสิ่งให้โดยที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นครอบครอง พอทำถึงที่สุดแล้วก็ไม่จดจำ นี่คือใจธรรม แต่ใจแห่งความเป็นคน ต่างกันไหม (ต่าง)  เวลาทำอะไรหวังผล ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทำสิ่งหนึ่งหวังผล แปลว่าสิ่งที่ทำนั้นทำให้เราไม่ว่าง เมื่อไม่ว่าง ก็ไม่สงบ ก็ไม่อาจยิ่งใหญ่ และกว้างใหญ่ได้ จริงไหม (จริง)  เวลาเราทำดีแล้วหวังผลตอบแทน การหวังผลตอบแทนทำให้สิ่งที่เราทำนั้นกลายเป็นไม่ว่าง แต่กลายเป็นความมีและยึดติดและไม่ยิ่งใหญ่ ใจคนมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชอบทำอะไรแล้วต้องให้เป็นดั่งใจ เมื่อต้องหวังให้เป็นดั่งใจแปลว่า ในใจเรามันไม่สงบ ในใจเรามีความมั่นหมาย ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่สามารถเข้าถึงใจธรรมได้ เพราะว่าทุกครั้งที่ทำ ยังยึดมั่น ยังหวังผล ใจจึงไม่สงบ ฉะนั้นถ้าทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังวอนผลบันดาลดล ใจจึงไม่ว่าง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังให้เป็นดั่งใจตนเอง ใจนั้นจึงไม่สงบ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจ้าคิดเจ้าแค้น จดจำไม่ลืมเลือน ใจจึงไม่มีวันเย็นได้เลย ฉะนั้นใจคน ต่างจากใจฟ้าก็ตรงนี้ เพราะใจฟ้าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้สรรพสิ่ง ไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยอ้างสิทธิ์ ไม่เคยจดจำ ไม่เคยยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ใจฟ้าหรือใจธรรม จึงสงบเย็น ยิ่งใหญ่และว่าง แต่ใจคนไม่ใช่แบบนั้น ยึดมั่น ตามใจ จดจำ เคียดแค้น รักไม่ลืม ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่มีวันสงบ เย็นและว่างได้เลย
เวลาที่เราใช้ชีวิต ชีวิตวุ่นมากๆ หาเงินมากๆ พอเวลาว่างเราจึงอยากไปนั่งดูธรรมชาติ เหนื่อยมากๆ ทำไมอยากนั่งนิ่งๆ เฉยๆ และปล่อยใจมองฟ้ามองดิน ฟังเสียงนก ฟังเสียงลม
เพราะเมื่อมีความอยากมากถึงที่สุด เราก็อยากกลับมาคืนสู่ใจที่เย็นบ้าง สงบบ้าง วางบ้าง จริงหรือไม่ (จริง)  หามาแทบแย่แต่ถึงเวลากลับไม่สงบเลยคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  หามาแทบตายแต่ไม่มีความเย็นใจเลย ฉะนั้นทำไมใจเราจึงบอกว่าอยากสงบบ้าง อยากเย็นบ้าง อยากโล่งๆ บ้าง เพราะจริงๆ แล้วเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรม แต่ความเป็นใจคนมาบดบังใจธรรม แต่ธรรมจะคอยย้ำเตือนท่านเสมอว่า เมื่อไรจะว่างสักที เมื่อไรจะเย็นได้บ้าง เมื่อไรฉันจะอิสระจริงๆ สักที ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตอยากอิสระ แต่ทำไมหาคู่ ชีวิตอยากสงบเย็น แต่ทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้น ชีวิตอยากเป็นสุข แต่ทำไมชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะใจคนบังใจธรรมอยู่ ถ้าวางใจคนได้ท่านจะกลับพบใจธรรมที่อยู่ในตัวเราว่าจริงๆ มันสงบ มันเย็น มันว่างอยู่ แต่เพราะความยึดติดในความเป็นใจคน เราเลยไม่เคยว่างสักทีใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า สิ่งใดก็ตามที่เข้าออกมาทางจิตใจแล้วทำให้จิตใจติดนิ่งอยู่กับอารมณ์ นั่นเรียกว่า กิเลส นั่นเรียกว่าใจคน แต่สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เรารู้เท่าทันความคิดแล้วไม่ติดนิ่งในอารมณ์ ในความคิด ในกิเลส ทำให้เราโปร่ง โล่ง เบา นั่นคือใจธรรม หรือเรียกว่าโพธิจิต ทำให้เราวางจากความคิด วางจากกิเลส ว่างจากอารมณ์ ปลดเปลื้องเราจากความยึดมั่นถือมั่น ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าสู่กระแสธรรมปฏิบัติด้วยเมตตา ด้วยมโนธรรมสำนึก ด้วยจริยะอันดีงามจึงเรียกว่าคุณธรรมแห่งความเป็นโพธิ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออกระหว่างธรรมกับคุณธรรม พอเข้าใจไหม
ถึงท่านจะพยายามปฏิบัติคุณธรรม แต่ลืมเลือนใจธรรมก็ยังถือว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม ดังที่มนุษย์คิดว่า แม้ฉันยังมีใจคนอยู่ ฉันยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันก็ไปปฏิบัติดีก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเมตตา ไปทำบุญ ไปให้ทาน ฉันมีจิตสำนึกดีงามนะ ถ้าทำแล้วยังมีจิตแห่งความเป็นคน ยึดมั่นถือมั่นติดแน่นในอารมณ์และตัวตน ผลพวงก็ยังเป็นกิเลสไม่ใช่ธรรมใช่ไหม ฉะนั้นถึงทำดีก็ยังต้องเหนื่อยและยังต้องอดทน แต่ถ้าในขณะใจธรรมเราก็ถึง ประกอบกิจก็มีคุณธรรม อันนี้เรียกว่าสมบูรณ์แล้ว ดังที่คำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ขอเพียงมนุษย์มีศีล มีธรรม ปฏิบัติทุกขณะด้วยสติปัญญา มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน และมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงแห่งโลกอันเกิดดับที่เรียกว่าอมตะธรรม คนนั้นแม้มีชีวิตอยู่แค่วันเดียวก็ประเสริฐกว่าคนที่ผิดศีล ขาดธรรม และมองไม่เห็นธรรมสักหนึ่งขณะเลย
แล้วทำไมเกิดเป็นคนต้องมีธรรม คนที่มีมโนธรรมสำนึกดี รู้ผิดชอบชั่วดี กับคนๆ หนึ่งไม่มีมโนธรรมสำนึก ไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ท่านเลือกคบคนไหน คนที่รู้จักยับยั้งควบคุมอารมณ์ตน กับคนที่แม้จะเป็นคนดีแต่ไม่เคยควบคุมอารมณ์ตน ท่านเลือกคนไหน (คนที่ควบคุมอารมณ์ตน) ฉันใดก็ฉันนั้นทำไมคนเราต้องมีธรรม เพราะคนที่มีธรรมล้วนเป็นที่ปรารถนาของทุกคน และเป็นที่ปรารถนาของใจเรา แต่ถึงเวลาเราทำไหม เราเอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตนเองลืมควบคุมใจตนเอง เอาแต่ว่าคนอื่นไม่ดี แต่ตนเองควบคุมความไม่ดีของตนเองได้หรือยัง ฉะนั้นถึงดีแค่ไหนแต่ยังควบคุมใจแห่งความชั่วร้ายไม่ได้ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีได้
มือถือสากปากถือศีลจงอย่าได้เป็น เป็นคนดีแต่ยังยับยั้งชั่วไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริง เป็นคนดีแต่ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดีจริงหรือ ผู้ที่สามารถควบคุมความไม่ดีให้ได้ ถึงจะเรียกว่าคนดีจริง
ใจธรรมเป็นอย่างไร การจะฝึกใจธรรมแล้วทำให้เราเป็นใจธรรมได้ไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเราอยากฝึกใจธรรมก็ให้มองใจธรรมมากๆ อย่ามองคนแบบคน เพราะถ้ามองคนแบบคน จะมีแต่ความเป็นคนแล้วคน ใช่ไหม (ใช่)  จงมองคนแบบธรรมแล้วเราจะพบธรรม
คนบางคนเหมือนผลไม้หรือ คนบางคนเหมือนดอกไม้ไหม
(ไม่เหมือน)  ท่านกำลังคิดว่า “คนไม่เหมือนดอกไม้ ดอกไม้ก็ดอกไม้ คนก็คนสิ” ถ้าเช่นนี้ก็คือมองเห็นคนแต่มองไม่เห็นธรรมนะ คนก็เหมือนกับผลไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ ทำไมจึงบอกอย่างนั้น ถ้าบอกว่ามีคนๆ หนึ่ง เหมือนต้นกล้วย แปลว่าคนคนนั้นมีประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ภายนอกจรดภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนบางคนเหมือนต้นหญ้า ดูเหมือนไร้ราคา แต่ก็มีคุณค่าที่ปกพื้นดินไม่ให้ดินถูกกัดเซาะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากฝึกใจธรรม จงมองให้เห็นความเป็นธรรมในผู้คน เหมือนกับดอกไม้มีหลากแบบ บางแบบสวยแต่กลิ่นไม่หอม บางแบบทั้งหอมทั้งสวย แต่บางแบบแค่หอมแต่ไม่สวย แต่บางแบบไม่หอมแล้วก็ไม่สวย แต่ก็ยังเป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้เป็นฉันใดคนก็ฉันนั้น ดูสวยแต่ไม่หอม  ดูหอมแต่ไม่สวย ดูไม่หอมแล้วก็ไม่สวย  แต่ก็เป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกสวย ข้างในอร่อย แต่ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกขรุขระแต่ข้างในกลับยิ่งอร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนมนุษย์ฝ่ายชาย นิสัยไม่ค่อยดี เวลาดีก็ดีใจหายเลย เวลาเอาเรื่องก็ไม่ยอมใครเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเทียบผู้ชายกับผลไม้ก็คงเหมือนทุเรียนก็แล้วกัน จับไม่ดีก็เจ็บมือ ถ้าจับให้ดีก็มีค่าและหอมหวาน  แต่กว่าจะถึงความหอมหวาน ต้องจับให้เป็นไม่อย่างนั้นเจ็บมือใช่หรือไม่  แล้วท่านเป็นทุเรียนไหม หรือเป็นคล้ายกับเงาะ ดูข้างนอกไม่สวยเลยแต่ใจดีที่หนึ่ง หรือเป็นเหมือนมะม่วงข้างนอกก็สวยข้างในก็อร่อย  เรามองทุกสิ่งทุกอย่าง มองคนอย่ามองอย่างคนแต่มองอย่างธรรม แล้วเราจะได้เห็นธรรมในผู้คน จำไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดมาแล้วไร้ค่าไร้ราคา ขอเพียงไม่ดูเบาตนเอง คนทุกคนล้วนมีค่ามีความหมาย และสรรพสิ่งไม่ว่าจะร้ายอย่างไร แท้ที่จริงแล้วก็เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราเข้าใจสิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร (ธรรม)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมเราก็จะรู้ว่าในความเป็นจริงแห่งธรรม ธรรมสอนให้รู้ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าไฟและน้ำ

ฉะนั้นถ้ารู้จักช่วงใช้ให้เป็น ไฟก็มีประโยชน์ น้ำก็มีประโยชน์ ในโลกนี้บางครั้งคนอยู่ได้สูง แต่บางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ต่ำ  และบางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ที่ธรรมดาสามัญ แปลว่าความเป็นจริงของโลกใบนี้ สูงขนาดไหน จะต่ำขนาดไหน หรือจะธรรมดาขนาดไหน ล้วนก็คือธรรม เป็นไปได้ไหมมีสูงไม่มีต่ำ เป็นไปได้ไหมมีร้อนไม่มีเย็น ฉะนั้นถ้าควบคุมให้ดี เราก็เรียกว่าส่วนหนึ่งแห่งธรรมหรือเรียกว่าความสมดุล แต่หากผู้ชายมีความแข็งแกร่งจนถึงที่สุดและไม่มีความอ่อนยืดหยุ่น ก็จะกลายเป็นกระด้างเกินไป หรือผู้หญิงถ้าอ่อนนุ่มจนหาความแข็งไม่มี ก็จะกลายเป็นไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ทำอะไรก็ยอมแพ้พังพาบได้ง่ายๆ ฉะนั้นธรรมชาติจึงสอนไว้ว่า สิ่งที่ร้อน สิ่งที่เย็น สิ่งที่ร้าย สิ่งที่ดี ถ้ารู้จักใช้ให้สมดุลก็เรียกว่าธรรม  ถ้าใช้ไม่เป็นก็กลายเป็นกิเลสและก่อเกิดเป็นความทุกข์ ฉะนั้นการจะเข้าให้ถึงธรรมจึงต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติ อย่าเอาแต่ฟัง ปฏิบัติเช่นไรล่ะ ก็ปฏิบัติง่ายๆ ด้วยการฝึกจิตให้คุ้นชินกับความเป็นจริง
ฝึกจิตให้เข้าใจหลักแห่งธรรม หรือฝึกจิตให้เข้าใจความเป็นธรรมดาอันเรียกว่าปกติแห่งธรรม คนมีร้อนมีเย็น เรื่องราวมีสูงมีต่ำ มีดีมีร้าย ล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรม ถ้าเมื่อไรเราฝึกจิตจนคุ้นชินความเป็นจริงแห่งธรรม และเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมด้วยใจที่เปิดกว้างยอมรับและรักษาใจแห่งความเป็นกลางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่มีอะไรทุกข์จนเราย่ำแย่หรือสุขจนหลงเลิศลอย เราบอกท่านจนจบแล้วนะ วิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมคือรักษาใจเป็นกลาง ถ้าเรายังยึดติดนั้นไม่ใช่ใจธรรมแต่เป็นใจคน ใจธรรมก็คืออะไรๆ ก็คือธรรม
สิ่งที่เรามาพูดในวันนี้ล้วนเป็นหลักแห่งธรรมในการดำเนินชีวิตเพราะถึงที่สุดทุกชีวิตล้วนต้องการคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็อาจไปไม่ถึงธรรม แต่ไปถึงคำว่ากรรม อยากรู้ไหมว่าทำไมไปไม่ถึงธรรมแต่กลายเป็นไปแล้วเป็นเวรเป็นกรรม ก็เพราะยึดติดในตัวตน ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยใจว่าง เป็นกลาง ไม่ยึดติด ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล ทุกสิ่งทุกอย่างคือความสงบเย็นและปล่อยวาง นั่นก็คือกลับสู่ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ดีก็ยึด ร้ายก็ยึด สิ่งที่ยึดจึงก่อเกิดเป็นกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ธรรมคือความเป็นกลาง กลางที่เรียกว่า อกรรม คือ พ้นแล้วซึ่งเวรกรรม แล้วทำไมจึงอยากยึดติดความเป็นคนเพื่อหมุนเวียนวัฏฏะแห่งกรรม ทำไมไม่เข้าหาธรรมเพื่อกลับคืนสู่ความสงบเย็น
ฉะนั้นหัวใจแห่งธรรมคือบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง เจือจุนสรรพสิ่งโดยไม่ทวงบุญคุณ สร้างสรรค์สรรพสิ่งโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวตน ให้แล้วให้เลยไม่จดจำ ถ้าทำได้ถึงหลักแห่งใจธรรมท่านก็กลับคืนสู่ความสงบเย็น ไม่ต้องพรุ่งนี้แต่เดี๋ยวนี้และตอนนี้ทันที

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เรื่องธรรมะคิดได้ไม่ค่อยคิด             เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ไปกันใหญ่
เรื่องธรรมดาทำมาน้อยอกน้อยใจ        เรื่องของใครเอามาเป็นสาระสำคัญ
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า
        สะสมบุญมากกว่ากรรมแล้วหรือไม่ มีจิตใจที่ดีมากพอหรือยัง คนที่บำเพ็ญแล้วยังมิแคล้วต้องฟัง ที่กำลังก้าวต่อไปคืออะไร
        คุณธรรมทำให้คนทรงคุณค่า คำปรึกษาต้องเจือหลักธรรมปลอบใจ
คนที่ธรรมดาเพราะไม่รู้ว่าทำได้ บำเพ็ญละไมคืนสุขให้ชีวิตตน

        * สมาธิขอให้พร้อมยิ่งกว่าพร้อม บางเรื่องยอมถึงยอมคือทุกข์ไม่
หมองหม่น รับเรื่องราวด้วยใจว่าง ปล่อยวางอย่าไปกังวล จะมีจะจนยังต้องบำเพ็ญเข้าไว้

             พึ่งพาศีลเป็นเครื่องช่วยถอนกิเลส หว่านเมล็ดตื่นรู้ให้ถึงข้างใน ผลบุญยังไม่มา เพียรคือความหวังใหม่ น้ำหลายสายหลั่งไปหลอมรวมร่วมกัน  (ซ้ำ *)
                                             ชื่อเพลง : รักษาศีลบำเพ็ญบุญ
                                              ทำนองเพลง : ขอเดินด้วยคน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อยากฟังเขาต่อไหม ถ้าบอกอยากฟังเดี๋ยวอาจารย์กลับก็ได้นะ เขาพูดดีนะ ทุกคนที่มาพูดในชั้นล้วนพูดดีใช่หรือไม่ แต่เราเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเราฟังไม่ค่อยดี เขาให้มานั่งฟังธรรมหรือนั่งหลับ (ฟังธรรม)  ธรรมะสอนให้เรารู้จักลดละอัตตาตัวตน ปล่อยวางความโลภโกรธหลงใช่หรือไม่ ลดความยึดมั่นถือมั่น ถ้าฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ แปลว่าไม่ได้มาฟังธรรมแต่มาทำอะไรตามใจเฉยๆ แปลว่าที่ฟังมาไม่เข้าหูเลย
 ถ้าสมมติว่าศิษย์มีลูก  แล้วลูกของศิษย์เกาะศิษย์แจ ไม่คิดที่จะพึ่งตัวเอง คิดจะพึ่งแต่พ่อแม่ อย่างนี้ศิษย์คิดว่าเลี้ยงลูก ถูกหรือผิด (ผิด)  ถ้าอาจารย์มีลูกศิษย์  แล้วลูกศิษย์ติดอาจารย์แจไม่คิดจะพึ่งตนเอง อะไรก็รอแต่อาจารย์เตือน รอแต่อาจารย์บอก คิดเองไม่ได้ อย่างนี้ถูกหรือผิด (ผิด)  พอรู้ว่าผิดไม่กล้าเจอหน้าอาจารย์ หลบไปอยู่ข้างล่างไม่กล้าขึ้นมาข้างบนใช่หรือไม่คนที่อยู่ข้างล่าง 
 เรื่องธรรมะคิดได้กลับไม่ค่อยคิด เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ยิ่งแต่คิดไปกันใหญ่ เราเป็นอย่างนี้ไหม คิดว่าทำไมเขาไม่เป็นแบบนั้น ทำไมเขาไม่เป็นแบบนี้  ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่  ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน  ยิ่งคิดยิ่งยอมรับความจริงไม่ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนิดๆ หน่อยๆ แต่เราก็เอามาเป็นเรื่องเอามาเป็นสาระสำคัญ แล้วก็น้อยใจคนนั้นน้อยใจคนนี้ 
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เพื่อเอาไปปฏิบัติใช่หรือไม่ ศิษย์เคยสังเกตไหม ฟังธรรมมาก็เยอะ รู้ธรรมมาก็มาก แต่น่าแปลกใจ ทำไมกิเลสอารมณ์ยังมีเหมือนเดิม จริงไหม (จริง)  มนุษย์เราเป็นแบบนี้นะ ฟังมาก็เยอะ รู้มาก็มาก แต่ถึงเวลากิเลสอารมณ์น่าจะน้อยลงแต่กลับเหมือนเดิม หรือบางครั้งยังมากกว่าเดิมอีกใช่ไหม อาจารย์แค่ลองคุยให้ฟัง ว่ามันตรงกับใจใคร แต่อาจารย์ว่าคงตรงกับใจทุกคน จริงไหม แปลว่าเราไม่เคยเอาสิ่งที่รู้มาหักห้ามกิเลส ถากถางกิเลสออกจากใจตัวเองได้เลย ใช่หรือไม่ แปลว่าเราแค่รู้ใช่หรือไม่ แต่ยังไม่ลงมือทำใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนบางคนดีหน่อย ตรงที่พอเวลามีเรื่องอะไรที่เป็นธรรมะ ชอบฟัง ใช่หรือไม่ ชอบฟังไหม (ชอบ)  เพราะการฟังธรรมก็เป็นบุญชนิดหนึ่ง แต่ถ้าฟังแล้วไม่นำเอามาปฏิบัติ ธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถทำให้จิตใจนั้นสงบเย็น และธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถที่จะป้องกันกิเลสเข้ามาครอบงำใจได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นอย่าเอาแต่ฟัง แต่รู้จักเอาธรรมไปปฏิบัติ เพื่อทำให้จิตนั้นสงบเย็นและป้องกันกิเลสไม่ให้มาคุกคามใจ ใช่หรือเปล่า 
 ศิษย์เอยถ้าเราอยากอยู่ในโลกให้มีความสุข เราอย่ามัวแต่ห่วงตนเอง เพราะถ้าศิษย์คิดว่า “เรื่องของคนอื่น” ศิษย์รู้ไหมว่าถ้าเมื่อไรคนอื่นทุกข์ เขาก็จะพลอยทำให้คนรอบข้างทุกข์ด้วย จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ดีก็พอแล้ว คนอื่นช่างหัวมัน แต่ศิษย์อย่าลืมนะ คนอื่นที่ทุกข์และเราไม่สนใจเขานั้นเขาอาจจะกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะดี ทำไมไม่ทำให้ตัวเองดี และทำให้คนอื่นดีด้วยล่ะ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยากจะสุข ทำไมไม่ทำให้ตัวเองสุขแล้วคนอื่นก็สุขด้วย ทำไมห่วงแต่สุขตัวเองแล้วทอดทิ้งทุกข์ของคนอื่น ปัญหาที่เกิดคือทุกข์ของคนอื่นที่เราทอดทิ้งนี่แหละ จะวกกลับมาทำร้ายเรา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมที่เราอยู่ในโลกแล้วตัวใครตัวมัน 
ขึ้นชื่อว่าคนยังเกี่ยวสัมพันธ์กัน ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “คนคดหนึ่งคนสามารถทำร้อยคนที่ตรง ให้คดได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่ดีหนึ่งคนทำร้ายคนดีให้หมดเรี่ยวแรงหมดกำลังใจได้ ฉะนั้นเราดีอย่างเดียวแล้วไม่ต้องสนใจคนไม่ดี ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น ให้คนอื่นสุขแล้วตัวเองทุกข์ ให้คนอื่นสบายแล้วตัวเองลำบาก เชื่อไหมว่าคนเช่นนี้ที่จะแปรเปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นความสว่าง และความสว่างเป็นความสว่างยิ่งขึ้น ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า อย่าเกิดเป็นคนรักแต่สบาย อย่าเกิดเป็นคนเอาแต่สุขฝ่ายเดียว ทำไมไม่ลองทุกข์เพื่อผู้อื่นบ้าง ทำไมไม่ลองลำบากเพื่อผู้อื่นบ้าง เผื่อว่าความมืดในใจเขาจะกลายเป็นความสว่าง และเผื่อว่าความมืดที่เขามองเห็นจะไม่ใช่ความมืด แต่กลับจะรู้สึกว่าความลำบากของเขาช่างเป็นแสงสว่างที่นำใจเรา ให้รู้สึกว่าฉันจะต้องเป็นอย่างเขาให้ได้ ศิษย์เคยเจอคนประเภทนี้ไหม แล้วศิษย์ไม่คิดจะเป็นแบบนี้บ้างหรือ ทำไมเอาแต่ตัวเองรอด ตัวเองดี ตัวเองสบาย ตัวเองสุข แล้วคนอื่นไม่สนใจ ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงน่าจะเป็นคนที่ลำบากได้ ทุกข์ได้ แต่ทำให้คนอื่นยิ้มได้สุขได้ อย่างนั้นไม่ประเสริฐกว่าหรือวันนี้ที่มาฟังธรรมเราคิดว่าเพื่อจะนำธรรมะนี้ไปใช้ในชีวิต แต่เราต้องมีความคิดที่ตรงกันก่อน หนึ่งอาจารย์ไม่ได้มาให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังพูดหลักธรรมที่จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ธรรมที่เป็นกลาง ถ้าเราจะนำธรรมไปใช้ในชีวิต ตอนนี้ศิษย์ทำเพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อใจ,เพื่อกาย)  กายมากกว่าหรือใจมากกว่า (กายมากกว่า)  ที่แต่งตัวทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ ที่ทำอะไรทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อกาย)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ทำเพื่อกายและเพื่อใจ ฉะนั้นถ้ามีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น ใจต้องรับได้ ใจต้องรู้ทัน ถ้าเราหาเงินมาแล้วเงินนั้นหายไป ถ้ามีแฟนแล้วแฟนไม่รัก หาเงินแล้วคิดว่าจะรวยขึ้นแต่กลับเป็นหนี้ กายก็ต้องรับได้ ใจก็ต้องรับได้ แสดงว่าทุกวันนี้ศิษย์ทำทุกอย่างล้วนเพื่อกายแต่ลืมบำรุงเลี้ยงดูแลใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อให้กายรอด กายต้องมีกิน กายต้องสวย กายต้องดูดีก่อน แต่เราลืมดูแลใจ ถามคนที่อายุมากนะว่า ภรรยามีไหม เงินมีไหม เงินก็ยังพอมี ลูกก็มี รถก็มี ใช่ไหม (ใช่)  สมัยเด็กๆ ศิษย์บอกว่า ถ้าศิษย์มีสิ่งเหล่านี้แล้วจะทำให้เรามีความสุขกายและสุขใจ ถูกไหม ตอนนี้มีครบทุกอย่าง ทำไมกายยังรู้สึกโหวงๆ ใจยังรู้สึกเหวงๆ รถก็มี บ้านก็มี เงินก็มี ลูกก็มี แต่ทำไมใจรู้สึกเหมือนไม่มี (รถอยู่กับเราทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์)  ไม่ใช่แค่ทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์ บางทีโฉนดที่ดินก็อยู่กับธนาคาร ใช่หรือเปล่า ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อหวังให้กายมีสุข เพื่อต่อไปในภายภาคหน้าใจจะมีสุข แต่ทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นสิ่งที่ศิษย์หวังว่าจะมีสุข กลับกลายไม่มีสุขแต่กลายเป็นเหมือนพันธะผูกพันที่ทำให้เราต้องวิ่งวนไม่จบสิ้น จริงไหม นั่นแปลว่า เรามัวบำรุงกายจนลืมยั้งใจตัวเองไหม (ใช่)  ที่เป็นหนี้ทุกวันนี้เพราะว่าเงินมีน้อยเพียงแค่นี้ แต่ใจอยากได้มากกว่านี้ ฉะนั้นศิษย์มัวบำรุงกายจนลืมดูแลใจ ที่โลภอยากได้มากกว่าที่เราหาหรือไม่ จริงไหม ฉะนั้นทุกวันนี้เรากำลังบำรุงบำเรอกาย แต่ลืมกลับมาดูแลบำรุงใจตัวเอง ใช่ไหม ฉะนั้นคนที่บำรุงใจตัวเองเป็น การดูแลใจตัวเองเป็น คือคนที่รู้จักมีแล้วห้ามใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าศิษย์มีเงินไหม (มี)  แต่ใจที่บอกว่ามีเงินนั้นกลับไม่เคยมี ฉะนั้นหามาได้สิบล้าน ร้อยล้าน ใจก็ยังบอกว่า (ไม่มี)  จริงไหมเล่า ฉะนั้นเรามัวแต่ดูแลกายจนลืมดูแลใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงสอนให้เรารู้จักฝึกจิตใจเพื่อคุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิต ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมคือการฝึกจิตใจให้คุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิตและเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรมหรือความเป็นจริงแห่งธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง ว่าถ้าเราปล่อยตัวเองไปตามความอยาก ยิ่งถมยิ่งไม่เต็ม แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้จักหยุดอยากได้ เงินที่มีเพียงแค่นี้ จะกลายเป็นเยอะขึ้นมาทันที จริงหรือไม่ สมมติมีเงินสิบบาท ศิษย์ว่าน้อยไหม (น้อย)  แต่ตอนเด็กเจอสิบบาทเหมือนเจออะไร แบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย แบงค์พัน ใช่ไหม ก็ตอนเด็กเราไม่มีความ (อยาก)  ใช่หรือไม่ แต่เมื่อโตขึ้นทำไมสิบบาทที่เคยมีความสุขตอนเด็กตอนนี้กลับไม่สุขแล้วล่ะ อะไรเปลี่ยนไป (ใจ)  ใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นอย่ามัวแต่บำรุงกายจนลืมดูแลรักษาใจ ไม่เช่นนั้นมีเงิน มีบ้าน มีลูก มีสามี มีภรรยา แต่ใจเหงา ใจวุ่น มีทุกอย่างที่ควรมี แต่พอมีแล้วทำไมถึงไม่มีความสุข เพราะเราลืมดูใจตนเองหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเอาอะไรมาช่วยบำรุงดูแลใจเรา ตอบอาจารย์ได้ไหม
ศิษย์เอ๋ยถ้าทางโลกยังทำได้ไม่ดี ศิษย์จะหวังได้ดีทางธรรมเป็นไปได้ยาก คนเราต้องปฏิบัติทางโลกให้ถูก ดี พร้อมสมบูรณ์ การจะไปปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทางโลกศิษย์ยังเอาแต่หนีแล้วคิดจะไปปฏิบัติธรรมนั่นไม่ใช่การแก้ที่ถูกวิธี
( มีแต่ใจไม่มีกายก็ไม่มีความสุข มีกายแต่ไม่มีหัวใจก็อยู่ไม่ได้)
อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าให้ศิษย์สนใจแต่ใจแล้วไม่สนใจกาย ไม่ใช่ใช้ความดีมาบำรุงเลี้ยงจิตใจ พยายามทำดีแต่ก็ยังลดละโลภไม่ได้ ยังหยุดอยากไม่ได้ ฉะนั้นความดีช่วยได้หรือไม่ (ใช้ธรรมะบำรุงเลี้ยงใจ) ธรรมะข้อไหนที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจ ที่จะสอนให้เรารู้จักหักห้ามใจไม่ปล่อยให้เราโลภโกรธหลงจนกลายเป็นทุกข์ (การปล่อยวางไม่ยึดติดกับกิเลสของเรา) แต่ศิษย์ก็ยังทำไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะบำรุงเลี้ยงหัวใจของเราคือ (รู้จักพอเพียง) รู้จักพอเพียงใช่ไหม ศิษย์ก็ตอบได้ดีนะ เกิดเป็นคนต้องหาเลี้ยง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ห้ามศิษย์หาเลี้ยงแต่หาเลี้ยงอย่างไรที่จะไม่ทำร้ายใจตนเอง เพราะมนุษย์เวลาหาเลี้ยงแล้วเหมือนคนที่ก้าวแล้ว เดินแล้ว หยุดไม่เป็น แล้วถอยไม่ได้ ถ้าศิษย์อยากใช้ธรรมบำรุงเลี้ยงใจ ธรรมก็จะสอนเรา ก่อนจะไปทำอะไร รู้จักพอก่อน รู้จักมีสุขให้เป็นก่อน แต่มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น เวลาจะไปทำอะไรแค่ตรงนี้ก็ไม่พอ แค่ตรงนี้ก็ไม่สุข เมื่อต้องก้าวออกไปทำอะไรแล้วพอกลับมายืนที่เดิมมันก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจนั่นคือ เรารู้จักมีสุขในความเป็นธรรมดาสามัญที่เราพึงมีพึงได้หรือยัง ถ้าเรารู้จักพึงมีพึงได้ในสิ่งที่ธรรมดาสามัญเราจะทุกข์หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร ทุกข์คืออะไร อาจารย์สรุปง่ายๆ ธรรมะคือความจริง แต่ทุกข์คือการไม่ยอมรับความจริง
ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นความจริงนั่นคือธรรมะ แต่สิ่งใดที่ศิษย์บอกไม่เอาจะเอาแบบนี้แบบนั้น นั่นแหละคือทุกข์ ถ้าศิษย์อยากบำรุงเลี้ยงใจเริ่มต้นก่อนว่าแค่นี้เท่านี้สุขไหม ดีไหม พอไหม ถ้าอาจารย์บอกว่าพอแต่ศิษย์ไม่พอ ถ้าอยู่ในบ้านก็ไม่มีสุข อยู่กับตัวเองก็ไม่เคยพอใจในหน้าตา จมูกตนเอง รูปร่างตนเอง ศิษย์อยู่ไปแล้วศิษย์ทุกข์ไหม ฉะนั้นศิษย์จะมีสุขได้ต้องเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนบ้านใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าอยากสุขเริ่มต้นรู้จักพอให้เป็นก่อนดีไหม พอได้จึงดีเพราะไม่พอจึงไม่มีวันดีสักทีจริงหรือไม่ หน้าแบบนี้ก็ดีแล้ว เตี้ยแบบนี้ก็ดีแล้ว มีแค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าเกิดไปหาเงินมาแล้วไม่เหลือก็ดี เหลือเท่าเดิมก็ดี ถ้าศิษย์ไม่พอใจหน้าตา เงิน สามี ลูก  ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนมันก็มีแต่ความไม่พอใจและทุกข์ใจใช่หรือไม่ แล้วเมื่อไหร่จะฝึกใจได้ ศิษย์จะต้องเปลี่ยนสามีกี่คน เปลี่ยนลูกกี่คนถึงจะพอใจ
ฉะนั้นการฝึกจิตแรกเริ่มที่สุดก็คือ “อะไรๆ ก็พอ” แต่เราทำได้หรือไม่ เรามาดูกันว่าต้นเหตุของความทุกข์ เพราะเราไม่ยอมรับความจริงแห่งธรรม ธรรมคือความจริง ถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เจอธรรม แต่ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราหนีไม่พ้นความทุกข์
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ ทุกข์ทุกอย่าง แม้นั่งก็ทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวไหม แก่ เจ็บ และตายเป็นทุกข์ไหม 
แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  ทุกข์ ถ้าศิษย์ยังยึดติดตัวตนอยู่ ศิษย์ก็ยังเป็นคนที่ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปรับชะตากรรมที่ตัวเองก่อ อย่าคิดว่าจบแล้วจบกันนะศิษย์ จริงหรือไม่ (จริง)  คิดให้ดีๆ นะ โดยส่วนใหญ่บอกว่า แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเกิดทุกข์หรือไม่ (ทุกข์, ไม่ทุกข์)  เกิดไม่ทุกข์หรือ เพราะมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เพราะมีเกิดแห่งตัวตนจึงแก่ เจ็บ ตาย ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า มนุษย์เราหนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วการหนีไม่พ้นสัจธรรมนี้ทำให้ศิษย์ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความหมุนเวียนเปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราพยายามไปยึดมันไว้ ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แต่ถ้าเราไม่ยึด เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นคือเรื่องหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์เกิดมาแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ใครๆ ตายกันหมดแล้ว เหลือแต่ศิษย์ยังไม่ตาย ศิษย์จะทุกข์หรือไม่ คนอื่นเขาเจ็บแล้วแต่เราแข็งแรง เราไม่มีวันเจ็บเลย เราไม่เจ็บสักที และก็ไม่ตายสักที เราควรจะทุกข์กับความเป็นจริงที่เรียกว่า หมุนเวียนเปลี่ยนผันหรือไม่ศิษย์ จริงๆ แล้วเราไม่ควรทุกข์ใช่หรือไม่ แต่ที่เราทุกข์เพราะเรายึดไม่ให้มันหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าชีวิตเราอย่าได้ แก่, เจ็บ, ตาย คนที่คิดแบบนี้คือคนบ้า จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตมันต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่ชีวิตจะเจอแต่คน คนเดียวตลอด แล้วทำไมชีวิตมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับคนเพียงคนใดคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เปรียบเทียบ เมื่อคนนี้เขาว่าเรา แต่อีกคนเขาไม่ว่า ทำไมศิษย์มีชีวิตจมอยู่กับคนที่ว่า ทั้งที่ชีวิตมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ศิษย์ไปทำงานปรากฏว่า ศิษย์กลับกลายเป็นติดหนี้ โดนเจ้านายด่า ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) แล้วชีวิตศิษย์ยังต้องเดินต่อไปหรือไม่ (เดิน) มันก็ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร มนุษย์ทุกข์เพราะอยากยึด แต่ไม่ยอมมองความเป็นจริงจนถึงที่สุด คนทุกข์คือคนที่ไม่มองความจริง จมอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดและรับไม่ได้ทั้งที่สิ่งนั้นคือความจริงของชีวิต เหมือนกับที่อาจารย์เดินย้ายที่ไปย้ายที่มา แล้วอะไรคือสิ่งที่อาจารย์ต้องทุกข์ เพราะชีวิตยังต้อง (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  ฉะนั้นถ้าเรายังจมอยู่กับความทุกข์แปลว่าเราจมกับสิ่งที่ตายไปแล้ว เรื่องมันจบไปแล้วแต่เรายังไม่ยอมจบ  ใครที่จมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปลว่าอยากจะนอนตายแล้วก็จมอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าเรายังรักชีวิตทำไมเราจะต้องจมอยู่กับสิ่งที่ตายไปแล้ว ทำไมไม่อยู่กับสิ่งที่เป็นความจริง ฉะนั้นถ้าทุกวันศิษย์มัวจมอยู่กับความตายก็แปลว่าศิษย์อยากจะตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ทำให้ทุกข์ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นสิ่งที่ตัวศิษย์เองไม่ยอมรับความจริง ถ้ายังมีชีวิต มีกำลัง มีปัญญา ทำไมไม่ก้าวต่อไปและหาทางออกให้ดีที่สุด ถ้าโดนว่า “ไอ้โง่ ไอ้แก่” จะยอมตายตรงนี้หรือจะยอมมองให้เห็นชัดในความเป็นจริงแห่งธรรม ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ทุกข์มีให้รู้ ไม่ใช่มีไว้ให้เป็น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีหน้าที่รู้ทุกข์ เท่าทันทุกข์ แต่ไม่ยอมตกเป็นทาสของทุกข์
อาจารย์ถามว่า ความเจ็บนั้นเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นทุกข์แค่เพียงของสังขาร แต่ไม่ใช่ทุกข์ของใจ
ความเจ็บนั้นดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ความเจ็บสอนให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นผิดปกติ เราต้องแก้ให้ดีขึ้น แก้ให้เข้มแข็งขึ้น แก้ให้มั่นคงขึ้นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นความเจ็บไม่ใช่ความทุกข์ และความตายก็ไม่ใช่ความทุกข์ ถ้าคนนั้นรู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ถ้าเจ็บแล้วได้สติ เจ็บแล้วได้ยั้งคิด เจ็บแล้วได้รู้เท่าทันว่า ใจเราที่บอกว่าเข้มแข็งนั้นไม่เข้มแข็งเลย ร่างกายที่เราบอกว่าดี จริงๆ ไม่ดีเลย ฉะนั้นต้องขอบคุณความจริง ใช่หรือไม่ ศิษย์ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตนั้นหนีไม่พ้นความ (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  จะเป็นไปได้หรือที่เราจะแข็งแรงแล้วไม่อ่อนแอ แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราจะอ่อนแอแล้วกลับมาแข็งแรงไม่ได้ ศิษย์ต้องทำให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ ความเจ็บนั้น จะทำให้ศิษย์ตายทั้งเป็น ถูกไหม
ฉะนั้นชีวิตสอนให้เรายิ่งเข้าใจชีวิต คุ้นชินกับชีวิต และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา และความเป็นธรรมดานี้ ยิ่งเข้าใจยิ่งคุ้นชินมากเท่าไหร่ยิ่งกลับทำให้เราพบธรรม ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้านั่งแล้วไม่เมื่อยไม่ทุกข์ ศิษย์จะรู้จักว่าต้องยืนขึ้นไหม ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักยืนไหม (ไม่รู้)  อย่างนั้นศิษย์ก็คงเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตแล้ว เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ถ้ารู้เท่าทันความเป็นจริง ความทุกข์คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม (จริง) ยากไหม (ไม่ยาก)  
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เพราะลูก) 
แล้วทุกข์เพราะอะไร อาจารย์พูดไปเรื่องหนึ่งแล้ว (ทุกข์เพราะเราไม่รู้จักพอ) แล้วตอนนี้เราพอบ้างหรือยัง (พอแล้วค่ะ)  สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มักจะทุกข์กันอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มักจะทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วไม่ค่อยได้ดีเท่าไร (ทุกข์เพราะเกิดแก่เจ็บตาย) จริงๆ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เกิดแก่เจ็บตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทุกชีวิตล้วนต้องเป็นไป แต่ถ้าไม่เป็นไปน่ากลัวกว่า ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความเกิดทำให้มนุษย์ต้องเวียนเกิดแก่เจ็บตายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามนุษย์หยุดยั้งการเกิดได้ การเวียนว่ายตายเกิดก็จะเป็นแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายของชีวิต
ฉะนั้นเราจะหยุดสิ่งที่น่ากลัว คือทำอย่างไรเราถึงจะหยุดเกิดให้ได้มากกว่ากลัวการแก่เจ็บตายเสียอีก แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่แค่คิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสิ่งที่จะทำให้เราหยุดเกิดได้นั่นคือการหักห้ามใจตนเองใช่หรือไม่ ถ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่ศิษย์บอกว่า มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับกรรม และกรรมมีกรรมดีกับกรรมชั่ว ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากต้องกลับมาเกิดอีก อยากให้การเวียนว่ายตายเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต เราจะต้องหยุดกรรมชั่ว คนเราที่ได้เกิดมาเป็นคนได้เพราะ กรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว อย่างนั้นแปลว่าถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์อยากหยุดกรรมชั่วเพื่อจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิด แปลว่ามีกรรมดีไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่) ถ้าศิษย์พยายามทำกรรมดีแล้วยังยึดติดในตัวตน ศิษย์ก็ยังต้องกลับมาเกิดเป็นคนเพื่อสนองรับผลบุญกรรมที่สร้าง
ฉะนั้นอย่าคิดว่าทำกรรมดีแล้วไม่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด กรรมดีก็ยังทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  กรรมชั่วก็ยังทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่แล้วสิ้นกรรม การมีชีวิตคือเราเกิดมาพร้อมกับกรรม ทำดีเรียกว่ากรรมดี ทำชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว แปลว่าเมื่อไหร่ที่ยังมีตัวตนไปสนองการกระทำที่ดีก็เรียกว่ากรรมดี ถ้ายังยึดตัวตนไปสนองการกระทำชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่ว แล้วถ้าว่างจากตัวตนแล้วไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว พ้นจากความดี พ้นจากความชั่วเรียกว่าอะไร ศิษย์ลืมไปหรือเปล่า พระพุทธะสอนไว้ว่า มัชฌิมาปฏิปทา การเดินทางสายกลางคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาทำอะไร เจอแบบนี้ชอบ แบบนี้เกลียด แบบนี้ดี แบบนี้ร้าย ก็เลยหนีไม่พ้น กรรมดีกรรมชั่ว ทำดีทำชั่ว  แต่ถ้า ไม่ว่าศิษย์จะเจออะไร ศิษย์ก็วางใจเป็นกลาง ไม่รู้สึกดี ไม่รู้สึกร้าย ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกชัง เมื่อนั้นใจศิษย์ก็ว่างเท่ากับอากาศชั้นฟ้า เมื่อนั้นใจของศิษย์ก็จะบริสุทธิ์แท้จริง 
คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดเรียกว่าบริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์ก็แปลว่าไม่มีเวรมีกรรม ตอนนี้คิดดี คิดชั่ว หรือไม่คิด (คิดดี)  ถ้าพยายามคิดก็ยังติดตัวตน พยายามคิดบวกเข้าไว้ พยายามคิดดีเข้าไว้ก็คือยังมีตัวตนต้องไปรับผล แค่วางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่โกรธ ไม่เกลียด เรียกว่า ความคิดผิดทำให้ติดกิเลสฉันใด ความคิดถูกทำให้พ้นกิเลสฉันนั้น แต่เมื่อไรพ้นจากความคิดทั้งสองนั่นเรียกว่าบริสุทธิ์โดยแท้จริง เมื่อบริสุทธิ์แล้วจึงพ้นจากสามอย่างที่เรียกว่า กิเลส กรรม และการเวียนว่ายตายเกิด 
ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบเราจะจบหรือไม่จบ ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถ้ายังยึดก็แปลว่าทุกข์และก่อเกิดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเราไม่ยึด ปล่อยให้หมุนเวียนเปลี่ยนผัน และรักษาใจอันเป็นปกติเป็นเช่นนั้นเองจึงเรียกว่าธรรม ที่ทำให้เราสิ้นเวรกรรม แต่มนุษย์โดนกระทบแล้วสิ้นกรรมไหม หรือจองเวรจองกรรม ฉะนั้นตื่นรู้ไม่ใช่ตื่นรู้ที่ข้างนอก แต่ตื่นรู้ที่ใจตัวเอง ถ้าเราโดนกระทบแล้วเราก็เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ทุกข์ไม่มีหรอก ที่มีเพราะเรายึด
ฉะนั้นถ้าเราโดนกระทบ เราจะคิดดี คิดชั่ว หรือพ้นความคิด จำไว้นะศิษย์ ถ้าคิดดียังเรียกว่ากรรมดี เมื่อมีกรรมดีก็ยังต้องไปรับผลของกรรมดีนั้น แต่ถ้าพ้นจากความคิดทั้งสองและมองเป็นเช่นนั้นเอง ว่างจากตัวตน ว่างจากกระแสกรรม ก็สามารถตัดกิเลสตัดการเวียนว่ายทันที
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาททำนองเพลง “ขอเดินด้วยคน”  ชื่อเพลง “รักษาศีลบำเพ็ญบุญ”)
 อยากได้แอบเปิลอาจารย์ไหม แอบเปิลของอาจารย์ยิ่งกิน ยิ่งเจ็บ ยิ่งตายเอาไหม (เอา) เพราะยังไงก็ต้องเจ็บต้องตายอยู่แล้ว กินแอปเปิลไปหน่อยก็ยังเจ็บยังตายอยู่เหมือนเดิมเอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ กินแอบเปิลอาจารย์แล้วทุกข์เอาไหม (เอา) 
โดนแอปเปิลปาหัวล่ะเอาหรือไม่ (ไม่เอา) ถึงจะโดนปาหัว แต่เรารู้จักรับ รู้จักรุกให้เป็น ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ ในโลกนี้ยังมีทุกข์อีกมากมายใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์พูดค้างไว้คือ ทำดีแล้วทำไมยังทุกข์ แล้วศิษย์ตอบอาจารย์หน่อยสิว่า ศิษย์ไปทำดีอะไรมาแล้วมันทุกข์ ทำความดีอะไรถึงทุกข์ใจ (ไปช่วยงานในหมู่บ้านแล้วมีคนพูดไม่ดีกลับมาก็ทุกข์ใจ) อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ไปทำดี ไปช่วยที่วัด แล้วไปเก็บความไม่ดีของคนที่ไปวัดมาไว้ที่ใจ ฉะนั้นเราไปทำดีความประสงค์ของเราคือไปทำดี ไปช่วยงานวัด ไปประกอบกิจอันเป็นบุญ แล้วเราไปเอาคำติ ความไม่ดีของคนอื่นมาเป็นบาปแก่ใจทำไม จุดประสงค์เราดี แต่ผลกลับไม่ดี เพราะเราไปยึดคำไม่ดีมาเก็บไว้ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากทำดีให้ถึงที่สุดก็มองแต่สิ่งที่ดี อย่าไปมองสิ่งที่ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) (ไปช่วยเหลือคนแล้วโดนต่อว่า) เวลาเราไปช่วยคนเคยโดนต่อว่าหรือไม่ (เคย) แล้วท้อหรือไม่ (ไม่ท้อ) แล้วยังทำต่อหรือไม่ (ต้องทำต่อ) ต้องทำต่อ แต่จำใจทำไป ยังคิดว่าเขาด่าฉัน ทำอย่างนี้มีสุขหรือไม่ (ไม่มี) ศิษย์จำไว้นะ ถ้าบางอย่างเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ สู้เราเอาความทุกข์นั้นเป็นบันไดก้าวให้เรายกจิตให้สูงขึ้น ไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์จงจำไว้ว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว เพื่อใจจะได้ไม่ไหลลงต่ำ เพื่อตัวเราเองจะได้ไม่ประพฤติผิดคิดชั่ว เราไม่ได้ทำดีเพื่อหวังให้ใครชมหรือใครด่า ฉะนั้นถ้าเรายืนหยัดในสิ่งที่ดีที่เราทำ ใครจะพูดอะไรก็ไม่มีผลต่อใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาเงินให้เขายืม)  แล้วเป็นอย่างไร เขาไม่คืน ก็รู้สึกว่าท้อใจใช่ไหม เป็นกันเยอะ ลูกศิษย์เป็นคนเมตตา ใครยืมเงินก็ให้ยืม แต่เวลาเราไปทวงเหมือนเราเป็นหนี้เขาเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น จำไว้นะศิษย์ การมีจิตใจที่ดีอยากช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าช่วยเขาแล้วทำให้เราต้องเดือดร้อนภายหลัง ดังนั้นเวลาจะช่วย ให้ช่วยแบบที่คิดเผื่อไว้ว่า ให้เขายืมเงินไปแล้วเขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แล้วการทำดีนั้นจะไม่ทุกข์ใจ แต่ถ้าให้ยืมแล้วเขาไม่คืน อย่าให้เขาอีก เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์กำลังจะเพาะเลี้ยงคนให้เดินทางผิด 
(สิ่งที่เราทำไป บางทีเขาก็มองไม่เห็นในสิ่งที่เราทำ แต่ว่าเวลาเราทำไปแล้ว ความจริงก็เป็นความจริง เราก็ไม่ท้อกับสิ่งที่เขาต่อว่ามา สักวันหนึ่งความจริงถูกเปิดเผย เขาก็หันมาชื่นชมเราเอง)  เหมือนจะถูกนะ แต่จบตอนท้ายหวังให้เขาชื่นชมเรา ศิษย์เอย อาจารย์ถามหน่อย เวลาเราทำอะไร เป็นไปได้ไหมว่าทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับเรา (ไม่ใช่ค่ะ)  ความหมายของการทำดีคือ ทำเพื่อละ ไม่ใช่ทำเพื่อยึด เข้าใจไหม (เข้าใจค่ะ)  ถ้าศิษย์เหมือนเป็นคนที่เข้าใจ แต่ถึงที่สุดยังคิดว่า “สักวันเดี๋ยวเขาก็ชื่นชมเอง” แปลว่าศิษย์ยังทำดีไม่ถึงที่สุดนะ สักวันแม้เขาไม่ชื่นชม หรือเขาจะต่อว่า เราก็รู้แก่ใจว่าเราทำถูก ก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร ฉะนั้น เขาไม่ชื่นชมก็ไม่เป็นไร เข้มแข็งไว้นะ 
 (การที่เราทำเพื่อลูก แต่ทำไมลูกดื้อ) ทำดีทุกอย่างเลยแต่ลูกกลับดื้อ ศิษย์เคยสอนเขาด้วยการปฏิบัติไหม อย่างเช่นแม่เป็นคนสะอาด แม่เป็นคนมีน้ำใจ แม่เป็นคนรู้จักไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่าใคร แม่เป็นคนมีน้ำใจกับผู้อื่น สอนแค่พูดหรือสอนโดยการทำให้ลูกดู ศิษย์เคยได้ยินไหมลูกปูเดินตามแม่ปู ลูกปูเป็นอย่างไรแม่ปูเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าลูกไม่ดีไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด ส่วนหนึ่งคือตัวเรา เราสอนเขาด้วยเงิน หรือสอนเขาด้วยคุณงามความดี เรานำเขาด้วยความถูกต้อง หรือตามใจตัวเรา ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีหรือลูกปูจะไม่เดินตามแม่ปู ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า สิ่งที่จะทำให้เขาดีได้คืออะไรรู้ไหม ไม่ว่าเขาจะร้ายหรือดี ให้พูดอยู่อย่างเดียว “ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็รักลูก ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูก” ให้กำลังใจเขาสักวันหนึ่งเขาจะแปรเปลี่ยนได้ แต่เราต้องใจเย็นห้ามด่าทอ เอาแต่ความดีงามแปรเปลี่ยนใจเขาดีไหม (ดี)  มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม
(เวลาเราทำดีกับพ่อแม่ พ่อแม่ไม่เห็นความดีของเรา)  อาจารย์จะบอกให้ พ่อแม่แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ ลูกใกล้ตัวรำคาญ ลูกอยู่ไกลตัวกลับคิดถึงมาก นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเราอยู่แล้วเราขัดใจเขา แต่ลูกที่นานๆ มาทีตามใจเขา เขาเลยรัก แต่ถ้าเราอยากทำความดีเอาชนะ เราก็ต้องใจเย็นไม่โกรธได้ไหม เราทำดีเพื่อตัวเราเองและเราทำดีเพื่อพ่อแม่ ฉะนั้นยิ่งทำดีกับพ่อแม่ยิ่งไม่ควรท้อใจนะ เข้มแข็งนะ มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม หมดแรงแล้วใช่ไหม
(ผมเคยอ่านในหนังสือเขาบอกว่า แก่นแท้ของความดี คือความเห็นแก่ตัว)  แปลว่าหนังสือเขียนอะไรศิษย์ต้องเชื่อตามหนังสือหมดเลยหรือ แก่นแท้ของความดีคือความเห็นแก่ตัว ก็ต่อเมื่อถ้าทำดีแล้วหวังผลนี่แหละ เรียกว่าความเห็นแก่ตัว แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ศิษย์ไม่ต้องถามอาจารย์ถามใจตนเอง ถ้าเราทำเพราะหวังผล ทำเพราะยึดติดดีนั่นก็คือความเห็นแก่ตัว อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมะไม่ว่าบุญ ความดีงาม ความถูกต้อง ล้วนสอนเพื่อละวางตัวตน แต่มนุษย์มักจะปฏิบัติผิด โดยจะทำดี ทำบุญก็ยังหวังผล ถ้าทำดีแล้วยังหวังผล ทำดีแล้วเห็นแก่ตัว นั่นไม่ใช่เรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์แท้จริง อาจารย์ถึงบอกว่าทำดีอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นทุกข์และไม่ทุกข์นั่นก็คือ เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว ทำไมเราจึงทำดี เพราะว่าการทำดีทำให้เราไม่คิดชั่ว ไม่ไหลลงต่ำแล้วไปทำชั่ว เหมือนมีโอกาสระหว่างให้กับได้ เราอยากให้หรืออยากได้ ใจโดยส่วนใหญ่อยากได้มากกว่าให้ใช่ไหม ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เราทำดี การทำดีคือการสอนให้เรายั้งความชั่ว ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนชมว่าดี จุดประสงค์หลักคือเราทำดีเพื่อละชั่ว เพื่อยั้งใจไม่ให้ไหลลงต่ำแล้วไปประพฤติชั่ว แต่เดี๋ยวนี้คนทำดีเพราะอยากให้คนชมว่าฉันดี ทำดีเพราะฉันจะได้มีบุญบารมี ทำบุญเพราะฉันจะได้ไปขอบุญต่อ เช่นนั้นเป็นการสนองกิเลส สนองความเห็นแก่ตัว ถ้าศิษย์เพียงเชื่อว่าเขาพูดถูกศิษย์ก็เป็นตามเขา แต่ถ้าศิษย์อ่านแล้วรู้จักคิดให้เป็น คิดต่อยอดให้ได้ เราก็จะไม่เป็นตามนั้น อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มักจะเป็นคือ เวลาทำดีแล้วเรียกร้องว่าทำไมคนอื่นไม่ทำ นี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวของคนที่พยายามทำดี คนดีที่แท้จริงคือคนที่ไม่ว่าเขาจะดีหรือไม่ดี เราก็ยังต้องทำดี ไม่ใช่ว่าเราจะทำดีก็ต่อเมื่อเขาต้องทำดีด้วย
ธรรมะสอนให้ละวางตัวตน ละวางการยึดติด เพราะถ้ายังยึดติดศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นมนุษย์จึงวนเวียนหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมที่ตัวเองสร้าง เรียกว่ากิเลสตัวตนและการรับสนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไรเจออะไรวางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่เกลียด ธรรมดาคงใจเช่นนั้น เรียกว่าพ้นกรรม
(พระอาจารย์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
การฝึกฝนบำเพ็ญ ศิษย์เรียนรู้เท่าทันใจตัวเอง ยับยั้งกิเลสในใจตัวเองให้ได้ เพราะถ้ายังยับยั้งกิเลสในใจตัวเองไม่ได้ เราก็หนีไม่พ้นวัฏฏะที่เรียกว่า ความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนล้วนมีทุกข์ แต่อย่าเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองด้วยการสร้างกิเลส ปล่อยใจตัวเองตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ 
อาจารย์ถามว่าศิษย์อยู่ในโลกศิษย์อยากมีเวรไหม (ไม่อยาก)  อยากมีความโศกเศร้า วิตกกังวล (ไม่อยาก)  พระพุทธองค์สอนไว้ว่าอะไรรู้ไหม
โศกมาจากตัณหา ภัยมาจากตัณหา ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากวิตกกังวล ก็จงละตัณหา เคยได้ยินไหม โศกมาจากการยินดี โศกมาจากความรัก โศกมาจาก สิ่งที่เรารักและยินดี ฉะนั้น ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีความวิตกกังวล จงอย่ายินดี รักและหลงในสิ่งใดในโลกนี้ ทำได้หรือไม่ พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า เมื่อไรมนุษย์ยังเห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีว่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักว่าน่ารัก สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ มองเป็นว่าสุข คนนั้นคือคนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความประมาท หรือเรียกว่ากำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่า อยู่ในโลกนี้ รักมากก็ทุกข์มาก เกลียดมากก็เจ็บมาก แล้วเราควรหรือที่จะรักและเกลียด ที่จะอยากและหลง หรือเราควรจะมีสติ ลูก สามี ภรรยา แม้จะรักมากแค่ไหน ยินดีมากแค่ไหน ถึงเวลาเขาไปกับเราหรือไม่ ถึงเวลาเขาช่วยอะไรเราได้หรือไม่ (ช่วยไม่ได้)  ฉะนั้นเราควรวางใจอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นจากความทุกข์และไม่ดำเนินชีวิตอย่างคนมีโศก มีความทุกข์ มีภัย มีความวิตกกังวล นั่นก็คือ ละวางจากความยินดี ยินร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข วางใจเป็นกลาง อะไรมาก็ วางใจเป็นกลาง ดีหรือไม่ ศิษย์ไปร้อนกับเขา ก็ไม่ช่วยทำให้เขาดีขึ้น ศิษย์ไปด่าเขา กลายเป็นเวรกรรมผูกกันไม่จบสิ้น ศิษย์ไปหลงยึดเขา ก็กลายเป็นทุกข์ทำให้เจ็บปวด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ วางใจเป็นกลาง แต่ที่ยังไม่กลางเพราะยังทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ “แม่ไม่โกรธ พ่อจะไปทำแบบนี้แม่ก็ไม่โกรธ” ดีหรือไม่ เพราะวางใจได้จบ ที่เหลือก็แค่ใช้กรรมเก่า แต่ถ้าเรายังยึดติดชอบ ยึดติดชัง เราก็หนีเวร กรรมดี กรรมชั่ว ไม่จบสิ้น อย่างนั้นศิษย์อยากเกิดมาเพื่อมีกรรมไม่จบ หรือจบเวรจบกรรมเล่า
ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ “อืม” ดีไหม ศิษย์รู้ไหมทำไมพระพุทธะจึงสอนว่า ถ้ายัง “อืม” ไม่ได้ ท่านให้ใช้คุณธรรม คุณธรรมอะไรที่จะช่วยให้เรายั้งใจ ไม่เกี่ยวกรรมด่าเขา ไม่โกรธลูกเขา นั่นก็คือความเมตตา เมตตาทำให้เราไม่พยาบาท กรุณาทำให้เราไม่เบียดเบียน อุเบกขาคือยินดีเมื่อเขามีสุขและไม่เกลียดชังเมื่อเขามีทุกข์หรือทำผิดพลาด และวางใจเป็นกลางเพื่อจะได้ไม่ยึดติดตัวตนและปล่อยวางสรรพสิ่งว่าเป็นอย่างนั้น แค่นั้น แต่เมื่อเราเอาตัวเราไปเกี่ยว เราจะบอกว่า ไม่ได้ๆ มันทุกข์ใช่ไหม
ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ “อืม” เมตตาเข้าไว้ “อืม” กรุณาเข้าไว้ “อืม” ยินดีเข้าไว้ แล้วก็เป็นกลางเข้าไว้ดีไหม ฉะนั้นถ้าอะไรมันเกินเลยไปบ้างไม่ใช่ความผิดเขาแต่เป็นความผิดของใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง ศึกษาธรรมแล้วต้องไปให้ถึงธรรม ไม่ใช่ศึกษาธรรมแล้วมีแต่เวรกรรมจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นรีบชะล้างกรรมเก่าให้หมด อย่าสร้างกรรมใหม่ ทำอะไรรู้จักคิดรู้จักทำดีไหม ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) เขาถามว่าอย่างนี้ดีไหมเราก็ (อืม) เชื่อไหมศิษย์พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าสิ่งที่ศิษย์พูดจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่เชื่อเราก็ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม) พูดน้อยๆ คิดน้อยๆ หวังน้อยๆ ทุกข์หรือกรรมก็จะน้อยตามไปด้วยจริงไหม ฉะนั้นทำให้ได้นะไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) การอืมก็คือ อาจารย์อยากให้ศิษย์นิ่ง เพราะความนิ่งจะช่วยสยบความวุ่นวาย อย่าไปคิดเปลี่ยนแปลงใครเลย อย่าไปคิดจัดการใครเลย เปลี่ยนแปลงและจัดการใจเราให้ดีที่สุดก็พอ ใจเราสุขเราก็ทำให้คนรอบข้างสุข ใจเราสันติเราก็ทำให้คนรอบข้างสันติ ใจเราเย็นเราก็ทำให้คนรอบข้างเย็นใช่ไหม ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม)
แต่การวางเฉยกับการดูดายก็ไม่ดีนะ ไม่ใช่คนอื่นเขาทำกันงกๆ เราก็ “อืม” ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเราไม่พูดอะไร เรารีบไปช่วยทันทีไม่ใช่เอาแต่ “อืม” อาจารย์เพิ่งสอนมา เธอก็ทำไปฉันจะ “อืม” ไม่ได้นะน้ำใจยังไงก็ต้องมี เห็นใจคนยังไงก็ยังต้องมี
ไม่ใช่แค่คิดแต่ต้องลงมือทำเลย อะไรจะเกิดก็ดี เพราะอาจารย์บอกแล้วว่าโลกนี้ห้าม ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้พลัดพราก ไม่ให้สูญเสียไม่ได้ นั่นคือความผันแปรที่ต้องเป็นไปที่เรียกว่าชีวิต ถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นหรือไม่ แต่ถ้าเราพยายามยึดไม่ให้เปลี่ยนนั่นแหละเรากำลังสร้างทุกข์ ขอเพียงศิษย์รู้จักมองอย่างคนที่มีธรรม ธรรมที่สอนให้เราเป็นกลาง ไม่ดี ไม่ร้าย ที่จะก่อให้เกิดกรรมไม่จบสิ้น ไม่ว่าเจออะไร เจ็บแค่กาย อย่าเจ็บใจ เรามีกรรมเพียงสังขารแต่เราไม่มีกรรมที่จิตใจ กรรมของสังขารคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก การสูญเสีย ใจเราพ้นทุกข์ได้ ใจเราอิสระอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะวางตัวตนลงได้หรือยัง วางได้เราก็พบธรรม ถ้าวางไม่ได้เราก็พบทุกข์แค่นั้นเอง
( พระอาจารย์กลับมาเมตตาที่ห้องนักเรียน ซึ่งกำลังฝึกร้องเพลงที่ท่านประทานให้)
ร้องเพราะหรือไม่ สิ่งที่ดูธรรมดาถ้าเรารู้จักมีจังหวะให้กับชีวิตก็กลายเป็นบทเพลงที่น่ารื่นรมย์ได้ ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ถ้ารู้จักท่วงทำนองเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ความสุขก็ไม่ได้อยู่ไกล อยู่แค่ตรงนี้เอง ทำใจได้ก็เป็นสุข ทำใจไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือศิษย์ต้องไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์ด้วยการตกเป็นทาสของอบายมุข ผิดศีลขาดธรรม
ควรเริ่มต้นพื้นฐานของความเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคนศีลยังไม่ครบ คุณธรรมยังไม่มี ถึงจะทำดีแค่ไหนก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย อาจารย์ถามหน่อย มีใครในโลกบ้างไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แปลว่าทุกคนพร้อมตกเป็นทาสของความทุกข์ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะถ้าศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ถึงแม้ศิษย์จะไหว้พระ แต่ศิษย์ยังโลภ โกรธ หลงอยู่ ศิษย์ก็หนีทุกข์ไม่พ้น ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเรายับยั้งโลภโกรธหลงได้คือ (มาไหว้พระบ่อยๆ)  ถ้ามาไหว้พระแล้วเก็บแต่เรื่องไม่ดีกลับบ้าน ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการไหว้พระคือการที่ศิษย์ได้สำนึกขอขมากรรมในสิ่งที่ศิษย์เคยทำมา ได้ชะล้างกรรม ชะล้างใจบ่อยๆ ฉะนั้นคนที่รู้จักมาไหว้พระบ่อยๆ คือคนที่หมั่นพยายามชะล้างกรรมตัวเองบ่อยๆ แต่ขออย่างหนึ่งล้างแล้วอย่ากลับไปทำใหม่ จะเปล่าประโยชน์ ฉะนั้นล้างแล้ว สำนึกแล้ว “สิ่งที่ข้าพเจ้าเคยผิดพลาดมา ไม่ว่าจะตั้งใจ ไม่ตั้งใจ ขอกราบขอขมาหนึ่งร้อยกราบ” นั่นคือการชำระใจตัวเองให้สะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสะอาดแล้วก็ต้องสะอาดจริง ไม่กลับไปเหมือนเดิมแล้วกลับมากราบใหม่ไม่มีประโยชน์นะ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะละโลภ โกรธ หลงได้ (ต้องบำเพ็ญธรรม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญอย่างไร เราไม่โลภ โกรธ หลง เราก็ต้องปล่อยวาง ทำได้อย่างนั้นจริงๆ หรือไม่ศิษย์ (คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติ และเชื่อว่าทุกคนคิดอย่างนั้นอยู่)  ว่าเราอยากจะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (เป็นคำตอบจริงๆในใจ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสเราอาจจะค่อยสร้างบารมีก็คือฝึกบำเพ็ญ)
แล้วอย่างไรเรียกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญ  การฝึกฝนบำเพ็ญเริ่มแรกคือ เข้มงวดตนเองผ่อนปรนผู้อื่น เรียกร้องตนเองไม่เรียกร้องผู้อื่น การฝึกฝนบำเพ็ญทำอย่างไร (ทำใจให้ว่างเหมือนกระดาษ)  ถ้าเป็นกระดาษก็ยังไม่ว่างนะศิษย์ ถ้าว่างจริงๆ คือไม่มีอะไรที่เรียกว่าตัวตนเลย มันถึงจะพ้นกรรมถูกไหม ถ้ายังเป็นกระดาษก็ยังรอคนมาแต่งแต้มอีกใช่หรือไม่ ฉะนั้นว่างที่แท้จริงคือ หมดสิ้นยึดติดในอารมณ์ชอบชัง
(ปฏิบัติ ทาน ศีล สมาธิ เพื่อเกิดปัญญา) รักษาศีล ศีลคือรักษาใจให้ปกติ สมาธิคือไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งแล้ววางไม่เกิดความโกรธไม่เกิดความหลงความชอบ รู้แจ้งเห็นจริงว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมดา ฉะนั้นไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไร ทำอย่างไรที่จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง อาจารย์สมมติว่าแอบเปิลลูกนี้มีความทุกข์ มีความเจ็บช้ำ มีความเปลี่ยนแปลศีง มีความไม่มั่นคงเลย มีความสูญเสีย มีความพลัดพราก ศิษย์ยังอยากได้แอบเปิลนี้หรือไม่
เมื่อมีความอยากแล้วจะกลายเป็นความโลภ มีอะไรบ้างที่เราอยากแล้วไม่สูญเสีย อยากแล้วไม่เจ็บปวด อยากแล้วไม่ทุกข์ อยากแล้วไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่มี)  ไม่เคยทำให้ศิษย์เจ็บ ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ แล้วทำไมศิษย์เอาแต่หา เอาแต่โลภ เงิน ความรัก เกียรติยศ ชื่อเสียง อัตตา ตัวตน ฉะนั้น ศิษย์โลภไปทำไม เกลียดไปทำไม หลงไปทำไม ในเมื่อถึงที่สุด ยิ่งยึดแล้วเจ็บหรือไม่ (เจ็บ)  มีแล้วสูญเสียหรือไม่ (สูญเสีย)  แล้วทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ยิ่งกว่าทุกข์อีก แล้วยังอยากอีกหรือไม่ (ไม่อยาก)  ตอนนี้พูดกับอาจารย์ว่าไม่อยาก แล้วถึงเวลามีเงินอยู่ตรงหน้าเอาหรือไม่ เอาไว้ก่อนใช่ไหม ถ้าศิษย์ไปเบียดเบียนเขามาเต็มที่ ไปโลภมาเต็มที่ ไปผิดศีลมาเต็มที่ ไปขาดความเป็นคนมาเต็มที่ แล้วบอกไม่เป็นไรอาจารย์ เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย ได้ไหม (ไม่ได้)  ทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นไม่โลภก่อนจะโลภ ใจเย็นก่อนจะเกลียด  เปิดตาให้สว่างก่อนจะหลงดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าสิ่งที่หลงนักหนาก็ทำให้เราเจ็บไม่แพ้กับสิ่งที่เราเกลียดเลย เราเห็นชัดแล้ว  แล้วเรายังจะรักไหม
ฉะนั้นเมื่อเราไม่อยากจะทุกข์จงมองให้ชัด มองให้รอบ มองให้สุด แล้วจะรู้ว่า อารมณ์แค่ชั่วขณะที่ศิษย์อยากได้ มันไม่เคยช่วยทำให้เราสุข แต่อีกเดี๋ยวก็ทำให้เรากลับมาทุกข์ได้ใหม่ อาจารย์เทียบง่ายๆ นะ สมมติศิษย์อยากได้แอปเปิลลูกหนึ่ง แล้วทำให้ศิษย์ต้องผิดศีล ขาดความเป็นคนเพราะอยากได้แอปเปิลลูกนี้ แต่ไม่อยากเสียเงินและไม่อยากขอ เพราะมีศักดิ์ศรี มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ก็หยิบไปเลย ถ้าอยากแล้วทำแบบนี้ คิดแบบนี้ ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายังหยุดความคิดไม่ได้ ถ้ายังห้ามใจไม่ได้ อาจารย์แนะวิธีให้ ให้ใช้วิธีเดินไปดูสักสามวัน ถ้าสามวันยังคิดไม่ได้ ศิษย์ก็สุดที่จะสอนแล้ว จริงหรือไม่ เหมือนผู้หญิงเวลาอยากได้เสื้อตัวหนึ่ง ถ้าฉันใส่แล้วฉันจะสวย ไปมองให้ครบสามวันแล้วดูว่ายังอยากจะสวยอยู่ไหม
เชื่อไหมว่ามันจะค่อยๆ จางไป ไม่เอาก็ได้ เอาไปทำไม ใส่ไปก็เหมือนเดิม จะไปทำหน้าอย่างไรก็เหมือนเดิมเพราะนิสัยไม่เปลี่ยน เช่นกันถ้าศิษย์รวยขึ้นมาแล้วจะทำให้ศิษย์ดีขึ้นไหม ถ้าผิดศีลขาดธรรม มันอายเขานะ ก้มหน้าก็อายดิน เงยหน้าก็อายฟ้า มองคนก็ละอายใจ ความคิดก็วนเวียน เราเคยทำผิด ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกของความถูกต้องอย่าลืมอย่ามองข้าม มองให้ชัดๆ ว่า ถ้าอยากแล้วกลายเป็นโลภ ผิดศีล เมื่อได้สิ่งที่อยากแล้วทำให้เจ็บ แล้วควรจะอยากไหม ควรจะเกี่ยวกรรมอีกไหม ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกตั้งแต่ต้นอยากหยุดทุกข์เราพอหรือยัง ถ้าทำให้ถึงที่สุดก็น่าจะพอแล้วนะ ฉะนั้นอะไรๆ ก็ดีแล้วใช่ไหม ฉะนั้นพอบ้างหรือยังศิษย์ ชีวิตนี้โลภมากี่ครั้งแล้ว เกลียดมากี่ครั้งแล้ว โกรธมากี่ครั้งแล้ว หยุดบ้างไม่ได้หรือ กินข้าวยังรู้จักอิ่ม โลภมันไม่อิ่มเลยหรือ หลงมันไม่อิ่มเลยหรือ เกลียดคนไม่เบื่อเลยหรือ แล้วอยากตกเป็นทาสของกิเลสต่อไปไม่จบสิ้นใช่ไหม เพื่ออะไร
ดังนั้นความทุกข์คือการที่ไม่ยอมรับความจริง การปฏิบัติคือสอนให้เรามองเห็นความจริงยิ่งกว่าอะไร เห็นความจริงแบบที่พระองค์หนึ่งสอนว่า “เห็นจนแบบ ฉันไม่เอาอะไรแล้วโลกนี้” อาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์อย่างนี้เหมือนกัน ถ้าศิษย์เห็นความจริงชัด ศิษย์จะบอกว่า “อะไรฉันก็ไม่เอาแล้ว” เพราะไม่มีอะไรที่มีแล้วจะไม่ทุกข์  คุ้มหรือไม่ที่เกิดมาทุกข์ หรือเกิดมาเพื่อหยุดกรรมแล้วพ้นทุกข์ คิดให้ดีๆ ถ้าคิดไม่ดีก็ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่านะ
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราพ้นจากความคิดทั้งสองคือว่าง ว่างเฉกเช่นอากาศ แต่ถ้าเรายังยึดติดดี ยึดติดไม่ดี ยึดติดฉันเป็นแบบนี้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ก่อเองและต้องรับเอง อาจารย์ช่วยไม่ได้นะ แม้ศิษย์ไหว้พระก็ล้างบาปในใจศิษย์ไม่ได้ แม้ศิษย์เอาน้ำมนต์เก้าวัดก็ล้างให้ศิษย์บริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักตั้งตนให้ถูกต้องจริงหรือไม่ ฉะนั้นคิดให้ดี ปฏิบัติตนเองให้ดีได้หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “วางลงก็เป็นสุข”)
ถ้ายังวางไม่ได้ยังยึดอยู่ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบสุขที่แท้จริงหรอก ถูกหรือไม่ เรื่องราวบางเรื่องในโลกใบนี้เมื่อห่วงไปถึงที่สุดก็ต้องวาง กลุ้มไปถึงที่สุดก็ต้องวาง คิดไปจนถึงที่สุดก็ต้องวาง ความเป็นจริงของชีวิตสอนให้วาง ฉะนั้นจง “วางก่อนวาง” หรือเรียกว่าจง “ตายก่อนตาย” ให้เป็น มีโอกาสอาจารย์คงได้กลับมาผูกบุญกับศิษย์อีก ดีหรือไม่ (ดี)  อย่าแค่ฟัง แต่จงนำกลับไปปฏิบัติจนลดละกิเลสในใจได้ จนมองเห็นความเป็นจริงและไม่ก่อการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอีกต่อไป ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นรักษาจิตใจให้เป็นกลาง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาครอบงำและทำให้เราก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ต่อไปนี้เราจะบำเพ็ญธรรมเพื่อความเป็นกลาง ให้ใจเราว่างเหมือนอากาศ กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริงที่ศิษย์เคยจากมา ได้หรือไม่ (ได้)  มนุษย์มีจิตใจที่ประเสริฐแต่ถูกบดบังไปเพราะความหลงผิดที่เรียกว่าอัตตาตัวตน เมื่อไรที่ทลายอัตตาตัวตนได้ศิษย์จะพบพุทธะจิตเดิมแท้ที่สว่างว่าง ไม่ต้องการตัวตนที่ยึดถือ ไม่ต้องการเจ้าข้าวเจ้าของ แต่คือการกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่มีแต่ธรรม หวังว่าศิษย์จะเข้าถึงธรรมบ้างไม่มากก็น้อย คนไหนที่ต้องทุกข์เจ็บปวดเพราะโรคภัยไข้เจ็บอาจารย์ฝากไปให้กำลังใจเขา กายเจ็บใจอย่าเจ็บ กายป่วยได้แต่ใจต้องเข้มแข็ง ส่วนคนไหนที่หายไป ก็ฝากศิษย์ช่วยตามกลับมา บอกอาจารย์ไม่ลืมเขา เขาลืมอาจารย์แล้วหรือ ส่วนศิษย์ที่อยู่ที่นี่ก็ขอรักษาใจให้มั่นคงบำเพ็ญธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดติดตัวตนนะศิษย์
ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะ หนทางที่ดีและประเสริฐอยู่ที่จิตเลือกเดินทางนะ คิดให้ดีๆ ทำให้ได้นะ  รู้จักมีศีลมีธรรม ปฏิบัติด้วยการรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสอารมณ์ไม่จบสิ้น ต้องรู้จักรักษาศีลให้ได้ เป็นคนดีให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญนะ เข้าใจธรรมที่อาจารย์พูดใช่ไหม ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญรู้จักลดละกิเลสอารมณ์ตัวเองให้ได้ ควบคุมใจตัวเองให้ได้ อย่าเอาแต่ใจตัวเองนะ มีโอกาสศิษย์จะกลับมาเจออาจารย์อีกหรือไม่ ไม่ต้องเศร้านะ รู้จักศึกษาบำเพ็ญให้ดี ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง
(ถามว่าจะสำเร็จไหม) ศิษย์เอยถามอาจารย์ทุกวัน ถามตัวเองดีกว่าว่าตั้งใจบำเพ็ญรักษาจิตมั่นคงหรือยัง ตั้งใจให้ดีรักษาความดีไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้ไหม สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือ อารมณ์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการมีตัวตน เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ ฉะนั้นรู้จักมีศีลมีธรรม ดูแลเขาให้ดีนะ แค่นี้ก็ประเสริฐแล้ว ไม่ทอดทิ้ง ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าปล่อยให้ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้ทุกข์นะ
จับมือไว้นะมีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอย มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุด แม้จะเหนื่อย แม้จะล้า แม้จะท้อ แม้จะเจ็บ ก็ขออย่าได้หยุดยั้งก้าวเดินในการบำเพ็ญนะ ไปให้ถึงธรรมไปให้ถึงความสิ้นทุกข์ให้ได้นะศิษย์ 
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางลงก็เป็นสุข”
     ความยึดติดทำให้จิตใจเป็นทุกข์              จิตบรรทุกหนักเกินจนรับไม่ไหว
ดั่งน้ำที่ล้นแก้วแล้วยังเทใส่                         ลดละได้ใจจึงมองเห็นทาง
อย่ายึดมั่นความถูกผิดติดอัตตา                    วันเวลาจะนำมาซึ่งความว่าง
โลภโกรธหลงปลงได้เป็นทางสายกลาง           ลดกระด้างวางลงก็เป็นสุข
แก้พระโอวาท พระอาจารย์จี้กงเมตตา ชั้นประชุมธรรม
สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา วันที่ ๑๐ – ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ 
หน้าที่ ๑๔ บทเพลงพระโอวาท
          เดิม      “แพ้เป็นพระใครบ้างเอ่ย
          แก้เป็น  “แพ้เป็นพระใครบ้างเคย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา