วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-10 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

西元二〇一七年嵗次丁酉五月十六日              仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐               สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ใช้ชีวิตไหลไปตามกระแส               สุดแล้วแต่สังคมสิ่งแวดล้อม
สูญเสียตัวเองไปในโลกอันจอมปลอม    คนถูกย้อมในสิ่งที่ตนรู้ดี
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลกแฝงกายน้อมกราบอัญชุลี
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ       
      แผนที่ใดล้วนมีไว้พิชิตแดน              แต่ชีวิตคนดำเนินแผนที่วุ่นวาย
ชอบเร่งไวไปบีบให้คนตาย               แข่งรีบใจถูกผิดเป็นปากประตู
ประสงค์ทางหมดทุกข์ต้องไม่เสแสร้ง     จงใช้หัวใจแห่งความจริงตื่นรู้
หยุดวิ่งหนีกรรมจี้ถูกสำนึกดู             ใช้ปัญญาคู่ความดีแม้ไม่ชาญ
สติไม่ให้เผลอพูดดั่งก้นรั่ว                 คิดทำชั่วอย่ามีไม่ไถหว่าน
กายใจสงบเป็นเย็นได้เบิกบาน           สงบเป็นว่างทุกข์นั้นในทุกที่
กลัวจะลืมก่อนดีชั่วคืออะไร              ทุกวันนี้สุขไหมบ่ายหน้าหนี
อาจไม่ใช่โกรธเช้าสายเพียงเท่านี้         ธรรมหายไปแต่ไม่มีรู้สึกตัว
เพียรเช้าค่ำให้กับคำคนตำหนิ            กินอยู่ปกติใจธรรมล้อมเป็นรั้ว
ตามืดบอดไม่เท่าใจมืดมัว                   คนน่ากลัวที่ความคิดกว่าอะไร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
รู้จักกันก่อนจึงจะสนทนากันดีไหม (ดี)  มีหลายท่านคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นหรือคลางแคลงใจเป็นแน่แท้ใช่ไหม (ไม่)  เป็นธรรมดาอยู่ในโลกโดยส่วนใหญ่ไม่ถูกเขาหลอก  เราก็หลอกเขา สลับกันไปสลับกันมา ใช่ไหม (ใช่)  ยอมรับว่าเคยหลอกเขาด้วยใช่ไหม (ใช่) สักครู่ท่านบอกเองว่าไม่ถูกเขาหลอกก็หลอกเขา อย่างนั้นก็แปลว่าเราก็เคยไปหลอกเขามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับอีกนะ ถือว่าเราพูดคุยสนทนากันในเรื่องของธรรมะดีไหม (ดี)  อย่าพึ่งตั้งป้อมรังเกียจเราเลย เพราะนั่งฟังมาเกือบวันหนึ่งแล้วได้รู้ธรรมบ้างไหม (รู้) หรือว่าได้แค่นอนหลับ (ได้รู้ธรรม)  ได้รู้ธรรมหรือ เรานึกว่าได้นอนหลับ ต้องถามว่าได้ฟังธรรมเต็มอิ่มหรือว่าได้นอนหลับเต็มอิ่ม เป็นเช่นไร (ฟังธรรมเต็มอิ่ม)  เรานึกว่านอนหลับเต็มอิ่ม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แปลกนะอยู่บ้านไม่ค่อยจะหลับไม่ค่อยจะนอนวันๆ เอาแต่เที่ยว แต่พอมาห้องพระไม่รู้ทำไมมันอยากหลับมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าที่นี่น้ำธรรมของคนดีนะพูดปุ๊บหลับปั๊บเลย อย่าพึ่งตกใจเสียงเราดังเราก็เหมือนคนใต้เสียงแข็งแต่ใจไม่มีอะไรใช่ไหม (ใช่)  คนใต้เสียงห้วนไหม (ห้วน)  แต่ใจมีอะไรไหม (ไม่มีอะไร)  ใจดีแต่ปาก (ร้าย)
ถ้าทำอะไรด้วยใจชอบ สองชั่วโมง สามชั่วโมง หรือหนึ่งวัน สองวันเราก็สู้ไหว แต่ถ้าทำอะไรแล้วใจไม่ชอบ แม้เพียงผ่านไปหนึ่งนาที เราก็สู้ไม่ไหวแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครอยู่ฟังจนจบครบสองวัน แปลว่ามีใจที่ชอบธรรม แต่ใครอยู่ไม่ครบสองวัน แปลว่าใจนั้นไม่เคยชอบธรรมเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อสักครู่พูดว่า ถ้าชอบยังไงก็สู้ ยังไงก็ไหว เหมือนฝ่ายชายให้ยืนเฉยๆ หนึ่งชั่วโมง ไหวไหม (ไหว)  แต่ให้ดูแข่งฟุตบอล แข่งวัว แข่งนกสองชั่วโมง สามชั่วโมงไหวไหม (ไหว)  ต่างกันตรงที่ใจเราชอบกับไม่ชอบ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจเราทำด้วยความรู้สึกที่ชอบ อะไรก็ไหว แต่ถ้าใจเราไม่ชอบ เชื่อไหมว่านิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ไหวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นแบบนี้เราใคร่ขอถามท่านหน่อยนะว่า โลกใบนี้ดีหรือร้ายอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรือคนกำหนด (คนกำหนด)  ดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (ฟ้า)  จำเรื่องเมื่อสักครู่ได้ไหม เวลาชอบอะไรฟังแล้วรู้สึกดีจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าไม่ชอบแล้ว แม้ฟังคนพูดดีก็ยังรู้สึกแย่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เราถามหน่อยนะดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)  จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคร้าย แต่เราหาทางออกที่ดีที่สุดได้ เราคิดดีไว้เราก็จะเจอดี จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคดี แต่ถ้าเราคิดร้ายดีหรือร้าย (ร้าย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)
ถ้าอย่างนั้นสุขหรือทุกข์อยู่ที่คนกำหนดหรือใจเรากำหนด (ใจเรากำหนด)  สุขหรือทุกข์อยู่ที่คนภายนอก หรือหัวใจเรา (หัวใจเรา)  ทำไมตอบได้ชัดเจนเลย แต่เวลามีทุกข์ทำไมกลับโทษเขาลืมโทษใจ เวลารู้สึกแย่ทำไมว่าเขา ไม่ว่าใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนชายในชั้น)  ใจมันไม่เคยมีเหล้าเดินผ่านร้านเหล้า รู้สึกอะไรไหม (ไม่รู้สึก)  แต่ถ้าใจมันเคยกินเหล้า แม้ไม่เดินผ่านร้านเหล้ามันทำไมรู้สึกเปรี้ยวปาก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจมันไม่มีอะไร สิ่งภายนอกมี มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนถ้าใจท่านรักเดียวใจเดียว ผู้หญิงจะสวยหยาดเยิ้มขนาดไหน ท่านจะหวั่นไหวไหม (ไม่)  เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น ผู้หญิงถ้ารักเดียวใจเดียวในสามีตัวเอง ผู้ชายจะดูดีขนาดไหนปากหวานขนาดไหน เราจะหวั่นไหวไหม (ไม่)
ฉะนั้นดีร้ายทุกข์สุขอยู่ที่ภายนอก หรืออยู่ที่ใจ (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจเขาไม่ดี หรือใจเราแอบมีสิ่งไม่ดีแล้วหวั่นไหวไปกับการไม่ดีอันนั้น (ใจเราแอบไม่ดี)  คิดได้เช่นนั้นตลอดไหมนะ พอมีปัญหาก็โทษเขา ไม่โทษตัวเอง ฉะนั้นพอเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ขึ้นมาก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยหน่อยสิ เอาน้ำมนต์มา ๙ วัด เผื่อจะปัดเคราะห์ ปัดร้าย ปัดปัญหา ปัดทุกข์ได้ ใช่ไหม( ใช่)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราไปหวั่นไหวกับเขา เราไปมีปัญหากับเขาแล้วถึงเวลาฝ่ายหญิงก็เลยบอกสงสัยต้องไปเอาน้ำมนต์ ๙ วัด มาปัดสามีตัวเองให้เลิกหลงใหลผู้หญิง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงน้ำมนต์สัก ๙ วัดศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ก็ล้างคนให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ล้างคนให้ดีไม่ได้ ก็ถ้าจะล้างได้ดีที่สุดคือตัวเขาเองต้องไม่หวั่นไหว
ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์จะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ผู้อื่น คนเราจะบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง ก็ดูที่ว่าท่านทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีศีลธรรมหรือไม่ อยากล้างใจให้บริสุทธิ์ อยากให้ชีวิตมีสิ่งมงคลมาเกิดขึ้นกับตัว มันต้องดูที่การกระทำใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านไปทำชั่ว ท่านไปคิดผิด ท่านไปทำบาปแล้วเอาน้ำมนต์ ๙ วัดมาล้างๆ หมดไหม (ไม่หมด)  จะล้างได้ก็ต้องหยุดที่ใจของตัวเอง ทำดีละชั่วหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อยู่ในโลกอยากเป็นที่รักของทุกคนไหม อยากเป็นที่รักของผู้อื่นไหม อยากให้เขารักแต่ด่าเขาทุกวัน จับผิดเขาทุกวัน เขาจะรักไหม (ไม่รัก)  ฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จัก (รักตัวเอง, รักผู้อื่น)  ก็เพราะคิดว่ารักตัวเองฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จักอยู่แล้วอยากให้เขาเข้าใจ เราต้องรู้จักเคารพให้เกียรติกัน เชื่อถือ ซื่อตรง ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีใครเขารักท่านหรอก เขารักแค่เพียงรูปพอถึงเวลาจูบแล้วไม่หอมเขาก็เลิกราไปใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากให้คนอื่นรักจงรู้จักเคารพให้เกียรติ ซื่อตรง จริงใจ มีชีวิตอยู่อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย (อยู่อย่างสงบ)  ถ้าอยากอยู่อย่างสงบก็อย่าเอาสายตาไปเบียดเบียนใคร อย่าเอาสายตาไปฆ่าใคร อย่าเอามือไปทำร้ายเบียดเบียนใคร อย่าเอามือไปตบตีเข่นฆ่าใคร อย่าเอาความคิดไปเบียดบังทำร้ายใคร และอย่าใช้ความคิดไปฆ่าใคร อยู่ที่ไหนมีหรือจะไม่สงบสุข จริงไหม ทำไหม (ทำ)  มองทีก็จับผิดมากกว่าจับถูก เห็นคนก็เห็นแย่มากกว่าเห็นดี มองปุ๊บก็ดูถูกมากกว่าให้เกียรติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่มีสุข ไม่มีใครรัก ไม่ต้องไปไหว้พระ ถามตัวเองว่าทำตัวให้น่าเคารพกราบไหว้ไหม
ดังที่มนุษย์มักจะกล่าวไว้ว่า ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ก่อนที่จะโทษผู้อื่น หรือก่อนว่าฟ้าดิน ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเป็นเหตุของความทุกข์และปัญหาทั้งมวลหรือไม่ หรือที่ตามคำธรรมะสอนว่า หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเหมือนผืนนา ปลูกบุญก็ได้บุญวาสนา ปลูกบาปก็ได้เภทภัย ทุกข์ภัยพาล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญ บาป มงคล อัปมงคล ล้วนเราเป็นผู้สร้าง และเราเป็นผู้เก็บผลนั้นทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากมีสุข ไม่ใช่เอาแต่ไหว้พระอย่างเดียว แต่ตัวเองไม่รู้จักแก้ไขที่ตัวเองก็ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราถามท่าน เราอยากอยู่อย่างมีเภทภัย มีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่อยาก)  เราอยากอยู่อย่างคนที่สงบสันติสุขไหม ก็อยากทั้งนั้น มนุษย์ทุกคนอยากมีสุข ไม่อยากมีเภทภัย ไม่อยากมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพอรู้ไหมว่า เภทภัยเวรกรรมมาจากไหน (มาจากตัวเรา)  ตัวเราทำอย่างไรหรือจึงมีเภทภัย จึงมีเวรมีกรรม ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ถ้ารู้ก็คงไม่มานั่งฟังตรงนี้หรอกใช่ไหม (ใช่)  คำว่าเวร เภทภัย มาจากไหน พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีเวร ก็ไม่มีภัย แล้วเวรคืออะไร
เวรกรรมคืออะไร คือสิ่งที่ไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็จะก่อเวร ก่อภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ชอบประพฤติผิดมีเวรมีภัยไหม (มี)  คนที่ชอบโกหกมุสา ชอบผิดศีลผิดธรรม และชอบอบายมุขมีเวรมีภัยไหม (มี)  แปลว่าถ้าเราผิดศีล โกหก ติดอบายมุข เราล้วนสร้างเวรภัยด้วยตัวเองใช่ไหม (ใช่)  มีเวรแล้วท่านชอบเวรไหม (ไม่ชอบ)  เพราะมีเวรก็ต้องรับภัยพิบัตินั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้ามีเวรแล้วเราอยากให้เวรยืดเยื้อไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  รู้ไหมว่าเวรยืดเยื้อเกิดจากเช่นใด เราล้วนมีชีวิตสร้างเวรหรือสร้างสันติสุข (สร้างสันติสุข)  ไม่เคยโกหก ไม่เคยผิดศีล ไม่เคยติดอบายมุข ไม่ถือสาหาความ ไม่ไปโกรธใครใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นไหว้พระแล้วไม่ได้ประโยชน์ ทำดีแล้วไม่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ แต่ต้องถามก่อนว่าทำดีแล้ว ไม่หยุดทำชั่วท่านจะหยุดเวรภัย หยุดทุกข์ภัยได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้อยู่เต็มอก ถ้าอยากหยุดทุกข์ อยากหยุดเวรหยุดภัย เราก็ต้องพยายามเป็นคนมีศีลไม่ประพฤติผิด ไม่ติดอบายมุข ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนฆ่าใคร หรือทำร้ายใคร ทั้งกาย วาจา ใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่แล้วมาทำไหม (ทำ)  ทำไมทำเวรทำภัย เวรภัยมันถึงไม่จบรู้ไหม (ไม่รู้)  ผู้ที่คิดอยู่เสมอว่า เขาด่าฉัน เขาว่าฉัน เขาโกงฉัน เขาชิงชังฉัน เขาทำร้ายฉัน นี่เรียกว่าผู้ผูกเวรให้ยืดเยื้อในใจเรามีแต่สิ่งนี้ ทำแล้วยังจดจำฝังใจใช่ไหม (ใช่)  ไหนบอกว่าไม่ชอบเวรยืดเยื้อ อยากจบเวรจบกรรม กันแต่ถึงเวลาถามใจลึกๆ ท่าน ความดีของตัวเองจำ ได้แต่ความดีผู้อื่นไม่เคยจำใช่ไหม (ใช่)  ความชั่วของตัวเองจำไม่ได้ แต่ความชั่วของผู้อื่นจำได้แม่นยำ ใช่ไหม นั่นแหละเรียกว่าผู้ผูกเวรจองเวรให้ยืดเยื้อ ฉะนั้นอยากหยุดกรรม อยากหยุดเวร พระพุทธจึงสอนไว้ว่า ผู้ที่มีสุข ผู้ที่เกษม ผู้ที่สันติ คือผู้อะไร คือผู้มีจิตใจปลอดโปร่งไม่ยึดมั่นถือมั่น ยอมรับความเป็นจริง และมีปัญญาเห็นแจ้ง คนด่าเราก็คือคนรักเราหัวเราะ แปลว่าไม่ยอมรับใช่ไหม ถามท่านจริงๆนะ ถ้าคนที่ท่านเกลียดจนสุดใจ ท่านจะด่าเขาให้เมื่อยปากไหม (ไม่ด่า)  บ่นไหม (ไม่บ่น)  เพราะอะไรไม่อยาก ที่ยังด่าที่ยังบ่น แปลว่ายังรักเขาอยู่จริงไหม (จริง)  มิฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา เราเข้าใจว่าเขารัก เราเราจะโกรธจะชิงชังเขาไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าใจธรรมตรงนี้ เราจะผูกเวรเกี่ยวกรรมกับใครไหม (ไม่)  ถ้าไม่อยากจะผูกเวรผูกกรรม ทำอย่างไรดี ที่จะให้เกิดเป็นคนแล้วไม่ผิดศีล ไม่โกหก ไม่ติดอบายมุข ไม่เกลียดด่าคนอื่น ทำอย่างไรดี (เลิกความชั่วทำความดี)  เลิกความชั่วมาทำความดี แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักมือหนึ่งถือศีลมือหนึ่งถือสาก ยอมรับเต็มปากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ในที่นี้เป็นคนดีไหม (ดี)  ท่านว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี)  เราขอดูหน้าคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีหน่อยนะ รู้ไหมคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังระงับยับยั้งชั่งใจเรื่องความชั่วไม่ได้ คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริง จริงไหม (จริง)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีแต่ขาดจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ศีลยังรักษาไม่ครบ คุณธรรมในความเป็นคนยังประพฤติปฏิบัติได้ไม่มั่นคง ก็ยังไม่อาจเรียกว่าคนดีใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ยังพูดว่าตัวเองดีไหม(ไม่ดี, ดีบ้างไม่ดีบ้าง)  ท่านรู้ไหมว่าคนที่ทำผิด คิดร้าย ก็คือคนที่มักพูดว่าตัวเองดี แต่คุมใจไม่ได้ต่างหากใช่ไหม (ใช่)  ผู้ร้ายในสังคมปัจจุบันนี้ เขาก็คือคนดีคนหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อไหร่ที่เขาหยุดความโกรธไม่ได้ หยุดความเห็นแก่ตัวไม่ได้ หยุดใจที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีไม่ได้ เขาก็สามารถเป็นคนที่ร้ายและน่ากลัวได้จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องมองใคร ตัวเราเองนั่นแหละใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราจะยับยั้งความชั่วได้ สิ่งที่ดีที่สุดนั่นก็คือ การประพฤติปฏิบัติดี แต่ถามหน่อยนะว่า คนในที่นี้เคยทำดีจนสุดจิตสุดใจหรือยัง (ยัง) ยังเป็นพวกสามวันดีสี่วันไข้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูหน่อยนะว่า ทำไมถึงต้องทำดี บางคนทำดีแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  บางคนถามว่าทำดีไปเพื่ออะไรใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นเราจะบอกให้การศึกษาธรรมเพื่อรักษาใจให้ปกติ และดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม ถ้าทำได้ ท่านก็จะยากประพฤติผิดประพฤติชั่ว ถูกไหม (ถูก)  แต่เราทำดีเพื่ออะไรหรือ เพราะว่ารากฐานแห่งความสงบและความเจริญของชีวิตคน จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีหัวใจที่เมตตาและปรารถนาดีต่อกัน ท่านว่าจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราอยู่กันอย่างคนจับผิดคิดร้าย มองในแง่ไม่ดี ล้วนเป็นรากฐานให้เราสร้างบาปกันจริงไหม (จริง)  เวลาเราอยู่อยากมีความสงบ อยากมีความเจริญในชีวิต มองเขาดีหรือมองเขาร้าย (มองเขาดี)  มองเขาด้วยหัวใจเมตตาหรือมองเขาด้วยการจับผิด (มองเขาด้วยหัวใจเมตตา)  เช่นนั้นหรือ แล้วรู้ไหมว่าทำดีมีค่าตรงไหน ทำดีมีค่าตรงที่คนที่มุ่งมั่นปฏิบัติดีจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว คนมุ่งมั่นปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม จะไม่มีผลเป็นทุกข์ ไม่มีผลเป็นเภทภัยต่อกัน  ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรหรือที่เราจะล้มเลิกไม่ทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ควรที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติดีจริงไหม (จริง)  แล้วอะไรล่ะเป็นเหตุแห่งความไม่ดี นอกจากการผิดศีล นอกจากการติดอบายมุข ใครพอตอบเราได้บ้าง (อารมณ์ต่างๆ)  อารมณ์ต่างๆ เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เป็นต้นเหตุแห่งกรรมเวรใช่ไหม (ใช่)  แต่หยุดอารมณ์ได้ไหม (ได้)  จริงๆ แล้วต้นเหตุแห่งความผิดพลาดต้นเหตุแห่งเภทภัยต่างๆ มีสาเหตุง่ายๆ ไม่กี่เรื่อง มีสามเรื่องอะไรบ้าง  (ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่ไหม (ใช่)  มีใครหักห้ามความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้เราก็หนีไม่พ้นเหตุแห่งเภทภัยใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะบอกให้ง่ายๆ ก่อนจะได้โลภ โกรธ หลง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในจิตใจมนุษย์มีไม่กี่อย่างหรอก มนุษย์ทุกคนรักสบาย เมื่อรักสบายแล้วเอาเปรียบไหม (เอาเปรียบ)  นั่นแหละสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ก่อเวรก่อทุกข์ภัยให้กับผู้อื่น ก็คือชอบรักสบาย พอคิดรักสบายก็เลยเอาเปรียบผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบางทีพอเอาเปรียบแล้วดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  เราจะบอกท่านนะ ในโลกนี้ไม่มีใครชนะแท้จริงแล้วได้แท้จริง วันนี้ท่านเอาชนะเขาได้ เอาเปรียบเขาได้ แต่พอถึงวันที่ผลกรรมมันตามสนอง ตอนนั้นท่านถึงได้รู้ว่า ไม่มีใครได้มากกว่าใคร เอาเขามากเท่าไร ท่านก็จะได้รับผลคืนมากเป็นเท่าทวีคูณ จริงไหม (จริง)  ลองคิดง่ายๆ นะสามีลองเอาเปรียบภรรยาดูสิ ภรรยาลองเอาเปรียบสามีดูสิ เป็นอย่างไร บ่นจำไม่ลืมเลย ลองเอาเปรียบเพื่อนดู เป็นอย่างไร เขาไม่รักเราเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความดีหนึ่งที่เคยทำเพียงแค่ท่านเผลอเอาเปรียบเขาสักนิดหนึ่ง เขาก็ลืมความดีท่านจนหมดสิ้นได้เช่นกัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าเผลอแค่เพียงคิดกินแรงเอาเปรียบ ท่านก็สร้างทุกข์ภัยให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง)
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นเวรพ้นภัยได้นั่นคืออะไรรู้ไหม ภัยต่างๆ กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ เล็กๆ กลายเป็นบานปลายมโหฬาร เพราะเพียงคำว่าอดทนไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเพียงไม่อดทนเรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยนะ ท่านเป็นคนอดทนไหม (ไม่ค่อยจะอดทน)  อดทนไม่ได้ปัญหาจะเกิด อดทนไม่ได้เรื่องนิดๆ ก็มีเรื่องมีราวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาที่เกิดอย่าเพิ่งไปถึงเรื่อง โลภ โกรธ หลงเลย แค่เรื่องง่ายๆ คือชอบเอาเปรียบ อดทนไม่เป็น ปัญหาเกิดไหม แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถ้าอย่างนั้นกราบไหว้พระก็เปล่าประโยชน์ ถ้ายังไม่รู้จักอดทนอดกลั้น แล้วชอบกินแรงเอาเปรียบผู้อื่น อีกอย่างหนึ่งคือแพ้ไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  เถียงกันฉันต้อง (ชนะ)  ท่านต้องเป็นผู้ (ชนะ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาทั้งมวลล้วนเกิดจากที่ เราแพ้ไม่เป็น เสียไม่ได้ ยอมไม่มี อดทนไม่เหลือใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ทะเลาะกันแล้วถึงที่สุดใครถูกใครผิด ว่าอย่างไร (ผิดทั้งคู่) แต่ถึงเวลาเถียงไหม (เถียง) ทะเลาะไหม (ทะเลาะ)  ทะเลาะแล้วผลที่สุดชนะแล้วเราสะใจไหม (สะใจ)  มิตรเมื่อทะเลาะกันความเป็นมิตรก็จืดจาง สามีภรรยาเมื่อทะเลาะกันไม่ยอมกันความรักก็จางหายใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทะเลาะกันจิตใจเราก็รู้สึกย่ำแย่ เข้าหน้ากันไม่ติด แล้วใครล่ะที่ทำให้ตัวเองทุกข์ ยังไม่ถึง โลภ โกรธ หลง แต่ใจที่ไม่ยอมแพ้ต่างหาก ชอบเอาชนะคนอื่นเป็นที่ตั้ง ถูกหรือไม่
ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์คืออะไรรู้ไหม ก็คือ ถือดีใช่ไหม (ใช่)  ต้นเหตุปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงก็คือถือดี ถือดีว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เมื่อเวลาเราถือดีแล้วอวดดีด้วยแล้วความดีก็หดหาย ถูกต้องหรือไม่ (ถูก)  แล้วสิ่งที่น่ากลัวก็คือเวลาที่ถือดีแล้วก็มัวแต่ไปเรียกร้องผู้อื่นให้ต้องปฏิบัติดี โดยลืมเรียกร้องตัวเอง และชอบอ้างว่าฉันหวังดีเลยเข้มงวดเธอ ฉันหวังดีจึงบ่นด่าเธอ
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าการปฏิบัติดีเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าเอาสิ่งที่ดีไปเรียกร้องผู้อื่นจนกลายเป็นเขารำคาญและรังเกียจ สู้ทำตัวเองให้ดีแล้วสอนเขาด้วยการกระทำดีกว่าสอนเขาด้วยคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนที่ถือดีอีกอย่างหนึ่งก็คือบังคับให้ทุกคนต้องทำดีต่อเราจนเราลืมทำดีกับเขาหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  ถึงท่านจะเป็นคนดีทำดีแล้วทำไมบอกว่ายังไม่ได้ดี ถามตัวเองก่อนนะเวลาตัวเองทำดีแล้วเราเป็นแบบนั้นไหม เอาธรรมะไปเรียกร้องบังคับให้คนอื่นทำ แล้วไปประณามคนอื่นที่ไม่ดีว่าคนชั่วร้าย ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีมุ่งแต่บำเพ็ญตัวเองแก้ไขตัวเอง แต่คนที่ยังไม่เข้าใจความดีคือพยายามเรียกให้คนอื่นทำดีต่อตัวเองแต่ตัวเองยังไม่ทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นจำไว้นะ อย่าบอกว่าทุกคนต้องมีหน้าที่ดีกับเรา ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ถูกต้องสำหรับการประพฤติปฏิบัติธรรม คือเราทำดีกับผู้คนแล้วหรือยัง คนอื่นดีไม่ดีไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าเรามีเมตตาจิต เรามีหัวใจที่รู้จักปรารถนาดีกับผู้อื่น แม้เราทำดีถึงที่สุด เขามองไม่เห็นดี เราก็พอใจแล้วใช่ไหม เพราะเราทำดีไม่ได้หวังคนชม แต่เราทำดีเพื่อหลีกหนีเภทภัยที่เรียกว่า ความทุกข์และเวรกรรมต่างหากใช่หรือไม่(ใช่)
เราคงต้องกลับแล้ว ถ้าอยู่กับเราแล้วเพื่อความดี แต่ท่านกำลังตัดพ้อบ่นว่าเรา เราก็ขอกลับดีกว่าใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แต่มนุษย์แปลกนะ ชอบเอาตัวเองไปบังคับคนอื่น เราจึงทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าทุกคนยอมรับธรรมชาติของแต่ละคน จากทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาตัวเองไปวัดคนอื่น ชอบเอาความคิดตัวเองไปใส่แล้วกล่าวโทษคนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกอย่างหมดทุกข์ หมดเวร หมดภัย จงเลือกที่จะทำสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมแห่งความเป็นคนให้ถูกต้องได้หรือไม่ (ได้)  ศีลธรรมแห่งความเป็นคน คือ ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนชีวิตเขาเพื่อชีวิตเรา ถูกไหม (ถูก)  ถ้าท่านไม่โกหก พูดคำไหนเป็นคำนั้น เขาเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม (จริง)  พูดได้ทำได้ ทำได้พูดได้ศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์)  ท่านอยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยากได้)  ถ้าอยากได้ครอบครัวร่มเย็น รู้จักเคารพให้เกียรติ สุภาพอ่อนน้อม มีหรือครอบครัวไม่ร่มเย็น ซื่อตรงจริงใจ มีหรือเพื่อนฝูงไม่รักใคร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมงคลและความดีทั้งมวล ล้วนต้องเริ่มที่ตัวเรา มีศีล มีธรรมหรือยังถ้ายังขาดศีล ขาดธรรม ก็ยากจะมีสุขจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่จะนำพาให้มนุษย์พบทางที่ดีงาม พบทางที่สงบสุข และพบทางที่บรรเจิด ไม่ใช่เรื่องการเอาแต่ใจ แต่เป็นเรื่องที่ทำแล้วถูกต้องในทำนองคลองธรรม เอาแต่ใจง่ายที่จะหลงผิด เอาแต่ความคิดง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ แต่ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรม ความถูกต้องดีงาม มีหรือชีวิตนี้จะไม่พบความสุขความสงบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคงพูดกับท่านเตือนท่านได้แค่นี้ ทำหรือไม่ทำ (ทำ)  ทำอย่างคนมีธรรมหรือทำอย่างคนเอาแต่อารมณ์ (อย่างคนมีธรรม)  เอาแต่ใจ (ไม่ทำ)  ก่อนทำอะไร ไม่ว่าคิด พูด ถามตัวเองก่อนว่าตามอารมณ์ หรือตามศีลธรรม (ศีลธรรม)  พูดง่ายทำไม่ง่ายนะ ฉะนั้นจงรู้จักทำให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม คุณธรรมความดี เพื่อยับยั้งชั่งใจ  เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไร ฉะนั้นวันนี้ต้องคิดดีพูดดีมีศีลธรรม เพื่อหยุดยั้งกรรมชั่วที่เราเคยได้ก่อมา ไม่ว่าจะเป็นเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต กาย วาจา ใจ ถ้าวันหนึ่งกรรมมันตกผล แม้ท่านจะมีน้ำตานองหน้า มืออุ้มองค์พระ พระก็คุ้มครองล้างท่านให้พ้นกรรมไม่ได้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวเท่ากับแรงกรรมที่มนุษย์ก่อ  ฉะนั้นหยุดก่อนที่กรรมจะตกผลไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม (จริง)  วันนี้คงมีโอกาสผูกบุญกับท่านแค่นี้มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐           สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  พาชีวิตตนอยู่กับเรื่องใดที่ใด            ไม่ฝึกฝนอะไรพาไกลยาก
คนอยู่กับความเคยชินเป็นส่วนมาก      จึงลำบากกว่าบำเพ็ญในสักวัน
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม  
จิตหนึ่งใจเดียว หนนี้บำเพ็ญแท้จริง เรื่องคำติติง อยู่ในโลกใครพ้นไป  แต่ศิษย์ยอมทุกข์  ชีวิตมีเพียงเศร้าใจ  คิดได้สายไป  ศิษย์รักอาจารย์เสียดาย  ศิษย์อยากบำเพ็ญ  ทบทวนหัวใจเจ้าก่อน  ข้ายังคอยสอน  แต่คนรับฟังหายไป   ขาดศิษย์คนนี้   ธรรมะช่วยคนอย่างไร  เจ้าเหลือน้ำใจ     แด่ฟ้าอาจารย์ไหมเอย
คนไหน คนไหน เป็นเหมือนกัน  แค่คำเย้ยหยัน  ศิษย์ยอมแพ้โดยเปิดเผย  จิตดินใจฟ้า  แพ้เป็นพระใครบ้างเคยเอ่ย  เจ้าเฉยเจ้าทน  อย่างคนคิดเป็นคงดี
    รอศิษย์กลมเกลียว  เหมือนเกลียวกับคลื่นชิดใกล้  เรื่องอยู่ในใจ  อย่าเปรยเลยเป็นเรื่องดี  ศิษย์เอยศิษย์รัก  จากนี้เดินไปอีกที  ให้ถึงสักที  กลับคืนฟ้าที่จากมา
ทำนองเพลง:คำสัญญาที่หาดใหญ่
ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สองวันนี้ใครนั่งฟังธรรมะแล้วมีความสุขมาก ยกมือขึ้น สุขไหม (สุข)   ร้อนจนสุกเลยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์รู้ว่านั่งฟังในชั้นนี้ร้อนจนสุกเลย ใช่ไหม(ใช่)  อาจารย์อยากบอกให้นะศิษย์ ถ้าเรานั่งอยู่ตรงนี้เราอิ่มใจ สบายใจ บริสุทธิ์ใจ นั่งไปเราก็ได้บุญ แต่ถ้านั่งฟังแล้วมีแต่ความทุกข์ใจ หม่นหมองใจตัดพ้อต่อว่าคน นั่งฟังไปมันก็บาปใจเปล่าๆ อาจารย์พูดเสมอเกือบทุกๆ ที่  ฉะนั้นวันนี้ศิษย์นั่งได้บุญหรือศิษย์นั่งได้บาป (บุญ)  นั่งได้ธรรมะหรือนั่งได้กิเลสว่าเขา (ธรรมะ) 
ด่าคนที่ชวนมาครั้งหนึ่ง ว่าคนพูดบรรยายครั้งหนึ่ง กลับมาว่าตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ไม่น่ามาเลย อย่างนั้นหรือเปล่า “บุญ” นั้นอาจารย์บอกได้เลยว่าทำได้ทุกที่ทำได้ทุกคน ถ้าทำแล้วสบายใจ บริสุทธิ์ใจ ก็เกิดบุญ ถ้าทำแล้วเราให้คุณธรรมด้วยก็เป็นการสร้างบุญที่เรียกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน เขาพูดมาเรามีท่าทีอ่อนน้อมกลับ นั่นก็คือการสร้างบุญ เขาพูดดีมาเราอนุโมทนานั่นก็คือการสร้างบุญ ฉะนั้นทุกขณะเราสามารถสร้างบุญได้ อย่าจำกัดว่าบุญต้องทำที่วัด บุญทำได้กับทุกคน และบุญก็สามารถสร้างได้ทุกที่ แต่อยู่ที่ว่าเราคิดจะให้บุญ หรือให้เวรให้กรรม เวรก็คือการคิดร้าย คิดไม่ดี คิดไม่เป็นมงคล คิดบาป คิดอกุศล เหมือนกับที่ศิษย์รู้ๆ กัน คิดดีก็ได้ (ดี)  คิดชั่วก็ได้ (ชั่ว)  แล้ววันนี้คิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี)  ดีตลอดเลยใช่ไหม ไม่มีเจือปนเลยใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์มีวิธีบอกสุขง่ายๆ สมมติว่าศิษย์ไปอยู่ที่ไหน ศิษย์อยากมีสุขง่ายๆ ให้คิดง่ายๆ คิดเสมอๆ แค่นี้ขอบคุณแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว สุขไหม  ฉะนั้นจะสุขได้ทุกๆ ก้าวทุกก้าวที่เดินก็มีสุขได้ทุกก้าว แต่มนุษย์เราสุขไหม ยังไม่พอ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ยังไม่สุข ทุกข์มันทุกก้าวเลยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์บอกว่าต่อไปนี้ ดีแล้ว พอแล้ว สุขแล้ว แล้วตอนนี้สุขง่ายหรือสุขยาก (ง่าย)  ใครๆ มักจะพูดว่า ยังไม่ค่อยสุข ตอนนี้มันทุกข์เหลือเกิน  ฉะนั้นศิษย์มาฟังธรรมแล้วต้องให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วทำให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ เราอยากอยู่ในโลกอย่างมีสุขหรือมีทุกข์ (สุข)  แล้วทุกวันก้าวมาอย่างสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สามีอยู่กันนานๆ เบื่อไหม (เบื่อ)  ลูกอยู่นานๆ รำคาญไหม (รำคาญ)  อาจารย์ถามหน่อย สามีตอนนี้ภรรยาเป็นอย่างไร น่ารักไหม ไม่มีสัญญาณตอบจากหมายเลขที่ท่านเรียก อาจารย์อยากบอกศิษย์ แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว ก็พอแล้ว จะทำให้สุขได้ทุกที่ และสุขได้ทุกคน ถ้าบอกว่ายังไม่ใช่ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ต้องมากกว่านี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ คนที่คิดคือคนที่ทุกข์ คนที่ไม่ยอมรับความจริงคือคนที่สุขยาก แล้วศิษย์อยากมีสุขหรือมีทุกข์ ถึงเวลาคิดอย่างคนมีสุขหรือคนมีทุกข์ ฉะนั้นบางทีแค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว เมื่อศิษย์คิดได้อย่างนี้จะมองโลกได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไหร่บอกว่า อันนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ดี เลวร้าย อันโน้นก็มีแต่เรื่องราวไม่ดี มันอยู่ก็มีแต่หัวใจหดหู่หม่นหมองจริงไหม
เมื่อมองโลกแย่ใจเราก็ (แย่)  เมื่อมองโลกไม่ดีใจเราก็ (ไม่ดี)  เมื่อมองโลกทุกข์ใจเราก็ (ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนทีจะแปรโลกแปรใจเราก่อนดีไหม (ดี)  ก่อนที่จะไปเปลี่ยนใครเปลี่ยนใจเราก่อนดีไหม (ดี) 
เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตก็ต้องมีขยับเขยื้อนนิดหน่อยใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าชีวิต ถ้ายึดแล้วไม่ขยับ แปลว่ามันตายหรือเรียกว่าเป็นโรคอัมพฤตอัมพาตใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ขยับเขยื้อนก็ถือว่าเป็นการรู้จักอะไร ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้ชีวิตรู้จักยืดหยุ่นเป็นดีหรือไม่ (ดี)  สมมติว่าอาจารย์โบกพัดขึ้นแปลว่ายืน อาจารย์โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)  แต่อย่างนี้ง่ายไปไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอย่าลุกก็โอยนั่งก็โอย ต้องคิดว่าได้ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตมันยืดแล้วมันไม่หยุ่นขึ้นมานั่นเรียกว่า ใกล้ตายแล้วนะ แต่ว่ามันมีเรื่องอยู่อย่างหนึ่งว่า เราดำเนินชีวิตการมองแต่คนข้างหน้า บางทีมันก็ไม่ใช่จะถูก บางทีเราก็ต้องมองข้างซ้าย ข้างขวาด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าแถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง แถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง สลับกันอย่างนี้ได้ไหม (ได้)  ถ้าแถวไหนผิดแถวนั้นต้องเต้นเป็ดทั้งแถว ตกลงไหม (ตกลง)  เราพร้อมใจกันนะ มีข้อตกลงเหมือนกัน แถวนี้หน้ากระดานเรียงหนึ่ง ทำตามอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แถวสองต้องแย้งกับอาจารย์ พออาจารย์โบกพัดขึ้น ศิษย์ต้องนั่งลงพออาจารย์โบกพัดลง ศิษย์ต้องยืนขึ้น อาจารย์ย้ำแล้ว ฉะนั้นผิดไม่ได้นะ ฉะนั้นถ้าอาจารย์เอาพัดตั้งแปลว่า (นั่ง)  ถ้าอาจารย์เอาพัดลงอย่างนี้แปลว่า (ยืน)  อาจารย์อธิบายให้แต่ละแถวแล้วโบกพัดขึ้นแปลว่า (ยืน)  โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)
ถ้าผิด ๑ คน โดนทั้งแถวพร้อมไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)  แถวไหนจะตอบยกมือขึ้น เอามือลง จำไว้ ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าตัวเองไม่ผิด คนอื่นก็ไม่เดือดร้อน ตัวเองก็ไม่เดือดร้อนด้วย ธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์ดูแลตัวเองไม่ดี ศิษย์เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง นักเรียนในชั้นเรียนเชิญพระอาจารย์นั่ง)
เรียนเชิญอาจารย์นั่ง อาจารย์จะแย้งหรือตามดี ศิษย์จำไว้ อยู่ในโลกนี้ เรื่องราวบางเรื่องก็ควรตาม เรื่องราวบางเรื่องคิดให้ดีควรตามหรือควรแย้ง การเป็นตัวของตัวเองก็ดี แต่ถ้าเป็นตัวของตัวเองมากเกินไปแล้วทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ยอมลดความเป็นตัวของตัวเองแล้วตามผู้อื่นบ้างก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นควรตามหรือควรแย้ง เกิดเป็นคนต้องมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ไหลลื่นไปตามผู้อื่นจนขาดจุดยืนของตัวเองก็ไม่ดี
(พระอาจารย์เมตตาเล่นเกมกับนักเรียนในชั้น)
เริ่มจากฝ่ายหญิงก่อนฝ่ายชายนั่งลง ฝ่ายชายเขาเงียบ ฝ่ายหญิงมีนิสัยที่แก้ไม่ได้คือชอบจับผิด ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นกลุ่มหนึ่งก่อน แล้วจะเป็นกลุ่มสองฝ่ายหญิงเขาขี้อาย เขาผิดก็ให้อภัยเขา แต่ถ้าฝ่ายชายผิด ไม่ต้องให้อภัย จับเต้นเป็ดเลยจริงไหม ดีไหม (ดี)  เป็นผู้ชายมันต้องมีความกล้าหาญ ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด เป็ดก็ต้องเป็นเป็ด
อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าอาจารย์บอกว่า การเต้นเป็ดมันก็เหมือนความทุกข์อันหนึ่ง ที่ศิษย์กลัว ศิษย์ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น แต่อาจารย์ถามหน่อย ถ้าลองเป็นเป็ดสักครั้งหนึ่ง ความทุกข์มันจะดูน่ากลัวไหม (ไม่)  แล้วมันยากเกินจะรับไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด
เข้ามาสู่เรื่องธรรมะกันบ้างดีกว่า อาจารย์อยากจะให้ศิษย์เข้าใจธรรมะ เพราะการเข้าใจธรรมะมันจะทำให้เรามีหลักในการดำเนินชีวิต และการเข้าใจธรรมะช่วยเยียวยาใจเวลาเจอเรื่องที่เกินยากจะรับไหว ศิษย์เคยไหมอยู่ในชีวิตมันมีทั้งเรื่องที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วเรื่องที่คิดไม่ถึงเกิดขึ้นมันก็มีใช่ไหม แล้วเมื่อมันมี ใจเราตั้งรับทันไหม (ไม่ทัน)  ใจเรามันสู้ไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม การเข้าใจธรรมนั้นจะช่วยเยียวยาใจ และการเข้าใจธรรมนั่นแหละ ไม่ประมาทและพร้อมจะเผชิญทุกข์ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง แต่เวลาเราจะเข้าใจธรรมะ บางทีมันเป็นเรื่องยาก ฟังมาสองวันแล้วปลดทุกข์ได้หรือยัง (ยัง)  เข้าใจแล้วปลดทุกข์ได้ไหม (ได้) อาจารย์เข้าห้องน้ำปลดปุ๊บหมดปั๊บทันที ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามันปลดทุกข์ง่ายอย่างนั้นมันก็ดี แต่ชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะปลดทุกข์ได้ มีศิษย์คนหนึ่ง เป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ และบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะมีสุขได้ก็ต่อเมื่อต้องได้ ต้องดี ต้องมีถึงจะสุข ถ้าไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่คนๆ นี้ไม่ใช่แค่นี้ยังบอกอาจารย์อีกว่า อาจารย์ไม่ใช่ต้องได้ ต้องดี ต้องมี และต้องสุข ไม่พอ ศิษย์ยังต้องเป็นคนที่ว่าถ้าจะตาย ก็ต้องขอให้ตายไม่ลำบาก ให้นอนแล้วก็ตายเลย ศิษย์จะโชคดีที่สุดแล้ว
ถ้าเกิดศิษย์จะเจ็บขอให้เจ็บปุ๊บแล้วหายไปเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มักจะชอบกำหนดแบบนี้ กำหนดทั้งความตายของตัวเอง กำหนดทั้งการเจ็บของตัวเอง และกำหนดทั้งการมีชีวิตของตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์คนนี้ยังบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อถ้าศิษย์มีสามี ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข เท่านี้ไหมสุขของศิษย์ ยังไม่พอศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อภรรยาของศิษย์ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข สามีต้องรับผิดชอบ ซื่อตรง ขยัน เอาใจดูแลเราเป็น ปากหวาน ไม่เจ้าชู้ ไม่กะล่อน รับผิดชอบหน้าที่ ศิษย์ถึงจะสุข แต่ศิษย์เชื่อไหมผู้ชายขอผู้หญิงอย่างเดียวอะไรรู้ไหม เลิกบ่น สุขเลยใช่ไหม (ใช่)  เลิกบ่น เลิกใช้เงินเก่ง  ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์คนนี้ กว่าจะสุขได้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วเขาต้องการแค่นี้ไหม (ไม่)  เขายังกำหนดไปว่าถ้าศิษย์เรียนจบขอให้ศิษย์แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก มีครอบครัวที่ร่มเย็น ศิษย์ถึงจะสุข ศิษย์กำหนดสามี หน้าที่การงาน ลูกต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นเด็กดี ต้องประสบผลสำเร็จ ต้องเจริญก้าวหน้า ต้องเป็นที่พึ่งพา มีเพื่อนกำหนดเพื่อน เพื่อนฉันต้องจริงใจ มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่กินแรง มีเงิน หน้าที่ตำแหน่ง เสื้อผ้าต้องกำหนด
ฉะนั้นความสุขของศิษย์คนหนึ่งถูกตีกรอบไว้แบบนี้เรียบร้อย ฉะนั้นถ้าสามีไม่อยู่ในกรอบ ลูกไม่เป็นดังกรอบที่ศิษย์คิดทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพื่อนไม่เป็นดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เงินไม่ได้ดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ตำแหน่งไม่มีดังใจศิษย์หวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีครอบครัวแล้วไม่ร่มเย็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร อาจารย์ถามจริงๆ อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร ตายก่อนหรือศิษย์ ยังตายไม่ได้เพราะไม่ใช่ตายแบบนี้
จะตายก็เมื่อดับแล้วตายเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์จะหลุดพ้นได้อย่างไร เห็นมองทีไร มีความคาดหวังทุกที ยึดติดทุกที ฉะนั้นถ้าเราอยากหลุดพ้นทำอย่างไร ปล่อยวางหรือ อาจารย์จะเล่าให้ฟัง เมื่อศิษย์ยึดมั่นกับความคิดว่าอย่างนี้เรียกว่าสุข ศิษย์ก็ปักใจยึดมั่นว่าอันนี้เรียกว่าสุขจริง สุขแท้ และสุขตัวเดียวเท่านั้นที่ศิษย์จะเจอในชีวิต ถ้าไม่มีแบบนี้ ศิษย์จะไม่มีวันสุขเลย ใช่ไหม มนุษย์ชอบกำหนดตายตัวว่า ความสุขเป็นแบบนั้น แบบนี้ แล้วบอกว่าสิ่งที่เรากำหนดนั้น เป็นของจริงสมบูรณ์แบบที่สุด พอไม่เป็นเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เรายังหวังให้มันเป็นไปได้ใช่ไหม (ใช่)  ห้ามคนด่า ห้ามเสียเงิน ห้ามผิดหวัง ห้ามล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อห้ามไม่ได้แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  ทุกความยากลำบากของชีวิตไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่ตั้งไว้ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ภัยอันตรายภายนอกไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่คิดผิด และเรื่องราวในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับเรารู้สึกต่อเรื่องราวเช่นไร
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ วิธีอาจารย์ง่ายๆ สนใจไหม (สนใจ)  แค่ทำใจว่างๆ อะไรจะเกิดก็ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว  ฉะนั้นไม่ว่าสามีจะอยู่หรือจะไปก็ (ดีแล้ว)
ถ้าไล่เขา เขาไม่ไป อย่างนั้นก็อยู่ก็ดีแล้ว ใช่หรือเปล่า เพราะโลกใบนี้นะศิษย์ ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยมา อาจารย์ถามหน่อยเงาะป่ามีตั้งหลายตัว ตัวไม่ดำ แต่ทำไมเรามองเห็นตัวดำนั้นน่ารักที่สุดล่ะ (เพราะมันมีดอกไม้สีแดง)  คนมีตั้งมากมาย ทำไมเราไม่ไปรัก คนมีตั้งมากมายทำไมเขาไม่ด่า ทำไมเขามาด่าเรา มารักเรา มาเกลียดเรา มาชอบเรา ใช่ไม่ใช่เพราะบุญกรรมทำร่วมกันมา ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเมื่อเวลาบุญกรรมมันสร้างร่วมกันมา เราจะใช้บุญใช้กรรมนั้นให้หมด หรือเราจะสร้างบุญต่อ แล้วไม่ยึดติดบุญนั้นดี (สร้างบุญต่อ)  สร้างบุญต่อ ส่วนใหญ่คิดอยากสร้างบุญต่อ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าสร้างบุญต่อแล้วยังหวังผลแปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเจอเขาอีก ใช่ไหม (ใช่)  ถูกไหม (ถูก)  ก็จริงนะ ถ้าศิษย์เอ๋ย ขอว่าให้ฉันร่มเย็น ทำให้สวยวันสวยคืน แปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับบุญอีก แต่จริงๆ แล้ว ความหมายของการศึกษาธรรมคือทำบุญเพื่อละวางความยึดถือในตัวตน เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าอาจารย์มีตัวตน อาจารย์ตีตรงไหน อาจารย์ก็เจ็บถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าอาจารย์ว่างจากตัวตนที่ยึดถือ เชื่อไหมศิษย์ จะตีตรงไหนมันก็ไม่เจ็บ จะมาสุขหรือมาทุกข์ มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร จริงไหม (จริง)  เหมือนเทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์กำหนดว่ามือซ้ายนี่คือสุข มือขวานี่คือทุกข์ วันใดที่อาจารย์เหลือแต่มือซ้าย ไม่มีมือขวาอาจารย์ถามว่าสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  อะไรนะ มือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ วันหนึ่งอาจารย์มีแต่มือสุข แต่ไม่มีมือนี้สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ถ้าอาจารย์บอกว่ามือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ตัดมือขวาไปทิ้ง แล้วเหลือแต่มือซ้าย อาจารย์ถามจริงๆ ว่าศิษย์มีสุขหรือมีทุกข์ (ทุกข์)  ทำไมล่ะ ก็รู้นะว่ามีมือข้างเดียว เหมือนกันศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เรียกว่าสุข ศิษย์ลองเสวยสุขมันทุกวันๆ สิ ทำไมกลายเป็นทุกข์ วันนี้เขาก็ชม พรุ่งนี้เขาก็ชม มะรืนเขาก็ชม มะเรื่องเขาก็ชม ทั้งปีเขาก็ชม ชมอยู่อย่างเดียว  สวยๆๆๆ  ชมอย่างนี้ทุกวันจากที่สุข  เราก็จะรู้สึกว่ามันบ้า หรือเปล่านะใช่ไหม
ถ้าศิษย์เข้าใจ ก็อยากให้ศิษย์เข้าใจในหลักธรรม เพราะหลักธรรมคือความจริงของโลกที่ไม่สอนให้ศิษย์แยกตัวเองออกจากธรรม แต่สอนให้ศิษย์อยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง ความจริงสอนให้เรารู้ว่า เราอย่าแยกตัวเอง และเราอย่าพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เรียกว่าธรรม แต่จงอยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง แล้วจะมีสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบแยก ฉันอยากได้หน้าไม่อยากได้หลัง ฉะนั้นเวลาเจอศิษย์ อาจารย์ต้องให้ศิษย์เห็นแต่ด้านหน้า ห้ามให้ศิษย์เห็นด้านหลังเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ชอบความสว่างไม่ชอบความมืดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นธรรมชาติยังสอนเลยว่า ฟ้ามีมืดมีสว่าง คนอยู่กลางระหว่างฟ้าและดิน มืดกับสว่างอย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราจึงเรียกว่าชีวิต ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราอยากศึกษาธรรม ชีวิตมีสุขและมีทุกข์ ธรรมะไม่ได้สอนให้เรารักสุข เกลียดทุกข์ รักดีด่าชั่ว ธรรมสอนให้เราตั้งตนอยู่ตรงกลาง แล้วยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าสุขหรือทุกข์ด้วยหัวใจปกติ จึงเรียกว่ามีธรรม แต่มนุษย์เราเป็นอย่างนั้นไหม เราชอบแยกธรรมะ ฉันต้องเอาแบบนี้ ฉันไม่เอาแบบนั้น แล้วกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นแบบนั้นไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วใช่ธรรมะไหม มีไหมพระพุทธองค์ มีไหมพระองค์ไหนที่ศิษย์กราบไหว้บอกว่า ให้ด่าคนชั่ว ให้แช่งคนไม่ดีมีไหม (ไม่มี)  แล้วศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ไหม เป็นศิษย์ของพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ไหม ฉะนั้นเจอคนชั่ว ด่าหรือไม่ด่า (ไม่ด่า)  ฉะนั้นอาจารย์อยากสอนว่า ถ้าศิษย์แปรเปลี่ยนจากความโกรธเกลียดเป็นใจที่ปกติเรียกว่าศีล เรียกว่าธรรม แต่ถ้าใจมันเอียงซ้าย เรียกว่าบุญ เอียงขวาเรียกว่าบาป แต่ถ้าปกติ เรียกว่าธรรม ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ด่าก็ได้ ทุกข์ก็ได้ โกรธก็ได้ เสียก็ได้ ใจยังคงปกติ นั้นแปลว่าศิษย์เข้าถึงธรรม แต่ถ้าศิษย์ยังเอียงว่า ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เรียกว่าการก่อกรรม ไปด้านดีเรียกกรรมดี ไปด้านชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว ถ้ามากไปด้านดีเรียกว่ากรรมดี และศิษย์ยังหวังผลแปลว่า ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับกรรมดี ใช่ไหม (ใช่)
แต่ถ้าศิษย์ไปด้านชั่ว ศิษย์เกลียดเขา ด่าเขา ชิงชังเขา โกรธแค้นเขา นั่นคือศิษย์กำลังสร้างกรรมชั่ว ที่เรียกว่า วิบากกรรมหรือเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเวรกรรมหนีไม่พ้นคือนรก อบายภูมิ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนอะไรกระทบ ยังเอียงดี ยังเอียงชั่ว ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบุญบาปที่เรียกว่า สนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เจอเรื่องอะไรมากระทบ ศิษย์รักษาใจปกติ เห็นชัดไม่โกรธ เห็นชัดไม่ด่า เห็นชัดไม่ลุ่มหลง รักษาใจปกติได้ นั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม เราศึกษามาตั้งนาน เราเคยเข้าถึงธรรมบ้างไหม เราวิ่งไปแต่ด้านกรรมเดี๋ยวก็ไปทำกรรมดีเดี๋ยวก็ไปทำกรรมชั่วใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็วิ่งวนรับสนองผลกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมะไม่ได้สอนให้เราแตกแยกไม่ได้สอนให้เราขัดแย้งแต่สอนให้เรากลมกลืนสอดคล้องฉะนั้นอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมมีคนดีตลอดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหมมีคนเลวตลอด (ไม่ได้)  เมื่อเราห้ามไม่ได้ห้ามเขาไม่ได้เปลี่ยนเขาไม่ได้รักษาใจตัวเองดีกว่าไหม ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้เปลี่ยนแปลงใคร แต่ธรรมะสอนให้ดูแลใจให้เข้าถึงธรรมแค่นั้นเอง เมื่อเรายอมรับความปกติได้ มันก็สงบ มันก็เย็น มันก็วาง มันก็สุข แม้โดนด่าเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  โดนคนเอาเงินไปไม่คืนเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  สามีไปไม่กลับเป็นเรื่องปกติภรรยาด่าไม่จบเป็นเรื่องปกติ ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้บนโลกนี้มันมีวันหมดอายุจริงไหมล่ะ (จริง)  ด่าสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  รำคาญไปสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  ใจของมนุษย์เรา ใจเราเองเรารู้ดีโกรธมากๆ มันเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  โกรธมากๆ เหนื่อย เหนื่อยสักพักเดี๋ยวขอหยุดโกรธก่อน สักพักค่อยมาโกรธใหม่ใช่ไหม (ใช่)  มีแบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์นึกว่าโกรธแล้วจบแล้วจบกัน มีค่อยมาโกรธมาด่ามันใหม่ แบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์ตกใจมนุษย์มีโกรธภาคสองภาคสามต่อด้วยเพิ่งรู้นะ
อยากอยู่กับคนอื่นอย่างสันติสุขลองทำหัวใจให้ว่าง ไม่มีกำหนด ไม่มีขอบเขต ไม่มีตัวตน ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่กับคนก็บังคับให้คนต้องเป็นแบบนี้ ต้องเป็นแบบนั้น พอเขาไม่เป็นดั่งที่คาดหวัง คนที่ทุกข์ก็คือคนที่ยึดติด ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลก แล้วไม่ทุกข์กับเรื่องอะไรในโลกทั้งมวล ลองทำหัวใจให้ว่าง อยู่กับเขาแบบไม่ยึดมั่นไม่คาดหวังไม่ผูกติดได้ไหม ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แม้ลูกจะเกเรก็ได้ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้วันนี้จะเป็นทุกข์ไม่ใช่สุขก็ได้ แล้วศิษย์จะเข้าใจความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา ไม่ร้ายไม่ดี จะร้ายจะดีอย่างไรเราก็หนีไม่พ้นบนโลกนี้ใช่ไหม อาจารย์ขอถามหน่อย ในโลกนี้มีอะไรไม่มีคู่ มีไหม (ไม่มี)  มีค่ะอาจารย์หนูอยู่คนเดียวมาตั้งนานแล้ว ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้ คำว่าคู่ของอาจารย์หมายความว่า ในโลกนี้มันมีภาวะคู่เสมอ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีชมก็ต้องมีติ มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย ถูกไหม (ถูก)  มีคนหนุ่มมันก็ต้องมี (คนสาว)  ฉะนั้นคนหนุ่มสาวเกลียดคนแก่ดีไหม (ไม่ดี)  คนแก่เกลียดคนหนุ่มสาวได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า ถ้าเราเข้าใจความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนเกี่ยวพันกันเราจะอยู่กันอย่างกลมกลืนสอดคล้องได้ใช่ไหม ถ้าเรายึดติดว่าฉันชอบแต่คนแก่ ไม่ชอบคนสาวเราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)
เราชอบคนชมไม่ชอบคนด่าถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความเป็นจริงอะไรๆ มันก็ปกติธรรมดา การเรียนรู้ธรรมคือ หันกลับมามองว่าต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวล มันไม่ใช่อยู่ที่เขา มันไม่ได้อยู่ที่ใคร หรือมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวอะไร แต่มันเกิดจากใจของเราที่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มองความจริง และไม่ยอมรับความจริง เอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขก็จงยอมรับว่าแก่ก็ (ทุกข์)  ศิษย์เอยจะแก่จะเด็กก็ทุกข์ทั้งนั้น ถ้าคิดไม่เป็น จริงไหม (จริง)  ถ้าแก่แล้วยังไปทำให้ตัวเองทุกข์นั้นก็คือคนโง่ น่าจะดีใจว่าชีวิตผ่านมาร้อนหนาวมาหลายปีแล้ว ยังรอดมาได้ถือว่าโชคดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  และยังโชคดีที่ได้แก่ปานนี้ แต่เด็กๆ สิน่ากลัว ไม่รู้ว่าชีวิตจะได้แก่หรือไม่ ก็ไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าดูถูกคุณค่าคนแก่ เพราะมีคนแก่เราถึงได้มีชีวิตยาว ฉะนั้นถ้ารักแต่วัยหนุ่มสาวคึกคะนอง ท่านได้ตายก่อนแก่แน่ จริงไหม (จริง)  อาจารย์ถึงบอกว่าการเรียนรู้เข้าใจธรรม คือการยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนดี อย่าไปกำหนด ขอให้ตายได้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ  ถ้าเกิดมาไม่ตายทรมานนะ เกิดมาไม่เจ็บลำบากนะ จริงไหม (จริง)  อาจารย์บอกให้ถ้าเกิดมาแล้วตายเลยไม่เจ็บ ดีไหมล่ะ (ดี)  ศิษย์ลองไปถามคนที่เรียนๆ อยู่แล้วตายเลย แล้วเขาจะบอกว่าขอเจ็บก่อนเถอะ อาจารย์จะบอกให้เจ็บก่อนดีตรงไหน ความเจ็บมันเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าศิษย์กำลังผิดปกติแล้ว ศิษย์ต้องดูแลความผิดปกตินั้นให้ดี เพราะถ้าดูแลไม่ดีศิษย์จะตายโดยไม่ต้องเจ็บจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเข้าใจชีวิตมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง ไหนบอกอาจารย์มา ไม่มี โดนด่ายังดีเลย โดนคนเอาเงินไปแล้วไม่คืนก็ดี ดีตรงไหนล่ะอาจารย์ ดีแล้วขอให้หมดเวรหมดกรรมกัน ชาตินี้จบพอแล้วไม่ติดหนี้กันอีกแล้ว ใช่ไหม
อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ถ้าเรายอมรับความเป็นปกติของชีวิต ที่มันดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุขได้ ศิษย์จึงบังเกิดธรรม แล้วเชื่อไหมว่า กรรมจะไม่มี มันจะมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ไม่สร้างอีกแล้ว บาปไม่มีอีกแล้ว แล้วไม่ต้องพยายามทำบุญเพื่อเสวยบุญอีกต่อไป เพราะขอเท่านี้ก็พอแล้ว ดีไหม (ดี)  ทำตรงนี้ เดี๋ยวนี้ตรงนี้ได้เลย แค่ยอมรับอะไรๆ ก็ดี ดีที่ได้เรียนรู้เข้าใจ และไม่เกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป หรืออยากจะเกี่ยวกรรมอีก  (ไม่อยาก)  แต่ศิษย์มักจะบอกว่าอาจารย์บางทีคนเรายังต้องมีอารมณ์รู้สึกบ้าง จะให้รักษาใจปกติ ไม่รู้สึกมันทำใจยากนะอาจารย์ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายออกมา)  อาจารย์การจะรักษาใจให้ปกติ ไม่ให้รู้สึกอะไร มันยากนะ ถ้าอาจารย์ถามว่า จะทำอะไรก็ทำไป รู้สึกอย่างไร ไม่ต้องสนใจ ก็ทำไป ก็ปล่อยอารมณ์มันออกมาเลยใช่ไหม ถ้าสมมติอาจารย์หมั่นไส้คนนี้แล้ว ตีแบบนี้ ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่เป็นไรศิษย์เดี๋ยวอาจารย์ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดีไหม (ไม่ดี)  ทำอะไรก็ช่างมัน ไม่รู้สึกรู้สา จิตไม่รู้สึกรู้สาไม่ได้ บางทีเราเกลียดมัน เบื่อ รำคาญ ด่ามันไปเลย ทำร้ายมันไปเลยดีไหม (ไม่ดี)  เดี๋ยวค่อยมา ขอโทษนะเธอ ถ้าทำแบบนั้นมันแก้อะไรกันได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ของอาจารย์ปล่อยให้รู้สึกรู้สา สร้างเวรกรรมเต็มที่แล้วค่อยไปทำบุญที่วัด อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา ลบล้างใจเขาได้ไหม (ไม่ได้)   “ขอโทษนะเมื่อสักครู่ไม่ได้ตั้งใจ แค่มือพลั้งไป” หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นหยุดก่อนสร้างกรรม หรือสร้างกรรมแล้วค่อยหยุด (หยุดก่อนสร้างกรรม)  ไม่เอาอาจารย์ มันต้องรู้สึกรู้สาก่อนสิ ด่ามันให้สะใจก่อน เดี๋ยวค่อยไปสร้างบุญใช่ไหม ถูกไหม หยุดก่อน พลั้งมือ ทำร้าย เกี่ยวกรรมสร้างเวรกรรม  หรือไปสร้างเวรกรรมแล้วสร้างบุญชดเชยอะไรประเสริฐกว่ากัน ศิษย์โกรธเต็มที่ไปรักมาเต็มที่ ไปเกลียดมาเต็มที่ ไปด่ามาเต็มที่ แล้วทำบุญชดเชยทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นสู้หยุดแล้วมองอย่างเข้าใจ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่า ไม่หลง ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์มา ท่านจึงบอกว่า อย่าพยายามไปกดมัน อย่าไปพยายามบังคับมัน อย่าไปพยายามคิดถึงมัน เพราะความคิดการกด ไม่ช่วยให้เราดีขึ้น วิธีที่จะดีที่สุดคือ เปิดใจกว้าง ยอมรับความจริง ด้วยสติยั้งคิด เขาก็คือส่วนหนึ่งของธรรม เขาร้ายมากเท่าไร เราไม่ต้องทำอะไร เราก็ดีขึ้นดีขึ้น โดยไม่ต้องมีคำชม จริงไหม
สมมติว่าอาจารย์ด่าศิษย์คนนี้ว่า เลว ชั่ว อ้วน ศีรษะล้าน ใครเลว อาจารย์เลวใช่ไหม แต่ถ้าเขายืนเฉยๆ ไม่พูดอะไร แถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เป็นอย่างไร มันสุดยอดนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น เรานิ่งได้ เราสงบได้ เราเย็นได้ เราคือผู้ที่เข้าถึงธรรม แต่คนที่กำลังโกรธ เกลียด เขากำลังตกอยู่ในอบายภูมิ ตกอยู่ในนรก  ฉะนั้นถ้าเราเย็นได้ ว่ามันก็แล้ว เกลียดมันก็แล้ว มันยังยิ้มอยู่อีก ศิษย์ลองปล่อยให้เขา
ด่าสัก ๑๐ วัน แล้วศิษย์ไม่โกรธเลย เชื่อไหม เราจะแปรเปลี่ยนคนที่ตกนรกให้ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยหัวใจที่ปกติ เขาก็จะหันมาถาม แกมีดีอะไรนะ ทำไมแกไม่โกรธฉันเลย ฉะนั้นจึงถามศิษย์อย่างไรล่ะ จะเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น หรือจะหยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง (หยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง)  ถ้าศิษย์หยุดได้ ศิษย์ยังแปรเปลี่ยนคนที่กำลังจะสร้างกรรมกับเราให้เขาพ้นทุกข์ได้ด้วยความเข้าใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นควรจะรู้สึก หรือไม่รู้สึกดี อาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่รู้สึก แต่เข้าใจใจที่มันปกติ รู้สึกไปมันก็เจ็บ ด่าไปมันก็ทุกข์ รักมากไปมันก็เต็มไปด้วยน้ำตาจริงไหม (จริง)  หลงมากไปมันก็ตามืดบอด แล้วเราควรหรือที่จะมองเห็นแค่นี้ ถ้าเขาเป็นทุเรียน อาจารย์จะกินแต่เปลือก หรืออาจารย์จะกินเนื้อ (เนื้อ)  อย่างนั้นถ้าศิษย์เป็นคนๆ หนึ่งที่มันทำให้เราได้เห็นเนื้อ ได้เห็นแก่นแท้ เราจะมัวแต่ติดเปลือก หรือเราจะเอาให้ถึงเนื้อ เอาให้ถึงเนื้อในนั่นแหละที่แท้มันคือธรรม ที่ทำให้เราเข้าใจสัจธรรม เนื้อแท้แห่งความเป็นคนของเขาที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้ มีแต่ทุกข์ แล้วก็ว่างจากตัวตน เมื่อเราไม่ยึดมั่นได้ เมื่อนั้นแหละเราจะพบธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จำไว้นะศิษย์อะไรก็ดี ไม่นั่งก็ดี ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม ทำนองเพลง :คำสัญญาที่หาดใหญ่ ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน)
ร้องได้ไหม (ได้)  เพลงนี้เศร้านิดหนึ่งนะ เป็นเพลงที่กลั่นออกมาจากใจ ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์คนหนึ่ง เขาได้รับรู้ เพียงแค่โดนว่า เพียงแค่โดนด่า ศิษย์ก็ไม่เอาอะไรแล้วหรือ ศิษย์ก็ไม่อยากดีแล้วหรือ มันน่าเสียดายนะศิษย์นะ ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าแค่โดนว่านิดหน่อยก็ไม่อยากดีแล้ว เสียดายนะศิษย์จริงไหม
อาจารย์เอากลอนของท่านแปดเซียนมาแยกเป็นคำๆ และอาจารย์จะวงคำข้างใน ให้มีความหมายอีกความหมายหนึ่งเพื่อฝากไว้เป็นสิ่งเตือนใจศิษย์ ได้หรือไม่ (ได้)  ช่วงที่บางคนยังไม่ได้วง ตอบคำถามได้อาจารย์มีรางวัลให้เอาไหม (เอา)  แต่ถ้าเกิดรางวัลที่อาจารย์ให้ไป กินแล้วมันต้องทุกข์เอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องเจ็บเอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องตายเอาไม่เอา (ไม่เอา)  ไม่เอาจริงนะ (ไม่เอา)  พูดจริงหรือ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมเอาไม่เอา (ไม่เอา)  นักเรียนเอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามจริง ศิษย์ไม่เอาสักวันศิษย์ก็ต้องเอา ถูกไหมล่ะ (ถูก)  ศิษย์ไม่กลืนกินมันให้ได้สักวันมันก็จะกลืนกินศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้ตั้งมือยอมรับกับมันดีกว่าว่าความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความเจ็บ ความปวดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และความตายก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทุกข์ทน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะถามว่า ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ทุกข์ ตอบได้อาจารย์ให้รางวัล รางวัลที่ได้ไปแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่างเป็นคนที่ไม่ทุกข์ ดีไหม (ดี)  รับมันให้ได้ มันคือใจและคือความเป็นจริงของทุกชีวิตที่ต้องเจอ ทุกชีวิตที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ดี ความทุกข์ ความเจ็บ ความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่มันทำให้เรามีสติ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จริงไหม (จริง)
มีใครตอบอาจารย์ได้บ้างมีไหม (ทำใจว่างๆ)  อย่างนั้นเอาแอปเปิลว่างๆ ไปไหม (เอา)  มีใครอยากตอบอีก ถ้ารับแอปเปิลอาจารย์ไปแล้วแอปเปิลอาจารย์มันว่าง แต่แอปเปิลมันกินแล้วต้องกล้าทุกข์ กล้าเจ็บ กล้าป่วยนะ ได้ไหม ทำใจว่างๆ นะ ฉะนั้นเอาแอปเปิลนี้ไปก็จะไปแบบว่างๆ นะ (คิดแต่สิ่งดีๆ)  ถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ ศิษย์ก็มองเป็นด้านดี ใช่ไหม ก็ศิษย์บอกอาจารย์เองให้คิดด้านดี ฉะนั้นถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ก็จะไม่โกรธมองในด้านดี ใช่ไหม (ใช่)  คิดในด้านดีไว้นะศิษย์ แต่บางทีในด้านดีแม้จะมีร้ายเราก็ต้องมองให้เห็นว่ามันมีดี แล้วเราก็จะได้ไม่จมอยู่กับความแย่ใช่ไหม (มองโลกให้กว้างๆ)  มองโลกให้กว้างๆ ไม่ว่าจะบวกจะลบก็ทำใจให้ได้นะ
(ทำใจจิตว่างให้อยู่กับธรรมะ)  การจะทำจิตใจให้ว่างคือต้องมองว่า โลกนี้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ทำจิตใจให้ว่าง ถึงเวลามันว่างได้จริงๆ ไหม มัวแต่เลอะเลือนมันก็ไม่ว่างหรอกนะ ใช่ไหม (ให้อภัย)  รู้จักการให้อภัย แล้วก็ให้ธรรมแก่เขา ให้ความปราณี ให้ความเมตตา เมื่อให้ความเมตตาจะลดพยาบาท เมื่อให้ความกรุณาจะลดการเบียดเบียน
(รู้จักปล่อยวาง)  อย่างนั้นแปลว่าจะไม่รับแอปเปิลใช่ไหม รู้จักละวางทำให้ถึงที่สุดจำไว้นะศิษย์ ก่อนจะปล่อยวางศิษย์ต้องทำให้ถึงที่สุด ทำให้ถูกต้องในศีลธรรม แล้วถึงเวลาใครจะว่าใครจะชมเราต้องปล่อยวาง นี่ถึงจะเรียกว่าปล่อยวาง และละวางอย่างถูกต้อง ทำให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าไม่ทำยังปล่อยไม่ได้ จริงไหม รับผิดชอบหน้าที่ให้ดี ทำตัวเองให้มีศีลธรรม (ปลง)  ให้มันปลงได้จริงๆ เถอะถึงเวลาคิดได้ ปลงไม่ตกก็มีใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดไม่ได้ มันก็ปลงไม่ตก แต่เรื่องของอารมณ์ต้องใช้สติ อย่าใช้ความคิด กับคนบางคนต้องคิดให้ได้ปลงให้ตก แต่กับเรื่องของหัวใจต้องใช้สติยั้งคิด ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์
(รู้จักให้อภัย)  ก่อนจะให้อภัย แปลว่าต้องโกรธเขาแล้วถึงจะพยายามให้อภัยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์ยังรู้สึกว่ายังต้องให้อภัยแปลว่าลึกๆ ในใจศิษย์ยังโกรธอยู่ แต่ถ้าศิษย์ใช้ความเมตตา ใช้ความเข้าใจ ไม่ต้องอภัย ใช้ความเข้าใจใช้ความเมตตา จะดีกว่านะ (สามารถค้นหาและทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากจะทำ อันนี้คือเปิดเผยมาก แต่ความสุขเหล่านั้นของเรามันเป็นความสุขที่ห้ามไปเบียดเบียน หรือไปทำร้ายคนรอบข้างเราหรือคนอื่น ก็คือเรามีความสุขได้ ก็คือทำอะไรก็ได้โดยที่แบบไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องมีอะไรมากีดกัน)  ความหมายของศิษย์ก็คือทำในสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าความสุข แต่ความสุขนั้น ต้องไม่ตั้งอยู่บนการเบียดเบียน คดโกงหรือทำร้ายใคร ใช่หรือ ไม่ ปรบมือให้เขาหน่อยนะ ตอบได้ดีนะ ตอบได้ดี มีใครตอบอีกไหม (เข้าใจค่ะ เข้าใจในที่นี้ก็คือ เราต้องเข้าใจก็คือ เริ่มจากเข้าใจตัวเราเองก่อน เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจธรรมชาติของทุกอย่าง เข้าใจคนอื่นมีความเข้าใจค่ะ)  เพราะใจของคนเหมือนกันทุกคน รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนพูดดีไม่ชอบคนพูดร้าย ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนเคารพให้เกียรติ ฉะนั้นถ้าเราเอาใจของเราตรงนี้ ไปปฏิบัติกับผู้อื่น เราก็จะเข้าใจคน และเราก็จะไม่เอาสิ่งนั้นไปทำร้ายคน ใช่ไหม หน้าตาเหมือนไม่ยอมรับเลยนะ
(มีสติแล้วก็อดทนกับสิ่งที่มากระทบ)  แต่ระวังนะ บางทีความอดทนมันก็มีจำกัดนะ อาจารย์อยากบอกศิษย์ เปิดใจให้กว้างแล้วกล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และยอมรับความเป็นจริง ไม่ต้องใช้คำว่า “อดทน” แต่ใช้คำว่า “พยายามเข้าใจ” เพราะอดทนมันมีขีดจำกัดจริงไหม (จริง)  (อยู่กับความจริง)  ทำให้ได้อย่างนั้นนะ อยู่กับความจริง ห้ามอยู่กับสิ่งที่คาดหวังในใจ เขาไม่รักก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่รัก เขาได้แค่นี้ก็ต้องยอมรับว่าแค่นี้ (มองโลกในแง่ดี)  แต่ศิษย์จำไว้นะ บางทีแม้โลกมันจะมีดีมีร้าย แต่จงจำไว้ว่า “ลองหาดีในร้ายให้เจอ” แล้วเราจะไม่ได้ทุกข์กับมัน และในดีเราลองมองให้ดีว่ามันก็มีร้าย เราจะได้ไม่หลงกับมันเกินไป
(ที่เป็นทุกข์ก็เพราะว่าไม่เข้าใจตัวเอง)  ที่เราทุกข์ก็เพราะเราไม่เข้าใจตัวเอง แล้วอยากให้อาจารย์ปลดทุกข์ให้ใช่ไหม แล้วเราเคยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายบ้างไหม เราเคยยอมคนได้ไหม ถ้าอยากเข้าใจ อยากปลดทุกข์ ถามตัวเองก่อนยอมคนเป็นไหม ให้เขาโดยไม่หวังผลได้ไหม ถ้าทำได้แบบนี้ศิษย์ก็ไม่ทุกข์หรอก มนุษย์ทำอะไรชอบหวังผล ทำอะไรชอบเอาชนะ ทำอะไรชอบถือทิฐิอัตตาตัวตนมันเลยทุกข์ใช่ไหม (รักษาใจให้ปกติ)  รักษาใจให้ปกติดีนะ
(ต้องตั้งสติ ทำดี มองในแง่ดี)  ตั้งสติ คิดดี ทำดี แล้วก็ต้องละชั่วให้ได้ด้วย ใช่ไหม ละกิเลสอารมณ์ที่เป็นต้นเหตุที่มาทำให้เราทำผิดคิดร้ายให้ได้ด้วยนะศิษย์ คิดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่วก็เปล่าประโยชน์นะ (ต่างคนต่างอยู่ไม่จองเวรจองกรรม)  ฉะนั้นถ้าเขามาทำร้ายเราล่ะ (เย็นไว้)  แล้วถ้าเขายังทำอีกล่ะ (นับหนึ่งถึงสิบ)  ถ้าเกิดเขายังทำอีกล่ะ ก็คิดเสียว่าเราจะได้จบเวรจบกรรมกันนะ ให้อภัยเขาก็ได้สันติใช่ไหม (แผ่เมตตา)  รักษาจิตจำไว้ศิษย์ ใครจะทำอะไรไม่ต้องไปสนใจ รักษาจิตของเราให้ปกติยกใจให้สูงให้ได้ อย่าทำให้เขาทำร้ายเราทั้งกายและใจ ให้เรามีกรรมแค่สังขาร แต่ไม่มีกรรมทางใจให้เขาทำร้ายเราได้แค่กายแต่ไม่ทำร้ายใจทำให้ได้นะ
(ต้องมีความอดทนอดกลั้นควบคุมอารมณ์ของเราเองให้ได้)  ถ้ารู้จักพอ เราก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าไม่พอก็ต้องอดทนอดกลั้นไปตลอดนะใช่ไหม (ยอมรับได้ทุกอย่างไม่ว่ามีอะไรมากระทบ)  ให้ได้อย่างนั้นนะ (คิดดีพูดดีไม่พูดให้คนอื่นเสียใจ)  คิดดีพูดดีไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ แต่อย่าเผลอพลั้งอารมณ์ เพราะถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์นั่นแหละ จะทำให้เราคนดีกลายเป็นคนร้ายได้เสมอ จริงไหม (ตัดกิเลสจากใจเราให้ได้ก่อน)  แต่ศิษย์เคยได้ยินไหม สิ้นทุกข์ได้ก็สิ้นกิเลสได้ แต่สิ้นกิเลสได้อาจจะไม่สิ้นทุกข์ก็ได้ ลองพิจารณาคำของอาจารย์ให้ดีนะจริงไหม
(ผิดก็ยอมรับผิด) ตอบได้ดีนะ จิตสำนึกที่ดีงามเป็นโอกาสที่จะทำให้เราแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งมวลได้ แค่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช้ความเมตตาปราณี)  เมื่อเมตตาจะไม่พยาบาท เมื่อกรุณาจะไม่เบียดเบียน เมื่อยินดีในเขาเป็นสุขจะไม่ริษยา เมื่อวางใจเป็นกลางจะไม่ยึดติดถือดี มีความอดทนอดกลั้น ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่าพรหมวิหารสี่ (เป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ)  ตอบได้ดีทำให้ได้อย่างนั้นนะ และจงจำไว้ว่าสิ่งที่เราทำให้ ไม่ใช่ต้องการให้คนชม แต่เราทำเพราะเราอยากหนีห่างจากความชั่ว และขอเป็นคนทำดีแบบปิดทองหลังพระ มีธรรมะไว้ในจิตใจ กราบพระจงอย่าเห็นแต่ความสวย แต่จงเอาธรรมะกล่อมเกลาใจนะ
(ต้องทำใจให้เย็น)  ต้องทำใจให้เย็น ไม่ว่าน้ำจะกลายเป็นน้ำเดือดก็ตาม ก็ต้องกลับมาเย็นให้ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าเจอเรื่องราวอะไร ถ้ามันเดือดร้อน วู่วาม นิ่งก่อน นิ่งจะทำให้เกิดสติ แต่ถ้าร้ายมา ร้ายกลับมันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย และเป็นอารมณ์ ฉะนั้นจงหยุดให้เป็น จงเย็นให้ได้ ใช่ไหม เพราะถ้าชีวิตคนหยุดไม่เป็นก็ไม่มีวันเย็นได้
(ตั้งใจทำความดี)  แต่ทำความดีต้องลดละการเบียดเบียนชีวิตนะ (ต้องมีเมตตา มีสติ ขอบคุณทุกสิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี)  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย
(อยู่อย่างพอเพียงและเพียงพอ)  แล้วเมื่อไรจะพอเพียงและเพียงพอจะได้ไม่ทำร้ายร่างกาย ทำให้ได้นะ
(ตั้งสติ ปล่อยวาง ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย)  ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด มีศีลมีธรรม ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว รักษาจิตของตัวเองให้ดีนะ
(ยอมรับความจริงเปิดใจให้กว้าง)  ถ้าเกิดคนนั้นเป็นลูกเรา คนนี้เป็นเพื่อนบ้านเรา เข้าข้างใครมากกว่ากัน
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  ทำให้ได้อย่างนั้นเถอะนะ กลัวถึงเวลาทำไม่ได้ อยู่อย่างไม่เบียดเบียนคือไม่ฆ่าเขาเพื่อชีวิตเรา ใช่ไหม
(สอนลูกและสามีให้เดินในทางที่ดี) ขอให้ยิ้มให้เก่งก็พอนะ เพราะบางทีสอนไปมากๆ เขาก็ไม่ฟังนะศิษย์เอ๋ย สู้การทำให้ดูดีกว่า
(ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น) แค่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในข้างหน้านี้ให้ดี แล้ว ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ต้องขยันรู้ไหม
(รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน)  ถ้อยทีถ้อยอาศัย เคารพให้เกียรตินะ  (อยู่อย่างมีเหตุผล)  บางครั้งเหตุผลของเราก็ถูก แต่เหตุผลของคนมักง่ายที่จะเข้าข้างตัวเอง เพราะคนทุกคนต่างมีเหตุผล ใช่ไหม เปิดใจให้กว้างยอมรับแค่นี้ให้ได้ แม้เขาจะเป็นได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม
(เป็นคนที่สงสารเพื่อน สงสารและก็เอ็นดูด้วย ทำให้มีความสุขใจไม่เกิดทุกข์)  รู้จักมีจิตที่สงสาร จิตที่สงสารจะทำให้เราไม่เบียดเบียนใครนะจำคำของอาจารย์ไว้ จิตที่รู้จักสงสาร จิตที่รู้จักมีเมตตา จะมีแต่ให้และไม่เบียดเบียนใคร รักษาใจนี้ไว้นะ (การให้ที่สำคัญคือการให้อภัย แล้วก็มีสติ อย่าใช้อารมณ์ก่อนพูดเสมอ) ทำให้ได้นะ (ถือศีลห้าอยู่ที่บ้าน ทำจิตให้ว่างอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด)  ศีลห้าครบจริงๆ หรือไม่โกหกจริงๆ หรือ ยุงไม่ตบจริงๆ หรือ (ยอมรับความจริงของตัวเอง แล้วยอมรับความจริงของคนอื่น ไม่คาดหวังและตีกรอบคนอื่น)  ทำให้ได้นะไม่เสียทีที่ฟังอาจารย์
(อย่าไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นทุกข์)  ใช่ถ้ายอมรับมัน บางทีความทุกข์มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต และบางทีความทุกข์นั่นแหละ ทำให้เรามีชีวิตจริงไหม (จริง)  ถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักชีวิตหรือ จริงไหมศิษย์ (จริง)  เพราะรู้สึกจึงทุกข์ แต่ถ้าเราไม่รู้สึก เราไม่ทุกข์ นั่นแหละแปลว่าชีวิตเราไม่มีแล้ว จริงไหม (จริง)  (ทำใจให้เป็นปกติ เพราะว่าทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นเรื่องปกติทั้งนั้นเลย)  ใช่ ศีลคือความปกติ สมาธิคือความมั่นคงไม่หวั่นไหว ความเห็นแจ้งในสรรพสิ่งคือปัญญาที่ตื่นรู้ ถ้าทำได้ในทุกข์ขณะจิต เราก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในตัวเรานั่นเอง (อดทนอย่างมีสติ)  รุ่นนี้ยังต้องอดทนอีกหรือ น่าจะเข้าใจโลกได้มากขึ้นนะ ใช่ไหม เด็กๆ เขาใช้ความอดทนไม่เท่าไร  แต่ถ้ารุ่นนี้ยังต้องอดทนนี้ต้องคิดหนักแล้วนะ (การเรียนรู้ทุกข์ได้สุขเป็นกำไร)  ปล่อยวางเรียนรู้ได้สุขเป็นกำไร ตอบเป็นกลอนเลยนะ แต่ก่อนจะปล่อยวาง ทำให้ดีที่สุด อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แล้วถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นี่แหละเรียกว่าหนทางของการปล่อยวางที่แท้จริง เข้าใจไหม (เปิดใจให้กว้าง ทำจิตใจให้ปกติ เพื่อเข้าถึงหลักธรรม)  จริงๆ ใจมนุษย์ปกติอยู่แล้วจริงไหม แต่พอโดนกระทบทางตา ทางหู มันเลยไม่ปกติ แล้วใจมันยึดติดมั่นหมาย มันก็เลยมองอะไรไม่ปกติ ใช่ไหม (นักเรียนชายคนหนึ่งยืนขึ้นและหัวเราะ)  ขอให้หัวเราะอย่างนี้ตลอดนะ เพราะตั้งแต่อาจารย์มา คนนี้ก็หัวเราะไม่หยุดเลย ฉะนั้นโดนด่าก็ (หัวเราะ)  เจ็บป่วยก็ (หัวเราะ)  ภรรยาหนีไปก็ (หัวเราะ)  หัวเราะไม่ได้ ต้องมีสติ (ทำจิตให้ว่างแล้วหยุดที่ใจเรา) 
แต่จิตของมนุษย์ไม่เคยว่าง ใช่หรือไม่ ชอบมีความเป็นตัวตนเข้ามาอยู่ แต่อาจารย์จะบอกโดยแท้จริงว่า จิตเดิมแท้นั้นว่าง แต่ใจแห่งความเป็นตัวตนมาบดบังจิตเดิมแท้ จึงทำให้เรามองไม่เห็นความจริง แต่ถ้าเมื่อไรเราวางอัตตาตัวตน เมื่อนั้นล่ะมนุษย์ว่างโดยแท้จริง และกำลังเดินกลับไปสู่ความว่างจริงไหม
(ไม่ยึดติดจากการเห็นหรือได้ยิน)  หยุดตั้งแต่ผัสสะ ผัสสะแปลว่ารู้สึก เห็นแล้วไม่ก่อเกิดเป็นความรู้สึก มันหยุดแค่นั้น เหมือนที่เรียกว่า รูปก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฉะนั้นถ้าเห็นเป็นแค่รูปแล้วไม่เกิดสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ มันก็ไม่กลายเป็นเวทนา สังขาร วิญญาณ ภพชาติ ชรา มรณา มันหยุดการเกิดได้อาจารย์พูดยากเข้าใจไหม
(ปล่อยวางทุกอย่าง)  ศิษย์คนสุดท้ายตอบอาจารย์น่ารักปล่อยวางทุกอย่าง แปลว่าแอปเปิลเขาก็ไม่เอาใช่ไหม บอกปล่อยวางทุกอย่างแต่ตามองแอปเปิลไม่ห่างเลย
(เลิกจากการกระทำความชั่ว ทำแต่ความดีทำ จิตใจให้บริสุทธิ์)  แล้วการจะเลิกชั่วได้คืออะไร (ไม่ผิดศีลธรรม)  ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ธรรมนั้นไม่ได้เกิดจากการที่อาจารย์ยัดเยียดให้ศิษย์ แต่ศิษย์ต้องบังเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตัวเอง แล้วออกมาจากตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(อยู่แบบเป็นกลาง)  รักษาใจให้เป็นกลาง หรือเรียกว่าหนทางแห่งทางสายกลาง ใช่ไหม จริงๆ มนุษย์มีทางสายกลางอยู่แล้ว แต่ใจของเรามักชอบเอียงเอน มองแค่นี้แต่ไม่มองให้กว้างๆ เหมือนวันนี้อาจารย์ถามง่ายๆ
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่างหัวหน้าชั้นกับนักเรียนในชั้นยืนเรียงกันสามคน)
มนุษย์เรามีความเป็นกลางอยู่เสมอ แต่เรามักจะชอบเห็นแค่นี้เหมือนเรามองอย่างนี้ เรามองแค่นี้ ใช่ไหมแต่จริงๆ แล้วเรามีความเป็นกลางอยู่ทุกขณะ มีคนที่สูงกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่แย่กว่า มีคนที่ร้ายกว่า ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรามองอยู่ทุกขณะเราจะไม่จมอยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เราจะเปิดใจกว้าง แต่มนุษย์ไม่ใช่พอเจอเรื่องนี้มาปุ๊บก็จมอยู่แค่เรื่องนี้แล้วก็ตายเพราะเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงๆ มันยังมีอีกหลายเรื่องแต่เราเคยเปิดกว้างดูไหม
(พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน)
อาจารย์ขอเอาพระโอวาทซ้อนครั้งที่แล้วมาต่อกันนะ ต่อกันจะได้คำว่า “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้” ถ้าจิตใจสงบ เราจะควบคุมและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มาแวดล้อมได้ แต่ถ้าจิตไม่สงบ เราจะถูกสิ่งที่แวดล้อมเปลี่ยนแปลงใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นลองเอากลอนที่อาจารย์ให้ ไปพิจารณาจนบังเกิดธรรมดีไหม (ดี) ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจารย์คงกลับได้แล้วใช่ไหม พระโอวาทซ้อนนี้มีกลอนอยู่ข้างใน
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องจากลาศิษย์แล้วนะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนมองไม่เห็นความจริง อย่ายึดมั่นกับสิ่งที่คาดหวัง จนลืมมองสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนคือสิ่งที่เป็นจริง ยอมรับได้ก็หมดทุกข์ได้ ถ้าไม่ยอมรับเราก็ทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ใดที่เข้าใจในความธรรมดานั้นจนบังเกิดธรรม จนปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นตัวตนได้ คนนั้นก็สามารถกลับคืนสู่สภาวธรรมแห่งความว่างได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่น่าเสียดายที่หลายคนๆ ฟังอาจารย์ไปแล้วก็เบื่อ ไม่ได้อะไรนะ ใช่ไหม คนเราเกิดมาล้วนต่างมีบุญที่ดีใช่หรือไม่ แล้วทำไมจึงไม่รักษาบุญโอกาสที่ดีอันนั้น อย่าปล่อยชีวิตจมอยู่กับความประมาท และปล่อยชีวิตจมอยู่กับการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ จนลืมความดีงามแห่งหัวใจ มนุษย์ดีงามได้เพราะ ซื่อตรง เที่ยงตรง โดยเฉพาะถ้าทำงานขาดความซื่อตรง ขาดความเที่ยงตรง คนๆ  นั้นก็ยากมีชีวิตที่ยั่งยืนยาวได้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานราชการเป็นทหาร เขาว่ากันว่ามีเทพคุ้มครอง แต่เทพจะคุ้มครองคนที่ทำงานราชการด้วยหัวใจที่ซื่อตรง แต่ถ้าไม่ซื่อตรงเทพก็ไม่คุ้มครอง พญามาร ผี ก็จะมาจองเวรจองกรรมจริงไหม ต้องถามตัวศิษย์เองว่าซื่อตรงหรือยัง ใช่หรือไม่
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ฝากเพลงนี้ไปให้ใครคนหนึ่งที่เขาทิ้งอาจารย์ หรือว่าใครสักคนหนึ่งที่วันนี้อยู่กับอาจารย์ แต่วันหน้าไม่กลับมาแล้วดีไหม ใครที่คิดว่ามาสองวันนี้แล้วไม่เจออาจารย์แล้วก็ลองเอาไปพิจารณาดู เป็นผู้ชายต้องกล้าหาญ ต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่หวาดกลัวใช่ไหม มีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง และรู้จักทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ใช่ไหม ไปแล้วนะ สามัคคีกันหรือยัง เข้มแข็งนะ อาจารย์อยากเห็นคนที่หาดใหญ่สามัคคีกันได้ไหม ทำงานฟ้าไม่กลัวลำบาก ทำงานฟ้าไม่กลัวทุกข์ หัวใจอะไรเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เป็นแบบนี้ ทำงานฟ้าจงแบกหัวใจที่ยิ่งใหญ่ กล้ายอมรับ รู้จักเคารพให้เกียรติผู้คน และก็จงทำงานอยู่กับผู้คนด้วยหัวใจที่เสียสละยากไหม
ศิษย์เอ๋ย จิตสำนึกจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดที่เราเคยทำกับคนอื่นเขามา ฉะนั้นศิษย์ต้องกล้าชดใช้กรรม ยอมรับผลกรรมเราที่ก่อ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักสำนึก กรรมเวรนั้นมันก็ไม่มีวันหายไปได้ ฉะนั้นรับแล้วก็ต้องสำนึกร่วมผิดด้วยว่าตัวเองไปทำอะไรเขามา เราถึงเป็นแบบนี้ จริงไหม ถ้าไม่เบียดเบียนทำร้ายเขา เขาจะมาเบียดเบียนทำร้ายเราไหม ฉะนั้นศิษย์ต้องมีสติที่จะเข้าใจ ความเป็นจริงของชีวิตด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เข้มแข็งให้ได้ ความอ่อนแอมีได้ แต่เราก็ต้องกลับมาเข้มแข็งให้ได้นะ เพราะคนเราเกิดมา มาคนเดียวเราก็ต้องกลับคนเดียว มาตัวเปล่าเราก็ต้องกลับตัวเปล่า ไม่มีใครไปกับเราได้ นอกจากหัวใจที่ตื่นรู้แห่งความจริงเท่านั้น ใช่ไหม แต่เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์นะ ทำให้ได้นะ รู้จักศึกษาธรรม ธรรมที่แท้จริงและเป็นความรักอยู่ในใจเรา รักษาใจแห่งรักให้ได้นะ ทำให้ได้นะ ศิษย์เอ๋ย รักษาจิตใจที่ดีงามด้วยการปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิด อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายชีวิตนะ เข้าใจไหม รู้เรื่องไหม
มีโอกาสมาฟังให้ครบดีไหม จะได้เข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจอาจารย์ แต่เข้าใจว่าชีวิตที่เกิดมาเป็นธรรม เพราะชีวิตหนีไม่พ้นธรรม ธรรมแห่งความเป็นจริงที่พวกเราต้องเข้าใจในทุกข์ สุข แต่เราจะอยู่ระหว่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ สุข ด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ได้อย่างไร ถ้าเราเอาแต่วิ่งวุ่น แต่ลืมค้นหาใจที่แท้จริงของตัวเอง ถ้าเราหวังแต่จะให้คนอื่นมาเติมเต็ม แต่ตัวเองไม่เคยเติมเต็มใจตัวเองได้เลย ความทุกข์ก็เกิดจากใจเราจริงไหม สามัคคีให้อาจารย์ได้ไหม ตั้งใจบำเพ็ญ หนทางบำเพ็ญที่แท้จริง คืออุทิศ เสียสละ เวลาตัวเองเพื่อผู้อื่น ชีวิตของศิษย์ หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มั่นคงในการช่วยเหลือโปรดผู้คน ต้องมีอยู่ในศิษย์เสมอ ไม่หาย ไม่จาง ไม่คลาย ด้วยความมั่นคง ศิษย์ทำดีหรือยัง ความคิดศิษย์ยังชอบฟุ้งซ่าน ฉะนั้นมีเวลาว่างสวดมนต์ให้เยอะๆ กราบพระขอขมาให้เยอะๆ เลิกฟุ้งซ่าน ทำตัวเองให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะเป็นทุกข์ และตัวเองก็เป็นทุกข์ใช่ไหม
สมัครสมาน ดูแลจิตใจของศิษย์ให้ดีงาม ให้ถูกต้อง ด้วยหัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คน แม้ตัวเองจะทุกข์ก็ไม่เป็นไร ได้ไหม ศิษย์คือลูกศิษย์อาจารย์จี้กง หัวใจของอาจารย์จี้กงคืออนุเคราะห์ปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรม เอาหัวใจนี้ไปนะ หัวใจที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรมจนลืมความเป็นตัวตนเหลือแต่ธรรม ที่จะเอาไปให้เขา ทำได้เช่นนี้ศิษย์ก็คือคนที่มีหัวใจแห่งพระพุทธะ ทำให้ได้นะ ได้ไหมหัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มองเห็นความเป็นจริงในโลกนี้ว่า โลกนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ภัยภายนอกยังไม่น่ากลัวและโหดร้ายเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักคิดอยู่ในศีลในธรรม จริงหรือไม่ มงคลใดจะดีงาม ก็ไม่สู้จิตที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้แข็งแรงหรือ หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้โชคดีไม่ซวยหรือ แต่ถ้าศิษย์ยังคิดไม่เป็น เอาแต่เที่ยวไม่รู้จักรับผิดชอบ ไม่รู้จักทำมาหากิน มันก็ไม่มีมงคลหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักรับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี รู้จักมีศีลมีธรรม มงคลนั้นประเสริฐยิ่งกว่าอาจารย์ตีหัวอีก ฉะนั้นจงรู้จักทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม ไม่ใช่แค่อาจารย์ตบแล้วมันจะดี แต่ถ้าตบวันนี้ดีแต่ใจมันคิดร้าย ตบไปมันก็เจ็บเปล่าๆ
คนในโลกน่ากลัวเพราะอะไร น่ากลัวเพราะไม่รู้จักยับยั้งความคิด อารมณ์ตัวเองให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ ทุกชีวิตหนีไม่พ้นต้องกลับคืนสู่ความตาย และความตายนั้นคือความว่าง แต่เราจงว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะแห่งทุกข์อีกต่อไป ว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เข้าใจปริศนาธรรมที่อาจารย์พูดไหม
อยู่อย่างคน ทำให้ดีที่สุด ยืมใช้ถึงเวลาก็ปล่อยวาง อย่าอยู่อย่างคนที่มีแต่ความอยาก อย่าอยู่อย่างคนที่ถมอยากไม่เต็ม มันมีแต่ทุกข์จริงไหม เราสุขได้ด้วยตัวเองถ้าพอ แค่นี้ ขอบคุณ ดีแล้ว จริงไหม มันอิ่มโดยที่ไม่ต้องรออะไรมาเติม มันสุขได้โดยที่แม้ไม่มีใคร เราก็สุขได้ เพราะถึงที่สุดทุกคนต้องกลับคนเดียวทุกคนก็กลับไปสู่ความไม่มี แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม แล้วจะยึดความโกรธ ความเกลียดเป็นอบายภูมิให้เราเวียนว่ายต่อไปทำไม ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ไม่ใช่ต้องการให้ศิษย์มาเคารพอาจารย์ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักเคารพธรรมในตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่เป็นพุทธะ เป็นคนดีได้ ไม่ต้องไหว้อาจารย์ ทำดีจนตัวเอง หรือคนอื่นกล้ายกมือไหว้ศิษย์จากใจนั่นแหละ ศิษย์เข้าถึงธรรมได้ระดับหนึ่งแล้วจริงไหม (จริง)  ทำให้ได้นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้”
     หยุดเขาหรือหยุดใจตน                         หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                                        ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                                       ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                               สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                   ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                            ความมีคือหลงวุ่นวาย
     ชีวิตคนดำเนินไปไวเร่งรีบ                     ใจถูกบีบให้เป็นทุกข์หมดทางหนี
ใช้หัวใจแห่งปัญญาคู่ความดี                       แม้ถูกจี้ให้ทำชั่วอย่าเผลอใจ
สงบเป็นเย็นได้ไม่มีทุกข์                            วางเป็นสุขก่อนลืมจะดีไหม
ไม่ใช้โกรธเช้าสายบ่ายค่ำหายไป                  แต่ให้ใจปกติอยู่กับธรรม
หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-03 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

西元二○一七年 歲次丁酉五月初九日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๖๐       ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น
หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ
หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                 ถามศิษย์น้องทุกคนพอจะต้อนรับศิษย์พี่บ้างไหม
  ทุกข์เพราะเขาหรือเราคิดให้ดี          อยากหยุดเขาคนที่เปลี่ยนไม่ได้
ยอมรับหรือหนีความจริงต่อไป           หรือหยุดใจตนหวังดีกับตน
โลกธรรมเตือนคนยึดแบบไม่จบ          คลื่นแม้สงบพึ่งไม่ได้ฟองสับสน
กิเลสไม่ตั้งใจข่มจะขวางทางตน          เจนจบได้ใช่หลุดวนพ้นรำคาญ
ยากยากพบเหนื่อยใจทำใจบ้าง          วิถีทางคลี่คลายแค่เพียงปรับฐาน
รู้การให้ก็จะเกิดบุญสัมพันธ์              อัตตาว่างทุกอย่างพลันดีขึ้นเอง
ความคิดหยุดกวัดแกว่งหยุดคุมได้        สมองว่างทันใดเมื่อใจไม่เคว้ง
เริ่มสงบได้ลงภายในใจตัวเอง             คว้าที่ทันจับแต่เก่งเกษมฤๅ
ใครก็รู้ก็คนดีด้วยสติ                      เมื่อไม่ทำใจปกติเป็นสุขหรือ
ใจที่ทั้งว่างสงบวุ่นปลายมือ               เพราะจิตผูกใจคือธรรมแบบธรรม
ภาวะว่างเดิมทีความว่างไม่มี             ภาวะมีความมีกว่าเดิมมีซ้ำ
สับสนหลงวุ่นวายธรรมไม่ใช่ธรรม        โลกนี้คือสายน้ำคืนฝั่งไป
                                            ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

ท่านเคยได้ยินไหม “เรื่องราวในโลกนี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าท่านไม่คิด” เหมือนตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าท่านไม่คิดจะใส่ใจ ไม่คิดจะดู ไม่คิดจะแล ที่มีก็เหมือนไม่มี จริงไหม เพราะท่านไม่คิดสนใจ ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่เกิดขึ้นได้ อยู่ที่ท่านคิดหรือไม่คิด ใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ จริงไหม และเรื่องบางเรื่องบางครั้งมันไม่มีเลยนะ แต่ถ้าเราคิดมันก็มีขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง)  เคยเห็นผีไหม (ไม่เคย)  ถ้าคิดว่าตัวเองเห็นผีจะเห็นผีขึ้นมาทันที ไม่มีมันก็เหมือนมีขึ้นมา ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จะมีหรือไม่มีอยู่ที่ท่านคิด ไม่คิด สนใจ ใส่ใจ หรือไม่ใส่ใจ ถ้าอยากให้ใครก็ตามที่เราเห็นแล้ว ไม่อยากมีผลกับใจเรา ก็อย่าคิด เขาจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน เพราะเราไม่เคยคิด ฉันใดก็ฉันนั้น บางทีสิ่งที่ไม่มีตัวตนเลย ถ้าเราเผลอคิดขึ้นมามันก็กลายเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามท่านว่า ธรรมเคยมีในใจไหม (มี)  มีเพราะว่าได้คิดหรือว่ามีเพราะไม่เคยคิด เวลาเราเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง พอเห็นแล้วเราใส่ใจ ใส่ใจแล้วเราถือสา ที่เห็นมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่มี แล้วทำให้เราวุ่นวายใจ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าเมื่อเราเห็น เราไม่คิด เราไม่ใส่ใจ เราไม่ถือสาก็จะกลายเป็น มันไม่มี มันว่าง และมันโล่งทันทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ใจเราเจ็บปวดนั่นเป็นเพราะเราเอาเขามาคิด ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเขาทำเราเจ็บปวดหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เวลาใครเขาด่าเรา ถ้าเราไม่เอามาคิด คำด่ามันจะทำให้เราเจ็บปวดไหม (ไม่)  ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกเกิดขึ้นได้ถ้าตัวท่านไม่คิดใส่ใจถือสา มันจะว่าง โล่ง จบ ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอเราเห็นอะไรเราก็เก็บเอามา คิด ใส่ใจ ถือสา เอาจริงเอาจัง เข้มงวด จับผิด จุกจิกจู้จี้ แล้วคนที่ทุกข์ก็คือคนที่ (คิด)  แล้วคนที่วุ่นวายหาความสงบไม่ได้ก็คือคนที่ (คิด)  คนที่คิดแล้วหยุดความคิดไม่ได้ก็จะต้องทนอยู่กับความทุกข์ของความ (คิด)  ฉะนั้นหยุดก่อนคิดดีไหม (ดี)  แล้วทำอย่างไรเราจะสามารถหยุดก่อนคิดได้ รู้ทันความคิดได้ (ไม่ใส่ใจ)  ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ใส่ใจ ท่านลืมไปหรือเปล่า สติสอนให้เราได้ระลึกรู้ ฉะนั้นถึงแม้ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ดูแล แต่ถ้าเราขาดสติ บางทีมันก็คิดไปถึงไหนแล้ว
มนุษย์ได้เจอกัน รู้จักกัน เพราะมีบุญสัมพันธ์กัน มีคำกล่าวไว้ว่า “ถ้ามีบุญแม้อยู่ไกลพันลี้ ก็ได้พานพบ แต่ถ้าเกิดไร้บุญ แค่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้จักกัน” ทุกสิ่งทุกอย่างวนมาทำให้เราเจอกัน รู้จักกัน อยู่ร่วมกัน ล้วนเกิดจากบุญ ใช่ไหม อย่างสมมติเพื่อนเรา ที่เราอยู่ๆ เราสนิทกับเขา คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่สนิทเราสนิทกับคนนี้ ก็เพราะเรามีบุญ (สัมพันธ์)  คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่รัก เรารักกับคนนี้ แล้วคนนี้ทำให้เรามีลูกเป็นคนนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  มีคนตั้งเยอะแยะเราไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่เรากลับทำงานกับคนกลุ่มนี้ก็เพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเกิดทุกสิ่งทุกอย่างมาเพราะบุญสัมพันธ์ แปลว่าเราจะถนอมบุญสัมพันธ์ รักษาบุญสัมพันธ์ไว้ไหม (รักษาไว้)  ถ้าบุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ถ้าเราจะถนอมบุญกับคนในครอบครัว ถนอมบุญกับเพื่อน ถนอมบุญกับคนรัก เราก็จะต้องกระทำสิ่งที่เป็นบุญที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แปลว่า เรายิ่งอยู่กับเขาใจเราต้องยิ่งสะอาด ใจเรายิ่งต้องบริสุทธิ์ ใช่ไหม เมื่อเป็นบุญที่ทำให้เรามาเจอกัน แต่ทำไมยิ่งอยู่เรายิ่งจับผิดกัน คิดร้ายต่อกัน จมอยู่กับความไม่ดีของเขา นั่นเรียกว่า เรากำลังผลาญบุญ หรือว่าเรากำลังถนอมบุญ (ผลาญบุญ)
เราอยู่กับพ่อแม่นานๆ แล้วเราบริสุทธิ์ใจไหม เราไม่เคยนินทา ไม่เคยว่าพ่อแม่ไหม เราอยู่กับเพื่อนเราจริงใจไหม เราอยู่กับคนรัก เราอยู่กับเพื่อนร่วมงาน เราไม่เคยนินทา ไม่เคยจ้องจับผิด ไม่จมอยู่กับความคิดร้ายใช่ไหม เรากำลังผลาญบุญ ถนอมบุญ หรือว่าเรากำลังทำร้ายบุญในการอยู่ร่วมกัน บุญทำให้เราเจอกัน บุญทำให้เราได้มีสัมพันธ์กัน แล้วเราได้สร้างบุญด้วยกันหรือเราสร้างบาปด้วยกัน บุญทำให้เราใจฟู บุญทำให้ใจเราอิ่มเอม แต่ทำไมยิ่งอยู่มันยิ่งกลัดหนอง เจ็บปวด กลุ้มกังวลใจ อย่างนั้นแปลว่าเราไม่ได้อยู่กันด้วยบุญ แต่เรากำลังอยู่กันด้วยกรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกวันนี้เราอยู่กับคนในโลกอย่างคนร่วมบุญสัมพันธ์หรือร่วมเวรกรรมต่อกัน (ร่วมเวรกรรมต่อกัน)  การที่เราเจอแฟนของเรา บุญอะไรทำให้ได้มาเจอกัน ใช่ไหม แล้วเราอยากอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกันหรืออยากอยู่อย่างคนมีกรรมร่วมกัน (มีบุญ) แล้วทุกวันนี้เอาแต่คิดจับผิด มองเขาในแง่ร้าย จมอยู่กับความไม่ดีของเขานั้น เช่นนี้เรียกว่า เราอยู่อย่างคนร่วมบุญหรืออยู่อย่างคนร่วมสร้างกรรม (ร่วมสร้างกรรม)
วันนี้ท่านมาฟังธรรมได้เจอเรา (พระนาจา)  แล้วศิษย์น้องคิดดีเราก็ได้ร่วมบุญกัน ถ้าอยู่กับเราแล้วคิดร้ายคิดไม่ดีก็ได้ร่วมกรรม เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าวันนี้ท่านจะมาร่วมบุญหรือร่วมกรรม (ร่วมบุญ)  ถ้ายิ่งอยู่แล้วใจเรายิ่งบริสุทธิ์ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งอิ่มเอมใจ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งสบายใจนั่นคือการอยู่ร่วมสร้างบุญ ทุกขณะอย่าคิดว่าบุญทำได้แต่ที่วัด แต่บุญทำได้ทุกที่และบุญที่ทำโดยไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ จริงไหม ที่เรียกว่าสังฆทาน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านทำบุญกับทุกคนแล้วทุกขณะไม่ว่าทำอะไรเราก็ทำกับเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ สบายใจ ไม่มีอคติ ไม่มีคิดร้าย ไม่มีจ้องจับผิด ไม่มีคดในข้องอในกระดูก มีแต่ความเมตตา เคารพกัน นั่นไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างร่วมบุญทุกขณะหรือ จริงไหม (จริง)  ตอนนี้กำลังร่วมบุญหรือกำลังร่วมบาป (ร่วมบุญ)  บุญทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  แล้วทุกวันที่มีบุญสัมพันธ์กับสามี มีบุญสัมพันธ์กับลูก ทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)
มีบุญดี ได้งานดี ได้เพื่อนรอบข้างที่ดี เราทำดีเพื่อละหรือทำดีเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  จุดมุ่งหมายหลักของบุญคือเพื่อละวาง ไม่ให้ยึดถือจนบังเกิดทุกข์ ถ้าท่านเข้าใจว่าเรามีบุญสัมพันธ์ด้วยกัน ทำไมยิ่งทำเรายิ่งยึด ยิ่งสร้างเรายิ่งหลง ยิ่งสร้างบุญเรากลับยิ่งทุกข์ใจ บุญยิ่งทำเราต้องยิ่งไม่ยึด ยิ่งทำต้องยิ่งสบายใจ ไม่ลุ่มหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมอยู่กับเพื่อน เรายิ่งยึดจนหลง ยิ่งมีจนทุกข์
คนในโลกปากอย่างใจอย่าง ปากบอกว่ารักคนในบ้านแต่กลับพูดไม่ดีต่อกันทุกวัน แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่สร้างบุญเพิ่ม เคยคิดไหม ส่วนใหญ่พอหมดบุญแล้วก็คิดว่า “หมดเวรหมดกรรมกันไป” เราคิดอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร เป็นการทำบุญเพิ่มได้ทุกวัน เคยคิดบ้างไหม คิดแต่เพียงทำบุญค่อยไปทำที่วัด อยู่ตรงนี้ขอบาปก่อน ใช่ไหม แล้วทำอย่างไรที่จะเป็นการอยู่ร่วมกันแล้วได้สร้างบุญเพิ่ม (อยู่โดยใช้ปัญญา)  แต่ปัญญามักชอบฉลาดเอาแต่ได้นะ “แม่ต้องแพ้ พ่อต้องชนะ” เวลาอยู่กับเพื่อน ก็แอบคิดว่า “ฉันต้องได้มากกว่า เธอควรได้น้อยกว่า” ใช่หรือเปล่า
ปัญญาเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญญานั้นต้องทำอย่างไรให้เราสร้างบุญได้ทุกขณะ “หนึ่งในการสร้างบุญคือการให้และการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือให้ธรรมะเป็นทาน” ถ้าเราอยู่กับพ่อแม่ เรากตัญญูรู้คุณท่านก็เท่ากับเรากำลังสร้างบุญ ถ้าเราอยู่กับเพื่อน เราซื่อตรงจริงใจ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เราก็กำลังสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยู่กับใครก็ตาม เราเคารพให้เกียรติและมีเมตตาธรรม เราก็กำลังทำบุญ ใช่ไหม (ใช่) เพราะการให้คือส่วนหนึ่งของบุญ เคยได้ยินไหมเมื่อเดินเข้ามาแล้ว เรายกมือไหว้ กล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” ก็เป็นการเริ่มต้นสร้างบุญ แม้ไม่มีบุญได้อยู่ร่วมกัน แต่การรู้จักให้ธรรม แสดงความอ่อนน้อม เป็นคนที่ซื่อตรง จะทำให้เราสร้างบุญสัมพันธ์ต่อคนที่ไม่เคยมีบุญต่อกัน มาที่สถานธรรมเราใช้ห้องน้ำที่มีคนทำความสะอาดให้เรา มีคนยกอาหารมาให้เรา เราก็สามารถสร้างบุญสัมพันธ์กับเขาโดยพูด “ขอบคุณนะ เหนื่อยไหม” แค่นี้เราก็ได้สร้างบุญสัมพันธ์กับเขา เราจะอยู่อย่างคนที่มีบุญร่วมกันหรือว่ามีบาปร่วมกันดีล่ะ (มีบุญร่วมกัน)
สมมติว่าตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้ว เราอยากอยู่กับคนอย่างมีบุญสัมพันธ์ร่วมกัน แต่ถ้าบังเอิญคนที่มาหาเราอยากหาเวรกรรมกับเรา เราจะทำอย่างไร เคยเจอไหมคนบางคนเพียงแค่เห็นหน้า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไมไม่ถูกชะตาเราก็ไม่รู้ แค่เราพูดนิดหน่อย เขาก็ไม่ชอบหน้าเราแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหม “สิ่งที่มืดที่สุด ถ้าเราสามารถแปรเป็นแสงสว่าง นอกจากจะส่องใจเราได้ ยังสามารถส่องใจเขาได้ด้วย” เราเปรียบเทียบง่ายๆ สมมติว่า วันนี้เราเจอคนที่ร้ายมากๆ ด่าคนอื่นไฟแลบ กินแรงคนอื่นที่หนึ่ง แต่เวลามีเรื่องเอาหน้า มาก่อนคนแรกเลย เราจะจัดการกับคนแบบนี้อย่างไร โดยส่วนใหญ่นินทากลับแล้วเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง ใช่ไหม หรือระบายลงเฟซบุ๊กเลย พอมีคนมาคอมเม้นต์เห็นด้วยและด่ากับเราด้วยเราก็ดีใจ กดถูกใจเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราถามท่านนะ เวลาที่เราเจอคนไม่ดี เรายิ่งประณามยิ่งด่าเขา มันทำให้เขารู้สึกดี แล้วอยากเป็นคนดีขึ้นมาไหม (ไม่อยาก)  แล้วทำให้คนไม่ดีอยากกลับตัวเป็นคนดีไหม (ไม่อยาก)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ใช่)  ในเมื่อท่านก็ไม่อยากให้เวรมันยืดเยื้อ ในเมื่อไม่อยากให้ใครร้ายมาแล้วร้ายตอบ ทำไมเราจึงไม่แปรบาปให้เป็นบุญ ทำไมไม่แปรร้ายให้เป็นดีล่ะ วิธีทำอย่างไร อดทนเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์พี่จะบอกว่า ทำไมไม่แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เหมือนถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนเลย มันจะโล่งจะโปร่งจะเบา แต่ถ้าอดทนมันหนัก มันอึดอัด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีเรื่องราวหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ใช่ ลองเปลี่ยนเป็นเข้าใจ แล้วจะเข้าใจอย่างไรล่ะ เข้าใจแบบไหน คิดออกไหม ตอนนี้มีข่าวที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนฆ่าคน แล้วก็หั่นด้วย ตัดเป็นชิ้น ผู้ทำก็ไม่ใช่ผู้ชายด้วย แต่เป็น (ผู้หญิง) ศิษย์ว่าเขาร้ายไหม (ร้าย)  ถ้าเรามองให้ชัดๆ ลองเป็นเขาดู ศิษย์น้องว่าอะไรที่ทำให้เขาร้าย ตอบได้ไหม
(ความโกรธ, ความไม่มีสติยั้งคิด, ความโลภ)  ศิษย์พี่จะบอกว่าถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนต่อเขา ไม่ด่าทอเขา ไม่เกลียดเขา และจะไม่แช่งชักหักกระดูกเขา ศิษย์น้องลองมองให้ดีๆ นะ เพราะเขามีความโกรธจึงทำอย่างนี้ แปลว่าตัวเราถ้ายังมีความโกรธ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเรามีความโลภแล้วไม่รู้จักควบคุมความโลภ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเราไม่รู้จักยั้งคิด เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวในผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ตัวเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นคืออะไร (จิตใจไม่มีธรรมะ)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจเขาแล้วเราจะไม่โกรธเขา เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เขาร้ายก็คือ เมื่อเขามีอารมณ์โลภ โกรธ หลงครอบงำใจ เขาไม่เคยคิดที่จะควบคุม ยับยั้งให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวศิษย์น้องมีโลภ โกรธ หลง แล้วไม่เคยคิดจะควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม ศิษย์น้องก็อาจจะเป็นเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจเขา เราจะด่าเขาไหม ถ้าเราเข้าใจ เราจะเกลียดเขาไหม เพราะเราก็อาจจะเป็น (เหมือนเขา)  ถ้าเราไม่ควบคุม (อารมณ์)  แล้วเราเคยคิดควบคุมอารมณ์ตัวเองไหม (คิด)  คิดแต่ไม่เคยทำ ถ้าเอาแต่ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติก็เปล่าประโยชน์ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ศึกษาก็ไร้ค่า จริงไหม (จริง)
คนถึงจะดีแค่ไหน แต่ถ้ามีอารมณ์โลภ โกรธ หลง แล้วยังควบคุมไม่ได้ คนนั้นก็อาจจะเป็นรายต่อไปที่เวลาโมโหแล้วฆ่าหั่นศพก็ได้ และอาจจะไม่ใช่ใคร อาจจะเป็นศิษย์น้องก็ได้ ใช่ไหม เพราะเรามีความอยาก อยากกินปลาหนึ่งตัว ฆ่าไหม หั่นไหม แค่ความอยากสิ่งเดียว ศิษย์น้องก็ฆ่าหนึ่งชีวิตโดยไม่สนใจความเมตตาปรานี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อศิษย์น้องอยากได้ตำแหน่งใหญ่ ก็สามารถพูดแล้วทำให้คนหนึ่งจมหายไป แล้วตัวเองโดดเด่นขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง) อยากค้าขายดี ศิษย์น้องก็สามารถโป้ปดมดเท็จทำให้ของตัวเองดูดีมีราคาขึ้นมา แล้วก็ฆ่าร้านข้างๆ ว่า “อย่าไปซื้อเลย ร้านนั้นของปลอม ของไม่ดี” เช่นนี้ศิษย์น้องจะไม่เป็นหนึ่งในฆ่าหั่นศพหรอกหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเข้าใจไยต้องเกลียดชัง เมื่อเข้าใจเราจึงสามารถมีธรรมเตือนสติ แล้วไม่เกลียดใครจนเกินไปและไม่รักใครจนเกินไป เมื่อไม่รัก ไม่เกลียด ไม่มีใจชอบชังอคติ นั่นไม่ใช่การอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจและสร้างบุญต่อกันหรอกหรือ จริงไหม (จริง) 
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เล่นเกมฝึกสติ โดยให้นักเรียนตอบคำตรงกันข้ามกับคำที่บอก เช่น บอกว่า “ใช่” ให้ตอบว่า “ไม่ใช่”)
บางครั้งการฝืนใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะมีความโกรธมาจำเป็นต้องโกรธตอบไหม (ไม่)  เพราะถ้าโกรธแล้วจะสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบาป)  แล้วถึงเวลานั้นเราสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบุญ) 
เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราก็อยากสร้างบุญมากกว่าสร้างบาป เราอยากมีความเข้าใจคนมากกว่าที่จะอยู่กับเขาอย่างอดทนอดกลั้น จริงไหม (จริง) แต่ถ้าศิษย์น้องเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก เชื่อมั่นในเรื่องเหตุผล เวลาทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ต้องมีอะไรทำให้เข้าใจ เมื่อเราพูดถึงเหตุผล เหตุผลใช่ที่สิ้นสุดแห่งความจริงไหม (ไม่ใช่)  แปลว่าถ้ายึดแต่เหตุผลก็อาจจะไม่เจอความจริง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อพูดถึงเหตุผลไปจนถึงที่สุด เหตุผลก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้ เหมือนถามว่าตอนนี้ในห้องนี้มีอากาศไหม (มี)  แล้วอะไรตรวจสอบได้ ใช้ตาวัดได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องใช้เครื่องมือ แล้วกว่าเราจะหาเครื่องมือเจอ เราต้องทุกข์ก่อน ใช่ไหม เหตุผลไม่สามารถวัดความจริงได้อย่างแท้จริง แล้วเหตุผลบางครั้งก็ง่ายที่จะลำเอียงมากกว่าซื่อตรง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะมนุษย์ชอบเลือกรับเหตุผลด้วยความเข้าใจของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ถูกไหม (ถูก)
วันนี้มาฟังธรรมะอะไร ศิษย์น้องคิดว่าเหมือนไม่ใช่พุทธศาสนานะ แบบนี้เราใช้เหตุผลอะไรมาวัด แล้วเราจะเข้าใจโลกใบนี้ได้อย่างไรถ้าเลือกแต่ยึดเหตุผล หลักธรรมจึงสอนว่าถ้าอยากเข้าใจโลกใบนี้ อยากเข้าใจสรรพสิ่งและผู้คนบนโลกใบนี้ จงพยายามคำนึงหรือมองให้เห็นธรรม ศิษย์พี่จะบอกศิษย์น้องว่า คนแบบนั้นก็ธรรม คนแบบนี้ก็ธรรม เสื้อผ้า ผม ทุกสิ่งล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรมและในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นก็คือธรรม มีใจเหมือน กันอยู่อย่างหนึ่งคือมีใจธรรมเหมือนกัน ถึงแม้จะแตกต่างกันเป็นชาย เป็นหญิง เป็นคน เป็นสรรพสิ่ง ก็คือธรรม ใช่ไหม
แล้วในธรรมนั้นถ้าเรามองตามธรรมชาติ ธรรมสอนว่าแม้สรรพสิ่งจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ถ้ารู้จักใช้อย่างกลมกลืนสอดคล้องก็เรียกว่าธรรม แต่มนุษย์ชอบแบ่งแยก ยึดติดจนก่อเกิดทุกข์จนมองไม่เห็นธรรม ธรรมชาติสอนให้รู้จักอยู่อย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราคือส่วนหนึ่งของธรรมที่อยู่ระหว่างฟ้ากับดิน แปลว่าเราอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่สูงที่สุดและต่ำที่สุด ถ้าเราดำเนินอย่างถูกต้อง เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและในธรรมนั้นก็มีดีร้าย ได้เสีย คำชมคำด่า มีความสำเร็จ ความล้มเหลว ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดแบ่งแยก เราเรียนรู้อย่างเข้าใจอย่างกลมกลืนสอดคล้องก็แปลว่าเราเข้าใจธรรม
แต่มนุษย์ชอบดีไม่ชอบร้าย อย่างนั้นถามศิษย์น้องว่า ใครดีที่สุด ใครร้ายที่สุด ใครสวยที่สุด (ไม่มี)  ถ้าเราพิจารณาให้ดี ศิษย์น้องก็จะมองเห็นว่าไม่มีใครร้ายสุด ไม่มีใครดีสุดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม เมื่อธรรมทำให้เรานิ่งเป็นกลาง ไม่โกรธ ไม่เกลียด เราก็คือคนที่กำลังกลับคืนสู่ธรรม แต่มนุษย์เมื่อเจอดีก็ชอบ เมื่อเจอร้ายกลับต่อว่า ก็เลยก่อเกิดเป็นบุญเป็นบาปกรรม ซึ่งพระพุทธศาสนาสอนว่า “จงรักษาความเป็นกลางด้วยหัวใจอันสงบและปัญญารู้แจ่มแจ้งในความจริง” ซึ่งความจริงนั้นก็คือธรรม เมื่อไรที่ความมืดกลายเป็นความสว่าง ความสว่างนั้นจะส่องใจเราและสามารถสะเทือนส่องใจผู้คนได้ ถ้าเมื่อไรมนุษย์พบธรรมในใจตน ก็จะสามารถนำพาธรรมในใจผู้คนได้ แต่ศิษย์น้องมักจะตามกิเลสมากกว่าตามธรรมอันเป็นจริง ตามใจอยากชอบชังมากกว่าจะตามความจริงอันเป็นธรรม ทุกวันจึงเจอแต่กิเลส อารมณ์ เวรกรรม แล้วก็สร้างบุญบาป ถ้าเราเข้าใจธรรมเราจะเจอแต่ธรรม แล้วเราจะต้องกลับไปเป็น “ตัวตน” เพื่ออะไรอีกเล่า จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์หมดซึ่งความอยาก ชอบ ชังแล้ววัฏฏะแห่งการเวียนว่ายก็ถูกตัดขาดได้ทันทีเพราะกลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง เพราะทุกคนคือส่วนหนึ่งของธรรมและมีใจธรรมอยู่ในตัวเอง ธรรมอยู่ในตัวเรา อยู่ที่ท่านเคยหันกลับมามองไหม ดั่งที่ว่า “ถ้าเข้าใจธรรมในตนก็เข้าใจธรรมในผู้คน” ซึ่งใจนี้ในผู้คนมีหนึ่งเดียวแค่นั้น ที่เรียกว่าสัจธรรมหรือกฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่เที่ยง ว่างเปล่า เป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราของเรา แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าเมื่อชีวิตผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บ เป็นความผิดหวัง คำต่อว่า ความล้มเหลว ศิษย์น้องจะบอกว่า “ขอบคุณที่ทำให้ฉันเรียนรู้เข้าใจธรรม” จะไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียดเพราะความเข้าใจธรรม ไม่ต้องพยายามข่มโกรธเลย ไม่ต้องหลงแล้วพยายามใช้ปัญญาเลย เพราะเห็นแจ้งในทันที
จำไว้นะศิษย์น้อง สิ่งที่ศิษย์น้องเห็นมักไม่เคยเป็นจริงอย่างที่คิดและเข้าใจ อย่าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเห็น ศิษย์น้องเข้าใจ เห็นจริง บางทีถึงที่สุด คนที่รักที่สุด คนที่เราเห็นมากที่สุด เราอาจจะไม่เคยเข้าใจและเห็นเขาแบบจริงๆ เลย เมื่อไม่เห็นจริงจะรักลงหรือ เมื่อไม่เห็นเขาจริง เขาน่าเกลียดหรือ แล้วในเมื่อไม่เห็นเขาจริงจะหลงใหลได้ปลื้มอะไรเขาหรือ เห็นไหมว่าเมื่อโลภ โกรธ หลงหายไป จากบุญจะกลายเป็นกุศล กุศลจะกลายเป็นปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมทันที แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าการกลับคืนสู่ธรรมดีกว่าการกลับคืนสู่สวรรค์ของศิษย์น้องอีก เพราะธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวตนให้ต้องไปแบกรับยึดถือ เกี่ยวบุญ เกี่ยวบาป เกี่ยวกรรมอีกต่อไป แล้วจะเกิดมาเพียงแค่รับบุญเพื่อกลับสวรรค์แค่นั้นหรือ ลองศึกษาเรื่องบุญแล้วกลับคืนสู่ธรรมอันเป็นรากเดิมแท้ของเราดีกว่า ธรรมที่ไม่มีแบ่งแยกศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ธรรมที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันและธรรมที่ทำให้ทุกคนสันติสุขด้วยการไม่ต้องข่มใจ แต่เกิดจากความเข้าใจอันปิติอิ่มในธรรมนั้น
หวังว่าผู้มีธรรมทั้งหลายจะกลับคืนสู่ธรรมอันแท้จริง มีแต่ธรรมเท่านั้นที่มองเห็น ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือตัวบุคคลเป็นที่พึ่งเพราะบุคคลยังมีวันแปรเปลี่ยน ยังมีวันล่มสลายแต่ธรรมแห่งความเป็นจริงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและล่มสลาย มีแต่ยิ่งเข้าใจ ยิ่งละวาง ยิ่งกลับคืนสู่ความสงบอันแท้จริง ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์นะ



วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  หัวใจแห่งผู้มีจิตสำนึกดี                 ศิษย์นี้มีหัวใจทองคำ
อยู่ให้คนเลื่อมใสการกระทำ              จากให้คนจดจำนิรันดร
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงกันบ้างไหม

    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
*ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา ใจหมดพันธสัญญา
**ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา กรงที่เคยขัง เปิดออกมา
***หยุดใจไว้ตรงนี้ ไม่ต้องคิดเท่านี้ สิ้นสุดตรงนั้น หยุดความคิดตอนนี้ อย่าไปคิดเรื่องไม่ดี หยุดที่ใจฉัน สะดุดไปหลายครั้งอย่าหยุด หยุดโดยดีไม่มีเดียดฉันท์ (ซ้ำ *,**,***,*,**)
ทำนองเพลง: เก็บใจ

หมายเหตุ: เนื้อเพลงย่อหน้าแรกเป็นกลอนนำของศิษย์พี่นาจา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ช่วยอาจารย์เลือกรองเท้าหน่อย (คู่สีแดง)  อาจารย์ขอสมมติว่า ถ้ารองเท้าคู่นี้คือความทุกข์ มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ มีความไม่สบายใจ มีความเจ็บ มีความพลัดพราก มีความสูญเสียและมีความน้อยอกน้อยใจ ถ้ารองเท้านี้คือความทุกข์ คือสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เราต้องแปดเปื้อนใจ เราจะแบก เราจะถือ เราจะเก็บไว้หรือเราจะเหยียบแล้วก้าวไปต่อ (เหยียบแล้วก้าวไปต่อ)  มนุษย์หนีความทุกข์ไม่ได้ หนีความเจ็บปวดไม่ได้ หนีความพลัดพรากไม่ได้ หนีความสูญเสียไม่ได้ แต่จงจำเอาไว้ว่ารองเท้านั้นก็เหมือนกับสิ่งที่เหม็น เป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วทำไมเรายังแบกไว้ที่หัว แบกไว้ที่บ่า เก็บไว้ที่ใจ ทำไมไม่เอามาเหยียบแล้วก้าวไปต่อ
(พระอาจารย์เมตตาขออาสาสมัครนักเรียนในชั้นหนึ่งคน)
ในโลกนี้มีความทุกข์ แล้วก็มีเรื่องราวมากมายในชีวิตที่บางทีเราก็หาทางออกไม่เจอ สมมติว่าอาจารย์เปรียบเทียบความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากพบเจอ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าความทุกข์เหมือนรองเท้า ศิษย์จะถอดรองเท้าทิ้งไหม อาจารย์ว่าไม่ใช่ หลายต่อหลายคนรู้ว่าเรื่องบางเรื่องยิ่งคิดแล้วยิ่งทุกข์ เรื่องบางเรื่องยิ่งทำแล้วทำร้ายชีวิต แต่เราก็ยังอยากที่จะแบกมันไว้ แล้วก็ยึดมันไว้ แล้วก็ถือไว้ แล้วเราเคยรู้ไหมว่าเป็นทุกข์ ทุกข์ทำให้เราเจ็บก็รู้ แต่เราก็ยังแบกไว้ มีแล้วมันเหม็นเราก็ยัง (แบกไว้)  แล้วเราเคยแบกแค่ทุกข์อย่างเดียวไหม (ไม่)  จริงๆ เราไม่ใช่แค่แบก แต่เรายังเอามาเก็บในใจด้วยจริงไหม (จริง)  ศิษย์รู้ไหม ในสิ่งที่แย่ที่สุด ในสิ่งที่ทุกข์ที่สุด ถ้าเราสามารถยิ้มกับทุกข์ได้ รับกับทุกข์ไหว เรื่องใดๆ ในโลกก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกินรับมือหรอก สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ต่ำที่สุดศิษย์ยังผ่านมาได้ ฉะนั้นถ้าเกิดรับได้ อะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด อะไรคือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด เราจะเลือกแบกทุกข์ เลือกจมอยู่กับความคิดที่เราทุกข์ เมื่อไรจะได้ดั่งใจ เมื่อไรจะเป็นแบบนี้สักที เมื่อไรจะดี ศิษย์จะแบกไปถึงเมื่อไร แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าในเมื่อแบกแล้วทุกข์ ทำไมไม่โยนทุกข์ลงแล้วเอามาเหยียบ แล้วก็ก้าวเดินออกไปด้วยหัวใจที่เข้าใจในทุกข์ ด้วยหัวใจที่ฉันเคยทุกข์มาแล้ว เคยเจ็บมาแล้ว ฉันจะไม่ทุกข์และแบกอีกแล้ว อยู่ในโลกนี้ทำอย่างไรที่เราจะรับมือกับทุกเรื่องราวได้ เราจะสู้กับทุกปัญหาได้ ถามตัวศิษย์เองนะว่าเราทำดีที่สุด รับผิดชอบต่อหน้าที่เต็มกำลัง เป็นคนมีศีลมีธรรมถึงที่สุดหรือยัง ถ้าทำได้แบบนี้ ถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ารับ นั่นคือหัวใจแห่งผู้ที่เข้าถึงธรรม อะไรจะเกิดก็ขอให้เข้มแข็ง รับให้ได้
มีใครในโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่เคยแบกทุกข์และไม่เคยช้ำกับทุกข์ อาจารย์ถามนะว่าศิษย์จะเลือกแบกทุกข์หรือเลือกมาเป็นพลังให้เราก้าวเดินต่อไป (ก้าวเดินต่อไป)  หรือว่าศิษย์จะยอมจมอยู่กับความคิดเช่นนั้นหรือ พระพุทธะบอกว่า “ขออะไรไม่ประเสริฐเท่ากับขอหัวใจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องจนลมหายใจสุดท้าย”
คนที่สู้แม้ลำบากเขาก็ต้องกลับมาสบายให้ได้ เข้มแข็งให้ได้ แม้คนที่ล้มเขาก็ต้องกลับมา (ยืน)  แม้คนที่เคยพ่าย เขาก็ต้องกลับมา (ชนะ)  ศิษย์จะแบกความเกลียด ความทุกข์ต่อไป หรือเอาความทุกข์มาตีแผ่แล้วทำความเข้าใจ แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์กับมันอีก วันนี้อาจารย์มาไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์กระจ่างในธรรม ซึ่งไม่ได้อยู่แค่ในคัมภีร์ ในหนังสือ ในวัด แต่มันอยู่ในใจเรา เราตื่นรู้ได้ด้วยธรรมของตัวเรา เราเห็นแจ้งได้ด้วยธรรมของใจเรา แต่เราเคยหันกลับมามองแล้วเชื่อมั่นในตัวเองบ้างไหม เอาแต่ร้องขอให้คนอื่นช่วย ทำไมตัวศิษย์เองไม่ช่วยตัวเองก่อน เอาแต่ขอร้องคนอื่นทำให้เรามีสุข ทำไมตัวศิษย์เองไม่มีสุขด้วยตัวเองก่อน พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่ง (ตัวเอง)  ขอร้องผู้อื่นไม่สู้ขอร้อง (ตัวเอง)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่ขอร้องกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านศักดิ์สิทธิ์เพราะการประพฤติ ปฏิบัติ เข้าใจธรรม อย่ามัวแต่หลงรูปอันสวยงาม หลงรูป หลงวัด วัดนี้สวย วัดนั้นสวย ไหว้แล้วกลับบ้าน แบบนี้ไม่ได้อะไร ไปแล้วต้องเอาธรรมกลับมาให้ได้ องค์พระที่กราบไหว้องค์นี้ท่านปฏิบัติธรรมอะไรนะ คนถึงศรัทธา เอาธรรมนั้นมาปฏิบัติ ไม่ใช่ไปไหว้เสร็จแล้วกลับบ้าน แล้วพอให้ฟังธรรม ปิดหู ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นนำรองเท้ากลับไป)
เอาอันนี้ไปด้วยไหม ลองใส่สิ ใส่ได้ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ เมื่อก้าวเดินแล้ว ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องปล่อยวางแล้วทำใจ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
เจอหน้าอาจารย์ถึงกับยิ้มไม่ออกแปลว่ามีความทุกข์อยู่หรือ แปลว่าชีวิตหวานอมขมกลืนเลยยิ้มไม่ออก ถ้ายิ้มออกแปลว่าชีวิตไม่ค่อยทุกข์แล้ว คิดได้ก็พ้นทุกข์ คิดไม่ได้ก็จมห้วงแห่งความคิดจนตัวเองต้องเจ็บปวดใจ
วันนี้อาจารย์ไม่ได้มาเอาอะไรจากศิษย์ ไม่ต้องกลัวว่าอาจารย์จะมาหลอกเงิน เพราะอาจารย์ไม่เอา และอาจารย์ก็ไม่ได้มาทำให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมในศาสนายิ่งขึ้น เราตกลงเหมือนกันและปรับความคิดเข้าใจกันแล้วนะ สิ่งที่สำคัญในวันนี้ที่อาจารย์อยากจะมาคุยกับศิษย์คือ ทำความกระจ่างในธรรม อาจารย์อยากจะถามศิษย์ว่า ความกระจ่างในธรรมเกี่ยวอะไรกับชีวิต ศิษย์หลายคนมาฟังธรรม บ่นว่าฟังธรรมทำไม มันเกี่ยวอะไรกับชีวิต เกี่ยวไหม (เกี่ยว)  ถ้ากระจ่างในธรรมแล้วเราเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น
(ฟังแล้วมีปัญญา, ทำให้อ่อนน้อมลง)  ทำให้เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในชีวิตได้โดยไม่ทุกข์ อย่างนั้นศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ทุกชีวิตล้วนคือธรรมและทุกชีวิตล้วนมีธรรมเป็นหัวใจ ศิษย์ก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เสื้อผ้า ใบหน้า ผม กิเลส อารมณ์ ยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ไม่ว่าเขาหรือเราก็ล้วนคือธรรมชาติ ไม่ว่าจะยืนหรือได้นั่งก็คือธรรม ถ้าเราเข้าใจในหัวใจแห่งธรรม เราก็จะไม่ทุกข์และธรรมจะช่วยเยียวยาใจ ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ แต่อาจารย์ขอถามว่า ศิษย์ฟังธรรมะมากันก็มาก ศิษย์ยังทุกข์กันอยู่อีกไหม (ทุกข์)  ทำดีก็ยัง (ทุกข์) ทำชั่วก็ยัง (ทุกข์)  อย่างนั้นทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูกต้อง)  อะไรเรียกว่าการเข้าใจธรรม เหมือนเริ่มต้นง่ายๆ ศิษย์อยากนั่งหรือยืน (อยากนั่ง)  อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์กำหนดว่าอยากนั่ง แปลว่าถ้าไม่ได้นั่งศิษย์จะทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะชีวิตเราได้ยึดมั่นหมาย กำหนดกฎเกณฑ์เราเลยเป็นคนที่ทุกข์ง่าย แต่ถ้าชีวิตของเราเมื่อเจอเรื่องอะไรแล้วไม่ยึดมั่นหมาย ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ แล้วเราจะทุกข์อะไร ได้นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ วิชาของอาจารย์ง่ายๆ คือ ทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ก็ดี ถ้าศิษย์เลือกแต่ตั้งป้อมรังเกียจ เกลียดอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วเมื่อไรศิษย์จะเข้าใจ เพราะในห้วงของความทุกข์ถ้าเราเข้าใจก็จะมีความสุขได้ ด้วยใจตัวเองที่กล้าสู้ ฉะนั้นตอนนี้นั่งหรือไม่นั่ง (นั่งก็ได้ ไม่นั่งก็ดี)  ถ้าคิดได้อย่างนี้อะไรมันก็ดี สูญเสียมันก็มีแต่ได้ เจ็บกายก็จะไม่เจ็บใจ เหมือนเวลาแผลโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัวไหม (ไม่)  บางทีแค่แขนโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัว ทำงานไม่ได้ อวัยวะมีปัญหาหนึ่งส่วน ทั้งหมดในร่างกายทำให้ชีวิตเราอยู่ไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกให้ คนที่คิดแบบนี้คือคนที่โง่นะ เพราะร่างกายยังเหลือส่วนดีตั้งเยอะ ยอมให้ส่วนดีทั้งชีวิตตายเพราะมีหนึ่งส่วนตาย ฉลาดหรือโง่ ศิษย์ป่วยเป็นมะเร็ง ป่วยเป็นโรคหัวใจ แล้วที่เหลือที่ดีไม่สนใจเลยหรือศิษย์ แล้วต้องตายเพราะว่าเป็นมะเร็ง ใช่ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม อกหักขอตาย อยู่ไม่ได้ อาจารย์ว่าชีวิตยังมีอะไรให้สัมผัสอีกตั้งเยอะ ในร่างกายยังมีอะไรดีๆ อยู่เยอะ อย่าแค่ส่วนหนึ่งเจ็บแล้วทำให้เจ็บทั้งตัว อย่าให้ส่วนหนึ่งตายแล้วตายทั้งชีวิต อย่างนี้เรียกว่าคนดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แล้วเราเป็นไหม เหมือนแค่ปวดขาแค่นี้ ถึงกับก่อบาปก่อกรรม คิดในใจอาจารย์เมื่อไรจะได้นั่ง แค่เมื่อยขาแค่นี้ แอบด่าอาจารย์ในใจ ถูกไหม (ไม่ถูก)  เชิญศิษย์รักนั่งลงได้ ก่อนที่ศิษย์รักจะสร้างเวรสร้างกรรมกับอาจารย์ ถ้าศิษย์คิดว่าอนิจจังมันทำให้ทุกข์มา อนิจจังมันก็ทำให้ทุกข์ไป แล้วเราจะยึดมั่นถือมั่นไว้ทำไม ถึงเวลามันก็จบเองโดยเวลาที่มันเป็นไป ความไม่เที่ยงทำให้เกิดทุกข์ ความไม่เที่ยงก็ทำให้ดับทุกข์ได้ แต่มนุษย์ชอบยื้อยุดไม่ยอมหยุด จริงหรือไม่ (จริง)  
อาจารย์มีผลไม้สองอย่าง อย่างหนึ่งกินแล้วไม่อยากกินอีกเลย กับอีกอย่างหนึ่งกินแล้วก็อยากกินอีก ศิษย์คิดว่าสิ่งใดทำให้เกิดทุกข์ สิ่งใดทำให้เกิดสุข (กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดสุข กินแล้วไม่อยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบผลไม้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบทุกข์หรือสุข)
ผลไม้นี้กินแล้วไม่อยากกินอีก สุขหรือทุกข์ (ทุกข์, สุข)  กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ แล้วชีวิตอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  แล้วศิษย์เป็นประเภทกินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ คิดแล้วคิดอีกก็ทำให้เกิดทุกข์ มีแล้วมีอีกทำให้ทุกข์ แล้วที่กินแล้วไม่อยากกินอีก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะอาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดเจนว่า ทุกข์หรือสุขไม่ได้อยู่ที่อยากกินแล้วอยากกินอีกหรือกินแล้วไม่อยากกินอีก แต่ทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจเรายึดหรือไม่ยึด ถ้าไม่ยึดก็จบ แต่ถ้าเผลอยึดกลับมาเมื่อไรก็ทุกข์ ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “สิ่งใดในโลกที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก สิ่งใดที่มนุษย์คิดอยากจะมี แล้วไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มี” และในพระคัมภีร์กล่าวไว้อีกว่า “จิตที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไม่มีวันพบความสงบได้เลย” ถ้าอยากบำเพ็ญจงอย่ายึดมั่นหมายในสิ่งใด เพราะถ้ายึดแล้ว สิ่งนั้นมันเกิดเปลี่ยนแปลง สูญเสีย แหลกสลาย ใจเราจะได้ไม่เจ็บปวด ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ก็คือถ้าอยากแก้ทุกข์ในโลก จงทำเหมือนคนปิดทองหลังพระ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน ดีแค่ไหนขอดีหลังพระ ไม่ต้องมีตัวตนทำแบบคนดีหลังพระ ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ
อาจารย์จะบอกให้ว่าเราทำดีเพื่ออะไร ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังบุญ ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนเขาบอกว่าเราดีหรือชื่นชม ความหมายของการทำดีที่แท้จริงแปลว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่วอันเป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจความดีนี้ศิษย์จะไม่ท้อในการทำดี เพราะเราทำดีเพื่อใจเราจะได้ไม่ไหลลงต่ำ คิดชั่วคิดร้าย แต่คนทำดีสมัยนี้คิดแค่เพียงว่าทำดีแล้วฉันจะได้บุญ ทำดีแล้วฉันจะได้ขึ้นสวรรค์ อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ยังหวังจะมีตัวตนเพื่อไปรับผลแห่งการกระทำและเวียนทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ความหมายที่แท้จริง พระพุทธะต้องการให้มนุษย์ตื่นรู้ คือเราทำดีเพื่อใจจะได้ไม่หลงไปเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ความคิดชั่วร้าย เพราะสิ่งที่เรียกว่ากิเลสอารมณ์ ล้วนเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ต้องทุกข์ มีเวรกรรมและเวียนว่ายในวัฏฏะไม่จบสิ้น ศิษย์คิดว่าทุกข์แห่งการตายนั้นเจ็บปวดแล้ว แต่ทุกข์แห่งการต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้วทำให้เราต้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีกน่ากลัวกว่าการตายหนึ่งครั้งนะ ศิษย์จำไว้นะ อย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากไหลไปกับความชั่ว ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากสร้างมูลเหตุให้เราต้องก่อกรรมชั่ว ที่เราพยายามประพฤติเป็นคนดีเพราะไม่ต้องการให้คนมาชมว่าฉันดี แต่ที่ฉันทำดีเพราะ “ฉันไม่อยากคิดร้ายกับเธอ” และที่ฉันทำดีเพราะ “ความดีทำให้ฉันสบายใจ” ไม่ทุกข์ใจ เพราะถ้าฉันคิดร้ายกับเธอ คิดแย่กับเธอ ฉันมีแต่เจ็บปวดใจ สู้ฉันทำตัวเองให้ดีที่สุดถึงเวลาเธอจะชอบหรือไม่ชอบ ฉันก็ละวางอย่างเข้าใจแล้ว เพราะหนึ่งการทำความดีจะหวังทุกคนมาชื่นชมคงเป็นไปไม่ได้ และในโลกนี้จะมีแต่คำชม ไม่มีคำต่อว่าก็ยิ่งไม่ใช่ แล้วโลกนี้มีแต่คนสำเร็จ มีแต่คนสวยไม่มีคนอัปลักษณ์ก็ไม่มีจริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจในแก่นแท้ของธรรมเราจะทุกข์หรือ แล้วอะไรหรือคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ (ปล่อยวาง)  ทำให้ดีที่สุดแล้วละวางด้วยความเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่ไหม)
อาจารย์ขอเปลี่ยน ไม่เอาคำว่า “ปล่อยวาง” เปลี่ยนเป็น “ละวาง” ดีไหม (ดี)  เพราะคำว่าปล่อยทำให้เหมือนว่าเราทิ้งไม่รับผิดชอบอะไร แล้วอะไรคือที่สิ้นสุดของความทุกข์ ใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้าง
(ทำใจให้เข้มแข็ง)  ใจที่เข้มแข็ง ไม่คิดเลยใช่ไหม ก็ต้องคิดอยู่ดี บางอย่างก็ยังต้องคิด แต่คิดให้ถึงที่สุด ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้างตัวเอง คิดอย่างคนที่มองตามความจริง ไม่ใช่คิดอย่างคนที่มองตามใจ
(เข้าใจทุกข์แล้วเราก็จะเห็นมัน แล้วปล่อยวาง)  เข้าใจทุกข์พอเข้าใจเราจะปล่อยวางได้ทันที ได้ไหม (เราต้องมีสติทัน พอเรารู้ว่ามีความทุกข์เข้ามา)  อาจารย์จะบอกให้ว่า ทำอย่างไรถึงจะสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ทัน ศิษย์เคยมองเห็นความคิดของตัวเอง แล้วหยุดความคิดได้ไหม (ถ้าเรามองเห็น เราจะหยุดได้)  เคยเห็นไหม (เคยเห็น เคยฝึก)  แล้วเวลามีความทุกข์เราเห็นมันไหม (ตอนที่มีทุกข์เราไม่เห็น แต่พอเรามีสติมา เราจะเห็น พอเห็นแล้วความทุกข์มันจะหายไป)  แล้วเราเห็นตอนที่เสร็จแล้วหรือตอนที่กำลังเกิดทุกข์ (เห็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว)  ควรจะเห็นก่อนนะศิษย์ ไม่ใช่จบไปแล้วค่อยเห็นว่ามันคือความทุกข์ (ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เข้าใจความทุกข์)  เราต้องเห็นตั้งแต่ตอนที่มันกระทบ เห็นกระทบแล้วไม่กระแทกกระเทือน เข้าไปในใจ มันแค่กระทบหรือพุทธศาสนาเรียกว่า เห็นแค่อยู่ตรงแค่ผัสสะ แล้วไม่ก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ก่อเป็นรูปเป็นนามเป็นตัวตนความยึดมั่น เหมือนที่ตอนนี้เห็นแค่มันกระทบ  
(ละวางอย่างเข้าใจ)  ถ้าจะทำให้เราละวางได้เราต้องกล้ายอมรับว่า ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง เอาธรรมชาติเราไปวัดธรรมชาติเขาไม่ได้ (เอาตัวเราเป็นตัววัดไม่ได้)  ถึงเวลาทำให้เข้าใจแบบนี้ให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
(การรู้ทันเหตุแห่งทุกข์และดับให้ทันก่อนที่จะทุกข์)  เหมือนเขาด่ามา “ไอ้บ้า” หยุดทันไหม (ไม่ทันค่ะ)  อาจารย์จะบอกให้ ถ้าเขาด่าว่า “ไอ้บ้า” เราหยุดคนด่าได้ไหม (ไม่ได้)  แต่สิ่งที่เราควรหยุดและจัดการคือ (ใจของเรา)  เขาด่าเรา “ไอ้บ้า” แต่เราอย่าด่าตัวเองว่า “ไอ้บ้า” ซ้ำแล้วซ้ำอีก หน้าที่ของเราเมื่อเวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ ไม่ได้จัดการเขา ไม่ได้ไปเปลี่ยนเขา ธรรมะสอนให้เราทำดี แต่การเป็นคนดีไม่ใช่การไปบังคับให้ทุกคนต้องดี แต่คนดีคือคนที่ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดี
(ความทุกข์เกิดจากความคิด ถ้าคิดว่ามันทุกข์เราก็เปลี่ยนความคิด) เราทุกข์เพราะใจที่เรายึดถือว่าแบบนี้ฉันชอบ แบบนี้ฉันชัง พอมีแบบนี้ฉันเลยสุข พอมีแบบนี้ฉันเลยทุกข์ จริงๆ แล้วแบบนี้สุขจริงไหม แบบนี้ทุกข์จริงไหม ไม่ใช่ทุกข์เพราะความคิดอย่างเดียว แต่ทุกข์เพราะใจเรายึดมั่นหมายในสิ่งที่เราคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่เป็นแบบนั้น
(เข้าใจในความทุกข์ และยอมรับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น)  ความทุกข์แปลว่า ตายแน่ๆ เจ็บแน่ๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ความทุกข์คือส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ฉะนั้นเมื่อไรที่เรานั่งแล้วเราไม่ทุกข์ เราก็คงกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นต้องดีใจที่มีทุกข์ เพราะทุกข์มันสอนให้เราเข้าใจชีวิตและรู้ว่าชีวิตยังต้องรู้สุข ต้องมองและแยกให้ออกว่าทุกข์นั้น แปลว่าทุกข์ที่ทำให้เจ็บปวดหรือเป็นทุกข์ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต จริงไหม (จริง)
ถ้าเราไม่อยากทุกข์ในโลก ลองทำใจว่างๆ พอใจว่างๆ ไม่มีขอบเขต ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความมั่นหมาย อะไรมากระทบเราก็ไม่เจ็บปวด เพราะมันว่าง แต่หัวใจของมนุษย์ มีความยึดมั่น มีความมั่นหมาย มีความคาดหวัง พอโดนกระทบก็เจ็บ
ถ้าเราปล่อยให้ใจว่าง ก็ไม่มีอะไรทำให้เราเจ็บได้ ที่สุดของความทุกข์คือการกลับคืนสู่ความว่าง ยึดว่าฉันเป็นแบบนั้น ยึดว่าฉันเป็นแบบนี้ ยิ่งยึดก็ยิ่ง (ทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนไปสู่ความว่าง ล้วนกลับคืนไปสู่ความไม่มี ลองถามใจลึกๆ ดูนะศิษย์ ศิษย์บอกว่าใจของศิษย์เป็นอย่างนั้น ใจของศิษย์เป็นอย่างนี้ ศิษย์ลองค้นเข้าไปถึงที่สุดแห่งใจว่ามีตัวตนไหม มีรูปแบบที่ชัดเจนไหม (ไม่มี)  ใจเกิดเพราะอารมณ์มากระทบ พอไม่มีอารมณ์มากระทบ ใจก็ว่างไม่มีอะไร ตัวตนเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เรียกว่ากิเลส ถ้าไม่มีกิเลสมากระทบตัวตนที่เรียกว่าใจ จะมีไหม (ไม่มี)  เวลาที่ศิษย์อยากกินอย่างนั้น อยากกินอย่างนี้ ก็คือสัญญาจำได้หมายรู้ที่อยู่ข้างในอันเก่า ศิษย์อาจจะคิดว่า ถ้าคนเราเกิดมาตายไปแล้วก็จบ อย่างนั้นเราก็ไปทำความเลว ทำร้ายคนอื่นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คิดแบบนั้นไม่ได้ อาจารย์จะบอกให้นะ เพราะใจมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ อย่าได้เผลอเพาะอะไรลงไปในใจ เพราะเมื่อได้เพาะอะไรลงไปในใจแล้ว ใจนั้นจะมีสัญญาคอยเตือนว่า จำไว้นะครั้งหนึ่งเราเคยขโมยเงินคน จำไว้นะเราเคยนินทาคน จำไว้นะเราเคยแอบคดโกงคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองสังเกตดูนะ จิตสำนึกดีจะคอยบอกว่าเราเคยทำผิด เราเคยไม่ดีและเวลาที่เรานึกถึงความไม่ดีขึ้นมานั้น จะเป็นตัวที่ทำให้เราหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรและรับผลของกรรมนั้น พระพุทธะจึงบอกว่า “ใจเหมือนเนื้อนาบุญที่จะปลูก จะฝังอะไร จงเลือกปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีงามและถูกต้อง” หลายคนมักจะพูดกับอาจารย์ว่า ศิษย์ทำดีแล้วแต่ทำไมยังเจอเรื่องร้ายอยู่อีก มาศึกษาธรรมแล้วต้องไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่จน ไม่ตาย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ทำบุญแล้วต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ตาย ดวงดีถูกลอตเตอรี่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเวลามาไหว้พระถึงต้องคิดแบบนี้กันเสมอล่ะ คิดแบบนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ถ้ามาไหว้พระประสบอุบัติเหตุแล้วตาย ดีไหม ศิษย์เอย ถ้าชั่วขณะจิตนั้นเป็นกุศลและกำลังน้อมนำสู่ความสงบ ตายไปก็ไปสู่สุคติ จริงหรือไม่ (จริง)  ดีไม่ดีไม่ได้อยู่ที่อุบัติเหตุ แต่อยู่ที่ชั่วขณะจิตดับแล้วศิษย์ฝังจิตตรงนั้นไปสู่อะไร ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าเราทำดีไม่ใช่เพื่อจะเป็นคนดี แต่เราทำดีเพื่อไม่ให้จิตนั้นปลูกฝังความชั่วร้าย แล้วเป็นเหตุให้เราต้องไปเวียนว่ายวน อย่างนั้นถ้าเราทำดีแล้วเรายังต้องเจ็บได้ไหม (ได้)  ตายได้ไหม ประสบอุบัติเหตุได้ไหม โดนด่าได้ไหม โชคร้ายได้ไหม (ได้)  ถ้าเราศึกษาธรรมแล้ว อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวอุบัติเหตุ อย่ากลัวชะตากรรมที่พลิกผัน เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่า “กรรม” ถ้าแม้จะร้ายมา มันมีกรรมมา เราก็ได้ชดใช้ ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้ามีคนมาทำให้เราต้องเจ็บ ทำให้เราต้องสูญเสีย เราก็ถือว่าเราได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  ถ้ามีคนด่ามา มีคนมาเอาเงินเราแล้วไม่คืน เราจะจองเวรจองกรรมเขาหรือไม่ (ไม่)  ทวงเขาไหม (ทวง)  อาจารย์จะบอกให้ว่าถ้าไม่อยากมีเวรมีกรรมกับใคร เวลาจะให้ใครยืมเงิน แม้เขาไม่คิดจะคืนเราก็ไม่ต้องคิดจะทวงด้วย เพราะมันจะได้ไม่เกี่ยวกรรมกัน ดีไหม (ดี)  ตอนเราให้เขายืม เราเป็นเจ้านาย แต่พอเขายืมไปแล้วเราเหมือนขี้ข้าเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าอยากให้ใครยืมจงคิดว่า ยืมแล้วเขาไม่คืน เราก็ไม่เป็นไร เราจะได้ไม่ต้องติดหนี้ติดกรรมกัน ดีไหม
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราทำอะไรไปแล้ว เขาจะเห็นคุณค่าหรือไม่เห็นคุณค่า นั่นก็คือที่สุดของเราได้ให้ไปแล้ว เราก็จะไม่ต้องมาเกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป อาจารย์ยังไม่ได้บอกที่สุดแห่งความทุกข์ให้ศิษย์ฟังเลย อยากฟังตอนนี้เลยไหม (ฟัง)
ศิษย์เคยได้ยินนิทานของพระพุทธองค์ ที่เราได้ฟังถ่ายทอดกันมาไหม อาจารย์ขอเอาบทนั้นมาให้ศิษย์ได้พิจารณา เพื่อบังเกิดธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหม คำว่า “พาหิยะ” เป็นหนึ่งในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรด เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อไม่มีตัวเธอเกิดในโลกนี้หรือโลกหน้า เมื่อนั้นแหละคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ แต่เราอยู่ในโลกนี้ เราเคยเห็นสักแต่ว่าเห็นไหม ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินไหม (ไม่เคย)  เมื่อเราเห็นเราต้องมีตัวตนไปตัดสิน ชอบไม่ชอบ ดีร้าย ได้เสีย ฟังก็มีดีใจ ไม่ดีใจ เสียงดีเสียงไม่ดี แต่พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าอยากกลับคืนสู่ที่สุดแห่งทุกข์ เห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ลิ้มรสดมกลิ่นสัมผัส ไม่มีตัวเธอเกิด เมื่อโลกนี้ไม่มีตัวเธอ ก็ไม่มีตัวเธอในโลกหน้า เมื่อไรที่ไม่มีตัวเธอในการดำเนินชีวิตอยู่ ก็คือไม่มีตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ เมื่อนั้นเรียกกว่า “ที่สุดแห่งความทุกข์” ฉะนั้นที่สุดแห่งความทุกข์ ไม่ใช่อยู่ในศีล เป็นอานิสงส์ ไม่ได้อยู่ที่สมาธิเป็นอานิสงส์ แต่อยู่ที่ใจไม่กระเพื่อมแห่งความเป็นตัวตน จึงเป็นแก่นแท้แห่งความสิ้นทุกข์ เหมือนโดนอะไรกระทบ ก็ไม่มีความอยากแล้ว ทำแค่นี้ก็ได้แค่นี้ ทำตามหน้าที่ที่ทำให้เกิดธรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำตามความอยากที่เรียกว่ากิเลส กินก็ต้องอยากก่อนถึงจะกิน ใส่ก็ต้องอยากก่อนถึงจะใส่ ออกไปข้างนอกก็ต้องอยากก่อนถึงจะไป ซึ่งการอยากนี่แหล่ะ มันเป็นตัวเพาะพันธุ์ที่ทำให้เรามีตัวตนไม่จบสิ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนถึงที่สุดก็ไม่มี เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
สังขารนี้ หนีพ้นความแก่ เจ็บ ตายไหม (ไม่พ้น)  เรามีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็น (ธรรมดา)  เราท่องอยู่ทุกวัน ธรรมดาทำให้ใจปกติ เมื่อปกติแล้วใจจึงสงบ เมื่อใจสงบแล้วจึงกระจ่างชัดในความจริง แต่เราไม่เคยเห็นความธรรมดาแล้วใจปกติ เพราะแก่แล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  เจ็บแล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็น (ธรรมดา) 
ถ้าธรรมดาทำให้ใจปกติได้ นั่นเรียกว่าสงบ แต่ถ้าธรรมดาแล้วยังทำใจให้ปกติไม่ได้ ก็ไม่มีวันสงบ และก็ไม่มีวันเห็นแจ้งจริงได้ ถ้าโดนด่าแล้วยังปกติ แล้วยังสงบได้ แล้วยังเห็นแจ้งจริงได้ นั่นคือการกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม เหมือนชีวิตเราทุกคน มีใครไม่แก่ ฉะนั้นโดนว่า ไอ้แก่ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไอ้เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  
ศิษย์เอ๋ย อย่าโกรธเลย เวลาโดนว่า ไอ้แก่ ใครๆ ก็แก่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความแก่ เจ็บ ตาย จะมีมาช้าไว มันอยู่ที่ผลของการกระทำของศิษย์ มันจะหนักจะเบาก็อยู่ที่เหตุปัจจัยที่ศิษย์สร้าง ทำไมเพื่อนอยู่กับเราตั้งเยอะ เราแก่วันแก่คืน เพื่อนทำไมไม่แก่เลยนะ บางทีเราอยู่กับเพื่อน เดี๋ยวเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ ทำไมเพื่อนไม่เคยเจ็บเลย บางทีเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ เราตายไปแล้ว เพื่อนที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ กลับบอกว่าทำไมไม่ตายสักทีนะ ตกลงใครดีที่สุด (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จะทุกข์กับอะไร ศิษย์กำลังทุกข์กับสิ่งที่ไม่เที่ยง ที่เป็นหัวใจแห่งทุกข์ ชีวิตที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์กำลังโกรธกับคนที่ด่า ที่ไม่เคยเที่ยง ที่อยู่แค่ขณะนี้ ถ้าศิษย์มองให้กว้างๆ คนนี้ด่า เดี๋ยวก็มีคนชม ถ้าเปิดใจให้กว้าง มันก็แค่ขณะหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  
แล้วชีวิตเราจะจมอยู่กับขณะนี้ และหน้านี้ คนๆนี้ แล้วก็ทุกข์จนเขาตายเพราะเขาคนนี้ที่ด่าเราหรือ (ไม่ใช่)  เรายังมีอีกตั้งหลายขณะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเลือกคนๆ นี้ที่เขาด่าเรา เกี่ยวกรรมกับเรา จองเวรจองกรรมกับเขาไม่จบสิ้น เอาเขามาด่าแล้วด่าอีก เพื่อทำให้ใจเราเจ็บปวดหรือ (ไม่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (เป็น)  ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดถ้าศิษย์เข้าใจกระจ่างในธรรม ศิษย์จะบอกอาจารย์ว่าขอบคุณนะที่ทำให้ฉันทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวว่า “หาความมั่นคง ถึงที่สุดมันก็เหมือนไม่มั่นคง” เราไม่อยากโดดเดี่ยว เราไม่อยากอ้างว้าง แต่ถึงที่สุดมีสามีดีก็แล้ว มีลูกดีก็แล้ว แต่ทำไมเรายังเหงาจังเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ถึงที่สุดเราก็ต้องโดดเดี่ยว ธรรมสอนให้เรารู้ว่าถึงที่สุดเราก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง กลับสู่ความไม่มี และสิ่งที่เหมือนมีก็คือไม่มี เหมือนที่ศิษย์หาแทบตาย หาเพื่อให้เกิดมั่นคง หาให้สมบูรณ์แบบ หาให้ดีที่สุด แต่สุดท้ายอะไรดีที่สุด อะไรสมบูรณ์แบบ อะไรมั่นคง (ไม่มี)
ฉะนั้นความกระจ่างในธรรมจะเยียวยาใจให้เรามองเห็นโลกนี้อย่างแจ่มชัด และไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลงอะไรในโลก เพราะในโลกนี้หาความแท้จริงไม่ได้ ไม่ต้องไปพยายามข่มความอยากเลย มันอยากไม่ออกแล้ว เพราะอยากไปเดี๋ยวก็ทุกข์ เกลียดเขาไปเดี๋ยวก็กลายเป็นเวรกรรมเราไม่เอา ถ้าอยากเจอกับเขาอีกจองเวรจองกรรมเลย แต่ถ้าไม่อยากเจอกับเขาอีกขอบคุณที่ทำให้ฉันได้ชดใช้กรรมกับเธอ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจธรรมเราจะเบิกบาน เราจะมีชีวิตอยู่แค่วันนี้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่รู้ รู้วันนี้ รู้ตอนนี้ ฉะนั้นใครจะว่าฉันเหี่ยว ใครจะว่าฉันแก่ ใครจะว่าฉันเตี้ย ใครจะว่าฉันไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นไรเพราะฉันเข้าใจว่าชีวิตยังมีต่อไป ได้เรื่องไม่ได้เรื่องฉันรู้ตัวฉันดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราสงบและเข้าใจกระจ่างชัดในตัว เราจะสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ แต่ถ้าเราไม่สงบไม่กระจ่างชัดในตัว เราจะถูกสิ่งแวดล้อมชักนำให้ตกเป็นทาสอยู่ร่ำไป เข้าใจนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง: เก็บใจ)
กายกับใจวุ่นกับความไม่ว่าง เพราะหลีกหนีความว่างไปให้ไกล เมื่อใจไม่ว่างก็เลยง่ายต่อการถูกการกระทบ เมื่อถูกกระทบก็หนีไม่พ้นเรียกว่าร้าย เรียกว่าดี เรียกว่าชอบ เรียกว่าชัง แล้วร้ายดีก็เรียกอีกอย่างว่าบุญหรือบาป ซึ่งมนุษย์ยึดมั่นถือมั่นเหมือนกรงที่เรายึดถือไว้ด้วยโซ่ตรวน จริงไหม
มนุษย์กลัวความว่าง พยายามหาทุกอย่าง ต้องมีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดหามาเต็มที่ มีก็เหมือนไม่มี เพราะใจไม่เคยพอ แล้วพอมีก็ก่อเกิดว่าชอบ ไม่ชอบ แล้วก็เกิดทำอะไรร้ายๆ บุญก็สร้าง แล้วก็เผลอสร้างบาป วนเวียนอยู่ในความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วหลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองเข้าใจ กายกับใจของมนุษย์พยายามวุ่นกับความไม่ว่าง เพื่อหนีความว่างไปให้ไกลๆ การเรียนรู้ธรรมคือกลับสู่ความว่าง ความสงบ แต่ถามจริงๆ ว่ามนุษย์ทุกคนลึกๆ ใจอยากว่างไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่เรามีก็คือไม่มี แล้วเราก็ไม่สามารถครอบครองอะไรได้เลย เมื่อมนุษย์วิ่งไปหาความไม่ว่าง พอวุ่นมากๆ ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าเราชอบและชัง แล้วก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าดีและร้าย เรียกว่าบุญเรียกว่าบาป ที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้ว่านี่คือตัวฉันที่กำลังวุ่นอยู่ เพื่อหนีความว่าง แล้วก็บอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองไม่ได้ยึด จนเหมือนกรงทองที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้เป็นโซ่ตรวนที่อยู่ในกรงนั้น จริงไหม (จริง)
อาจารย์พูดง่ายๆ นะ มนุษย์เมื่อขยับเขยื้อนทำอะไรก็ตาม ถ้าดีก็เรียกว่าบุญ ถ้าไม่ดีก็เรียกว่าบาป แล้วที่เรียกว่าบุญบาปนั้น เพราะมีตัวตนที่ชอบชัง บุญบาปจะหมดได้ก็ต่อเมื่อถ้าเราไม่ชอบ เราไม่มี เราไม่ชัง บุญบาปจะสลายไปแล้วกลายเป็นความว่าง ฉะนั้นใครจะต่อว่ามาหรือเราจะสูญเสียอะไรไป ก็ว่าง จริงไหม ศิษย์อาจจะบอกว่ายาก แต่อาจารย์อยากบอกว่า ทุกขณะชีวิตของเรากลับไปสู่ความว่าง ถ้าศิษย์ไม่พยายามฝึกใจตอนนี้ เมื่อถึงเวลาศิษย์ที่ต้องทิ้งไปสู่ความว่าง ศิษย์จะทุกข์ที่สุด เหมือนที่อาจารย์บอก “ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ” แค่โดนด่าคำเดียว เอาคำนั้นมาขังตัวเอง ว่าเขาด่าเรา เขาทำเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าคิดว่าชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อเวลาเจอทุกข์เราจะได้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัว เหมือนอาจารย์ถามว่าใครในโลกนี้ไม่สูญเสีย ใครในโลกนี้ไม่เจ็บปวด ใครในโลกไม่ต้องตาย เป็นเรื่องธรรมดาของทุกชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มี และเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่ใช่สังขารแต่คือจิตที่ตื่นรู้ในธรรม กลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก สิ่งนี้ที่ประเสริฐที่สุด ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์กระจ่างแจ้ง เพราะถ้าเมื่อไรเรานำพาตัวเองได้ เราทำให้ตัวเองร่มเย็นได้ เราก็นำพาครอบครัว สังคมให้ร่มเย็นได้
สิ่งที่อาจารย์หวังอยากได้จากศิษย์ก็คือ ขอให้ศิษย์สงบร่มเย็นในใจได้ ไม่หวาดหวั่น ไม่กลัวทุกข์ มีหัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับความจริงและนำความเข้าใจนี้ไปนำพาคนในโลกให้เขาเข้าใจและตื่นรู้และไม่ทุกข์ แล้วแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นสันติสุข ไม่ทำร้ายกันด้วยความโลภ ความอยาก ความเกลียด ความโกรธอีกเลย แต่ให้กันด้วยธรรม ให้กันด้วยความสงบและดีงาม ดีไหม (ดี)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”)
ทำยากไหม (ไม่ยาก)  มนุษย์ปรารถนาความสงบใจ ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายใจ อาจารย์ยกตัวอย่าง เหมือนถ้าเราเข้าไปในป่า เราจะไม่ได้ยินเสียงนก ไม่ได้ยินเสียงน้ำ ไม่ได้ยินเสียงลมพัด เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะคือธรรมชาติ เพราะถ้าเข้าไปในป่า ต้องมีเสียงนก เสียงน้ำ เสียงลมพัด นี่คือธรรมชาติ เช่นเดียวกันเราอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมที่เราจะหยุดผู้คนไม่ให้พูด ไม่มีมีเสียง เราจะหยุดให้ทุกคนเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเจอเรื่องที่ทำให้เราไม่สงบ ศิษย์จะเอาแต่หนี ข่มใจ หนีเขาไปให้ไกลๆ แล้วไปหาที่สงบ เวลาที่ศิษย์เบื่อ มีความทุกข์มากๆ ศิษย์ก็ไปไหว้พระเก้าวัด เผื่อว่าจะได้หายทุกข์ แล้วหายไหม (ไม่หาย)  กลับมาเจอหน้าเขาก็เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นข่มใจ ขันติไว้หรือยุบหนอพองหนอ อาจารย์ถามจริงๆ นะ แบบนี้ใช่วิธีแก้จริงๆ หรือ การเอาแต่หนี การคอยแต่จะเปลี่ยนคนอื่น การเอาแต่ข่มใจ ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง หนทางที่ถูกต้องคือทำใจให้ว่าง ทุกอย่างก็จะว่างโดยทันที ไม่คาดหวัง ไม่เรียกร้อง ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ แค่ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติเป็นของตัวเอง เมื่อยอมรับได้ความสงบก็เกิดขึ้นทันที ไม่เรียกร้อง ไม่หวังวอน ยอมรับความเป็นจริงของทุกสิ่งว่าล้วนมีธรรมชาติและนิสัยที่แตกต่างกัน เมื่อไม่เรียกร้อง ไม่ยึดมั่น ใจก็จะโล่ง ใจก็จะว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่ทำให้เราเจ็บปวด เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้ สงบแล้วก็จบทันที จริงหรือไม่ (จริง)
แต่มนุษย์ไม่กล้าทำใจว่าง ทั้งๆ ที่ใจว่างมาตั้งแต่เดิมที ความว่างคือธรรมที่เรามีมาแต่เดิม แต่เรายิ่งพยายามจะมีก็คือความ (โลภ โกรง หลง) อาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ให้มีนะ แต่มีอย่างคนไม่หลงได้ไหม ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลสแล้วทำบาปผิดศีล ได้ไหม (ได้)  ศิษย์รู้ไหม เมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันได้กลับมาเจออาจารย์อีกต่อไปนะ ถ้าศิษย์ยินดีจะตกเป็นทาสของความโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันเจอหนทางสว่างอีกต่อไป อาจารย์พูดได้แค่นี้ ฉะนั้นทำสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติอย่างคนที่มีศีลมีธรรม เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายอีก เพราะหนทางที่ศิษย์บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ตายก็ตาย ทุกข์ก็ทุกข์ เวียนว่ายก็เวียนว่าย ไม่ง่ายอย่างที่ศิษย์คิดนะ ศิษย์เคยเห็นบางคนไหมเกิดมาน่าสงสาร ทำบุญอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น เป็นเพราะเขากำลังใช้กรรมเก่า เขาเคยมีโอกาสทำดีแต่เขาก็ไม่ทำ คิดแต่ว่าทำไมต้องทำ แล้วศิษย์อยากเป็นคนนั้นไหม (ไม่อยากเป็น)  แล้วศิษย์ยังจะทำอย่างนี้อีกหรือ อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าที่ดีงามในตน อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าธรรมในหัวใจตน ใดใดในโลกมันไม่เที่ยง มันทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่ศิษย์จะยึดมั่นว่านี่คือตัวศิษย์ นี่คือของศิษย์ ยึดจนกลายเป็นโลภ โกรธ หลง แล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้น หรือศิษย์ควรจะยืมใช้แล้วเข้าใจ และละวาง คิดดูนะศิษย์ แม้อาจารย์จะพูดปากฉีกถึงรูหูก็เปล่าประโยชน์ ถ้าศิษย์ไม่เอาน่าเสียดายนะ อาจารย์มีความจริงใจเต็มร้อย วันนี้อาจารย์ให้เกินร้อย ศิษย์จะเอาหรือไม่เอาก็ขึ้นอยู่กับศิษย์นะ เอาไปปฏิบัติเพื่อให้ศิษย์พ้นทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยังเมินเฉย อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมจากพม่า)
มีคนมาจากแดนไกล ตั้งใจมาฟังธรรมะนี้ แล้วคนข้างหน้าเขาก็หวังว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นแรงผลักดันให้รุ่นต่อไปเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเข้าใจมากน้อยเพียงใด ทุกคนต่างมีบุญอันดีงาม แต่เราจะรักษาบุญนี้ให้สืบต่อเนื่อง และนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ไม่ใช่พึ่งแต่อาจารย์ แต่ต้องเกิดจากการตื่นรู้เข้าใจในธรรมของตัวศิษย์เอง เพราะศิษย์ทุกคนล้วนมีสภาวธรรมอยู่ในตัว ลองใช้ใจสู่ใจ ใช้จิตสู่จิต ใช้ความดีงามสู่ความดีงาม ใช้หนทางที่ถูกต้องนำพาชีวิต และใช้หัวใจอันบริสุทธิ์นำพาผู้คนได้ไหม อาจารย์ให้ผลไม้เป็นกำลังใจแล้วกันนะ ทำอะไรต้องรู้จักคิดรู้จักทำนะ อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบนำพาให้ศิษย์หลงผิด อุตส่าห์เสียสละไปอยู่ที่นั่น ใช่ไหม
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว มีใครอยากจับมือลาอาจารย์ไหม อาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์จะอยากจับมืออาจารย์ไหม มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะศิษย์ อย่ายอมแพ้ต่อโรคภัยไข้เจ็บ เข้มแข็ง อดทน รู้จักฟันฝ่าด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็งอย่ายอมแพ้ ตั้งใจอย่าอ่อนแอ  เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับนะ พรอันประเสริฐอาจารย์ให้ศิษย์ไปหมดแล้ว รักษาพรให้ดีและประเสริฐด้วยสติ แล้วรู้จักยั้งคิด ความดีงามรักษาไว้ ทำให้ได้นะ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วนะ ตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมให้ดี อย่าหลงตกเป็นทาสของอารมณ์และกิเลสเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ศิษย์กับอาจารย์ไม่มีวันกลับมาเจอกันอีก จงมุ่งมั่นรักษาศีลธรรมที่ดีงามมีคุณธรรมความเป็นคนให้ดีที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะมีได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ ทิฐิ ความดื้อรั้น มาทำให้เราต้องผิดศีลผิดธรรมเลย ใช่ไหมผู้มีปัญญา
ตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องและดีที่สุดนะ เพื่อตัวศิษย์เอง ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ อย่าให้มีทุกข์แล้วค่อยทำ แล้วค่อยมาคิดได้ ไม่ทันนะ คิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดเพื่อตัวศิษย์ แต่ไม่ใช่เพื่ออาจารย์เลย แต่ศิษย์กลับทำเฉยชาเหมือนอาจารย์โกหก เหมือนอาจารย์หลอกลวง อาจารย์ไม่เคยคิดจะหลอกลวงศิษย์ สัญญาได้ไหมจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ทำให้ได้นะ อย่าเผลอทำผิดคิดร้าย ทำได้หรือยัง ศิษย์ทุกคนเข้มแข็งนะ ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด รักษาแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงามไว้ในจิตใจตัวเองนะ ทำให้ถูกต้อง ทำให้ดีงามเท่าที่ชีวิตหนึ่งจะทำได้ กิเลสเพียงนิดก็อย่าได้ให้กล้ำกลายจิต จนเป็นเหตุให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นเลย


หมายเหตุ เชิงอรรถหน้า ๒๖ อยู่บรรทัดที่สองนับจากบรรทัดสุดท้าย
พาหิย
ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถระ เป็นเอตทัคคมหาสาวก ผู้ตรัสรู้เร็ว พระพาหิยทารุจีริยะเถระ ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว ท่านได้บรรลุพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างย่อจากพระพุทธองค์ที่กลางถนนในกรุงสาวัตถี โดยแสดงธรรมโดยย่อว่า ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ในกาลใดเมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในโลกนี้ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสองนี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
หลังจากพระพุทธองค์เทศนาจบ พาหิยะก็สำเร็จอรหันต์ ในขณะเป็นคฤหัสถ์ และในระหว่างที่กำลังหาเครื่องสำหรับบรรพชาเป็นพระภิกษุ ท่านก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดและเสียชีวิต
(พระอาจารย์ได้มาเมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกครั้ง)
อาจารย์อยากจะมาชาร์จแบตให้ศิษย์ทุกคน ให้มีจิตเหมือนอาจารย์ คือมีจิตที่อนุเคราะห์ มีจิตที่เสียสละ เข้าใจจิตนี้ไหม สืบทอดความมุ่งมั่น สืบทอดปณิธาน สืบทอดจิตใจเสียสละ ร่วมมือกันนะศิษย์นะ เหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนเพื่อนที่ให้เกียรติ ที่เคารพ ที่รักกันด้วยความจริงใจ ที่มีความมุ่งมั่นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อจะนำพาตัวเราเอง และผู้คนไปให้พ้นทุกข์ ด้วยหัวใจอนุเคราะห์เสียสละ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมคลาย ได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้กำลังใจ มาๆ ทุกคน มาจับมือกับอาจารย์ เข้มแข็งนะ มือที่จับร่วมกันแล้วคือปณิธานเดียวกัน มีหัวใจเดียวกัน มีความมุ่งมั่นเดียวกัน ที่เราจะอุทิศ อนุเคราะห์ช่วยเหลือเวไนยด้วยหัวใจที่เสียสละเต็มที่ ไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย เคารพให้เกียรติกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ได้ไหมศิษย์ (ได้)  เอาหัวใจอาจารย์ไปนะ หัวใจที่สืบต่อปณิธานที่อยากฉุดโปรดเวไนย  ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมแพ้ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังศิษย์นะ พลังแห่งความมุ่งมั่น พลังแห่งหัวใจที่สู้ไม่ท้อ ได้ไหม (ได้)  หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่เข้มแข็ง ไม่ท้อถอย หัวใจที่รักผู้อื่นเยี่ยงเดียวกับรักตัวเอง ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียดใคร มีแต่ใจที่อยากช่วยเหลือและนำพาเขานะ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังใจตรงนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจตรงนี้ ใจที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใจที่มุ่งมั่น รักเขาจริงๆ อย่างใจ ช่วยเขาจริงๆ อย่างที่ไม่เหลือใจตัวเองไว้ยึดถือ ได้ไหม (ได้)  รักเขาให้เหมือนที่อาจารย์รักนะ
เราบำเพ็ญเพื่อปลุกหัวใจแห่งพุทธะ ที่รักเขาจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ที่เสียสละมุ่งมั่น เพี่อให้เขาได้ถึงฝั่งที่ถูกต้องและดีงาม ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้มแข็ง ศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นตัวแทนสืบทอดหัวใจอันนี้ของอาจารย์  ทำให้ศิษย์ของอาจารย์ได้สมานเป็นหนึ่งเดียวกัน สืบทอดหัวใจจี้กงน้อยๆ สืบทอดหัวใจที่งดงาม สืบทอดหัวใจที่ตั้งใจเสียสละมุ่งมั่น สืบทอดหัวใจที่เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในชีวิต สืบทอดหัวใจที่ซื่อตรงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง  เข้าใจไหมศิษย์
เราร่วมมือกันนะ เราต้องรักกัน เราต้องดูแลกัน เราต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน อาจารย์ให้กำลังใจนะ ทำให้ดีให้สมกับที่เป็นศิษย์ที่มุ่งมั่นไม่ท้อถอยนะ เราจับมือกันต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงามเพื่อส่งต่ออนุเคราะห์นำพาเวไนย  ต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงาม สร้างหัวใจที่บริสุทธิ์ สร้างหัวใจที่เข้มแข็งนะ ทำให้ดี ทำให้ถูกต้อง ต้องให้อาจารย์พูดอะไรอีกหรือ อยู่ใกล้อาจารย์แล้ว ไม่ต้องกลัวอาจารย์ทิ้งนะ รักษาหัวใจที่ดีงามนี้ไว้นะ  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย อาจารย์ไม่ลืมนะ ว่าทุกหยาดเหงื่อ ทุกหยาดน้ำตาที่ศิษย์เสียสละเพื่อช่วยเวไนย อาจารย์เห็นหมด ต่อไปนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะ ต่อไปนี้ไม่น้อยใจแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ท้อใจแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรามีปณิธานเดียวกัน คือช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นหัวใจที่ช่วยเขาให้พ้นทุกข์ คือเป็นหัวใจที่เข้มแข็งนะ ได้ไหม (ได้)  แล้วอาจารย์ก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะอาจารย์มั่นใจในศิษย์แล้ว ไม่ต้องห่วงหน้า ไม่ต้องพะวงหลังอีกต่อไป ใช่ไหม (ใช่) 

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”
    หยุดเขาหรือหยุดใจตน                      หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                               ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                               ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                             สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                  ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                           ความมีคือหลงวุ่นวาย

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
วันที่ ๖–๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๓  ย่อหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๒
เดิม     หนทางไม่มีสายกลาง      แก้เป็น   หนทางไม่มีเส้นกลาง
แก้ไขชื่อเพลงพระโอวาท
เดิม     บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ    แก้เป็น บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ ๑๓-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขกลอนนำหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ        หน้า ๑ วรรคที่ ๒ 
เดิม     ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง 
แก้เป็น ศึกษาธรรมมีสติรู้ธรรมตามจริง
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ  หน้า ๑ บทแรก
เดิม     รีบรีบขอต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้เป็น          รีบรีบเข้าต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ขอใจชีวิตตัวเอง  แก้ไข  เข้าใจชีวิตตัวเอง  

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา