西元二○一七年歲次丁酉三月初五日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
คนรู้ธรรมไม่ใช้ธรรมเป็นประโยชน์ ธรรมให้โทษถ้าไว้ใช้หลบเลี่ยงเก่ง
ชมตัวเองพูดก็เข้าข้างตัวเอง แม้แสนเก่งก็กลับสร้างกรงขังตัว
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสงบเย็นและสบายใจไหม
เห็นผิดหลงความคิดของตัวเอง คนห่างไกลคนความเก่งพาฉ้อฉล
ตามอารมณ์จึงพาดีอยู่ไม่ทน ขาดสติชั่ววูบดลภัยคุกคาม
ทิฐิเกิดอารมณ์ชั่วแล่นน้อยคุมได้ กี่ทีสำนึกหายจากเล็กมองข้าม
บานปลายจนธรรมเลือนสิ้นดีงาม คนขาดศีลผิดกามรูปมาทำลาย
ต่อไปขออย่าได้ลืมมีสติ อย่าให้เป็นเช่นนี้จนเหนื่อยหน่าย
ป้อมปราบอีกป้องกันนี้ทั้งใจและกาย แม้ทำไม่ผิดบาปไซร้ต้องระวัง
วัฏฏะไม่มีเลยที่ไม่จะยอมจบ บาปกรรมก่อไม่กลบไม่หักล้าง
เป็นแนวย้ำสร้างแต่ดีมีพลัง ศุกล[1]ทางดีด้วยสำนึกสูงด้วยธรรม
เผยอันถูกต้องดีงามเป็นสากล อัตตาตนไม่ยึดมั่นไม่เจ็บช้ำ
ยินดีสละปฏิบัติเคยแต่ไม่ประจำ ฝึกเลยให้ชินจนล้ำมีฝีมือ
ฮา ฮา หยุด
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
คนรู้ธรรมไม่ใช้ธรรมเป็นประโยชน์ ธรรมให้โทษถ้าไว้ใช้หลบเลี่ยงเก่ง
ชมตัวเองพูดก็เข้าข้างตัวเอง แม้แสนเก่งก็กลับสร้างกรงขังตัว
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสงบเย็นและสบายใจไหม
เห็นผิดหลงความคิดของตัวเอง คนห่างไกลคนความเก่งพาฉ้อฉล
ตามอารมณ์จึงพาดีอยู่ไม่ทน ขาดสติชั่ววูบดลภัยคุกคาม
ทิฐิเกิดอารมณ์ชั่วแล่นน้อยคุมได้ กี่ทีสำนึกหายจากเล็กมองข้าม
บานปลายจนธรรมเลือนสิ้นดีงาม คนขาดศีลผิดกามรูปมาทำลาย
ต่อไปขออย่าได้ลืมมีสติ อย่าให้เป็นเช่นนี้จนเหนื่อยหน่าย
ป้อมปราบอีกป้องกันนี้ทั้งใจและกาย แม้ทำไม่ผิดบาปไซร้ต้องระวัง
วัฏฏะไม่มีเลยที่
เป็นแนวย้ำสร้างแต่ดีมีพลัง ศุกล[1]ทางดีด้วยสำนึกสูงด้วยธรรม
เผยอันถูกต้องดีงามเป็นสากล อัตตาตนไม่ยึดมั่นไม่เจ็บช้ำ
ยินดีสละปฏิบัติเคยแต่ไม่ประจำ ฝึกเลยให้ชินจนล้ำมีฝีมือ
ฮา ฮา หยุด
[1] ศุกล [สุกกะละ] ว. สุกใส, สว่าง; ขาว, บริสุทธิ์. (ส. ศุกฺล, ศุกฺร;ป. สุกฺก).
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
มนุษย์มักกล่าวว่าทุกปัญหามีโอกาส เเต่ในทางกลับกัน ทุกโอกาสก็อาจกลายเป็น (ปัญหา) อยู่ที่อะไรหรือ (ตัวเรา) มนุษย์มักจะพูดว่าคนฉลาดทำทุกปัญหาให้เป็นโอกาส เเต่คนโง่เขลาทำทุกโอกาสให้กลายเป็น (ปัญหา) ฉะนั้นย้อนถามกลับที่ทุกท่านมานั่งอยู่ที่นี่เป็นปัญหาหรือเป็นโอกาส (โอกาส) คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ เขาสามารถแปรทุกๆ ความทุกข์เป็นความสุข แต่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกคือ ทุกๆ ความสุขเขาคิดแต่เรื่องของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้ท่านเป็นคนฉลาดที่สุดและเป็นคนที่มีความสุขที่สุด แต่ถ้านั่งอย่างหวานอมขมกลืนแล้วเป็นทุกข์ ถ้านั่งมองอย่างเป็นปัญหา เราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขจริงหรือไม่ (จริง)
มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ ความเย็นใจ ความสบายใจ ความผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่) ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ใจได้สงบ ขอให้ใจได้เย็น ขอให้ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทุกขณะที่เราเผชิญชีวิตในโลกทำไมเรากลับไม่สงบ เรากลับไม่เย็นใจ เรากลับไม่เคยผ่อนคลาย และบางทีเหมือนไม่เคยสบายใจ ทั้งที่ลึกๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเราอยากหาที่สบายใจ ที่ๆ ทำให้เราสงบใจ หรือสิ่งที่ทำให้เราเย็นใจ ใช่หรือไม่ เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราจะผ่อนคลายใจก็ต่อเมื่อต้องนั่งมองทะเล เอาทุกข์ไปทิ้งที่ทะเล ใช่ไหม (ไม่ใช่) เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราต้องหลับตา ปิดหูปิดตา ไม่ต้องฟังเรื่องอะไรใช่ไหม (ไม่ใช่) ก็เห็นโดยส่วนใหญ่อยากหาความสงบใจ ความเย็นใจ ปิดตาปิดหู ไม่ต้องรับรู้อะไร พอเข้มแข็งแล้วค่อยมาลืมตาสู้ใหม่ ใช่ไหม (ไม่ใช่) เราจะบอกท่านว่า ในความวุ่นวายเรากลับหาความสงบได้
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง สมมติว่าเราพยายามปลูกผลไม้ ในช่วงก่อนที่ผลไม้จะออกผลเราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายไหม เราวางใจสบายได้ไหม ไม่เคยได้เลยใช่ไหม พอผลไม้ออกผลแล้ว เราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายเราสบายใจไหม ก็ไม่เคย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ความอยาก ความยึด ทำให้ใจเราไม่สงบไม่เย็น ความมุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องเอาให้ได้ต้องทำให้ได้ต้องดีให้ได้ ทำให้เราไม่ผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่) แล้วพอทำเสร็จ ต้องดีต้องสำเร็จ เลยทำให้เราไม่เคยสบายใจ แม้ว่าเรากำลังจะทำหรือทำเสร็จแล้วถ้าเราบอกว่า ไม่ว่าทำอะไรสักอย่างหนึ่งออกมาหรือยังไม่ทำออกมาเเต่ถ้าทุกขณะเราทำอย่างเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ สงบไหม (สงบ) เย็นไหม (เย็น) สบายใจไหม (สบายใจ)
ฉะนั้นธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อเเสวงหาเเล้วยึดมั่นเกาะกุมอย่างไม่ปล่อยวาง หรือธรรมสอนให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเเสวงหาอย่างเข้าใจเเละยอมรับความจริง เราเทียบง่ายๆ ความอยากทำให้มนุษย์ไม่สงบ การไม่ยอมรับความจริงทำให้มนุษย์ไม่สามารถเย็นหรือสบายใจได้ การหมกมุ่นกับสิ่งใด ว่าต้องให้ได้ มันทำให้จิตเราไม่ผ่อนคลาย เเต่การทำอะไรจนถึงที่สุดเเล้วยอมรับความจริง เเละกล้าเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมันด้วยหัวใจที่
เข้มเเข็ง ทำดีที่สุดเเล้วนั่นกลับทำให้เราสบายใจกว่า ถ้าทุกขณะเราทำไปแล้วจบ วางได้คือดีที่สุด ทุกขณะที่ทำจะเย็น สงบ สบาย ผ่อนคลาย เเต่ถ้าเราทำเเล้ว ต้องแบบนั้นแบบนี้ ต้องให้ได้ ทุกขณะที่ทำเลยไม่เคยเย็น ไม่เคยสงบ ไม่เคยผ่อนคลาย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นธรรมสอนให้เราทำดีที่สุดเเล้วปล่อยวางเเละละวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนทุกข์ใจ จริงไหม (จริง) ธรรมสอนให้ไม่ถึงกับปล่อยวางเเต่ละวางอย่างเข้าใจ แค่ตรวจสอบว่าถ้าเราทำออกมาแล้วมีคนว่า ถ้าเรายอมรับได้เราก็เย็น
มีคนชมมีคนว่าถ้าเรายอมรับเราก็เฉยๆ ถ้าเรายอมรับ เราก็สงบใจ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง ต้องดี ต้องยึดมั่น ทุกขณะเราเลยไม่เคยสงบ ไม่เคยเย็น ไม่เคยผ่อนคลาย ไม่เคยเป็นสุข ธรรมสอนให้เรามาปฏิบัติเพื่อใช้กับชีวิต ไม่ใช่ไปทุกข์มาถึงที่สุดแล้วปล่อยไม่ลง แต่ธรรมสอนให้ใช้ตอนนี้ ตอนที่จะอยาก อยากแล้ววางได้ไหม อยากแล้วยอมรับได้ไหมถ้าไม่ได้อย่างที่อยาก มันจะทำให้อึดอัดแล้ว แย่เลยไหม เหมือนถ้าปลูกผลไม้มาลูกหนึ่งแล้วห้ามติ ต้องขายได้ราคาดี ต้องหวานอย่างเดียว ต้องไม่มีแมลงได้ไหม (ไม่ได้) ถ้ามนุษย์ใส่ใจในทุกขณะที่เกิดขึ้น และเรียนรู้อย่างมีสติ เราจะไม่เป็นคนที่ทำร้ายตัวเราเอง เพราะเรารู้จักธรรม ธรรมอันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น แต่ไม่ทำให้เราทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่) ยากไหม (ไม่ยาก) แล้วเชื่อไหมว่าทุกขณะไม่จำเป็นจะต้องไปมองทะเล ไม่ต้องไปหาที่สงบ อยู่ที่ไหนเราก็สงบได้ แต่ถามตัวเองก่อนว่าทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีที่สุด ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นั่นแหละ เย็น สงบ สบาย ได้ทันที ไม่ต้องรอไปที่ไกลๆ ไม่ต้องรอเข้าวัดฟังธรรม ธรรมมันอยู่ในตัวเราเมื่อไหร่จะทำสักที ทำให้มันเป็นธรรม ไม่ใช่ทำให้ตนเองเป็นที่ผลิตกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)
เหมือนอยู่กับเราตอนนี้ ถ้าไม่มีความอยากใจก็สงบ ถ้ากล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นใจก็เย็น ถ้าไม่มุ่งมั่นอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หัวใจก็ผ่อนคลาย เเละถ้าไม่ยึดติดว่าต้องแบบนั้นแบบนี้ใจเราก็สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนไปอยู่ที่ทำงานถ้าไม่เกิดความอยาก ทำงานก็มีความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ากล้ายอมรับว่าจะได้ไม่ได้เราก็ใจเย็น ถ้าไม่บีบคั้นตัวเองว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำงานเราก็ผ่อนคลาย เเล้วถ้าทำให้ดีที่สุดเเล้วอะไรก็กล้าเผชิญ จิตใจเราก็เบิกบานเเละสบาย ใช่หรือ (ใช่)
ฉะนั้นคำว่าสงบ เย็น สบายใจ ไม่ได้อยู่ภายนอก เเต่ถามใจเราเองก่อน เรียนรู้ที่จะเข้าใจเเละยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติ เเละเราจะเข้าใจว่าทุกๆ อย่างก็คือธรรมเเห่งความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรมากไป ไม่มีอะไรน้อยไป เเต่ใจเราต่างหากที่ตีกรอบยึดมั่นคาดหวัง เเละทำให้สิ่งธรรมดาเป็นสิ่งที่ทุกข์หรือสุขก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดไม่ยากนะ เหมือนเราพยายามจัดดอกไม้ให้สวยที่สุด ถ้าเรายึดว่าต้องได้รับคำชมอย่างเดียว เราสงบไหม (ไม่สงบ) ถ้าเรายึดว่าต้องดีอย่างเดียวอย่าร้าย เราจะเย็นไหม (ไม่เย็น) พอใครมาพูดว่าไม่ดี เป็นอย่างไร อารมณ์ขึ้นเลย เพราะฉันมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทำดีความดีก็อยู่ในผลงานนั้นแล้ว ส่วนจะดีหรือไม่ดีในใจเขา เราบังคับให้ทุกคนเป็นอย่างที่ใจเราคิดได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ใช่บอกให้ท่านยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ จนไม่ยอมมองความจริง แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรามองความจริงด้วยสติ ทุกขณะที่เกิดล้วนคือธรรม การปฏิบัติธรรมสอนให้เราพูดดีทำดี แต่การปฏิบัติธรรมไม่ได้สอนให้ทุกคนต้องดีกับเรา ถูกไหม (ถูก) มีธรรมบทไหนบ้างที่สอนว่าเราจะดีได้ก็ต่อเมื่อทุกคนต้องดีกับเรา การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติดี แต่การปฏิบัติดี ไม่ใช่ให้เรามีหน้าที่ไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะมาตรฐานความดีของทุกคนเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน) ฉะนั้นที่เขาปฏิบัติกับเราอาจจะเรียกว่า สำหรับเขาอาจจะทำดีที่สุดแล้ว แต่เรามองไม่เห็นเองหรือเปล่า เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราร้าย
ก่อนที่จะว่าเขาร้าย เรายึดติดดีในแบบของเรา แล้วรับดีในแบบของเขาไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) เรื่องที่เราพูด เราว่าไม่ยากนะ แต่ยากที่ใครจะทำได้จริง ถ้าทำได้จริง ความสงบ เย็น สบาย และอิสระมีได้ในทุกขณะ และเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แต่เราไม่เคยคิดที่จะทำกันจริงๆ เท่านั้นเอง งั้นเราเทียบง่ายๆ นะ ท่านว่าดอกไม้นี่สวยไหม (สวย) ถ้ายังคิดอย่างนั้นแปลว่ายังมองไม่ถึงที่สุดนะ ถ้าคนที่มองถึงที่สุดและมองอย่างเข้าใจธรรมจะบอกว่า ทั้งสวยและไม่สวย จริงไหม (จริง) นี่แหละเรียกว่าคนไม่ประมาทในการมีชีวิต งั้นถามอีกกระเช้าดอกไม้ดีไหม (ทั้งดีและไม่ดี) ดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่กระเช้า แต่ดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจท่าน ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นต้องมีสตินะ แล้วท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้าใจ แล้วไม่มีอะไรมาทำให้ท่านหลงและทำให้ท่านทุกข์ได้ กระเช้าดีหรือไม่ดี ไม่ใช่อยู่ที่มันทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ที่ตัวเราว่ากำลังเอากระเช้าไปทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ท่านมาเรียนรู้ศึกษาการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมีรากฐานคือการกระทำดี การกระทำดีเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เราศึกษาจึงขอพูดเกี่ยวกับเรื่องหลักธรรมในการเอาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิต เมื่อเราบอกว่าการทำดีเป็นฐานของการปฏิบัติธรรม คนส่วนใหญ่จึงเลือกทำสิ่งที่ดี ถ้ามือหนึ่งทำดี เเต่อีกมือหนึ่งทำไม่ดี ถ้าบอกว่าคนหนึ่งขยันทำดีเเต่อีกด้านหนึ่งชอบแอบคิดคดโกหกนินทาว่าร้าย อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี) เเละจะบอกว่าคนดีแบบนี้ทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าเขาทำดีก็จริงเเต่สิ่งที่ผิดที่ร้ายเขายังไม่รู้จักละ อย่างนั้นจะบอกว่าตนเองทำดีเเล้วไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะถึงเวลาเรื่องร้ายๆ เราก็ยังทำอยู่
คนดีที่เเท้จริงคือเเม้ไม่ได้ทำดีอะไรมาก เเต่ไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายเลยนั่นถึงจะเรียกว่า (คนดี) ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นคนดี มือหนึ่งทำดีเเต่อีกมือหนึ่งยังแอบคดโกง ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่ปฏิบัติดีได้อย่างถูกต้อง เเล้วจะบอกว่าทำดีเยอะๆ เผื่อความดีนั้นจะมาล้างความไม่ดี ท่านว่าล้างได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนวันนี้ท่านไปทำบุญกับคนกลุ่มนี้ เเต่ท่านไปด่ากับคนกลุ่มนั้นเเละให้คนกลุ่มนี้มาชมว่าเราดีให้กับคนกลุ่มนั้น ฟังขึ้นไหม (ไม่ขึ้น) แล้วเรียกว่าดีเเท้ไหม (ไม่แท้) อย่างนั้นอย่าบอกเราว่าท่านกำลังปฏิบัติดี ถ้าท่านยังไม่ละบาป ละชั่ว ละกรรม พระพุทธะสอนไว้ว่าละบาปเมื่อไหร่ก็คือการบำเพ็ญบุญเมื่อนั้น เเต่ถึงจะทำบุญเเค่ไหนแต่ถ้ายังละบาปไม่ได้ ท่านก็ไม่อาจเรียกว่าคนบุญ
หลายท่านมักบอกว่า ทำดีเเทบเเย่ไม่เห็นได้ดี ทำไมทำดีมากๆ ไม่เห็นโชคดี ทำไมเป็นคนดีมีศีลมีธรรมกินเจเเล้ว ทำไมยังมีโรคภัยไข้เจ็บไม่เห็นดีเลย เห็นบ่นตัดพ้อว่าฟ้าว่าดินประจำ อย่างนั้นเราจะตอบให้ฟังว่าเพราะอะไร ท่านเคยได้ยินไหมว่าโรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังปากร้ายว่าคน เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังกินตามใจปากจะแข็งแรงไหม (ไม่เเข็งเเรง) แล้วเกี่ยวอะไรกับทานเจปฏิบัติธรรมเเล้วป่วย ทำไมทำดีถึงโชคร้าย ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ไม่มีภัยพิบัติใดเเละไม่มีหายนะใดๆ ในโลกน่ากลัวเท่ากับความอยากที่ไม่รู้จักพอ ภัยพิบัติเเละหายนะมาจากความอยากที่ไม่รู้จักพอ เกี่ยวอะไรกับการทำดีไหม (ไม่เกี่ยว) จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ปฏิบัติดี เเต่ไม่ละชั่ว ใฝ่ดีเเต่ยังไม่ละความเลวร้ายในตัวตน จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีนั้นจึงไม่ใช่ ฟ้ายุติธรรมเสมอ ดีก็มีผลดี ร้ายก็มีผลร้าย ไม่อยากทุกข์ก็อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่เเจ้ง ถ้าท่านเข้าใจแบบนี้การปฏิบัติดียากหรือไม่ (ไม่ยาก)
การปฏิบัติธรรมนั้นแท้จริงคือการมุ่งมั่นละชั่ว ทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง แต่คำว่าละชั่วทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ใช่หมายความว่า เกลียดคนไม่ดี ผูกใจเจ็บแช่งชักคนไม่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่) ถ้าเราปฏิบัติดีและเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะว่าเขาไหม เราจะผูกใจเจ็บไหม เราจะด่าไหม (ไม่) ถ้าท่านคือคนที่ประพฤติปฏิบัติดีและอยากให้สิ่งดีมาบังเกิด เราถามหน่อยว่า คนที่ประพฤติปฏิบัติดี พอเจอคนไม่ดีจะแช่งชักหักกระดูกไหม จะผูกใจเจ็บไหม จะโกรธเกรี้ยวไหม (ไม่) หลายๆ ท่านพูดว่าที่แล้วมา แล้วๆ กันไปนะ แต่เราจะบอกให้ท่านอย่างหนึ่งนะ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน เราจำสิ่งที่ดีมากกว่าหรือจำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่า (สิ่งที่ร้าย) เมื่อจำก็แปลว่าผูกใจเจ็บ เมื่อเห็นแล้วยังรู้สึกขัดตาขัดใจก็แปลว่ายังรู้สึกอยากจองเวรจองกรรม แล้วนั่นคือหนทางของผู้ประพฤติดีหรือ อย่างนั้นปฏิบัติธรรมก็คือละชั่ว ไม่ทำผิดเลย นั่นดีที่สุด แต่มนุษย์ปัจจุบันปฏิบัติดีผิดทางหมดเลย ชั่วไม่ละแต่ดีก็ทำ เหมือนเราถามท่านว่า เราตบท่านแล้วบอกขอโทษ หายไหม (ไม่หาย) แม้เอาของมาให้สิบอย่าง แต่ที่ท่านว่าเรา ที่ตีเรา ที่ด่าเรา ลืมลงไหม (ไม่ลง)
ฉะนั้นการปฏิบัติดีที่แท้จริงคือ ผิดก็ไม่ทำ บาปก็ไม่ก่อ กรรมก็ไม่คิดสร้าง ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจปฏิบัติธรรม จงอย่าหลงกับการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติไม่ใช่สอนให้เรารักดี เกลียดชั่ว และไม่มองความจริง แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรากล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนเราถามท่าน นิ้วทั้งห้านิ้ว นิ้วไหนดีที่สุด (นิ้วทั้งห้าก็เกื้อกูลกัน) ถ้าท่านคิดแบบนี้กับทุกคนก็ดี เพราะคนที่เขาไม่ดีเปรียบเหมือนคนที่โชว์นิ้วกลาง แต่เขาก็คือคนที่ทำให้เราเห็นความเป็นคน แม้แต่ตัวเราบางทีเราก็ยังทำตัวให้เหมือนโชว์นิ้วกลางได้ก็เป็นไปได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเรายอมรับว่าไม่มีอะไรไม่ดี เพราะทุกสิ่งล้วนเกื้อหนุนกันจริงไหม (จริง) ไม่มีเขาหรือจะมีเรา ไม่มีโง่หรือจะมีคนฉลาด ไม่มีคนร้ายหรือจะมีคนดี ไม่มีคนต่ำเตี้ยหรือจะมีคนสูง ไม่มีคนสูงหรือจะมีคนที่สูงกว่า ฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุด เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างมืดกับสว่าง ท่านว่าอะไรดีกว่ากัน ถ้าไม่มีมืดท่านจะมีวันพักผ่อนหรือ เพราะถ้ามีแต่วันสว่าง ท่านคงทำงานไม่จบไม่สิ้น ใช่ไหม (ใช่) ถ้าไม่มีมุมมืดของคนเราจะเข้าใจความเป็นคนไหม เราจะมองเห็นคนชัดเจนไหม ถ้าว่ากันให้ถึงที่สุดถ้าเราเรียนรู้อย่างคนที่ยึดหลักธรรม มีธรรมเป็นหลัก อะไรคือสิ่งที่ร้าย อะไรคือสิ่งที่ดี เพราะในร้ายก็มี (ดี) ในดีก็มี (ร้าย) ท่านก็รู้อยู่เต็มอก
ถ้าท่านเข้าใจหลักของธรรมในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านจะรู้ว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือหัวใจเเห่งความดับทุกข์ ถ้าเข้าใจตรงนี้ถามตัวเองก่อนทำดีที่สุดเเล้วหรือยัง ทำดีที่สุดเเล้วไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ต้องวางลงเเละยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เเต่บางทีก็อดไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) ธรรมะสอนให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง แต่ทำไมเวลาเราประพฤติปฏิบัติดีเรากลับหลงยึดติดบุญ โลภในการสร้างบุญกุศล ถ้าทำเเล้วยังหวังผล ทำเเล้วยังโลภหวังผลบันดาลดล นั่นก็เเปลว่าท่านละไม่จริง ในเมื่อธรรมสอนว่าโลภโกรธหลงเป็นทางมาเเห่งบาป ถึงที่สุดคือให้ความทุกข์เเละวิบากกรรมที่ไม่สิ้นสุด ถ้าทำบุญแล้วเรายังขอไหม (ขอ) ถ้าขอก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด อย่างนั้นปฏิบัติถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) หลักของการปฏิบัติธรรม หัวใจหลักก็คือ ทำจนถึงที่สุดคลายจากความยึดถือ เพราะหัวใจของการดับทุกข์ คือการไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นใดๆ ในโลก สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ฉะนั้นถ้าทำแล้วยังยึดแปลว่าเราก็ยังหลงอยู่นะ
ธรรมะสอนให้เราหลงหรือสอนให้เราละ (ให้ละ) แล้วที่เราปฏิบัติธรรมเราหลงหรือเราละ (เราหลง) อะไรที่ทำให้เราละวางได้ นั่นเรียกว่า ปฏิบัติธรรม แต่ถ้าอะไรทำให้เรายึดมั่นถือมั่นไม่ปล่อยวาง เรียกว่า หลงกับการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ทำแล้วละหรือทำให้หลง ผู้ที่เข้าใจการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แม้ท่านจะทำดีก็ไม่ได้เป็นการประกันว่าจะโชคดี ถึงจะทำดี โชคร้ายก็ไม่เป็นไร ถึงจะละร้ายละชั่ว แล้วต้องเจอเคราะห์เจอภัยก็ไม่เจ็บปวด เพราะผู้ที่เข้าใจธรรมยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ร้ายดีไม่เท่ากับใจที่ไม่ยอมรับความจริง ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นไม่ว่าร้ายหรือดี อะไรจะเกิดขึ้นถ้าท่านเข้มแข็ง ถ้าท่านกล้าหาญ ถ้าท่านรู้จักปัญญาของตน ร้ายท่านก็แปรเป็นยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตอนนี้ท่านบำเพ็ญแบบยึดคนหรือว่ายึดธรรม ปฏิบัติตามคนหรือปฏิบัติตามธรรม ท่านมักปฏิบัติตามคน คนดีเราก็ทำ คนไม่ดี (ก็ไม่ทำ) เราแค่มาบอกให้ท่านปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง อย่าหลงกับการปฏิบัติธรรม เพราะคิดแค่เพียงว่า หวังดี ชอบดี ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดดีแล้วเกลียดร้าย แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง แต่ตอนนี้ท่านเป็นคนปฏิบัติดีที่ไม่กลาง ใช่ไหม (ใช่) ก็ธรรมสอนให้เราเป็นกลาง เมื่อเป็นกลาง อะไรจะเกิดก็คือสิ่งนั้นดี ตั้งแต่ต้นเลย ยอมรับได้ก็เย็นได้ หยุดอยากได้ก็สงบได้ ไม่หมกหมุ่นจนเกินไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็ผ่อนคลายได้ เมื่อทำถึงที่สุดยอมรับความเป็นจริงเราก็สุขและเบิกบานใจได้
จิตญาณที่บริสุทธิ์เป็นต้นรากแห่งความรู้ ถ้าญาณบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัด ความรู้เป็นหลักของหัวใจ ถ้าความรู้แจ่มชัดถูกต้อง ไม่อคติไม่ลำเอียง มีความเป็นกลาง อะไรจะเกิดเราก็สงบ แต่เป็นเพราะว่าความอยากที่มันมากเกินไปต่างหาก ที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่สามารถบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ ความยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปมากกว่า ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ปัญญาและความกล้าหาญได้อย่างแท้จริง และถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่า เราจะสูงส่งโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเกียรติยศ เราจะสามารถร่ำรวยได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีทรัพย์มากมาย เราสามารถเข้มแข็งได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีอำนาจยศศักดิ์ และเราก็สามารถเย็นและเป็นสุขในโลกนี้ได้ แม้จะไม่มีใครมาเติมเต็มหัวใจเรา เพราะเราเข้าใจธรรม ธรรมทำให้เราสูงโดยที่ไม่ต้องมีใครยก จริงไหม (จริง) ธรรมทำให้เราเข้มแข็งโดยที่ไม่ต้องมีใครมาเยียวยาใจ มาเติมใจ และธรรมทำให้เราเบิกบาน เพราะเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งผู้คน เราจึงอยากให้ท่านได้เข้าใจธรรมอันนี้ ซึ่งธรรมอันนี้ไม่ได้อยู่ภายนอก ไม่ได้อยู่ที่เราพูด แต่อยู่ในหัวใจของทุกคน มองอย่างเป็นธรรมหรือมองอย่างคนที่มีอัตตา นิสัย ความคาดหวัง ความยึดมั่น แห่งตัวตน มองเป็นธรรมเราได้ธรรม มองตามนิสัย ตามอารมณ์ เราได้อัตตาตัวตนที่เวียนวนไม่จบสิ้น ปฏิบัติธรรมหาใช่อยู่ที่ผู้อื่น ถ้าท่านเข้าใจธรรมแล้ว ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด แล้วเมื่อเราทำได้ดีแล้วมีหรือคนรอบข้างจะไม่ดีตาม แต่กลัวอย่างเดียว ตัวเองยังไม่ดี แต่ต้องการจะไปเรียกร้องคนอื่นให้ดีก่อน จริงไหม (จริง)
ศึกษาธรรมยึดหลักธรรมเป็นแนวทาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนปล่อยไม่ได้ ถือหลักธรรมเป็นแนวทาง ฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วภาษาไม่สามารถอธิบายธรรมได้ทั้งหมด เพราะธรรมไม่ใช่เรื่องไกลนะ อยู่ในนี้ในตัวเราเอง ถ้าบริสุทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกต้องเที่ยงธรรม แต่ถ้าอยากไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีร้ายมีดีตามที่ใจเรายึดติด จริงหรือไม่ (จริง) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าได้ดูเบาธรรมในหัวใจของตัวเอง อย่าได้ลืมเลือนธรรมอันดีงามที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมในตนนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มองผ่านใจเจ้าจะเห็นภาพลวงตา ใจที่มาด้วยความคิดและนิสัย
คอยปรุงแต่งกิเลสและอุบาย เป็นเคยชินดีร้ายไปตามอารมณ์
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม
กิเลสฝังแน่นความลำบากเดชเรืองฤทธิ์ ปัญหาติดตรึงตรายากแก้ยากรื้อ
หมั่นล้างใจมาบูรณาด้วยสองมือ สั่งให้ใจยกมือลงมือทำ
ใจคนยิ่งสูงจริงยิ่งอ่อนน้อม บำเพ็ญจริงมุ่งทำพร้อมอยู่อย่างต่ำ
พูดคิดดีอะไรดีจงรีบทำ ที่ฟันฝ่ามีกรรมไม่เสมอไป
นพธรรมครองเมตตาธรรมคล้ายเชื่องช้า ภายในกรุณาโชคคณานับตาน้ำไหล
ทำดีไว้วาสนามานะจะมาไวฝึกฝืนสู้จะละหวั่น[1]หรือดีให้รีบฝึกบำเพ็ญ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
มนุษย์มักกล่าวว่าทุกปัญหามีโอกาส เเต่ในทางกลับกัน ทุกโอกาสก็อาจกลายเป็น (ปัญหา) อยู่ที่อะไรหรือ (ตัวเรา) มนุษย์มักจะพูดว่าคนฉลาดทำทุกปัญหาให้เป็นโอกาส เเต่คนโง่เขลาทำทุกโอกาสให้กลายเป็น (ปัญหา) ฉะนั้นย้อนถามกลับที่ทุกท่านมานั่งอยู่ที่นี่เป็นปัญหาหรือเป็นโอกาส (โอกาส) คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ เขาสามารถแปรทุกๆ ความทุกข์เป็นความสุข แต่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกคือ ทุกๆ ความสุขเขาคิดแต่เรื่องของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้ท่านเป็นคนฉลาดที่สุดและเป็นคนที่มีความสุขที่สุด แต่ถ้านั่งอย่างหวานอมขมกลืนแล้วเป็นทุกข์ ถ้านั่งมองอย่างเป็นปัญหา เราอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขจริงหรือไม่ (จริง)
มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสงบ ความเย็นใจ ความสบายใจ ความผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่) ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ใจได้สงบ ขอให้ใจได้เย็น ขอให้ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทุกขณะที่เราเผชิญชีวิตในโลกทำไมเรากลับไม่สงบ เรากลับไม่เย็นใจ เรากลับไม่เคยผ่อนคลาย และบางทีเหมือนไม่เคยสบายใจ ทั้งที่ลึกๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเราอยากหาที่สบายใจ ที่ๆ ทำให้เราสงบใจ หรือสิ่งที่ทำให้เราเย็นใจ ใช่หรือไม่ เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราจะผ่อนคลายใจก็ต่อเมื่อต้องนั่งมองทะเล เอาทุกข์ไปทิ้งที่ทะเล ใช่ไหม (ไม่ใช่) เราจะสงบใจ เราจะเย็นใจ เราต้องหลับตา ปิดหูปิดตา ไม่ต้องฟังเรื่องอะไรใช่ไหม (ไม่ใช่) ก็เห็นโดยส่วนใหญ่อยากหาความสงบใจ ความเย็นใจ ปิดตาปิดหู ไม่ต้องรับรู้อะไร พอเข้มแข็งแล้วค่อยมาลืมตาสู้ใหม่ ใช่ไหม (ไม่ใช่) เราจะบอกท่านว่า ในความวุ่นวายเรากลับหาความสงบได้
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง สมมติว่าเราพยายามปลูกผลไม้ ในช่วงก่อนที่ผลไม้จะออกผลเราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายไหม เราวางใจสบายได้ไหม ไม่เคยได้เลยใช่ไหม พอผลไม้ออกผลแล้ว เราเย็นเราสงบเราผ่อนคลายเราสบายใจไหม ก็ไม่เคย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ความอยาก ความยึด ทำให้ใจเราไม่สงบไม่เย็น ความมุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งต้องเอาให้ได้ต้องทำให้ได้ต้องดีให้ได้ ทำให้เราไม่ผ่อนคลาย ใช่ไหม (ใช่) แล้วพอทำเสร็จ ต้องดีต้องสำเร็จ เลยทำให้เราไม่เคยสบายใจ แม้ว่าเรากำลังจะทำหรือทำเสร็จแล้วถ้าเราบอกว่า ไม่ว่าทำอะไรสักอย่างหนึ่งออกมาหรือยังไม่ทำออกมาเเต่ถ้าทุกขณะเราทำอย่างเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ สงบไหม (สงบ) เย็นไหม (เย็น) สบายใจไหม (สบายใจ)
ฉะนั้นธรรมสอนให้เราเรียนรู้เพื่อเเสวงหาเเล้วยึดมั่นเกาะกุมอย่างไม่ปล่อยวาง หรือธรรมสอนให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเเสวงหาอย่างเข้าใจเเละยอมรับความจริง เราเทียบง่ายๆ ความอยากทำให้มนุษย์ไม่สงบ การไม่ยอมรับความจริงทำให้มนุษย์ไม่สามารถเย็นหรือสบายใจได้ การหมกมุ่นกับสิ่งใด ว่าต้องให้ได้ มันทำให้จิตเราไม่ผ่อนคลาย เเต่การทำอะไรจนถึงที่สุดเเล้วยอมรับความจริง เเละกล้าเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับมันด้วยหัวใจที่
เข้มเเข็ง ทำดีที่สุดเเล้วนั่นกลับทำให้เราสบายใจกว่า ถ้าทุกขณะเราทำไปแล้วจบ วางได้คือดีที่สุด ทุกขณะที่ทำจะเย็น สงบ สบาย ผ่อนคลาย เเต่ถ้าเราทำเเล้ว ต้องแบบนั้นแบบนี้ ต้องให้ได้ ทุกขณะที่ทำเลยไม่เคยเย็น ไม่เคยสงบ ไม่เคยผ่อนคลาย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นธรรมสอนให้เราทำดีที่สุดเเล้วปล่อยวางเเละละวาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนทุกข์ใจ จริงไหม (จริง) ธรรมสอนให้ไม่ถึงกับปล่อยวางเเต่ละวางอย่างเข้าใจ แค่ตรวจสอบว่าถ้าเราทำออกมาแล้วมีคนว่า ถ้าเรายอมรับได้เราก็เย็น
มีคนชมมีคนว่าถ้าเรายอมรับเราก็เฉยๆ ถ้าเรายอมรับ เราก็สงบใจ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอเราทำอะไรมาสักอย่างหนึ่ง ต้องดี ต้องยึดมั่น ทุกขณะเราเลยไม่เคยสงบ ไม่เคยเย็น ไม่เคยผ่อนคลาย ไม่เคยเป็นสุข ธรรมสอนให้เรามาปฏิบัติเพื่อใช้กับชีวิต ไม่ใช่ไปทุกข์มาถึงที่สุดแล้วปล่อยไม่ลง แต่ธรรมสอนให้ใช้ตอนนี้ ตอนที่จะอยาก อยากแล้ววางได้ไหม อยากแล้วยอมรับได้ไหมถ้าไม่ได้อย่างที่อยาก มันจะทำให้อึดอัดแล้ว แย่เลยไหม เหมือนถ้าปลูกผลไม้มาลูกหนึ่งแล้วห้ามติ ต้องขายได้ราคาดี ต้องหวานอย่างเดียว ต้องไม่มีแมลงได้ไหม (ไม่ได้) ถ้ามนุษย์ใส่ใจในทุกขณะที่เกิดขึ้น และเรียนรู้อย่างมีสติ เราจะไม่เป็นคนที่ทำร้ายตัวเราเอง เพราะเรารู้จักธรรม ธรรมอันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น แต่ไม่ทำให้เราทุกข์ทน ใช่หรือไม่ (ใช่) ยากไหม (ไม่ยาก) แล้วเชื่อไหมว่าทุกขณะไม่จำเป็นจะต้องไปมองทะเล ไม่ต้องไปหาที่สงบ อยู่ที่ไหนเราก็สงบได้ แต่ถามตัวเองก่อนว่าทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีที่สุด ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นั่นแหละ เย็น สงบ สบาย ได้ทันที ไม่ต้องรอไปที่ไกลๆ ไม่ต้องรอเข้าวัดฟังธรรม ธรรมมันอยู่ในตัวเราเมื่อไหร่จะทำสักที ทำให้มันเป็นธรรม ไม่ใช่ทำให้ตนเองเป็นที่ผลิตกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)
เหมือนอยู่กับเราตอนนี้ ถ้าไม่มีความอยากใจก็สงบ ถ้ากล้ายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นใจก็เย็น ถ้าไม่มุ่งมั่นอยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หัวใจก็ผ่อนคลาย เเละถ้าไม่ยึดติดว่าต้องแบบนั้นแบบนี้ใจเราก็สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนไปอยู่ที่ทำงานถ้าไม่เกิดความอยาก ทำงานก็มีความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ากล้ายอมรับว่าจะได้ไม่ได้เราก็ใจเย็น ถ้าไม่บีบคั้นตัวเองว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำงานเราก็ผ่อนคลาย เเล้วถ้าทำให้ดีที่สุดเเล้วอะไรก็กล้าเผชิญ จิตใจเราก็เบิกบานเเละสบาย ใช่หรือ (ใช่)
ฉะนั้นคำว่าสงบ เย็น สบายใจ ไม่ได้อยู่ภายนอก เเต่ถามใจเราเองก่อน เรียนรู้ที่จะเข้าใจเเละยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติ เเละเราจะเข้าใจว่าทุกๆ อย่างก็คือธรรมเเห่งความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรมากไป ไม่มีอะไรน้อยไป เเต่ใจเราต่างหากที่ตีกรอบยึดมั่นคาดหวัง เเละทำให้สิ่งธรรมดาเป็นสิ่งที่ทุกข์หรือสุขก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราพูดไม่ยากนะ เหมือนเราพยายามจัดดอกไม้ให้สวยที่สุด ถ้าเรายึดว่าต้องได้รับคำชมอย่างเดียว เราสงบไหม (ไม่สงบ) ถ้าเรายึดว่าต้องดีอย่างเดียวอย่าร้าย เราจะเย็นไหม (ไม่เย็น) พอใครมาพูดว่าไม่ดี เป็นอย่างไร อารมณ์ขึ้นเลย เพราะฉันมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ทำไมไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทำดีความดีก็อยู่ในผลงานนั้นแล้ว ส่วนจะดีหรือไม่ดีในใจเขา เราบังคับให้ทุกคนเป็นอย่างที่ใจเราคิดได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ใช่บอกให้ท่านยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ จนไม่ยอมมองความจริง แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรามองความจริงด้วยสติ ทุกขณะที่เกิดล้วนคือธรรม การปฏิบัติธรรมสอนให้เราพูดดีทำดี แต่การปฏิบัติธรรมไม่ได้สอนให้ทุกคนต้องดีกับเรา ถูกไหม (ถูก) มีธรรมบทไหนบ้างที่สอนว่าเราจะดีได้ก็ต่อเมื่อทุกคนต้องดีกับเรา การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติดี แต่การปฏิบัติดี ไม่ใช่ให้เรามีหน้าที่ไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะมาตรฐานความดีของทุกคนเท่ากันไหม (ไม่เท่ากัน) ฉะนั้นที่เขาปฏิบัติกับเราอาจจะเรียกว่า สำหรับเขาอาจจะทำดีที่สุดแล้ว แต่เรามองไม่เห็นเองหรือเปล่า เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราร้าย
ก่อนที่จะว่าเขาร้าย เรายึดติดดีในแบบของเรา แล้วรับดีในแบบของเขาไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) เรื่องที่เราพูด เราว่าไม่ยากนะ แต่ยากที่ใครจะทำได้จริง ถ้าทำได้จริง ความสงบ เย็น สบาย และอิสระมีได้ในทุกขณะ และเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แต่เราไม่เคยคิดที่จะทำกันจริงๆ เท่านั้นเอง งั้นเราเทียบง่ายๆ นะ ท่านว่าดอกไม้นี่สวยไหม (สวย) ถ้ายังคิดอย่างนั้นแปลว่ายังมองไม่ถึงที่สุดนะ ถ้าคนที่มองถึงที่สุดและมองอย่างเข้าใจธรรมจะบอกว่า ทั้งสวยและไม่สวย จริงไหม (จริง) นี่แหละเรียกว่าคนไม่ประมาทในการมีชีวิต งั้นถามอีกกระเช้าดอกไม้ดีไหม (ทั้งดีและไม่ดี) ดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่กระเช้า แต่ดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจท่าน ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นต้องมีสตินะ แล้วท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเข้าใจ แล้วไม่มีอะไรมาทำให้ท่านหลงและทำให้ท่านทุกข์ได้ กระเช้าดีหรือไม่ดี ไม่ใช่อยู่ที่มันทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ที่ตัวเราว่ากำลังเอากระเช้าไปทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ท่านมาเรียนรู้ศึกษาการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมีรากฐานคือการกระทำดี การกระทำดีเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เราศึกษาจึงขอพูดเกี่ยวกับเรื่องหลักธรรมในการเอาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิต เมื่อเราบอกว่าการทำดีเป็นฐานของการปฏิบัติธรรม คนส่วนใหญ่จึงเลือกทำสิ่งที่ดี ถ้ามือหนึ่งทำดี เเต่อีกมือหนึ่งทำไม่ดี ถ้าบอกว่าคนหนึ่งขยันทำดีเเต่อีกด้านหนึ่งชอบแอบคิดคดโกหกนินทาว่าร้าย อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี) เเละจะบอกว่าคนดีแบบนี้ทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าเขาทำดีก็จริงเเต่สิ่งที่ผิดที่ร้ายเขายังไม่รู้จักละ อย่างนั้นจะบอกว่าตนเองทำดีเเล้วไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะถึงเวลาเรื่องร้ายๆ เราก็ยังทำอยู่
คนดีที่เเท้จริงคือเเม้ไม่ได้ทำดีอะไรมาก เเต่ไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายเลยนั่นถึงจะเรียกว่า (คนดี) ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นคนดี มือหนึ่งทำดีเเต่อีกมือหนึ่งยังแอบคดโกง ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่ปฏิบัติดีได้อย่างถูกต้อง เเล้วจะบอกว่าทำดีเยอะๆ เผื่อความดีนั้นจะมาล้างความไม่ดี ท่านว่าล้างได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนวันนี้ท่านไปทำบุญกับคนกลุ่มนี้ เเต่ท่านไปด่ากับคนกลุ่มนั้นเเละให้คนกลุ่มนี้มาชมว่าเราดีให้กับคนกลุ่มนั้น ฟังขึ้นไหม (ไม่ขึ้น) แล้วเรียกว่าดีเเท้ไหม (ไม่แท้) อย่างนั้นอย่าบอกเราว่าท่านกำลังปฏิบัติดี ถ้าท่านยังไม่ละบาป ละชั่ว ละกรรม พระพุทธะสอนไว้ว่าละบาปเมื่อไหร่ก็คือการบำเพ็ญบุญเมื่อนั้น เเต่ถึงจะทำบุญเเค่ไหนแต่ถ้ายังละบาปไม่ได้ ท่านก็ไม่อาจเรียกว่าคนบุญ
หลายท่านมักบอกว่า ทำดีเเทบเเย่ไม่เห็นได้ดี ทำไมทำดีมากๆ ไม่เห็นโชคดี ทำไมเป็นคนดีมีศีลมีธรรมกินเจเเล้ว ทำไมยังมีโรคภัยไข้เจ็บไม่เห็นดีเลย เห็นบ่นตัดพ้อว่าฟ้าว่าดินประจำ อย่างนั้นเราจะตอบให้ฟังว่าเพราะอะไร ท่านเคยได้ยินไหมว่าโรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังปากร้ายว่าคน เเม้ทำดีเเค่ไหนเเต่ยังกินตามใจปากจะแข็งแรงไหม (ไม่เเข็งเเรง) แล้วเกี่ยวอะไรกับทานเจปฏิบัติธรรมเเล้วป่วย ทำไมทำดีถึงโชคร้าย ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ไม่มีภัยพิบัติใดเเละไม่มีหายนะใดๆ ในโลกน่ากลัวเท่ากับความอยากที่ไม่รู้จักพอ ภัยพิบัติเเละหายนะมาจากความอยากที่ไม่รู้จักพอ เกี่ยวอะไรกับการทำดีไหม (ไม่เกี่ยว) จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีได้ไหม (ไม่ได้) เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ปฏิบัติดี เเต่ไม่ละชั่ว ใฝ่ดีเเต่ยังไม่ละความเลวร้ายในตัวตน จะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีนั้นจึงไม่ใช่ ฟ้ายุติธรรมเสมอ ดีก็มีผลดี ร้ายก็มีผลร้าย ไม่อยากทุกข์ก็อย่าทำบาปทั้งในที่ลับเเละในที่เเจ้ง ถ้าท่านเข้าใจแบบนี้การปฏิบัติดียากหรือไม่ (ไม่ยาก)
การปฏิบัติธรรมนั้นแท้จริงคือการมุ่งมั่นละชั่ว ทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง แต่คำว่าละชั่วทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง ใช่หมายความว่า เกลียดคนไม่ดี ผูกใจเจ็บแช่งชักคนไม่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่) ถ้าเราปฏิบัติดีและเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะว่าเขาไหม เราจะผูกใจเจ็บไหม เราจะด่าไหม (ไม่) ถ้าท่านคือคนที่ประพฤติปฏิบัติดีและอยากให้สิ่งดีมาบังเกิด เราถามหน่อยว่า คนที่ประพฤติปฏิบัติดี พอเจอคนไม่ดีจะแช่งชักหักกระดูกไหม จะผูกใจเจ็บไหม จะโกรธเกรี้ยวไหม (ไม่) หลายๆ ท่านพูดว่าที่แล้วมา แล้วๆ กันไปนะ แต่เราจะบอกให้ท่านอย่างหนึ่งนะ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน เราจำสิ่งที่ดีมากกว่าหรือจำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่า (สิ่งที่ร้าย) เมื่อจำก็แปลว่าผูกใจเจ็บ เมื่อเห็นแล้วยังรู้สึกขัดตาขัดใจก็แปลว่ายังรู้สึกอยากจองเวรจองกรรม แล้วนั่นคือหนทางของผู้ประพฤติดีหรือ อย่างนั้นปฏิบัติธรรมก็คือละชั่ว ไม่ทำผิดเลย นั่นดีที่สุด แต่มนุษย์ปัจจุบันปฏิบัติดีผิดทางหมดเลย ชั่วไม่ละแต่ดีก็ทำ เหมือนเราถามท่านว่า เราตบท่านแล้วบอกขอโทษ หายไหม (ไม่หาย) แม้เอาของมาให้สิบอย่าง แต่ที่ท่านว่าเรา ที่ตีเรา ที่ด่าเรา ลืมลงไหม (ไม่ลง)
ฉะนั้นการปฏิบัติดีที่แท้จริงคือ ผิดก็ไม่ทำ บาปก็ไม่ก่อ กรรมก็ไม่คิดสร้าง ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจปฏิบัติธรรม จงอย่าหลงกับการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติไม่ใช่สอนให้เรารักดี เกลียดชั่ว และไม่มองความจริง แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรากล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี เพราะอะไรรู้ไหม เหมือนเราถามท่าน นิ้วทั้งห้านิ้ว นิ้วไหนดีที่สุด (นิ้วทั้งห้าก็เกื้อกูลกัน) ถ้าท่านคิดแบบนี้กับทุกคนก็ดี เพราะคนที่เขาไม่ดีเปรียบเหมือนคนที่โชว์นิ้วกลาง แต่เขาก็คือคนที่ทำให้เราเห็นความเป็นคน แม้แต่ตัวเราบางทีเราก็ยังทำตัวให้เหมือนโชว์นิ้วกลางได้ก็เป็นไปได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเรายอมรับว่าไม่มีอะไรไม่ดี เพราะทุกสิ่งล้วนเกื้อหนุนกันจริงไหม (จริง) ไม่มีเขาหรือจะมีเรา ไม่มีโง่หรือจะมีคนฉลาด ไม่มีคนร้ายหรือจะมีคนดี ไม่มีคนต่ำเตี้ยหรือจะมีคนสูง ไม่มีคนสูงหรือจะมีคนที่สูงกว่า ฉะนั้นอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุด เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างมืดกับสว่าง ท่านว่าอะไรดีกว่ากัน ถ้าไม่มีมืดท่านจะมีวันพักผ่อนหรือ เพราะถ้ามีแต่วันสว่าง ท่านคงทำงานไม่จบไม่สิ้น ใช่ไหม (ใช่) ถ้าไม่มีมุมมืดของคนเราจะเข้าใจความเป็นคนไหม เราจะมองเห็นคนชัดเจนไหม ถ้าว่ากันให้ถึงที่สุดถ้าเราเรียนรู้อย่างคนที่ยึดหลักธรรม มีธรรมเป็นหลัก อะไรคือสิ่งที่ร้าย อะไรคือสิ่งที่ดี เพราะในร้ายก็มี (ดี) ในดีก็มี (ร้าย) ท่านก็รู้อยู่เต็มอก
ถ้าท่านเข้าใจหลักของธรรมในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านจะรู้ว่าการไม่ยึดมั่นถือมั่นคือหัวใจเเห่งความดับทุกข์ ถ้าเข้าใจตรงนี้ถามตัวเองก่อนทำดีที่สุดเเล้วหรือยัง ทำดีที่สุดเเล้วไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ถึงที่สุดเราก็ต้องวางลงเเละยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เเต่บางทีก็อดไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) ธรรมะสอนให้เราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง แต่ทำไมเวลาเราประพฤติปฏิบัติดีเรากลับหลงยึดติดบุญ โลภในการสร้างบุญกุศล ถ้าทำเเล้วยังหวังผล ทำเเล้วยังโลภหวังผลบันดาลดล นั่นก็เเปลว่าท่านละไม่จริง ในเมื่อธรรมสอนว่าโลภโกรธหลงเป็นทางมาเเห่งบาป ถึงที่สุดคือให้ความทุกข์เเละวิบากกรรมที่ไม่สิ้นสุด ถ้าทำบุญแล้วเรายังขอไหม (ขอ) ถ้าขอก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด อย่างนั้นปฏิบัติถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) หลักของการปฏิบัติธรรม หัวใจหลักก็คือ ทำจนถึงที่สุดคลายจากความยึดถือ เพราะหัวใจของการดับทุกข์ คือการไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นใดๆ ในโลก สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว ฉะนั้นถ้าทำแล้วยังยึดแปลว่าเราก็ยังหลงอยู่นะ
ธรรมะสอนให้เราหลงหรือสอนให้เราละ (ให้ละ) แล้วที่เราปฏิบัติธรรมเราหลงหรือเราละ (เราหลง) อะไรที่ทำให้เราละวางได้ นั่นเรียกว่า ปฏิบัติธรรม แต่ถ้าอะไรทำให้เรายึดมั่นถือมั่นไม่ปล่อยวาง เรียกว่า หลงกับการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ทำแล้วละหรือทำให้หลง ผู้ที่เข้าใจการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แม้ท่านจะทำดีก็ไม่ได้เป็นการประกันว่าจะโชคดี ถึงจะทำดี โชคร้ายก็ไม่เป็นไร ถึงจะละร้ายละชั่ว แล้วต้องเจอเคราะห์เจอภัยก็ไม่เจ็บปวด เพราะผู้ที่เข้าใจธรรมยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ร้ายดีไม่เท่ากับใจที่ไม่ยอมรับความจริง ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นไม่ว่าร้ายหรือดี อะไรจะเกิดขึ้นถ้าท่านเข้มแข็ง ถ้าท่านกล้าหาญ ถ้าท่านรู้จักปัญญาของตน ร้ายท่านก็แปรเป็นยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตอนนี้ท่านบำเพ็ญแบบยึดคนหรือว่ายึดธรรม ปฏิบัติตามคนหรือปฏิบัติตามธรรม ท่านมักปฏิบัติตามคน คนดีเราก็ทำ คนไม่ดี (ก็ไม่ทำ) เราแค่มาบอกให้ท่านปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง อย่าหลงกับการปฏิบัติธรรม เพราะคิดแค่เพียงว่า หวังดี ชอบดี ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดดีแล้วเกลียดร้าย แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง แต่ตอนนี้ท่านเป็นคนปฏิบัติดีที่ไม่กลาง ใช่ไหม (ใช่) ก็ธรรมสอนให้เราเป็นกลาง เมื่อเป็นกลาง อะไรจะเกิดก็คือสิ่งนั้นดี ตั้งแต่ต้นเลย ยอมรับได้ก็เย็นได้ หยุดอยากได้ก็สงบได้ ไม่หมกหมุ่นจนเกินไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็ผ่อนคลายได้ เมื่อทำถึงที่สุดยอมรับความเป็นจริงเราก็สุขและเบิกบานใจได้
จิตญาณที่บริสุทธิ์เป็นต้นรากแห่งความรู้ ถ้าญาณบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัด ความรู้เป็นหลักของหัวใจ ถ้าความรู้แจ่มชัดถูกต้อง ไม่อคติไม่ลำเอียง มีความเป็นกลาง อะไรจะเกิดเราก็สงบ แต่เป็นเพราะว่าความอยากที่มันมากเกินไปต่างหาก ที่ทำให้เรากลายเป็นคนไม่สามารถบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ ความยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปมากกว่า ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ปัญญาและความกล้าหาญได้อย่างแท้จริง และถ้าท่านเข้าใจธรรม ท่านจะรู้ว่า เราจะสูงส่งโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเกียรติยศ เราจะสามารถร่ำรวยได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีทรัพย์มากมาย เราสามารถเข้มแข็งได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีอำนาจยศศักดิ์ และเราก็สามารถเย็นและเป็นสุขในโลกนี้ได้ แม้จะไม่มีใครมาเติมเต็มหัวใจเรา เพราะเราเข้าใจธรรม ธรรมทำให้เราสูงโดยที่ไม่ต้องมีใครยก จริงไหม (จริง) ธรรมทำให้เราเข้มแข็งโดยที่ไม่ต้องมีใครมาเยียวยาใจ มาเติมใจ และธรรมทำให้เราเบิกบาน เพราะเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งผู้คน เราจึงอยากให้ท่านได้เข้าใจธรรมอันนี้ ซึ่งธรรมอันนี้ไม่ได้อยู่ภายนอก ไม่ได้อยู่ที่เราพูด แต่อยู่ในหัวใจของทุกคน มองอย่างเป็นธรรมหรือมองอย่างคนที่มีอัตตา นิสัย ความคาดหวัง ความยึดมั่น แห่งตัวตน มองเป็นธรรมเราได้ธรรม มองตามนิสัย ตามอารมณ์ เราได้อัตตาตัวตนที่เวียนวนไม่จบสิ้น ปฏิบัติธรรมหาใช่อยู่ที่ผู้อื่น ถ้าท่านเข้าใจธรรมแล้ว ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด แล้วเมื่อเราทำได้ดีแล้วมีหรือคนรอบข้างจะไม่ดีตาม แต่กลัวอย่างเดียว ตัวเองยังไม่ดี แต่ต้องการจะไปเรียกร้องคนอื่นให้ดีก่อน จริงไหม (จริง)
ศึกษาธรรมยึดหลักธรรมเป็นแนวทาง ธรรมไม่ได้สอนให้เรายึดจนปล่อยไม่ได้ ถือหลักธรรมเป็นแนวทาง ฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วภาษาไม่สามารถอธิบายธรรมได้ทั้งหมด เพราะธรรมไม่ใช่เรื่องไกลนะ อยู่ในนี้ในตัวเราเอง ถ้าบริสุทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกต้องเที่ยงธรรม แต่ถ้าอยากไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีร้ายมีดีตามที่ใจเรายึดติด จริงหรือไม่ (จริง) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าได้ดูเบาธรรมในหัวใจของตัวเอง อย่าได้ลืมเลือนธรรมอันดีงามที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมในตนนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มองผ่านใจเจ้าจะเห็นภาพลวงตา ใจที่มาด้วยความคิดและนิสัย
คอยปรุงแต่งกิเลสและอุบาย เป็นเคยชินดีร้ายไปตามอารมณ์
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม
กิเลสฝังแน่นความลำบากเดชเรืองฤทธิ์ ปัญหาติดตรึงตรายากแก้ยากรื้อ
หมั่นล้างใจมาบูรณาด้วยสองมือ สั่งให้ใจยกมือลงมือทำ
ใจคนยิ่งสูงจริงยิ่งอ่อนน้อม บำเพ็ญจริงมุ่งทำพร้อมอยู่อย่างต่ำ
พูดคิดดีอะไรดีจงรีบทำ ที่ฟันฝ่ามีกรรมไม่เสมอไป
นพธรรมครองเมตตาธรรมคล้ายเชื่องช้า ภายในกรุณาโชคคณานับตาน้ำไหล
ทำดีไว้วาสนามานะจะมาไว
ฮา ฮา หยุด
[1] จะละหวั่น ว. ชุลมุน, วุ่นวาย
ผนึกใจสายสัมพันธ์ ศิษย์อย่าทิ้งอาจารย์ จงผ่านหลุดพ้นไปก่อน ศิษย์จงบำเพ็ญ หัวใจไม่แสนงอน ใช้ธรรมะอย่ามีขาดตอน ยิ่งตอนจิตใจขึ้นลง
เจ้าเป็นคนไม่เหมือนใคร ปรับความคิดในใจเต็มหนึ่งเพราะปัญญา หากแค่คนดีไม่พอบรรลุกลับมา หลายเรื่องทำให้มีปรัชญา ไม่ทำขายหน้าตัวเอง
* ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดจากชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น ทัดทานไม่เบาเสียงลง
อยู่กับดินไม่สูงไป ตราบจิตสุดท้ายวันใด น้อยใจไม่ได้มาส่ง ท้อแท้วันใดถ้าใจคอยไหลลง แก้ไขให้จงเจาะจง ก็คงสมบูรณ์สักวัน (ซ้ำ * )
ทำนองเพลง :คำสัญญา
ชื่อเพลง :ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กินอิ่มไหม (อิ่ม) ฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม, ยังไม่อิ่ม) อย่างนี้ทุกทีนะ พูดแล้วค่อยคิด ใช่ไหม (ใช่) แล้วผลสุดท้ายใครต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองพูด (ตัวเอง) ฉะนั้นก่อนพูดอะไรคิดให้ดีๆ ถึงพูดดีแต่ทำให้ไม่สมานสามัคคีบางทีก็ไม่ต้องพูด ถึงจะดีแต่ถ้าพูดแล้วทำให้คนแตกแยกกันก็เป็นบาปเหมือนกัน แล้วเราควรพูดไหม (ไม่ควร) อยู่ในโลกเราพูดน้อยหรือพูดเยอะ (พูดเยอะ) แล้วพูดเยอะส่วนใหญ่ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) พูดเยอะแล้วไม่ดีควรหยุดพูด ศิษย์เอยอย่าเพิ่งเห็นแค่ภาพลวงแล้วทำให้ตัดสินอะไรโดยที่ไม่มองแก่นแท้ภายใน อย่าเพิ่งยึดติดรูปลักษณ์จนลืมมองแก่นแท้หรือหลักสำคัญๆ ที่วันนี้เราจะได้มาผูกบุญกัน
อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนมักจะวัดคนที่รูปลักษณ์ภายนอก วัดกันจากความคิดที่ตัวเองเข้าใจ แต่บางทีสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจ บางทีเขาเรียกว่าไม่อัพเดต ใช่ไหม (ใช่) รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารู้เข้าใจไม่เป็นความรู้เก่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ แท้จริงนั้นอาจจะไม่จริงก็เป็นได้ เราบอกว่าเรามองเห็น แต่สิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่มักจะสรุปตามความคิดความเข้าใจของเรา เอาความคิดความเข้าใจของเราไปตัดสินคน จนบางครั้งเราอาจจะไม่มองเห็นความจริงแท้ก็เป็นได้
(พระอาจารย์เมตตาทำท่าชูนิ้วโป้งขึ้น <)
แบบนี้แปลว่า (เยี่ยม) ไม่ใช่ แปลว่านิ้วโป้ง อาจารย์ผิดไหม (ไม่ผิด) แล้วศิษย์พูดผิดไหม (ผิด, ไม่ผิด) ศิษย์พูดไม่ผิด แต่บางทีที่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะว่าเข้าใจไปคนละอย่าง ใช่หรือไหม (ใช่)ศิษย์เอ๋ย บางครั้งที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะทุกคนต่างมีความจำได้หมายรู้ มีความคิดความเข้าใจ มีมุมมองต่างกัน การมองสิ่งหนึ่งหรือการคุยกับใครสักคน โอกาสที่เราจะผิดพลาดหรือโอกาสที่เราจะเข้าใจไม่ถูกมีมาก ฉะนั้นการที่เราสื่อสารกันไปคนละเรื่องเราควรโกรธกันไหม (ไม่ควร) ควรด่าเขาไหม (ไม่ควร) อย่าเอาแต่สายตาตัวเองไปวัดเรื่องราวต่างๆ จนมองไม่เห็นความจริง จนลืมมองคนตรงข้าม ว่าเขาคิดอย่างไร เขามองอย่างไร
พุทธสถานที่นี่ชื่ออะไร (หมิงเอิน) คนสร้างก็สว่าง คนอยู่ก็ต้องมีใจสว่าง มนุษย์อยู่ในโลกที่มีความมืดสว่าง เราอยากหาความสว่างที่แท้ในจิตใจของเรา แต่บางทีเราหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พุทธะบอกว่า ความสว่าง ความกระจ่างภายนอก ไม่สู้ความสว่างและความกระจ่างที่เกิดจากปัญญาเข้าใจชีวิตที่แท้จริงภายใน เพราะจะทำให้เราไปอยู่ที่ใดก็สว่าง ไปอยู่ที่ใดก็เห็นได้แจ่มชัด แม้ว่าชีวิตมืดมน แต่ความกระจ่างชัดในปัญญา ความกระจ่างชัดในชีวิต จะทำให้เราแปรความมืดเป็นความสว่างได้ด้วยสติและปัญญาตน วันนี้เรามาเพื่อศึกษาธรรมเพื่อจะเอาไปใช้ปฏิบัติธรรม ถ้าวันนี้มาศึกษาเเล้วไม่ปฏิบัติ ฟังไปแล้วไม่นำไปใช้ จะฟังไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ถ้าวันนี้มาฟังเเล้วต้องนำไปปฏิบัติ เเต่พอถึงเวลาจริงๆ ที่เราต้องปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติดีไหม เราพยายามจะนำไปปฏิบัติเเต่ถึงเวลาเรามักปฏิบัติไม่ค่อยดี ตัวปัญหาที่ทำให้เราปฏิบัติได้ไม่ดีก็คือตัวเรา
ทำไมเวลาศิษย์เจอทุกข์ เจอความยากลำบากที่ทำให้คิดเเล้วจะทุกข์เเล้วกลุ้มใจ ทำไมศิษย์ไม่บอกว่าขี้เกียจทุกข์บ้าง ตอนปฏิบัติธรรมปฏิบัติดี ขี้เกียจไหม (ขี้เกียจ) ถ้าเวลาทุกข์นำบทนี้ไปใช้บ้าง พอจะโมโหก็ให้บอก ขี้เกียจโมโห พออยากเป็นคนผิดศีลผิดธรรม ก็ให้ขี้เกียจผิดศีล ดีไหม (ดี) เเล้วทำไมไม่ทำ พอจะด่าเขาทนไม่ได้ ก็ให้บอกขี้เกียจด่า ความโลภความหลงเป็นทางเเห่งทุกข์ เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องประสบทุกข์เเละเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องเผชิญกรรมที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นรู้ว่าไม่ดี ทำไมไม่รู้จักทิ้งไป เเต่ศิษย์มักบอกอาจารย์ว่ายาก จริงไหม (จริง) มันยากจริงหรือ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะบอกว่าความโลภความโกรธความหลงไม่น่ากลัว ลองมองดูนะ ความโลภความโกรธความหลงมีตัวตนไหม (ไม่มี) กิเลสเกิดจากความคิดคำนึงถึงความมีตัวตน กิเลสจะไม่มีถ้าจิตญาณไร้ซึ่งตัวตนที่กำลังคิดว่าตัวตนเรานั้นไม่ยอม ตัวตนเราอยาก ตัวตนเราชอบ เลยทำให้เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้าเอาตัวตนออกจากจิตที่ไม่คิดอยากไม่คิดชอบไม่คิดหลง กิเลสมาไม่ได้ กิเลสเกาะไม่ได้ จริงไหม (จริง) ศิษย์เคยรักใครมากๆ แล้ววันหนึ่งหมดใจไหม ไม่เหลือใจให้รักแล้ว ไม่อยู่ในสายตาแล้ว อารมณ์จะครอบงำใจเราได้ไหม (ไม่ได้) ความเป็นเขาจะทำร้ายใจเราได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราอยาก ใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราทุกข์ และใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราเกลียด ถ้าเราหมดใจไม่ใส่ใจ หรือเรียกตามภาษาธรรมว่า “วางเฉย” เขาจะด่า จะว่า จะไปมีใหม่ ก็เฉย กลับมาทำใจของเราให้เข้มแข็งแล้วยอมรับความจริงที่เป็นแบบนี้ให้ได้ ไม่ดีกว่าหรือ ทุกข์ใจ เกลียดไป ด่าไป ไม่มีอะไรดีขึ้น จุดไฟเผาตัวเอง เพราะหาเขามาแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม (ใช่) เปลี่ยนเขาสิ แต่เขาไม่เปลี่ยน ว่าเขาสิ แต่เขาก็เหมือนเดิม ทำอย่างไรได้ เขาเฉยเราก็ต้องเฉย ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ถามศิษย์นะ อารมณ์น่ากลัวหรือใจเราที่ไปยึดติดอารมณ์แล้วเฉยไม่ได้น่ากลัวกว่ากัน ธรรมะบอกว่าใดๆ ในโลกจะสามารถพ้นกรรมและสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่หรือตัดกระแสกรรมได้ ขอเพียงแค่ “รู้ใจตัวเอง รู้เท่าทันใจ” อารมณ์ก็หยุดได้ ใครจะร้ายใครจะดีก็เฉย แต่ตอนนี้เราเป็นอย่างไร กระทบทีก็ด่าที กระทบก็แช่งทีมนุษย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก พ้นจากความคิด เย็นเข้าสู่พระนิพพาน ฉะนั้นถ้าโดนตบแล้วด่าเขา ก็เกี่ยวกรรม ตกนรก แต่ถ้าโดนตบแล้วแผ่เมตตา โดนตบแล้วคิดว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ไม่ต้องไปทำอะไร การพยายามเอาตัวไปหยั่งรากและลงเมล็ดพันธุ์แห่งกรรมก็ก่อเกี่ยวเป็นวัฏฏะไม่จบสิ้น ใจนี้เหมือนเนื้อนาบุญ กิเลสเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากและวัฏฏะการเวียนว่าย แต่ถ้าเราไม่หย่อนเมล็ดกิเลส ไม่หย่อนเมล็ดอัตตา ไม่หย่อนเมล็ดตัวตนลงในกายนี้ เมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายก็จบสิ้นแค่ชาตินี้ แต่มนุษย์นั้นจำไว้เพื่อผูกใจเจ็บ คิดไว้เพื่อล้างแค้นในสักวัน เหมือนเริ่มหย่อนเมล็ดพันธุ์แล้วรอเหตุปัจจัยที่จะเติบโตแล้วสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายอีกไม่จบสิ้น เหมือนทำบุญหย่อนเมล็ดไว้เพื่อจะได้ไปรับบุญ ก็คือการสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ในเมื่อกายนี้มีเนื้อนาบุญอยู่แล้วเราจะสร้างเมล็ดพันธุ์ให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นทำไม แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าการกลับมาเกิดอีกจะพร้อมสมบูรณ์เหมือนชาตินี้ จริงไหม (จริง) โลกนี้มีสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ยึดถือไม่เคยได้ จริงไหม (จริง) เงินหนึ่งร้อยกี่พันมือคนจับ ที่ดินหนึ่งผืนกี่พันเจ้าของ ทรัพย์สินหนึ่งอย่างผ่านมากี่มือ สรรพสิ่งในโลกเป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่หามีใครยึดถือและครอบครองได้อย่างแท้จริง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราก็คงเข้าใจธรรมที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นยังหนีไม่พ้นโลก แต่ถ้าผู้ใดคลายความยึดมั่น ผู้นั้นจะพบธรรม”
(ปล่อยวางง่ายแต่ทำยาก ชีวิตจริงกิเลสมันฉลาด) ศิษย์เอ๋ย กิเลสมันฉลาดหรือตัวเราไม่ทันกิเลส หรือเราไม่ยอมแพ้ผู้คน ยอมแพ้ไม่ได้ก็โกรธ ยอมไม่ได้ก็เกลียด แต่อาจารย์ถามหน่อย ชนะแล้วได้อะไร ชนะแล้วได้มิตรหรือได้ศัตรู แล้วถ้ายอมแพ้จะได้มิตรหรือได้ศัตรู อยู่ในโลกถ้าอยากเข้าใจธรรม ก็ต้องคลาย ก็ต้องจาง ไม่ต้องยึดถืออะไรเลย ซึ่งมันทำได้ยาก
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากบอกศิษย์คือ ศิษย์มักดูเบาคุณค่าตัวเอง ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ยอมเเพ้ตั้งเเต่ยังไม่ทันลั่นกลอง เเพ้กิเลสตลอด ทำไมไม่ลองสู้กับกิเลสดูสักตั้ง ชนะเเล้วได้อะไร อยากมีมากกว่าเขา รวยมากกว่าเขา เเต่ไปผิดศีลผิดธรรมถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) การศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ใช่ไม่ให้อยาก ไม่ให้โลภ ไม่ให้หลง เเต่การปฏิบัติธรรมต้องการบอกให้ศิษย์รู้ว่าถ้าจะอยาก จะโลภ จะหลง ต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน เเล้วศิษย์จะอยากก็อยากไปเลย อยากโลภก็โลภไปเลย อยากโกรธก็โกรธไปเลย เเต่โกรธเเล้วต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน แต่ถ้าเราทำผิดเเล้วบอกว่าเดี๋ยวก็จบกันไป ตายๆ กันไป ช่างมัน เอาไว้ก่อน ขอสุขก่อน ขอได้ก่อน ขอดีก่อน ช่างคนอื่น ศิษย์มักพูดว่าขอให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นเดี๋ยวไปทำบุญชดเชยทีหลัง เหมือนไปตบหัวเขาเเล้วบอกขอโทษ เขาหายเจ็บไหม (ไม่หาย) ไปเอาเงินทรัพย์สินเขามา เเล้วบอกจะไปทำบุญชดเชยให้ เขาทำใจไหวไหม (ไม่ไหว) พระพุทธะบอกว่า อย่าประมาทกับบาปที่เรียกว่าความหลง เเละอย่าประมาทกับกรรมที่ศิษย์สร้างเพราะความรังเกียจเเละไม่ยอมคน เพราะเมื่อไหร่ที่กรรมย้อนกลับมา ตอนนั้นจะให้พระมาสวด ให้เอาบุญมาล้างก็ล้างไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าเขาโดนดูถูกโดนเหยียดหยามเเล้วจะมาปลอบประโลม เเต่ด่าเขาไปเต็มที่เเล้ว หายโกรธไหม (ไม่หาย)
ฉะนั้นศิษย์อย่าสร้างกรรม อย่าสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยมาแก้ผลทีหลัง ศิษย์ควรจะหยุดตั้งแต่ก่อนสร้างเหตุหรือไปแก้ที่ผล (หยุดก่อนสร้างเหตุ) อาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์ อาจารย์ก็ต้องสอนวิธีหยุดเหตุ ไม่ใช่ให้ไปแก้ที่ผล วิธีที่จะหยุดเหตุก็คือทำอย่างไรให้เราไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ถ้าทำดีเรียกว่ากรรมดี ถ้าทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์จะบอกอีกว่า ยังมีกรรมอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า อกรรม ทำแล้วไม่ก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย นั่นคือทำแล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี ถึงเวลาต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยากใช่ไหม แต่ยากตรงที่จะยอมรับหรือไม่ จริงๆ แล้วเรื่องราวบนโลกใบนี้ขอแค่เพียงมนุษย์รู้พอ แต่ถ้ายังพอไม่ได้ ก็ลำบากอยู่ร่ำไป ถ้าศิษย์พอได้ จะมีอะไรเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อศิษย์ยังไม่พอ เรื่องยากก็มีอยู่ร่ำไป มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า เมื่อไรที่เรื่องราวเกิดขึ้น แค่เรารู้สึกหรือไม่รู้สึก ปรากฏการณ์ของเรื่องราวนั้นต่างกันราวกับฟ้ากับดิน เหมือนรู้สึกก็ก่อเกิดเป็นดีร้าย แต่เมื่อไม่รู้สึกมันก็เป็นแค่เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้น อันเป็นธรรมดาโลก เหมือนตอนนี้มองก็เฉยๆ แต่ถ้ามีคนหนึ่งที่ศิษย์รู้สึกว่ารัก ถูกใจ ถูกชะตา เชื่อหรือไม่ในบรรดาที่คนอื่นมอง เขาจะดูโดดเด่นกว่าใครเลย แค่รู้สึก สิ่งที่ธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา ถ้าทุกอย่างเราไม่รู้สึกมันก็กลับเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาตามความเป็นจริงของโลกใบนี้แต่เมื่อใจไม่รู้สึกแล้ว เห็นเขาก็รู้สึกเฉย ก็เหมือนเห็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลก จะดี จะร้าย จะได้ จะเสียก็รู้สึกเฉยๆ เงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศ
คนที่เราเกลียดหรือคนที่เรารักก็เหมือนกัน แต่อยู่ที่ใจศิษย์ เมื่อใจเอียงไปชอบก็เริ่มมีปัญหาทันที เมื่อใจเอียงไปเกลียดก็เริ่มมีเรื่องราวขึ้นมาทันที แต่ธรรมะสอนให้ใจเป็นกลาง เมื่อใจเป็นกลางทุกสิ่งก็กลับมาปกติทันที เมื่อไรที่ใจเอนไปชอบ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นมีความชอบ มีสมหวัง มียินดี มีปรีดา มีปลื้ม เมื่อมีชอบแล้วก็เกิดความไม่ชอบ ผิดหวัง เสียใจ รำคาญใจ กังวลใจ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ แล้วใครหาทุกข์ใส่ตัว (ตัวเราเอง) เพียงเพราะใจเอียงไปชอบแค่นั้นเอง ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตามความเป็นจริงแล้วเราไม่ใส่ใจบ้าง เฉยบ้าง ความโลภ ความเกลียดก็ไม่สามารถทำอะไรใจศิษย์ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ดังคำกล่าวว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แต่ไม่ใช่รู้ใคร รู้ใจตัวเอง มองทุกสิ่งตรงหรือไม่ตรง มองทุกสิ่งเที่ยงหรือไม่เที่ยง เมื่อเราตรงใจก็ปกติ ศีลไม่ขาด ใจไม่หวั่นไหวก็เกิดเป็นสมาธิ เกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าทุกสิ่งก็แค่นั้น เขาก็หล่อแค่นั้น เธอก็สวยแค่นั้น
ฉะนั้นแค่ตื่นรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เกิดได้ในตอนนั้น ทำได้หรือไม่ (ได้) ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วยากไหม (ไม่ยาก) ถ้าศิษย์ไปโลภมาเต็มที่แล้วค่อยให้ทาน ไปเกลียดมาเต็มที่แล้วค่อยรักษาศีล ไปหลงมาเต็มที่แล้วค่อยนั่งสมาธิภาวนาพิจารณาสังขารอันไม่เที่ยง ศิษย์กำลังแก้ที่ปลายเหตุหรือแก้ที่ต้นเหตุ (ปลายเหตุ) ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะคิดได้อย่างที่อาจารย์บอก และรักษาใจให้เป็นกลางได้เสมอ ต้องใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ศีล สมาธิ ไม่สู้ปัญญา แปลว่าการเรียนรู้ธรรมทำให้เราเป็นคนฉลาด ดังนั้นใครที่รังเกียจธรรมแสดงว่าคนนั้นยอมโง่ ถูกหรือไม่ (ถูก) ใช้ปัญญาอะไรที่จะทำให้เรามองแจ้ง มองทะลุแล้วสามารถวางเฉยได้ ถูกคนอื่นด่า ถ้าเราเอามาใส่ใจก็เป็นทุกข์ ศิษย์เอย ให้เอาสิ่งที่เขาว่ามาคิดให้เกิดประโยชน์ มาพิจารณาที่เขาว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงไหม ถ้าจริงก็กลับมาตรวจสอบตัวเอง ล้างใจตัวเอง ถ้าไม่จริงก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเราไม่รับเดี๋ยวก็คืนเจ้าของไป ใครด่าเราอย่างไรเราไม่รับเดี๋ยวก็กลับไป
หลักธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพิจารณาจนบังเกิดธรรม เกิดปัญญานิ่งเฉยไม่โกรธไม่เกลียดได้ (สรรพสิ่งบนโลกนี้มีดับมีเกิดมาไม่มีอะไรเที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกครั้งเราใช้สติปัญญามองเห็นถึงความเป็นจริง เเม้เเต่ความโกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราที่เรามองเห็นความโกรธ เราตั้งสติความโกรธก็หายไป) พิจารณาความเป็นจริงเเห่งธรรมอันเป็นหัวใจเเห่งทุกสรรพสิ่ง เมื่อพิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลง เพราะมองเห็นชัดเจนว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็ดับ ว่างเปล่า หามีตัวตนที่เเท้จริงไม่ แม้จะรู้สึกว่าเที่ยง ว่าทุกข์ แต่ถึงเวลาก็ว่างเปล่า โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ เหมือนจะมีแต่ถึงเวลามันก็ไม่มี บางครั้งมีสามีก็เหมือนจะไม่มี เงินมีก็เหมือนไม่มี เสื้อผ้ามีเต็มตู้ มีเหมือนไม่มี ไม่มีตัวไหนถูกใจเลยนอกจากตัวข้างนอกบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้ว ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของโลก และรู้จักใช้ให้ถูกเราก็คงไม่หลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์พิจารณาเนืองๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะไม่มี พิจารณาอะไรเล่า มีสิ่งใดในโลกสมบูรณ์แบบบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันดีที่สุดบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันแย่จนหาดีไม่เจอบ้าง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เวลาเขาเปลี่ยนไป เราก็เข้าใจ เขาแปลกไป เราก็เตรียมใจ เขาแย่ไป เราก็เข้าใจ ฉะนั้นข้อหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาเสมอๆ คือ “ไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์แบบ” จริงไหม (จริง) ศิษย์ลองพยายามหาสิ ศิษย์ว่าหาคนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงเวลาพออยู่กันนานๆ ทำไมเขาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง) บางทีศิษย์ว่าเขาแย่ แต่พออยู่ไปอยู่มา เขากลับใช้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอ เมื่อมีใครไม่ได้ดั่งใจเรา เมื่อมีใครไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเข้าใจ เราจะเกลียด เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะหลงไหม (ไม่) การพิจารณาเนืองๆ ถ้าศิษย์ไม่สร้างเหตุ มันจะมีปัจจัยเกิดขึ้นไหม ใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์หยุดเหตุปัจจัยได้ นั่นก็คือ พิจารณาเนืองๆ จนเห็นเหตุชัด เหมือนอาจารย์มักถามศิษย์ ดูหนังจบรอบหนึ่งแล้ว สนุกแล้ว รอบสองสนุกกว่าเดิมไหม (ไม่) เพราะอะไร เพราะรู้เรื่องหมดแล้ว เหมือนกันถ้าศิษย์มองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ชัด เห็นจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ที่ดีๆ สวยๆ เดี๋ยวก็ไม่สวย ที่หล่อๆ เดี๋ยวก็เหี่ยว ใช่ไหม (ใช่) ที่ปากหวานไม่แน่ เดี๋ยวก็ปากร้าย วันนี้ที่ดูว่าถูกล็อตเตอรี่สามตัว ไม่แน่ที่เหลือถูกกินไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราคิดอย่างนี้ มองอย่างนี้เสมอ พิจารณาจนบังเกิดธรรมเสมอ จะอยากอะไร จะโลภอะไร จะเกลียดอะไร ถ้าเราเห็นแก่นแท้ในความเป็นจริงของคน เราก็เห็นความเป็นจริงในแก่นแท้ของผู้คน ใครๆ ในโลกก็ไม่ชอบถูกด่า เราชอบถูกด่าไหม แล้วเราด่าเขาทำไม ใครๆ ในโลกชอบถูกกดขี่ข่มเหงไหม แล้วเรากดขี่ข่มเหงคนอื่นทำไม ใครๆ ในโลกก็ชอบคนที่รัก แล้วศิษย์เกลียดเขาทำไม แล้วศิษย์เองชอบศัตรูหรือชอบมิตร (ชอบมิตร) แล้วศิษย์สร้างศัตรูทำไม ถามใจตัวเองศิษย์ ถ้าเข้าใจแก่นแท้ความเป็นคน มีหรือจะไม่เข้าใจแก่นแท้ความเป็นผู้คน แล้วเราจะปฏิบัติผิดต่อคนอื่นไหม มีแต่ว่าถ้าคนอื่นปฏิบัติผิดต่อเรา ศิษย์จะตอบโต้เขาอย่างไร จองเวรจองกรรม สิ้นเวรสิ้นกรรม หรือจบกันตั้งแต่วันนี้ว่าอย่างไร
(เริ่มปล่อยวาง) อาจารย์พูดอะไรก็ปล่อยไปหมดเลย ใช่ไหม อาจารย์ถามนะ ถ้ามีคนมาทำร้ายศิษย์ ว่าศิษย์ ด่าศิษย์ ศิษย์จะทำเช่นใด(ให้อภัยเขา) เมื่อพยายามให้อภัยเเปลว่าในใจยังรู้สึกไม่ชอบ (ให้อภัยหมายถึง โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เราก็ปล่อยวางเขาไป) มีสามทาง ทางหนึ่งคือทางดีคือให้อภัย ทางหนึ่งคือผูกใจเจ็บโกรธเคือง ทางหนึ่งคือเฉย (ถ้าเขาด่าเรื่องจริงจะรู้สึกขอบคุณเขาเเล้วก็ปรับปรุงเเก้ไขตัวเอง ถ้าเขาด่าไม่จริงก็ปล่อยกลับไปหาเขาเอง) การคิดว่าปล่อยก็เเปลว่าให้เอาคืนไป เเค่เรานิ่งๆ เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าไปพูดว่าไม่รับเดี๋ยวเเกก็ได้รับเอง คิดแบบนี้เท่ากับเป็นการผูกใจเจ็บ ศิษย์เอย คิดผิดคิดพลาดเล็กน้อยก็กลายเป็นกรรมเเล้ว เหมือนที่บอกว่าอะไรมากระทบเเล้วเอียงไปว่าชอบเอียงไปว่าชัง คำว่าเอียงไปชอบชังยังหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่เรียกว่าทุกข์สุขดีร้าย เมื่อไหร่ที่ศิษย์ไม่เอียงเเต่นิ่งเเล้วจบ พิจารณาจนคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย พิจารณาจนเข้าใจธรรมจนถึงคำว่า เเค่นั้น เช่นนั้น ธรรมดาโลก คือเรียกว่าวางใจจนเฉยได้ เเล้วจะคิดได้อย่างไรต่อ ศิษย์จำไว้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนล้วนมากับความว่างเปล่า เเละถึงที่สุดมนุษย์ทุกคนต้องเดินกลับสู่ความว่างเปล่า ถ้าเรายังยึดความมี ก็ก่อเกิดเมล็ดพันธุ์เเห่งเหตุปัจจัยในการเวียนว่าย ใช่หรือไม่แล้วพิจารณาอะไรต่อ ก็คือพิจารณาว่าโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงแล้วเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นเมื่อถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ความไม่มี กลับคืนสู่ความว่าง แต่มนุษย์ติดกับความมี คือต้องมี ต้องได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตต่างหันหน้าไปสู่ความไม่มีแล้วก็ต้องว่างเปล่าให้ถึงที่สุด ฉะนั้นถ้าเราหมั่นคิดเสมอๆ เราก็จะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)
ฟังอาจารย์แล้วเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก) อย่างแรกคือพิจารณาเสมอว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ โลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ถึงเวลาสิ่งที่มีอาจจะไม่มีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และอีกอย่างคือมองอยู่เสมอว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ สิ่งที่เห็นว่าเป็นสุขคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าน่ารักคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีนั่นคือคนประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่) มีคำกล่าว่า “ทุกข์เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่ทุกข์หามีจริงไม่” เข้าใจไหม ใครจะตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้างถ้าเข้าใจเเจ่มเเจ้งศิษย์จะก้าวพ้นวัฏฏะเวียนว่ายจบสิ้นได้ทันที (ถ้าไม่ยึดติดทุกข์ก็ไม่มี) โลกนี้มีทุกข์เป็นธรรมดา ทำไมเวลาเราป่วยเราถึงทุกข์ (ทุกข์ไปตามกายาแต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ) เเก่เเค่กายเเต่ใจไม่เเก่ใช่ไหม
ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ทุกข์เป็นของจริง แต่ผู้ทุกข์ที่แท้จริงหามีไม่ อาจารย์ถามว่า ศิษย์ว่าตัวเองเป็นของศิษย์ใช่ไหม (ไม่ใช่) ตั้งแต่เด็กจนโตมานี่เปลี่ยนไปกี่รูป (เปลี่ยนไปหลายรูป) เปลี่ยนแล้วเราควบคุมได้ไหม (ไม่ได้) บังคับได้ไหม (ไม่ได้) ให้เป็นดังคิดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วที่บอกว่าใจนั้นเป็นของตัวศิษย์ ใจนั้นมันเป็นอย่างไร มันก็เปลี่ยน มันก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เดี๋ยววันนี้คิดอย่างนี้ อีกวันคิดอย่างนั้น ตอนเด็กบอกว่าอันนี้คือความสุข แต่ตอนโตมาอันนี้ไม่ใช่ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าตัวตนที่แท้จริงมันไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ความหลง ที่ไปยึดว่า อันนี้คือหน้าของเรา อันนี้คือตัวของเรา อันนี้คือใจของเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันใช่ของเราไหม (ไม่ใช่) มันทุกข์ไปตามสังขารอันเป็นธรรมดาของโลก เราจึงมีหน้าที่แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา นี่คือธรรมะ ทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของใจ เป็นกรรมของสังขาร ไม่ใช่กรรมของใจ เขาด่าตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ได้ด่าอะไรเรา เพราะตัวเราไม่รู้อยู่ตรงไหนเหมือนกัน ไหนตัวตนที่แท้จริงของศิษย์ เอามาให้อาจารย์ดูสิ ถ้ามันจริงมันต้องไม่เปลี่ยน แต่มันทำไมเปลี่ยนจังเลย จริงไหม
ทุกข์เป็นธรรมดาของโลก เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า “ธรรม” ทุกข์ เจ็บ ตาย ถ้ายึดเมื่อไหร่ อย่าเจ็บ อย่าตาย อย่าทุกข์ นั่นแหละทุกข์มันเริ่มสร้างกรรม ดิ้นรน ใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจคำว่าทุกข์มันเป็นแค่ทุกข์ แต่มันไม่มีคนที่จะทุกข์ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงมีสติระลึกอยู่เสมอ เมื่อกายโดนกระทบใจอย่ากระเทือน เมื่อกายเจ็บใจอย่าเจ็บ เมื่อกายทุกข์ใจอย่าทุกข์ นี่เรียกว่า การฝึกแยกจิตออกจากกาย ยากไหม (ยาก) ศิษย์เอยอะไรก็ยากหมดเลย ศิษย์ลองมองดู เหมือนที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้ารู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงหาความเที่ยงแท้ไม่ได้ ควรไหมที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เมื่อตัวเราไม่มีและอะไรคือรูปเรา อะไรคือของๆ เรา เราเป็นแค่ปัจจัยและการเกี่ยวกรรมที่หนุนเนื่องกันมา แล้วถึงเวลาปัจจัยการเกี่ยวกรรมมันหมด เราก็จากกันไป จริงไหม (จริง) แล้วเราจะพูดเพื่อก่อกรรมทำไม เราจะอยากเพื่อสร้างวิบากกรรมทำไม เราจะเกลียดเพื่อเกี่ยวกรรมทำไม และเราจะโลภเพื่อเอาไว้มาสร้างบุญทีหลังทำไม ทำไมไม่ทำบุญตั้งแต่ก่อนจะโลภ ยอมให้เขาแล้วทำให้เขาสบายใจมันได้บุญไหม (ได้) ให้เขาแล้วเขามีสุขมันได้บุญไหม (ได้) เเล้วทำไมเราจะทำบุญกับคนอื่นบ้างไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง คำสัญญา ชื่อเพลง ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียน แต่นักเรียนไม่รับ)
ถ้าถือไว้แล้วมันหนัก ทำไมศิษย์ ไม่รู้จักสร้างบุญต่อ ไม่รู้จักให้คนอื่นต่อเพื่อสร้างบุญละ ทำไมเราไม่รู้จักแปรความหนักให้มันกลายเป็นบุญกุศล หรือกลายเป็นสร้างคุณธรรมด้วยการเมตตา จริงหรือไม่ (จริง) ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันก็เป็นแบบนี้ ทุกคนต่างมีความคิดที่ถูกต้อง ทุกคนต่างมีความคิดที่ดี เหมือนที่อาจารย์บอกในเพลง
“ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดการชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น ทัดทานไม่เบาเสียงลง”
ถ้าศิษย์ไม่มาผูกบุญสัมพันธ์กับอาจารย์วันนี้ อาจารย์ก็คงไม่มีโอกาสได้มาผูกบุญและพูดธรรมะให้ศิษย์ได้ฟัง สิ่งหนึ่งที่อาจารย์ย้ำเตือนอยู่เสมอก็คือ เราบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดว่าเราต้องเป็นคนดี แต่การบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมคือ ความดีเป็นรากฐาน คุณธรรมเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน และความเข้าใจธรรมทำให้เรามองโลกนี้อย่างแจ่มชัดและไม่ทุกข์ทน ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์และไม่ก่อกรรมให้เกิดการเวียนว่ายเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือไม่
อาจารย์ไม่เคยบอกให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ เเต่อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ประจักษ์เเจ้งในธรรม ซึ่งธรรมไม่ใช่อยู่ในอาจารย์ เเต่ธรรมอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน เเต่เราเคยหันกลับมามองธรรมในใจไหม เราเคยหันกลับมาดูใจเราว่ามีธรรมไหม มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเพราะประกอบไปด้วยธรรม ธรรมที่ปฏิบัติต่อกัน ธรรมที่เกื้อหนุนกัน ธรรมที่ให้ต่อกัน มนุษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ สิ้นทุกข์ได้ สิ้นกรรมได้ ไม่ใช่การเกาะพึ่งเเต่พระพุทธะ เกาะพึ่งเเต่บุญกุศล เเต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่เเก้ไขอะไรเลย เเต่ต้องอยู่ที่ตัวเรารู้เเล้วเเก้ไขเปลี่ยนเเปลงใจตัวเอง การบำเพ็ญธรรมคือให้เเก้ไขเปลี่ยนเเปลงเเละรู้เท่าทันใจ ไม่ก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมไม่จบสิ้น สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำตัวเองเสมอก็คือ ทำอะไรมีสตินิ่งก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนวิ่งไปตามความอยาก วิ่งไปตามความหลง นิ่งพิจารณาก่อน ดูว่าทำเเล้วมีเมตตาไหม ทำเเล้วมีศีลธรรมของความเป็นคนไหม ทำเเล้วถามตัวเองว่าเกิดมาเป็นคนทั้งทีทำได้เเค่นี้ คุ้มหรือไม่ มาเพื่อเกิดเเก่เจ็บตายดีร้ายได้เสียทุกข์สุข วนอยู่เเค่นี้ ศิษย์ไม่เคยพ้นได้สักที ศิษย์ต้องวิ่งวนกับความรู้สึกที่ไม่เที่ยงเเท้ไปอีกเท่าไหร่ เมื่อไรศิษย์จะตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง ถ้าศิษย์ตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง นอกจากศิษย์จะช่วยตัวเองได้ ศิษย์ยังช่วยโอบอุ้มผู้คนให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อไหร่ที่เราพ้นทุกข์ คำพูดเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ การกระทำของเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ใจ ศิษย์จะเเค่ฟังเเล้วรู้สึกดี หรือฟังเเล้วลงมือปฏิบัติสักที แต่ให้ถามตัวศิษย์เอง ว่าเราสมควรแล้วกับการเกิดเป็นคน ใช่ไหม เกิดมาชาตินี้ทำได้แค่นี้ เพราะอาจารย์มา อาจารย์รู้อาจารย์จะกลับที่ไหน ศิษย์ล่ะรู้ทางกลับตัวเองหรือยัง แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดี จริงหรือไม่ (จริง) อย่ามัวแต่มองแค่เพียงว่า ยืมร่างเชื่อไม่ได้ ไม่เชื่อไม่เป็นไร เชื่อธรรมะที่อาจารย์บอกก็พอ และเชื่อธรรมะในใจของศิษย์ก็พอ เชื่อว่าศิษย์ดีได้ และดีได้กว่านี้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตเราเกิดมาเพื่อวิ่งตามอารมณ์หรือเพื่อมองจนแจ่มแจ้งชัดในธรรม ลองถามตัวเอง ลองพิจารณาดูนะ
มีอะไรที่ศิษย์จะพยายามจะขัดเกลาออกไปจากใจ และพยายามทำแต่สิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง เอาอะไรออกไปจากใจ ที่มันไม่ดีและทำให้เราหลงผิด
(ตามหลักของพุทธศาสนา เรายึดอริยสัจ๔ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อมีทุกข์เราก็มาพิจารณาว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วเมื่อทราบว่ามันเกิดจากอะไร ก็หาวิธีแก้ แล้วก็ดับทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะหมดไป) การพิจารณาทุกข์ พิจารณากายให้เห็นกายพิจารณาจิตให้เห็นจิต เเปลว่า มองเห็นกายว่ากายทุกข์ มองเห็นว่าจิตควรทุกข์ไหม พิจารณาจนเกิดความเห็นเเจ้งว่าเป็นเเค่ทุกข์ที่หมุนเปลี่ยน ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เเม้เเต่ตัวทุกข์เองก็ยังทนได้ยากไม่คงอยู่ เเต่จิตเราไปยึดเเล้วไม่ยอมจบ เหมือนร่างกายต้องเปลี่ยน การเปลี่ยนเรียกว่าทุกข์ การเปลี่ยนที่ทนได้ยากเรียกว่าความทุกข์ ทุกข์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เเต่ที่มนุษย์เอามาเป็นทุกข์เพราะว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราพิจารณาให้เห็นจะรู้ว่าทุกข์มีอยู่จริงเเต่ไม่เคยทำเราเจ็บ เป็นเเค่นั้น เปลี่ยนไปเเค่นั้น เป็นไปตามธรรมชาติ จงมองเห็นทุกข์ให้ธรรมดาเเล้วจะไม่ทุกข์ เหมือนเรามีความเเก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มีการโดนด่าเป็นธรรมดา เราต้องทุกข์ทุรนทุรายด้วยไหม ก็เเค่เห็นเเค่รู้เท่านั้น นั่นคือธรรม
(ตัดความโลภโกรธหลง แล้วก็ทำใจให้ว่าง) ตัดมันออกจากใจเลย ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะ มีโลภโกรธหลงได้ แต่มีแล้วไม่เอามัน มีแล้วไม่ตกเป็นทาสของมัน ทำได้ไหม (ทำได้ จะพยายาม) ถ้าให้ตัดไปเลยมันทำยากนะ เพราะเลี้ยงมันมาตั้งกี่ปีก็ไม่รู้ (ใช่ มีตั้งแต่เราเกิด)
(ตัดความหลงออก เพราะรู้สึกเอาออกยากเหลือเกิน หลงอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นความอยาก อยากจะเอาออกไปมาก) พระพุทธะสอนให้มีปัญญา อะไรที่เราหลงแล้วทำให้เราโง่ทำให้มองไม่เห็นแจ่มแจ้งก็อย่าหลงแล้วความหลงก็จะกลายเป็นปัญญา อาจารย์ถามศิษย์นะ มีอะไรในโลกที่เรามีแล้วมันไม่ขบ ไม่กัด ไม่ทำให้เราเจ็บปวดบ้าง มีไหม (ไม่มี) มีได้ ถ้าเรามีแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เรียกว่า มีอย่างคนมีปัญญา
(อยากจะเอาความทุกข์ออก สมมติว่าเราซื้อหวยแล้วเสีย ถ้ามองว่าซื้อหวยแล้วทุกข์ เราก็ไม่ต้องซื้อหวย) ศิษย์อยากเอาหวยหรือเอาทุกข์ออกจากใจ (เอาทุกข์ออก) อาจารย์ว่าเอาหวยออกจากใจมากกว่านะ เอาทุกข์ออกจากใจ เอาทุกข์ออกไม่ได้ ทุกข์คือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทุกข์นั้นทำให้เราเติบโต ทุกข์ทำให้เราเปลี่ยนแปลง ทุกข์นั้นทำให้เรารู้จักปล่อยวางและทุกข์ทำให้เรารู้จักเข้มแข็งทุกข์ไม่น่ากลัว เพราะมีทุกข์จึงมีชีวิต เพราะมีทุกข์จึงพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่บอกว่าซื้อหวยถูกแล้วจะเอาเงินมาทำบุญ บุญแบบนั้นอาจารย์ไม่เอานะ มันเป็นบุญร้อน (นักเรียนขอแอปเปิลอีกลูกไปฝากอาจารย์รับรอง) ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้นะ ลูกเดียวถ้ารู้จักใช้ปัญญา มันก็แบ่งคนเป็นร้อยเป็นพันได้ แต่ถ้าลูกเดียวอับจนปัญญามันก็ไม่พอแม้ตัวเราหนึ่งคน จริงไหม
(นักเรียนคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า จะเอาความโลภออกจากตัวเราได้อย่างไร) ศิษย์เอ๋ย ไม่ยากเลย พอบ้างหรือยัง หยุดอยากบ้างหรือยัง อาจารย์ถามหน่อยนะ โลภมา แค่เราก็หนึ่งทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายก็อีกทุกข์หนึ่ง ผิดหวังก็อีกทุกข์หนึ่ง แล้วศิษย์ไปโลภเอาอันนี้มา ศิษย์ก็เพิ่มทุกข์อีกทุกข์หนึ่ง แล้วทุกข์นี้แน่ใจหรือว่าโลภแล้วมันจะทุกข์เดียวจบ โลภอยากได้คนนี้ ศิษย์ว่าจะได้ทุกข์กับเขาแค่หนึ่งครั้งไหม (ไม่) ศิษย์จะทุกข์กี่ครั้ง (ร้อยครั้ง) นับไม่ถ้วนมากกว่าร้อยด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด เราจะไม่อยากได้อะไรในโลกเลย เพราะยึดเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ห่วงเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์พิจารณาจนเกิดธรรมเนืองๆ แล้วศิษย์จะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องพยายามเลย เพราะเราเห็นมันชัด(โลกนี้ความทุกข์กับความสุขเป็นของนอกกาย เราอย่าให้ความสำคัญกับความทุกข์หรือความสุขจนเกินไป แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ จะไม่สุขจนเกินไป เวลามีทุกข์เราอย่าเสียใจมาก เวลามีความสุขเราอย่าดีใจมาก) รักษาใจให้เป็นกลางอยู่เสมอ ศึกษาธรรมสำคัญอย่างเดียวนะศิษย์ ขอแค่รู้เท่าทันใจตน แต่ส่วนใหญ่คนมักจะหลงตัวเอง จนกระทั่งต้องเจอปัญหาก่อนจึงอยากจะบำเพ็ญธรรม ถึงเวลานั้นก็สายไป จริงไหม
(อยากเอาความคาดหวังออกจากใจ) เวลาทำอะไรใจก็อดมีความคาดหวังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ เวลาศิษย์ทำอะไรแล้วทำเต็มที่หรือยัง ทำสุดกำลังหรือยัง แล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรมหรือยัง ถ้าทำสุดตัว ทำเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดมันก็เกิด นี่จึงเรียกว่าทำอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่คาดหวังอีกต่อไป ขนาดของที่สวยที่สุดในโลก คนก็ยังนินทา แล้วมีอะไรบ้างที่ทำแล้วจะไม่ถูกคนว่าให้เราผิดหวัง ทำดีคนก็บ่น ทำชั่วคนก็ด่าหรือไม่ทำอะไรเลยคนก็ต่อว่า
ฉะนั้นสำคัญคือ รักษาใจตัวเองดีกว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนให้เป็นดั่งใจเราได้ เเต่เรารักษาใจเราให้เข้มเเข็งเเละรับมือกับความจริงที่เกิดขึ้น ธรรมจึงทำให้เรารู้จักมองความเป็นจริงได้อย่างเข้มเเข็ง (กิเลส โลภโกรธหลงออกไป เเล้วต้องมีสติว่าต้องปล่อยวาง) เวลาเจออะไรต้องนิ่งให้ได้ก่อนเเล้วสติจะตามมา ถ้ายังนิ่งไม่ได้สติก็ไม่มา สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดกิเลสตามมา
มีวิธีใดที่ระงับความโกรธ หรือไม่อยากให้โกรธง่าย มีวิธีใดที่จะกำจัดความโกรธออกไป ไม่ยากเลย ถ้ามองเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เเล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เเล้ว เราอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก) คนเรามักจะโกรธคนที่ต่ำกว่า เเย่กว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่าทำดีเเล้วทำไมคนดีต้องถูกกดขี่ข่มเหง เพราะเรามักคิดว่าเราสามารถต่อว่าคนที่เเย่กว่าเราได้ คนที่ต่ำกว่าเราได้ เรามีสิทธิ์พูดได้ ศิษย์เคยโกรธคนที่อยู่ข้างบน คนที่สูงกว่าเราหรือไม่ มีแต่แอบด่าเขาแต่ไม่กล้าโกรธเขาต่อหน้าแต่คนที่ศิษย์โกรธมากที่สุดคือคนที่ต่ำกว่า โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ด่าไปให้เต็มที่ อย่างนั้นอาจารย์ถามใจลึกๆ ถ้ามีคนที่สูงกว่าเราแล้วเอาแต่ด่าศิษย์ ศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้) ใจเขาใจเรา เขาไม่รู้ เขาต่ำกว่าก็แย่แล้ว เรารู้มากกว่าทำไมจึงไปกดขี่ข่มเหงเขา ใจเขาใจเรา อย่าสร้างวิบากกรรม ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับชะตากรรมที่ศิษย์ก่อ แม้ศิษย์จะทำดีแค่ไหนศิษย์ก็จะโดนกดขี่ ข่มเหง เพราะศิษย์เคยกดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่า เหมือนถามคนในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสระหว่างคนที่ดีกว่ากับคนที่แย่กว่าศิษย์จะแกล้งคนไหน (คนที่แย่กว่า) ศิษย์เอาเปรียบคนที่เก่งกว่าหรือคนที่แย่กว่า (คนที่แย่กว่า) นั่นแหละคือนิสัยศิษย์ แล้วทำไมบอกว่าเราเกิดมาลำบากแล้วทำไมยังต้องมารังแกเราอีก แล้วทำไมเราไปรังแกคนที่ต่ำกว่าล่ะ เขาผิดหรือที่เขารู้ช้า เขาผิดหรือที่เขาไม่เข้าใจเรา (ไม่ผิด) ใจเขาใจเรานะ อย่าสร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องรับกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์รู้ไหมว่าฆ่าคนให้ตายยังไม่เจ็บแค้นเท่ากับด่าให้เราเจ็บปวด ฆ่าให้ตายดีกว่าแต่อย่ามาด่ากันอย่างนี้ จริงหรือไหม (จริง) ฉะนั้นศิษย์อยากให้เขาผูกใจเจ็บหรือ (ไม่อยาก) ก่อนจะโกรธ ใจเขาใจเรา ไม่มีใครอยากโดนด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
(คำว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ คำนี้มีความหมายอย่างไร) อาจารย์จะให้ศิษย์ทำเลย แล้วศิษย์จะได้รู้เลยว่าสวรรค์กับนรกต่างกันอย่างไร เอาไหม (เอา) อย่างนั้นศิษย์เดินออกไปเจอหน้าใครก็ด่าให้หมดเลย ด่าให้ไม่มีชิ้นดีเลย แล้วศิษย์จะรู้เลยว่านรกเป็นอย่างไร กับอีกอย่างหนึ่งเดินไปเจอใคร ขอบคุณๆ นั่นแหละคือสวรรค์ (ขั้วบวกขั้วลบเลย) ชัดเจนไหม (ชัดเจนมากเลย) ลองทำไหม (ไม่ลอง) อย่างนั้นอย่าไปลองที่บ้านนะ ไม่อย่างนั้นจะมีนรกในบ้าน
(ทำอย่างไรจะให้ใจตัวเองหยุดอยากได้) อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ที่แล้วมาเจ็บยังไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ยังไม่พออีกหรือ อย่าถามอาจารย์เลย ถามศิษย์ดีกว่า เจ็บไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ไม่พอ สู้ไหวไหม ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ อย่าอยากอีกเลย เพราะมันเจ็บมาพอแล้ว เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”)
ผิดบาปทั้งมวลยากอยู่แค่คำว่ามีสำนึก ถ้าเรามีสำนึกดีเราจะทำบาปเราจะทำชั่วไหม (ไม่) เราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ไม่ผิดศีลเลย ไม่ขาดธรรมเลย ใช่หรือไม่ ลองเอาไปศึกษาพิจารณาต่อนะ
ดูแล มุ่งมั่น บำเพ็ญ อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คนด้วยหัวใจที่ประเสริฐ อยู่ในโลกอดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว แต่การศึกษาธรรมสอนให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ มีแต่จะทำอย่างไรเพื่อจะช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด ทำอย่างไรจะเสียสละจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำให้ได้มากที่สุด ถ้าทำได้เช่นนี้ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นคนหรอกศิษย์
อาจารย์หวังว่าในชั้นนี้ คงจะมีสักหนึ่งคนหรือมากกว่าหนึ่งคนที่เดินตามรอยพุทธะอย่างแท้จริง ปฏิบัติจริง บำเพ็ญจริง มุ่งมั่นจริง ที่ยังต้องอดทนแสดงว่าเรายังมีตัวตนให้ต้องขัดเกลา แต่ถ้าไม่มีคำว่า “อดทน” แปลว่าไร้แล้ว ตัวตนไม่น่ายึดถือหรอก มีแต่นิสัยความเคยชิน คำว่า “ธรรม” มีแต่ความโปร่ง โล่ง เบา อิสระและมีแต่ความเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งปิติสุข แต่ถ้าศิษย์บำเพ็ญแล้วไม่มีความสุข ถามตัวเองนะกำลังยึดมั่นถือมั่นอะไรที่หลงผิด รีบแก้ไขนะ หัวใจแห่งพุทธะคือหัวใจแห่งผู้เข้าถึงธรรม ธรรมที่มีแต่ให้ มีโอกาสคงมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ ขอบคุณความเสียสละ ขอบคุณความมุ่งมั่นที่ตั้งใจฟังจนจบในสองวันนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวศิษย์เองทั้งนั้น
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”
ความหลงผิดพาคนไกลห่างความดี เกิดอารมณ์ชั่ววูบทีสำนึกหาย
จากเล็กน้อยจนขาดศีลผิดธรรมไป ขออย่าให้เป็นเช่นนี้กันอีกเลย
ผิดไม่ทำบาปไม่ก่อกรรมไม่สร้าง ย้ำแนวทางอันถูกต้องเป็นศุกลเผย
สำนึกดีปฏิบัติดีไม่ละเลย ให้ชินเคยจนฝังแน่นติดตรึงตรา
ความยากลำบากมายกใจให้สูงยิ่ง คนดีจริงมุ่งทำจริงพร้อมฟันฝ่า
มีเมตตาครองธรรมไว้ในกรุณา โชควาสนาหรือจะสู้คนมานะดี
ผนึกใจสายสัมพันธ์ ศิษย์อย่าทิ้งอาจารย์ จงผ่านหลุดพ้นไปก่อน ศิษย์จงบำเพ็ญ หัวใจไม่แสนงอน ใช้ธรรมะอย่ามีขาดตอน ยิ่งตอนจิตใจขึ้นลง
เจ้าเป็นคนไม่เหมือนใคร ปรับความคิดในใจเต็มหนึ่งเพราะปัญญา หากแค่คนดีไม่พอบรรลุกลับมา หลายเรื่องทำให้มีปรัชญา ไม่ทำขายหน้าตัวเอง
* ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดจากชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น ทัดทานไม่เบาเสียงลง
อยู่กับดินไม่สูงไป ตราบจิตสุดท้ายวันใด น้อยใจไม่ได้มาส่ง ท้อแท้วันใดถ้าใจคอยไหลลง แก้ไขให้จงเจาะจง ก็คงสมบูรณ์สักวัน (ซ้ำ * )
ทำนองเพลง :คำสัญญา
ชื่อเพลง :ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กินอิ่มไหม (อิ่ม) ฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม, ยังไม่อิ่ม) อย่างนี้ทุกทีนะ พูดแล้วค่อยคิด ใช่ไหม (ใช่) แล้วผลสุดท้ายใครต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองพูด (ตัวเอง) ฉะนั้นก่อนพูดอะไรคิดให้ดีๆ ถึงพูดดีแต่ทำให้ไม่สมานสามัคคีบางทีก็ไม่ต้องพูด ถึงจะดีแต่ถ้าพูดแล้วทำให้คนแตกแยกกันก็เป็นบาปเหมือนกัน แล้วเราควรพูดไหม (ไม่ควร) อยู่ในโลกเราพูดน้อยหรือพูดเยอะ (พูดเยอะ) แล้วพูดเยอะส่วนใหญ่ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) พูดเยอะแล้วไม่ดีควรหยุดพูด ศิษย์เอยอย่าเพิ่งเห็นแค่ภาพลวงแล้วทำให้ตัดสินอะไรโดยที่ไม่มองแก่นแท้ภายใน อย่าเพิ่งยึดติดรูปลักษณ์จนลืมมองแก่นแท้หรือหลักสำคัญๆ ที่วันนี้เราจะได้มาผูกบุญกัน
อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนมักจะวัดคนที่รูปลักษณ์ภายนอก วัดกันจากความคิดที่ตัวเองเข้าใจ แต่บางทีสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจ บางทีเขาเรียกว่าไม่อัพเดต ใช่ไหม (ใช่) รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารู้เข้าใจไม่เป็นความรู้เก่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ แท้จริงนั้นอาจจะไม่จริงก็เป็นได้ เราบอกว่าเรามองเห็น แต่สิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่มักจะสรุปตามความคิดความเข้าใจของเรา เอาความคิดความเข้าใจของเราไปตัดสินคน จนบางครั้งเราอาจจะไม่มองเห็นความจริงแท้ก็เป็นได้
(พระอาจารย์เมตตาทำท่าชูนิ้วโป้งขึ้น <)
แบบนี้แปลว่า (เยี่ยม) ไม่ใช่ แปลว่านิ้วโป้ง อาจารย์ผิดไหม (ไม่ผิด) แล้วศิษย์พูดผิดไหม (ผิด, ไม่ผิด) ศิษย์พูดไม่ผิด แต่บางทีที่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะว่าเข้าใจไปคนละอย่าง ใช่หรือไหม (ใช่)ศิษย์เอ๋ย บางครั้งที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะทุกคนต่างมีความจำได้หมายรู้ มีความคิดความเข้าใจ มีมุมมองต่างกัน การมองสิ่งหนึ่งหรือการคุยกับใครสักคน โอกาสที่เราจะผิดพลาดหรือโอกาสที่เราจะเข้าใจไม่ถูกมีมาก ฉะนั้นการที่เราสื่อสารกันไปคนละเรื่องเราควรโกรธกันไหม (ไม่ควร) ควรด่าเขาไหม (ไม่ควร) อย่าเอาแต่สายตาตัวเองไปวัดเรื่องราวต่างๆ จนมองไม่เห็นความจริง จนลืมมองคนตรงข้าม ว่าเขาคิดอย่างไร เขามองอย่างไร
พุทธสถานที่นี่ชื่ออะไร (หมิงเอิน) คนสร้างก็สว่าง คนอยู่ก็ต้องมีใจสว่าง มนุษย์อยู่ในโลกที่มีความมืดสว่าง เราอยากหาความสว่างที่แท้ในจิตใจของเรา แต่บางทีเราหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พุทธะบอกว่า ความสว่าง ความกระจ่างภายนอก ไม่สู้ความสว่างและความกระจ่างที่เกิดจากปัญญาเข้าใจชีวิตที่แท้จริงภายใน เพราะจะทำให้เราไปอยู่ที่ใดก็สว่าง ไปอยู่ที่ใดก็เห็นได้แจ่มชัด แม้ว่าชีวิตมืดมน แต่ความกระจ่างชัดในปัญญา ความกระจ่างชัดในชีวิต จะทำให้เราแปรความมืดเป็นความสว่างได้ด้วยสติและปัญญาตน วันนี้เรามาเพื่อศึกษาธรรมเพื่อจะเอาไปใช้ปฏิบัติธรรม ถ้าวันนี้มาศึกษาเเล้วไม่ปฏิบัติ ฟังไปแล้วไม่นำไปใช้ จะฟังไปทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ถ้าวันนี้มาฟังเเล้วต้องนำไปปฏิบัติ เเต่พอถึงเวลาจริงๆ ที่เราต้องปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติดีไหม เราพยายามจะนำไปปฏิบัติเเต่ถึงเวลาเรามักปฏิบัติไม่ค่อยดี ตัวปัญหาที่ทำให้เราปฏิบัติได้ไม่ดีก็คือตัวเรา
ทำไมเวลาศิษย์เจอทุกข์ เจอความยากลำบากที่ทำให้คิดเเล้วจะทุกข์เเล้วกลุ้มใจ ทำไมศิษย์ไม่บอกว่าขี้เกียจทุกข์บ้าง ตอนปฏิบัติธรรมปฏิบัติดี ขี้เกียจไหม (ขี้เกียจ) ถ้าเวลาทุกข์นำบทนี้ไปใช้บ้าง พอจะโมโหก็ให้บอก ขี้เกียจโมโห พออยากเป็นคนผิดศีลผิดธรรม ก็ให้ขี้เกียจผิดศีล ดีไหม (ดี) เเล้วทำไมไม่ทำ พอจะด่าเขาทนไม่ได้ ก็ให้บอกขี้เกียจด่า ความโลภความหลงเป็นทางเเห่งทุกข์ เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องประสบทุกข์เเละเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องเผชิญกรรมที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นรู้ว่าไม่ดี ทำไมไม่รู้จักทิ้งไป เเต่ศิษย์มักบอกอาจารย์ว่ายาก จริงไหม (จริง) มันยากจริงหรือ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะบอกว่าความโลภความโกรธความหลงไม่น่ากลัว ลองมองดูนะ ความโลภความโกรธความหลงมีตัวตนไหม (ไม่มี) กิเลสเกิดจากความคิดคำนึงถึงความมีตัวตน กิเลสจะไม่มีถ้าจิตญาณไร้ซึ่งตัวตนที่กำลังคิดว่าตัวตนเรานั้นไม่ยอม ตัวตนเราอยาก ตัวตนเราชอบ เลยทำให้เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้าเอาตัวตนออกจากจิตที่ไม่คิดอยากไม่คิดชอบไม่คิดหลง กิเลสมาไม่ได้ กิเลสเกาะไม่ได้ จริงไหม (จริง) ศิษย์เคยรักใครมากๆ แล้ววันหนึ่งหมดใจไหม ไม่เหลือใจให้รักแล้ว ไม่อยู่ในสายตาแล้ว อารมณ์จะครอบงำใจเราได้ไหม (ไม่ได้) ความเป็นเขาจะทำร้ายใจเราได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราอยาก ใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราทุกข์ และใดๆ ในโลกไม่ทำให้เราเกลียด ถ้าเราหมดใจไม่ใส่ใจ หรือเรียกตามภาษาธรรมว่า “วางเฉย” เขาจะด่า จะว่า จะไปมีใหม่ ก็เฉย กลับมาทำใจของเราให้เข้มแข็งแล้วยอมรับความจริงที่เป็นแบบนี้ให้ได้ ไม่ดีกว่าหรือ ทุกข์ใจ เกลียดไป ด่าไป ไม่มีอะไรดีขึ้น จุดไฟเผาตัวเอง เพราะหาเขามาแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม (ใช่) เปลี่ยนเขาสิ แต่เขาไม่เปลี่ยน ว่าเขาสิ แต่เขาก็เหมือนเดิม ทำอย่างไรได้ เขาเฉยเราก็ต้องเฉย ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ถามศิษย์นะ อารมณ์น่ากลัวหรือใจเราที่ไปยึดติดอารมณ์แล้วเฉยไม่ได้น่ากลัวกว่ากัน ธรรมะบอกว่าใดๆ ในโลกจะสามารถพ้นกรรมและสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่หรือตัดกระแสกรรมได้ ขอเพียงแค่ “รู้ใจตัวเอง รู้เท่าทันใจ” อารมณ์ก็หยุดได้ ใครจะร้ายใครจะดีก็เฉย แต่ตอนนี้เราเป็นอย่างไร กระทบทีก็ด่าที กระทบก็แช่งทีมนุษย์พูดว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก พ้นจากความคิด เย็นเข้าสู่พระนิพพาน ฉะนั้นถ้าโดนตบแล้วด่าเขา ก็เกี่ยวกรรม ตกนรก แต่ถ้าโดนตบแล้วแผ่เมตตา โดนตบแล้วคิดว่า สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ ไม่ต้องไปทำอะไร การพยายามเอาตัวไปหยั่งรากและลงเมล็ดพันธุ์แห่งกรรมก็ก่อเกี่ยวเป็นวัฏฏะไม่จบสิ้น ใจนี้เหมือนเนื้อนาบุญ กิเลสเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากและวัฏฏะการเวียนว่าย แต่ถ้าเราไม่หย่อนเมล็ดกิเลส ไม่หย่อนเมล็ดอัตตา ไม่หย่อนเมล็ดตัวตนลงในกายนี้ เมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายก็จบสิ้นแค่ชาตินี้ แต่มนุษย์นั้นจำไว้เพื่อผูกใจเจ็บ คิดไว้เพื่อล้างแค้นในสักวัน เหมือนเริ่มหย่อนเมล็ดพันธุ์แล้วรอเหตุปัจจัยที่จะเติบโตแล้วสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายอีกไม่จบสิ้น เหมือนทำบุญหย่อนเมล็ดไว้เพื่อจะได้ไปรับบุญ ก็คือการสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ในเมื่อกายนี้มีเนื้อนาบุญอยู่แล้วเราจะสร้างเมล็ดพันธุ์ให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นทำไม แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าการกลับมาเกิดอีกจะพร้อมสมบูรณ์เหมือนชาตินี้ จริงไหม (จริง) โลกนี้มีสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ยึดถือไม่เคยได้ จริงไหม (จริง) เงินหนึ่งร้อยกี่พันมือคนจับ ที่ดินหนึ่งผืนกี่พันเจ้าของ ทรัพย์สินหนึ่งอย่างผ่านมากี่มือ สรรพสิ่งในโลกเป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่หามีใครยึดถือและครอบครองได้อย่างแท้จริง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราก็คงเข้าใจธรรมที่กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นยังหนีไม่พ้นโลก แต่ถ้าผู้ใดคลายความยึดมั่น ผู้นั้นจะพบธรรม”
(ปล่อยวางง่ายแต่ทำยาก ชีวิตจริงกิเลสมันฉลาด) ศิษย์เอ๋ย กิเลสมันฉลาดหรือตัวเราไม่ทันกิเลส หรือเราไม่ยอมแพ้ผู้คน ยอมแพ้ไม่ได้ก็โกรธ ยอมไม่ได้ก็เกลียด แต่อาจารย์ถามหน่อย ชนะแล้วได้อะไร ชนะแล้วได้มิตรหรือได้ศัตรู แล้วถ้ายอมแพ้จะได้มิตรหรือได้ศัตรู อยู่ในโลกถ้าอยากเข้าใจธรรม ก็ต้องคลาย ก็ต้องจาง ไม่ต้องยึดถืออะไรเลย ซึ่งมันทำได้ยาก
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากบอกศิษย์คือ ศิษย์มักดูเบาคุณค่าตัวเอง ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ยอมเเพ้ตั้งเเต่ยังไม่ทันลั่นกลอง เเพ้กิเลสตลอด ทำไมไม่ลองสู้กับกิเลสดูสักตั้ง ชนะเเล้วได้อะไร อยากมีมากกว่าเขา รวยมากกว่าเขา เเต่ไปผิดศีลผิดธรรมถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) การศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ใช่ไม่ให้อยาก ไม่ให้โลภ ไม่ให้หลง เเต่การปฏิบัติธรรมต้องการบอกให้ศิษย์รู้ว่าถ้าจะอยาก จะโลภ จะหลง ต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน เเล้วศิษย์จะอยากก็อยากไปเลย อยากโลภก็โลภไปเลย อยากโกรธก็โกรธไปเลย เเต่โกรธเเล้วต้องไม่ผิดศีลธรรมความเป็นคน แต่ถ้าเราทำผิดเเล้วบอกว่าเดี๋ยวก็จบกันไป ตายๆ กันไป ช่างมัน เอาไว้ก่อน ขอสุขก่อน ขอได้ก่อน ขอดีก่อน ช่างคนอื่น ศิษย์มักพูดว่าขอให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นเดี๋ยวไปทำบุญชดเชยทีหลัง เหมือนไปตบหัวเขาเเล้วบอกขอโทษ เขาหายเจ็บไหม (ไม่หาย) ไปเอาเงินทรัพย์สินเขามา เเล้วบอกจะไปทำบุญชดเชยให้ เขาทำใจไหวไหม (ไม่ไหว) พระพุทธะบอกว่า อย่าประมาทกับบาปที่เรียกว่าความหลง เเละอย่าประมาทกับกรรมที่ศิษย์สร้างเพราะความรังเกียจเเละไม่ยอมคน เพราะเมื่อไหร่ที่กรรมย้อนกลับมา ตอนนั้นจะให้พระมาสวด ให้เอาบุญมาล้างก็ล้างไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าเขาโดนดูถูกโดนเหยียดหยามเเล้วจะมาปลอบประโลม เเต่ด่าเขาไปเต็มที่เเล้ว หายโกรธไหม (ไม่หาย)
ฉะนั้นศิษย์อย่าสร้างกรรม อย่าสร้างเหตุปัจจัยแล้วค่อยมาแก้ผลทีหลัง ศิษย์ควรจะหยุดตั้งแต่ก่อนสร้างเหตุหรือไปแก้ที่ผล (หยุดก่อนสร้างเหตุ) อาจารย์เป็นอาจารย์ของศิษย์ อาจารย์ก็ต้องสอนวิธีหยุดเหตุ ไม่ใช่ให้ไปแก้ที่ผล วิธีที่จะหยุดเหตุก็คือทำอย่างไรให้เราไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ถ้าทำดีเรียกว่ากรรมดี ถ้าทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์จะบอกอีกว่า ยังมีกรรมอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า อกรรม ทำแล้วไม่ก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย นั่นคือทำแล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี ถึงเวลาต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยากใช่ไหม แต่ยากตรงที่จะยอมรับหรือไม่ จริงๆ แล้วเรื่องราวบนโลกใบนี้ขอแค่เพียงมนุษย์รู้พอ แต่ถ้ายังพอไม่ได้ ก็ลำบากอยู่ร่ำไป ถ้าศิษย์พอได้ จะมีอะไรเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อศิษย์ยังไม่พอ เรื่องยากก็มีอยู่ร่ำไป มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า เมื่อไรที่เรื่องราวเกิดขึ้น แค่เรารู้สึกหรือไม่รู้สึก ปรากฏการณ์ของเรื่องราวนั้นต่างกันราวกับฟ้ากับดิน เหมือนรู้สึกก็ก่อเกิดเป็นดีร้าย แต่เมื่อไม่รู้สึกมันก็เป็นแค่เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้น อันเป็นธรรมดาโลก เหมือนตอนนี้มองก็เฉยๆ แต่ถ้ามีคนหนึ่งที่ศิษย์รู้สึกว่ารัก ถูกใจ ถูกชะตา เชื่อหรือไม่ในบรรดาที่คนอื่นมอง เขาจะดูโดดเด่นกว่าใครเลย แค่รู้สึก สิ่งที่ธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา ถ้าทุกอย่างเราไม่รู้สึกมันก็กลับเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาตามความเป็นจริงของโลกใบนี้แต่เมื่อใจไม่รู้สึกแล้ว เห็นเขาก็รู้สึกเฉย ก็เหมือนเห็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลก จะดี จะร้าย จะได้ จะเสียก็รู้สึกเฉยๆ เงินทอง ทรัพย์สิน เกียรติยศ
คนที่เราเกลียดหรือคนที่เรารักก็เหมือนกัน แต่อยู่ที่ใจศิษย์ เมื่อใจเอียงไปชอบก็เริ่มมีปัญหาทันที เมื่อใจเอียงไปเกลียดก็เริ่มมีเรื่องราวขึ้นมาทันที แต่ธรรมะสอนให้ใจเป็นกลาง เมื่อใจเป็นกลางทุกสิ่งก็กลับมาปกติทันที เมื่อไรที่ใจเอนไปชอบ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นมีความชอบ มีสมหวัง มียินดี มีปรีดา มีปลื้ม เมื่อมีชอบแล้วก็เกิดความไม่ชอบ ผิดหวัง เสียใจ รำคาญใจ กังวลใจ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ แล้วใครหาทุกข์ใส่ตัว (ตัวเราเอง) เพียงเพราะใจเอียงไปชอบแค่นั้นเอง ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตามความเป็นจริงแล้วเราไม่ใส่ใจบ้าง เฉยบ้าง ความโลภ ความเกลียดก็ไม่สามารถทำอะไรใจศิษย์ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ดังคำกล่าวว่า “แค่รู้ก็พ้นทุกข์” แต่ไม่ใช่รู้ใคร รู้ใจตัวเอง มองทุกสิ่งตรงหรือไม่ตรง มองทุกสิ่งเที่ยงหรือไม่เที่ยง เมื่อเราตรงใจก็ปกติ ศีลไม่ขาด ใจไม่หวั่นไหวก็เกิดเป็นสมาธิ เกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าทุกสิ่งก็แค่นั้น เขาก็หล่อแค่นั้น เธอก็สวยแค่นั้น
ฉะนั้นแค่ตื่นรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เกิดได้ในตอนนั้น ทำได้หรือไม่ (ได้) ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วยากไหม (ไม่ยาก) ถ้าศิษย์ไปโลภมาเต็มที่แล้วค่อยให้ทาน ไปเกลียดมาเต็มที่แล้วค่อยรักษาศีล ไปหลงมาเต็มที่แล้วค่อยนั่งสมาธิภาวนาพิจารณาสังขารอันไม่เที่ยง ศิษย์กำลังแก้ที่ปลายเหตุหรือแก้ที่ต้นเหตุ (ปลายเหตุ) ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะคิดได้อย่างที่อาจารย์บอก และรักษาใจให้เป็นกลางได้เสมอ ต้องใช้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ศีล สมาธิ ไม่สู้ปัญญา แปลว่าการเรียนรู้ธรรมทำให้เราเป็นคนฉลาด ดังนั้นใครที่รังเกียจธรรมแสดงว่าคนนั้นยอมโง่ ถูกหรือไม่ (ถูก) ใช้ปัญญาอะไรที่จะทำให้เรามองแจ้ง มองทะลุแล้วสามารถวางเฉยได้ ถูกคนอื่นด่า ถ้าเราเอามาใส่ใจก็เป็นทุกข์ ศิษย์เอย ให้เอาสิ่งที่เขาว่ามาคิดให้เกิดประโยชน์ มาพิจารณาที่เขาว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงไหม ถ้าจริงก็กลับมาตรวจสอบตัวเอง ล้างใจตัวเอง ถ้าไม่จริงก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเราไม่รับเดี๋ยวก็คืนเจ้าของไป ใครด่าเราอย่างไรเราไม่รับเดี๋ยวก็กลับไป
หลักธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพิจารณาจนบังเกิดธรรม เกิดปัญญานิ่งเฉยไม่โกรธไม่เกลียดได้ (สรรพสิ่งบนโลกนี้มีดับมีเกิดมาไม่มีอะไรเที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกครั้งเราใช้สติปัญญามองเห็นถึงความเป็นจริง เเม้เเต่ความโกรธที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราที่เรามองเห็นความโกรธ เราตั้งสติความโกรธก็หายไป) พิจารณาความเป็นจริงเเห่งธรรมอันเป็นหัวใจเเห่งทุกสรรพสิ่ง เมื่อพิจารณาอยู่เนืองๆ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลง เพราะมองเห็นชัดเจนว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็ดับ ว่างเปล่า หามีตัวตนที่เเท้จริงไม่ แม้จะรู้สึกว่าเที่ยง ว่าทุกข์ แต่ถึงเวลาก็ว่างเปล่า โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ เหมือนจะมีแต่ถึงเวลามันก็ไม่มี บางครั้งมีสามีก็เหมือนจะไม่มี เงินมีก็เหมือนไม่มี เสื้อผ้ามีเต็มตู้ มีเหมือนไม่มี ไม่มีตัวไหนถูกใจเลยนอกจากตัวข้างนอกบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้ว ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของโลก และรู้จักใช้ให้ถูกเราก็คงไม่หลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์พิจารณาเนืองๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะไม่มี พิจารณาอะไรเล่า มีสิ่งใดในโลกสมบูรณ์แบบบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันดีที่สุดบ้าง มีสิ่งใดในโลกมันแย่จนหาดีไม่เจอบ้าง ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เวลาเขาเปลี่ยนไป เราก็เข้าใจ เขาแปลกไป เราก็เตรียมใจ เขาแย่ไป เราก็เข้าใจ ฉะนั้นข้อหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาเสมอๆ คือ “ไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์แบบ” จริงไหม (จริง) ศิษย์ลองพยายามหาสิ ศิษย์ว่าหาคนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ถึงเวลาพออยู่กันนานๆ ทำไมเขาไม่ได้เรื่องเลย จริงไหม (จริง) บางทีศิษย์ว่าเขาแย่ แต่พออยู่ไปอยู่มา เขากลับใช้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอ เมื่อมีใครไม่ได้ดั่งใจเรา เมื่อมีใครไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเข้าใจ เราจะเกลียด เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะหลงไหม (ไม่) การพิจารณาเนืองๆ ถ้าศิษย์ไม่สร้างเหตุ มันจะมีปัจจัยเกิดขึ้นไหม ใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์หยุดเหตุปัจจัยได้ นั่นก็คือ พิจารณาเนืองๆ จนเห็นเหตุชัด เหมือนอาจารย์มักถามศิษย์ ดูหนังจบรอบหนึ่งแล้ว สนุกแล้ว รอบสองสนุกกว่าเดิมไหม (ไม่) เพราะอะไร เพราะรู้เรื่องหมดแล้ว เหมือนกันถ้าศิษย์มองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ชัด เห็นจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ที่ดีๆ สวยๆ เดี๋ยวก็ไม่สวย ที่หล่อๆ เดี๋ยวก็เหี่ยว ใช่ไหม (ใช่) ที่ปากหวานไม่แน่ เดี๋ยวก็ปากร้าย วันนี้ที่ดูว่าถูกล็อตเตอรี่สามตัว ไม่แน่ที่เหลือถูกกินไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราคิดอย่างนี้ มองอย่างนี้เสมอ พิจารณาจนบังเกิดธรรมเสมอ จะอยากอะไร จะโลภอะไร จะเกลียดอะไร ถ้าเราเห็นแก่นแท้ในความเป็นจริงของคน เราก็เห็นความเป็นจริงในแก่นแท้ของผู้คน ใครๆ ในโลกก็ไม่ชอบถูกด่า เราชอบถูกด่าไหม แล้วเราด่าเขาทำไม ใครๆ ในโลกชอบถูกกดขี่ข่มเหงไหม แล้วเรากดขี่ข่มเหงคนอื่นทำไม ใครๆ ในโลกก็ชอบคนที่รัก แล้วศิษย์เกลียดเขาทำไม แล้วศิษย์เองชอบศัตรูหรือชอบมิตร (ชอบมิตร) แล้วศิษย์สร้างศัตรูทำไม ถามใจตัวเองศิษย์ ถ้าเข้าใจแก่นแท้ความเป็นคน มีหรือจะไม่เข้าใจแก่นแท้ความเป็นผู้คน แล้วเราจะปฏิบัติผิดต่อคนอื่นไหม มีแต่ว่าถ้าคนอื่นปฏิบัติผิดต่อเรา ศิษย์จะตอบโต้เขาอย่างไร จองเวรจองกรรม สิ้นเวรสิ้นกรรม หรือจบกันตั้งแต่วันนี้ว่าอย่างไร
(เริ่มปล่อยวาง) อาจารย์พูดอะไรก็ปล่อยไปหมดเลย ใช่ไหม อาจารย์ถามนะ ถ้ามีคนมาทำร้ายศิษย์ ว่าศิษย์ ด่าศิษย์ ศิษย์จะทำเช่นใด(ให้อภัยเขา) เมื่อพยายามให้อภัยเเปลว่าในใจยังรู้สึกไม่ชอบ (ให้อภัยหมายถึง โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า เราก็ปล่อยวางเขาไป) มีสามทาง ทางหนึ่งคือทางดีคือให้อภัย ทางหนึ่งคือผูกใจเจ็บโกรธเคือง ทางหนึ่งคือเฉย (ถ้าเขาด่าเรื่องจริงจะรู้สึกขอบคุณเขาเเล้วก็ปรับปรุงเเก้ไขตัวเอง ถ้าเขาด่าไม่จริงก็ปล่อยกลับไปหาเขาเอง) การคิดว่าปล่อยก็เเปลว่าให้เอาคืนไป เเค่เรานิ่งๆ เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าไปพูดว่าไม่รับเดี๋ยวเเกก็ได้รับเอง คิดแบบนี้เท่ากับเป็นการผูกใจเจ็บ ศิษย์เอย คิดผิดคิดพลาดเล็กน้อยก็กลายเป็นกรรมเเล้ว เหมือนที่บอกว่าอะไรมากระทบเเล้วเอียงไปว่าชอบเอียงไปว่าชัง คำว่าเอียงไปชอบชังยังหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่ายที่เรียกว่าทุกข์สุขดีร้าย เมื่อไหร่ที่ศิษย์ไม่เอียงเเต่นิ่งเเล้วจบ พิจารณาจนคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย พิจารณาจนเข้าใจธรรมจนถึงคำว่า เเค่นั้น เช่นนั้น ธรรมดาโลก คือเรียกว่าวางใจจนเฉยได้ เเล้วจะคิดได้อย่างไรต่อ ศิษย์จำไว้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนล้วนมากับความว่างเปล่า เเละถึงที่สุดมนุษย์ทุกคนต้องเดินกลับสู่ความว่างเปล่า ถ้าเรายังยึดความมี ก็ก่อเกิดเมล็ดพันธุ์เเห่งเหตุปัจจัยในการเวียนว่าย ใช่หรือไม่แล้วพิจารณาอะไรต่อ ก็คือพิจารณาว่าโลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง พอเปลี่ยนแปลงแล้วเราต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นเมื่อถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ความไม่มี กลับคืนสู่ความว่าง แต่มนุษย์ติดกับความมี คือต้องมี ต้องได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตต่างหันหน้าไปสู่ความไม่มีแล้วก็ต้องว่างเปล่าให้ถึงที่สุด ฉะนั้นถ้าเราหมั่นคิดเสมอๆ เราก็จะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)
ฟังอาจารย์แล้วเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก) อย่างแรกคือพิจารณาเสมอว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ โลกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ถึงเวลาสิ่งที่มีอาจจะไม่มีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และอีกอย่างคือมองอยู่เสมอว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์ สิ่งที่เห็นว่าเป็นสุขคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าน่ารักคือคนประมาท สิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีนั่นคือคนประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่) มีคำกล่าว่า “ทุกข์เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ผู้ที่ทุกข์หามีจริงไม่” เข้าใจไหม ใครจะตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้างถ้าเข้าใจเเจ่มเเจ้งศิษย์จะก้าวพ้นวัฏฏะเวียนว่ายจบสิ้นได้ทันที (ถ้าไม่ยึดติดทุกข์ก็ไม่มี) โลกนี้มีทุกข์เป็นธรรมดา ทำไมเวลาเราป่วยเราถึงทุกข์ (ทุกข์ไปตามกายาแต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ) เเก่เเค่กายเเต่ใจไม่เเก่ใช่ไหม
ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ทุกข์เป็นของจริง แต่ผู้ทุกข์ที่แท้จริงหามีไม่ อาจารย์ถามว่า ศิษย์ว่าตัวเองเป็นของศิษย์ใช่ไหม (ไม่ใช่) ตั้งแต่เด็กจนโตมานี่เปลี่ยนไปกี่รูป (เปลี่ยนไปหลายรูป) เปลี่ยนแล้วเราควบคุมได้ไหม (ไม่ได้) บังคับได้ไหม (ไม่ได้) ให้เป็นดังคิดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วที่บอกว่าใจนั้นเป็นของตัวศิษย์ ใจนั้นมันเป็นอย่างไร มันก็เปลี่ยน มันก็ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เดี๋ยววันนี้คิดอย่างนี้ อีกวันคิดอย่างนั้น ตอนเด็กบอกว่าอันนี้คือความสุข แต่ตอนโตมาอันนี้ไม่ใช่ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าตัวตนที่แท้จริงมันไม่มี มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ความหลง ที่ไปยึดว่า อันนี้คือหน้าของเรา อันนี้คือตัวของเรา อันนี้คือใจของเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันใช่ของเราไหม (ไม่ใช่) มันทุกข์ไปตามสังขารอันเป็นธรรมดาของโลก เราจึงมีหน้าที่แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา นี่คือธรรมะ ทุกข์ของสังขาร ไม่ใช่ทุกข์ของใจ เป็นกรรมของสังขาร ไม่ใช่กรรมของใจ เขาด่าตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ได้ด่าอะไรเรา เพราะตัวเราไม่รู้อยู่ตรงไหนเหมือนกัน ไหนตัวตนที่แท้จริงของศิษย์ เอามาให้อาจารย์ดูสิ ถ้ามันจริงมันต้องไม่เปลี่ยน แต่มันทำไมเปลี่ยนจังเลย จริงไหม
ทุกข์เป็นธรรมดาของโลก เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า “ธรรม” ทุกข์ เจ็บ ตาย ถ้ายึดเมื่อไหร่ อย่าเจ็บ อย่าตาย อย่าทุกข์ นั่นแหละทุกข์มันเริ่มสร้างกรรม ดิ้นรน ใช่หรือไม่ (ใช่) พอเข้าใจคำว่าทุกข์มันเป็นแค่ทุกข์ แต่มันไม่มีคนที่จะทุกข์ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงมีสติระลึกอยู่เสมอ เมื่อกายโดนกระทบใจอย่ากระเทือน เมื่อกายเจ็บใจอย่าเจ็บ เมื่อกายทุกข์ใจอย่าทุกข์ นี่เรียกว่า การฝึกแยกจิตออกจากกาย ยากไหม (ยาก) ศิษย์เอยอะไรก็ยากหมดเลย ศิษย์ลองมองดู เหมือนที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้ารู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงหาความเที่ยงแท้ไม่ได้ ควรไหมที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เมื่อตัวเราไม่มีและอะไรคือรูปเรา อะไรคือของๆ เรา เราเป็นแค่ปัจจัยและการเกี่ยวกรรมที่หนุนเนื่องกันมา แล้วถึงเวลาปัจจัยการเกี่ยวกรรมมันหมด เราก็จากกันไป จริงไหม (จริง) แล้วเราจะพูดเพื่อก่อกรรมทำไม เราจะอยากเพื่อสร้างวิบากกรรมทำไม เราจะเกลียดเพื่อเกี่ยวกรรมทำไม และเราจะโลภเพื่อเอาไว้มาสร้างบุญทีหลังทำไม ทำไมไม่ทำบุญตั้งแต่ก่อนจะโลภ ยอมให้เขาแล้วทำให้เขาสบายใจมันได้บุญไหม (ได้) ให้เขาแล้วเขามีสุขมันได้บุญไหม (ได้) เเล้วทำไมเราจะทำบุญกับคนอื่นบ้างไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง คำสัญญา ชื่อเพลง ไม่ถึงฝั่งอย่าปล่อยมือ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่นักเรียน แต่นักเรียนไม่รับ)
ถ้าถือไว้แล้วมันหนัก ทำไมศิษย์ ไม่รู้จักสร้างบุญต่อ ไม่รู้จักให้คนอื่นต่อเพื่อสร้างบุญละ ทำไมเราไม่รู้จักแปรความหนักให้มันกลายเป็นบุญกุศล หรือกลายเป็นสร้างคุณธรรมด้วยการเมตตา จริงหรือไม่ (จริง) ศิษย์เอ๋ยในโลกนี้มันก็เป็นแบบนี้ ทุกคนต่างมีความคิดที่ถูกต้อง ทุกคนต่างมีความคิดที่ดี เหมือนที่อาจารย์บอกในเพลง
“ที่ทุ่มเถียงกันก็เกิดการชินชา สุดปัญญาที่ทำให้ดีต่อกัน ที่ทนหนักหนา บางทีไม่มีสักวัน แค่ใจแข่งกันถือมั่น ทัดทานไม่เบาเสียงลง”
ถ้าศิษย์ไม่มาผูกบุญสัมพันธ์กับอาจารย์วันนี้ อาจารย์ก็คงไม่มีโอกาสได้มาผูกบุญและพูดธรรมะให้ศิษย์ได้ฟัง สิ่งหนึ่งที่อาจารย์ย้ำเตือนอยู่เสมอก็คือ เราบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดว่าเราต้องเป็นคนดี แต่การบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมคือ ความดีเป็นรากฐาน คุณธรรมเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน และความเข้าใจธรรมทำให้เรามองโลกนี้อย่างแจ่มชัดและไม่ทุกข์ทน ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างไม่ทุกข์และไม่ก่อกรรมให้เกิดการเวียนว่ายเข้าใจที่อาจารย์พูดหรือไม่
อาจารย์ไม่เคยบอกให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ เเต่อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ประจักษ์เเจ้งในธรรม ซึ่งธรรมไม่ใช่อยู่ในอาจารย์ เเต่ธรรมอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน เเต่เราเคยหันกลับมามองธรรมในใจไหม เราเคยหันกลับมาดูใจเราว่ามีธรรมไหม มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐเพราะประกอบไปด้วยธรรม ธรรมที่ปฏิบัติต่อกัน ธรรมที่เกื้อหนุนกัน ธรรมที่ให้ต่อกัน มนุษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ สิ้นทุกข์ได้ สิ้นกรรมได้ ไม่ใช่การเกาะพึ่งเเต่พระพุทธะ เกาะพึ่งเเต่บุญกุศล เเต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่เเก้ไขอะไรเลย เเต่ต้องอยู่ที่ตัวเรารู้เเล้วเเก้ไขเปลี่ยนเเปลงใจตัวเอง การบำเพ็ญธรรมคือให้เเก้ไขเปลี่ยนเเปลงเเละรู้เท่าทันใจ ไม่ก่อเกิดเป็นกระเเสวิบากกรรมไม่จบสิ้น สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องย้ำตัวเองเสมอก็คือ ทำอะไรมีสตินิ่งก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนวิ่งไปตามความอยาก วิ่งไปตามความหลง นิ่งพิจารณาก่อน ดูว่าทำเเล้วมีเมตตาไหม ทำเเล้วมีศีลธรรมของความเป็นคนไหม ทำเเล้วถามตัวเองว่าเกิดมาเป็นคนทั้งทีทำได้เเค่นี้ คุ้มหรือไม่ มาเพื่อเกิดเเก่เจ็บตายดีร้ายได้เสียทุกข์สุข วนอยู่เเค่นี้ ศิษย์ไม่เคยพ้นได้สักที ศิษย์ต้องวิ่งวนกับความรู้สึกที่ไม่เที่ยงเเท้ไปอีกเท่าไหร่ เมื่อไรศิษย์จะตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง ถ้าศิษย์ตื่นรู้เเละมองเห็นความจริง นอกจากศิษย์จะช่วยตัวเองได้ ศิษย์ยังช่วยโอบอุ้มผู้คนให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อไหร่ที่เราพ้นทุกข์ คำพูดเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ การกระทำของเราก็ไม่ทำให้ใครทุกข์ใจ ศิษย์จะเเค่ฟังเเล้วรู้สึกดี หรือฟังเเล้วลงมือปฏิบัติสักที แต่ให้ถามตัวศิษย์เอง ว่าเราสมควรแล้วกับการเกิดเป็นคน ใช่ไหม เกิดมาชาตินี้ทำได้แค่นี้ เพราะอาจารย์มา อาจารย์รู้อาจารย์จะกลับที่ไหน ศิษย์ล่ะรู้ทางกลับตัวเองหรือยัง แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดี จริงหรือไม่ (จริง) อย่ามัวแต่มองแค่เพียงว่า ยืมร่างเชื่อไม่ได้ ไม่เชื่อไม่เป็นไร เชื่อธรรมะที่อาจารย์บอกก็พอ และเชื่อธรรมะในใจของศิษย์ก็พอ เชื่อว่าศิษย์ดีได้ และดีได้กว่านี้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตเราเกิดมาเพื่อวิ่งตามอารมณ์หรือเพื่อมองจนแจ่มแจ้งชัดในธรรม ลองถามตัวเอง ลองพิจารณาดูนะ
มีอะไรที่ศิษย์จะพยายามจะขัดเกลาออกไปจากใจ และพยายามทำแต่สิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง เอาอะไรออกไปจากใจ ที่มันไม่ดีและทำให้เราหลงผิด
(ตามหลักของพุทธศาสนา เรายึดอริยสัจ๔ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อมีทุกข์เราก็มาพิจารณาว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร แล้วเมื่อทราบว่ามันเกิดจากอะไร ก็หาวิธีแก้ แล้วก็ดับทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะหมดไป) การพิจารณาทุกข์ พิจารณากายให้เห็นกายพิจารณาจิตให้เห็นจิต เเปลว่า มองเห็นกายว่ากายทุกข์ มองเห็นว่าจิตควรทุกข์ไหม พิจารณาจนเกิดความเห็นเเจ้งว่าเป็นเเค่ทุกข์ที่หมุนเปลี่ยน ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก เเม้เเต่ตัวทุกข์เองก็ยังทนได้ยากไม่คงอยู่ เเต่จิตเราไปยึดเเล้วไม่ยอมจบ เหมือนร่างกายต้องเปลี่ยน การเปลี่ยนเรียกว่าทุกข์ การเปลี่ยนที่ทนได้ยากเรียกว่าความทุกข์ ทุกข์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เเต่ที่มนุษย์เอามาเป็นทุกข์เพราะว่าเรามีตัวตนให้ยึดถือ ถ้าเราพิจารณาให้เห็นจะรู้ว่าทุกข์มีอยู่จริงเเต่ไม่เคยทำเราเจ็บ เป็นเเค่นั้น เปลี่ยนไปเเค่นั้น เป็นไปตามธรรมชาติ จงมองเห็นทุกข์ให้ธรรมดาเเล้วจะไม่ทุกข์ เหมือนเรามีความเเก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มีการโดนด่าเป็นธรรมดา เราต้องทุกข์ทุรนทุรายด้วยไหม ก็เเค่เห็นเเค่รู้เท่านั้น นั่นคือธรรม
(ตัดความโลภโกรธหลง แล้วก็ทำใจให้ว่าง) ตัดมันออกจากใจเลย ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้นะ มีโลภโกรธหลงได้ แต่มีแล้วไม่เอามัน มีแล้วไม่ตกเป็นทาสของมัน ทำได้ไหม (ทำได้ จะพยายาม) ถ้าให้ตัดไปเลยมันทำยากนะ เพราะเลี้ยงมันมาตั้งกี่ปีก็ไม่รู้ (ใช่ มีตั้งแต่เราเกิด)
(ตัดความหลงออก เพราะรู้สึกเอาออกยากเหลือเกิน หลงอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นความอยาก อยากจะเอาออกไปมาก) พระพุทธะสอนให้มีปัญญา อะไรที่เราหลงแล้วทำให้เราโง่ทำให้มองไม่เห็นแจ่มแจ้งก็อย่าหลงแล้วความหลงก็จะกลายเป็นปัญญา อาจารย์ถามศิษย์นะ มีอะไรในโลกที่เรามีแล้วมันไม่ขบ ไม่กัด ไม่ทำให้เราเจ็บปวดบ้าง มีไหม (ไม่มี) มีได้ ถ้าเรามีแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เรียกว่า มีอย่างคนมีปัญญา
(อยากจะเอาความทุกข์ออก สมมติว่าเราซื้อหวยแล้วเสีย ถ้ามองว่าซื้อหวยแล้วทุกข์ เราก็ไม่ต้องซื้อหวย) ศิษย์อยากเอาหวยหรือเอาทุกข์ออกจากใจ (เอาทุกข์ออก) อาจารย์ว่าเอาหวยออกจากใจมากกว่านะ เอาทุกข์ออกจากใจ เอาทุกข์ออกไม่ได้ ทุกข์คือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ทุกข์นั้นทำให้เราเติบโต ทุกข์ทำให้เราเปลี่ยนแปลง ทุกข์นั้นทำให้เรารู้จักปล่อยวางและทุกข์ทำให้เรารู้จักเข้มแข็งทุกข์ไม่น่ากลัว เพราะมีทุกข์จึงมีชีวิต เพราะมีทุกข์จึงพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่บอกว่าซื้อหวยถูกแล้วจะเอาเงินมาทำบุญ บุญแบบนั้นอาจารย์ไม่เอานะ มันเป็นบุญร้อน (นักเรียนขอแอปเปิลอีกลูกไปฝากอาจารย์รับรอง) ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้นะ ลูกเดียวถ้ารู้จักใช้ปัญญา มันก็แบ่งคนเป็นร้อยเป็นพันได้ แต่ถ้าลูกเดียวอับจนปัญญามันก็ไม่พอแม้ตัวเราหนึ่งคน จริงไหม
(นักเรียนคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า จะเอาความโลภออกจากตัวเราได้อย่างไร) ศิษย์เอ๋ย ไม่ยากเลย พอบ้างหรือยัง หยุดอยากบ้างหรือยัง อาจารย์ถามหน่อยนะ โลภมา แค่เราก็หนึ่งทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายก็อีกทุกข์หนึ่ง ผิดหวังก็อีกทุกข์หนึ่ง แล้วศิษย์ไปโลภเอาอันนี้มา ศิษย์ก็เพิ่มทุกข์อีกทุกข์หนึ่ง แล้วทุกข์นี้แน่ใจหรือว่าโลภแล้วมันจะทุกข์เดียวจบ โลภอยากได้คนนี้ ศิษย์ว่าจะได้ทุกข์กับเขาแค่หนึ่งครั้งไหม (ไม่) ศิษย์จะทุกข์กี่ครั้ง (ร้อยครั้ง) นับไม่ถ้วนมากกว่าร้อยด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด เราจะไม่อยากได้อะไรในโลกเลย เพราะยึดเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ห่วงเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์พิจารณาจนเกิดธรรมเนืองๆ แล้วศิษย์จะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องพยายามเลย เพราะเราเห็นมันชัด(โลกนี้ความทุกข์กับความสุขเป็นของนอกกาย เราอย่าให้ความสำคัญกับความทุกข์หรือความสุขจนเกินไป แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ จะไม่สุขจนเกินไป เวลามีทุกข์เราอย่าเสียใจมาก เวลามีความสุขเราอย่าดีใจมาก) รักษาใจให้เป็นกลางอยู่เสมอ ศึกษาธรรมสำคัญอย่างเดียวนะศิษย์ ขอแค่รู้เท่าทันใจตน แต่ส่วนใหญ่คนมักจะหลงตัวเอง จนกระทั่งต้องเจอปัญหาก่อนจึงอยากจะบำเพ็ญธรรม ถึงเวลานั้นก็สายไป จริงไหม
(อยากเอาความคาดหวังออกจากใจ) เวลาทำอะไรใจก็อดมีความคาดหวังไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ เวลาศิษย์ทำอะไรแล้วทำเต็มที่หรือยัง ทำสุดกำลังหรือยัง แล้วไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรมหรือยัง ถ้าทำสุดตัว ทำเต็มที่ ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม อะไรจะเกิดมันก็เกิด นี่จึงเรียกว่าทำอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่คาดหวังอีกต่อไป ขนาดของที่สวยที่สุดในโลก คนก็ยังนินทา แล้วมีอะไรบ้างที่ทำแล้วจะไม่ถูกคนว่าให้เราผิดหวัง ทำดีคนก็บ่น ทำชั่วคนก็ด่าหรือไม่ทำอะไรเลยคนก็ต่อว่า
ฉะนั้นสำคัญคือ รักษาใจตัวเองดีกว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนให้เป็นดั่งใจเราได้ เเต่เรารักษาใจเราให้เข้มเเข็งเเละรับมือกับความจริงที่เกิดขึ้น ธรรมจึงทำให้เรารู้จักมองความเป็นจริงได้อย่างเข้มเเข็ง (กิเลส โลภโกรธหลงออกไป เเล้วต้องมีสติว่าต้องปล่อยวาง) เวลาเจออะไรต้องนิ่งให้ได้ก่อนเเล้วสติจะตามมา ถ้ายังนิ่งไม่ได้สติก็ไม่มา สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดกิเลสตามมา
มีวิธีใดที่ระงับความโกรธ หรือไม่อยากให้โกรธง่าย มีวิธีใดที่จะกำจัดความโกรธออกไป ไม่ยากเลย ถ้ามองเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เเล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เเล้ว เราอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก) คนเรามักจะโกรธคนที่ต่ำกว่า เเย่กว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่าทำดีเเล้วทำไมคนดีต้องถูกกดขี่ข่มเหง เพราะเรามักคิดว่าเราสามารถต่อว่าคนที่เเย่กว่าเราได้ คนที่ต่ำกว่าเราได้ เรามีสิทธิ์พูดได้ ศิษย์เคยโกรธคนที่อยู่ข้างบน คนที่สูงกว่าเราหรือไม่ มีแต่แอบด่าเขาแต่ไม่กล้าโกรธเขาต่อหน้าแต่คนที่ศิษย์โกรธมากที่สุดคือคนที่ต่ำกว่า โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ด่าไปให้เต็มที่ อย่างนั้นอาจารย์ถามใจลึกๆ ถ้ามีคนที่สูงกว่าเราแล้วเอาแต่ด่าศิษย์ ศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้) ใจเขาใจเรา เขาไม่รู้ เขาต่ำกว่าก็แย่แล้ว เรารู้มากกว่าทำไมจึงไปกดขี่ข่มเหงเขา ใจเขาใจเรา อย่าสร้างวิบากกรรม ไม่อย่างนั้นศิษย์จะต้องรับชะตากรรมที่ศิษย์ก่อ แม้ศิษย์จะทำดีแค่ไหนศิษย์ก็จะโดนกดขี่ ข่มเหง เพราะศิษย์เคยกดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่า เหมือนถามคนในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสระหว่างคนที่ดีกว่ากับคนที่แย่กว่าศิษย์จะแกล้งคนไหน (คนที่แย่กว่า) ศิษย์เอาเปรียบคนที่เก่งกว่าหรือคนที่แย่กว่า (คนที่แย่กว่า) นั่นแหละคือนิสัยศิษย์ แล้วทำไมบอกว่าเราเกิดมาลำบากแล้วทำไมยังต้องมารังแกเราอีก แล้วทำไมเราไปรังแกคนที่ต่ำกว่าล่ะ เขาผิดหรือที่เขารู้ช้า เขาผิดหรือที่เขาไม่เข้าใจเรา (ไม่ผิด) ใจเขาใจเรานะ อย่าสร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้เราต้องรับกรรมไม่จบสิ้น ศิษย์รู้ไหมว่าฆ่าคนให้ตายยังไม่เจ็บแค้นเท่ากับด่าให้เราเจ็บปวด ฆ่าให้ตายดีกว่าแต่อย่ามาด่ากันอย่างนี้ จริงหรือไหม (จริง) ฉะนั้นศิษย์อยากให้เขาผูกใจเจ็บหรือ (ไม่อยาก) ก่อนจะโกรธ ใจเขาใจเรา ไม่มีใครอยากโดนด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
(คำว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ คำนี้มีความหมายอย่างไร) อาจารย์จะให้ศิษย์ทำเลย แล้วศิษย์จะได้รู้เลยว่าสวรรค์กับนรกต่างกันอย่างไร เอาไหม (เอา) อย่างนั้นศิษย์เดินออกไปเจอหน้าใครก็ด่าให้หมดเลย ด่าให้ไม่มีชิ้นดีเลย แล้วศิษย์จะรู้เลยว่านรกเป็นอย่างไร กับอีกอย่างหนึ่งเดินไปเจอใคร ขอบคุณๆ นั่นแหละคือสวรรค์ (ขั้วบวกขั้วลบเลย) ชัดเจนไหม (ชัดเจนมากเลย) ลองทำไหม (ไม่ลอง) อย่างนั้นอย่าไปลองที่บ้านนะ ไม่อย่างนั้นจะมีนรกในบ้าน
(ทำอย่างไรจะให้ใจตัวเองหยุดอยากได้) อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ที่แล้วมาเจ็บยังไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ยังไม่พออีกหรือ อย่าถามอาจารย์เลย ถามศิษย์ดีกว่า เจ็บไม่เข็ดอีกหรือ ทุกข์ไม่พอ สู้ไหวไหม ถ้าใจไม่เข้มแข็งพอ อย่าอยากอีกเลย เพราะมันเจ็บมาพอแล้ว เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”)
ผิดบาปทั้งมวลยากอยู่แค่คำว่ามีสำนึก ถ้าเรามีสำนึกดีเราจะทำบาปเราจะทำชั่วไหม (ไม่) เราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ไม่ผิดศีลเลย ไม่ขาดธรรมเลย ใช่หรือไม่ ลองเอาไปศึกษาพิจารณาต่อนะ
ดูแล มุ่งมั่น บำเพ็ญ อุทิศเสียสละเพื่อมวลชนด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คนด้วยหัวใจที่ประเสริฐ อยู่ในโลกอดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว แต่การศึกษาธรรมสอนให้เรารู้จักเห็นแก่ผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ มีแต่จะทำอย่างไรเพื่อจะช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด ทำอย่างไรจะเสียสละจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำให้ได้มากที่สุด ถ้าทำได้เช่นนี้ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นคนหรอกศิษย์
อาจารย์หวังว่าในชั้นนี้ คงจะมีสักหนึ่งคนหรือมากกว่าหนึ่งคนที่เดินตามรอยพุทธะอย่างแท้จริง ปฏิบัติจริง บำเพ็ญจริง มุ่งมั่นจริง ที่ยังต้องอดทนแสดงว่าเรายังมีตัวตนให้ต้องขัดเกลา แต่ถ้าไม่มีคำว่า “อดทน” แปลว่าไร้แล้ว ตัวตนไม่น่ายึดถือหรอก มีแต่นิสัยความเคยชิน คำว่า “ธรรม” มีแต่ความโปร่ง โล่ง เบา อิสระและมีแต่ความเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเบิกบานใจ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งปิติสุข แต่ถ้าศิษย์บำเพ็ญแล้วไม่มีความสุข ถามตัวเองนะกำลังยึดมั่นถือมั่นอะไรที่หลงผิด รีบแก้ไขนะ หัวใจแห่งพุทธะคือหัวใจแห่งผู้เข้าถึงธรรม ธรรมที่มีแต่ให้ มีโอกาสคงมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ ขอบคุณความเสียสละ ขอบคุณความมุ่งมั่นที่ตั้งใจฟังจนจบในสองวันนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวศิษย์เองทั้งนั้น
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจแห่งผู้มีสำนึกดี”
ความหลงผิดพาคนไกลห่างความดี เกิดอารมณ์ชั่ววูบทีสำนึกหาย
จากเล็กน้อยจนขาดศีลผิดธรรมไป ขออย่าให้เป็นเช่นนี้กันอีกเลย
ผิดไม่ทำบาปไม่ก่อกรรมไม่สร้าง ย้ำแนวทางอันถูกต้องเป็นศุกลเผย
สำนึกดีปฏิบัติดีไม่ละเลย ให้ชินเคยจนฝังแน่นติดตรึงตรา
ความยากลำบากมายกใจให้สูงยิ่ง คนดีจริงมุ่งทำจริงพร้อมฟันฝ่า
มีเมตตาครองธรรมไว้ในกรุณา โชควาสนาหรือจะสู้คนมานะดี