วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-10 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一七年嵗次丙申二月十三日            仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐       สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ 
  มีอารมณ์ใช่ต้องเป็นทาสอารมณ์          แค่รู้ตนไม่วู่วามไปกันใหญ่
มีสติคิดถึงโทษผลทุกข์ใจ                      ยั้งยั้งยั้งทำใจได้ย่อมใจเย็น
                  เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ฝึกจิตตนตามเวลาตะวันเดือน              ตราบไหลเลื่อนไปวันสิ้นสังขาร
มโนธรรมดั่งฟ้าฟาดคอยลงทัณฑ์            มรสุมโยนฝ่าฟันญาณไม่ตาย
สภาวธรรมเดิมจิตบ่อน้ำใส                    อะไรหายสำนึกดีเกิดอย่าหาย
แม้ตกหล่นในวัฏฏะทางอบาย                พลานุภาพแห่งความดีให้สติปัญญา
ผิดกลืนถูกทั้งหลายแหล่เพราะอะไร        พลั้งไปในความไม่สิ้นริษยา
ป่วยไม่หายเห็นรู้ไม่เยียวยา                   ใช้การตัวแก่ตัวล้าสะบักสะบอม
รู้ดังนี้เองใจรีบบำเพ็ญ                          หลายโรคเป็นเพราะอารมณ์หล่อหลอม
โมโหร้ายทั้งรู้แต่ไม่ยอม                        รู้จักแก้ไม่รั่วย่อมเป็นนาวา
ขวักไขว่ดั่งเรือน้อยกลางพายุ                 ลมที่รู้แล้วยุคลื่นสิงหา
ผิดยังทำช่างมืดบอดปัญญา                   แม้จิตกลัวไม่มัวช้าปรับปรุง
                                                                                           ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ 
วันนี้มานั่งฟังธรรมเกือบหนึ่งวันแล้ว ไหวไหม (ไหว)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมอย่างไรก็ต้องบอกว่าไหวอยู่แล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่นักเรียนนั่งเงียบ      รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องใช่ไหม (ใช่)  รู้สึกว่าตัวเองเก่งไหม (เก่ง)  เพิ่งรู้นะว่าชั้นนี้ชมตัวเองเป็น
“มีอารมณ์ใช่ต้องเป็นทาสอารมณ์ แค่รู้ตนไม่วู่วามไปกันใหญ่”
เวลาเรามีอารมณ์จำเป็นต้องตกเป็นทาสอารมณ์เสมอไหม แค่รู้ตนแล้วไม่หงุดหงิดหรือไม่วู่วาม เวลามีอารมณ์ขึ้นมาแล้วเรารู้ตัวได้ทันมีสติยั้งคิด โมโหไปแล้ว หงุดหงิดไปแล้ว มีแต่โทษ มีแต่ผลร้าย เหมือนจุดไฟเผาใจตัวเอง คิดว่าจะเผาใจเขา แต่เป็นเผาใจเราก่อน ถ้ายั้งได้คิดได้ระลึกถึงโทษได้ คนๆ นั้น จากใจร้อน ก็กลายเป็นคนใจเย็น ถ้าอย่างนั้น ถามหน่อยนะ นักเรียนชั้นนี้เป็นคนใจร้อนหรือใจเย็น (ใจเย็น)  ใจเย็นตอนที่ไม่มีอะไรมากระทบ  ที่ไม่มีใครมาพูดขัดหูและใจเย็นตอนไม่มีใครว่าใช่ไหม แต่ถ้าโดนขัดหู โดนว่า โดนขัดใจ ใจร้อนทันที
นักเรียนในชั้นชอบทำบุญไหม (ชอบ)  ชอบฟังธรรมไหม (ชอบ)  บุญก็ทำ ทานก็ทำ ธรรมก็ฟังใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้เราบอกท่านก่อนว่า สิ่งที่เรามาคุยกับท่านไม่ใช่ลัทธิใหม่ ไม่ใช่ศาสนาใหม่ แต่เรามาคุยกับท่านเรื่องธรรม เรื่องหลักธรรมที่ใช้ในการดำเนินชีวิต เรื่องหลักธรรมในการดำรงตนให้อยู่ในโลกใบนี้ไม่ต้องทุกข์ เรามาคุยกันเรื่องธรรมเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เราไม่ได้บอกให้ท่านเปลี่ยนศาสนา เราไม่ได้บอกให้ท่านนับถือลัทธิใหม่ ศาสนาใหม่ แต่เรากำลังพูดเรื่องธรรม ฉะนั้นถ้าพูดเรื่องธรรม ไม่ว่าศาสนาไหนก็ฟังได้ และถ้าพูดเรื่องธรรมไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ใช่ได้ แต่ทำไมมนุษย์ถึงเข้าใจว่า “ถ้าพูดเรื่องธรรม ทำไมใช้ได้แต่ในวัด”  จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าพูดเรื่องธรรมต้องใช้ใน (ชีวิตประจำวัน)  เพราะธรรมสอนให้เรารู้จักใช้ชีวิตอย่างคนมีสุขแล้วพ้นทุกข์ และธรรมสอนให้เราเป็นมนุษย์ประเสริฐ และธรรมสอนให้พ้นทุกข์ไม่จมอยู่ในความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าแค่ฟังธรรม แต่จงรู้จักปฏิบัติธรรม และมองให้เห็นธรรม และทำทุกอย่างบังเกิดธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบทำทุกอย่างตามอารมณ์ ตามนิสัย ฉะนั้นสิ่งที่ได้ก็กลายเป็นความทุกข์ อารมณ์ กิเลส แต่ถ้าเราศึกษาธรรม แล้วเราเอาธรรมนำไปใช้ สิ่งที่ได้น่าจะเป็นความสงบ ความสุข ความเบิกบานใจใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าวันนี้มาตั้งใจฟังธรรม เราฟังธรรมด้วยจิตใจสงบนิ่ง เราฟังธรรมด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ เบิกบาน นั้นก็เรียกว่า เป็นบุญ แต่ถ้าเราฟังธรรมแล้วจิตใจหมองมัว จิตใจว่าคนที่ชวนมา นั่นก็เป็นทุกข์เป็นบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราฟังด้วยจิตใจเบิกบาน ขอบคุณคนที่ชวน ขอบคุณคนที่พูด แล้วนอกจากแผ่สิ่งที่ดี จำไว้นะ จะเอาสิ่งดีไปบอกต่อ เป็นบุญหนึ่งเท่า สองเท่า สามเท่า เราฟังแล้วบังเกิดจิตแบบนี้ หรือฟังแล้วบังเกิดเบื่อจัง รำคาญจัง เมื่อไหร่จะจบเสียที คนชวนมาจำไว้เลย ถ้าเจอหน้าแล้วจะไม่เอาอีกเลย อย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่)  ที่คิดแล้วๆ ไป ตอนนี้ไม่ใช่ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเข้าสู่การฟังธรรม เราก็ต้องให้ได้ธรรม ได้พบธรรม แล้วได้เจริญธรรม ให้ธรรมงอกเงย ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วได้บาป ได้ความขุ่นมัว ได้ความไม่สบายใจ ได้ความทุกข์ใจ เช่นนี้ฟังแล้วเอาไปใช้ผิดทางถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นน่าจะฟังธรรมแล้วสบายใจ เบิกบานใจถูกหรือไม่ (ถูก) 
เราถามท่านนะ ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจในหลักธรรม ธรรมสอนให้เราละ หรือ ธรรมสอนให้เรายึด (สอนให้เราละ)  ว่าอย่างไร “ธรรมสอนให้เราละ หรือธรรมสอนให้เรายึด” (ละ)  ถ้าอย่างนั้นความดีความชั่วสอนให้เราละ หรือสอนให้เรายึด นั่งฟังมาตั้งเยอะ เรียนรู้ธรรมมาก็มาก ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่ใคร่ศึกษาหลักธรรมที่แท้จริง ธรรมสอนให้ละ หรือธรรมสอนให้ยึด (ละ, ยึด)  ถ้าอย่างนั้นความดีกับความชั่ว เราควรละหรือเราควรยึด (ควรละ, ควรยึด)
ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่ใคร่ศึกษาหลักธรรม ถ้าท่านคือผู้หนึ่งที่รักในการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม หลักธรรมโดยทั่วไปสอนให้ละชั่วบำเพ็ญดีและทำจิตให้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ธรรมควรสอนให้เราละหรือควรสอนเรายึด (ยึด)  นั่งหรือยืนดี (นั่ง)  ถ้าไม่ยึดว่าต้องนั่ง แม้ยืนก็ไม่ทุกข์ แม้นั่งก็ไม่สุขจริงไหม แต่ถ้ายึดว่าต้องนั่ง ยืนก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นธรรมควรสอนให้ละหรือยึดดี (ละ)  ละใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นละชั่ว ดีก็ละใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าละชั่วแล้วยึดดีใช่หรือไม่ (ใช่) 
ธรรมสอนให้เราละ (ละความชั่ว ยึดความดี)  ธรรมสอนให้เราละใช่ไหม แต่ถ้าพูดถึงความดี ความชั่ว ก็ต้องละชั่ว ยึดดี ส่วนใหญ่จะเข้าใจอย่างนี้ แต่เราว่าน่าจะเป็นละชั่วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จริงหรือไม่ พอคิดว่ายึดดีก็มีคิดแบบนี้ว่า แล้วทำไมพยายามยึดดีทำดีแล้วไม่ได้ดีใช่ไหม แล้วทำไมกลับไม่ได้ดีถูกไหม (ถูก)  ถามต่อว่า ถ้ามีคนคนหนึ่งชอบยึดดี ชอบความดี ชอบหวังดี ท่านว่าดีไหม (ดี)  เคยเจอคนที่พูดว่าฉันหวังดีไหม (เคย)  พอพูดคำนี้แสดงว่าคนนี้ยึด อยากให้คนที่เรารู้จักดี ถูกหรือไม่ แล้วเวลาคนที่หวังดีอยากให้คนตรงข้ามดีเขาก็จะเรียกร้อง ดีกว่านี้สิ พูดดีกว่านี้หน่อยได้ไหม ทำดีอีกหน่อย อย่างนี้ยังไม่ดี ต้องดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง เรียกร้องมากๆ ทำไมเรารู้สึกขัดเคืองใจ หงุดหงิดใจกับความหวังดีมากๆ นี้ อย่างนั้นแปลว่าทำดีไม่ได้ดีใช่ไหม (ใช่)  หรือว่าเรากำลังยึดดีผิดทาง หรือเรากำลังปฏิบัติดีผิดทาง หนูหวังดี พ่อหวังดี แม่หวังดี เธอต้องดีกว่านี้สิใช่ไหม เพราะอะไรเพราะหวังดี ยึดความดีแล้วทำดีเลยรู้สึกทำไมไม่ได้ดีล่ะ ก็ผมหวังดี อย่างนั้นทำดีแล้วควรยึดไหม (ไม่ควรยึด)  ดีทำควรยึดแล้วเรียกร้องให้คนอื่นต้องทำตามไหม อย่างนั้นแสดงว่าดี ก็ไม่ควรยึดใช่ไหม (ใช่)
แล้วโดยส่วนใหญ่ คนทุกคนอยู่ในโลกอยากเป็นคนดี ไม่อยากเป็นคนชั่ว พูดได้เต็มปากเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราละชั่วเลยยึดดีใช่ไหม (ใช่)  พอยึดดีมากๆ ฉันคนดี พอโดนใครพูดว่าเธอมันไม่ดี โกรธไหม (โกรธ, ไม่โกรธ)  อย่างนั้นดีควรยึดหรือไม่ควรยึด ดีเอาไว้แค่ปฏิบัติพอปฏิบัติได้ถึงที่สุดก็ต้องละ ก็ต้องวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคยไหมอยากมีดีมากๆ ชีวิตอยากเจอแต่เรื่องดีมากๆ อะไรฉันต้องดีก่อน ได้ก่อน ถูกและดีก่อน คนอื่นผิดช่างปะไร เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่)  ฉันต้องได้ดีก่อน ส่วนเธอจะดีไม่ดีช่างปะไร ฉะนั้นอย่าพูดว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ต้องถามก่อนว่า ดีที่ท่านพึงยึดปฏิบัตินั้น มันดีถูกต้องแก่หลักธรรมที่ควรถือไหม เราเป็นพวกถือดีมากไปไหม เราเป็นพวกที่หวังดีมากไปไหม และเราเป็นพวกที่ติดดีจนร้ายไม่ได้ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถามกลับ ดีควรละ หรือดีควรยึด (ควรละ)  ละไม่ทำเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นจะบอกให้ท่านรู้ว่า ธรรมสอนให้คนประพฤติปฏิบัติดี เมื่อทำจนถึงที่สุด ก็ต้องละ ต้องวาง แต่ถ้าทำดีแล้ว โดนคนว่า โดนคนประณาม ลองตรวจสอบใจดูว่า ดีนั้นถูกต้องกับศีล ถูกต้องกับธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนแล้วไม่ตระบัดสัตย์ ไม่คดโกงไม่เอาเปรียบ ฉะนั้นถ้าทำดีไม่ได้ดี ไม่เห็นจะต้องกลัว ก็ไม่เห็นจะต้องท้อ เพราะทำดีมีดีอยู่แล้วในตัว แต่ถ้าทำแล้วผิดศีลขาดธรรมฟ้าไม่กล้ามอง ดินมองแล้วไม่รู้จะมุดไปอยู่ที่ไหน คนก็มองได้ไม่ตรง
ฉะนั้นธรรมสอนให้คนไม่หลง แต่คนมักหลงต่อการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่ได้สอนให้มนุษย์แบ่งแยกยึดติด แต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความจริงไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม แต่รักษาใจเราให้ปกติ  อย่างนั้นธรรมคืออะไร ธรรมคือการเรียนรู้ปฏิบัติ เรียกร้องตน ไม่ใช่เรียกร้องผู้คน ลองถามท่านนะ ทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้มั่นคงแน่วแน่ โดนอะไร ไม่กระทบก็ยังรักษาดี ถามสิว่า คนที่ทำดีอย่างไม่ยอมแพ้ ย่นย่อ ไม่หวาดหวั่น มีหรือจะไม่มีใครเดินตาม มีหรือที่ดีขนาดนี้ จะไม่มีใครเล็งเห็นความดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเข้าใจความดีให้ถูก ไม่เช่นนั้นก็จะดีอย่างคนยึดติด พูดได้ดี พูดได้เพราะ คนเขาก็พูดดีพูดเพราะตาม เจอหน้าเอะอะ มะเทิ่ง เขาจะพูดเพราะกลับไหมล่ะ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมไม่มืดบอดในอารมณ์และความยึดติด ท่านก็จะมองเห็นว่า โลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดี ผลก็ย่อมได้ดี แต่เมื่อเราเรียนรู้ถึงธรรมไปสักระยะหนึ่ง เราจะรู้ว่าถ้าไม่มีเหตุก็ไม่ต้องรับผล ถ้าไม่มีตัวตนให้ยึดถือ แล้วทุกข์จะบังเกิดได้ที่ใด จริงหรือไม่ (จริง)  แต่มนุษย์ยังอดยึดติดตัวตนกันไม่ได้ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถามต่อว่าระหว่างความดีกับความชั่วอะไรร้ายกว่ากัน (ความชั่ว)
ความดีร้ายกว่าความชั่วใช่ไหม (ใช่)  เหตุใดจึงตอบเช่นนี้ ไปเจออะไรมาหรือ บางคนมาด้วยท่าทีที่ดูดีแต่จริงๆ แล้วแอบร้ายลึกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความดีน่ากลัวใช่ไหม เราไม่ต้องทำดีเลยใช่ไหม อย่างนั้นเราถามกลับ ความดีน่ากลัวหรือใจเราหลงยึดติดเพียงภายนอก แล้วหลงลืมวัตถุประสงค์ที่เขากำลังสื่อให้เราจริงไหม (จริง)  มนุษย์ชอบตัดสินดีชั่วเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ มนุษย์ชอบตัดสินดีหรือไม่ดี เพียงเพราะชอบ ไม่ชอบ เป็นบรรทัดฐานใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เขาชมถูกใจหน่อย แล้วคนที่ชมพอลับหลังเราเป็นอย่างไร (ไม่ดี)  เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (เรา)  อยากได้ดอกไม้จากเราเป็นรางวัลไหม (อยาก, ไม่อยาก)  กลัวรับดอกไม้แล้วต้องบำเพ็ญต่อ แล้วถ้าไม่รับแสดงว่าไม่บำเพ็ญใช่ไหม (บำเพ็ญ)
ถามต่อตกลงความดีหรือความชั่วที่น่ากลัวกว่า ให้เลือกสองก็มองแค่สอง ทำไมไม่มองมากกว่าสองล่ะ ลองมองให้เห็นแท้จริงสิว่า จริงๆ แล้วดีถ้าปฏิบัติอย่างยึดก็น่ากลัว ชั่วแต่รู้สึกนึกก็กลับกลายเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าชั่วแล้วยังบอกว่าฉันได้แค่นี้ ก็ฉันชั่วจะทำไมแบบนี้ก็ไม่ดีแน่ๆ ใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งไม่ดีอยู่ที่ดีอยู่ที่ชั่วหรืออยู่ที่ (ใจ)  รู้แล้วใช่ไหม อยู่ที่เราเอาสิ่งนั้นมาปฏิบัติเช่นไร แม้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้าปฏิบัติอย่างหลงผิด ความดีก็กลายเป็นความไม่ดี แม้จะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแต่เกิดจิตสำนึกรู้ทันแก้ตัวได้ ความชั่วก็อาจจะทำให้คนกลายเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีหรือร้ายไม่ได้อยู่ที่เรื่องราว แต่อยู่ที่ตัวเราเองเอาสิ่งนั้นไปทำเช่นไร หรือบอกอีกอย่างหนึ่งว่าดีหรือชั่วไม่น่ากลัวเท่ากับความไม่รู้ตัวตน
ดีหรือชั่ว ไม่น่ากลัวเท่ากับความหลงตน ดีหรือชั่วไม่ร้ายเท่ากับความเห็นผิดในตน ดีหรือชั่วไม่น่ากลัวเท่ากับความหลงผิด คิดผิดในตน เหมือนที่เราบอกท่านแต่ต้น ถ้ามีคนชมว่าท่านดี ท่านก็รักษาความดี แต่ถ้ายึดมั่นความดีจนใครว่าไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ดีถูกไหม (ถูก)  ถ้าสมมติว่าท่านปฏิบัติชั่ว แล้วคนว่าท่าน ท่านเกิดสำนึกแก้ไขได้ นั่นแปลว่าชั่วร้ายหรือ ก็ไม่ร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีหรือไม่ดี ไม่น่ากลัวเท่ากับความหลงตัวเอง ฉะนั้นเราอยากจะบอกท่านว่า ในโลกนี้สิ่งใดหรือที่น่ากลัวที่สุดเท่ากับความชั่วหรือร้ายเท่ากับความชั่ว นั่นก็คือ ความหลงไม่รู้จักตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เห็นถูกเห็นผิด เหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งกิเลสตัณหาไม่จบสิ้น”  แต่เมื่อไรเห็นถูก ความคิดก็พ้นจากกิเลสตัณหา วัฏฏะเวียนวน แต่เมื่อไหร่ที่พ้นจากความถูกผิด นั่นคือ ความบริสุทธิ์โดยแท้จริง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ติดดีจนน่ากลัว และรังเกียจความชั่วจนน่าชิงชังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครน่ารังเกียจมา มีไหมที่เราไม่แอบนินทา ใครน่าเกลียดทำผิดมา มีไหมเราไม่แอบบ่น มีไหมเวลาเขาทำผิด แล้วเราไม่เผลอวิพากษ์วิจารณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นเป็นเพราะว่าเราติดดีแล้วเกลียดชั่วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมสอนให้รัก หรือธรรมสอนให้ละวางแล้วเข้าใจ (ละวางแล้วเข้าใจ)  ธรรมไม่ได้สอนให้ท่านทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินใคร ฉะนั้นเราเป็นผู้ที่ตัดสินใครไหม (ไม่)  ชอบวิพากษ์วิจารณ์ไหม (ไม่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ปฏิบัติธรรม สิ่งที่สำคัญคือ ถามตัวเองถูกต้องหรือยัง ก่อนจะไปตัดสินคนอื่น ก่อนจะไปว่าคนอื่น ฉะนั้นธรรมจึงมุ่งสอนให้เรียกร้องตน ปฏิบัติที่ตน ไม่ใช่เอาไปแก้ไขใคร ตรวจสอบใคร วัดใครใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากรู้ไหมว่า ปฏิบัติอย่างไร ถึงจะทำแล้วได้ดี
เรามีหน้าที่ชี้ให้ท่านเห็นว่าความสว่างมันไม่ได้อยู่ไกลโพ้น แต่ความสว่างมันอยู่แค่ตรงนี้ คิดได้ มองออก ปลงตก ละวางได้ เข้าใจได้ มันสว่างทันที ทำบุญหวังผลชาติหน้า แต่ประพฤติปฏิบัติดีเอาตอนนี้เลย ทำได้ตอนนี้ก็เข้าใจตอนนี้ สว่างตอนนี้ สุขตอนนี้ ทำไมต้องไปหวังผลดาบหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมต้องบอกว่าเดี๋ยวก่อน ทำตอนนี้เลยถูกไหม (ถูก)  เราถามท่าน มาฟังธรรมเพื่ออยากจะได้ดี ใช่ไหม ทำบุญสุนทานเพื่ออยากจะได้ดีในอนาคต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมต้องรออนาคต ทำไมไม่ทำเดี๋ยวนี้แล้วคิดได้ตอนนี้ ปฏิบัติตอนนี้ แล้วดีตอนนี้ล่ะ ถ้ายอมรับเรานิดหนึ่ง นั่งตรงนี้ก็เป็นสุข แต่ถ้ารำคาญเรามากๆ นั่งตรงนี้ก็เป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมสอนให้ละหรือธรรมสอนให้ยึดความคิดตัวเอง ธรรมไม่ใช่สอนให้ละวาง แล้วมองความจริงอย่างเข้าใจและเป็นสุข จริงไหม (จริง)   ยึดว่าไม่เอาๆ แล้วใครทุกข์ (เรา)  เราทุกข์กับท่านไหม (ไม่)  เราก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนท่านกราบพระแต่ถ้าท่านไม่เอาใจพระไป พระจะไปกับท่านไหม กราบพระแต่ไม่เอาหัวใจแห่งพระไป ท่านจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  แต่ธรรมสอนให้เราทำโดยไม่หวังผล เพราะธรรมสอนว่าถ้าหวังผลก็แปลว่าเราอยากหาตัวตนไปรับผลแห่งบุญกรรมนั้นไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมสอนให้เราละวาง ไม่เหลือตัวตนให้ต้องยึดถือและเป็นทุกข์อีกต่อไป ในเมื่อถึงที่สุดตัวตนเราก็ต้องทิ้งไว้บนโลกใบนี้ แล้วเราจะหาตัวตนอีกตัวตนเพื่อไปรับบุญรับกรรมทำไมอีกเล่า จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นหากท่านคือผู้หนึ่งที่สนใจใคร่ปฏิบัติในหลักธรรม ธรรมสอนว่ารู้แล้วทำให้ดีที่สุดแล้ว ก็ละวางอย่างเข้าใจ จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่ทำจนถึงที่สุด แล้วก็ยึดอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทนว่าต้องดี ร้ายไม่ได้ มันเป็นไปได้ไหม (ได้)  ถามว่าในชีวิตท่านมีดีไม่มีร้ายมีไหม (ไม่มี)  แล้วเราทำอย่างไรล่ะ จะปฏิบัติอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ ท่านเคยได้ยินคำนี้ไหมว่า ในร้ายก็มีดี ในดีก็มีร้าย ฉะนั้นที่วันนี้มองเห็นว่าร้าย มันอาจจะมีดี และที่มองเห็นว่าดี มันอาจจะมีร้าย และถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ ใครจะลวงหลอกท่านด้วยความร้าย หรือด้วยความดี มีแต่เราหลอกใจตัวเองก่อน เห็นว่าเขาดี แต่พอถึงเวลาเห็นว่าเขาร้ายทำใจไม่ได้ พอเห็นว่าเขาร้ายจนหาดีไม่ได้ดี แล้วก็สร้างศัตรูแล้วก็ทุกข์  แต่ถึงที่สุดเขาก็มีดี แล้วใครล่ะที่สร้างศัตรูไม่สร้างมิตร (เรา)  ฉะนั้นธรรมสอนว่า จงมองทุกอย่างเป็นกลาง อย่ายึดติดร้าย หรืออย่ายึดติดดี แล้วเราจะอยู่บนโลกอย่างไม่โดนหลอกลวง และเราจะอยู่บนโลกอย่างคนที่เข้าใจและไม่เจ็บปวด
ถ้าอย่างนั้นถามต่อนะ เงินมีมากๆ  ดีไหม (ไม่ดี)  มีสวนยางหลายๆ ไร่ หลายๆ ต้นดีไหม ราคายางขึ้นสูงๆ ดีไหม (ดี)  ขนาดพูดจนจบแล้วนะ ก็ยังไม่เข้าใจนะ เมื่อไหร่ที่ดีใจมากๆ กับสวนยาง เมื่อนั้นก็จะเจ็บปวดมากๆ กับต้นยาง เมื่อใดที่ดีใจมากๆ กับราคายางสูง เมื่อนั้นก็จะทุกข์มากๆ เมื่อราคายางตก ฉะนั้นอย่ามองแต่ความชอบชัง อย่ามองแต่ความดีร้าย แต่จงมองความจริงว่าในร้ายมีดี ในดีมีร้าย ถ้าวันหนึ่งมีคนเดินมาบอกว่า  วันนี้ฉันตัดใจแล้ว ฉันมีเงินก้อนหนึ่งอยากให้เธอเอาเงินไปลงทุน ไปปลูกยางเยอะๆ  ฉันไม่เอาเงินเธอสักบาท ปล่อยทิ้งไว้เสียดาย เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ให้เงินลงทุนไปปลูกยาง ปลูกจนโตเลยนะ แล้วจะเก็บผลก็ให้ท่านเก็บ เอาไม่เอา (เอา)  ว่าอย่างไรฝ่ายชายเอาไม่เอา (ไม่เอา)  ฝ่ายหญิง (ไม่เอา)  พี่เลี้ยงฝ่ายหญิง (ไม่เอา)  พี่เลี้ยงฝ่ายชาย (เอา)  ส่วนใหญ่เอา แต่ท่านอย่าลืมนะ ใจคนเปลี่ยนง่าย คำพูดคนอาจจะไม่แสดงถึงความจริงแท้ที่อยู่ภายใน เขาบอกว่าเขาไม่ แต่ถ้าเขาพูดว่า เขาไม่เอาในตอนนั้น แต่ตอนนี้ฉันจะเอา เจ็บไหม ทุกข์ไหม ลงแรงไปตั้งเยอะ คาดหวังสูงเป็นอย่างไร เขาร้ายหรือเราร้าย (เรา)  เราไม่ร้ายแต่ความโลภทำให้เราร้าย
จากที่จะดีกันเป็นอย่างไร ด่าโกรธ และหาว่าเขา (ร้าย)  ใช่ไหม อย่างนั้นเราพูดตรงๆ จากใจจริงที่ยุติธรรม เขาไม่ร้าย ท่านนั่นแหละโดนเขาหลอกแล้วไม่รู้เองใช่หรือไม่ หรือถ้าจะบอกว่าร้ายก็พอๆ กันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนที่ท่านมักจะพูดว่าบางคนปากร้ายแต่ใจดี  สวยแต่รูปจูบไม่หอม  ก็รู้อยู่แก่ใจ  เห็นไหมพูดอะไรรู้หมด แต่ถึงเวลาเขาเอาเงินมากองเอาไม่เอา (เอา)  เหมือนถ้าวันนี้ให้สามตัวเอาไม่เอา (เอา)  เราให้ได้ แต่ท่านเคยได้ยินไหมว่าเมื่อขึ้นสูงสุดก็ต้องตกเจ็บสุด เมื่อรู้ว่าโชคดี คืออะไร แล้ววันหนึ่งท่านก็จะรู้ว่าโชคร้ายที่สุดคืออะไร ฉะนั้นจะเอาโชคดี ดีไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นเราไม่ให้สามตัว ให้สี่ตัวเลยดีไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นไม่เอาก็ไม่ให้นะ  ไม่ให้ก็ไม่เอา ถ้าให้ก็เอา  ฉะนั้นถ้าท่านพึงระลึกอยู่เสมอในร้ายมีดี ในดีมีร้าย ปากร้ายก็อาจจะใจดี หน้าสวยแต่อาจจะใจคด ใช่หรือไม่ ไม่อยากสุขมาก ก็ไม่ต้องทุกข์มาก ไม่อยากสูงมาก ก็ไม่ต้องตกเจ็บมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าท่านเข้าใจหลักธรรมง่ายๆ ตรงนี้มีหรือจะโดนหลอกกับคำว่าดีหรือร้าย ทุกข์สุข เพราะถึงที่สุดจริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเราต่างหาก คุยกับเรายากไหม (ไม่ยาก)  ถึงที่สุดก็ขาดคนเดินตามและปฏิบัติจริงใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) 
ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ จงมองให้เกิดธรรมแล้วจะเกิดบุญ เกิดกุศล แต่มองอย่างคนยึดติดในชอบชังดีร้าย ก็หนีไม่พ้นเวียนวน เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดี เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เจ็บปวดไม่สิ้นสุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีเป็นของคนที่ประเสริฐ ประพฤติ ปฏิบัติสิ่งดี เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความสุข แต่เวลาปฏิบัติดีแล้วจนถึงที่สุด ก็อย่าลืมละวาง อย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไปนะ  ไม่ใช่เป็นคนดีแล้วว่าไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็เรียกว่า หลงติดดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะธรรมที่แท้จริงรู้จนถึงที่สุด ทำจนถึงที่สุด ก็ต้องเรียนรู้ เข้าใจ และปล่อยวางถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราไม่สร้างเหตุปัจจัยแห่งการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่า ฉันดี เราก็ไม่ต้องมีผลแห่งตัวตน ต้องไปรับดี แต่ถ้าเราดี เพราะความดี ก็ไม่มีตัวตนให้ไปยึดถือรับผลดี วัฏฏะก็ถูกตัดลงทันทีจริงหรือไม่ (จริง)  แต่จะมีใครหนอเข้าใจเหมือนที่เราพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราใคร่ถามจนถึงที่สุด สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเกิดดับ สังขารล้วนมีวันเสื่อมสลาย แต่จิตญาณเดิมแท้ ถ้ากลับคืนความว่างก็พ้นเวียนว่าย แต่ถ้าเข้าสู่ความยึดถือในบุญบาปแล้วไซร้ ก็หนีไม่พ้นทะเลทุกข์ หรือที่เรียกว่า วัฏสงสาร
พึงระลึกไว้เสมอนะ ทุกสิ่งเกิดทุกสิ่งดับ จงอยู่กับปัจจุบันขณะ  อย่าให้ความคิดวนเวียนอยู่กับอดีต กลุ้มกังวลอยู่กับอนาคต จนลืมทำวันนี้ตอนนี้ให้ดีที่สุด ถ้านั่งตรงนี้ด้วยสติและอยู่กับปัจจุบันเข้าใจในสิ่งที่เราพูด แต่ถ้านั่งตรงนี้ มัวห่วงโน่น ห่วงนี่ ตรงนี้ก็ไม่ดี ตรงนั้น ตรงโน้นก็ไม่ดี แล้วใครที่ทุกข์ (ตัวเรา)  พุทธะยื่นมือดึงให้ท่านพ้นทุกข์ แต่ท่านไม่จับมือพุทธะท่านจะก้าวข้ามทุกข์ได้หรือไม่ (ไม่)  ทุกข์มีไว้ให้เราทุกข์หรือมีไว้ให้เรียนรู้และเข้าใจ หรือเรียนรู้เข้าใจและปล่อยวาง หรือยึดติดอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรจะยึดติด (เรียนรู้เข้าใจและปล่อยวาง)  มัวจมอยู่กับความคิดชีวิตก็ไม่เหลือดีนะ มัวจมอยู่กับความรู้สึกและอารมณ์แล้วชีวิตจะได้โอกาสในการสร้างบุญอันดีงามหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นตื่นแล้วมองความจริง ยอมรับว่าชีวิตที่แท้จริงคืออะไร  ให้โอกาสตัวเองในการศึกษาหลักธรรม หาทางสว่างให้กับชีวิต ได้หรือไม่ (ได้)  ธรรมที่แท้จริงอยู่ในตัวท่าน หนทางที่สว่างและพ้นทุกข์ก็อยู่ในตัวท่าน  เราเพียงแค่เป็นคนเคาะเรียก แล้วเมื่อไหร่ท่านจะเปิดประตูก็เท่านั้นเอง  เราก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสตัวเองในการมาผูกบุญร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ขอโอกาสให้มาผูกบุญให้ครบสามวันนะ อยากรู้ว่าตัวเอง มีความอดทนมากแค่ไหน อยากรู้ว่าตัวเองสติปัญญาในการฝึกฝนเคี่ยวกรำ และนั่งอยู่ตรงนี้ได้ครบสามวันหรือไม่ ก็ดูการประชุมธรรมครั้งนี้
วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐      สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  แค่ชั่ววูบตามอารมณ์ขาดสติ            พาพลาดผิดสูญเสียทุกสิ่งได้
แค่ชั่ววูบขาดปัญญาหลงตามใจ          ก็อาจไม่มีวันพรุ่งนี้อีกเลย
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคน ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  คนทุศีลเป็นอาจิณวิญญาณเหม็น       เพราะว่าเห็นธรรมดาบาปเหม็นคลุ้ง
คนอื่นคันให้เราเกาสะดุ้ง                 ใครช่วยขัดก็ยุ่งพัวพันใคร
เรียกไม่มาต้องยอมรับกำลังหลง          ทุ่มแรงลงเจ็บอย่างไรต้องแก้ไข
ชีวิตที่ล้มเองลุกเองได้                     เฝ้าเก็บจิตตัวในให้สำรวม
เรื่องจะดีจะร้ายดูวินัย                    ทุกสิ่งกว่าดีได้อย่าหละหลวม
มีวินัยได้ประโยชน์แก่ส่วนรวม           เลิกคิดเองที่กำกวมรบกวนใจ
กิเลสนั้นไม่เคยมีใจสังเวช                 เป็นต้นเหตุปัญหารากแก้วใหญ่
ปล่อยเนิ่นช้าจะถอนไม่สบาย            ทึ้งถอนขุดถูกคนไซร้เวทนา
                                                                   ฮา ฮา หยุด
  
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้เรามาศึกษาธรรมกันดีไหม (ดี)  สิ่งที่เราไม่สามารถหาได้ในโลกใบนี้คือปัญญาใช่ไหม (ใช่)  จะหาได้ก็ต่อเมื่อเราต้องเรียนรู้ เราต้องฟัง เราต้องศึกษาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดทำอะไรแล้วเกิดปัญญา อาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์จะมาฟัง ศิษย์จะมาเรียนรู้ไหม (มา)  ศิษย์เคยหรือไม่อยู่ในโลก คิดอะไรทำอะไรช้ากว่าคนอื่น เพราะปัญญาไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนโบราณสอนลูกหลานว่าอยากมีปัญญาดีต้องรู้จักใฝ่เรียน รักการเรียนรู้ใช่ไหม (ใช่)  แต่ในสมัยก่อนเขาไปเรียนที่ไหนไม่ได้ เขาก็ไปเรียนที่วัด เพราะได้ปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปเรียนที่วัดนอกจากจะได้ปัญญาแล้วยังได้ความสงบ ความละวาง เพราะอยู่ในโลกบางทีวุ่นวายไม่ค่อยได้ความสงบ เข้าวัดบ้าง ฟังธรรมบ้าง จะได้สงบบ้าง วางบ้าง ละบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมาฟังธรรมแล้วเกิดปัญญากับไปหาเงินข้างนอกแล้วได้เงิน ศิษย์ว่าปัญญากับเงินอะไรหาได้ง่ายกว่ากัน (เงิน) 
จริงหรือศิษย์  หาเงินง่ายกว่าหาปัญญาอีกหรือ อาจารย์พึ่งรู้นะ อาจารย์ว่าหาปัญญาง่ายกว่าหาเงินอีก จริงไหมศิษย์ (จริง)  แค่เขาพูดอะไร ศิษย์แค่นิ่งฟังได้ความรู้ แค่อย่าบอกตัวเองว่าฉันรู้แล้ว ลองฟังอีกทีสิ่งที่รู้อาจจะไม่รู้ก็ได้ และสิ่งที่รู้อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ และปัญญาที่แท้จริงมันเกิดจากการฟังใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นต้องในวัด ใครก็ได้เราน้อมที่จะฟัง พร้อมที่จะฟัง เราได้ปัญญาทุกที่ถูกหรือไม่ แต่เราเคยฟังใครไหม อย่าพึ่งพูดๆ ฉันพูดก่อนจริงไหม (จริง)  อย่าอ้าปาก ฉันรู้เลยเธอจะพูดอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมปัญญามันดีกว่าเงินตรงไหน เงินตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เงินทำให้ใครรักได้ไหม (ไม่ได้)  นึกว่าได้ อาจารย์พูดจริงเงินมันทำให้รักได้ แต่รักแบบแป๊บๆ แต่อยู่กันด้วยปัญญาธรรม อยู่ด้วยความซื่อตรงต่อกัน อยู่ด้วยความจริงใจต่อกันมันนานกว่าใช่ไหม (ใช่)  แต่ปัญญามันดีกว่าตรงไหน ถ้าเสียชีวิตไปปัญญาที่เข้าใจในธรรม ปัญญาที่เห็นธรรมแจ่มแจ้ง เห็นชีวิตแจ่มแจ้งนั่นแหละไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติมันก็จะตามติดศิษย์ และทำให้ศิษย์แม้จะตกนรกมันก็เกิดปัญญาที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาที่ใฝ่ดี ปัญญาที่รักการทำดี ปัญญาที่มุ่งมั่นปฏิบัติดีนั่นแหละที่จะทำให้ศิษย์พ้นจากเภทภัยอันตรายทั้งปวง แต่ทำไมหนอคนในโลกกลับรักเงินมากกว่าปัญญา หมดเงินมีปัญญาหาใหม่ได้ แต่มีเงินถ้าไร้ปัญญาเงินก็หมดได้จริงไหม (จริง)  อาจารย์จะบอกให้ว่าจิตที่สว่างไสวคือจิตที่อาบอิ่มในบุญในธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  และจิตที่สว่างไสวเกิดได้ด้วยการฟังธรรม ฉะนั้นคนโบราณจึงชอบที่จะใฝ่ธรรมฟังธรรม เพราะธรรมทำให้จิตเราสว่าง กระจ่าง ไม่ขุ่นมัว ไม่หมองมัว ถ้าอาจารย์ถามศิษย์ว่า ถ้าทำแล้ว มันทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ใจมันก็บาปแก่ตัวเอง ถูกไหม (ถูก)
สมมติว่าแอปเปิ้ลลูกนี้มันเป็นความทุกข์ แล้วอาจารย์จงใจปาทุกข์ไปให้ศิษย์จะรับหรือไม่รับ (ไม่รับ)  แล้วจะเก็บหรือไม่เก็บ (เก็บ)  บางทีเห็นชัดว่ามันเป็นทุกข์ ไม่รับ แต่เก็บไว้ในใจ แล้วก็เอามาคิดแล้วคิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นโง่หรือฉลาด (โง่)  อาจารย์ถามใหม่ ถ้าแอปเปิ้ลนี้มันเป็นความแย่ ความไม่ดี ความชิงชัง เขาปาไปแล้วจะเก็บหรือไม่เก็บ (ไม่เก็บ)  แล้วถ้ามันโดนเราจะเจ็บหรือไม่เจ็บ (เจ็บ)  แล้วถ้ามันเจ็บแล้วเราจะเก็บมาอีกไหม (ไม่เก็บ)  คิดไหม (คิด)  ถ้าคิดไม่เก็บแต่มันก็เหมือนเก็บนั่นแหละ ถ้าแอปเปิ้ลนี้กินแล้วมันแย่ กินแล้วมันทำร้ายตัวเอง กินหรือไม่กิน (ไม่กิน) 
เหมือนกัน บุหรี่ยังสูบอยู่ไหม (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนผู้ชาย) แอปเปิ้ลก็เหมือนเหล้า กินแล้วไม่ดีกินไหม (ไม่กิน)  กินแล้วมันตายจะกินไหม (ไม่กิน) จริงหรือ แล้วที่แอบกินคืออะไร โง่หรือฉลาด แอปเปิ้ลมันก็เหมือนความทุกข์ เขาโยนมาให้เราทุกข์ เขาโยนมาให้เราเจ็บ เราจำเป็นต้องเก็บมาคิดไหม เราจำเป็นต้องเก็บมาทุกข์ไหม เก็บไหม ถ้าศิษย์เก็บ ศิษย์ก็คือคนโง่ที่ทำร้ายตัวเองให้เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ และเจ็บไม่จบสิ้นจนกว่าจะเลิกคิดได้ จริงไหม (จริง)  แล้วปล่อยให้มันเน่าอยู่ภายในใจของตัวเอง ไหนบอกว่ารักตัวเอง รักไหม ขนาดซื้อผลไม้ ลูกนี้ดี ขนาดเลือกเพื่อนก็เลือกเพื่อนที่ดี แต่ที่เก็บไว้ในใจมันดีไหม (ไม่ดี)  มีแต่คำนินทาเขา เกลียดเขา ด่าเขา อยากว่าเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าสมมติเหมือนพระพุทธะ  ทุกคนเอาแต่หนีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้ามันเป็นทุกข์ ทำไมจึงไม่ทำให้ทุกข์มันกลายเป็นทางพ้นทุกข์ล่ะ ทำไมจึงเอาทุกข์นั้นมา กรีดเนื้อตัวเอง มาทำให้ตัวเองเจ็บใจ มาทำให้ตัวเองเสียใจ มาทำให้ตัวเองทำใจไม่ได้ มาทำให้ตัวเองอ่อนแอ ใช่ไหม (ใช่)  แต่พุทธะสอนให้ท่านรู้ว่า “จงเอาทุกข์มาทำให้ตัวเองเข้มแข็ง” ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราหาทางออกให้ตัวเองได้ การที่เราจะหาทางออกให้คนอื่นก็ไม่ยาก แล้วศิษย์ก็รู้ว่า คนที่หน้าตาอิ่มเอิบตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหนคนก็รับรังสีของความอิ่มเอิบนั้น แต่คนที่เอาแต่เก็บทุกข์ไว้ในใจ ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกหดหู่และไม่สบายใจ ฉะนั้นเราจะเก็บทุกข์มาให้พ้นทุกข์แล้วยิ้มแย้ม หรือเราจะเก็บทุกข์เพื่อมาทำร้ายตัวเอง และมาทำร้ายคนรอบข้าง ศิษย์บอกว่าทำใจไม่ได้ รับไม่ได้อาจารย์ก็ไม่ให้เก็บ คนโง่เท่านั้นที่เก็บ แต่ศิษย์เคยคิดไหมว่า แม้โชคชะตาจะไม่ดี วาสนาไม่ดี แต่คนที่ใฝ่ดีและใจคิดดีตลอด เรื่องที่ไม่ดีก็อาจจะดี และที่บอกว่าเป็นทุกข์หากคิดให้ดีๆ ก็อาจจะเป็นยารักษาทุกข์ก็ได้ ฉะนั้นอยู่ที่ตัวศิษย์ คิดได้ก็เป็นสุข คิดไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ทำใจได้แม้ทุกข์ที่สุดก็ยังยิ้มได้ แต่ถ้าทำใจไม่ได้ แม้สุขเล็กๆ ก็กลายเป็นทุกข์ได้  ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์มาแล้วอาจารย์อยากขอบิณฑบาตร ว่าเวลาศิษย์ทำอะไรก็ขอให้มีสติยั้งคิดสักนิดหนึ่ง อย่ามัวเอาแต่อารมณ์ อย่าเอาแต่ใจ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบครอบงำจนทำให้เราเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมได้ยอม ถอยได้ถอย แพ้ก็ได้ไม่เป็นไร ถ้าทำให้เขาชนะแล้วมีความสุข ถ้าทำให้เขาได้ เราแพ้บ้างไม่เป็นไร เรายอมถอยบ้างจะเป็นอะไร ดีกว่าที่เราจะกินมากกว่าคนอื่นหน่อย ชนะคนอื่นหน่อย แต่ถึงเวลาความชนะนั้นทำให้เราไม่สุขใจ แพ้บ้างไม่เป็นไรใช่ไหม (ใช่)  แล้วพอถึงเวลาคนที่เลี้ยงวัว กลับมาวัวหายเป็นอย่างไรยอมไหม (ไม่ยอม)
พุทธะช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง พุทธะไม่ช่วยคนที่เอาแต่ขอ เอาแต่รอแล้วไม่ทำอะไร  นั่นไม่ใช่พุทธะที่แท้จริง  มีพุทธะที่ไหนให้กับคนที่งอมืองอเท้า อย่างนี้ไม่ใช่พุทธะ  พุทธะที่แท้จริงต้องให้เขาเติบโตเข้มแข็งและยืนหยัดด้วยตัวเอง ฉะนั้นอาจารย์จะต้องปั้นให้ศิษย์ยืนได้ด้วยตัวเอง ถ้าจะนั่งก็ต้องนั่งด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามคำถามง่ายๆ  ถ้าตอบได้ได้นั่ง ถ้าไม่ได้ก็ยืน ดีไหม ทุกคนต้องช่วยตัวเองนะ แต่มีอีกแบบหนึ่ง ถ้าช่วยตัวเองได้ แล้วเราเปลี่ยนใจไม่ช่วยตัวเองไปช่วยคนอื่นก็ได้นะ อาจารย์ถามว่าเราอยู่ในโลก อะไรทำให้เราสบายใจ สุขใจ (ความดี)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์คงทำดีบ่อยๆ ไม่แอบทำผิดศีลใช่ไหม (การปล่อยวาง, ศรัทธาในความดี, ธรรมะ)  ถ้าปล่อยวางตั้งแต่เมื่อวานก็มีความสุขแล้ว เพิ่งจะมาปล่อยวันนี้ช้าไปหน่อยแล้ว ถ้าปล่อยความยึดมั่น ความคิด เราก็คงมีความสุขตั้งแต่วันแรกแล้วใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบจะนั่งไหม (นั่ง)  ให้ตัวเองนั่งหรือให้เพื่อนนั่ง (ให้เพื่อนนั่งเป็นเพื่อน)  เข้าใจพูดนะ แต่โชคดีไม่มาบ่อยๆ ต้องมีคนได้และมีคนเสียสละ แล้วความจริงเป็นอย่างนี้นะ ไม่มีใครดีแล้วโชคดี ต้องมีคนหนึ่งได้ดีและอีกคนต้องยอมเสียสละความดี แล้วความดีนั้นจะยิ่งใหญ่ ถ้าอย่างนั้นคนตอบจะนั่งหรือให้คนอื่นนั่ง (ให้คนที่อาวุโสกว่านั่ง)  ให้อาวุโสกว่านั่งนะ ถ้าอย่างนั้นคนอายุน้อยอดนั่ง อาจารย์บอกว่าเราอยู่ในโลกมนุษย์ทุกคน อยากแสวงหาความสบายใจ อยากแสวงหาความสุขถูกไหม (ถูก)  แต่อาจารย์ถามจริงๆ ตั้งแต่ศิษย์แสวงหามา ไม่ว่าจะเงินทอง ไม่ว่าจะรถ ไม่ว่าจะเกียรติยศ ไม่ว่าจะชื่อเสียง ไม่ว่าจะคนรัก ไม่จะว่าลูก ไม่ว่าจะทรัพย์สิน ไม่ว่าจะบ้าน ที่ศิษย์หามาทำให้ศิษย์สบายใจไหม ทำให้ศิษย์สุขใจไหม (ไม่)  มนุษย์พยายามหาความสบายใจ หาความสุขใจ อย่างแรกที่ชอบหาคือ คิดว่ามีเงินแล้วจะสบาย คิดว่ามีสามีแล้วจะสบาย คิดว่ามีภรรยาแล้วจะสบาย แล้วสบายไหม (ไม่สบาย)  คิดว่ามีเงินแล้วสบายใจ (ไม่สบาย)  ไม่สบายแล้วหาทำไมทุกวัน  คิดว่ามีเงินแล้วจะสบายใจ ถามจริงๆ เงินอยู่ในกระเป๋ามันเคยทำให้สบายใจสักวันหนึ่งไหม (มี)  มีแป๊บเดียว แป๊บหนึ่งก็หาอีกแล้วถูกไหม (ถูก)  ตอนนี้อะไรทำให้สบายใจ (นั่ง)  คิดไปไกลสุดกู่ลืมตัวเองว่าตอนนี้ขาแข็งแล้วอาจารย์ สิ่งที่จะทำให้สบายในที่สุดคือ เก้าอี้  บางทีความสุขใจ ความสบายใจ เราคิดว่าต้องมีนั่น มีนู่น เป็นนั่น เป็นนู่น กว่าจะเดินไปแทบตาย มีเสร็จแล้วสบายไหม (ไม่)  บางทีธรรมดาอย่างนี้ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)
เอาง่ายๆ ศิษย์ เหมือนศิษย์เคยคิดว่าอยู่กับตัวเองไม่เคยมีความสุข ไม่เคยมีความสบายใจ ไปหาสามีอีกสักคนหนึ่งดีไหมหนอ แล้วมันจะสุขขึ้น สบายใจขึ้น ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราไม่เคยพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีตอนนี้ เหมือนอาจารย์บอกว่า โอ้โหอาจารย์ตัวเตี้ย อาจารย์อยากไปต่อกระดูกให้ตัวเองสูง อาจารย์ตาตี่ อาจารย์อยากทำตาสองชั้น อาจารย์ผมหงอก อาจารย์อยากเปลี่ยนเป็นผมสีทอง แล้วถ้าอาจารย์ไม่เปลี่ยน อาจารย์จะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะอาจารย์ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น อาจารย์จะมีสุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขเพราะอาจารย์ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองมี ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากหาความสบายใจ ศิษย์อยากหาความสุขใจ อาจารย์บอกง่ายๆ ธรรมดา “แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว” ดั่งมีคำกล่าวคำว่า “รู้พอพบสุข ไม่เคยพอก็ไม่มีวันสุข” จริงไหม (จริง)  เหมือนถ้าศิษย์บอกว่าอาจารย์ มันต้องหาเงินเยอะๆ สิ มีเงินเยอะๆ มีสุขใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ มีเงินเยอะๆ มีสุข ความสุขมันก็จะเพิ่มพูนตามเงินนั้นด้วย ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ มีเงินเยอะๆ ความสุขมันก็จะเพิ่มขึ้นเยอะๆ แต่ศิษย์เคยคิดไหมว่า พอมัวมุ่งไปเรื่องเงิน เราลืมใส่ใจคนรอบข้างหรือเปล่า อย่างที่ศิษย์เคยเห็น พ่อแม่มัวมุ่งหาเงินให้ลูก แต่ลืมดูลูกว่าเป็นอย่างไร ลูกสบายดีไหม มัวแต่มุ่งหาเงิน ลืมให้เวลาลูกตัวเองหรือเปล่า มัวแต่มุ่งหาเงิน จนกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเพื่อที่จะได้เงินหรือไม่ มัวแต่หวังจะต้องมีเงิน จนกลายเป็นคนผิดศีลหรือขาดธรรมหรือเปล่า ฉะนั้นเงินหรือคือความสุข ถ้าได้เงินมาแต่ทุจริต ชอบโกง เอาเปรียบ กินแรงคนอื่น เงียบเลย  ฉะนั้นอาจารย์อยากถามศิษย์ว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริง ธรรมะอะไรที่คนเรียนรู้ธรรมะพึงมีและนำไปปฏิบัติ ตอบอาจารย์ได้ไหม อยากมีความสบายใจ มีความสุข แต่เอาธรรมะอะไรมาใช้ (นิ่งเฉย ไม่ทุกข์หรือสุข)  ตอบได้ดีนะ แต่จะใช้คำตอบนี้กับทุกคำถามไม่ได้ (ความพอดี)  พอดีก็เป็นปัจจัยที่จะมีสุข พอบ้างแล้วยัง อายุมากขนาดนี้ยังไม่พออีกหรือ ยังหาอีกนะ สังขารจะไม่ไหวแล้วนะ ถือไม้ตะพดแล้วนะ ไม่ต้องห่วงลูกหลานหรอก  ถ้าทำได้ดี เดี๋ยวลูกหลานก็หากินเอง ไปหามาให้ลูกหลานพอถึงเวลา ลูกหลานงอมือ แม่ขอเงิน พ่อขอเงิน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ว่าทำอย่างไรเราจึงจะสบายใจจะต้องทำอย่างไร เราถึงจะสุขใจ
พระพุทธะสอนไว้ว่า ละปัญหาได้ ละทิฐิได้ ละความมานะ หลงตัวเอง อหังการ ลำพองชูคอพองตัว พองขนได้ ไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีสุข     แต่มนุษย์ไม่ใช่ ไปอยู่กับใคร ก็คิดว่าฉันจะได้อะไรจากเขานะ ใช่ไหม (ใช่)  ไปอยู่กับใครฉันแน่นะ มีใครจะแน่กว่าฉัน แล้วไปอยู่กับคนอื่น มีใครนอบน้อมมีไหม ไม่มี แน่มาจากไหน ฉันก็แน่เหมือนกันนะ รู้เสียบ้างใครเป็นใคร ถ้าอยากอยู่ไหนมีความสุข อยากอยู่ไหนสบายใจ ต้องลดทิฐิ ต้องลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ต้องปล่อยวาง ไม่เช่นนั้นแล้วไปอยู่กับใคร ก็ต้องมีเรื่องทุกวัน หรือแม้อยู่กับตัวเองก็ยังหาเรื่องให้กับตัวเองไม่สบายใจได้เลย เช่นคิดว่าวันนี้ไม่ได้เงินจากใครเลย ไม่ได้นินทาใครเลย รู้สึกคันปากยุบยิบเลย แล้วศิษย์รู้ไหมว่า ถ้าศิษย์เข้าใจความสบายใจ เข้าใจความสุขใจที่แท้จริงได้ ศิษย์จะสามารถดับทุกข์ทั้งมวลในโลกนี้ได้ แล้วอะไรคือหัวใจแห่งธรรมที่เรียนรู้แล้ว จะทำให้เราพบความสุข พบความสบายใจ แล้วดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
(การย้อนมองดูตัวเอง)  ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีอะไรใช่และไม่ใช่นะ แต่อาจารย์จะบอกว่า คำตอบที่แท้จริงที่จะทำให้เราอยู่บนโลกและเป็นหัวใจของการดับทุกข์และอยู่บนโลกอย่างมีความสุขและสบายใจคือ  ละความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นหัวใจและแก่นแท้ของการดับทุกข์ได้สิ้นเชิง จริงไหม (จริง)  ใครว่าเรามาถือสาไหม (ไม่ถือ)  แล้วทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  หาเงินมาได้ไม่ได้เป็นไรไหม (ไม่เป็น)  เมื่อไม่ถือก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าหาเงินมาไม่ได้แล้วถือเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแฟนยึดไหม ถ้าเราไม่ยึดยอมรับสิ่งที่เป็นยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำด้วยกำลังเต็มที่ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ไม่อายฟ้าไม่อายดิน ไม่โกหกตระบัดสัตย์ผู้คน ทำถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็แค่ยอมรับ แล้วเราจะทุกข์อะไรศิษย์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน มีผมก็ทุกข์เพราะผม มีเสื้อก็ทุกข์เพราะเสื้อ มีทุกอย่างทุกข์ทุกอย่างเลย จริงไหม (จริง)  เพราะอะไร เพราะยึด ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าแค่รู้ใช้ ถึงที่สุดก็แค่ปล่อยวางและคืนเขาไป ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์อาจารย์ขอไม่ใช้คำว่าปล่อยวาง ให้ใช้คำว่า   “ละความยึดมั่นถือมั่น” ตอกเข้าไปในจิตใจ เพราะศิษย์มักจะพูดว่าปล่อยวาง แล้วพอถึงเวลาก็ไม่ดูแลสามีและลูกจะไปห้องพระอย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้ศิษย์ต้องรับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ทอดทิ้ง ไม่ถูกนะ เดี๋ยวคิดว่าอาจารย์จี้กงสอน ที่ถูกคือละความยึดมั่นถือมั่น แต่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาก็ต้องวางแล้วไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรๆ ก็ปล่อยวาง ปล่อยแล้ว วางแล้ว เลยกลายเป็นไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างนั้นไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำอย่างไร (ระวัง)  ระวังความยึดมั่นถือมั่นความห่วงความกังวล อย่างที่อาจารย์ชอบพูด หัวอกความเป็นพ่อเป็นแม่มันก็ต้องห่วงลูกกลัวลูกจะเจ็บกลัวลูกจะลำบาก กลัวลูกจะไม่มีกิน ที่กลัวคือแช่งลูกตลอดเลย จริงไหม (จริง)  ก็พ่อแม่วาจาศักดิ์สิทธิ์แล้วที่คิดศักดิ์สิทธิ์ไหม แล้วคิดดีไหม แช่งลูกตลอดเลยแล้วมันจะดีไหม ฉะนั้นไปไหนก็ต้องคิดว่าลูกต้องปลอดภัย
ฉะนั้นถ้าจะคิดก็ต้องคิดให้ถูก คิดอย่างไปในทางบุญ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งว่า คนทุกคนปรารถนาโชควาสนาที่ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเราเกิดมาเราอยากโชคดีไหม (อยาก)  อยากวาสนาดีไหม (อยาก)  ใครๆ ก็อยากโชคดี วาสนาดี แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าคนเกิดมาโชคดีแล้ว ใจยังคิดดี ปฏิบัติก็ยังปฏิบัติดี ศิษย์เชื่อไหมว่าคนเช่นนี้เขาเรียกว่าคนมั่งมีศรีสุข แต่ในทางอีกทางหนึ่ง ถ้าเราเกิดมาชะตาไม่ดี แต่เราคิดดีตลอด เราใฝ่ดีตลอด แม้ชะตามันจะเกิดไม่ดี เชื่อไหมว่า แม้จะขัดสน แม้จะอับจน แม้จะเจ็บปวด ก็หัวเราะได้จริงไหม (จริง)  แต่ศิษย์อาจารย์ชะตาไม่ดียังคิดไม่ดีแถมยังทำไม่ดีอีก คนที่ทำเช่นนี้ช่างอาภัพนักแลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นชะตาไม่ดี คิดดีแล้วทำดีจนถึงที่สุด ศิษย์จะหัวเราะได้แม้เจ็บ ศิษย์จะหัวเราะได้และมีความสุขได้แม้สูญเสีย ศิษย์อาจบอกว่าอาจารย์มันทำยากนะ เดี๋ยวอาจารย์จะบอกวิธีสนใจไหม (สนใจ)  แต่อาจารย์ก็ต้องบอกอย่างหนึ่ง คนบางคนน่าเสียดาย เกิดมาชะตาดี แต่ชอบคิดร้าย วาสนาดีแต่ชอบทำผิด ศิษย์เอ๋ยคนเช่นนี้แม้จะมีทรัพย์สินพรั่งพร้อม แต่เชื่อไหมว่า เขาไม่มีวันมีความสุข เพราะใจมันอดคิดว่า ไม่เอา ไม่พอ ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  เคยเห็นลูกที่มีทุกอย่างพร้อมแล้วเราก็เลี้ยงตามใจไหม เขาเป็นอย่างไร เท่าไรก็ไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ขออนุโลมว่า แม้ศิษย์ของอาจารย์จะเป็นคนโชคไม่ดี วาสนาไม่ดี แต่อาจารย์ขออนุโลมว่า จงเป็นคนที่จิตคิดดี ใฝ่ทำดีไม่ย่อท้อ และรู้จักสำนึกขอขมากรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรม จากหลังมือให้เป็นหน้ามือ จากร้ายให้เป็นดีด้วยจิตใจที่ใฝ่ดีทำดี  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรคิดให้สูง มองให้พ้น อย่าเอาตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ที่ไม่น่าจะทุกข์เลยได้หรือไม่ (ได้)
เรามารู้จักความทุกข์กันหน่อย ความทุกข์น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ความทุกข์น่ารักนะศิษย์ ถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์ไม่มีวันโต ทำไมอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์เข้าใจคำว่าทุกข์ก่อน เพราะศิษย์เข้าใจคำว่าทุกข์ ศิษย์จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ทุกข์ทำให้เราเติบโตและเข้าใจชีวิต เหมือนอาจารย์ถามว่า ตอนเด็กๆ ใครยืนได้เลยตั้งแต่เด็ก (ไม่มี)  ต้องล้มก่อนใช่ไหม (ใช่)  ต้องคลานก่อนใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราต้องพยายามยืน ทุกข์กี่ครั้งกว่าจะยืนได้ (หลายครั้ง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคลานแล้วเป็นอย่างไร เราทุกข์เพราะคลานนานแล้วใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้เราอยากจะยืนใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีความทุกข์เพราะการคลาน ศิษย์จะยืนเป็นไหม (ไม่เป็น)
ถ้าไม่มีความทุกข์เพราะความเจ็บศิษย์จะแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่มีความทุกข์เพราะความเจ็บปวดศิษย์จะรู้ไหมอะไรคือความสุข ถ้าไม่มีความทุกข์เพราะความสูญเสียศิษย์จะรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์น่าเกลียดหรือทุกข์น่ารัก (น่ารัก)  จริงไหม (จริง)  เอาแต่อคติกับความทุกข์ เอาแต่เกลียดความทุกข์ ลองหันไปมองสิถ้าไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีเราในวันนี้ เหมือนวันนี้ถ้าไม่ยืนจนทุกข์ขาแข็งจะรู้จักคำว่านั่งเป็นไหม  ฉะนั้นความทุกข์คือสิ่งที่เลวร้ายหรือ น่ารักจะตายใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่มีทุกข์ศิษย์นั่งจนเมื่อยศิษย์จะรู้จักคำว่ายืนเป็นไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
เมื่อสักครู่ใครตอบอาจารย์ๆ  ให้รางวัล  เอาไหม (เอา)  แต่ถ้ารับแอปเปิ้ลจากอาจารย์ แอปเปิ้ลนี้กินแล้วมีทุกข์นะเอาไหม (เอา)
เอาไปตั้งโชว์ไว้มันก็ไม่มีประโยชน์ เอามาโขกหัวตัวเองก็โง่เปล่าๆ ฉะนั้นเอาไปทำอะไร (กิน)  มันก็ได้บุญแก่ตัวเอง รู้จักเอาไปแบ่งปันสิ มันได้บุญที่ยิ่งใหญ่ มันได้บุญที่กว้างไกลกว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ให้แอปเปิ้ลไม่ใช่ให้ตัวเอง ไม่ใช่ให้ศิษย์ แต่รู้จักให้ศิษย์เอาไปให้ต่อ
ถ้าเราไม่ยินดียินร้าย ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เอาไปให้ใครดี จะได้ประโยชน์ และเกิดบุญกว้างไกล จะทำให้เรามีความกตัญญูรู้คุณ
อาจารย์ถามหน่อยว่า ถ้าแอปเปิ้ลนี้ทำให้เป็นทุกข์แต่ต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง มันอยู่ที่ไหน (ใจ)  ตอนนี้ใครตอบได้อาจารย์ให้ ออกมาเอาเลย (อยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราคิดว่าเป็นทุกข์เราก็ทุกข์ ถ้าเราคิดว่าตรงนั้นมีความสุขเราก็สุขได้)
ต้นเหตุแห่งความทุกข์ล้วนมาจาก (ใจที่เราไปยึดมัน)  แอปเปิ้ลนี้จะเป็นทุกข์ไหม ไม่ทุกข์แน่ถ้าได้ไป แต่ถ้าไม่ได้ไปเป็นทุกข์แน่ ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าไม่ยึดแอปเปิ้ลมันก็ไม่ทุกข์ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  พูดได้มันต้องทำได้ด้วยนะ  มีใครจะตอบอาจารย์อีก  เรามีทุกข์เพราะ (เราไม่ยอม ละวางจากความยึดมั่นถือมั่น)
ไม่ว่าจะเกิดอะไร ก็รักษาใจตัวเองให้ดี เพราะในร้ายมันก็มีดี ในดีมันก็มีร้าย อยู่ที่เรามองด้านไหนนะ (ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่นในตัวเอง)  ยึดมั่นในความคิดไม่ปล่อยวาง ยึดมั่นตรงที่ไม่ยอมแพ้ ยอมไม่ได้ ใช่ไหม
(ยึดติดกับทุกอย่างไม่ยอมปล่อยวาง)  ศิษย์ช่วยปรบมือให้กำลังใจกับคนที่กลับมาเข้มแข็งได้แล้วนะ  เริ่มต้นทำวันนี้ให้ดีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและกล้ายอมรับความจริงของชีวิต อาจารย์ถามหน่อย ลองถามคนในโลกสิ มีใครไม่สูญเสีย มีใครไม่พลัดพราก แต่สิ่งที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ก็คือหัวใจที่เข้มแข็ง  อย่าสร้างบาปให้ตัวเองด้วยการซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์ไม่จบสิ้น
(การมีสติปัญญา)  รู้จักมีสติปัญญาในการทำและเมื่อทำถึงที่สุดก็ต้องรู้จักละวาง อย่ายึดมั่น อย่าถือมั่น (โลภ)  โลภทำให้เกิดทุกข์เหมือนตอนนี้โลภอยากได้แอปเปิ้ล ใช่ไหม (ใช่)  ความโลภจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็ต่อเมื่อ ถ้าเราอยากแล้วได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี แอปเปิ้ลนี้จะเป็นทุกข์หรือเป็นสุขมันต้องอยู่ที่ตัวศิษย์ว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี ใครจะได้ก็ดี ฉันไม่ได้ก็ (ดี) เยี่ยมศิษย์ คิดไปได้อย่างนี้  (ยอมเป็นคนแพ้บ้าง)  ยอมเป็นคนแพ้บ้างเพื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุข  ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์รู้ว่า แก่นแท้ของความทุกข์คือใจ (ความรัก ความหลง) ความรัก ความหลง ทำให้เกิดทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่า จริงๆ แล้ว ความรัก ความหลง มันไม่ทุกข์หรอก ถ้าตัวตนมันไม่ยึดถือและตกเป็นทาสกิเลส ฉันรักเขานะ ฉันเกลียดเขานะ แต่ถ้าตัดฉันออกไป รัก โลภ โกรธ ทำให้ใครทุกข์ เพราะมีตัวตนที่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์มันเลยทำให้ทุกข์ จริงๆ แล้ว พุทธะเคยสอนว่า รัก โลภ โกรธ ไม่เคยทำให้ทุกข์ แต่คนที่พยายามจะมีรัก โลภ โกรธ อย่างขาดสติ และไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักยั้งคิด คนนั้นแหละจะทุกข์เพราะตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นไม่มีตัวตน จะมีรักเกิดได้อย่างไร ไม่มีความยินดีในตน จะมีความชอบพอได้อย่างไร ไม่มีความเกลียด ไม่มีความไม่ชอบ จะมีความเกลียดโมโหขึ้นได้อย่างไร เกลียดโมโหเพราะเกิดจากการมีตัวตนที่ยึดถือ ที่เรียกว่าตัณหา แล้วกลายเป็นทิฐิและกลายเป็นมานะ แล้วทำให้ชีวิตไม่เคยมีความสุข  ฉะนั้นถอนตัวเอง แล้วไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ได้เมื่อไหร่ ชีวิตก็พ้นทุกข์  อาจารย์บอกหลายครั้งแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลามันมาเราไม่จำเป็นต้องตามมันไป แล้วเวลามาปล่อยให้อยู่อย่างนั้นไม่ต้องตามมันไป เชื่อไหม ความโลภ โกรธ หลง ก็จะอาย แล้วก็จะจากไปเอง
จริงไหม แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเติมเชื้อมัน เราเติมความคิด เราปรุงแต่งมัน รักหน่อยก็ดีนะอาจารย์ เกลียดหน่อยก็ดีนะอาจารย์ ก็มันนิสัยไม่ดี ขอเกลียดหน่อยเถอะใช่ไหม (ใช่)  พอเราไปให้ค่า ไปให้พลัง มันก็เลยคุกรุ่นอยู่ในตัว แต่ถ้ามันมาแล้วเราไม่เอา ไม่รัก ไม่เกลียด ฉันจะแค่นี้เท่านี้เฉยๆ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยรู้ทันถึงขนาดนี้ไหม (ไม่เคย)  ใครอยากตอบรีบตอบ (ความไม่รู้จักพอทำให้เกิดทุกข์)  แล้วเมื่อไหร่จะพอ คนนี้พูดได้ดี อาจารย์อยากคุยด้วยหน่อย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกไปหน้าชั้น)  ความไม่รู้จักพอทำให้เราเป็นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ช่วยบอกสูตรหน่อยสิว่า ทำอย่างไรมันถึงจะพอ แล้วมันจะได้สุขสักทีใช่ไหม (ใช่)  อยากรู้สูตรนี้ไหม (อยาก)  ศิษย์เอ๋ย มนุษย์ทุกคนก็อยากพอนะ อยากพอจะได้มีสุขสักทีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำอย่างไรล่ะ ง่ายๆ อาจารย์ถามหน่อย เวลาเราจะดับทุกข์ มันต้องแก้ที่ใจ เพราะใจเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลถูกไหม (ถูก)  ถ้ามองใจตัวเองออก ก็มองใจผู้อื่นได้ ถ้าเห็นใจตัวเองได้ ก็จะเห็นใจผู้อื่นได้ใช่ไหม (ใช่)  เพราะใจคนมีธรรมชาติเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ธรรมชาติของใจคนมีอันหนึ่งที่เหมือนกันคือ ชอบคน เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า มนุษย์ทุกข์เพราะต้นเหตุมาจากใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใจของทุกคนมีธรรมชาติเหมือนกันไหม (เหมือนกัน)  ฉะนั้นถ้าเราอ่านใจตัวเองได้ เราก็จะอ่านใจผู้อื่นได้ ถ้าเราบอกใจตัวเองได้ว่า ใจเราเป็นอย่างไร เราก็จะบอกใจคนอื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรามีพื้นฐานเหมือนๆ กันใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอาจารย์ถามว่า ใจของเราทุกคนชอบมิตรหรือชอบศัตรู (ชอบมิตร)  ชอบคนด่าหรือชอบคนชม (ชอบคนชม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชอบคนยิ้มหรือชอบคนหน้าบึ้ง (ชอบคนยิ้ม)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์เอาใจไปใช้ในผู้คน ศิษย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เจอใครก็ยิ้ม แล้วทุกวันนี้ยิ้มหรือบูด (บูด)  ตั้งแต่อาจารย์มา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากสุขต้องรู้จัก (ยิ้ม)  ไหนยิ้มหวานๆ สิ เหมือนจีบสาวเอาหน้าบูดไปหา สาวมาไหม (ไม่มา)  ทำงานหน้าบูด ใครอยากจ้างไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เอาใจนี้ไปในการดำเนินชีวิต เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์ถามหน่อย ใจของคนโดยทั่วไป ชอบคนเอาเปรียบไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนแช่งชักไหม (ไม่)  ชอบคนโมโหร้ายไหม (ไม่ชอบ)  ที่อาจารย์พูดมาศิษย์เป็นทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารู้จักใจของความเป็นคน เราจะไม่เข้าใจใจของผู้คนหรือ ใช่ไหม (ใช่) 
ง่ายๆ ศิษย์ ไม่มีใครชอบคนโลภ เหมือนกันถ้าศิษย์รู้จักพอ ศิษย์เอาแต่เรียกร้องแฟนดีกว่านี้หน่อยสิ เพื่อนดีกว่านี้หน่อยสิ ศิษย์ไม่เคยพอใครอยากรักศิษย์ ใครอยากอยู่ใกล้ศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  กลับไปนั่งนะ ใจมนุษย์เหมือนๆ กัน ฉะนั้นถ้าบอกใจตัวเองได้ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร ศิษย์ก็มองใจผู้อื่นได้ ถ้าศิษย์เข้าใจว่าใจตัวเองไม่ชอบอะไร แล้วศิษย์ก็เอาใจตัวนั้นไปปฏิบัติกับผู้อื่น ศิษย์ก็จะไม่สามารถบังเกิดทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  ใครชอบให้ศิษย์ไปชี้หน้าด่า ชอบไหม (ไม่ชอบ)  ใครชอบให้ศิษย์โกงไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่โกง ไม่โกหก ไม่ผิดศีล ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจ ใจแห่งแท้จริงเราก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้ ถูกไหม (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรม)
ถ้ามีชื่อสถานธรรมแล้ว ชื่อนั้นหมายความว่านั่นคือจิตของศิษย์ที่จะต้องฝึกฝนและจะทำให้ได้ดั่งชื่อนั้น และพยายามสร้างคนให้เกิดจิตเช่นนั้นให้ได้ เพราะว่าเราสร้างพระด้วยวัตถุได้ แต่สิ่งที่ยากคือสร้างพระจากใจ และทำคนให้เป็นพระบนแดนดิน เป็นหน้าที่ที่ยาก ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ย้ำเตือนไว้ในจิตใจว่า ต้องอดทน ต้องเสียสละ ทำให้ได้นะ อาจารย์จะให้คำว่าฉือเหมือนกันนะ “ฉือฮุย”(慈暉) ฮุยตัวนี้แปลว่าสว่าง เวลาพูดจะต้องมีสติ เพราะถ้าออกเสียงเพี้ยนไปอีกอย่างหนึ่งก็จะกลายเป็นฉือฮุ่ยของที่นี้ ฉะนั้นมีจิตใจที่เมตตาปราณีอันสว่างใส ดีไหม (ดี)  ทำให้ได้นะ เอาแอปเปิ้ลไป ต้องยอมกลืนความทุกข์ก่อนจะได้พบความหวานนะ มีใครยังไม่ได้มาไหม ฝากไปให้ด้วยนะ ทำให้ได้นะ มันยากหน่อยนะ
มีคนหลายคนยังไม่ได้ตอบอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากแจกแอปเปิ้ล ไม่เอาหรือ คนที่อยู่ต่างประเทศเอาไหม (มีนักเรียนในชั้นตอบต่อ)  ตอบว่า (ให้รู้จักละรูป เสียง กลิ่น รส)  แต่ถ้าเหล้ายังละไม่ได้ บุหรี่ยังเลิกไม่ได้ รูป เสียง กลิ่น รส มันก็ละไม่ได้ ใช่ไหม ฉะนั้นจงรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ และอย่าหลงในอบายมุข ไม่อย่างนั้นชีวิตจะจมอยู่กับความมืดมนไม่จบสิ้น เกิดมาทั้งทีชาตินี้ ทำไมไม่เอาดีให้ได้ (ไม่ลด ไม่ละทิฐิในตัวเอง)  ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้จงเป็นคนรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ถอยได้ก็ถอยนะ ยอมได้ก็ยอม (ทุกข์เพราะไม่ยอมเสียสละ ไม่ยอมสละให้ผู้อื่น) 
ทุกข์เพราะว่าบางทีเราสละไม่ได้ ยอมไม่ได้ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะฝึกให้ศิษย์เสียสละ ดีไหม (ดีค่ะ ศิษย์อยากให้คนอื่นที่เขาอยากได้แต่เขาตอบไม่ได้)  มีคนอยากได้ เอาไปให้เขาหน่อยนะ ตอบได้ดีนะ ให้คนหนึ่งได้ถึงสองเลยนะศิษย์ ทำดีอาจารย์ก็ให้กำลังใจนะ เราทุกข์เพราะเราไม่เข้าใจแก่นแท้ของปัญหา เราทุกข์เพราะเราไม่เข้าใจแก่นแท้ของชีวิต ถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ของความทุกข์ ว่ามันมีต้นเหตุมาจากใจ ใจหนึ่งคือใจแห่งความเป็นตัวตนที่เรียกว่า “คน” แต่ใจอีกใจหนึ่งเรียกว่า “ใจอันเป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง”
แล้วจะทำอย่างไรให้เราพอได้หรือ มีคำกล่าวว่า “ถ้ามนุษย์เราเข้าใจความจริงแห่งธรรมและรู้ว่าแก่นแท้หรือต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากอะไรเราก็จะสามารถแก้ไขความทุกข์นั้นได้” ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าใจ ศิษย์ตอบว่าทุกข์เพราะใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะใจตัวเอง อาจารย์บอกว่าใช่ แต่ใจมันมีสองใจ ใจหนึ่งคือใจแห่งความเป็นคน  อีกใจหนึ่งคือใจแห่งธรรมชาติเดิมแท้ที่ถ้าเราเข้าใจในธรรมชาติเดิมแท้แล้ว ศิษย์จะไม่ทุกข์ด้วยใจอันนี้อีกเลย จริงไหม เหมือนในตัวผู้ชายก็มีใจที่เป็นธรรมชาติของความเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็มีใจที่เป็นธรรมชาติของผู้หญิง แอปเปิ้ลก็มีใจที่เป็นธรรมชาติของแอปเปิ้ล เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม กระเป๋าก็มีใจธรรมชาติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถเข้าใจอันนี้ ใจที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ ใจที่เป็นธรรมเดิมแท้มีอยู่สองใจ ใจหนึ่งใจแห่งคน ใจหนึ่งคือใจเดิมแท้จริง เคยรู้ไหมถ้าใจแห่งคนเราต้องรู้ว่าคนนั้นไม่ชอบอะไร คนไม่ชอบโดนด่า คนไม่ชอบศัตรู ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติใจแห่งคน เมื่อยามอยู่กันคนเราก็จะไม่ทุกข์เพราะคน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ในใจแห่งคนมันมีใจเดิมอีกอันหนึ่ง ถ้าเราเข้าใจเราจะไม่ทุกข์เพราะใจแห่งคน แล้วใจเดิมอันนี้ที่มันทำให้ทุกข์อันนี้แล้วเราไม่เคยเข้าใจ มันคืออะไร
ศิษย์เคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ไหมว่า สิ่งที่มนุษย์บอกว่ามันน่ายินดี พุทธะบอกว่ามันไม่น่ายินดี  สิ่งที่มนุษย์บอกว่ามันน่ารักพุทธะบอกว่ามันไม่น่ารัก หรือพูดอีกอย่างว่าสิ่งที่มนุษย์พูดบอกว่ามันน่ารักมันคือความประมาท มันคือน่ายินดีมันคือความประมาทจริงไหม (จริง)  มนุษย์มักจะบอกว่านี่คือความสุข นี่คือความน่ารัก นี่คือความน่ายินดี แต่พุทธะบอกว่ามีแต่คนประมาทเท่านั้นเห็นสิ่งที่ไม่น่ารักว่าน่ารัก เห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีว่าน่ายินดี เห็นทุกข์เป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมพระพุทธบอกว่าประมาทล่ะ อาจารย์ถามจริงๆ น่ารักไหม น่ายินดีไหม น่าจะทำให้มีสุขไหม ประมาทนักแล น่ารักแบบนี้ทำให้ไม่น่ารักมาหลายรอบแล้ว ที่น่ายินดีก็ทำให้เราไม่น่ายินดีมาหลายครั้งแล้ว ใช่ไหม แล้วที่บอกว่าทำให้เราสุข มันก็ทำให้เราทุกข์มาหลายครั้งแล้วใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นของธรรมอันนี้ แก่นของธรรมอันนี้สอนให้เรารู้ว่าในใจความที่ศิษย์บอกว่ามันน่ารัก มันน่ายินดี แท้จริงแล้วมันไม่เคยน่ารักให้เราชื่นใจเลย ยินดีให้เรานานเลย เดี๋ยวแป๊บๆ มันก็สุข เดี๋ยวแป๊บๆ มันก็ทุกข์  ถ้าศิษย์ไม่ยึดตัวตนอาจารย์ตีอย่างไรก็ไม่เจ็บ แต่ถ้าศิษย์ยึดตัวตนเมื่อไหร่อาจารย์ตีแค่ไหนก็เจ็บจริงไหม อาจารย์ตีนะจบไปแล้ว แต่ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  อาจารย์แต่ศิษย์มันยังน่ารักอยู่ใช่ไหม ศิษย์ยังเห็นว่ามันน่ายินดีอยู่ใช่ไหม ศิษย์ยังเห็นว่ามันมีความสุขอยู่ใช่ไหม ตัวตนคือความสุขใช่ไหม แต่อาจารย์ถามหน่อยเขามีวันแก่ไหม (มี)  เขามีวันเจ็บไหม (มี)  เขามีวันร้ายไหม (มี)  เขามีวันไม่ดีไหม (มี)  เขามีวันแย่ไหม (มี)  เขามีวันซวยไหม (มี)  เอาไหม (ไม่เอา) 
ยังน่ารักไหม (น่ารัก)  นั่นอย่างไรล่ะ ถ้าเราเข้าใจ ใจแห่งความเป็นธรรม ใจแห่งความเป็นธรรมสอนให้เรารู้ว่า สิ่งที่เรามองเห็นแท้จริงแล้ว ยังมีสิ่งที่เรามองไม่เห็น ทุกสิ่งมีเกิด มีดับ มีเปลี่ยนแปลงเสมอไม่มีอะไรที่น่ารัก และน่ายินดีที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่สุขแท้ และทุกข์จริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะรู้ว่าในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด แท้จริงก็ยังไม่สมบูรณ์ ในสิ่งที่ดูดีที่สุด แท้จริงก็ยังบกพร่อง เมื่อเราไม่คาดหวัง ไม่ยึดติด และเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรม ในสรรพสิ่ง ในคนเราจะรักอย่างลุ่มหลงไหม จะเกลียดเขาหัวปักหัวปำไหม จะทุกข์และสุขไหม
ฉะนั้นการเข้าใจธรรม จะทำให้เราอยู่บนโลก แล้วไม่สุขไม่ทุกข์อย่างแท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่มนุษย์มองไม่เห็น  เห็นอย่างเดียว หน้าตาดีนะ  ดูดีนะแต่ลงพุงไปนิดนะ เห็นไหมล่ะ อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เข้าใจว่า ต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากใจที่เป็นคน กับมาจากใจที่เราไม่เข้าใจธรรม เราจะไม่ต้องทุกข์อีกเลย เหมือนกับคำว่า “มีได้ก็มีเสีย”  “มีพบก็มีจาก”  ถ้าไม่รัก จะเสียใจกับการพลัดพรากกับสิ่งที่รักไหม ถ้าไม่เกลียดจะเป็นทุกข์กับคนน่าเกลียดคนนี้ไหม  ฉะนั้นอะไรหรือที่น่ารัก อะไรหรือที่น่ายินดี ถ้าเราเข้าใจธรรมอันถ่องแท้ ศิษย์อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ไม่อยากยึดอะไร แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เป็นคนให้สมบูรณ์ที่สุด มีศีลมีธรรมให้มากที่สุด ถึงเวลาเราเอาเขาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เกลียดมากแค่ไหนผูกใจเจ็บดีไหม (ไม่ดี)  รักแล้วลากเขาไปด้วยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วยังรักไหม ห่วงไหม (ไม่)  ระวังนะศิษย์ถ้ารักแล้วเราตายก่อน แต่คนที่เรารักยังไม่ตาย ถ้าใจศิษย์ยังห่วง เมื่อนั้นศิษย์ต้องกลับมาหวง และเห่าเฝ้าเขา อยากไหมล่ะ ต้องระวังตัวเองด้วยนะ ศีลธรรม ก็ไม่ค่อยครบ ความเข้าใจธรรมก็ไม่ค่อยมี ได้เกิดแน่ ถ้ายังห่วงเขา
แล้วกับคนที่เกลียดล่ะ ถ้าศิษย์ยังจำได้ขึ้นใจ การเกลียดดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีนะ แล้วยังมีความเกลียดไหม อาจารย์มักพูดบ่อยๆ ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ควรเกลียดไหม (ไม่)  ไม่เกลียดแต่หนูโกรธเลย แช่งชักหักกระดูกเลย ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้นะ การผูกใจเจ็บ การผูกเกี่ยวกรรมกับคนที่เราไม่ชอบมากที่สุด แล้วเรายังจำฝังใจแล้วชอบเอามาพูดบ่อยๆ เชื่อไหมว่าความเกลียดนั้นจะหยั่งลงไปในจิตใจ แล้วจะทำให้ศิษย์ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ศิษย์ก็ต้องตามมาเกลียดเขาไม่จบสิ้น จนกว่าศิษย์จะล้างใจให้หมด กับอีกอย่างหนึ่ง จนกว่าคนที่ศิษย์เกลียดนั่นแหละสิ้นเวรสิ้นกรรมแล้วศิษย์จึงไม่ต้องเจอเขาอีก
อยากไหม (ไม่อยาก)  เอาง่ายๆ ทำไมอาจารย์ถึงพูดแบบนี้ เหมือนพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัต เขาเกลียดพระพุทธเจ้า แล้วทุกภพทุกชาติเขาต้องตามมาเกลียดตามมารังแก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พระพุทธเจ้าพ้นแล้ว เขาจะตามมาเกลียดได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเขาตามมาเกลียดไม่ได้ พอเขาไม่มีพระพุทธเจ้าให้เกลียด เขาเลยสำเร็จเป็นปัจเจกพุทธเจ้า แปลว่าคนที่พ้นแล้วจากความเกลียด กลับสามารถทำให้คนที่เกลียดนั้นพ้นทุกข์ได้ด้วย แล้วเรายังเกลียดอีกไหม แล้วเราจะรักไหม เจ็บไหม (ไม่เจ็บ) 
พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทได้คำว่า “สำนึกดีบ่อเกิดความดี”
ทำยากไหม (ไม่ยาก)  แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ ศิษย์ของอาจารย์มักไม่ใช้สำนึกดี มักชอบใช้อารมณ์มากกว่า ใช่ไหม (ใช่)  เวลาทำอะไรทำตามอารมณ์หรือทำตามจิตสำนึกที่ดีงาม ตื่นมาฉันอยากกินอะไร ฉันอยากไปเที่ยวไหน เคยมีไหมตื่นมาเคยสำนึกดีว่า ขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน ที่ยังให้โอกาสฉันหายใจอีกหนึ่งวัน และมีชีวิตที่ดีงามอีกหนึ่งวัน เคยตื่นมาแล้วรู้สึกสำนึกขอบคุณทุกๆ คน ที่ยังให้โอกาสเราอยู่หรือไม่ แล้วสำนึกดีจะเกิดได้อย่างไรล่ะ ถ้าศิษย์ไม่เคยใฝ่มันเลย ถูกไหม (ถูก)  สำนึกดีเกิดจากทำแล้วมีเมตตาไหม ทำแล้วโกหกผู้คนไหม ทำแล้วเบียดเบียนคนไหม ทำแล้วดูถูกไม่ให้เกียรติคนไหม ถ้าคิดอยู่ทุกขณะที่เวลาจะทำอะไร สำนึกดีย่อมบังเกิดการทำดีย่อมปกแผ่ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นอยากมีจิตสำนึกที่ดีงามถูกต้องหมั่นตรวจสอบตัวเองทุกขณะจิตที่ทำ เมตตาไหม เบียดเบียนคนอื่นไหม พูดแล้วทำร้ายจิตใจไม่เคารพให้เกียรติไหม ถ้าทำได้แบบนี้ทุกขณะที่ศิษย์ดำเนินชีวิตก็จะบังเกิดความดี แล้วความดีนี้คือหนทางแห่งผู้บริสุทธิ์และพ้นทุกข์ ดีไหม (ดี)  พอจะรู้เรื่องไหม ลองเอากลับไปตรวจสอบพิจารณาธรรมในวันนี้ที่อาจารย์ได้ถ่ายทอดให้ศิษย์ อาจารย์มีแอปเปิ้ลสองลูก มีใครอยากตอบบ้าง อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์โลภนะรู้จักแบ่งปันให้เป็น แอปเปิ้ลลูกเดียวแบ่งให้คนสิบคนก็ยังได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่ไม่ได้สักลูกจะไปแบ่งใครได้ล่ะ เอาไหม บางคนว่าอาจารย์อยู่ในโลกนี้บางครั้งก็หนีไม่พ้นความทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสีย ความทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บป่วย และความทุกข์ที่เกิดจากความตาย มันเกิดทีไรก็ทุกข์ทุกที ความสูญเสียเกิดขึ้นที่ผู้ใดผู้นั้นก็ทุกข์ทุกที ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะให้แง่คิดศิษย์รักว่า ก่อนเรามา เรามาด้วยเงินทองที่กอบมาเต็มมือไหม (ไม่)  เรามาด้วยสามีและภรรยาไหม (ไม่)  เรามาด้วยตำแหน่งชื่อเสียงไหม (ไม่)  เรามาคือ (ด้วยใจ)  มาด้วยใจหรือมามือเปล่า มาด้วยบุญแต่มันก็มีบาปด้วย เพราะถ้าไม่มีบาปไม่มีกรรมมันก็ไม่เกิดมาบนโลกนี้ เพราะถ้าบุญที่ดีบุญบริสุทธิ์ก็ขึ้นไปเป็นเทพสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  มันมีทุกข์อีกสองสามอย่างที่ศิษย์มักจะแก้ไม่ได้ คือทุกข์ที่เกิดจากการสูญเสีย ทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บป่วย และทุกข์ที่เกิดจากความตาย แล้วทุกข์แบบนี้บางทีมันทำใจยาก ใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น)  ตาเขาสวยไหม กรีดมันวาวเลย ยิ่งกว่าหญิงอีกนะ ศิษย์เอ๋ยอาจารย์มีเรื่องดีจะบอก ศิษย์รู้ไหมมนุษย์เกิดมามีกาย ถือว่ามีบุญอันประเสริฐ และยิ่งถ้ามีจิตใจที่ดีงามก็ยิ่งเป็นคนที่ประเสริฐที่แท้จริง แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากเตือนไว้นะ อย่ายึดติดในสักมากไม่อย่างนั้นตายไปศิษย์จะได้เป็นเสือลายพาดกลอน หรือไม่ก็ม้าลาย หรือไฮยีน่า ศิษย์เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ชีวิตวันนี้กำหนดอนาคตในวันหน้า สิ่งที่ศิษย์คิดในวันนี้และเป็นในวันนี้ คือตัวกำหนดชะตาชีวิต และชะตากรรมในวันหน้า ฉะนั้นอาจารย์รู้ว่าศิษย์มีจิตที่ดีงาม อันนี้มันเป็นแค่เมามันเล่นๆ แต่อย่าไปติดมันนะ เพราะไม่อย่างนั้น มันจะสร้างภพชาติให้เรายึดติด คนที่สร้างสักลาย เพราะใจลึกๆ มันยังชอบลวดลาย แล้วลวดลายนี้มันมาจากไหนล่ะ เพราะว่าเรายังไม่ลืมภพภูมิเก่า ภพภูมิเก่าที่เราได้เป็นเสือ เข้าใจใช่ไหม ยิ้มสักนิดหนึ่งสิ เสือยิ้มยากหรือ วันนี้สร้างบุญกับอาจารย์หน่อยได้ไหม  ทำบุญง่ายๆ ถ้าทำได้อาจารย์ให้แอปเปิ้ล 2 ลูกเลย คนอื่นได้ลูกเดียว ศิษย์ได้ 2 ลูกเลย เอาไหม ได้นะ ถ้าอย่างนั้นเดินไปนะ ยกมือสวัสดี และยิ้มหวานๆ สวัสดีครับ เดินไปทั่วห้อง แล้วกลับมาหาอาจารย์ เร็วๆ ทำเลยๆ เรื่องบุญ (คนในชั้นปรบมือให้)  ศิษย์เอ๋ยสร้างบุญต่อ ขอบคุณๆ ร่มเย็นๆ ไม่ได้ให้ปรบมือ ให้บอกขอบคุณ ร่มเย็นๆ จะได้บุญต่อจริงไหม จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน จิตที่รู้จักเคารพนับถือผู้อื่น ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่นั่นแหละคือจิตสำนึกที่ดีงาม แล้วเมื่อเขามีจิตสำนึกที่ดีงาม ศิษย์ยังรู้จักให้พร ให้กำลังใจ ร่มเย็นๆ นะ บุญรักษานะ อาจารย์อยากให้เขาได้ร่วมบุญ เอาแอปเปิ้ลไปทำอะไรดี (กิน)  เอาไปทำอะไร ถ้าคิดไม่ออกอาจารย์เอาคืน (เอาไปให้พ่อแม่ครับ)  พ่อแม่ก็ได้ เพื่อนก็ได้ ใครก็ได้ (เพื่อนไม่ให้ครับ)  ศิษย์เอ๋ยผีมันเห็นผี ถ้าเขาไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ดีเหมือนกัน  ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก  แต่มันก็ต้องมีดีด้วยกันทุกคนแหละ แต่มันอยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะหันด้านไหนในการดำเนินชีวิต ทุกคนมีจิตสำนึกดี อาจารย์ถามว่าเวลาทำผิด มโนธรรมสำนึกมันคอยเตือนใจบ้างไหม เราเคยขโมยเขา เราเคยทำผิด เราเคยด่าคน ฉะนั้นถ้าเรารู้จักใช้มโนธรรมจิตสำนึกที่ดี ศิษย์ไม่มีวันผิดหรอกก้าวพลาดหรอก แต่เพราะเราใช้อารมณ์มากกว่าการใช้มโนธรรมสำนึกใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อตัวเองนะ ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ คนเราไม่ได้เกิดมาง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าศิษย์เห็นสรรพสัตว์ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการเกิดเป็นคนมีโอกาสยากยิ่งนัก แม้เทพเทวายังอยากเกิดเป็นคน เพราะคนนี้แหละมีโอกาสมากๆ  สร้างบุญมากๆ  สร้างบุญยิ่งใหญ่ แต่เราไม่ค่อยทำ
ศิษย์เอ๋ย ศิษย์ที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนนั่นแหละเป็นบุญเป็นกุศลสำหรับตัวเองนะ หัวแข็งหัวดื้อไม่มีใครรัก วันนี้อาจารย์คงมาผูกบุญกับศิษย์เพียงแค่นี้ เรียนรู้ฝึกฝนบำเพ็ญธรรมเพื่อช่วยตัวเอง ให้เข้าใจในความทุกข์ และอยู่กับทุกข์อย่างเป็นสุขที่แท้จริง เมื่อช่วยตัวเองพ้นทุกข์ เราก็ช่วยคนรอบข้างพ้นทุกข์ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อไหร่ที่เราทุกข์ เราก็ทำคนอื่นทุกข์โดยไม่ได้ตั้งใจ ใช่ไหม (ใช่)  ลองเอาสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณา ต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล ล้วนเกิดจากใจ ใจที่เราไม่เข้าใจในธรรม ใจที่เราไม่เข้าใจในความเป็นคน ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ศิษย์ช้าสักนิด ใช้สติให้มากหน่อย ใช้มโนธรรมสำนึกให้รอบคอบ ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะพูด เพราะปัญหาและความทุกข์มันเกิดแล้วบางทีแก้ยาก ถ้าอยากเป็นคนบำเพ็ญเริ่มต้นง่ายๆ พูดน้อยๆ  ยิ้มเยอะๆ และเข้มแข็งให้มากๆ  ด้วยใจที่กล้ารับความจริง คนที่รู้จักพอได้ คนที่เข้าใจในความทุกข์ได้คือคนที่พยายามเข้ามาดูแลใจ พยายามหันกลับมาดูใจอันแท้จริงว่าเป็นอย่างไร แล้วรักษาใจนี้ให้ดี เพราะปัญหาที่แท้จริงเริ่มที่ใจ ก็ต้องละที่ใจ และจบที่ใจ ดังคำกล่าวที่ว่า จงตายก่อนตาย อยากมากก็ทุกข์มาก อยากน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่อยากเลยก็ไม่ทุกข์ มันยากนะ ไม่ยากหรอก แค่อยู่อย่างพอ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น พอไหม (พอ)  กลับได้แล้วนะ  อาจารย์ขอลงไปหาผู้ร่วมฟังหน่อยนะ
อย่าเพิ่งร้องเพลงลาศิษย์  หาเพลงอะไรมาร้องร่วมกัน ร้องเพลงตั้งใจ เดี๋ยวอาจารย์ขึ้นมา จงมีสติ ทำอะไรรู้จักยั้งคิด ทำอะไรรู้จักยั้งคิด มีจิตสำนึกดีงาม ไม่เบียดเบียนคน ทำให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อากาศเย็นดีไหม  ชื่นใจไหม (เย็น)  แน่นะ  เดี๋ยวอาจารย์แอบปิด พัดลมดีไหม ได้หรือ (ได้)  อาจารย์ดีใจนะ วันนี้อาจารย์ได้มาเจอศิษย์คนบุญของอาจารย์ทั้งหลาย ที่มีปณิธานกันไว้ว่า เมื่อลงมาเกิดจะมุ่งมั่นบำเพ็ญให้ถึงที่สุด เมื่อลงมาเกิดจะบำเพ็ญเพื่อฉุดช่วยผู้คนให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะไม่ลืมเลือนปณิธานที่ศิษย์เคยลั่นไว้กับอาจารย์ อย่าปล่อยให้โลกใบนี้มันหลอกลวงใจของศิษย์ และหลงไปตามกิเลสอารมณ์ และหลงไปตามความไม่เที่ยงของโลกใบนี้ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีจิตใจงดงาม มีจิตใจที่แข้มแข็ง และมีจิตใจที่สวยสว่างใสเสมอ แต่ที่พลาดไป ผิดไป ก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบ ความหลงยึดติดในสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง รีบๆ กลับตัวแก้ไข และทำในสิ่งที่มันถูกต้องด้วยจิตสำนึกอันดี ถามใจตัวเอง พูดไปแล้วมันเมตตาออกจากใจไหม พูดไปแล้วมันเคารพให้เกียรติคนไหม ทำแล้วมันได้ผลดีไหม  ถ้าหมั่นถามตัวเองอยู่เสมอ หนทางแห่งการเป็นพุทธะ มันไม่ไกลเกินเอื้อม มันจะเดินตรงแล้วกลับไปหาอาจารย์ทันที แต่ถ้าเมื่อไหร่ เอาแต่อารมณ์ เอาแต่ใจ เอาแต่ทิฐิ เอาแต่ความอยาก หนทางนั้นศิษย์ก็จะไม่ถึง
ขอให้คิดให้ดี ทำอะไรดีที่สุดแล้ว ต้องละวาง เพราะอาจารย์ไม่สอนให้ศิษย์ยึดถือ ทำให้ดีที่สุด แล้ววาง นี่แหละคือหัวใจที่แท้จริงที่ไม่ต้องกลับไปแล้วหวังผลอะไร เพราะถ้ายังหวังผลยึดถือ ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน  ศิษย์ก็ยังสร้างตัวตนที่ต้องไปเวียนว่าย แต่ถ้าทำแล้วสบายใจว่างเปล่าไร้ตัวตน มันก็ไม่มีตัวตนให้ไปเวียนว่ายและรับทุกข์อีก และไม่มีตัวตนที่ไปเสวยสุข แต่มันคือธรรมที่คืนสู่ธรรมแท้จริง ไร้ตัวตนที่ยึดถือ ไปให้ถึงนะ หัวใจที่แท้จริงที่ไม่ยึดติดคำว่า “ตัวตน” แต่เข้าใจถึงธรรมอันว่างเปล่า สว่างใส  บริสุทธิ์  ทำด้วยหัวใจบริสุทธิ์ ทำด้วยหัวใจเมตตา ทำด้วยหัวใจเบิกบาน ทำให้ได้นะ จะได้เดินตรงกลับมาหาอาจารย์อย่างคนที่ธรรมเจอธรรม ไม่ใช่เอาตัวศิษย์มาเจออาจารย์ ตัวนี้มันยังหนีไม่พ้นทุกข์ เอาตัวธรรม ธรรมที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์อีก เอาตัวนั้น แต่คำว่าตัวตน มีแต่คำว่าเจ็บ มีโลภ มีหลง มีแต่กิเลส เอาธรรมนะ ธรรมที่ว่าง ธรรมที่สงบ ธรรมที่งดงาม ได้ไหม (ได้)  เข้มแข็งนะไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร ความสูญเสียเป็นเรื่องปกติของความเป็นคน แต่เราไม่สูญเสียหรอกศิษย์ เพราะเรามาตัวเปล่า ถึงเวลาเราก็กลับ แล้วเราสูญเสียอะไร ไม่มี  เรากำลังเจ็บปวดอะไร มันไม่มี เราก็แค่เปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่มีอะไรให้ยึดถือ นั่นแหละประเสริฐสุด ไปให้ถึงให้ได้นะ อย่าให้แค่ความทิฐิ ความหลงผิด อารมณ์หรือกิเลสชั่ววูบมันทำให้ศิษย์ไม่ได้เจออาจารย์อีกเลยนะ  อาจารย์อยากเอาคำว่าปฏิบัติจริง เข้มแข็ง มุ่งมั่น ฉุดช่วยผู้คนด้วยหัวใจแห่งโพธิสัตว์ ทำให้ได้นะ เข้มแข็ง ให้สติปัญญา ให้ความเข้มแข็ง แต่อาจารย์ไม่ให้ความดื้อรั้นนะ มุ่งมั่น ทำให้ได้ใช่ไหม
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว จับอย่างนี้แปลว่าจะมาอีกนะ ถ้ามีโอกาส ตั้งใจทำดีนะ ปฏิบัติดีชีวิตย่อมมีสุข ปฏิบัติผิดชีวิตย่อมทุกข์ทน ไม่เป็นไรนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะเด็กดื้อ อาจารย์ให้ขวัญและกำลังใจที่ดีนะ ทำอะไรคิดให้ดีด้วยสติ อย่าใช้อารมณ์ อย่าหลงตน รู้จักคิดรู้จักทำ ไตร่ตรองให้ดี อยากให้อาจารย์อวยพรไหม อำนวยพรให้ศิษย์โชคดี ความรู้ดี แต่ถ้าไม่เอาไปช่วยผู้อื่นก็เปล่าประโยชน์นะใช่ไหม ตั้งใจรักษาบุญและโอกาส ทำอะไรต้องมีสติ ต้องมีสติรู้ยั้งคิดนะ ถนอมบุญวาสนาตัวเอง ศิษย์เอ๋ย มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะ อาจารย์ก็จุกไม่รู้จะพูดอะไรกับศิษย์ ขอแค่เพียงศิษย์เปิดใจสักหน่อย กลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ
เข้มแข็งแล้วนะ สู้นะศิษย์เอ๋ย ชีวิตยังอีกยาวไกล อย่าทำชีวิตด้วยการคิดผิดนะ ขอให้แข็งแรง ขอให้ปลอดภัย บุญรักษานะศิษย์เอ๋ย มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีนะ มีโอกาสมาฟังให้ครบนะ หนทางพ้นทุกข์มีจริง หนทางดับทุกข์ก็มีจริง แต่อยู่ที่ศิษย์จะปฏิบัติได้จริงหรือไม่ อาจารย์เป็นเพียงแค่ผู้ชี้ทาง แต่คนที่จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงทางที่อาจารย์บอกนั้นคือตัวศิษย์เอง ลองทำดูสิศิษย์ แล้วศิษย์จะเข้าใจว่า ความพ้นทุกข์คืออะไร ทุกข์ที่อาจารย์บอกว่า มันน่ารัก มันน่ารักแค่ไหน อย่าก้าวลงไปในอบายมุขสิ่งผิดเลยนะศิษย์ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ระมัดระวังอารมณ์ กิเลสของตัวเอง เพราะถ้ามันเกิดขึ้นกับตัวแล้ว แค่ชั่ววูบ ชีวิตศิษย์อาจจะไม่เหลือเลยก็ได้จริงไหม แค่คำว่าไม่ยอม แค่คำว่าไม่ให้อภัย แต่ธรรมสอนให้เรายอมอภัย และให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ เข้มแข็งอยู่บนโลกนี้ให้ได้ ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ และมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง โดนใครว่า โดนใครด่าทอ สู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่โกรธแต่เข้าใจ ชอบคนชมก็ต้องชอบคนด่า ไม่เกลียดเขาใช่ไหม (ใช่)  นี่แหละจะเรียกว่า หัวใจผู้บำเพ็ญ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท“สำนึกดี บ่อเกิดความดี”
 
     จิตตนไหลเลื่อนไปตามวันเวลา                ฟาดฟันฝ่าโยนจิตเดิมธรรมหล่นหาย
สำนึกดีบ่อเกิดแห่งความดีทั้งหลาย               ถูกกลืนหายไปในความเห็นแก่ตัว
การไม่รู้ตัวเองนี้ดังโรคร้าย                         ทั้งรู้แต่ไม่แก้ไขดั่งเรือรั่ว
ที่รู้แล้วยังทำช่างไม่กลัว                             จิตมืดมัวเห็นทุศีลเป็นธรรมดา
ให้คนอื่นมาช่วยขัดก็ต้องเจ็บ                      ลงแรงเก็บจิตตัวเองจะดีกว่า
สิ่งที่คิดได้เองนั้นไม่เคยช้า                         ต้นเหตุปัญหาจะถูกขุดถอนรากถอนโคน

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

2559-12-24 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

#อุปาทาน  #อริยทรัพย์  #ปฏิจจสมุปบาท


西元二○一六年歲次丙申十一月廿七日                     仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙           สถานธรรมจินเอวี๋ยน  จ.นครราชสีมา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ผู้บำเพ็ญมีธรรมอยู่ทุกขณะ             รู้ลดละกิเลสอยู่ทุกเมื่อ
ไขหลักจิตที่เป็นมากกว่าความเชื่อ       ทุกหยาดเหงื่อเลือดชีวิตล้วนเพื่อธรรม         เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                            ถามศิษย์รักทุกคนรอนานไหม

  สรรพสิ่งเกิดเพื่อดับอยู่ทุกเมื่อ          ชีวิตเพื่อจบหรือเริ่มรู้บ้างไหม
ยามไม่มีก็อยากมีอยากได้                มีอะไรใครบ้างรู้ถึงความจริง
ชีวิตที่แท้จริงแปรไปทุกเมื่อ              เลิกเบื่อชีวิตย่อมผันทุกข์เพื่อทิ้ง
การติดดีนำใจจะช่วงชิง                  กว่ารู้เหตุหนุนตามสิ่งมากระทบ
ที่คิดอยู่เพื่อยึดหรือเพื่อปลง              ที่คิดปลงปลงหรือว่าถูกสยบ
ตรวจสอบใจจนรู้จะเริ่มสงบ             อย่าหมุนวัฏจักรวุ่นวายหลบในหัวใจ
สับสนต่อหรือหยุดลงตรงนี้ดี             หยุดใจตนที่ตรงนี้ไม่สลาย
รู้หรือไม่ใดกิเลสเหตุเภทภัย              อย่าให้ครอบงำสักขณะก่อนเลย
มีก็รู้เกิดก็ละก็ดับ                         ประดุจจับทุกข์ได้ละครองวางเฉย
ทุกสมัยทุกหนแห่งธรรมไม่เชย           บำเพ็ญเผยสติคุมปัญญานำตนเอง
อยากรอดพ้นพินิจในจิตตนนี้             มหานทีรูปนามแจ้งชัดคือเร่ง
เมื่อแจ้งสัจธรรมสุขทันทีมีเอง            ทุกข์ข่มเหงอย่างไหนไม่ทุกข์จนตาย
เพื่อรู้จีรังทุกข์ยังแค่ทางผ่าน             เพื่อหลุดพ้นตนทันการณ์กระชากไหม
จะรอทุกข์วางวายหามีไม่                ต้องบำเพ็ญกายใจจนตราบสิ้นกรรม                                  

ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้สึกเวลาผ่านไปนานไหม มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (เร็ว) ไม่มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (ช้า) อย่างนั้นเวลาที่ช้าหรือเร็ว เพราะอะไรหรือ (เพราะเรา)  เพราะเวลาหรือเพราะใจเรา มีความสุขเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว โทษเวลาหรือโทษใจดี โทษใจใช่หรือไม่ อ่านตัวเองออก บอกตัวเองได้ ก็จะสามารถรู้ว่าชีวิตดีหรือร้าย ได้หรือเสีย สุขหรือทุกข์ แท้จริงแล้วบางทีไม่ได้อยู่ที่เหตุปัจจัย แต่อยู่ที่ใจของตัวเราเองรู้สึกเช่นไรต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้ารู้สึกดีเวลาก็ไวเหลือเกิน แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีเวลาก็ช้า แล้วเราโทษเวลาหรือโทษใจ โทษคนพูด โทษคนที่เรียกให้มาฟังธรรมได้ไหม นั่งตรงนี้แล้วลำบากไหม สบายไหม จะนั่งต่ออีกหนึ่งวันไหวไหม ถามหน่อยนะ บางครั้งที่เรารู้สึกดี บางครั้งที่เรารู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ใช่ที่คนเขาทำให้เราเป็นอย่างนั้น หรือเป็นเพราะใจเราเอง (ตัวเราเอง) แต่ถึงเวลาเราโทษใคร (คนอื่น)  เหมือนกัน เหมือนเวลาถ้าเรารู้สึกดี เวลาก็ผ่านไปไว ใช่เวลาเดินไวไหม เวลาก็ยังคงเดินตามปกติ แต่ใจของเราต่างหากที่ไม่ปกติจึงทำให้เวลามีไวมีช้า คนมีดีมีร้าย แต่จริงๆ ถ้าเรามองอย่างไม่รู้สึกว่า มีใครดี ใครร้าย แต่พอเรารู้สึกปุ๊บ รู้จักคิดว่า เขาน่ารังเกียจหรือเราไม่ชอบ เขาน่ารำคาญหรือใจเราไม่รู้จักอดทนอดกลั้น
ฉะนั้นก่อนที่จะโทษเหตุปัจจัย ถ้าใจเราสงบนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร เหตุปัจจัยจะดึงเราให้ดีร้ายได้เสียไหม ถ้าเรารู้สึกดีใครพูดอะไรก็ดี แต่ถ้าเรารู้สึกแย่แม้เขาชมเราก็รู้สึกแย่ เพราะอะไร (เพราะใจเรา) แถมว่าเขากลับว่าไม่จริงใจ ฉะนั้นนั่งฟังธรรมะจะดีหรือไม่ดี ยากหรือง่ายมันไม่ได้อยู่ที่คนพูด ไม่ได้อยู่ที่คนชวนมา แต่อยู่ที่ใจของเรา ชอบหรือไม่ชอบ รู้สึกหรือไม่รู้สึก ใช่หรือไม่
มีอะไรที่แย่ที่สุดไหม และมีอะไรที่ดีที่สุดไหม มีดีก็ยังมีดีกว่า มีแย่ก็ยังมีแย่กว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเราไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าอะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด สิ่งที่เราบอกว่าเลวร้ายแท้จริงแล้วอาจจะไม่เลวร้ายก็ได้ สิ่งที่เราบอกว่าดีที่สุดนั้นดีที่สุดแล้วหรือ ก็ยังไม่ดีที่สุด ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าเราเอาใจแห่งความเป็นคนไปวัด เอาสายตาแห่งความคิดความรู้สึกของตนเป็นพื้นฐานในการมองสรรพสิ่ง เราจะไม่มีวันพบความจริงสักชั่วขณะหนึ่งได้เลย จริงไหม (จริง) เพราะมนุษย์ชอบเอาความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ ไปมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเอาธรรมไปมอง อะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด มีไหม เมื่อไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด อะไรที่เราจะเกลียด อะไรที่เราจะโกรธ อะไรที่เราจะหลงรัก กิเลสก็หายไปทันที ความทุกข์ก็ไม่มี แล้วเราจะดับตรงไหน มันก็จบทันทีเลยจริงไหม (จริง) ฉะนั้นตอนนี้ที่ชีวิตยุ่งยากเพราะอะไร เพราะใจเอาแต่ติดยึดความรู้สึก ความเข้าใจ ความคิดโดยไม่มองความจริง ฉะนั้นผู้เข้าถึงธรรม จึงถือธรรมเป็นชีวิตและจิตใจ และดำเนินชีวิตตามธรรม ฉะนั้นธรรมคืออมตะ ธรรมคือชีวิต ชีวิตจึงอยู่เพื่อธรรม นี่คือหนทางการบำเพ็ญ ยากไหม (ไม่ยาก) ให้ท่านทำอะไรวุ่นวายไหม (ไม่) แค่ให้รู้จักมองตามความจริง กลับได้แล้วนะ ได้ไหม ก็จบแล้ว ต้องอะไรมากมายใช่ไหม เมื่องิ้วหมดลง งิ้วก็ต้องลงโรง ใช่หรือเปล่า ศิษย์มักจะคิดว่าอาจารย์มาแสดงละครให้ดูใช่ไหม
ธรรมชาติของมนุษย์ก็มีใจเหมือนๆ กัน ฉะนั้นถ้าเราอ่านใจตัวเองออกทำไมเราจะอ่านใจคนอื่นไม่ออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเรารู้ใจตัวเองเรื่องใด ทำไมเราจะมองผู้อื่นได้ไม่ชัด แต่คนในโลกนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ชอบรู้ใจคนอื่นแต่ไม่ชอบรู้ใจตัวเอง ชอบเอาแต่ไปมองคนอื่นจนลืมมองตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าตอนนี้อาจารย์บอกให้ยืนขึ้นก็ (ยืน) ถ้าอาจารย์บอกให้นั่งก็ (นั่ง)  ศิษย์อาจารย์เป็นคนว่านอนสอนง่ายจริงๆ นะ ชีวิตจริงเป็นอย่างนี้หรือ ว่าซ้ายไป (ขวา) ว่าขวาไป (ซ้าย) ให้เดินหน้ากลับ (ถอยหลัง) ให้หยุดกลับ (เดิน) จริงไหม (จริง) อาจารย์ถามหน่อยนะว่า การตามใจคนอื่นบ้าง บางทีมันง่ายกว่าการขัดใจคนอื่น จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นทำตามคำบอก คือ ยืนขึ้นและนั่งลง มีนักเรียนท่านหนึ่งยืนโดยไม่ยอมนั่งลง)
มีความทุกข์อะไรหรือ (ทุกข์ใจ) แล้วอยากให้อาจารย์ช่วยใช่ไหม ใจเย็นๆ คนทุกคนในโลกก็ทุกข์กันทั้งนั้น ถามสิ มีใครบ้างไม่ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้ มันก็มีทั้งเรื่องยากและเรื่องง่าย (ใช่) แต่บางครั้ง อยู่ในโลกนี้ อดทนได้ ชีวิตก็สงบไปตั้งเยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่) วางได้ ชีวิตก็เป็นสุขไปตั้งเยอะ แต่บางทีความไม่อดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การไม่ยอมวางในสิ่งที่ควรวาง ก็ทำให้ชีวิตง่ายๆ กลายเป็นชีวิตที่ยากในทันที จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนศิษย์ถามในใจว่า ทำไมหนูต้องยอม ทำไมหนูต้องอดทน ก็เขาเป็นแบบนั้น แล้วทำไมหนูต้องยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องทนเขา มันเหนื่อยนะอาจารย์ จริงไหม (จริง) ใช่ อาจารย์เข้าใจ แต่ศิษย์เอ๋ย มีสิ่งหนึ่งที่มากกว่า ถ้าศิษย์เข้าใจแล้วศิษย์จะรู้เลยว่า ทำไมเกิดเป็นคนต้องรู้จักอดทนอดกลั้น การยอมดีกว่าการสู้และรบชนะ การแพ้แล้วถอยเป็นและการชนะใจตัวเอง จะดีกว่าการจองเวรจองกรรม
อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์อยากพบคนที่ศิษย์เกลียดหน้าไหม (ไม่อยาก) แล้วจำสำนวนไทยได้ไหมว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ อย่างนั้นเปลี่ยนจากเกลียดเป็นรัก ดีไหม แล้วศิษย์ได้ยินอีกสำนวนหนึ่งไหม ผีเห็นผี ฉะนั้นเกลียดคนแบบไหน เราก็เป็นแบบนั้น อาจารย์พูดตามหลักธรรมหลักความจริง ถูกไหม (ถูก) ทำไมเดินไปรอบโลกแล้ว คิดว่าจะหนีเขาพ้น กลับพบคนแบบนี้อีกแล้ว เกลียดจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรจึงพบแบบนี้ ก็เพราะว่าใจของศิษย์นั้นจดจ่อ ศิษย์เอ๋ย มีอะไรตั้งหลายอย่าง มีอะไรให้มองกลับไม่มอง แต่ไปมองสิ่งที่ตัวเองเกลียด แล้วสิ่งที่ดีๆ มีให้เห็น แต่กลับมักเห็นแต่สิ่งที่เกลียด ฉะนั้นผีก็เห็นผี เกลียดแบบไหนก็เจอแบบนั้น แปลว่าในใจเรามีแบบนั้นอยู่ ถูกหรือเปล่า (ถูก) เหมือนดั่งว่า กระจกสะท้อนเงา แล้วเราไปด่าว่ากระจกบ้า อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) แล้วคนอื่นเขาสะท้อนความเป็นตัวเรา แล้วเราก็ไปด่าเขาว่า บ้า อย่างนี้จริงๆ แล้วใครบ้า (เราบ้า) ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทำเช่นไร ผลก็สะท้อนมาเป็นเช่นนั้น
อาจารย์อยากบอกวิชาให้ศิษย์ ซึ่งวิชานี้ถ้าเอาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติ ก็จะตามศิษย์ไปทุกภพทุกชาติ และวิชานี้จะทำให้ศิษย์ไม่มีวันตกต่ำ ไม่มีอับจน วิชานี้ศิษย์ไม่คิดจะเรียนกันบ้างหรือ เรียนเป็นแม่ค้าตายไปก็ต้องกลับมาเรียนการเป็นแม่ค้าใหม่จริงไหม เรียนเป็นครู เรียนเป็นอาจารย์ เรียนเป็นหมอ เป็นนักธุรกิจ ตายไปแล้วเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) เงินนี้หาจากธุรกิจ หาจากการเป็นหมอ หาจากการเป็นอาจารย์ เป็นครู นำไปได้ไหม ติดไปทุกภพทุกชาติไหม แต่มีวิชาหนึ่งตายไปแล้ว หรือแม้แต่ก่อนตายจะทำให้ตัดภพตัดชาติ สิ้นเวรสิ้นกรรม สิ้นทุกข์ แม้เกิดกี่ชาติก็ไม่มีวันอับจน ทำให้เราได้ดี คิดดี มีสุข วิชาแบบนี้ไม่มีใครคิดเลยนะ
ศึกษาและปฏิบัติบำเพ็ญวิชาอะไร ที่จะทำให้สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์และตายไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่มีวันอับจน ความเข้าใจเป็นปัญญา ที่เรียกว่าปัญญาแห่งความกระจ่างแจ้งและการตื่นรู้ นั่นเรียกว่าวิชาธรรม
การศึกษาบำเพ็ญธรรมนั้นดีอย่างไร การฟังธรรมบ่อยๆ จะทำให้เราเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในชีวิต และการฟังธรรมเป็นการทำให้เราได้เพิ่มพูนปัญญา ถ้าศิษย์เป็นคนที่นับถือพุทธ ทำทานแม้ร้อยหม้อพันหม้อทั้งในโลกนี้ยันโลกหน้ายังไม่ประเสริฐเท่ากับการมีศีล 5 ข้อ การมีศีล 5 ข้อร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับจิตสงบนิ่งหนึ่งวัน จิตสงบนิ่งเท่าช้างกระดิกหู แค่เขาทำอะไรแล้วจิตศิษย์สงบ ไม่สร้างบาปสร้างกรรม หยุดกรรมจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าการให้ทานเป็นร้อยหม้อ เข้าใจไหม แต่การมีจิตสงบร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งในชีวิตหนึ่งวัน เห็นไหมว่าการเข้าถึงปัญญามันประเสริฐที่สุดกว่าการให้ทาน แต่พอถึงเวลาลากดึงก็แล้ว โทรก็แล้ว มาฟังธรรมะเถอะ ก็ไม่เอา ใช่ไหม ศิษย์รู้จักแต่บุญวาสนาจากการให้ทาน แต่ศิษย์ลืมปัญญาจากการเข้าถึงธรรม และถ้ามาฟังตรงนี้ได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ได้กุศลอันประมาณค่าไม่ได้ถ้าเราเข้าใจ แต่เอาไหม (ไม่เอา) ก็เลยไม่เข้าใจใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์มาบอกให้เข้าใจ ว่าจะเอาไม่เอาก็แล้วแต่ศิษย์ และขณะที่ฟังให้เกิดปัญญานั้นยังรู้จักอดทนอดกลั้น มีความเข้าใจ มีความเพียร มีความวิริยะก็ยังเกิดบารมี เรากลับไม่เอา
เข้าใจธรรมอะไร ที่จะทำให้เราสิ้นทุกข์ ตัดภพตัดชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายอีก จะเกิดกี่ชาติก็ไม่ต้องอับจน ไม่ตกต่ำ (ไม่สร้างเวรสร้างกรรมต่อ) ใช่ไหม มีอะไรอีก (คุณธรรรม, ตัดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง, ความกตัญญู, ไม่ทานเนื้อสัตว์, ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะเขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน) อย่างนั้นยุงกัดเราจะไม่ (ตบ) มดมา แมลงสาบมาเราก็จะไม่ (ไม่ทำร้าย) เนื้อสัตว์มาเราก็จะไม่ (ไม่ทาน) ใช่แค่นี้แล้วทำให้ศิษย์เข้าถึงธรรมดับทุกข์ได้จริงไหม (ไม่)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์สามประโยค
บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ
ทุกข์ไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด
สิ่งใดที่บุคคลยึดถือ ไม่มีโทษนั้นไม่มี
อาจารย์ถามว่า ถ้าศิษย์เข้าใจสามประโยคนี้ ศิษย์จะสร้างบาปกรรมไหม (ไม่สร้าง)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์อยากยึดถืออะไร เกิดอยากอะไร หนีโทษ หนีทุกข์ หนีบาป หนีกรรมได้ไหม (ไม่ได้)  แปลว่า เมื่อไรที่เราเกิดอยากมีอยากได้อะไร เรายึดไหม (ยึด)  ยึดแล้วมันจะมีโทษไหม (มี)  ยึดแล้วมีโทษ อยากแล้วมีทุกข์ไหม (มี)  แล้วอดสร้างบาปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องสร้างใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดอย่างนี้ เข้าใจธรรมอย่างนี้ เราจะอยาก เราจะยึด เราจะหวังมีอะไรไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  มีไหม (ไม่มี)  เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ไม่ได้หลอก แต่อาจารย์พูดตามความจริง ถูกไหม แต่ถึงเวลาอยากไหม (อยาก)  มีไหม (มี)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยึดไหม (ยึด)  บาปไหม (บาป)  กรรมไหม (กรรม)  แล้วศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม” ทำดีเรียกว่า (กรรมดี)  ทำชั่วเรียกว่า (กรรมชั่ว)  อย่างนั้นแปลว่ากรรมดีทำแล้ว (ขึ้นสวรรค์)  กรรมชั่วทำแล้ว (ตกนรก)  แต่หมดสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมา (เกิดใหม่)  แล้วมันต้องเวียนไปถึงเมื่อไรล่ะ อาจารย์จะบอกว่ามีอีกอันหนึ่งที่พ้นจากกรรมดีกรรมชั่วนั่นคือ ทางสายกลาง ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่เอา ทางนี้แหละที่จะทำให้พ้นสวรรค์ พ้นนรก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิพพาน แล้วทำแบบไหน ก็ทำแบบที่ทำแล้วไม่มีโทษ ไม่มีทุกข์ ไม่มีบาป นั่นก็คือ (ไม่ยึด ไม่เกิด ไม่ทำ)  ถ้าเป็นอย่างนั้นวันๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  พุทธะสอนไว้แล้ว ทำอะไรตามความจริง แต่ไม่ใช่ทำอะไรตามความอยาก มีหน้าที่ก็ทำไปตามความจริงของหน้าที่ จะได้หรือไม่ได้เงิน เงินสูงหรือเงินต่ำ ก็ไม่เป็นไร นั่นแหละเรียกว่า ทำอย่างคนสายกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น วันตกนรกคือวันที่ 1-29 วันขึ้นสวรรค์คือวันที่ 30 ได้รับเงินเดือนออก ใช่ไหม (ใช่)  วันตกนรกคือวันทำนา ก่อนให้ข้าวมันตั้งท้อง วันที่ขึ้นสวรรค์คือวันที่ขายข้าวได้ราคาสูง ใช่ไหม ฉะนั้น ถ้าเราอยากทำแบบคนพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นกรรม จงทำสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่า หน้าที่ ให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ยึดติด ดีหรือไม่ (ดี)
ศิษย์เอย ถ้าเข้าใจแค่นี้ ก็จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม ศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนให้อยู่อย่างไม่อยากอะไรเลยก็คันหัวใจ ให้อยู่แบบไม่ยึดอะไรเลยก็เหงาเปล่าเปลี่ยวใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าให้ทำแบบอาจารย์บางทีก็ยาก ถูกไหม (ถูก)  แต่จริงๆ อาจารย์บอกว่าไม่ยากหรอก อยู่แบบคนยืมใช้ ถึงเวลาก็คืนเขาไป ทำเต็มที่ ถึงเวลาผลมันจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับความจริง เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่มนุษย์ชอบทำอะไรแล้วยึด แล้วหวัง แล้วก็อดเพ้อฝันไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ในความเป็นจริง โลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ผิดหวัง มีใครบ้างไม่อกหัก มีใครไม่เคยสูญหายบ้าง มีใครไม่เคยล้มเหลวบ้าง ยกมือขึ้น (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นความจริงจะกลัวอะไร ใครๆ ก็เจอ เราก็เจอบ้าง ก็แค่นั้น จริงไหม (จริง)  
มนุษย์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่อาจารย์รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คือ มนุษย์ไม่ชอบอยู่กับความว่างเปล่า กลัวเหงากลัวไม่มี จึงต้องพยายามหาที่พึ่ง พึ่งลูกไม่ได้ก็พึ่ง (สามี)  แล้วถ้าสามีพึ่งไม่ได้ อย่างนี้ศิษย์จะพึ่งใคร (พึ่งตัวเอง)  แล้วเช็ดน้ำตาไปเท่าไรจึงจะมาพึ่งตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยนะ บางคนบอกว่า กลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยว ต้องมีอันนั้นอันนี้ แล้วชีวิตจึงจะสมบูรณ์แบบ ชีวิตจึงจะใช่เลย แล้วเรื่องธรรมะค่อยว่ากัน อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่าต้องพยายามหาให้ครบ หาให้สมบูรณ์แบบ เมื่อถึงเวลาแล้วสิ่งเหล่านั้นทำให้เราพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ลูก สามี ภรรยา เพื่อนที่รักที่สุด ยศตำแหน่ง บ้าน ทั้งหมดนี้พึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ก็รู้หมดทุกอย่าง แล้วยึดไหม (ยึด)  ก็จบแล้ว ไม่ต้องต่อแล้ว ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ถ้าศิษย์รักตัวเอง เกลียดทุกข์ จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวและเสมอเท่ากับแรงกรรมที่ศิษย์ก่อ เพราะแม้ศิษย์มีน้ำตานองหน้า แล้วทำดีแค่ไหน กรรมที่ศิษย์เคยก่อ เมื่อถึงเวลาตกผล ศิษย์ก็เรียกร้องขอพระพุทธะไม่ได้ เพราะถึงเวลากรรมตกผลก็ต้องชดใช้
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกิดก็จงอย่ามีตัณหา เพราะตัณหาเป็นต้นทางแห่งความทุกข์ ถ้าไม่อยากรับบาป ไม่อยากรับกรรม ไม่อยากรับความชั่วก็จงอย่าทำผิด อย่าทำบาป อย่าสร้างกิเลส อย่าสร้างกรรม เพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น อยากหยุดผลจงหยุดที่เหตุ มองเห็นเหตุชัด หยุดเหตุได้ ทุกข์ก็จบสิ้น แต่ถ้าศิษย์ยังหาเหตุไม่เจอ หยุดเหตุไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่มีวันวางวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่พุทธะอยากให้คนทำความดี เพราะการทำดีเป็นการหลีกเลี่ยงให้ตัวเองไม่ไปทำความผิด ไม่ไปทำกรรม ไม่ไปทำชั่วเพราะ ผลสุดท้ายจะกลายเป็นทุกข์เพิ่ม ฉะนั้น ถ้าศิษย์เข้าใจอย่างนี้ศิษย์จะสร้างเหตุเพิ่มไหม (ไม่สร้าง)  ดั่งคำกล่าวไว้ว่า “อนาคตเป็นอย่างไรไม่ต้องไปถามใคร ถามตัวเองว่าสร้างเหตุอะไรปรุงแต่งเป็นปัจจัยให้เราต้องรับอนาคตเช่นนั้น” ถ้าเราหยุดเหตุได้ อนาคตก็คือการชดใช้กรรมเก่าจริงไหม
ฉะนั้นต้นเหตุแห่งกรรม ต้นเหตุแห่งทุกข์มันเกิดจากอะไร ถ้าทำดีแล้วยึดติดก็เรียกว่ากรรม ถ้าทำชั่วแล้วไม่ปล่อยวางแล้วยังจดจำ จองกรรมไว้ในใจก็เรียกว่า กรรมชั่ว จองเวรจองกรรม ไม่ต้องให้ฟ้าตัดสินหรอก ใจศิษย์ทุกคนนั้นเที่ยงตรงยุติธรรมที่สุด ถามตัวเองสิว่า ความไม่ดีที่ศิษย์ทำมาตั้งแต่เด็ก นานๆ มันก็วนกลับมาว่าเมื่อไรเราจะชำระมันทิ้ง เดี๋ยวนานๆ มันก็วนกลับมาแล้ว เราเคยขโมยเงินแม่ เคยโกหกเพื่อน เคยโกหกภรรยา เคยเบียดเบียนผู้อื่น เคยโกหกมดเท็จแล้วก็วนมาตลอด แล้วเราจะทำอย่างไร เราเคยที่จะใส่ใจชำระล้างไหม หรือปล่อยให้วนอยู่อย่างนั้น แล้วกลายเป็นรากที่ฝังลึก แล้วก่อเกิดเป็นตัวตนที่กลับมาต้องใช้กรรม ถ้าความชั่วที่ศิษย์เคยทำมันกลับมา แล้วตอนนี้ศิษย์ไม่ได้ทำแล้ว เมื่อไรที่มันกลับมาตอนนั้นจงรู้จักชำระล้างด้วยจิตสำนึก ขออภัย ต่อไปจะไม่ทำแล้ว ขอบคุณที่กลับมาให้เราย้ำเตือนว่า ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะว่า กรรมชั่วนั้นจะเอากรรมดีมาล้างไม่ได้ เพราะกรรมชั่วมันเหมือนกับหมึกที่เขียนลงไปในใจศิษย์ แม้ศิษย์จะหยุดเขียนแล้ว แต่รอยหมึกนั้นมันยังตรึงตราใจอยู่ จริงไหม (จริง)  และหมึกนั้นจะลบไปได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งความจริง ความจริงอะไร ถ้าวันหนึ่งที่เราต้องชดใช้ ดีใจที่ได้ใช้กรรม ถ้าวันหนึ่งเราถูกเขาโกง ขอบคุณเพราะฉันเคยโกงเขามา เมื่อวันหนึ่งเราเคยโกหกแล้ววันหนึ่งโดนเขาโกหกตลบตะแลงยิ่งกว่าที่เคยทำ จงขอบคุณ เพราะนั่นแหละกรรมมันได้สนองผล ขอบคุณ อย่าคิดเก็บไว้ในใจเด็ดขาด เพราะถ้ายิ่งเก็บมันก็คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ จริงไหม (จริง)  เหมือนถามในใจศิษย์ทุกคน ความดีคนอื่นจำได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ใครด่าเรามาจำได้ไหม ใครโกงเราเท่าไหร่ ยืมเงินมาไม่คืนจำได้ไหม (จำได้)  ลืมไหม (ไม่ลืม)  ฉะนั้นศิษย์จะบอกอาจารย์ว่า ตายแล้วก็จบกัน นั่นไม่จริง ถ้ายังมีพรุ่งนี้ ยังจำได้ มันไม่จบหรอก จริงไหม (จริง)  เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
แต่มันยาก ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ศิษย์อดไม่ได้ ยังอยากอีกนิดๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครดีศิษย์ก็อดมองและชอบไม่ได้ ส่วนใครไม่ดีศิษย์ก็อดหมั่นไส้และเกลียดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าลึกๆ ทุกคนรู้จักผิดชอบชั่วดีไหม รู้จักเมตตาธรรมในใจไหม (รู้จัก)  ฉะนั้น แม้ศิษย์จะบอกว่าถึงศิษย์ยังมีความหลงอยู่บ้าง แต่ว่าศิษย์ก็ยังมีความดีในใจนะ ขอศิษย์โลภเยอะๆ ไปก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยไปทำบุญกับอีกคนหนึ่ง จะสามารถชดใช้ได้ไหม (ไม่ได้)  เดี๋ยวสวดแผ่บุญกุศลไปให้ ทำแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ไปกดขี่ขมเหงคนนี้ แต่ไปเมตตาหรือทำบุญกับอีกคน สามารถชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้นะ ใช่ไหม อย่างนั้นเราควรที่จะหยุดสร้างความเลวร้าย แม้ไม่สร้างความดี เขาก็ยังเรียกเราว่าคนดี จริงไหม (จริง)  ดีกว่าอีกคนหนึ่งที่มือถือสากปากถือศีล แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นอย่างนั้นไหม ฉะนั้นไม่สร้างกิเลส ยังไม่ต้องทำดีเลยนะศิษย์ ศิษย์ก็ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องทำความดี จริงไหม (จริง)  
แต่คนปัจจุบันนี้ดีก็ทำ ชั่วก็สร้าง กิเลสก็งก เหมือนกับที่ศิษย์ชอบบอกว่า อาจารย์คนเราก็ต้องมีเกลียดบ้าง มีด่าบ้าง มีชิงชังบ้าง ใช่ไหม แล้วอาจารย์ถามหน่อย เวลาจิตมันฝักใฝ่ตรงนี้มากๆ ศิษย์มีเมตตาจิตไหม ศิษย์ก็บอกว่า “มีนะอาจารย์ แต่คนนี้ขอเว้นไว้หน่อย” ศิษย์ไปทำเขาเต็มที่แล้วบอกว่า “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์...” อาจารย์บอกว่าศิษย์ไม่ต้องสัพเพสัตตา แต่ศิษย์จงรู้จักทำทานกับทุกคน ทำบุญกับทุกคน ดีกว่าศิษย์ไปทำบุญไว้ที่วัด แต่ทำบาปไว้ที่โลก เมื่อกรรมมาทวงถามกรรมก็เลยมาเต็มที่ สู้ศิษย์ไม่สร้างบาปเลยไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม บาปให้ผลเป็นทุกข์ ศิษย์อยากหนีทุกข์ จงอย่าสร้างบาป แล้วบาปเกิดจากอะไร เกิดจาก โลภ โกรธ หลง เห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา เอาแต่ได้ไม่คำนึงถึงใคร ผู้ที่เข้าถึงความจริงแห่งธรรม ท่านจะมีจิตหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว และสามารถทำดีที่ยิ่งใหญ่ โดยมีแต่ให้ไม่หวังเอา เพราะเข้าใจคุณค่าของการให้มากกว่าการมี เพราะยิ่งมีก็ยิ่งยึด มันก็หนีไม่พ้นโทษ ศิษย์อย่าถามอาจารย์นะว่าทำไมต้องทำดี เพราะความดีมันทำให้ใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความชั่วทำให้ใจเราหม่นหมองเศร้าซึม ถูกต้องไหม ดีมันทำยาก ชั่วมันทำง่าย ใช่ไหม (ไม่ใช่)
 (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า ใครคิดว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย ยกมือขึ้น และให้นักเรียนที่ยกมือสองคนออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์บอกว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย อาจารย์จะดูว่าจริงไหม เดี๋ยวให้ศิษย์เดินไปนะ เจอหน้าใครในชั้นเรียนนี้สบหน้าแล้วด่าเขาเลย ด่าไปจนสุดหลังห้อง เดินกลับมาเจอใครสบตาด่าเขาอีกจนกว่าจะกลับมาหาอาจารย์ (นักเรียนที่ออกมาหน้าชั้นไม่กล้าทำ)  ก็ศิษย์บอกว่าชั่วทำง่าย ทำไมตอนนี้ศิษย์ทำไม่ได้ล่ะ อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ ถ้าอาจารย์บอกให้เดินไปสวัสดีคนที่ศิษย์สบตา เดินไปจนสุดห้องแล้วกลับมาใหม่ อะไรทำง่ายกว่ากัน (สวัสดีง่ายกว่า)  ศิษย์เอยเพราะใจเราจมอยู่กับความโลภโกรธหลง เหมือนถามศิษย์ว่าจิตของศิษย์มีความเมตตาไหม รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม แต่ใจมันเคยฝักใฝ่ไปทางนี้ไหม ถึงเวลาหนูเลือกใช้อารมณ์ก่อน หนูเลือกตัวเองก่อน หนูเคยเมตตาก่อนไหม (ไม่)  เอาอารมณ์ก่อนใช่ไหม (ใช่)  พอจมอยู่กับอารมณ์มากๆ คราวหลังถึงเวลาจะยิ้มจะชมคน ปากก็จะหนัก เพราะด่าเขามาทั้งซอยแล้ว จะให้มาชมเขาก็เหมือนจะกลืนน้ำลายตัวเอง
(นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นพูดออกมาว่า “ขอโทษจ้า แค่พูดผิดจ้า”)  ศิษย์เอ๋ย ขอบคุณนะที่พูดคำนี้ เพราะโลกขาดคนยอมรับความจริง และโลกขาดการยอมรับว่าตัวเองผิด ถามจริงในโลกนี้ใครผิด มีแต่บอกว่าเราไม่ผิด แต่ใจลึกของเราก็ยอมรับ อาจารย์จึงบอกว่าจริงๆ แล้ว เรามีธรรมอยู่ในใจ ธรรมนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงธรรม บริสุทธิ์ ยุติธรรมในใจของศิษย์อยู่แล้ว แต่ศิษย์ไม่เคยนำสิ่งนี้ออกมาใช้ มีแต่ใช้กิเลส อารมณ์ ไหนบอกไม่อยากมีกรรม ไหนบอกไม่อยากมีทุกข์ แล้วรู้ไหมว่า กิเลส อารมณ์ ให้ผลคือทุกข์ เจ็บ ช้ำ เสียใจ แต่ความดีนะศิษย์ ทำไปเถอะ พระพุทธะยังเคยเมตตาไว้ว่า แม้มีน้ำตานองหน้าก็จงทำดี และความดีนั้นจะแปรเปลี่ยนคนให้สะท้อนสะเทือนใจ หันกลับมาเข้าใจเรา โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามบังคับว่า แกต้องดี แกต้องดี ต้องทำตัวของเราให้เห็นเลยว่า นี่คือคนที่ไม่ยอมแพ้ความดี คนที่ไม่ว่าจะด่าอย่างไรเราก็จะดี ทำตัวเองให้เขาเห็น จริงไหม (จริง)
สมมติว่าคนนี้เป็นแม่ของเรา ขาก็ไม่ค่อยดี เราจะเดินแล้วคอยประคองให้เขาไปนั่ง หรือเราจะเดินไปแล้วบอกว่า แม่เดินให้ไวๆ หน่อยสิ เราเลือกแบบไหน (เดินประคอง) อย่างนั้นก็ลองทำเลย
เพราะโดยความเป็นจริงของชีวิต ทุกคนอยากให้เขาดี ย่อมไม่ใช่การชี้เรียกร้องเอาจากผู้อื่น แต่ต้องชี้แล้วถามใจตัวเองว่า ดีหรือยัง ซื่อตรงกับเขาหรือยัง อยากให้ลูกกตัญญู ตัวเรากตัญญูต่อพ่อแม่ตัวเองหรือยัง อยากให้เพื่อนซื่อตรง ตัวเองซื่อตรงจริงใจหรือไม่ อยากให้พี่น้องปรองดอง ตัวเราเคยเสียสละ มีเมตตา รักพี่น้องตัวเองไหม เอาตัวเองทำความดีให้คนอื่นเห็น ธรรมะสอนไว้ว่า ไม่ต้องไปรอเปลี่ยนใคร เปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง ไม่ต้องรอไปแก้ใคร แก้ที่ตัวเอง และไม่ต้องรอให้ใครเริ่ม เราเริ่มที่ตัวเอง
ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คนที่มีโอกาสจะสบายแต่เขาเลือกที่จะไม่สบาย เขายอมลำบากแล้วทำดีเพื่อคนอื่น การทำดีของเขานั้นสะท้อนใจเราไหม (สะท้อน) พอเรารู้แล้วเราอยากดีกับเขาไหม (อยาก) อยากทำเหมือนเขาไหม (อยาก) ถ้านึกถึงหรือเขาตายไปแล้ว เราก็ยังคิดที่จะทำดีหรือจดจำเขาในใจไม่ลืม ถูกไหม (ถูก) แล้วทำไมศิษย์ไม่เป็นแบบนั้น มีโอกาสสบายแต่เลือกที่จะไม่สบาย เลือกทำสิ่งที่ดีและถูกต้องยิ่งกว่าชีวิต มีโอกาสได้แต่ไม่เอา มีแต่จะให้ มีโอกาสจะเห็นแก่ตัว แต่ไม่เลือกเห็นแก่ตัว แต่อยากจะเสียสละ แล้วเชื่ออาจารย์ไหม ว่าความดีนั้นถ้าทำจนสุดจิตสุดใจ ไม่ต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะ คนมันเห็นทุกวัน ศิษย์จะใจแข็งขนาดไม่ดีกลับไปที่เขาหรือ ศิษย์จะใจดำกลับไปที่เขาไหม กับคนที่ดีกับศิษย์อย่างไม่มีข้อแม้ ไม่หวังผลตอบแทน ศิษย์จะตอบแทนเขาไหม (ตอบแทน) ศิษย์จะทำดีไหม (ทำดี) และแม้เขาจะตายไป ศิษย์ก็ยังอยากที่จะทำต่อไหม (อยาก) เพราะอะไร เพราะการทำดีของเขานั้นได้ใจเราไปเต็มๆ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นศิษย์อย่าถามอาจารย์ว่าทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี เพราะความดีนั้นซื้อใจคนได้ ผูกใจคนได้นานกว่ารูปลักษณ์ กว่าเงินทอง ใช่ไหม แค่เขาร้องไห้เรายังร้องไห้ตามเลย ถ้าอย่างนั้นการทำดีก็เป็นสิ่งที่ (ดี) แต่เราทำหรือไม่
อาจารย์ถามว่าคนในโลกนี้  มีแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ ความสุขกับความทุกข์อะไรมีมากกว่ากัน (ความทุกข์)  ถ้าวันนี้อาจารย์จะคุยต่อเรื่องทุกข์กับสุขให้เลือกเอา เลือกอะไร (ความสุข)  ถ้าศิษย์เลือกสุข ศิษย์ผิดถนัดเลย ถ้าศิษย์แก้ทุกข์ได้มันก็สุขไปตลอดชีวิตแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แค่เริ่มคิดศิษย์ก็ผิดแล้วถูกหรือเปล่า อะไรก็ต้องสุข ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์เอย โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์ สุขก็บังเกิด แต่ถ้าศิษย์ทุกข์ไม่เอา ก็จะทุกข์อยู่ร่ำไป
อาจารย์อยากบอกว่า ทุกข์ที่ศิษย์เกลียดหนักหนานั้น จริงๆ ไม่ต้องไปเกลียดทุกข์หรอก เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์จะแย่เลยนะ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทุกข์มีไว้เพื่อให้เรียนรู้ ถ้าเราไม่ทุกข์กับการต้องยืนจนขาแข็ง แล้วเราจะรู้ไหมว่า เราจะต้องหาเก้าอี้นั่ง และถ้าเราไม่นั่งจนเมื่อยปวดหลัง แล้วเราจะรู้ไหมว่าเราต้องยืน จริงไหม (จริง)  ดังนั้นเราควรเกลียดทุกข์ไหม (ไม่ควร)  ควรขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกข์ เหมือนอาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากเจ็บไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นถ้าให้ศิษย์เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์เลย จะได้ไม่ต้องเจ็บเลยไปตลอดชีวิต เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ยังเจ็บ เพราะถ้าไม่เจ็บก็ไม่เรียกว่าชีวิต ต้องขอบคุณที่ยังทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์ก็คือตาย ใช่ไหม (ใช่)  ยืนจนทุกข์ แล้วอยากนั่งไหม (อยาก)  นั่งจนทุกข์ แล้วอยากยืนไหม (อยาก)  พูดมากแล้วหิวไหม (หิว)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์จากหิวก็ต้อง (กิน)  ต้องขอบคุณทุกข์ไหม (ขอบคุณ)  เกลียดทุกข์ไหม (ไม่เกลียด)  ฉะนั้นทุกข์ดีไหม (ดี)  ควรขอบคุณทุกข์ไหม (ควร)  แล้วควรจะต้องทุกข์มากมายไหม (ไม่)

พระพุทธะจึงสอนว่า เพราะไม่รู้ จึงอยากจึงยึด แต่ถ้ารู้ ก็ไม่อยากไม่ยึด เพราะมีอวิชชาจึงเกิดเป็นตัณหา อุปาทาน ถ้ามีวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็หายไป แล้ววิชาอะไร ก็วิชาธรรม รู้ธรรมในตนใช่ไหม (ใช่)  รู้อะไร รู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนรู้ทุกข์อย่างแจ่มชัด ฉะนั้นศิษย์โกรธไหมที่รู้สึกเจ็บ ไม่โกรธ ขอบคุณที่ได้รู้สึกเจ็บ แก่ดีไหม (ดี)  อาจารย์ถามว่า ถ้าได้ผู้หญิงสาวๆ ไปก็ต้องพาคนแก่ไปด้วย เอาไหม  อาจารย์ถามผู้หญิง ชอบหนุ่มหล่อๆ ไหม (ชอบ)  ถ้าได้เขาไป ต้องพาคนแก่ๆ ไปด้วยเอาไหม (เอา/ไม่เอา)  ศิษย์เอย ไหนบอกว่าจะรักกันไปจนแก่ จะอยู่กันไปจนแก่ แต่ถึงเวลาศิษย์ก็บอกว่า มันแก่ไม่เอาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแก่ดีไหม (ดี)  เกลียดไหมความแก่ (ไม่เกลียด)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  อย่างนั้นอย่าไปฉีด
โบท็อกซ์ อย่าไปทำหน้าขาว เวลาจะออกจากบ้านก็ไม่ต้องส่องกระจก ไม่ต้องบ้วนปากนะ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์  เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงก่อเกิดเป็นตัณหา คือความอยาก พอมีความอยากก็กลายเป็นอุปาทาน คือความยึดมั่น ฉะนั้นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายแห่งวัฏจักรชีวิต ก็เลยไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเป็นอย่างนี้ มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เพราะความไม่รู้ แต่ถ้าตอนนี้เรารู้ความจริง เราเห็นความจริง ความจริงในอะไรที่ทำให้เราก่อเกิดเป็นความอยาก ก่อเกิดเป็นกิเลส ก่อเกิดเป็นกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะเข้าถึงตรงนี้ ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อเรามีความไม่รู้ เราก็จะเกิดความอยาก จากนั้นเราจะเกิดความยึดมั่น เพราะเราไม่รู้อะไร เราจึงเกิดความอยากแล้วเกิดความยึดมั่น จึงก่อเกิดเป็นวัฏจักรแห่งกรรม นั่นคือความจริงในตัวตน
เราไม่รู้อะไร แล้วเราควรรู้อะไร แล้วความรู้นั้นจะทำให้เราไม่อยาก ไม่ยึดอีกต่อไป ความจริงในอะไร (ในใจ)  ที่เราอยากที่เรายึดเพราะเราไม่รู้อะไร ฉะนั้น ศิษย์อย่าแก้ตอนที่เราไปอยากไปยึดมันแล้ว แต่ศิษย์ต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่ศิษย์ไปอยากไปยึดนั้นศิษย์ยึดอะไร สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้แล้วศิษย์ไปอยากไปยึด ศิษย์ยึดอะไร ศิษย์ไม่รู้อะไร (ไม่รู้ตัวตน)  ไม่รู้ตัวตนใช่ไหม (ไม่รู้ทันกิเลส)  ศิษย์เอยกิเลสมันมาทีหลัง ตัวตนมันมาก่อน ถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีกิเลส ฉะนั้น สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้คือ ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลเพราะมีตัวตนที่เรียกว่ากรรม แล้วเกิดมาเพราะเรามีกรรมใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจกรรมตัวนี้ เราก็จะไม่สร้างเหตุอีกต่อไปถูกไหม ทุกอย่างที่เราทำก็เพื่อตัวนี้ ฉะนั้น มันเริ่มตรงนี้ มันก็ต้องละตรงนี้ และจบตรงนี้ ซึ่งตรงนี้มันเรียกว่า “วัฏจักรแห่งชีวิต” ที่เราเรียกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงออกมา มีคนสวย คนวัยกลางคนและคนสูงอายุ)
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรารู้ว่าคนเราเดี๋ยวเกิด แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย เหมือนเอาคนนี้มา สวย แล้วอาจารย์ถามว่า ถ้ามีคนนี้แล้วกลายเป็นหญิงกลางคนคนนี้ แล้วหญิงกลางคนสวยไหม (สวย)  แล้วกลายเป็นคนอายุมากคนนี้ อาจารย์ถามว่า เป็นไปได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นหน้าตาสวยๆ คือหน้าตาที่แท้จริงและสุดท้ายของเขาไหม (ไม่ใช่)  เขาจะเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  เขาจะแก่ไหม (แก่)  เขาจะเจ็บไหม (เจ็บ)  เขาจะตายไหม (ตาย)  อย่างนั้นเราควรจะยึดเขาไหม (ไม่ควร)  เราควรจะหลงรักเขาไหม (ไม่ควร)  เหมือนที่อาจารย์บอกว่า ถ้าได้คนสวยๆ ไป  แล้วมีคนแก่ตามไปด้วย เอาไหม จำได้ไหม ศิษย์บอกอาจารย์ว่าเอาไหม (ไม่เอา)  แต่อาจารย์ถามจริงๆ ว่ามีใครได้คนสวยบ้างใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรามองเห็นความจริงแห่งชีวิตอย่างแจ่มชัด แล้วอะไรจะสวยที่สุด อะไรแก่ที่สุด แล้วอะไรที่เราควรรัก มันคงอยู่ไหม มันเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง)  แล้วถ้ามันเป็นแบบชายคนนี้เอาไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสูงอายุท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
เขาเหลือฟันเพียงแค่นี้  แต่ก่อนเขาก็อาจจะหล่อและหนุ่มแบบผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนอยู่ด้านข้าง แต่ถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้   ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ศิษย์เอย ที่อาจารย์ไม่แต่งงาน ไม่ใช่เพราะไม่มีใครเอาอาจารย์  แต่อาจารย์ไม่เลือกใคร  ถ้าเลือกแล้วมันไม่ได้ดี อาจารย์ไม่เอาดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเลือกแล้วตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วยังอยากจะเกี่ยวกรรมไหม ศิษย์จำได้ไหม ตอนแรกชายหญิงอยู่ด้วยกันเป็นคู่บุญคู่วาสนา คู่ตุนาหงัน แต่อยู่ไปอยู่มาก็กลับคิดว่าเป็นคู่บุญคู่กรรม  กลับทอดถอนใจว่าเมื่อไหร่จะจบกันสักที ใช่ไหม(ใช่)  แล้วใครเป็นคนคิด (เรา)  แล้วใครเป็นคนยึด (เรา)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นความจริง สิ่งใดในโลกที่จะทำให้ศิษย์อยาก อะไรในโลกที่จะทำให้ศิษย์ทุกข์
จำไว้นะศิษย์ เราเกิดมาเพื่อรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่เอาทุกข์ ทุกข์มีได้ เกิดได้ แก่ได้ มีตายได้ แต่ใจแค่รู้แค่เห็น แต่ไม่ยอมไปเป็น เหมือนกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์มีหลงได้แต่ไม่เอา เกลียดมีได้แต่ไม่ยึด ฉะนั้นหน้าที่ของการฝึกฝนบำเพ็ญมีสติ แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอาได้ไหม เราแค่ยืมสังขารใช้ ฉะนั้นกรรมเวรมันเป็นแค่สังขาร มันไม่ได้เป็นของใจเรา 
เราใช้กรรมแค่สังขารเราไม่ได้ใช้กรรมทางใจ จงมีแค่เจ็บที่สังขารแต่อย่าลากลงไปให้เป็นเหตุแห่งกรรมในใจ  เมื่อเราเห็นชัดรู้ชัดในทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันไม่เที่ยง  มันทุกข์  แล้วถึงเวลามันก็ว่างเปล่า  ใครไปกับเรา แล้วทำไมไม่ใฝ่ศึกษาธรรมเข้าใจธรรม เพราะมันคืออริยทรัพย์ที่จะนำพาศิษย์ไปทุกภพทุกชาติและไม่มีวันอับจน เพราะมันไม่เหมือนความรัก  เงินทอง เกียรติยศ  พอหมดตำแหน่ง  หมดเงินทอง หมดหน้าที่  เราก็เป็นคนเดินดิน  แล้วเราต้องเศร้าไหมเราก็แค่กลับมายืนที่เดิม  ที่ๆ เราไม่มีใครและเราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ที่ๆ เราไม่มีอะไรและเราก็ต้องอยู่กับความไม่มีให้เป็น  ฉะนั้นถ้าทุกข์เป็น สุขคือคำว่าพอ พอปุ๊บมันดีทันที เพราะไม่พอมันเลยไม่ดี
อาจารย์ถามศิษย์ทุกข์น่ากลัวไหม ความเจ็บน่ากลัวไหม ความตายน่ากลัวไหม แต่การที่ยังไม่รู้แจ้งในตัวเอง แล้วก่อวิบากกรรมก่อเหตุแห่งการเวียนว่ายน่ากลัวกว่าจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นจงมีสติระลึกรู้อยู่ในธรรม เห็นธรรมในตัวตนแล้วศิษย์จะเห็นธรรมในผู้คน นี่ก็ธรรมนั่นก็ธรรม เขาด่าเรามามันก็เป็นธรรม เขาชมเรามามันก็เป็นสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เขาโกงเรามามันก็ยุติธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นโลภโกรธหลงก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ เพราะศิษย์เข้าใจในธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะว่ามันยังอยากรักอยู่ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เมื่อรู้จักรักก็รู้จักเกลียด เมื่อรู้จักเกลียดก็รู้จักโกรธ เมื่อรู้จักโกรธก็รู้จักแค้น เมื่อรู้จักแค้นก็รู้จักอาฆาต เมื่อรู้จักอาฆาตก็ลุ่มหลงในความผิด ฉะนั้นรากเหง้าของความทุกข์บาปทั้งมวลล้วนเกิดจากรัก  ศิษย์รู้จักโกรธ ศิษย์รู้จักแค้น ศิษย์รู้จักหลง ใช่ไม่ใช่เพราะรัก รักความไม่เที่ยงด้วยนะ แล้วความไม่เที่ยงมันมีทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็หาตัวตนที่เราพึ่งพิงไม่เคยได้เลย ถามจริงๆ สิ่งที่เรียกว่าสกล อันเรียกว่าร่างกายนี้ มันคือหนึ่งในธรรมชาติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นธรรมชาติ แล้วเราไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของเรา ถูกไหม (ไม่ถูก)  ธรรมชาติน่ะจริง แต่ตัวเราที่พยายามครอบครองธรรมชาติไม่เคยมีจริงสักขณะเดียว
นิสัยของศิษย์อาจารย์รู้ พอเยอะๆ ก็เบลอ ได้หน้าลืมหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นมีโอกาสอาจารย์จะกลับมาใหม่ดีไหม (ดี)  เอาแค่ให้เห็นชิมลางๆ ชื่นใจก่อน  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ถ้าพรุ่งนี้ศิษย์มา เราก็ยังได้เจอกันอีก ส่วนใครไม่มาก็ 再見(ไจ้เจี้ยน แปลว่า พบกันใหม่) ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาฟังธรรมกันต่อนะศิษย์ รักษาบุญรักษาโอกาสนะ สิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ล้วนคือธรรม และธรรมนั้นก็คือชีวิต ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์ก็เข้าใจชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจชีวิต ศิษย์ก็เข้าใจความเป็นคนและจะอยู่บนโลกได้ไม่ต้องทุกข์ ดีหรือไม่ (ดี)  มีโอกาสกลับมาเจอกันใหม่นะ


วันจันทร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                                                            
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ใช้หลักธรรมเป็นหลักในการบำเพ็ญ    คุณธรรมเด่นกว่าผลงานสร้างชื่อเสียง
โดนบีบสร้างบาปอกุศลเฝ้าหลีกเลี่ยง    อย่ายอมเสียคุณธรรมเพียงเพื่อหากิน
     เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาอีกครั้ง                        ถามศิษย์รักของอาจารย์สบายดีไหม

  หลักธรรมเป็นประทีปแห่งโลกหล้า    ชาวประชาเป็นสุขทุกแห่งหน
จิตบำเพ็ญเป็นสวัสดีมงคล                นำผองชนไปสู่ธรรมอำพัน
ในยามทุกข์รู้ว่าสุขอยู่อีกฝั่ง              ในความหวังอย่าแบกความเพ้อฝัน
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดในสักวัน           ถึงสำคัญแค่ไหนก็ต้องวาง
ก่อนปีใหม่ตั้งใจยิ่งกว่าเดิม                ปีใหม่เริ่มจิตดีงามรังสรรค์สร้าง
ชีวิตดั่งศาลาน้อยริมทาง                  ปัญหาอย่างเดียวคือเริ่มกันวันใด
ในยามสุขบอกกับใจอย่าประมาท        คนฉลาดมักพลาดเรื่องง่ายง่าย
คนดีแล้วก็ยังรู้แก้ไข                      จิตเป็นนายสติเป็นผู้บัญชาการ
                                                                        ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าอาจารย์มาแล้วทำให้กินข้าวช้าจะยอมให้มาไหม (ยอม) ยอมจริงๆ หรือ (ยอม)  กินข้าวบ่ายโมงไหวไหม (ไหว) บ่ายสอง (ไหว) บ่ายสาม (ไหว) อย่างนั้นอาจารย์ให้กินเย็นเลยแล้วกันนะ อาจารย์หยอกศิษย์เล่น
เป็นอย่างไร ผ่านการเคี่ยวกรำมาสองวัน วันนี้เป็นวันที่สาม ทำไมวันแรกกับวันที่สามมันต่างกันฟ้ากับดินเลยนะ เป็นอย่างนั้นไหม
อาจารย์ถามจริงๆ นะศิษย์เอย เกิดเป็นคนก็ยังมีบ้านที่ต้องกลับ ร่างกายนี้มีบ้านให้กลับ แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านให้กลับหรือ กายนี้ยังมีบ้านให้อยู่อาศัย ยังมีญาติพี่น้องเดิมที่ต้องตามหา แล้วจิตเดิมแท้ของเราไม่มีบ้านที่แท้ ไม่มีพี่น้องที่แท้ที่เราต้องกลับไปหาหรือ (มี) แล้วเคยตามหาบ้านตัวเองบ้างไหม (ไม่เคย)  เหมือนเวลาที่ศิษย์ออกไปเที่ยวไกลขนาดไหน แต่วันหนึ่งก็ต้องกลับบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาก็ต้องทิ้งร่างกายนี้คืนสู่ดินสู่ฟ้า เพราะว่าจิตเดิมแท้ของเรามาจากดินมาจากฟ้า แล้วจิตที่อยู่ในกายที่คอยสั่งให้เรากิน สั่งให้เราทำ สั่งให้เราต้องกลับบ้าน สั่งให้เราต้องเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ ไม่เคยคิดอยากกลับบ้านที่แท้จริงบ้างหรือ แล้วบ้านที่แท้จริงอยู่ที่ไหนล่ะ แต่บางคนก็ไม่กล้าคิด เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อาจคิดว่า “ศิษย์คงไม่ได้มาจากฟ้า ศิษย์น่าจะมาจากรูใดรูหนึ่งจากใต้ดินมากกว่า ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับศิษย์มากกว่า” ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอยเวลาเกิดเป็นคน ก้าวก็ต้องก้าวให้ยิ่งใหญ่ เวลาไปก็ต้องไปให้ถึงที่สุด จึงจะเรียกว่าคุ้มค่าในชีวิต ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรามีจิต ในหนึ่งจิตที่ชีวิตหนึ่งจะหาได้ ทำไมเราไม่ไปให้สูงที่สุด ทำไมเราหวังแค่สวรรค์ มันคิดต่ำคิดเตี้ยไป ใช่ไหม (ไม่ใช่) เวลาตกนรกจะเอาเพื่อนไหม ตัวเองยังไม่รอดเลย ใช่หรือเปล่าศิษย์ (ใช่) ตอนนี้ใกล้ปีใหม่ศิษย์อยากกลับบ้าน แล้วตอนนี้จิตเราไม่อยากกลับบ้างหรือ
ถ้าอยากกลับบ้านคิดแบบสรตะง่ายๆ ใจฟ้าใจคนที่จะขึ้นฟ้าได้ควรหนักหรือควรเบา (เบา)  คนใจฟ้าควรจะเป็นคนใจแคบๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ หรือว่าเป็นคนที่ใจกว้าง เอาแค่สองสรตะนี้ถึงไหม เบาไหม ใสไหม กว้างไหม จิตที่ทำให้เราหนัก คือกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบความชิงชัง จิตที่ทำให้เราไม่กว้างคือการไม่ยอม การไม่ให้ การไม่อภัย การไม่เปิดใจกว้าง การไม่มองความจริง ถูกหรือไม่ ฉะนั้นกายเรายังรู้จักกลับบ้าน ใจเราไม่กลับบ้านบ้างหรือ ถ้ามองง่ายๆ คนที่จะกลับบ้านได้ ต้องจิตเบา ว่าง กว้างแบบหาที่สุดไม่ได้ หรือจิตที่ไม่มีตัวตนสักขณะเดียว ถ้าถามว่าพุทธะอยากเป็นอะไร ท่านบอกว่าไม่อยากเป็นอะไรในโลก ท่านอยากเป็นธรรมที่ทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดิน เพราะเมื่อไรที่ท่านนำธรรมมาครองกาย จะไม่มีตัวตนให้ยึดถือ และไม่มีทุกข์ให้ต้องวิตกกังวล มีแต่จะให้ โดนว่าอย่างไรก็ไม่เจ็บเพราะไม่มีตัวตนให้เจ็บ แต่มนุษย์ชอบยึด ว่าตัวเราเป็นแบบนี้ ทำดีได้แค่นี้ ถ้าอาจารย์บอกว่าลองอีกนิดหนึ่ง วางอีกนิดหนึ่ง สละอีกนิดหนึ่ง ยากไหม
ยากไหม ถ้าศิษย์เป็นคนที่เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ศิษย์ต้องกลัวอะไร อาจารย์รู้ว่านี่เป็นชั้นสุดท้ายที่อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์มีโอกาสครั้งเดียวให้ศิษย์ขอพรจากอาจารย์ได้เพียงอย่างเดียว ศิษย์อยากขอพรอะไร
อาจารย์อยู่ไหน อาจารย์ก็มีได้ในใจของศิษย์ทุกคน เหมือนคำว่าความเป็นพุทธะมีได้ในใจของมนุษย์ทุกคน แต่เราหาความเป็นพุทธะในใจตัวเองเจอหรือยัง
บางครั้งการแต่งตัวก็มีผลกับจิตใจเหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งศิษย์แต่งตัวธรรมดาเดินออกไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งศิษย์เอาชุดทหารมาใส่จะเป็นอย่างไร คนที่เป็นทหาร บางทีใจเขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่พอเขาสวมชุดทหาร การที่เขาต้องใส่ชุดทหารทำให้เขาต้องเข้มแข็ง ฮึกเหิม ถ้าศิษย์แต่งตัวธรรมดา ศิษย์ก็รู้สึกธรรมดา แต่ถ้าศิษย์ใส่ชุดแม่ชีศิษย์จะเดินไม่สุภาพได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นชุดก็มีผลต่อจิตใจภายในเหมือนกัน จึงอย่าบอกว่าแต่งตัวอะไรก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายใน บางครั้งการแต่งตัวให้ดูภูมิฐาน ดูดี ย่อมมีผลต่อคนรอบข้างเหมือนกัน เมื่อไหร่ที่เขาแต่งตัวดูดี การที่จะหาใครมาพูดคุยกับเขาหรือเตือนเขาจะง่ายหรือยาก (ยาก) ดูดีไปใช่ไหม จะคุยด้วยก็รู้สึกว่าเขาอยู่สูงไปหน่อยไหม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าคิดว่าการแต่งตัวภายนอกไม่มีผลต่อภายในจิตใจของเรา แต่งตัวดีเกินไปคนก็ไม่กล้าตักเตือนสอนสั่ง วางตัวสูงล้ำเกินไปคนก็ไม่กล้าชิดใกล้เข้าหา ฉะนั้นการแต่งตัวภายนอกใช่จะไม่มีผลกระทบต่อภายในใจ ถ้าวันไหนศิษย์แต่งตัวแล้วมั่นใจ เวลาเดินแล้วรู้สึกว่า ฉันดูดี แต่พอเดินไปมีคนทักว่า “แต่งได้อย่างไร ใครเขาแต่งกันแบบนี้” เราก็โกรธ เธอมีอะไรมาว่าฉัน เธอแต่งดีนักหนา นี่เสื้อฉันกี่บาทรู้ไหม กางเกงกี่บาทรู้ไหม ใช่ไหม เป็นแบบนั้นไหม (เคยเป็น) ดีแล้วศิษย์ที่ยอมรับ อาจารย์เชื่อทุกคนก็เป็นแบบนั้น วันไหนที่ใส่เสื้อราคาแพงจะรู้สึกว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสูงกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนที่มีเงินเดือนมากกว่าคนอื่น ทั้งที่คนอื่นไม่รู้เลย แต่รู้สึกเหมือนตัวเองล้ำกว่าคนอื่น จริงๆ แล้วตัวเองล้ำกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนถูกลอตเตอรีก็รู้สึกว่าวันนั้นหน้าบานกว่าคนอื่นใช่ไหม
ถ้าอาจารย์ให้โอกาสศิษย์ขอพรได้หนึ่งข้อ ศิษย์จะขออะไร คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าออกจากปากศิษย์แล้วจะขอได้ครั้งเดียว ขออีกไม่ได้แล้ว คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าอาจารย์ให้แล้ว ศิษย์จะถอนคำพูดไม่ได้แล้ว ใช่ไหม (ใช่) ต้องคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่ขอนั้นต้องครอบคลุมจะต้องเอาไปใช้ตลอดชีวิต
(ขอให้มีแสงสว่างในชีวิตตลอดไป ดวงตาเห็นธรรม ขอให้พ้นทุกข์ ขอสติปัญญา ขออย่าให้เจ็บอย่าให้ป่วย ขอให้ครอบครัวมีแต่ความสุข ขอมีธรรมคุ้มกาย ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปีใหม่ ขอตรัสรู้ในพระสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาล เพราะอยากจะช่วยเวไนยเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา) ขอหมดทั้งชั้นแล้วใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ที่ขอให้ครอบครัวร่มเย็น แต่ถ้าปากเราขี้บ่น ใจอดกลั้นไม่ได้ ใจเราชอบติดเหล้า ใจเราชอบคดโกง ใจเราชอบเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตัวเอง ใจเราไม่มีเมตตา ครอบครัวจะร่มเย็นไหม (ไม่) ฉะนั้นก่อนจะขออาจารย์ ควรขอตัวเองก่อน ใช่ไหม (ใช่)
ส่วนคนที่ขอว่า อยากขอให้สุขภาพแข็งแรง ศิษย์เคยได้ยินสำนวนที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ไหมว่า “โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก” จริงไหม (จริง) ฉะนั้นวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์แข็งแรง แต่ถ้าศิษย์ไปกินในสิ่งที่ไม่ควรกิน ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไปพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด แข็งแรงไปแต่ปากเสียก็ตายไว จริงไหม (จริง) อาจารย์ขอให้ศิษย์แข็งแรง ถ้าหากศิษย์แข็งแรงแต่ลูกหลานตายหมดเอาไหม (ไม่เอา) อย่างนั้นขอตัวเองแข็งแรงคนเดียวดีไหม (ไม่ดี) แล้วถ้าเกิดตัวเองแข็งแรงแล้วไม่ตายสักทีดีไหม แล้วศิษย์ควรจะขออะไรดี ที่จะนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์พ้นภัยแคล้วคลาด เจอเรื่องอะไรก็เข้าใจมองออกปลดปลง เห็นทุกข์เป็นสุขได้ (ดวงตาเห็นธรรม) ขอดวงตาเห็นธรรม ปัญญา สติใช่ไหม (ใช่) แล้วปัญญาจะเกิดได้จากไหน จากอาจารย์ยัดเยียดให้ใช่ไหม (ไม่ใช่) ปัญญาเกิดได้จากการพิจารณาความจริงจนเห็นชัด เมื่อเรามองเห็นอะไรชัด ก็เหมือนกับเวลาที่เราดูหนังจนจบเรื่อง เมื่อหนังฉายอีกรอบหนึ่ง ศิษย์ยังรู้สึกเศร้าไหม (ไม่เศร้า) เห็นตัวโกงโกรธแล้วด่าไหม (ไม่ด่า)  เพราะศิษย์รู้แล้วว่าเดี๋ยวตัวโกงก็ตาย พอเห็นชัดจะโกรธไหม จะหลงรักอะไรไหม พอเห็นชัดแล้วจะรู้หมด เราจะทุกข์เราจะสุขอะไรไหม แต่มนุษย์มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยเห็นชัด สมมติว่าถ้าอาจารย์วาดอะไรอย่างหนึ่ง อะไรที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงแล้วไม่ค่อยชัด ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี จะเข้าใจผิดพลาดได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้แจ่มชัด จงอย่ามองแค่ผ่านๆ

(พระอาจารย์เมตตาวาดภาพดอกไม้แห่งสติ)






ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี ศิษย์จะบอกว่า อาจารย์ให้ “ดอก” นี่นา ใช่ไหม (ใช่)  เพราะคำว่า “ดอก” มันตัวใหญ่มาก ฉะนั้นหากศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้ชัด จงอย่ามองผ่าน “ใจ” เพราะใจของมนุษย์มีความยึดติด ใจของมนุษย์มีความคาดหวัง ใจของมนุษย์มีความมั่นหมาย ติดยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองอะไรให้แจ่มชัด จงมองด้วยแก่นอย่ามองเพียงเปลือกนอก เพราะรูปลักษณ์ที่แท้จริงล้วนมีแก่นแท้อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  รูปนามทั้งมวลที่แตกต่างกันเพียงเปลือกนอก แต่ทุกเปลือกนอกมีแก่นเหมือนกัน แล้วแก่นของรูปลักษณ์ทั้งหมดมันมีเปลือกที่แตกต่าง แต่มีแก่นที่เหมือนกันคืออะไร ถ้าเห็นบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ มันจะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เกลียดเลย ตอบได้อาจารย์มีของขวัญปีใหม่ให้ดีไหม
(ใช้สติปัญญา)  ใช่ไหม สติปัญญาคือสิ่งที่เอามาใช้ในการมอง เหมือนที่อาจารย์บอกว่าการที่จะเราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้ เราต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน อย่าเอาแต่มองเปลือกนอก เพราะมองเปลือกนอกมันทำให้เราหลงง่าย แต่ถ้าเราเข้าใจถึงแก่นว่ามันมีแก่นเหมือนกัน มันมีหลักเหมือนกัน เพราะเข้าใจหลักแล้วจับจุดได้ เราจะไม่หลง เราจะไม่อยาก และอะไรที่เป็นแก่นหลักในการเข้าใจธรรม และมองชีวิตและทำให้เราไม่หลง
(ตัวตน)  ตัวตนอะไรล่ะที่เป็นแก่น ที่เราจะต้องหมั่นพิจารณา ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาเนืองๆ ศิษย์จะเกิดปัญญาเห็นธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูกออกมาหน้าชั้น) (ผมขอบคุณพระอาจารย์เมตตา ผมรู้จักพระอาจารย์จี้กงจากหนังที่เคยชอบดูตั้งแต่เด็กครับ ผมตื่นเต้นมากที่ได้พบพระอาจารย์ ผมมองลึกเข้าไปว่าพระอาจารย์มีความสุขมาก)  ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างแม้เปลือกนอกต่างกัน แต่มีแก่นเดียวกันคือ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย (เมื่อวานพระอาจารย์เปรียบเทียบหญิงสาว หญิงวัยกลางคน หญิงชรา ผมเข้าใจครับ) ฉะนั้นเมื่อศิษย์มองทุกสิ่งอย่าติดแต่เปลือก แต่มองให้ถึงแก่นว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์และว่างเปล่า ทั้งเขาและเราก็ทุกข์ เราจะหาทุกข์ไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดเขาก็ไม่มีเราก็ไม่มี จะโกรธไปเพื่ออะไร จะว่าไปเพื่ออะไร จะรักไปเพื่ออะไร เพราะถึงที่สุดก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะรักจะเกลียดไปทำไม เขาก็ทุกข์เราก็ทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราต้องพิจารณาทุกสิ่งจนบังเกิดธรรม พิจารณาอยู่เนืองๆ ไม่ว่าเจอสิ่งใดจะบังเกิดธรรม อาจารย์กำลังจะบอกว่า เราไม่มีหน้าที่ไปยุ่งกับใคร เราไม่มีหน้าที่ไปเปลี่ยนใจใคร เราอย่าไปร่วมกรรมกับเขา เขาด่ามาศิษย์มักด่ากลับ แถมเดินกลับไปบ้านเอาเรื่องที่ไม่ดีที่ฟังเขามา  แล้วไปเล่าให้แม่ฟังว่า “บ้านนั้นเขาทะเลาะกับบ้านนี้ดูไม่ได้เลย” เรียกว่าเอากรรมเขามาเกี่ยวด้วย เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้วยังเอามาเก็บไว้ในใจเราอีก เรื่องของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราจะเอากรรมมาเกี่ยวไว้ในใจทำไม ไปอ่านข่าวมาแล้วรู้สึกไม่ดี ก็เอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง พอคนอื่นฟังก็ร่วมสังฆกรรมกับเรา อย่างนี้เรียกว่าเราลากกรรมไม่ดีของเขามาร่วมเกี่ยว แล้วแถมให้ทุกคนมาเกี่ยวกรรมด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  ไม่ได้ทำบาปแต่ชอบเกี่ยวบาป ไม่ได้ทำกรรมแต่ชอบร่วมกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ดูอะไรบนอินเทอร์เน็ตนิดเดียว แล้วเผลอพิมพ์ด่าเขา พอมีคนมาเห็นด้วยกับเรา เขาก็ด่าซ้ำอีก แล้วเป็นอย่างไรร่วมกรรมกันไหม (ร่วม)  เมื่อเป็นเรื่องไม่ดีต้องเอาไปเผยแพร่ไปกระจาย อาจารย์ถามหน่อยว่า ใครในโลกไม่ทำผิด ถ้าหากวันหนึ่งศิษย์ทำผิด ความดีที่ศิษย์เคยทำมามีมากมาย แต่ความไม่ดีเพียงนิดเดียวถูกคนนำไปประจานจนศิษย์ไม่มีที่ยืน ศิษย์ว่าคนไหนบาป คนที่พยายามประจาน ใช่ไหม (ใช่)  นอกจากศิษย์กำลังทำให้เขาไม่มีที่ยืนแล้ว ศิษย์ยังทำให้คนๆ หนึ่งตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมองอะไรอาจารย์จึงบอกว่ามองให้ถึงแก่นแท้
ตอนนี้อาจารย์ให้ศิษย์เลือกรางวัล เอาอะไรดี อาจารย์ให้เลือกหนึ่งชิ้นที่จะทำให้แจกคนอื่นๆ ได้หลายๆ คนด้วย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูก เลือกของรางวัลจากบนโต๊ะพระ)
อาจารย์ว่าศิษย์รู้แก่นแต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ไม่ดีนะ อาจารย์ขอให้ศิษย์มีสติด้วย  เมื่อสักครู่ที่ศิษย์ตอบว่า “สติ” ให้ออกมาช่วยกันคิดหน่อยว่า เขาจะเลือกอะไร ที่เป็นชิ้นเดียวแล้วสามารถแบ่งแจกคนในห้องนี้ได้ทั้งห้อง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามว่า “สติ” และผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีนามสกุลว่า “มีปัญญา” ออกมาช่วยกันลือกรางวัล) เวลาเราเข้าใจธรรมอย่าลืม “สติปัญญา” ถามเขาด้วยว่า สิ่งที่ศิษย์จะเลือกจากบนโต๊ะพระนั้นดีไหมบางทีการรู้อะไรซื่อๆ ตรงๆ ก็ดีนะ แต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ดูจะซื่อจนเกินไป
(นักเรียนเลือกลูกอม)
เพราะจะได้แจกได้ทุกคนใช่ไหม ดีใจไหม (นักเรียนในชั้นตอบว่าดีใจ)  ฉะนั้น แค่หนึ่งความตั้งใจอันดีงาม ความตั้งใจหรือหนึ่งความเข้าใจแห่งธรรมย่อมสามารถสะท้อนสะเทือนผู้คนหลากหลายที่อยู่ร่วมกันได้ แค่ศิษย์หนึ่งคนในห้องนี้เข้าใจธรรม มีสันติในการอยู่ดำรงชีวิต และมีสันติสุขในการเข้าถึงธรรม ย่อมสะท้อนสะเทือนให้คนที่อยู่รอบข้างเป็นสุขด้วย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอาจารย์ให้ลูกอม แล้วจะให้สติกับปัญญาได้ด้วยไหม (ได้ทุกคน ผมไม่ต้องเอาไม่เป็นไรครับ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านนั้นและตัวแทนของสติปัญญานำลูกอมไปแจกท่านอื่นๆ ในชั้น)
ศิษย์เอยอยากได้บุญต่อไหม (อยาก)  เวลาเขาแจกมาทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ไม่ใช่แค่ขอบคุณแต่บอกว่า (อนุโมทนา)  
ถ้าสมมติว่าเราเจออะไรผ่านเข้ามาในชีวิต เราเห็นความจริงตลอดว่าเดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็มีทุกข์ เดี๋ยวก็ว่างเปล่า ถ้าพิจารณาแบบนี้ตลอด เราจะโลภจะโกรธหรือไม่ เราต้องพิจารณาให้ถึงนะศิษย์ อย่ามองเห็นแค่เปลือก เพราะมนุษย์ชอบมองคนผ่านใจ ไม่ได้มองตามความจริง พอมองผ่านใจ ใจเราจะมีสัญญาความจำ นิสัย ความชอบชังที่ไม่เหมือนกัน ศิษย์มักจะอ้างกับอาจารย์ว่าศิษย์หวังดี อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกให้เขาเปลี่ยนเขาจะเปลี่ยนไหม ทุกคนก็มีแบบอย่างของตนเอง
ถ้าอาจารย์มีแอปเปิลอยู่หนึ่งลูก บอกว่าถ้ากินแล้วต้องตายศิษย์จะกินไหม (ไม่กิน)  กินแล้วจะทำให้เจ็บปวดเจียนตายจะกินไหม (ไม่กิน) (นักเรียนสัญญากับพระอาจารย์ว่า จะเลิกกินเหล้า) ถ้าเลิกกินเหล้าได้แอปเปิลลูกนี้ ถ้าทานแล้วจะทำให้อายุยืนขึ้น ถ้าเลิกไม่ได้จะทำให้อายุสั้นลง (นักเรียนสัญญาว่าจะเลิก)  ค่อยๆ ทำให้ได้นะเพื่อตัวเอง ตอนแรกศิษย์กินเหล้าแต่ตอนนี้เหล้ามันกินศิษย์ไปค่อนตัวแล้วนะ รักตัวเองหน่อยนะ ตั้งใจแล้ว ไม่ใช่ต่อหน้าอาจารย์แค่องค์เดียว แต่ต้องต่อหน้าทุกๆ คน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ด้วยนะ
ถ้าศิษย์อยากได้เรื่องสวัสดีมงคล ทำไมศิษย์ไม่ทำเรื่องดี ถ้าอยากได้ชีวิตที่มีแต่ความสุข ทำไมศิษย์ไม่มอบความสุขให้กับผู้อื่น แต่มนุษย์มีชีวิตอยู่กันแบบเบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นเพื่อตัวเองจะได้โดดเด่น อยู่เพื่อการฆ่าเพื่อนำมากินเป็นอาหาร อยากมีชีวิตที่สุขภาพดี อยากอายุยืนต้องไม่ฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นทำให้เราสุขภาพไม่ดี อายุสั้น ถ้าศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รักใครก็เชื่อฟัง ก็ดูว่ามีน้ำใจกับเขาไหม รู้จักเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เคารพให้เกียรติไม่มีน้ำใจ ใครจะรักใครจะเชื่อฟัง ฉะนั้นเรียกร้องสิ่งที่เป็นมงคล ทำไมไม่รู้จักเรียกร้องตนเอง ทำตัวเองให้มีมงคล ฉะนั้นถึงแม้อาจารย์จะเอามงคลมาตรงหน้า แต่ถ้าศิษย์มีจิตคิดร้าย ปากศิษย์พูดไม่ดี ทำตัวไม่ดี มงคลจะมาสู่ตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์เอย วันนี้อาจารย์จะมาบอกวิธีหาความสุขง่ายๆ เอาไหม เอาความสุขแบบอาจารย์ไหม (เอา)  ถ้าสุขแบบนี้นะ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหน เจออะไรก็คือกำไรชีวิตทั้งนั้นเลย เมื่อวานอาจารย์บอกวิธีเผชิญกับทุกข์ให้กับศิษย์ทุกคนแล้วใช่ไหม แล้วทำอย่างไรให้มีสุข
ถ้าศิษย์อยากมีสุขและเป็นคนที่มีสุขง่ายๆ เราควรจะกำหนดความสุขของเราให้สูงหรือว่าต่ำเตี้ยติดดิน มีบางคนยังไม่เข้าใจเพราะว่าตอนแรกอาจารย์บอกว่า เวลาทำอะไรเราต้องก้าวไปให้ไกลและไปให้ถึงที่สุด อันนี้คือความมุ่งมั่นในการเกิดเป็นคน แต่ความสุขในการที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ง่ายที่สุด มันควรจะสูง หรือควรจะต่ำ (ต่ำ)  น่าจะต่ำนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าความสุขมันต่ำและเป็นพื้นฐานง่ายๆ เลย ฉะนั้นเวลาเราเจออะไรเพิ่มเติม ก็เป็น กำไรชีวิต ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดอาจารย์บอกว่าความสุขของอาจารย์คือการได้หายใจ ง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอะไรที่ทำให้อาจารย์ยังมีลมหายใจ อาจารย์ก็ยังมี (ความสุข)  อย่างนั้นถ้าวันหนึ่งอาจารย์หมดลมหายใจอาจารย์มีสุขไหม (ไม่มี, มี)  หมดสุขเลยไหม (ไม่) เพราะเราพอใจในสิ่งที่ง่ายที่สุด ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร ยังไม่มีอะไรเลย แล้วที่ศิษย์มีอยู่นี้ยังเรียกว่าไม่มีอีกหรือ ถูกไหม
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ถ้าศิษย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คือต้องมีรถ มีบ้าน มีสามี มีภรรยา มีตำแหน่ง มีเงินเดือนสูง ศิษย์เหนื่อยไหมกว่าจะไปถึงความสุข (เหนื่อย)  แล้วกว่าศิษย์จะได้สุข ศิษย์ทุกข์ไปเท่าไหร่ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คืออย่างนี้ มีแค่นี้ มีเท่านี้ มีแบบนี้ สุขแล้ว ฉะนั้นจะน้อยไปกว่านี้ หรือจะหายไปกว่านี้ ก็สุขแล้ว ยอมรับความจริง จะมีอะไรทุกข์ จริงไหม (จริง)  มีใครบ้างที่ได้แล้วไม่เสีย มีแล้วไม่ไร้ รักแล้วไม่อกหัก สมหวังแล้วไม่ผิดหวัง ฉะนั้นความสุขคือการยอมรับความจริงในสิ่งที่แค่นี้เท่านี้จะน้อยไปกว่านี้ก็สุข ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าการตั้งความสุขไว้สูงๆ มันยากกว่าจริงไหม (จริง) 
สิ่งที่อาจารย์อยากประทานพรให้ศิษย์มากที่สุดคือ หัวใจที่เข้มแข็งยอมรับความจริง ดีกว่าใดๆ ในโลก หัวใจที่เข้มแข็ง ยืนด้วยตัวเองได้ ยอมรับความจริงได้ อะไรจะเกิดก็จะเข้มแข็ง ก็จะสู้ ก็จะมองให้เห็นธรรม เอาทุกข์เป็นบันไดให้เราหลุดพ้นสิ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราเจ็บ อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายชีวิต อย่าเอาทุกข์มาผลาญชีวิตอย่างเจ็บปวด มันไม่คุ้ม เกิดเป็นคนทั้งทีต้องเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มนุษย์ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงมีสติ มีปัญญา และมีคุณอันมหาศาลที่สามารถสร้างคุณที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่เราไม่ทำ ศิษย์เอยแม้เทวดายังอดอิจฉามนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีโอกาสสร้างสิ่งที่ดีงามที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นเทวดาอีก แต่มนุษย์ไม่ทำ อ้างแต่เพียงกลัวไม่มีกิน อาจารย์ถามหน่อยนะ มีเงินแต่ไร้ปัญญา วันหนึ่งมันก็หมด ถ้าไร้เงินแต่มีปัญญา วันหนึ่งมันต้องมี และยิ่งเป็นปัญญาที่ไม่ยอมแพ้ ศิษย์รู้ไหมว่าชะตาไม่ใช่ฟ้ากำหนด แต่ตัวเรากำหนด เหมือนที่อาจารย์บอกว่า อนาคตข้างหน้าใครเป็นคนปรุงแต่งให้มันเป็นไป ตัวนี้นี่แหละที่คิดที่ทำ ถ้าตั้งอยู่ในครรลองคลองธรรม ข้างหน้าก็คือความดีงามบริสุทธิ์ แต่ถ้าตั้งอยู่บนกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบธรรมข้างหน้าก็คือผลกรรมที่ศิษย์ต้องยอมชดใช้ และยอมรับอย่างหนีไม่ได้ ฉะนั้นฟ้ากลัวคนไม่ยอมแพ้ คนที่สู้ไม่ถอย ฟ้าเปลี่ยนชะตาของเขาไม่ได้ ลองดูสิแม้ฟ้าจะทำให้เขาเจ็บปวด แต่เขาจะดีให้จงได้ แม้ฟ้าจะทำให้เขาทุกข์ทนแต่เขาก็จะมีสุขจนได้ อาจารย์ถามหน่อย คนแบบนี้ฟ้าทำอะไรเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แม้แต่คนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ฉะนั้นมนุษย์มีจิตประเสริฐ มีจิตที่ดี มีจิตแห่งความเป็นพุทธะ แต่มนุษย์ชอบดูถูกคุณค่าตัวเอง แล้วก็ชอบเดินทางผิด อาจารย์ถามหน่อยนะว่าตอนนี้กรรมยังดีอยู่ บุญยังหนุนส่งให้ศิษย์รอดพ้น แต่ถ้ากรรมชั่วที่ตามติดไปแล้วทำให้เกิดมาภพหน้าภพใหม่ แล้วศิษย์ต้องลำบากอัปยศอดสู เกิดเพราะใครนั่นเป็นเพราะศิษย์ไม่ดีเหรอ ไม่ใช่ แต่มันคือสิ่งที่ศิษย์ทำเองทั้งนั้น ฟ้าไม่ใช่ไม่ยุติธรรม อาจารย์ไม่ใช่ไม่อยากช่วย อาจารย์อยากช่วยแต่อาจารย์อยากบอกว่า กรรมมีให้ชดใช้ และมันเป็นกรรมแค่เพียงสังขาร ไม่ใช่กรรมในจิตใจ ถ้าใช้แล้วมันจบ เราจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ศิษย์ใส่ความเป็นตัวตน ฝังความเป็นตัวตน จะแค้นจะโกรธไปทำไม จะเกลียดจะผูกเวรผูกกรรมจะเบียดเบียนคนอื่นไปทำไม
อาจารย์เป็นอาจารย์ศิษย์ มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์ไม่ได้ดี มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์พึ่งแต่อาจารย์ไม่รู้จักพึ่งตนเอง อาจารย์ต้องมีศิษย์ที่ประเสริฐกว่าอาจารย์ ไม่ใช่ศิษย์ที่แย่กว่าอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ดีแต่ศิษย์ไม่เดินศิษย์ไม่ทำ ผิดที่อาจารย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันสะท้อนว่าอาจารย์ยังดีไม่พอ เพราะถ้าอาจารย์ดีพอ ศิษย์คงพยายามมุ่งมั่นทำความดีให้ถึงที่สุด ลองดูนะชีวิตหนึ่งก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถึงก็ต้องถึงแล้วดี ไม่ต้องทุกข์อีก ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก บางทีก็พูดไม่ออกนะศิษย์ พูดมากก็กลัวศิษย์รำคาญ ฉะนั้นเมื่อไรที่ท้อ เมื่อไรที่ทุกข์กลับมานะ อาจารย์จะปลอบใจ แต่จงจำไว้ว่า ทุกอย่างมีความถูกต้อง แม้ชะตากรรมจะพลิกผันอย่างไร แย่ขนาดไหน ก็ถือว่าดีแล้วได้ชดใช้ อย่ายึดมั่นถือมั่นในสังขารอันนี้เลย มันไม่เที่ยง ถึงเวลาก็พึ่งอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราต้องเอากลับไปคือจิตอันบริสุทธิ์ ที่มีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ก็เชื่อเช่นนั้น และอาจารย์ก็มั่นใจตลอดมาว่าหัวใจที่ดีงามยังอยู่ในใจศิษย์ แต่บางครั้งแค่หลงไป กลับมาเถอะนะ แล้วมุ่งมั่นตั้งใจใหม่ ยังไม่สายถ้ายังมีลมหายใจ แต่ถ้าเมื่อไรหมดลมหายใจแล้ว ตอนนั้นมันสายแล้วศิษย์ มันแก้อะไรไม่ได้แล้ว
ทำให้ได้นะศิษย์ ดีใจที่ศิษย์กลับมาจนจบนะ  กลับไปแล้วต้องกลับมาอีกนะ  จับมืออาจารย์ไหม  อย่าใกล้เกลือกินด่างนะศิษย์เอย  วันนี้อาจารย์ปลอบขวัญให้กำลังใจให้ปัญญาศิษย์  ต่อไปไม่ว่าเจออะไรรู้จักอดทนอดกลั้น  หยัดยืนในความถูกต้องและดีงาม  ลุกแล้วทำให้ได้นะ 
มาแค่วันเดียวเสียดายนะ เข้าใจบ้างหรือยัง ดูที่ความมุ่งมั่นตั้งใจ รักษาสุขภาพให้ดีมีโอกาสจะได้เอาแรงเอากำลังนั้นไปโปรดช่วยคนให้เต็มที่ มุ่งมั่นด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจด้วยหัวใจที่ไม่ท้อ ศิษย์ทำได้อาจารย์เชื่อมั่น  ศิษย์เข้มแข็งอาจารย์ดีใจ ถ้าศิษย์อ่อนแออาจารย์ต้องตีให้หนักๆ มุ่งมั่นบำเพ็ญมีจิตปณิธานให้สูงส่งและหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจแล้วไปให้ถึงที่สุด  อาจารย์ขอให้ศิษย์สุขภาพแข็งแรง จับมืออาจารย์แล้วแปลว่ามุ่งมั่นไม่ท้อ  ตั้งใจไม่ถอยนะ ลองตั้งใจศึกษาปฏิบัติดูนะ หัวใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง  จิตใจที่มุ่งมั่นจงมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน ตั้งใจนะ
คงไม่ใช่เป็นการลาแล้วลาเลยนะศิษย์นะ กลับมาเข้มแข็งนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ตั้งมั่นมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่าท้อนะ เข้าใจไหม ทำให้ได้นะศิษย์เอย จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีก จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าศิษย์จะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่ว่าเจออะไรก็ไม่ท้อไม่ถอย ได้ไหม ตั้งใจทำให้ได้นะศิษย์เอย ดูแลตัวเอง รู้จักควบคุมอารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์ฟุ้ง มาทำให้ตัวเองต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ยอมทุกข์เพื่อสุข”)
คำสุดท้ายที่อาจารย์อยากทิ้งไว้ให้ศิษย์ย้ำเตือนใจ “ยอมทุกข์เพื่อสุข” อย่างที่อาจารย์บอก ทุกข์ไม่น่ากลัวแต่ทุกข์คือความเป็นจริงที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและมองเห็นชีวิตอย่างถ่องแท้ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นอะไรล่ะที่เราควรยึดมั่นและเป็นหลักชัย นั่นคือความถูกต้องอันดีงามและเห็นด้วยปัญญา สติปัญญาในการเข้าถึงธรรมอันแท้จริง ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงในโลกนี้หรอกนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง เราจะยึดเพื่ออะไร โกรธเพื่ออะไร มีเพื่ออะไร มีเพื่อให้ทุกข์และเจ็บปวดหรือ หรือมีเพื่อเข้าใจและปลดปลงปล่อยวาง คิดให้ดีๆ นะศิษย์
อาจารย์อยากให้กำลังใจนะ กำลังใจอันดีงามและหัวใจที่เข้มแข็งเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์นะ คิดให้ดี ไตร่ตรองให้ดีเวลาทำอะไร ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศิษย์รู้ว่าอะไรดีไม่ดี ใช่ไหม แต่อยู่ที่ว่าจะเสียสละหรือเปล่า แค่นั้นเอง ตั้งใจบำเพ็ญนะ เจออะไรยากลำบากอย่าท้อ สำคัญคือเรายอมลดวางอัตตาตัวตนได้หรือไม่
อายุมากแล้วสิ่งที่สำคัญคือ ความใจเย็นสุขุม “ปัญญา” ถ้าเข้าถึงได้คำนี้เป็นคำที่ทำให้เราพ้นทุกข์และเห็นธรรม ฉะนั้นเข้าให้ถึงนะศิษย์  หนทางแห่งชีวิตมีสองทางเสมอ เราเลือกได้ใช่ว่าเราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ต้องตั้งสติให้ดีว่าเราจะเลือกตามความจริงหรือเลือกตามใจ ตั้งใจบำเพ็ญ  รู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำอะไร ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด สตินั้นคือการรู้จักมองตามความเป็นจริง  ยอมรับความจริง ชีวิตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้กล้ายอมรับและเลือกทางที่ถูกต้อง  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง  คนทุกคนอาจารย์ล้วนเป็นห่วง แต่ขอให้ศิษย์คิดไตร่ตรองให้ดี อุปสรรคปัญหาและสิ่งที่เจอคือการได้ชดใช้ ขอเพียงมีจิตที่ถูกต้องดีงาม อะไรจะเกิดมันก็ดี แต่จิตคิดไม่ดี  สิ่งที่เกิดจากดีมันก็จะกลายเป็นร้าย รู้จักควบคุมจิตตนเองให้ได้ อย่ามัวแต่สนใจภายนอกจนลืมดูแลใจตนเอง
อาจารย์กลับแล้วนะศิษย์ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดูแลตนเองให้ดี ของขวัญที่ประเสริฐที่สุดที่อาจารย์อยากให้คือ หัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาที่มองออกนะ เข้าใจใช่ไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "ยอมทุกข์เพื่อสุข"

  เริ่มหรือจบมีใครบ้างรู้จริงแท้ ชีวิตย่อมผันแปรตามเหตุนำหนุน
อยู่เพื่อยึดหรือปลงปลงจนวายวุ่น วัฏจักรหมุนหรือหยุดลงตรงที่ตน
กิเลสใดไม่ครอบงำสักขณะ ก่อนก็รู้เกิดก็ละได้ทุกหน
สติคุมปัญญาครองธรรมนำตน พินิจพ้นรูปนามแจ้งในสัจธรรม

สุขไหนจีรัง ทุกข์ยังไม่ทน
แค่รู้ทันตน พ้นทุกข์วางวาย 




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมจื้อเจวี๋ย อ.สิงหนคร จ.สงขลา วันที่ ๓-๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
หน้า ๔๒ กลอน
เดิม ไม่ให้ข้ามไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ
แก้ไขเป็น ไม่ให้ค่าไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ

 หน้า ๔๗ ย่อหน้าแรก
เดิม ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม
แก้ไขเป็น ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา