วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

2559-11-12 สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร

西元二○一六年歲次丙申十月十三日                         仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙        สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ขาดสำนึกทำอะไรก็ยากดี              ขาดจริยะก็ยากมีใครรับได้
ขาดซื่อตรงก็ยากมีใครไว้ใจ               ขาดปัญญาก็คงง่ายจะอับจน
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก เเฝงกายกราบ
องค์มารดา                            ถามศิษย์น้องทุกคนเหนื่อยไหม

  ธรรมสรรค์สร้างสรรพสิ่งให้เป็นไป     เป็นเอกธรรมสว่างในผู้ตื่นรู้
สว่างโพลง ณ กลางตนดั่งไขประตู       วางจิตรู้หนุนธรรมคืนสู่ธรรม
มีสำนึกปัญญาคอยพาไม่หลงผิด         สติเป็นดั่งมิตรส่งข้ามฟากน้ำ
นิสัยเเห่งสัญญาคนยึดมั่นตกต่ำ          การเกิดการดับตามกรรมของตน
ปลงเป็นปลงมีใครทำได้แน่               มุ่งมั่นปลดหรือเเก้ได้สักหน
รู้คงรู้ไร้ผู้ชนะใจตน                       สุขทุกข์กันจิตสับสนปลงได้จริง
คนก็เท่าเป็นไฉนไยเเตกต่าง              โลกชั่วคราวเสมอด้วยทางหลุดพ้นยิ่ง
เป็นกลางอยู่สติรู้ไปตามจริง              บำเพ็ญยิ่งขณะที่มีลมหายใจ
สำรวจทุกข์ด้วยรู้ทุกข์ไร้ตัวตน           รู้ว่าจิตฝึกฝนก็สว่างได้
รู้ว่าเเค่นั้นพออยู่ที่ไหน                   ถือทุกอย่างสำคัญไม่มีทางลง
                                                                                     ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

เราอยู่ในโลกเราก็อยากมีคนดีๆ อยู่ร่วมกัน คนทุกคนก็อยากเป็นคนดี แต่ถ้าคนดีขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องผิดชอบชั่วดี ทำไปสักพักไม่นาน คนดีก็เปลี่ยนเป็นคนไม่ดีได้ ถ้าขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง ยึดมั่นในความดี ก็อาจจะกลายเป็นคนดีที่ทำร้ายคนก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนเราดีกับเขา แล้วเขาไม่ดีตอบ เราเป็นอย่างไร ทำไมไม่ดีกับฉัน เราเริ่มประท้วง เธอก็ไม่ดีเหมือนกัน แล้วก็เริ่มหาผู้ผิด แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นคนถูก ฉะนั้นจะเป็นคนดีและเป็นที่รักของคนอื่น พระพุทธะล้วนสอนไว้ว่าอย่าเอาความเป็นตนในการปฏิบัติร่วมกับผู้อื่น เพราะถ้าเอาความเป็นตนเป็นศูนย์กลางเป็นหลักในการปฏิบัติกับผู้อื่น เราจะอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์ร่วม ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเรารู้จักนำธรรมะมาปฏิบัติร่วมกัน เราจะสามารถทำให้ผู้อื่นนั้นสอดคล้องและกลมกลืนไปกับเราได้ เหมือนถามว่าทำอย่างไรเราจะเป็นคนดีได้ตลอด นั่นคือเราต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง ถูกไหม (ถูก) 
ถ้าเป็นคนดีแล้วสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสมานกลมกลืน นั่นก็คือคนดีปฏิบัติดีแล้วต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพให้เกียรติ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “จริยะ” คนดีบางคนดูไม่ค่อยน่ารัก คนดีบางคนก็ชอบถือตัว ฉันอยู่สูงกว่า เธออยู่ต่ำกว่า ฉะนั้นการจะเป็นคนดี นอกจากจะมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง ยังต้องมีจริยะที่ดีงาม นั่นคือความสุภาพ อ่อนน้อม ให้เกียรติผู้อื่น และก็ต้องทำด้วยความซื่อตรง จริงใจ ไม่ใช่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ทำดีไปอย่างนั้น แต่ลับหลังแอบว่าเขา ไม่ถูกนะ
ถ้าเรารู้ว่าทำดีแล้ว ต้องมีสำนึก ต้องมีจริยะที่ดีงาม ต้องมีความซื่อตรงแต่เราก็ต้องมีปัญญาในการปฏิบัติด้วย ไม่เช่นนั้นความดีที่เราทำไป ก็จะกลายเป็นความดีที่ดูแห้งแล้ง แล้วทำไปก็คิดว่าทำไมทำดีไม่ได้ดี ดูมันอับจนหนทางทั้งที่จริงๆ แล้วทำดีมันมีค่าความดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว แล้วอยากเป็นคนดีไหม (อยาก)  แค่อยากหรือ เดี๋ยวพอหมดอยากก็เลิกดี พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “จงปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม อย่าปฏิบัติธรรมเพื่อตน” เพราะความเป็นตัวตนของคน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวทำนานเดี๋ยวทำสั้น มีทำบ้างไม่ทำบ้าง เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย ใช่ไหม
ถ้าอยากปฏิบัติธรรม จงปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อตน เพราะเมื่อปฏิบัติธรรม ทำดีแล้วก็ยังก่อเกิดเป็นตัวตน ก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ใช่ไหม การทำเพื่อตนเป็นความทุกข์ได้อย่างไร ทำไมทำอะไรเพื่อตนถึงเป็นทุกข์ เพราะตนยังมียึดติด ยังมีเปรียบเทียบ ยังมีอารมณ์ชอบอารมณ์ชัง แต่ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม เราจะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป การกระทำนั้นก็จบสิ้น ไม่มีกรรมไม่มีเวรไม่มีการร้องขอ ไม่มีการต้องเวียนว่ายกลับมารับผลกรรมนั้นอีก ส่วนใหญ่ปฏิบัติธรรมเพื่อตน ไม่เคยปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านเคยได้ยินไหม ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมได้ดี แล้วย่อมนำความสุขมาสู่ ไม่มีคำว่า “ตน” เลย แล้วเราเคยปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมไหม ทุกอย่างต้องตัวเองไว้ก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตัวตนเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล จริงไหม
ท่านอาจจะพูดว่าที่เรายืนอยู่นี่ไม่ใช่ตัวตนหรือ ใช่ตัวตนของเราไหม ทุกคนก็บอกว่า แล้วถ้าไม่ทำเพื่อตนแล้วให้ทำเพื่อธรรม ทำเพื่อธรรมดีกว่าตนตรงไหน ก็ขึ้นชื่อว่าตัวตน หนีไม่พ้นทุกข์ ความเจ็บปวด ความพลัดพราก ความผิดหวัง ความคาดหวัง แต่ถ้าทำเพื่อธรรม ไม่ต้องมีความคาดหวัง ไม่ต้องมีความยึดติด ไม่ต้องมีตัวตนใดมารับรู้แล้วก็สนองผลกรรม ส่วนใหญ่เราก็ทำอะไรทุกอย่างก็เพื่อตัวเราเองทั้งนั้น แล้วบางครั้งพอทุกข์ก็ทุกข์เพราะตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทุกข์เพราะตัวเองจริงไหม คนนี้ทำให้ฉันทุกข์ คนนี้ทำให้ฉันเจ็บ คนนั้นปากไม่ดี
โดยส่วนใหญ่เวลาที่เราเป็นทุกข์ เราทุกข์เพราะว่าเขาหรือเพราะเรา โดยส่วนใหญ่เราจะบอกว่าเราทุกข์เพราะเขา แต่เราถามจริงๆ นะ เวลาเราโทษเขา แล้วตอนนี้ที่เราทุกข์อยู่ เราทุกข์เพราะเขา หรือทุกข์เพราะความคิดเราวางไม่ลง แล้วคิดซ้ำคิดซาก (เพราะเราคิดซ้ำคิดซาก) 
เราก็ต้องรู้ก่อนว่าการศึกษาธรรมนั้นเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ถูกไหม แล้วตอนนี้เราต้องมาหาก่อนว่าเราทุกข์เพราะอะไร ส่วนใหญ่มนุษย์เราก็จะบอกว่า เราทุกข์เพราะเขา เขาทำเราทุกข์ ทำเราเจ็บปวด ทำร้ายจิตใจเรา เขาน่ารังเกียจ ไม่มีที่ทุกข์เกิดจากตัวเราเลย ใช่หรือไม่ ถ้าเราทุกข์
เพราะเขา เขาทำเราจบไปหรือยัง (จบแล้ว)  แต่คนที่ยังเอาสิ่งที่เขาทำมาซ้ำเติมตัวเองอยู่บ่อยๆ แล้วก็คิดซ้ำซาก คือใคร (ตัวเรา)  ฉะนั้นเขาทำเราทุกข์จบหรือยัง (จบแล้ว) เราทำตัวเองทุกข์จบหรือยัง (ยัง)  เขาทำท่านเจ็บปวด เขาหลอก เขาโกหก เขาบิดเบือนความจริงกับท่าน เราเจ็บปวดเพราะเขา เขาหลอกเราจบหรือยัง (จบแล้ว) แล้วเราจบหรือยัง (ยัง)  คนที่คิดซ้ำคิดซาก แล้วบีบตัวเองให้เจ็บ ทำตัวเองให้ทุกข์ เขาทำหรือเราทำ (เราทำ)  คนที่พยายามยัดเยียดให้เรามองเห็นความจริงแล้วบอกว่ามันเป็นความเจ็บ เขาคิดหรือเราผิดที่ไม่ยอมรับความจริง (เราผิด)  เขาทำเราเจ็บครั้งเดียว แต่เราทำตัวเองเจ็บหลายครั้ง หลายคนก็บอกว่า เขานิสัยไม่ดี เขาทำตัวน่าเกลียด เราเกลียดเขา เราถามท่านนะ เกลียดเขาแล้วเราสบายใจไหม (ไม่สบายใจ)  เขาควรที่จะหยุดทำตัวน่าเกลียด หรือเราควรที่ควรจะหยุดความเกลียดในใจเขา อะไรง่ายกว่า เราหยุดความเกลียดในใจง่ายกว่า แต่ถ้าเราเอาความเกลียดเขาไปด่าเขา นั่นคือการทำเวรให้ยืดเยื้อ ใช่ไหม นั่นคือคนที่จองเวรจองกรรม ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเรา แต่เรารู้สึกเหม็นขี้หน้า เกลียด ด่าเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราควรหยุดเขาหรือควรหยุดความเกลียดในใจเรา (หยุดความเกลียดในใจเรา)  เขาทำร้ายเรา เราควรจะระมัดระวังตนเองหรือไปทำร้ายเขากลับ (ระมัดระวังตนเอง)  ถึงเวลาไม่เห็นทำเหมือนที่พูดเลย
อยู่ในโลกนี้เราควรมีชีวิตเพื่อมองเขา รู้เขา เห็นเขา ว่าเขา หรือมองเรา รู้เรา แก้เรา หยุดที่เรา (มองเรา, แก้ที่เรา, หยุดที่เรา)  ถ้าเป็นแบบนี้คงดี แต่ทุกคนไม่ใช่แบบนี้ เรามีชีวิตอยู่ เราเห็นอยู่สองอย่าง ไม่เห็นเขาก็เห็นเรา เรารู้อยู่สองอย่าง ไม่รู้เขาก็รู้เรา แต่ที่ศิษย์น้องเห็นและรู้มักจะเป็นเห็นเขารู้เขา แต่ไม่เห็นเราไม่รู้เรา แล้วจะบอกว่าปัญหาอยู่ที่เขาไม่อยู่กับเรา ปัญหาอยู่ที่เขาไม่เกี่ยวกับเรา ถูกหรือ (ไม่ถูก)  ท่านเคยได้ยินไหม ถ้าใจของคนไม่แยกว่าอะไรน่าเกลียด ไม่แยกว่าอะไรน่ารัก ก็จะไม่มีอะไรสูงอะไรต่ำ แล้วพอสิ่งนั้นไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีน่าเกลียดไม่มีน่ารัก ก็จะไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขและไม่มีอะไรที่เรียกว่าทุกข์ แล้วก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าดี แล้วก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าร้าย ฉะนั้นพออะไรมาก็จะเฉยๆ จะเกลียดอะไร จะอยากอะไร จะหลงอะไร ถูกไหม (ถูก) 
ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญา หรือธรรมทั้งหลายไม่ได้แก้ที่ภายนอก และไม่ใช่เป็นการปฏิบัติที่ภายนอก แต่ต้องเกิดจากการปฏิบัติลงแรงที่ภายในใจ ถ้าใจเรามองทุกอย่างเรียบ ไม่เห็นอะไรสวยไม่สวย ถ้าใจเรามองทุกอย่างเสมอ ไม่เห็นอะไรดีอะไรร้าย ถ้าใจเรามองทุกอย่างเป็นเพื่อนร่วมโลกกัน เป็นเพื่อนเกี่ยวเนื่องกัน เป็นเพื่อนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะมีใครน่าเกลียด ใครน่ารัก ตอนนี้อะไรต้องทุกข์ ก็ไม่มีจริงไหม (จริง)  แต่เพราะมนุษย์เรายึดติดคำว่า “ตัวตน” ที่ตัวเองบอกว่าตัวเองเห็นตัวเองรู้ แล้วก็ตัดสินสิ่งที่ตัวเองรู้อย่างเข้าข้างและตาบอดและลำเอียง ไม่เคยมองเห็นอย่างจริงแท้เลย จริงไหม (จริง) 
ในโลกนี้ใครสวยที่สุดในโลก บอกได้ไหม ถ้ามีสวยก็ (มีสวยกว่า)  ใครแย่ที่สุดในโลก มีแย่ก็ (มีแย่กว่า)  ใครด่าเราเจ็บที่สุดในโลก ถ้ายังไม่หมดลมหายใจมีด่าเจ็บกว่านะ อย่าเพิ่งไปโกรธเขา ถูกไหม เราว่าคนนี้ด่าเจ็บนะ ผ่านไปอีกสี่ห้าวันหรืออาจจะห้าหกปี เราอาจจะเจอคนที่ด่าเจ็บกว่าแล้วจะบอกว่าคนนี้ด่าไม่หนักเลย ฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุข สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ อย่าเอาตัวตนไปจำกัด ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่บนโลกด้วยการที่ไม่มีใครทำร้ายเรานอกจากตัวของเราเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำเราเจ็บปวดนอกจากตัวศิษย์น้องเองทั้งนั้นจริงไหม  (จริง)  เพราะคนเราเกิดมาใช้กรรม กรรมคือการกระทำ การกระทำมาจากผลพวงของความคิดความรู้ที่ตัวเองเข้าใจ แล้วออกมาเป็นการประพฤติปฏิบัติ แล้วตอนนี้ศิษย์น้องมั่นใจหรือว่า สิ่งที่ศิษย์น้องคิด สิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่ารู้นั้นจริงและถูกต้อง ถ้าศิษย์น้องมองดีๆ จะรู้ว่า สิ่งที่เรารู้มันเป็นความจริงแค่เสี้ยวหนึ่ง แต่ยังมีความจริงอีกหลายอย่างที่ยังไม่รู้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูผ้าขนหนูขึ้นมา)
มองเห็นความจริงไหม เห็นอะไร (ผ้า)  ถ้ามนุษย์ไม่ยึดติดสัญญาความจำได้หมายรู้ และไม่ยึดติดต่อความคิดความเข้าใจของตน มนุษย์จะมองเห็นสิ่งที่มากกว่าสิ่งที่เห็น และมนุษย์จะไม่ตาบอด และมนุษย์จะไม่อับจนปัญญา เชื่อไหมว่าในผ้าเราเห็นพระอาทิตย์ เราเห็นหยาดเหงื่อแรงกาย เราเห็นน้ำฝน เราเห็นแสงแดด เห็นความเป็นคน เห็นแรงงานของคน กว่าจะได้เงินมา เห็นผ้ามากกว่าผ้า จริงไหม
เราอยู่ในโลกเราจะทำอย่างไรไม่ให้โลกใบนี้มันหลอกเรา ถ้าพูดให้ถูก โลกมันไม่หลอก แต่ตัวเรานั้นที่หลอกตัวเอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามจริงๆ เขาทำร้ายเราหรือเราไม่ระมัดระวังตัวเอง เขาทำเราเจ็บปวด หรือเราไม่รู้จักมองความเป็นจริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า “ระหว่างตากับปาก อะไรร้ายกว่ากัน” นักเรียนฝ่ายหญิงจะยกมือตอบว่าปาก ส่วนนักเรียนฝ่ายชายจะยกมือบอกว่าตา)
ผู้หญิงมักจะตอบว่าปาก ผู้ชายมักจะเป็นตา เห็นชัดเลยว่าความผิดของการกระทำของฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายจะต่างกัน ฝ่ายหญิงมักจะใช้ปากไวกว่าใช้ตา ฝ่ายชายจะใช้ตาไวกว่าใช้ปาก ถ้าตาไม่เห็น ปากจะพูดได้ไหม (ไม่ได้)  ถามว่าอะไรร้ายกว่ากัน (ตา)  ถ้าใจไม่สั่งตา ตาหรือปากหรือใจ อะไรร้ายกว่ากัน (ใจ) ศิษย์พี่จะบอกว่า ถ้าศิษย์น้องฟังตรงนี้เข้าใจ ศิษย์น้องจะบอกว่าทั้งตาและปากไม่ร้าย แต่สิ่งที่ร้ายคือใจ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้แปลว่าเราต้องลงแรงที่ใจ แก้ที่ใจเรา ใช่หรือไม่ แต่ว่าการที่เราจะคุมใจหรือรู้ใจตัวเองมันยาก เพราะนิสัยของมนุษย์โดยส่วนใหญ่เวลาทำอะไรมักจะมองออกมากกว่ามองเข้า รู้คนอื่นมากกว่ารู้ตัวเอง ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญเมื่อเกิดอะไรขึ้นมา จำไว้เลยนะศิษย์น้อง ไม่ใช่มองเขา รีบหันกลับมา (มองตัวเราเอง)  ไม่ใช่รู้เขา แต่ต้องรีบหันกลับมา (รู้ตัวเอง) มีคำพูดคำหนึ่งว่า ถ้ารู้ตัวเองได้ทัน รู้ตัวเองได้ไว ก็จะจัดการกับตัวเองได้ และสามารถบอกตัวเองว่าอะไรผิดอะไรถูก ใช่หรือไม่
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมยกมือซ้าย ขวา ตามคำบอก)
มีสติ เเต่ไม่รู้จักใช้ปัญญา การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เเค่รู้อย่างเดียว เเต่ต้องปฏิบัติให้สอดคล้องเเละถูกต้อง เวลาเกิดอะไรขึ้นมีสติ มีสติเเล้วรู้ว่าโลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่เราขับไล่มันไปไม่ได้ เเต่เราต้องอยู่กับมันอย่างสันติ ใช่ไหม (ใช่)  มีใครในโลกนี้อยากขจัดความโกรธ ความหลง ออกไปจากใจจนไม่เหลือซากไม่เหลือเศษเสี้ยวมีไหม เเต่ทำอย่างไรที่จะทำให้สิ่งที่มีมันไม่ครอบงำเราเเละไม่มีอิทธิพลเหนือความถูกต้องในใจเรา ฉะนั้นเวลาเราทำอะไร เราก็ใช้อารมณ์ พอใช้มันบ่อยๆ พอถึงเวลาเจอเรื่องอะไรก็เป็นอารมณ์มากกว่าใช้ธรรม ศิษย์พี่เห็นพระอาจารย์บอกบ่อย เเต่ศิษย์น้องชอบลืม เวลาอารมณ์มาจำไว้เลย ไม่ต้องไปให้ค่า ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปปรุงเเต่ง เมื่อโกรธมา ฉันไม่สนใจเธอ ฉันจะไม่โกรธกับเธอ ฉันจะไม่เป็นเพื่อนกับเธอ ศิษย์พี่บอกแล้วว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่การเห็นเขา เเต่ฝึกเห็นเรา ไม่รู้เขาเเต่ฝึกรู้เรา ฉะนั้นความโกรธมามันเป็นของศิษย์น้องเอง ไม่ใช่หรือ (ใช่)  ปรุงเเต่งมันมาเป็นหน้าตา ฉะนั้นก่อนที่มันจะมาอยู่กับเรา เราจัดการมันไม่ได้หรือ เเล้วเราเลี้ยงให้มันเชื่องไม่ได้หรือ เสือที่ดุร้ายที่สุดศิษย์น้องยังเลี้ยงได้ ลิงที่ซนที่สุดศิษย์น้องยังทำให้เชื่องได้ ใจที่วุ่นวายที่สุดศิษย์น้องยังรู้จักสงบได้ แล้วกิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลง ตัณหา ทิฐิ มานะ ราคะ คุมมันไม่ได้หรือ มันมาจากตัวเองทั้งนั้นเลย เมื่อมันมาจากตัวเรา แล้วเราจัดการมันไม่ได้หรือ ฉะนั้นเมื่อมันมาก็เรื่องของเธอ ไม่ใช่เรื่องของฉัน เธอทำฉันทุกข์ ฉันไม่เอา ใช่ไหม (ใช่)  เวลาคนไหนที่มาแล้วเราไม่ชอบ เรายังเฉยๆ เมื่อเฉยๆ เดี๋ยวมันก็หายไป เพราะความโกรธ ความโลภ ความหลง ทิฐิ ตัณหา มันมียางอาย เมื่อมันมาแล้วไม่มีใครสนใจ เดี๋ยวมันก็ไป มันเหมือนคนเลย มีนิสัยเหมือนคนเรา ลองเราไม่สนใจ ไม่ให้ค่า เราไม่เทิดทูนให้มาครอบงำหัวเรา มันก็จะบอกว่าไปก็ได้ จริงไหม (จริง)  แต่เวลาความโกรธมา ความโลภมา เราขอโกรธหน่อย ขอด่าหน่อย เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง นั่นแหละเรากำลังทำทุกข์ ทำไมพระพุทธะจึงบอกว่า “อย่าตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง เพราะโลภ โกรธ หลง เป็นต้นเหตุของความทุกข์ กรรม อกุศล และวิบากกรรม ถึงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นภพภูมิที่ต่ำ” แล้วเราควรหรือที่จะมีมันไว้ในตัวเรา แล้วเราควรหรือที่จะตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ
ฉะนั้นศึกษาธรรมไม่ต้องไปรู้ใคร รู้เรา ศึกษาธรรมไม่ต้องไปเห็นใคร เห็นให้ทันในใจเรา ศึกษาธรรมไม่ใช่ไปแก้ใคร ให้แก้ที่ตัวเรา เพราะถ้าเราสงบได้ เย็นได้ คนรอบข้างก็สงบ ก็เย็น จริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราเห็นถูก ทำถูก ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติชอบ เราก็คือพระพุทธะบนแดนดิน ใช่ไหม (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วศิษย์น้องก็จะรู้ว่าเมื่อไรที่เราเห็นโลกชัด เราจะเห็นความจริงเปิดกว้าง แล้วเราจะบอกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรน่ายึดถือเลย เพราะว่าสุขไม่จริง ทุกข์ไม่แท้ ไม่มีใครสวยจริง ไม่มีใครหล่อจริง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์พี่บอกไปตั้งแต่ต้น ตราบยังมีลมหายใจใครสวยสุด ตราบที่มีลมหายใจใครร้ายสุด ตราบที่ยังมีลมหายใจใครน่าเกลียดที่สุด ไม่ใช่คนอื่นเลย แล้วศิษย์น้องก็จะมีความสุข ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง จะอยากทำไมในเมื่อเขาก็ไม่เที่ยง เขาก็สวยไม่จริง เขาก็ดีไม่แท้ เขาก็ชั่วไม่แน่นอน ทำไมศิษย์พี่ถึงบอกว่าความรู้ความเห็นทำให้เราปิดบังตา ทำให้เราเห็นเสี้ยวหนึ่งของความจริง
ใครอธิบายคำว่า “ต้นไม้” ให้ศิษย์พี่กระจ่างได้บ้าง
(หัวหน้าชั้นฝ่ายชาย : ก่อนที่จะเป็นต้นไม้ก็ต้องมีราก แล้วเมื่อโตจะมีกิ่งก้านใบ เมื่อต้นไม้โตขึ้นก็จะเป็นร่มเงาให้ทุกคน)  ศิษย์น้องคิดว่าหัวหน้าอธิบายความจริงได้หมดไหม (ไม่หมด)  คำพูดไม่สามารถอธิบายความจริงได้ทั้งหมด เพราะความจริงของต้นไม้ ยังมีอะไรต่ออีก มีออกซิเจน มีคาร์บอนไดออกไซด์ มีแดด มีน้ำ มีลม มีฝน ใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตายกตัวอย่าง โดยให้หัวหน้านักเรียนดูว่าศิษย์พี่พระนาจายืนอยู่ตรงไหนของห้อง และให้หัวหน้าชั้นเดินลงไปข้างล่าง และเดินกลับขึ้นมาข้างบน แล้วตอบว่าศิษย์พี่พระนาจายืนอยู่ตรงไหนของห้อง)
ตอนนี้ศิษย์พี่ยืนตรงไหน (ตรงกลาง)  สิ่งที่เราบอกว่าเรารู้ เราเห็น มันเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชั่วขณะเวลา เหมือนตอนนี้ศิษย์พี่บอกว่าเมื่อเขาหันมาเห็นศิษย์พี่ยืนตรงกลาง ใช่ไหม แล้วถ้าเรายืนยันบอกว่าศิษย์พี่ต้องยืนตรงกลาง เดินกลับมาอีกทีศิษย์พี่ยังยืนอยู่ตรงกลางไหม (ไม่)  ไปยืนตรงอื่น ใช่หรือไม่ แล้วต่อไปศิษย์พี่จะยืนอยู่ตรงริมไหม แล้วต่อไปศิษย์พี่จะยืนอยู่ตรงกลางไหม (ไม่)  เพราะอาจจะไปยืนอยู่ตรงริมต่ออีกก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความจริงที่ศิษย์น้องรู้คือศิษย์พี่ยืนอยู่ตรงไหน เหมือนเวลาที่เรามองเห็นต้นไม้ เราพูดได้แค่เพียงส่วนหนึ่งที่เราเห็น แต่เราไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด เหมือนกันนะเวลาที่เราเกลียดเขา เราเห็นแค่ชั่วขณะ แต่เราไม่ได้เห็นทั้งหมดของชีวิต ฉะนั้นมนุษย์มักจะปักใจว่า แล้วทำไมศิษย์น้องเวลาเห็นอะไรแล้วก็เชื่อหัวปักหัวปำ เชื่อว่ามันเป็นอย่างนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่เราเห็นแค่เสี้ยวหนึ่งของความจริง เหมือนเวลาเราเอาไปพูด เราก็พูดได้แค่เสี้ยวหนึ่งของความจริง ศิษย์น้องจะพูดว่าศิษย์น้องเห็น แต่เป็นความจริงแค่เสี้ยวเดียว ใช่ไหม
แล้วศิษย์น้องจะเกลียดเขาได้ไหมกับการเห็นเเค่ซีกเดียวเเล้วตัดสินเขาทั้งชีวิต เเล้วก็ปักใจเกลียดเขาเลย เราเห็นอย่างนั้นจริงไหม เหมือนเราเห็นเขาน่ารัก เเต่พอมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาเเล้วเป็นอย่างไร เพราะเห็นเเค่เสี้ยวเดียวเเล้วเป็นอย่างไร จริงไหม (จริง)  ถ้าแบบนี้ศิษย์น้องจะทำอย่างไร ถ้าเราเห็นความจริงทั้งหมดมันไม่ได้งามอย่างเสี้ยวที่เราเห็น ศิษย์น้องเคยเห็นกระจกไหม (เคย)  กระจกเลือกที่จะสะท้อนเงาไหม (ไม่)  เลือกไหม หน้าตาสวยไม่สวยขาวดำอ้วนผอมกระจกก็จะสะท้อนให้เห็นหมด พอเราหายไปแล้วกระจกเหลืออะไรไหม (ไม่เหลือ)  ความคิดในจิตใจของศิษย์น้องก็เหมือนกัน เมื่อเขาหายไปจากเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเรายังคงเหลืออะไรค้างยึดถือไว้ในใจเเละทำให้เราทุกข์ ทั้งที่จริงๆ เเล้วมันผ่านเเละจบไปแล้ว เเต่เรายังยึดเสี้ยวหนึ่งไว้เเล้วบอกว่าเขาน่ารังเกียจ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นศึกษาธรรมจึงไม่ใช่เเค่เห็นเเละรู้ตามที่ตนเองเข้าใจ เเต่ศึกษาธรรมคือต้องเห็นมากกว่าที่เห็นด้วยการเปิดตาเปิดใจ ยอมรับความจริง เเต่มนุษย์ชอบเอาความรู้ อารมณ์ ความคิดตนเองไปใส่เเล้วก็วัดคนอื่นดีไม่ดี ร้ายไม่ร้าย ชอบชัง เเล้วผลสุดท้ายก็ตกเป็นทาสโลภโกรธหลง เเล้วไปแก้ที่ไหน เเก้ที่วัด ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า บูชาด้วยดอกไม้ บูชาด้วยเครื่องหอม บูชาด้วยสังฆทาน บูชาด้วยภัตตาหารก็ไม่ประเสริฐเท่ากับปฏิบัติบูชา ศิษย์น้องจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะที่มีชีวิตและไม่ต้องไปรอที่วัดแล้วถึงปฏิบัติธรรม เจอใครศิษย์น้องก็ปฏิบัติได้ แต่เจอแล้วสามารถวางเฉยไม่ก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ เราก็สามารถสิ้นกรรมและวิบากกรรมได้ทุกขณะที่เดิน ทุกขณะที่เห็น ทุกขณะที่ได้ยิน ทุกขณะที่กำลังกระทำ จริงไหม (จริง)  เราก็แค่เฉยๆ เท่านั้น แค่นั้น เท่านั้น ไม่มีใครสวยกว่าใคร ไม่มีใครแย่กว่าใคร ไม่มีใครดีกว่าใคร และไม่มีใครน่ารังเกียจกว่าใคร เมื่อถึงขณะนั้นแล้วเรายังมีกรรมกิเลสให้ต้องทุกข์เวียนว่ายไหม
ทุกขณะเราสามารถจบได้ จบสิ้นกรรมได้ทุกขณะ เเละสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมกับทุกคนได้ไม่ว่าที่ไหน ฉะนั้นขอเเค่เพียงเวลาเราอยู่ในโลกใบนี้ เห็นอะไรรู้อะไร อย่าหวังต้องให้เป็นอย่างที่ใจเราคิด เเต่ให้เห็นเเละยอมรับสิ่งที่เขาเป็น เเล้วเราจะไม่ทุกข์ เเต่มนุษย์นั้นชอบเห็นเเล้วต้องเป็นแบบนั้นถึงดี ทำแบบนี้ถึงเหมาะ เเล้วก็ทุกข์เพราะว่ายึดในสิ่งที่ตนเองคิดเห็นเเต่ลืมมองความจริง เเล้วทุกข์ไหม ฉะนั้นที่ดีที่สุดในการปฏิบัติธรรมคือยอมรับความจริง ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส สงบจบได้ที่นี่ ไม่ต้องรอไปวัด ไม่ต้องรอไปเที่ยวธรรมชาติเเล้วถึงจะสงบ มันช้าไป ทำไมไม่สงบด้วยตัวเรา เจออะไรทุกอย่างจบนั่นก็คือสงบ เจออะไรทุกอย่างไม่ยอมจบนั่นก็คือวุ่นวาย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นศึกษาปฏิบัติธรรม หลักธรรมหรือการปฏิบัติธรรมเป็นแบบนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ หนทางปฏิบัติธรรมมีตั้งหลายทาง แต่สิ่งสำคัญเราเคยลงแรงปฏิบัติที่ใจเราหรือยัง เราเอาแต่เรียกคนอื่นทำดี ตัวเราปฏิบัติดีได้แท้จริงหรือไม่ แล้วเมื่อไหร่ที่เราเห็นอย่างแท้จริงและรู้อย่างจริงแท้ ศิษย์น้องจะสามารถอยู่บนโลกได้มีอย่างอิสระ และพ้นจากความกลัวในโลกนานัปการได้เลย เชื่อศิษย์พี่ไหม (เชื่อ)  มีอะไรน่ากลัวมีอะไรร้ายถ้าเราระวังตัวเองได้ดี อะไรร้ายก็ยังมีร้ายกว่า แต่ไม่มีใครร้ายเท่าตัวเราร้ายแล้ว ใช่ไหม
ฉะนั้นไม่ว่าทำร้ายเรา ต้องถามตัวเราระมัดระวังตัวเองหรือยัง ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง มองเห็นแล้วรู้ชัด เราจะอยู่บนโลกได้อย่างเป็นอิสระและไม่มีความกลัวใดๆ ที่น่ากลัวเลย แม้แต่ความตายก็ยังไม่น่ากลัว เพราะไม่รู้ว่าตายครั้งนี้ เดี๋ยวจะต้องตายอีกไหม จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังไม่ปล่อยวางความยึดมั่น ตายจากคนนี้ เราก็ต้องไปตายกับอีกคน ฉะนั้นมองโลกให้เห็นชัด อย่าเอาความรู้ความเข้าใจมาบดบังความจริงแท้และทำร้ายตัวเองนะศิษย์น้อง



วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙     สถานธรรมอิ๋งเซียน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  มีศีลครองตนเตือนใจ                   มีธรรมครองใจเตือนตน
มีทุกข์เพื่อสิ้นทุกข์ทน                     รู้ตนใช้ตนละวาง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  คนไม่เป็นถึงสุดท้ายก็เป็น              เพราะอนัตตาเอนกอนันต์ที่เย็นเป็นอานิสงส์
ฉันใดก็ฉันนั้นจิตที่เดินทางตรง           เพราะต้องทำเบาร่มร่มสู่สัมมา
ปล่อยวางกายก็ไม่เคล็ดขัดยอก          ป่วยเสรีใจไม่พอกใจป่วยหนา
หนักมีเบาก็มีไม่เที่ยงนา                  แค่ยืมใช้ทำหน้าที่โปรดเวไนย
ในความต่างมีความเหมือนเสมอมา       จงรู้ใช้ธรรมศึกษาศาสตร์ทั้งหลาย
ดับทุกข์ในยิ่งใจที่ฟุ้งไป                   ปลายทางก็คือธรรมไหลฉ่ำกมล
ธรรมสร้างธรรมแลปราณีตอยู่ในธรรม   ใจเท่านั้นเองทำให้เป็นผล
หลักบำเพ็ญเพียงแค่พยายามรู้ทันตน    หมั่นฝึกฝนแก้นิสัยความเคยชิน
                                                                        ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์เอ๋ย อยู่ในโลกนี้มันมีทุกข์เยอะแยะเต็มไปหมด แล้วเวลามีทุกข์ขึ้นมาเราก็หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยารักษาโรค เป็นเครื่องลางของขลัง เป็นที่พึ่งให้ใบ้หวย เป็นที่พึ่งขอเลขเด็ด แล้วก็เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยันต์คุ้มกันภัย จะได้แคล้วคลาดปลอดภัย แล้วบางทีก็เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นศาลาที่พักทุกข์ หมดทุกข์แล้วก็ทิ้งอาจารย์ไป
ส่วนใหญ่เวลาเราไปหาพระต้องมีทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนใหญ่เราห้อยพระเพราะเราอยากแคล้วคลาดอยู่รอดปลอดภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ห้อยพระทั้งหลาย คนที่ไหว้พระทั้งหลายถึงเวลาถ้าเราห้อยพระ แต่ปากเราพูดอะไรไม่ระวัง พระช่วยเราได้ไหม (ไม่ได้)  ทำอะไรคิดคดไม่ซื่อตรง พระช่วยเรารอดไหม (ไม่รอด)  แล้ววันนี้เรามาศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมเพื่ออะไร อย่าบอกนะว่ายังขอสามตัวอยู่ เราคงอยากศึกษาธรรมเพื่อหาที่พึ่งทางใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าท่านสิ้นไปแล้วจงถือธรรมที่ท่านสอนเป็นที่พึ่ง หรือบางท่านก็บอกว่า ท่านสอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ส่วนใหญ่เวลาเราเกิดมา เราคิดพึ่งตนไหม (ไม่)  เริ่มต้นตอนแรก เราโตมาพึ่งใคร มีใครเป็นที่พึ่งหัวใจ มีใครช่วยเยียวยาใจ ยังไม่ทันจะพึ่งตัวเองได้ก็อ่อนแอและคิดจะพึ่งคนอื่นอยู่ร่ำไป ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหลัก ทุกสิ่งสำเร็จสำคัญที่ใจ ถ้าเราถือธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหลัก ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จสำคัญที่ (ใจ)  ถ้าเราอยากถือธรรมเป็นที่พึ่ง เราก็ต้องเข้าใจคำว่า “ใจของเรา” ฉะนั้นธรรมนั้นก็คืออยู่ที่ (ใจ)  เราก็ต้องถือธรรมเป็นที่พึ่ง และธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นหลัก ยากเราก็ยังทำสำเร็จได้ แต่ถ้าไร้ใจ ทำอย่างไรก็ (ไม่สำเร็จ)  แม้จะง่ายขนาดไหนก็ตาม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้เรามาศึกษาธรรม ก็คือศึกษา (ใจตัวเอง)  มาศึกษาใจของตัวศิษย์เอง ไม่ใช่ศึกษาธรรมภายนอก แต่มาศึกษาธรรมที่อยู่ในใจของเรา ศิษย์สงสัยแล้วในใจของเรามันมีธรรมหรือ วันนี้อาจารย์มาขอเวลาศิษย์เพื่อคุยกันถึงเรื่องใจ เพื่อมาดูใจตัวเองตัวนี้ ศิษย์จะยอมเสียเวลาคุยกับอาจารย์สักครู่หนึ่งไหม ยอมไหม (ยอม) 
เราเคยเรียนวิชาอื่นมากเเต่วิชาที่รู้กายรู้ใจ เราไม่รู้ เรามองเห็นใจของเราอย่างไรก็เห็นนิสัยอารมณ์ ใช่หรือไม่ แต่เราเคยเห็นใจที่เป็นใจเดิมแท้ไหม นั่นก็คือธรรมเหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็น แล้วก็บอกว่า ใจเดิมเป็นอย่างไร ใจเดิมมองไม่เห็น จะให้มองเห็นเป็นเรื่องยากนะอาจารย์ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่า ใจของศิษย์จริงๆ แล้วเราเห็นเรารู้ แต่เรากลัว เราไม่กล้าเอา เหมือนถามลึกๆ ทำไมเราเกิดมาเราต้องหา ทำไมเรากลัวความโดดเดี่ยว เราต้องหาใครสักคนหนึ่งพึ่งพิงยึดถือ เพราะอะไร แปลว่าเพราะลึกๆ ในใจของเรา เรารู้สึกว่ามันไม่มี ที่เราต้องหาเยอะๆ เพราะลึกๆ ในใจของเรา บอกเราว่าเราไม่มี และเรามาพร้อมกับความไม่มี ถูกไหม (ถูก)  โดยลึกๆ ถ้าไม่หลอกตัวเองจริงๆ ถึงที่สุดเราก็ไม่มี
ฉะนั้นใจเดิมของศิษย์ จริงๆ แล้วนั้นไม่มี แต่ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ไม่ได้ต้องมี ต้องไม่เหงา ต้องไม่โดดเดี่ยว เคยไหมหามาหนึ่งก็แล้ว หายเหงาบ้างไหม (ไม่หาย)  บางทีมีก็เหมือนไม่มี มีก็เหมือนทุกข์ใจ แล้วศิษย์ก็พยายามหามาอีก หายเหงาไหม เพราะถึงเวลาเราก็ต้องทำอะไรคนเดียว ที่หามาด้วยเขาไปกับเราไหม (ไม่)  ที่หามากับเราเหมือนมีไหม (ไม่มี)  แล้วที่หามาด้วยเวลาเราทุกข์ เขาทุกข์กับเราไหม ฉะนั้นอาจารย์บอกให้ ลึกๆ แห่งใจของศิษย์ที่อาจารย์บอกว่า คือธรรม แท้จริงแล้ว ว่างเปล่า สงบ ปลอดจากพันธนาการทั้งมวลแล้ว แต่ด้วยความที่เราอยากมี เราต้องมีให้เหมือนคนอื่น เรากลัวเหงา เรากลัวโดดเดี่ยว ก็เลยหา แล้วก็หาหาเสร็จก็ยึด ยึดเสร็จเเล้วก็กลายเป็นกรรม ใช่ไหม (ใช่)  ดีก็เรียกว่ากรรมดี ชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่ว จริงๆ อาจารย์อยากบอกว่าธรรมบอกในใจศิษย์ทุกวันว่าไม่มีไม่เอา อยากอยู่สงบ จริงไหม (จริง)  ศิษย์พยายามหนีธรรม ไม่อยากฟังธรรม ไม่อยากเข้าวัด ไม่อยากศึกษา ไม่อยากมีธรรม แต่ใจลึกๆ บอกเสมอว่าอยากหาความสงบ อยากหาความเย็น อยากหาความสบายโล่ง มีอยู่ในตัวศิษย์แล้ว แค่ยอมรับว่าพอ ดี สงบ เเต่เราไม่พอ ก็เลยต้องมีกรรม เเละหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว ตกนรกขึ้นสวรรค์ ไม่เคยพ้นทุกข์ เเต่ถ้าเราหันกลับมามองใจเเล้วถามใจลึกๆ ของศิษย์ทุกคนในที่นี้ ศิษย์บอกว่ากลัวความเหงา กลัวความไม่มี เเต่ถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องอยู่กับความเหงาให้ได้ ไม่มีให้เป็น เเละอยู่กับตนเองให้มีสุข เเม้จะไม่เหลืออะไร เพราะคือบั้นปลายของที่สุดในชีวิตทุกคน เเล้วถึงตอนนั้นไปกำมาเเทบแย่จะปล่อยทันหรือ (ไม่ทัน)  มารอตอนที่พลัดพราก สูญเสีย เเล้วบอกว่าเอาธรรมะมาพึ่ง ถ้าธรรมะพูดได้คงอยากหัวเราะ ใจบอกตนเองอยู่เสมอว่าถึงที่สุดก็ต้องเหลือคนเดียว ถึงที่สุดก็เอาอะไรไปไม่ได้ เราจะไม่โลภเลยเพราะโลภไปก็ไม่มี จะหลงไหมว่าสวย เพราะเดี๋ยวก็ไม่สวยที่สุดมันก็ไม่มี ศิษย์มีเงินเป็นร้อยล้านแต่ตายแล้วศิษย์ถือได้กี่บาท (ไม่ได้สักบาท)  ศิษย์มีลูกบอกให้ลูกกตัญญูให้ดูแลเรา ถึงเวลาลูกดูแลเราไหม (ไม่)  ฉะนั้นถือธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมนั้นแหละคือใจ และใจนั้นแหละก็มีธรรมอยู่เสมอ แต่ศิษย์เคยหันกลับมาดูบ้างไหมว่า จริงๆ แล้วใจไม่อยากได้อะไรเลย เพราะยิ่งอยากมันก็ยิ่งทุกข์ เหมือนอาจารย์ถามง่ายๆ ถ้าอยากได้เขาแล้ว มีทั้งทุกข์ มีทั้งความเจ็บ และมีทั้งความตาย เอาไหม (ไม่เอา)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  มีไหม (ไม่มี)  พระพุทธะจึงสอนว่า ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีใจที่เป็นหลักคือธรรม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่เราจะยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของตน มันจบเลยนะศิษย์ แล้วควรยึดไหม (ไม่ควร)  แล้วตัวร่างกายเรานี้มันแก่ไหม (แก่)  มันเจ็บไหม (เจ็บ)  มันตายไหม (ตาย)  ยึดไหม ถ้าไม่ยึดคงไม่ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้หรอก แต่ถ้ามองกระจก หน้านี้มันเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  แล้วถึงที่สุดหน้าไหน ไม่รู้ แล้วหลงมันไหม (หลง)  เราเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่ธรรมข้างนอก แต่จริงๆ พระพุทธะล้วนสอนให้ธรรมนั้นอยู่ในตัวศิษย์ ที่มันคอยพร่ำเตือนบอกศิษย์ ว่าอย่าไปอยากเลย อย่าไปมีเลย เพราะมีมันก็เป็นภาระ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วถ้ามันมีไปแล้วทำอย่างไร
จริงๆ ถ้าเข้าถึงสภาวธรรมอันนี้แล้ว ศิษย์จะไม่มีความเหงาเลย แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่ายังไปไม่ถึง ยังคิดไม่ออก และให้อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่าใจเดิมจริงๆ เป็นอย่างไร ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ขอถามว่า ในธรรมทุกอย่างต้องมีกฎ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ว่าเราจะทำอะไรทุกอย่างต้องมีกฎ แล้วในทุกอย่างต้องมีหลัก ถูกไหม แล้วในตัวเรามันก็ต้องมีอะไรที่เป็นกฎหรือเป็นหลักตายตัว ที่ทำให้ทุกชีวิตเสมอกันเป็นเอกภาพเดียวกัน ศิษย์ว่าใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งนั้นที่เป็นเอกภาพเดียวกัน แล้วทำให้ทุกชีวิตเสมอกัน ท่านเรียกว่า “ธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมนั้นถ้ามาอยู่ในใจของเราเรียกว่า “สัจธรรม” ยังไปไม่ถึงใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นไปทีละก้าวนะ ถ้าอาจารย์บอกว่าหลักดังกล่าวนั้น ก็เหมือนกับอาจารย์ถามว่า ผลไม้มันก็ต้องมีเมล็ดอยู่ข้างใน ถูกไหม (ถูก)  ในตัวเรามันก็ต้องมีใจหลักอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในใจของเรานั้นมันก็มีธรรมอันหนึ่งที่เรียกว่า “สัจธรรม” ซึ่งสัจธรรมนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ใจ” ซึ่งไม่ว่าเราจะทำอะไร พิจารณาใจหลักอันนี้เสมอ ไม่ห่างจากใจ เราก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้ใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วพอเรารับรู้ว่า จริงๆ ในตัวเรารับรู้ว่าเรามีสภาวะที่เรียกว่าสัจธรรมที่เป็นใจอยู่แต่สัจธรรมนั้นเรามองว่าเป็นเรื่องที่ว่างเปล่า จับต้องไม่ได้ ไม่มีรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งมนุษย์เราไม่เคยชิน เราเคยชินกับการจับต้องได้ มีรูปลักษณ์ ถูกไหม (ถูก)  พอจับต้องได้มีรูปลักษณ์เราก็ห่างจากธรรมเดิมแท้ไป ทั้งที่จริงๆ แล้วใจลึกๆ เรา ไม่มีรูปลักษณ์ หาความแท้จริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนไปจนถึงที่สุด ถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์กำลังหาความมีรูปลักษณ์ศิษย์ก็คือคนที่เดินห่างจากใจเดิมแท้ แล้วยิ่งหา หามากๆ ทำไมยิ่งหากลับรู้สึกเหมือนไม่มี หาเท่าไหร่ก็เหมือนไม่มี เป็นไหม (เป็น)  เพราะอะไรล่ะ เพราะใจลึกๆ มันรู้อยู่ว่า มันไม่มี และสิ่งที่มีมันก็คือความสงบ เพราะมันคือใจหลักของทุกสรรพสิ่ง
เหมือนเวลาที่ศิษย์หาเงินมาก็แล้ว หามาแล้ว ยิ่งหาเยอะ ทำไมในใจมันรู้สึกเหมือนยิ่งหาเหมือนไม่มี (เพราะไม่พอ)  แต่จริงๆ แล้วใจเรามันถมยังไงก็ไม่เต็ม ถูกไหม (ถูก)  เพราะใจลึกๆ มันมีก้นบึ้งไหม (ไม่มี)  ใจลึกๆ มันมีตัวตนไหม แล้วตัวตนที่แท้ของเรามันมีตัวตนไหม (ไม่มี)  ใจเรามันยังเปลี่ยนไปจนหาที่สุดไม่ได้ ฉะนั้นสภาวะเดิมแท้คือสภาวะความว่าง แต่มนุษย์พยายามมีและความว่างนั้นก็คือหนึ่งในสภาวธรรมที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง มนุษย์ไม่ชอบความไม่มี ใช่หรือไม่แล้วคิดว่าความว่างและความไม่มีมันคือความเหงาโดดเดี่ยว แต่จริงๆ แล้วพระพุทธะบอกว่า ในความว่างความไม่มีมันคือสงบ ความรอดปลอดพ้นจากพันธนาการทั้งมวล แต่เราไม่เคยเข้าไปอยู่ในตรงนี้ ยังไม่ทันอยู่ตรงนี้ได้ดี เราก็บอกว่าต้องหาต้องมีถึงจะมีสุข แต่พอหาเท่าไรแล้วมันก็ไม่ (มีสุข)  แล้วผลสุดท้ายก็บอกว่าอยากไปเหมือนตอนไม่มีได้ไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็คือไม่มี จริงไหม พอเข้าใจไหม ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า พื้นฐานรากแท้ธรรมแท้ในจิตใจไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการมี ไม่ต้องการตัวตน แล้วเราจะอยู่แบบไหน ก็อยู่เพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาก็คืนเขาไปแค่นั้นเอง เรียนรู้ เข้าใจ แล้วก็ปล่อยวางไป แต่มนุษย์ยิ่งยืมยิ่งยึด ยิ่งเกาะเกี่ยวยิ่งผูกพันธ์ ยิ่งรู้ยิ่งรัดแน่น จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าเราแค่ยืมใช้ ปล่อยไป ไม่มีอะไรเป็นของเรา กรรมมันจบสิ้นได้ เราไม่ต้องเกี่ยวกรรมต่อ เรามาเกิดชาตินี้เพื่อจบและใช้กรรมเก่าแค่นั้นเอง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ยังมีอารมณ์อยู่ พอโดนกระทบ พอเห็นว่าสวย อยากได้ หล่อสวยดี ใช่ไหม (ใช่)  อารมณ์ความรู้สึกมันมาได้อย่างไร ตอนแรกใจมันว่างๆ มันมาเพราะว่าคนที่ไม่รู้ อยากจะไปครอบงำความว่าง แล้วพอครอบงำเสร็จก็พยายามสร้างตัวตนครอบงำใจ ครอบงำสังขารนี้ แล้วก็บอกว่า เราเป็นแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  พอเป็นแบบนั้นแบบนี้เมื่อมีอะไรมากระทบก็เกิดอารมณ์ชอบแบบนั้นชอบแบบนี้ เเล้วเราจะกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้อย่างไร ก็ต้องหันกลับไปหาธรรมเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์เหมือนคนที่หนีจากอันหนึ่งไปจับอีกอันหนึ่ง พอไม่พ้นทุกข์ก็กลับมาง้อเหมือนเดิม อย่างนั้นมาดูว่าธรรมจะช่วยเราได้อย่างไร ทั้งที่ศิษย์หนีมา พระพุทธะบอกว่า ธรรมคือเเก่นของชีวิต ธรรมคือส่วนหนึ่งของชีวิต เเม้ศิษย์จะไม่สนใจธรรม เเต่ธรรมจะอยู่เคียงข้างศิษย์เป็นคู่หูตราบลมหายใจจนวันตายก็ไม่ทิ้งศิษย์ เเละคอยย้ำเตือนว่าอย่าหนีเพราะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น จนกระทั่งวันหนึ่งศิษย์หันกลับไปเเล้วสนใจด้วยสติ เเละระลึกถึงธรรมอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ศิษย์เข้าใจความเป็นจริงเเห่งตัวตนเเละรู้จักตนอยู่ทุกขณะจิต โดยที่มีสติทุกขณะจิต จิตนี้จะไม่ไหลไปตามโลภโกรธหลงได้เลย ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่กลับไปมองธรรมด้วยสติด้วยจิตที่ระลึกรู้ตลอดเวลา จะไม่ถามเลยว่าต้องปฏิบัติไปนานเเค่ไหน เพราะว่าธรรมอยู่กับเรา พอเราหันไปมองเเละพึงระลึกเสมอธรรมจะสอนเราทำให้เราไม่หลง เเละศิษย์จะไม่ถามเลยว่าถ้าศิษย์ระลึกธรรมอยู่เสมอ ตายคืออะไรศิษย์จะไม่กลัว เจ็บคืออะไรศิษย์จะไม่ทุกข์ทน เมื่อสูญเสียพลัดพรากก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ ถ้าพึงระลึกมีสติระลึกถึงธรรมเสมอ ดีถึงขนาดที่บุญศิษย์ก็ไม่หลงสร้าง เพราะการที่มีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะจิตนั้นเลยไปถึงทานศีลเเละเรียกว่าปัญญาเห็นเเจ่มเเจ้ง ที่เรียกว่ายิ่งกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญตน
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ธรรมที่คือใจของศิษย์ ที่คือแกนหลักของชีวิต คืออะไร
(ธรรมคือสติ)  ธรรมนั่นคือสติ ใช่ไหม สติเป็นรากฐานของธรรมทั้งมวล สติเป็นรากของการที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมอันเดิมแท้
(จิตใต้สำนึก)  จิตใต้สำนึก ใช่ไหม อาจารย์น้อมนำมาตั้งเยอะแยะ แล้วศิษย์เคยสงสัยไหมว่าธรรมที่อาจารย์พูดนั้นคืออะไร อาจารย์พูดธรรมเรื่องนี้บ่อยที่สุดแล้วนะปั้นซื่อ ผู้ร่วมฟัง
(ปัญญา)  ปัญญาคือตัวรู้แจ้งในธรรม ยังไม่ใช่ธรรม ธรรมอะไรที่ศิษย์พอรู้แล้วจะทำให้เราปลดปลงได้เลยทันที (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางคือตัวที่รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ถึงไปปล่อยนะศิษย์เอ๋ย (ทำดี)  จะทำดีก็ต่อเมื่อเรามีตัวตนที่ยังไม่เข้าถึงธรรม เราจึงต้องพยายามทำดีและรักษาคุณธรรม เพื่อทำให้เราไม่หลงทางออกจากธรรม ศิษย์เอ๋ยจะเข้าใจธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ เพราะวันนี้อาจารย์ไม่พูดธรรมะแบบธรรมดา อาจารย์พูดธรรมะที่อยู่ในใจ และถ้าศิษย์เข้าถึงธรรมนี้ ศิษย์จะอยู่ในโลกอย่างไม่กลัวทุกข์
(ปล่อยวาง)  หลังจากรู้แล้วถึงปล่อยนะศิษย์
(สัจธรรม ความสงบ)  สัจธรรมคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี่แหละคือธรรมที่อยู่ในใจศิษย์ และอยู่ในสังขารศิษย์ ใช่ไหม มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เมื่อมันเปลี่ยนจนหาที่สุดไม่ได้ ไหนล่ะคือตัวตนที่แท้จริง แล้วเมื่อมันเปลี่ยน มันมีทุกข์อยู่ ควรหรือที่จะยึดมั่นว่าเป็นของเรา แล้วเมื่อมันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เรากำลังต้องปล่อยอะไร เพราะมันเกิดและดับอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเราต้องปล่อย แสดงว่าเรากำลังยึดมั่นอยู่สัจธรรมคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดหาตัวตนที่สุดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  
วันนี้ศิษย์ท่องไว้ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” พิจารณาไว้เสมอๆ เวลาศิษย์จะไปซื้อเสื้อ ศิษย์ก็จะบอกว่า ไม่เอาหรอก เดี๋ยวพอแก่ไป ตายไปเสื้อก็ใส่ไม่ได้ ศิษย์จะอยากซื้อไหม (ไม่อยาก)  พอศิษย์ไปเจอคนหล่อๆ ศิษย์ก็คิด เดี๋ยวถ้าเขาแก่ไปก็เจ็บก็ตาย จะดูแลไหวไหมศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์ไปเจอคนสวยๆ แล้วศิษย์คิดว่าเป็นอะไรที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา)  เวลาศิษย์ไปเจอคนที่ศิษย์เกลียด เดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้ ศิษย์จะเกลียดเขาไหม (ไม่)  เวลาศิษย์เจอเงินกองโตๆ ศิษย์จะเอาไหม (เอา)  เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกไหม (ถูก)  ถูกทันทีเลย อาจารย์จะบอกให้ศิษย์ มันขำไม่ออกนะ มีคนนึงเป็นแบบนี้ เพื่อให้ได้เงินกองนี้ทำทุกอย่างให้คนที่เห็นเงินกองนี้ตาย แล้วให้ตัวเองได้เงินกองนี้ แล้วบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเอาเงินไปทำบุญ อาจารย์ถามว่าเงินมันชดใช้คืนชีวิตใครได้ไหม (ไม่ได้)  เเล้วถ้าเขาตั้งจิตอธิษฐานจองเวรจองกรรม เงินกองนี้ก็ชดใช้หนี้กรรมที่ศิษย์สร้างไม่หมด ฉะนั้นเมื่อไปยึดก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว  ถ้าเราพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ เราจะโลภไหม (ไม่โลภ)  เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราจะหลงไหม (ไม่หลง)  เเม้มองกระจกก็บอกว่านี่ไม่ใช่หน้าฉันเพราะเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป นี่ไม่ใช่ของฉันถึงเวลามันก็ต้องหายไป ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วเราทำได้ไหม (ไม่ได้)  ยายังมีวันหมดอายุ ถ้าเราคบกับใครแล้วเขาหมดอายุกับเรา ทำใจได้ไหม ทำใจไม่ได้หรอก ถ้าคบแล้วอย่าลืมมองเขาไว้ตลอดว่าไม่เที่ยงอย่าไปยึดมันเป็นทุกข์ เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่าไม่เคยไปกับเรา ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาพลัดพราก ถึงเวลาสูญเสีย ถึงเวลาที่ต้องไม่มี เราจะเป็นอิสระ เเล้วเราจะบอกว่าพระอาจารย์จี้กงบอกเเล้ว เพราะถึงที่สุดเราก็อยู่คนเดียว ถึงที่สุดก็ต้องไม่มี เพื่อความอยากมีความอยากได้ ศิษย์ยอมผิดคุณธรรม ศิษย์ยอมเบียดเบียนคน สร้างกรรมเเละสร้างวิบากกรรมสร้างทุกข์ไม่จบสิ้น ค่อยไปเข้าวัดอุทิศส่วนกุศล ไม่ช้าไปหรือศิษย์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นก่อนไปเอาเขามาพิจารณาถึงธรรมดีไหม
ศิษย์มักจะบอกอาจารย์ว่า ศิษย์ยังต้องห่วงลูกห่วงหลาน มีภาระมีหน้าที่ ไม่ทำไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้บอกว่า มาศึกษาธรรมแล้วลูกไม่เอา สามีไม่เอา งานไม่เอา อาจารย์บอกแบบนั้นหรือ (ไม่)  ไม่ได้บอก แต่บอกให้รู้จักรับผิดชอบหน้าที่อย่างไม่ยึดติด ยอมรับความเป็นจริงอย่างใจเปิดกว้าง เพราะสิ่งที่ศิษย์มีมา มันไม่เคยใช่ของศิษย์เลย ศิษย์จะพูดว่าศิษย์สูญเสีย แต่อาจารย์จะบอกว่าศิษย์ไม่เคยสูญเสียอะไร เพราะตั้งแต่ไหนมาศิษย์ไม่เคยมีอะไรเป็นของศิษย์ เพราะศิษย์ของอาจารย์เป็นนักขี้ตู่ตัวยง อันนี้ก็ของเรา อันนั้นก็ของเรา แต่พอถึงที่สุดแล้วจริงๆ มันเป็นของเราไหม มันคือของธรรมชาติที่ถึงเวลาเราก็ต้องคืนธรรมชาติ ถ้าคนยังไม่เข้าถึงธรรม ให้ถือธรรมะเป็นครรลองไว้ เพื่อจะได้ไม่ให้เราก่อเกิดเป็นกิเลส ก่อเกิดเป็นบาป เอาธรรมมาเตือนใจไว้ ธรรมเตือนใจให้เมตตา ให้ซื่อตรง เพราะถึงที่สุดแล้วความหมายว่า มันไม่มี จะเอาอะไรกับความไม่มี จริงไหม (จริง)  กลับไปอยู่กับความว่างๆ ความไม่มี แล้วมีสุข แล้วอิสระ ไม่ได้หรือ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์เข้าถึงความเป็นจริงแห่งสรรพสิ่งโดยไม่ยึดสำคัญมั่นหมายในตัวตน ศิษย์จะพบกับความอิสระที่พ้นแล้วจากเกิดแก่เจ็บตาย อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงนะ ยากไหม (ไม่ยาก)  ขอแค่พึงระลึกในธรรมอยู่เสมอๆ ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ทุกสิ่งล้วนต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายแต่ผู้ที่ยังหลงยึดมั่นถือมั่น จะเป็นคนที่ทุกข์แล้วทุกข์อีก หรือเจ็บซ้ำ ไม่ใช่เจ็บแค่กาย แต่จะเจ็บถึงใจ แต่ถ้าเราเข้าใจธรรม เราจะรู้แค่เพียงว่ามันเป็นวิบากกรรมของกายแต่หาใช่วิบากกรรมของจิตเดิมแท้ไม่ เวลาเราโดนคนทำร้าย เราเคยเจ็บสองครั้งไหม เราเคยเจ็บมากกว่าสองครั้งไหม ที่เจ็บมากกว่าสองครั้งเพราะว่าเราเจ็บแบบไม่จบ ถ้าเจ็บแบบจบจะเจ็บครั้งเดียว แล้วถ้าเจ็บแบบจบจะเจ็บแค่กายไม่เจ็บใจ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เอ๋ย ทำไมคนดีๆ มักถูกรังแก คนดีโดนรังแกไหม วิบากกรรมหรือเราหากรรมใส่ตัวเอง ศิษย์มักจะถามอาจารย์และพูดกับฟ้าเสมอ ทำไมคนดีมักโดนรังแก คนชั่วๆ ทำไมฟ้าไม่ลงโทษ คนชั่วๆ ทำไมไม่โดนรังแก อาจารย์ถามหน่อย ถ้าอยากจะกินแรงคนอื่น อยากจะใช้งานคนอื่น ขี้เกียจทำเราจะใช้คนชั่วหรือคนดี (คนดี)  ทันทีเลยเห็นไหม แล้วเวลาอยากจะสบถ อยากจะด่า ศิษย์จะไปด่าหัวหน้าหรือด่าลูกน้อง (ด่าลูกน้อง)  เวลาศิษย์อยากจะกินแรง ศิษย์จะไปกินแรงหัวหน้าศิษย์ได้ไหม ศิษย์กินแรงใคร (ลูกน้อง)  แล้วเวลาศิษย์อยากจะใช้คน ตัวเองขี้เกียจทำ ศิษย์ใช้คนที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า (ต่ำกว่า)  แล้วใช้คนที่ฉลาดหรือคนที่ซื่อ (ซื่อ)  ถูกไหม ฉะนั้นอย่าถามอาจารย์ว่าทำไมคนดีจึงถูกรังแก จงถามใจตัวเองเราเอาเปรียบคนไหน เรารังแกคนไหน คนชั่วเรารังแกไหม (ไม่)  ถูกไหม ฉะนั้นอย่าถามอาจารย์ว่าทำไมคนดีถึงถูกรังแก ถามตัวศิษย์เองว่าเมื่อมีโอกาสทำไมชอบรังแกคนที่ด้อยกว่า ชอบเอาเปรียบคนที่ต่ำกว่าใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนชายท่านหนึ่งที่เจ็บเท้าอยู่ให้ออกมาหน้าชั้น)  
อาจารย์อยากรังแกแล้วทำให้ศิษย์ได้สร้างบุญด้วย เดินไปทางนี้นะ เจอใครก็ยกมือไหว้ เท่านี้ก็เป็นการสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ แค่สวัสดีครับ ดีไหม ทำง่ายไหม ไม่เห็นต้องเดินไปไหน เราแค่หันซ้าย แล้วพูดว่า “สวัสดีครับ ยินดีด้วยนะครับที่มาฟังธรรม” รู้ไหมว่าการอ่อนน้อมก็เป็นการสร้างบุญ จิตยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นทำได้ดีก็เป็นการสร้างบุญ การมีจิตใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นการสร้างบุญ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็พูด “ขอบคุณครับ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีไม่ต้องอาย ทำชั่วน่าอายกว่า จริงไหมยกมือไหว้หนึ่งครั้ง ได้สร้างบุญกับตั้งหลายคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อน)
มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้ยังคงทุกข์ด้วยเรื่องอะไรอีกหรือ
(ไม่ปล่อยวาง, มีห่วง, มีกิเลิส)  รู้ทั้งรู้ว่าถึงเวลาเราก็ทำอะไรไม่ได้  ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไปควบคุมอะไรให้ทุกอย่างเป็นอะไรดั่งใจไม่ได้ แค่เรายอมรับความจริง
(ความไม่รู้จักพอ)  ถึงที่สุดหาไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาไปเพื่ออะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดเราพอสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีก็กลายเป็นมีและมีค่า แต่ถ้าเราไม่พอสิ่งที่มีก็เหมือนไร้ค่าอยู่ทุกวัน (ไม่ปล่อยวาง)  เเล้วตอนนี้ปล่อยได้หรือยัง (ปล่อยได้แล้ว)  เเค่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเเละยอมรับสิ่งที่เป็น ยากนะศิษย์ยอมรับสิ่งที่เป็น
(ตัณหา)  เเปลได้สองอย่าง ทะยานอยากกับกามตัณหา ความอยากใช่ไหม อย่างนั้นก็รู้จักพอ รู้พอก็พบสุขไม่รู้พอก็ไม่มีสันติสุขสักที
(ความยึดติดอยู่ตลอดเวลา)  เเล้วตอนนี้ยังยึดอยู่อีกไหม (ไม่อยากยึด)  ไม่อยากยึดเพราะยึดไม่ได้ ไม่มีอะไรยึดได้เลยเงินทองก็ยึดไม่ได้ ล้วนเกิดจากการได้มาเเล้วเสียไป เสียไปแล้วถึงจะได้มา
(มีกรรมที่ต้องชดใช้อยู่)  ลูกหลานเรียกว่ากรรมหรือ อาจเป็นกรรมดีแต่อยู่ที่เราปลูกฝังเเละวางรากฐานอย่างไร พ่อเเม่คือแบบอย่างลูกหลานก็เลียนแบบพ่อเเม่ สอนได้ดีก็เป็นกรรมดี สอนไม่ดีกรรมนั้นก็เป็นกรรม
(ทุกข์เพราะว่าขี้หวง)  ทำไมจึงหวง เพราะกว่าจะได้แต่ละอย่างมาช่างยากเลยทำให้ศิษย์มีอะไรจึงไม่อยากให้ใคร เเต่ศิษย์เคยได้ยินไหม ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งไม่มี
(ทุกข์เพราะไม่มี)  แค่เรายอมรับความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้เเละเข้าใจ ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องทนทุกข์ เเต่เรียนรู้ทุกข์เพื่อเข้าใจเเละปล่อยวาง เหมือนความไม่มีมาเข้าใจเเละเรียนรู้เพื่อให้เกิดปัญญา
(กลัวลำบาก)  ถ้าเรายอมแพ้เราจะลำบากไหม ถ้าเราสู้ไม่ถอยเราจะลำบากไหม ที่เรากลัวลำบากเพราะเราคิดหวังจะพึ่งพิงคนอื่น แต่ถ้าเราพึ่งพิงตัวเองจะกลัวลำบากทำไม ถ้าใจเรามันสู้ ไม่มีคำว่าลำบาก แต่ใจศิษย์ไม่สู้
(มัวแต่ไปคาดหวัง แล้วไม่ได้ก็ทุกข์)  แล้วก็ต้องมาผิดหวังที่คาดหวัง สู้กล้ายอมรับความจริง ทำให้เต็มที่ อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับดีกว่าไหม 
(จำแล้วไม่ลืม)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าความเคียดแค้นจำไม่ลืมคือการจองเวรจองกรรม คือการอาฆาตพยาบาท การผูกใจเจ็บผูกกรรมแล้วเราควรมีไหม (ไม่ควรมี)  อย่างนั้นแปรเปลี่ยนจากเคืองแค้นเป็นอภัยไม่ถือโทษและขอบคุณ (จะพยายาม)  ศิษย์มันต้องทำตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะจิตที่ผูกใจเจ็บเวลาตายไปจะตกลงอบายภูมิทันที แต่จิตที่ให้อภัยไม่โกรธ ดีใจขอบคุณที่ได้ชดใช้ มันคือการได้สิ้นเวรสิ้นกรรมนะ ศิษย์อยากไปเจอคนที่ศิษย์เคืองแค้นอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นอย่าผูกใจเจ็บ เพราะถ้าอยากศิษย์จะต้องกลับมาเจอเขาอีกดีใจและขอบคุณที่ได้ชดใช้กรรม
(ขอพ้นทุกข์สักที)  พ้นนานแล้ว ตอนนี้ก็พ้นแล้ว ธรรมะสอนว่าจงอยู่กับปัจจุบัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ความเสียใจ)  ทุกข์เพราะความเสียใจใช่ไหม เสียใจเกิดจากใจที่คาดหวัง ใจที่ยึดติดว่ามันต้องดี สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มักเป็นในการบำเพ็ญธรรมคือ ติดดีไม่ชอบความไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกว่าในสิ่งที่ไม่ดีมันก็มี (ดี)  ในสิ่งที่ดีมันก็มี (ไม่ดี)  ฉะนั้นเรามองเห็นชัดหรือยัง (ชัดแล้ว) 
(ยึดติด)  ถ้าอยากพ้นทุกข์เราก็แค่อย่ายึดติด เพราะว่าธรรมที่แท้จริงไม่มีอะไร ผู้ที่เข้าถึงธรรมคือผู้ที่เข้าถึงความว่าง อิสระ ปลอดโปร่ง ทำให้ได้นะ อาจารย์รู้ศิษย์ทำได้
(ทุกข์เพราะความกลัว)  กลัวอะไรศิษย์เอ๋ย (กลัวอนาคตไม่เป็นอย่างที่เราหวัง)  ปัจจุบันถ้าทำได้ดี อนาคตก็สดใส แต่ถ้าปัจจุบันทำไม่ดี อนาคตก็เหี่ยวเฉาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงพึ่งตัวเองไม่พึ่งผู้อื่น ยึดมั่นความเข้มแข็งในตัวเอง อย่าไปหวังพึ่งพิงใคร แล้วเมื่อเราพลาดหรือเราล้ม เราก็เรียกตนลุกขึ้นสู้ใหม่ แต่ถ้าไปยึดคนอื่นพอเขาพลาดเขาทำให้เราผิดหวัง เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ทุกข์เพราะเป็นหนี้)  หนี้ใจหรือหนี้ชีวิต (หนี้ชีวิต)  เเล้วใครเป็นคนสร้างหนี้ (ตัวเอง)  อย่างนั้นควรมีสุขกับการใช้หนี้ดีไหม ทุกคนมีหนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ศิษย์คนเดียว เเต่จงมีสุขที่ได้ใช้หนี้เเล้วซื่อตรงกับการใช้หนี้ เเล้วศิษย์จะเป็นคนที่พ้นทุกข์ในการมีหนี้ เชื่ออาจารย์ เเต่ถ้าเกิดเป็นหนี้เเล้วทุกข์จะช่วยให้อะไรดีขึ้นไหม
(ทุกข์เพราะความรักโลภโกรธหลง)  อยากหยุดรักโลภโกรธหลง จะเอาแบบตัดครั้งเดียวขาดหรือแบบค่อยๆ ตัด ค่อยๆ ขาด ถ้าอยากตัดครั้งเดียวขาดต้องแก้ที่ใจ ถ้าใจไม่ยึดติดว่าอะไรชอบจะมีอะไรชังไหม ถ้าใจเราไม่ยึดติดว่าอันนี้ชอบจะมีชังไหม ถ้าใจเราไม่ยึดติดสุขจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)  นี่คือตัดครั้งเดียว มองให้เท่ากัน ศิษย์เอยในโลกนี้ใครสวยกว่าใคร ใครใหญ่กว่าใคร ใครดีกว่าใคร จริงๆ ไม่มี มีเเต่การหมุนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันไป ทำไมอยู่ๆ มาเจอกัน ทำไมอยู่ๆ มาชอบกัน ต้องมีเรื่องกรรมสัมพันธ์กัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราไม่อยากรักไม่อยากหลงก็ต้องมองให้ชัดด้วยการอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่าการมองแบบค่อยเป็นค่อยไปมองทุกวันจะเห็นว่าไม่เที่ยง มันทุกข์ควรจะรักไหม ควรหลงไหม ศิษย์รู้ไหมถ้าเข้าใจความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ศิษย์จะปลดปลงความโลภโกรธหลงได้ทีละเรื่อง เมื่อไม่เที่ยงเมื่อเป็นทุกข์เมื่อว่างเปล่า เราจะอยากไหม เราจะโกรธหรือ เราจะหลงหรือ
กินอย่างไรไม่ให้เกิดโลภ โกรธ หลง รู้ไหม (กินแบบมีสติ)  ศิษย์รู้ไหมว่าบางครั้งแค่การกิน มันก็ก่อเกิดกลายเป็นโลภ โกรธ หลงได้ พอเวลาเรากินผลไม้ กัดคำแรกหวาน เจ้านี้ไม่โกหก มีโอกาสจะกินอีก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเปรี้ยว เป็นอย่างไร (ไม่ซื้อแล้ว)  แอปเปิลอะไร หวานก็ไม่หวาน เห็นไหมว่าแค่กิน ก่อเกิดเป็นกรรมเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรจึงต้องมีสติ กินด้วยความไม่ยึดติดสำคัญมั่นหมายในตัวตน รักโลภโกรธหลงมันก็จะทำอะไรเราไม่ได้
(ทุกข์เพราะไม่เข้าใจชีวิต สัจธรรมชีวิต)  ที่อาจารย์พูดมาไม่เข้าใจเลย (ตอนนี้เข้าใจแล้วครับ)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่า เมื่อไรที่เห็นธรรมในตัวตน เมื่อนั้นศิษย์ก็จะเห็นธรรมในผู้คน เมื่อใดประจักษ์แจ้งธรรมในตัวตน เมื่อนั้นศิษย์ก็จะประจักษ์แจ้งธรรมในผู้คน ทำให้ได้นะ
(ทุกข์จากการไปรู้เรื่องราวมา ซึ่งรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องหรือว่าสิ่งนี้ถูกต้อง แต่ไม่สามารถไปเปลี่ยนการกระทำหรือการที่เรารับรู้เรื่องราวนั้นได้)  อย่างนั้นศิษย์ต้องยอมรับนะ เมื่อวานศิษย์พี่พระนาจาสอนไว้ว่า “รู้คนอื่นไม่สู้รู้ตัวเอง เห็นคนอื่นไม่สู้เห็นตัวเอง” เพราะการที่จะไปคาดหวังให้คนอื่นเป็นดั่งใจ แล้วกำหนดว่าต้องเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ หนีไม่พ้นโทษและเวรกรรมในการก่อกรรม แต่ถ้าเรามุ่งแก้ไขตัวเอง เราจัดการที่ตัวเอง เราจะหยุดกรรมที่ตัวเองได้ ไม่ก่อให้เกิดการเบียดเบียน ไม่ก่อเกิดโทษ ไม่เกิดการผูกเวร เพราะเรามุ่งแก้ที่ตัวเอง ไม่ได้แก้ที่เขา ฉะนั้นธรรมจึงสอนว่า รู้ผู้อื่นไม่สู้รู้ใจตน แก้ไขผู้อื่นไม่สู้แก้ไขที่ตัวเอง รู้คนอื่นมีประโยชน์อะไร รู้เขาไม่ดีเราก็เกลียด รู้เขาดีเราก็ชอบ ก็กลายเป็นอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ที่เรียกว่า ทุกข์สุขดีร้าย ตกนรกขึ้นสวรรค์ แต่มิสู้รู้ใจตัวเองแล้วหยุดให้ได้ ไม่ให้ตกนรกไม่ให้ขึ้นสวรรค์ แต่ให้เข้าถึงฝั่งพระนิพพานที่เรียกว่า “เสมอ” ดีกว่าไหม (ดี)  
(ทุกข์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ)  ยกตัวอย่างนะ ถ้าอาจารย์เห็น แล้วอาจารย์ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รัก ไม่ชอบ เป็นภาวะเฉยที่เรียกว่าตรงกลาง หรือเรียกว่าสัมมา หรือแปลว่ามัชฌิมาซึ่งก็คือทางสายกลาง แปลว่าการกระทำของอาจารย์สิ้นกรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่อาจารย์ทำแล้ว อาจารย์บอกว่าคนนั้นดี คนนั้นไม่ดี ฉันชอบแบบนั้น ฉันไม่ชอบแบบนี้ เขาเรียกว่าการดำเนินชีวิตแบบผูกสร้างกรรมไม่จบกรรม แต่ศิษย์จะสิ้นกรรมได้อย่างไรก็แค่เห็นแล้วเท่านั้น เห็นแล้วจบกัน แค่นี้คือสิ้นกรรม ไม่ต้องสิ้นกรรมตอนตาย สิ้นกรรมตอนนี้เลย ทำได้ไหม (ทำได้)  ขอแค่มีสติ แต่อย่าสูบบุหรี่ อย่ากินเหล้า เลิกไปนานแล้วใช่ไหม (เหล้าเลิกไปยี่สิบปีสามสิบปี)  กินไปเกือบค่อนชีวิตแล้วนะศิษย์ ต่อไปตั้งใจทำให้ดีนะศิษย์เอ๋ย
(คิดแทนคนอื่น)  ทุกข์เพราะคิดแทนคนอื่น เป็นห่วงแทนเขา กังวลเขา แล้วเราช่วยอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงที่สุดเราก็ต้องยอมรับความจริงว่า เราทำดีที่สุดแล้ว เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ อย่าเอาเขามาเป็นกรรมให้ทุกข์ใจ เพราะถ้าเราทำได้ดี ทำได้สุข ทำได้สงบ เขาจะย้อนกลับมาถามเราว่า เราทำอะไรทำไมเราไม่ทุกข์เลย ดียิ่งกว่าเราพูดเองอีกนะ
(ทุกข์เพราะเสียลูก)  สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ทุกอย่างที่เกิดบนโลกล้วนมีประโยชน์ เพื่อให้เราเรียนรู้เข้าใจและปล่อยมันอย่างสันติสุข ไม่ใช่ไปเกี่ยวให้เป็นกรรม อย่าเสียใจนะ
(ทุกข์เพราะคำว่าอยาก)  เพราะคำว่าอยากคำเดียวที่ทำให้มนุษย์ในโลกเหนื่อยไม่จบ วุ่นไม่สิ้น และคำว่า “อยาก” มันออกมาจากคำว่ามีตัวตน เพราะถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ว่าตัวตนมันไม่มี แล้วจะอยากไปทำไม อยากเพื่อไปให้ใคร เพราะถึงที่สุดเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วยังอยากอีกไหม ถ้าเราเข้าใจธรรม ศิษย์จะเข้าใจว่าได้หรือไม่ได้ก็เท่ากัน โดนชมหรือโดนด่าก็เสมอกัน มีหรือไร้ก็ไม่ได้เลือกทุกข์หรือสุขให้เจ็บปวดเลย พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เนืองๆ แล้วศิษย์จะไม่อยากมีตัวตนในโลกใบนี้ให้เจ็บปวดเลยพอความอยากมา ได้ไม่ได้ก็ทุกข์ ได้มาเเล้ว จะอยู่ไม่อยู่ก็ทุกข์ อยู่เเล้วรักษาได้ไหม เเล้วจะมีเพิ่มอีกไหมก็ทุกข์อีก เเล้วที่ทำไปทุกอย่าง ความอยาก ความโกรธ ความหลงมาจากไหน ก็มาจากตัวตนที่ศิษย์ยึดว่ามี ทั้งที่จริงๆ ถึงที่สุดก็เอาอะไรไปไม่ได้ ถึงที่สุดเเล้วก็ไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมี ถ้ายังอยากยึดตัวตน ผลของการยึดตัวตน เมื่อเราสิ้นสังขารเเล้วเราคิดว่ายังมีตัวตนอยู่ ยังมีตัวตนที่ออกจากสังขารนี้ไป มันเป็นตัวของฉัน รู้ไหมว่าการที่ยึดตัวตนที่ออกไปจากสังขารนี้คือตัวตนที่จะไปสนองผลกรรมที่ศิษย์สั่งสมไว้ในจิตใจ ศิษย์เกลียดใคร ศิษย์ทำบุญอะไร ศิษย์ทำบาปอะไร กรรมนี้จะพาให้ศิษย์สนองไปตามวัฏฏะและกรรมที่ศิษย์สั่งสม เเต่ถ้าศิษย์สามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลก เข้าถึงสภาวธรรมอันเดิมแท้ จนวางสิ้นตัวตน พอตายไปเเล้วธรรมก็คืนสู่ธรรม ไม่มีตัวตนให้ต้องเวียนว่ายอีกต่อไป เเละเมื่อไรที่เกิดอะไรขึ้นในตัวเรา เราก็คิดเพียงว่ามันเป็นวิบากกรรม เราจะไม่โกรธ เราจะไม่ผูกใจเจ็บ เราจะไม่เกลียด เพราะเป็นเรื่องของสังขารไม่ใช่เรื่องของจิตเดิมเเท้ อาจารย์กระแทกกระทั้นเพราะอยากให้ทะลุไปให้ถึงใจศิษย์ ให้กิเลสที่เกาะหนาๆ นั้นหลุดออกมาจากใจ เเล้วศิษย์จะบอกว่าเเท้จริงโลภโกรธหลงไม่เคยมี เเต่มีเพราะความยึดติดตัวตน จริงไหม (จริง) 
(ทุกข์เพราะอยากหนุ่มกว่านี้ ทุกข์เพราะอยากมีภรรยาสิบคน)  อาจารย์ดีใจนะ มีศิษย์แบบนี้กล้ายอมรับ แต่อย่าให้ความคิดนี้ฝังลงไปในจิต เพราะถ้าความคิดนี้ฝังลงไปในจิตว่าผมอยากมีภรรยาสิบคน แล้วถ้าชาตินี้ไม่มีไม่เป็นไร เดี๋ยวชาติหน้าก็คงมี ศิษย์ต้องระวังนะ เพราะจิตเป็นสิ่งที่กระทบแล้วเก็บง่าย แล้วถ้าหยั่งลึกไปถึงจิต ก่อเกิดเป็นกรรมในการหมุนเวียน จะสร้างวิบากกรรมให้ศิษย์ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นอย่าไปปลูกฝังความคิดอะไรผิดๆ เพราะแค่คิดก็ผิดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเผลอหยั่งอะไรลงไปในเนื้อนาอันเป็นพุทธจิตเดิมแท้ ถ้าฝังลงไปแล้ว จะทำให้เราต้องไปสนองตามจิตที่เราสั่งสม หมา แมว หมู ควายมีเมียเป็นสิบ ถ้าอย่างนั้นเราหยุดความคิด บำเพ็ญเพื่อรู้เท่าทันจิต ไม่ใช่ต้องรู้ใคร หยุดที่ตัวได้ ไม่ต้องหยุดใคร ไม่ต้องไปเห็นใคร เห็นที่ตัวเอง หยุดที่ตัวเองก่อนที่จะตกผลึกเป็นผลของกรรมและผลของความคิด ฉะนั้นรู้แล้วหยุด ถ้าจะคิดให้หยุดคิดทันที ถ้าศิษย์อยากมีภรรยาเป็นสิบแล้วได้เกิดเป็นคน ศิษย์รักษาศีล ๕ ครบไหม (ไม่ครบ)  อย่างนั้นศิษย์ได้เกิดเป็นหมา ได้เกิดเป็นแมว ได้เกิดเป็นวัว ได้เกิดเป็นควายแน่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปลูกฝังคุณธรรมเพื่อยับยั้งจิตไม่ให้หลงผิด ปลูกฝังศีลธรรมเพื่อป้องกันจิตไม่ให้คิดคดคิดร้าย ด้วยการฝึกเมตตาจิต มีใครบ้างอยากมีสามีที่มีแฟนเป็นสิบคน เอาใจเขามาใส่ใจเรานะศิษย์ แล้วมีไหมที่อยากให้สามีฉันหนุ่มอยู่คนเดียวแล้วฉันเหี่ยวอยู่คนเดียว ก็ไม่เอาใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคิคอะไร คิดให้ถูกธรรมถูกต้อง ไม่อย่างนั้นคิดผิดก็ทำร้ายจิตตัวเองนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “แสงธรรมส่องใจชน” )
กรรมของศิษย์นั้นคือธรรม ใจของศิษย์นั้นก็คือธรรม ผู้ค้นพบธรรมในตัวตนก็จะพบธรรมในผู้คน ผู้สามารถเอาธรรมะส่องสว่างในใจตนได้ คนๆ นั้นจะสามารถยังแสงสว่างเพื่อมวลชนได้ ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ก็จะสามารถนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้เช่นกัน ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าแห่งความเป็นพุทธะในจิตเดิมแท้ของตน ศิษย์ของอาจารย์ทุกคน ธรรมะอยู่ในใจ แต่อยู่ที่ว่า เคยหันไปมองธรรมในใจด้วยความสงบและยอมรับความจริงอันว่างเปล่า ไร้พันธนาการ และเป็นสุขกับมันบ้างไหม ถ้าทำได้ ศิษย์จะพบความปิติสุข สงบเย็น โดยที่ไม่ต้องมีอะไรหรือมีใครนะศิษย์เอ๋ย ความสงบเย็น ความสุข ความปิติ มันมีอยู่ในนี้ แค่ศิษย์หันมามอง และรู้จักพอบ้างไหม แสงสว่างใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับแสงสว่างที่มันเกิดจากใจที่เข้าถึงธรรม ไม่มีอะไรให้ต้องยึดถือ และกล้ายอมรับความจริง ตายก็ตาย เจ็บก็เจ็บ เสียก็เสีย มันไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วเรากำลังร้องไห้   ฟูมฟายทุกข์กับอะไร เรากำลังทุกข์กับความหลอกลวงตัวเอง เรากำลังทุกข์กับการไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ความทุกข์ไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่ความทุกข์คือความรู้แจ้ง ที่ทำให้เราเข้าถึงเพื่อปลดปลงและปล่อยวาง
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว ในนี้ยังมีใจความอยู่ ลองเอาไปศึกษา แล้วจงหยั่งให้เห็นธรรมอันสว่างในตัวเอง พระพุทธะไม่เคยสอนให้พึ่งพิงพระ แต่ท่านสอนให้พึ่งพระในใจตัวเอง ธรรมในใจตัวเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ยารักษาโรค ไม่ใช่เครื่องรางของขลัง เพราะถึงเวลาที่ศิษย์ต้องทุกข์และปลดทุกข์ พระเก้าวัดพระร้อยวัดก็ปลดทุกข์ของศิษย์ไม่ได้ นอกจากศิษย์ต้องปลดด้วยตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  หนทางมีให้เดิน อยู่ที่ศิษย์จะเดินหรือไม่เดินเท่านั้นเอง มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก อย่าปล่อยให้ความวุ่นวายทางโลกชักนำศิษย์ให้หลงทางเลย ชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไรจง    เข็มแข็งและต่อสู้ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วต้องเป็นไปตลอดชีวิต ทำให้ได้นะศิษย์ หลงไปถึงไหนแล้วศิษย์ของอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสมาศึกษาเข้าชั้นให้ครบนะศิษย์เอ๋ย ไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวลำบาก อุทิศเพื่อประชาทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เรามีกรรมก็ยังต้องชดใช้ ฉะนั้นอุปสรรคอย่ายอมแพ้ ธรรมอยู่ในใจเราแล้ว ไม่กลัวลำบากนี่คือหัวใจของการทำงานเพื่อมวลชน อุทิศเสียสละเพื่อมวลชน
ศิษย์เอ๋ย ภาวะธรรมเป็นภาวะที่สงบ เป็นภาวะที่สดใส ว่างเปล่า แต่ก็เป็นสุขเย็น อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าถึงสภาวะนั้น สภาวะที่ไม่ต้องทุกข์อีก แต่เข้าใจในทุกข์อย่างคนที่แจ่มแจ้งเห็นชัด ไม่ต้องเจ็บปวดกับความเป็นจริงในโลกใบนี้ เพราะเข้าใจในสภาวธรรม ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดกับโลกใบนี้ เพราะเห็นแจ้งในธรรม ซึ่งไม่ใช่เกิดจากอาจารย์เป็นผู้ยัดเยียดให้ศิษย์ แต่เกิดจากการที่ศิษย์ตื่นรู้ด้วยสติและปัญญาที่เข้าถึง ธรรมะนั้นอยู่ในตัวศิษย์นะ ไม่ใช่อยู่ในตัวอาจารย์ ความรู้แจ้งพ้นทุกข์ก็อยู่ในตัวศิษย์ที่กล้าหาญปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ ถ้าบำเพ็ญแล้ว ต้องทำให้ถึงที่สุด ถึงจะสมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์หรือเป็นจี้กงน้อยๆ ที่อยู่ในใจของศิษย์ ฉะนั้นนำความเป็นพุทธะไปใส่ไว้ในใจเพื่อเข้าให้ถึงธรรม แล้วศิษย์จะพบความปิติสุขที่อยู่บนโลก แต่สุขใดก็เทียบกับสุขที่เกิดจากความสงบเย็นในธรรมไม่ได้เลย ลองทำดูสักครั้งหนึ่ง แล้วหันกลับมาดูว่ามันไม่ยาก มันเป็นความสงบที่ดี ดีกว่าการวิ่งแสวงหาทุกข์ไม่จบสิ้นอีกนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “แสงธรรมส่องใจชน”
     เอกธรรมสว่างโพลง ณ กลางจิต              รู้ปัญญาเป็นดั่งมิตรคอยหนุนส่ง
ดับการเกิดแห่งสัญญาเป็นมั่นคง                  รู้ปลดปลงมีหรือไร้ก็เท่ากัน
จิตเป็นกลางอยู่เสมอด้วยสติ                       รู้ทุกขณะด้วยจิตว่าแค่นั้น
ทุกอย่างเป็นอนัตตาเอนกอนันต์                   ถึงสำคัญที่สุดนั้นก็ต้องวาง
กายก็เบาจิตก็เบามีเสรี                              ใจยืมใช้ทำหน้าที่ไม่มีต่าง
รู้ใช้ธรรมมียิ่งในทุกทาง                             ก็คือธรรมแลธรรมสร้างเท่านั้นเอง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

2559-10-29 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี

西元二○一六年歲次丙申九月二十九日                                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                            สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

  ทำอะไรไม่ลำบากนั้นไม่มี                 ยิ่งความดียิ่งทำยากลำบากใหญ่
จะบำเพ็ญเพื่อพ้นทุกข์อีกต่อไป          จึงต้องใช้ความพากเพียรและอดทน
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายประณตน้อมอัญชุลี
องค์มารดา                            ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  เรียนรู้ธรรมนำใช้บังเกิดคุณ            อย่างยืดหยุ่นพลิกแพลงแลประสาน
ปัจจุบันให้นำธรรมเกิดงามตระการ      ฟังธรรมสานต่อยอดคุณประโยชน์
ใจว่างกระจ่างเมื่อเป็นอสังขต[๑]ยิ่ง        ทบทวนสิ่งใดนั้นคุณนั้นประโยชน์
ธรรมหนุนเกื้อขอบำเพ็ญสู่นิโรธ[๒]        หวังพากเพียรวิริยะโดดข้ามปรวนแปร
กลัวบำเพ็ญด้วยฝึกเกินจะเหนื่อย        กลัวเหน็ดเหนื่อยเมื่อยชนะคนแน่วแน่
คนมุ่งมั่นทนล้าความท้อแท้              ไม่เอามานะอย่างอ่อนแอเป็นประจำ
มองเห็นตนเองกว่าเห็นใคร               ย่อมไม่ทำผู้ใดต้องถลำ
ปัญญาของตนเองใช้เช้าค่ำ               ปฏิบัติธรรมมงคลชีวิตย่อมนำสุข
มีขันติสิริ[๓]ปราการ[๔]เป็นป้อมชีวิต        ประสามิตรแห่งทางที่ไม่ผูก
เรื่องถูกผิดไม่พูดเป็นสนุก                 ข้อตกลงไม่อาจปลูกจิตสำนึก
ทำเรื่องยากคนต้องสู้พยายาม            อยากจะงามคนต้องขยันฝึก
ปัญหาชีวิตมองเห็นธรรมตกผลึก         มีสติดังแก้วสารพัดนึกดลบันดาล
                                                                                                    ฮา ฮา หยุด



[๑] อสังขต น. ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
[๒] นิโรธ น. ความดับทุกข์
[๓] สิริ น. มิ่งขวัญ มงคล
[๔] ปราการ น. กำแพงสำหรับป้องกันข้าศึก


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ถ้าวันนี้ให้ฟังธรรมต่ออีกยังพอไหวไหม (ไหว)  เขาบอกว่ามาฟังธรรมแล้วดี ยากไหม (ไม่ยาก)  ยากที่ต้องเอาชนะใจตัวเอง
มีบางคนที่ไม่กล้าพูด ถือว่าเรามาสนทนาธรรมแลกเปลี่ยนข้อธรรมกันดีหรือไม่ (ดี)  มนุษย์ทุกคนในใจจริงลึกๆ ทุกคนล้วนรักความดี แต่บางทีพอทำดีจริงๆ ก็อดถามในใจตัวเองไม่ได้ว่าทำดีเพื่ออะไร ทำแล้วต้องเหนื่อยขนาดนี้ ทำแล้วต้องลำบากขนาดนี้ ทำแล้วต้องโดนว่าขนาดนี้ ทำทำไม ใช่ไหม (ใช่)  ก่อนที่จะรอคำตอบจากเรา ถ้าเราถามท่านว่า ถ้ามีคนหนึ่งพยายามทำความดีโดยหาที่สุดแห่งฟากฝั่งความดีไม่เจอ แต่ก็ยังคงทำไปเรื่อยๆ พากเพียรไปเรื่อยๆ อย่างไม่ท้อ อย่างไม่หน่าย และไม่เคยเรียกใครต้องทำความดี เรียกแต่ตัวเองต้องทำให้ได้ แม้ไม่รู้ว่าที่สิ้นสุดของความดีนั้นอยู่ตรงไหน ก็ยังทำไปเรื่อยๆ ท่านว่าคนเช่นนี้ถือว่าสุดยอดไหม (สุดยอด)  ท่านว่าคนที่ทำดีคนนี้เป็นคนที่เข้าใจความดีจริงๆ ไหม (จริง)  แต่บางครั้งเราเองพอทำดีไปสักพักหนึ่ง เรามักจะถามตัวเองว่า ต้องถึงที่สุดเมื่อไร เมื่อไรจะจบความดีสักที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราถามว่าถ้ามีคนหนึ่งทำความดีเเบบหาฟากฝั่งที่สุดไม่เจอ แต่ก็ยังทำไปเรื่อยๆ และไม่เคยเรียกร้องใคร เรียกร้องเเต่ตนเองว่าได้ทำหรือยัง ได้ช่วยหรือยัง ถ้าคนทำดีได้เช่นนี้แปลว่าเขาเข้าใจความดีและเข้าถึงความดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)เเล้วเราล่ะ เป็นคนหนึ่งที่ชอบความดี เป็นคนหนึ่งที่รักความดี เเละเป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องอยากให้ทุกคนทำดี เเต่เราเข้าใจความดีหรือยัง เรารู้หรือยังว่าทำดีเพื่ออะไร ถ้าท่านตอบคำถามนี้ได้ ท่านจะทำความดีอย่างไม่กลัวว่าที่สิ้นสุดของความดีอยู่ที่ไหน ท่านจะทำไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องเรียกร้องว่าใครจะดีตอบหรือไม่ จริงไหม (จริง)  คนที่ตอบว่าจริงได้เเปลว่าต้องเข้าใจ ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความดีเวลาอยู่ในตัวเรา เเล้วเราหยิบยื่นให้คนอื่น เขายิ้มรับกับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้ เราได้อะไร (ความสบายใจ)  ได้ความสุขใจ ฉะนั้นถ้าเราบอกว่า ที่เราทำดีเพราะว่าความดีเป็นชื่อเเห่งการมีความสุข หรือความดีเป็นชื่อของความสุข เราจะทำได้เรื่อยๆ เเละยิ่งความดีนั้นไม่ได้มีเเก่ตนเอง เเต่เรายิ่งหยิบยื่นให้คนอื่น เราก็ยิ่ง (สุข)  หรือง่ายๆ ถ้ามีใครหยิบยื่นความดีให้เรา ดีจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความดีคือที่เเห่งความสุข รู้หรือยังว่าทำไมต้องทำดี ทำไมต้องหยิบยื่นความดีให้เเก่กัน เพราะยิ้มคนเดียวมันไม่สุขเท่ากับยิ้มด้วยกัน ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วความดี มีความหมายว่าความสุขอย่างเดียวไหม อย่างนั้นเราถามนะกินอาหารยังมีวันอิ่ม แล้วก็ยังกลับไปหิว แต่ทำความดีมันอิ่มอกอิ่มใจ ยิ่งนึกถึงยิ่งอิ่ม เห็นแล้วอิ่มทันทีเลย ฉะนั้นความดีจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่ง คือ ชื่อความอิ่มเอมใจ ได้กี่ความหมายแล้ว (สองความหมาย)  พอไหม (ยังไม่พอ)  แล้วรู้อีกไหมว่า ความดียังเป็นชื่อที่ทำคนธรรมดาๆ ให้กลายเป็นคนยิ่งใหญ่ ทำคนที่ดูไม่มีค่า ได้กลายเป็นคนที่รู้คุณค่าชีวิต ทำคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจว่า ความหมายชีวิตคืออะไร พอได้ทำดีหรือพอเห็นคนทำดี เข้าใจเลยว่า ชีวิตเขามีค่า มีความหมายยิ่งนัก นั่นคือชื่อของคนทำดี ฉะนั้นความดีเป็นชื่อของคุณค่า เป็นชื่อที่ทำให้เราเข้าใจคุณค่าและความหมายของคนกับคนที่อยู่ร่วมกัน เรารู้ว่าตัวเองมีคุณค่าก็ต่อเมื่อ ทำไมเธอช่างดีเช่นนี้ รู้สึกมีค่าขึ้นมาทันที จากคนที่ไม่เคยมีใครสนใจ แต่พอเราได้ทำสิ่งที่ดีงามได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง และเขาเห็นค่าเห็นความหมาย ไม่ลืมเลือนเรา เรารู้สึกว่าเรามีที่ยืนบนโลก เหมือนคนที่ยังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ฉะนั้นชื่อของความดี คือชื่อแห่งคุณค่าและความหมาย
ถ้าการทำดีทำให้คนลำบากใจ คนดีก็พร้อมจะจากไปดีกว่า ถ้าเราทำดีเเต่เขารู้สึกลำบากใจ คนดีก็ต้องยอมถอยให้เป็น คิดให้ดีๆ ถ้าทำดีเเล้วทำให้เขาลำบากใจ รำคาญใจเเล้วไม่มีสุข คนดีบางทีก็ต้องรู้จักสละหลีกถอยและน้อมยอมตน ฉะนั้นชื่อของความดียังเป็นชื่อที่ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิต จนกลับไปสู่หนทางอันประเสริฐที่เรียกว่า “พุทธะ” ชื่อของความดียังมีอีกความหมายหนึ่งคือ รากฐานของการเป็นพุทธะ ถ้าได้ฟังความหมายของความดีเยอะขนาดนี้เเล้ว ถ้าต้องทำดีจนหาที่สุดไม่ได้ยังจะทำต่อไหม (ทำ)  ไม่ใช่คำตอบที่ท่านต้องให้เรา เเต่ต้องเป็นการปฏิบัติที่ทำด้วยตนเอง เพราะมีหลายคนที่พูดได้เเต่ถึงที่สุดทำไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นรู้ไหมว่าถ้าทำความดีแล้วความดีนั้นช่วยชะล้างใจให้บริสุทธิ์ วันนี้ถ้ามาฟังธรรมแล้วและเขาบอกว่ามาฟังธรรมะเถอะเป็นความดีอย่างหนึ่ง แล้วรู้ไหมว่าการทำความดีอะไรก็ตามที่ทำแล้วสามารถชะล้างใจให้บริสุทธิ์ได้ ความดีนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บุญ” เห็นไหมว่าความดีมีชื่อเรียกมากมาย แล้วมีความหมายยิ่งนัก ความดีนั้นถ้าสามารถชำระความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ชำระกิเลสจนหมดสิ้นได้ ความดียังมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “กุศล” แล้วถ้าความดีที่ทำแล้วแตกหน่อเป็นเมตตา เสียสละมีน้ำใจ ซื่อตรง ความดีนั้นยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คุณธรรม” ทำดีมีน้ำใจบ่อยๆ คนที่มีน้ำใจบ่อยๆ เรียกคนนั้นว่ามีเมตตาแล้ว ต่อไปจะถามเราอีกไหมว่า ทำไมต้องทำดี แล้วจะท้อไหมว่า เมื่อไรจะสิ้นสุดการทำดี ถ้าเมื่อไรใจยังอยากสุขก็ยังต้อง (ทำดี)  ถ้าเมื่อไรอยากได้ความรักจากผู้อื่นก็ต้องทำ (ความดี)  เพราะความดีเป็นที่รักของ (ทุกคน)
เราถามกลับนะว่าคนทำดี เอาความดีมาทำร้ายผู้อื่นได้ไหม คนที่เคยพูดกับเราว่าตัวเองเป็นคนดี ถามว่าคนดีทำร้ายผู้อื่น เอาความดีมาทำร้ายผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)
(ก็เพราะว่าการทำความดี มันคือความสุข และจะทำให้คนที่ได้รับและคนที่เราไปทำดีกับเขาต้องมีความสุขแน่นอนค่ะ คิดว่าความดี ไม่สามารถที่จะทำร้ายจิตใจคนอื่นได้)  เราถามรองหัวหน้านะ คนทำดีที่ชอบอ้างตัวเองว่า หวังดีและบีบบังคับให้คนอื่นทำตามที่ตัวเองหวังดี เรียกว่ากำลังเอาความดีนั้นทำให้คนอื่นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ (เป็นทุกข์)  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่า เราทำดีแล้ว และในความดีที่เราทำ ก็หวังอยากให้คนอื่น (ทำดี)  แต่พอเขาไม่ทำดีอย่างที่เราหวังเป็นอย่างไร เราทุกข์ แล้วเขาทุกข์ไหม เราทุกข์เพราะเขาไม่เป็นอย่างที่เราคิด เขาทุกข์เพราะรับรู้ความหวังดีของเราแล้วเขาทำไม่ได้ อย่างนั้นความดีแบบนี้ ถูกไหม (ไม่ถูก)  แต่คนที่ทำดีมักจะบอกว่า “ถูก” แล้วก็บอกว่า ทำดีเหนื่อยจังเลย แล้วก็บอกว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี อย่างนั้นทำดีอย่างไรหนอ
(อธิบายให้เขาฟังว่า อย่างไหนถูกอย่างไหนผิด)  การอธิบายให้เขาฟังว่า สิ่งที่เราบอกเป็นความหวังดีนั้น เป็นความหวังดีจริงๆ ในความหวังดีนั้นท่านต้องเผื่อใจไว้อย่างหนึ่งว่า “แค่บอกแต่ไม่ใช่บังคับ แค่ให้รู้แต่ไม่ใช่ต้องเป็นแบบนั้น แค่เป็นทางเลือก” แต่ถึงเวลาเราพูดแบบนั้นหรือไม่อย่างไรก็มีเหตุผลว่าแค่บอก เเต่บอกซ้ำๆ ก็กลายเป็นเหมือนบังคับ มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ความดีถ้าเข้มงวดเกินไปก็จะกลายเป็นโทษ เป็นบาปเป็นกรรม เเล้วถึงที่สุดก็กลายเป็นทุกข์” ความเข้มงวดกวดขัน ถ้ามีมากเกินไปก็กลายเป็นเวรเป็นกรรม เเละความเคืองเเค้นอิดหนาระอาใจ ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่เขาเปรียบเทียบไหม เหมือนเราจะตีมีดขึ้นมาอันหนึ่งถ้าไฟไม่พอ มีดยังไม่ทันหลอมละลาย ตีอย่างไรก็ไม่ขึ้นรูป ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำดีเเล้วหวังดีกับคนนั้นจริงๆ เเต่ถ้าไฟสุขุมเราไม่มากพอ บ่มเขาไม่ได้ ยังเกิดการสูญเสียความเคารพในจิตใจเขาด้วย จากที่เขาจะรักเรา กลายเป็นเขาจะ (เกลียดเรา)  เกลียดเลยหรือ อย่างมากก็แค่กลัวขยาด ใช่หรือไม่ พ่อ แม่ พี่น้อง ภรรยาจะพูดอีกไหม เริ่มกลัวแล้วจะพูดเหมือนเดิมอีกไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ฉะนั้นหวังดีแล้วเข้มงวดกวดขันเกินไป ก็หนีไม่พ้นเวรกรรมทุกข์โทษและเจ็บปวด จึงมีคำพูดว่า มนุษย์ทุกคนห่วงความดี แต่ถ้าห่วงความดีจนลืมหยิบยื่นความดีให้กับผู้อื่น การห่วงความดีก็อาจจะเผลอทำร้ายคนที่ตัวเองรักที่สุดก็เป็นได้ จริงไหม เราห่วงความดีจนเราลืมหยิบยื่นความดีให้เขาแต่สิ่งที่เราหยิบยื่นเป็นการ บังคับเกินไปหรือเปล่า เป็นการเรียกร้องเกินไปหรือเปล่า เหมือนเราถามท่านว่า คนดีในโลกนี้ทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ได้)  แต่ถูกไหม ไม่ถูกแต่ทำไหม (ทำ)  เหมือนเราถามท่านว่า เรารักลูกไหม (รัก)  เวลาลูกไม่เป็นดั่งใจ เคยโมโหแล้วตีเขาไหม (ตี)  ใครเจ็บ (เราเจ็บ)  เขาเจ็บตัวแต่เราปวดใจ เหมือนเรารักสามีไหม พอเขาไม่เป็นดั่งใจ ด่าเขา ปวดใจไหม (ปวดใจ)  ฉะนั้นอย่าห่วงดีจนลืมหยิบยื่นความดี ความเห็นใจกัน ความเข้าใจกัน ความให้อภัยกัน การยอมซึ่งกันและกันบ้าง เพราะคนทำดีมีอยู่สองแบบ แบบหนึ่งคือทำตามอารมณ์นิสัย คนที่ทำตามอารมณ์นิสัยจะทำความดีได้ชั่วขณะ ไม่ค่อยยั่งยืน แต่ถ้าคนทำความดีด้วยคุณธรรมที่ออกมาจากใจ ความดีนั้นจะอยู่นิจนิรันดร์และยั่งยืนกว่า เหมือนเราทำดีกับเขาเพราะเรารักความเมตตา เราขี้สงสาร ฉะนั้นให้เราทำความดีด้วยความสงสาร เราทำได้เรื่อยๆ ทำความดีเพราะเราอยากเสียสละ เพราะเราอยากเคารพให้เกียรติ เราทำได้เรื่อยๆ แต่ทำความดีเพราะอารมณ์อยากทำดี พอหมดอารมณ์อยากทำดี ความดีก็ (หาย)  ฉะนั้นทำความดีต้องทำด้วยคุณธรรม อย่าทำด้วยอารมณ์ความรู้สึกจะไม่ยั่งยืน ถูกหรือไม่
ปัญหาของโลกใบนี้ที่มนุษย์ทะเลาะกัน ที่มนุษย์ทำร้ายกัน พอรู้ไหมเพราะอะไร เพราะว่าเขาไม่ดีหรือเปล่า ไม่น่าใช่เนอะ เขาก็หวังดีแต่เขาลืมเคารพให้เกียรติ ถ้าหวังดีแต่ลืมเคารพให้เกียรติจะด่ากันไหม (ไม่ด่า)  ถ้าหวังดีเคารพให้เกียรติจะนินทากันและจะแอบทำร้ายกันไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์มองเห็นปัญหาชัดเจนเราจะรักษาความดีได้ตลอดรอดฝั่ง ที่มนุษย์เรามีปัญหาชอบทำร้ายกันนั่นเพราะว่าเขารักดีและลืมเมตตาต่อกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราถามให้ท่านไตร่ตรองสักครู่ คนชมเราเรียกว่า (คนดี)  คนด่าเราเรียกว่าคน (นินทา)  อย่างนั้นความดีของเราขึ้นอยู่กับคำชมหรือคำด่า
เราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ส่วนใหญ่จะเป็น เวลาใครชมเรา เราก็ว่าคนนั้นดี เวลาใครว่าเรา เราก็ว่าคนนั้นไม่ดี แปลว่า ความดีของเรานั้นมีข้อจำกัด ต้องยกยอ ต้องพูดดี ถ้าเกิดด่าทอเราเรียกว่าไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์มีมาตรฐานความดีไม่เท่ากัน คนบางคนทำนิดหน่อยก็เรียกว่าดี แต่คนบางคนต้องทำเยอะๆ ถึงจะเรียกว่าดี
ฉะนั้นเราทุกคนล้วนมีเหตุผล เคยเถียงกับผู้อื่นเรื่องความดีไหม (เคย)  เขาก็ดีเราก็ดีไม่ได้ น่าแปลกนะ แล้วดีทั้งสองคนได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีคนหนึ่งถูกคนหนึ่งผิด เขาก็ถูกเราก็ถูกไม่ได้หรือ ถ้าเขาผิดเราก็ผิด ได้ไหม (ได้)  แต่ไม่ค่อยมี ท่านบอกว่า เราก็มีเหตุผล เขาก็มีเหตุผล อย่างนั้นความดีขึ้นอยู่กับเหตุผลได้ไหมทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองไม่เท่ากัน ถ้าเอาเหตุผลเราไปวัดเหตุผลคนอื่นก็จะมีที่เรียกว่าถูกและผิด ที่เรียกว่าดีและไม่ดี ทำดีเอาเหตุผลวัดไม่ได้ และทำดีเอาความคิดตัวเองเป็นหลักได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ฉันถูก เธอผิด ฉันดีเธอ (ไม่ดี)  ฉะนั้นการทำดีจะนำเหตุผลและความคิดมาวัดไม่ได้ เพราะเหตุผลและความคิดมี   มูลฐานมาจากประสบการณ์ของตัวเองที่เรียนรู้และชอบชังไม่เหมือนกัน เพราะประสบการณ์การเรียนรู้ที่ชอบชังไม่เหมือนกัน ฉะนั้นพอชอบเราก็ต้องมองว่าแบบนี้ ถ้าเราไม่ชอบแบบนี้ก็ (ไม่ดี)  แล้วความชอบชังทุกคนเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  บางคนชอบขาวไม่ชอบดำ ฉะนั้นก็บอกคนขาวดี คนดำ (ไม่ดี)  ถูกไหม (ไม่ถูก)  แต่เรามักชอบคิดเข้าข้างตัวเอง แล้วก็ตัดสินผู้อื่นอย่างผิดๆ แล้วก็บอกว่า ทำดีไม่ได้ดี ฉะนั้นความดีอย่าเผลอใช้เหตุผล ความดีอย่าคิดเข้าข้างตน มิเช่นนั้นแล้วความดีที่อิงอาศัยตัวตนจะทำดีได้ไม่ตลอด แต่ถ้าความดีใช้คุณธรรมเป็นรากฐาน ใช้คุณธรรมในการประพฤติปฏิบัติ ท่านจะทำดีได้ยั่งยืนนาน
เงินอยู่ในโลกท่านรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงหาเงินมาได้ อย่างนั้นท่านรู้ไหมว่าทำอย่างไรให้เป็นคนดีเเล้วพ้นทุกข์ ท่านรู้จักหรือยัง เเล้วท่านเคยให้เวลากับตนเองศึกษาเรื่องนี้บ้างหรือไม่ เคยให้เวลาเเต่กับเรื่องเงินกับการท่องเที่ยว เเล้วเงินทำให้หนีทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  ท่องเที่ยวทำให้พ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  เเฟนทำให้พ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  เเล้วเคยให้เวลาศึกษาธรรมเพื่อพ้นทุกข์บ้างไหม (ไม่)
ขอให้เปิดใจกว้างๆ ว่าการศึกษาธรรมเพื่อหาทางพ้นทุกข์ไม่ใช่มีทางนี้ทางเดียว ไม่ใช่มีแบบนี้แบบเดียว ผู้ที่เข้าถึงธรรมปฏิบัติธรรมเขาไม่แยกว่าไทยหรือจีนขอให้เข้าถึงธรรมเเล้วพ้นทุกข์ ไม่ว่าจีนหรือไทยก็เอา เเต่ถ้าผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้เขาก็คิดอย่างคนที่มีทุกข์ เเต่ผู้ที่พ้นทุกข์เเล้วคือไม่ยึดมั่น ทุกข์เกิดจากความยึดติด ฉะนั้นเเม้ศึกษาธรรมยังยึดติดรูปลักษณ์เเล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ใช่ไหม
ถ้าเราถามท่านว่าแล้วเป็นคนดีจะพ้นทุกข์ได้เช่นไร เราเพิ่งพาท่านก้าวไปแค่หนึ่งสองสามยังไม่ถึงที่สุด ท่านก็หมดแรงแล้ว อย่าเพิ่งวัดคุณค่ากันแค่มอง อย่าเพิ่งตีค่าเราแค่เพียงเปลือกนอก มองต้องมองให้ลึกถึงแก่นแท้ ท่านยังไม่ชอบให้ใครมาดูถูกกันที่เปลือกนอก อยากให้ดูถึงใจ ดูถึงเนื้อใน ฉะนั้นเราคุยกับท่านเพียงแค่เปลือกยังไปไม่ถึงเนื้อในท่านก็ยอมแพ้แล้ว อย่างนั้นเป็นคนดีแล้วทำเช่นไรที่จะพ้นทุกข์
(ต้องทำให้ถูกต้องตามกาลเทศะ ดูเวลา ต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน)  ทำดีโดยไม่หวังผล ทำดีโดยเหมาะสมและถูกกับกาลเทศะ
ถ้าอยากทำดีจนสามารถพ้นทุกข์ได้ ความดีของการทำดีก็คือ รู้กาย รู้ใจ รู้ตน และยอมรับความจริง ถ้าทำได้เช่นนี้เข้าถึงธรรมพ้นทุกข์แน่นอน ยอมรับความจริงแล้วเข้าถึงธรรม คำนี้ยากนะ ยอมรับความจริงคือ รู้กายรู้ใจ และอะไรเรียกว่า ยอมรับความจริงจนเข้าถึงธรรม คือ รู้กายรู้ใจ และรักษากายใจนี้เป็นกลาง เย็น สงบ จบ วาง อย่างนี้เรียกว่า ยอมรับความจริงด้วยใจเป็นกลาง เข้าถึงธรรมพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เจออะไรดีชอบ เจออะไรไม่ดีไม่ชอบ เจออะไรดีชม เจออะไรไม่ดีด่า ความดีความชั่วความชอบความชัง เป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์เวียนว่ายอยู่บนโลกไม่จบสิ้น ความชอบความชังก่อเกิดเป็นรัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า “กิเลส” เป็นที่มาแห่งบาป ทุกข์และการเวียนว่าย แต่ถ้าเราเจออะไรแล้วให้เป็นกลาง เย็น วาง สงบ จบ เป็นธรรมะ ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรร้าย ไม่มีอะไรชอบ ไม่มีอะไรชัง ทุกอย่างคือธรรม จบไหม พ้นทุกข์ไหม แต่มนุษย์เห็นแล้วอดไม่ได้ เห็นแล้วยอมไม่ได้ เห็นแล้วอยาก เห็นแล้วโกรธ เห็นแล้วหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความโกรธ ความอยาก ความโลภ ความหลงจึงเป็นจิตใจที่ไม่เป็นกลาง เป็นจิตใจที่ไม่สงบ ไม่จบ เป็นจิตใจที่ไม่วางและเป็นจิตใจที่ไม่เห็นถึงธรรมแล้วยอมรับความจริง ฉะนั้นถ้าอยากเป็นคนดีจงรู้กาย รู้ใจ รู้จิต รู้ตน เเละยอมรับความจริงอย่างเป็นกลาง สงบ วาง จบ เย็น ถ้าทำได้ความดีจะนำพาให้ท่านพบความเป็นพุทธะในตัวตน ความเป็นกลางเรียกว่าความปกติ ถ้าเราเป็นกลางปกติ ไม่ต้องรักษาศีลเราก็มีศีล เมื่อเจออะไรสงบ จบ ไม่ต้องนั่งสมาธิเราก็มีสมาธิ เมื่อเราเห็นอะไรรู้เเจ้งเเจ่มชัด ปกติสงบวางเย็น นั่นคือมีภาวนาปัญญาเข้าถึง ยากไหม
ฉะนั้นคำว่าเป็นพุทธะ จึงมีคำว่า เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เท่านั้นเอง ถ้าทำได้ก็จบ จบกรรมด้วย สิ้นทุกข์ด้วย ที่เหลือมีชีวิตต่อไปคือเเค่ใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ เเต่มนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่ เจออะไรอยากดีเเล้วก็หวังคนอื่นอยากดี แต่ความหวังอยากดีนั้นกลายเป็นโลภ กลายเป็นเกลียด กลายเป็นยึดมั่น ผลที่สุดก็หนีไม่พ้นทุกข์ การเวียนว่าย การต่อล้อต่อเถียง เหมือนเราจะกล่าวสุดท้ายว่าถ้าความสุขของเราคือการทำร้ายคุณธรรมผู้อื่น คือการเบียดบังความสุขของผู้อื่น เเละจับผิดผู้อื่นอยู่ร่ำไป นั่นไม่ใช่หนทางความสุขเเล้วไม่สามารถเรียกตนเองว่าคนดี คนที่ดียอมรับทุกสิ่ง เหมือนนิ้วยังไม่เท่ากัน แล้วชีวิตจะเท่ากันหรือ เเล้วคนจะเท่ากันหรือ เเล้วความไม่เท่ากันนั้นคือธรรมใช่ไหม
ยอมรับได้ วางใจได้ เย็นได้ เป็นกลางได้ สงบได้ จบ ศีลสมาธิปัญญาอยู่ที่ตัวเรา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมตรงไหน ที่ตัวเรานี้และทุกที่ก็ปฏิบัติธรรม และทุกคนก็สอนให้เราปฏิบัติธรรม ไม่เรียกร้องใคร ทำที่ตัวเรานี้ ดังคำกล่าวว่า จิตใจเป็นรากฐานของชีวิต ถ้าใจซื่อตรง ใจดีงาม ชีวิตก็ซื่อตรงดีงาม แต่ถ้าใจเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น โลภ โกรธ หลง ชีวิตก็หนีไม่พ้น เวรกรรมและการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นเรากำลังแค่บอกทางอีกทางหนึ่งที่ท่านตอนแรกไม่อยากจะเอา แต่จริงๆ เป็นทางที่ง่ายที่สุดที่ท่านน่าจะเอา จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องขอบคุณเราแต่เราควรจะขอบคุณท่าน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับทุกท่าน
อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง เริ่มต้นจากความดี ความดีมีคุณค่า มีพลังอันดีงามมหาศาล แต่อยู่ที่ว่า เข้าใจความดีและมุ่งมั่นทำดีหรือยัง เพราะความดีเป็นรากฐานของบุญกุศล คุณธรรมและหนทางแห่งความเป็นพุทธะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ไม่เชื่อเราไม่เป็นไร แต่เชื่อในความดีของตัวท่านเอง ว่าความดีนั้นยิ่งใหญ่ได้ ขอแค่เพียงท่านไม่ดูถูกคุณค่าตัวเอง และหลงไปทำผิดตามกิเลสอารมณ์ตัวเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก




วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                        สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ปราชญ์ไม่กลัวว่าตนผิดรู้แก้ไข         มีสิ่งใดก็กล้ามองย้อนดูตัว
ถูกหรือผิดก็เห็นชัดไม่พันพัว              ยิ่งรู้ตัวก็ยิ่งกล้าแก้ไขไว
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน
                                      อยากให้อาจารย์อยู่ร่วมผูกบุญสัมพันธ์ไหม

  เดินทางผิดยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย           เดินจนเมื่อยก็ยังไปไม่ถึง
ทั้งทิฐิมานะฉุดรั้งดึง                      เอ็นขาตึงจบไม่แจ้งทางเบื้องบน
ตรวจสอบตนก้าวย่างเส้นทางไหน       ทำอะไรคือใครบนถนน
รู้จักตัวไม่ต้องกลัวจะอับจน              รู้จักตนว่าผิดรีบแก้ไขตัว
ยากลำบากเป็นเรื่องปกติ                 มีสติมีปัญญาคอยคุ้มหัว
มีหิริโอตัปปะไม่ต้องกลัว                  กิเลสยั่วสังคมยุกดไม่ลง
เดินทางธรรมทำหน้าที่ตนให้ดี           ชีวิตมีเป้าหมายไม่เดินหลง
บำเพ็ญธรรมด้วยใจที่มั่นคง              เมื่อมุ่งตรงจงพากเพียรในทุกกาล
จงศึกษาธรรมะให้ต่อเนื่อง               ให้ฟูเฟื่องให้ดวงจิตให้ห้าวหาญ
เพื่อฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณ              ด้วยเบิกบานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
                                                                        ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

จะเล่นก่อนหรือจะคุยธรรมะก่อนดีระหว่างเลขหนึ่งกับเลขสามอะไรมีค่า มากกว่ากัน ไหนใครว่าเลขหนึ่งยกมือขึ้น ไหนใครว่าเลขสามยกมือขึ้น คนที่มีเลขสามรู้สึกจะน้อยกว่าเลขหนึ่งนะ
อย่างนั้นให้คนข้างหน้าช่วยตอบดีกว่าว่าจะถูกใจอาจารย์ไหม เมื่อสักครู่ศิษย์เลือกเลข 1 หรือเลข 3 (เลขสาม)  ทำไมถึงมั่นใจว่าเลข 3 มีค่ามากกว่าเลข 1 ปกติ 3 ต้องมีค่ามากกว่า 1 ใช่ไหม แต่ทำไมบางคนกลับบอกว่าฉันต้องเป็นที่ 1 ไม่ใช่ที่ 3 ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าบางครั้งถ้าศิษย์อยู่ในโลก อย่าให้ปรากฏการณ์ที่มีอยู่เเค่คิดได้จำกัดจำเขี่ย เเล้วบอกว่ามันมีคุณค่าเเค่จำกัดจำเขี่ยที่ตนเองคิดได้ ถูกไหม (ถูก)  ที่หนึ่งไม่ได้ได้ที่สาม ทำไมฉันไม่เป็นที่หนึ่ง เเต่ถ้าเกิดให้แอปเปิลหนึ่งลูกกับให้แอปเปิลสามลูกชอบอันไหนมากกว่ากัน (สามลูก)  เเต่ถ้าเกิดสมมติว่าเขาเดินมาเเล้วอาจารย์หยิบผลไม้มาให้เขาเป็นคนที่หนึ่ง เเต่เราได้เป็นคนที่สาม เราพอใจไหม (พอใจ)  ใช่หรือ ทำไมไม่ให้ฉันก่อน บางทีได้หนึ่งเหมือนกันเเต่ทำไมฉันได้ทีหลัง แต่เขาได้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เเท้จริงเเล้วหนึ่งหรือสามอะไรมีค่ามากกว่ากัน ถ้ามนุษย์คิดได้อย่างนี้ตลอดก็คงไม่ถูกเหตุการณ์ในโลกปั่นหัวจนต้องเป็น ทุกข์ จริงไหม (จริง)  บางครั้งเรายืนตำเเหน่งหนึ่งหรือยืนตำเเหน่งสามมันก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ถ้าเรามองออกคิดได้ จริงไหม (จริง)  เเต่บางคนรับไม่ได้ ทำไมฉันต้องเป็นที่สาม ทำไมฉันไม่เป็นที่หนึ่ง หรือทนไม่ได้ทำไมฉันได้เเค่หนึ่งเเต่เขาได้สาม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าเเท้จริงเเล้วไม่มีอะไรมากกว่าอะไร เเต่อยู่ที่ว่าตอนนั้นอะไรเกิดขึ้นเเล้วทำให้เรารู้สึกว่าอะไรมากหรือน้อยไป เท่านั้นเองจริงไหม (จริง) เหมือนตอนนี้ดูเหมือนว่าในห้องนี้อาจารย์ดูเหมือนใหญ่ที่สุด แต่พอผ่านเวลาไปอาจารย์หรือตัวศิษย์ไม่มีใครสูงไม่มีใครต่ำ ฉะนั้นเมื่อมนุษย์เรามองได้เช่นนี้และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณค่า เท่ากัน อาจารย์ถามว่าความทุกข์ความสุขมันจะบีบใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเรารู้จักมองให้มันกว้างๆ อย่ามองอย่างตายตัว อย่ามองแต่แค่ตามความรู้ที่เขาเล่าสืบๆ ต่อกันมาหรือสิ่งที่เข้าใจตามๆ กันมา ศิษย์เชื่อคนง่ายไหม ขนาดคนในบ้านพูดอะไรเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)  แต่อาจารย์แปลกใจ หมอดูไม่รู้ว่ามีวิชาหรือเปล่า แต่เชื่อ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความทุกข์ของมนุษย์อีกอย่างคือชอบเดาใจคนอื่น อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ถูกใจ
ศิษย์ของอาจารย์ในที่นี้เคยยอมรับผิดบ้างไหม (เคย, เคยเป็นบางอย่าง)  เคยเป็นบางอย่าง แต่กว่าจะยอมรับผิดได้นี่นานเลยใช่ไหม  มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า มนุษย์กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย แต่พุทธะไม่กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย แต่ท่านกลัวการเกิด สิ่งที่น่าเศร้ามากที่สุดของมนุษย์ที่พระพุทธะมองเห็นก็คือ มนุษย์โดยส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้ายอมรับผิด และอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ชอบเป็นผู้แพ้ และอีกอย่างหนึ่งที่น่าเศร้าก็คือ ไม่ค่อยชอบยอมก้มหัวให้ใคร จึงทำให้เรื่องบางเรื่องจากที่ง่ายๆ ก็กลายเป็นเรื่องยาก เพราะว่าผิดไม่ได้ แพ้ไม่มี ยอมไม่เป็น แต่ถ้าเราอยากก้าวหน้าขึ้น เราอยากเรียนรู้มากขึ้น เราอยากเข้มแข็งมากขึ้น เราต้องกล้าผิด กล้ายอม กล้าแก้ไข แต่ศิษย์สังเกตดูได้ คนในโลกผิดไม่ได้ ยอมไม่เป็น แพ้ไม่มี สังเกตว่าคนพวกนี้อยู่ในโลกแล้วเป็นอย่างไร เป็นคนที่ไปอยู่ไหนก็ไม่มีใครเอา ไม่มีใครรัก เพราะแพ้ไม่เป็น ผิดไม่ได้ ยอมไม่ได้ อย่างนั้นตัวเราเป็นแบบนี้บ้างไหม (ไม่เป็น, เป็นบางที)  เป็นไหม (เป็น)  กล้ายอมรับก็ดี แต่มักจะยอมรับตอนไหน ตอนที่เสียใจไปแล้ว ไม่น่าทำเลยศิษย์ บางคนมักจะถามอาจารย์ว่า เราอยู่ในโลกเป็นคนดีก็พอแล้ว จะต้องปฏิบัติธรรมอะไรนักหนา เป็นคนดีก็พอแล้ว จะปฏิบัติธรรมอะไรเยอะแยะ บุญก็ทำ แล้วยังต้องปฏิบัติธรรมฟังธรรมอะไรอีกเยอะแยะ ไม่ไหวแล้วแค่นี้ชีวิตก็ยุ่งแล้ว แล้วอาจารย์ถามหน่อยคนดีทั้งหลายเอ๋ย ศิษย์เคยเห็นคนดีบางคนไหมที่ประเภทแบบว่า ถ้าคนนี้ชอบกลุ่มนี้ชอบ  ดีใจหายเลย แต่ถ้ากลุ่มนี้ไม่ชอบเป็นยังไง (ไม่ชอบ)  เคยไหมคนดีบางคนเวลารู้สึกดี เขาก็ทำดีได้ที่หนึ่งเลย แต่คนดีถ้าบางทีรู้สึกแย่หรือเกลียดใคร คนดีนั้นก็พร้อมที่จะทำร้ายได้เป็นที่หนึ่งเหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าจิตใจดีศิษย์ก็ทำดีกับคนๆ นั้นได้เต็มที่ถูกไหม แต่ถ้าจิตใจแย่ศิษย์ ก็เกลียดคนนั้นได้เต็มที่ อาจารย์ถามง่ายๆ สมมติว่าคนดีประเภทหนึ่งที่อาจารย์เคยเจอเคยเห็น อย่างเช่นตอนนี้มีคนบอกว่า มีซองกฐินมาอยากทำบุญไหม มีเงินทำก็ดีนะ หนูก็ดีนะอาจารย์แต่ช่วงที่ดีก็แบบว่า มาอีกแล้วหรือ ตอนนี้ก็ร่อยหรอเต็มที่แล้วนะ ยังมาอีกแล้วหรือ แล้วบางทีอ้าวเขาใส่ซองกันไม่ใส่หรือ เขาใส่กัน เริ่มหงุดหงิด แล้วก็ควักออกมาใส่อย่างเกรงๆ เอาไปยี่สิบเต็มที่แล้วนะ ถามว่าดีไหม จริงๆ เขาก็ดี แต่อาจารย์จะบอกให้ทำไมอาจารย์ถึงยกตัวอย่างแบบนี้ ทำไมอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ศึกษาและปฏิบัติธรรม เพราะการศึกษาและปฏิบัติธรรมสอนให้เรารู้จักฝึกจิต เพราะจิตที่ยิ่งฝึกมาดีแล้ว เมื่อเจอความเป็นจริงในโลกมันจะไม่ทุกข์ แล้วก่อเกิดเป็นกิเลสหรือก่อเกิดเป็นคนดี อันธพาลฟาดหัวฟาดหางใคร เพราะจิตที่ฝึกมาดีแล้ว จิตที่ฝึกธรรมมาดีแล้ว จิตที่อบรมธรรมมาเข้าใจแล้ว มันจะทำให้เราพอเจอความเป็นจริงของโลก ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส ไม่ก่อเกิดเป็นบาป ไม่ก่อเกิดเป็นทุกข์และทำร้ายใคร
อย่างนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องอบรมธรรม เพราะการอบรมธรรมก็คืออบรมจิต ให้รู้แล้วยิ่งรู้ยิ่งขึ้น ให้ตระหนักชัดแล้วให้กระจ่างถ่องแท้ขึ้น ในโลกใบนี้ ทุกสิ่งที่เราอยู่ล้วนมีธรรมชาติ และในธรรมชาตินั้นมี   สัจธรรมอยู่ ฉะนั้นสัจจะคือแกนคือใจความสำคัญของธรรมชาติของทุกชีวิต ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแกนหลัก ถ้าเราเข้าใจในหลักของธรรมชาติของชีวิต เราก็จะสามารถนำพาชีวิตได้ถูกต้อง นอกจากนำพาชีวิตได้ถูกต้อง เราก็จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับชีวิตอื่นได้อย่างสดชื่นแจ่มใส
ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรมก็คือทำให้เรามองเห็นว่า ในทุกสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติมีสัจธรรม ถ้าผู้ใดเห็นแจ้งในสัจธรรม ผู้นั้นจะกล้ายอมรับความเป็นจริงของโลกใบนี้ แล้วไม่ทุกข์ อาจารย์ถามง่ายๆ ในตัวเรามีแก่นไหม ในตัวเรามีใจหลักไหม (มี)  มีใจ ฉะนั้นในแก่นใจนี้ ถ้าเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธรรม และในทุกสิ่งก็มีแก่นที่ใจเหมือนกันคือธรรมเหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  ในเก้าอี้ ในโต๊ะ ในผลไม้ ก็มีแก่นที่เป็นธรรมอยู่เหมือนกัน และธรรมนี้ที่ทำให้เราสามารถ ถ้าเข้าใจหนึ่งก็จะรู้ถึงสรรพสิ่ง ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่เราเรียนรู้ศึกษาธรรมแล้วเข้าใจแก่นแห่งหลักสัจธรรม เราก็จะเข้าใจชีวิตทุกชีวิต และเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ฉะนั้นเมื่อความเป็นจริงมาถึงเราก็จะไม่ทุกข์ ถ้าอาจารย์ถามว่า แล้วอะไรคือแก่นหลักสัจธรรมที่ถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะอยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ (การปล่อยวาง การทำใจเป็นกลาง)  ระหว่างปล่อยวางกับทำใจเป็นกลางอันไหนใช่ ศิษย์เอยใครที่ตอบปล่อยวางคิดให้ดีๆ เพราะสัจธรรมชีวิต ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ถ้าเราปล่อยวางเเปลว่าเรากำลังยึดไม่ยอมรับความจริง ไม่เข้าใจ      สัจธรรม อย่างนั้นคำว่าปล่อยวางกับเป็นกลางอะไรถูกกว่ากัน (เป็นกลาง)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้ธรรมะ อยากหาทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่เเสวงหาจากภายนอก ไม่ใช่คิดเอาเเต่พึ่งคนอื่นเเต่ต้องเเก้จากภายในเเละพึ่งที่ตนเอง เพราะความทุกข์เกิดขึ้นในความคิด ใครจะหยุดความคิดเราได้นอกจากเข้าใจ เหมือนศิษย์คิดเลขหนึ่งบวกหนึ่ง ศิษย์ตอบได้ทันที ไม่ต้องคิดเพราะว่าเข้าใจจนกระจ่าง เเต่ถ้าหนึ่งบวกสี่ลบห้าหารหกหารเจ็ดหารแปดหารเก้า เป็นเท่าไหร่ ถ้าต้องคิดเเปลว่าเราไม่เข้าใจ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจ ทำไมต้องคิด ถ้ายังคิดเเปลว่าไม่เข้าใจ ฉะนั้นถ้าเข้าใจเเล้วเราจะคิดให้ทุกข์ไหม (ไม่) 
มีใครตอบอาจารย์ได้อีกเรื่องสัจธรรมชีวิตที่จะทำให้เรายอมรับความเป็นจริงในโลกนี้ได้เเล้วไม่เป็นทุกข์คืออะไร 
การยอมรับหรือ การฝึกจิต การเดินทางสายกลาง ทำใจเป็นกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)  มัชฌิมาปฏิปทา แล้วตอนนี้เราเดินกลางหรือเราเดินเอียง
เมื่อสักครู่ศิษย์ตอบว่าทางสายกลางใช่ไหม แล้วศิษย์ว่าการเดินทางสายกลางบนโลกใบนี้ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  ส่วนใหญ่เราจะรักลำเอียงกัน โลกใบนี้มีสองด้านเสมอ จะให้ศิษย์เป็นกลางมันยาก ใช่ไหม (ใช่)  มีหน้ามือก็มีหลังมือ มีด้านหน้าก็มีด้านหลัง ถ้าอาจารย์ถามว่า ถ้ามนุษย์ปกติไม่ทำอะไร เป็นกลางไหม (ไม่กลาง)  ที่บอกว่าไม่กลางเพราะยึด กำลังยึดติดอดีตอยู่เพราะอดีตไม่ค่อยกลาง แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าเดี๋ยวนี้ตรงนี้ เรากลางไหม (กลาง)  เราเป็นกลางระหว่างหน้ากับหลัง เราเป็นกลางระหว่างขุ่นกับใส เราเป็นกลางระหว่างนอกกับใน เราเป็นกลางระหว่างเธอกับฉัน ใช่หรือไม่ จริงๆ ถ้าเราไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนเป็นกลางอยู่แล้ว แต่เมื่อไรที่เอาตัวเองเข้าไปใส่แล้วเกิดการเปรียบเทียบ เริ่มไม่กลาง ใช่ไหม (ใช่)  เช่นนั้นเราจะมัวมีชีวิตจมอยู่กับตรงนี้หรือจะเลือกมองให้กว้างๆ (มองให้กว้าง)  เราจะมัวจมอยู่กับความคิดความรู้สึก ฉันผอมกว่า หุ่นดีกว่า ฉันมีสุขกว่า หรือเราควรจะมองแค่ตรงนี้ ชีวิตก็เหมือนกันศิษย์ จริงๆ เรามีความเป็นกลางอยู่ทุกขณะ แต่บางครั้งสถานการณ์มันหลอกเรา หลอกเราให้เราหลงว่า นี่คือสุข นี่คือทุกข์ แต่ถ้าศิษย์มองความเป็นจริงที่เรียกว่า “สัจธรรม” สัจธรรมสอนว่า ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร แต่ที่เรารู้สึกสูงต่ำเพราะเราเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่จนไม่มองความจริง เหมือนตอนเราอยู่กับสามีเราทุกข์ แต่เมื่อใดเราออกไปอยู่กับเพื่อนได้ไปเที่ยว มีความสุข อยู่กับแม่มีความทุกข์ แต่พอไปอยู่กับเพื่อนมีความสุข ฉะนั้นเมื่อไรที่จิตยังกวัดแกว่งไปตามสถานการณ์แล้วเกิดได้ เรียกว่า เกิดยินดียินร้าย เกิดสุขทุกข์ นั่นเรียกว่าห่างไกลจากสภาวธรรมความเป็นจริง และหลงใหลไปตามกิเลสที่เรียกว่า ชอบ ชัง ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เริ่มมาเต็มไปหมดเลย แต่ถ้าเราเข้าใจสภาวธรรม เราก็จะมองว่า เท่านั้น แค่นั้น จิตก็เป็นกลาง แต่มนุษย์อดไม่ได้ ชอบเอาตัวเองไปใส่ เมื่อเอาตัวเองไปใส่ที่ดวงตา ก็เริ่มบอกแล้วว่าอันไหนสวย อันไหนไม่สวย เมื่อเอาตัวเองไปใส่ในหู เกิดอันไหนเพราะ อันไหนไม่เพราะ เมื่อเอาตนเองไปอยู่กับปาก เกิดมีอะไรอร่อย ไม่อร่อย เเต่ลองถอดตนเองเเล้วมองตามจริง ถอดตนเองออกจากหูเเล้วฟังตามความเป็นจริง อะไรคือคำชื่นชมอะไรคือนินทา เเล้วชื่นชมดีกว่านินทาหรือ หรือนินทาเเย่กว่าชื่นชมไหม ถูกไหม (ถูก) 

(พระอาจารย์เมตตาให้นำกระดาษเเล้วจุดสีดำกลางกระดาษ) 


  

เห็นอะไร (จุด,กระดาษ)  มนุษย์ชอบเป็นบ่อยๆ เวลามองเห็นอะไร ส่วนใหญ่สิ่งที่เห็นที่สุดคือเห็นจุดดำตรงกลางกระดาษ เเต่เราลืมสีขาวที่เหลือข้างๆ จุดดำไหม เหมือนกับบางคนเจอทุกข์เเล้วทนไม่ได้เขาทิ้งหนูเขาทำร้ายหนูเขาด่าหนูหนูจะตาย ใช่ไหม เรามัวเเต่เห็นจุดดำจนลืมคุณค่าความขาวที่เราเหลืออยู่ในชีวิตหรือไม่ เรามัวเเต่หลงกับสถานการณ์ที่ผ่านเเล้วจบไปแล้ว และยังจมอยู่กับความทุกข์ เหมือนตอนนี้อาจารย์ถามว่าสุขหรือทุกข์ ถ้าจมอยู่กับอดีตก็จะบอกทั้งสุขทั้งทุกข์ เเต่รู้สึกจะทุกข์มากกว่าสุข เเต่ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมว่า น้ำไหลผ่านจึงก่อเกิดบริสุทธิ์ เเต่ถ้าน้ำเอาเเต่ขังไว้ย่อมเน่าเหม็น ชีวิตเมื่อล่วงผ่านไปแล้วจะเก็บไว้ให้เน่าเหม็นหรือเรียนรู้เข้าใจ (เรียนรู้)  จริงหรือ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าการเก็บความดีของคนอื่นไว้   จนลืมนึกถึง แล้วเอาความไม่ดีมาด่าเอามาบ่นเอามาว่า มันคือการจองเวรจองกรรม เกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น เราอยากเป็นอย่างนั้นหรือ (ไม่อยาก)  ไม่อยากแล้วเราเป็นไหม (เป็น)  เวรคือการกระทำที่ยืดเยื้อ บุญคือการชำระล้างเพื่อกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ กุศลคือเครื่องชำระล้างกิเลสจนไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ฉะนั้นที่ผ่านมาเรากำลังแบกบุญหรือแบกบาป เรากำลังแบกกรรมหรือแบกเวร ไม่อยากเกี่ยวกรรมแต่ทุกวันที่กระทำอยู่คือเกี่ยวกรรม ฉะนั้นมือหนึ่งเราสร้างดี แต่หนึ่งเราก็เกี่ยวกรรมบาป ฉะนั้นจะบอกว่าคนดีไม่มีบาปไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนกินลูกแอปเปิลหรือสาลี่)
ถามว่ากินแล้วมีทุกข์เหมือนกัน กินไหม (ไม่กิน) เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ของความเป็นจริงในโลก เราก็คงแค่เห็นแล้วก็แค่นั้นแล้วก็ไม่ยุ่ง เพราะรู้อยู่ว่าถ้าไปจับไปยุ่งกับมัน มันจะเป็น (ทุกข์)  อย่างนั้นถ้าเราเข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์เอ๋ยสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ถามว่าในตัวเราถ้ามันเป็นทุกข์เอาไหม (ไม่เอา)  ยึดไหม (ไม่)  รักไหม (ไม่รัก)  หวงไหม (ไม่หวง)  โม้ทั้งเพ จริงไหม อาจารย์บอกให้ว่าเอาเถอะ กินแล้วมันมีทุกข์ แต่ศิษย์อย่าลืมนะ พระพุทธะบอกว่า ที่ใดที่มีทุกข์ที่นั่นมีทางดับทุกข์ ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีทางพ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าใจคือที่ที่มีทุกข์ แต่ใจก็คือที่ที่พ้นทุกข์ อย่างนั้นตอนนี้ถ้าใจศิษย์ทุกข์งั้นใจศิษย์ก็คือทาง (พ้นทุกข์)  ถ้าใจศิษย์กำลังเจ็บใจศิษย์ก็คือทางออกของความทุกข์ ถูกไหม แต่ศิษย์ต้องแยกให้ออกว่า เป็นทุกข์แห่งความเป็นจริงของสังขาร หรือเป็นทุกข์ของความรู้สึก ทุกข์ของความคิดที่ไม่มองความจริง เหมือนตอนนี้ถ้าโดนอาจารย์ตีดังโป๊ะ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์ตรงไหน อย่างนั้นถ้าเรามองออก มองความเป็นจริง ศิษย์ต้องมองความเป็นจริงก่อนว่า ในตัวนี้มีอยู่สองส่วน หนึ่งสังขาร สองจิตเดิมแท้ สังขารหนีไม่พ้นสัจจะความเป็นจริงคือ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  รู้นี่ เป็นเพียงสังขาร ฉะนั้นเราหนีความแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  เราหนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  เราหนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อความทุกข์ของความแก่เจ็บตาย ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก ต้องแปรเปลี่ยนไปคือส่วนหนึ่งของชีวิต ฉะนั้นถ้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแปลว่าสังขารเราต้องเจ็บ สังขารต้องตายเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  สังขารต้องแก่เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  แต่ถึงเวลาธรรมดาไหม (ไม่)  ฉะนั้น ถ้าอาจารย์บอกว่าศิษย์ลองเอาตัวเองออกมามองสังขารสิ เจ็บเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ตายเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  แต่เมื่อใดที่เราเริ่มเอาตัวไปยึดสังขาร เจ็บมันเริ่มไม่ธรรมดา ตายมันเริ่มไม่ธรรมดา แล้วถึงที่สุดเราหนีความเจ็บความตายได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้แล้วเราจะเจ็บใจซ้ำไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นเราควรจะเจ็บแค่กายแต่อย่าเจ็บใจ แก่แค่กายแต่ใจอย่าแก่ กายแก่แต่ใจยังสาวอยู่ แต่ทำไมเวลาความเจ็บมาไม่คิดแบบนี้บ้าง กายหนูเจ็บ แต่ใจหนู (ไม่เจ็บ)  ได้ไหมมันยากอาจารย์ มันอยู่ติดมาตั้งนานแล้ว
อาจารย์บอกให้ว่า จริงๆ แล้วพระพุทธะกล่าวว่า สมมติว่าจิตหรือที่ศิษย์เรียกว่าวิญญาณนี้ มันออกจากร่างกายไป เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าศพ หรือเรียกให้เพราะๆ คือ สังขารที่ไร้วิญญาณ หรือเรียกตามธรรมะคือ กองทุกข์ ฉะนั้นเมื่อจิตออกไป ร่างกายนี้จะโดนคนเผา เจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จะโดนคนตีเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จะโดนคนทำร้ายปวดไหม (ไม่ปวด)  แต่เมื่อไรเอาจิตญาณใส่เข้าไป เริ่มเจ็บ เริ่มปวด เริ่มรู้สึกสุขทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าจิตญาณนี้ ท่านยังสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า นอกจากเรียกว่าความรู้สึก ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจิตญาณ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าจิตญาณนี้มีความพิเศษอย่างหนึ่งเรียกว่า ธาตุรู้ รู้ที่เป็นรู้ตัวเดียวกับรู้ที่เรียกว่าพระพุทธะ พุทธะคือผู้รู้ตื่น รู้เบิกบาน อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า ศิษย์เอ๋ยจงดีใจนะว่าจิตญาณที่อยู่ในสังขารนี้ นั้นมีธาตุรู้อยู่ แล้วธาตุรู้ตัวนี้ที่จะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์บนโลกใบนี้ได้ แล้วรู้อย่างไรล่ะถึงจะพ้นทุกข์ ง่ายนิดเดียวศิษย์ รู้ซื่อๆ รู้ตรงกลาง ไม่เพิ่ม ไม่แต่ง อะไรมา ซื่อๆ ตรงๆ ไม่เพิ่ม ไม่แต่ง ไม่ให้ค่า ไม่รัก ไม่ยินดี ไม่ผลักไส ความโกรธมาก็รู้ว่ามี โกรธมา เดี๋ยวโกรธก็ไป มีอยากมา เเล้วอยากก็ไป อย่างนี้แหละ ธาตุนี้แหละ ถ้าเมื่อใดที่รู้ทุกขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วไม่กลายเป็นกิเลส ไม่กลายเป็นโลภ ไม่กลายเป็นโกรธ ไม่กลายเป็นหลง ไม่กลายเป็นตัวตนที่ยึดถือ ทำไม รู้แบบกลางๆ ที่ศิษย์ตอบนี้ รู้แบบซื่อๆ รู้แบบตรงๆ จบรู้แบบเย็นสบาย แต่มนุษย์ไม่ใช่ ต้องโกรธ ต้องอยาก อาจารย์ถามว่าวิ่งไปตามความโกรธ ตามความอยาก ตามความเจ็บเพื่อตัวตนที่ถึงที่สุดเเล้วมันก็ไม่ใช่ของเรา เพราะถึงที่สุดสังขารก็ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ เหลือเเต่จิตญาณ เเล้วเรากำลังจะหาเพื่ออะไร อาจารย์ ศิษย์ยังมีห่วงอยู่ หาเพื่อลูกหลาน หาเเทบตายถ้าลูกหลานไม่ขยัน ก็ถูกหลอกไป เเต่มนุษย์ก็ยังอดไม่ได้ เเล้วเราทำได้แบบนั้นไหม ฉะนั้นถ้าเรามีธาตุรู้อยู่ในตัวเราเเล้วเรารู้ความจริงของโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด โลกนี้ไม่มีทางลวงให้เราหลงได้ เเละใครก็ไม่มีทางลวงหลอกใจเราได้ เพราะเรามีตัวรู้ ตัวรู้ยังเเยกออกไปอีก ถ้าระลึกได้เรียกว่าสติ ถ้ามองเห็นเเจ่มชัดนี้เรียกว่าปัญญา  เเต่เรารู้ถึงขั้นนั้นไหม (ไม่)  เเล้วตอนนี้พอรู้บ้างหรือยัง (รู้แล้ว) 
สิ่งที่อาจารย์พูดยากเกินเข้าใจหรือเปล่า ยากไหม แต่ถ้าอาจารย์พูดว่าทำอย่างไรให้รวย คงสนใจมากกว่า แต่อาจารย์ไม่พูดเรื่องนี้เพราะสิ่งนั้นมันก็ยังทำให้ทุกข์และหนีไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือนอกจากมองเห็นความเป็นจริงในโลกใบนี้แล้ว เราต้องรู้จักควบคุมและรู้เท่าทันกายใจของตนด้วย ถ้ารู้เท่าทันกายใจของตนทุกขณะที่คิด ทุกขณะที่เกิด เราก็จะสามารถควบคุมกิเลสได้ บางทีเราก็รู้ตัวเอง แต่คนบางคนมันก็ไม่ไหว คนบางคนดีก็ดี แต่ถ้าคนบางคนแย่ทำอย่างไร เหมือนกับเวลาเรามองคนแย่ เราเอาแต่มองจุดดำหรือมองกระดาษขาว ทุกวันเราเกลียดคนไหน เราก็เห็นแต่จุดดำตรงนั้น เราเคยเห็นกระดาษขาวเขาบ้างไหม ส่วนคนที่ชอบก็เห็นแต่กระดาษขาว เคยเห็นจุดดำเขาบ้างไหม (ไม่เคย)  แล้วใครที่ทำเราเจ็บปวดมากกว่า กระดาษขาวที่เราลืมเห็นจุดดำ  ส่วนจุดดำเราเกลียดอยู่แล้ว มันไม่เจ็บแล้วมันชาชินแล้ว
ถ้าอาจารย์พูดว่า “ยิ้ม” ศิษย์ก็ยิ้ม อาจารย์พูดว่า “ผงกหัว” ศิษย์ก็ผงกหัวได้ไหม เอาอย่างนี้ลองดูนะ หนึ่งสองสาม ยิ้ม หนึ่งสองสาม ผงกหัว โอ้ว่าง่ายเนอะอย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ เถอะ คนในโลกมันว่าง่ายอย่างนี้ไหม (ไม่)  แล้วการเอาแต่จงเกลียดจงชัง แล้วพอเจอหน้าเกลียดมันเข้าไส้เลยอาจารย์ อย่าให้เห็นเลย ใช่ไหม การผูกความเกลียดมันทำให้เราเป็นสุขไหม (ไม่)  เขาไม่เปลี่ยน อาจารย์ถามว่า เมื่อเขาไม่เปลี่ยน เปลี่ยนเราดีไหม (ดี)  เมื่อเขาไม่แก้ แก้เราดีไหม (ดี)  แก้ด้วยการยังมุ่งจับผิดเขาหรือว่ามุ่งเลิกมองเขาดี (ไม่มอง)  ไม่มองไม่แคร์ ช่างหัวมันใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสองคน ที่มีคนอ้วนเเละคนผอมออกมายืน)
ช่วยกันหน่อย เอามายืน เห็นชัดดี ถ้าเป็นอย่างนี้ ชอบใครเกลียดใครดี ชอบใคร ชอบคนนี้ เกลียดคนนี้ดีไหม (ไม่ดี)  งั้นเกลียดคนนี้ดีไหม (ไม่ดี)  งั้นอาจารย์ถามหน่อย ที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เกลียด ศิษย์กำลังเอาเขาไปเปรียบกับอะไร ที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ไม่ชอบ ศิษย์กำลังมองแค่ความอ้วนผอมตรงนี้ใช่ไหม หรือที่ศิษย์กำลังบอกว่าเกลียดมันจังเลย เพราะศิษย์กำลังเปรียบอะไร ศิษย์กำลังยึดอะไรในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเปลี่ยนเขาได้ไหม (ไม่ได้)  เธอผอมเกินไปแล้วนะ อ้วนหน่อยเถอะ เธอผอมหน่อยเถอะ เยอะไปแล้วใช่ไหม ตอนนี้เรากำลังยึดติดอะไรในใจ เเต่ถ้าเราไม่เป็นไร อันนี้ก็ดี จะมีใครเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  จะเกลียดใครไหม (ไม่เกลียด)  จะรำคาญใครไหม (ไม่รำคาญ)  น่าจะรำคาญตนเองมากกว่า ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นที่ศิษย์บอกว่าศิษย์เกลียด ที่ศิษย์บอกว่าเขาไม่ชอบ ถามใจตนเองว่าเขาไม่เกลียดเพราะว่าเราไม่มองความจริง เเล้วเรามัวเเต่ยึดติดเเต่ความรู้สึกความคาดหวังของเราหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ เเล้วน่าเกลียดไหม (ไม่)  เเล้วเราก็จะรู้ว่าในเมื่อเขาก็ไม่ได้น่าเกลียด เขาก็มีดี เเล้วเราจะทุกข์กับอะไร เเละอะไรคือสิ่งที่ยินดี อะไรคือสิ่งที่ยินร้าย อะไรคือทุกข์ อะไรคือสุข ปัญหาทุกข์ทั้งมวลไม่ได้เเก้ที่เขา ไม่ได้เปลี่ยนที่เขา ไม่ได้ไปจับผิดเขา ยิ่งจับผิดก็ยิ่งหาเหตุให้ตนเองทุกข์ยิ่งมองร้ายก็ยิ่งคิดให้เป็นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  เขาทำให้ทุกข์เเล้วคิดอย่างไร เกลียด เกลียดเสร็จก็ด่าเเล้วก็ชิงชังเเล้วก็จองเวร ทำไมเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง จากทุกข์ก็กลายเป็นเวรกรรม ฉะนั้นแบบนี้ก็ (ดี)  แบบนี้ก็ (ดี)  ดีทั้งหมด ฉะนั้นจะบ่นไหมว่าอ้วนเกิน (ไม่บ่น)  จะบ่นไหมว่าผอมไป (ไม่บ่น) 
ฉะนั้นการเรียนรู้ศึกษาธรรมเพื่อฝึกจิตให้ยอมรับความเป็นจริง โดยไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกเรื่อง เเต่มนุษย์ไปอยู่ที่ไหนชอบเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง เอาตนเองเป็นมาตรฐาน เอาตนเองเป็นแกนวัด อันนี้ไม่ไหว อันนี้ก็ไม่ไหว ฉันดีสุด จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นพอเห็นใครก็จับผิดๆ เเล้วผลสุดท้ายใครทุกข์ ตนเองทุกข์ เเล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงกล้าที่จะเรียนรู้ความเป็นจริงแม้ความจริงนั้นจะเกินไปหน่อยก็ตาม หรือแม้ความเป็นจริงนั้นมันจะขาดไปหน่อยก็ตาม เพราะนั่นก็คือความจริง แต่ถ้าเมื่อไรเผลอยึดมั่นก็คือทุกข์ เผลอเกาะเกี่ยวคาดหวังก็คือทุกข์
ฉะนั้นทุกข์ก็คือสิ่งที่หมุนเปลี่ยนไป เปิดใจให้กว้างแล้วมองให้กว้างแล้วมันจะไม่มีอะไรในโลกมาบีบใจศิษย์ให้ทุกข์ ได้แต่ศิษย์จะเห็น มันก็แค่นั้น เท่านั้น ใครด่ามา เสียใจไปแล้วได้อะไร เหมือนทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำ น่าจะยิ้มกับมันนะ ก็ถ้ารู้ว่ามันเป็นทุกข์เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าเป็นทุกข์แบบนี้ คำนินทาก็เหมือนเค้าปามา เราจะเอาใจไปรับแล้วเก็บเอาไว้ให้เน่าใจหรือปล่อยไปแค่นั้น เท่านั้น จบกัน ด้วยสติที่รู้ทัน ศิษย์เอ๋ยต้องมีปัญญาคำด่านี่ บางทีถ้าหลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ก็แค่นั้น เท่านั้นจบ ทำไมต้องให้เจ็บก่อนแล้วค่อยจบล่ะ (ประสบการณ์ครับ)  มนุษย์ก็เป็นแบบนี้จริงๆ นะ ตอนนี้ใช่เจ็บแค่กายแต่บางอย่างมันซึมลึกถึงใจ
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงกล้าที่จะเรียนรู้ความเป็นจริงแม้ความจริงนั้นจะเกินไปหน่อยก็ตาม หรือแม้ความเป็นจริงนั้นมันจะขาดไปหน่อยก็ตาม เพราะนั่นก็คือความจริงแต่ถ้าเมื่อไรเผลอยึดมั่นก็คือทุกข์ เผลอเกาะเกี่ยวคาดหวังก็คือทุกข์
ฉะนั้นทุกข์ก็คือสิ่งที่หมุนเปลี่ยนไป เปิดใจให้กว้างแล้วมองให้กว้างแล้วมันจะไม่มีอะไรในโลกมาบีบใจศิษย์ให้ทุกข์ ได้แต่ศิษย์จะเห็น มันก็แค่นั้น เท่านั้น ใครด่ามา เสียใจไปแล้วได้อะไร เหมือนทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำ น่าจะยิ้มกับมันนะ ก็ถ้ารู้ว่ามันเป็นทุกข์เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าเป็นทุกข์แบบนี้ คำนินทาก็เหมือนเค้าปามา เราจะเอาใจไปรับแล้วเก็บเอาไว้ให้เน่าใจหรือปล่อยไปแค่นั้น เท่านั้น จบกัน ด้วยสติที่รู้ทัน ศิษย์เอ๋ยต้องมีปัญญาคำด่านี่ บางทีถ้าหลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ก็แค่นั้น เท่านั้นจบ ทำไมต้องให้เจ็บก่อนแล้วค่อยจบล่ะ (ประสบการณ์ครับ)  มนุษย์ก็เป็นแบบนี้จริงๆ นะ ตอนนี้ใช่เจ็บแค่กายแต่บางอย่างมันซึมลึกถึงใจ
ศิษย์เอ๋ยบางครั้งถ้ามันเป็นทุกข์แล้วเลี่ยงไม่ได้ หลบไม่ได้ ก็จงรู้จักรับมือและยอมรับความจริง อยู่กับทุกข์โดยไม่ทุกข์ไม่ได้หรือ เหมือนเราถามว่า เราหนีแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  หนีเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  หนีตายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อหนีไม่พ้นก็รับความจริงแล้วสุขกับมัน ฉันแก่แล้วดีอาจารย์ หนูได้เจ็บแล้ว อาจารย์พูดจริงๆ เมื่อความตายมาถึง บางครั้งศิษย์จะรู้ว่า ความตายที่มนุษย์กลัวกันนักกันหนา พระพุทธะกลับสอนว่า มันกำลังจะทำให้ศิษย์เป็นอิสระ และไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ ในโลกอีกต่อไปแล้ว ทำไมเรามองไม่เห็นนะ มันทำให้เราเป็นอิสระ ปลดเปลื้องจากพันธนาการที่เรากลัว บางครั้งความตายไม่น่ากลัว แต่ความตายคือความสุขอันสงบ สำหรับคนที่ปลดปลงและปล่อยวางได้อย่างแท้จริง แต่การยึดติดแล้วห่วงหาอาทร นั่นคือความทุกข์ที่ไม่จบสิ้น ในเมื่อสังขารมันไม่ใช่ของเรา เหลือแต่จิตญาณ แล้วจิตญาณมันมีตัวตนไหม (ไม่มี)  เมื่อไม่มีตัวตนให้ยึดถือ แล้วเรากำลังจะหาอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามว่า ศิษย์เอ๋ยอะไรคือหลักจริงแท้แห่งสัจธรรมที่มนุษย์เข้าใจแล้วจะทำให้เราไม่ต้องทุกข์ มีอะไรบ้าง (ไม่มีกิเลส กฎของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
(ความไม่ยึดติดในตัวตนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นมีตัวตนหรือเปล่า)  ถ้าศิษย์เข้าใจหลักสัจธรรมทุกสิ่งล้วนอนิจจังทุกข์ขังอนัตตา ไม่ต้องพยายามมอง ไม่มีตัวตน มันก็ไม่มีตัวตนอยู่เเล้ว เเต่เรายึดติดว่ารูปมันเป็นรูป เเต่พุทธะบอกว่า “เเท้จริงรูปมีความไร้รูปอยู่” หรือพูดง่ายๆ ในความเกิดมีความตาย
มีใครตอบอาจารย์ได้อีก (รู้จักปล่อยวาง)  เพราะความเป็นจริงแห่งธรรมสอนเราว่า “สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา” เเต่เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเราต้องปล่อย เเปลว่าเราพยายามยึดมันอยู่ ฉะนั้นมันเกิดเเล้วมันก็ดับจบอยู่ทุกขณะ จบเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงบ เเต่ถ้าไม่จบมันก็วุ่นวาย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหยิบผลไม้ในเสื้อพระอาจารย์ แต่นักเรียนหาผลไม้ไม่เจอ)
หาไม่เจอเลยหรือ (ว่างเปล่าเลย)  บางทีสิ่งที่ศิษย์ไขว่คว้าถึงที่สุดเเล้วก็คือความว่างเปล่า เราเหมือนจับได้ เเต่จริงๆ เราจับอะไรไม่ได้ เราเหมือนครอบครอง เเต่จริงๆ เราไม่เคยครอบครองอะไร เพราะทุกสิ่งพร้อมจะเปลี่ยนไปเสมอ เหมือนมีเเต่จริงๆ มันไม่มี เหมือนได้เเต่จริงๆ มันไม่ได้ บางทีศิษย์รู้เรื่องแก่นสัจธรรมแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ยังไม่ถ่องแท้คือ รู้เท่าทันใจตน ใช่ไหม ธรรมะเรารู้เยอะแต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้คือ ไม่เคยรู้ทันใจตัวเอง
(ต้องปฏิบัติ)  ไม่ต้องปฏิบัติ แต่ทำตอนนี้เลย นั่นก็คือ ทำตอนที่โดนกระทบ ไม่ว่าจะกระทบทางตา กระทบทางกาย หรือกระทบทางใจ เราเอาธรรมมาปฏิบัติได้ไหม มันจบแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ตีจบแล้ว ถูกไหม อาจารย์ตีจบแล้ว แต่ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)
ฉะนั้นปฏิบัติธรรมสิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ แต่ที่มันดับไม่ลงจบไม่ได้เพราะว่า ใจเรายังยึดถือ พอยึดถือก็หนีไม่พ้นทุกข์ ทั้งที่จะจบกรรมกัน แต่ไม่จบเกี่ยวกรรมกันต่อไปอีก
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ขันติ วิริยะ”)
อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ลองเอาธรรมะแห่งความเป็นจริงอันนี้ไปใช้ในชีวิตบ้าง ง่ายๆ สั้นๆ เอาไว้เตือนเอาไว้ย้ำจิตใจตัวเองดีไหม ถือเป็นมงคลชีวิตแล้วกัน และเป็นสิ่งคอยเตือนย้ำสติเรา จะได้ไม่เผลอหลงไปกับโลกใบนี้ ดีไหม “ไม่มีสิ่งใดในโลกเป็นของเรา” มาตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำดี เพราะทำดีมันทำให้เราได้อะไร แต่ศิษย์รู้ไหมว่าถ้าทำดีแล้วหวังผล คนที่มาตัวเปล่ายังต้องกลับไปเกิดเวียนวนเพื่อรับผลบุญที่ตัวเองทำ
แต่ถ้าทำบุญไม่หวังผล คนนั้นมาตัวเปล่ากลับตัวเปล่าอย่างแท้จริงไม่ต้องเวียนวนอีกต่อไป ความหมายไม่เหมือนกันนะ ทำเพื่อเอาบุญ หรือทำไม่เอาบุญไม่เอากุศล ถ้าเอาบุญเอากุศลคือการยึดติดตัวตนเพื่อกลับไปรับบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง และยิ่งถ้าเกิดว่าศิษย์ยังไม่สามารถชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ผลที่รับก็จะไม่มาแค่บุญ แต่จะมาทั้งบุญและกรรม แต่ถ้าเราทำจนถึงไม่มีกรรมแล้ว สิ้นกรรมแล้ว ฉะนั้นที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า พูดง่ายแต่ทำจริงๆ ยาก เพราะมนุษย์มักจะหลงลืมสติ เอาตัวเองไปครอบงำทุกอย่างที่ตัวเองมีตัวเองเป็น ทั้งที่จริงๆ ในโลกใบนี้เราไม่เคยมีและไม่เคยเป็นอะไร จริงไหม (จริง)
ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่เมื่อถึงเวลาแล้วเรารับได้จริงๆ หรือ ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ฝึกมันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่รู้จักปล่อยวางบ้าง ศิษย์จะทำใจได้หรือ ถ้าเกิดเรื่องที่ศิษย์ต้องพลัดพราก สูญเสีย ไปเดินเก้าวัดสิบวัดก็ไม่มีใครเยียวยาใจศิษย์ได้ นอกจากตัวรู้ ตัวรู้ในตัวเองแล้วยอมรับความจริง ทุกข์ไป เจ็บไป มันก็แค่สังขาร โกรธไป แค้นไป มันก็คือเวรกรรม แล้วเราจะเกี่ยวสังขารเกี่ยวเวรกรรมอีกนานเท่าไร เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจบหรือ หรือเกิดมาเพื่อเวียนไม่จบ ถามตัวศิษย์เอง เราอยู่กับเขาอยากจบดีหรือจบไม่ดี เราทุกคนก็อยากจบดี ใช่ไหม แล้วชีวิตที่เราทำอยู่นี่ มันคือการจบดีหรือจบไม่ดี มันคือการสร้างเวรสร้างกรรมหรือจบเวรจบกรรม ศิษย์ก็รักตัวเอง อาจารย์ก็รักศิษย์ แล้วมันมีทางหนึ่งที่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ ถ้าคนนี้รู้แล้วไม่บอกคนอื่นให้รู้ก็ใจดำไปใช่ไหม ถ้าอาจารย์รู้ชัดแล้วอาจารย์ไม่บอกให้ศิษย์รู้ชัด อาจารย์เป็นอาจารย์ได้หรือ อาจารย์เป็นพุทธะได้ไหม ถ้าความจริงคืออะไร แต่ไม่มีคนลงไปบอกให้ศิษย์รู้ ศิษย์ก็คงแค่เป็นคนดีคนหนึ่ง ศึกษาไปทำไม แต่ศึกษาแล้วมันทำให้จิตได้ฝึกฝน ได้เข้มแข็ง ได้รับความจริงให้ได้ แต่ที่เราเจ็บปวดอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเรามัวยึดกับสังขาร ยึดกับสิ่งที่มันไม่เที่ยง ทั้งที่จริงๆ มันไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ถูกหรือไม่ ทุกข์มาเยอะแล้วนะ เจ็บมาก็เยอะแล้ว ไม่หน่าย ไม่เบื่อ ไม่หาทางแก้หรือ ไม่มีใครดึงศิษย์ขึ้นจากความทุกข์ได้ นอกจากตัวรู้ของศิษย์เอง



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ขันติ วิริยะ”
    เมื่อกระจ่างว่าสิ่งใดนั้นเป็นคุณ             ขอเกื้อหนุนด้วยพากเพียรวิริยะ
ทนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างมานะ           เอาชนะความอ่อนแอของตนเอง
    ผู้ใดใช้ธรรมขันติ                              สิริมงคลชีวิต
การยอมเป็นทางแห่งมิตร                        ถูกผิดไม่อาจตกลง

ฉะนั้นกลอนนี้อาจจะไม่มีสัมผัสเชื่อมเพราะว่าคนละความหมาย ลองไปอ่านดูเเล้วเดาใจอาจารย์ได้ไหมว่ากลอนไหนคือคำว่าขันติ กลอนไหนคือคำว่าวิริยะ ถ้ามีโอกาสก็ลองมาตอบอาจารย์ คำที่ศิษย์ช่วยอาจารย์วงนั้นได้เป็นกลอน อันบนเป็นกลอนแปด อีกอันหนึ่งเป็นกลอนหก ฉะนั้นความหมายจะคนละความหมายจึงไม่มีสัมผัสเชื่อม
ไม่ว่าศิษย์เจออะไรจงใช้คำนี้ “ขันติ วิริยะ” ให้เยอะๆ อย่าใจร้อน อย่าวู่วาม นิ่งสักนิดหนึ่งก่อนจะไหลหมุนไปตามอารมณ์ ถ้าหมุนไปตามอารมณ์เเล้วก่อเกิดเป็นกิเลสเป็นทุกข์ หยุดดีไหม เเละพากเพียรทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับชีวิตตนเอง เเสงสว่างในใจไม่มีใครจุดได้ ไม่มีใครจุดให้ศิษย์ได้นอกจากตัวรู้ที่เเท้จริงที่เกิดจากสติปัญญาของตัวศิษย์เอง เเล้วตัวรู้ไหนล่ะไม่ใช่รู้เรื่องภายนอกเเต่รู้เท่าทันใจตนเองเเละหยุดที่ตนเองได้ จบที่ตนเองได้ เมื่อเราเย็นทุกคนก็เย็น เมื่อเราสงบทุกคนก็สันติ เมื่อเราเป็นสุขทุกคนก็ เบิกบาน เเต่เมื่อเราไม่เย็นทุกคนก็รุ่มร้อน เมื่อเราเป็นทุกข์ทุกคนก็วุ่นวาย เมื่อเราเจ็บปวดทุกคนก็ทุกข์ทน จริงหรือไม่ ฉะนั้นธรรมจึงสอนให้เราเริ่มที่ตนเอง เเก้ที่ตนเอง รู้ให้ทันด้วยตนเอง วันนี้อาจารย์ไม่ได้พูดเรื่องยาก เรื่องง่ายๆ เเต่ทำได้ก็เป็นมงคลกับชีวิตศิษย์ ถูกหรือไม่
ฉะนั้นวันนี้คงมีโอกาสได้ผูกบุญกับศิษย์เเค่นี้ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้อง จากไปแล้วนะ อาจารย์อยากถามว่าอยากจับมือลาอาจารย์ไหม (อยาก)  อาจารย์ไม่แน่ใจว่าอยากจับมืออาจารย์ไหม เลยต้องถามก่อน อยากจับมือลากันไหม รักษาโอกาสให้ดี เวลาชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน ฉะนั้นทำอะไรจงทำด้วยสติปัญญาที่ไตร่ตรองแล้วถูกไหม สังขารที่เหลือแต่สังขาร ไร้จิตญาณคือเย็น มีโอกาสกลับมาอีกนะ ลองกลับมาศึกษาเพิ่มเติมดูสิ อาจารย์ชวนศิษย์พ้นทุกข์ อาจารย์ชวนศิษย์กลับคืนฟ้า แต่ศิษย์อาจารย์กลับไม่อยากกลับ การกลับคืนฟ้าเบื้องบนสู่ภาวะแห่งความบริสุทธิ์อันนิจนิรันดร ไม่ต้องทุกข์ทนอีก ไม่เอาหรือ เป็นเรื่องเล่นหรือ ชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่น จะทุกข์แล้วทุกข์อีกหรือว่าทุกข์เพื่อพ้นทุกข์ อยู่ที่ตัวศิษย์แล้วนะ ใช่หรือไม่ อาจารย์รู้ว่าบางคนยังไม่อยากได้ ยังไม่อยากยุ่ง แต่ก่อนจะทิ้งตรงนี้ คิดอีกสักทีหนึ่ง ว่าสิ่งที่อาจารย์พูด จริงหรือเท็จ สิ่งที่อาจารย์ให้ไปนั้น มันเป็นหลักธรรมไหม ถ้ามันเป็นหลักธรรม ไม่กลับมาอีกก็จงรู้ปฏิบัติตัวเองให้ดี ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้กิเลสมันเกาะกุมใจจนหลงลืมจิตเดิมแท้ในตัวเอง จิตเดิมแท้ของมนุษย์สะอาดบริสุทธิ์ และเข้มแข็ง แม้จะเจอทุกข์กี่ร้อยกี่พันก็ยังเข้มแข็งและกลับมาสะอาดบริสุทธิ์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครชะล้าง ล้างด้วยตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง อดีตก็คืออดีต ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็เพียงพอ ใช่ไหม เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน มันก็มีแค่วันนี้ จริงไหม (จริง)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ขันติ วิริยะ”
     เมื่อกระจ่างว่าสิ่งใดนั้นเป็นคุณ               ขอเกื้อหนุนด้วยพากเพียรวิริยะ
ทนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างมานะ              เอาชนะความอ่อนแอของตนเอง

     ผู้ใดใช้ธรรมขันติ                                สิริมงคลชีวิต
การยอมเป็นทางแห่งมิตร                          ถูกผิดไม่อาจตกลง



แก้ไขเพลงพระโอวาท
ประชุมธรรมสถานธรรมหงหยัง  จ.เชียงใหม่ 
วันที่ ๒๘-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙
หน้า ๑๓  ย่อหน้าที่สาม  เพลงพระโอวาท
เดิม มุ่งสู่ทางหลุดพ้นจะดีไหม      แก้ไขเป็น มุ่งสู่ทางหลุดพ้นดีไหม


แก้ไขพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
ประชุมธรรมสถานธรรมฮุ่ยอวี้  จ.ขอนแก่น
วันที่ ๒๒-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
เดิม  ยืม  “ที่”  จาก  “เทียน”    แก้ไขเป็น ยืม  “ที”  จาก  “เทียน”

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา