วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

2558-10-31 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี

西元二○一五年歲次乙未九月十九日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมถงซิน  อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

การดูคนอย่าดูเพียงชั่วครู่   ฟังธรรมดูแค่ผิวเผินก็หนีหาย
ต้องศึกษาเรียนรู้จนแจ้งเข้าใจ   อย่าเหมือนชอบแต่กลับไม่ปฏิบัติจริง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

คนหลงในรูปติดยึดพันผูก ต้องมีสุขหลงความมั่นหมายถือ
ทำเพื่อตนตัวมีจนชินมือ ฉับพลันเปลี่ยนหลงยื้อไม่อาจทานทน
ทิฐิครองลืมความจริงใจพร่ามัว เงาสลัวครองสิ่งใดให้สับสน
หวาดหวั่นสุขอาจได้ทุกข์เพราะกังวล อะไรจะเกิดสิ่งทุกข์ทนสลับไป
มีชีวิตใช่ดับเพื่อเกิดเวียนวน กิเลสเป็นวังวนแห่งการเวียนว่าย
ไม่ให้จิตติดพันสตินำใช้ ความอยากได้วิ่งไล่อยู่ที่ตน
ฮา ฮา หยุด

หมอกแห่งปัญหา น้ำตาของคนความทนไม่ได้ หลับตาลงคราใด ดั่งไฟสุมทรวงตามทวงไม่สิ้นสุด 
หมอกแห่งอนธการ  ช่วงกรรมผลาญไหม้ท่วมฟ้าไปหมด ไม่เลิกราไม่ลดเจ้าโกรธผู้ใดใครเป็นคนก่อ 
ศิษย์คนดีศิษย์เอ๋ยช่างน่าสงสาร เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ผูกจิตใจทั้งนั้น วอนศิษย์มีจิตใจห้าวหาญ ด้วยห้าประการ 
*หนึ่งต้องมีสำนึกงามเพรียบพร้อม สองอภัยให้เป็นบุญทาน อย่าโทษคนเลิกเถียงเป็นข้อสาม ตั้งใจไว้ให้นานนาน ข้อนี้ข้อสี่ไม่มองผ่าน ทำบุญบริสุทธิ์จิตที่อยากลดละ ข้อห้านี้ศิษย์ต้องเร่งรีบบำเพ็ญ (ซ้ำทั้งเพลง, *)

ทำนองเพลง :หอบฝัน
ชื่อเพลง :บำเพ็ญห้าประการ

หมายเหตุ ๑ สองคำที่ขีดเส้นใต้ วรรคสุดท้าย พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมกันแต่ง
หมายเหตุ ๒ ชื่อเพลง พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นช่วยกันแต่งชื่อเพลง
หมายเหตุ ๓ พระอาจารย์เมตตานำเพลง ที่เคยเมตตาประทานให้ในงานประชุมธรรมของสายธรรมจิ้นเต๋อ กลับมาศึกษาร่วมกับนักเรียนในชั้นอีกครั้งหนึ่ง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เบื่อฟังธรรมะไหม (ไม่เบื่อ)  ถ้าคุยเรื่องธรรมะต่อ เอาไหม (เอา)  
เราถามหน่อยนะวันนี้มาศึกษาธรรมะ มาเพื่ออะไร (เพื่อหาความรู้)  
เคยถามไหมว่าถูกเรียกให้มานั่งฟังธรรมะ จริงๆ แล้วเรามาศึกษาธรรม
เพื่ออะไร (เพื่อหลุดพ้น เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน)  เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกันเพราะถึงฟังมาเหมือนกันหนึ่งอย่าง แต่ก็ไม่ตรงกันสักอย่าง พูดเรื่องหนึ่งสิบคนก็สิบความเข้าใจ ใช่ใหม (ใช่)  ฉะนั้นเขาเรียกให้เรามาฟังธรรมๆ แต่เราเคยลองถามตัวเองไหมว่าเราฟังไปเพื่ออะไร เพราะเขาบอกว่าที่นี่เป็นที่ของคนบุญ ใครมีบุญต้องมาฟัง เราถามนะ เพราะเห็นหลายคนถูกบังคับให้มาฟัง ฝืนใจมาฟังหรือเต็มใจมาฟัง แต่เคยถามตัวเองไหมว่า เรามาฟังธรรมเพื่ออะไร คำตอบเดิมๆ ที่ชอบพูดกันคือ
ฟังเพื่อความสงบ ส่วนใหญ่คือฟังเพื่อให้เกิดความเข้าใจแล้วไปพ้นทุกข์ 
ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้เข้าใจไปบ้างหรือยัง (เข้าใจบ้าง)  ถ้าเข้าใจแปลว่า ยิ่งเข้าใจมันยิ่งพ้นทุกข์ ยิ่งเข้าใจมันยิ่งสงบ ยิ่งเข้าใจมันยิ่งต้องสบาย
แต่ทำไมวันนี้เราเห็นท่านนั่งฟังยิ่งทุกข์ หมายความว่าที่ฟังมาไม่ได้ใช้อะไรเลย
ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่าขึ้นชื่อว่าธรรม ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่มีมา ไม่มีไป ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข แต่เป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามหลักสัจธรรม นั่นแหละเรียกว่าธรรม ฉะนั้นถ้าอาจารย์คือสภาวธรรมสภาวะหนึ่ง อย่าถามว่าอาจารย์มาจากไหนแล้วไปไหน เพราะธรรมแท้จริงไม่มีมา ไม่มีไป ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เป็นแค่เพียงสภาวะหนึ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามหลักสัจธรรม ฉะนั้นถ้าอาจารย์คือธรรม 
ศิษย์ก็คือธรรม ถ้าทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าทุกสิ่งล้วนคือธรรม ธรรมไม่มีเกิด ธรรมไม่มีดับ ธรรมไม่มีทุกข์ ธรรมไม่มีสุข ธรรมล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามสภาวธรรม ในเมื่อเราก็คือธรรม อาจารย์ก็คือธรรม แต่ทำไมตัวศิษย์เป็นธรรมที่ยังต้องมีเกิด มีแก่ มีทุกข์ มีสุข มีเจ็บ มีตาย ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่ยึดถือธรรมข้อนี้ เราก็เป็นแค่สิ่งที่หมุนเวียนไปตาม
สัจธรรม ถูกไหม แต่ถ้าเมื่อใดเรายึดถือ เราครอบครอง เราจึงได้เรียนรู้ว่า อะไรเกิด อะไรดับ อะไรทุกข์ อะไรสุข อะไรดี อะไรร้าย แล้วก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยที่เรายึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นถ้ามนุษย์หรือตัวศิษย์เองอยากกลับคืนสู่สภาวธรรม พ้นทุกข์พ้นสุขพ้นเวียนว่าย ก็แค่รู้แต่ไม่ยึดถือ 
ก็แค่เห็นแต่ไม่ครอบครอง จบไหม (จบ)  อาจารย์พูดใหม่เพื่อย้ำให้ศิษย์เข้าใจ อาจารย์ก็คือธรรม ศิษย์ก็คือธรรม ขึ้นชื่อว่าธรรม มีเกิดมีดับไหม 
(ไม่มี)  มีไปมีมาไหม (ไม่มี)  เหมือนธรรมชาติของต้นไม้ ต้นไม้กำลังไป ต้นไม้กำลังมา ต้นไม้กำลังเกิด ต้นไม้กำลังดับ มองจริงๆ มีไหม (ไม่มี)  
แค่เป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามสภาวธรรม ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นครอบครอง อาจารย์ยกตัวอย่าง เหมือนเรามองเห็นต้นไม้ ต้นไม้เกิดขึ้นมา เติบโตสูงใหญ่ วันหนึ่งโดนลมพัดโค่นไป เรารู้สึกทุกข์เรารู้สึกสุขอะไรไหม ไม่ ถ้าต้นไม้อยู่นอกบ้าน แต่ถ้าต้นไม้ล้มมาในบ้านหรือถ้าเป็นต้นไม้ในบ้านเรา ทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว แล้วถ้าต้นไม้เกิดผลไม้ขึ้นมา ปัญหาเกิดแล้ว จะเอาผลไม้ที่เกิดขึ้นมาไปทำอะไรดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนไป ถ้าเราไม่เผลอไปยึด ไม่เผลอไปครอบครอง ทุกข์สุขเราก็จะไม่มี แต่อาจารย์ ศิษย์ยังทำไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์กลับสู่สภาวธรรมที่แท้จริง ความเกิดความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ทุกข์หรือสุขก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะเป็นแค่การหมุนเวียนเปลี่ยนผันของสภาวธรรม 
แต่มนุษย์อดไม่ได้ ขอหน่อยหนึ่ง แล้วเวลาทุกข์หน่อยหนึ่ง มันทุกข์หน่อยหนึ่งกับศิษย์ไหม แล้วมันเจ็บแล้วเจ็บอีก ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ทุกข์สุขเกิดที่ไหน เวลามีใครด่าทุกข์หรือสุข ตกลงมันอยู่ที่หน้าเขาหรือใจเรา (ใจเรา ด่าก็ด่าไปเถอะ)  จริงหรือ ทุกข์สุขมันอยู่ที่ใจ เวลาเขาชมที เราก็ยิ้ม เวลาเขาบอกรักเราทีเป็นไง เราก็ยิ้ม เวลาเขาเอาเงินไปทีไม่กลับมาเป็นไง เราก็หน้าอมทุกข์ เวลาเขาบอกรักเราทีเป็นไง เราก็ยิ้ม เวลาเขาเกลียดทีเป็นอย่างไร เราก็ร้องไห้ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  
ฉะนั้นทุกข์สุขเอยอยู่ที่ไหน (ความยึดมั่นถือมั่น)  อาจารย์ว่าเขาตอบได้ดี ตอบได้ถูก อยู่ที่ว่าเรายึดหรือไม่ยึด ถูกไหม (ถูก)  ถ้าไม่ยึดก็เข้าถึงธรรม ถ้ายึดก็ต้องรู้จักทุกข์สุขและเกิดดับไม่จบสิ้น เพราะฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อยึดหรือเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเข้าใจธรรม คิดให้ดีๆ นะศิษย์ ไม่ต้องตอบอาจารย์ตอนนี้ ทุกครั้งที่มีชีวิตถามตัวเองว่า เวลาที่มีทุกข์หนักๆ เราทุกข์เพราะเรายึดหรือ เราจะเข้าใจแล้วเราไม่ทุกข์กับมันอีกเลย เลือกอะไรศิษย์ ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้หลักธรรม สิ่งสำคัญเริ่มต้นคือปรับความคิดให้ถูกต้อง และปฏิบัติธรรมด้วยการพิจารณาธรรมเพื่อเดินไปสู่ความสงบอันแท้จริง ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเรียนรู้หลักธรรม ปรับความคิดให้ถูกต้องและพิจารณาเรื่องราวในโลกให้พบธรรมเพื่อนำไปสู่ความสงบและกระจ่างแจ้ง ไม่ใช่อยู่ในโลกเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เป็นแบบไหนหรือ คิดให้ดีๆ นะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นจริงไหม (จริง)  แล้วเราทำถูกหรือเราทำผิด (ทำผิด ทำถูก)  ใครว่าศิษย์ผิด อะไรๆ มาว่าฉันผิดได้อย่างไร ฉันไม่เคยผิดนะ ถูกไหม
ฉะนั้นศิษย์เอยสิ่งที่รู้ต้องปรับให้ถูกต้อง ถ้ารู้แล้วยังดับทุกข์ไม่ได้ 
ยังตัดทุกข์ไม่ได้ ท่านเรียกว่า “อวิชชา” ถ้ารู้แล้วยังไม่เห็นแจ้งจริง ท่านก็ยังเรียกว่า “ไม่รู้” ฉะนั้นรู้อะไรที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ วันนี้มาฟังธรรมเพื่อรู้จักตัวเองและเข้าใจชีวิตที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)
หลักแห่งสัจธรรม คือหลักแห่งความจริง ฉะนั้นถ้าพูดถึงหลักแห่งความจริง อะไรที่ดี อะไรที่ร้าย มันก็คือความจริงชนิดหนึ่ง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า ศิษย์อยากจะศึกษาธรรมต้องเริ่มต้นปรับความคิดให้ถูกต้อง แล้วการปรับความคิดให้ถูกต้องคืออะไร ง่ายๆ เหมือนเราต้องมองก่อนว่าในโลกใบนี้ มีใครบ้าง มีเรื่องใดบ้างในโลกที่สมบูรณ์ ไม่มีที่ติ มันไม่มี ถูกไหม (ถูก)  อาจารย์ถามใหม่ เราจะปรับเปลี่ยนความคิดให้ถูกต้อง 
เราต้องมองก่อนว่า ในโลกใบนี้นั้นมีความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ไม่มีที่ติ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ถ้าวันหนึ่งเราเจอคนที่น่าเกลียด เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าวันหนึ่งเขาเผยธาตุแท้ออกมาให้เราเห็นว่า เขาน่าเกลียด โกรธไหม (ไม่โกรธ)  เกลียดไหม 
(ไม่เกลียด)  ด่าไหม (ไม่ด่า)  จริงหรือ (จริง)  อย่างนั้นจำไว้นะ จะได้ไม่ต้องมายุบหนอ พองหนอ ขันติหนอ อดทนหนอ ช่างมันหนอ เพราะโลกใบนี้เป็นโลกที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ สิ่งที่เราดูว่ามันมีค่าที่สุด มันก็ยังมีที่ตำหนิ สิ่งที่เราดูว่ามันสวยสุด เราสวยสุดกับอะไร สิ่งที่เราพูดเมื่อตอนนี้ ฉันรวยสุด ฉันเก่งสุดในห้อง แต่ถึงเวลาพ้นห้องไป เราก็ไม่เก่งแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ตอนนี้ฉันเป็นอาจารย์เขา แต่พอพ้นห้องไปคุณก็ไม่ใช่อาจารย์เขาแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นหัวหน้า แต่คุณพ้นตำแหน่งหน้าที่ไป คุณก็ไม่ใช่หัวหน้าแล้ว ฉะนั้นเราจะเผลอยึดติดอะไรได้ไหมศิษย์ ไม่ได้ ใช่หรือไม่  
เราจะเผลอยึดครองว่า เราเป็นอันนั้นตลอดไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะเผลอว่า เขาต้องเป็นแบบนั้นตลอดไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราคิดว่าร่างกายเราต้องแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ทุกสิ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นวันหนึ่งถ้าสิ่งที่สมบูรณ์แบบเกิดพร่อง เกิดหาย เกิดแหว่ง ฉะนั้นเราจะทุกข์แล้วยึดติดกับสิ่งที่เสียไปทำไม ถ้าเรากลับคืนสู่สภาวธรรม อะไรหรือคือสิ่งที่เราต้องยึดให้มันทุกข์ ให้มันสุข ให้มันต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ฉะนั้นเจอใครเกินไปบ้าง อย่าบ่น อย่าถามว่าทำไมสอนกี่ครั้งถึงไม่จำ จะโกรธไหม 
(ไม่โกรธ)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกแล้ว ปรับความคิดให้ถูกต้อง ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร พิจารณาจบ เข้าถึงธรรมเพื่อนำชีวิตไปสู่ความสงบและรู้แจ้งเห็นจริง จึงเรียกว่าเห็นเขาก็เห็นธรรม เขาจะให้กิเลสมา เขาจะให้ความโกรธมา 
เขาจะให้คำแช่งชักหักกระดูกมา ฉันไม่สน ฉันสนอย่างเดียวคือฉันจะให้ธรรมะเขาไป อย่าปฏิบัติธรรมเฉพาะในวัดนะศิษย์ คนเราถ้าปฏิบัติจริง 
เป็นนักปฏิบัติตัวยง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติได้ จริงไหม (จริง)  แต่ลูกศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่อย่างนั้น เราปฏิบัติได้ที่วัด แต่พอเราเจอเขาเราก็ทนไม่ไหว ถูกไหม (ไม่ถูก)  เพราะคนที่ปฏิบัติธรรมได้จริง อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ 
แล้วอย่าลืมบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่คือบุญที่ไม่เฉพาะเจาะจง ถูกไหม (ถูก)  รู้อยู่เต็มอก แต่ทำไมกราบพระกราบแต่องค์นี้เท่านั้น แต่ถ้าพระองค์อื่นไม่กราบ อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)
อีกสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องรู้ไว้ ว่าแก่นแท้ของโลกใบนี้ มันไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ ไม่ใช่อยู่ที่สิ่งของ ไม่ได้อยู่ที่ตัวคน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มและจบอยู่ที่ใจเรา อย่างนั้นทดสอบหน่อยนะ อาจารย์ถามว่า ถ้าเสีย ๑๐๐ ได้ ๕๐ กับ
ได้ ๕๐ เสีย ๕๐ เอาอะไร ฟังให้ดีนะศิษย์ เสีย ๑๐๐ ได้ ๕๐ กับเสีย ๕๐ 
ได้ ๕๐ เอาอะไร และก็มีอีกแบบหนึ่ง เสีย ๑๐๐ ได้ ๕๐ แล้วก็ยังยอมไปเสีย ๕๐ เพื่อจะได้อีก ๕๐ ใช่ไหมแล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  แล้วก็มานั่งทุกข์ใจ อาจารย์จะสอนว่า หลักแห่งความจริงคือ ปรับความคิดให้ถูกต้อง อาจารย์ถามจริงๆ นะศิษย์เอ๋ย ในโลกนี้ ใครได้จริง ใครเสียจริง 
(ไม่มี)  ใช่ไหม  ทุกอย่างที่ศิษย์จะได้กำไรมา ศิษย์ต้องเสียก่อน แล้วศิษย์บอกว่าได้มา มันได้ตรงไหน ทำแทบตายอาจารย์ หนูอยากได้ หนูต้องได้ หนูต้องมี เสียไปตั้ง ๑๐๐ ได้มา ๕๐ ยังดีอาจารย์ อย่างน้อยได้ ๕๐ 
มีความสุขไหม สุข แต่ถามจริงๆ มันคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  ถูกไหม บางทีเสียไป๕๐ ได้กลับมา ๕๐ มีความสุขเสมอตัว มันไม่ได้อะไรเลย ฉะนั้นมนุษย์พยายามอยู่บนโลกเพื่อไขว่คว้าให้ได้มี เพื่อไขว่คว้าแล้วเรียกว่ามันคือสุข 
แต่ถึงที่สุดศิษย์เอย สิ่งที่ศิษย์ว่ามันสุข มันสุขจริงๆ หรือ สิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันได้ เราเคยได้อะไร สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์มี มันอยู่กับศิษย์ไหมจนป่านนี้ 
ฉะนั้นอาจารย์อยากปรับความคิดให้ศิษย์รู้ว่า แท้จริงแล้วในโลกใบนี้ เราไม่เคยมีอะไร แล้วเราก็ไม่เคยได้อะไร ทุกสิ่งทุกอย่างมันแค่ หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามเหตุปัจจัยที่เราสร้าง เดี๋ยวถึงเวลา เราก็ต้องทิ้งมัน วางมัน ปล่อยมัน แล้วทำไมต้องไปยึด ให้มันเต็มที่ ไปแย้งมันให้สะใจ แล้วถึงเวลา ศิษย์ต้องทำใจปล่อย ใช่ไหม สู้แค่อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ อยู่ร่วมกันอย่างบุญกรรม เธอไม่ใช่ของฉัน ฉันไม่ใช่ของเธอ ฉันไม่เคยมีอะไร เธอก็ไม่เคยได้อะไรจากฉัน เพราะฉันและเธอต่างก็ไม่มีหนี้ แล้วเรากำลังด่ากัน เกลียดกัน ชิงชังกัน ก่นแค้นกันเพื่ออะไร เพื่อตัวเดียวคือทิฐิ อัตตา ตัวตนเท่านั้นเอง แล้วจะได้อะไร ทุกข์ สุข เวียนว่าย จองเวรจองกรรมไม่จบสิ้นเวรกรรม 
ฉะนั้นถ้าอาจารย์อยากจะสอนศิษย์ปรับความคิดให้ถูกต้อง ดำเนินชีวิตเพื่อเลี้ยงตัวเองและดำรงความถูกต้องก็พอแล้ว ได้ไม่ได้ช่างมัน สุขหรือทุกข์ช่างมัน ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “เราเกิดมาแค่รู้ แค่เห็น แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปเป็น ไปเอา ไปยึด ชีวิตคนมันกระทบได้ มันกระเพื่อมได้ มันเจ็บได้ แต่มันก็มาสงบได้” อย่าลืมว่าชีวิตคนถูกกระแทกกระทั้นได้ 
ถูกกระทำได้ แต่เราก็กลับมาสงบได้ เพราะความสงบเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตปรารถนาจะเจอ ไม่ใช่หรือ ถ้ายึดแล้วมันทุกข์ ถ้ามีแล้วมันเจ็บ เปลี่ยนเป็นเข้าใจ ปล่อยวางและกล้ายอมรับ ดีกว่าไหม เกิดเป็นคนกล้าทุกข์ ทุกข์มา
กี่รอบไม่กลัว เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน แล้วทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้หรือ อาจารย์พูดยากไปไหม
ลองคิดไตร่ตรองให้ดีว่า สิ่งที่อาจารย์พูดมานั้นจริงเท็จอย่างไร ฉะนั้นหลักแห่งการเรียนรู้ธรรมคือ สอนเพื่อนำพาให้เราเข้าใจธรรมอันแท้จริง 
ที่ไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่มันอยู่ที่ตัวเรา มันเกิดที่ตัวเรา มันก็ต้องละที่ตัวเรา มันก็ต้องวางที่ตัวเรา และมันก็ต้องจบที่ตัวเรา ไม่ใช่ไปแก้เขา ไม่ใช่ไปด่าเขา ไม่ใช่ไปเกลียดเขา แต่จัดการที่เรา ถ้าเราเข้าใจอะไรๆ ก็น่ารัก แต่ถ้าเราไม่เข้าใจแค่เห็นก็ไม่น่ารัก ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากสอนศิษย์ว่า ถ้าหัวใจกว้างพอไม่มีอะไรที่น่าเกลียด ถ้าหัวใจเข้มแข็งพอ ไม่มีใครหรอกที่มันเกินไป แต่เพราะเราอดทนไม่ไหว เข้มแข็งไม่ได้ เลยโดนใครมาเหยียดหยาม เราไม่ยอม ถูกไหม
การปรับความคิดเห็นให้ถูกต้อง
๑. ยอมรับว่าสิ่งใดๆ ในโลกล้วนไม่สมบูรณ์แบบ
๒. อาจารย์สอนว่า โลกใบนี้เป็นโลกที่ใครหรือได้แท้จริง ทุกคนล้วนมาตัวเปล่าแล้วก็ต้องกลับไปตัวเปล่า  มีอะไรหรือที่เราสามารถยึดครองได้อย่างถ่องแท้
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ฉะนั้นอะไรหรือที่เป็นตัวทำให้เราทุกข์สุข จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ตัวใจเราต่างหาก อาจารย์ถามว่า ได้เงินดีใจไหม (ดีใจ)  ถ้าเสียเงิน (เสียใจ)  แล้วตกลงว่าความทุกข์ สุข ได้ เสีย มันอยู่ที่เงินหรืออยู่ที่ใจ ได้เงินดีใจไหม เสียเงินเสียใจไหม ตกลงทุกข์สุขอยู่ที่เงินหรืออยู่ที่ใจ (อยู่ที่ใจ อยู่ที่เงิน)  มาดูตัวอย่างกันอีกครั้งหนึ่ง วันนี้เล่นลอตเตอรี่ เพื่อนก็เล่นลอตเตอรี่ ซื้อเลขเหมือนกัน เราเสีย ๑๐๐ เขาเสีย ๒๐๐ ตอนแรกเสียใจ แต่พอเห็นเขาเสีย ๒๐๐ เราโชคดีจัง ถูกไหม (ไม่ถูก)  แต่ถ้าเขาถูกลอตเตอรี่เขาได้๔๐๐ เราได้ ๑๐๐ ดีใจหรือเสียใจ (เสียใจ)  ตกลงทุกข์สุขอยู่ที่ไหน (ที่ใจ)  อย่างนั้นหรือ อาจารย์นึกว่าอยู่ที่ถ้าได้มากกว่าเขา หรือเสียน้อยกว่าเขา ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ศิษย์เอ๋ยอย่าโป้ปดตัวเอง มองตัวเองให้ถูก แล้วเราจะได้แก้ให้ถูกจุด ว่าจริงๆ แล้ว ทุกข์สุขมันอยู่ที่ใจ เรื่องอื่นมันเป็นตัวเสริม แต่มนุษย์แปลกนะ ถ้าเสียแล้วเสียน้อยกว่าคนอื่น ดีใจ แต่ถ้าได้แล้ว ได้น้อยกว่าคนอื่น เสียใจ ทั้งที่บอกว่าเรื่องได้เรื่องเสีย ได้เป็นเรื่องดีใจ เสียเป็นเรื่องเสียใจ แต่ถ้าได้น้อยกว่าคนอื่น ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่ามนุษย์อยากเข้าถึงความจริงแห่งทุกข์สุข และเข้าสู่ความสงบ ถามจริงๆ นะศิษย์ ใครได้ใครเสีย (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งเราซื้อลอตเตอรี่เหมือนกัน เพื่อนเสีย ๒๐๐ แต่เรารู้อยู่เต็มอกว่าเราเสีย ๑๐๐ 
เราจะพูดเกทับเขาไหม เห็นทันทีเลย ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เขาทุกข์ 
อย่าเผลอเกทับ แล้วถ้าเกิดว่าเขาถูกกิน ๒๐๐ เราถูกกิน ๔๐๐ ไม่เป็นไร 
แกเสีย ๒๐๐ ฉันเสียตั้ง ๔๐๐ ทำให้เขามีสุขไม่ดีหรือ ฉะนั้นเราอยู่ในโลก ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย แต่ถ้าการเสียของเราทำให้คนอื่นมีสุข เสียบ้างจะเป็นอะไร แต่ถ้าการได้ของเราทำให้คนอื่นมีทุกข์ ทำเป็นไม่ได้บ้าง ไม่ได้หรือ จะไปอวดเขาทำไม ถูกไหม (ถูก)  

แล้วมีธรรมอะไรที่จะทำความคิดเราให้ถูกต้อง ธรรมอะไรที่จะสอนแล้วจะทำให้เรามีความคิดที่ถูกต้อง เคยได้ยินบ้างไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตลอดชีวิตได้เรื่องเดียวเองนะ (ต้องทำให้ยอมรับตามความเป็นจริง)  ยอมรับตามความเป็นจริง ใช่ไหม
อีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์อยากจะพูด ที่ศิษย์ต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า การศึกษาหลักธรรม ทำไมถึงต้องให้เราทำดี ทำชั่วไม่ได้หรืออาจารย์ 
อยากรู้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำผิดบ้างไม่ได้หรืออาจารย์ บาปนิดๆ หน่อยๆ 
ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์เทียบง่ายๆ นะ
(พระอาจารย์เมตตาเหยียบเท้านักเรียนชายท่านหนึ่ง) 
“สบายดีไหม เป็นอย่างไร เหนื่อยไหม ไม่เมื่อยหรือ อย่างนั้นเหยียบสองขาเลย ดีไหม” ทำไมอาจารย์จึงบอกแบบนี้ มนุษย์ทุกคนนะศิษย์ต้องการคนปฏิบัติต่อเรา ไม่ดูถูก ไม่เหยียดหยาม ใครๆ ก็อยากให้เราปฏิบัติกับเขาด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ ด้วยความดี ฉะนั้นถ้าอาจารย์ปฏิบัติต่อศิษย์ โดยมองหน้าศิษย์ “เฮ้ย มองอะไร มีปัญหาหรือ เดี๋ยวสวยๆ” เราชอบไหม ฉะนั้นอย่าถามอาจารย์เลยว่า ทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี ถ้าตัวเราไม่ชอบอะไร ไม่ชอบถูกดูถูก ไม่ชอบใครเหยียดหยาม ไม่ชอบใครกดขี่ ถูกไหมฉะนั้นเราก็จงอย่าประพฤติดูถูกเหยียดหยามคุณค่าตัวเอง ให้ใครเขาดูถูกเอาได้ จริงไหม (จริง)  อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าเราไม่ทำตัวน่าเกลียด ใครจะรังเกียจเรา แต่ถ้าเราอยู่ที่ไหนเราก็ทำดี อยู่ที่ไหนเราก็ถูกต้อง อยู่ที่ไหนเราก็มีสัมมาคารวะ ใช่ไหม (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายที่ท่านเมตตาเหยียบเท้า)
เคืองอาจารย์ไหม (ไม่เคือง)  ลุกหน่อย อาจารย์อยากดูหน้าคนไม่เคือง เพราะเมื่อสักครู่โดนอาจารย์เหยียบ เคืองไหม เมื่อสักครู่เห็น เหยียบทำไม ใช่ไหม (ใช่ครับ)  อย่างนั้นอาจารย์แลกเปลี่ยนการโดนเหยียบ 
ขอแอปเปิลให้อาจารย์ลูกหนึ่ง ถึงโดนเหยียบแต่อาจารย์ต้องการจะแค่ยืมศิษย์เพื่อเป็นการแสดงให้คนอื่นเขาดูว่า มนุษย์ทุกคนต่างปรารถนาการปฏิบัติต่อกันด้วยดี ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากให้ใครมาดูถูกเรา เราอย่าเผลอปฏิบัติผิดแล้วให้เขาดูถูกเอาได้ จริงไหม (จริง)
อาจารย์ถามหน่อยนะ เป็นคนโดนเหยียบย่ำแล้ว ถูกตบหัว แล้วเอาแอปเปิลมาลูบหลัง ยังกล้ารับอีกหรือ ศิษย์เอ๋ยถ้าเขาดูถูกเหยียดหยาม 
คนสมัยก่อนนะ ขอแค่โดนดูถูกนิดเดียว อะไรก็ไม่เอา เหมือนตอนเราเด็กๆ ใครมาดูถูก โกรธไหม (โกรธ)  แต่ตอนนี้โดนดูถูกเอาไหม เอาไว้ก่อน 
สู้สมัยก่อนไม่ได้เลยใช่ไหม ไม่เข้มแข็งจริงเลย ใช่หรือเปล่า
อย่างนั้นที่อาจารย์อยากจะบอกต่ออีกอันหนึ่งก็คือว่า เกิดเป็นคน ต้องปฏิบัติดี เพราะการปฏิบัติดีเป็นสิ่งพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ใครๆ 
ก็ปรารถนาคนดี ถูกไหม (ถูก)  ถึงจะร้ายอย่างไรมันต้องมีดี ฉันถึงชอบเขา ถึงจะอยู่ร่วมกันได้ แต่ธรรมะสอนไว้อย่างหนึ่งว่า รักดีได้ แต่อย่ารักดีจนเกลียดชั่ว ไม่ได้ เข้าใจไหม แต่มนุษย์ในโลกนี้เป็นแบบนี้ รักดีเกลียดชั่ว 
ไม่ถูกต้อง ธรรมะสอนให้รู้ว่า เราอยู่ในโลกปฏิบัติดีเป็นสิ่งถูกต้อง แต่อย่ารักดีจนเกลียดชั่ว อย่ารักดีจนยึดมั่นยึดติดว่าตัวเองผิดไม่ได้ร้ายไม่ได้ ไม่ใช่ เพราะอะไรหรือ อาจารย์ยกตัวอย่างให้ฟัง ศิษย์เคยได้ยินพระพุทธองค์เคยกล่าวไว้คำหนึ่งไหม ว่าพุทธะท่านสรรเสริญบุคคลประเภทใด บุคคลที่ท่านสรรเสริญ คือคนที่รักอิสระ จิตใจไม่กระเพื่อมไหวไปกับดี ชั่ว ร้าย เสีย 
ของความเป็นคนในโลก เพราะท่านบอกว่า เมื่อไรที่มนุษย์ยังดี ชั่ว ยึดติดดี ยึดติดชั่ว นั่นเขาเรียกว่า เป็นอารมณ์โลกล้วนๆ ยังไม่ใช่อารมณ์ของผู้บำเพ็ญ เพราะผู้บำเพ็ญจะไม่ยึดติดดี เกลียดชั่ว แต่จะมองว่าโลกนี้มีดี มีชั่ว เป็นเรื่องปกติ แต่ตัวเองต้องทำให้ถูกต้องให้จงได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)  เข้าใจว่า (ทำจิตให้เป็นไปตามสภาวธรรม) 
(ให้ยอมรับสภาพความเป็นจริง ดีก็ยอมรับ ชั่วก็ยอมรับ)  ให้ยอมรับความเป็นจริง ไม่ใช่ศึกษาปฏิบัติธรรม เรียนรู้ดำเนินชีวิตแล้วรักดีเกลียดชั่ว เพราะว่าจริงๆ แล้วคนในโลกไม่มีใครร้าย ถ้าเราไม่ยึดติดเกินไป ถ้าเราไม่มีกรอบเกินไปก็ไม่มีใครร้ายและน่าเกลียดเกินไป
หัวหน้าตอบว่า (ก็คือปฏิบัติความดีควบคู่กับความประพฤติที่เราต้องยอมรับความชั่วได้ด้วย ไม่เกลียดชังความชั่ว  ไม่ใช่ทำแต่ดี แต่รังเกียจคนชั่ว อย่างคนชั่วก็ไม่ไปรังเกียจเขาไม่ยอมรับเขา ไม่ชิงชังเขา แต่เราต้องให้โอกาสเขา)  อาจารย์เข้าใจความเป็นคนของศิษย์ แต่ถ้าเขาผิดสามครั้งล่ะ (ก็พิจารณา)  หัวหน้าพูดได้ถูกต้อง เริ่มถูก คือการอยู่ในโลกปรับความคิดให้ถูกต้องนะ เมื่อเราศึกษาปฏิบัติธรรม อย่าเป็นคนรักดี และติดดีมากเกินไป มนุษย์ในโลกบ้าความดี จนกีดกันคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเราอยู่ในโลกยังต้องยอมรับ อาจารย์ยกตัวอย่างนิ้วคนเรายังไม่เท่ากันเลย  

ฉะนั้นความดีของคนก็อาจจะไม่เท่ากัน แค่วันนี้เราอาจจะไม่เห็น หรือว่าวันนี้เราเผลอเห็นขึ้นมา เราก็ไม่ควรไปตั้งป้อมรังเกียจเขา ฉะนั้นความหมายของอาจารย์ในการปรับความคิดเห็นให้ถูกต้องคือ ยอมรับความจริงคือไม่เปรียบเทียบว่าอะไรดีเกินหรืออะไรมันแย่เกิน คนบางคนบางทีติดดีอย่างเดียว ง่ายๆ เวลามีคนชมว่าเราดี เราดีใจไหม แต่พอเดินผ่านไปแล้ว เขาด่าเรา เราเสียใจไหม (เสียใจ ไม่เสียใจ)  ไหนบอกว่าจะไม่ติดดีแล้วไง 
จะเสียใจทำไม ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เป็นหลักความจริงแห่งชีวิตที่ศิษย์ต้องรับรู้ไว้อย่างหนึ่ง ลืมไม่ได้นะศิษย์ โลกนี้เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง มีดีก็มีร้าย 
(ใครทำดีได้ดี คนใดทำบุญก็มีกุศล เป็นคนดิบคนดี)  อย่างนั้นเราทำดีไม่หวังผล ไม่ต้องได้แอปเปิล ดีไหม (ดี)  แต่มนุษย์ในโลกติดดีตรงนี้ ทำดีแล้วต้องได้ผล  ได้ผลเป็นกล้วยดีไหม (อายุ ๘๘)  เรียกว่าบุญรักษา ฉะนั้นรักษาบุญต่อไปด้วยการมีศีลมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เข้าใจนะ
(ไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่น ปล่อยวางแล้วก็จะไม่เป็นทุกข์)  เอากล้วยหรือแอปเปิล ไม่เอาเลยดีไหม (ไม่ดี)  ไหนบอกว่าไม่ยึดมั่น (ไม่ได้ยึด)  เพราะอาจารย์ให้ ใช่ไหม
ศิษย์เอยทำอะไรก็แล้วแต่ อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำเพียงเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ทำเพราะว่าหวังผล เพราะการหวังผลคือการเกิดเพื่อรับการเวียนว่ายวน แล้วกลับมาเกิดอีก มันต้องทุกข์อีก มันต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นอีก มันไม่ใช่หนทางแห่งธรรม หาทางแห่งการศึกษาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ให้ท่านปฏิบัติดีเพื่อกลับมารับผล แล้วเวียนว่ายวนไม่จบสิ้น 
การเรียนรู้ศึกษาธรรมคือเรียนรู้เพื่อเข้าถึงความจริงอันถ่องแท้ ไม่ยึดมั่น 
ไม่ถือมั่น ทำโดยไม่หวังผล ทำโดยไม่ยึดติดร้องขอ ถ้าทำแล้วยังยึดติดร้องขอหวังผล หมายความว่าศิษย์อยากกลับมาเกิดเพื่อเวียนว่ายวน ฉะนั้นถ้าทำแล้วขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้สบาย ระวังนะขอไม่ครบ ขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้สบายแต่ไม่ได้บอกว่าขอให้เกิดเป็นคน เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้จริงไหม ไม่มีใครเลย สาธุขอให้ชาติหน้าเกิดเป็นคน ไม่มี อาจารย์ได้ยินแต่ สวย รวย สบาย ไม่ต้องทำอะไรกิน หมา แมว ไม่ต้องทำอะไรกินเลย
(นักเรียนถามพระอาจารย์ เรื่องการขอบุญวาสนา)
ถ้าศิษย์อยากจะขอ อาจารย์อยากให้ศิษย์ขอว่า อยากให้มีปัญญาเห็นแจ้ง ใฝ่ดี ไม่ว่าเกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ขอให้ใฝ่ดี ไม่ใฝ่ชั่ว และเกิดมาเพื่อเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูธรรมไปตลอดชีวิต รับรองถ้าศิษย์ขอแบบนี้ ไม่ว่าเกิด
กี่ภพกี่ชาติ จิตศิษย์ก็มีที่มุ่งมั่นมีที่ไป บุญบารมีเกิดจากไหน เกิดจากให้ ถ้าเอาแต่ขอ แต่ไม่เคยให้ใคร ก็ไม่มีวันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์เอย คนบางคนเกิดมาไม่เคยทำให้ใครรัก อาจารย์บอกให้อย่างหนึ่ง ศิษย์เกลียดงูไหม เกลียดตัวเงินตัวทองไหม เกลียดตะขาบไหม  
รู้ไหมคนที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำแต่สิ่งที่น่ารังเกียจ เกิดมาก็จะกลายเป็นสัตว์พวกนี้ แล้วถ้าศิษย์เจอสัตว์พวกนี้ แล้วศิษย์ยังไปฆ่าเขา แล้วศิษย์ยังไปให้ความเกลียดชังเขาอีก เขากลับเป็นสิ่งที่น่าสงสาร ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกบุญ เจอสิ่งที่น่ารังเกียจจงเมตตาให้มากๆ อย่าเข่นฆ่าอย่าทำร้าย เพราะถ้าไม่มีกรรมต่อกัน เขาก็คงไม่มาทำร้ายเรา อย่าจองเวรจองกรรมกับคนที่ไม่ควรที่จะจองเวรจองกรรมเลย เขาน่ารังเกียจแล้ว 
เอาใจไปผูกเพื่อเกลียดเขาอีกทำไม ทำไมเราไม่แผ่เมตตาจิต คนที่ไปอยู่ที่ไหนก็รัก ก็มีแต่ความรักให้ ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะเกิดกี่ภพ กี่ชาติ เขาก็จะได้รับความรักตอบ แต่ถ้าคนที่ไปอยู่ไหน เอาแต่เกลียดคนโน้น เกลียดคนนี้ 
ด่าคนนั้น ด่าคนนี้ ชะตาชีวิตคืออะไร คือสัตว์ที่น่ารังเกียจ เราคือผู้กำหนดตัวเอง แต่เราจะเกิดมาเพื่อเวียนว่าย หรือเราจะเกิดมาเพื่อจบการเวียนว่าย คิดให้ดีๆ นะศิษย์ ถูกไหม (ถูก)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานทำนองเพลง หอบฝัน และเมตตาให้นักเรียนในชั้นช่วยกันตั้งชื่อเพลงพระโอวาท)
หลักธรรมมีเยอะนะ แต่อาจารย์แค่ยกตัวอย่างมาไม่กี่อย่างในเพลงนี้ เพื่อให้ใช้ แล้วก็จำได้ง่ายด้วย
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาท “บำเพ็ญห้าประการ”)
ข้อห้านี้ต้องรีบไปหาแล้วบำเพ็ญ เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายง่ายๆ เลย ก็คือว่าเมื่อไรที่เราเจอความทุกข์ เหมือนหาทางแก้ไม่ออก 
หันซ้ายหันขวาก็มืดมนไปหมด ต้องถามตัวเราเองว่าทุกข์เกิดจากอะไร 
เกิดจากความโกรธหรือเกิดจากการที่เราทำความดีแล้วยึดติด หรือเกิดจากการที่เราทำใจไม่ได้ ยอมรับความจริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ 


“เจ้าโกรธผู้ใดใครเป็นคนก่อ ศิษย์คนดีศิษย์เอ๋ยช่างน่าสงสาร” 
เราเห็นเขาไม่ได้ดั่งใจ เราโกรธ เราไม่พอใจ เราเคยถามไหมว่า 
เป็นเพราะว่าเราไม่ให้อภัย เป็นเพราะว่าเราไม่มองความเป็นจริงหรือเปล่า ฉะนั้นถ้าเรามองให้เห็นความจริง เรามองเห็นว่าคนทุกคนก็เหมือนนิ้ว
มีเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ขนาดความสูง ยังสูงไม่เท่ากันเลย ฉะนั้นจะหวังให้คนนิสัยเหมือนกันเป็นไปได้ไหม ความคิดเห็นเหมือนกันเป็นไปได้ไหม 
ทำอะไรเหมือนๆ กันเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเรารู้และเข้าใจขนาดนี้แล้ว อาจารย์จึงบอกว่าปรับความคิดให้ถูกต้อง พิจารณาให้เข้าถึงธรรมเพื่อนำชีวิตไปสู่ความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่การยึดมั่น
ไม่ปล่อยวาง ไม่ยอมรับความจริงนั่นแหละทำให้ศิษย์ต้องทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาให้โอกาสนักเรียนชายที่อยากช่วยพระอาจารย์ทำงานธรรมะ ยืนขึ้นแล้วไปวงคำในพระโอวาทซ้อน)
ศิษย์เอ๋ย อย่าเพิ่ง อาจารย์บอกว่า ใครเบื่อทางโลกแล้วมีเวลาว่างมาช่วยอาจารย์ทำงานธรรมะ ให้ยืนขึ้น ฉะนั้นแปลว่า เขาจะมาช่วยอาจารย์ใช่ไหมเวลาว่าง ใช่ไหม (ใช่)  เช่นนั้นศิษย์เอ๋ย เวลาฟังอะไร ฟังให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นคนที่ทำร้ายตัวเองก็คือศิษย์ที่ทำอะไรแล้วไม่คิด แต่สิ่งที่อาจารย์ให้ศิษย์มาทำ เป็นเรื่องร้ายไหม (ไม่ร้าย)  แค่มีเวลาว่าง เสียสละตัวเอง
เพื่อช่วยคนอื่น เพราะการช่วยเขาก็คือช่วยเรา ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ ใช่ไหม (ใช่)  

(พระอาจารย์เมตตาให้โอกาสนักเรียนหญิงที่คิดว่าตนเองมีคุณธรรมพอที่จะรู้จักมอบให้คนอื่น และอยากนำคุณธรรมนี้ไปปฏิบัติแล้วมอบให้คนอื่น ให้ออกไปวงคำในพระโอวาทซ้อน)
ช่วยวงคำที่อาจารย์บอก แล้วลองดูว่าคำแต่ละคำมีความหมายอะไรที่จะมาสอนตัวเองได้หรือตัวเองควรแก้และประพฤติปฏิบัติตัวเองให้ดียิ่งขึ้นนะศิษย์เอ๋ย
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  อาจารย์ยังแค่บอกศิษย์เรื่องการปรับความคิดให้ถูกต้อง ยังไม่ได้สอนเรื่องการพิจารณาให้เข้าถึงธรรมเพื่อนำไปสู่ความสงบเลย
การพิจารณาธรรมเพื่อเข้าสู่ความสงบ อย่างแรกศิษย์เอ๋ย มนุษย์หนีไม่พ้นแก่เจ็บตาย ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเจ็บ เมื่อไรที่เราแก่ เราอย่าทุกข์ซ้ำเติมกับตัวเอง แต่ให้รู้จักปลดปลงและปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า สังขารนี้เราแค่ยืมใช้ ฉะนั้นจงเป็นนายเหนือกาย ไม่ใช่ตกเป็นทาสของกายอยู่ร่ำไป อย่าให้กายเป็นกรงขัง ขังจิตที่ดีงามของศิษย์ ขังพลังแห่งความเข้มแข็งในใจของศิษย์ อย่าให้กายทำให้เราทุกข์ท้อ แต่เราต้องมีพลังจิตที่ยิ่งใหญ่กว่ากาย พลังจิตนั้นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าถึงสภาวธรรม ธรรมที่ไม่มีตัวตน ธรรมที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ตีกรอบตัวตนว่า ฉันได้แค่นี้ ถ้าเข้าถึงธรรม ศิษย์จะรู้จักพลังที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า พลังจิต ที่สามารถเอาชนะทุกๆ อย่างในโลกได้ด้วยความสงบ เข้าใจ และเป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหมศิษย์เอย โลกนี้มันน่ารักหรือ โลกนี้มันสวยหรือ สวยหรือไม่สวยอยู่ที่ใจเรามอง มองเป็นขี้ ใจเราก็เป็นขี้ มองเป็นหนทางเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์ ตัวเราก็เป็นพุทธะเดินดินที่จะก้าวข้ามให้พ้นทุกข์ แต่ถ้ามองเราเป็นความทุกข์ ความเจ็บช้ำ ชีวิตมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ความเจ็บช้ำ ซ้ำเติมตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นพิจารณาให้ถึงธรรม คือมองตามความเป็นจริง
เกิดเราหยุดได้ แก่เราเข้าใจได้ เจ็บเราปลดปลงได้ และความตายก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือการได้พักผ่อนที่แท้จริง ไม่เวียนว่ายอีกแล้ว 
แต่เริ่มต้นมีศีล ทำหรือยัง ยังยึดมั่นถือมั่นตัวตนไหม พระพุทธะกล่าวว่า “แม้ศิษย์จะทำบุญให้ทานมากเท่ากับฝุ่นผงธุลีในโลก แต่ถ้าศิษย์ยังยึดมั่นถือมั่น นั่นก็ยังไม่เป็นหนทางอันประเสริฐเท่ากับทำดีหนึ่งครั้ง แต่ไม่ยึดติดใดๆ เลย ทำแล้วไม่เสียใจภายหลัง ทำแล้วไม่หวังวอนผล บุญนั้นประเสริฐนักแล” ฉะนั้นบางครั้งที่อาจารย์มาอยากให้ศิษย์ตอบ แล้วไม่ต้องเอาผล 
ก็เพราะว่าไม่อยากให้ยึดติด แต่บางครั้งอยากให้ตอบเพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาเพิ่มปัญญาธรรม เพราะมนุษย์ทุกคนมีทุกข์ไม่เหมือนกัน
ศิษย์เอย อาจารย์สอนให้ศิษย์มองตามความจริง ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ฉะนั้นเราจะห้ามการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ ได้ไหม (ไม่ได้)  แค่ก้มหน้ายอมรับด้วยหัวใจที่เข้าใจและเป็นสุข อย่าซ้ำเติมชีวิตตัวเองให้ทุกข์แล้วทุกข์อีกนะศิษย์ เกิดมาแล้วต้องแก่ 
เกิดมาแล้วต้องเจ็บ เกิดมาแล้วต้องตาย แค่ยอมรับด้วยความกล้าหาญ 
และอยู่ร่วมกับมันอย่างคนที่เข้าใจ ทุกข์ก็ปลดไปได้หลายเรื่องเลย จริงไหม
เป็นศิษย์อาจารย์แล้วต้องเข้มแข็ง ตั้งใจศึกษานะ เข้มแข็งใช่ไหม 
เอาธรรมะไปดีกว่านะ รูปลักษณ์เป็นสิ่งภายนอก ยังต้องการกำลังใจจากอาจารย์อีกหรือ ชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันยากตรงที่บางครั้งเราวัด คาดหวังเกินไปหรือเปล่าศิษย์เอ๋ย สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ถูกไหม บุญกุศลของศิษย์จะหนุนนำส่งให้แม่ยิ่งสูงขึ้นนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ย มุ่งมั่นบำเพ็ญแล้วก้าวหน้าไม่ถดถอยนะ เอาแต่ใจตัวเองหายโมโหหรือยัง (หายแล้ว)  ให้ได้จริงๆนะ เราเกิดมามีลูกที่ดี อย่าทำร้ายลูกตัวเองนะ
มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ เอาชนะนิสัย กิเลส อารมณ์ให้ได้ กำลังใจอาจารย์มีให้ แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ความหลงใหลในโลกใบนี้ ซึ่งมักชักพาให้จิตไขว้เขวเสมอ เป้าหมายมี ความมุ่งมั่นตั้งใจมี แต่ก็ต้องเอาชนะความเป็นคนในโลกนี้ให้ได้นะศิษย์เอ๋ย ความเป็นคนในโลก และความเป็นคนในตัวเอง มองให้ข้าม มองให้เห็นซึ่งธรรม ไม่ใช่มองเห็นความหลง ความยึดติด
ศิษย์เอ๋ย เรียนรู้ธรรมไม่ใช่ทำให้ศิษย์ไม่เป็นคนเจ็บ ไม่เป็นคนป่วย เรียนรู้ศึกษาธรรม ไม่ใช่อาจารย์จะมาให้ของขลังของวิเศษอะไร แต่เรียนรู้ธรรมเพื่อศึกษาหลักธรรมความจริงที่นำพาให้ชีวิตเราอยู่บนความจริงอย่างไม่ทุกข์ แต่อยู่บนความจริงอย่างเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดา ไม่มีทุกข์ใดน่ากลัวเท่ากับหัวใจที่ยึดติด และไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นตั้งใจทำอะไร ขอให้ทำให้ถึงที่สุด แล้วไม่รู้สึกเสียดายหรือตัดพ้อ บุญนั้นจะเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ อย่าทำแล้วมารู้สึกบ่น ตัดพ้อ บุญนั้นก็น่าเสียดาย ฉะนั้นทำอะไรแล้วไปให้ถึงที่สุดนะศิษย์ ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยเสียดาย ไม่เคยตัดพ้อ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแค่ยอมรับ ชดใช้ เพื่อเรียนรู้และปล่อยวาง แต่ไม่ใช่ยอมรับแล้วยึดมั่น เป็นทุกข์ และเวียนว่ายวน คิดให้ดีนะศิษย์ ยอมรับ เรียนรู้ 
เพื่อปล่อยวาง กับยอมรับแล้วยึดมั่น เป็นทุกข์และเวียนว่าย ฉะนั้นอาจารย์แค่ชี้นำทาง แต่ถ้าศิษย์ไม่เดิน อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมเอาไปปฏิบัติด้วย เรียนรู้ธรรมรู้จักใช้สติปัญญานำชีวิตด้วย ไม่มีใครทำให้ศิษย์ทุกข์ นอกจากความคิดของตัวเองที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่มีใครทำให้เราเจ็บปวด นอกจากความยึดมั่นถือมั่นไม่ยอมใคร ฉะนั้นกลับคืนสู่สภาวธรรมด้วยหัวใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น กลับสู่ธรรมนะศิษย์เอ๋ย ธรรมที่ทำให้ศิษย์และอาจารย์เป็นหนึ่งเดียวกัน    


วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมถงซิน  จ.ราชบุรี
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

นิ่งจนรู้ทุกความคิดที่เข้าออก ไม่ถูกหลอกเพราะความคิดพาให้หลง
พูดก็รู้ทำก็รู้ใจตรงตรง ดีร้ายปลงไม่ยึดติดกิเลสอัตตา 
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนรู้จักเราไหม

เราคือใครก็ไม่รู้แต่ก่อนมา เราคือใครแม้ตอนนี้มายังแปรผัน
เราคือใครต่อไปยากเดากัน เพราะทุกสิ่งล้วนแปรผันยากเดาแท้จริง
ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนมีกิเลสนอนเนื่องอยู่ในอนุสัย ” หมายความว่ามนุษย์ทุกคนมีกิเลส ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจ ตอนไม่ถูกกระทบ ตอนไม่ถูกขัดใจ ตอนไม่มีใครพูดอะไรให้ผิดหู เราก็เรียบร้อย เราก็ยิ้มกว้าง เราก็ใจดี แต่ถ้าฟังขัดหู ขัดใจ เราก็พร้อมจะปล่อยอารมณ์ออกมา จะมากน้อยก็แล้วแต่ว่าใครจะควบคุมได้มากกกว่ากัน 
ปกติเราอยู่ในโลกเราก็รู้จักแต่ความเป็นคน ถ้าอยากเป็นพุทธะบนแดนโลก ศิษย์น้องต้องยอมรับว่า คนเป็นพุทธะบนแดนโลกได้ คนนั้นต้องเป็นคนใจกว้าง กว้างแบบหาที่สุดไม่ได้ แล้วก็ยิ้มเก่ง แล้วก็เสียสละเป็นที่ตั้ง ถ้าทำได้ก็เป็นพุทธะ ไม่ยากใช่ไหม (ใช่)  แต่ส่วนใหญ่ศิษย์น้องมักจะบอกว่า ทำไมเราต้องเสียสละ ทำไมเราต้องยอม ใช่หรือเปล่า
ถ้าเราไม่ยอม ก็แปลว่าเรายังอยากยึด แต่ถ้าเรายอมก็แปลว่าเราปล่อย ถูกไหม (ถูก)  ยึดแล้วมันเป็นอะไร ถ้ายึดมันก็เกิดเป็น ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข แต่ถ้าเราปล่อย มันก็ไม่มีอะไรที่เราจะต้องยึด ฉะนั้นถ้าเรายอมได้เราก็ได้ปล่อยวางตัวตน แต่ถ้าเรายอมไม่ได้ เราก็ยังยึดมั่นถือมั่นตัวตนให้ยิ่งเจ็บแล้วเจ็บอีก จริงไหม (จริง)
“เราคือใครไม่รู้แต่ก่อนมา เราคือใครแม้ตอนนี้มายังแปรผัน 
เราคือใครต่อไปยากเดากัน เพราะทุกสิ่งล้วนพลิกผันยากเดาแท้จริง”
เราคือใคร เรารู้ไหมแต่ก่อนมา (ไม่รู้)   แล้วเราคือใครตอนนี้ รู้ไหม (ไม่รู้)  เรามั่นใจหรือว่าเรารู้จักตัวเรา ตราบใดที่ตัวศิษย์น้องยังมีกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจ ถ้าถูกอะไรกระทบ อะไรกระแทก คนใจดีก็กลายเป็นคนใจร้าย คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ คนมีเมตตาก็กลายเป็นคนใจทมิฬหินชาติได้ แล้วบางครั้งคนใจร้ายก็กลายเป็นคนดีได้ ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นอย่ามั่นใจในใบหน้านี้ อย่ามั่นใจในตัวตนนี้ เพราะทุกสิ่งพลิกได้แค่ใจเรา อะไรจะเกิดก็เกิดขึ้นมาได้ และถ้าเรายังควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมใจตัวเองไม่อยู่ สิ่งที่เห็นในวันนี้ อีกไม่กี่นาทีอาจจะไม่เห็นก็ได้ สิ่งที่มั่นใจในวันนี้ว่าอยู่กับท่าน ไม่แน่อาจจะไม่อยู่กับท่านก็ได้
ฉะนั้นอะไรหรือคือสิ่งจริงแท้ ถ้าเรายังควบคุมตัวเองไม่ได้ อะไรหรือคือความจริงที่เราควรจะถือไว้เป็นที่พึ่ง ทุกวันเราตื่นมาเพื่อตัวเองแล้วก็เพื่อตัวเอง แต่ถึงที่สุดแม้ตัวของศิษย์น้องเองพยายามรักและดูแล มันก็ไม่ใช่ตัวของศิษย์น้อง เพราะมันเปลี่ยนตลอดเวลา เดาไม่ได้ เอาไม่อยู่ จริงไหม (จริง) 
“อะไรหรือคือตัวเรา” ศิษย์น้องเคยบอกไว้ชีวิตนี้ศิษย์น้องควบคุมอยู่ พอถึงเวลาแล้วทำอย่างไรดี คำตอบที่แท้จริงของ “ตัวเรา” คืออะไรรู้ไหม เมื่อวานพระอาจารย์ตอบไปแล้ว สภาวธรรมเราแค่เป็นสภาวธรรมสภาวะหนึ่งที่ถูกสมมติขึ้นว่ามนุษย์ ที่ถูกสมมติชื่อว่านายลือชัย, ปกรณ์ แต่ถึงเวลาเราหมดอายุขัย ปกรณ์และลือชัย ก็เป็นแค่เพียงนามสมมติของสัจธรรม
เมื่อเรารู้ว่าชีวิตพลิกผันได้ตลอดเวลา มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ฉะนั้นเราต้องควบคุมมันให้อยู่ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะก่อให้เกิดเป็นกิเลส 
เป็นกรรมและการเวียนว่ายที่ไม่จบสิ้น เพราะความคิดผิดเพียงแค่ชั่ววูบ เมื่อสักครู่เขาพูดว่าคิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก ถ้าว่างจากความคิดทั้งมวล นั่นคือนิพพานหรือเรียกว่า “ทางสายกลาง” แต่มนุษย์ไม่เคยอยู่ทางสายกลางเลย 
ระหว่างทุกข์ กับเคราะห์กรรม ศิษย์น้องกลัวอะไรมากกว่ากัน (เคราะห์กรรม)  ทำไมศิษย์พี่ถามอันนี้ หลายต่อหลายคนบางคนกลัวทุกข์ บางคนกลัวเคราะห์กรรม แต่ถามว่า ชีวิตนี้มีทุกข์แล้วจะแก้ทุกข์ไหม ไม่ค่อยมีใครสนใจ ถูกไหม (ถูก)  แต่มีหมอดูมาดูแล้วบอกว่า เรากำลังมีเคราะห์ ไม่ว่างต้องว่างทันที แก้อะไรได้รีบแก้ทันที ใช่ไหม (ใช่)  แล้วไหนบอกว่ากลัวทุกข์มากกว่ากลัวเคราะห์

ถ้าศิษย์น้องกลัวเคราะห์ เรามาดูว่าเคราะห์มันมาจากไหน มัวแต่ไปแก้ เอาแต่แก้ที่ปลายเหตุ ทำไมไม่แก้ที่ต้น แก้ปลายเหตุได้ กลับไปสร้างต้นอีก แก้กี่ครั้ง ก็แก้ไม่จบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
กิเลสเป็นมูลเหตุของบาป ความทุกข์และเคราะห์กรรมทั้งมวล ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องอยากหยุดทุกข์ อยากหมดเคราะห์กรรม ต้องรู้ต้นเหตุ ต้นเหตุที่ทำให้เรามีทุกข์ มีบาป มีกรรมชั่วติดตัว มีเคราะห์กรรมติดไปไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ล้วนมาจากกิเลสทั้งสิ้น แล้วกิเลสแตกลูกแตกหลานเป็นโลภ โกรธ หลง อย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อยนะ โลภ โกรธ หลงเหมือนบุหรี่ เหมือนเหล้า ถ้าไม่เคยกินเลย เมื่อเห็น จะรู้สึกอยากไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่เคยแตะต้องมันเลย เห็นมันจะรู้สึกเปรี้ยวปากไหม (ไม่)  โลภ โกรธ หลงก็เช่นกัน จะไม่มีทางมาอยู่ในใจของศิษย์น้องเลย ถ้าใจของศิษย์น้องไม่มีมันสักนิด ฉะนั้นโลภมาจากใจที่ขอ ใจที่อยากแล้วอยากมากๆ โลภมากๆ เป็นอย่างไร โกรธ เกลียด ต่อว่า ชิงชัง จองเวรจองกรรม เพียงเพราะแค่อยาก ฉะนั้นอยากหยุดเคราะห์ อยากหยุดกรรม อยากหยุดทุกข์ แค่ “หยุดอยาก” แล้วบอกว่าพอ กรรมใหม่ไม่มีแล้ว เพราะพอแล้ว หยุดแล้ว ฉะนั้นที่เหลือคือศิษย์น้องกำลังใช้กรรมเก่า ฉะนั้นอยากมีกรรมอีกไหม อยากมีเคราะห์อีกไหม อยากมีทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก)  แล้วจะพอได้ไหม (พอได้)  แล้วเวลาอยากมากๆ แล้วค่อยไปทำบุญ ชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ความอยากนอกจากจะทำให้เกิดเคราะห์กรรม ทำให้เกิดทุกข์แล้ว ยังก่อเกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ยังก่อเกิดการจองเวรจองกรรม แล้วยังทำให้เราห่างไกลคุณธรรมความเป็นคน เมื่ออยากมากๆ มีใครบ้างจะรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อยากมากๆ มีใครบ้างจะยังเมตตา อยากมากๆ ใครบ้างจะรู้จักละอายเกรงกลัวฟ้าดิน ละอายเกรงกลัวบาป แล้วอยากมากๆ มีใครไม่ถือดี ถือตน แล้วอยากมากๆ มีใครชัดเจนเรื่องถูกผิด อะไรถูก อะไรผิด มีไหม
สิ่งที่ศิษย์พี่บอกเมื่อสักครู่ เป็นคุณธรรมของความเป็นคน ถ้าอยากมากๆ ทำแบบนี้บ่อยๆ ชะตาชีวิตกำหนดได้เลยว่า ต่อไปชาติหน้าไม่ได้เกิดเป็นคน
เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ตัวตนของเรามีพุทธะจิตที่เรียกว่าเนื้อนาบุญ แล้วเนื้อนาบุญนี้ เมื่อปลูกแตงได้ (แตง)  ปลูกถั่วได้ (ถั่ว)  ปลูกกิเลสได้ (กิเลส)  มันไม่ได้แค่กิเลสนะศิษย์น้อง มันจะได้ทั้งบุญ บาป กรรม การเวียนว่าย การจองเวรจองกรรม ฉะนั้นตอนนี้ปลูกกิเลสหรือปลูกต้นธรรม แต่ศิษย์น้อง ต้นธรรมไม่ค่อยปลูก ไม่ปลูกแล้วยังบอกว่า ชีวิตนี้เมตตาธรรม
ละไว้ก่อน ทำบุญทำทานแต่เรื่องศีลธรรมละเอาไว้ก่อน ธรรมยิ่งไม่ปลูกก็ยิ่งไม่ขึ้น กิเลสไม่ตั้งใจปลูก กลับขึ้นเอาๆ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า ฟ้าดินลงโทษ ฟ้าดินกำหนดภัยพิบัติเรายังพอหนีได้ แต่เวรกรรมที่ศิษย์น้องทำเอง หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ทำอะไรได้อย่างนั้นฉะนั้นอย่าคิดว่าแก่แล้วบำเพ็ญธรรมแล้วทัน ฟ้าเตือนแล้ว ทำไมแก่แล้วหูตึง ตามองไม่ค่อยชัด พูดอะไรกินอะไรไม่ค่อยได้ เพราะฟ้าเริ่มบอกว่า ทำบาปมาเยอะแล้ว ตอนนี้ทำบาปให้มันน้อยๆ หน่อย กินให้มันยากๆ ฟังให้มันน้อยๆ มองให้มันน้อยๆ หยุดอยากให้มันมากๆ เพราะทุกชีวิตล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความตาย แต่เรากำลังทำสิ่งที่เกิดแล้วไม่ตาย คือการเกิดเวียนว่ายวน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องอยากหยุดพวกนี้ ศิษย์น้องต้องรู้จักควบคุมกิเลสให้ดี ถ้าเมื่อไรที่มีอะไรมากระทบให้คิดก่อนนะ ใช้สติปัญญาก่อน ถามตัวเองดูว่าทำแล้วมีเมตตาไหม ทำแล้วผิดชอบชั่วดียังรู้จักละอายเกรงกลัวไหม ทำแล้วกลายเป็นคนที่โป้ปดมดเท็จรึเปล่า ทำแล้วกลายเป็นการดูถูกเหยียบย่ำคนไหม ถ้าทุกขณะจิตทำอะไรแล้วพิจารณาถึงคุณธรรมความเป็นคน ทำแล้วมีเมตตาธรรมในใจไหม ทำแล้วละอายเกรงกลัวต่อบาปบ้างไหม ทำแล้วถูกต้องชอบธรรมไหม ช้าสักนิดหนึ่ง ด่าเขาไม่ทันไม่เป็นไร แปรบาปให้เป็นบุญ แปรร้ายให้เป็นดี แปรเคราะห์กรรมเป็นการชำระหนี้กรรม แล้วมีชีวิตอยู่เพื่อจบเวรจบกรรม ไม่ใช่ก่อเวรก่อกรรม  ฉะนั้นก่อนจะวิ่งไปตามความอยาก ถามตัวเองก่อนว่า ถ้าอยากแล้วต้องฆ่าเขา ถ้าอยากแล้วต้องโกหกเขา ถ้าอยากแล้วต้องทำให้พ่อแม่ต้องทุกข์ใจ ไม่อยากดีไหม (ดี)  
ถ้าตอนนี้ประหยัดหน่อย ไม่ฟุ้งเฟ้อ สุรุ่ยสุร่าย วันนี้ก็ยังพอกิน 
อีกอาทิตย์ก็ยังมีกิน ไม่ต้องหาอะไรเดือนหนึ่งก็ยังพอกิน ใช่ไหม (ใช่) 
แต่ศิษย์พี่ไม่ได้หมายถึงไม่ให้รับผิดชอบ แต่ให้ดำรงชีวิตอย่างคนที่ไม่ได้เดินไปตามกระแสของความอยาก เดินไปตามหน้าที่ของความเป็นคนที่ถูกต้อง ง่ายกว่าไหม
ฉะนั้นต่อไปนี้ทุกวันคือวันที่เราได้ปลดปล่อยชำระหนี้กรรมและเรียนรู้ที่ จะอยู่บนโลกด้วยความเข้าใจ ไม่ว่าทุกข์อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ ใครบ้างไม่แก่ ใครบ้างไม่เจ็บ ใครบ้างไม่ป่วย ใครบ้างไม่อกหัก ใครบ้างไม่ผิดหวัง ใครบ้างไม่ล้มเหลว แล้วจะทุกข์ทำไม เรียนรู้ยอมรับและก้าวต่อไปเพื่อชีวิตตัวเองที่เข้าใจทุกข์ได้มากยิ่งขึ้น เพราะว่าทุกข์ไม่ได้แปลว่าตาย แต่ทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่มันทำให้เราได้รู้ว่าเราต้องเปลี่ยน เหมือนตอนนี้นั่งจนทนไม่ไหว เราก็ต้องเปลี่ยนมายืนขึ้น ยืนจนทนไหวเราก็ต้องนั่งลง
ฉะนั้นอย่าเกลียดทุกข์ จงขอบคุณทุกข์ที่ทำให้เรารู้ว่าก้าวต่อไปต้องดียิ่งขึ้น ก้าวต่อไปต้องพ้นทุกข์เพราะทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันใหม่อีกนะ รักษาบุญรักษาโอกาสตัวเองให้ดี อย่าเผลอทำผิดคิดร้ายเพราะปล่อยให้กิเลสครอบงำชีวิตและจิตใจ ก่อนจะตามกิเลส หยุดสักนิดหนึ่ง ยั้งสักนิดนึง และพิจารณาให้ถึงซึ่งธรรม เพราะชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงมีแต่หลักธรรมเท่านั้น และธรรมเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าภพนี้หรือภพไหนๆ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ตัวตน”
     หลงในรูปติดความมีตัวตน                     ยึดมั่นจนหลงลืมความจริง
ไม่อาจครองสิ่งใดได้ทุกสิ่ง                          เกิดเพื่อดับใช่วนวิ่งจิตติดพัน

อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

2558-10-23 สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

西元二年嵗次乙未九十一日                    仙佛慈悲訓

วันศุกร์ที่ ๒๓ ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

ถึงทำดีแต่บาปก็ยังทำ แม้รู้นำจิตศรัทธาเป็นกุศล
ติดอัตตามากทิฐิกิเลสคน ยากล่วงพ้นความทุกข์ต้องว่ายเวียน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายประณตน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

จู่โจมมาสู่ความเป็นคนดีชั่ว อาสวะขังปล่อยให้ตัวปล่อยใจได้
จึงทำให้ความหลงครอบงำใจ แต่อะไรไม่เป็นใจยิ่งพากเพียร
ความคิดคนคอยขังความสร้างสรรค์ ปัญญานั้นติดแน่นยึดกลัวการเปลี่ยน
ไฟบนเทียนมีค่าหาใช่เทียน คนรู้ความเปลี่ยนนิสัยใฝ่ช่วยคน
วกวนคิดจนเป็นข้อจำกัด ไม่ฝึกหัดทำไม่ได้ใจสับสน
อยู่กับธรรมมองเคยชินไม่ดิ้นรน ความอับจนจริงแท้อยู่ที่ตัวเอง
เหล่าทองแท้ความในใจน่าสงสาร ความทรมานหลอมให้คนเป็นคนเก่ง
รับได้หมดให้ความทุกข์กลัวเกรง ปัญญาเปล่งดั่งเปลวไฟไม่ไหม้มือ
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ


คนที่ขึ้นมาพูด บอกไม่ให้ท่านหลับ อย่างนั้นเรามา เราให้ท่านหลับดีไหม ง่วงก็หลับ เพราะถ้าฝืนมันก็ไม่เป็นธรรมชาติใช่ไหม ใช่หรือเปล่า ง่วงมากๆ หลับสักงีบก็ดีขึ้นใช่หรือไม่ แต่ถ้าฝืนนั่งไปก็ไม่มีความสุข นั่งไปก็ทรมานใช่หรือเปล่า อย่างนั้นหลับหรือไม่หลับดี (ไม่หลับ)  ถามเป็นครั้งที่สอง หลับดีไหม (ไม่หลับ)  ถามเป็นครั้งที่สาม หลับดีไหม (ไม่หลับ)  หมดโอกาสแล้วนะ ตอนนี้หลับไม่ได้แล้วใช่ไหม (ใช่)  ถามเป็นครั้งที่สี่ หลับดีไหม (ไม่หลับ)  อย่างนั้นถ้าแอบหลับก็ผิดคำพูดตัวเอง ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ใครหลอกท่าน ตัวท่านก็อย่า (หลับ)  ถูกหรือเปล่า ท่านไม่ชอบคนโกหกตัวท่านก็อย่า (โกหก)  ใช่หรือไม่ อย่างนั้นตอนนี้ถามอีกเป็นรอบที่ห้า หลับไม่หลับดี (ไม่หลับ)  พูดเองต้องทำให้ได้ถึงจะเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ พูดแล้วทำไม่ได้เรียกว่าคนโกหกโป้ปดมดเท็จ ไม่น่าเชื่อถือ  พระก็ไหว้ บุญทานก็ทำ แต่พูดอย่างทำอย่างก็ไม่น่าเคารพใช่ไหม (ใช่)  ถามอีกเป็นครั้งที่หก หลับไม่หลับ (ไม่หลับ)  ไม่จริงหรอก คนเราถึงเวลาพักผ่อนก็ต้องพักผ่อน ฉะนั้นพูดอะไรอย่าลืมมองความจริง พูดอะไรอย่าเอาแต่พูดแล้วลืมมองตัวเอง ไม่อย่างนั้นคนที่สร้างกรงขังก็คือคำพูดของตัวเราเองที่พูดไม่คิดใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตบหน้าตัวเองคือคนอื่นหรือเรา (เรา)  คนที่กลืนน้ำลายตัวเองคือเราหรือคนอื่น (เรา)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงจะพูดดีทำดีขนาดไหน แต่ถ้าพูดหรือทำโดยไม่รู้จักคิดไตร่ตรอง คำพูดนั้นก็จะย้อนกลับมาทำร้ายเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ถึงทำดีแต่บาปก็ยังทำ แม้รู้นำจิตศรัทธาเป็นกุศล
ติดอัตตามากทิฐิกิเลสคน ยากล่วงพ้นความทุกข์ต้องว่ายเวียน”
มนุษย์มือหนึ่งทำบุญแต่อีกมือหนึ่งก็ทำบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ปากหนึ่งพูดดีแต่อีกปากหนึ่งก็พร้อมจะนินทาว่าร้าย หูหนึ่งชอบฟังสิ่งที่ดีแต่อีกหูหนึ่งก็อยากฟังความไม่ดี ถึงทำดีแค่ไหนแต่ความชั่วยังไม่ละเว้นก็หาเป็นคนดีที่แท้ไม่ ไม่สู้แม้ดีทำได้น้อยแต่ชั่วไม่คิดที่จะทำเลย อันนั้นไม่ดีกว่าหรือ พูดใหม่นะ มนุษย์แม้มือหนึ่งทำดีมือหนึ่งทำบาปก็หาเป็นคนดีที่แท้จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  มือหนึ่งทำบุญมือหนึ่งทำบาปเรียกว่าดีไหม  แต่อีกคนหนึ่งล่ะ แม้จะไม่ค่อยได้ทำดีแต่ไม่คิดทำบาปเบียดเบียนใคร นั่นเรียกว่าดีไหมเล่า (ดี, ไม่ดี)  คิดดีๆ นะ  มือหนึ่งทำบุญแต่อีกมือหนึ่งก็ทำบาป เหมือนเราดีแค่ไหนแต่ปากเรายังนินทาว่าร้ายคน เขาจะชมว่าเราดีไหม แต่อีกคนหนึ่งแม้ไม่ได้ทำดีอะไรเลย ชั่วสักนิดหนึ่งก็ไม่เคยคิดที่จะทำ ท่านว่าเขาดีไหมเล่า (ดี)  ชั่วไม่ทำเลยนะ แต่ดีอาจจะไม่ได้ทำเลย แต่คนๆ หนึ่งชั่วไม่ทำ เขาไม่ได้เรียกว่าดีหรือ มนุษย์ชอบเป็นแบบนี้อยากเป็นคนดี ทำดี ทำดี แต่ชั่วละเว้นไหม (ไม่)  แต่ลองมองกลับกันสิ ถ้าความผิดความชั่วร้ายเราไม่ทำเลยล่ะ คนนั้นไม่ใช่เรียกว่าคนดีกว่าหรือใช่ไหม แต่อีกคนหนึ่งแม้จะทำดีขนาดไหนแต่ชั่วพร้อมจะทำเติมเต็มขนาดนั้นเรียกว่าดีไหมเล่า บุญก็ทำบาปก็สร้างดีไหม  ฉะนั้นอยากเป็นคนดีทำไมไม่หยุดชั่ว อยากเป็นคนดีทำไมไม่หยุดบาป อยากสร้างบุญทำไมไม่หยุดสร้างบาป เพราะหยุดสร้างบาปได้มันก็เป็นบุญนักหนาแล้วจริงหรือไม่ ถึงเราจะตักบาตรแค่ไหน ทำบุญแค่ไหน สร้างโบสถ์ อุโบสถยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่เรายังไปฆ่าฟันชีวิตเขา บาปก็มีบุญก็มีนั่นเรียกว่าดีไหม แต่ในทางกลับกันแม้เราไม่ได้สร้างโบสถ์ แม้เราไม่ได้ใส่บาตรแต่ใครๆ เราก็ไม่เบียดเบียน ใครๆ เราก็ไม่ด่า ใครใครเราก็ไม่คดโกง ใครๆ เราก็ซื่อตรงจริงใจ ดีไม่ดีเล่า (ดี)  
แล้วเราเป็นแบบแรกหรือแบบสอง (แบบสอง)  แบบสองหรือ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยทำชั่ว ไม่เคยนินทา ไม่เคยโกหก ซื่อตรงตลอด จริงไหม (ไม่จริง)  อย่างนั้นแบบแรกหรือแบบสอง (แบบแรก)  เราก็ว่าน่าจะเป็นแบบแรกนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าพูดว่าทำดีไม่ได้ดี เพราะดีที่ท่านทำยังไม่บริสุทธิ์พอ อย่าพูดว่าทำดีไม่มีคุณค่า เพราะความดีของเรายังแปดเปื้อนมลทินอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะขึ้นชื่อว่า “บุญ” เป็นชื่อแห่งความสุข ขึ้นชื่อว่า “บุญ” เป็นผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าบุญนั้นยังฉาบทอไปด้วยบาปยังอิงแอบไปด้วยความยึดมั่นหลงผิดบุญนั้นก็หาเป็นบุญที่บริสุทธิ์และบังเกิดผลที่งดงามได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราพูดผิดไปจากที่เราพูดไหม (ไม่)  เราพูดหลอกลวงท่านหรือเปล่า (ไม่)  ถ้าไม่ผิดไม่หลอกลวง ไปกันต่อไหม (ไป)  ไม่หลับใช่ไหม (ใช่)  หลับตอนกลางคืนก็ยังต้องหลับ ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะบอกว่าไม่หลับเลยเป็นไปได้หรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อยู่ในโลกทุกข์มากกว่าหรือสุขมากกว่า (ทุกข์มากกว่า, สุขมากกว่า)  มีท่านหนึ่งตอบว่าสุขมากกว่า  เราว่าเขาตอบได้ถูกนะ  เพราะถ้าทุกข์มากกว่ามนุษย์ทุกคนคงหาทางดับทุกข์จริงไหม (จริง)  แต่ทุกวันนี้มนุษย์กลับวิ่งหาความสุขแต่หนีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราคิดว่าสุขยังเยอะอยู่ทุกข์มีแค่นิดหน่อยจริงไหม (จริง)  เพราะถ้าเราคิดว่าทุกข์เยอะเราก็คงต้องหาทางดับทุกข์สิ แต่นี่ไม่ใช่  มนุษย์มักจะคิดว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่มีความสุขอีกเยอะ ยังมีสุขอีกมากมาย เราจึงพยายามหาความสุขและหนีความทุกข์  แต่ถ้าเมื่อไรท่านตอบว่าโลกใบนี้ทุกข์มากกว่าสุข  ชีวิตท่านคงหันเหหาทางดับทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อย่างนั้นถามใหม่นะ  โลกใบนี้ทุกข์มากกว่าหรือสุขมากกว่า (สุขมากกว่า, ทุกข์มากกว่า)  นักเรียนชั้นนี้คบไม่ได้เลยนะ  เปลี่ยนเป็นว่าเล่นเลยจริงไหม (จริง)  ถ้าเราว่าสุขมากกว่าเราก็ถึงได้พยายามวิ่งหาความสุข แต่ถ้าเราคิดว่าทุกข์มากกว่า  มนุษย์ทุกคนคงเรียนรู้ที่จะหาวิธีดับทุกข์ แต่เรามองอะไรก็ยังเป็น (สุข)  ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เราทุกข์มันคือความสุขหรือความทุกข์ (ความสุข, ความทุกข์) เราไม่ได้ทำให้ท่านสับสนเลยนะ  มนุษย์วิ่งไปหาความสุขใช่ไหม (ใช่)  แต่เวลาวิ่งไปหาความสุขแล้วกว่าจะได้มาทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วสุขหรือทุกข์ (ทุกข์, สุข)  นักเรียนชั้นนี้ความคิดสับสนในตัวเองหรือเปล่านะ  กว่าจะได้มาก็ทุกข์  ได้มาแล้วนึกว่าจะเป็นสุขก็กลับเป็นทุกข์  เหมือนคิดว่าได้เงินมีความสุขไหม (มี)  ตอนแรกมีความสุขแล้วพอใช้ไปใช้มาเงินไม่พอใช้ สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ใช้ไปใช้มาเป็นหนี้เขา สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  อย่างนั้นกำลังวิ่งหาความสุขหรือวิ่งหาความทุกข์ (ความทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถามจริงๆ นะโลกใบนี้ใครที่ทำให้เราทุกข์ (ตัวเราเอง)  โลกใบนี้ใครที่ทำให้เราเจ็บ (ตัวเราเอง)  ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นหรือ ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือ ไม่ใช่เงินก้อนนั้นหรือ ไม่ใช่รถยนต์คันนั้นหรือ ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมไม่ใช่สอนให้เราแค่เห็นสุข หรือเห็นทุกข์ แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราเข้าใจว่า ทุกข์มาจากไหน และจะดับทุกข์ได้ที่ใด ไม่ใช่เอาแต่วิ่งหาทางดับทุกข์จากภายนอกแต่ลืมดับทุกข์ภายใน ไม่ใช่เอาแต่พยายามแก้คนอื่นแต่ลืมต้นเหตุเกิดจากตัวเอง ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนคนอื่นแต่ลืมเปลี่ยนความคิดตัวเอง
อย่างนั้นก่อนจะนั่ง เรามีคำถาม ถ้าตอนนี้ให้ลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง กับให้ปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เอาอะไรดี (เอาปัญญา)  ขอเปลี่ยนใหม่ ให้ลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแต่อีกอันไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นความรู้พอ เอาอะไรดี (ความรู้พอ) ใครอยากได้ลอตเตอรี่นั่งลงใครอยากได้รู้พอยืนขึ้น ท่านอยากได้ปัญญารู้แจ้งเห็นชัดในโลกใบนี้มากกว่าลอตเตอรี่จริงหรือ (จริง)  ถ้าเราให้สองตัวเอาไหม (เอา)  อย่าลืมนะได้รางวัลที่หนึ่งแต่ไม่มีปัญญารู้ใช้รางวัลที่หนึ่ง รางวัลที่หนึ่งก็ทำให้ครอบครัวแตกแยกมานักต่อนักแล้ว แต่ได้ปัญญา ปัญญาจะทำให้เรายิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง เพราะคนมีปัญญาแม้ทุกข์มากที่สุดยังแปรเป็นสุข เพราะคนมีปัญญาแม้จนถึงที่สุดยังแปรเป็นร่ำรวย เพราะคนมีปัญญาแม้โชคร้ายมากที่สุดยังแปรเป็นโชคดีสุด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคิดให้ดีอยู่บนโลกเรียนรู้เพื่อให้ได้ปัญญาหรืออยู่บนโลกมีชีวิตอยู่เพื่อถูกรางวัลที่หนึ่ง ตายแล้วก็รู้สึกคุ้มค่าแล้ว จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นที่เรากล่าวไว้ว่าถูกลอตเตอรี่กับได้ปัญญา การมาเรียนรู้ศึกษาธรรมก็เพื่อก่อให้เกิดปัญญา ปัญญาไม่ได้หากันได้ง่ายๆ แต่ปัญญาเกิดได้ด้วยการอบรมบ่มเพาะคุณธรรม ปัญญาเกิดได้ด้วยการหมั่นฝึกฝนพิจารณาซึ่งธรรม ธรรมไม่ใช่จากภายนอก แต่ธรรมที่ฟังจากภายนอกและเอามาหยั่งคิดให้รู้แจ้งให้เกิดขึ้นจากภายใน แต่ทุกวันนี้มนุษย์ก็วิ่งหาแต่ว่า พรุ่งนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะแต่งตัวอย่างไร พรุ่งนี้ฉันจะไปเที่ยวไหน หรือแม้แต่ตอนนี้ฉันสวยหรือยัง ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่มนุษย์ห่วงนั้นเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ทั้งมวลทั้งสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สังขารมีทุกข์ไหม (มี)  ไม่ได้กินก็ (ทุกข์)  กินมากเกินก็ (ทุกข์)  กินน้อยเกินก็ (ทุกข์)  กินเผ็ดเกินก็ (ทุกข์)  ไม่กินเลยก็ (ทุกข์)
ฉะนั้นควรจะสนใจทุกข์อันนี้ไหม (ไม่สน)  สนใจพอประมาณ ไม่ใช่สนใจจนวันๆ ก็มัวห่วงแต่เรื่องกิน อยู่ นอน เที่ยว เพราะมนุษย์มีคุณค่ายิ่งกว่ากิน อยู่ เที่ยว นอน นั่นคืออะไรรู้ไหม (ธรรมะ, ทำความดี)  ถูกไหม ธรรมะ ความดีใช่ไหม (ใช่)  อย่าลืม เราคือธรรมชาติชนิดหนึ่ง เราคือสภาวธรรมสภาวะหนึ่ง เราคือธรรม ธรรมหนึ่ง เราไม่ใช่เป็นแค่คน แต่เรามีค่ายิ่งกว่าคนคือ เราคือธรรม เขาก็คือธรรม ในตัวเราก็มีธรรม ฉะนั้นจะเห็นแต่คนหรือจะเห็นธรรม ทุกวันเห็นแต่ความเป็นตัวตนจึงได้แต่ตัวตน ขังตน แต่ถ้าเมื่อไรในตัวตนเราเห็นธรรม เราจะพบธรรมและธรรมนั้นจะพบคุณค่ายิ่งกว่าตัวตน นั่นคือ หนทางพ้นทุกข์ แต่เราไม่เคยพบธรรมเราพบแต่ (ตัวตน)  นิสัยฉันเป็นแบบนี้ ทำได้แค่นี้ ดีแค่นี้ ทั้งที่จริงแล้วเราได้มากกว่านั้น เราเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้และเราเป็นอะไรที่มากกว่านี้
แต่เรามักจะตีกรอบตัวเอง จนทำให้ตัวเองมองไม่เห็นธรรมอันนี้ ถามสิ อดทนให้ถึงที่สุดยิ่งกว่าใครใดๆ ในโลกทำได้ไหม ทำได้ไหม (ได้)  ธรรมอยู่ที่ว่าทำหรือไม่ทำ เมตตาให้ได้มากที่สุดจนไม่มีขอบเขตสุดประมาณ ไม่มีคำว่าตัวเรา ตัวเขา แต่เราจะเมตตาให้มากที่สุด ใจเย็นให้ถึงที่สุดใครด่ายังไง ใครโกงยังไง ใครแช่งชักหักกระดูกยังไง ก็ไม่เคืองโกรธ เราจะเย็นให้ถึงที่สุด ทำได้ไหม (ได้)  ธรรมอยู่ที่ว่าทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง แต่มนุษย์ค้นหาธรรมเพียงแค่ได้บุญก็พอแล้ว ทำทานก็พอแล้ว นี่แหละเกิดเป็นคนแค่นี้ก็พอแล้ว ช่างน่าเสียดาย เพราะคำว่าธรรมมีมากกว่าทาน ศีล สมาธิ ปัญญา คำว่าธรรมในตัวท่านมีมากกว่าการให้ทาน รักษาศีล มีสมาธิ แต่มนุษย์บอกว่าฉันแค่เป็นคนที่รู้จักให้ก็พอแล้ว ฉันแค่มีศีล มีธรรมก็ดีแล้ว ฉันรู้เพียงได้นั่งสมาธิบ้าง เก้าวันเจ็ดวันก็พอแล้ว ใจดี อะไรก็ดีหมดแล้ว แต่ดีเป็นระยะๆ เรียกว่าดีไหม (ไม่)  ดีเป็นช่วงๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความสงบที่แท้จริงต้องสงบแล้วจบนั่นแหละเรียกว่าสมาธิ สมาธิคือนิ่ง สงบแล้วจบ ถึงจะเรียกว่าเข้าถึงสมาธิอย่างแท้จริง แต่มนุษย์ไม่ใช่ นิ่งเป็นพักๆ แต่พอเห็นก็ไม่จบ เย็นเป็นพักๆ แต่พอได้ยินก็ไม่ง่ายแล้ว 
ฉะนั้นเรียนรู้เรื่องหลักธรรมอย่าเอาแค่เปลือกภายนอกเข้าถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริง อย่ายึดติดแค่ตัวตนจนมองไม่เห็นธรรม ไม่เช่นนั้นน่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่เรียกว่าผู้ประเสริฐ แต่หาความประเสริฐที่แท้จริงไม่ได้ ใช่ไหม อะไรทำให้เราประเสริฐ อะไรทำให้เราเข้าถึงธรรม 
พระพุทธองค์จึงสอนว่าให้เริ่มต้นด้วยทาน ตามมาด้วยศีล ตามมาด้วยสมาธิ และสืบเนื่องต่อด้วยปัญญา เข้าถึงความแจ่มแจ้งจนไม่มีอะไรติดข้อง แต่มนุษย์ไปได้แค่ทาน ก็หมดแรงแล้วใช่ไหม (ใช่)
ถามนักเรียนในชั้นนี้ดีหรือยัง (ดีแล้ว, ยัง)  ถ้าบอกว่ายังก็ยังน่าชื่นใจ แปลว่ามองเห็นความไม่ดีของตัวเองแล้วพร้อมจะแก้ไข แต่ถ้าบอกว่าดีแล้วแปลว่ายังไม่ยอมแก้ไขอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเราแค่นี้พอเข้าใจบ้างไหม แล้วอย่างนี้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติอย่างไร แล้วเกิดเป็นคนเป็นแค่คนดีพอไหม (ไม่พอ)  ทำไมยังต้องเข้าถึงธรรมอีกนะ แค่เป็นคนดีก็ยากแล้วให้เข้าถึงธรรมยิ่งยากใหญ่ ช่างน่าเสียดาย เหมือนเรามีของมีค่าสักอย่างหนึ่ง ถ้าเราใช้แค่ยี่สิบในร้อยส่วน เราก็คือคนที่มีของมีค่าแต่ใช้ของนั้นไม่เป็น ฉะนั้นร่างกายเราก็เหมือนกัน พุทธจิตธรรมญาณที่อยู่ในตัวเราก็เหมือนกัน มีค่าเป็นร้อยเป็นพันแต่เราใช้กันแค่สิบ ยี่สิบส่วน จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แล้วก็ยังปล่อยให้ตัวเองทำดีบ้างทำชั่วบ้าง
ฉะนั้นเราจะกำจัดความชั่วด้วยการทำความดี ได้หรือไม่ (ได้)  ไม่ต้องเป็นคนดีแต่ไม่ประพฤติชั่ว ง่ายกว่าไหม (ง่ายกว่า)  ดีกว่าพยายามเป็นคนดีแล้วโดนคนอื่นว่า ว่าไม่ดี แล้วโมโหโกรธา ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  เราเป็นอย่างนั้นไหม พยายามเป็นคนดี พอโดนคนอื่นว่า ว่าไม่ดีโกรธไหม (โกรธ)  แล้วความโกรธเป็นบาปไหม (บาป)  อย่างนั้นดีหรือยัง สู้ไม่โกรธไม่เกลียด ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี ดีกว่าไหม ความยิ่งใหญ่ของการให้ทานคือให้อภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความยิ่งใหญ่ของการมีศีลคือไม่ทำผิดบาป รักษาคุณธรรมแห่งความเป็นคน ความยิ่งใหญ่ของสมาธิคือความสงบ จบ ไม่ก่อเรื่องก่อราว ความยิ่งใหญ่ของปัญญาคือความเห็นแจ้งชัดในโลกใบนี้ แล้วสามารถปลดปลงใจให้เย็นลงได้ ก็เราไปไม่ถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่จะให้ทานก็ยังตระหนี่ แค่จะมีศีลก็มีไม่ครบ เราเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการสร้างบุญ ขึ้นชื่อว่าบุญคือสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข พระพุทธะจึงสอนให้มนุษย์รู้ว่าถ้ามนุษย์ปรารถนาอยากมีสุขมากๆ มนุษย์ก็ต้องรู้จักทำบุญมากๆ เพราะขึ้นชื่อว่าบุญเป็นชื่อของความสุข บุญยังเป็นที่พึ่งพิงของเวไนยสัตว์ไม่ว่าภพนี้หรือภพไหนๆ คนที่ทำบุญได้ดีแล้วบุญจะติดตามไปไม่ว่าชาตินี้หรือชาติใด แม้ใครก็มาช่วงชิงบุญของคนๆ นั้นไม่ได้ ดังที่มนุษย์เกิดมาแล้วมักจะพูดว่าคนเราเกิดมาพร้อมบุญกับบาป ถ้าเราหมั่นสร้างบุญ เราก็สามารถสร้างเหตุปัจจัยที่ดีได้ เราถามท่านนะ บุญสร้างด้วยการทำอย่างไรบ้าง (ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)  ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  มด แมลงสาบ งู แมงป่อง ฆ่าไหม 
(ไม่ฆ่า)
โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย ถ้าเขาไม่มีกรรมเกี่ยวกับเรา แม้เขาเห็นก็ไม่ทำร้ายเรา แต่ถ้าเขามีกรรมเกี่ยวกับเรา แม้ไม่เห็นเราก็โดนทำร้าย แล้วเราจะสร้างกรรมต่อหรือเราจะสร้างบุญต่อ (สร้างบุญต่อ)  แล้วบุญที่ดีที่สุดคือ ให้ชีวิต ถ้าอยากมีชีวิตจงให้ชีวิต ถ้าไม่อยากมีชีวิตจงเข่นฆ่าทุกชีวิต 
(ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตาแจกดอกไม้ให้ผู้ที่ตอบคำถาม)
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกต้องออกดอกก่อนจึงตกผล วิถีทางที่จะทำให้เราอยู่บนโลก ไม่ประพฤติชั่ว และปฏิบัติธรรมจนบังเกิดธรรมเห็นแจ้งได้นั้น คือเริ่มต้นง่ายๆ โดยการสร้างบุญ แล้วบุญสามารถสร้างได้ด้วยการทำเช่นไรบ้าง (รู้จักทำทาน)  ทำทานไม่ใช่ทำแค่ในวัด ทำทานไม่ใช่แปลว่าไปโลภเอาของเขามามากๆ แล้วค่อยเอาเงินที่ได้ไปทำบุญทำทาน อย่างนี้ไม่ใช่นะ ทำทานแปลว่า แม้แต่กับคนอื่นก็หวังน้อย เราไม่โลภ ได้ไหม มีโอกาสได้ประโยชน์ เราก็เอาประโยชน์น้อยหน่อย ให้คนอื่นมากหน่อย นี่แหละทำทุกขณะให้เป็นทาน อย่าทำทานเฉพาะในวัด อย่าทำทานเฉพาะคนที่น่าสงสาร แต่เราต้องทำทานกับทุกๆ คนได้ จึงจะเรียกว่าทานอย่างแท้จริง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบทำทานกับแค่พระ ใช่หรือไม่ ชอบทำบุญ ทำทานแต่กับคนที่น่าสงสาร แต่กับเพื่อน กับแฟน กับลูก บางครั้งเราก็ไม่ยอมให้ทาน อยู่กับเพื่อน บางทีอะไรเป็นกำไรเป็นขาดทุนหมดเลย เพื่อนออกมากกว่าให้ฉันออกน้อยกว่าไม่ได้ ต้องออกเท่ากัน สามีออกมากกว่าได้แต่ฉันออกมากกว่าไม่ได้ ใช่ไหม ฉะนั้นคำว่าทานไม่ได้แปลว่า ให้เฉพาะในวัด ให้เฉพาะคนที่น่าสงสาร แต่ทานสามารถให้ได้ทุกที่ ทำได้ทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตาหยิบช่อดอกไม้ที่บังเอิญมีแต่ก้านและใบ ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)  
ทำอย่างไรดี ไม่มีก็สร้างให้มีได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่
(เกิดจากความเมตตา)  บุญเกิดจากความเมตตา ไม่เมตตาเฉพาะคนในบ้านแต่คนนอกบ้านก็ต้องเมตตา ไม่เมตตาเฉพาะลูกเรา แต่ลูกคนอื่นก็ต้องเมตตาให้ยุติธรรมด้วย
(กตัญญูต่อพ่อแม่ ครูบาอาจารย์)  การกตัญญูไม่เฉพาะต่อพ่อแม่ 
ครูบาอาจารย์ แต่จิตใจที่รู้จักขอบคุณในทุกสิ่ง เพราะมีทุกสิ่งจึงมีเรา แม้แต่เพื่อน แม้แต่คนที่เราเกลียดที่สุดเขาก็มีคุณต่อเรา เขาทำให้เรารู้ว่าใครที่รักเราที่สุด แม้แต่คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดก็ทำให้เรารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าดีที่สุด ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตเรามีจิตสำนึกคุณ สำนึกคุณฟ้าดิน สำนึกคุณผู้คน ท่านจะเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม เพราะใครๆ เราก็รัก ฉะนั้นอย่ารู้คุณคนแค่พ่อแม่ แต่จงรู้คุณคนทั้งโลกใบนี้แบบฟ้าดิน ถ้าท่านทำได้ท่านจะพบจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า “ใจฟ้าและใจดิน” ในตัวท่าน ใช่ไหม (ถูก)  เกิดเป็นคนต้องรู้คุณคนไม่ใช่เพียงพ่อแม่ แต่คนทุกคนที่ทำให้เราเป็นคนในวันนี้
(รักษาศีลห้า)  รู้จักมีธรรม พยายามประพฤติให้ครบเพราะคุณธรรมและศีลธรรมเป็นสิ่งพื้นฐานของความเป็นคน คนเรามีเมตตาในจิตไหม คนเรามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม คนเราชอบคนที่ทำดีประพฤติดีไหม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นต้นตอของศีลธรรม ถ้าเข้าใจต้นตอก็ 
เข้าใจความเป็นคน
(รู้จักให้อภัย)  ทานที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาทานทั้งมวลคือ ให้อภัย แต่เหนือยิ่งกว่าให้อภัยคือใดๆ ในโลกก็ไม่มีใครทำให้เราเคืองโกรธ เพราะเรารู้จักขอบคุณ สำนึกคุณ อย่างที่เราบอกไม่มีคนน่าเกลียดที่สุดจะมีคนที่น่ารักที่สุดหรือ ไม่มีคนสกปรกที่สุดจะมีคนที่สะอาดหรือ ไม่มีคนอัปลักษณ์จะมีคนสวยหรือ ฉะนั้นเราควรโกรธใครหรือ จริงไหม แล้วมองให้ลึกเข้าไปอีก ใครที่น่าเกลียดที่สุด ใครที่น่าโมโหที่สุดนั่นก็คือตัวเราเอง จริงไหม มองให้กว้างๆ อย่ามองแค่คนที่เราเห็น มองให้มากกว่าสิ่งที่เห็นแล้วเราจะรู้ว่าใดๆ ในโลกนั้นใครที่ด่าเราในวันนี้ พรุ่งนี้เขาอาจจะกลายเป็นคนที่น่ารักที่สุดก็เป็นได้
(คือการช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ครับ)  การช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เป็นบุญที่ประเสริฐ เป็นบุญที่ดี แล้วเราจะช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้อย่างไร (เห็นคนอดอยากหิวก็ช่วยซื้อข้าวให้เขาทาน ให้พ้นทุกข์)  ดีไหม (ดี)  เขาหิวก็ซื้อข้าวให้เขากินใช่หรือไม่ แต่เราได้ยินมาว่า “หาปลาให้เขากินหนึ่งตัว ไม่สู้สอนวิธีให้เขาหาปลา” ใช่ไหม ฉะนั้นบุญมีหลายอย่าง พูดธรรมะเป็นทานก็เป็นบุญ เห็นใครทำดีแล้วเราอนุโมทนา ก็เป็นบุญ เห็นใครกำลังเดือดร้อนเรารีบขวนขวายช่วยเหลือก็เป็นบุญใช่หรือไม่ มาฟังธรรมด้วยจิตสงบตั้งใจก็เป็นบุญ ฟังไปแล้วกลับบ้านแล้วบอกสบายใจ เอาบุญไปฝากก็เป็นบุญนะ ฉะนั้นตั้งใจด้วยจิตสงบแล้วเกิดปัญญาก็เป็นบุญ แล้วเอาสิ่งที่ตั้งใจจนก่อเกิดเป็นความเข้าใจ แล้วเอาความเข้าใจนั้นไปพูดต่อให้กับคนอื่นก็เป็นบุญ 
ใช่หรือไม่ 
(ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตาประทานดอกไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)  
รับไหม ถ้ารับแล้วส่งต่อก็เป็นบุญ แล้วรับแล้วตัวเองเก็บไว้ไหม  แล้วถ้าเกิดว่ามีแค่ดอกเดียวล่ะ (เราก็เอาดอกแล้วเอาก้านให้คนอื่น)  อย่างนี้เขาเรียกว่าดียังไม่ถึงที่สุดนะ  ถ้าถึงที่สุด เราได้ความอิ่มใจแล้วเราส่งความอิ่มใจต่อ ประเสริฐกว่านะใช่หรือไม่ แล้วเราได้แล้วเราก็ยังรู้จักส่งต่อ ถูกไหม (ถูก)  เรียกว่าบุญต่อบุญ แล้วยังส่งต่ออีกไหม นี่แหละที่เรียกว่าผูกบุญทั่วกว้าง ฉะนั้นอย่ามัวนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้สร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ เพราะว่าให้จึงได้ต่อนะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ผูกบุญด้วยธรรมพบธรรม เห็นธรรมในตัวตนก็เห็นธรรมในตัวคน เห็นความเป็นคนในผู้อื่น ก็เห็นความเป็นคนในตัวเอง ฉะนั้นเราอยู่บนโลก เราจะอยู่อย่างคนที่เห็นธรรมในเขาเห็นธรรมในเรา หรือเห็นความเป็นคนในเขาแล้วยึดติดความเป็นคนในตัวเราคิดให้ดีนะ ปฏิบัติธรรมต้องเลือกแนวทางที่ถูก จึงปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ธรรมในเรา เห็นอะไรก็เป็นเช่นนั้นเอง อย่าไปหวัง อย่าไปเรียกร้องอะไร ถ้าตราบใดเรายังไม่เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต แต่ถ้าเมื่อไรเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตที่เรียกว่าคน เราก็จะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)  เอาอะไรมากกับคน เพราะทุกคนก็หนีไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วจะห่วงทำไม ถ้าอย่างไรก็หนีไม่พ้นทุกข์ ทำไมไม่ทำตัวเองให้พ้นทุกข์ แล้วนำพาเขาให้พ้นทุกข์ด้วย ปลดปลงแล้วปล่อยวางบ้าง อย่าหลงติดโลก อย่าหลงติดสนุก โลกนี้เป็นมายาแต่มายาไหนไม่น่ากลัวเท่ามายาที่เกิดขึ้นจากใจตนเอง รักสนุกจะทุกข์ถนัด เพราะถึงที่สุดมาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า สิ่งที่ติดตามไปได้คือบาปและบุญ ทำไมไม่รู้จักหยุดบาปแล้วสร้างบุญ บำเพ็ญธรรมก็คือเห็นใครทำดีถูกต้องอนุโมทนาก็คือบุญ เห็นใครเดือดร้อนเรารีบช่วยเหลือไม่นิ่งดูดายนั่นก็คือบุญ แค่พูดปลอบประโลมใจให้เขาคลายทุกข์นั่นก็คือบุญ ขึ้นชื่อว่าบุญคือชื่อแห่งความสุข และบุญนั่นแหละเป็นสมบัติที่จะสามารถติดตามมนุษย์ไปไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน ใครก็แย่งชิงบุญของเราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นอย่ามัวแต่หลงสร้างสุขแล้วอย่าลืมสร้างบุญ ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันเสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

สมบัติผลัดกันชม เงินหนึ่งใบร้อยพันเจ้าของ แก่เจ็บตายพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย เรามีบุญกรรมเป็นของตน พึงพิจารณาสำนึกไว้
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

คิดถึงความเหนื่อยอีกแล้ว หัวใจชักแป้วไม่กล้าทุกข์หรือว่ากล้าทน เมื่อทนเป็นศูนย์แม้คูณไม่ส่งเป็นผล เหมือนคุณธรรมของคน คำบ่น
คอยฟ้อง
คิดถึงความเหนื่อยอ่อนล้า หลายคนถึงคราร่วงถลาคำมั่นทิ้งกอง จิตไม่ฝึกฝน ทุกข์ทนเกิดจากสิ่งของ ทุกข์ว่าด้วยเงินหรือทอง ทุกข์คอยสนองตัวการ
โลกกำลังมีปัญหา ปัญหาเรื่องตัวเยอะกว่า เนื่องด้วยตัวเองอาศัย ศิษย์เอยตื่นรู้ด้วยเห็นและเข้าถึงหัวใจแจ้งในธรรมา
คิดถึงความเหนื่อยอีกครั้ง แล้วมีพลังเปลี่ยนความคิด ไม่ยอมท้อใจ 
ที่เหนื่อยเพราะหวัง ระวังคนเฝ้าเอาใจ ถึงบางครั้งยังท้อใจ ทุกข์เป็นกระษัยตัวยา

ทำนองเพลง: น้ำฝนเดือนเจ็ด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


เราอยู่ในโลกนี้เป็นคนที่ไม่ค่อยมีจะกิน ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่)  เป็นคนที่ขาดความรักใช่ไหม เป็นคนที่หาความสุขไม่ได้ใช่ไหม เป็นคนที่หัวใจเว้าแหว่งต้องรอใครมาเติมเต็มใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก็บอกว่าไม่ใช่ทั้งนั้นเลย ก็แปลว่าเป็นคนที่มีสุขใช่ไหม เป็นคนที่มีหัวใจเอิบอิ่มไปด้วยความสุขใช่ไหม เป็นคนที่ไม่ขาดอะไรใช่ไหม ก่อนที่จะทำอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้จักตัวของเราเองก่อนถูกไหม 
อาจารย์เริ่มต้นด้วยการถามที่ตัวศิษย์ก่อนว่า ศิษย์เป็นคนที่ขาดความสุขไหม มันเป็นก้าวแรกและจะเป็นก้าวต่อไป ถ้าเราเข้าใจชีวิตตั้งแต่ก้าวแรกและก้าวต่อไปมันจะมีหรือไม่มีก็อยู่ที่ก้าวแรกถูกไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าศิษย์เป็นคนที่ไม่ขาดความสุขใช่ไหม ถ้าศิษย์เป็นคนไม่ขาดความสุข ศิษย์จะวิ่งหาความสุขในโลกทำไมล่ะ ถ้าเราไม่ขาดความสุข แล้วเราจะหาความสุขทำไมล่ะ ถ้าหัวใจเราไม่เว้าแหว่ง ถ้าชีวิตเราพอแล้ว เราจะดิ้นรนให้เหนื่อยทำไม ถูกไหม ถ้าเรารู้สึกว่าพอแล้ว ที่หามาได้ก็ไม่ต้องทุกข์ ถ้าศิษย์มีความสุขแล้ว พรุ่งนี้ที่หามันจะสุขหรือทุกข์ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามันสุขแล้วใช่ไหม ถ้าตัวเองอิ่มแล้ว อร่อยแค่ไหนมันก็แค่นั้น อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์มีสุขหรือยัง (ยัง)  อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ ศิษย์มีพอกินหรือยัง (ยัง)  
ศิษย์เอ๋ยคนที่หาเท่าไหร่ก็บอกว่าไม่พอ แม้มีเงินมากองตรงหน้าก็บอกว่าไม่พอ คนเช่นนี้หาจนตายก็ไม่พอแล้วก็เหนื่อยจนตาย ฉะนั้นถึงแม้มีหนึ่งร้อย มีห้าร้อย ถ้าใจบอกว่าไม่พอก็หาจนตาย
บางครั้งเราไม่ได้ต้องการเงินเลย แต่สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือรอยยิ้มจากคนตรงข้าม บางครั้งมีเงินเต็มกระเป๋า มีรถราคาแพง แต่คนตรงข้ามที่เรารักที่สุดเขาไม่เคยยิ้มให้เราสักนิด เชื่อไหมว่านำเงินมากองตรงหน้าก็ซื้อรอยยิ้มเขาไม่ได้หรอก ฉะนั้นถามจริงๆ นะความสุขของมนุษย์คือเงิน หรือรอยยิ้ม หรือความเข้าใจกัน หรือการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ถามใจศิษย์นะ ศิษย์พยายามวิ่งหาเงินเพื่อจะได้ซื้อทุกอย่าง แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าบางครั้งเงินซื้อน้ำใจกันไม่ได้ เงินซื้อรอยยิ้มที่เขาให้ด้วยความจริงใจไม่ได้ เงินซื้อความเข้าใจกันไม่ได้และบางครั้งเงินก็ซื้อความรักของอีกคนหนึ่งไม่ได้ ฉะนั้นความสุขที่แท้จริงของศิษย์คือเงินหรือคือความเข้าใจซึ่งกันและกัน และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เหมือนเวลาที่เราดูภาพยนตร์แล้วหัวเราะคนเดียว ไม่มีใครหัวเราะกับเราด้วย มันไม่สนุก ลองไปดูภาพยนตร์ตลกๆ แล้วใครๆ ก็พากันหัวเราะจนท้องแข็ง มันสนุกกว่าใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นความสุขที่แท้คืออย่าหลงทาง อย่าหลงผิด อย่าลืมความจริงแท้ในใจตัวเอง วิ่งหาเงินแทบตายแล้วนำเงินให้ลูก ถึงที่สุดอยากได้ลูกที่เป็นเด็กดี แต่ลูกไม่เคยดูแลเรา บางครั้งลูกก็อยากได้ความเข้าใจ ให้เวลากับ
พ่อแม่ เหมือนตัวเราอยากได้สามีที่หาเงินเก่ง พอหาเงินเก่งสามีไม่กลับบ้านเลยก็คิดว่าเมื่อไรจะกลับมาบ้าน ฉะนั้นความสุขแท้จริงที่ศิษย์อยากได้คืออะไร หลงทางก็หลงผิดไปตลอดชีวิตแล้วก็เหนื่อยไปตลอดทาง เมื่อไปผิดทางก็เหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์ ถึงที่สุดก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะธรรมะสอนให้เรารู้อย่างหนึ่งว่า “สมบัติผลัดกันชม เงินหนึ่งใบร้อยพันเจ้าของ” จริงไหม (จริง)  ศิษย์เอ๋ยแล้วใครล่ะเป็นเจ้าของที่แท้จริง
แม้แต่ตัวเราเอง เราบอกว่าเป็นของเราแต่ถึงที่สุดเราก็ต้องทิ้งมันลงไปให้กับดิน ให้กับน้ำ ให้กับลม ใช่ไหม ฉะนั้นชีวิตคืออะไร วิ่งหาความสุขแต่ลืมความสุขที่แท้จริง วิ่งหาความรักแต่ลืมรักตัวเองและคนรอบข้างไหม ฉะนั้นอยากมาตามความสุขของอาจารย์ไหม อยากรู้วิธีมีความสุขของอาจารย์จี้กงไหม (อยากรู้)  
ถ้าเราพึงพิจารณาอยู่เนืองนิจ สมบัติผลัดกันชม เงินหนึ่งใบร้อยพันเจ้าของ เราหนีไม่พ้นแก่เจ็บตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รักหรือไม่ก็ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ซึ่งล้วนแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยและเราก็เป็นผู้มีบุญกรรมเป็นของตน เราจะหยุดบุญกรรมนั้นได้ก็ต้องอยู่ที่ตัวเราเอง เช่นนั้นสิ่งที่อาจารย์บอกไปศิษย์รู้ไหม (รู้)  รู้หมด ได้ยินมาหมดใช่ไหม แต่ถึงเวลาทำไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า สุขของอาจารย์ง่ายๆ อยากรู้ไหม คืออะไร
(พระอาจารย์เมตตาถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม)
คำนี้บางทีออกจากปากอาจารย์ยาก ถามศิษย์ว่า สบายดีไหม (สบายดี)  แต่ชีวิตของคนบางคนไม่ใช่ง่ายเลย ถามบางคนว่าสบายดีไหม บางคนตอบได้ยาก ใช่หรือเปล่า บางคนกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ต้องแลกด้วยน้ำตา แลกด้วยความทุกข์ แลกด้วยความเจ็บปวด แลกด้วยความเหนื่อยล้าและทุกข์ทน ฉะนั้นบางครั้งคำนี้ออกจากปากอาจารย์ อาจารย์ก็รู้สึกสงสารเหมือนกัน ใช่ว่าทุกคนจะสบายดีได้เหมือนทุกๆ คน บางคนชีวิตก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นตอนนี้ขอให้สบายดีก่อนแล้วกัน ดีไหม (ดี)
เมื่อสักครู่ศิษย์บอกว่าศิษย์จะตามอาจารย์มา และอยากรู้ว่าวิธีหาความสุขของอาจารย์ง่ายๆ คืออะไร สุขของอาจารย์นั้น ถ้าหากศิษย์อยากมีสุขในโลกนั้นง่ายนิดเดียว แค่พอแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็อิ่มแล้ว แค่นี้ก็เลิศแล้ว จะมากขึ้นจะน้อยลงก็ไม่เป็นไร ง่ายไหม (ง่าย)  ใช่ไหม ฉะนั้นอะไรจะมีมากขึ้นก็คือกำไร อะไรจะน้อยลงก็ไม่เป็นไรก็เพราะว่าสุขไปแล้ว มีไปแล้ว อิ่มไปแล้ว เลิศไปแล้วใช่ไหม แต่ถ้าตอนนี้ไม่ดี ไม่สุข ไม่อิ่ม แย่ ขาดทุนไปอีกก็ยิ่งแย่ เพิ่มมาอีกเอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเราเป็นแบบไหน “อาจารย์ตอนนี้ศิษย์ยังไม่พอ” อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์ยังไม่พอ คำว่า “ไม่พอ” ของศิษย์เหมือนกับคำว่า “ทุกข์” ของอาจารย์ คือไม่พอ ไม่ดี ไม่อิ่ม ไม่เลิศหรู ฉะนั้นเมื่อสิ่งที่ดีเข้ามาก็รู้สึกดีขึ้นมานิดนึง พอรู้สึกสูญเสียก็ถอนหายใจและคิดว่าชีวิตมีแต่แย่ลงๆ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วศิษย์เป็นแบบไหน
ฉะนั้นอาจารย์บอกแล้วชีวิตอยู่ที่การเริ่มต้น ถ้าเราเริ่มต้นดี คิดได้ถูก ก้าวต่อไปก็คือกำไร แต่ถ้าเราเริ่มต้นรู้สึกว่าแย่ รู้สึกไม่สวย รู้สึกห่อเหี่ยวจะมีอะไรภูมิใจในชีวิตไหม (ไม่มี)  แล้วพอได้สิ่งที่ดีเข้ามาก็รู้สึกว่าได้รับสิ่งที่ดีเพียงนิดเดียว แต่ถ้าเราคิดว่าได้แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว แค่นี้ก็เลิศหรูแล้ว แล้วจะเอาอะไรอีก ฉะนั้นไปหามาเพิ่มมากขึ้น จะได้มาหรือขาดทุนก็ไม่เป็นไร ฉันมีสิ่งนี้ที่ดีอยู่แล้ว ฉันมีสิ่งนี้ที่เป็นสุขอยู่แล้ว ฉะนั้นแม้ผิดหวังมาก็ไม่เป็นไร
พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์ไม่อยากโศก ถ้ามนุษย์ไม่อยากกลัว ถ้ามนุษย์ไม่อยากทุกข์ ถ้ามนุษย์ไม่อยากเจ็บ จงอย่ามีอยาก จงอย่ามีรัก เพราะความอยากนำมาซึ่งความโศก ความเศร้า ความกลัวและความทุกข์ช้ำใจ” ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติอาจารย์ไม่พอใจในตัวเอง อาจารย์ไม่มีความสุขในตัวเอง อาจารย์จะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อมีใครสักคนหนึ่งมารักอาจารย์ เกิดเป็นความอยากขึ้นมาว่าตอนนี้ไม่มีความสุข แต่เมื่อไปเห็นใครคนหนึ่งที่ถูกใจก็คิดว่าฉันจะมีความสุขนะถ้ามีเขาคนนั้น แล้วกว่าจะได้ใครคนนั้นมา ใจก็ลุ้นว่าเขาจะรักเราหรือไม่รักนะ กลัวไหม (กลัว)  แล้วเมื่อถึงวันหนึ่งพอทราบว่าเขามีคู่ครองแล้ว เราก็รู้สึกเศร้าคิดว่าชีวิตมีแต่เรื่องแย่ๆ มีแต่เรื่องไม่ดี ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่าถ้าไม่อยากโศก ถ้าไม่อยากทุกข์ ถ้าไม่อยากเศร้า กลัวพลัดพราก จงอย่าอยากอะไรและอย่าเผลอรักอะไร เมื่อรักจึงรู้จักผิดหวังเพราะเมื่อรักจึงรู้จักเกลียดชัง แต่ถ้าศิษย์เดินตามทางอาจารย์ ดีแล้ว พอแล้ว หล่อก็ดีแล้วพอแล้ว สวยก็ดีแล้วพอแล้ว เขาจะมารักเราเพิ่ม เราก็ดีแล้วพอแล้ว ถึงวันหนึ่งเขาจะไปเราก็ดีแล้วพอแล้ว ก็เหลือดีแล้วพอแล้วอยู่สิ ไม่ใช่เขาไปดีก็หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นอะไรที่ทำให้อาจารย์ยังสุขได้และเข้าใจในสุขจนเข้าถึงธรรม เพราะอาจารย์จำคำนี้ไว้เสมอว่า สมบัติผลัดกันชม ทุกสิ่งทุกอย่างหนีไม่พ้น แก่เจ็บตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รักและยังต้องทนอยู่กับสิ่งที่ (ไม่รัก)  ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่บุญกรรมเราสร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทุกครั้งศิษย์พิจารณาธรรมอยู่เสมอ สุขทุกข์ไม่ใช่เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข จริงหรือไม่ (จริง)  เราพิจารณาเสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เรามีบุญกรรมเป็นของตน เราอาจจะไม่ได้สร้างบุญกับเขามา แต่เราอาจจะมีกรรมกับเขา เหมือนที่ศิษย์เคยพูด บุญนักหนาที่ได้คนนี้ พอได้คนนี้มาเป็นอย่างไร บุญหรือกรรม (กรรม)  ทำไมตอนนี้เป็นกรรมแล้ว ตอนนั้นเห็นบอกว่าบุญนำพา วาสนาส่ง ตอนนี้กรรมของใครก็ไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์จำในสิ่งที่อาจารย์บอกไว้เสมอ แล้วพึงพิจารณาอยู่เนืองนิจ ศิษย์จะได้เข้าถึงธรรมและศิษย์ควรจะรู้ไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ศิษย์อาจจะบอกอาจารย์อีกว่า อาจารย์ ศิษย์พยายามสร้างเหตุปัจจัยที่ดี ที่ศิษย์ควรทำกับเขา ศิษย์ก็ทำเต็มที่แล้ว ถูกไหม (ถูก)  แต่ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “อดีตไม่สำคัญ อนาคตไม่รู้แน่นอน” ว่าเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือ (ปัจจุบัน)  ใช่ไหม (ใช่)  ผิด เพราะอะไรรู้ไหมศิษย์ อดีตถึงจะดีแค่ไหน อนาคตศิษย์จะวาดฝันสดใสขนาดไหนก็ตาม ปัจจุบันก็ยังเปลี่ยนแปลงได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ปัจจุบันนะศิษย์ แต่เป็นขณะนี้ เดี๋ยวนี้ 
อาจารย์ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ มีคนหนึ่ง ตลอดชีวิตศิษย์ทำดีมาตลอด ทำไมต้องเป็นแบบนี้ อดีตก็ทำมาดีนะ อนาคตน่าจะสดใสแน่นอน เพราะปัจจุบันก็คิดดีทำดี ทำบุญสุนทานตลอด แต่ชั่วขณะแค่นั้นเองนะศิษย์ พอมีคนมาหาเรื่อง มีอารมณ์ขึ้นมาทันที ขึ้นมึงขึ้นกูเลย มาทำอย่างนี้ได้อย่างไร อดีตที่ทำดีมาศิษย์เอ๋ยมันจบตรงนี้เลยมันจบแค่ชั่วขณะนี้ เดี๋ยวนี้เลยนะ เพราะอะไร ดูง่ายๆ ถึงเขาจะบอกว่าอดีตศิษย์เคยทำบุญเข้าวัดมาทุกวัน ศีลไม่เคยขาด ธรรมไม่เคยพร่อง แต่พอโดนหยามนิดหน่อยเป็นอย่างไร พกปืนมายิง แล้วใครตาย คนที่ยิงก็ตายคนที่ถูกยิงก็ตาย
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าไม่ใช่ทำดีมาตลอด ความดีมันไม่ใช่อยู่ที่อดีต ไม่ได้อยู่ที่อนาคต แต่มันอยู่ชั่วขณะนี้ อย่าท้อ พระพุทธะจึงบอกว่าอดทนได้จึงดีได้แท้จริง อดทนได้แม้ตายก็ไปสู่สุขคติภูมิ แต่ถ้าดีมาตลอดอดทนไม่ได้ ชีวิตก็มีเวรมีภัยแค่ชั่วขณะจิต ขณะนี้ ฉะนั้นศิษย์จะบอกว่าอาจารย์ศิษย์ทำดีมาตั้งมาก แค่นิดหน่อยไม่เห็นเป็นไรเลย ฉะนั้นสิ่งสำคัญไม่ได้ดีตลอด แต่สิ่งสำคัญคือชั่วขณะจิตที่ศิษย์โดน ศิษย์ยังรักษาความดีได้ไหม นั่นแหละทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนจริงไม่กลัวการดูหมิ่น สบประมาท เหยียดหยาม เพราะถือว่าเป็นการชดใช้กรรม เพราะจบกรรมหรือว่าชดใช้กรรมหรือเพื่อจะจองเวรจองกรรม ศิษย์คิดให้ดีๆ ดีมาตลอดอยู่แค่ชั่วขณะจิตเดี๋ยวนี้ โดนว่าเล็กน้อยยอมไม่ยอม โดนเอาเปรียบนิดหนึ่งเสียไม่เสีย ฉะนั้นทำดีมาแทบตาย มันไม่ได้อยู่ที่อดีตนะศิษย์ มันอยู่ที่ขณะนี้ เวลาศิษย์คิด ศิษย์คิดเช่นไร
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พึงระลึกไว้เสมอว่า อดีตไม่สำคัญ อนาคตไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร สิ่งสำคัญที่สุดที่ศิษย์มีเวลาอยู่เวลาเดียวคือขณะนี้และเดี๋ยวนี้ เพราะขณะนี้ เดี๋ยวนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตและอดีต เวลาทำดีมาแทบแย่แล้วโมโหไปครั้งเดียว แล้วบอกว่ากุศลถูกไหม้หมดอย่าน้อยใจ แต่จงยอมรับความจริง อาจารย์เทียบง่ายๆ ว่า เขาเป็นเพื่อนเรามาตลอด ดีกับเรามาตลอด มีอยู่วันหนึ่งเราพูดผิดใจนิดเดียว เขาด่าเราคำเดียว ศิษย์เชื่อไหมว่าที่ศิษย์เคยรู้สึกดีกับเขามันหายไปเพียงคำเดียว ไม่น่าเป็นเพื่อนกันเลยจริงไหม (จริง)  หายเลย ที่ดีมาสามสิบปี คบกันมาสามสิบปี เราพูดผิดเเค่คำเดียวเพราะเราโมโห เพื่อนที่รู้สึกดีกับเราตลอด พอเราหลุดปากประโยคนี้ เราจะเป็นเพื่อนเขาสบายใจไหม (ไม่)  เพราะประโยคเดียวของเราเอง ซึ่งพอมานั่งคิดได้ ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น ฉันพูดไปเพราะโมโห แก้ได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อยู่ในโลกอย่าคิดว่าชั่วเล็กน้อยไม่เป็นไร อย่าคิดว่าดีเล็กน้อยไม่ต้องทำ เพราะในอดีตพระพุทธองค์ก็เคยกล่าวไว้ว่า ขอเเค่เพียงพระเทวทัตแม้เป็นคนชั่ว แต่ขอให้ท่านได้บวชและศึกษาในพระธรรม แม้ตายจะตกนรก แต่ผลบุญของการศึกษาพระธรรม ยังทำให้ท่านมีโอกาสกลับมาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ผลบุญแค่นิดหนึ่งที่ท่านได้ศึกษา แต่อีกองค์หนึ่งพระอัครสาวกของพระพุทธองค์จำได้ไหม (ได้)  เพราะเคยทำชั่วอยู่ครั้งหนึ่งคือฆ่าบิดา มารดา ฉะนั้นถึงท่านจะสำเร็จแต่ท่านก็ต้องรับเศษแห่งกรรมนั้นคือต้องถูกทุบตีจนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  องค์ไหน (พระโมคคัลลานะ)  
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ามองแค่เพียงว่าบาปเล็กน้อยไม่เป็นไร ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ หนูขอทำหน่อยนะ ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเมื่อใดที่ผลกรรมมันสนองศิษย์ มันเจ็บยิ่งกว่าเจ็บ เพราะคนเราเวลาเขาเอาคืน เราตบเขาหนึ่งที เขาเอาคืนหนึ่งทีไหม (ไม่)  เขาเอามากกว่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ไปทำเขาเท่าไหร่ ฉะนั้นก่อนทำอะไรพึงสังวรไว้ พึงพิจารณาธรรมไว้ อย่าสร้างเหตุปัจจัยเพราะโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยและบุญกรรมที่เราสร้างทั้งมวลทั้งสิ้นนะศิษย์  แล้วเราจะเกิดมาเพื่อใช้กรรมแล้วจบกรรม หรือเราจะเกิดมาเพื่อเวียนว่ายสร้างกรรมต่อไม่จบสิ้น (ใช้กรรมแล้วจบกรรม)  อย่าใช้กรรมแล้วสร้างกรรมต่อนะศิษย์ 
“คิดถึงความเหนื่อยอ่อนล้า หลายคนถึงคราร่วงถลาคำมั่นทิ้งกอง จิตไม่ฝึกฝน ทุกข์ทนเกิดจากสิ่งของ ทุกข์ว่าด้วยเงินหรือทอง”
ว่าอย่างไร ให้มันมาอยู่กับเราแล้วมันไม่มาเป็นนายเรา ใช่หรือไม่ แล้วไม่ควรมีมันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นไปได้หรือ อาจารย์ว่าสู้แบบนี้ดีกว่า อยู่กับมันแต่เรารู้ทันมัน แล้วมันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ดีไหม อย่างนั้นอาจารย์มีสูตรคูณให้ เหมือนอาจารย์ถามว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง หนึ่งลบหนึ่งเป็นศูนย์ ทำไมเราตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด อย่างนั้นถ้าอาจารย์ถามว่า อาจารย์กับเขารวมกันเป็นอะไร  บางครั้งมนุษย์ทุกข์เพราะพยายามอยากจะรู้ อยากจะตอบทุกอย่างใช่หรือไม่ แล้วก็พยายามคิดว่ามันต้องเป็นไปให้ได้ใช่ไหม ฉะนั้นที่ตอบว่ารวมไม่ได้ก็ถูกนะ ใช่หรือไม่ กับอีกอย่างคือถ้าจะตอบให้ดีก็คือไม่รู้ เพราะศิษย์เป็นเขาหรือ ถูกไหม อย่างนั้นอาจารย์รวมกับผลไม้เป็นอะไร
เหมือนกันนะศิษย์ เราอยู่ในโลกบางครั้งเราต้องเกี่ยวพันกับหลายๆ สิ่ง บางครั้งเราคิดว่าเราพยายามบวก แต่คนบางคนไม่บวกกับเรา บางครั้งเราพยายามลบ แต่คนบางคนอยากบวก ฉะนั้นสูตรคูณอะไรหรือ ที่จะสามารถทำให้เราเข้าใจชีวิตได้อย่างเสร็จสรรพ ถ้าศิษย์รู้ว่ามันไม่มีก็อย่าคาดหวัง อย่ายึดมั่น แต่มนุษย์ไม่ใช่ เห็นอะไรขอคาดหวังไว้ก่อน ขอยึดมั่นว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นไว้ก่อน ฉะนั้นศิษย์ก็รู้นี่สูตรคูณอะไรมันใช้ต่อกันไม่ได้ บางครั้งเราอยากบวกเขาอยากติดลบ เหมือนอาจารย์ถาม อาจารย์กับผลไม้รวมกันเป็นอะไร ศิษย์จะตอบว่า (รวมกันไม่ได้)  ศิษย์เอยใช้สติปัญญา ตอบง่ายๆ เลยว่า ยากเดาอาจารย์ เราอย่าเอามาตรฐานเราไปวัดชีวิตใคร เราอย่าเอาความคาดหวังเราไปคาดหวังใคร แล้วศิษย์จะอยู่ร่วมกับใครได้อย่างมีความสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบคิดว่าหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง ฉะนั้นผลไม้รวมกับอาจารย์เป็น (ยากที่จะคาดเดา)  เพราะอะไรล่ะ พึงระลึกไว้เสมอ เพราะเราไม่สามารถเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถูกไหม เกิดแก่เจ็บตายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นที่อาจารย์ตอบว่า ผลไม้รวมกับอาจารย์เป็นอะไร (ยากคาดเดา)  
ฉะนั้น ศิษย์พึงระลึกเสมอว่าชีวิตเราไม่สามารถคาดหวังอะไรได้ ชีวิตเราไม่สามารถยึดติดอะไรได้ เราก็จะไม่ทุกข์ถูกไหม เมื่อไม่หวัง ก็ไม่ผิดหวังเมื่อไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวัง เมื่อไม่ยึดติดว่าต้องเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ก็ไม่ต้องพยายามที่จะต้องปล่อยวาง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะเราไม่ได้คิดอะไรแล้ว แต่มนุษย์อดไม่ได้ ฉะนั้นศิษย์ต้องการอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ อย่าตีความหมายอย่างยึดติด อย่ามองชีวิตอย่างตายตัวและอย่าบอกว่าตัวเองนั้นหวังดีเลยคาดหวังกับคนอื่น ไม่เช่นนั้นศิษย์จะทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพึงมีธรรมระลึกไว้เสมอว่า “ใดๆ ในโลกกลมๆ ใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้”
มนุษย์ทุกคนมีกิเลสและกิเลสที่ศิษย์มีแล้วอยากจะขจัดทิ้งออกให้มากที่สุด คืออะไรบ้าง (ความโลภ, ความอยาก, ความยึดมั่นถือมั่น, ความเกลียดชัง)  ถ้าไม่รู้จักรักก็ไม่รู้จักเกลียด ฉะนั้นถ้าเรารู้จักมองว่าคนที่เกลียดก็มีอะไรดี เราก็จะได้คลายความเกลียดลง ถ้ามองแต่ความเกลียดอะไรก็ไม่ดีขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้ศัตรูเพิ่มหรืออยากได้มิตรเพิ่ม (อยากได้มิตรเพิ่ม)  ก็จงลดความเกลียดแล้วเพิ่มความรัก เขาอาจจะไม่รับผลไม้จากอาจารย์แต่เขาอาจจะรับผลไม้จากศิษย์ นำผลไม้ไปให้เขาดีไหม (ดี)  อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักเสียสละ เพราะถ้าอยากได้มิตรมากกว่าศัตรู เราต้องกล้าเสียสละ
(อิจฉา)  ศิษย์รู้ไหมคนที่อยู่ในโลก แล้วโชคดีที่สุดสามารถแปรบาปเป็นบุญคือคนที่ใครได้ดีแล้วเราไม่อิจฉา แต่เรารู้จักอนุโมทนาบุญ แปรบาปเป็นบุญ แปรเกลียดเป็นรักดีหรือไม่ แปรอิจฉาเป็นชื่นชมยินดี ที่เรียกว่าเมตตาแล้วกรุณา (ความอยาก,ความยึดมั่นถือมั่น)  ยึดมั่นถือมั่นว่าฉันถูก ฉันดีแล้วใช่หรือไม่ บางครั้งยอมเป็นคนผิดบ้าง ยอมเป็นคนไม่ดีบ้าง คนทุกคนไม่มีใครถูกเสมอ กล้าผิดแล้วกล้าแก้ไขนั้น ประเสริฐกว่า พยายามดีแต่ไม่แก้ไขอะไร ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายที่เจาะหูและมีเครื่องประดับ)
(ความไม่พอใจในตนเอง)  ถึงว่าประดับเต็มตัวเลยนะศิษย์ คนเราน่ารักได้ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่ง มันต้องน่ารักจากใจ แต่ที่เสริมแต่งแปลว่าไม่มั่นใจว่าตัวเองน่ารักพอจึงต้องแต่งให้มันน่ารักยิ่งขึ้น ยิ่งแต่งแปลว่ายิ่งบ่งบอกว่าตัวเองน่าเกลียดจึงได้พยายามทำให้ตัวเองน่ารัก แต่ถ้าไม่แต่งเลยแปลว่ามั่นใจว่าตัวเองน่ารักพอแล้ว ถูกไหม ฉะนั้นหาคุณค่าในตัวเอง คุณค่าคือความดีงาม ความน่ารัก ความสุภาพ ความจริงใจ ความอ่อนน้อม มีค่ายิ่งกว่าเครื่องประดับที่เราต้องเสียเงินเสียทองอีกนะ
สิ่งไม่ดีอะไรที่เราจะขจัดออก (ความไม่พอใจในตัวเอง)  แต่ต่อไปนี้จะรู้จักพอใจและรู้คุณค่าของตัวเองนะศิษย์ (ความโกรธ)  เขาบอกว่าเขาอยากเอาความโกรธออกจากตัว อาจารย์นึกหน้าเขาไม่ออกเลยว่าหน้าโกรธเขาเป็นอย่างไรเคยโมโหจัดๆ ไหมศิษย์ ไหนลองทำหน้าโกรธๆ ให้อาจารย์ดูหน่อย ทำยากแปลว่ามันไม่ใช่ของเราใช่ไหมศิษย์ แล้วไปคบมันทำไม แปลว่ามันไม่ใช่ของเดิมของศิษย์ ตัวตนศิษย์จริงๆ ไม่มีความโกรธ แต่เราไปหลงผิดยึดมั่นความโกรธมาเป็นตัวเรา ฉะนั้นต่อไปขอให้อดทน ทำให้ได้อย่างนี้ แม้จะโดนดูถูกแม้จะโดนรังแกขอให้อดทน อย่าใช้ความโกรธทำร้ายชีวิตตัวเอง เอาโกรธมาให้อาจารย์ แล้วเอาผลไม้ไปแทน ให้แล้วอย่าโกรธอีก
(ชอบขี้เกียจ)  ความขี้เกียจ ไหนออกมาสิ เดินไปตรงนั้นสิ เดินกลับมาสิ ไม่เห็นขี้เกียจเลย แล้วจะขี้เกียจตรงไหน อย่างนั้นไปตรงนั้นใหม่สิ ไปแล้วอยู่ตรงนั้นนะ ไม่ต้องมาแล้ว ขี้เกียจไหม (ไม่ขี้เกียจแล้ว)  อย่างนั้นเดินกลับมา ศิษย์รู้ไหม คุณงามความดี ความสามารถ ความสำเร็จมันพังทลายลงทันที เพราะความขี้เกียจ คุณงามความดีในจิตใจ ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในชีวิต โอกาสดีๆ ข้างหน้า จะมลายหายไปทันที เพียงศิษย์พูดคำว่า “ขี้เกียจ” จำไว้นะ ฉะนั้นอย่าหลุดปากคำนี้ง่ายๆ อย่าปล่อยให้ชีวิตจมกับความขี้เกียจ ไม่เช่นนั้นโอกาสดีๆ ในชีวิตจะหายไปเพราะความขี้เกียจ ให้อาจารย์แล้วอย่าขี้เกียจอีกนะ
(อยากกำจัดกิเลส)  กิเลสตัวไหนที่อยากกำจัดมากที่สุด ขี้บ่น ขี้น้อยใจ ขี้รักสวยรักงาม ใครว่าไม่สวยไม่ยอม เอากิเลสอันไหนให้อาจารย์ดี (ขี้น้อยใจ)  ต่อไปจะเป็นคนที่หนักแน่นโดนใครว่าก็ไม่โกรธดีไหม (ดี)  โดนใครว่าไม่สวยก็ไม่เคือง
(เอาแต่ใจตัวเอง)  ความเอาแต่ใจตัวเอง ต่อไปจะเป็นคนที่รู้จักคิดถึงผู้อื่นมากกว่าคิดถึงตัวเอง รู้จักเห็นใจผู้อื่น อย่าลืม มัวแต่เห็นใจตัวเอง ไม่เห็นใจผู้อื่นก็ไม่ได้
(ความไม่พอ)  แล้วตอนนี้พอบ้างหรือยัง (ยัง)  พอหรือยัง (ยัง)  แล้วมันเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วใครที่เป็นคนหวดตัวเองให้ตัวเองต้องทำจนเหนื่อยแทบตาย สายตัวแทบขาด (ตัวเรา)  ใจที่มันไม่พอ ฉะนั้นอาจารย์ว่า สู้ลดความอยาก เงินที่ไม่พอก็จะเพิ่มพูน ลดความอยาก ลดการเปรียบเทียบกับคนอื่น ใครมีเราไม่มีไม่เป็นไร ที่เราว่าไม่พอก็จะพอทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขมันอยู่ที่เรานะ ไม่ใช่ต้องมีเหมือนคนอื่น ไม่ใช่ต้องแข่งกับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอบ้างนะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยและทำร้ายตัวเอง เดี๋ยวหามาแทบตายก็เอาเงินไปเป็นค่ายารักษาตัว คุ้มไหม (ไม่คุ้ม) คิดให้ดีๆ ก่อนจะอยากฟุ่มเฟือยนะ 
(อยากขจัดความไม่มีสติในตนเอง)  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่ง ช้าหน่อยไม่เป็นไร เจออะไรมากระทบขอให้นิ่ง พูดช้าหน่อย ทำช้าหน่อย แต่ทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ดีกว่าทำไวแล้วเกิดโทษ เกิดกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากมีสติขอให้ช้าและนิ่งให้เป็น (เอากิเลสที่ไม่ดีออกไป)  อยากเอากิเลสที่ไม่ดีตัวไหนให้อาจารย์ (ความหลง)  หลงอะไร หลงสาว หลงเหล้า หลงบุหรี่ (ทุกอย่าง)  แล้วมันเป็นทางมาแห่งความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ติดเหล้าก็ทำให้ปัญญาไม่ดี ติดบุหรี่ก็ทำร้ายสุขภาพ แล้วหยุดบ้างหรือยัง (หยุดแล้ว)  แล้วตอนนี้แก้ไขตัวเองบ้างหรือยัง (พบหมอเรื่อยๆ)  แล้วพยายามทำได้ไหม (ทำได้)  เข้มแข็งไหม (เข้มแข็ง)  อย่างนั้นพยายามนะศิษย์ ถ้าเมื่อไรที่รู้สึกอยาก จงรู้จักมีสติ ใช้สติกำกับชีวิตตัวเอง ดึงปัญญาออกมาให้ได้ เรามีจิตที่เหนือกว่ากาย เรามีจิตที่ยิ่งใหญ่กว่ากาย อย่าปล่อยให้กิเลสอารมณ์มาบังคับกาย อย่าปล่อยให้กายมาควบคุมจิต ไม่เช่นนั้นแล้ว จิตจะทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น เพราะการตกเป็นทาสของสิ่งมึนเมาถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำให้ได้นะ
ตอบว่า (ความมักง่าย)  อย่างนั้นทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ ไตร่ตรองว่ามีศีล มีธรรม ไตร่ตรองว่าถูกต้องทำนองคลองธรรมหรือเปล่า อย่าปล่อยแต่ตามใจ ตามอารมณ์ (ความใจร้อน)  ตัวนิดเดียวใจร้อนหรือ อย่างนั้นต่อไปขอให้ทำอะไร (อย่าใจร้อน)  ได้ไหม (ได้)  แล้วก็อย่าตามใจตัวเองจนเกินไป รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้าง ไม่ใช่อะไรก็ไม่ยอม อะไรก็จะเอาเรื่องได้ไหม (ไม่ได้)  (ความโง่เขลา)  ใครก็โง่ศิษย์เอ๋ย โง่ก่อนแล้วฉลาด ยังดีกว่าฉลาดแล้วไม่ยอมโง่ โง่เป็นก็เป็นที่รักของคนอื่นได้ แต่โง่แล้วต้องฉลาดได้ด้วย
(ความกลัว)  กลัวอะไร กลัวทุกอย่าง อย่างนั้นเกิดมาชีวิตมีใครบ้างที่จะเดินไปบนกลีบกุหลาบแล้วไม่ผิดพลาด ไม่มี แต่ทุกครั้งถ้าศิษย์กลัว ศิษย์จงรู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ เชื่อฟังคนรอบข้าง เพราะคนรอบข้างมีประสบการณ์มากกว่า อย่าดื้อแล้วเราจะได้ไม่ต้องกลัว กลัวอย่างเดียวคือ กลัวแล้วยังดื้ออีก (ความอาฆาตพยาบาท)  ความอาฆาตพยาบาท ใครร้ายมาก็ร้ายตอบ ใครตบมาก็ตบตอบ ใครด่ามาก็ด่าตอบ ดีไหม (ไม่ดี)  คนที่เกิดมาโชคดีที่สุดคือคนที่ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่ผูกเคืองอาฆาตใครแต่รู้จักให้อภัย แล้วศิษย์จะเป็นคนนั้นหรือกลับไปเป็นคนเดิม (คนใหม่)  ทำให้ได้นะ (ความขี้ขลาด)  
ขี้ขลาดอะไร ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าสู้ความจริง นั่นคืออะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอเพียงเรากล้ามั่นใจในสิ่งที่เราทำว่าถูกต้องก็ควรจะกล้า แต่ถ้ามันไม่ถูกต้องเราไม่ควรกล้า เราควรขี้ขลาดนั่นแหละใช่ (รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่ไม่ดี)  รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่ไม่ดีอยากจะกำจัดจากใจหรือว่ารู้เท่าทันใจ การกำจัดนั้นยากแค่รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลงดีกว่าไหม
(อยากเอาความทุกข์ออกจากตัวเอง)  เราหนีความทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นสู้อยู่กับทุกข์ด้วยความเข้าใจดีกว่าไหม คนเราเกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นทุกข์ พลัดพรากก็เป็นทุกข์ แต่ธรรมสอนให้เราอยู่กับทุกข์อย่างเข้าใจและยอมรับความจริง ทุกข์ก็จะไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป (ความยึดติดอยากได้มาเป็นของเรา)  ยึดติดว่าเราต้องมี เราต้องได้ แต่บางครั้งเราก็รู้จริงๆ แล้วว่าในโลกใบนี้ถึงที่สุด อะไรมันก็ไม่มี ที่มีมันถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่าใช่ไหม มองให้ดีๆ มันเหมือนมีแต่จริงๆ มันก็ไม่มี เราเหมือนได้แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ศิษย์จะไม่ถูกรูปลักษณ์ลวงหลอก ถูกไหม เหมือนเงิน ศิษย์ว่าเป็นของศิษย์แต่ถึงเวลามันก็ต้องหมุนเปลี่ยนไป เหมือนแฟน ศิษย์ว่าเป็นของศิษย์แต่ถึงเวลาถ้าเขาเปลี่ยนใจ เขาก็ไม่ใช่ของศิษย์ถูกไหม เหมือนตัวเองเราคิดว่าร่างกายคือของเราแต่ถ้าถึงเวลาอายุมากขึ้น มันก็เปลี่ยนไป
(ความดื้อ)  รู้จักรับฟังรู้จักอ่อนน้อม (อยากให้มีสุขภาพแข็งแรง)  ชีวิตของคนเราล้วนเกิดจากกรรม บางคนกินเหมือนๆ กับเราแต่ทำไมเขาแข็งแรง แต่เราเจ็บป่วย แปลว่าเรามีอดีตกรรมที่เคยทำมา ฉะนั้นตอนนี้ถ้าเจ็บป่วยอะไร สิ่งแรกคือรักษา สิ่งที่สองถ้ารักษาไม่หาย สำนึกขอขมากรรมในบาปที่เราเคยก่อ ด้วยใจที่ยินดีชดใช้ และพยายามงดเว้นเนื้อสัตว์ 
(ความชอบเที่ยว)  และตอนนี้ยังอยากเที่ยวอยู่ไหม อาจารย์ว่าก่อนจะอยากเที่ยวลบคิ้วออกก่อนดีไหม คิ้วบาดตาบาดใจมากเลยนะศิษย์ เที่ยวให้น้อยๆ สร้างคุณค่าให้ตัวเองมากๆ ความสวยงามมันเป็นแค่เพียงเปลือกนอกใช่หรือไม่ คุณค่าของศิษย์ที่แท้จริงมันอยู่ที่ไหน (ใจ)  ใจที่รู้จักรักษาความดีงามถูกต้อง ไม่ใช่ใจง่าย ใช่ไหม ไม่ใช่ใจง่าย จำคำอาจารย์ไว้นะ
(ความมึนเมา, ใจร้อน)  ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะเลิกเมา เลิกเหล้า เพราะว่าดื่มแล้วไม่เคยทำให้ใครดี กลับยิ่งทำให้เรามั่วสุม ประพฤติไม่งาม ขอให้เลิกให้ได้นะศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์ขอบิณฑบาตเหล้า
(พระอาจารย์เมตตาบอกให้นักเรียนในชั้นร่วมอนุโมทนาเพื่อนร่วมชั้นที่จะเลิกเหล้า)
มีคนร่วมบุญกับศิษย์แล้วนะ ฉะนั้นจงแปรบาปให้เป็นบุญ แปรผิดให้เป็นความถูกต้องนะ
(ความท้อแท้)  ศิษย์รู้ไหมว่านอกจากความเกียจคร้านทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตแล้ว ความท้อแท้ ความเบื่อ การทำไม่ได้ การที่ใจไม่สู้ล้วนเป็นอุปสรรคที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์ไม่สามารถประสบผลสำเร็จและไม่สามารถพบคุณค่าที่แท้จริงในตัวเองได้ ฉะนั้นลุกขึ้นสู้ อย่าท้อ
(ความโลภ ความมักง่าย)  รวมถึงความมักมาก ความรักสบายและความเอาเปรียบคน กินแรงได้เป็นกินแรง หนีเที่ยวได้เป็นหนีเที่ยว ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วขยันทำงานไหม (ขยัน)  ขอแค่เพียงรู้จักขยัน ไม่งอมืองอเท้า ไม่เอาเปรียบคน คุณค่าเราก็ประเสริฐสุดแล้ว จริงไหม แต่คนสมัยนี้เอาเปรียบ กินแรง รักสบาย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง แล้ววันๆ เอาแต่ดื่มเหล้าจนหัวราน้ำ อาจารย์ขอบิณฑบาตได้ไหม ว่าจะไม่ดื่มแล้วดีไหม จะได้มีสติ มีปัญญานะ
(ความเจ็บป่วย)  อยากแข็งแรงก็ต้องรู้จักออกกำลังกาย อยากแข็งแรงต้องถามตัวศิษย์เอง กินตรงเวลาไหมก็ไม่ตรง กินถูกสุขลักษณะไหมก็ไม่ถูก กินอะไรเข้าไปในท้อง ทำอะไรกับชีวิตตัวเอง สิ่งดีๆ ที่ควรทำก็ไม่ทำ สิ่งที่ไม่ดีก็ไปลองมาหมด ฉะนั้นสิ่งที่ดีๆ ตอนนี้ควรรีบทำ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ไม่ดีจะย้อนมาหาทั้งหมด สิ่งดีๆ ถ้าไม่รีบทำ สิ่งไม่ดีมันกำลังจะมาหาทั้งหมดที่ศิษย์เคยทำ คิดให้ดีๆ ศีลธรรมดีๆ รักษาไหม บาปกรรมไม่ควรก่อยังก่อไหม ถ้ารับไปแล้วศีลธรรมต้องมีบาปกรรมต้องเลิก ไม่เช่นนั้นสิ่งไม่ดีมันจะมาหาทันที อาจารย์ไม่ได้ขู่แต่เป็นเพราะศิษย์เล่นกับมันมามากแล้ว
(กลัวฟุ่มเฟือย)  คิดอะไรก็ขอให้รู้จักประหยัด อย่าฟุ้งเฟ้อ อย่าตามกระแสโลก ไม่ใช่เพื่อนมีแล้วเราต้องมี นั่นคือจะต้องรู้จักรู้ทันและหยุดมันให้ได้ ไม่เช่นนั้นความคิดนั่นแหละมันจะสั่งการให้กลายเป็นนิสัย กลายเป็นความประพฤติที่ชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดี  (ความอาฆาต)  เราไม่ควรจะมี เวรหยุดได้ด้วยการไม่จองเวร ภัยหยุดได้ด้วยการไม่ก่อภัยเพิ่ม  (ความหลงงมงายเกม)  อย่างนั้นอาจารย์เรียกว่าติดเกมมากกว่า เป็นทาสเกม แล้วตอนนี้ยังติดไหม เล่นได้แต่เล่นแล้วต้องรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ เล่นแล้วต้องไม่เสียความเป็นคน เล่นต้องไม่ทำให้พ่อแม่เดือนร้อน (ความท้อแท้)  หากอาจารย์ไม่สนใจ ไม่เห็นคุณค่า จำไม่ได้จะท้อแท้ไหมก็ไม่หวังแล้วจะผิดหวังทำไม เมื่อสักครู่อาจารย์ก็บอกแล้ว อยู่กับอาจารย์อย่าคาดเดาอะไร อยู่กับใครก็อย่าไปคาดหวังอะไร เราจะได้ไม่ผิดหวัง เราจะได้ไม่ท้อแท้ 
อาจารย์บอกศิษย์ไปแล้วว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐที่สุดนั้นคือความขยันหมั่นเพียร ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนไม่มีค่ามากที่สุด และทำร้ายคุณค่าของตัวเองได้ในฉับพลันทันทีคือความเกียจคร้าน ความท้อ ความเบื่อหน่ายและใจไม่สู้ อะไรๆ ก็บอกว่าทำไม่ได้ คนเช่นนี้แหละเป็นคนที่ดูถูกคุณค่าตัวเอง ปิดกั้นความสามารถตัวเอง แล้วศิษย์อยากเป็นคนแบบนั้นไหม (ไม่อยาก)  ควรท้อไหม (ไม่ท้อ)  แล้วควรเอาไหม (เอา)  แล้วถ้าอาจารย์ไม่ให้จะท้อไหม (ไม่ท้อ)  อย่างนั้นก็ไม่ต้องเอา ศิษย์เอยบางครั้งที่มนุษย์เราท้อเพราะอะไร เพราะทำแล้วหวังผล ทำแล้วยึดมั่นในคุณค่าของความเป็นคน ฉันทำแล้ว คนต้องเห็นคุณค่า ฉันทำแล้วต้องได้ผลดี พอไม่ได้ผลดี พอไม่ได้คุณค่า พอคนไม่ยกย่อง ท้อแท้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์สอนบทเรียนที่ดี ไม่ต้องเอาได้ไหม (ได้)  อย่างนั้นไม่ให้นะดีไหม (ดี)  อย่างนั้นให้คนอื่นแทนไหม (ดี)  อย่างนั้นให้อาจารย์นะ ศิษย์เอย ปิดทองหลังพระทำบุญไม่หวังผล บุญนั้นเป็นกุศลอันประเสริฐยิ่งกว่า ฉะนั้นอาจารย์จะทำให้ศิษย์เป็นศิษย์ที่ดียิ่งขึ้น อาจารย์ควรให้ศิษย์ไปได้มากกว่านั้น ไม่ไปเป็นแค่ทำแล้วได้ผล แต่ควรทำแล้วได้ยิ่งกว่าบุญนั่นคือกุศล “บุญ” คือทำแล้วยังหวังผลยึดติด แต่ “กุศล” ทำแล้วลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ปล่อยวางตัวตนจนหมดสิ้น ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำเพื่อเข้าสู่สภาวธรรม ประเสริฐกว่าไหม
มนุษย์เราหนีไม่พ้น ความโลภ ความโกรธ ถูกไหมศิษย์ ถามให้ชื่นใจหน่อยว่า ผู้ปฏิบัติงานธรรม โลภตัดได้หมดแล้วยกมือขึ้น ไม่มีสักคนให้อาจารย์ชื่นใจเลย โกรธ หลงไม่มีอีกต่อไปแล้ว อาจารย์จะดีใจไหม พูดมากี่ปี สิ่งพื้นฐาน ศิษย์เอยนี่เป็นกิเลสหยาบ ยังมีกิเลสที่น่ากลัวกว่านั้นอีกคือกิเลสละเอียด ที่ทำให้เกิดความมีตัวตนและเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถ้ากิเลสหยาบ ศิษย์ยังตัดไม่ได้เลย แล้วกิเลสละเอียดจะตัดได้หรือ อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ โลภ โกรธ หลง ไม่ต้องพยายามตัดมัน แค่อยู่กับมันแล้วไม่ตกเป็นทาส แค่อยู่กับมันแล้วรู้เท่าทันมันแค่นั้นเอง  เหมือนที่อาจารย์บอกว่า หนึ่งบวกหนึ่งทำไมศิษย์ถึงตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด ฉะนั้นถ้าโกรธมา ศิษย์จะต้องเป็นกับมันไหม (ไม่)  โกรธมาก็แค่โกรธ  แต่ฉันไม่โกรธ
มีสติปัญญายั้งคิด รู้ทันตัวเอง ธรรมะสอนให้เราไม่ใช่รู้จักคนอื่น แต่ธรรมะสอนให้เรารู้ทันตัวเอง ธรรมะไม่ได้สอนให้เราไปจัดการคนอื่น แต่ธรรมะสอนให้จัดการที่ตัวเราเอง ธรรมะไม่ได้สอนให้เราไปแก้ไขคนอื่นแต่ธรรมะสอนให้เราแก้ไขตัวเอง ที่เขาบอกว่ารู้ตื่นเมื่อไหร่ก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น ถ้ายังไม่รู้ตื่นในตัวเอง เราก็ตกเป็นทาสกิเลสอยู่ร่ำไป ฉะนั้นเมื่อโลภมาจำเป็นต้องโลภไหม (ไม่จำเป็น)  โลภแล้วค่อยทำทานก็ไม่มีประโยชน์ สู้ก่อนจะโลภ ให้ทานไป แปรบาปเป็นบุญ แปรร้ายเป็นดี ประเสริฐกว่าไหม (ประเสริฐกว่า)  ขอเพียงรู้ทันไม่โกรธ ไม่โลภ มีได้แต่ไม่ตกเป็นทาสมัน มีได้แต่คุมมันทัน เพราะกิเลสเกิดจาก (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองนะศิษย์ ไปเกลียดมันทำไม แค่อยู่กับมันแล้วใช้มันให้เป็น เหมือนเราใช้มือ ใช้แขน ใช้ขา ถ้าสมมติว่าโมโหจะชี้หน้าด่า อืมฉันผิดเอง โมโหจะด่ามัน เออฉันไม่ดีเอง ได้ไหม (ได้)  ไม่ต้องตัดแต่อยู่กับมันอย่างคุมมันได้ เอามันอยู่ อะไรก็คุมได้ อะไรก็ทำได้ แต่ทำไมกิเลสที่ออกมาจากตัวเองทำไมวางไม่ได้ ละไม่ได้ หยุดไม่ได้หรือศิษย์ มันเป็นผลิตภัณฑ์จากตัวเอง อาจารย์เคยบอกว่าตัวศิษย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรงงานผลิตกิเลสหรือโรงงานผลิตทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ผลิตมันได้ทุกวัน ผลิตมันได้เลิกผลิตไม่ได้หรือ น้อยใจมันได้ทุกวัน เกลียดมัน ด่ามัน ว่ามัน ออกมาจากไหน (ตัวเราเอง)  เกิดที่ตัวเรา ทำไมไม่ละที่ตัวเรา และไม่หยุดที่ตัวเรา หยุดด้วยการพึงระลึกไว้เสมอว่า โลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย เราเป็นผู้ก่อทั้งสิ้นแล้วเราจะหยุดเหตุปัจจัยได้อย่างไร ถ้าเราไม่หยุดที่ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ละ วาง”)
เบื่อฟังหรือยัง (ยังไม่เบื่อ)  ได้คำว่า (รู้ละ วาง)  บางอย่างที่ไม่ดีก็ละ บางอย่างที่ถือไว้ ยึดไว้เป็นทุกข์ก็วาง อย่าได้เป็นคนที่รู้แต่ไม่เท่าทันใจตัวเอง อย่าได้เป็นคนที่รู้จักแต่คนอื่นแต่ไม่รู้จักใจตัวเอง ฉะนั้นขอให้ศิษย์เรียนรู้ธรรมแล้วจงปฏิบัติธรรมด้วย อย่าได้แค่ฟัง แต่ถึงเวลาไม่เคยนำไปใช้ก็น่าเสียดายถูกหรือไม่ (ถูก)  
เริ่มต้นมาตั้งแต่แรกอาจารย์ก็พูดเรื่อง คำว่า “รู้พอ” ถ้าศิษย์อยากมีสุข รู้จักพอเสียตั้งแต่แรกมันก็มีสุข แต่ถ้าอะไรๆ มันก็ไม่พอมันก็ไม่มีสุข แต่กลายเป็นทุกข์ นั่งฟังมาก็เยอะแล้วถ้าอย่างนั้นมารู้วิธีหน่อย อาจารย์ถามศิษย์นะ ศิษย์ในโลกมักจะบอกว่า อาจารย์ฝึกฝนบำเพ็ญถ้าเรากำจัดกิเลสได้เราก็คงพ้นทุกข์ได้ ถามใหม่ว่า ถ้าเรากำจัดกิเลสได้เราพ้นทุกข์ใช่หรือไม่ แล้วถ้าอาจารย์ถามต่อว่าถ้าเราพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ได้ กิเลสก็สิ้นแล้วใช่หรือไม่ ถ้าเราสิ้นกิเลสเราก็สิ้นทุกข์ใช่ไหม แต่อาจารย์เคยได้ยินมาว่าถ้าเราสิ้นทุกข์กิเลสก็สิ้น แต่ถ้าเราสิ้นกิเลสทุกข์ยังไม่สิ้น แล้วตอบอาจารย์ได้ไหมว่าแล้วมันต่างกันอย่างไรล่ะอาจารย์ คนโดยส่วนใหญ่อยากจะพ้นทุกข์ ก็เลยพยายามกำจัดกิเลส แต่พุทธองค์กล่าวไว้ว่า “เมื่อไรที่มนุษย์สิ้นทุกข์ เมื่อนั้นกิเลสก็สิ้นโดยที่ไม่ต้องกำจัดอะไรเลย” แต่มนุษย์ทำตรงกันข้ามคือพยายามกำจัดกิเลสเพื่อจะได้สิ้นทุกข์ แปลว่าเราเข้าใจธรรมะผิดไปนะ งงไหม อย่างนั้นเทียบง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าสมมติว่าเรารู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะสรรพสัตว์ สรรพชีวิต สรรพธรรม รู้ชัด เห็นชัด กิเลสจะเกิดไหม (ไม่เกิด)  รู้ชัดเห็นชัดจนพบธรรมแล้ว อย่างนี้เรียกว่า พ้นทุกข์แล้วก็พ้นกิเลส แต่มนุษย์พยายามกำจัดกิเลสโดยไม่หาทางพ้นทุกข์มันจะพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  โดยปกติมนุษย์โดยส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้เป็นแบบนี้ พยายามกำจัดกิเลสให้หมด แต่ลืมค้นหาทางดับทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์เริ่มยากไปอีกขั้นหนึ่งนะ ไปทันไหม (ทัน)  ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนที่คำพูดคำหนึ่งที่พูดบอกว่า โลกนี้เป็นโลกแค่ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สัจธรรม”
สัจธรรมคือความจริงที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน คนเราหนีแก่ไม่ได้ หนีเจ็บไม่ได้ หนีตายไม่ได้ ฉะนั้นถ้าใครทุกข์กับความแก่คนนั้นคือคนโง่ ทุกข์กับความเจ็บคนนั้นคือคนโง่ ทุกข์กับความตายคนนั้นคือคนโง่ แล้วศิษย์ทุกข์กับความแก่เจ็บตายไหม
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรมที่เรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และว่างเปล่า อาจารย์อยากพูดธรรมะที่ลึกขึ้น ยากขึ้น ละเอียดขึ้นแต่เชื่อไหมว่าอาจารย์ไปไม่ถึงสักทีเพราะศิษย์แต่ละคนไม่ไหว



ศิษย์รู้ไหมว่าธรรมแค่อันนี้เองนะ ถ้าศิษย์เข้าใจหลักสัจธรรมอันนี้ ศิษย์จะตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงและความยึดมั่นในตัวตนได้หมดสิ้นทันที เพราะพระพุทธองค์บอกว่าสิ่งนี้เป็นหลักธรรมแท้จริง และเป็นหลักธรรมที่เมื่อไรเข้าใจธรรมอันนี้ เราก็จะพบอันหนึ่งที่ศิษย์พูดว่าอะไรๆ ก็หนึ่ง นี่แหละหนึ่งอันนี้ แต่มนุษย์ไม่เคยหนึ่ง มนุษย์เอาตัวตนเข้ามาซ้อน หนึ่งเลยเป็นสอง เลยไม่สามารถกลับสู่หนึ่งทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างคือสภาวธรรมอันหนึ่งที่หนีไม่พ้นแก่ เจ็บ ตาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่ามันเป็นแค่สภาวธรรมหนึ่งที่มีอยู่ในตัวเราแต่เราไม่เคยเห็นธรรม เราเอาแต่เห็นตัวตนมันเลยจากหนึ่งกลายเป็นสอง พระพุทธจึงบอกว่าให้กลับคืนสู่หนึ่ง หนึ่งนั้นคือความจริงอันแท้ที่อยู่ในตัวเราที่เรียกว่าธรรมอันว่างเปล่า ที่ทำให้เรากลับสู่ความว่างเปล่าไม่มีตัวตน แต่มนุษย์ยึดติดตัวตนและเอาตัวตนครอบงำสัจธรรมนี้ไว้แล้วบอกว่าก็ฉันเป็นแบบนี้ ก็ฉันดีแค่นี้ นิสัยอย่างนี้ ก็ฉันชอบอันนี้ ฉันเกลียดอันนี้แล้วก็เอาตัวตนนี้มาสร้างเวรสร้างกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อเราหันกลับมามองความเป็นจริงแห่งธรรมโดยปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนแล้วคืนสู่สภาวธรรมเดิมแท้ที่มีแค่นี้เท่านี้ อันนี้มันของปลอม แต่อันที่ไม่มีแล้วทำให้เรากลับสู่ธรรม อันนี้แหละของจริงที่สุด แต่เราไปไม่ถึงเพราะเราติดแค่ฉัน ทำได้แค่นี้ ฉันดีแค่นี้ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ เราเป็นได้มากกว่านี้นะศิษย์ แค่หยุดและวางตัวตนด้วยการตื่นรู้
รู้ไหมคำว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า เมื่อไม่เที่ยงมีอะไรที่เราควรรัก ควรเกลียด เมื่อมันเป็นทุกข์มีอะไรที่เราควรหลง และเมื่อมันว่างเปล่ามีอะไรที่เรียกว่าตัวตน ถ้าเข้าถึงตรงนี้มันจบหมดเลยนะศิษย์ ทำก็พ้นทุกข์แล้วก็สิ้นกิเลสโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มนุษย์เดินผิดทางพยายามดับกิเลสให้สิ้นแต่ไม่เคยเข้าถึงธรรม ธรรมที่จริงแท้อยู่ในนี้ เห็นอยู่ทุกวันทั้งแก่ เจ็บและตาย แต่เราไม่เคยมองให้เห็นถึงธรรม เรามองว่ามีตัวตน แต่จริงๆ แล้วไม่มีตัวตน ทุกชีวิตล้วนเดินหน้าไปสู่ความตาย แต่เราไม่ยอมตาย เราอยากเวียนว่าย เราอยากมีทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมะบอกให้เรารู้ทุกวันว่าไม่มี ว่างเปล่าและจบแล้ว แต่ศิษย์ไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นศิษย์เอยทำอะไรขอให้มีสติปัญญายั้งคิด พิจารณาไตร่ตรองให้ดี เราเกิดมาไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ น่าเสียดายนะ ใช่ไหม (ใช่)  คนเราดีได้ด้วยอะไร
เราดีได้ด้วยการมีใจแต่ไม่แสดงออกจะเห็นหรือ (ขี้อาย)  แต่เวลากินเหล้าสูบบุหรี่ไม่เห็นอายเลย เลิกแล้วใช่ไหม ไม่ต้องอาย ศิษย์ออกจะน่ารักใช่ไหม ทำดีไม่ต้องอาย ทำให้คนยิ้มได้ยิ่งต้องมีความสุขใช่ไหม ฉะนั้นขอเพียงไม่ฆ่าสัตว์ (รักสัตว์)  แล้วกินมันไหม ไม่กินใช่ไหม (ที่บ้านก็เลี้ยงแมว เลี้ยงทุกอย่าง)  แปลว่าที่บ้านก็เป็นคนรักสัตว์ แปลว่าจิตใจเป็นคนมีเมตตา เรามีเมตตาแล้วเราก็ไม่เคืองโกรธใครง่าย เป็นคนใจเย็นใช่ไหม อาจารย์อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วคนต่างจังหวัด มีดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือเป็นคนจิตใจดีและเป็นคนรักความสงบ เสียอย่างหนึ่งคือ (ขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก)  ฉะนั้นถ้าอะไรเป็นความถูกต้องเราต้องหยัดยืน (เหล้าไม่กิน สูบบุหรี่อย่างเดียว)  อาจารย์นึกว่าเหล้าก็ไม่กินบุหรี่ก็ไม่สูบแล้วนะ แต่บุหรี่ทำร้ายร่างกายเรานะ และทำร้ายร่างกายคนรอบข้างเราด้วย ฉะนั้นเพลาๆ หน่อยดีไหม จากวันละซองเหลือวันละม้วน (ได้ จะเลิกแล้ว) อาจารย์อนุโมทนาสาธุ เพื่อตัวเองนะศิษย์เอย ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ เพื่อตัวศิษย์เองได้ไหม ให้กำลังใจหน่อยนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานน้ำในถ้วยชาของท่านให้นักเรียนที่บอกจะเลิกบุหรี่)
อาจารย์ให้น้ำเลยนะ กินแล้วจะได้ช่วยล้างพิษและทำให้ร่างกายดีขึ้น และตั้งใจให้ดีต่อไปนะ เรื่องดีเรายิ่งต้องช่วยกันทำ เรื่องไม่ดีเราต้องยิ่งละวางใช่หรือไม่ เพราะสิ่งนี้มันเป็นเพื่อตัวศิษย์เองนะ ไม่ใช่เพื่ออาจารย์เลยถูกหรือไม่ ศิษย์ทำศิษย์ก็ได้ ถ้าศิษย์เลิก ศิษย์ก็ได้ผลของการเลิกที่ดีถูกหรือไม่ ตั้งใจแล้ว อาจารย์ให้คิดนะ พร้อมเมื่อไรก็มาดื่ม อาจารย์จะวางไว้ตรงนี้นะ ตั้งจิตให้ดี มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะอยากขนาดไหนก็ต้องเลิกให้ได้เพื่อตัวศิษย์เองนะ อยากเกิดมาปัญญาดีก็ต้องเลิกสิ่งเสพติดนะ ตอนนี้เลิกให้ได้นะ บาปอะไรก็เลิกทำดีไหม ไม่ฆ่าสัตว์นะ อาจารย์ยินดีด้วยนะ ขอให้น้ำนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ศิษย์แข็งแรงและมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องนะ เชิญกลับไปนั่งนะศิษย์ แถมผลไม้ให้อีกด้วย สงสัยต้องไปทวนแล้วนะ สิ่งที่รับไปคืออะไร จะได้มีธรรมคุ้มครองตัวเองนะ เอาไปเผื่อแผ่แบ่งปันคนอื่นนะ อย่าเก็บไว้กับตัวเองนะศิษย์เอย ผูกบุญทั่วกว้าง
อะไรคือสิ่งดีที่เราควรกระทำ (จิตอาสา)  อาสาทุกข์แทนผู้อื่น (อาสาทำในสิ่งที่ถูกต้อง)  มีจิตช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่นิ่งดูดาย ใครเดือนร้อนอะไรก็อยากช่วยเหลือ แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่ง ช่วยคนประเสริฐที่สุดคือช่วยให้เขามีปัญญาคิดได้ ช่วยเงิน ช่วยทองก็ไม่สู้เท่ากับให้เขามีปัญญาคิดได้แล้วรู้จักไปคนอื่นต่อ นั่นคือช่วยให้เขามี (ช่วยให้เขามีปัญญาเสียสละในทางที่เราสอน แนวคิด)  แต่บางครั้งแนวคิดเราบางทีมันก็เพี้ยนใช่ไหม ฉะนั้นควรจะช่วยเขาด้วยการช่วยให้เขาเข้าใจในหลักธรรมแห่งชีวิต ธรรมะคือแสงทองที่นำพาชีวิตให้พบความสว่าง ฉะนั้นจะช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้คือรู้จักช่วยให้เขามีธรรม เข้าใจธรรมและเห็นธรรม ด้วยการเห็นธรรมในตัวเราและนำธรรมนั้นไปช่วยผู้คน
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนฝ่ายชายท่านหนึ่ง แต่เขาไม่ตอบ)
ศิษย์เอย นักเรียนคนนี้ทำให้อาจารย์รู้สึกว่า ความมีคือความว่าง เห็นเหมือนไม่เห็น อะไรดีๆ ที่เราควรปฎิบัติต่อกัน ศิษย์เอย ง่ายๆ คือน้ำใจต่อเพื่อนบ้านไม่เห็นแก่ตัว ไม่โยนความผิดให้คนอื่น ใช่ไหม เราเป็นไหม (เป็นครับ)  ศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้น่ารักมากๆ เลย จะกลับก็ปลื้มใจ ที่พูดมาไม่มีอะไรเหลือเลย อาจารย์ไปต่อไม่ถูกเลยศิษย์เอย เขาน่ารักดีนะ น่ารักตรงที่ซื่อๆ ใสๆ ไม่มีอะไรเลย เอาไปฝากแฟนนะ 
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ถ้าแฟนถามว่าไปฟังธรรมะมาได้อะไรมาบ้าง (ได้แอปเปิ้ล)  หายง่วงแล้วนะ งั้นอาจารย์กลับแล้วนะ ดีไหม
ศิษย์เอยจงรู้ไว้อย่างหนึ่งนะว่าชีวิตของศิษย์นั้นมีคุณค่า คุณค่านั้นอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามโดยพยายามค้นหาให้พบธรรมที่แท้จริงในตัวเอง
อย่าหลงไปกับโลกใบนี้ ฉะนั้นขอให้ศิษย์ทำอะไรมีสติยั้งคิด อย่าปล่อยให้ความโลภ ความอยาก มาชักนำให้เราทำผิดทางเลย อย่าเพียงเพราะความอยากเลยเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น อย่าเพียงเพราะความโลภเลยคึกคะนองทำร้ายผู้คน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำอะไร เพราะว่าเวลากรรมมาสนองผลแล้วใครก็หนีไม่พ้น อาจารย์จึงอยากบอกว่าขอให้ศิษย์พิจารณาอยู่เสมอ โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย ถ้าเราไม่ก่อเหตุก็ไม่ต้องรับผล ถ้าเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมให้หมด ไม่สร้างกรรมต่อเราก็หยุดการเวียนว่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะยุคนี้เป็นการปกโปรดยุคสามที่หวังจะช่วยเวไนยให้พ้นทุกข์ นำพาเวไนยสัตว์กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ฝึกฝนบำเพ็ญท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่เรียกว่าสังคมในครอบครัว โดยเริ่มต้นจากตัวเราแล้วนำพาครอบครัว และจากครอบครัวสู่สังคม ถ้าเราบำเพ็ญได้ดี ปฏิบัติได้ดี ครอบครัวก็ร่มเย็น ครอบครัวเป็นรากฐานของสังคมใช่ไหม (ใช่)  ตัวเราเป็นรากฐานของชีวิตและจิตใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าความคิดเราถูกต้องชีวิตเราก็ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราดำเนินชีวิตถูกต้อง เราจะบอกผู้คนเราก็พูดได้ด้วยการปฏิบัติตัวเราให้คนอื่นเห็นใช่หรือไม่ สอนโดยไม่ต้องพูดมากใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นอาจารย์เป็นแค่ตัวแทนมาบอกให้ศิษย์รับรู้ มาบอกให้ศิษย์ตื่นขึ้นจากความหลงในโลกนี้ อย่าคิดว่าเราบำเพ็ญไม่ได้ เราทุกคนบำเพ็ญได้ อย่าดูถูกตัวเองว่าเราพ้นทุกข์ไม่ได้ วันนี้ไปฝึกต่อข้างบนก็ยังได้ แต่ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจและมีปณิธานสืบต่อที่จะช่วยเหลือผู้คน ไม่ทนนิ่งดูดาย เห็นตัวเองทุกข์แล้ว เห็นคนอื่นทุกข์แล้วสนแต่ตัวเองไม่สนผู้อื่นก็ไม่ใช่ อาจารย์อยากให้ศิษย์เปิดจิตโพธิสัตว์ คือช่วยตัวเอง ช่วยผู้อื่น แม้ตนทุกข์เราก็ยังมีใจช่วยคนให้พ้นทุกข์ นี่แหละจิตที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่อาจารย์ได้มาผูกบุญกับศิษย์
อย่างนั้นวันนี้อาจารย์ก็คงถึงเวลาต้องกลับ เสียดายไม่ตอบอาจารย์เลย อยากได้แอปเปิ้ลหรือเปล่า อยากได้แต่ขี้อาย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเดี๋ยวถ้าจบชั้นเขาแจกแอปเปิ้ลก็ถือว่าเป็นผลไม้จากใจอาจารย์มอบสู่ศิษย์ ขอให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญ อย่าลืมว่าเรามีความเป็นพุทธะ เรามีสภาวธรรมอยู่ในตัวเอง เรามีสภาวะแห่งความตื่นรู้ในตัวเอง แต่ขอเเค่เพียงมีสติและใช้ปัญญาให้ถูกทาง อย่าหลงผิดเพียงแค่ชั่ววูบที่คิดผิดคิดร้ายนะศิษย์ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก จับมือลาอาจารย์ไหม จับมือไหม มีโอกาสมาผูกบุญกันอีกนะ จับมือแล้วแปลว่าจะมาอีกนะกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง  ไหวไหมศิษย์ (ไหว)  อย่าหลงผิดทางนะ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว อาจารย์ไม่ทิ้งศิษย์หรอก ขอเพียงศิษย์ประพฤติถูกต้องประกอบแต่สิ่งที่ดีงาม อาจารย์คุ้มครองศิษย์แน่ กลัวอย่างเดียว คิดผิดคิดร้าย แม้อาจารย์อยากช่วยก็ช่วยได้ยาก
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ร่วมฟังแล้วต้องปฏิบัติด้วย อย่าเอาแต่ฟังแต่ถึงเวลากลับไม่ยอมทำใช่ไหม เป็นศิษย์อาจารย์แล้วรู้จักประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้องดีงาม สิ่งใดไม่ดีละเว้นให้ได้ ความน้อยใจ ความคิดมาก ความฟุ้งซ่านต้องตัดให้เบาบางใช่หรือไม่ จับมือแล้วต้องมาอีกนะ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว รู้จักประพฤติดีประพฤติชอบนะศิษย์เอย อย่าทำร้ายตัวเองเพียงเพราะเรื่องที่ไม่ถูกต้องนะ ทำได้ไหม ตั้งใจทำให้ดีนะเพื่อตัวเอง ใช่หรือไม่
มาจากแดนไกลรู้เรื่องหรือเปล่า ตั้งใจบำเพ็ญนะอย่าหลงทาง มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะศิษย์เอ๋ย อย่าทำผิด กลับมาอีกนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ รักษาศีลรักษาธรรมเหมือนที่ศิษย์พยายามทำนะ เป็นเด็กดีนะ เข้าใจไหม ทำยากไหมวิธีของอาจารย์ (ไม่ยาก)  ขอแค่เพียงรู้ตัวเองแก้ไขตัวเองไม่ต้องไปเปลี่ยนใครไม่ต้องไปแก้ใครใช่ไหม ตั้งใจบำเพ็ญเดินหน้าแล้วก้าวให้ถึงที่สุด เสียสละแล้วอุทิศแล้วทำให้เต็มที่ ไม่หน่ายไม่ท้อ ไม่ทุกข์ทนทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย ตั้งใจบำเพ็ญนะ อาจารย์อยากเจอศิษย์จริงๆ เจอแบบคนที่พ้นทุกข์แล้วเข้าถึงธรรม แล้วกลับไปอยู่ด้วยกันนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

สมบัติผลัดกันชม เงินทองร้อยพันเจ้าของ ลูกหลาน คู่ครอง รักแค่ไหนก็ต้องจาก ห่วงแค่ไหนก็ต้องวาง แก่เจ็บตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ล้วนเป็นธรรมดา อันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น
ทุกชีวิตล้วนมีบุญ บาป กรรม เริ่มที่นี่ ละที่นี่ วางที่นี่ และหยุดที่นี่ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ พึงพิจารณาอยู่เนืองๆ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายเยือนโลกาอีกครั้งหนึ่ง น้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนยังคิดถึงกันไหม


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


”สมบัติผลัดกันชม เงินทองร้อยพันเจ้าของ ลูกหลาน คู่ครอง รักแค่ไหนก็ต้องจาก ห่วงแค่ไหนก็ต้องวาง พอถึงเวลาต่างคนต่างไป”
แก่เจ็บตาย ทำไมอาจารย์ไม่เอาเกิดพอจำได้ไหม แก่เจ็บตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งไม่รัก เป็นความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น ถูกไหม (ถูก)  หนีความแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  หนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นคนฉลาดควรทุกข์ซ้ำกับสิ่งที่เรียกว่าแก่เจ็บตายไหม (ไม่)  เวลาแก่แล้วเราไม่เจ็บเราไม่ทุกข์ไหม มันเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเวลาแก่เราไม่ควรทุกข์ไหม เราควรปลดปลงและปล่อยวาง ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่นแล้วยื้อให้มันตึงตลอดใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่กับการยอมรับกับความจริงอันหนีไม่พ้น ล้วนเป็นธรรมดาอันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่ามันเป็นธรรมดา ใครๆ เกิดมาก็ต้องตายใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าทุกข์จนถึงขนาดทำร้ายตัวเอง ความตายน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  พระพุทธะบอกว่าความเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย ถ้าเราทำได้ดีที่สุดแล้ว ความตายอาจจะกลายเป็นการได้พักผ่อนที่แท้จริง ได้สงบที่แท้จริง ได้พักจริงๆ แต่ความเกิดทำให้เราวุ่น ทุกข์แล้วทุกข์อีกไม่จบสิ้นก็เป็นได้จริงหรือไม่ (จริง)  แต่คนที่กลัวตายคือคนที่ยังดีไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ายังกลัวตายแปลว่ายังทำดีไม่พอจงรีบขวนขวายอย่าประมาท เพราะเราไม่รู้ว่าขณะต่อไปเราจะอยู่หรือจะตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งลมหายใจเราไม่มี แม้อยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้
ดังมีคำกล่าวไว้ว่า “มีเหตุปัจจัยหนุนเนื่องก็ยังหมุนเปลี่ยนแปรผัน ไร้เหตุปัจจัยหนุนเนื่องจะหมุนเปลี่ยนแปรผันได้เช่นไร” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ตลอดเลย ถึงเวลาไม่เห็นทำได้อย่างที่ใช่เลยถูกหรือเปล่า (ถูก)  ล้วนเป็นธรรมดาอันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักยินดี ยอมรับและรู้จักปลดปลง ปล่อยวางบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกชีวิตล้วนมีบุญ บาป กรรม เมื่อมันเริ่มที่นี่ ทำไมไม่ละที่นี่ วางที่นี่และหยุดที่นี่ เราเป็นคนสร้างบุญ เราเป็นคนสร้างบาป และเราก็เป็นคนสร้างกรรมที่เรียกว่า กรรมทางบุญ หรือกรรมทางบาป หรือกรรมดีกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราจะเกิดมาเพื่อสร้างกรรมต่อ หรือจะละแล้ววางแล้วหยุด ฉะนั้นเริ่มที่นี่ ละที่นี่ วางที่นี่และหยุดที่นี่ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ แล้วถ้าเราอยากหยุดเรื่องทุกอย่าง อยากหยุดกรรมหยุดบาป เราจะหยุดได้อย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนยังคิดถึงกันไหม)
คิดถึงกันจริงๆ หรือเปล่า ถ้าวันนี้ยังเรียกชื่ออาจารย์ไม่ถูก อาจารย์ไม่มาแล้วนะ อาจารย์ชื่ออะไรนะ (พระอาจารย์จี้กง)  สงสัยอาจารย์แก่แล้ว อาจารย์ได้ยินเป็นขี้โกงทุกทีเลย อาจารย์รีบมารีบกลับดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าอย่างนั้นตอบได้อาจารย์อยู่ต่อ ตอบไม่ได้อาจารย์กลับเลยดีไหม (ไม่ดี)  อยู่ต่อเดี๋ยวไม่ต้องกลับแล้วนะ 
เรื่องราวในโลกทั้งหลายหยุดลงได้ตรงที่คำว่า (พอแล้ว)  ดีใจมากเลย ศิษย์ตอบถูก จริงๆ นะศิษย์ ทุกอย่างมันจบลงเลย กิเลสก็จะไม่เกิดถ้าศิษย์บอก “พอแล้ว” จะโลภไหม (ไม่โลภ)  ถ้าศิษย์บอกดีแล้ว จะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าศิษย์บอกหลุดแล้ว จะหลงไหม (ไม่หลง)  ก็พอแล้วดีแล้วจะมีอะไรให้หลงอีกแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกอย่างนะศิษย์ มันเริ่มที่ตรงนี้ แล้วเราจะหยุดจะวางได้ก็ต้องหยุดที่ตรงนี้ ไปห้ามใครไม่ได้ มายาโลกไม่เท่ากับมายาที่เกิดจากใจ กิเลสข้างนอกภายในโลกก็ไม่น่ากลัวเท่ากับกิเลสที่มันสะกิดใจเราให้อยากอยู่นั่นแหละ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกอย่างในโลกจะหยุดลงได้ ขอเพียงศิษย์ เท่าทันใจตนนะศิษย์เอย
ศิษย์อยากจะเป็นคนดีก็ต้องเริ่มที่ตรงนี้ ไม่ใช่เริ่มที่คนอื่น ถูกไหม (ถูก)  แต่ศิษย์ก็บอกอาจารย์ว่า อาจารย์แต่คนบางคนเขาสุดๆ จริงๆ เลยนะ ถ้าเขาด่ามา ศิษย์จะ (นิ่ง)  นิ่งเฉยๆ พอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำได้อย่างนั้นตลอดก็ดี แต่อาจารย์มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอีก ศิษย์จำไว้ศิษย์ชอบเป็นคนที่ชอบให้ทานคน ฉะนั้นเขากำลังโมโหมา เขาคือคนที่กำลังน่าสงสาร เขาคือคนที่กำลังทุกข์ การให้ทานที่ประเสริฐที่สุดคือ ให้อะไรเป็นทาน (ให้อภัย)  ใช่หรือ สิ่งที่ดีที่สุดยิ่งกว่าการให้อภัยคือ ให้ธรรมะเป็นทาน เขาโกรธมาเราโกรธตอบ เราคือกำลังให้กิเลสตอบ เขาให้กิเลสมาเราให้กิเลสตอบมันไม่จบ แต่เราจะเป็นคนที่เข้าใจในธรรมะ และเอาธรรมะมาปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติแค่ในวัด แต่ทุกๆ ที่เราก็ต้องปฏิบัติได้กับใครเราก็ไม่เลือกปฏิบัติ เพราะบุญที่ปฏิบัติแล้วเลือกเฉพาะคนเป็นบุญที่ไม่ยิ่งใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจะเป็นบุญที่ทั่วกว้าง ใครๆ เราก็ทำได้ ฉะนั้นเขาด่ามา เราให้ธรรมะเป็นทาน ไม่โกรธ อดทน เข้าใจ ได้ไหม (ได้)  เขานินทามาเข้าหูเรา เราทำอย่างไร (นิ่ง)  ธรรมะยังสอนอีก ถ้าเขาด่าเรามาเราคิดว่าทำไมเขาต้องด่าเรา ทำไมเขาต้องว่าเรา เอาธรรมะข้อที่สองตอบ ศีล ตรวจสอบว่าศีลเราถึงพร้อมไหม คุณธรรมเราด่างพร้อยไหม ถ้าเขาด่ามาแล้วคุณธรรมเราด่างพร้อยอย่างที่เขาว่า เอาศีลนั้นมาตรวจสอบความประพฤติ การกระทำ คำพูด ถ้าผิดศีลเราก็จงยอมรับ ขอบคุณที่ด่าเรา ใช้ศีลมาตรวจสอบความประพฤติปฏิบัติ แล้วเราก็ให้ธรรมกลับคืนไปว่าขอบคุณที่ให้ธรรมฉัน ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ ถูกไหม (ถูก)  แล้วเมื่อไรที่มีอะไรมากระทบ เราสามารถนิ่งและพิจารณาจนบังเกิดธรรมได้ เราเกิดความสงบนั่นคือเราได้สมาธิ และถ้าเราเข้าใจกระจ่างจนกระทั่งแจ่มแจ้งในหลักธรรมแห่งชีวิตเราก็ได้ปัญญา ปฏิบัติธรรมได้แม้ถูกต่อว่า ปฏิบัติธรรมได้แม้ถูกนินทา ปฏิบัติธรรมโดยทุกๆ ขณะที่ถูกกระทบ
ยกตัวอย่างเช่นเห็นเขาแต่งตัวสวยและดูดี อยากแต่งตัวสวยและดูดีไหม (อยาก)  เมื่อไรที่อยากแต่งตัวสวยนั่นหมายความว่าจริงๆ แล้วตัวเองพร่องในความสวย เมื่อไรที่พยายามแต่งตัวจริงๆ แล้วตัวเองหาความสวยไม่มี เมื่อไรที่อยากได้ความรักนั่นหมายความว่าตัวเองไม่เคยรักตัวเองเลย ใช่ไหม (ใช่)  สวยก็ไม่มี รักตัวเองก็ไม่เคยรัก ไม่เหลืออะไรเลยหรือ
เมื่อวานนี้ที่อาจารย์ถามศิษย์ตั้งแต่ต้น เราเกิดมาพร้อมกับความไม่รักตัวเอง ไม่ชื่นชมตัวเอง คุณค่าตัวเองไม่มีหรือศิษย์ เราถึงต้องกลายเป็นคนที่วิ่งหาไม่จบสิ้น แต่ถ้าถามตัวเองว่ารักตัวเองไหม (รัก)  คุณค่าตัวเองมีไหม (มี)  ถามว่าตัวเองดูดีไหม (ก็ดี)  แต่ทำไมจึงชอบไขว่คว้าโดยลืมค่าตัวเอง จำไว้นะเมื่อไรที่หานั่นหมายความว่าตัวเองรู้สึกไม่มี แต่ถ้าเมื่อไรที่พอนั่นหมายความเราหยุดแล้ว เราทำได้ดีแล้ว แต่ไม่ใช่ไม่ให้พัฒนาตัวเองนะศิษย์ อะไรดีจงดียิ่งขึ้น อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไม่ก้าวหน้า ไม่รับผิดชอบการงาน แต่ให้รู้จักเริ่มต้นพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีก่อน การไปทำหน้าที่ การไปรับผิดชอบต่อการเป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นหัวหน้า เป็นลูกน้องก็ต้องทำให้ดีต่อไป เหมือนที่มนุษย์กล่าวไว้ว่ารับผิดแล้วต้องรับชอบ รับชอบแล้วต้องรับผิด เรียกว่า “รับผิดชอบ”  ฉะนั้นถ้าเราอยากหยุดโลกจะหวังแต่ดีไม่เจอร้ายเป็นไปได้ยากนะ อะไรที่เป็นกิเลสจงพยายามอย่าปล่อยให้มันลุกขึ้นมาครอบงำตัวเอง อะไรที่เป็นคุณธรรมจงพยายามปล่อยให้มาอยู่กับตัวเอง
ฉะนั้นรู้จักควบคุมชีวิตตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้กิเลสครอบงำ แต่จงรู้จักนำคุณธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่อาจารย์บอกเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  จำไว้นะศิษย์ เมื่อไรที่คนอื่นให้กิเลสมา ไม่จำเป็นที่เราต้องให้กิเลสตอบ เมื่อไรที่เขาต่อว่ามา ร้ายกับเรามา ไม่จำเป็นต้องร้ายตอบ แต่เราจะรู้จักให้ธรรม ให้ความดีตอบและดำเนินชีวิตถูกต้องหรือไม่ อย่าไปเอาคำพูดคนมาเป็นบรรทัดฐาน อย่าไปเอาปากคนมาเป็นตัววัดจิตใจ หรือชีวิตเราแต่จงใช้ศีลธรรม คุณธรรม แห่งความเป็นคนคอยตรวจสอบตัวเราถูกต้องไหม ทำแล้วมีเมตตาไหม ทำแล้วมีจริยะที่ดีงามไหม ทำแล้วผิดกับมโนธรรมสำนึกในใจไหม ทำแล้วเรียกว่าคนซื่อตรงไหม ทำแล้วเรียกว่าคนมีปัญญาหรือคนโง่ ถ้าทุกขณะพิจารณาอยู่ตลอดชีวิตเราจะไม่ห่าง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญาเราจะไม่มีวันห่างธรรมเลย พอเราเจออะไรในชีวิตที่เป็นเรื่องความทุกข์ เราจะได้พึงไตร่ตรองพินิจอยู่เสมอว่า พึงพิจารณาอยู่เนืองๆ ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ขอให้พิจารณาอยู่เนืองๆ
วันนี้ที่อาจารย์จะบอกศิษย์มีแค่นี้ดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะไม่ว่าเจอเรื่องอะไรกระทบ ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรในชีวิตขอให้คิดอยู่เสมอว่า จงให้ธรรมะเป็นทาน ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลและธรรม มีสติปัญญาไตร่ตรองให้ดี ก่อนจะตัดสินใจก่อนจะทำอะไร อย่าปล่อยให้อารมณ์เพียงชั่ววูบทำให้เราต้องก้าวผิดไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มาครั้งนี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อไขความกระจ่างในบางเรื่องที่เขาคิดว่าอาจารย์ให้ไม่ครบ ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์กลับมาอีกครั้งหนึ่งก็คือ อยากมาให้กำลังใจศิษย์ของอาจารย์ ศิษย์ที่ต้องทำงานอยู่เบื้องหลัง ศิษย์ที่คอยหนุนช่วยงานธรรมะ ศิษย์ที่คอยผลักดันให้งานธรรมะยังคงอยู่ และส่งต่อไปด้วยหัวใจที่เสียสละ อาจารย์ต้องขอบคุณจิตใจอันนี้ จิตใจที่สู้ไม่ถอย จิตใจที่รู้จักเสียสละอุทิศเพื่อคนอื่นจิตใจที่รู้จักแต่ให้ รักษาใจนี้ไว้นะศิษย์ ใจที่มีแต่ให้ไม่หวังผล ใจที่มีแต่ให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใจที่มีแต่ให้แล้วไม่ติดในผลดี อะไรที่เป็นร้ายก็แก้ไข อะไรที่เป็นดีจงดียิ่งขึ้นต่อไป รักษาใจนี้ไว้นะ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมแห่งใหม่ที่ จ.กาฬสินธุ์)  
ฮุ่ยอีกที่ที่อาจารย์จะให้เป็น ฮุ่ยเอิน (??)  เป็นจิตใจที่มีปัญญา ในปัญญาแห่งการรู้แจ้งเห็นธรรมนั้น ก็ยังมีจิตที่รู้จักสำนึกขอบคุณฟ้าดินและทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะร้ายจะดีก็ขอบคุณ เพราะมีเขาจึงมีเรา แม้เขาจะหนุนช่วยหรือไม่ได้หนุนช่วย แต่ก็เพราะเขาเป็นเขาจึงมีเราที่อยากจะช่วยเขา สืบต่อจิตใจอุทิศเสียสละมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงตราบลมหายใจสิ้นนะ ไปให้ถึงและทำให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มาจากกรุงเทพฯ)  
อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า อาจารย์พยายามทุกอย่างเวลาที่อาจารย์พูดธรรมะก็คือ ทำโดยไม่หวังผลถูกไหม ฉะนั้นทำแล้วไม่หวังผลคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะอยากให้บุญนั้นแปรเป็นกุศล ผลไม้กินอิ่ม มันก็หายไป แต่ธรรมที่มันทำให้เราอิ่มใจ มันยังอยู่ตลอด และมันยังปักอยู่ในใจตลอดไปนะใช่ไหม ผลไม้ศิษย์กินอิ่มมันก็หมดไป แต่ธรรมที่มีอยู่ในใจ ไม่ว่าโดนอะไรกระทบ ไม่ว่าโดนอะไรกระแทกมันก็ล้างธรรมในใจนั้นไม่ได้ นั่นคือใจที่อุทิศเสียสละ ใจที่ยิ่งใหญ่เหมือนพระโพธิสัตว์ ซึ่งอาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจนั้น ใจที่ยังทำให้ศิษย์อย่างไรก็ไม่ทิ้งอาจารย์ เจ็บอย่างไร เหนื่อยอย่างไร ล้าอย่างไร ท้ออย่างไร ก็ไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นคือใจแห่งธรรมใจแห่งพุทธะ ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์มี ผลไม้กิน มีวันอิ่ม แต่หัวใจแห่งพุทธะไปอยู่ที่ไหนมันก็อิ่มตลอดเวลา เจ็บขนาดไหนหัวใจแห่งพุทธะก็กลับมาเข้มแข็งได้  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากเอาใจอาจารย์ให้ไปอยู่ในใจศิษย์ เสียสละ ไม่คำนึงไม่กลัว ตัวเองจะเจ็บ ตัวเองจะเหนื่อย ตัวเองจะล้า ตัวเองจะท้อ ยังเสียสละได้ตลอด ไม่เคยหน่ายท้อ ศิษย์คือจี้กงน้อยๆ ของอาจารย์ ฉะนั้นงานธรรมจะคงอยู่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับหัวใจน้อยๆ ของอาจารย์ทุกคนนี้จะก้าวต่อหรือจะอยู่กับที่ จะมุ่งมั่นไม่ถดถอย มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง หรือว่าจะยอมแพ้ บำเพ็ญแค่ตัวเองแล้วไม่ช่วยใคร ศิษย์ต้องเข้มแข็ง เอาหัวใจของอาจารย์ไปอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน เอาหัวใจแห่งความเมตตาเข้มแข็งนั้นคงอยู่ในใจศิษย์ตลอดเวลานะ ผลไม้กินก็แค่อิ่มกาย แต่ธรรมนั้นคงอยู่และอิ่มใจตลอดกาลนะศิษย์เอย อดทน 
อาจารย์ขอบอก ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่บางทีความตายคือการได้จบปณิธานจบหน้าที่ กลับคืนสู่ที่เดิมนะศิษย์เอย เดินแล้วไปให้ถึงที่สุดตั้งใจมุ่งมั่นให้เต็มที่อย่าท้อถอย เข้มแข็ง อดทน ก้าวหน้า ไม่ว่าเจอเรื่องใดก็ไม่หวั่นไหว ฝ่าฟันทุกอย่างด้วยหัวใจที่เมตตา อุทิศเสียสละนะจี้กงน้อยของอาจารย์
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้ผู้ปฎิบัติงานธรรม) 
เหนื่อยไหม ล้าไหม ท้อไหม ขอเวลาหน่อยนะศิษย์เอยได้ไหม เขาอุตส่าห์เสียสละมาทำงานเพื่อร่วมกันจัดงานนี้ให้ศิษย์โดยเฉพาะเลยนะ เงินเขาก็ไม่เอา ขอแค่เพียงมีรอยยิ้มให้เขาก่อนกลับบ้าน และพูดขอบคุณเขาจากใจ เขาก็คงดีใจแล้วที่เขาตั้งใจมาทำอันนี้แล้วศิษย์ไม่ดูดาย ตั้งใจต่อไปนะ สืบต่อความตั้งใจต่อนะศิษย์ อย่าปล่อยให้มันขาดแล้วขาดเลยนะ ธรรมะทำให้ศิษย์กลับมาแปลว่าหัวใจของศิษย์มีจิตใจอันนั้นอยู่ ฉะนั้นรักษามันต่อไปด้วยความมั่นคง ตั้งใจต่อนะศิษย์
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์รัก มีโอกาสกลับมาร่วมบุญร่วมศึกษาธรรมเพื่อเกิดปัญญากันอีกนะศิษย์ รักษาบุญโอกาสตัวเองให้ดี กลับมาอีกนะ วันนี้อาจารย์จะไม่ร้องไห้แล้ว อาจารย์จะจากศิษย์ด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มแห่งความมุ่งมั่นที่ศิษย์จะไปตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม จำไว้นะศิษย์ ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร เขาจะให้ความโกรธ ความโลภ ความหลง แต่เราจงให้ธรรม เขาจะทำร้ายเราให้เจ็บปวดอย่างไร ดีแล้ว เราจะได้ชดใช้กรรม แต่ดำรงชีวิตให้อยู่ในศีล ในธรรม มีธรรมนำชีวิตนะศิษย์ แม้อาจารย์ไม่อยู่แต่จงมีธรรมเป็นอาจารย์นำทางชีวิต นำทางจิตใจตัวเองนะ จากกันด้วยรอยยิ้ม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ละ วาง”
ปล่อยให้ความเป็นตัวมาขังคน ปล่อยให้ความเป็นคนคอยขังใจ
หลงยึดติดคิดจนเป็นนิสัย ไม่เคยมองธรรมในความแท้จริง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา