วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

2558-07-04 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร


西元二一五年 歲次乙未五月十日                                                仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๕๘  ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ถ้าไม่อยากก็ไม่มีใครลวงได้             ถ้าไม่หลงให้ใจใครยากเจ็บช้ำ
ถ้าไม่ยึดตัวตนยากระกำ                  เรียนรู้ธรรมมีสติเตือนรู้ตน
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักของอาจารย์คิดถึงกันไหม
    บำเพ็ญธรรมก็ได้ธรรม  บำเพ็ญใจก็พบใจ  บำเพ็ญฝึกหัดไว้  มิใช่เพียงหนึ่งคำก็พบใจ  บำเพ็ญกายจงตั้งกาย  บำเพ็ญใจจงตั้งใจ  บำเพ็ญคอยแก้ไข  ว่าทำอะไรแล้วดี
*   ทองแท้อย่างหวั่นหลอมไฟ  ดีกว่าเดิมไว้  อย่าหวั่นไหว  อย่าทำอะไรติดตัว  ถึงวันนี้ทุกข์ใจ  ไม่เป็นอะไร  ท้อใจก็ไม่เป็นไร  ทุกสิ่งทุกอย่างรู้ดี (จากหนึ่งชี้)  ถึงตอนนี้  พากเพียรก็เป็นสิบปี  เหมือนวันเดิมเดิมที่มี   คำตอบใดไม่มี  ไปย้อนมองตนก่อนได้ไหม (ตั้งใจเท่านั้นจึงจะดี  ชนะตนเองตลอดไป)
    บำเพ็ญทำให้ฝันดี  ทำให้กลายเป็นเรื่องดี  บำเพ็ญคำคำนี้  ไม่มีเรื่องไหนพ้นไป จิตใจคนยามใดพบธรรม  ทำอะไรก็ล้วนธรรม  อย่าติดกับคำถาม  เพราะเมื่อลงมือทำก็พ้นไป  (ซ้ำ *, *)
   
ทำนองเพลง : ความรักดีดีอยู่ที่ไหน
ชื่อเพลง : พบธรรมที่ใจ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

"ถ้าไม่อยากก็ไม่มีใครลวงได้    ถ้าไม่หลงให้ใจใครยากเจ็บช้ำ
ถ้าไม่ยึดตัวตนก็ยากระกำ                เรียนรู้ธรรมมีสติเตือนรู้ตน"
สิ่งต่างๆ ในโลกนี้บางทีเห็นก็เหมือนไม่เห็น แล้วสำคัญไหมที่จะต้องเห็น (ไม่สำคัญ)  ถ้าอยากเจอหน้ากันก็ต้องระวังนะ อาจจะโดนหลอกลวงก็ได้นะ  ฉะนั้นก็ไม่ต้องเห็นดีไหม ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อยากโดนหลอกไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากโดนหลอกลวงก็อย่าอยากสิ เพราะความอยากทำให้เราโดนหลอกลวง ที่จริงก็เห็นกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่ตาศิษย์มองไม่เห็นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อะไรที่เห็นหรือได้มาง่ายๆ มันไม่มีค่า บางอย่างต้องยากนิดนึง ลำบากหน่อยจึงจะดูมีค่า แล้วคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่ไหน อยู่ที่ได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อยู่ที่ยากหน่อยใช่หรือไม่ เราลองมาคุยกันหน่อยนะศิษย์
ศิษย์ดีใจไหมที่จะได้กลับบ้าน ลำบากหรือเปล่าที่ต้องมานั่งฟังธรรมะแบบนี้ เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เรียนรู้ทางโลกได้วิชาความรู้ ได้การดูแลตัวเอง แต่เรียนรู้ทางธรรม ได้ความเข้าใจตัวตน เห็นตัวตน และมีพลังใจให้กับตน ส่วนใหญ่ที่เราเรียนรู้ทางโลก เราก็จะได้วิชาความรู้ที่จะทำให้เราเก่ง ที่จะทำให้เราสามารถดำรงเลี้ยงชีวิตตนเองได้ แต่การที่เราฟังธรรมะนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต ความเป็นจริง และการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น ดูว่าเราจะผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร ให้ดี ให้งาม ให้สำเร็จ ฉะนั้นถ้าฟังธรรมแล้ว เข้าใจว่าจะปฏิบัติอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าฟังจบแล้วยังไม่เห็นว่าเราได้อะไรจากธรรม ก็น่าเสียดายนะ
สิ่งที่เราพยายามไขว่คว้า อยากเรียนเก่ง อยากสวย อยากเด่น อยากดัง อยากมีคนรู้จัก พอเราได้มาแล้วมันก็อยู่กับเราไม่ยาวนาน เพราะอีกสักพักมันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าอาจารย์ถามว่า "ใดใดในโลก ที่ศิษย์พยายามไขว่คว้า ยึดมั่น อยากมี อยากเป็น ถึงที่สุด เมื่อมีแล้ว เป็นแล้ว มันก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป"อย่างนั้นแปลว่าเรากำลังวิ่งหาอะไร หาความสะใจ ถูกใจ สบายใจ เหนือกว่าใครแค่นั้น ศิษย์ไม่ได้ต้องการอยากจะมีจริงๆ หรอก บางทีแค่ได้ยืนเหนือกว่าคนอื่นหน่อยหนึ่ง ได้เก่งกว่าคนอื่นหน่อยหนึ่ง แต่ถึงเวลาเรายืดไม่นาน กลับมาก็หดเหมือนเดิม เก่งแค่ไหน สำเร็จแค่ไหน ชนะมากแค่ไหน ถึงเวลาก็ต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างนั้นเราควรไขว่คว้าหาความสุขอะไรล่ะ ทั้งที่จริงๆ แล้วคำว่า "ธรรมดาสามัญ"  คือสิ่งที่ศิษย์ทุกคนต้องมีอยู่ แต่เรากลับไปไขว่คว้า ถึงเวลาเราก็หนีความเป็นธรรมดาไม่พ้น แล้วทำไมเราถึงรังเกียจความเป็นตัวเองแบบนี้ล่ะ ทำไมเราถึงมีความสุขกับความเป็นธรรมดาสามัญตัวเองไม่ได้ล่ะ
ตอนนี้หน้าตาอย่างนี้ เรียนได้แค่นี้ สวยได้แค่นี้ หรือหล่อได้แค่นี้ ถ้าเราพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ธรรมดาสามัญแล้วมีความสุขได้ ศิษย์จะดิ้นรนทำไมให้เหนื่อยยาก ศิษย์จะพยายามแก่งแย่งทำไม ศิษย์จะพยายามไขว่คว้าทำไม ในเมื่อเราดิ้นไปจนถึงที่สุดก็กลับมาเหมือนเดิม ทำไมเราไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แล้วอยู่กับมันให้สุขให้ได้ ไม่ต้องมีโทรศัพท์ ไม่ต้องเปิดคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเจอหน้าใคร ฉันก็มีความสุข ถ้าอยู่กับตัวเองแล้ว ยังมีความสุขไม่ได้ ชีวิตนี้ศิษย์ไปวิ่งหาทั่วโลกศิษย์ก็มีความสุขไม่ได้ ถ้าหน้าตัวเองยังรับไม่ได้ ศิษย์จะเปลี่ยนไปขนาดไหนก็รับหน้าตัวเองไม่ได้ ถ้าครอบครัวตัวเองยังมีความสุขไม่ได้ ศิษย์ไปหาครอบครัวที่สอง หาครอบครัวที่สาม มันก็สุขไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่สำคัญความสุขไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ความสวยที่สุด ไม่ได้อยู่ที่ความเก่งที่สุด ไม่ได้อยู่ที่เป็นที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม แต่อยู่ที่ว่าเราเคยพอใจในความมี ความเป็น อันธรรมดาของตัวเองบ้างหรือไม่ ถ้าเราพอใจได้ เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เราก็มีแต่กำไรๆ แต่ถ้าตัวเองเป็นคนเบื่อ รำคาญ แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ดูแล้วก็เหมือนเดิม คือคนนั้นก็พูดแต่เรื่องตัวเอง คนนี้ก็พูดแต่เรื่องคนอื่น มีแต่ชมตัวเอง แล้วเราก็ปิดไม่อยากดู มีความสุขไหม (ไม่มี)  ตัวเองยังมีความสุขไม่ได้ ก็แอบไปติคนนั้น ติคนนี้ แล้วก็ไปแสดงความคิดเห็นต่อคนอื่น มีความสุขได้ต่อว่าคนอื่นทางไลน์ แล้วก็ทำหน้าตัวเองเบลอๆ ไว้ นี่คือบาปทางคอมพิวเตอร์ เดี๋ยวนี้เราสร้างบาปทันสมัยนะไม่เห็นหน้าเราก็สามารถต่อว่ากันได้ อย่าคิดนะว่าไม่บาป แค่แอบคิดว่าเขาไม่ดี แค่แอบด่าเขาในใจ นั่นก็คือบาปแล้ว บาปคือสิ่งที่ทำแล้วเศร้าหมองขุ่นมัว บุญคือสิ่งที่ทำให้สบายใจ ฟูใจ อิ่มเอิบใจ แล้วตอนนี้ในทุกวันเราทำบุญหรือทำบาป ทุกวันก็มีการแสดงความคิดเห็นว่าคนนั้น กดถูกใจคนนี้ เดี๋ยวก็บุญเดี๋ยวก็บาป เคยชั่งไหม บุญมากกว่าบาป หรือบาปมากกว่าบุญ
บางคนยังไม่อยากคุยกับอาจารย์ หน้ายังงออยู่เลย อาจารย์ไม่อยากฝืนใจนะ ฟังอาจารย์ด้วยความสุข ย่อมดีกว่ากันเยอะ อย่าฟังด้วยความหวานอมขมกลืน เพราะนอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังทำให้ชีวิตมีแต่ทุกข์ แล้วก็ทุกข์ มาฟังธรรมเพื่อความเบิกบานใจ เกิดความสดชื่นแจ่มใส เกิดความสว่างไสวให้กับจิตใจ มาเกิดพลังให้ใจรู้จักสู้และเรียนรู้ชีวิตเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะสอนให้เรารู้จักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่แปลกนะทำไมชอบเอาใจไปฝากไว้กับคนอื่น เอาชีวิตและความสุขไปฝากไว้กับคนอื่น แล้วก็ปล่อยให้เขาบีบหัวใจเราเล่นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาเล่นคำถามอะไรเอ่ยกันดีกว่า ใครตอบได้ ได้นั่ง ใครตอบไม่ได้ ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์นะ ดีไหม ฟังมาเยอะแล้วลองตอบคำถามอาจารย์บ้างดีกว่านะ อะไรเอ่ย เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ (ใจตัวเอง)  แยกมาให้เห็นเป็นบางครั้ง ใช่หรือไม่ ใจเราจะเห็นชัดต่อเมื่อเราเจอกระทบ ยิ่งโดนกระทบยิ่งเห็นชัด โดนเขาด่าที เราเห็นชัดไหมว่าเราใจเย็นหรือใจร้อน เห็นเขากำลังอยากได้ ก็เหมือนเราโดนกระทบ ยิ่งกระทบยิ่งเห็นตัวชัด แต่เวลาเราโดนกระทบเราจะเห็นเขาหรือเห็นเรา โดยส่วนใหญ่ชอบจะเห็นแต่คนอื่นลืมดูตัวเอง เขาใจร้อนเราก็ใจร้อน ใช่ไหม มีใครตอบอาจารย์ได้อีก
(ความทุกข์)  ความทุกข์เห็นเหมือนไม่เห็นใช่ไหม เคยเห็นความทุกข์ไหม (ไม่เคยเห็นแต่รู้สึก)  บางครั้งมันก็มาเพียงชั่วครู่ให้เราทุกข์ บางครั้งอยู่ๆ มันก็หายไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้ดี  ฉะนั้นเวลาทุกข์มาเราจำเป็นต้องตกเป็นทาสของทุกข์ไหม (ไม่จำเป็น)  เราเคยเห็นทุกข์แล้วเราก็เฉยๆ กับมันไหม แปลกนะ อาจารย์ก็ยังสงสัยอยู่ ความทุกข์มันเคยกวักมือเรียกศิษย์ไหม (ไม่เคย)  แล้วมีไหม จงแย่นะ จงร้องไห้นะมันเคยสั่งศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เคย)  ความทุกข์มันก็มาตามปกติ แล้วทำไมศิษย์ไปปรุงแต่งว่าต้องร้องไห้ ต้องตีอกชกตัวเอง ต้องอยากตายล่ะ ใช่หรือไม่ทุกข์มันก็แค่ทุกข์ที่ทนได้ยาก แต่คนที่ปรุงแต่งให้ทุกข์มันทรมานและมันเจ็บช้ำ มัน ไม่ใช่ทุกข์แต่คือตัวเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)
(อารมณ์เห็นเหมือนไม่เห็น)  ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อใดที่เรายังปล่อยชีวิตให้อยู่กับใจ มันก็ง่ายที่จะถูกกระทบและหวั่นไหว แต่ถ้าเมื่อใดเรามีชีวิตอยู่ด้วยธรรม ธรรมจะทำให้เรามองความจริง แต่ใจจะทำให้เราตกเป็นทาสของอารมณ์ที่ถูกกระทบได้ง่าย ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ตามใจหรือตามธรรม
(ความผิด)  เห็นเหมือนไม่เห็นหรือ ตอนที่ทำไม่รู้ว่ามันผิด พอทำไปแล้วถึงได้รู้ว่ามันผิดหรือ โดยลึกๆ นะศิษย์ เวลาเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำไมเราละล้าละลัง ทำไมเราไม่มั่นใจ แปลว่ามันไม่ถูกนะ ถ้ามันถูกเราจะละล้าละลังไหม แล้วเวลาทำมันจะเหมือนไม่ค่อยกล้าทำ ถ้าไม่กล้าแปลว่ามันผิด แต่ศิษย์ไม่กล้าเชื่อใจตัวเองว่าตรงนั้นมันผิด มันอยากอยู่ ถูกหรือไม่
(เรื่องนรกสวรรค์)  เห็นเหมือนไม่เห็นหรือ แล้วอยากไปไหม (อยาก)  ไม่ยากเลย อยากไปนรก ใช่ไหม (อยากไปสวรรค์)  ศิษย์เดินมาแล้วตบหน้าเขา ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์ตบหน้าเขาแล้วเขาไม่โกรธ เขาได้ขึ้นสวรรค์ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ  ฉะนั้นถึงจะโดนกระทบแค่ไหน คิดให้ดีคิดให้สูงก็ขึ้นสวรรค์ ถ้าคิดให้ร้ายคิดให้ชั่ว นั่นก็ตกนรก ใช่หรือไม่
(ความคิดของตัวเอง)  ความคิดของตัวเองนั้นเห็นเหมือนไม่เห็น แต่มันชอบมาเรื่อยๆ มาทีไรก็ฟุ้งจนหยุดไม่ได้ แต่วิชาแห่งธรรมะเป็นวิชาที่จะทำให้เรารู้เท่าทันและควบคุมจิตได้ รู้เท่าทันแม้กระทั่งความคิดเข้ามา เมื่อสั่งให้หยุดก็จะหยุดทันที แล้วเราเคยเรียนวิชาธรรมะกันบ้างไหม หรือเราเคยหยุดความคิดกันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ศิษย์อยากมาเรียนวิชาธรรมะกับอาจารย์หรือไม่ (อยาก)
ถ้าใครตอบคำถามอาจารย์ได้ก็จะได้นั่ง ใครตอบไม่ได้ก็ยืนต่อไป ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ เพราะพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมหนุนช่วยคนที่รู้จักช่วยตัวเอง ไม่ใช่คอยแต่ช่วยคนที่ไม่รู้จักช่วยตัวเอง ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้จักช่วยตัวเองโดยเริ่มจากเอาไมค์ในมือส่งต่อให้เพื่อนตอบ เมื่อเราตอบเสร็จแล้วเราอยากจะช่วยใครก็ยื่นไมค์ให้กับเขานะ วันนี้จะได้ตอบ กันทั้งชั้นเลย ดีหรือไม่ (ดี)  ศิษย์จะรู้จักช่วยเหลือตัวเอง
คนที่อ่อนแอเอาแต่พึ่งคนอื่น คนนั้นก็จะอ่อนแอไปตลอดชีวิต เมื่อเราล้มเองเราก็ต้องลุกได้เองสิศิษย์ ทำไมต้องหวังแต่จะพึ่งคนอื่นตลอดเวลา ถ้าศิษย์หวังแต่จะพึ่งคนอื่น ศิษย์ก็คือคนที่เริ่มต้นด้วยการเห็นแก่ตัว อย่าบอกว่าต้องมีคนนี้แล้วฉันถึงจะยืนได้ มันไม่จริง ศิษย์จะยืนได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับตัวของศิษย์เอง ไม่จำเป็นต้องมีใคร ถ้าตัวเองยังไม่รักเลยแล้วจะไปรักใครได้ แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
พูดคุยกันเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนธรรมะกัน ดีไหม (ดี) โดยส่วนใหญ่เวลาพูดคุยกันก็ชอบนินทาคนโน้นด่าคนนี้ มีแต่เรื่องบาปทั้งนั้นใช่หรือเปล่า ถ้าหากว่าคุยกับอาจารย์แล้วได้ธรรมะ ได้ปัญญา ไม่ดีหรือ (ดี) นักเรียนชั้นนี้ชอบอมภูมิหรืออมข้าวเหนียวกันนะ ระวังนะอมมากๆ ข้าวเหนียวจะกลายเป็นข้าวแช่ มีใครอยากตอบอาจารย์อีก อะไรในโลกเห็นแล้วเหมือนไม่เห็น รู้แล้วเหมือนไม่เคยรู้
(ใจคน)  ที่จริงแล้วใจคนหรือใจเรา อาจารย์ว่าใจเรานะ ศิษย์เคยรู้ไหมว่าใจของมนุษย์มีชอบมีชังเหมือนๆ กัน ถ้าเรารู้ใจตนเราก็รู้ใจคน แต่ถ้าใจตนเราไม่รู้ เราก็ไม่มีวันรู้ใจใคร อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์ชอบโดนด่าไหม (ไม่ชอบ) แล้วคนทุกคนชอบไหม (ไม่ชอบ) เช่นนั้นแล้วเราควรด่าใครไหม (ไม่ควร) แล้วเราด่าไหม (ด่า) เอาแค่เรื่องเดียวก็พอ ใครๆ ในโลกก็ชอบคนชม ใครๆ ในโลกก็ชอบคนพูดดี แล้วเราพูดชมไหม (ไม่ชม) แล้วเราพูดดีไหม (ไม่ดี) อย่างนี้เราควรจะรู้ใจตัวเองไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วพื้นฐานใจคนเหมือนๆ กันล้วนเท่ากัน
(บาปกรรม) บาปกรรมรู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็นหรือศิษย์ ศิษย์หมายถึงบาปนั่นเอง บาปถ้าเราไม่สร้างมันก็ไม่มีวิบากมาตาม ศิษย์อย่าลืมนะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมหนีไม่พ้นกรรม เราสามารถหยุดกรรมได้นะศิษย์ แต่เราจะหยุดได้อย่างไรถ้าเรายังตกเป็นทาสของบาปที่คอยสร้างวิบากกรรม ถ้าอยากหยุดกรรมก็จงหยุดสร้างบาป แล้วบาปคืออะไรบาปเกิดจากสิ่งที่ทำแล้วทำให้จิตใจขุ่นมัว เศร้าหมอง หดหู่ ฉะนั้นอะไรที่ทำแล้วขุ่นมัว เศร้าหมอง หดหู่ หรืออะไรที่ทำแล้วทำให้จิตใจแฟบ มันแย่ นั่นแหละบาป เข้าใจไหม
(ความชอบ ความหลง)  อาจารย์ถามนะ เหมือนมีคนบางคนที่เราชอบ แต่ลึกๆ ก็แอบเกลียดเขา ใช่ไหม (ใช่)  นี่แหละใจมนุษย์ ถามว่ารักพ่อแม่ไหม รัก แต่ลึกๆ ก็แอบกลัว บางทีก็แอบรำคาญท่าน ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์ในโลกเป็นกันบ่อยก็คือ บางครั้งเป็นอะไรแล้วไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้ว่าชอบแต่ถึงเวลาก็เหมือนจะไม่ชอบ ศิษย์เหมือนคนที่กำลังเดินอยู่ในโลกเพื่อค้นหาตัวเอง เหมือนจะหาตัวเองเจอนะ แต่มันก็ลางๆ ตกลงว่าเราเป็นอะไร เราอยากได้อะไร เราอยากทำอะไร ไม่รู้เหมือนกัน แล้วพอผลสุดท้ายเบื่อ ชีวิตมีแค่นี้ จริงไหม (จริง)  พอเล่นโทรศัพท์ไปสักพัก ท้องร้องหิวกินข้าวก่อน คุณค่าชีวิตมีแค่นี้จริงๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)
(ภูตผี)  ผีตัวไหนน่ากลัวที่สุด รู้ไหม (น่าจะเป็นตัวเรามากกว่า)  ถ้าจิตมันหวาดหวั่นอยู่ที่มืดแค่เห็นต้นไม้เคลื่อนไหวก็เหมือนเป็นผี แล้วศิษย์อย่าลืมนะ ตาเรามักจะมีสีที่หลอก เหมือนเวลาเรามองในที่มืดมากๆ พอเราไปดูในที่สว่างสีมันจะซ้อนกัน เคยเห็นไหม คงเคยได้เรียนวิทยาศาสตร์กันมานะ ศิษย์เป็นคนหัววิทยาศาสตร์สุดตัว ทันสมัย แล้วเคยนำมาใช้ไหมว่าสีมันหลอกตาเรา เหมือนเวลาที่ศิษย์จ้องมองอะไรมากๆ พอจ้องมองนานๆ เชื่อไหมว่าสามารถมองเห็นโทรศัพท์ไปอยู่ตรงท้องฟ้าได้ แต่มันจะสีตรงข้ามกับสิ่งที่ตาเราเห็น เพราะตาเรามันหลอกเรา เหมือนตาเราตอนนี้มันมองสีดำอยู่ มองมากๆ มันจะกลายเป็นสีขาวขึ้นอยู่ที่หน้าจอ ลอยอยู่กลางอากาศ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอยากเห็นผีไหม (อีกใจก็อยากเห็นและอีกใจก็ไม่อยากเห็น)  เห็นอยู่ทุกวันแล้วศิษย์ แต่ศิษย์ไม่รู้เองว่าคือผี นั่นก็คือตัวเองนะศิษย์
(ความสุข)  ถ้าเรารู้จักพอใจในตัวเอง ความสุขไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเรารู้จักตั้งค่ามาตรฐานความสุขให้ต่ำเข้าไว้ ความสุขก็ไม่ใช่สิ่งยากที่เราจะเจอ แต่เรามักชอบกำหนดความสุขให้สูง ยอมทุกข์ง่ายเหลือเกินเราก็เลยกลายเป็นคนที่ทุกข์ง่าย สุขยาก จริงหรือไม่  จริงๆ เห็นได้ รู้ชัดได้ แต่ต้องถามใจตัวเอง  ถ้ากำหนดจิตให้ง่ายเราก็มีสุขง่าย ถ้ากำหนดทุกข์ให้ง่ายเราก็กลายเป็นคนมีทุกข์ง่าย
(อนาคต)  อนาคตไม่ยากเลยศิษย์ ทำวันนี้ให้ดี อนาคตเราก็มองเห็น แต่ถ้าวันนี้ทำไม่ดี อนาคตรุ่งริ่งแน่ๆ จริงไหม ฉะนั้นอย่าบอกว่ามองไม่เห็นอนาคตตัวเอง วันนี้คืออนาคต ถูกหรือไม่ แต่คนชอบคิดวนเวียนแต่เรื่องในอดีต อนาคตก็เลยไม่มี เพราะมัวแต่ห่วงกับอดีต ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดี คิดให้ดีๆ นะศิษย์ คนเรามีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่บางทีคนไม่ใช่ ชอบห่วงหน้าพะวงหลัง จะเดินตรงนี้ก็เดินไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
(จิตวิญญาณ)  อาจารย์จะบอกให้ว่า จิตเดิมแท้หรือจิตจริงๆ ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการมีตัวตน เป็นสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ แต่มนุษย์เคยชินกับการต้องมีตัวมีตน จึงไม่สามารถมองเห็นจิตได้
อาจารย์ ยังไม่ได้เข้าเรื่องธรรมะเลย มีแต่ตอบปัญหาให้ศิษย์ อย่างนั้นเรามาเข้าเรื่องธรรมะดีไหม (ดี)  เอาแบบตรงๆ แล้วจบเลยไหม (ดี)  ลองดูว่าภูมิปัญญาศิษย์จะไปถึงไหม
สิ่งที่อาจารย์พูดง่ายๆ สิ่งใดในโลกมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดาอนิจจังทำให้ทุกข์เกิด อนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับ ถ้าเราไม่มีความอยากอะไร อะไรจะมาเป็นนายบังคับใจเราได้ แล้วตอนนี้เรากำลังทุกข์กับอะไร ก็ในเมื่อสิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ เราจะต้องไปดับอะไร ในเมื่อมันเกิดแล้วมันก็ดับ  ฟังให้ดีนะ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา”  ถ้าเราไม่อยาก เราจะต้องพยายามไปยึดมันไหม เดี๋ยวมันก็ดับ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อนิจจังทำให้ทุกข์เกิด อนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับ แต่ที่สิ่งนั้นมันทำให้เกิดทุกข์แล้วทำให้ใจเราวุ่นวายใจ เพราะเราอยากไปยึดจนมันกลายเป็นนายบังคับใจ
ธรรมะไม่ใช่ยารักษาโรค ธรรมะไม่ใช่ร่มเงาอันร่มเย็นที่ทำให้คนหนีทุกข์แล้วมาพึ่งร่มเงาอันร่มเย็น เพื่อหวังพบสุข แต่ธรรมะที่แท้จริงแล้วเป็นอะไรหรือบางทีเราพยายามฟังธรรมะกันแทบตาย แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็ยังไม่รู้ว่า ธรรมะคืออะไร ถ้าอยากรู้ว่าธรรมะคืออะไร อาจารย์ขอให้ศิษย์ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง บีบจมูกและปิดปากตัวเองไว้ ถามว่าหายใจออกหรือไม่ (ไม่ออก)  ฉะนั้นธรรมะก็คล้ายๆ กับลมหายใจ เมื่อไหร่ที่เราสามารถเอาใจใส่ลมหายใจของตัวเราเอง จะทำให้เรามีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเราสามารถมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาที่ลมหายใจเข้าออก จะทำให้เราสามารถมีสติระลึกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในใจ เมื่อเรารู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในใจ เราจะอยู่กับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ และตอนนี้ ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นว่าใดใดในโลกนั้นมันไม่เที่ยง เหมือนลมหายใจออกแล้วถ้าไม่เข้า ตายไหม (ตาย)  เข้าแล้วไม่ออกตายไหม (ตาย)  อย่างนั้นชีวิตเราอยู่ที่ไหน (ลมหายใจ)  แต่ทำไมศิษย์ถึงชอบบอกอาจารย์ว่า ไม่มีเขาหนูจะตาย” “ไม่สำเร็จหนูจะตายมันจริงไหมศิษย์ (ไม่จริง)  จริงๆ แล้วธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจตัวเองก่อน รู้จักตัวเองก่อน ถ้าศิษย์ยังไม่เข้าใจตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง ศิษย์จะสามารถนำพาชีวิตตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่เรามีสติรู้ตัวเองอยู่ทุกขณะที่เกิดขึ้น เราจะรู้เท่าทันความคิดของตัวเองได้ไหม (ได้)  ดังนั้นเมื่อความคิดมาเราจะหยุดมันได้ไหม (ได้)  เราเคยหยุดความคิดตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเราไม่เคยอยู่กับตัวเองซักหนึ่งนาที เพราะเราไม่เคยรู้ทันตัวเองแม้ซักเสี้ยววินาที จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าอะไรมันมากระทบใจ กระทบตัวเรา กระทบแล้วเรารู้ไหม (รู้)  ทำไมรู้ละถ้ารู้ทันแล้วไม่เกิดตัณหา อุปาทาน ทิฐิ ความทุกข์ก็จบสิ้น แต่ถ้ารู้ไม่ทันมันก็เกิดตัณหา อุปาทาน ทิฐิ และตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าธรรมะอยู่ที่ลมหายใจ
การเรียนรู้ธรรมสำคัญคือต้องเริ่มจากรู้เท่าตัวตนก่อน รู้เท่าตัวตนแล้วดีตรงไหน อารมณ์ดีจิตใจดี มองอะไรก็ดี อารมณ์ร้ายจิตใจแย่ มองอะไรก็แย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนรกหรือสวรรค์ หรือพ้นทุกข์ อยู่ที่รู้เท่าทันใจตัวเองหรือไม่ รู้ทันเราก็สามารถแปรร้ายให้เป็นดี รู้ไม่ทันเราก็กลายเป็นทาสของความเลวร้ายที่เรียกว่า กิเลส และบาปกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ศิษย์มักจะบอกว่า คนในโลกนี้ร้ายจริงๆ แย่จริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเองร้ายไหม (ร้าย)  ตัวเองแย่ไหม (แย่)  แล้วไปว่าคนในโลก ตัวเองยังแย่ ตัวเองยังร้ายอยู่ บางทีบอกอาจารย์ว่าโลกนี้อยู่ยาก ไปไหนก็ต้องระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ทุกคนทำให้เราร้าย ได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกคนทำให้เราแย่ ได้ไหม (ไม่ได้)  เราจะร้ายหรือดีอยู่ที่ (ตัวเรา)  ก็รู้นะ แล้วทำไมเวลาเรารู้สึกแย่ ร้องบอกอาจารย์เป็นเพราะเขาเลย ตอนนี้ทำไมตอบได้แต่ถึงเวลาเจอกับตัวกลับทำไม่ได้นะ
ไม่มีใครทำให้เราร้าย ไม่มีใครทำให้เราแย่ ถ้าจิตใจของเราไม่อ่อนแอและเห็นแก่ตัวเกินไป เวลาเราเจอคนที่ร้าย เจอคนที่ไม่ดี เราทำอย่างไร (ยิ้มให้)  มีศิษย์หลายคนบอกว่ายิ้มให้ เมตตาให้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ทำไม่ได้ เขาร้ายมาเมื่อไหร่ ก็เอาเขาไปประจาน เอาไปนินทา ถูกไหมใครไม่ดีเราต้องนินทา ใครไม่ดีเราต้องป่าวประกาศ ใครไม่ดีถ่ายวีดีโอ ลง
ยูทูปเลยอาจารย์สะใจดี
ศิษย์เอย เจออาจารย์แค่รูปปลอม ไม่สำคัญไม่มีค่าเท่ากับเจออาจารย์
ตัวจริงที่อยู่ในใจศิษย์ คนที่ให้โดยไม่เคยเหนื่อย คนที่มีแต่ให้โดยที่ไม่เคยท้อ นั่นแหละอาจารย์จี้กงน้อยๆ จะอยู่ในใจศิษย์ได้ และคนที่ยอมบ้าในโลกโดยที่โดนด่าขนาดไหนก็ไม่เคยโกรธ ให้โดยไม่แบ่งแยก เอาคำว่า จี้กงไปอยู่ในใจศิษย์ไม่ดีกว่าหรือ เจอแค่รูปไม่มีประโยชน์เท่าทำได้ถึงใจจี้กง จริงไหม

อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ เวลาตัวเราผิด โดนคนนินทา โดนคนประจาน จะทำให้ศิษย์อยากดีขึ้นไหม อาจารย์บอกให้นะศิษย์ การประจาน การนินทานั้นไม่ทำให้ใครดีขึ้น แต่กลับไม่ทำให้ใครอยากดีขึ้นเลย กลับมีแต่คนอยากร้ายต่อ แล้วเวลาเราเจอคนไม่ดี ฆ่าให้เรียบเลยดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ (บาป)  บาปหรือ ศิษย์เอ๋ย แล้วเวลาที่ศิษย์เกลียดเขามากๆ ศิษย์ไปนินทาให้คนอื่นฟัง จนเขาไม่มีที่จะยืน จนเขาไม่รู้จะดีไปเพื่ออะไร เพราะศิษย์ไปที่ไหนไปด่าเขา ไปเผยแพร่เรื่องของเขาหมดว่าเขาไม่ดีอย่างไร แล้วศิษย์คิดว่าการประจานคนจะทำให้คนดีขึ้นไหม (ไม่)  แล้วเราทำไหม ฉะนั้นเรื่องร้าย ยิ่งนินทา ยิ่งไม่ทำให้คนดีขึ้นนะศิษย์ จงอย่าทำนะ เพราะถ้าศิษย์ทำ ศิษย์กำลังทำให้คนไม่มีวันได้ดีเลย ไม่มีที่ให้เขายืนเลย ไล่สุนัขจนตรอก ผลสุดท้ายจะกัดไม่เลือก แล้วเราก็คือคนที่พยายามทำให้คนในโลกหาคนดีไม่เจอเลยนะ แล้วเราเป็นแบบนั้นไหมเป็นไหม (ไม่เป็น)  ต่อไปนี้หนูจะไม่เป็นแล้วอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)
แล้วเคยคิดไหมว่าทำไมโลกนี้ไม่มีคนดีเหมือนกันหมด ทำไมโลกต้องมีคนดีบ้าง คนไม่ดีบ้าง อาจารย์ขอถามศิษย์หน่อยว่าคนอ้วนก็มีประโยชน์ของความอ้วน คนผอมก็มีประโยชน์ของความผอมถูกไหม (ถูก)  คนเตี้ยก็มีประโยชน์ของความเตี้ย คนสูงก็มีประโยชน์ของความสูงใช่ไหม (ใช่)  คนฉลาดน้อยก็มีประโยชน์ของความฉลาดน้อย เพราะมีคนฉลาดมากจึงมีฉลาดน้อยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนฉลาดน้อยเป็นที่พึ่งของคนฉลาดมาก คนฉลาดมากจะดูถูกคนฉลาดน้อยได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์จำไว้นะโลกนี้ที่มีความแตกต่างกันก็เหมือนนิ้วมือของเรา เพราะว่าความแตกต่างเพื่อมีไว้เกื้อหนุนกัน อยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้องสมานกลมกลืน อย่าลืมว่าอ้วนก็มีดีที่อ้วน ผอมก็มีดีที่ผอม ถ้ามีใครมาว่าเรา บอกไปเลยว่าเพราะมีอ้วนอย่างฉันถึงมีผอมอย่างเธอ ถ้าฉันไม่อ้วนแล้วเธอจะผอมหรือ ต้องสำนึกในบุญคุญที่ฉันอ้วน ถูกไหม (ถูก)  ใครด่าเราโง่ อย่าไปโกรธเขา บอกไปเลยว่าเพราะฉันโง่เธอถึงได้ฉลาด บอกไปเลยว่า ดีนะที่ฉันโง่ ถ้าฉันไม่โง่ เธอไม่ฉลาดอย่างนี้หรอก เช่นนี้แล้วศิษย์จงมองให้ดีความต่างในโลกไม่ได้มีเอาไว้เพื่อกดขี่กัน  ไม่ใช่มีไว้เพื่อดูถูกกัน ไม่ใช่มีไว้เพื่อบอกให้ตัวเองไร้คุณค่า อ้วนก็มีคุณค่าของความอ้วน ผอมก็มีคุณค่าของความผอม ไม่สวยก็มีคุณค่าของความไม่สวย ในความจริงเราไม่สวยที่สุดในโลกหรือ ฉะนั้นถ้ามีใครว่าเราไม่สวยให้บอกเขาไปว่า “ยังไงฉันก็ไม่ใช่คนที่ไม่สวยที่สุดในโลกก็แล้วกัน เพราะยังมีคนที่ไม่สวยกว่าฉัน” จำไว้ธรรมะสอนให้เรามองเห็นความจริงแล้วจะได้ไม่ทุกข์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณค่าและความเป็นตรงกลางอยู่ แต่ศิษย์มักจะชอบลำเอียงจนเกินไป หรือลืมคุณค่าของตนเอง ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อย่ารังเกียจตัวเอง
ใครเคยอกหักยกมือขึ้น ศิษย์ก็เคยปลอบใจตัวเองไม่ใช่หรือ ถึงอกหักเราก็เคยได้รักใครแล้วกัน” ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์อยากบอกศิษย์ก็คือ ความทุกข์ ความพลัดพราก ความเจ็บปวด มองให้มันดีเพราะถ้าไม่มีศิษย์จะไม่รู้จักคุณค่าของความสุข และการอยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่สมัครสมาน ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต จะไม่มีใครที่ศิษย์จะรังเกียจ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตและสัจธรรม ศิษย์จะไม่รังเกียจความทุกข์ แต่ศิษย์จะดีใจว่า ถ้าไม่ทุกข์ฉันก็คงไม่รู้หรอกว่าหน้าตาสุขเป็นอย่างไร ถ้าฉันไม่เจ็บฉันก็คงได้พบกับความตายทันทีโดยที่ไม่รู้จักคำว่าเจ็บคืออะไร ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะศิษย์ เจ็บกายรักษาได้ ป้องกันได้ เจ็บใจป้องกันได้ไหม รักษาได้ไหม (ได้)  เวลาเจ็บใจ อกหัก วิธีรักษาของศิษย์เป็นอย่างไร หนึ่งหนีหน้าเขาให้พ้น สองระบายลงในเฟสบุ๊คหรือยูทูป ถูกไหมด่าเขาไม่ได้ ด่าบนเฟสบุ๊คให้มันรู้ไป ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์จำไว้นะ ด่าเขาก่อกรรมแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าด่าลงเฟสบุ๊คบาปไม่สิ้นสุดเลยนะ ใครดูเมื่อไรบาปเมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่) ใครดูที่เราโพสแล้วเขาหดหู่เท่ากับศิษย์สร้างบาปไม่จำกัดเลยนะ แล้วไม่จำกัดจำนวนครั้งที่คนคลิ๊กดู ใช่ไหม (ใช่)  บาปไม่มีจำกัดด้วยนะ ถ้าเราลงรูปเซ็กซี่ลงไป จะกลายเป็นศิษย์สร้างบาปไม่จำกัดและควบคุมบาปของตัวเองไม่ได้นะ แล้วศิษย์ทำไหม (ทำ)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรม ไม่ได้ต้องการให้ศิษย์ไม่มองความจริง รังเกียจความทุกข์ รังเกียจความไม่ดี แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราเข้าใจชีวิต และมองชีวิตอย่างคนที่เห็นความจริง อย่าเป็นคนที่เรียนรู้ธรรมแล้วรักดีเกลียดชั่ว แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราดีก็ไม่ยึดติด ชั่วก็ไม่รังเกียจ แต่อยู่กันอย่างเป็นสุขและเข้าใจ
เวลาเราทุกข์ เวลาเราเจ็บ กดมันไว้ ข่มมันไว้ เหยียบมันไว้  กับพยายามเข้าใจ อะไรใช้พลังน้อยกว่ากัน (พยายามเข้าใจ)  แต่ปัจจุบันนี้เวลาศิษย์ทุกข์ เวลาศิษย์ท้อ เวลาศิษย์เจ็บปวด ทำไมไม่เหยียบทุกข์ไว้ กดไว้ ข่มทุกข์ไว้ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นความเข้าใจล่ะ ถ้าไม่มีเขาจะรู้จักใจตัวเองไหม ว่าเราดีขนาดไหน ถ้าเขาไม่ร้ายขนาดนี้ จะเห็นใจเราชัดไหมว่า เราเมตตาใจเย็นแค่ไหน ถ้าเขาไม่แย่เช่นนี้ จะรู้จักไหมว่าอะไรคือความดี ฉะนั้นจะไปเกลียดเขาทำไม ดีออกยิ่งเขาร้ายมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งดี ยิ่งเขาทุกข์กับเรามากแค่นั้นจะทำให้เรารู้ว่าฉันต้องสุขเข้าไว้ ยิ่งเขาโกรธเรามากแค่ไหน ไม่เป็นไรฉันจะยิ้มเข้าไว้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราจะรังเกียจเขาทำไมล่ะ  ทำไมไม่เรียนรู้เข้าใจ พอเข้าใจแล้วจบทันที  แต่ถ้าไม่เข้าใจจะกลายเป็นก่อเวรก่อกรรม จองเวรจองกรรม กรรมแปลว่า จำไม่ลืม เวรแปลว่าอาฆาตแค้นผูกใจเจ็บ แล้วหาทางแก้กลับคืน อย่างนั้นสิ่งที่อยู่ในใจเรา จะอภัยหรือจองเวรจองกรรม จำไม่ลืม
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งกรรม แล้วเราจะหยุดกรรมได้อย่างไร ไม่ยากเลยศิษย์ เมื่อโดนกระทบเราจะจบด้วยเข้าใจ หรือเราจะจำแล้วไม่ลืม (จบด้วยเข้าใจ)  ถ้าจบด้วยเข้าใจแปลว่าศิษย์ได้ตัดกรรม ไม่เพิ่มกรรมต่อ แล้ววิบากกรรมมันก็จะสิ้นสุดลง
แล้วทำอย่างไรถึงจะจบด้วยเข้าใจ อาจารย์ถามหน่อย หนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  หนึ่งลบหนึ่งเป็น (ศูนย์)  ถ้าถามแบบนี้เราสามารถตอบได้ทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์มีอีกคำถามหนึ่งนะ ถ้ามีคนๆ หนึ่งมาเดินชี้หน้าด่าศิษย์ว่า ไอ้โง่” “ไอ้บ้า” “หน้าตาก็น่าเกลียดทุเรศจริงๆ เลยโกรธไหม (โกรธ)  ไหนบอกว่าจะจบด้วยเข้าใจ แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าคนที่ด่าศิษย์เป็นคนบ้า หายโกรธไหม (หาย)  แล้วทำไมหายล่ะศิษย์ (เพราะเข้าใจ)  นั่นไงศิษย์ เพราะศิษย์เข้าใจว่าเป็นคนบ้า จบเลยไหม เหมือนกันนะศิษย์ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นคนชัดเจน เข้าใจหลักสัจธรรมชัดเจน เข้าใจธรรมแห่งความเป็นคนชัดเจน จะมีอะไรต้องโกรธอีกล่ะ เพราะทุกชีวิตล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งเกิดและจบอยู่ในตัวเอง แต่คนที่ไม่ยอมจบคือตัวของเรา เขาว่าเขาด่าเราจบไปแล้วนะ แต่เราไม่ยอมจบ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจบอยู่ในตัวทุกขณะ เราจะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไมล่ะ ถูกไหมศิษย์ (ถูก)
อนิจจังทำให้ทุกข์เกิด อนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับ แต่ที่เราต้องวุ่นวายพยายามดับทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่จบ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจสัจจะความเป็นจริง ความทุกข์จึงไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องพยายามกดมันไว้ แต่อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็จบไปเอง ไม่ต้องไปปรุงแต่ง อาจารย์จึงบอกศิษย์ว่าเมื่อความทุกข์มากระทบ ไม่หนี ไม่สู้ แค่รู้เท่าทัน เดี๋ยวมันก็จบเอง ไม่มีสิ่งใดคงอยู่นิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา แต่พอถึงเวลาก็ลืมเรื่องนี้ทุกทีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นตัวตนที่แท้จริง ศิษย์จะไม่ยึดมั่นถือมั่น และศิษย์จะไม่มีอัตตาตัวตน แต่ความเข้าใจธรรมจะทำให้เราสลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถูกหรือไม่ (ถูก) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง พบธรรมที่ใจทำนองเพลง ความรักดีดีอยู่ที่ไหน”)
ไม่มีสิ่งใดคงอยู่นิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา และไม่มีเราเป็นของใคร จริงไหม (จริง) จริงหรือ แต่พอถึงเวลาก็ลืมทุกทีใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นตัวตนที่แท้จริง ศิษย์จะไม่ยึดมั่นถือมั่น และศิษย์จะไม่มีอัตตาตัวตน แต่ความเข้าใจธรรมจะทำให้เราสลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ความรักดีๆ อยู่ที่ไหน ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก เริ่มที่ใจของตัวเราเอง ถ้าเรารู้จักมีความสุข ถ้าเรารู้จักมีความรักให้กับตัวเอง เรารักผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเรารอแต่ให้คนอื่นมารัก เราจะไม่มีวันรักใครได้จริง แต่ถ้าเรารู้จักรักทุกคนได้ รักตัวเองได้ เราก็มีความรักให้ทุกคนได้ แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ชอบเอาแต่รอว่า ใครจะมารัก ใครจะมาชอบ ยิ่งรอก็หมายความว่าศิษย์ไม่เคยรักใครแล้วก็ไม่เคยรักตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราไม่รู้จักมีรักให้ทุกคน อย่ารอเป็นแก้วว่าง จงเป็นแก้วที่เต็มที่พร้อมจะเติมให้ทุกคนไม่ได้หรือ เราเป็นความสุขที่สามารถมอบให้ทุกคนไม่ได้หรือ ชีวิตทุกคนเริ่มต้นขึ้นมาจากการพึ่งพาคนอื่น ก่อนจะโตมาเราก็ต้องพึ่งพ่อแม่ จนโตมาเราก็ยังต้องพึ่งพ่อแม่ แต่ถึงสุดท้ายของชีวิต ทำไมเราไม่เติบโตมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นบ้างล่ะทำไมต้องรอให้คนอื่นมาช่วย เราช่วยตัวเองไม่ได้หรือ แล้วเราเอาแรงที่เราช่วยตัวเองเป็น ไปช่วยคนอื่นบ้างไม่ได้หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องเห็นคุณค่าตัวของเราเองก่อนนะ
จริงๆ แล้วอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักตัวเอง แต่บางทีพอรู้จักตัวเองมากๆ มันก็กลายเป็นกรงขังที่ยึดติด ถ้ารู้แล้วยิ่งยึดติดบางครั้งไม่รู้อาจจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้วยิ่งยึดมั่นว่าตัวเองเป็นได้แค่นี้ ดีได้แค่นี้ อย่างนั้นสิ่งที่เรารู้ก็จะกลายเป็นการจำกัดตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมไม่ทำให้ความรู้เป็นสิ่งที่เรารู้เข้าใจ และเปิดกว้างล่ะ ธรรมะสอนให้เราเปิดกว้าง และมองตามความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณค่า แม้แต่สิ่งที่ร้ายที่สุดก็ยังมีดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  ชีวิตไม่ได้ สำคัญที่ว่าเจ็บแค่ไหน ทุกข์แค่ไหน ลำบากแค่ไหน แต่สำคัญอยู่ที่เมื่อเราทุกข์ เราเจ็บ เราลำบาก เราโดนกระทบ เราคิดเช่นไร คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ ถ้าคิดชั่วก็ตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความคิด เปลี่ยนเป็นความเข้าใจ นั่นคือ ภาวะนิพพาน
สิ่งสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ความเจ็บ ไม่ได้อยู่ที่ความทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ความสุข แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อเราโดนกระทบเราคิดอย่างไร คิดอย่างคนพ้นทุกข์พ้นโลก หรือคิดอย่างคนติดในโลกติดในทุกข์ อาจารย์จะสอนไว้นะศิษย์ เมื่อเราโดนกระทบไม่ต้องสู้ ไม่ต้องหนี แค่เข้าใจ เข้าใจเท่านั้นนะศิษย์มันจะจบเลย ไม่ต้องไปพยายามกดมันเลย ไม่ต้องไปพยายามให้อภัยเลย เพราะว่าเข้าใจแล้วมันก็จบเลย ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จงเข้าใจความจริง เข้าใจทุกข์ กิเลสไม่ทำให้คนสิ้นทุกข์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คนพ้นทุกข์แล้ว คนนั้นจะสิ้นกิเลสได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลยนะศิษย์
ถึงศิษย์จะพยายามไม่ โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ขนาดไหนก็ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าเมื่อใดศิษย์สิ้นทุกข์หมดทุกข์ได้ เมื่อนั้นกิเลสก็สิ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจคำว่าทุกข์คืออะไร ศิษย์จะไม่กลัวอีกต่อไป เราจะโกรธใคร เราจะเกลียดใคร เราจะอยากไหม อยากมากไปเดี๋ยวเขาก็ว่าเรา ใช่ไหม (ใช่)  ในรักก็มีชอบ ในชอบก็มีชัง ในทุกข์ก็มีสุข อย่างนั้นจะอยากมากไปทำไม
ถ้าเข้าใจแล้วก็จะหยุดกิเลสได้ทันที ดังคำกล่าวว่า การเพียรศึกษาธรรม ไม่ได้อยู่ที่ว่าให้ทานเป็นคนดี เป็นอานิสงส์ การศึกษาธรรมไม่ใช่อยู่ที่รักษาศีลจนสมบูรณ์เป็นอานิสงส์ การศึกษาธรรมไม่ใช่อยู่ที่มีสมาธิ มั่นคง ไม่หวั่นไหว เป็นอานิสงส์ ไม่ใช่แค่นั้น การศึกษาธรรมไม่ได้อยู่แค่เข้าถึงปัญญา แล้วเป็นอานิสงส์ แต่แก่นแท้ของการศึกษาธรรมก็คือ ใจหลุดพ้นความกระเพื่อมไหวนั่นคือแก่นสาร ถึงแม้ว่าศิษย์จะทำบุญมาก มีศีลดีมีสมาธิ แต่ทันทีที่ถูกกระทบ ก็ว่าเขา เกลียดเขา ไม่มีประโยชน์
ฉะนั้นหลักของการศึกษาธรรมก็คือ โดนกระทบและเข้าใจและจบลง โดยที่ไม่ต้องกด โดยที่ไม่ต้องพยายามให้อภัย โดยที่ไม่ต้องพยายามเมตตา แต่เข้าใจว่าคนเราก็แค่นี้ ไปทุกข์อะไร ตัวเราก็ทุกข์พอแล้ว จะไปนำทุกข์เข้ามาทำไมอีก โกรธแล้วเป็นอย่างไร โกรธแล้วบ้าหรือ ไม่ใช่ มีใครในโลกไม่เคยถูกว่า ไม่เคยถูกเกลียด ไม่เคยถูกนินทา ไม่เคยถูกใส่ความ มีไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นเป็นความจริงเป็นธรรมดา เวลาถูกเพื่อนว่า ถูกเพื่อนนินทา ถูกเพื่อนเกลียด ถูกเพื่อนยืมเงินไปไม่คืนไหม โกรธไหม (ไม่โกรธ)
ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต กระทบกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดา มีได้มีเสียเป็นเรื่องธรรมดา มีทุกข์มีสุขเป็นเรื่องธรรมดา มีนินทามีโดนชมเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าทุกครั้งเราคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา โดนด่าก็ (ธรรมดา)  โดนชมก็ (ธรรมดา)  เราจะโกรธใครไหม (ไม่โกรธ)  เราจะรักใครไหม (ไม่รัก) การรักอย่างไหนหรือศิษย์ ความรักเมื่อมีแล้วเดี๋ยวก็ต้องผิดหวัง ผิดหวังแล้วก็ต้องเสียใจ เสียใจเสร็จก็ต้องพลัดพราก พลัดพรากเสร็จก็ต้องทุกข์ มันก็วนเวียนไม่จบสิ้น ฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ไม่ใช่เรื่องไกลเกิน แต่เป็นการเรียนเรื่องชีวิตล้วนๆ เรียนเรื่องแก่นของชีวิตเพื่อทำให้ใจมีพลัง ให้ใจเข้มแข็งมีภูมิต้านทานที่ถูกต้อง เมื่อเจอเรื่องราวอะไรในโลกจะได้ยืนได้อย่างไม่หวั่นไหว ยืนได้อย่างมั่นคงด้วยขาของตน ไม่ต้องพึ่งพาใคร ดีไหม (ดี)
อาจารย์พูดไกลเกินเอื้อมไหม (ไม่)  อาจารย์โม้เกินไปไหม (ไม่)  อาจารย์ลวงเราไหม (ไม่)  ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่ศิษย์ต้องจำไว้ คือ ความมีเป็นแค่สิ่งสมมติ ความจริงคือสิ่งที่เรียกกว่าวิมุตติและว่างเปล่า ถ้ายังยึดติดกับความมีก็หนีไม่พ้นเรื่องสมมติ สมมติว่าฉันชอบ สมมติว่าฉันชัง สมมติว่าอันนี้ทุกข์ สมมติว่าอันนี้สุข แต่ถ้าเราเข้าถึงความจริง มันไม่มีชอบ ไม่มีชัง ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความไม่เที่ยงอันเปลี่ยนแปลงไป หรือเรียกว่าว่างเปล่า
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมขอให้พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรม ที่ อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์)
ควรจะทำให้เต็มที่แล้วค่อยได้ชื่อ หรือควรจะมีชื่อเพื่อเอามาบังคับให้เราต้องทำ อาจารย์มีชื่อให้อยู่แล้วนะ อาจารย์แค่อยากถามศิษย์ว่าจะเอาอย่างไรให้คิดเอา คิดให้ดีๆ (ทำก่อน)  ใจเย็นๆ ชื่อไม่หายไปไหนหรอก แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้เต็มที่แล้วอาจารย์ก็พร้อมจะให้ เพราะศิษย์งามพร้อมสมบูรณ์ เกียรติและชื่อมันจึงตั้งอยู่ ดีกว่าให้ชื่อไปแล้ว แต่ว่าศิษย์ยังทำอะไรไม่ได้เลย ฉะนั้นบุกเบิกแพร่ธรรม ทำงานให้เต็มที่ อุทิศเสียสละให้เต็มกำลังและเต็มใจ ชื่อนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญเลย สำคัญอยู่ที่การกระทำต่างหาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  เอาอะไรไหม (เอาปัญญา)  ให้ปัญญาไปเรียบร้อยแล้วนะ ก็เหลือแต่ว่าศิษย์จะทำตามที่อาจารย์บอกได้ไหม
ฉะนั้นไม่ใช่มีชีวิตเพียงเพื่อตัวเอง คนกลุ่มนี้คือคนที่เขาเข้าใจธรรมะ และอยากอุทิศเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่นบ้าง เราเกิดมาเพื่อพึ่งคนอื่นมากแล้วนะ ทำไมตอนนี้เราไม่เอาแรงเราไปช่วยคนอื่นบ้างล่ะศิษย์ ทั้งชีวิตเราเกิดมาก็พึ่งคนนั้นพึ่งคนนี้ แต่ถึงที่สุดเราจะพึ่งคนอื่นตลอดชีวิตหรือเราจะรู้จักสละชีวิตเพื่อช่วยคน อื่น ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้กล้วยดีกว่านะ สร้างห้องพระจะได้กล้วยๆ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามออกมารับผลไม้)
อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้ากินแอปเปิลนี้แล้วทุกข์ เอาไหม (เอา)  ทุกข์สุขมันอยู่ที่ตัวเราอย่าให้แอปเปิลกำหนด ถ้าจิตใจเราไม่อ่อนแอ เราไม่เห็นแก่ตัว เราไม่รักสบาย ใครก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้แม้กระทั่งแอปเปิล ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะจิตใจเราอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า โดนกระทบนิดหน่อยก็รับไม่ได้แล้ว โกรธไม่ได้หมายความว่าโง่ แต่โกรธหมายความว่าโดนว่า โดนกระทบ โดนต่อว่าไม่ได้ ก็เลยโกรธ ฉะนั้นกินแอปเปิลแล้วทุกข์เอาไหม (เอา)  ผู้มีปัญญาไม่กลัวทุกข์ ผู้เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่ควรกลัวคือใจที่อ่อนแอรับความจริงไม่ได้ต่างหาก
ก่อนจะจากกันอาจารย์อยากบอกว่า ศึกษาธรรม เรียนรู้ธรรม ไม่ใช่ค้นหาแค่ตามหนังสือ แต่จงค้นหาที่ใจตัวเอง เพราะมันเริ่มที่นี่ เราก็ต้องรับที่นี่ จบที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกรรม มันเป็นเหตุ มันเป็นปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ เหตุทำให้เราต้องเจอกัน และเหตุก็ทำให้เราต้องจากกัน มันเป็นเรื่องปกติ ถ้าเราเข้าใจเราจะไม่ทุกข์ ถ้าเราเข้าใจเราจะไม่ท้อ แต่เราจะมีความเบิกบานในการอยู่ร่วมกัน ไม่โกรธ ไม่เกลียด โดยที่ไม่ต้องพยายามกด แต่เป็นความเข้าใจอันเบิกบาน จนอะไรมากระทบก็ไม่หวั่นไหว รู้และเข้าใจตัวเอง ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่ให้ไปเข้าใจคนอื่น แต่หันมาเข้าใจตัวเอง เรียนรู้ธรรมไม่ใช่สอนให้แก้คนอื่น แต่ต้องแก้ตัวเราเอง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเรา บำเพ็ญธรรมไม่ได้สอนให้ไปแก้ใคร ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไปเปลี่ยนแปลงใคร แต่เปลี่ยนแปลงที่ตัวเรา ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไปบังคับใคร แต่บังคับที่ตัวเอง รู้เท่าทันทุกขณะที่โดนกระทบ โลกมันเกิดจาก ตา หู ใจ และโลกจะจบได้ก็ด้วยที่ตาเราเห็น หูเราฟัง ใจเราหยุดได้ไหม มันเริ่มตรงนี้ ก็ละตรงนี้ ก็จบตรงนี้ คนอื่นไม่สำคัญเลยนะศิษย์ สำคัญที่ตัวเรา เข้าใจแล้วไม่มีอะไรต้องโกรธ เข้าใจแล้วไม่มีใครที่ต้องโทษ เข้าใจแล้วไม่มีใครที่เราจะเกลียด เข้าใจแล้วไม่มีอะไรที่เราอยากได้ เพราะตัวเองก็ทุกข์พอแล้วจะมาหาห่วงเกี่ยวทุกข์ไปทำไม ฉะนั้นเข้าใจธรรมไม่ใช่เข้าใจในหนังสือแต่ต้องเข้าใจในตัวเอง ตรงนี้ ความสุขไม่ได้อยู่ที่ไหน ความสุขมันอยู่ที่ว่าเราเห็นทุกข์จนแจ่มแจ้ง จนไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุข แต่เห็นทุกข์จะเห็นว่ามันก็แค่นั้น มันก็เท่านั้น จะไปแช่ไปจมกับมันทำไม ลุกขึ้นมาสิ ธรรมะไม่ได้สอนให้หนี ไม่ได้สอนให้สู้ แต่สอนให้เข้าใจ เข้าใจก็จบเลยนะศิษย์
(นักเรียนชายลุกขึ้นถามพระอาจารย์)
(แล้วพระอาจารย์จะมาอีกเมื่อไหร่)  อยากเจออาจารย์อีกหรือ
ศิษย์เอ๋ยความเป็นพุทธะมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน ความตื่นรู้พ้นทุกข์ก็มีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน แต่อยู่ที่ว่าเมื่อศิษย์โดนกระทบ ศิษย์จะคิดดีคิดชั่วหรือเข้าใจ เมื่อโดนกระทบศิษย์จะโกรธหรือเข้าใจ เมื่อโดนกระทบศิษย์จะด่าเขา หรือจองเวรจองกรรมแล้วไม่จบกรรม เหล้าบุหรี่ อบายมุข มันไม่เคยกวักมือเรียก ถ้าใจศิษย์ไม่อ่อนแอ เหล้า บุหรี่ อบายมุข ก็ไม่อยู่ในใจศิษย์หรอก แต่เพราะเราอ่อนแอหรือเปล่าเราจึงตกเป็นทาสของเหล้า บุหรี่
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ อาจารย์ก็ไม่อยากจาก อาจารย์อยากให้กำลังใจศิษย์ หัวใจที่กว้างใหญ่จะไม่มีใครที่เรารู้สึกว่าน่าเกลียด หัวใจที่ยิ่งใหญ่หาขอบเขตไม่ได้ จะไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกว่า คนนั้นทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเขาแย่อย่างนี้ แต่เพราะใจเรายังคับแคบไปไหม เลยมีคนที่ยังรู้สึกรับไม่ได้ ไม่ไหวจริงๆ ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมฝึกให้หัวใจกว้างและยิ่งใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ เมื่อหาที่สุดไม่ได้อะไรมันจะกระทบและทำให้เราเจ็บ ไม่มีนะ ฉะนั้นมีรูปจึงมีเงา มีตัวตนจึงมีที่ทุกข์ แต่ถ้าไม่มีรูป ไม่มีเงา ไม่มีตัวตน เรากำลังทุกข์กับอะไร ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะมนุษย์ยังยึดตัวกูของกู ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงความเป็นจริง แม้แต่รูปก็ยึดไม่ได้ รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป มองอะไรมองให้ชัด จะได้ไม่ถูกตัวเองนั้นหลอกตัวเอง รู้อะไรรู้ให้แจ้ง รู้ให้กระจ่างแล้วความรู้สึกของใจจะได้ไม่ทำให้เราบดบังตาอันแท้จริง จริงไหม (จริง)  เคยมองอะไรจนถึงที่สุด จนไม่มีอะไรมาหลอกเราได้ไหม ลองมองให้ถึงที่สุดแล้วศิษย์จะรู้ว่าตัวตนมันก็ไม่มี คนต่อว่าเรา คนทำร้ายเราก็ไม่มี มันเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่มาเจอกับอีกปัจจัยหนึ่งแล้วเดี๋ยวก็จบไป แต่ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นเราก็สร้างตัวตนให้ทุกข์ไม่จบสิ้น เวียนว่ายให้ทุกข์ทน เราจะเกิดมาเพื่อทุกข์หรือเกิดมาเพื่อจบ คิดให้ดีๆ นะ ฉะนั้นโดนกระทบคิดให้ดีๆ ว่าถ้าเป็นกระทบแล้วเกิดเป็นกรรมหยุดดีไหม แต่ถ้ากระทบแล้วได้ละลายหนี้กรรมให้ไปดีไหม เหมือนที่อาจารย์ถามนะ ถ้ากระทบเขาตีเรา เขาต่อว่าเรา ก็วางเราลงบ้างไม่ได้หรือ ให้ทานที่ยิ่งใหญ่คือให้ตัวตน สละตัวตนได้เป็นทานที่ยิ่งใหญ่ไหม (ยิ่งใหญ่)  ถ้าโดนตบจะให้แค่ทานหรือให้บุญหรือให้กุศล คิดให้ดีๆ นะ ไม่ถือโกรธ ไม่ถือโทษ ตัดวางตัวตนให้ได้ทั้งบุญ ทาน กุศลและคลายความเป็นตัวตน จริงไหม (จริง)  กุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสามารถตัดตัวตนได้ จนไม่เหลือให้ยึดถือ แล้วทำไมโดนกระทบแล้วเราไม่สละจะยึดทำไม จะโกรธทำไม
ศิษย์เอ๋ยถึงจะเจ็บ ถึงจะทุกข์ ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เพราะความทุกข์ทำให้เราเข้าใจสุข เพราะความทุกข์ทำให้เราได้สลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และได้สร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ ยึดทำไม เพราะถ้ายึดก็คือมีตัวตนให้ทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเราวาง เราคลาย เราก็จบกรรมกันเลยสิ้นกรรมกันเลย เราเกิดมาเพื่อจบเวรจบกรรม ถ้าอยากจะกรรมก็กรรมต่อไป คิดให้ดีๆ นะ อาจารย์พูดง่ายๆ แต่ทำไม่ง่าย อยู่ที่ว่าจะรับไหวไหมเท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  โลกใบนี้เกิดจากตัวเรา และจะหยุดได้ด้วยตัวเรา กระทบแล้วนิ่งไหม กระทบแล้วเข้าใจไหม กระทบแล้ววางได้ไหม ถ้ากระทบแล้ววางไม่ได้ก็ก่อเกิดเป็นเวรกรรม จองเวรจองกรรม เวียนว่ายวัฏฏะไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ นะก่อนจะไปเกี่ยวกรรมกับใคร แค่ตัวเองก็ยังไม่ไหวแล้ว ยังอยากจะมีบุญเวรกรรมกับใครอีกไหม (ไม่อยาก)  บุญกรรมหนุนมาให้เจอกัน แล้วสักพักศิษย์จะได้รู้ว่าเวรกรรมเป็นอย่างไร ตอนอยู่กันก็มีความสุขดี แต่พอนานไปก็ตัวใครตัวมัน ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะก่อนจะเกี่ยวกรรม
ยิ้มยากหรือ ยิ้มให้อาจารย์หน่อยได้ไหม อาจารย์อยากเห็นศิษย์ยิ้มนะ ศิษย์เป็นคนหล่อนะ ยิ้มยากไหม (ยาก)  แล้วทำไมยิ้มยากล่ะศิษย์เอ๋ย ชีวิตมันยากนักหรือ อยากมีความสุขเริ่มต้นที่รอยยิ้ม ศิษย์เอ๋ยถ้าเราเอาแต่นั่งหดหู่ห่อเหี่ยว ชีวิตมันก็หดหู่ห่อเหี่ยว แต่ถ้าเรายิ้มทุกชีวิตก็ยิ้ม ใช่หรือไม่อาจารย์ถามว่าได้แอปเปิลแล้วไปทำอะไร (เอาไปบูชา)  บุญที่ดีคือ บุญที่ได้รับแล้วรู้จักส่งต่อ บุญที่ยิ่งใหญ่คือการได้รับแล้วรู้จักส่งต่อ บุญที่ยิ่งใหญ่คือ บุญที่ได้รับแล้วรู้จักให้คนต่อ ได้แล้วรู้จักให้ต่อ ดีแล้วรู้จักดีส่งต่อ มีความสุขแล้วจงรู้จักส่งต่อ ทำให้ได้นะ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีความสุข
ใครอยากได้แอปเปิลอีก ได้แล้วก็นำไปให้คนที่ศิษย์รักที่สุด แล้วก็บอกพ่อ แม่ พี่น้องว่า หนูเอาบุญมาฝาก พ่อแม่ได้รับก็สาธุ บุญจะได้ใหญ่
ศิษย์อายุเท่านี้ แต่ตั้งใจฟังจนจบสองวัน แม้จะรู้สึกว่าลำบากแต่ก็นั่งจนจบได้ อาจารย์ก็ขอปรบมือให้ดังๆ ให้กำลังใจตัวเองหน่อยนะสุดยอด
ดูแลจิตตัวเองให้ดี อะไรไม่สำคัญเท่าเราต้องมีความสุขด้วยตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเอง ตั้งใจเข้มแข็ง บำเพ็ญธรรมสิ่งสำคัญคือ อย่าอ่อนแอ
จับมือไหม หากจับก็กลับมาเจอกันอีกนะ กลับมาช่วยอาจารย์อีกนะ โอกาสมีอยู่แล้ว อยู่ที่ศิษย์จะทำไหม กลับมานะ
อย่าอ่อนแอนะ เป็นเด็กดีของอาจารย์ เป็นจี้กงน้อยๆ ของอาจารย์ได้ไหม เป็นจี้กงที่รู้จักอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คน ทำให้ได้นะ สิ่งสำคัญคือตัวเรา รูปลักษณ์เป็นเพียงภายนอก ขอให้ใจน่ารักก็พอ ใช่ไหม มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์
จับมืออาจารย์แล้วปฏิบัติให้ได้ด้วยนะ มีโอกาสมาฟังให้ครบ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องได้หรือยัง มีโอกาสเลือกทางที่ถูกต้องอย่าหลงทางทำผิด น่าเสียดายนะถ้าขาดความมุ่งมั่น มุ่งมั่นทำสิ่งถูกต้อง มีโอกาสกลับมาอุทิศตัวเองเพื่อคนอื่นบ้าง ทำให้ดีทำให้ถึงที่สุดนะ ตั้งใจแล้วไปให้ถึงที่สุด นำพาผู้คนด้วยความห่วงใยเอาใจใส่ผู้คน อย่าคิดถึงอดีต ตอนนี้คิดอย่างเดียวทำให้ดีที่สุดเพื่อให้บุญกุศลนั้นหนุนนำให้พ่อแม่ไปสู่ ที่สูงที่สุด อย่ามัวแต่เสียใจกับอดีตจำไว้
เดินบนหนทางนี้แล้วต้อง ไม่หวั่นไหว เดินบนหนทางนี้แล้วต้องไปให้ถึงที่สุด เดินบนหนทางนี้แล้วอย่ากลัวอุปสรรค อย่ากลัวกรรมเวร แม้กรรมเวรจะน่ากลัว แต่ขอเพียงศิษย์หนักแน่นมั่นคงกรรมเวรก็สลายได้ เด็กดีของอาจารย์ต้องตีเยอะๆ จะได้เข้มแข็ง ยังมัวหลงไปไหนหรือ จิตใจต้องเข้มแข็งนะศิษย์เอย อาจารย์ดีใจและภูมิใจที่มีศิษย์เป็นศิษย์ ฉะนั้นศิษย์จงทำสิ่งที่น่าภูมิใจให้สมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กง นั่นก็คือ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ฟันฝ่าสู้จนถึงที่สุด อย่าให้ความเป็นตัวตนมันกักขังเรา แต่จงเอาคุณธรรมมาสลายความเป็นตัวตน อย่าไปยึดติดในรูปอันไม่เที่ยง เข้มแข็งนะศิษย์
ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความเจ็บปวดไม่ใช่สิ่งโหดร้าย ทั้งความทุกข์และความเจ็บปวดคือสิ่งที่เราต้องเข้าใจเรียนรู้ ยอมรับเพื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนะ เพราะสิ่งที่แท้จริงที่สุดในตัวศิษย์และประเสริฐที่สุดในตัวศิษย์ นั่นคือ พุทธจิตอันว่างเปล่าจากการยึดถือ คือความรู้แจ้งเห็นจริงที่เข้าถึงแล้วมันถึงเลย อะไรก็ทำให้ทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป อะไรก็พลัดพรากให้ศิษย์ตกนรกไม่ได้อีกต่อไป อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปให้ถึงความเข้าใจนั้นจริงๆ เข้าใจที่มันหมดทุกข์ สิ้นทุกข์ สิ้นความโกรธ สิ้นความเกลียด เป็นการอยู่ในโลกด้วยความเข้าใจเบิกบาน และมีแต่ให้กับให้โดยที่ไม่หวังวอนอะไร ไปให้ถึงให้ได้นะศิษย์ จิตที่ให้จนไม่มีคำว่าตัวตน จิตที่ให้จนไม่มีการหวังผลอะไร ให้ไปเถอะถ้าให้แล้วมันสูญสิ้นความยึดมั่นถือมั่นตัวตน แม้กระทั่งตัวตนก็ให้ได้ แม้กระทั่งความเจ็บปวดก็ให้ได้ ให้แล้วเข้าใจ ให้แล้วไม่โกรธ ให้แล้ววาง ให้แล้วจบมีโลกที่สวยงามที่สุดที่อยู่ในใจของศิษย์เอง รอเพียงศิษย์รู้ รู้แล้วเข้าใจแค่นั้นเอง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

2558-06-27 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร



西元二一五年 歲次乙未五月十二日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
พริบตาพลันเปลี่ยนแปรผัน ฉับพลันกำลังเลือนหาย
ความมีกำลังเสื่อมไป อะไรคงอยู่แท้จริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ตีค่าในทรัพย์ห่วงตนมากกว่า ห่วงหน้าตาห่วงลูกเป็นนิจศีล
คลายลูกตัวห่วงหลานบ่วงกามกิน มีใครหนาใครพ้นสิ้นพันธนาการ
คนติดบ่วงทุกข์ได้สุขไม่ได้ ตัดความหลงสิ้นหมดไปจึงสะบั้น
มั่นยึดหวังมั่นยึดคนสารพัน ใจลวงในตานั้นยากแจ้งจริง
ติดความสุขติดเคยชินติดนิสัย หลงอะไรเฝ้าไม่หน่ายตายไม่ทิ้ง
รักอะไรถวิลไม่รู้ยอมทุกสิ่ง เตือนชาวโลกจงทิ้งซึ่งมวลกิเลส
เวลากี่กัลป์กัปกี่ชาติโยงใย ทุกทุกสิ่งเป็นได้ล้วนมีเหตุ
พึงใฝ่หาธรรมมิอาศัยฤทธิ์เดช คนบุญได้แต่ครองซึ่งเหตุแห่งธรรม
ชีวิตมีกรรมผลักดันให้เป็นไป คนสร้างเหตุปัจจัยติดตัวเช้าค่ำ
อย่ายึดอัตตายึดสังขารทำบาปกรรม พูดกระทำจิตญาณฝึกได้หมดเลย
สิ่งที่รู้บังรู้ที่สิ่งนั้น รู้ด้วยมีด้วยทันด้วยวางเฉย
เห็นความจริงด้วยสติจับตามเอย ตนในตนรู้ครองเลยไม่ระทม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ชีวิตเรากำลังเกิดเพื่อเกิด หรือกำลังเกิดเพื่อดับ (เกิดเพื่อดับ) ชีวิตเรากำลังอยู่เพื่อมี หรืออยู่เพื่อไร้ (อยู่เพื่อไร้)  เช่นนั้นหรือ แต่เราเห็น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นท่านก็ไม่เคยปล่อยให้มันจบสักที ไม่เคยปล่อยให้จบอะไรง่ายๆเลยสักครั้ง จริงไหม เดี๋ยวก็เกิดอยากได้ เดี๋ยวก็เกิดอยากมี เดี๋ยวก็ผูกใจเจ็บ เดี๋ยวก็อาฆาตมาดร้าย เดี๋ยวก็ถือสาหาความ เดี๋ยวเกิดยึดนั้นยึดนี้ จริงๆแล้วชีวิตเกิดเพื่อเกิดหรือเกิดเพื่อดับ (เกิดเพื่อดับ)  มีเพื่อไร้ หรือมีเพื่อมี (มีเพื่อไร้)  ท่านก็รู้แต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่รู้เลยนะ จริงไหม มีใครบ้างที่ยอมเป็นคนจน พอโดนว่า ว่าจนหน่อยมีใครยอมไหม (ไม่ยอม)  ถ้าเช่นนั้นที่จริงแล้วเราเป็นประเภทที่รู้อย่างหนึ่ง แต่ทำอย่างหนึ่ง ทั้งที่เรารู้ว่าชีวิตที่แท้จริง มีความจริงอยู่เหมือนกัน คือ เกิดเพื่อดับ มีเพื่อไร้ หรือบางทีเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่เรากลับทำสิ่งที่ไม่มีให้ต้องมี แล้วไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังไปสู่ความดับ แต่เราก็ไม่ยอมดับ ไม่ยอมจบ เราเหมือนคนที่หาเรื่องแล้ว หาเรื่องอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงแห่งชีวิต เข้าใจความจริงแห่งธรรม เราคงมีพลังใจ และมีชีวิตอย่างคนที่เห็นแจ้งจริงมากกว่ามืดบอด เราคงไม่พยายามไปหาเรื่องเขาหรอก การเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากการอดทน อดกลั้น ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น  การเอาแต่น้อยเนื้อต่ำใจ โทษฟ้าโทษดิน ก็ไม่ใช่การหาทางออกที่ดีให้กับชีวิต ถูกหรือไม่ การดำรงชีวิตที่ไม่เคยพอใจอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ไม่เคยทำให้เรามีความสุขสักที ใช่หรือไม่ แล้วเราเป็นเช่นนั้นไหม ทุกชีวิตล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความดับสิ้น เสื่อมสิ้น แต่ตอนนี้เรากำลังเกิดเพื่อดับหรือเกิดเพื่อเกิด แล้วเราก็คงไม่ผูกใจเจ็บและไม่คิดถือสาหาความใครต่อใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรามักจะลืมเรื่องนี้ไป หากเราพึงระลึกอยู่เสมอว่า ในทุกชีวิตก็กำลังเดินไปสู่ความว่างเปล่าและความไร้ คนที่ว่าเราเขาก็คือความไม่มี และเรากำลังโกรธเคืองใคร แม้แต่ตัวเราก็ยังไม่มี ไม่เที่ยง และอะไรที่เราควรถือสาหรือเคืองโกรธ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เข้าถึงดวงตาแห่งธรรม  ความพ้นทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องชาติหน้า ความสิ้นทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกลุ้มกังวล แต่เราสามารถทำได้ในขณะนี้ ตอนนี้ที่เราพึงระลึกถึงธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยพึงระลึกถึงธรรม ทุกวันระลึกถึงแต่เพียง “วันนี้ฉันจะกินอะไร วันนี้ฉันอยากได้อะไร วันนี้ฉันสุขไหม วันนี้ฉันได้หรือยัง” ฉะนั้นถ้าวันใดวันหนึ่งมีคนชวนให้ท่าน ลองเปิดตาเพื่อหาธรรมในตัวเองบ้าง  ลองมาสงบนิ่งเพื่อหาธรรมอันเป็นแก่นแท้ที่จะทำให้เราเข้าใจชีวิตบ้างดีหรือไม่(ดี)  ฉะนั้นเวลาชวนคนมาฟังธรรมะต้องเปลี่ยนคำพูดบ้าง บอกให้มาฟังธรรมะเฉยๆ เขาก็พูดว่าฟังมาเยอะแล้ว แต่ถ้าบอกว่า “มาค้นหาธรรมที่อยู่ในตัวเอง มาเปิดดวงตาแห่งธรรมที่ปกปิดไว้เนิ่นนาน” แล้วธรรมอยู่ที่ไหน อยู่ที่องค์พระ อยู่ที่พระไตรปิฎก อยู่ที่หนังสือธรรมะหรืออยู่ที่พระสงฆ์ ธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  อย่าจำกัดนะธรรมกว้างใหญ่กว่านั้น ธรรมยิ่งใหญ่กว่านั้น ท่านก็คือธรรม เพดานก็คือธรรม เขาก็คือธรรม สิ่งที่มากระทบให้เราเจ็บปวดก็คือธรรม แม้กระทั่งกิเลสก็เป็นธรรม แต่อยู่ที่มุมมองว่าเราเห็นธรรมหรือเห็นคน เห็นธรรมในกิเลสหรือเห็นกิเลสในธรรม
เมื่อยหรือยัง (ไม่เมื่อย)  อย่างนั้นยืนเป็นเพื่อนเราได้ไหม (ได้) ยืนอย่างคนมีดวงตาเห็นธรรมก็จะได้ธรรม แต่ถ้ายืนอย่างคนที่คิดเอาแต่กิเลสก็ได้กิเลส คิดอย่างคนเอาแต่ใจตัวเองก็จะได้แต่นิสัยความเคยชิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะยืนอย่างคนที่มองเห็นสัจธรรม มองเห็นธรรม หรือยืนอย่างคนที่มองเห็นแต่ความคิดของตัวเอง อย่างนั้นแปลว่าจะยืนเป็นเพื่อนเรา ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราลองพิจารณา เราก็จะเห็นธรรม แต่ถ้าเราไม่เคยนิ่งพิจารณา เราก็จะไม่มีวันเห็นธรรมได้เลย ถูกไหม (ถูก)  หลายท่านอาจจะบอกว่า ก็เราไม่เคยสงบเช่นนั้น ท่านก็ลองสงบ ลองนิ่ง เพราะธรรมไม่ได้หนีไปไหน ธรรมมีอยู่ทุกขณะ แค่เพียงนิ่งก็จะเห็น แต่จะเห็นธรรมแบบไหน ถ้าเราบอกว่า ท่านคือธรรม เราคือธรรม เก้าอี้ก็คือธรรม ถ้าทุกสิ่งล้วนเป็นธรรม เช่นนั้นธรรมก็คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเป็นธรรมชาติ แล้วเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าทุกสิ่งล้วนคือธรรมแล้วทำไมเรามักคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือของเรา ถ้าทุกสิ่งล้วนคือธรรม แล้วเรานำตัวเราเป็นบรรทัดฐานไปวัดธรรมในผู้อื่น ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมเรามักคาดหวัง และเรียกว่า หวังดีกับเขา ในเมื่อธรรมชาติล้วนมีคุณค่าที่แตกต่างกันไป ความหวังดีของเรานี้ วัดความหวังดีของเขาได้ไหม (ไม่ได้)  มาตรฐานของเรา วัดมาตรฐานของเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แม้เราจะอ้างว่า เราหวังดี
นิ้วของเราเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  คนเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  แล้วทำไมจึงพยายามทำคนให้เท่ากัน เมื่อไม่เท่ากันแล้วยังเป็นความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ วันนี้เราอาจจะมองไม่เห็นธรรมชาตินี้ว่ามีดีอะไร แต่ถ้าเราเปิดใจกว้างอีกนิดหนึ่ง “มันต้องมีดีให้เห็นบ้างสิ ถ้าเราตาไม่บอดเกินไป”
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม อะไรหรือที่เราต้องโกรธ มีไหม (ไม่มี)  อะไรหรือที่เราควรจะอยากจนโลภหลง ในเมื่อธรรมชาติก็ต้องผันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เราจะตู่ว่าเป็นของเราได้ไหม เราจะยึดเป็นของเราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทุกวันนี้ตู่ไหม (ตู่)  ขี้ตู่อย่างแรงเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเราเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติ แล้วธรรมชาติล้วนเดินไปสู่ความดับ ฉะนั้นเรากำลังยึดอะไรให้ทุกข์ทน หวังอะไรให้วิตกกังวล กลัวอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วก็เป็นความจริงแห่งธรรมชาติ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง เราถามท่านว่า ถ้าท่านปลูกต้นมะลิหวังให้มันตกผลได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมตอบได้ทันทีล่ะ เพราะอะไร (เพราะมะลิเป็นไม้ดอก)  ไม่มีวันให้ผลถูกไหม (ถูก)  คนก็เหมือนกัน คนบางคนไม่ใช่ต้นส้ม เขาเป็นได้แค่ต้นมะลิ แต่ทำไมเราพยายามให้เขาเป็นเหมือนต้นส้ม ถูกไหม (ถูก)  ถ้าต้นส้มออกผลมาเราจะหวังให้ทุกลูกสวยเท่ากันหมดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมหวังให้ลูกเหมือนกันหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหวังให้ชีวิตทำอะไรต้องสำเร็จตกผลเหมือนทุกครั้ง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมชาติเราก็เข้าใจหลักแห่งชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิตความทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเผลอเห็นต้นมะลิแล้วหวังเป็นต้นส้มนะ แล้วก็อย่าหวังว่าชีวิตจะเป็นต้นส้มที่ต้องออกผลสวยงามทุกลูก ไม่มีแมลงกัดกินเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็เข้าใจชีวิต ถ้าเราเห็นธรรมเราก็เห็นชีวิตชัด จริงหรือไม่
เริ่มเห็นชัดบ้างหรือยัง (ยังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง)  ถ้าอย่างนั้นต้นธรรมที่มีอยู่นี้ อยากยืนหรืออยากนั่ง (มีทั้งอยากยืนและอยากนั่ง)  ใช่แล้ว ธรรมชาติที่แท้จริงไม่มียืนหรือไม่มีนั่งตลอด ฉะนั้นถ้าเราบอกว่า ต้นธรรมต้นนี้ควรจะยืนหรือควรจะนั่ง ท่านก็ควรตอบว่า ยืนก็ดีนั่งก็ดี เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้ว ถ้านั่งแล้วยืนไม่ได้หรือยืนแล้วนั่งไม่ได้เรียกว่าพิการ ถ้าอย่างนั้นยืนหรือนั่งดี (ยืนก็ได้นั่งก็ดี)
“ติดความสุขติดเคยชินติดนิสัย หลงอะไรเฝ้าไม่หน่ายตายไม่ทิ้ง
รักอะไรถวิลไม่รู้ยอมทุกสิ่ง เตือนชาวโลกจงทิ้งซึ่งมวลกิเลส
กลอนที่ให้ไปรู้สึกว่าโดนใจใครไปหลายคนมากเลย เราเกิดมาเพื่อจบแต่ใจเราไม่ค่อยยอมจบอะไรง่ายๆ เราเกิดมาเพื่อเข้าสู่ความไร้แต่เราชอบยึดติดความมี ฉะนั้นอย่ามองเห็นว่าธรรมเป็นเรื่องไกลตัว แต่ธรรมเป็นเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงแห่งชีวิต ธรรมะไม่ใช่ยานอนหลับแต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งหลับ ธรรมะมีแต่ปลุกให้คนหลงตื่นจากความหลับไหล ไม่ใช่ทำให้คนยิ่งหลับไหลไม่ยอมตื่น มนุษย์เฝ้าเพียรพยายามทำดีเพื่อเป็นคนดี แต่บางครั้งการเป็นคนดีก็รู้สึกเหนื่อยใจ มองไปซ้าย มองไปขวาไม่เห็นมีใครดีเลย มองดูทีวี มองดูข่าว มองดูสังคม มีแต่คนชั่วร้าย จนบางครั้งมองแบบนั้นแล้ว ใจโกรธ เกลียด ไม่พอใจ ยิ่งดูยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าดึงใจให้ตกต่ำลง จนบางครั้งไม่มีแรงบันดาลใจเลยว่า เราจะดีอยู่คนเดียวในโลกไปทำไม ตื่นมาลูกก็ไม่ได้ดั่งใจ สามีก็ไม่เอาไหน ภรรยาก็ขี้บ่น แล้วเราจะดีจะเหนื่อยไปทำไม คิดอย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วเป็นไหม (เป็น)  พอเป็นแบบนี้แล้วเราทำอย่างไรต่อ พอเป็นแบบนี้ก็เลยโทษว่าที่ฉันไม่ดี ก็เพราะว่า โน่น นั่น นี่ ที่ฉันไม่ดีก็เพราะคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น หาแพะรับบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคิดอย่างนี้ใจมีแต่ยิ่งตกต่ำเต็มไปด้วยความโกรธ  เต็มไปด้วยความไม่พอใจ  แต่หากต้องการเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนจากผิดให้กลายเป็นถูก เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เคยคิดบ้างไหมว่าทำอย่างไร  เงียบหมดเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นอย่างที่เราพูดหมดไม่เคยคิดเปลี่ยนเลยใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรามองกลับเรามองว่าเขาก็ไม่ต่างจากเรา เขาผิดเราก็เคยผิด เขาไม่ดีเราก็เคยไม่ดี เราโกรธได้เขาก็โกรธได้ เมื่อคิดได้แบบนี้จากความรู้สึกที่จะด่าทอ โกรธเกลียด จนทำให้จิตใจตกต่ำ กลับกลายเป็นเห็นใจ จิตใจที่จะสร้างบาปก็เปลี่ยนเป็นสร้างบุญ จิตใจที่มองโลกในแง่ร้ายก็กลายเป็นเห็นแง่ดี จิตใจที่รู้สึกตกต่ำเป็นทุกข์ก็กลายเป็นยกให้สูงขึ้น แล้วรู้สึกสบายใจโล่งใจ ถามว่าเราดีหรือยัง เราก็ยังไม่ดี ฉะนั้นเรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อไรที่เราคิดว่าเราก็ไม่ต่างกับเขา เขาผิดได้เราก็ผิดได้ เขาไม่ดีเราก็ไม่ดี เขายังใช้ไม่ได้เราก็ยังใช้ไม่ได้ เขายังแย่เราก็แย่ คิดได้เช่นนี้ ทุกข์จะกลายเป็นสุข ผิดจะกลายเป็นถูก และการอยู่ร่วมกัน จากเลวร้ายก็จะกลายเป็นเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ ให้อภัย และมีปัญญาที่จะชี้นำแนวทางที่ถูกต้องให้เขา แต่ถ้าเอาแต่ด่าทอว่าเขาไม่ดี ใจเราก็แย่ อารมณ์ก็เคืองโกรธ ความโกรธเกลียดกันจะชี้นำใครได้ มีแต่โมโหฉุนเฉียวเปลี่ยนใครก็ไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)  แม้ท่านจะรักลูกขนาดไหนแต่ถ้าใช้ความโมโหเข้าใส่ก็เปลี่ยนลูกไม่ได้ แม้ท่านรักสามีรักภรรยาขนาดไหนถ้าใช้ความเคืองโกรธโมโหโกรธาเข้าไกล่เกลี่ยย่อมไม่มีทาง แต่จงมองเห็นเขากับเราไม่ต่างกัน เมื่อเขาเป็นเราก็เป็น เมื่อเขามีเราก็มี ต่างคนต่างร่วมกันแก้ไขดีไหม (ดี)
ถ้าลูกทำผิด แล้วเราบอกกับลูกว่า “ลูกกับแม่มาร่วมมือกันแก้ไขให้ถูกต้องดีไหม” เช่นนี้ลูกก็จะดีใจที่มีแม่เป็นเพื่อน ถูกหรือไม่ (ถูก) เราเห็นสามีผิด เราเป็นภรรยา เราก็บอกเขาว่า “คุณคะ เรามาเปลี่ยนกันไหม เพื่อความสุขของตัวคุณและครอบครัวของเรา” ใช้วิธีนี้ดีกว่าการด่าทอ หรือรังเกียจกันอีก ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “ถ้าเมื่อใดมนุษย์สลัดการจ้องจับผิดผู้อื่น หรือการมองคนในแง่ร้ายได้อย่างหมดสิ้น มนุษย์ก็จะสามารถตัดทางแห่งกิเลสได้มากที่สุด” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่น เรามองไปทางไหน หันไปทางไหน ก็รู้สึกว่าอะไรก็ดีไปทุกอย่าง แล้วอย่างนี้ชีวิตของเราจะมีอะไรร้าย แต่ในความเป็นจริงเรามักจะคิดว่า อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ดี คนนั้นก็น้อยเกินไป คนนี้ก็มากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตัวเองเป็นอย่างไร ก็ไม่เคยพอดีสักครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าต้องการตัดทางมาแห่งกิเลส ไม่ใช่แค่การทำบุญ ไม่ใช่แค่การให้ทาน ด้วยเงิน ด้วยทรัพย์สิน ด้วยข้าวปลาอาหาร แต่จงให้ทานที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ การให้อภัยทาน และเหนือกว่าการให้อภัยทานคือ การให้ธรรมะเป็นทาน และเมื่อให้มากๆ เราจะสามารถละกิเลส ละความโลภ ความโกรธ ความยึดมั่นถือมั่นได้ เช่นนี้ไม่ใช่การทำทานกับคนหรือ สิ่งนี้ไม่ใช่การทำทานที่เราควรทำเป็นประจำหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงทำทานเฉพาะกับพระ หรือกับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แล้วตอนนี้คนที่เขาเคยทำผิดพลาด เขากำลังมีทุกข์ไหม (มี)  แล้วทำไมเราไม่ทำทานกับเขา
ทำบุญกับคนที่เรียกว่ามนุษย์เป็นบุญที่ประเสริฐนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบุญนั้นยังแปรเปลี่ยนให้คนร้ายกลายเป็นคนดี บุญนั้นยิ่งใหญ่นะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เปลี่ยนเขาแล้วยังเปลี่ยนเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ารู้จักเพียงทำทานด้วยเงินทองทรัพย์สิน แต่ลืมธรรมะในใจ ทำไมเราไม่ให้ธรรมะแก่เขาบ้าง เอาแต่ให้กิเลส ให้ความโกรธ ให้ความอยาก ให้คำนินทา มันเป็นบาปทั้งนั้นเลยนะ ซึ่งถ้าให้เขาทุกวันก็คือ ให้แต่บาป แล้วจะได้บุญไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอย่าบอกว่าบุญไร้ผล ถ้าเกิดคุณกำลังทำบุญผิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นจงรู้จักทำบุญด้วยการให้ธรรมะ ให้อภัย ให้ความไม่ถือโกรธ ให้ความไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์สลัดความจับผิดคิดร้ายคนได้ มนุษย์ก็ตัดทางมาแห่งกิเลสที่เป็นต้นเหตุและรากเหง้าของบาปอกุศลทั้งมวลได้นะ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ตาเรายังอดไม่ได้ ชอบจับผิดอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  หูยังชอบฟังเรื่องไม่ดีของคนอื่นอยู่ไหม ฉะนั้นถ้าเรื่องไม่ดีไหลมาสู่เราเมื่อใด และเราสามารถขุดหลุมกลบฝังได้ เราก็คือคนแปรเรื่องร้ายให้เป็นดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังเราจบแล้วถามว่าจำอะไรได้ไหม สงสัยจะตอบว่าจำไม่ได้แล้ว อย่างนั้นใช้การนิ่งเงียบดีไหม ธรรมคืออะไร ที่ตอบได้ง่ายที่สุด เคยได้ยินหลักธรรมอันนี้ไหม ยิ่งหุบปากให้มิดที่สุดนั่นคือธรรมะที่แท้จริงที่สุด ยิ่งพูดเยอะยิ่งห่างจากธรรมใช่หรือไม่
ถ้าอยากอยู่ในโลก อย่างเป็นสุข อย่ารอให้เขาชี้หน้าว่าเรา อย่ารอให้เขาไล่เรา แต่เราจงมองให้ออก เพราะธรรมสอนให้มองตน ไม่มองใคร แก้ไขตนไม่แก้ไขใคร เข้มงวดตนไม่เข้มงวดใคร นี่คือหลักของการบำเพ็ญธรรม แต่หลักของมนุษย์ แก้เขาไม่แก้เรา เข้มงวดเขาไม่เข้มงวดเรา เขาผิดเราถูก ฉะนั้นถ้าอยากเดินทางนี้ ต้องยอมทวนกระแส พยายามมองแต่ตัวเอง แก้ไขตัวเอง เรายกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังนะ เรื่องราวบางเรื่องราวอย่างเช่นดอกไม้ มองดูก็สวยดี ใช่หรือไม่ แต่เมื่อไรที่ใจแย่ๆ ดอกไม้สวยไหม ดอกไม้ก็ดีของดอกไม้ แต่เมื่อไรที่เราอารมณ์ฉุนเฉียว ดอกไม้ก็พร้อมที่จะถูกขยำทันที ใช่หรือไม่  ดังนั้นแก่นแท้ของเรื่องราว อยู่ที่ดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
นี่คือเหตุผลที่ว่าแก่นแท้ของเรื่องราวไม่ใช่แก้ที่เขาแต่แก้ที่เรา ลองเทียบง่ายๆ สมมติว่าคนนี้เป็นคนที่เรารัก เขาด่าเราก็ยิ้ม ใช่หรือไม่(ใช่)  กลับกัน ถ้าคนนี้เป็นคนที่ท่านเห็นแล้วไม่ชอบหน้า แม้เขาชมท่านจะยิ้มไหม (ไม่ยิ้ม)  คนที่ไม่ชอบมาชมเรากลับยิ้มไม่ออก เพราะอะไร (เพราะไม่ชอบ)  แก่นแท้ของชีวิตจะทุกข์หรือสุขไม่ใช่อยู่ที่แวดล้อมภายนอก แต่มันอยู่ที่ขณะนี้ของใจเรา พึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ พึงพอใจร้ายยังกลายเป็นดี ไม่พึงไม่พอใจดียังกลายเป็นร้าย ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลคือเขาหรือเรา (เรา)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา ที่ไปว่าเขาผิดทั้งโลก แท้จริงใครผิด (เราผิด)  ดั่งคำว่า “ถ้าอารมณ์ดี ถ้าใจสบายมองอะไรก็เป็นสุข แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี ใจไม่สบายก็พาลเป็นทุกข์” ฉะนั้นต้นเหตุแห่งเรื่องราวทั้งมวล แก่นหลักอยู่ที่ใจ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ธรรมใดที่ควรปฏิบัติและมีอุปการะมากต่อชีวิต  นั่นคือความไม่ประมาท ไม่ว่าจะอยู่กับใคร ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะไปไหน ขอให้พึงระลึกว่า “ความไม่ประมาท เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เป็นธรรมที่อยู่กับใครก็จะทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย”  แล้วธรรมอะไรที่ควรเจริญให้มาก แล้วจะทำให้เราไม่เป็นทุกข์ พระพุทธะได้กล่าวว่า ธรรมที่ควรเจริญให้มากแล้วทำให้เราไม่ทุกข์ แปรทุกข์เป็นสุขได้นั่นคือสติ แล้วธรรมอะไรที่เราควรพึงรู้ แล้วจะทำให้เราไม่หลง นั่นคือ สติที่รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบกาย วาจา ใจ หรือหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าอะไรกระทบจงรู้ รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี และสิ่งที่ควรละให้มากที่สุด สิ่งนั้นคือความหลงตน คิดว่าตนดีแล้ว พอแล้ว แน่แล้ว
เราพูดตั้งแต่ต้นจนจบยังมีข้อสรุปให้ท่านด้วย ฉะนั้นธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ เพราะทุกชีวิตเกิดเพื่อจบ ตอนนี้เรากำลังเกิดหรือเรากำลังตาย (ตาย)  ถูกต้อง เราไม่ได้กำลังเกิดนะแต่ท่านกำลังบ่ายหน้าไปสู่ความตายและความไม่มี ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราเข้าใจธรรม ปลงตก วางได้ เข้าใจ จิตก็จะอิสระหลุดพ้นจากพันธนาการความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ จำไว้ว่าชีวิตทุกชีวิตล้วนมีธรรม แล้วเราเคยมีเวลาเห็นธรรมในชีวิตบ้างหรือไม่ เห็นแต่ความเป็นคนก็เลยไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรเรานิ่งและเห็นความเป็นธรรม เราจะรู้เลยว่าโลกนี้ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ เพราะโลกนี้ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ถึงที่สุดมีแต่ขณะนี้และเดี๋ยวนี้ อดีตก็แก้ไม่ได้ อนาคตก็ยังทำอะไรไม่ได้ มีแต่ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด หากท่านยังคิดว่าเรามาลวงเราก็ลวงแค่สังขาร แต่ความว่างแท้จริงไม่เคยลวงหลอกใคร มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้ว่าบาปก็อย่าทำดีไหมหนอ รู้ว่าผิดก็อย่าก่อให้ทุกข์ยิ่ง
คิดแล้วทุกข์ก็แค่รู้สู้ความจริง จงรู้นิ่งด้วยสติปัญญาธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาผืนเดียวหนึ่งเดียวกัน
ชีวิตเพรียกหา  ความรักนั้นมาเมตตา  ไม่เคยมาเกิดสักครั้งเดียว  เมตตาต้องใช้อดทน อย่ารับอย่างเดียว  คิดให้อย่าเดี๋ยว  ให้เขาเรามี
* เจ้าเป็นเจ้าเท่านั้น   ตื่นได้สั้นสั้น   คิดอย่างมนุษย์ดีดี  ศิษย์เอ๋ยใช่ตรงนี้  บำเพ็ญนั้นดี  ฟ้าอยากรับเจ้าเพื่อกลับคืน
ชีวิตตามหา  แบบคนหวงแหนหน้าตา  เพื่อลาภยศเอาแต่ละฝืน  
ศิษย์รักชีวิตลุ่มหลง  ยากพ้นกล้ำกลืน  ศิษย์จงขัดขืน  เพรียกหาแดนเดิม
(ซ้ำ *)
ทำนองเพลง : ความรักเจ้าขา
ชื่อเพลง : ชีวิตเพรียกหา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะเบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  แปลว่านั่งฟังต่อได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาศึกษาธรรมะไม่ได้ให้เราทิ้งภาระ ไม่ได้ให้เราทิ้งหน้าที่ ภาระหน้าที่ก็ยังต้องรับผิดชอบ แต่รู้จักมีสติในการดำเนินชีวิตให้เป็น และมองชีวิตให้เข้าใจ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ว่าถ้าเข้าใจความเป็นคนของตัวเอง ก็จะเข้าใจความเป็นคนของเพื่อนๆ เพราะใจของเรากับใจของเขาก็มีธรรมชาติที่ไม่ต่างกัน ถ้าเรียนรู้เข้าใจ ใจของตัวเอง เราก็จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนรอบข้างได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราชอบไหม เวลาที่มีใครต่อว่า (ไม่ชอบ)  แล้วเราเคยต่อว่าคนอื่นหรือไม่ ทำไมหรือ ใจของเราชอบให้ใครนินทาไหม (ไม่ชอบ)  ชอบให้ใครมาว่าเราโง่ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราเคยทำหรือไม่ หากเรารู้และเข้าใจความเป็นคนแล้ว ทำไมเราจะไม่รู้ จะไม่เข้าใจความเป็นคนของคนอื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราชอบสิ่งไหนบ้าง ชอบคำพูดหวานๆ พูดดีๆ พูดเพราะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วที่เราพูดออกมานั้นหวานไหม (ไม่หวาน)  ดีไหม (ไม่ดี)  เพราะไหม (ไม่เพราะ)  ทั้งที่เราก็รู้อยู่ว่าพื้นฐานของมนุษย์เป็นอย่างไร แต่ทำไมเรากลับทำตรงกันข้าม เช่น มนุษย์ชอบความสันติ ชอบสงบ ชอบให้คนรักไหม (ชอบ)  แต่ทำไมมักตั้งป้อมรังเกียจก่อน  จะรู้จักไม่รู้จักก็ตั้งป้อมระแวงไว้ก่อน อยากให้เขารักแล้วทำไมเราถึงระแวง ฉะนั้นถ้าเรารู้ เข้าใจตัวเอง เราก็จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นได้เป็น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่มันน่าเสียดาย ที่บางทีมนุษย์ รู้มากแต่ทำไม่ได้ รู้มาก แล้วคิดมาก ใช่หรือไม่ จะรู้ว่าใช่ไม่ใช่ก็ตอนนอนนี่แหละ เพราะถ้าไม่คิดมากหัวถึงหมอนก็หลับ แต่ถ้าคิดมากว่า “พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร” คิดแล้วก็ทุกข์ก็จะนอนไม่หลับ แล้วหยุดคิดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำอย่างไร ทำไมไม่พลิกความคิด อะไรจะเกิดก็เกิดไป ใจสู้เสียอย่างกลัวอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราเกิดมาหนเดียวตายก็ (หนเดียว)  
เรารู้ เราเห็นชัดแล้วว่า บางทีทำไปแล้วมันบาป ทำไปแล้วมันผิด คิดมากแล้วมันไม่ดี เรารู้แล้วเราหยุดได้หรือไม่ อาจารย์เห็นทำผิดไปแล้วจึงคิดได้นะ ฉะนั้นทำอย่างไรที่จะหยุดแค่ตรงคิด ไม่ตกมาเป็นการกระทำแล้วกลายเป็นชะตากรรม กลายมาเป็นกรรมเวรย้อนเข้าหาตัว แล้วเราจะหยุดมันอย่างไร ก็คือไม่เข้าข้างมันใช่หรือไม่ ถ้ามันไม่ดีเราไม่ควรจะเข้าข้าง อย่างนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้จักสิ่งที่ศิษย์ทุกๆ คนชอบเป็นแฟนคลับกันทุกคนดีไหม ใครบ้างมีความโลภ (นักเรียนยกมือทั้งห้อง)  ไม่ว่าความโลภจะแย่อย่างไรเรายังหลงหัวปักหัวปำ เป็นทาสความอยาก ตั้งแต่หนุ่มสาวจนแก่แล้วก็ยังอยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  เป็นแฟนคลับอย่างเดียวหรือเปล่า ใครตกเป็นทาสความโกรธบ้าง (เป็นบางครั้ง)  ถึงจะเป็นคนดีขนาดไหนแต่ถ้าโกรธก็จะโกรธเหมือนองค์ลงอย่างนี้ดีไหมศิษย์
แบบนี้จะเรียกว่าเป็นคนดีไหม บุญก็ทำได้เก่ง ทานก็ทำได้คล่อง ศีลก็ถือได้ครบ แต่นิสัยยังคงมีความโลภอยู่ ฉะนั้นจะเป็นคนดีได้อย่างไร ถึงศิษย์จะทำดีขนาดไหน แต่โลภโกรธหลงยังมีอยู่ก็ดีได้ไม่รอดนะ ฉะนั้นศิษย์อย่ามาบอกอาจารย์ว่าทำดีไม่ได้ดี ก็จะดีได้อย่างไรถ้ายังมีโลภโกรธหลงอยู่ ทำดีที่วัด ทำดีกับพระ แต่พอกลับบ้านกลับว่าเขา โกรธเขา แย่งเขา นินทาเขา ดีแค่ไหน ดีแค่ในวัดใช่ไหม แล้วอย่างนี้จะบอกว่าทำดีได้ดีหรือไม่ จะดีได้อย่างไรก็ศิษย์ทำดีในที่หนึ่ง แต่อีกที่หนึ่งศิษย์ไม่ทำ วันนี้เรามารู้จักกิเลสทั้งสามกันดีไหม
ชีวิตนี้ทุกข์ไหมศิษย์ (ทุกข์)  กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  แต่ทำไมไม่กลัว โลภ โกรธ หลง อาจารย์ไม่เห็นศิษย์กลัวเลย มาทีไรก็เห็นสมัครเป็นแฟนคลับทุกทีเลย ถ้าอาจารย์ถามว่า ศิษย์เคยเห็น โลภ  โกรธ หลง หรือไม่ (ไม่เคย)  มันเป็นแค่นามธรรม  เมื่อไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างแล้วทำไมเมื่อมาอยู่กับศิษย์แล้วจึงมีรูปร่าง มีตัวตนล่ะ  โลภโกรธหลงมีรูปลักษณ์ไหม แล้วตอนเราเป็นเด็กเรารู้จักมันหรือไม่ (ไม่รู้จัก)  แล้วทำไมเราถึงได้ตกเป็นทาส  ในเมื่อไม่มีรูปลักษณ์  ไม่มีแบบอย่าง  เราจำเป็นต้องตกเป็นทาสหรือไม่ (ไม่จำเป็น)  
ความโลภเป็นอย่างไร โลภแปลว่า “อยากได้ไม่สิ้นสุด” แค่อยากได้เฉยๆ ยังไม่เรียกว่าโลภ  แต่อยากแล้วอยากอีกจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นเรียกว่าโลภ  แล้วก่อเกิดบาปกรรม ที่เราโลภเพราะเราชอบ  ถูกใจ ชอบมากๆ แล้วยังอยากมีอีก ชอบเลยกลายเป็นโลภ แล้วพอเรารู้จักคำว่าชอบเราเลยรู้จักโลภ อะไรที่ทำให้เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ขัดเคืองใจ ก็กลายเป็น (โกรธ)  โกรธมากๆ ก็กลายเป็นเกลียด เกลียดมากๆ ก็กลายเป็นแค้นอาฆาต อาฆาตมากๆ ก็กลายเป็นจองเวรจองกรรม จองเวรจองกรรมไม่พอก็กลายเป็นผูกเวรผูกกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรจิตของมนุษย์พ้นจากชอบ จิตของมนุษย์จะเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่เท่ากับฟ้า หนักแน่นเท่ากับพื้นพสุธา แต่เพราะมีชอบมีชังจึงทำให้มนุษย์กลายเป็นคนจิตใจคับแคบ รังเกียจ และเดียดฉันท์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นแค่เริ่มต้นจากชอบก็กลายเป็นโลภ พอรู้จักชอบก็เริ่มรู้จักชัง ชังก็กลายเป็นโกรธ และในความชอบชังนี้มันก็เรียกว่าความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ชอบมากๆ ก็กลายเป็นโลภ โลภมากๆ ก็กลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว พระพุทธะจึงสอนให้รู้จักให้ทาน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อรู้จักชอบแล้วจะก็รู้จักไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบมากๆ ก็กลายเป็นโกรธเกลียด เมื่อโกรธเกลียดก็ง่ายที่จะทำร้ายใคร แม้กระทั่งผู้มีพระคุณเราก็สามารถทำร้ายได้เพียงเพราะมีความโกรธถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นโกรธมากๆ พระพุทธะจึงสอนให้รู้จักมีศีล มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหลงมากๆ ท่านจึงสอนให้รู้จักมีปัญญา มองให้เห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้งว่า โลกนี้ไม่มีอะไรในโลกน่ารัก และไม่มีอะไรในโลกน่าเกลียดจริงๆ หรอก มันแค่เป็นปรากฏการณ์ชั่วครู่เท่านั้นเองที่เรามองไม่เห็นอย่างกว้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราอยากกลับคืนสู่ใจฟ้าก็ต้องตัดความชอบชังให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์ไปเป็นคนมีทาน มีศีล จึงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ การแก้ที่ต้นเหตุคือการมีปัญญารู้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราตัดชอบได้ ใจเราก็ตัดความโลภ ความโกรธได้ แต่ถ้าเราตัดชอบ
ไม่ได้ เราก็ยังเป็นคนพ่ายแพ้ความโลภ ความหลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  จึงมีคำกล่าวที่ว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา ฉะนั้นในโลกนี้จึงมีสิ่งที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นกฎของไตรลักษณ์เป็นกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดมั่นจะมีอะไรที่ต้องปล่อยวาง ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะมีอะไรให้เราต้องพยายามปล่อย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตอนนี้เรากำลังยึดมั่นอะไร เราต้องรีบปล่อยวาง ฉะนั้นอนิจจังทำให้ทุกข์เกิดได้ อนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับได้ แล้วเราจะไปกลัวอะไรกับทุกข์ เพราะทุกข์นั้นก็อนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปใช่หรือไม่ ถ้าเราไม่ยึดมั่นแล้วจะมีอะไรให้เราต้องปล่อย ถ้าเราไม่ยึดมั่นจะมีอะไรมาเป็นนายบังคับเราได้ ฉะนั้น โลภ โกรธ หลง ยังน่ากลัวอยู่ไหม
ในเมื่อสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นกฎของธรรมชาติ หรือกฎของไตรลักษณ์ ดังนั้นถ้าเราไม่ยึดมั่นแล้วจะมีอะไรที่ทำให้เราต้องพยายามข่มใจ จะมีอะไรที่ทำให้เราต้องปล่อยวางหรือไม่ จะมีอะไรที่ทำให้เราต้องพยายามข่มใจว่าอย่ารักสิ่งนั้นไหม (ไม่มี)  เพราะว่าอนิจจังทำให้ทุกข์ได้ และอนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับไปได้ แล้วเราจะต้องทำอะไรหรือ ในเมื่อเราเข้าใจหลักแห่งธรรมได้ขนาดนี้ ฉะนั้นผู้ที่ไม่ยึดมั่นสิ่งใด ก็จะไม่มีอะไรมาบังคับให้เราต้องตกเป็นทาส และเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าศิษย์ไม่ยึด ไม่ครอบครอง แล้วจะมีอะไรที่จะให้ศิษย์ต้องพยายามปล่อย จะมีอะไรที่มาบังคับบีบใจของศิษย์ได้ หรืออาจารย์พูดง่ายๆ คือ ทุกอย่างเริ่มต้นจากตัวเรา เกิดจากตัวเรา แล้วทำไมไม่ละและไม่จบสิ่งนั้นที่ตัวเรา ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์จำไว้นะว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะสิ่งนั้นเพียงเกิดขึ้น คงอยู่ แล้วเดี๋ยวสิ่งนั้นก็ดับไป
อนิจจังอะไรหนอที่ทำให้เราต้องพบสิ่งนี้ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวอนิจจังก็จะทำให้สิ่งนั้นไปจากเรา หรือต่างคนต่างไป ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะเกี่ยวกับสิ่งนั้นไปให้ทุกข์ ไม่จบสิ้นทำไม จะยึดไว้ทำไม ซึ่งบางอย่างก็จบไปแล้ว แต่เราไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ผู้ที่เห็นแจ้งจริงในสัจธรรมจะรู้ว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นจริง แต่ผู้รับทุกข์หามีไม่
ศิษย์บอกว่าศิษย์กลัวโลภ กลัวโกรธ กลัวหลง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป สมมติว่าศิษย์เห็นอะไรแล้วอยากได้ ก็จะตกเป็นทาสของสิ่งนั้น แต่ถ้าศิษย์เห็นแล้วไม่อยากได้ ก็จบเท่านี้เลย ดังที่ว่า “คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก” แต่ถ้าไม่คิดอะไรเลยนั่นคือ “นิพพานนั้นไซร้อยู่ที่ใจปล่อยวาง” ฉะนั้นทางตรงแท้มีหนึ่งเดียวคืออยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทางสายกลางมีหนึ่งเดียว ตรงนั้นแบบนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นแหละคือธรรมแท้จริง ธรรมแท้ที่ศิษย์หาว่า “ธรรมะอยู่ไหน” จริงๆ แล้วธรรมะอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เมื่อโดนกระทบแล้วจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรก หรือว่าจะนิพพาน ไม่เกิดอีก แต่ถ้าเกิดอยากได้ นั่นแหละเกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที สมมติเขามาชี้หน้าว่าเรา ถ้าเราเงียบแล้วคิดว่า “ไม่ตกแล้วนรก สวรรค์ก็ไม่เอา นรกก็ไม่ไป อยู่ตรงนี้แหละเฉยๆ “ นั่นแหละ แค่นี้เองไม่ยากเลย แต่ทำอย่างไรถึงจะรู้ทัน พระพุทธะจึงบอกว่า “รู้เมื่อไรก็จะไม่กลายเป็นทุกข์ที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น” เมื่ออวิชชาเกิดจึงเกิดตัณหาและอุปาทาน แต่ถ้าเป็นวิชชาเกิดขึ้น ตัณหาอุปาทานก็จะไม่เกิดทันที “ศิษย์จะทำอย่างไรบางทียังอดไม่ได้” ไม่ยากนะ ถ้าเราโดนกระทบแล้ว รู้ทันไหม ศิษย์มักจะใช้ความคิด ไม่ใช้ความรู้เท่าทัน อย่างนี้มันถูกไหม ทำอย่างนี้มันดีหรือนิสัยไม่ดีจริงๆ เลย” แค่ด่านิสัยไม่ดีก็ตกนรกแล้วนะ มันก็ร่วมกรรมทันทีเลย แต่ถ้าโดนเขาว่ามาก็เฉยและนิ่ง นิ่งแล้วเบิกบานนะ ไม่ใช่นิ่งแล้วตายด้าน ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วกลายเป็นคนตายด้านไม่มีความรู้สึก สุขแล้วเบิกบานได้ สุขแล้วเข้าใจได้ แต่ไม่ใช่เป็นอารมณ์ เข้าใจ ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยาก แต่ไม่เคยมีใครทำได้สักคนเลย แต่เมื่อไรที่เราติดชื่อเราที่เก้าอี้เป็นอย่างไร (ยึด)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นของเราไหม ถอดป้ายชื่อแล้วเป็นของใคร  ก็ไม่มีใช่ไหม แต่มนุษย์อดไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เราติดยึด มีอะไร เดี๋ยวเราค่อยมาดูกันไหม ดีไหม (ดี)  ดีหรือ รู้มากไปก็จะกลายเป็นได้หน้าลืมหลัง ศิษย์จะจำได้ก็ต่อเมื่อศิษย์เอาสิ่งนั้นมาพิจารณา ไต่ตรองจนหยั่งและเข้าถึง แล้วตอนนั้นจะจำไม่ลืม แต่ถ้าแค่ฟังว่าดี ก็จะได้แค่ดีอย่างเดียว ไม่ได้อะไรเลย ทุกข์มีอยู่จริงแต่ผู้รับทุกข์หามีไม่  แต่ที่เกิดผู้รับทุกข์เพราะเราเผลอไปยึดมั่นถือมั่น  แล้วความยึดมั่นถือมั่นนั้นเกิดมาจากอะไร  (กิเลส)  กิเลสมันเป็นปลายนะ  ตัวต้นอยู่ที่ไหน  ความยึดมั่นถือมั่นมาจากไหน (ใจ)  ใจมีรูปร่างไหม (ไม่มี)  ใจสามารถจับต้องได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วทำไมเชื่อใจทุกอย่างเลย  ตลอดชีวิตวิ่งตามใจมาตลอด  เราเคยมองหาที่สุดแห่งใจหรือไม่ว่าอยู่ตรงไหน
ศิษย์เอ๋ยความยึดมั่นถือมั่นมาจากความหลงที่คิดว่า สิ่งนั้นๆ มีตัวมีตน แล้วพอยึดว่ามีตัวมีตนก็สร้างใจครอง แล้วก็บอกว่าตัวตนนี้มีใจแบบนี้ ตัวตนนี้มีใจชอบอย่างนี้ ตัวตนนี้มีใจเกลียดอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตัวตนนี้มีหรือไม่ (ไม่มี)  ใช่หรือ แล้วทุกวันนี้ที่เหนื่อยแทบตาย ไปแย่งชิงกับเขา ไปด่าเขา ไปตบตีเขาก็เพื่อตัวตนนี้ไม่ใช่หรือ ถ้ารู้ว่าตัวตนไม่มีแล้วทำเพื่ออะไร ฉะนั้นเราทำทุกอย่างเพื่อตัวนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าตัวตนนี้เหมือนต้นกล้วย ลอกไปจนสุดมีอะไรไหม (ไม่มี)  ลอกไปเปลือกแล้วเปลือกเล่า ถึงที่สุดมันคือ (ว่างเปล่า)  ตัวตนนี้เปลี่ยนจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นแก่ แก่เป็นตาย แล้วไหนตัวตน (ไม่มี)  แล้วไหนของเรา (ไม่มี)  แล้วทำทำไมแทบตายเพื่อตัวตนนี้ เราทำเพื่อความว่างเปล่าที่มันเหมือนต้นกล้วย ใช่หรือไม่ เราทำทุกอย่างเพื่อตัวนี้ถูกไหม แล้วก็หลงรักใครต่อใครเพราะว่า ต้นกล้วยนั้นมันสวย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเชื่อไหมว่าต้นกล้วยพอแตกต้นใหม่ออกมา ต้นเก่าต้องตาย ฉะนั้นพอมีอย่างหนึ่งขึ้นมา อีกอย่างหนึ่งก็หายไป แล้วอะไรคือใจที่แท้ของศิษย์ พออยากอีกอันหนึ่ง อีกอันหนึ่งก็หายไป ฉะนั้นอัตตาตัวตนเกิดจาก ความหลงผิดหรือเรียกว่าทิฐิ ฉะนั้นพอมีอัตตาเกิดขึ้น ทั้งที่ตัวตนนี้มันเที่ยงหรือไม่ (ไม่เที่ยง)  หน้าตามีเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยน)  แล้วอะไรคือหน้าตาเดิมแท้ (ไม่มี)  หน้าตาเรา ไม่รู้ว่าจะไปที่สุดที่ไหน มันจะเหี่ยวขนาดไหน แก่ขนาดไหนยังไม่รู้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราก็ทำทุกอย่างเพื่อ (ตัวเราเอง)  โกรธเขาก็เพื่อ (ตัวเราเอง)  ด่าเขาก็เพื่อ (ตัวเราเอง)  ทั้งที่จริงแล้วเขาก็ต้นกล้วย เราก็ต้นกล้วย เขาก็คือความว่าง เราก็คือความว่าง แล้วถึงที่สุดเขาก็คือทุกข์ เราก็คือทุกข์ แล้วเราจะเกลียดทำไม ยังไม่พอยังหาเรื่องทุกข์ต่ออีก
ฉะนั้น หากเรายึดเมื่อไร ว่านี่คือตัวเราของเราก็ทุกข์ทันที เพิ่มทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก จากทุกข์เดียวก็กลายเป็นสอง ทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เกิดต่อจากความยึดมั่นถือมั่นนั่นคือ “ทุกข์จากตัณหา”  ตัณหามีทาสคือสัญญา สัญญาเหมือนพยับแดดที่มองไกลๆ แล้วเหมือนมีน้ำอยู่ แต่พอไปถึงที่สุดแล้วมันคือความไม่มี ฉะนั้นที่เราอยากเพราะอะไร เพราะจำได้ว่าถ้าแต่งแบบนี้แล้วสวย พอแต่งแบบนั้นแล้วจะไปเป็นแบบนั้น ถ้าอาจารย์ถามว่า ส้มตำเจ้าไหนอร่อย ศิษย์จะนึกได้ทันที แล้วเมื่อไรที่ทุกข์เพราะอยากกินส้มตำ ต้องไปร้านนั้น ต้องไปร้านนี้ นี่แหล่ะตัณหามันมาจากสัญญาความจำได้หมายรู้ที่ติดในรสชาติ แล้วเราก็ต้องวิ่งไปกินให้ได้ เหมือนสัญญาว่าแกงร้านนี้อร่อย ก็ต้องวิ่งไปกิน แม้จะเหนื่อยและไกลขนาดไหน ก็ขอให้ได้กินอร่อย ฉะนั้นความอยากเกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกทีใช่หรือไม่ จำได้ว่าหน้าตาแบบนี้เหมือนคนรักฉันเลย จำได้ว่าหน้าตาแบบนี้มันเคยด่าเรานี่ สัญญาเกิดเมื่อไรก็ทุกข์ ฉะนั้นจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เกิดแล้วมันก็จบอยู่แค่นั้น ไม่ก่อเป็นวัฏฏะ ทำอย่างไรให้กลายเป็นแค่อยู่เพื่ออยู่ แต่ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองตัณหาและวิบากกรรมที่รวมกันเรียกว่า วัฏสงสาร
อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวคือ  ตัวตนที่เกิดจากความมีทิฐิมานะ  เธอเป็นใคร  ฉันเป็นใคร เธอพูดอย่างนี้ได้อย่างไร  ให้มันรู้บ้างใครเป็นใคร  ศิษย์เป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  มานะตัวนี้แหละที่ทำให้อหังการ ยึดมั่นก็ทุกข์ทันที  เกิดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น  ฉะนั้นถ้าเราตัดยึดมั่นถือมั่นในตัณหา  ทิฐิมานะ   สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นก็มีความดับ  ทำไมจะต้องเพิ่มทุกข์ใปยึดแล้วค่อยไปทำบุญรักษาศีลจะได้หมดเวรหมดกรรม  ทำแบบนั้นก็สายเกินไป  ทำไมไม่แก้ตั้งแต่ต้น  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจงตื่นรู้  รู้อะไรที่จะทำให้เราก้าวข้ามพ้นทุกข์  ศิษย์เคยได้ยินไหม สามโลกจบที่ใจ มันเกิดที่ใจเราก็ต้องละที่ใจและเราต้องจบให้ได้ที่ใจแล้วภพภูมิการเวียนว่ายจะไม่มีอีกต่อไป ตัวตนเป็นภพหนึ่งเรียกว่ามนุษย์ เมื่อตัวตนแตกภพมนุษย์ก็แตกสลาย ภพต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พูด ทำ คิด ถ้าพูดทำคิดอย่างคนมีศีลมีธรรมมีความเป็นมนุษย์ประเสริฐ  ภพภูมิในอนาคตคือมนุษย์แน่นอน  แต่ถ้าพูด ทำ คิด  ไม่เคยมีศีลมีธรรมเอาแต่ทำตามใจตนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี  ทำเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน  ภพภูมิต่อไปที่ศิษย์ได้ก็คือเดรัจฉาน  พระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า “โลภมากๆ ก็กลายเป็นเปรต โกรธมากๆ ก็กลายเป็นนรกอเวจี  หลงมากๆ ก็กลายเป็นเดรัจฉาน”  ท่านก็เลยบอกวิธีแก้ง่ายๆ คือ ถ้าศิษย์ยังตัด โลภ โกรธ หลง ไม่ได้ ก็ให้ศิษย์ทำทาน ถือศีล และมีปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีการภาวนา ภาวนาจะเกิดได้อย่างไรถ้าศิษย์ยังไม่เคยรักษาศีลให้ครบ ยังไม่เคยนิ่ง โดนอะไรกระทบก็หวั่นไหวตลอด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
อาจารย์อยากบอกนะศิษย์เอ๋ย โลกนี้สุขไม่มีอยู่จริง โลกนี้มีแต่ทุกข์  ฉะนั้นวิธีที่ศิษย์จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็นสุข เราจะได้ไม่กลัวทุกข์ ถ้าหวังแต่จะสุข เท่ากับว่าเรากำลังหลอกตัวเอง ใช่หรือไม่ สิ่งที่เรากำลังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ พระพุทธะเอาทุกข์นั้นมานำพาเวไนยให้พ้นทุกข์ แต่มนุษย์ทุกข์แล้วทุกข์อีกเพราะมัวติดแต่อยากสุขแต่ไม่ยอมพ้นทุกข์  ทั้งที่จริงๆ  แล้วทุกข์นั้นก็อนิจจัง ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็กำลังดับ แต่ศิษย์หลงไปยึดมันเองใช่หรือไม่ ฉะนั้นรู้อะไรแล้วไม่ทุกข์
(รู้เท่าทันความคิด)  ศิษย์อยากได้แอปเปิลเพื่อเพิ่มทุกข์ไหม ถ้าศิษย์รู้เท่าทันความคิด แม้ความทุกข์มา เราไม่ต้องทุกข์ก็ได้นะ ก็แค่รู้ อนิจจังทำให้ทุกข์มา เดี๋ยวอนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับ
(รู้ที่จะยอมรับมัน) แม้ว่าเขาจะว่าเราโง่ บ้า ยอมรับไหม ศิษย์เอ๋ย “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับ” ต้องเรียนรู้ก่อน เราถึงจะยอมรับได้ ใครบ้างไม่โง่ใครบ้างไม่บ้า ฉะนั้นเขาว่าเราว่าโง่ บ้า เราไม่เห็นต้องโกรธเลย โง่บ้างบ้าบ้างแต่ทำให้คนมีความสุขก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรายึดมั่น “คุณเป็นใครมาว่าฉัน” อย่างนี้ก็โกรธใช่หรือไม่
(เราต้องหัดเอาไปพิจารณาในส่วนของเราก่อน)  นั่นเรียกว่า แม้ว่าจะถูกกระทบ กระแทก กระเทือนมากแค่ไหน สิ่งที่จะช่วยทำให้เราสามารถผ่านสิ่งนั้นไปได้ คือความเมตตากับขันติ เพราะเมตตาคือรากฐานของความเป็นคนและคุณธรรมที่ดีงามของคน ส่วนขันติ คือ ทำให้เรารู้จักอดทนอดกลั้นและมีบารมี สร้างภูมิคุ้มกันแห่งธรรมะได้
การเรียนรู้หลักธรรม คือ การเข้าถึงความเป็นจริงว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าเราไม่ยึด ก็ไม่มีอะไรที่เราต้องพยายามปล่อย ถูกหรือไม่ (ถูก)
(รู้จักทุกข์แล้วจะได้ไม่ทุกข์ รู้ว่าโกรธแล้วจะโกรธทำไม รู้ว่าโลภแล้วเราจะโลภทำไม รู้ว่าหลงแล้วเราจะหลงทำไม)  ตอบได้ดี แต่เมื่อถึงเวลา อาจารย์เกรงว่าศิษย์จะรู้ไม่ทันว่าสิ่งนั้นเป็นโลภ โกรธ หลงเพราะศิษย์ต่อว่าเขาไปแล้ว ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องมีสติ
(ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ไม่ทุกข์)  ฝึกให้ได้นะ ความอดทนอดกลั้น ความมีเมตตา ช่วยทำให้เราสลายความโกรธได้นะ
มีใครตอบอาจารย์อีก (ปล่อยวาง)  ถ้าพยายามปล่อยแปลว่าเราไปยึดมาเต็มที่แล้ว อย่างนี้ไม่ถูก ทุกอย่างล้วนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง เราทำได้ถึงที่สุดเราก็ต้องเข้าใจ พูดได้ถึงที่สุดเราก็ต้องแค่เข้าใจ เพราะเราทำมากกว่านั้นก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องพยายามไปปล่อย เพราะถ้ารู้สึกเมื่อไรว่าต้องพยายามปล่อย แปลว่าไปยึดมาเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร (แค่รู้สึกเฉย)  อย่างที่เขาบอกคือ “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับ”  นิ้วยังไม่เท่ากัน แล้วคนจะเป็นอย่างที่เราคิดได้ไหม (ไม่)  แล้วลูกจะเป็นดั่งหวังได้ไหม (ไม่)  สามีจะเป็นได้ดั่งหวังไหม ฉะนั้นจงเข้าใจและใช้ความเข้าใจเพื่อสลายความทุกข์ ใช้ความเห็นใจ เข้าใจ เพื่อแปรเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นสุข ตอบว่า (ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทและมีสติอยู่ทุกขณะ)
มีใครจะตอบอีก อาจารย์อยากแจกทุกคน อุตส่าห์มาแล้วคุยกับอาจารย์หน่อยเป็นไร (ต้องพยายามหาสาเหตุแห่งทุกข์ให้เจอ) ศิษย์รู้ไหม ตัวตนนี้คือที่ตั้งแห่งทุกข์ และมีใจเป็นตัวผลิตทุกข์ แต่ถ้าเรามองให้ออกว่าที่แท้ ตัวตนนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ใจนี้ก็ไม่เที่ยง แล้วเราควรจะไปยึดและวิ่งตามใจไหม (ไม่)  ถ้าเราเห็นชัดว่าตัวตนก็ไม่ใช่ของเรา แล้วเราจะมีโรงงานผลิตทุกข์ไหม มันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของสภาวธรรมที่เกิดขึ้น เรามีหน้าที่เพียงแค่รู้ โดยที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนหรือแก้ เพียงแค่รู้เฉยๆ ฉะนั้นรู้แล้วต้องนิ่งให้ได้ วิธีง่ายๆ จำไว้นะศิษย์ เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นมันเกิดแล้วก็จบไปทันที แต่ใจเราต่างหากที่ไม่จบ ใจเรายังยึดติด ใจเราผูกพัน ใจเรายังคาดหวัง ทำไมเขาทำแบบนั้น ทำไมเขาทำแบบนี้  ทำไมเขาพูดแบบนี้  ซึ่งจริงๆ มันจบไปแล้ว ถ้าเราคิดว่ามันจบแล้ว ยังจะมีอะไรให้ต้องละอีกไหม อาจารย์จะบอกศิษย์ จิตของศิษย์เดิมแท้แล้วบริสุทธ์แต่มัวหมองไปเพราะความหลงผิด
ฉะนั้นต่อให้แต่งกายข้างนอกสีขาวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าใจยังคิดร้าย คิดต่ำ คิดไม่ดี คิดแช่งชัก คิดระแวง คิดสงสัย สู้ทำใจให้บริสุทธิ์ด้วยการ คิดให้ดี คิดให้ถูก และยอมรับความจริง มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม (เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข) ไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขแต่แค่เห็นทุกข์แล้วเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็น ว่าทุกข์ก็แค่นั้น มันก็เพียงแค่ทุกข์ แต่ใจเราไม่ทุกข์ได้ เคยได้ยินไหมว่ามองทุกข์ไปให้ถึงที่สุดมันก็เปลี่ยนแปลง มองความเปลี่ยนแปลงไปให้ถึงที่สุดมันก็ยึดมั่นไม่ได้ มองความไม่ยึดมั่นไปให้ถึงที่สุดมันก็คือความว่างเปล่า ฉะนั้นจงมองอะไรแล้วมองให้สุด อย่ามองอย่างคนปิดตา (รู้จักให้อภัยแล้วเมตตา)  ดีไหม (ดี)  ใครด่าเราอภัยไว้ ใครด่าเราเมตตาไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจารย์คงบอกให้ศิษย์ทำอย่างนี้ แต่เมื่อใดที่ศิษย์ยังรู้สึกต้องให้อภัย รู้สึกว่ายังต้องเมตตา แปลว่าเมื่อนั้นใจเรายังรับไม่ได้ จึงบอกตัวเองว่า “อภัยไว้ เมตตาไว้” ฉะนั้นถ้าเข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงความเป็นจริง ไม่มีอะไรต้องให้อภัย เพราะมันก็แค่นั้น แต่เพราะฉันยังไม่จบ ถึงต้องพยายามอภัยใช่ไหม
โกรธเมื่อไรอภัยเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกลียดเมื่อไรเมตตาไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกลียดเมื่อไร โกรธเมื่อไร ต้องอภัย ต้องเมตตา แปลว่าตอนนั้นใจมันรับได้หรือรับไม่ได้ (มันรับไม่ได้)  ถึงต้องพยายามอภัยใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรายอมรับความจริงว่า มันก็แค่นั้น เขาว่าก็จบแล้ว อาจารย์เคยพูดว่า หลุดจากปากเขาก็เป็นเพียงขี้ปาก หากเขาว่าเราไม่ดีก็เป็นขี้ปากไม่ดี แล้วเราจะเก็บขี้มาไว้ไหม เราควรท่องว่า ให้อภัยขี้ เมตตาขี้ อย่าไปโกรธถุงขี้มันเลยใช่หรือไม่
(ต้องมีสติและมีสมาธิ) คำว่าสมาธิแปลว่า โดนกระทบแล้วไม่หวั่นไหว มั่นคงอยู่ในสติและความถูกต้อง โดนกระทบแล้วไม่หวั่นไหว นั่นเรียกว่ามีสมาธิทุกขณะที่ดำเนินชีวิต
(ทุกสิ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป) ตอบได้ดี ฉะนั้นเขาเอาเงินของเราไปแล้ว แล้วไม่คืนกลับมา ก็คิดเสียว่ามันผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป ดีไหม ถ้าเขาไม่คืนอย่าไปโกรธเขานะ ฉะนั้นจะให้ยืมต้องคิดให้ดีๆ เพราะเงินมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไปใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อมีเงินต้องคิดให้ดีๆ สู้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ไม่ดีกว่าหรือ (ถ้าเราชอบเราก็ทุกข์)  อย่างนั้นไม่ชอบอะไรเลยดีไหม เพราะถ้าชอบก็มีชัง อย่าลืมนะชอบกลายเป็นโลภ ชังกลายเป็นโกรธ ชอบชังก็คือความหลง ฉะนั้นถ้าทุกสิ่งเราไม่ชอบแล้วจะมีอะไรชังไหม ในโลกนี้สิ่งที่ศิษย์บอกว่าชอบ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าชังแท้จริงมันไม่มีอะไรที่น่าชอบ ไม่มีอะไรที่น่าชัง
สิ่งที่มนุษย์มองว่าสวย พระพุทธะมองว่าไม่สวย สิ่งที่มนุษย์คิดว่าเที่ยง แต่พระพุทธะบอกว่าไม่เที่ยง และที่มนุษย์คิดว่าสิ่งที่ไม่สวยว่าเป็นสิ่งที่สวย อย่างเช่น ตอนรจนาเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ รจนาคิดว่า “บุญอะไรหนอนำพาหนุนส่งให้ได้พบเจ้าเงาะ”  เพราะเจ้าเงาะมีความงามอยู่ภายใน แต่ไม่มีใครเห็น มีเพียงรจนาเท่านั้นที่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันกับศิษย์ เวลาที่ศิษย์เลือกคู่ ใครๆ ก็บอกว่า อย่าไปรักเขาเลย เพราะเขาไม่ดี เราก็บอกว่าเขาดี เขาสวย บุญกรรมหนุนส่งมา แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เขาถอดรูปเงาะออกไหม (ไม่ถอด)  แล้วอะไรหรือที่สวยแท้จริง (ไม่มี)  แล้วอะไรหรือที่แย่จริงๆ (ไม่มี)  อาจารย์แค่จะบอกว่า ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ เราจะได้รู้ว่า ความจริงในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่สวยที่สุด และไม่มีอะไรที่แย่ที่สุด เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจของเรามอง อยู่ที่ใจของเราเห็นหรือไม่ ถ้าเรามองเขาด้วยความน่ารังเกียจ ถึงแม้เขาจะสวยเพียงไร เราก็ยังรังเกียจ แต่ถ้าเรารู้สึกชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สวยอย่างไร เราก็ยังรู้สึกว่าเขาน่ารัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญ ทุกอย่างนั้นเกิดที่นี่ ก็ต้องจบที่นี่ แล้วต้องวางที่นี่ ต้องละที่นี่ ไม่ใช่เรียกร้องให้ผู้อื่นเปลี่ยน
อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์รู้ว่าสังขารไม่เที่ยง เราอย่ามัวแต่บำรุง จนกลายเป็นกรงขังใจ แล้วหนีไม่พ้นกรงนี้ ทำให้ติดยึด แล้วก่อเกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น อย่าปล่อยให้ใจที่หาความเที่ยงไม่ได้ มากำหนดภพภูมิตน แต่เราจงเอาจิตที่ตื่นรู้ ที่เราได้รับหนึ่งจุดชี้นั้น เป็นจิตเดิมแท้ที่เข้าถึงสภาวธรรม แล้วมานำพาตนให้เข้าถึงธรรม เราหลงมานานแล้วนะศิษย์ หลงกับการยึดกาย ยึดใจ ทั้งๆที่จริงแล้วทั้งกายและใจ นั้นคือกรงขัง ถ้าศิษย์ยิ่งยึดติดมากเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บปวดทุกอณูที่ศิษย์ติดยึด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา สักวันหนึ่งก็ต้องหายไป ไม่เที่ยง ความรู้สึกก็ยังไม่เที่ยง ถ้าเรามองเห็นชัด อะไรจะทำให้จิตเราหม่นหมองได้ แต่เราจะกลับสู่สภาวธรรมอันแท้จริง ที่แค่รู้ ก็ถึงทันที ไม่ต้องพรุ่งนี้ ไม่ต้องชาติหน้า ตอนนี้เข้าให้ถึงศิษย์ ธรรมในตัวเองก็คือธรรมชาติเดิมแท้ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการให้ใครครอบครอง ไม่ต้องการตัวตนแบบไหน เป็นธรรมชาติ แต่มนุษย์เราหลงผิด ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องทำให้ฉันเป็นอย่างนั้น ทำไมทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครทำศิษย์ ศิษย์ทำเอง ไม่มีใครทำเราเจ็บ เราเจ็บเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำให้เราทุกข์  แต่เราไปยึดทุกข์มาเองทั้งนั้น ถ้าศิษย์ตื่นรู้ทุกขณะที่มีชีวิตจะไม่มีกรรมต่อ แต่จะเกิดมาเพื่อจบกรรมแล้วใช้เวรใช้กรรม ใครจะร้ายขนาดไหนศิษย์ก็ยอม จะได้หมดเวรหมดกรรมกัน ดีแล้วจะได้หมดเคราะห์หมดโศก จะได้ปลดปลงไม่ยึดติด  ป่วยบ้างก็ดีถ้าไม่ป่วยก็หลงหน้าตานี้ เหี่ยวบ้างก็ดีถ้าไม่เหี่ยวก็รักเหลือเกิน  ไม่ว่าความทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะเกิดมาเท่าไรกลับทำให้เรายิ่งเข้าใจ เข้าถึง นั่นคือธรรม จะยึดทำไม ยึดมากก็ทุกข์มาก หวังมากก็เจ็บมาก  เอาแต่คิดไม่ใช่ความรู้ ความรู้คือแค่รู้ มีคำกล่าวว่า “ถ้ารู้แล้วยึดก็เป็นแค่สมมติ แต่ถ้ารู้แล้วไม่ยึดเป็นวิมุติ ถ้ารู้แล้วยังยึดผูกพันคือกิเลส วิบากกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้ารู้แล้วละ ปล่อยวาง ก็คือความบริสุทธิ์” พระพุทธะสอนว่า ละบาปบำเพ็ญบุญเข้าถึงความบริสุทธิ์  ไม่ได้ยากเลยนะ  เมื่อเวลาโดนกระทบ ก็แค่นั้นเท่านั้นจบเลยศิษย์ เราเกิดมาเพื่อจบ ไม่ได้เกิดแล้วเกิดอีกไม่จบสิ้น เราเกิดมาเพื่อรู้จักทุกข์เข้าใจทุกข์และพ้นทุกข์ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีกไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ นะว่าชีวิตนี้ภพภูมิมนุษย์ประเสริฐที่สุด มีโอกาสสร้างบุญได้มากที่สุด มีโอกาสสร้างกุศลนำพาให้ตัวเองหลุดพ้นมากที่สุด ยิ่งใหญ่กว่าภพภูมิเทวดาอีก มนุษย์ทำบุญมากมายอยากไปเป็นเทวดานางฟ้า แต่รู้หรือไม่ว่าเทวดานางฟ้าอยากเกิดมาเป็นมนุษย์
เพราะว่าถ้าไม่ได้เป็นมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ แต่ถ้าสร้างบุญมาน้อย ได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ไม่กี่ปี เดี๋ยวก็ต้องตกมาใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จะทำอย่างไรให้พ้น นอกจากรู้มีสติแล้ว อีกอันหนึ่งก็คือ จงรู้จักแปรบุญให้เป็นกุศล อาจารย์จะเล่าให้ฟัง มีศิษย์คนหนึ่งทำบุญแล้ว “สาธุ ขอให้ชาติหน้าเกิดมาสบายไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ มีคนอาบน้ำให้ สาธุ” ศิษย์รู้ไหมเกิดมาเป็นอะไร เป็นหมา วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวเขาพาไปอาบน้ำ เดี๋ยวเขาพาไปแปลงขนแต่งขน เดี๋ยวเขาพาไปนอนที่นอน สบายไหม ก็ศิษย์คิดแค่นี้ก็ได้เท่านี้แหละ เวลาทำบุญ เห็นขอกันมากเหลือเกิน อาจารย์บอกไว้ก่อนนะคิดให้ดีๆ นะ เป็นหมาก็สบายไม่ต้องทำอะไร มีกินมีใช้จริงๆ ใช่ไหม ฉะนั้นอันนั้นเป็นบุญ ถ้าทำแล้วหวังก่อเกิดเป็นตัวตนก็เป็นแค่บุญ แต่ถ้าทำบุญแล้วหมดการยึดมั่นถือมั่นตัวตน หมดกิเลส แผ้วถางกิเลสให้หมดสิ้น ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ อันนั้นแหละจากบุญจะเป็นกุศล และถ้ากุศลทำได้ จะสามารถลบล้างกิเลส โลภ โกรธ หลงให้หมดสิ้นได้ แล้วกุศลนั่นแหละที่จะหนุนนำให้ศิษย์กลับมาเจออาจารย์ ไม่เอาบนโลกนี้นะ แต่เจอกันบนแดนนิพพาน ดีไหม (ดี)  อย่าทำแค่บุญแล้วยึดมั่นถือมั่น แต่จงไปให้ถึงกุศลที่ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ดีหรือไม่  (ดี)  อย่าหลงเดินผิดทางนะ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความคิด  เป็นความรู้แจ้งเห็นจริง นั่นเรียกว่าพระนิพพาน แค่ชั่วขณะที่เราโดนกระทบ เราจะคิดอย่างไร หรือเราจะแค่รู้แล้วคลายความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่รู้แล้วยึด เห็นแล้วไม่วาง มันก็เวียนไม่จบสิ้น ฉะนั้นอย่าทำบาปเลยนะศิษย์ ไหนใครยังกินเหล้ายกมือขึ้น ใครยังสูบบุหรี่ยกมือขึ้น
ศิษย์เอยถ้าภพภูมิมนุษย์ยังตัดไม่ได้ ความยึดติดของศิษย์จะทำให้เราต้องตกนรก ถ้าศิษย์ไม่เลิกตรงนี้จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเวียนว่าย ถึงเวลาตกนรกอย่ามาเรียกอาจารย์นะ เพราะอาจารย์บอกแล้วว่าคนที่ต้องรับกรรมก็คือตัวเราเอง ไม่มีใครหนีชะตากรรมตนเองพ้น โลกใบนี้เป็นโลกของเหตุปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัย ใครทำอะไรได้อย่างนั้น ฉะนั้นถ้าฟังธรรมวันนี้แล้ว กลับไปแม้จะโดนรถชน กลับไปแม้จะโดนสามีต่อว่า ภรรยาบ่น ก็ดีแล้ว เพราะเราเกิดมาเพื่อจบ ยินดีที่ได้ชดใช้ ยินดีที่ได้จบกรรมกัน เราจะไม่จองเวรจองกรรมกันอีก ฉะนั้นจงรู้ตื่นให้ได้และคิดให้ทัน อาจารย์ไม่อยากใช้คำว่า “คิด” เพราะความคิดยังไม่พ้นทุกข์ ต้องเป็นความรู้ เพราะถ้ายังต้องคิดแปลว่ายังไม่กระจ่าง แต่ถ้ารู้แล้ว กระจ่างแล้วกระจ่างเลย จริงๆ แล้วอาจารย์อยากใช้คำว่า “ปุ๊บ” แล้วถึงเลย ถ้าศิษย์แค่หยั่ง ฟังอาจารย์แล้วนิ่งแล้วหยั่งให้ถึงจะเป็นนิพพานชั่วขณะ จะรู้ว่าชีวิตเป็นเช่นนี้เอง ชีวิตไม่ได้ยากเลย แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่ามีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาร้องเพลง)
เอาแอปเปิลไหม เพิ่มทุกข์อีกอันหนึ่งเอาไหม ใครร้องเพราะกว่ากัน (ทั้งคู่)  เห็นไหม แต่เขาก็ร้องเพราะนะ เพราะไหม การร้องเพลงทำให้คนมีความสุข  บางครั้งไม่ต้องอายหรอกจริงไหม (จริง)
ศิษย์ว่าระหว่างให้อามิสเป็นทาน กับให้ธรรมะเป็นทานอะไรประเสริฐกว่ากัน (ทั้งสองอย่าง)  เข้าใจตอบนะ ได้แล้วจงให้ต่อ เข้าใจหรือไม่  มีใครอยากตอบอาจารย์ไหม เมื่อเราเข้าใจธรรมได้ระดับหนึ่งแล้ว  สิ่งที่ศิษย์อยากพยายามละให้ได้มากที่สุดคืออะไร ที่มีแล้วทำให้เราห่างไกลความเข้าใจในธรรม  และกลับยิ่งทำให้เราหลงผิดคิดร้าย  อะไรที่เราควรละ (กิเลส) กิเลสตัวไหน (ความชอบ)  ชอบมาก ๆ กลายเป็นโลภนะ  (ใจ) รู้ให้เท่าทันใจนะ  (รัก โลภ โกรธ หลง) ละทีละตัว ละความโกรธก่อนนะ (ความโกรธ)  พยายามอย่าได้มี (ความโลภ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนพระโอวาท “ตัดบ่วงอัตตา หรือ ติดบ่วงอัตตา”)
พระโอวาทซ้อนอาจารย์ให้สองแบบ คือ ตัดบ่วงอัตตา หรือ ติดบ่วงอัตตา ก็ได้ จะตัดหรือจะติดขึ้นอยู่กับศิษย์ ถ้าอาจารย์ให้คำว่า ติด ศิษย์ก็จะติดอยู่อย่างนั้น ถ้าศิษย์ทำได้อาจารย์อยากให้เป็นตัด ขอให้ศิษย์ทำให้ได้ เมื่อถึงเวลาจะติดบ่วงอัตตา หรือจะ ตัดบ่วงอัตตา (ตัดบ่วงอัตตา) ขอให้ศิษย์ถึงเวลาตัดบ่วงอัตตาให้ได้นะ ละให้ได้นะ อย่าไปหลงมันเลย และอย่าไปยึดจนสร้างเหตุปัจจัยให้เราต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นเลยนะศิษย์ ทุกสิ่งมีความเกิดขึ้นและทุกสิ่งก็มีการดับเป็นธรรมดา อนิจจังทำให้ทุกข์เกิดแต่อนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับ อนิจจังทำให้เรารู้จักตัวตนแต่อนิจจังก็ทำให้เราต้องดับตัวตน ฉะนั้นจงเกิดเพื่อดับไม่ใช่เกิดเพื่อเกิด ถ้ามีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์เจออาจารย์บ่อยไหม (บ่อย)  บ่อยได้ถ้าศิษย์มีเวลามา และไม่บ่อยได้ถ้าศิษย์ไม่มีเวลามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียนรู้ธรรมทำให้ก่อเกิดปัญญา ปัญญานี้แหละที่จะนำพาให้เราเข้าถึงธรรม และนำพาให้เราเรียนรู้และเข้าถึงทุกข์เพื่อพ้นทุกข์ ถูกหรือไม่ เราอยู่ในโลกมันง่ายที่จะหลงไปตามกระแส ง่ายที่จะยึดติด ง่ายที่จะหวั่นไหว ง่ายที่จะมีกิเลส ง่ายที่จะผูกพัน แต่การจะทำให้ได้เรารู้จักเข้าใจ ปลดปลง และปล่อยวาง อย่าแค่ฟัง แต่จงรู้ให้แจ่มแจ้ง อย่าแค่ฟังแต่จงนำไปปฏิบัติเพื่อเข้าถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มาให้กำลังใจในการบำเพ็ญธรรม สังขารไม่ได้มีไว้เพื่อยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ แต่สังขารมีไว้เพื่อให้เราแค่อาศัยแล้วสร้างบุญกุศลให้เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราทำเพื่อก่อเกิดบุญกุศลอันดีงาม ต้องเข้มแข็งได้แล้ว ไม่อ่อนแอแล้ว ต้องให้อาจารย์หายห่วงได้แล้ว ใช่หรือไม่ ต้องเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้คนได้แล้ว ต้องเป็นแรงผลักดันช่วยคนได้แล้วเด็กดื้อของอาจารย์ ใช่ไหม ต้องรู้จักช่วยคนได้แล้ว ใช่หรือไม่ อาจารย์เมตตาและยินดีกับศิษย์ แต่ขอให้ศิษย์อย่ายอมแพ้สังขารอันไม่เที่ยงนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้มแข็งหรือยัง (เข้มแข็งแล้วครับ)  หนักแน่นแล้วใช่ไหม  จริงๆ ทุกอย่างมันเกิดและดับอยู่ในตัวของมันเองนะศิษย์ แต่เป็นเพราะความห่วงความผูกพัน มันเลยไม่จบนะ ใช่หรือไม่ มองให้ดีๆ นะศิษย์เอย เราจะได้ไม่เกิดมาแล้วต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกนะศิษย์
ร้องเพลงอาจารย์ได้บ้างไหม สังขารมีไว้เพื่อปลดปลงและสร้างบุญกุศลอันดีงาม ไม่เอาแต่ยืนเฉยๆ มองดูคนอื่นสร้างกุศล ลงแรงได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์แก่ขนาดไหน เจ็บขนาดไหน อาจารย์ก็ยังปรกโปรดเวไนย ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ นะ เราจะเกิดมาเพื่อทุกข์หรือเกิดมาเพื่อพ้นทุกข์ เราจะเกิดมาเพื่อหลงหรือว่าตื่นให้พ้นจากความหลง ฉะนั้นจงมองหรือเรียนรู้ด้วยหลักธรรม ปฏิบัติอะไรจงมองแต่หลักธรรม อย่ามองอย่างคนที่มีอารมณ์ มีกิเลส มองอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น ชีวิตเป็นเหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกแตงได้แตง ปลูกธรรมได้ธรรม ปลูกความเป็นตัวตนก็ได้แค่ตัวตน จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าให้เนื้อนาบุญอันนี้ เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในกองทุกข์กองกิเลส จงเข้มแข็งนำพาผู้คนด้วยใจที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวและเมตตา ไปให้ถึงฝั่ง อย่าให้อาจารย์รอเก้อ
อย่าให้กรงขังนี้ทำร้ายตัวเรานะศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญนะ เข้าใจไหม สำคัญที่จิตเราต้องเข้มแข็ง อะไรจะเกิดก็ช่างมัน เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วง ดูแลตัวเองกันดีๆ นะศิษย์เอย อย่าสร้างบาป  รู้จักมีศีลมีธรรม  มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก มาร่วมบุญร่วมงานกุศลกันอีกนะศิษย์เอย เข้าใจไหมรู้เรื่องหรือเปล่า มาช่วยงานอาจารย์นำพาเวไนยและนำพาตนเองให้พ้นทุกข์นะ
ตั้งใจบำเพ็ญนะ ทำให้ได้นะศิษย์เอย อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ ศิษย์เอ๋ยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต จงตั้งมั่นในความถูกต้องและดีงาม ไม่ว่าชีวิตจะเป็นขนาดไหน จงรักษาความถูกต้องดีงามไว้ อย่าปล่อยให้ชะตากรรมมันพลัดพรากให้เราไปแล้วไปเลยนะศิษย์ อย่าปล่อยให้ชะตากรรมทำให้ศิษย์ทุกข์แล้วไม่มีวันพ้นทุกข์นะ จำคำอาจารย์ให้ดีนะ มันเริ่มที่ใจก็จบได้ที่ใจ อย่าผูกเวรผูกกรรม อย่าปล่อยให้เวรกรรมมันมาชักให้ศิษย์กับอาจารย์จากกันแล้วไม่มีวันเจอกันอีกเลยนะ กลับมานะ เข้มแข็ง มีโอกาสลองเข้ามาศึกษาดูนะศิษย์ เรียนรู้เพื่อเข้าถึงธรรมในตัวตนนะ ไม่ใช่ธรรมในอาจารย์ แต่เรียนรู้เพื่อเข้าถึงธรรมในตัวศิษย์เองที่หลงลืมไป ศรัทธาในธรรมที่มีอยู่ในตัวตน ไม่จำเป็นต้องศรัทธาอาจารย์ก็ได้ ใช่หรือไม่
ทางฟ้ามีให้เลือกเดินอย่าลงนรกเลยนะศิษย์ หนทางที่ถูกต้องดีงามมีให้เดินอย่าคิดผิดคิดชั่วเลยนะ กำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวเอง ตื่นรู้และนำพาตัวเองให้ถูกต้อง  ศิษย์อย่าคิดว่าตายแล้วมันจบกัน นรกมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรนะ ต่อให้ศิษย์มีร้อยร่างศิษย์ก็ทรมานและรับมันไม่ไหว ถ้าศิษย์เห็นถึงจะรู้ ไม่อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนั้น ไปละนะ

แก้ไขกลอนพระโอวาท ในชั้นประชุมธรรม ณ สถานธรรมเต๋อฮว่า เมื่อวันที่ ๑๓-๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘ แก้ไขพระโอวาทศิษย์พี่นาจา หน้า ๒ จาก “ท้องฟ้ากว้างใหญ่คนกว้างไหมหนอ โลกกว้างพอแต่ใจคนยืนไม่ไหว รักสบายหลงเคยชินติดตามใจ โลกกว้างไม่เท่าใจรับไม่ไหวเอง” เป็น “ท้องฟ้ากว้างใหญ่คนกว้างไหมหนอ โลกกว้างพอแต่ใจคนยืนไม่ไหว รักสบายหลงเคยชินติดตามใจ โลกกว้างใหญ่แต่ใจรับไม่ไหวเอง” แก้ไขกลอนนำพระโอวาทพระอาจารย์จี้กง หน้า ๒๐ จาก “ผ่านมาเพื่อผ่านพบ ผ่านมาเพื่อจบแค่นั้น ผ่านมาเพื่อขออะไรกัน ผ่านมาเพื่อฝันจนตาย” เป็น “ผ่านมาเพื่อผ่านมาพบ ผ่านมาเพื่อจบแค่นั้น ผ่านมาเพื่อขออะไรกัน ผ่านมาเพื่อฝันจนตาย” แก้ไขบทกลอนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท จาก “ถึงต่างแต่มีหนึ่งแท้ในสัจธรรม ต่างเป็นไปตามบุญบาปกรรมนำหนุน ช้าเร็วต่างปัญญาบ่มเพาะธรรมคุณ จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยหนุนกุศลกรรม” “ตราบไม่สิ้นทุกข์จงเพียรละความไม่ประมาท” เป็น “ถึงต่างแต่มีหนึ่งแท้ในสัจธรรม ต่างเป็นไปตามบุญบาปกรรมนำหนุน ช้าเร็วต่างปัญญาบ่มเพาะธรรมคุณ จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยหนุนกุศลกรรม” “ตราบไม่สิ้นทุกข์จงเพียรในความไม่ประมาท”

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา