วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

2558-06-06 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี

西元二一五年歲次乙未月二十日                                         仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘                            สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

  มโนธรรมสำนึกบอกผิดชอบชั่วดี            เมตตาธรรมย่อมบ่งชี้ใจการุณย์
จริยธรรมรู้อ่อนน้อมสุภาพคุณ                ปัญญาหนุนพูดคำกล่าวมีสัจจา
                              เราคือ
  ฮั่นจงหลีต้าเซียน         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก แฝงกายประณตน้อมกราบ
องค์มารดา          ถามเมธีทุกท่านสราญฤ

  โกรธเกลียดแล้วไกล่เกลี่ยยังต้องให้เวลา    อภัยกันแล้วอาจค้างคาเจ็บช้ำอยู่
รู้ตื่นก่อนก่อนมิตรจะกลายเป็นศัตรู           ใจหลงผิดเพียงชั่วครู่พิษยืนยาว
ยอมอ่อนถอยแพ้ไปบ้างกล้าสู้ทุกข์            ถึงล้มก็จะรีบลุกเพื่อจะก้าว
เป็นนักสู้ฟ้ามืดยิ่งเปล่งแสงดาว                ใจพร่างพราวทุกข์หามีผลใดใด
รูปนามมีตัวตนไม่ใคร่ครวญดู                 ใจของคนประมาทยิ่งอยู่ยิ่งไปใหญ่
สร้างความโลภโกรธหลงมากดจิตใจ          เมื่อยึดติดจิตพ่ายความอยากทันที
เมื่อมีอัตตาครองใจตนได้แต่ลวง               ทั่วใจล้วนแต่ติดบ่วงอยากหลีกหนี
แจ้งธรรมไม่วางรูปยากแจ้งยากมี             เพียงจิตเที่ยงรูปนามลี้จริงหรือลวง
                                                                                     ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

ฟังธรรมแล้วจิตต้องเบิกบาน จิตต้องโล่งโปร่งสบาย ฟังธรรมแล้วจิตต้องแช่มชื่นสดใส แต่ทำไมยิ่งนั่งยิ่งอมทุกข์ ยิ่งฟังหน้ายิ่งหดหู่หม่นหมอง  เคยชินแต่การทำบุญเสร็จก็กลับบ้าน แต่พอมาฟังให้ก่อเกิดปัญญา ก่อเกิดความเข้าใจกลับหน่ายท้อ ช่างน่าเสียดาย จริงหรือไม่ (จริง)
ลองแปรบาปเป็นบุญ แปรจิตอกุศลเป็นกุศล แปรจิตที่คิดร้ายเป็นคิดดี แปรจิตที่หม่นหมองเป็นสว่างสดใส ไม่ดีกว่าหรือ
เพื่อให้เกียรติและเป็นมารยาทที่ดีต่อกัน เราก็ควรจะแนะนำตัวเองให้ท่านรู้จักก่อน จะคุยกันยังไม่รู้จักกันก็ดูไม่มีจริยะ ไม่มีมารยาทที่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
เป็นโอกาสดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แม้ในจิตใจของหลายท่านอาจจะยังคลางแคลงใจสงสัยอยู่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกจะให้เชื่อ จะให้มั่นใจเลยก็เป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อฟื้นฟูจิตญาณเดิม แล้วท่านคิดว่าตัวท่านมีจิตญาณเดิมที่มีความเป็นพุทธภาวะอยู่ในใจหรือไม่ (มี)  อย่างนั้นท่านคิดว่าอะไรที่เรียกว่า จิตแห่งพุทธภาวะ หรือจิตแห่งพุทธธรรม
พุทธภาวะหรือจิตแห่งพุทธะมีอยู่ในตัวเรา แต่บางครั้งอาจจะหลงผิดพลาดไปและกลายเป็นปิศาจพญามาร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรที่ตรงข้ามกับปิศาจพญามาร นั่นก็คือ ภาวะแห่งพุทธะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ปิศาจคือความโกรธเกรี้ยว เห็นแก่ได้ เอาแต่ใจตน ถืออารมณ์ตนเป็นใหญ่ สิ่งที่ตรงข้ามกับปิศาจก็คือ ภาวะพุทธะ ใจเย็น สุขุม รู้ละอายผิดชอบชั่วดี มีเมตตามีมโนธรรม กล่าวคำล้วนเป็นสัจจะวาจา ท่านว่าเช่นนี้ล้วนมีอยู่ในตัวเราไหม (มี)  นานๆ ทีหรือมีตลอด (นานๆ ที)
ฉะนั้นถ้าเราพึงสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าในเมื่อเรามีพุทธจิตหรือจิตแห่งความเป็นพุทธะอยู่ จิตแห่งความเป็นพุทธะ คือจิตที่เข้าถึงสู่สภาวธรรมหรือจิตที่เข้าถึงคำว่าธรรมอยู่ในตัวตน คนที่เข้าถึงธรรมะได้คนนั้นต้องมีเมตตาจิต คนที่มีเมตตาจิตได้คนนั้นต้องใจเย็นสุขุม กล่าวคำใดต้องทำได้อย่างนั้น
คนมีเมตตาธรรมเป็นคนที่ต้องเป็นอย่างไร รู้จักสุภาพอ่อนน้อม ไม่ดื้อดึงไม่ดันทุรัง ไม่หยิ่งผยองไม่อวดดี นี่จึงจะเรียกว่า จิตแห่งพุทธะ  อย่างนั้นขอถามว่า ปัจจุบันจิตแห่งความเป็นพุทธะยังคงอยู่อย่างหนักแน่นมั่นคง หรือเลือนหายไปตามกาลเวลา (ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา)  แต่ไม่ค่อยได้นำออกมาใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราถามว่า ลึกๆ มีเมตตาธรรมไหม (มี)  ลึกๆ รู้จักสุภาพอ่อนน้อมไหม (มี)  ลึกๆ เป็นคนใจเย็นไหม (มี)  มีหมดแต่ถึงเวลาได้ใช้บ้างไหม (ไม่ค่อยได้ใช้)  มีแล้วไม่ได้ใช้เขาเรียกว่า มีหรือไม่มี (ไม่มี) ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นยิ่งไม่ได้ใช้ก็ยิ่งเลือนหาย แต่สิ่งที่มนุษย์นำใช้คืออะไร
สิ่งที่มนุษย์นำใช้คืออารมณ์ นิสัย ความเคยชิน ที่ชอบทำอะไรตามใจ  จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า มหาโจรกลับใจเป็นพุทธะ วางดาบพลันพบพุทธะ หันหลังกลับคืนฝั่งธรรม  พุทธะกับมหาโจรอยู่ในฝ่ามือเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่าจะรู้จักพลิกใจทันไหม
เมตตาธรรมมีอยู่ในใจไหม (มี)  มโนธรรมสำนึกผิดชอบชั่วดีมีอยู่ในใจไหม (มี)  แต่เราเลือกใช้ไหม (ไม่)  เราใช้อารมณ์ ฉะนั้นเปลี่ยนจากอารมณ์เป็นมโนธรรมสำนึก เปลี่ยนจากความใจร้อนวู่วามเป็นใจเย็นมีเมตตา  คำกล่าวว่า มหาโจรพลิกกลับก็เป็นพุทธะ คนวางดาบประหัต­ประหารผู้คนก็กลายเป็นพุทธะ หันหลังกลับ ฝั่งพุทธะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ชอบพูดว่า เกิดเป็นคนเลือกได้ว่าจะเป็นคนแบบใด คนใจร้อน อำมหิต เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว หรือคนมีเมตตา อดทน อดกลั้น เสียสละเพื่อผู้อื่น พลิกใจได้ก็เป็นพุทธะ พลิกใจไม่ได้กลับตัวเองไม่ได้ก็จมอยู่กับกิเลสความหลงผิดและพญามาร ถูกไหม (ถูก)  ชีวิตเลือกได้ โจรกับพุทธะอยู่ที่เราใช้มือเราเช่นไร จะตีคน จะชี้หน้าด่าคน หยุดแล้วตั้งตรง สงบนิ่ง ดีกว่าไหม จะมีชีวิตอยู่เพื่อดำรงความเป็นคนและเดินไปสู่หนทางแห่งความมืดมน หรือมีชีวิตอยู่แล้วรู้จักพลิกใจกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างแต่เดิมมาจิตชั่วร้ายสามานย์ ทุกวาระจิตของมนุษย์แต่เดิมล้วนสดใสงดงามและบริสุทธิ์ แต่เพราะอะไรเราจึงก้าวพลาดไป เพราะพลิกใจไม่เป็นหรือใช้มือเราไม่ถูกต้อง หรือที่เรียกว่า รู้อะไรในโลกได้หมด แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่รู้คือใจของตน คุมใครๆ ก็ได้ แต่มีอยู่อย่างเดียวที่คุมไม่เคยได้สักวันหนึ่งคือ (ใจตนเอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราอยากจะไปผิดทางหรือกลับสู่ทางเก่ากันเล่า
ฉะนั้นคิดให้ดีๆ อย่าบอกว่าชีวิตนี้เลือกไม่ได้ อย่าบอกว่าชีวิตนี้ดีกว่านี้ไม่ได้ อยู่ที่พลิกใจเป็น จากคนเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ก็กลายเป็นคนใจเย็นมีเหตุมีผล  คนที่ใจร้ายคิดแต่เข้าข้างตนก็กลายเป็นคนใจเย็นสุขุมเสียสละเป็นได้  อย่าลืมนะโกรธกันแล้ว ด่ากันแล้ว ชี้หน้าชิงชังกันแล้ว ให้กลับมาเหมือนเดิมยาก ขอโทษคำเดียวไม่มีวันหายหรอกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โกรธเกลียดแล้วไกล่เกลี่ยยังต้องให้เวลา     อภัยกันแล้วอาจค้างคาเจ็บช้ำอยู่
รู้ตื่นก่อนก่อนมิตรจะกลายเป็นศัตรู            ใจหลงผิดเพียงชั่วครู่พิษยืนยาว
มนุษย์มักจะพูดว่าภาวะแวดล้อมบีบบังคับ สิ่งแวดล้อมมันเย้ายวนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นท่านเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ถ้าคนใจซื่อตรงอยู่ที่ไหนก็ซื่อตรง ถ้าคนใจสงบอยู่ในสภาวะแวดล้อมใดก็ยังสงบ  ฉะนั้นถึงภาวะแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อจิตใจคนให้ดีร้ายก็ตาม แต่ถ้าคนๆ นั้นมีความมั่นคงในความดีงาม มีความซื่อตรงในการปฏิบัติตน กลัวอะไรกับสิ่งแวดล้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งมีสิ่งแวดล้อมเย้ายวนใจยิ่งทำให้ท่านมั่นคงและดีงามยิ่งๆ ขึ้นไปใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าที่เราไม่ดีเพราะแวดล้อมหรือเพราะใจเรา
ทุกครั้งที่มีปัญหาเอาแต่โทษคนอื่นอยู่ร่ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เราพูดแล้ว คนกลัวฟ้า แต่ฟ้ากลัวใจคน เราต้องการให้ท่านได้รับรู้ไว้ว่าทำไมฟ้าจึงกลัวคน
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าตอนนี้ฟ้าจะให้คนนี้เขาจน แต่ถ้าคนนี้เขาบอกว่ายังไงเขาก็จะขยัน ซื่อตรงและอุตสาหะให้รวยให้ได้ ฟ้าจะทำให้เขาจนได้ไหม (ไม่ได้)  ฟ้าทำให้เขาทุกข์ แต่ถ้าเขาบอกว่าในความทุกข์เขาจะแหวกหาความสุขให้เจอ เขาจะอยู่กับทุกข์อย่างมีความชื่นบานใจให้ได้ ฟ้าจะทำอะไรคนเช่นนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นฟ้าจึงกลัวคนเช่นนี้ แต่คนที่พลิกใจไม่เป็นจึงเอาแต่กลัวฟ้าและก่นว่าผู้คน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบใด ก็ไหนบอกว่าชะตาฟ้าลิขิตหรือว่าคนกำหนด
หลักสัจธรรมแห่งธรรมะสอนไว้ว่า ใครทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ไม่มีใครหนีกรรมเวรตัวเองพ้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าเราไม่สร้างเหตุ เราจะกลัวอะไรกับผล ถ้าเราสามารถควบคุมชะตาได้ ผลก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวถ้าเราเพียรพยายามต่อสู้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์ยังไม่ทันสู้ก็ยกธงขาว
ทำไมต้องรอคนอื่นเร่งเร้า ทำไมเราไม่รู้จักพลิกใจเราให้เป็นเอง ถูกหรือไม่ เพราะทุกชีวิตคนที่จะต้องรับสภาพกับสิ่งที่ตัวเองกระทำก็คือตัวเราเอง ฉะนั้นทำไมไม่พึ่งตัวเอง ทำไมต้องรอคำปลอบใจ รอกำลังใจจากคนอื่นอยู่ร่ำไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงรู้จักพลิกใจให้เป็น พลิกใจเป็นกลับหลังได้ มนุษย์ก็กลายเป็นพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนถ้าถามว่า ทุกคนในชั้นนี้อยากเป็นคนดีไหม (อยากเป็น) ท่านเชื่อหรือไม่แม้ไม่อยากเป็นคนดีแต่ลองไปทำความชั่วดูสิ ใจมันจะสั่นๆ และหวาดกลัว คอยกังวลว่าเดี๋ยวใครจะเห็นไหม เดี๋ยวใครจะรู้ไหม อย่าทำเลยดีกว่า ถ้าในใจท่านไม่อยากทำความดี พอมีเหตุการณ์ให้เลือกท่านก็จะไม่รักษาความดี แต่ถ้าท่านอยากเป็นคนดี เมื่อมีเหตุการณ์ให้เลือกหรือมีภาวะบีบคั้นอย่างไร ท่านก็จะพยายามรักษาความดีให้จงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากบอกให้ท่านรู้ไว้ก็คือ แม้มนุษย์ไม่อยากดี แต่มโนธรรมสำนึกที่อยู่ในใจ ที่ฝังเป็นรากแห่งจิตใจ ที่เป็นรากอันเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคน จะเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเราว่าจะทำความชั่วจริงๆ หรือจะคอยบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่าทำเลย ทำไปแล้วเดี๋ยวมีคนเห็นจะมีผลอย่างไรตามมา นั่นแหละเรียกว่า มโนธรรมสำนึก
มโนธรรมสำนึกเป็นสิ่งที่คอยเตือนว่าถ้าทำไปแล้วท่านจะไม่สงสารเขาหรือ ความสงสารนั่นแหละคือตัวบ่งบอกถึงความดีงามในใจ
ท่านชอบหรือไม่เวลามีคนไม่เคารพเรา (ไม่ชอบ)  ท่านชอบหรือไม่คนที่ชอบดูถูกดูหมิ่นคน (ไม่ชอบ)  ชอบหรือไม่คนที่ดูหมิ่นเหยียดหยามเรา (ไม่ชอบ)  ชอบหรือไม่ที่คนกดขี่ข่มเหงเรา (ไม่ชอบ)  แล้วทำไมท่านถึงทำสิ่งที่ท่านไม่ชอบกับผู้อื่นล่ะ เวลาที่มีใครพูดอะไรที่ไม่รู้เรื่อง เราด่าเขาหรือไม่ (ด่า)  ฉะนั้นไม่ชอบเช่นใดจงอย่าทำเช่นนั้น เพราะสิ่งที่ท่านไม่ชอบนั่นแหละคือ รากเหง้าแห่งคุณธรรมความเป็นคนอันสมบูรณ์ที่เรียกว่า มนุษย์ประเสริฐ มีใครบ้างไม่อยากแต่งตัวแล้วดูดี (ไม่มี)  การแต่งตัวแล้วดูดีเปรียบได้กับความดีที่ในใจทุกคนก็อยากมี แต่มีใครบ้างล่ะที่แต่งตัวดูดีภายนอกแล้วอยากดีได้ทั้งนอกและใน ถ้าคนที่อยากแต่งตัวดี แล้วดีให้ได้ทั้งนอกและใน นั่นแปลว่านอกจากอยากเป็นคนดีแล้วก็ยังอยากมีคุณธรรมแห่งความเป็นคนดีที่สมบูรณ์ด้วย แต่มนุษย์ปัจจุบันนี้ชอบแค่แต่งตัวดี แต่หาความมีคุณธรรมในจิตใจไม่เจอ ช่างน่าเสียดายเสียยิ่งกระไร
คุณธรรมคือสิ่งที่เป็นตัวบ่งบอกจิตเดิมแท้ของทุกๆ คน แต่เราไม่เคยสนใจไยดีจิตเดิมแท้ เรากลับเอาตามแต่อารมณ์ ตามใจ อะไรที่ทำให้คนเป็นคนดีได้ยาก ไม่ดีได้ง่ายเหลือเกิน คือจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ หาใช่ฟ้ากำหนด ถูกหรือไม่ (ถูก)  อะไรที่ทำให้มนุษย์ยอมเป็นคนไม่ดีคืออะไร นั่นคือความรักสบาย เห็นแก่ตนเอาแต่ได้ จริงไหม (จริง)  เพียงแค่บอกว่าขอพักก่อน ขออู้หน่อย เชื่อไหมว่าคนดีก็เอาเปรียบคนได้ เหมือนที่กล่าวว่า คนใจกว้างแค่เห็นแก่ตัวก็ใจแคบ คนใจเย็นแค่เอาแต่ได้ก็กลายเป็นใจร้อน คนมีสัมมาคารวะแค่เอาแต่รักสบายก็ขี้เกียจยกมือกราบไหว้ ต้นเหตุแห่งความไม่ดีของมนุษย์ง่ายๆ คือ รักสบาย เห็นแก่ตน เอาแต่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
เราไม่ได้ว่าท่านนะ แต่เราแค่เอาใจท่านมาตีแผ่และทำให้ท่านมองให้เห็นใจตัวเองบ้าง ที่พูดว่าตัวเองดีนักดีหนา ดีหรือยังล่ะ (ยัง)  แล้วคนที่บอกว่าตัวเองยังไม่ดี ท่านเคยคิดจะดีบ้างไหม (คิด)  แค่คิดแต่ไม่เคยทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  ขอแค่เพียงถามตัวเองว่า มีเมตตาไหม ถ้ามีเมตตาแล้วอย่าเห็นแก่ตน เพราะถ้ามีเมตตาแต่เห็นแก่ตน ใจกว้างก็กลายเป็นใจแคบได้ ถ้าใจเย็นแต่รักสบาย ใจเย็นก็กลายเป็นใจร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงมองให้ออกเพราะชีวิตนั้นตัวเราเป็นผู้กำหนด อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องทุกข์และเจ็บปวด แล้วมาแก้ที่ปลายเหตุช่างน่าเสียดายจริงไหม (จริง)
ท่านเคยเห็นคนที่ถูกทรมานไหม เพราะอะไรเขาถึงต้องมาอยู่กับคนที่กดขี่ข่มเหง เพราะอะไรชีวิตเขาถึงต้องตกระกำลำบาก นั่นเพราะเขาสร้างเหตุปัจจัยมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักระมัดระวังควบคุมใจตัวเอง คนดีอยู่ที่ไหนก็ (ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้) เพราะคนดีแม้ถูกไฟเผาก็ไม่กลัวตาย เพราะคนดีแม้จะต้องจมลงไปในน้ำเพื่อฉุดช่วยคนก็ไม่กลัวน้ำ นี่แหละที่เรียกว่าคนดีที่แท้จริง แต่มนุษย์แค่ให้รักษาความใจเย็น ให้รักษาความมีเมตตา ยังทำได้ยากเลยนะ จึงช่างน่าเสียดายยิ่งนัก เพราะภพภูมิของมนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐ สามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ และสามารถสร้างกุศลอันใหญ่หลวง แต่มนุษย์กลับดูเบาดูถูกคุณค่าของตัวเองและหลงผิดคิดชั่วร้าย จึงช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
รู้ไหมมนุษย์อยากเป็นเทวดา แต่ถ้าเราบอกว่าเทวดาอยากเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเทวดามีแต่รอรับผลบุญ เมื่อบุญหมดก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่การเป็นมนุษย์สามารถได้สร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้ สร้างกุศลอันนับไม่ถ้วนได้ แต่มนุษย์กลับมัวแต่หลงผิด อย่างนั้นจะบำเพ็ญอย่างไร แค่เป็นคนดียังทำไม่ได้ จะพูดอะไรเรื่องบำเพ็ญ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่เริ่มต้นก็คือ มีคุณธรรมในใจ เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม มีอยู่ในใจไหม ถ้ามีก็งามภายใน แล้วถ้ามีแล้วยังปฏิบัติได้อย่างมีศีลด้วยก็เรียกว่างามนอกงามใน  การที่เราเรียนรู้หลักธรรมก็จึงไม่ใช่เรื่องเสียหลาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่น่าเสียดายที่มนุษย์พอได้ดีไปหนึ่งขั้นก็หลงลืมตัวจนทำให้ลืมไปว่า เป็นคนดีอย่างเดียวไม่พอ แต่เป็นคนดีแล้วต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตด้วย
เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ยอมเก่าจึงได้ใหม่ ยอมโง่จึงฉลาดแต่มนุษย์ไม่ใช่ เมื่อเป็นคนดีแล้วชอบอวดดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนรวยโดยทั่วไปเขาอวดรวยไหม (ไม่)  เมื่อไรที่คนใดพยายามจะอวดรวยแปลว่ายังไม่เคยรวยแล้วเพิ่งจะมี พอมีจึงอวดรวย ถูกไหม (ถูก)  เราเคยดีมาก่อนไหม (ไม่)  พอมีคนชมว่าดีเราก็เลย (อวดดี) เพราะไม่เคยมีดีมาก่อนเราจึง (อวดดี)
มหาสมุทรกว้างใหญ่เพราะยอมอยู่ต่ำ อยากจะเป็นคนดีต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ใช่ดีแล้วยึดติดว่าตัวเองดี ใครว่าไม่ได้ แต่มนุษย์มักจะเป็นอย่างนี้ ทำดีหน่อยโดนใครว่าก็โกรธ ทำบุญแค่ ๑๐ ๒๐ บาทหรือ ๕๐๐ คนทักว่าทำนิดเดียวก็เคือง ใช่ไหม (ใช่)  กฐิน ผ้าป่า มาวางบนโต๊ะ ทำหน้าบูดหน้าบึ้งก็ไม่ได้ ฉะนั้นเป็นคนดีแล้วต้องไม่อวดตัว เพราะความเป็นจริงของโลกใบนี้คือทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ ท่านก็คือหนึ่งในธรรมชาติ เขาก็คือหนึ่งในธรรมชาติ เราก็คือหนึ่งในธรรมชาติ ใช่หรือไม่
ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติ มีใครสามารถเอาธรรมชาติเป็นของตัวเองได้ไหม ใครสามารถเอาธรรมชาติมาครอบครองแล้วยึดมั่นถือมั่นว่านี่ของเราได้ไหม (ไม่ได้)  เราก็เป็นแค่เพียงผู้อาศัยธรรมชาติอยู่ แล้วทำไมเราเผลอครอบครองและยึดมั่นถือมั่นอย่างคนหลงงมงาย ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราอยากจะอยู่บนโลกใบนี้ นอกจากจะเป็นคนดีแล้วยังต้องเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมชาติว่าเราเป็นเพียงผู้อาศัย ยืมธรรมชาติใช้ ไม่สามารถครอบครองสิ่งใดได้อย่างแท้จริง เพราะถ้าเมื่อใดคิดครอบครอง เมื่อนั้นจะได้รับการลงโทษจากธรรมชาติ
จำไว้ว่า ยอมอ่อนจึงได้ความเข้มแข็ง ถ้าคิดจะแข็งจึงได้รับรู้ความอ่อนแอ ยอมโง่จึงได้ฉลาด แต่ถ้าคิดแต่ฉลาดก็โง่นักแล
ในธรรมชาติยังสอนอีกว่า ชีวิตเราก็เหมือนกับการมีธรรมชาติอยู่ในตัวเรา เราจะใช้ธรรมชาติอย่างไรให้ไปได้สูงไปได้ไกล แต่ไปได้สูงไปได้ไกลก็อย่าลืมความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อสูงที่สุดก็ยังตกลงมาข้างล่าง และทุกสิ่งทุกอย่างแม้เราจะก้าวไปไกลขนาดไหนแต่สักวันก็ต้องกลับคืนสู่ที่มา ที่เรียกว่าสามัญ มาอย่างไรก็ต้องกลับอย่างนั้น มาคนเดียวก็ต้องกลับคนเดียว มามือเปล่าก็ต้องกลับมือเปล่า ฉะนั้นเมื่อไรที่ชีวิตเจอความเปลี่ยนแปลงจงอย่าโกรธ จงอย่าโทษ จงอย่าบ่นว่าฟ้าดินเพราะท่านกำลังใช้ (ธรรมชาติ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาโยนส้มให้หัวหน้ารับ)
อยู่กับธรรมชาติท่านเผลอไม่ได้แม้สักหนึ่งนาที เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง และเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต แต่ถ้าชีวิตเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ไยต้องกลัวอะไรกับความเปลี่ยนแปลงและความเจ็บปวด
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับหัวหน้าชั้น)
ส้มแตกแล้วหรือ (แตกแล้ว)  เป็นธรรมดาใช่ไหม ไม่ว่าจะสวยงามขนาดไหน ก้าวไกลได้ขนาดไหนสูงส่งเพียงใด ถึงที่สุดก็ต้องคืนสู่สามัญ ฉะนั้นเรามาเพื่อรักษาความถูกต้องดีงามและเข้าถึงจิตเดิมแท้ หรือเรามาเพื่อยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตนที่หลงผิดคิดชั่ว  อย่าปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงพรากจิตดีงามของท่านไปจนลืมความเป็นจริงแห่งชีวิต ว่าเรามาจากธรรมดาเราก็ต้องกลับสู่ธรรมดา เราเป็นผู้ยืมธรรมชาติใช้ สักวันธรรมชาติก็ต้องคืนไป แต่ทำไมล่ะ เสือตายยังไว้ลาย คนตายทำไมไม่ทิ้งความดีงามให้คงอยู่ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอะไรจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญความดีงามในจิตใจที่เรียกว่า พุทธจิต จิตแห่งพุทธะ อย่าได้หลงลืมไป แล้วท่านจะได้กลับบ้านได้ถูกแท้จริง ไม่อย่างนั้นท่านก็หลงเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น ดังที่ว่าเมื่อใดมนุษย์เข้าถึงความจริง อะไรคือสิ่งที่เที่ยงแท้ อะไรคือสิ่งที่น่าโกรธเกรี้ยว และอะไรคือสิ่งที่น่าพึงพอใจ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง
แต่จำไว้นะ ชีวิตคนช้ำขนาดไหน เปลี่ยนแปลงขนาดไหน เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะมันคือความจริง ชีวิตไม่เคยคงอยู่ตลอด ถ้าช้ำแล้วถ้าแหว่งแล้วรับไม่ได้ก็ต้องรับให้ได้ เพราะมันคือกรรมที่ท่านทำมา จริงไหม (จริง)  จงมีสติและตื่นรู้ในความจริง อย่าเป็นเพียงแค่คนดีแต่ไม่มองความจริง อย่าเป็นแค่เพียงคนที่พยายามดี แต่ไม่ยืนอยู่บนความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม เพราะเมื่อไรเราเข้าใจสัจธรรมเราจะไม่โกรธ และจะไม่มีใครที่ทำให้เราลุ่มหลงหรือรักเกินไป เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ และมีวันแตกสลายได้ แต่เมื่ออะไรมันแตก ใจเราจำเป็นต้องแตกไหม (ไม่)  เมื่ออะไรมันสูญเสีย ใจเราต้องสูญเสียด้วยไหม (ไม่)  จึงมีคำพูดว่า ถึงสูญเสียแต่อย่าให้ใจเสียศูนย์ ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เรามาผูกบุญกับท่านสั้นๆ ง่ายๆ แค่นี้นะ อย่าลืมว่าขึ้นชื่อว่าชีวิต เรามาเพื่อจากไป ไม่มีใครคงอยู่ตลอดนิจนิรันดร์ ฉะนั้นก่อนจะจากไป ทำไมท่านไม่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงามล่ะ คนที่เขาชวนท่านมาฟังธรรม เขาไม่ได้เห็นแค่ธรรมะดี แต่เขายังเชื่อว่าคนที่เขาชวนมาทุกคนล้วนมีธรรมอยู่ในใจ และคิดว่าคนๆ นั้นจะค้นพบธรรมในใจของตนเมื่อได้มาครบสองวันนี้ และก็คิดว่าสองวันนี้จะสามารถทำให้ท่านมองเห็นธรรมที่ดีๆ และนำธรรมดีๆ นั้นไปโปรดและอยู่ร่วมกับผู้คน
อย่าลืมนะหนึ่งคนที่คิดชั่วร้ายก็สามารถทำคนรอบข้างให้กลายเป็นคนร้ายได้เหมือนกัน แต่หนึ่งคนที่คิดดีปฏิบัติดีก็สามารถทำให้คนรอบข้างคิดดีและปฏิบัติดีได้เฉกเช่นเดียวกัน นับจากนี้จะเลือกทำดีหรือเลือกทำร้าย จะศรัทธาในความถูกต้องของตัวเองหรือว่าจะหลงผิดคิดชั่วร้ายตามอารมณ์ใจอย่างคึกคะนอง ก็สุดแล้วแต่ท่านนะ
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
ขอบคุณคงไม่มีประโยชน์ถ้ารู้แล้วไม่ปฏิบัติ หรือที่มนุษย์ชอบพูดว่าฟังหูซ้ายทะลุหูขวา แต่เราบังคับใจใครไม่ได้ สุดแล้วแต่ตัวท่านเอง แต่ทำไมต้องรอให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยแก้ ทำไมเราไม่แจ่มแจ้งในทุกข์ แจ่มแจ้งในความเป็นจริงแห่งตัวคนแล้วไม่กลัวทุกข์กันเล่า ใช่ไหม (ใช่)  คิดให้ดีๆ
วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านง่ายๆ เพียงแค่นี้ แม้ง่ายแต่ทำไม่ง่ายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรมชาติ อย่าเผลอหลงยึดธรรมชาติและคิดไปเองว่าธรรมชาติคือของเรา เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะโดนธรรมชาติลงโทษ





วันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘                        สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คนขาดธรรมเห็นแก่ตนเอาแต่ได้      หลงสบายยอมผิดบาปธรรมเลือนสิ้น
ผิดเล็กน้อยหยวนหยวนไปจนเคยชิน    ขาดเมตตาสำนึกสิ้นติดบาปเวร
                              เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเป็นคนดีบ้างไหม
  การหาเงินหาทองใช่เรื่องยาก          หานิพพานลำบากกว่าเป็นไหนไหน
ติดเคยชินเห็นโลกเป็นบ้านใหญ่         เห็นอะไรไม่แยกแยะจิตติดพัน
มุ่งบำเพ็ญมีอัตตามาเวียนวน            จึงขุ่นข้นหมองใจเจ็บเก็บไปฝัน
ละอัตตาต้องเข้มงวดและกวดขัน        ไม่เช่นนั้นบำเพ็ญไปไม่ได้อะไร
การบำเพ็ญใช้ปัญญาในทุกก้าว          วางให้เบาไม่เช่นนั้นล้มได้ง่าย
อุปสรรคไม่ได้อยู่ที่เล็กใหญ่              อยู่ที่ใจเห็นตามจริงแล้วหรือยัง
                                                                                                 ฮา ฮา หยุด

ขอบำเพ็ญ ตั้งแต่ความคิด หลายอย่างเป็นอารมณ์ ขอบำเพ็ญ ให้บ่อยอีกนิด ใช้หลักธรรมคำคม เรื่องที่ผสมไว้ทุกเรื่องราว คนที่คิดร้ายไปไกลไม่ได้ปัญญา บำเพ็ญไปก็ทิ้ง ความจริงจิตนี้ตีห่าง ถ้าโชคไม่ดี ทำใจให้สบาย คิดดีอะไรก็ดี
ทำนองเพลง: หลงตัวเอง
ชื่อเพลง: ศรัทธา ปัญญา ต้องบำเพ็ญมาพร้อมกัน
*ในความศรัทธา ศรัทธามากมากจำเป็นหนักหนา ศิษย์อย่าลืมเรียนธรรมคืออะไร เพราะเข้าใจเท่าไหร่ไม่พอ ไม่ว่าศรัทธา ที่มีล้นใจเนื่องด้วยเหตุใด แต่จงบำเพ็ญปัญญาศรัทธาอย่างไร รู้แล้วทำได้หมดยิ่งดี
อย่าโทษฟ้าว่าดินโทษโชคชะตา ที่ได้เกิดมา อย่าโทษคนโทษใครใครเป็นอย่างไร ก็ไม่ต่างกัน เห็นคำตอบที่จริงรู้จักตัวเอง ปัญหาเดิมหายไป
**แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะทำดีโดยไม่รอใครชม แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะบำเพ็ญโดยไม่เจืออารมณ์ เมื่อได้สั่งสม สำนึกด้วยใจ คนที่ชนะตัวเอง
ถ้าเจ้าไม่เพียรทำไปทำมาเปลี่ยนใจ อาจารย์ก็น้ำท่วมปาก
(ซ้ำ *, ** ,ซ้ำที่ขีดเส้นใต้, ***)
***ขอบำเพ็ญ ตั้งแต่ความคิด หลายอย่างเป็นอารมณ์ ขอบำเพ็ญ ให้บ่อยอีกนิด ใช้หลักธรรมคำคม เรื่องที่ผสมไว้ทุกเรื่องราว คนที่คิดร้ายไปไกลไม่ได้ปัญญา บำเพ็ญไปก็ทิ้ง ความจริงจิตนี้ตีห่าง ถ้าโชคไม่ดี ทำใจให้สบาย คิดดีอะไรก็ดี
ทำนองเพลง: หลงตัวเอง
ชื่อเพลง: ศรัทธา ปัญญา ต้องบำเพ็ญมาพร้อมกัน

หมายเหตุ: พระโอวาทสามย่อหน้าแรกพระอาจารย์เมตตาประทานไว้ที่สถานธรรมเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เมื่อวันที่ ๒๓-๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าเรามีความสุขเราก็ทำให้คนรอบข้างมีความสุข แต่ถ้าเรามีความทุกข์คนรอบข้างก็มีความทุกข์ ฉะนั้นอยู่ที่ใจนะศิษย์ จงแปรทุกข์ให้เป็นสุขคนรอบข้างก็มีสุขได้ด้วยเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
วันนี้ยังพอยิ้มได้บ้างนะ เห็นวันแรกเป็นเสือยิ้มยากกันเป็นแถวเลยใช่ไหม ใครพูดถูกใจก็ยิ้ม แต่พอใครพูดไม่ถูกใจก็กัดคอทันทีเลยใช่หรือเปล่า ช่างน่ากลัวนะมนุษย์ เดินให้ทั่วๆ เห็นกันให้ชัดๆ เห็นหน้าศิษย์ยิ้มแย้มอาจารย์ก็มีความสุขด้วยนะ แต่ถ้าเห็นหน้าศิษย์ทุกข์อาจารย์ก็ (ทุกข์)  ไม่ทุกข์ด้วยหรอก ตัวใครตัวมัน ดีไหม แปลว่าเห็นหน้าศิษย์มีสุข อาจารย์ก็มี (สุข)  เห็นหน้าศิษย์มีทุกข์ อาจารย์ก็มี (ทุกข์)  อาจารย์ควรทุกข์ด้วยดีไหม อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าสมมติว่าอาจารย์เห็นหน้าศิษย์มีสุขอาจารย์ก็มีสุข ถ้าเห็นหน้าศิษย์มีทุกข์ อาจารย์ควรจะมีทุกข์ด้วยดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์เห็นศิษย์หลายคน เห็นคนอื่นมีทุกข์ อยากช่วยเขาไหม (อยาก)  แล้วจะทำอย่างไรถึงจะช่วยเขาได้ (ชวนมาปฏิบัติธรรม)  ก็เขาทุกข์ตอนนี้ กว่าจะได้มาปฏิบัติธรรมก็ยังไม่หายทุกข์ ไม่ทันเวลา ศิษย์เอยทำอะไรไม่ได้ก็บอกว่า ฉันก็ทุกข์ไม่ต่างกับเธอเลยนะ จริงๆ นะศิษย์เอย บางทีพูดก็แล้ว
โน้มน้าวก็แล้ว ก็ต้องบอกว่าฉันก็ไม่ต่างกับเธอหรอก ไม่ได้น้อยกว่ากันหรอก แต่วันนี้ทำใจได้มันเลยเบาไปหน่อย ตอนนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)
มองธรรมะมองคน หรือมองสิ่งใดในโลกอย่ามองอย่างตายตัว อย่ามองอย่างยึดติดและอย่ามองอย่างคนมีวิธีแก้วิธีเดียวในโลก ถามศิษย์นะ เป็นทุกข์แล้วทำอย่างไร ทำใจ แล้วมันใช้หมดทุกวิธีไหม (ไม่)  ฉะนั้นวิธีแก้ทุกข์ศิษย์ต้องรู้จักใช้ปัญญา อย่าเอาอย่างคนหัวชนฝามองได้ด้านเดียว บางทีมองให้ดี เราเป็นพวกชอบสรุปรวบยอด มันแย่ มันไม่ดี แต่เคยมองให้มันกว้างไหม เคยมองหลายๆ วิธีแก้ไหม ไม่ใช่มองอยู่ด้านเดียว แก้อยู่แบบเดียวตลอดเวลา อย่างนี้ต้องตายแน่เหมือนที่เขาทุกข์ ถ้าร่วมทุกข์กับเขาไปแล้วไม่หายเราก็ต้องเปลี่ยนวิธี ใช่หรือไม่ จะดึงให้คนพ้นทุกข์ คนๆ นั้นจะต้องมีพละกำลังอย่างแรงและต้องมีสติอย่างดี เพราะไม่อย่างนั้นช่วยไปช่วยมาก็พลอยทุกข์ไปด้วยเลย แทนที่จะช่วยได้ กลายเป็นนำทุกข์เขามาใส่ไว้ในหัว แล้วทำอย่างไรดี กลายเป็นช่วยเขาก็ไม่ได้ ตัวเองก็เอาตัวไม่รอด ฉะนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้กันว่าทำอย่างไรเราจะพ้นทุกข์ ดีไหม (ดี)ถ้าตัวตนของเราคือที่ตั้งแห่งทุกข์ แล้วใจที่เต้น ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ แล้วชอบรู้สึกนั่นแหละคือตัวผลิตทุกข์ หรืออาจารย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อไรที่ยึดมั่นถือมั่น ตัวตนนี้ก็คือโรงงานสร้างทุกข์ จริงไหม (จริง)  ลองดูสิ แค่คิดอยากปุ๊บ ผลิตทุกข์มาแล้วต้องวิ่งไปตามความอยาก สมอยากแล้วพอไหม อยากได้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นโรงงานทุกข์ ใช่ไหม ขนาดไม่ทำอะไรก็ทุกข์
วิธีแก้ทุกข์ของอาจารย์มีวิธีง่ายๆ คืออะไรรู้ไหม ก็อาจารย์บอกว่าตัวตนของเราคือที่ตั้งของทุกข์ และมีใจที่รู้สึกอยากนั่นอยากนี่เป็นตัวผลิตทุกข์ อยากแก้ได้วิธีง่ายๆ ของอาจารย์ แล้วจะปราศจากทุกข์บนโลกนี้เลย ทำยังไง (ใช้ปัญญาดับความทุกข์)  ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ จริงหรือ ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ไม่อยากอะไรเลยจะได้ไม่ทุกข์ ได้หรือ จะแก้ต้องแก้ให้ถูก ไม่คิดอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ อยู่ในโลกจะไม่ให้คิดเลยก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวิธีแก้ของอาจารย์ อยากรู้ไหมทำอย่างไร
อาจารย์ทวนใหม่ ตัวตนนี้เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ แล้วก็มีใจที่คอยผลิตความทุกข์ เมื่อไรที่อยากปุ๊บ ความทุกข์ก็ออก แต่ถ้าไม่อยาก สิ่งนี้ก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถึงแม้ไม่อยากมันก็ยังมีทุกข์อยู่ เพราะอะไรเพราะต้องปล่อยวางทุกข์หรือ (เพราะว่าคนขาดธรรม)  อาจารย์ทวนใหม่ เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องพยายามแก้ให้ได้ และหาเหตุดับทุกข์ให้เจอ ตัวเรานี้อยู่เฉยๆ ก็เป็นโรงงานผลิตทุกข์ไหม หิวก็ต้องไปหาอะไรกิน ง่วงก็ต้องรีบนอน เจ็บก็ต้องรักษา อยากก็ต้องไป (กิน)  ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ถึงแม้เราไม่อยาก แต่ร่างกายเกิดปฏิกิริยา เราก็ต้องไปสนองตามที่ร่างกายต้องการ ที่เรียกว่าบำรุงร่างกาย เลี้ยงดูร่างกาย ถูกไหม (ถูก)  แต่พอมีความอยากแล้ว ถ้ายังไม่มีใจ เรายังต้องบริหารร่างกายนี้ด้วยความทุกข์อยู่ ถูกไหม (ถูก)  นี่คือทุกข์หนึ่งกอง แต่พอเรามีใจขึ้นมาอีกหนึ่งอัน ใจเราไม่อยากกินแบบธรรมดา พอร่างกายบอกว่าอยาก ถ้าเป็นอันนั้นดีกว่าอันนี้ ความอยากเริ่มมากขึ้น จากอยากธรรมดาก็กลายเป็นยุ่งยากขึ้น พอเรามีใจใส่เข้าไปในตัวนี้ ถ้านอนเตียงแบบนี้จะดีกว่าเตียงแบบนั้น สมมติถ้าร่างกายเราต้องเดินจากโน่นไปนี่ มีตัวเราอยู่เราก็แค่เดินไปก็จบ แต่พอมีตัวเราใส่เข้าไปในร่างกายนี้ ถ้ามีรถคันงามๆ ก็คงจะดีนะ ถูกไหม (ถูก)  ได้สักพักหนึ่งพอเอาตัวเราใส่เข้าไปอีก ถ้ามีคนเดินข้างกายไปด้วยก็คงจะดีไม่น้อยนะ โรงงานนี้ผลิตทุกข์ธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ พอเอาตัวเราใส่เข้าไปทุกข์เริ่มเยอะขึ้น มากขึ้น ยากขึ้น และลำบากขึ้นไหม (ลำบาก)  ถ้าอยากจะกำจัดทุกข์ทำอย่างไร
แก้ปัญหาทุกข์ เวลาที่ศิษย์เจอทุกข์ ศิษย์ก็แก้ปัญหาไปทีละเรื่อง ใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์คิดออก ก็คงไม่ทุกข์อย่างทุกวันนี้ ที่อาจารย์ให้ศิษย์คิด เพราะทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องเจอเอง เวลาที่ศิษย์เจอทุกข์จริงจะได้แก้ไขเป็น ต้องหัดปล่อยวางใช่ไหม แล้วทำอย่างไร (แก้ที่ใจ)  แล้วแก้ได้หมดไหม ไม่หมดนะ แก้ด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ไหม เราจะทำอย่างไรดีถึงจะไม่ทุกข์ (มีความพอดี)  แก้ได้ไหมความพอดีใช้สำหรับอะไร ถ้าอยากมากเกินไปแล้วบังเกิดทุกข์ ก็พอดีกว่า ถ้ามีมากเกินไปแล้วทุกข์ ก็สู้มีน้อยดีกว่า ก็แก้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะแก้ทั้งมวลนั้นแก้ไม่ได้ ฉะนั้นวิธีที่จะแก้ทั้งมวลก็คืออะไรรู้ไหม
เริ่มจากวิธีง่ายๆ ก่อน ถ้าอยากแก้ทุกข์ วิธีง่ายๆ คือจงอยู่กับปัจจุบัน ที่มนุษย์เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าชอบเปรียบเทียบกับอดีต เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลย เมื่อก่อนฉันไม่ใช่อย่างนี้นะ ทำไมตอนนี้ต้องเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เหมือนอดีตเลย เราจึงทุกข์ ถูกหรือไม่ เหมือนแต่ก่อนเราอยู่กับสามี อยู่กับภรรยามีความสุขไหม (มี)  ถ้าไม่มีความสุขก็เป็นเพราะยึดติดว่าเมื่อก่อนสามีไม่ใช่แบบนี้ ภรรยาไม่ใช่แบบนี้ ทำไมวันนี้เป็นแบบนี้ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าไม่อยากทุกข์ จงอยู่กับสิ่งที่เป็นจริง อย่าเอาแต่หวังในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ หรือที่ศิษย์ชอบพูดก็คือศิษย์หวังดี อยากให้เขาได้ดี แต่อาจารย์ถามศิษย์นะ มีใครเป็นได้ดั่งใจเราหวังบ้างไหม แล้วมีเรื่องใดเป็นได้ดั่งใจเราคิดบ้างไหม แล้วจะหวังให้ผิดหวังทำไม แล้วจะคิดให้ตัวเองทุกข์ทำไม
ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ วิธีแก้ทุกข์ของอาจารย์ง่ายๆ คืออยู่กับปัจจุบัน นิ่งอยู่กับขณะนี้แม้ว่าขณะนี้สิ่งที่มันเกิดมันจะแย่กว่าอดีตก็ตาม ก็จงยอมรับมันเพราะเราเป็นคนเลือกเขามาแล้ว และอีกอย่างหนึ่งคือใดๆ ในโลกนี้เป็นตามเหตุปัจจัย คนตั้งเยอะแยะเขาไม่ด่า แต่เขาด่าเรา คนตั้งเยอะแยะเขาไม่ทำ แต่เขาทำเรา ฉะนั้นจะไปโทษฟ้าไปโทษดินเพื่อประโยชน์อะไร ก็สู้แค่ยอมรับความจริง แล้วทุกข์น่ากลัวไหม ก็ลองสู้กับมันสักตั้งดูมันจะตายไหม แต่ความคิดมันฆ่าศิษย์ตาย และความหวังที่คิดยึดติดในความหวังต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ได้อย่างนั้น ให้ได้อย่างนี้ มันทำศิษย์ตาย ไม่ใช่ทุกข์ทำให้ศิษย์ตายแต่ความยึดติดในใจ มันทำให้เราตายและความคิดที่ไม่ยอมรับความจริงมันฆ่าเราตาย
เหมือนศิษย์บอกว่าทำอย่างไรก็ไม่เห็นรวย จะรวยได้อย่างไร หามาแค่นี้แต่อยากมากกว่าที่หามาอีก จริงไหม (จริง)  หามาเท่าไหร่ก็ไม่พอ จริงๆ แล้วมี แต่ในใจพร่องตลอด มีก็เลยเหมือนไม่มี ฉะนั้นถ้าอยากหาแล้วมีก็คือ หยุดความอยากบ้าง เท่านี้ก็พอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  หาไปแทบตาย แต่เดี๋ยวก็อยากๆ แล้วอยากแบบเกินตัว อยากแบบชอบเป็นหนี้ด้วย แล้วจะมีความสุขไหม (ไม่มี)  ศิษย์อยากได้ครอบครัวร่มเย็น ศิษย์อยากได้ลูกเชื่อฟัง แต่เช้ามาก็บ่นก็ด่า กลางคืนก็แอบนินทา แล้วอย่างนี้จะมีความสุขไหม (ไม่มี)  สามีกลับมาบ้าน บ้านน่าจะร่มเย็น แต่กลับบ้านมาห้าทุ่ม อย่างนี้ร่มเย็นไหม (ไม่ร่มเย็น)  อยากให้ครอบครัวร่มเย็น ปากต้องหนัก หูหนัก ใจอย่าชอบถือสา อันนั้นก็ถือสา อันนี้ก็คิด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถือสาไปหมด อย่างนี้มีความสุขไหม (ไม่มี)  แล้วก็เป็นพวกตามีเรดาห์จับผิด คนอื่นผิด คนอื่นแย่ แล้วจะมีความสุขไหมศิษย์ อยู่ด้วยกันต้องอะลุ่มอล่วยกัน อภัยกัน ให้เกียรติกัน รักกัน ใจสุขอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข ใจคอยจับผิด ใจมีทุกข์ อยู่ที่ไหนก็เป็นทุกข์ ร้อนเป็นไฟ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นแก้ทุกข์แบบนี้ง่ายที่สุดแล้วนะ อยู่ด้วยกันอย่าจับผิด แล้วศิษย์จะได้รู้จักความมีกินมีใช้ ครอบครัวร่มเย็น ทำตัวเองเป็นแบบอย่างให้ลูกหลานเขาเห็น ไม่ใช่เอาแต่บ่น เอาแต่ว่า อดทนให้อภัยมีเมตตา ไม่ใช่โดนใครกลั่นแกล้งหน่อยก็ด่าเขา แช่งเขา นินทาเขา เขาร้ายมา เราร้ายกลับ จบไหม (ไม่จบ)  ในเมื่อทุกข์มาทำไมเราไม่เรียนรู้ทุกข์และเข้าใจทุกข์ จนบังเกิดความสุข ถ้าเราสู้กับความทุกข์ได้หนึ่งครั้ง ทุกข์ครั้งที่สอง ครั้งที่สามจะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ถ้าเราเข้าใจทุกข์ครั้งที่หนึ่ง เราก็จะเข้าใจทุกข์ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ศิษย์ยังไม่ทันเข้าใจ ศิษย์ก็ปิดประตูลั่นกลอนไม่เอามันแล้ว ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วเป็นอย่างนั้นไหม เป็นใช่ไหม (ใช่)  วิธีแก้ทุกข์อาจารย์ อย่างแรกคือ อยู่กับปัจจุบันและยอมรับความจริงให้ได้ อย่าเอาแต่คาดหวังจนไม่มองความจริง ง่ายไหม ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งจะเหี่ยวจะแก่จะย่นพุงจะยื่น ยอมรับไหม (ยอมรับ)  ยากไหม (ไม่ยาก)
แต่ส่วนใหญ่มักจะขาดสติรู้ทัน มัวแต่มองอารมณ์มองความคิด ฉะนั้นสิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ อารมณ์ สิ่งที่ต้องป้องกันคือ ความเคยชิน ความทุกข์ก็จะไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะจัดการและรับมือกับความทุกข์ แต่โดยส่วนใหญ่วิธีแก้ทุกข์ของศิษย์คืออะไร มันทุกข์แก้ก็ไม่ได้ ไปทำบุญละกันจะได้หมดทุกข์หมดโศก ใช่ไหม (ใช่)  มักจะมองวิธีแก้แต่ไม่ได้แก้ที่ตัวตน ปัญหาศิษย์อยู่ตรงนี้ ตัวตนคือโรงงานที่ตั้งแห่งทุกข์ และใจนั้นเป็นตัวผลิตทุกข์ แต่เราไม่เคยแก้ที่โรงงานนี้ วิธีแก้ของเราที่เราทำกันโดยส่วนใหญ่ คือ ทำบุญตักบาตร เพื่อศิษย์จะได้พ้นทุกข์พ้นเวรพ้นกรรมเสียที สาธุ ใช่ไหม
แล้วศิษย์รู้ไหมคำว่า บุญพระพุทธะให้ความหมายว่าอะไร เพราะเมื่อเรากลับมาจากทำบุญ มีสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกคือใจฟู ใจปิติ ใจพองตัว เมื่อใจปิติ ใจพองตัวก็สามารถทำให้ทุกข์หายไหม (ไม่หาย)  อาจจะหายไปบางส่วน หายไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ถ้าไปเจอเจ้ากรรมนายเวรคนเดิม เห็นหน้าแล้วใจก็ยุบลงทันทีเลย จริงไหมศิษย์ บางทียังก้าวไม่ทันพ้นธรณีสงฆ์ หันไปเจอคู่อริ ร้อนขึ้นมาเลย สวดท่องสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ บุญไม่สามารถชำระล้างบาปได้ บุญไม่สามารถทำให้เราหมดทุกข์ได้ ถ้าบุญนั้นยังไม่สามารถล้างต้นตอแห่งความบาปความชั่วในใจศิษย์ให้หมด บุญแค่ทำให้ใจเราฟู ปิติ อิ่มใจ สุขใจ บาปคือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใจ หม่นหมอง ห่อเหี่ยว ฉะนั้นถึงศิษย์จะทำบุญขนาดไหน แต่ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถล้างบาปในใจศิษย์ได้ บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป กลายเป็นว่ายิ่งทำบุญก็เพื่อไปสนองรับผลบุญ แต่บาปยังแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง) 
ทำบุญไม่สามารถทำให้คนพ้นทุกข์พ้นบาปได้ ถ้าทำบุญแล้วอยากจะพ้นทุกข์พ้นบาป ต้องทำบุญที่เรียกว่ากุศล กุศลคือสิ่งที่สามารถชำระล้างบาปได้ ทำให้ทุกข์หมดสิ้นได้ แล้วเราเป็นประเภททำบุญแล้วหวังล้างทุกข์ ไม่ได้คิดว่าบุญนี้จะช่วยทำให้เราหมดทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  มันหลงผิดทั้งนั้นเลย เพราะต้นตอแห่งความบาปหรือความผิด ความชั่วร้ายมันเกิดจากกิเลส ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วก็อารมณ์ความเคยชิน ต้นตอของบาปคือตัวตน อารมณ์ กิเลสและนิสัยความเคยชิน หรือที่ศาสนาพุทธเรียกว่าโลภ โกรธ หลง เกิดมาจากตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่น ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถึงแม้ศิษย์จะทำบุญ แต่ถ้าบุญนั้นยังเป็นบุญที่ยึดติดในความเป็นตัวตน เป็นบุญที่ทำแล้วหลงลำพองตน บุญนั้นก็ยังเจือไปด้วยบาปและความหลงผิด ซึ่งไม่สามารถชำระล้างความทุกข์ในใจได้ กุศลคือสิ่งที่ทำแล้วสามารถแผ้ว
ถากถางความยึดติดในตัวตนจนไม่ก่อเกิดกิเลสขึ้นอีกต่อไป ถ้าสมมติทำ ๑๐๐ บาทแล้วไม่ขอ ทำ ๑๐๐ บาทแล้วไม่หวัง บุญนั้นจะกลายเป็นกุศล แล้วรู้ไหมว่าที่ทำผ่านมา เป็นบุญที่ทำให้กลับมาเวียนเกิดเวียนว่ายนะ รู้ไหม ทุกครั้งที่ทำแล้ว ขอให้ร่มเย็น ขอให้เป็นสุข ขอให้ร่ำรวย นั่นคือบุญที่หวังจะกลับมาเสวยทุกข์อีกนะ
อาจารย์บอกแล้ว ขึ้นชื่อว่าตัวตนคือที่ทุกข์ แล้วมีใจเป็นตัวครองก็คือสร้างทุกข์เพิ่ม ฉะนั้นบุญอะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ไม่ก่อกิเลส ก่อเกิดความโลภ ก่อเกิดความหลง ก่อเกิดความเป็นตัวตนคิดว่าเราเป็นคนดี บุญนั้นเรียกว่ากุศล แต่ถ้าทำบุญแล้วยังมีตัวมีตน บุญนั้นเรียกว่า เครื่องฟูใจ เครื่องปิติใจ แค่นั้น ไม่สามารถเอามาชำระล้างทุกข์ได้ ฉะนั้นถ้าให้ไปแล้ว มันลดความตระหนี่ ลดความอยาก ให้ไปเถอะ ถ้าหากมีแล้ว มันทำให้อยากจะไปเที่ยวโน่น อยากจะไปเที่ยวนี่ อยากจะได้กระเป๋า เดี๋ยวจะซื้อรถ เดี๋ยวจะได้ไปเที่ยวกับแฟน เอาเงินนั้นไปทำบุญดีกว่าไหม ถ้าแบ่งได้แล้วลดความอยากลงไป แล้วตอนนี้ทำแบบไหนมา สิ่งที่ทำมาผิดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์ก็มาบอกว่า ทำบุญทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ก็มันได้อย่างไรละ ทำบุญที่วัดแต่ไปด่าคนรอบตัว แล้วก็อุทิศแผ่เมตตาสัพเพสัตตาอย่าโกรธกันเลย ใช่ไหม
อาจารย์ก็ทำให้ศิษย์เห็นประจำ แต่ถึงเวลาศิษย์ก็เป็นอย่างนี้ประจำ บุญทำได้ทุกที่ ทำให้ใครสบายใจ ทำให้ใครอิ่มเอิบใจ นั่นคือบุญ ทำให้ใครหม่นหมอง ทำให้ใครทุกข์ตรม ทำให้ใครเจ็บช้ำระกำทรวง นั่นคือบาป
ทำบาปทุกที่ไหม ทำบุญที่เดียวคือที่วัด บางทียังไม่พ้นวัดเลย แอบนินทาพระอีก บาปเข้าไปอีก ใช่ไหม หรือบางทีบอกจะไปทำบุญก็อยากไปอยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าพระจะดีหรือเปล่า วัดจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ บาปไปตลอดทาง มาถึงวัดจ่ายเงินไป คิดว่าเดี๋ยวพระจะเอาเงินไปทำอะไร จะได้บุญไหมศิษย์ (ไม่ได้)  ไม่ได้เลย ถ้าทำแล้วมันลดความอยาก ลดความยึดติด คลายความหลง คลายความโง่ ทำไปเถอะ ทำแล้วไม่ต้องคิด มันจะได้งามตั้งแต่ต้นจนกลางแล้วถึงที่สุด ทำไปแล้วมาเสียดายทีหลังนี่เป็นประเภทอะไร หาเงินแทบตายก็ไม่ได้ใช้ เราเป็นอย่างนั้นไหม ทำไปเรียบร้อยแล้ว สาธุ สักพักหนึ่งมาคิดว่า ไม่น่าไปทำเลย ทำเยอะไปนิดหนึ่ง จริงๆ สักห้าสิบบาทก็โอเคนะ ฉะนั้นบุญจะงามต้องงามตั้งแต่ต้น กลาง ท้ายแล้วก็ลืมไปเลย ไม่ต้องมาจดจำว่าวันนี้ทำหนึ่งร้อย พรุ่งนี้ทำสองร้อย บุญเยอะดี นั่นแหละเอาตัวตนไปรับทุกข์รับบุญ มันก็เวียนไม่จบสิ้น ถูกไหม (ถูก)
เราจะเข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริงได้ เราต้องทำให้ถูกต้อง เพราะชีวิตนี้เราเกิดมาก็ทุกข์มากพอแล้ว ทำไมเราไม่เดินให้ถูกทาง ไม่ใช่ทางที่ทุกข์
ไม่เป็น ทุกข์ไม่ได้ จะต้องสุขอย่างเดียว ไม่ใช่ ไม่มีธรรมะที่ไหน ไม่มีศาสนาไหนสอนว่า อยู่บนโลกเอาแต่สุข ทุกข์ไม่ต้องมี แม้แต่พระพุทธองค์ อยู่บนโลก สุขท่านไม่เอา ท่านสู้ทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  พระพุทธองค์ท่านหนีสุขหรือหนีทุกข์ ยิ่งเป็นทุกข์ พระพุทธองค์ยิ่งกระโดดเข้าหา เพราะเมื่อใดที่ท่านพ้นทุกข์ ท่านก็นำพาคนรอบข้างให้พ้นทุกข์ แต่ตัวศิษย์เป็นอย่างไร หนีทุกข์กระโดดหาสุข
อาจารย์ถามนะ สิ่งใดในโลกนี้ที่มนุษย์พากันหลงเวียนว่าย แต่พุทธะเอาสิ่งนั้นมาทำให้รู้ตื่น เบิกบาน พ้นทุกข์ และนำพาเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์เฉกเช่นเดียวกัน
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)  สิ่งที่เป็นตัวตัดสินให้พระพุทธองค์ทิ้งจากความสุข กระโดดเข้าหาความทุกข์ นั่นคือความแก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งที่เราเห็นทุกวัน แต่พระพุทธองค์เอามาหยั่งรู้จนพิจารณา รู้แจ้งเห็นจริง จนสามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์และนำพาเวไนยให้พ้นทุกข์ ซึ่งเราเห็นทุกๆ วันแต่เรากลับไม่เคยพ้นทุกข์เลย ฉะนั้นอยู่ในโลกจริงกับลวงมองให้ดี ในจริงมีลวง ในลวงมีจริง สิ่งที่พระพุทธองค์ได้นำมาทำให้ตัวเองหยั่งรู้และนำพาเวไนยให้พ้นทุกข์ เพราะท่านเห็นความแก่ เจ็บ ตายจนหยั่งรู้พ้นทุกข์ จนไม่กลับมาเกิดอีก ท่านเห็นความแก่ เจ็บ ตายว่าทุกชีวิตล้วนต้องเจอเท่าเทียมกัน ท่านเห็นธรรมอันเป็นหนึ่งเดียว ธรรมที่มีหนึ่งเดียวที่ทำให้ทุกชีวิตเป็นเอกภาพ ทำให้ทุกชีวิตไม่ว่าจะสูงต่ำ ดำขาว ดีรวยจนก็หนีไม่พ้นคือความแก่ เจ็บ ตาย และเมื่อท่านเห็นธรรมนี้ ท่านสามารถรู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือที่สุดแห่งทุกข์และจะดับทุกข์ได้เช่นใด
แต่เราเห็นทุกวัน มองอยู่ทุกวัน แต่เราพ้นทุกข์หรือยัง (ยัง)  เมื่อศิษย์เห็น แก่ เจ็บ ตาย ศิษย์เคยลองมองไหม ศิษย์ลองหลับตา ถ้าศิษย์พิจารณาอยู่เสมอทุกวันที่ตื่นขึ้นมา เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา ทุกขณะไม่ว่ายามตื่นหรือยามหลับพิจารณาอยู่เสมอ ถ้าเราพิจารณาอยู่เสมอเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องตาย เราจะหวาดหวั่นไหม (ไม่หวาดหวั่น)  ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นว่ามีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายอยู่ทุกชีวิต พอเจอชีวิตใครต้องพลัดพราก เราจะเศร้าเสียใจไหม (เสียใจ, ไม่เสียใจ)  เมื่อเรารู้ว่าทุกชีวิตมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็นเรื่องธรรมดา เราจะโกรธเคืองใครไหม (ไม่โกรธ)  เราจะอยากอะไรไหม (ไม่อยาก)  เราจะเกลียดอะไรไหม (ไม่เกลียด)  เราจะหลงอะไรไหม (ไม่หลง)  ศิษย์ลืมตาได้ อาจารย์ถามว่าถ้าส้มผลนี้กินแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเอาไหม (เอา)  แสดงว่าที่ให้หลับตาพิจารณาไม่ได้ใช้เลย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าส้มผลนี้กินแล้วแก่ เจ็บ ตาย อีก เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  (เอา เพราะทานก็ตาย ไม่ทานก็ตาย)  ปรบมือให้หน่อยนะ มีคนตื่นสักหนึ่งคนอาจารย์ก็ดีใจแล้ว
เมื่อสักครู่อาจารย์ก็บอกแล้วไง ตัวเรานี้มีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่แล้วหนึ่งอัน เพิ่มใจอีกหนึ่งอัน เพิ่มส้มอีกหนึ่งอัน เอาไหม (เอา)  ศิษย์เอ๋ย ทุกข์อันเดียวก็หนักแล้ว ยังมีทุกข์ซ้อนเข้ามาอีกอันหนึ่ง คือใจที่ชอบรู้สึกรู้สา แล้วยังจะหาเพิ่มให้ทุกข์เพิ่มอีกทำไม ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตาย จะอยากเพิ่มทำไม อยากเพิ่มแล้วยึดให้ทุกข์เจ็บเพิ่มทำไม ฉะนั้นถ้าเข้าใจ แก่ เจ็บ ตาย ความอยากจะลดลง ความโกรธจะ
เบาบาง ความหลงมันจะไม่มี ถ้าเข้าใจอันนี้นะ จะตัดคำว่า อกุศล ที่ศิษย์กลัวนักกลัวหนาที่เป็นต้นตอของบาปและความทุกข์ความชั่วทั้งมวลได้หมดสิ้น ถ้าศิษย์เห็นแจ้งแจ่มชัด มันมีความแก่ มันมีความเจ็บ มันมีความตาย เอามาเพิ่มก็เพิ่มทุกข์ให้ยิ่งแก่อีกขึ้น เจ็บอีกชั้นหนึ่ง ตายอีกชั้นหนึ่ง เมื่อไรที่เราเห็นความจริงชัด โลภไม่มี หลงไม่เกิด โกรธเกลียดจางหายสิ้น เพราะอะไร เพราะทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ฉันก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ แล้วจะทุกข์เพิ่มทำไม จะเกลียดกันทำไม เกลียดไปเดี๋ยวเขาก็ตาย เกลียดไปทำไม เกลียดไปก็มีแต่ทุกข์ นี่ก็ทุกข์แล้ว แล้วจะทุกข์กับมันทำไม ฉะนั้นยิ่งเห็นความแก่ เจ็บ ตายชัด เมื่อนั้นศิษย์ก็สามารถละอกุศลได้ เข้าถึงกุศลที่สามารถจะนำพาให้เราพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ ถ้าเข้าถึงความแก่ เจ็บ ตาย มันจะไม่อยาก มันจะไม่โกรธ มันจะไม่โลภ ถูกไหม (ถูก)
ศาสนาพุทธสอนว่า โลภมากๆ ก็จงให้ทาน โกรธมากๆ ก็จงมีศีล หลงมากๆ ก็จงมีปัญญา ถ้าศิษย์เห็นชัดตั้งแต่อย่างนี้แล้ว จะอยากไหม
(ไม่อยาก) ฉะนั้นการดำเนินชีวิตของศิษย์คือ การเลี้ยงดูเพื่อเลี้ยงดู ไม่ใช่เลี้ยงดูเพื่อสะสมความอยากความยึด หรือที่เรียกว่า มีชีวิตอยู่เพียงแค่สักแต่อาศัยเขาอยู่
จะเจ็บขนาดไหน ก็ยืมเขามา อาศัยเขาอยู่แค่นั้น เราอาศัยธรรมชาติถูกไหม การยืมใช้ของเราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อเราไม่มีที่ให้ทุกข์อยู่ เมื่อทุกข์มาเจ็บไหม ความเข้าใจแบบนี้ พระพุทธะท่านมองเห็นแล้วจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น หนทางแท้มีหนึ่งเดียว เรียกว่าทางสายกลาง หนทางแห่งความพ้นทุกข์
(ไม่ตึงเกินไปและไม่หย่อนเกินไป)  ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป และก็ไม่ตามใจ คือพอดี ใช่ไหม (ใช่)
ใครยังไม่ตอบอาจารย์รีบตอบ ทางสายกลางแปลว่าอะไร
(ความพอดี พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี)  พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้ นั่นคือความพอดี แล้วพอหรือยัง ถ้ายังไม่พอ ก็ยังไม่มีดี ใช่ไหม (ใช่)
(ไม่สุขเกินไป และไม่ทุกข์เกินไป)  เดี๋ยวอาจารย์จะให้ดูว่าทางสายกลางแท้จริงแล้วพระพุทธองค์ต้องการบอกว่าหมายความว่าอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายคนหนึ่งออกมายืนหน้าชั้น)
ที่ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ ที่สุขก็ไม่สุข นั่นเรียกว่า สายกลาง สมมติว่าฝั่งนี้คือฝั่งที่ด่าศิษย์ และฝั่งนี้คือฝั่งที่ชมศิษย์ อะไรคือทางสายกลาง (ก็เฉย)  ถ้าเราดำรงอยู่ในโลกเดินสายกลางจะไม่มีอะไรเรียกว่าสุข ไม่มีอะไรเรียกว่าทุกข์ ไม่มีอะไรเรียกว่าแย่ ไม่มีอะไรเรียกว่าดี ถ้าดำรงจิตตรงนั้นได้ นั่นเรียกว่า สายกลางโดยแท้จริง ธรรมแท้มีหนึ่งเดียว ไม่เคยมีสองสามสี่ เมื่อใดที่จิตเราเจอเรื่องอะไรแล้วจิตเราไม่เอียงไปบอกว่า อย่างนี้ดี แล้วจิตเราไม่เอียงไปบอกว่า อย่างนี้ชั่ว เมื่อนั้นสวรรค์ไม่เกิดนรกไม่มี นิพพานอยู่ตรงนี้
แต่ถ้าเมื่อใดเราดำรงอยู่ในโลก แล้วบอกว่า อันนี้ดี อันนี้แย่ แบบนี้เรียกว่า สวรรค์ นรก เกิดในช่วงขณะจิต แต่ถ้าเราดำรงชีวิต สวรรค์ก็ไม่เอา นรกก็ไม่เอา รักษาจิตหนึ่งเดียวไซร้ นั่นแหล่ะความพ้นทุกข์ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะมากระทบ เมื่อศิษย์ทำได้ จะเข้าถึงความบริสุทธิ์อันแท้จริง แต่จิตของมนุษย์ไม่ใช่ ยังแปดเปื้อนฝุ่นธุลีและแบ่งแยกว่าอะไรดี อะไรชั่ว เมื่อมีดีมีชั่ว ก็ยังมีนรก สวรรค์ มีบุญ มีบาป ถ้าเมื่อไหร่เข้าถึงสภาวธรรมแจ่มแจ้งชัดแล้ว  เราจะหลง เราจะอยากไปทำไม มันไม่มีอะไรดีที่สุด มีดีก็ดีกว่า
มีชั่วก็ชั่วกว่า แล้วอะไรดีสุด อะไรร้ายสุด สภาวธรรมอันแท้มีหนึ่งเดียว คือความเป็นกลาง เมื่อใดที่จิตสามารถคงสภาวะนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ไหลไปเลวและชั่ว เมื่อนั้นเรียกทางสายกลาง เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกเกิด เกิดเมื่อใดก็ทุกข์เมื่อนั้น พระพุทธะจึงบอกว่า มีแค่ แก่ เจ็บ ตาย เราหยุดเกิดได้ เมื่อโดนกระทบ ไม่เอียงไปนรก ไม่เอียงไปสวรรค์ จบไหม แต่มนุษย์ไม่เคยจบ โกรธคือจองเวรจองกรรม เคืองแค้นคือผูกใจเจ็บอาฆาต ก็เลยกลายเป็นเกิดที่ไม่จบ ฉะนั้น อยากจบไหม
ทางสายกลางที่จะต้องเข้าให้ถึง ไม่ใช่แค่เห็นความแก่ เจ็บ ตาย แต่ต้องพิจารณาจนหยั่งถึงจนเกิดความรู้ตื่น สงบและนำพาตนพ้นทุกข์ ไม่ต้องรอชาติไหนเอาชาตินี้ ไม่ต้องรอตอนไหนเอาตอนนี้ ทำไมศิษย์ต้องไปรอ วันนี้ต้องทำให้ได้ วันนี้ต้องเป็นให้ได้ ถ้าศิษย์บอกว่าพรุ่งนี้ ศิษย์ก็พรุ่งนี้ไปวันยังค่ำ ถ้าศิษย์บอกว่าเดี๋ยวก่อน ศิษย์ก็เดี๋ยวไปตลอดชีวิต ฉะนั้นมันไม่ยากเลยแค่โดนกระทบ ไม่ไปนรก ไม่ไปสวรรค์ ฉันจะไปทางสายกลาง หนทางแท้มีหนึ่งเดียว ฉันจะไม่ตกนรก ฉันจะไม่ขึ้นสวรรค์ ฉันจะไปหนทางแท้มีหนึ่งเดียว ไม่โกรธ ไม่เกลียด เราจะต้องวนไปอีกเท่าไร ขอแค่นิ่งทุกขณะที่โดนกระทบ มีสติทุกขณะที่โดนกระแทกและพิจารณาให้ออก ไม่ว่าจะเจออะไรมาทำให้ใจหวั่นไหวก็ตาม จำไว้เสมอว่าฉันจะไม่เพิ่มความแก่ เจ็บ ตายให้กับตัวเองอีกแล้ว ศิษย์เอยแค่ตัวเรายังเดาไม่ออกเลยว่าชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไร แล้วสิ่งที่ศิษย์ครอบครองศิษย์มั่นใจหรือว่าช่วงที่ศิษย์ไปครอบครองศิษย์จะไม่ไปเกี่ยวกรรมกับเขา ศิษย์จะไม่ทำร้ายเขา หรือเขาจะไม่กลับมาทำร้ายเรา เราเดาออกไหม ทำไมไม่เห็นให้ชัดก่อนจะอยาก ทำไมไม่รู้ให้ชัดก่อนจะเจ็บ ทำไมไม่ระวังให้ดีก่อนจะต้องมานั่งทุกข์แล้วแก้ผลที่ปลายเหตุ ทุกข์ไม่พอหรือ เจ็บไม่พอหรือ เอาไหม
อาจารย์ขอถามหน่อยนะ อะไรที่อยู่ในใจแล้วทำให้เราเป็นคนชั่วคนไม่ดี
(อารมณ์โมโหโกรธ)  ฉะนั้นต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ เพราะถ้าควบคุมไม่ได้เราก็กลายเป็นคนชั่วที่น่ากลัวได้ ถูกไหม (ถูก)
(ความโลภ)  เรามีความโลภเยอะ ใช่ไหม อะไรก็อยากไปหมด ไม่เคยพอใจในตัวเอง เช่นนี้อันตราย ถ้าโลภแล้วไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีก็ยิ่งอันตรายใหญ่ ถ้าโลภแล้วไม่มีใจเมตตาการุณก็ยิ่งอันตรายใหญ่ ใช่ไหม ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ามัวแต่วิ่งไปตามอารมณ์ กิเลส จนลืมคุณธรรมความดีในใจ แล้วเอาผลไม้นี้ไปฝากคนอื่นดีไหม (ดี)  เป็นคนดีให้ได้นะ
(ความหลง)  หลงอะไร หลงตัวเองหรือเปล่า บางทีคนเรามักจะหลงยึดติดความคิดของตัวเองว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ไม่ฟังใคร ก็น่ากลัวถูกไหม
สิ่งที่น่าเสียดายนั่นก็คือ ถึงอาจารย์จะพูดดีขนาดไหน ถึงอาจารย์จะพูดแจ่มชัดขนาดไหน แต่มนุษย์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะปล่อยไปตามอารมณ์และความเคยชินของใจตัวเอง ถึงอาจารย์จะพูดขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าศิษย์ไม่เอาไปปฏิบัติมันก็แค่นั้นก็เท่านั้น ก็ต้องทำใจว่าได้แค่นี้ เท่านี้ อย่างนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญวิธีง่ายๆ ก็คือ เมื่อมีโอกาสอยู่ร่วมกับผู้คน ประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความสุขุม สำรวม อ่อนน้อมถ่อมตน และในใจประกอบไปด้วยเมตตา ยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าบำเพ็ญได้ขนาดนี้ไปอยู่ที่ใดเขาก็เรียกว่าคนดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่เราอยู่กับคนในโลกเราดื้อ เอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล ไปอยู่ที่ไหนคนอื่นเขาก็รำคาญ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท เป็นรูป
พระอาทิตย์และดอกบัว)
ส่วนใหญ่อาจารย์จะให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นเนื้อหาทางธรรม แต่ครั้งนี้อาจารย์ให้เป็นรูปภาพเพราะอาจารย์มีโอกาสได้ผูกบุญสัมพันธ์กับศิษย์หลายที่ เวลาอาจารย์ไปผูกบุญสัมพันธ์ทำให้อาจารย์ได้มองเห็นศิษย์อย่างหนึ่ง นั่นคือความเป็นจริงของชีวิตคน คนคล้ายๆ
กับดอกบัว และพระพุทธองค์ก็เปรียบไว้เหมือนกันว่าสิ่งที่ท่านรู้ตื่นแล้วนี้ การที่ท่านจะมาปรกโปรดคนนี้เป็นหลักธรรมที่ยากที่คนจะเข้าถึง บัวมีสามเหล่าแต่คนมีสี่ประเภท ฉะนั้นเรียนรู้ศึกษาธรรม ธรรมสอนให้เราเข้าใจชีวิต ธรรมไม่ได้สอนให้เราหลงและไม่ยอมมองความจริง ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้มีเรื่องราวมากมาย อะไรที่ทำให้เรามองเห็นความจริงจงรู้ไว้ว่านั่นคือธรรมะ แต่อะไรที่ทำให้เราไม่ยอมมองความจริงอันนั้นคือความหลอกลวง ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราเห็นชัดในตัวเองนั่นเรียกว่าธรรมะ แต่ถ้าสิ่งใดหลอกให้เรามองไม่เห็นตัวเองชัดนั่นไม่อาจเรียกว่าธรรมะ
ฉะนั้นใครพูดจริง พูดถูกใจ พูดโดนใจ พูดแล้วทำให้เจ็บใจ จงอย่าไปโกรธ เพราะเขาทำให้เรามองเห็นใจเรา แต่อะไรที่พูดแล้วทำให้เราหลงลำพองมองไม่เห็นตัวเอง ยืนชูคออย่างนี้ไม่ควรหลงติด ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส่งผลส้มจากหัวแถวไปถึงท้ายแถวแล้วส่งกลับมาที่คนนั่งหัวแถว)
แถวไหนเสร็จแถวแรกจะได้ส้มทั้งแถว แถวไหนช้าที่สุดจะต้องออกมาเต้นเป็ดทั้งแถว
(แถวที่เร็วที่สุดคือแถวนักเรียนฝ่ายชายหนึ่งแถว แถวที่ช้าที่สุดคือนักเรียนฝ่ายหญิงหนึ่งแถว พระอาจารย์เมตตาถามฝ่ายชายที่ชนะว่าจะยอมเสียสละเต้นเป็ดแทนฝ่ายหญิงไหม)
คนที่ยินดีสละ ตอนแรกตัวเองเป็นผู้ชนะก็กลายเป็นผู้ที่ยอมแพ้ ปรบมือให้หน่อยนะ ศิษย์เอ๋ยถ้าอยู่ในโลกเราทำอย่างนี้ได้ นี่แหละสุดยอด ผู้ชายเข้มแข็งตรงนี้ กล้าหาญก็อยู่ตรงนี้ ชนะได้ก็แพ้ได้ บางทีเราชนะใครแล้วเราบอกว่าฉันก็แพ้ไม่ต่างจากเธอหรอก ให้กำลังใจคนแพ้โดยไม่รู้ตัว หรือเอารางวัลไปแบ่งคนแพ้ โลกจะได้ไม่แก่งแย่งแข่งขันกัน ถูกไหม (ถูก)  เอาส้มไปมอบให้ฝ่ายหญิงนะ ได้ไหม (ได้)  ถือว่าผูกบุญสัมพันธ์กัน
ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ถือว่าเป็นการร่วมบุญกันนะ ในเมื่อสองวันนี้มีโอกาสมาร่วมบุญกัน วันนี้ก็ส่งบุญต่อดีไหม (ดี)  ไม่เชื่ออาจารย์ไม่เป็นไร ศรัทธาในความถูกต้องดีงามของตัวเองที่รู้จักมีแล้วให้ต่อ ได้ไหม (ได้)
มองให้ดี ในโชคดีมีโชคร้าย ในโชคร้ายมีโชคดี อย่าบำเพ็ญเสียเปล่า ต้องก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ รู้จักนำพาช่วยคนอีกเรื่อยๆ การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่สอนแค่เพียงนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์อย่างเดียว แต่การบำเพ็ญธรรมยังสอนให้รู้ว่า ถ้าเราเข้าใจว่าทุกข์คืออะไร เราก็จะสามารถช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้เช่นกัน
มนุษย์เราอย่าเป็นเพียงจิตแห่งมนุษย์แต่จงมีจิตแห่งพุทธะอยู่ด้วย
ในเมื่อเราได้รับหนึ่งจุดชี้ความเป็นพุทธะ แล้วทำไมเราไม่เอาพุทธะสถิตอยู่ในใจตลอดเวลา แล้วคนที่มีจิตพุทธะสถิตอยู่ในใจต้องเป็นคนที่มีเมตตา เป็นคนที่รู้จักสุภาพอ่อนน้อม เป็นคนที่รู้จักขยันขันแข็ง ไม่รู้จักเหนื่อยท้อในการช่วยเหลือคน จำไว้นะอยู่ในโลก สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ความทุกข์ แต่เป็นความคิดที่ไม่กล้าสู้ทุกข์  ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริงที่เรียกว่าทุกข์ สิ่งที่น่ากลัวคืออารมณ์นิสัย เอาแต่ใจของตัวเองต่างหากที่ทำให้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักเกรงกลัวบาปกรรม ศิษย์ไม่เห็นหรือ คนในโลกเดี๋ยวนี้ร้ายสุดๆ ที่ร้ายเพราะอะไร เพราะ ลืมคุณธรรมในใจ เพราะปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ จนลืมความถูกผิดไป แต่จริงๆ แล้วเขาไม่มีดีหรือ (มี) แต่อยู่ที่ว่าใครจะชี้นำให้เขาพ้น
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายพระโอวาทซ้อนพระโอวาท รูปดอกบัว)
เป็นบัวที่บ่งบอกถึงว่าในความมีอยู่พร้อม มีการเปลี่ยนแปลงและ
สูญสิ้น ในทุกขณะจิตของชีวิต นั่นก็คือ ที่อาจารย์บอกไว้ มีความแก่ มีความเจ็บ มีความตาย อยู่ทุกขณะ เมื่อเรามองเห็นดอกบัว เหมือนเรามองคน ในหนึ่งชั่วขณะที่เราประชุมธรรมกันอยู่ มีทั้งหนุ่มสาว มีวัยกลางคน และมีทั้งสิ่งที่ร่วงโรย แล้วชีวิตเรา หนุ่มสาวหรือร่วงโรย และในความร่วงโรยมีความเป็นหนุ่มสาวไหม (มี)  มองให้เข้าใจ มองให้เห็นแจ้ง จนสามารถปลดปลงปล่อยวางได้ ใดๆ ในโลกล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งล้วนมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขั้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไปแล้วเรากำลังหลงยึดติดกับอะไร จะให้ทุกข์มันขังตัวเองไปอีกกี่ปีกี่ชาติกันเล่าศิษย์เอย
อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกได้ไหม (ได้)  อาจารย์ไม่เคยหลอกศิษย์นะ มีแต่ศิษย์ที่หลอกอาจารย์ พูดว่าจะกลับมา แต่พอถึงเวลาก็หายไป ชีวิตนี้เราปฏิบัติได้ไม่จำเป็นว่าอยู่แค่ที่วัด ทุกที่ก็ปฏิบัติได้ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจยังต้องมาศึกษาเพิ่มเติม มาเรียนรู้ให้เข้าใจ ต้องหยั่งให้ลึก มองให้ชัด ธรรมไม่มีเรื่องอะไรไกลเกินเอื้อม อยู่ที่ว่าศิษย์ได้หมั่นมาพิจารณาไตร่ตรองไหม คนเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความทุกข์ก็เป็นธรรมดา แต่ในความธรรมดาเราก้าวพ้นได้ด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ด้วยสติรู้ตัวรู้ตนว่าทำอะไร ถ้าอาจารย์มีพลังดึงศิษย์กลับได้ทั้งหมด อาจารย์ก็อยากพากลับนะ ทำให้ได้นะศิษย์เอย มีโอกาสกลับมาอีกนะ
เป็นเด็กดีอย่าเอาแต่ใจอย่าเอาแต่อารมณ์เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารัก ใจเย็น ไม่ขี้บ่น เป็นคนที่รู้จักมีเหตุผล ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ อย่ามัวแต่หลงเพียงแค่รูปภายนอก
อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคนนะ แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วก็ต้องปล่อยวาง ตั้งใจบำเพ็ญอย่าดื้อ อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวความยากลำบาก ขอให้ขยันและอดทน มีโอกาสมาฟังให้ครบนะ ชีวิตที่แท้จริงคืออะไร คือการหลงในสุขหรือค้นหาความทุกข์หรือ
อาจารย์ช่วยศิษย์อยู่แล้วนะ แต่ศิษย์ต้องรู้ว่าสังขารมันเป็นของไม่เที่ยง สักวันหนึ่งเราต้องคืนธรรมชาติไป ฉะนั้นจงค้นหาจิตเดิมแท้ที่ได้รับหนึ่งชี้จากอาจารย์นี้ หาให้เจอและนำความสว่างมาสู่จิต จิตที่สว่างคือจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน แต่เป็นจิตที่เข้าถึงสภาวธรรม พ้นการเกิด พ้นการดับแล้ว
ดูแลกายดูแลใจตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ชีวิตและจิตใจหลงผิด ติดยึดในสิ่งที่ไม่ควรยึดอันตรายยิ่งนัก ความคิดผิดเพียงชั่ววูบ ฆ่าคนมานักต่อนักแล้ว แล้วอาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะไม่มีความคิดผิดอันนี้ มองให้ชัด เห็นให้จริง รู้ตื่นให้จงได้ จะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้อีกต่อไป คิดให้ดีๆ ถ้าไม่มั่นใจก็แปลว่ายังไม่ถูกต้อง มุ่งมั่นบำเพ็ญทำให้สำเร็จนะ ไม่ต้องรอตอนไหน รอแล้วเมื่อไหร่จะทำอดทนช่วยผู้คนต่อไปอย่ายอมแพ้กับสังขารอันไม่เที่ยง
อาจารย์ไปแล้วนะ รู้จักคิดรู้จักทำ มีโอกาสเข้ามาช่วยอาจารย์นะ เข้าใจบ้างแล้วใช่ไหม เดินหน้าลุยแล้วนะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์เอ๋ย บุญรักษาได้ก็ต่อเมื่อเรารักษาบุญเป็น จับมืออาจารย์แล้วแปลว่าจะกลับมาอีกนะ มีโอกาสมาร่วมบุญกันอีกนะ อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง อย่าดูเบาความหมายของการมีชีวิต ทำให้ได้นะ
อาจารย์เป็นห่วงศิษย์ทุกคนนะ ศิษย์ก็ต้องเข้มแข็ง เมื่อมุ่งบำเพ็ญอุทิศเสียสละ รู้จักนำพาตน นำพาผู้คนด้วยความคิดที่ถูกต้อง อย่าเอาแต่อารมณ์
ตั้งใจบำเพ็ญนะ รักอาจารย์ขนาดนี้ทำไมไม่ปฏิบัติให้ได้ดั่งที่อาจารย์บอก คิดถึงอาจารย์ขนาดนี้ทำไมไม่ทำให้ดีอย่างที่พูด ทำไมพูดจะทำแต่ถึงเวลาก็เอาแต่ใจ ทำไมถึงปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบชักพาให้ศิษย์อาจารย์จากกันไปตลอด รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี ไม่ว่าจะทางโลกทางธรรม อย่าให้เสียนะศิษย์เอย ทางธรรมทำได้ดีแล้วเหลือทางโลกต้องให้ดีด้วย อารมณ์ลดหรือยัง ใจเย็นหรือยัง ยังไม่เย็นยังใช้ไม่ได้นะ ยังเอาแต่ใจไหม ยังดื้อใช่ไหม ยังขี้บ่นหรือเปล่า เมื่อไรจะรู้ตัวเอง ต้องให้อาจารย์ตีอีกเท่าไร อารมณ์คุมได้ถึงไหน เอาชนะความเป็นตัวตนให้ได้ด้วยการขยัน ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยให้ทิฐิอารมณ์เป็นใหญ่ อย่าปล่อยให้ความเป็นตัวตนครอบงำจนหลงผิด จิตเราพ้นทุกข์ได้ จิตเราบริสุทธิ์ จิตเรางดงามได้ อย่าปล่อยให้ความเป็นตัวตนหลอกให้เราทุกข์อยู่กับกายสังขารนี้ มันไม่เที่ยงศิษย์เอย
ศิษย์เอยอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าเราทำถึงที่สุดเราก็ต้องยอมรับความเป็นไป ควบคุมอารมณ์เราให้ได้ ไม่ว่าเจอสภาวะใด ใจเย็น อดทน ทำได้ดีแล้ว หรือยังดื้อกับอาจารย์อยู่อีก ควบคุมอารมณ์ให้ได้นะศิษย์เอย
อย่าปล่อยให้ความเป็นตัวตนทำร้ายตัวเอง อย่าปล่อยให้กิเลสความคิดชั่ววูบมันทำให้เราหลงผิดติดยึดในโลก ติดยึดในสังขารอันไม่เที่ยงเลยนะ บำเพ็ญคืออะไร บำเพ็ญคืออุทิศเสียสละ ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วหลงติดยึดในอัตตา ตั้งใจเดินทางธรรมให้ถึงที่สุด ด้วยความเพียรพยายาม มุ่งมั่นแล้วไม่ท้อถอยสักก้าวเดียว เพื่อช่วยคนแล้วเสียสละอุทิศด้วยความเต็มใจ ช่วยคนแล้วต้องระมัดระวังซึ่งความคิด อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เป็นไป ดูแลรักษากายใจตัวเองให้ดี เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ เราเกิดมาเพื่อเข้าใจทุกข์และพ้นทุกข์ให้ได้ คือหน้าที่ของความเป็นคนที่แท้จริง และตามหาจิตพุทธะที่อยู่ในตัวตนให้เจอ อยากกลับสว่างทำไมไม่ทำอะไรที่มันสว่าง อยากพบความสว่างทำไมทำอะไรที่มืดมน กลับมาอีกนะศิษย์เอย



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  F:\lotus-sun.jpg                      (รูป)
     ตื่นก่อนหลงผิดติดอัตตา
ล้วนไม่เที่ยงทุกข์หามีตัวตนไม่
คนประมาทยิ่งอยู่หลงพ่ายใจ
ติดรูปนามความอยากได้ยากแจ้งจริง


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

2558-05-23 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二一五年 歲次乙未四月六日            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘     สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  บำเพ็ญธรรมอย่าเป็นคนช่างประจบ   นินทาคนวนไม่ครบจบไม่ลง
ไม่มีใครเป็นกาใครเป็นหงส์                         ทางสายตรงอย่าเดินเล่นอ้อมไปมา
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  ดีร้ายแปรทุกขณะไหนถูกผิด           นิ่งทุกขณะไม่ปล่อยจิตกระเพื่อมไหวผิดพลาดโดนใหญ่เตลิดมาฝึกใจ     กี่ครั้งกระทบก็ไม่ปล่อยกิเลสครอง
ใครร้ายอย่าจำเก็บมาใส่ใจ               อย่าเอาใจใส่มากไปจับจ้อง
เที่ยวใส่ใจได้ทุกข์มาครอบครอง          ไม่อาจจองคุมสุขแม้ใจตน
วางเฉยอารมณ์เป็นไม่วุ่นพลุ่งพล่านหนา การตามอารมณ์พาขาดการฝึกฝน
ไม่ลืมตัวคนสติดีรู้ตน                      หลงชีวิตประมาทจนทับถมจมท้าย
อยากสงบต้องหมั่นฝึกอภัยเป็นทาน     รู้ตัวทันเท่ารู้โลกบ้างไหม
แม้ถูกข่มกล้าอารมณ์เสียออกไป         คิดก่อนหว่านสิ่งใดจนใจตน
สร้างเหตุจึงตามมาซึ่งผลนั้น              ไม่หยุดกั้นบาปกรรมแต่กลัวผล
กรรมสนองวอนพุทธะหนุนช่วยบันดาลดล   ไยไม่คิดก่อนทำตนเช่นไร

ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไหวหรือเปล่า (ไหว)  ใจสู้อะไรก็ไหว ถ้าใจไม่สู้นิดหน่อยก็ไม่ไหว ใจชอบอะไรก็ทำได้ แต่ถ้าใจไม่ชอบ ใจไม่รัก นิดหน่อยก็ไม่อยากทำ  ฉะนั้นตอนนี้สู้และรักที่จะฟังธรรมไหม ถ้าสู้ ถ้าไหวอย่างนี้
ปิดพัดลม ปิดแอร์ ก็คงไม่มีปัญหา ถูกไหม (ถูก)  โดยส่วนใหญ่ถ้าใจเราสู้ ยากแค่ไหนเราก็ฝ่าฟันได้ ถ้าใจเรารักที่จะทำให้สำเร็จ ลำบากแค่ไหนเหนื่อยแค่ไหนเราก็ฝ่าฟันจนได้ สิ่งสำคัญคือหัวใจเรา รักและสู้หรือเปล่า
วันนี้มาฟังธรรมก็เหมือนกัน รักที่จะฟังธรรมไหม รักที่จะเรียนรู้ธรรมไหม (รัก)  ถ้ารักทำไมสู้ไม่ได้ และถ้าเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
นิดๆ หน่อยๆ จะยอมพ่ายแพ้หรือ (ไม่ยอม)
  หรือเป็นคนที่ยังไม่ทันทำอะไรก็แพ้ตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่)  นักเรียนชั้นนี้เป็นคนขี้แพ้ไหม (ไม่)  ไม่มีใครอยากเป็นคนขี้แพ้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนชนะคนอื่นทำไมไม่เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปสู้กับคนอื่น สู้ใจตัวเองไหวไหม (ไหว)  เราอยู่ในโลกเราตามใจตัวเองจนเคยชิน เราปล่อยใจตัวเองจนเสียนิสัย การมาอบรมธรรมก็คือ การมาฝึกทวนกระแสแห่งจิตใจบ้าง
มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก ฉะนั้นอยากหยุดโรคภัย อยากหยุดพิษภัยก็ต้องระวังปาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ ก็บ่น ก็พูด ก็ด่า แล้วเราเป็นเช่นนั้นไหม (ไม่เป็น)
มีใครในโลกบ้างที่เป็นคนดีแท้จริง มีใครในโลกบ้างที่เป็นคนถูกแล้วไม่มีวันผิด และมีใครในโลกบ้างที่เป็นคนผิดแล้วไม่กลับกลายเป็นคนถูกบ้าง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วจะบ่นทำไม ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วจะว่าเขาได้อย่างไร
ใช่ไหม (ใช่)
  ผิดถูกก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง เกิดขึ้นก็แค่ขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาที่เปิดกว้าง มองด้วยใจที่ไม่คับแคบจนเกินไป จริงๆ แล้ว
ในโลก ไม่มีใครที่แย่ที่สุดและไม่มีใครที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
  เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วใครหรือที่จะต้องบ่นปากเปียกปากแฉะ และจะมีใครบ้างหรือ
ที่เราจะต้องด่าจนเจ็บใจ มีไหม (ไม่มี)
  ลองมองให้กว้างๆ ให้ทั่วๆ ให้ชัดว่าใครถูกเสมอ ใครผิดตลอด ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเข้าใจแจ่มชัด แล้วอารมณ์จะเกิดไหม (ไม่เกิด)  เมื่ออารมณ์ไม่เกิด แล้วเราจะก่อกรรมทำเข็ญด้วยวจีกรรมไหม ฉะนั้นถ้ารู้ชัด ก็ไม่จำเป็นต้องทำบาปกรรมใดๆ เลย แต่เพราะมนุษย์เราอยู่ในโลก ไม่เคยมองอย่างชัด ไม่เคยรู้อย่างแท้จริง จึงอดไม่ได้ที่จะสร้างบาปกรรม ทางปาก กาย และใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นหลักธรรมจึงต้องมีคำสั่งว่าอย่าพูดหากพูดแล้วจะก่อวจีกรรม จงคิดให้ดีก่อนว่า สิ่งที่พูดนั้นจริงไหม ดีหรือเปล่า พูดแล้วกอปรไปด้วยเมตตาจิตด้วยหรือไม่ พูดแล้วสุภาพหรือเปล่า พูดแล้วมีประโยชน์ไหม ถ้าจริงแต่
ไม่ดีก็อย่าพูด ถ้าดีแต่ไม่ได้กอปรไปด้วยเมตตาจิตก็อย่าพูด เพราะไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวไว้ว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับขวานที่อยู่ในปาก ซึ่งคนพาลมักจะกล่าวคำชั่ว เมื่อไรที่คนพาลเกิดมาพร้อมความชั่ว เท่ากับคนนั้นเกิดมาพร้อมกับมีขวานอยู่ในปาก และฟันตัวเองให้เจ็บปวด เราคิดว่านักเรียน
ในชั้นคงไม่เกิดมาพร้อมกับขวานในปากนะ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น)
  แล้วยังมีคำกล่าวต่ออีกว่า บุคคลที่ติคนที่ควรสรรเสริญ และสรรเสริญคนที่ควรติ คนนั้นชื่อว่า (เก็บความชั่วไว้ในปากตัวเอง)  เราเป็นเช่นนั้นไหม คนที่ควรตำหนิเรากลับชม คนที่ควรชมเรากลับตำหนิ นั่นก็น่ากลัวนะ ถ้านักเรียนในชั้นเกิดมาพร้อมกับขวานอยู่ในปาก ถูกไหม (ไม่ถูก) ฉะนั้นคนพาลคือคนที่กล่าวคำชั่ว ใครที่พูดคำชั่วร้าย ทำให้คนอื่นเจ็บปวด คนนั้นได้ชื่อว่า เกิดมาพร้อมกับขวานที่อยู่ในปาก เราเชื่อว่ามีกันทุกคน เราถามเพื่อยืนยัน มีใครบ้างอยู่ในโลกโดยไม่นินทาใครเลย (ไม่มี)  แปลว่าท่านเกิดมาพร้อมกับขวานในปาก คนพาลชอบทำอะไรเอาแต่อารมณ์ มักจะพูดแต่สิ่งไม่ดีงามและไม่ถูกต้อง
เป็นโอกาสดีที่ได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ เป็นการยากที่จะเชื่ออะไรได้ง่ายๆ ใช่ไหม ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะ ลองสนทนาคุยกันดู เปลี่ยนบรรยากาศจากการฟังอย่างเดียว เป็นการถกธรรมะพูดคุยกันบ้าง ดีไหม (ดี)  แลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันอีกแบบหนึ่ง ได้หรือไม่ (ได้)
ส่วนใหญ่เราเรียนรู้หลักธรรมะ ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดีและคนเก่ง ธรรมะสอนให้เราเป็นคนต้องสำเร็จ ห้ามล้มเหลวใช่ไหม (ใช่)  มีสติคิดหน่อย ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดีเป็นคนเก่ง และต้องเป็นคนสำเร็จเท่านั้นใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าธรรมะ สอนให้เรารู้จักแพ้ก็ได้ เสียก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เมื่อเรียนรู้ธรรมะ ธรรมะสอนให้เราแพ้ก็ได้ ล้มก็ได้ ทุกข์ก็ได้ แล้วทำไมถึงชอบพูดว่าไหว้พระแล้วยังทุกข์ ตกลงธรรมะสอนว่าให้ทุกข์ได้ไหม (ได้)  เป็นคนดีแล้วทำไมยังโดนคนว่า ฉะนั้นเรียนรู้หลักธรรมแล้ว
แพ้ได้ไหม ทุกข์ได้ไหม ล้มเหลวได้ไหม (ได้)
ถ้าเราไปไหว้พระ สะเดาะเคราะห์ ทำสังฆทาน แล้วยังเจอเคราะห์
ก็เป็นเรื่องธรรมดา เราอยากย้ำให้ท่านรู้ในใจ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์มักจะพูดว่า ไหว้พระแล้วทำไมยังมีเคราะห์อีก ไปบวชพระแล้ว
ไปศึกษาธรรมะแล้ว ทำไมยังทุกข์อีก แปลว่า การไปไหว้พระ ไปทำสังฆทานห้ามทุกข์ ห้ามเคราะห์ ห้ามแพ้ ห้ามป่วยใช่ไหม (ไม่ใช่)
  แล้วทำไมเวลาไปไหว้พระหรือไปทำบุญ จะต้องคิดว่าห้ามทุกข์ เพราะธรรมะไม่ได้สอนให้เราหลง แต่ธรรมะสอนให้เรากล้าที่จะเรียนรู้สู้กับความจริงที่เรียกว่า ชีวิต”  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเกิดอยากเรียนรู้ชีวิต จะเป็นไปได้ไหมว่าโลก
ใบนี้ต้องมีแต่ความสว่างห้ามมืด โลกใบนี้นิ้วทุกนิ้วต้องเท่ากัน ห้ามมีสั้น
มียาวได้ไหม (ไม่ได้)
  โลกใบนี้หัวใจคนต้องเท่ากัน ห้ามมีใครใหญ่กว่าเล็กกว่าได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้อย่างนั้นจะเอาอะไรกับความไม่แน่ของชีวิต
ฉะนั้นถ้ารักที่จะมีชีวิตก็ต้องยอมรับความตาย ถ้ารักที่จะอยู่กับคน
ก็ต้องยอมรับการถูกนินทาว่าร้าย ถ้ายอมรับที่จะเสาะหาแสวงหาของ
ในโลก ก็ต้องยอมรับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ถ้ารักที่จะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะเจ็บและทุกข์ ถ้าอยากรักก็ต้องกล้าที่จะเจ็บ ถ้าอยากมีชีวิตก็ต้องกล้าตาย เพราะฟ้าไม่ใช่สว่างแล้วมืดไม่ได้ คนไม่ใช่ดีแล้วร้ายจะไม่มี นอกจากว่าถ้าใจมนุษย์ไม่อยากมีอยากได้จนเกินไป คนใจกว้างก็จะไม่คับแคบหรอก
ถ้าใจมนุษย์ไม่อยากมีอยากได้เกินไป คนใจเย็นก็คงไม่หงุดหงิดง่ายๆ หรอก จริงไหม (จริง)
  ธรรมทั้งหลายล้วนสอนให้รู้ว่า เมื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตแล้ว ทำจนถึงที่สุดแล้ว บางครั้งก็ต้องรู้จักยอมรับและปล่อยวางที่จะเป็นไป ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือร้ายก็ตาม จึงมีคำพูดคำหนึ่งว่า ธรรมทั้งหลาย
ทั้งมวลอยู่ที่การปล่อยวางใจเป็นไหม
ถ้าเอาแต่มีความอยากอยู่ร่ำไป
คนใจกว้างก็พร้อมจะใจแคบ คนใจดีก็พร้อมจะใจร้าย ถ้าเอาแต่อยาก
ตามอกตามใจคนก็คงดิ้นรน ยากจะพบความสุขได้ แต่ถ้ามนุษย์รู้ที่ใช้ชีวิต
ให้เป็น และวางใจให้ดี โลกใบนี้ก็มีที่กว้างพอให้เรายืนอยู่ และโลกใบนี้ก็คงไม่ผูกพันทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีอิสระและหาความสุขไม่ได้
(ต้องปล่อยวาง) ความหมายว่า ถ้าเรารักที่จะมีชีวิตอยู่ อย่าเลือก
ที่รักมักที่ชัง เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิต ย่อมมีได้ มีเสีย มีทุกข์ มีสุข มีเกิด มีตาย ถูกไหม (ถูก)
  อยากมีชีวิต แต่ไม่อยากได้ ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมีความสุข แต่ไม่อยากมีความทุกข์ ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมีแต่รัก แต่ไม่อยากเจ็บปวดในรัก ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากอยู่กับคน แต่ไม่อยากถูกนินทา ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อไม่ได้ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า การเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่แค่เป็นคนดี ไม่ใช่แค่เป็นคนเก่ง แต่เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมแห่งชีวิต และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ถึงเวลาต้องยอมรับผล ไม่ว่าผลนั้นจะดีหรือร้ายก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ คิดว่าทำอะไรแล้วก็ต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องชนะเท่านั้น ต้องดีเท่านั้น ต้องไม่ถูกว่าเท่านั้น อย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นเมื่อทำเต็มที่แล้ว ถูกว่ากล่าว ก็เป็นธรรมะของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แพ้ก็เป็น (ธรรมะ) ของชีวิต ฉะนั้นถ้าทำให้ถึงที่สุด ก็ต้องปล่อยวางใจ อย่าไปยึดจนเกินไป เพราะธรรมะสอนไว้ว่า โลกนี้เป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ครอบครองไม่ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ใดใดในโลกล้วนไม่ควรยึดมั่น
ถือมั่น ถูกไหม (ถูก)
  พอเข้าใจไหม ฉะนั้นหากกลับบ้านไปมืดค่ำแล้วถูกคนที่บ้านว่ากล่าว แล้วจะเสียใจไหมที่มาฟังธรรม (ไม่เสียใจ)
ถ้ารักจะมีชีวิต อย่ารังเกียจความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงคือส่วนหนึ่งของชีวิต และส่วนหนึ่งของชีวิตก็เหมือนกับฟ้า มีสว่าง แล้วไม่มีมืดได้ไหม (ไม่ได้)  มีคำชมแล้วไม่มีคำด่า ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมยังมีคำว่า “ไม่ได้” กับคนอื่นอยู่อีก
คนโบราณคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้าอยากจับไฟ แล้วไม่ถูกไฟแผดเผา
ก็อย่าคิดไปเล่นกับไฟ ใช่ไหม (ใช่)  ไฟไม่แผดเผาใคร ถ้าใครไม่คิดอยาก
ไปจับ ถูกหรือไม่ (ถูก)
  หินไม่คิดทำให้ใครหนัก ถ้าคนนั้นไม่คิดจะยก
ถูกหรือไม่
(ถูก)  ในทางเดียวกัน น้ำเชี่ยวจะไม่ทำให้เรือคว่ำ ถ้าคนไม่คิดอยากจะล่องเรือไปขวาง ใช่ไหม (ใช่)  งูจะไม่มีวันกัดใครถ้าคนนั้น ไม่ไปเบียดเบียนและเกี่ยวกรรมกับมัน ถูกไหม (ถูก)
ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ชีวิตจะไม่ทำให้เราทุกข์ ถ้าเราไม่ยึด ไม่ไปช่วงใช้ ไม่ไปยุ่งยาก ไม่ไปก้าวก่าย แค่ยอมรับในสิ่งที่ต้องเป็นไปเท่านั้นเอง
ถูกหรือไม่ (ถูก) และเรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ถูกหรือไม่ (ถูก) ดังที่เมื่อสักครู่เราบอก ถ้าใจเรากว้างพอก็คงไม่มีใครในโลกใจร้ายหรอก

ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจิตใจเราเย็นพอ ก็คงไม่มีใครทำให้ใจเราวุ่นวายได้หรอก จริงไหม (จริง)  ฟังแค่นี้ยากหรือเปล่า (ไม่ยาก)
ถ้าเราใจกว้างและใจเย็นมากพอ ใครหรือจะดี ใครหรือจะร้าย ไม่มี อะไรเรียกว่า สุขและทุกข์ก็ไม่ปรากฏ แต่จะเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งที่เรียกว่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม ถ้าจริงท่านคงจะไม่มองเห็นโลกนี้ร้ายหรือดีหรอก และจะไม่เห็นโลกเป็นทวิภาวะ แต่ใจของมนุษย์ยังมีสิ่งที่เรียกว่าชอบและชัง เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่าชอบและชัง ก็เลยเกิดคำว่าดีและร้าย ได้และเสีย สุขและทุกข์ แต่เมื่อใดใจเรากว้างจนหาที่สุดไม่ได้ ใจเราวางเฉยกับทุกสิ่งที่ดีร้ายได้เสีย จะมีอะไรที่เรียกว่าดี อะไรที่เรียกว่าร้าย อะไรที่เรียกว่าทุกข์และสุข มีแต่ความจริงที่หมุนเวียนไปตามเหตุปัจจัยอันบริสุทธิ์และยุติธรรมแล้ว แต่บางครั้งพอหมุนเวียนเปลี่ยนไป ทำไมไม่เป็นแบบนั้น แบบนี้ เพราะความอยากมี อยากเป็น อยากได้ เหมือนสักครู่ที่เราบอกว่า ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ จึงทำให้ใจที่กว้างกลายเป็นใจแคบ ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ เลยทำให้คนที่ใจเย็นกลายเป็นคนที่โมโหฉุนเฉียวง่าย
ฉะนั้นถ้าคุมใจได้ก็คุมโลกได้ ถ้ายังคุมใจและทำใจไม่ได้ ก็คุมโลกนี้ไม่ได้ เราก็จะโมโหตายเสียเปล่าๆ เหมือนที่เราพูดเมื่อสักครู่ ไฟจะไหม้มือเราได้ไหม ถ้าเราไม่อยากไปจับหินจะทำให้เราหนักได้ไหม ถ้าเราไม่ไป (ยก)  ฉะนั้นเรื่องราวบางเรื่องจบไปแล้ว ผ่านไปแล้วเสร็จไปแล้ว ทำไปเรียบร้อยแล้ว จะมาแบกทำไมให้หนักใจ จะไปแหย่ไฟทำไม เมื่อรู้ว่าแหย่แล้ว (ร้อน)  จะไปยุ่งทำไม ถ้าไปยุ่งแล้วทำให้ชีวิตยิ่งวุ่น เราจะเบียดเบียนชีวิตใครทำไม ถ้าเราไม่อยากถูกใครเบียดเบียน สัจธรรมชีวิตล้วนเป็นจริงเช่นนั้นตั้งแต่ต้น ถ้าเข้าใจตั้งแต่ต้นชีวิตจะยุ่งยากไหม (ไม่ยุ่งอยาก)  จบไปตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่องเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เราจะสอนให้ท่านเป็นคนที่ไม่สู้ชีวิต แต่เราบอกตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าท่านทำอย่างที่เราพูดไม่ได้ ทำให้ดีที่สุด ถึงที่สุดแล้วยอมรับผล ไม่ว่าผลนั้นจะดีหรือร้าย เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่สามารถควบคุมได้คือ ขณะนี้ตอนนี้ทำให้ดีที่สุด มีธรรมและรักษาศีลให้ดีที่สุด ถึงเวลาวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เหตุและผลปัจจัยที่เป็นไป ฉะนั้นถ้าเราทำแล้วจะไปยกทำไมให้หนัก ถ้าเกิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ก็ยอมรับผลที่จะตามมา ผลจะเป็นอย่างไร ก็ท่านเป็นคนบอกเอง กล้าที่จะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะทุกข์ รักที่อยากจะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะเจ็บ รักที่จะมีชีวิตก็ต้องกล้าที่จะตาย รักที่จะเสี่ยงในการแสวงหาเงินทอง ก็ต้องกล้าที่จะล้มและแพ้เป็น  ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้แค่เป็นคนดี ไม่ได้สอนให้ท่านรู้จักหวังดีกับคน แล้วแพ้ไม่ได้ เสียไม่ได้ ยอมไม่เป็น สู้ไม่เป็น อย่างนั้นไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะสอนให้เป็นคนดีแล้วต้องแพ้เป็น เสียได้ กล้ารับความจริง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยที่หมุนเวียนไปตามความเป็นจริง เราเกิดมาเป็นแค่ผู้อาศัย ไม่ใช่ผู้ที่อยากมีแล้วต้องมีให้ได้
บางทีมีแล้วก็ต้องไม่มีได้ นั่นแหละจึงเรียกว่า
เข้าใจธรรม
ฟังยากไหม (ไม่ยาก)  เพราะชีวิตล้วนมีกฎเกณฑ์ และกฎเกณฑ์
นั่นแหละเป็นสิ่งที่มนุษย์ลืมเลือนไม่ได้ อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะถ้าใจเรากว้าง โลกนี้ก็ไม่น่ากลัว ถ้าใจเราเย็นและนิ่งพอ โลกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ เข้าใจโลกให้เป็น ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)
  ความพลัดพรากเป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เมื่อไม่กลัวก็แสดงว่าพร้อมที่จะเผชิญและรับมือไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหลักของโลกใบนี้ที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ โลกหรือชีวิต หรือทุกสรรพสิ่งล้วนหนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า คนมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความทุกข์เป็นธรรมดา และเมื่อถึงที่สุดแล้วก็มีความตายเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราจึงไม่สามารถยอมรับความเป็นธรรมดานั้นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยากรักชีวิต ก็อย่ากลัวความแก่ เจ็บ ตาย ใช่ไหม (ใช่)
ระหว่าง แก่ เจ็บ ทุกข์ ตาย อะไรเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เมื่อสักครู่เราสอนให้ท่านเรียนรู้และเข้าใจแต่บางครั้งก็ยังอดที่จะกลัวและอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ เพราะว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงจนน่ากลัว แค่เราจงอย่าสร้างกรรมเพิ่ม แต่เกิดมาเพื่อใช้กรรม ซึ่งกรรมจะหมุนไปตามเหตุปัจจัย เมื่อเราถูกกระทบ เรานิ่งเป็น เราสงบเป็น เราก็ไม่ก่อเหตุปัจจัยในการสร้างกรรมเพิ่ม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเราถูกกระทบแล้วเราร้าย เราโมโห เราฉุนเฉียว นั่นคือเรากำลังสร้างกรรมไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราเข้าใจ สิ่งที่มากระทบเป็นแค่เช่นนั้น เป็นแค่เท่านั้น แล้วเราจะก่อเกิดกรรมไหม (ไม่)  แต่เราจะเกิดมาเพื่อจบกรรม เมื่อจบกรรมแล้ว สิ่งที่เราดำเนินชีวิตก็คือการไม่สร้างกรรมเพิ่ม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อถูกกระทบแล้วเรานิ่งได้ไหม (ไม่เคยนิ่งได้เลย) อย่างนี้เรียกว่า ทำเวรให้ยืดเยื้อหรือ
ที่เรียกว่าจองเวรจองกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)
ไม่มีใครร้ายที่สุดถ้าเรามองให้กว้าง ไม่มีใครแย่ที่สุดถ้าเรามองให้ไกล และไม่มีใครดีที่สุดจนทำให้เราหลง ถ้าเรามองให้มากกว่าที่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่มีใครดีที่สุดแล้วเราจะรักใครไหม เมื่อไม่มีใครแย่ที่สุดแล้วเราจะเกลียดใครไหม เมื่อไม่เกลียดใครแล้วเราจะด่าใครกลับไหม เมื่อไม่ด่ากลับแล้วเราจะจองเวรจองกรรมไหม (ไม่)  ก็จบแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะทำอย่างไรเมื่อถูกกระทบจึงสามารถทำให้เรานิ่งและรู้ให้ทัน
เบื่อฟังเราหรือยัง เรายกตัวอย่างง่ายๆ มีนิทาน เราเปลี่ยนเป็นนิทานเผื่อจะทำให้ท่านตื่นนะ มีผู้ชายคนหนึ่งออกจากบ้านไปทำงานทุกวันๆ แต่ทุกวันที่ออกจากบ้านเขาเดินผ่านทางสายนี้ ซึ่งผ่านทางสายนี้จะมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งออกมาทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน แล้วก็ด่าเขา ด่าๆ ด่าจนเขาเดินลับหายไป วันแรกเขาก็งงไม่เข้าใจ ฉันทำผิดอะไรนะแค่เดินผ่านถนนสายนี้
มาว่าฉันจังเลย โดนว่ามาสิบวันทนไหวไหม
(ไม่ไหว)  แค่วันแรกก็ไม่ไหวแล้วใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านคงหันไปตะบันหน้าแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่รู้ไหมพอคนนี้จะวิ่งไปตะบันหน้าเขา ชายคนนี้ก็หนีทุกที และก่อนจะหนียังหัวเราะสะใจที่ว่าได้แล้ว จนกระทั่งผ่านไปเป็นเดือนเขาก็ยังไม่สามารถจัดการกับคนๆ นี้ได้ เขาก็คิดในใจว่า ทำไมต้องว่าฉัน ฉันทำอะไรผิด ฉันก็แค่เดินถนนสายนี้ธรรมดาแต่มีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อนบ้านเดินมาบอกว่า
อย่าไปถือสาคนนั้นเขาเป็นคนบ้า เชื่อไหมว่าทุกข์ที่เขาแบกมาตั้งแต่ตอนโดนว่าจนกลับบ้านก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องว่าฉัน มันหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะอะไรหรือ เพราะเราไม่ถือสาคนบ้าใช่ไหม
(ใช่)
เหมือนกันถ้าเราเข้าใจโลกอย่างคนรู้ชัด แต่ไม่ใช่มองทุกคนเป็น
คนบ้าหมดนะ แต่ถ้าเรารู้ชัดสิ่งที่เราโดนว่ามา หรือแบกมามันจะจางหายไปทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาปลอบปะโลมใจ มาแก้ไขอะไรในใจ มันจะปล่อยทิ้งไปได้ทันทีเพราะเราเห็นชัด อย่าไปถือเลย เขาไม่เต็ม เขาบ้าใช่หรือไม่ (ใช่)
  แต่ตอนนี้ใครล่ะกำลังบ้าถือเอาไว้เต็มหัวใจ ถูกไหม (ถูก)  ในเมื่อมันเป็นแค่นั้น เท่านั้น โกรธแล้วได้อะไร น้อยใจแล้วมีอะไรดีขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้ารักที่จะมีชีวิตอย่ากลัวโดนว่า รักจะมีชีวิต และเสี่ยงกับการใช้ชีวิตอย่ากลัวพ่ายแพ้ รักที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้เป็นอย่ากลัวความผิดพลาดล้มเหลว เพราะนั่นคือความจริงหรือเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นคน ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ทุกข์นั้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้เข้าใจแล้วเกิดความเบิกบานใจ
นั่นจึงเรียกว่ารู้และเข้าใจธรรม ใช่หรือไม่
รักจะเข้าใจชีวิตอย่ากลัวความตาย เพราะความตายบางทีอาจทำให้เราได้พักผ่อนชั่วนิรันดร หรือบางทีความตายอาจจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงจากรูปลักษณ์หนึ่งเป็นอีก รูปลักษณ์หนึ่ง กลัวความเจ็บป่วยไหม (กลัว)  อย่ากลัว เพราะความเจ็บป่วยเป็นตัวบ่งบอกให้เรารู้ว่า
เรากำลังทำร้ายร่างกายอย่างผิดๆ ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่เตือน
ดีกว่า
ไม่เจ็บแล้วตายเลย น่ากลัวกว่านะ
ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ได้สอนให้แค่เป็นคนดี คนเก่ง
แต่การเรียนรู้หลักธรรมคือ การสอนให้เข้าใจชีวิต และสู้ชีวิตเป็น แพ้ได้ ล้มได้ ทุกข์ได้ แต่อยู่กับทุกข์ อยู่กับความแพ้ และอยู่กับการผิดพลาด ด้วยความความเข้าใจและเบิกบาน ใจสู้ซะอย่างอะไรก็ไม่น่ากลัว
กลัวอย่างเดียวคือใจไม่สู้
วันนี้มาเรียนรู้วิชาธรรมะเพื่อเข้าใจชีวิต ก่อเกิดปัญญา ไม่ใช่มาเรียนรู้ธรรมะแล้วให้เหงาเศร้าตรม มนุษย์มักจะพูดว่า เวลาอยู่ในห้องพระ ถ้ายิ่งอยู่แล้วยิ่งสดชื่น กระจ่าง สว่าง สงบ นั่นแปลว่าเดินถูกทาง แต่ถ้าอยู่ในห้องพระแล้วหม่นหมอง หดหู่ ห่อเหี่ยว แปลว่าเรากำลังปล่อยให้
พญามารครอบงำแล้ว
ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก อย่าคิดแค่เพียงว่าหวังดี ปรารถนาดี
แต่บางครั้งความหวังดี ความปรารถนาดี แต่ถ้าไม่ถูกที่ถูกทางและ
ไม่ยอมรับความจริง
  ความหวังดีความปรารถนาดีก็ทำให้เกิดทุกข์ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำคำพูดคำหนึ่งที่เรากล่าวไว้ดีๆ ว่า ไฟไม่ทำให้มือใครพองหรือ เจ็บปวดถ้าเราไม่คิดที่จะไป (จับ)  หินไม่ทำให้ใครหนักถ้าเราไม่คิดที่จะ (ยก, แบก)  น้ำเชี่ยวไม่ทำให้เรือใครคว่ำถ้าเราไม่คิดที่จะ (ขวาง) และงูก็ไม่คิดที่จะมาเบียดเบียนหรือทำร้ายเราถ้าเราไม่คิดที่ไป (ทำร้ายเขาก่อน)  ฉะนั้นถ้าขึ้นชื่อว่าอยากใช้ชีวิตก็จงอย่ากลัวความจริง เพราะความจริงของชีวิตล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน แต่ที่เรียกว่าดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ล้วนเป็นเพราะมนุษย์สมมติกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นแค่สิ่งสมมติ ซึ่งเราเป็นเพียงแค่ผู้อาศัยยืมสิ่งสมมติมาใช้ ฉะนั้นชีวิตไม่ได้บอกให้ท่านเกิดมาเพื่อทุกข์ แต่ชีวิตสอนให้เราเรียนรู้ทุกข์และเข้าใจทุกข์ด้วยความเบิกบาน นี่จึงเรียกว่า พุทธะ
ถ้าดอกไม้กลัวที่จะเหี่ยวก็คงไม่กล้าที่จะเบ่งบาน ถ้ามนุษย์กลัวความทุกข์และกลัวการมีชีวิตก็คงอยู่บนโลกนี้ได้ยาก ฉะนั้นถ้าอยากมีชีวิตก็จงอย่ากลัวทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าทุกข์แล้วต้องทน แต่ความทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทนได้ยากแล้วจะทนทำไมให้ทุกข์ขัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ความทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วทำไมเวลาเป็นทุกข์แล้วต้อง
ทุกข์ทนแล้วปล่อยให้ทุกข์ขัง ในเมื่อสรรพสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ใจเราไม่ยอมเปลี่ยนตามหรือเปล่า ยังจมอยู่กับความหวังและความต้องการเดิมๆ หรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นโลกเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน ก็จงมีสติและรู้จักยั้งคิดและมองให้เห็นความเป็นจริง เราจะได้ไม่ถูกโลกนี้ทำให้เจ็บปวด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราขอตัวกลับได้ไหม ฟังมาก็เยอะแล้ว ถึงเวลาก็แค่ลงมือปฏิบัติให้จงได้เท่านั้นเอง เราบอกท่านแล้วนะ ถ้าหัวใจเรารู้อย่างแจ่มชัด ไม่มีอะไรเรียกว่าทุกข์และสุข ไม่มีอะไรเรียกว่าน่ากลัวและเจ็บปวด แต่เพราะเรายังไม่รู้ชัดและยังไม่เข้าใจตน จึงมีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ สุข และความเจ็บปวด
คนในโลกหรือชะตาชีวิตในโลกเป็นคนบ้าหรือเราที่บ้ากันแน่
อยากมีชีวิต
ก็ต้องกล้าที่จะรับความจริง
ถ้าอยู่กับคนยังไม่พ้น แล้วจะพ้นธรรมและโลกได้หรือ ไม่มีทาง ต้องอยู่กับคนจนกระทั่งเข้าใจ จนสามารถพ้นคนได้ ถึงจะพ้นโลกได้และเข้าถึงธรรมได้ แต่ถ้าอยู่กับคนแล้วยังไม่เข้าใจ จะค้นหาธรรมและเข้าถึงโลก เป็นไปไม่ได้หรอก ฉะนั้นจงสู้ชีวิตนะ ดอกไม้ไม่กลัวที่จะ
เบ่งบาน ไม่กลัวที่จะเหี่ยวเฉา
เกิดเป็นคนเมื่อเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกให้เป็น อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความพลัดพราก
จงเปลี่ยนแปลงด้วยหัวใจที่สู้
ไม่มีอะไรน่ากลัวและไม่มีอะไรเลวร้าย ถ้าใจเราเรียนรู้ที่จะสู้ให้เป็น และยืนให้ได้เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ ขอให้เข้าใจทุกข์ จนเกิดความเบิกบาน มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีก




วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘   สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมต้องเทียวทำให้คล่องมือ   ความยึดถือต้องเทียวละให้หดหาย
เทียวไปมาตัดก็คล้ายเพิ่มก็คล้าย         แล้วเมื่อไหร่ศิษย์จะพ้นได้แท้จริง
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา                         ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

ในความศรัทธา ศรัทธามากมากจำเป็นหนักหนา ศิษย์อย่าลืมเรียนธรรมคืออะไร เพราะเข้าใจเท่าไหร่ไม่พอ ไม่ว่าศรัทธา ที่มีล้นใจเนื่องด้วยเหตุใด แต่จงบำเพ็ญปัญญาศรัทธาอย่างไร รู้แล้วทำได้หมดยิ่งดี
อย่าโทษฟ้าว่าดินโทษโชคชะตา ที่ได้เกิดมา อย่าโทษคนโทษใครใครเป็นอย่างไร ก็ไม่ต่างกัน เห็นคำตอบที่จริงรู้จักตัวเอง ปัญหาเดิมหายไป
* แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะทำดีโดยไม่รอใครชม แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะบำเพ็ญโดยไม่เจืออารมณ์ เมื่อใดสั่งสม สำนึกด้วยใจ คนที่ชนะตัวเอง
ถ้าเจ้าไม่เพียรทำมาทำไปเปลี่ยนใจ อาจารย์ก็น้ำท่วมปาก
(ซ้ำทั้งเพลง, ซ้ำที่ขีดเส้นใต้, * , ซ้ำที่ขีดเส้นใต้)

ทำนองเพลง : หลงตัวเอง



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กินอิ่มและฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็จะเป็นชูชกที่กินไม่มีวันอิ่ม
ถูกหรือเปล่า
(ไม่ถูก)  อย่างนั้นฟังธรรมอิ่มหรือยัง (ยัง)  อย่างนี้ก็เป็นคนโลเลคบไม่ได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลับไปกลับมา อย่างนี้ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ตกลงตอนนี้อิ่มหรือไม่ (อิ่ม)  อะไรอิ่ม (กินอาหารอิ่ม)  แล้วมาฟังธรรมะ
อิ่มไหม (ไม่อิ่ม)
  คนฉลาดต้องรู้จักพลิกแพลง ต้องบอกว่าไม่ได้อิ่มท้องแต่อิ่มใจ แปลว่าใจนี้ยังเติมได้อีกใช่ไหม (ใช่)
มีคำพูดหนึ่งที่มนุษย์มักจะพูดว่า ใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง”  แต่อาจารย์ก็แปลกใจอย่างหนึ่ง ใจของมนุษย์บางครั้งก็ตื้นเขินจนน่าตกใจ
พอบอกว่ารับไม่ได้ นิดหน่อยก็รับไม่ได้ พอบอกว่าไหวอย่างไรก็ไหว อย่างนั้นตกลงว่าใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง หรือตื้นเขินจนน่าตกใจ แล้วแต่อารมณ์ใช่หรือไม่ อารมณ์ดีอะไรก็ไหว อารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยอะไรก็ไม่เอา ศิษย์
รู้ไหม ถ้าศิษย์สามารถคุมใจได้ รู้ใจทัน แปลว่าเรื่องราวข้างนอกจะเป็นอย่างไร ศิษย์ก็สามารถพลิกซ้ายพลิกขวาได้ ไม่ว่าโลกจะพลิกไปอย่างไร แต่ถ้าเรารู้ใจตัวเองและคุมใจตัวเองได้ ไม่ว่าอะไรจะมาเราก็สามารถรับได้
  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การแปรเปลี่ยนโลก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรู้เท่าทันใจไหม ถ้าโลกเกิดอะไรขึ้น เรารู้เท่าทันใจ เราก็สามารถว่างได้ อะไรๆ มา
เราก็ไหว แต่ถ้ามีบางเรื่องมาถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเราก็รับไม่ได้ อะไรที่ทำให้เราเรียนรู้และสามารถควบคุมใจเราได้ อะไรเราก็ควบคุมได้ เราก็รู้วิธีการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่รู้วิธีการ และไม่เคยควบคุมอยู่คือ (ใจ)
  กลับกันถ้าวันหนึ่งเราควบคุมใจได้ เราดูแลใจตัวเองเป็น ไม่ว่าโลกจะเป็นแบบไหนเราก็จัดการได้ จริงไหม (จริง)  ไม่ว่าจะร้ายดีอย่างไร ถ้าเรารู้ใจตัวเองและควบคุมใจได้
ก็เปลี่ยนแปลงได้
(พระอาจารย์เมตตา ยกสับปะรดและที่รองขึ้นมา)
ในทางกลับกันถ้าอาจารย์ว่าอันนี้ละ เอาไหม (เอา)  ถ้าให้สองอันนี้จะเอาอันไหน บางคนบอกว่าเอาทั้งคู่เลย ใช่หรือไม่ อาจารย์ขอถามนะ
ถ้าบางครั้งชีวิตเจอเรื่องหนักขนาดนี้คุมใจได้รู้ใจทัน เรื่องหนักก็กลายเป็นเรื่อง (เบา)
  ถ้าชีวิตเจอเรื่องเบาขนาดนี้คุมใจไม่ได้ คุมใจไม่ทันก็จะกลายเป็น (หนัก)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิชาอะไรที่สอนให้เรารู้จักคุมใจ
แล้วในทางกลับกัน ถ้าเกิดว่าสับปะรดคือความทุกข์ และสับปะรดคือความสุข ถ้าเรารู้จักคุมเป็น คุมใจได้ รู้ใจทัน ทุกข์จะกลายเป็นทุกข์ไหม แล้วสุขจะเปลี่ยนเป็นทุกข์ไหม (ไม่)  ฉะนั้นเรารู้และเก่งเรื่องข้างนอกเยอะ เรารู้จัดการเรื่องข้างนอกได้เป็น แต่ทำไมชีวิตเรา ใจของเรา เรากลับรู้
ไม่เป็น จัดการไม่ได้ ฉะนั้นแปลว่าเป็นคนสำเร็จกับการดำเนินชีวิตหรือเก่งข้างนอกแต่ขาดข้างใน ส่วนใหญ่มีข้างนอก แต่บกพร่องข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)
  ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์สามารถเรียนรู้วิชานี้ได้ ทุกข์ก็จะไม่กลายเป็นทุกข์ สุขก็จะไม่แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ ถ้าเรารู้จัก รู้ใจ คุมใจได้เป็น ถูกไหม อย่างนั้นใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยว่าวิชาอะไร อย่าบอกนะว่าวิชามาร
(การฝึกใจ)  อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าศิษย์ตอบผิดก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ตอบถูกก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อย่างนี้เอาไหม (เอา ยินดี)  อาจารย์ว่าไม่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่ง วิชาธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์จะตอบว่าวิชาอะไร (วิชาการดำเนินชีวิต)  แล้ววิชาไหนที่สอนการดำเนินชีวิต ถ้าเป็นทางโลกก็สอนให้รวย ให้เก่ง ให้สำเร็จ แต่วิชาของอาจารย์นี้ สอนให้จน สอนให้ล้มเหลว สอนให้พ่ายแพ้ เอาไหมวิชานี้ (เอา)  เอาดีไหมศิษย์ (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ย คนในโลกหากไม่โง่ก่อนแล้วจะฉลาดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  จะเอาแต่สำเร็จแล้วแพ้ไม่เป็นก็ลำบาก จริงไหม (จริง)  เอาแต่ได้ไม่เคยเสีย มีที่ไหน ก่อนจะลงทุนอะไรมันก็ต้องเสียก่อนแล้วจึงจะได้ ไม่ใช่หรือ (ใช่)  ก่อนศิษย์จะชนะเขา ศิษย์ต้องรู้แพ้ให้เป็นก่อนไม่ใช่หรือ (ใช่)  แล้วมีใครในโลกที่ชนะอย่างเดียวแล้วไม่เคยแพ้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ แล้วมีใครไหมในโลกนี้ที่เกิดมาฉลาดแล้วไม่โง่ มันต้องโง่ก่อนแล้วจึงจะฉลาด ใช่ไหม (ใช่)
(วิชาการบำเพ็ญภายในและการปฏิบัติภายนอก ใช้ความเมตตาธรรม ที่จะทำให้ทุกข์ที่มากมาย ถ้าเรามองดูแล้วก็สามารถที่จะสบายดีได้ ถ้าเรามีเมตตาธรรม แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าเดรัจฉาน ถ้าเรามีเมตตา แม้กระทั่งเสือ
ก็สามารถที่จะอยู่กับเราได้)
  วิชาแห่งการปฏิบัติหรือวิชาแห่งคุณธรรม
ใช่ไหม (ใช่)
  มนุษย์ชอบเรื่องความดี ชอบการพูดดี ชอบคนทำอะไรดีๆ ให้ แต่เมื่อถึงเวลาเมื่อสัมผัสกับตัวเองก็ไม่เห็นใครทำเลย แปลกจริง แล้วเมื่อถึงเวลาจริงๆ เราเมตตาไหม (เมตตา)  จริงหรือ เมตตาที่แท้จริง ต้องเมตตาแม้กระทั่งคนที่เป็นศัตรูเรา หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตก็ยังต้องธำรงรักษาไว้ซึ่งเมตตาธรรม ไม่ใช่เสียเมตตาแล้วรักษาชีวิต อย่างนั้นไม่อาจเรียกว่า
คนเมตตา ถูกไหม
(ถูก)
ยังไม่รู้จักอาจารย์เลย มารู้จักชื่อเสียงอาจารย์กันก่อนดีไหม (ดี)  เข้าบ้านไม่แนะนำตัวก็เหมือนไม่มีจริยธรรมที่ดีงาม เข้าบ้านใครไม่รู้จักเคารพให้เกียรติเจ้าของบ้านก็รู้สึกว่าบกพร่องในจริยธรรม อาจารย์ขอแนะนำตัวก่อนนะ เราคือ จี้กง รู้จักเราหรือยัง ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม (สบายดี)  มีคนแอบลักไก่นะ หลายคนเลยมาเฉพาะวันนี้เพื่อจะได้เจออาจารย์
วิชาแห่งธรรม ธรรมที่สอนให้มีสติ ทำอะไรให้มีสติยั้งคิด มีสติพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริง วิชานี้ถ้าศิษย์ฝึกไว้ก็จะสามารถรู้ใจควบคู่ใจ และเป็นนายของใจเราได้ แต่โดยปัจจุบันนี้มนุษย์มักจะปล่อยตัวเองไปตามกระแสของอารมณ์และกิเลส สิ่งที่ได้ก็เลยกลายเป็นทุกข์ ตัวตนความยึดมั่นถือมั่น อัตตาทิฐิ จึงทำให้ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่เคยเห็น ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเห็นแต่นิสัยตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขังตัวเองอยู่อย่างนั้นทุกวัน ฉะนั้นถ้าเราจะปฏิบัติธรรมก็เพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นตัวตน เราจะต้องทำอย่างไร ในการปฏิบัติธรรมเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติแล้วกลับยิ่งเป็นตัวตนขังตนเอง
(ปฏิบัติเพื่อคืนสู่ธรรม)  แต่อาจารย์เห็นยิ่งปฏิบัติยิ่งเห็นแต่ตัวตนทั้งนั้นเลย ก่อนที่เราจะเข้าถึงความยากตรงนี้ หรือจะเอายากก่อนแล้วค่อยไปง่าย ง่ายก่อนแล้วค่อยไปยาก เอาแบบไหนดี (ยากก่อนแล้วค่อยไปง่าย) กินขมก่อน ขมยังกลืนลง หวานต้องคายทิ้ง ศิษย์เคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหมว่า เมื่อใดที่มนุษย์หมดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หมดจากความศรัทธาในอารมณ์รู้สึกแห่งจิตใจ เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่มีในโลกอาจารย์พูดใหม่นะ เมื่อใดที่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหมดสิ้น เมื่อใดที่ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนหรืออารมณ์จางหาย ไม่มีกิเลสที่เรียกว่าตัวตนหรือจิตใจให้วิ่งตามแล้ว เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่ปรากฏในโลกใบนี้ เพราะเรายัง
ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อมีตัวตนจึงเรียกว่าความสุข ความทุกข์ ดีและร้าย

แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์เราสามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน คลายจากการตามอารมณ์วิ่งตามกิเลสตน เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่มีบนโลกใบนี้ ยากขึ้นไปอีก เมื่อใดที่เราโดนอะไรกระทบ โดนอะไรกระแทก แล้วเห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ ไม่เกิดตัวตนว่าทำไมทำฉัน ทำไมว่าฉัน ด่าฉัน อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มี แต่กลับกลายเป็นวางเฉย สงบ ไม่มีตัวตนทั้งโลกนี้ ไม่มีตัวตนทั้งโลกหน้า เมื่อนั้นแหละศิษย์เอ๋ย คนที่อยู่บนโลกแล้วสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ยากไหม
(ไม่ยาก)
  โดนกระทบแล้วไม่กระแทกกระเทือนไปที่ใจหรือเจ็บใจ โดนกระทบแล้วไม่ด่า ไม่แค้นเคืองใจ การที่โดนกระทบนั้นเป็นผลดีเพราะได้ชดใช้กรรม
วางเฉยนิ่งแล้วเข้าใจ เห็นโลกชัดแจ่มแจ้งแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าตัวตน ล้วนหนีไม่พ้นกรรม กรรมดี หรือกรรมชั่ว และนั่นก็ยังไม่พ้นวิบากกรรม ฉะนั้นไม่ว่าดีหรือชั่วก็ยังเป็นวิบากกรรม แม้จะโดนตีแล้วจะคิดว่าดี
ก็ยังยึดติด แต่ถ้าบอกว่า ช่างมันเถอะ แค่นั้นก็จบแล้วก็ปล่อยวาง แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น โดนตีเสร็จ เขาตีฉันทำไม ทำไมเขาต้องตี เดี๋ยวต้องมีเรื่องกันหน่อย ไม่ยอมแล้ว มันก็จะกลายเป็นอารมณ์ พอเป็นอารมณ์เสร็จมันก็จะกลายเป็นเคืองแค้น พอเคืองแค้นเสร็จมันก็จะกลายเป็นจองเวรจองกรรม พอจองเวรจองกรรมเสร็จมันไม่ยอมความ แล้วก็เก็บเอาไว้ในใจ จิตก็เลย
ไม่ใส จิตก็เลยหนัก จิตก็เลยขุ่น ตัวตนก็เลยเกิดมี ใช่ไหม (ใช่)
  แต่ถ้าทุกวันเกิดแล้วจบ เกิดแล้วจบ ชีวิตจึงมีแค่ขณะนี้ที่ผ่านมาใช้กรรม จบกรรม
ไม่สร้างกรรมต่อ เอาไหมศิษย์ (เอา)
  อย่างนั้นกระทบแล้วไม่กระเทือน
ได้ไหม (ได้)
  ก็แน่ล่ะไม่ได้ตีศิษย์นี่ ใช่ไหม (ใช่)
แต่คำว่านิ่งเฉยของอาจารย์ไม่ใช่แปลว่าขาดสูญ ไม่สนใจพระอิฐ พระปูน พระพรหม ไม่ใช่นะ ใครก็ไม่เอาไม่ใช่อย่างนั้น จะมีอยู่อย่างหนึ่ง
ที่เรียกว่าปฏิบัติเข้าถึงธรรม และบำเพ็ญกุศลชดใช้หนี้กรรม นั่นต้องไป
ทีละก้าว ทีละก้าว หรือในหนึ่งก้าวก็สำเร็จได้ ว่าอย่างไร ไปไหม (ไป)
  เอาไหมวิชานี้ (เอา)  ยังอยากทุกข์ไหม (ไม่อยากทุกข์)  อย่างนั้นศิษย์จำไว้นะ เมื่อใดที่มนุษย์คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ไม่วิ่งตามกิเลสอารมณ์แล้ว เมื่อนั้นทุกข์สุขไม่มีในโลกนี้ เมื่อใดโดนกระทบไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางปาก ทางตัวตน เห็นก็สักแค่เห็น รู้ก็สักแค่รู้ ไม่ก่อเกิดอารมณ์เกี่ยวพัน ไม่ก่อเกิดอารมณ์จองเวรจองกรรม ไม่ก่อเกิดกรรมดี กรรมชั่ว เมื่อนั้นศิษย์จะเป็นผู้ที่สิ้นทุกข์ได้ในชาตินี้ และเดี๋ยวนี้ ถ้าโดนกระทบ ศีลครบแล้ว ทำในความเป็นคนสมบูรณ์แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจางหายแล้ว
แม้จะตายตอนนี้ก็ไม่เสียดาย ตีให้ตายก็ไม่เสียดาย เพราะทำถึงแล้ว
ศีลงดงามแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไม่มีอีกแล้ว ไม่ต้องชาติหน้าศิษย์ เอาเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย เอาไหม (เอา)
  ศีลถึงหรือยัง (ยัง)  คุณธรรม
ความเป็นคนถึงหรือยัง
(ยัง)  แล้วจะไปได้อย่างไรล่ะ โดนกระทบเมื่อไรกระแทกกลับทุกทีเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อเราโดนกระทบ จำไว้นะศิษย์ ขอให้เรานิ่ง เขาจะให้ทุกข์เรากี่ครั้ง จะให้เราเจ็บขนาดไหน จำไว้ว่าเราจะต้องเอาธรรมให้ปรากฏ เราจะต้องรักษาธรรมให้ดำรงอยู่ ตัวฉันจะตายไม่เป็นไร แต่ธรรมต้องให้คงอยู่ ตัวฉันจะเจ็บไม่เป็นไร แต่ฉันต้องมีศีลอยู่ ถ้าทำได้ขนาดนี้แม้ไม่ได้ไหว้พระ พระก็มารับเราไป ถ้าแม้เราไหว้พระ แต่พอเราโดนกระทบเราก็ด่า เกลียด และแช่งเขา แม้ไหว้พระทุกวันพระก็ไม่เอา ถ้าศิษย์อยากเรียนจึงต้องรู้จักมีสติและนิ่งให้ได้เมื่อโดนกระทบ อย่ามัวแต่ปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์ ยิ่งตามอารมณ์สิ่งที่ได้คือ ตัวตนขังตน”  หรือที่พระพุทธะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กองทุกข์”  ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ใครรัก หลง บำรุงบำเรอส่วนนี้
คนนั้นก็คือคนที่อยากกอดกองทุกข์ และอยากมีทุกข์ไปจนวันตาย
ไปยากแล้วมาง่ายๆ ต่อดีไหม (ดี)  ยากแล้วทำได้ไหม (ได้)  ได้หรือ ถ้าได้แล้ว อย่างนั้นสิ่งที่ง่ายๆ ก็คงไม่ต้องพูดแล้ว ใช่ไหม (จะพยายาม)
ไม่ต้องพยายามแล้ว แต่ต้องทำให้ได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เราก็สามารถสำเร็จได้ในตอนนี้และขณะนี้ทันที ถูกไหม (ถูก)  แต่เราจะรู้ชัดเห็นแจ้งจนสามารถคลายความยึดมั่นได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ยาก ถึงบอกว่ารู้แล้วไม่หลงเรียกว่า อริยะหลงแล้วไม่รู้เรียกว่า ปุถุชน
ทำไมเราจึงหลง เพราะเราไม่รู้ชัด แต่ตอนนี้ศิษย์รู้ชัดแล้วว่าสิ่งที่ศิษย์รักสิ่งนี้ นั่นคือกองทุกข์ หรืออาจารย์เรียกอีกอย่างหนึ่งให้น่ารังเกียจมากขึ้น ก็คือ ถุงขี้เพราะออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก)  ออกจากตาเรียกว่า
(ขี้ตา)
  ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู)  ออกจากผิวเรียกว่า (ขี้ไคล) แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ถุงขี้หรือ
พระพุทธะเรียกว่า ถุงหนังที่มีทวารทั้ง 9” พระพุทธะเรียกไพเราะ ส่วนอาจารย์ขอเรียกว่าถุงขี้ก็แล้วกัน ออกจากเราก็เป็นขี้ปากแล้ว ออกมาจากตาก็เรียก ขี้ตา แล้วเราหลงไหมกับถุงใบนี้ (หลง)  หลงนะ วันๆ ต้องบำรุงบำเรอถุงขี้ คิดไว้เสมอเมื่อไรที่มองกระจกเหมือนกำลังมองถุงขี้ โปะแป้งให้กับถุงขี้ กำลังฉีดโบท็อกซ์ให้กับถุงขี้ กำลังชื่นชมถุงขี้ แล้วรักถุงขี้ตัวเองไม่พอ ยังไปหาถุงขี้มาเป็นเพื่อน แล้วยังยอมที่จะผลิตถุงขี้เพิ่ม เราควรรักหรือ อาจารย์พูดแรง แต่ถ้าอาจารย์พูดไม่แรง ศิษย์ก็ยึดไม่ปล่อย
จำไว้เลยนะศิษย์ ร่างกายนี้วันหนึ่งก็ต้องตาย แล้วศิษย์จะตายก่อนหรือว่าจะตายก่อนตาย
(ตายก่อนตาย)   แต่ทำไมตัวตนของเราจึงต้องยึดติดในสังขารนี้ อย่างตัวเรานี้วางไม่ลง โดนตบที ก็เจ็บ โดนด่าที ก็เจ็บ แต่จริงๆ เจ็บที่ไหน (เจ็บที่ใจ)  ไม่ใช่ติดตรงที่เรายึด ถ้าเราไม่ยึดจะเจ็บไหม เพราะว่าจบไปแล้ว เพราะเขาด่าก็จบไปแล้ว แต่ใจศิษย์นั้นไม่เจ็บ (ยึดมั่นถือมั่น)  ใช่ทั้งที่จบไปแล้ว ผ่านไปแล้ว แต่เรายังเกี่ยวไว้ก่อน แล้วว่างๆ ก็มานั่งเล่น อาจารย์บอกเสมอ เมื่อด่าเขาก็เป็นขี้ปาก แล้วเราเก็บเอาขี้ปากมาไว้ในใจไหม เมื่อจำไม่ลืมก็แสดงว่าเอาขี้ปากเขามาใส่ไว้ในใจ แล้วว่างๆ ก็เล่นขี้ โมโหมากๆ ก็เอาขี้ปาใส่หน้า หรือบางทีอัดอั้นก็เอาขี้ไปแบ่งเพื่อน ทำไมนิสัยอย่างนี้นะ นิสัยก็ไม่ได้ดีกว่าฉันเท่าไร แกว่าไหม เล่นขี้กันมันเลย
แล้วเป็นเรื่องจริงไหม แล้วเรายังทำไหม (ทำ) ฉะนั้นคิดให้ดีๆ เพราะสิ่งที่ออกจากปากเราจะออกไปได้สองอย่างคือ กรรมดีกับกรรมชั่ว หนีไม่พ้นวิบากกรรม วัฏจักรแห่งการเวียนว่าย เราจะหยุดกรรมอย่างไร ซึ่งเรียกว่า เป็นกรรมที่ก่อเกิดการเวียนว่ายต่อไป
อาจารย์ถามหน่อย ศิษย์เอ๋ยอยู่บนโลกนี้เป็นคนดีแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทั้งดีทั้งชั่วไม่เหนื่อยทั้งคู่เลยหรือ เหนื่อยไหมเป็นคนดีในโลก
ใบนี้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
  เหนื่อยอะไร ทำแล้วไปยึดมันก็เลยเหนื่อย
ทำแล้วหวังผลมันก็เลยหนัก แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึด ไม่หวังผล จะเหนื่อยจะหนักอะไร จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น ถ้าทำแล้วไม่ยึด ไม่แบกมันจะเหนื่อยจะหนักอะไร แต่เราทำแล้วต้องได้หน้า ทำแล้วถ้าเสียหน้าไม่ทำ อย่างนี้เรียกว่าทำแบบยึดติด อย่างนั้นเรามาดูกัน ศิษย์บอกว่าอาจารย์เป็นคนดีเหนื่อย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า การเป็นคนดีในโลกไม่เหนื่อยถ้าเราไม่ยึดติด แล้วมีอีกอันหนึ่ง อาจารย์เป็นคนดี บางครั้งศิษย์อาจถามอาจารย์ว่า อาจารย์ทำไมต้องเป็นคนดี เกิดเป็นคนดีบ้าง ชั่วบ้าง จะเป็นไร จริงไหม (จริง)
  ไหนใครเห็นด้วยกับอาจารย์ในคำนี้บ้าง อาจารย์ทำไมต้องเป็นคนดี ถ้าดีตลอดก็เหนื่อย ดีบ้างชั่วบ้าง ไม่เห็นเป็นไรเลยอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  สามวันดี สี่วันไข้ หรือสามวันดี อีกห้าหกวันไม่ดีเลย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่อาจารย์ ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราก็เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดหนึ่งที่พระพุทธะกล่าวไว้ไหม ธรรมย่อมรักษาผู้ที่บำเพ็ญประพฤติธรรม ผู้ที่สามารถปฏิบัติได้ดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมเป็นสุขทั้งยามหลับและยามตื่นเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม อย่างนั้นแปลว่าถ้าอยากมีความสุขก็ต้องประพฤติธรรม ถ้าอยากมีความทุกข์ก็ต้องปฏิบัติชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้ ถ้าเราไม่อยากเป็นคนดี สิ่งที่ศิษย์วิ่งหาอีกอันหนึ่งก็คืออยากเป็นคนที่มีสุข ทำอะไรก็ได้อาจารย์ขอให้ได้สุขอย่าทุกข์ แล้วเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เพราะพยายามสุขแล้วไม่ทุกข์นั้นยาก แต่พระพุทธะก็ชี้บอกไว้ว่า ประพฤติดีแล้วย่อมเป็นสุขทั้งยามหลับยามตื่น แล้วเราเลือกประพฤติดีไหม (ดี)  ก็ยังดีบ้างไม่ดีบ้าง
มนุษย์ถ้าปฏิบัติดีก็จะเรียกว่ากรรมดี ถ้าปฏิบัติชั่วก็จะเรียกว่ากรรม (ชั่ว)  กรรมดีกับกรรมชั่ว แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่สามวันมีกรรมดี สี่วันมีกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะศิษย์มักจะบอกว่า ศิษย์พยายามจะปฏิบัติดี แต่เมื่อปฏิบัติดีแล้วมันไม่ได้ดี ศิษย์จึงเหนื่อยใจแล้วก็ไม่อยากจะทำดี ทำไปแล้วมันท้อใจ อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เวลาเราทำกรรมดี สิ่งที่เราทำคืออะไรบ้าง (ใส่บาตร ปิดทอง ฝังลูกนิมิต) ทำมาทั้งหมดไหม กฐิน ผ้าป่า ทำหมดไหม (ทำ)  แล้วได้ดีไหม (ไม่ได้)  ลูกนิมิตศิษย์ก็ฝังเป็นสิบลูกแล้ว หลังคาก็ทำเป็นสิบแผ่นร้อยแผ่นแล้ว แต่ก็ยังไม่ร่มเย็นเลย ทานก็ทำมาก บุญก็ทำไม่เคยเกี่ยง ใครเห็นก็ทำมาก ใครไม่เห็นก็ทำน้อย อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)
หลักของธรรมะ สอนไว้ว่า เริ่มต้นคือต้องมีทาน สองคือมีศีล สามคือสมาธิ สี่คือปัญญา ซึ่งสมาธิกับปัญญาเรียกว่า ภาวนา
ศิษย์ก็บอกว่า บุญ ทาน อะไรก็แล้วแต่ศิษย์ก็ทำมามากมาย แต่ทำไมไม่เห็นจะดีสักที อาจารย์ขอถามว่า เวลาอยู่ในวัด ก็เป็นคนดี ไหว้พระ
สวดมนต์ ใจเย็น แต่พอออกนอกวัดหรือยังไม่ทันพ้นวัดดี เวลาเห็นใคร
ไม่ชอบใจ ด่าเขาไหม (ไม่ด่า)  จริงหรือ อาจารย์เห็นศิษย์ มักจะเป็นคนดีเพียงในวัด แต่พอออกจากวัด เห็นศิษย์ด่าได้ก็ด่า นินทาได้ก็นินทา ยังไม่ทันพ้นธรณีสงฆ์ก็ยังแอบนินทาพระอีก เป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)
  อย่างนี้ถึงศิษย์จะทำกรรมดี แต่ว่าต้นเหตุของกรรมชั่ว ศิษย์ไม่ลดไม่ละ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  เป็นคนใจบุญสุนทานแต่ก็ยังโลภ  ยังหลง ยังขี้โมโห
ใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนทำบุญตักบาตรแต่ยังด่า ยังอยาก ยังโลภ หายไหม (ไม่หาย)
แล้วถ้าแม้บุญทานไม่ได้ทำ กรรมชั่วไม่ทำ ต้นตอแห่งกรรมชั่วไม่ออกมาจากตัวเรา อย่างนี้ดีไหม แต่ในทางกลับกัน ทุกวันศิษย์ทำดี ใส่บาตร ถวายทาน ช่วยคนมากมาย แต่ยังคงมีกิเลสที่เป็นรากเหง้าของกรรมชั่ว ศิษย์ไม่เคยละเว้นเลย อย่างนี้จะดีไหม (ไม่ดี)
ที่บอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ตกลงใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าศิษย์อยากเป็น
คนดี เริ่มต้นง่ายๆ กรรมชั่วอย่าทำ แล้วกรรมชั่วหรือเรียกอีกอย่างว่า
บาปต้นรากเหง้าของบาปคืออะไร (กิเลสตัณหา)  อะไรอีกที่เป็นรากเหง้าของกรรมชั่วและของบาปทั้งมวล แม้เราจะทำดีขนาดไหนถ้าบาปยังไม่ลด เราก็ไม่สามารถเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง (โลภ, โกรธ, หลง)  กิเลสตัณหาประกอบไปด้วย โลภ โกรธ หลง ซึ่งโลภ โกรธ หลง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อกุศลหรือทางของคนไม่ฉลาด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทางของคนโง่และคนโลภ เราเคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ไหม ไม่มีไฟใดเสมอด้วยความโลภ ไม่มีบาปเคราะห์กรรมใดเสมอด้วยความโกรธ และไม่มีความมืดมนใดที่เป็นตาข่ายครอบใจให้มนุษย์ลุ่มหลงได้เท่ากับความหลงผิด มนุษย์ล้วนติดในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งก็หนีไม่พ้นกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่วที่ได้รับก็คือ ความทุกข์และการเวียนว่ายอยู่ในโลกไม่จบสิ้น ผลของกรรมดีถ้าทำแล้วยังหวังวอนขอ ศิษย์เคยได้ยินไหม เวลาเราไปวัด เราจะเอาทรายเข้าวัดหรือออกจากวัด (เข้าวัด)  ถ้าศิษย์ทำบุญแล้วไม่ขอ
นั่นแหละเรียกว่า เอาทรายเข้าวัด แต่ถ้าทำบุญแล้วขอนั่นแหละคือการเอาทรายออกจากวัด เมื่อไรที่ทำบุญแล้วขอ นั่นคือการหวังจะมีตัวตนไปรับผลอีก ก็คือกรรมดีที่ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด และการรองรับผลของตัวตนที่ทำดีอีก เราเป็นแบบนั้นใช่ไหม (ใช่)
  แล้วจะพ้นทุกข์ไหม ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เพราะสองกรรมนี้ก็ยังขึ้นอยู่ในคำว่า กระแสของกรรม เมื่อสร้างกรรมแล้วก็จะหนีไม่พ้นวิบากกรรม และ วัฏฏสงสาร อย่างนั้นทำอะไรที่จะพ้นกระแสกรรมดีกรรมชั่วที่เรียกว่า อกรรมหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กุศล  คือการไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ยกระดับจิตให้สูงขึ้น แผ้วถางตัวตนให้จางคลาย
ฉะนั้นถ้าศิษย์ดำเนินชีวิต โดยไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้อย่างนี้ก็เป็นการดี จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยไหมเวลาที่อยากมากๆ แล้วก็จะปิดบังปัญญา โกรธมากๆ แล้วก็จะมองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หลงมากๆ แล้วก็จะมืดมนไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เคยเป็นอย่างนี้ไหม (เคย)
แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง (ต้องบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ)  นั่นแปลว่าตอนนี้ศิษย์ยังไม่สะอาดเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  (ต้องมีสติรู้เท่าทันโลภะ โทสะ โมหะ) ตอบได้ดี ถ้าสิ่งเหล่านี้มา ศิษย์ไม่ตก
เป็นทาส ศิษย์เป็นนายของสิ่งเหล่านี้ ศิษย์ก็จะสามารถคุมได้ จริงไหม (จริง)
  ถ้าเราไม่ไปเล่นกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งนี้จะทำอะไรเราได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องมีสติรู้เท่าทัน จนกระทั่งเห็นโลภ เห็นโกรธ เห็นหลง แล้วว่าฉันจะไม่ไปกับแก
นี่จะเรียกว่าตื่นรู้อย่างแท้จริง เมื่อไรที่ตื่นรู้ เมื่อนั้นอาจารย์ก็สามารถจะปลุกเสกให้ศิษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนโลก ได้ ใช่ไหม (ใช่)
(ต้องปล่อยวาง)  เวลาใครทำอะไรให้เราโกรธแล้วเราจะโกรธไหม อาจารย์จะบอกว่า ทุกอย่างมันเกิดแล้วมันก็จบเอง โดยที่เราไม่ต้องปล่อย แต่ที่เราต้องปล่อยเพราะว่าเราไปยึด ฉะนั้นถ้าเรารู้ทัน เราก็อย่าไปยึด
อาจารย์เทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปรียบเสมือนสิ่งที่มากระแทก แล้วศิษย์จะยังยึดอยู่ไหม (ไม่ยึด)  จริงหรือ แล้วก็บอกว่า ตีหนูทำไม ทำไมต้องตีหนู ทำไมต้องด่าหนู ทำไมหนูต้องทุกข์ ทำไมหนูต้องโง่ แล้วถ้าโง่บ้างจะเป็นอะไรหรือ แล้วถ้าทุกข์หน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่เสียหายอะไร ก็แพ้หน่อย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ ก็ต้องแก้ไขตั้งแต่ต้น แก้ไขความหลงผิดในใจของศิษย์ก่อน เกิดมาสุขก็ได้ ทุกข์ก็เป็น เกิดเป็นคนจะชนะก็ได้ แพ้ก็เป็น เกิดเป็นคนอะไรๆ ก็รับได้ เข้าใจและปล่อยวางเป็น ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ดีแล้วเสียไม่ได้ สุขแล้วทุกข์ไม่เป็น ฉลาดแล้วโง่ไม่เป็น อย่างนี้ไม่ใช่ มีใครบ้างหรือที่ฉลาดแล้วไม่โง่ มีไหม (ไม่มี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้นสองคน)
เห็นอะไรศิษย์เอ๋ย ถ้าเขาคือความมั่งมี เขาคือความสุข ส่วนอาจารย์คือความทุกข์ ความยากจน ถ้าเราเอาแต่ใจจดจ่อเปรียบเทียบเขาดีกว่า
เขารวยกว่า เขาใหญ่กว่า เขาแน่กว่า ฉันไม่มีอะไรเลย ฉันแย่ ฉันไม่ดี ก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าพวกเรารู้จักความพึงพอใจ ไม่ช่างเปรียบเทียบ ไม่ช่างเปรียบเปรย คนเราอะไรก็เสียได้ แต่เวลาเสียเปรียบคนอื่นเสียไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
  ทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ สาธุ ยินดีในบุญ ยินดีในความอิ่มเอิบ ยินดีในความสุข ทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ และก็พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว มาตรฐานความสุขให้ต่ำเข้าไว้ มาตรฐานความทุกข์ให้สูงเข้าไว้ เราจะได้เป็นคนทุกข์ยาก สุขง่าย ดีไหม (ดี)  แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่มาตรฐานความสุขเป็นไง สูง มาตรฐานความทุกข์ ต่ำ อะไรนิดอะไรหน่อยทุกข์แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมองโลกต้องมองให้กว้าง ถึงเขาจะรวย ถึงเขาจะคือตัวแทนความรวย แต่ถ้าเรามองให้ดีๆ ก็ยังมีคนน้อยกว่า ก็ยังมีคนบางกว่า แล้วก็ยังมีคนเสียมากกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอย่ามองแล้วทำให้เกิดทุกข์ มองแล้วต้องมองให้กว้าง ให้ใจเห็นชัดจนอะไรมันทำใจเราให้เจ็บไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) อย่ามองแต่ว่ามันเยอะกว่า มันดีกว่า มองอย่างนี้มันก็จะทุกข์ ทำไมไม่มองว่า มันก็ยังมีที่มีคนน้อยกว่านะ เหี่ยวกว่านะ แก่กว่านะ ดีไหม (ดี)  ที่ดีที่สุดคือมองให้กว้างเห็น
ให้ชัด ไม่มีใครดีกว่า ไม่มีใครแย่กว่า มีใหญ่ ก็มีใหญ่กว่า จริงไหม (จริง)
ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีใครดีที่สุด ไม่มีใครแย่ที่สุด และไม่มีตัวเราที่เลวที่สุด มองให้กว้างมองให้ดี และตัวเราก็ไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุด มองให้เยอะๆ มองให้ชัดๆ อย่ามองอย่างคนโง่ที่ทุกข์แล้วทุกข์อีก มองอย่างคนที่พ้นทุกข์นะศิษย์ มองอย่างคนที่เอาชนะชีวิตตัวเองให้ได้ เห็นไหมเมื่อมีใหญ่ ก็จะมีใหญ่
(ใหญ่กว่า)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์คิดว่าเมื่อมีเล็ก แล้วจะมีเล็กกว่าไหม (มี)  เล็กกว่าทุกอย่างเลยใช่ไหม อายุก็เล็ก ตัวและหน้าก็เล็ก
มีอย่างเดียวคือหน้าตึง มองไว้นะศิษย์ วันใดที่ความทุกข์มากระทบกายและใจ อย่ามองแต่ตัวเอง แต่จงมองให้กว้าง ถ้ามองตัวเองแล้วควบคุมตัวเองให้ได้ อย่ามีบรรทัดฐานความสุขที่สูง แล้วมีบรรทัดฐานความทุกข์ที่ต่ำ เป็นคนที่ทุกข์ยาก ดีไหม (ดี)
เรียนรู้ธรรมแล้วต้องให้ได้ธรรม ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมแล้วยังทุกข์วันยังค่ำ เรียนรู้ธรรมต้องไปให้ถึงธรรม ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมแล้วยังโง่ดักดานอย่างนี้ไม่เอา เมื่อมองโลกต้องมองให้ชัด ดูใจต้องดูให้ออก อย่าอยู่กับความคิดแค่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วมองไม่เห็นความจริง เพราะทุกข์ไม่ได้มีไว้สำหรับให้คนทุกข์ แต่ทุกข์มีไว้สำหรับคนที่มีจิตประเสริฐ แล้วเรียนรู้ที่จะพ้นทุกข์ ทุกข์มีไว้สำหรับให้คนที่ไม่อยากจะประเสริฐ ไม่อยากจะฉลาดยังอยากจะโง่ อยากจะจมปลักอยู่เลย เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำไมไม่มีสติหรือศิษย์ ทำไมจึงไม่ตื่นรู้ด้วยตัวเอง ทำไมต้องรอให้อาจารย์ตบแล้วตบอีก ถึงจะตื่น
พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าเราอยากเดินทางสายมรรคเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา  ศิษย์ทำได้แค่ทาน ให้ทานและทำบุญเก่ง แต่ไปไม่ถึงศีล ไปไม่ถึงความสงบและรู้แจ้งเห็นจริง ในสองระดับนี้ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้เมื่อสงบและรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป เรียกว่า สมาธิ ไม่ใช่แค่นั่งหลับตา แต่สมาธิหมายถึง โดนกระทบแล้วใจไม่กระเพื่อมไม่หวั่นไหว ใจนิ่งและไม่ตกเป็นทาสของกรรมดีกรรมชั่ว แต่มองเห็นแล้วเข้าใจและปล่อยวาง อย่าไปแค่ทาน จงเข้าให้ถึงศีล เพราะเมื่อทำได้ถึงศีลก็จะบังเกิดธรรม เมื่อทำได้ถึงศีลบังเกิดธรรม ก็จะมั่นคง
รู้แจ้งเห็นจริง เราทำถึงไหม (ถึง)
  ศีลมีกี่ข้อ (ห้าข้อ)  ข้อหนึ่งคือ (ไม่ฆ่าสัตว์)  ยุงมาเราตบ มดมาเราเหยียบ แมลงสาบมาเราขยี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงการพ้นทุกข์และไม่เวียนว่ายในกรรมเวรอีกคือ ให้ทานเป็นแล้ว ต่อไปก็คือ รักษาศีล เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์ วิธีทำไม่ยากเลย
ทุกขณะที่ดำเนินชีวิต อะไรที่ทำให้เราต้องเบียดเบียนชีวิต ไม่กิน ไม่ทำ ไม่สร้าง อะไรที่ทำให้เราต้องผิดลูกผิดเมีย ไม่มีกิ๊ก ไม่กดไลค์ ไม่แอบชอบใครในเฟสบุ๊ก
อยากให้ครอบครัวร่มเย็น สำคัญคือต้องซื่อตรง มีมโนธรรมสำนึก
ข้อที่สอง ไม่ผิดลูกผิดเมีย  ข้อที่สาม ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา เวลาศิษย์ดำเนินชีวิตทำให้ดีที่สุด แลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีให้คนได้ซื้อได้ขายดีไหม ทำงานด้วยความรับผิดชอบเต็มที่ ซื่อตรงซื่อสัตย์ในหน้าที่ ไม่เบียดบังใคร ถ้าทำได้อย่างนี้ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่ได้เงินมาด้วยความไม่โลภไม่หลง ถ้าทำได้อย่างนี้ศิษย์ก็มีครบสามข้อแล้ว ข้อที่สี่ ไม่พูดปด ฉะนั้นพูดด้วยความเป็นจริง ถ้าพูดจริงแล้วทำร้ายคนก็ให้เงียบ ข้อที่ห้า ไม่ดื่มสุราของมึนเมา ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ เหล้าก็ไม่กวักมือเรียกเราไปกินหรอก แต่เพราะเรามีความอยากอยู่ในใจ เราก็เลยเดินตามไปกินเหล้า แต่ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ ต่อให้เหล้าลดราคาถูกแค่ไหนคนก็ไม่เดินตามไปซื้อหรอก ฉะนั้นอย่าให้เหล้าอยู่ในใจ ไม่เช่นนั้นแล้วเหล้าจะครองใจเรา แล้วถ้าเราศีลครบ ศีลคือการละเว้นไม่กระทำผิด แล้วปฏิบัติต่อคนด้วยคุณธรรม ต่อผู้อื่นให้มีเมตตา ก่อนกระทำอะไรให้มีมโนธรรมสำนึกที่ดี กล่าววาจาอะไรให้มีคำพูดคำไหนคำนั้น ศีลพร้อมธรรมพร้อม ตายก็ไม่เสียดาย แต่ตอนนี้ศีลพร้อมหรือยัง จริงๆ ถ้าพิจารณาตอนนี้ศิษย์ก็มีศีลครบนะ มีเพียงแค่คุณธรรมความเป็นคนที่ประพฤติต่อคนยังไม่งามพร้อม ยังมีโกรธ มีเกลียด ยังไม่มีเมตตา ไม่มีมโนธรรมสำนึก ถ้าถามตอนนี้ว่าศิษย์มีศีลพร้อมไหม ศีลของศิษย์พร้อม แต่คุณธรรมความเป็นคนยังไม่พร้อม ต้องเข้าใจให้ถูก ศีลคือข้อละเว้น คุณธรรมคือความประพฤติที่เราปฏิบัติอยู่ร่วมกันในสังคม เมื่อปฏิบัติต่อเขามีเมตตาไหม พูดกับเขามีความซื่อตรงไหม ทำงานกับเขามีมโนธรรมสำนึกที่ดีไหม ไม่หลอกลวง ไม่โป้ปด ถ้าทำได้ขนาดนี้ ศีลพร้อมธรรมพร้อม สิ่งนี้จึงเรียกว่าดำเนินชีวิต ปฏิบัติเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อความเป็นคนที่มีอารมณ์และตัวตน ทุกขณะคืนสู่ธรรม แต่เราไม่ใช่ ทุกวันปฏิบัติเพื่อสนองกิเลสตามใจตน เราเลยไม่เคยพบธรรมและไม่เคยมีธรรมในใจ
รู้ขนาดนี้แล้วคิดว่ายังพอทำได้ไหม (ได้)  ยากไหมในการฝึกฝนบำเพ็ญ (ไม่ยาก)  หากจะยากก็ยากที่เราไม่รู้เท่าทันใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงทำอะไรมีสติ ทุกขณะมีสติพิจารณาอยู่เนืองๆ เราก็จะไม่บกพร่องและด่างพร้อยในเรื่องศีลธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมผู้ที่รักษาศีลได้ครบ ไม่ด่างพร้อย ไม่ขาดตก ไม่บกพร่อง โดยที่ไม่ให้ศีลมาครอบงำจนก่อเป็นตัณหาหรือทิฐิ คนนั้นได้ชื่อว่ามีทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายใน และทรัพย์นั้นเรียกว่า อริยทรัพย์มีชีวิตที่ไม่จน และเป็นคนที่มีชีวิตไม่ว่างเปล่า ถ้าเข้าถึงศีลที่งดงามนะ และในความถึงศีลนั้นเข้าถึงธรรม คนๆ นั้นก็จะเป็นคนที่บุญกุศลจะไหลมาสู่ และความสุขจะเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากสำหรับคนที่ปฏิบัติได้ถึงพร้อมทั้งศีลและธรรมยากไหม (ยาก)  ยากตรงที่จะทำเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นมนุษย์เรามีความทุกข์อะไรบ้างที่ยากจะทำใจได้
บอกอาจารย์ให้ชื่นใจหน่อยซิ แล้วศิษย์ยังมีความทุกข์อะไรที่ยังจัดการไม่ได้ (ทุกข์เพราะว่าเป็นผู้นำ)  ทุกข์เพราะว่าเป็นผู้นำ ผู้นำอะไรหรือ นำทุกอย่าง นำทั้งคนในครอบครัวใช่หรือไม่ ถ้าเราทำได้ดี บางครั้งไม่จำเป็นต้องสอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการปฏิบัติให้เขาเห็น ปฏิบัติให้เขาประจักษ์แจ้ง ผู้ที่เข้าถึงธรรม ปฏิบัติเพื่อธรรมศิษย์รู้ไหมจะเป็นคนแบบไหน จะเป็นคนใจเย็น สุขุม ไม่ปากเปราะ ไม่หูเบา ไม่ใจง่าย ถ้าศิษย์ดำรงตนด้วยศีลและธรรมพร้อมนะ และมีเวลาก็ยังรู้จักเสียสละให้อภัย ให้ทานอยู่เสมอ และเมื่อโดนอะไรกระทบศิษย์ก็ไม่วุ่นวายในอารมณ์ ไม่พลุ่งพล่านในอารมณ์ ยังนิ่งได้ อภัยได้ สงบได้ เอาตัวเราแสดงให้เขาเห็นโดยไม่ต้องพูดเป็นการนำที่ดี ดีกว่าพูดไปตั้งเยอะแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)
(ความทุกข์ในเรื่องการเรียน)  แล้วขยันหรือยัง ตั้งใจเต็มที่หรือยัง หมั่นทบทวนความรู้หรือไม่ ถ้าอยากได้ดีต้องหมั่นทบทวน อย่ามัวเห็นแก่การเล่น การเที่ยวสนุก จนลืมภาระหน้าที่ อย่างนั้นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายนะ
(ทุกข์เพราะจิตใจยังไม่เข้มแข็ง)  ถ้ากล้ายอมรับความจริง ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้อ่อนแอ ถ้าหัวใจสู้ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เราล้มเหลวและพ่ายแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
น่าเสียดายนะ ที่มาฟังแล้วปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่เก็บไว้ในใจบ้างเลย ใช่ไหม (ใช่)
(ไม่มีความสุขเพราะเรื่องคดีภายในครอบครัว ระหว่างคดีแม่และน้องสะใภ้)  คนทุกคนล้วนมีกรรมติดตามมา และกรรมที่ติดตามมานี้ เราก็ไม่สามารถเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้ก็คือ การยอมให้ถึงที่สุด และศิษย์เป็นตัวกลางลองไปคุยกับน้องสะใภ้ว่า พี่ขอแล้วกัน จบกันแค่นี้ พี่ไม่เอาอะไร อยากเอาอะไรไปก็เอาไป ลองคุยกับเขาด้วยตัวเอง ลองขอร้องเขาให้ทำบุญกับคนแก่ เพราะอีกไม่กี่ปีเขาก็ต้องไป เราลองพูดให้เขาเข้าใจ ให้แม่อยู่จนสบายใจ ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วจะเอาอะไรไป จะทำอะไรก็ทำเราไม่เอาทั้งสิ้น เราลองคุยกับเขาด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
(มีทุกข์เรื่องบริวารไม่ค่อยเชื่อฟัง พี่น้องไม่ค่อยรักกัน)  เราจะทำอย่างไร สิ่งสำคัญคือตัวเราต้องมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมเสียก่อน เห็นถูกต้องว่าไปตามถูก เห็นผิดต้องว่าไปตามผิด แต่ว่าบางครั้งเมื่อเขาผิดก็อย่าลงโทษหนักเกินไป ต้องเหลือทางให้เขาเดินบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อเด็ดขาดเกินไปก็จะทำให้คนไม่มีที่ยืน ถูกหรือไม่ หละหลวมเกินไปก็ทำให้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นเราต้องรู้จักตึงและหย่อน ที่มนุษย์ชอบพูดว่า ต้องมีทั้งบารมีกับพระเดชพระคุณ ต้องใช้ให้ถูกต้อง  (ทุกข์เพราะความโลภ)  อย่างนั้นต่อไปคิดอยากได้อะไรพิจารณาให้ดี อย่ากลายเป็นความโลภแล้วทำให้เราขาดศีลขาดธรรม 
(ทุกข์เพราะคุณแม่เพิ่งเสีย)  อาจารย์อยากบอกศิษย์ จริงๆ แล้วถ้าศิษย์เข้าใจคำว่า หลักสัจธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เราอาจจะมองว่าคนๆ หนึ่งตาย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า แค่เป็นการเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งเท่านั้น ถ้าศิษย์ทำได้ดี คนที่จากไปก็ตายตาหลับ แต่ถ้าศิษย์มัวจมอยู่กับความทุกข์ คนที่ไปก็มีแต่ความทุกข์ อยากให้เขาไปแล้วดี เราจงรู้จักสร้างสุข แล้วก็สร้างบุญกุศลหนุนนำให้เขาพ้นทุกข์ ไม่มีใครตายหรอกนะ มีแต่สิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป เป็นไปตามชะตากรรมแค่นั้นเอง
(มีลูกคนเดียวและรักลูกมาก)  มากจนวางไม่ลงจนกลายเป็นกังวลมากไป อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์รู้ว่าเมื่อเกิดเป็นคนเราต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร จะดีหรือจะร้ายอย่างไร จำไว้ว่าขอแค่เขายังอยู่ก็ชื่นใจแล้ว อย่าไปตีมาตรฐานสูง อย่าไปกำหนดให้มากมาย เอาแค่ว่าเขายังกลับมาหาเราก็ดีแล้ว เขายังเรียกเราว่าแม่ ยังมีคนให้เราเรียกว่าลูก ก็สุขแล้ว ถ้าไปกำหนดมาตรฐานสูงเราก็ทุกข์ ถ้าไปคาดหวังมากเราก็เจ็บ ฉะนั้นสุขง่ายๆ
ก็คือแค่มีเขาก็สุขแล้ว (ทุกข์เพราะหลานสะใภ้บ่นมาก)
  ใจเย็นๆ ปล่อยให้เขาบ่นไป เรารู้จักรับผิดชอบเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่พึ่งเขา แต่อย่างน้อยถึงเขาจะว่าอย่างไรก็ให้ยิ้มเข้าไว้ ให้อภัยเป็นทาน เพราะการให้อภัยนั้นเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่
(เราเป็นครอบครัวใหญ่และเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เราจะพาครอบครัวให้ผ่านพ้นไปได้ยังไง)  ขอให้ขยัน แม้จะลำบากอย่างไรก็สู้ไม่ถอย ก็จะผ่านไปได้ แต่ต้องธำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าศิษย์ทำได้แบบนี้ ศิษย์ก็จะนำพาครอบครัวได้ แต่อย่ามัวเห็นแก่ตัวเองจนลืมนำพาครอบครัว คนบางคนยอมทิ้งครอบครัวเพราะว่าหวังสบาย ไม่อยากทุกข์ แต่ถึงจะทุกข์อย่างไรเราก็จะสู้และฟันฝ่าไปด้วยกัน ถึงที่สุดความสุขก็จะอยู่ตรงหน้า (ทุกข์เพราะลูกๆ ไม่มาธรรมะ เพราะบอกว่าแม่ยังไม่ได้ดีเลย แล้วธรรมะจะทำให้เขาได้ดีได้อย่างไร)  ฉะนั้นเราต้องทำให้ดี ทำให้เขาเห็น ประจักษ์ให้เขาเห็น (ต้องตายก่อนใช่ไหม)  อาจจะไม่ต้องตาย แต่ศิษย์ต้องจำอย่างหนึ่งนะ ขึ้นชื่อว่าลูก
มีใครไม่เคยบ่นว่าแม่ตัวเองบ้าง ศิษย์ก็ต้องใจเย็นๆ ใช้เวลา เหมือนศิษย์ที่อยู่ๆ จะให้มาฟังธรรมะศิษย์ยังไม่ยอมมาง่ายๆ เลย มาฟังธรรมะแล้วจะให้เชื่อทันทีเลย ตัวศิษย์เองก็ยังไม่เชื่อเลย เราต้องพยายามทำให้ลูกเห็น แม้วันนี้ไม่เห็น พรุ่งนี้ก็ต้องพยายามทำให้เห็น ศิษย์ต้องอย่าแพ้ใจตัวเองก่อน ถ้าศิษย์ยอมแพ้ความดี ยอมแพ้แค่ปากลูกบ่นแล้วเลิกทำ
อย่างนี้ลูกจะเห็นได้อย่างไร ศิษย์ต้องสู้จนถึงที่สุด ส่วนเขาจะได้ดีไม่ได้ดี อาจารย์ขอบอกตามตรง ทุกชีวิตล้วนบังคับใครไม่ได้ แค่เขาเป็นคนก็ดีแล้ว หวังมากไป หวังสูงไป พอเขาทำไม่ได้เราก็จะเจ็บ
ช่วยได้ก็ช่วย คนในโลกนี้เดี๋ยวนี้ทุกคนก็มีหนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครไม่มีหนี้ หนี้ทางใจ หนี้ทางกาย หนี้ ธกส. เมื่อคราวที่แล้วอาจารย์เจอศิษย์ เป็นหนี้อะไร หนี้ ธกส. บางคนก็เป็นหนี้ชีวิตใช่หรือไม่ แต่เป็นหนี้ไม่ใช่จะมีสุขไม่ได้ ถ้ารู้จักใช้คืน แต่อย่าหนีหนี้ไม่อย่างนั้นกรรมจะตามไม่จบไม่สิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างนั้นขอให้เปลี่ยนแล้วจะทำให้ท่านมีความสุขในทุกๆ วัน ไม่เป็นไรนะศิษย์ เมื่อทำถึงที่สุดผลมันจะเสียก็ไม่เป็นไร เพราะเราทำเต็มที่แล้ว อาจารย์บอกแล้ว เมื่อเป็นลูกศิษย์อาจารย์ ถึงจะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แม้ไม่สำเร็จข้อสำคัญล้มแล้วลุกขึ้นสู้ แพ้ก็ไม่เป็นไร แพ้แล้วขอให้เริ่มต้นใหม่ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เอาอดีตมาเป็นประสบการณ์สอนชีวิตให้เข้าใจชีวิตดียิ่งขึ้น ไม่มีใครหรอกที่ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีใครหรอกที่ชีวิตสุขโดยไม่มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่นะด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง
(ทุกข์ใจที่สามีกินเหล้า สูบบุหรี่ด้วย)  อย่างนั้นอาจารย์ขอถามหน่อยนะ สูบบุหรี่ กินเหล้า กับมีเมียน้อยเอาอันไหน (ไม่เอาทั้งนั้นเลย)
ไม่มีใครในโลกได้ครบสมบูรณ์ ต้องได้อย่างเสียอย่าง ก็ศิษย์เลือกมาแล้วใช่ไหม (ใช่)
  คนมีตั้งร้อยตั้งล้านทำไมไม่ไปเลือก ไปเลือกที่สูบบุหรี่กินเหล้ามา ตอนนั้นมันหน้ามืดไปหน่อย ตอนนี้ตาสว่างแล้วใช่ไหม อย่างนั้นศิษย์คิดไว้ดีๆ อาจารย์บอกถ้าวางใจถูก แม้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข ถ้าวางใจผิด แม้สุขก็กลายเป็นทุกข์ ฉะนั้นถึงจะกินเหล้าสูบบุหรี่เราก็ยังรัก ดีกว่าไปมีเมียน้อย
มีกิ๊กใช่ไหม ก็บอกเขาสิ แม่รักนะเมื่อไหร่จะเลิกสูบ จะรอให้ตายก่อนหรือ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“มีสติ ไม่ขาดสาย” ซึ่งพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่สถานธรรมหมิงเอิน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่
๑๖
- ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘)
ศิษย์ลองตอบคำถามของอาจารย์ว่า จะเอาแอปเปิลของอาจารย์ไปทำอะไรที่จะก่อเกิดประโยชน์สูงสุด (เอาไปบอกหลานว่า ย่าไปอบรมธรรมะมา แล้วก็จะอธิบายเรื่องที่ไปอบรมมา)  เอาให้ได้ประโยชน์มากกว่านี้ไหมศิษย์ คั้นเป็นน้ำแอปเปิลแล้วแจกทั่วหมู่บ้าน แล้วก็บอกว่าเอาบุญมาฝาก เอาบุญมาให้ อย่างนี้ดีไหม (ดี)  บุญไม่ใช่อยู่ที่การให้ แต่บุญอยู่ที่การส่งต่อ เวลาใครทำแล้วเราอนุโมทนาบุญก็ได้บุญต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราได้บุญมาแล้ว เรายังส่งต่อ ยังเผื่อแผ่แบ่งปันต่อ อย่าเอาเฉพาะในครอบครัวแต่จงรู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันเพื่อนบ้านด้วย แอปเปิลลูกเดียวจะได้เป็นแอปเปิลที่กินกันได้ทั้งหมู่บ้านเลย ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมร้องเพลง)
ศิษย์ยินดีจะมาร่วมสร้างบุญไหม ร่วมผูกบุญไหม (ถ้าว่าง)  การสร้างบุญกุศลทำไมต้องรอว่าง บุญสร้างได้บ่อยๆ ถ้ารอช้าความชั่วจะไหลเลื่อนเข้ามาแทรกทันที ใช้เสียงเป็นทาน ใช้เสียงในการแพร่ธรรมะให้คนได้ตื่นรู้ ไม่ดีหรือ
วันนี้อาจารย์กลับได้แล้วใช่ไหม พูดไปมากมายก็เท่านั้นนะศิษย์ ถ้าศิษย์ของอาจารย์บอกว่าดีๆ ก็จบ เพราะดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือทำ ทุกสิ่งทุกอย่างอาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทาง เหลือแต่ศิษย์ที่ต้องลงมือทำ และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก เราเกิดมาเพื่อตื่นรู้ในทุกข์ และเอาทุกข์นั้นมานำพาให้เราเป็นพุทธะบนดิน ไม่ต้องรอชาติหน้า ลงมือทำชาตินี้ตอนนี้ โดยปฏิบัติด้วยการมีศีลให้พร้อม
มีธรรมให้ครบ และพิจารณาในความเป็นจริงของโลกใบนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่า
สังขารเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน และไม่เคยไปกับเรา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ได้รับชี้นั่นคือพุทธจิต จงตื่นรู้และดึงพุทธจิตออกมาให้พ้นจากการติดในสังขาร เพราะสังขารถึงที่สุดก็ตายดับไปกับโลกใบนี้ มีแต่จิตที่กลับคืนไปสู่เบื้องบน ถ้าจิตยังเข้าไม่ถึงธรรม จิตนั้นก็ยังเต็มไปด้วยตัวตน ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายในวัฏฏะ แต่ถ้าเมื่อไรจิตศิษย์เข้าถึงธรรม สภาวธรรมจะทำให้เราพ้นทุกข์ทั้งโลกนี้และโลกไหนๆ  ขอให้มีสติเพียรรำลึกถึงธรรมอยู่เสมอ สติที่สอนให้เรารู้ว่ากายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง และในกายนี้ก็เต็มไปด้วยกรรม และเผ่าพันธุ์ของกรรมที่เราสร้าง ฉะนั้นเราเป็นผู้รับกรรม แล้วหากจะสร้างกรรมต่ออีก ก็จะต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น หรือเราจะเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม คิดเอานะศิษย์  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ อย่าเล่นกับความรู้สึกของคน เพราะถ้าเมื่อไรเขาโกรธ เขาเคียดแค้น เจ็บปวด เวลาเขาย้อนกลับเขาจะเอาหนักยิ่งกว่าที่ศิษย์ทำกับเขา ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าอาจารย์ตีศิษย์คนนี้แล้วท่องบทแผ่เมตตา แต่พอว่างก็ด่า เกลียด รำคาญเขา บุญที่กรวดน้ำไปจะชดใช้บาปที่ทำกับเขาได้ไหม ไม่ได้ แล้วทำไมเราไม่ทำบุญกับคน ทำไมต้องทำบุญกับพระอย่างเดียว บุญสร้างได้ทุกที่ ทำให้ใครมีสุข ทำให้ใครไม่หม่นหมอง นั่นเรียกว่าบุญ แต่หากทำให้ใครทุกข์ เหี่ยวเฉา หดหู่ นั่นเรียกว่าบาป แล้วทำไมต้องทำบุญแค่ในวัด ข้างนอกกับใครก็ทำบุญได้ ถ้าบาปเกิดขึ้นแล้ว เขาจองเวรจองกรรม เขาจะไม่เอาเราแค่เจ็บนิดหน่อย เวลาคนเราเจ็บใจ เขาจะลืมไหม
ขอโทษคำเดียวหายไหมศิษย์ (ไม่หาย)  ผิดแล้วขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจแค่เจตนานิดหน่อย แต่เวลาเขาเอาคืน เขาเอาเจ็บ เขาเอาหนัก ฉะนั้นทำไมต้องไปก่อเวรก่อกรรมแล้วค่อยมากลัวผล ทำไมไม่คิดก่อนที่จะก่อเวรก่อกรรม อาจารย์จึงบอกว่า อย่าเล่นกับความรู้สึกของชีวิตคน เพราะเมื่อทำเขาถึงชีวิตเขาก็จะเอาเรายิ่งกว่าชีวิตและอะไรที่ศิษย์รักเขาก็ จะเอาศิษย์ตรงนั้นด้วย เพราะแค่เอากับศิษย์ ศิษย์ไม่เจ็บ แต่ต้องทวงคืนจากคนที่ศิษย์รัก ทวงจากสิ่งที่ศิษย์หวง ทวงให้เจ็บให้ปวด บีบให้ตาย แล้วทำไมเราจึงต้องรอให้กรรมมันส่งผลแล้วค่อยมาทำบุญ อย่างนี้ไม่ทันหรอกนะศิษย์
ขึ้นชื่อว่าชีวิต มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท และเราเกิดมาเป็นผู้รับผลกรรมของสิ่งนั้น ไม่มีใครหนีพ้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากทุกข์ก็สร้างบาปกรรมไว้ แต่ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ก็จงคิดให้ดีก่อนกระทำ เพราะเมื่อกรรมนั้นย้อนมา แล้วศิษย์จะขอพระพุทธะ ศิษย์จะขอบุญที่ศิษย์เคยทำ เหล่านี้มันช่วยกันไม่ได้ หักล้างกันไม่ได้หรอกนะ เพราะศิษย์ไปทำดีที่วัด
แต่เวลาทำบาปศิษย์ทำกับคน ทำกับชีวิตเขา แล้วอย่างนี้เขาจะให้อภัยศิษย์ไหม ขนาดมีคนด่าศิษย์คำเดียว ศิษย์จำไหม (จำ)
  แต่เวลาเขาทำดีเป็นร้อยครั้ง ศิษย์จำไหม (จำ)  ไม่ค่อยจำ แต่จำได้คำเดียวเวลาเขาด่า แต่เวลาเขาทำดีมามากแค่ไหนก็ไม่เคยจำ ในทางกลับกันเวลาศิษย์ไปกินเขา ไปทำร้ายเขา ไปเบียดเบียนเขา คิดว่าเขาไม่เอาคืนศิษย์หรือ แล้วคิดว่าเขาจะเอาคืนศิษย์เบาๆ หรือ แล้วบุญจะเอามาใช้ทดแทนกันได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะความรู้สึกคนเมื่อเจ็บแล้วมันจำ ฉะนั้นเวลาอยู่ด้วยกัน ทำบุญได้ทุกที่
ทำอะไรที่ทำให้เขาชื่นใจ ทำอะไรที่ทำให้เขาสบายใจ ทำอะไรที่ทำให้เขาสุขใจ นั่นเรียกว่าบุญ แต่ถ้าทำอะไรที่ทำให้เขาหดหู่ ย่ำแย่ นั่นเรียกว่าบาป
คิดให้ดีๆ นะศิษย์ จริงไหม (จริง)
  แค่คำปลอบไม่ทำให้หายได้หรอกนะ
ด่าเขาจนเจ็บ กีดเขาจนเป็นแผล แล้วจะมาเย็บให้ แล้วถามเขาว่า เจ็บไหม อย่างนี้ทดแทนกันได้หรือ ฉะนั้นก่อนพูด ก่อนทำก็คิดให้ดีๆ อย่าพูดว่า
ก็หนูหวังดี อาจารย์ถามว่าศิษย์หวังดีหรือระบายอารมณ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
  อย่าคาดหวังกับคนสูง จะได้ไม่ผิดหวังและเจ็บปวดนะศิษย์ ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูกต้อง ไม่ต้องสอนให้เหนื่อยเลย
ธรรมะสอนให้เข้าใจชีวิต ถ้าเมื่อไรที่ไม่สนใจธรรม ก็คือไม่สนใจชีวิต ธรรมะสอนให้เข้าใจชีวิตและพ้นทุกข์ในชีวิต ถ้าไม่อยากเอาธรรมะนั่นก็แปลว่าไม่อยากพ้นทุกข์ ยังอยากทุกข์ต่อไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ มีแต่สังขารที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครตาย แต่ถ้าตายจริงๆ ก็คือแค่สังขารนั้นตายไป แต่จิตยังอยู่  อยู่ตามแรงบุญกรรมที่ศิษย์สร้าง แต่ถ้าศิษย์ทำกรรมที่ไม่มีอกรรมแล้ว จิตก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ศิษย์เอ๋ย อายุมากแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาสังขารก็ต้องทิ้งไว้กับโลกนี้ จงดึงจิตออกมาให้จิตบริสุทธิ์ ให้จิตได้สดใส ให้จิตได้งดงาม ด้วยศีลด้วยธรรม แล้วทิ้งสังขารนี้ไว้อย่าไปยึดติดกับมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)   รู้จักมีศีลมีธรรมเพื่อนำพาชีวิตให้พบทางสว่างถูกไหมศิษย์  ต้องทำให้ได้ อย่าได้แค่ฟัง แต่ต้องฟังให้ได้ใช่หรือไม่ เอาธรรมะที่อาจารย์บอกวันนี้ไปประพฤติปฏิบัติให้ได้นะ มาวันนี้จะได้ไม่เสียเปล่าใช่ไหม (ขอบคุณ
พระอาจารย์เมตตา)  มีสุขให้อาจารย์เห็นหรือยัง
ชีวิตนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ใช่ความทุกข์ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นคืออารมณ์ที่ไม่รู้จักควบคุม ความทุกข์ในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับกิเลสอารมณ์ที่ไม่รู้จักควบคุมให้ได้ ใช่หรือไม่ ชวนเขามาธรรมะต้องให้ตรงอยู่ในธรรม อย่าชวนเขามาด้วยการหลอกลวงนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญ มาช่วยอาจารย์แค่นี้ยังต้องหลบอีกหรือ เดินทางธรรมนี้แล้วอย่ายอมแพ้ต้องสู้ให้ถึงที่สุดนะศิษย์ อย่าฟังไปแล้วเสียเปล่านะ น่าเสียดาย ตั้งใจทำให้ดี ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น ใช่ไหม ขจัดได้หรือยังความรัก โลภ โกรธ หลง กล้ายอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ศิษย์ต้องทำให้สิ่งที่เห็นแล้วทำให้เกิดธรรมในใจ เกิดธรรมในบิดา มารดา ใช่หรือไม่ ต้องสู้นะ อาจารย์จะให้กำลังใจ สู้อย่างคนที่กล้ายอมรับความจริง เอาแอปเปิลไหม จะได้เอาไปผูกบุญกับคนอื่นต่อ
อุตส่าห์ออกมาช่วยอาจารย์ ถูกต้องแล้วนะ (จับมือกับพระอาจารย์ด้วยคะ)  จับมือนั่นหมายความว่าจะกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ยังจะจับไหม ปล่อยก็ได้นะตอนนี้ (ไม่ปล่อย)  มั่นใจนะ กลับมาหาอาจารย์อีกนะ
มาผูกบุญ มาเพิ่มพูนปัญญาธรรม จะได้ไม่หลงกับโลกใบนี้ อย่าอยู่ใกล้แล้วเสียเปล่านะ เข้าใจธรรมที่อาจารย์พูดนะศิษย์เอ๋ย เอามาทำให้เกิดปัญญา
ให้ได้ นำพาชีวิตให้พ้นทุกข์แล้วกลับมาอีกนะ โลกใบนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับจิตใจที่ไม่ยอมสู้ คนไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่อยากจะไปเที่ยว ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ และอาจารย์ก็ไม่เคยหลอกศิษย์ มีแต่ศิษย์ที่หลอกอาจารย์ว่าจะทำแต่พอถึงเวลาก็ไม่ทำ หลอกอาจารย์ว่าจะบำเพ็ญปฏิบัติธรรม
(เป็นเนื้องอกที่มดลูกอยากขอยาพระอาจารย์คะ)  ขอแอปเปิลอาจารย์หน่อยนะ แต่ถึงเวลายังไงก็ต้องรักษาอันนี้เป็นแค่ยาช่วยให้คลายความเจ็บปวด เข้าใจนะ แต่ที่สุดแล้วยังไงก็ยังต้องรักษา เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ชีวิตเราเราทำเองก็ต้อง
รับเอง ถ้าไม่อยากมีกรรมจงคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะทำอะไร เข้าใจนะ
อาจารย์อยากอวยพรให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเข้มแข็ง รู้จักต่อสู้กับชีวิตให้ได้นะ (อยากขอยาพระอาจารย์)  ขอยาหรือ ใครอยากได้ยา ถึงเวลามาหยิบนะ อาจารย์วางไว้ที่โต๊ะ (อยากจับมือพระอาจารย์)  ต้องจับมืออาจารย์ด้วยหรือ อาจารย์ไปแล้วนะ ต้องรู้จักดูแลตัวเองให้ดี รู้จักนำพาชีวิตตัวเองให้ถูกต้อง
รักษาตัวเองให้ดี อย่าทำร้ายตัวเอง เพราะชีวิตทุกชีวิตล้วนมีค่า ขอให้คิดด้วยความไตร่ตรองรอบคอบ และใจเย็น อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญกลับมาสู้อ้อมกอดแห่งธรรม กลับมาสู่อ้อมกอดแห่งความจริง อย่ามัวหลงกับชีวิตอันจอมปลอมนี้ อย่ามัวติดกับกิเลสของโลกใบนี้ จนมองไม่เห็นความจริงเลยนะ ตื่นแล้วสู้กับชีวิต สู้กับความทุกข์ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง มองให้ออก แล้วสักวันหนึ่งศิษย์จะได้กลับไปกับอาจารย์ ไปด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่จิตที่ติดด้วยสังขาร อารมณ์และนิสัย ทำให้ได้นะศิษย์ (เวลาก้มเงยตอนนี้ไม่ได้)  สังขารไม่เที่ยง ไม่ใช่ให้ยึดติด ไปแล้วนะศิษย์
เด็กดื้อทั้งหลาย ไม่ร้องไห้นะศิษย์ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง ต้องมีหัวใจนักสู้ อะไรก็กล้าที่จะยอมรับ และฝึกเรียนรู้ อย่ายอมแพ้ บำเพ็ญแล้วเดินให้ถึงที่สุด บำเพ็ญแล้วเพื่อความดีงามและความถูกต้องก็จะไม่ทอดทิ้ง บำเพ็ญแล้วเพื่อคุณธรรมก็ยอมเสียได้และเจ็บปวดได้
แม้ร่างกายอันไม่เที่ยงนี้จะเป็นอย่างไร ศีลงามพร้อมหรือยัง คุณธรรมความเป็นคนสมบูรณ์หรือยัง เมื่อรักษาไว้ได้การดำเนินชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ารักษาไม่ได้ การดำเนินชีวิตก็สับสนปนเป เรียนรู้หลักธรรมต้องเอามาประพฤติปฏิบัติ ธรรมย่อมคุ้มครองคนประพฤติ ความชั่วนั้นจะก็นำพาให้คนลุ่มหลง ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะประพฤติธรรมหรือประพฤติชั่ว คำพูดคนไม่สำคัญเท่ากับการกระทำของเรา ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์รักของอาจารย์
ช่วยร่างกายไม่ประเสริฐเท่ากับช่วยนำพาจิตใจให้พ้นทุกข์ เพราะกายนี้หนีไม่พ้นความทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่ถ้าอาจารย์ช่วยจิตศิษย์ จิตนี่แหละที่สามารถพ้นทุกข์ได้แท้จริง ฉะนั้นศิษย์อย่ามัวแต่ติดอยู่กับกาย จงดึงจิตออกมาให้พ้นทุกข์ด้วยการประพฤติปฏิบัติให้งดงามนะศิษย์ ขอแค่รับผิดชอบหน้าที่ของความเป็นคนให้ดี อย่าใจร้อน อย่าวู่วาม ว่างก็ให้กลับมา ได้ไหม อย่ามัวแต่เล่น อย่ามัวแต่ดื้อ ไม่อย่างนั้นชีวิตพลาดไปแล้วก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ สังขารทิ้งไว้ที่นี่ เอาจิตกลับมาหาอาจารย์นะ จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่งดงามที่เข้าถึงศีลและธรรม และปลดปลงในการยึดมั่น
ถือมั่นในสังขารอันไม่เที่ยงแล้วนะ
มีแต่จิตนี้เท่านั้นนะที่จะทำให้ศิษย์กับอาจารย์กลับมาเจอ และพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ศรัทธาเชื่อมั่นในความ
ถูกต้องดีงามในใจของตัวเอง ตั้งใจทำให้ได้
เพื่อเวไนยไม่มีคำว่าเหนื่อย
เพื่อเวไนยไม่มีคำว่าท้อ
เพื่อช่วยคนไม่มีคำว่าทุกข์นะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท มีสติ ไม่ขาดสาย”
    ทำสิ่งใดด้วยสติอยู่ในธรรม             ใจเย็นยั้งใจร้อนทิฐิหนา
ใช้ความนิ่งสยบความวุ่นเลียนใจฟ้า        ฝึกพิจารณาตามจริงกว่าตามใจ
    มีสติต้องคุมดูความคิด                  รู้ทุกขณะไม่ปล่อยจิตเตลิดใหญ่
โดนกระทบก็ไม่เก็บมาใส่ใจ                คุมใจได้ทุกข์สุขไม่เป็นอารมณ์
    อารมณ์พาคนประมาท                 จนขาดสติทับถม
ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์                         กล้าขมหวานจึงตามมา


หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่สถานธรรมหมิงเอิน
อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ ๑๖
- ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา