วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

2557-03-22 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช


西元二一四年 歲次甲午二月廿二日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

    ไม่มีหวังไม่มีอยากไม่มีสุข    ก็ไม่ทุกข์มีสติสงบได้
หากชีวิตยังต้องเดินก้าวต่อไป   ก็อยู่ได้กับความจริงอันธรรมดา
เราคือ
   หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย  แฝงกายประณตน้อมกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

    ตาไฉนไม่มองควรเจ้าเรื่องราว นิสัยเก่าทำตนให้เป็นจำเลย
อ้างเอาความไม่เป็นวิ่งหนีเฉย เรื่องละเลยทำง่ายดายใจของตน
ชีวิตคนวิ่งไปวิ่งมาลืมจิต มีความผิดโทษใครก่อนโทษตน
วนเวียนความชังชอบมาไกลโพ้น ทางออกอยู่ในตนค้นข้างใน
จงระวังสอดส่องยิ่งมองความคิด ขุ่นสนิทยิ่งมองยิ่งย้อนยิ่งใส
มองเข้าไปไปเข้ามีความไร้ เพียงควบคุมใจข้างในสงบวาง
จงแก้ไขเมื่อผิดใช่ชินชา แม้ชะตาบีบคั้นหน่ายสิ่งต่างต่าง
ดวงจิตไม่มากเกินหนึ่งจึงสว่าง แม้ว่าช่างทันคนค้นข้อดี
เกิดกิเลสต้องอดใจฝึกนำออก กิเลสยั่วยอกย้อนต้องทนเต็มที่
จงอยู่กับใจตัวเองตบะดี ทุกข์สุขที่ชำเลืองมองไม่แน่นอน
                                                   ฮา ฮา หยุด

 พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ฟังธรรมะมากๆ ฟังธรรมะเยอะๆ เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  แล้วง่วงไหม (ไม่ง่วง)  ไม่ง่วงแต่หลับเลยใช่ไหม ง่วงไหม เมื่อยไหม ถามหน่อยนะ ตอนนี้อยากพักสักครู่ไหม (ไม่อยาก)  ใครอยากพักเราให้พักนะ แล้วหายเหนื่อยก็ค่อยขึ้นมาสนทนาธรรมกันต่อดีไหม (ดี)  ให้เวลาพักกี่นาทีดี หรือว่าพักมาตลอดชีวิตแล้ว ว่าอย่างไร ให้เวลาพักสิบนาที ใครอยากจะไปทำธุระอะไรก็รีบไปนะ ให้โอกาสเขาเถอะนะ เผื่อข้างหลังเขาอยากพักบ้าง อยากคุยกับเราหรือ คนที่อยากคุยเราก็จะคุยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาดีไหม
โดยส่วนใหญ่เรามาศึกษาบำเพ็ญธรรม สิ่งที่เรามุ่งหวังและต้องการมากที่สุดคือความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยคิดไหมว่าความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิตคือการวิ่งไปหาจากภายนอกไหม (ไม่ใช่)  อยากหาชีวิตที่สมบูรณ์ อยากหาชีวิตที่มีสุข ต้องวิ่งไปหาข้างนอกแล้วมาเติมให้เต็มในจิตใจ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  จริงหรือ (จริง)  สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่สุดคือความสมบูรณ์พูนสุขที่สุดในชีวิตและเราก็พยายามวิ่งไปหาข้างนอก วิ่งไปหาจากคนนั้น วิ่งไปหาจากสิ่งนั้น วิ่งไปหาจากคนนี้ แล้วเราคิดว่าสิ่งที่เราหามานี่ที่สุดแล้ว ดีแล้ว แต่ทำไมพอได้มาอยู่ในมือ เรากลับมองเห็นว่ามันกลายเป็นธรรมดา จริงไหม (จริง)  เราว่าเราได้ดีที่สุดแล้วนะ ใครคิดบ้างว่า ตอนแรกๆ ที่ได้สามีมาคือสิ่งที่ดีที่สุด ทำไมหัวเราะล่ะ ฝ่ายสามีใครบ้างที่ตอนแรกๆ ที่ได้เจอภรรยารู้สึกว่าเราเจอเพชรน้ำงามที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้ยังงามอยู่ไหม (งาม) ฝ่ายหญิงสู้ฝ่ายชายไม่ได้แล้วนะ เขายังบอกว่าเรายังงามที่สุดใช่ไหม (ใช่)  ยังงามที่สุดไหม ทำไมเบาลงล่ะ ยังงามที่สุดไหม (งามครับ)  แม้ในใจยังบอกว่ายังมีตำหนิบ้างก็ตาม โดยส่วนใหญ่เราคิดว่าสิ่งที่อยู่ในกำมือเรา หรือสิ่งที่เราดิ้นรนไขว่คว้ามาคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่หลายๆ ครั้ง ความจริงสอนเราว่า สิ่งที่อยู่ในมือนั้นก็ไม่ต่างอะไรเลยกับของธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  แถมบางทีนึกว่าจะทำให้เรามีความสุขแต่กลายเป็น (ความทุกข์)  
ฉะนั้นจึงอยากจะบอกจึงอยากจะสอน ให้มนุษย์รู้ว่าการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่การแสวงหาสิ่งภายนอกอันสมบูรณ์ที่สุด แต่การบำเพ็ญธรรมคือการค้นหาตัวตนเองที่มีความสมบูรณ์งดงามและเป็นสุขที่สุดซึ่งมีอยู่ในตัวแล้ว แต่เรามองไม่เคยเห็นแล้วก็กลับดูถูกดูเบาคุณค่าตัวเองว่าโดดเดี่ยวบ้างล่ะ อ้างว้างบ้างล่ะ ไม่มีคุณค่าอะไรเลยบ้างล่ะ หาความสุขไม่เคยเจอบ้างล่ะ ต้องมีคนนั้นต้องมีสิ่งนั้น ต้องมีสิ่งนี้แล้วฉันจะสุขสักที แต่ทุกครั้งที่ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้มามันสุขจริงๆ ไหม (ไม่จริง)  สุขได้นานไหม (ไม่นาน)  ทำไมในสุขกลับมีทุกข์ซึ่งไม่ต่างอะไรกับตอนที่เราไม่มีเลย แถมบางทีวิ่งอยู่อย่างเดิมดีกว่าอีก ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่หมายความว่าการเติมสิ่งต่างๆ เพื่อทำให้ใจนั้นสมบูรณ์และเติมเต็ม แต่การบำเพ็ญธรรมคือการค้นหาคุณค่าตัวตนที่แท้จริงที่งดงามสมบูรณ์และมีค่าที่สุด อยู่ในตัวท่านเอง ความสุขที่สุดอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเราใช่ไหม (ใช่)  แล้วตัวเราแบบไหน ที่ทำให้เราสุขที่สุด (รู้จักพอ)  เขาพูดถูกนะถ้าพอเมื่อไหร่สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ก็คือกำไรชีวิต แต่ถ้าไม่พอเมื่อไหร่ไม่ว่าอะไรจะเติมมามันก็ไม่เต็ม จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไหร่คิดว่าแค่นี้ก็ดีแล้วเท่านี้ก็สุขแล้ว เท่านี้ก็พอแล้ว ฉะนั้นพอมีใครเพิ่มมาก็กำไร พอมีใครว่าเรามาก็ไม่ขาดทุนเพราะเราพอแล้ว โดนว่านิดหน่อยก็ไม่เป็นไรนี่จริงไหม (จริง)  จะขาดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเราได้สุขแล้ว ฉะนั้นตอนนี้จะขาดไปหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะฉันเคยสุขแล้ว แต่ถ้าตอนนี้บอกว่าไม่พอ ไม่เต็ม ไม่สุข พอขาดอีกก็เหมือนยิ่งขาดทุนใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเพิ่มมาก็เหมือนไม่ได้กำไร ยิ่งเพิ่มก็เหมือนไม่มีอะไรมากขึ้นใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากหาความสุข อยากหาความงดงาม พอหรือยัง (พอแล้ว) จริงหรือ (จริง)  ถ้าพอแล้วต้องได้คำที่เราพูด ไม่มีหวัง ไม่มีอยาก ไม่มีสุข ใช่ไหม ถ้าคนรู้พอจะไม่หวังสิ่งใด ถ้าคนรู้พอจะไม่อยากเรื่องอะไร ถ้าคนรู้พอจะไม่มีสุขกับสิ่งไหน เพราะทุกสิ่งมันพอแล้วนี่ อะไรมาก็ไม่ได้ต้องสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรยังหวัง ยังอยาก ยังสุข นั่นแปลว่ายังไม่พอจริงไหม (จริง)  
เรายังหวังอยู่ใช่ไหม หวังไหมว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจะให้สองตัวสามตัว (ไม่หวัง,หวัง)  เราไม่ให้นะ ช่วยแค่เพียงกายภายนอก ไม่สู้ช่วยที่หัวใจ ถ้าหัวใจคนรู้จักคิดได้คิดเป็น แม้ไม่มีหรือแม้ต้องเจอชีวิตต้องอับจนที่สุด ความเข้าใจในจิตใจจะนำพาให้ตัวท่านพ้นทุกข์ได้ ยิ่งกว่าได้เงินทองอีกนะจริงไหม (จริง)  ช่วยเงินทองแต่หัวใจไม่เข้าใจชีวิต เงินทองก็ทำให้อับจนได้ แต่ถ้าช่วยที่ชีวิตและจิตใจ รู้จักเข้าใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ แม้ไม่มีเงินทอง ความเข้าใจในชีวิตก็จะนำพาให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แม้เป็นคนจนที่สุดจริงหรือเปล่า (จริง)  คิดทันที่เราพูดไหม (คิดทัน)  ฉะนั้นไม่เอาสองตัวนะ (เอาสามตัว) อยากได้ใช่ไหม เราจะบอกให้ “จงรู้พอ”
อย่างนั้นเราถามนะ ใครพอจะแต่งกลอนต่อจากเราได้บ้าง
“ไม่มีหวังไม่มีอยากไม่มีสุข ก็ไม่ทุกข์มีสติสงบได้”  
“หากชีวิตยังต้องเดินก้าวต่อไป ..………………………”   
ต่อได้หรือไม่ เราถามจริงๆ นะ ถ้าถึงเวลาวันหนึ่งไม่มีความหวัง ไม่มีความอยากอะไรแล้ว และไม่มีอะไรที่ทำให้มีสุขแล้ว  เราจะต้องทุกข์จริงๆ หรือไม่ (ไม่)  แต่เราจะอยู่อย่างคนที่มีสติและสงบได้ แม้ลมหายใจเรายังมีอยู่ แต่เราจะก้าวต่อไปได้อย่างไร ถ้าหวังมันไม่มี อยากก็ไม่มี สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี เราเคยก้าวมาอยู่ตรงจุดๆ นี้หรือไม่ ทำอย่างไรให้ชีวิตหมดทุกข์ หากชีวิตยังต้องเดินก้าวต่อไป เมื่อเราไม่หวังเราก็ไม่ต้องผิดหวัง ชีวิตสุขได้ถ้าใจพอได้ ใช่หรือไม่
(ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตาให้บันทึกกลอนวรรคสุดท้ายที่นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกับท่านไว้)
(นักเรียนในชั้นเรียน 3 ท่านร่วมแต่งกลอนวรรคสุดท้าย
นักเรียนท่านที่ 1. แต่ง “ชีวิตไซร้ก็สุขได้ถ้ารู้พอ”
นักเรียนท่านที่ 2. แต่ง “ทำไฉนถ้าไม่มีตัวของเรา”
นักเรียนท่านที่ 3. แต่ง “จงทำใจให้รู้จักคำว่าพอ”)
อยากฟังคำตอบของเราหรือไม่ (อยาก)  คำตอบของเราคือ
“ก็อยู่ได้กับความจริงอันธรรมดา” 
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นต้องเลิศหรู ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเกรียงไกร ไม่จำเป็นต้องสวยมากมาย แต่อยู่อย่างคนธรรมดาสามัญติดดิน มีน้อยก็กินน้อย มีเยอะก็แบ่งปัน ไม่มีก็เข้าใจ ไม่ตรอมตรมหัวใจ ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  จนบ้างเป็นอะไรหรือไม่ (ไม่เป็นไร)  อกหักบ้างเป็นอะไรหรือไม่  (ไม่เป็นไร)  ล้มละลายบ้างเป็นอะไรหรือไม่ (ไม่เป็นไร)  ก็ไม่มีหวังไม่มีอยาก อย่างน้อยก็เคยมีทองหายไปบ้างก็ธรรมดา อย่างน้อยก็เคยได้รักบ้าง อกหักบ้างจะเป็นอะไร อายุเท่านี้แล้วกลัวอกหักไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวจริงๆหรือ พอสามีล้มหายตายจากไปร้องไห้แทบเป็นแทบตาย แต่ตอนอยู่ก็ด่าเช้าด่าเย็น
อาจจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับท่านสักนิดหนึ่ง แต่จริงๆแล้วความเป็นมนุษย์หรือความเป็นพุทธะ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่หรอก ขึ้นอยู่ที่จิตแค่นั้นเอง จิตหนึ่งรู้ตื่นพ้นแล้ว แต่จิตหนึ่งยังหลงอยู่ ถูกไหม อย่ามัวติดแต่ภายนอกจนมองไม่เห็นแก่นแท้ภายใน อย่ามัวยึดติดแต่สิ่งที่รู้จนลืม (ตัวเอง) และกลับดูถูกคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าท่าน ใช่ไหม (ใช่)  บ่อยครั้งเรายึดติดกับสิ่งที่เรารู้จนทำให้เราสูญเสียโอกาสกับคนที่อยู่ตรงหน้า เพียงเพราะเราคิดแค่เพียงว่าไม่ถูกชะตาแค่นั้นหรือ
หรือว่าไม่โดนใจเลยไม่อยากคุยด้วยอย่างนั้นหรือเปล่า มนุษย์มักจะพูดว่า ถ้าอยู่ก็ต้องอยู่ให้เขารัก ถ้าจากก็ต้องให้เขาคิดถึง ถ้าอยู่แล้วคนเขารังเกียจอย่าอยู่เลยดีกว่า ฉะนั้นอยู่ให้รัก จากต้องให้คิดถึง ดีหรือเปล่า (ดี) ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ท่านคงยินดีต้อนรับและยินดีสนทนาธรรมกับเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าส่วนใหญ่ไม่ต้องการก็บอกได้นะ เราก็พร้อมที่จะกลับไป ไม่อยู่ให้รำคาญใจ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อย่างนั้นเชิญทุกท่านนั่งลงได้ (นักเรียนในชั้นเรียนขอบคุณท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตา)
ธรรมะ ยิ่งพูดยิ่งห่างไกล ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเรียนรู้หลักธรรมไหม ธรรมะยิ่งพูด ยิ่งอธิบาย ยิ่งห่างไกล ถ้าเกิดอยากจะเข้าใจธรรมะก็นิ่ง ดีหรือไม่ (ดี)  ยิ่งพูดยิ่งห่างไกลธรรม ฉะนั้นบางครั้งการนิ่งเงียบจะทำให้เราเห็นธรรมะอย่างถ่องแท้จริงหรือไม่ (จริง)  ลองคิดให้ดีๆ นะ ธรรมะยิ่งพูดยิ่งห่างไกล แต่บางครั้งถ้าอยากเข้าถึงธรรมะต้องใช้ความนิ่งเงียบจึงจะเข้าใจ เหมือนเวลาเราทะเลาะกับใคร เราโกรธกับใคร เราไม่เข้าใจเขา แต่ยิ่งเราเอาเหตุผลของเราอ้าง ยิ่งเราอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราไม่เข้าใจ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ ยิ่งเราพูด เรายิ่งไม่เข้าใจเขาเลย ถูกไหม (ถูก)  เหมือนยิ่งพูดก็เหมือนมีม่านกั้นแล้ว กั้นชั้นที่สอง กั้นชั้นที่สาม อย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งลองนั่งเงียบๆ แล้วมองเขาด้วยสติ แล้วคิดพิจารณาไตร่ตรอง บางทีท่านอาจจะเข้าใจเขาโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อสักครู่เราคุยกับท่านตอนต้นว่าเราจะอยู่โดยไม่มีหวังไม่มีอยาก และไม่ต้องหาความสุข เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้อยู่อย่างหมดหวังก็ตายละสิท่าน ให้อยู่อย่างไม่อยากอะไรเลย ตายใหญ่เลย แล้วชีวิตไม่มีสุขอะไรเลย ตายแน่ๆ เลย ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แสดงว่าสิ่งที่เราพูดมามันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหมและคิดว่าที่เราพูดมามันเหนือเมฆทั้งนั้นเลย ทำไม่ได้หรอกขึ้นชื่อว่าชีวิต ยังต้องมีหวัง ยังต้องมีอยาก ยังต้องมีสุข ถึงจะเรียกว่าชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้อยู่อย่าง หมดหวัง หมดอยาก หมดสุข แล้วมันคืออะไรล่ะ เราถามท่านจริงๆ นะ ถ้ามนุษย์อยากตลอดเวลาท่านคงนั่งนิ่งๆ ไม่ได้หรอก ถ้ามนุษย์หวัง อยาก และมีสุขตลอดเวลา ท่านคงนอนไม่หลับหรอก จริงไหม (จริง)
แต่ที่หลับได้เพราะวันนี้หยุดแล้ว วันนี้ไม่หวังแล้วใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจคิดว่ายังหวัง ยังอยาก ยังสุข นอนไม่หลับจริงไหม (จริง)  ลองดูสิถ้าวันนี้ตอนจะหลับ แล้วอยากกินมาม่าต้มสักชาม ต้มยำแซบๆ บีบมะนาวสักหน่อย หลับไหม (ไม่หลับ)  ลุกไปกินทันที กลับมาท้องอืด นอนไม่หลับใช่ไหม (ใช่)  หรือคิดว่าทำไมวันนี้ไม่ไปเที่ยว ไปเที่ยวดีกว่าจะมานอนแต่หัวค่ำเป็นเด็กดีทำไมใช่ไหม (ใช่)  หลับไหม (ไม่หลับ)    
ฉะนั้นจริงๆ มนุษย์รู้อยู่แล้วแต่ไม่เข้าใจตัวเอง แล้วก็กลัวว่าถ้าเมื่อไรหยุดหวัง หยุดอยากแล้วจะไม่มีสุข แต่จริงๆ ไม่ใช่ ทุกขณะชีวิตเรามีความหยุดอยู่แล้วในตัว แต่เรากลับกลัวที่จะหยุดอยู่ตรงนั้น กลัวว่าจะย่ำอยู่กับที่แล้วไม่พัฒนา กลัวว่าถ้าไม่อยากอะไรเลยแล้วกลายเป็นคนที่ด้อยความรู้ แต่จริงๆ แล้วการไม่อยากไม่หวังคือแบบใดเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ก่อนจะไม่อยาก ไม่หวัง เรามาดูก่อนไหมว่า การวิ่งไปตามความอยาก วิ่งไปตามความหวัง วิ่งไปหาความสุข จริงๆ แล้วดีไหม ลองดูไหม ตอนนี้ก็กำลังทำอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านรู้ไหม พุทธะสอนไว้ว่า บุคคลที่ปล่อยตัวเองไปตามความอยากจะไม่มีวันพบกับความสุขที่แท้จริง ชีวิตจะผจญกับความสับสน และหาที่สิ้นทุกข์ไม่เจอ คนที่ปล่อยตัวเองไปตามความอยากจะหลงลืมแก่นแท้แห่งความดีงามในตน และจะนำพาตนให้พบกับอันตรายและความพ่ายแพ้ปราชัย
ลองดูนะ ถ้าเราบอกว่า เรามีดอกไม้อยู่สองดอก ถามท่านว่าระหว่างดอกไม้ในตะกร้ากับดอกไม้แค่สองดอก ท่านเลือกอะไร (สองดอก) เอาแค่สองหรือเอาทั้งตะกร้า (เอาแค่สอง)  จริงหรือ (จริง)  ลองดูนะว่าเรารู้จักหยุดอยากไหม และเราเป็นนายเหนือความอยากหรือตกเป็นทาสของความอยาก ถ้าเราบอกว่าในสองดอกนี้มีดอกหนึ่งที่ได้ไปแล้วจะพบความสุข แต่ดอกหนึ่งถ้าเลือกไปแล้วจะพบแต่ความอับโชคและเคราะห์ร้าย (เลือกดอกเดียว) เมื่อสักครู่ท่านเลือกสองดอกนี่ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเลือกในตะกร้านี้เราจะบอกว่าในตะกร้านี้มีดอกหนึ่งที่พบความโชคร้าย แต่ที่เหลือจะพบแต่ความโชคดี
(นักเรียนชายในชั้นเรียนออกมาเพื่อจะเลือกดอกไม้)
รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วดอกไม้ก็เป็นดอกไม้ แต่บางครั้งดอกไม้ก็สามารถบีบคั้นหัวใจเราให้เจ็บปวดได้จริงไหม ถ้าเราบอกว่าดอกหนึ่งจะอับโชคแต่อีกดอกหนึ่งจะโชคดี ถ้าท่านได้ดอกที่สั้นที่สุดท่านจะอับโชค ถ้าท่านได้ดอกที่ยาวที่สุดจะโชคดี ถ้าท่านเลือกหนึ่งอัน อีกอันจะเป็นของคนที่ต้องอยู่ใกล้ตัวท่านจริงไหม (จริง) ถ้าเราได้ดีคนอื่นจะแย่ ถ้าเราแย่คนอื่นจะดี ฉะนั้นอย่าให้เรื่องราวในโลกมันบีบคั้นหัวใจ ทำอย่างไรเราจะเป็นนายเหนือทุกสิ่งและไม่บีบคั้นชีวิตจิตใจเรา ตกลงเลือกไหม (ไม่เลือก)  ก่อนออกมาก็บอกเราว่าเลือก แล้วตอนนี้บอกว่าไม่เลือก  เขาตอบถูกไหม (ถูก)  ถึงแม้ท่านจะเลือกได้ดอกโชคดีแต่คนข้างๆ ก็กลายเป็นคนโชคร้าย ถ้าท่านเลือกได้ดอกโชคร้ายคนที่อยู่ข้างๆ ท่านก็กลายเป็นคนโชคดี แล้วเราควรเลือกอะไรไหม (ไม่เลือก)  แล้วเราจะอยู่กับเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร บางครั้งเราคิดว่าเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ท่านลองเลือกดูสิว่าจะโชคดีหรือโชคร้าย เชิญนั่งนะเขาไม่เลือกแล้วท่านจะเลือกไหม (ไม่เลือก)  เพราะมนุษย์เอาแต่ (ใจ) ถ้าอยากเข้าใจชีวิตและเป็นนายเหนือทุกสิ่งไม่ให้ทุกสิ่งมาบงการชีวิต ไม่ต้องกลัวที่จะเลือก ไม่ว่าจะเลือกโชคดีหรือโชคร้ายเราก็สามารถทำทุกสิ่งให้เป็นได้ดังใจได้จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราโชคดีที่สุดเราแบ่งปัน ใครจะโชคร้าย ถ้าเราโชคร้ายที่สุดแต่เราเข้าใจและมีความสุขใครละคือคนที่โชคดีจริงไหม ทำไมแค่ดอกไม้สองดอกก็สามารถควบคุมหัวใจนักเรียนในชั้นได้หมดสิ้นถูกไหม
ชีวิตบางครั้งเลือกได้ บางครั้งเลือกไม่ได้ ท่านจะทำอย่างไร นั้นก็คือไม่หวัง ไม่อยาก ไม่สุขแล้วก็ไม่ต้องทุกข์ แต่มีสติอยู่กับทุกข์สุขในโลกด้วยความเข้าใจ ถูกลอตเตอรี่รู้จักแบ่งปัน เพื่อนบ้านก็ไม่รังเกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินถูกคนยืมไปแล้วไม่ได้คืนก็มีความสุขดี คิดว่าได้ใช้หนี้คืนเขา สงสัยชาติก่อนฉันติดเขามา ไม่เศร้าใจและไม่ผูกใจเจ็บ ไม่ผูกอาฆาต ไม่ก่อเวรก่อกรรม เอาไปบ้างก็ดี เบาความห่วงกังวลไปได้เยอะเลย ตอนนี้สามีอยู่กับเราก็ดี ไปบ้างก็ดี ไม่ห่วง ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นมนุษย์เมื่อเราอยู่ในโลกเราก็ต้องเข้าใจชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิตเราจะพบสัจธรรม เมื่อเข้าใจธรรม ทุกข์ สุข ดี ร้าย ได้ เสีย จะทำอะไรกับหัวใจเราไม่ได้ บ่อยครั้งที่เราหวังแล้วผิดหวัง สุขมากเท่าไหร่ก็ทุกข์มาก แล้วเวลาเราทุกข์มากๆ ทุกคนทำอย่างไร (ร้องไห้)  ทุกข์มากๆ ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องไห้ ร้องไห้ได้ที่ขั้นต่อไปคือโทษคนนั้น โทษคนนี้ พอกล่าวโทษเสร็จเริ่มทวงบุญคุณ “คนนั้นทำไมไม่มาปลอบใจฉัน”  “คนนี้ทำไมไม่มาให้กำลังใจฉัน ช่วงที่เธอแย่ฉันยังเคยให้กำลังใจเลย เดินผ่านไปเฉย ทั้งที่ฉันนั่งร้องไห้”  มนุษย์เวลาเจอทุกข์พยายามหลบหนีเหตุการณ์ต่างๆ แล้ววิ่งไปหาความสงบใจ นี่คือวิธีแก้ เวลาทุกข์มากๆ พยายามหาธรรมะ “พูดธรรมะหน่อย ปลอบประโลมใจให้ฉันหายทุกข์หน่อย”  แต่เขาพูดอย่างไร กลับมาบ้านทุกข์เหมือนเดิม ถูกหรือไม่ (ถูก)  นั่นคือวิธีแก้ทุกข์ที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  อย่างนั้นเราควรจัดการกับเราอย่างไรดี
ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ว่า “เมื่อใจว่างทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบก็กลายเป็นความว่าง เมื่อใจวุ่นทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะมานิ่งๆ ธรรมดาก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย”  ฉะนั้นถ้าใจไม่มีสิ่งนั้นอยู่ แม้สิ่งนั้นจะลอยผ่านมาตรงหน้า หรือให้ผ่านมากับตัวเรา เราก็กลับรู้สึกเฉยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนคนไม่เคยกินเหล้า ถ้าเห็นเหล้าวางอยู่แบนหนึ่งเปรี้ยวปากไหม (ไม่)  แต่ถ้าเกิดเปรี้ยวปากแสดงว่าเหล้ามีอยู่ใน (ตัว)  เพราะเรามีความอยากอยู่ในใจ ฉะนั้นพอเห็นเหล้าก็เลยเปรี้ยวปาก ฉะนั้นมนุษย์จึงปล่อยให้เรื่องราวในโลกนี้บีบคั้นและทำลายหัวใจได้ก็เพราะว่าเรามีความอยากอยู่ในใจ เรามีความหวังอยู่ในใจ ฉะนั้นถ้าเราพบว่าใจเราว่างแล้วสิ่งใดที่เกิดขึ้นก็จะทำให้เราหวั่นไหวได้ไหม (ไม่ได้)  ใจเรานิ่งแล้วสิ่งใดจะทำให้เราอยากไหม (ไม่อยาก)  แล้วเรานิ่งไหม (ไม่นิ่ง)  ว่างไหม (ไม่ว่าง)  จึงตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป เห็นรถเราก็อยากได้ (รถ)  เห็นเงินก็อยากได้ (เงิน)  เห็นคนหล่อก็อยากได้ (คนหล่อ)  เห็นคนสวยก็อยากได้ (คนสวย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากจะหยุดอย่าแก้ที่ปลายเหตุ อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยวิ่งหนีไปหาความสงบ
ทำไมไม่รู้จักสงบตั้งแต่ก่อนจะทุกข์ ทำไมไม่รู้จักมองให้ชัดก่อนที่จะหยิบมันมาด้วยความอยาก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีสองวิธีที่จะหยุดทุกข์ หนึ่งคือไม่อยากเลย ซึ่งท่านก็ยังทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเรามีอีกวิธีหนึ่งคือ อยากได้ หวังได้ แต่ต้องไม่ลืมความจริง ทำได้ไหม (ทำได้)  ได้จริงหรือ (จริง)  ถ้าตอนนี้เราถามว่าในตะกร้านี้มีดอกไม้แค่ดอกเดียวที่ได้ไปแล้วจะมีความสุข แต่ที่เหลือทุกข์หมดเลย เอาไหม (ไม่เอา)  ก็เมื่อกี้บอกอยากเรียนรู้วิธีไม่ใช่หรือ ฉะนั้นอยากได้ไหม (ไม่อยากได้)  แปลกจริง คนบางคนคำพูดเพียงคำเดียว ก็สามารถทิ่มแทงให้เจ็บปวดได้ แปลกจริงคนคนเดิมทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราก็ยังอยากมีคนคนนั้น แปลกจริงเราทุกข์กับเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เราควรจะหยุดอยาก แต่เราก็ไม่หยุด เราก็ยังอยากไปเรื่อย ใช่ไหม (ใช่)  แปลกจริงรู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วจะทุกข์ แต่ก็ยังทำ คิดแบบนี้แล้วจะแย่ก็ยังคิด ฉะนั้นจะทำอย่างไรดี
เราพูดจนกล่อมท่านหลับได้เลย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  แล้วรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  เห็นจิตใจแกว่งไปแกว่งมาไม่ค่อยสงบกันเลย นั่งกันเบื่อเต็มที่เลยใช่หรือเปล่า จริงๆ แล้วเราอยากมาชวนท่านคุยเพื่อให้ท่านประจักษ์ในชีวิต มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ ทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะความอยาก ทุกข์เพราะความหวัง ทุกข์เพราะยึดติดเกี่ยวพัน ทุกข์เพราะชอบ ทุกข์เพราะชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถามว่าเราหยุดไหม เราก็ไม่เคยหยุดในสิ่งที่เราทุกข์ เราไม่เคยหยุด แต่ยังวิ่งเข้าไปชน วิ่งเข้าไปหาสิ่งต่างๆ นั้นอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราเคยมองให้ชัดไหมก่อนที่จะไปไขว่คว้า (ไม่)  ยังชนเหมือนเดิม ยังทุกข์เหมือนเดิม ยังสุกๆ ดิบๆ เหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)  เกิดมาก็ต้องสุข จะมัวทุกข์อยู่ทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถึงเวลาทุกข์ใครช่วยท่านแก้ เรานึกว่าขวดเหล้ากับบุหรี่ เวลาทุกข์มากๆ แก้อะไรไม่ได้ ดับความคิดตัวเองไม่ได้ จึงเปิดเพลงให้ดังๆ เลยจะได้ไม่ต้องไปหมกมุ่นกับความคิดถูกหรือเปล่า แล้วก็กินเหล้าย้อมใจให้เต็มที่ จะได้หลับให้ตายไปเลย ถูกไหม (ถูก)  พอตื่นมาเป็นอย่างไร ปวดหัว แล้วแก้ได้ไหม (ไม่ได้)  เอาแต่หนีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นนักเรียนในชั้นสนใจแต่โทรศัพท์ ท่านจึงเมตตาว่า)
เดี๋ยวนี้ทุกคนไม่ค่อยมองกันหรอก มองแต่หน้าตัวเองในโทรศัพท์ ใครจะเป็นอย่างไรไม่รู้ สนใจแต่โทรศัพท์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราชวนท่านนอกเรื่องไปแล้วนะ แต่เราต้องการอยากจะบอกว่ามนุษย์มักจะชอบแก้ที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุที่แท้จริงมันอยู่ในใจ ใจที่ไม่พอ ใจที่ว่างไม่เป็น ใจที่นิ่งไม่ได้ ใจที่หยุดไม่ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วถึงที่สุด ถ้าวันนี้ยังไม่รู้จักการหยุดให้เป็น พอให้ได้ เมื่อวันหนึ่งฟ้าให้ท่านหยุด ท่านก็ต้องหยุด และเมื่อหยุดแต่ใจมันหยุดไม่ได้ จึงต้องเกิดการเวียนว่ายไปตามใจที่สั่งสม
ฟ้าให้โอกาสบอกวิธีว่าจะหยุดอย่างไรทำให้อยู่กับทุกข์ให้เป็น เหมือนอยากแก้พิษงู ก็ต้องฉีด (เซรุ่ม)  ฉีดพิษของงูเข้าไปในตัวเองถูกหรือไม่ (ถูก)  อยากจะพ้นทุกข์ท่านก็จะต้องอยู่กับทุกข์ให้เป็น โดยเมื่อมีทุกข์ ถ้าหากการอยู่กับทุกข์เป็น จะพบความเข้าใจที่ยิ่งกว่าสุข ไม่ใช่เป็นสุขที่ต้องกลับไปทุกข์ แต่เป็นความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ชีวิตคนทุกคนไม่มีใครหนีทุกข์พ้น เมื่ออยากจะหวังก็ต้องเรียนรู้ที่จะผิดหวัง เมื่ออยากจะได้ก็ต้องสูญเสียก่อนถึงจะได้ ไม่มีสิ่งใดในโลกได้มาฟรีๆ  ต้องแลกมาเสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะอยู่กับสิ่งนั้นได้อย่างไร บางทีเป็นเรื่องยาก ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “สิ่งใดที่เกิดขึ้นกับชีวิตล้วนมาพร้อมกับชะตา” แม้ว่าจะเจอเรื่องขัดใจ คนขัดตา ขอให้รู้จักอดทนและก้มหน้ายอมรับนั่นคือการเรียนรู้ชีวิต ถ้าก้มหน้ายอมรับไม่ได้ พุทธะจึงสอนว่า ถ้าเจอเรื่องขัดตาขัดใจแล้วทุกข์ ให้รู้จักวางใจเป็นกลาง อดทน ขันติ แม้จะต้องเสียเปรียบบ้างก็กล้ายอมรับ สักวันหนึ่งท่านจะรู้จักคุณแห่งการเสียเปรียบ อดทนอดกลั้น และวางใจเป็นกลาง เพราะเมื่อเขาทำให้เราโกรธแต่เราไม่โกรธตอบ ไม่ระบายความโกรธออกไป ท่านจะได้สลายเวรเภทภัยให้จบสิ้น เมื่อเขาติ ชัง ข่มขู่ ให้ร้าย ขัดขวาง ทำมิดีมิร้ายกับเราให้เจ็บปวดทั้งกายใจ เราสามารถอดทนไม่โต้ตอบได้ เมื่อนั้นท่านจะพบคุณธรรมและการบำเพ็ญตัวตน แต่ถามว่าทำได้ไหม ท่านก็บอกว่ายากใช่ไหม (ใช่)  เจอเรื่องทุกข์ก็ยังทุกข์อยู่ถูกหรือไม่ (ถูก)  
พุทธะก็เลยสอนไว้ว่า จริงๆ มนุษย์ทุกคนมีโชควาสนามากมายแต่รับไม่เป็น แล้วก็เรียนรู้ไม่เข้าใจ จึงทำให้สูญเสียโชควาสนาไปโดยไม่รู้ตัว ท่านก็สอนง่ายๆ ไม่กี่ประโยคว่า เมื่อเจอเรื่องขัดใจ เมื่อเจอเรื่องทุกข์ใจ อดทน ให้อภัย วางใจเป็นกลางได้จะพบคุณธรรมและวาสนาที่ดี เมื่อเจอเรื่องราบเรียบถูกใจ เมื่อนั้นจะง่ายที่จะฉุดรั้งให้เราตกต่ำ ฟังแล้วรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  ฉะนั้นอย่ากลัวเรื่องขัดใจ อย่ากลัวเรื่องทุกข์ใจ เพราะความทุกข์และสิ่งที่ขัดใจกลับทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตถูกไหม (ถูก)  แต่ฟังจนจบก็ยังไม่กระจ่างใช่ไหม (ใช่) เราถามนะชีวิตนี้สุขหรือทุกข์ (สุข, ทุกข์)
เหมือนมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “มนุษย์มีความเมตตา แต่ขาดซึ่งปัญญา จึงไม่กล้าหาญพอที่จะเอาชนะทุกข์ได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)   คนส่วนใหญ่ทุกคนมีจิตเมตตา มีจิตดีงาม แต่ขาดปัญญา จึงไม่กล้าหาญพอที่จะเอาชนะความทุกข์ จึงมองเห็นทุกข์เป็นเรื่องที่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต และเรียนรู้ชีวิตได้อย่างถ่องแท้ ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะว่าความทุกข์ก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นธรรมดาของชีวิตที่ต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอถึงเวลาเราเจอ เราทำใจได้ไหม ฉะนั้นถ้าอยากเอาชนะทุกข์ ไม่ยากเลย อยากรู้วิธีไหม (อยาก)  มองที่ใจตัวเองแล้วถามว่าระหว่างทุกข์กับสุขเราเกลียดอะไรมากกว่ากัน ผิดหวังกับสำเร็จเราเกลียดอะไรมากกว่ากัน (ผิดหวัง)  สมหวังกับผิดหวัง ท่านเกลียดอะไรมากกว่ากัน (ผิดหวัง) ใช่หรือไม่  ถ้าอยากแก้ที่ใจ เราจะบอกท่านว่า ต่อไปทุกข์กับสุขรักเท่ากัน สมหวังกับผิดหวังมีค่าเท่ากัน ฉะนั้นถ้าผิดหวังมาก็เท่ากันกับสมหวัง ใช่หรือไม่ เมื่อใจเราให้ค่าเท่ากันเราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เราจะรับได้ไหม (รับได้)
ถ้าเกิดมีคนรักกับมีคนเกลียด เราจะเกลียดเขาหรือไม่ (ไม่เกลียด)  เพราะเราให้ค่า (เท่ากัน)  นั่นแหละเรียกว่าทางสายกลาง ไม่ยกอะไรสูงกว่า ไม่กดอะไรเตี้ยกว่า แต่มองให้เป็นกลางเท่ากันหมดได้หรือไม่ (ได้)  ฉะนั้นเมื่อเขาด่ามา หรือเขาชมมา เราก็เฉยๆ เพราะมีค่าเท่ากัน ถ้ากลับบ้านไปสามีไม่อยู่บ้าน ภรรยาไม่อยู่บ้าน ก็ไม่ต้อง (พูดมาก, เฉยๆ)  ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อใจเราว่าง เรานิ่ง ทุกสิ่งก็ไม่ทำให้เรากระเพื่อมไหว แต่เมื่อเรายกสิ่งหนึ่งสูงค่า แล้วกดสิ่งหนึ่งต่ำ เราก็คือคนที่ทำให้โลกนั้นต้องมีทุกข์มีสุข แต่ถ้าตอนนี้เรามองทุกสิ่งเท่ากันล่ะ เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นเมื่อเวลาเรามีทุกข์ ดีใจทำให้คนอื่นได้สุขบ้าง เมื่อเวลาเราเสียเงิน ดีใจทำให้คนอื่นได้กำไรบ้าง เมื่อเวลาเราอกหัก ผิดหวัง ดีใจทำให้คนอื่นสมหวังบ้าง ถ้าทำได้ไม่ว่าอะไรมากระทบใจ เราก็จะไม่ทุกข์เพราะทุกสิ่งมีค่า (เท่ากัน)  ได้หรือไม่ (ได้)  ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  นี่เป็นวิธีแก้ข้อที่ 1 อยากฟังวิธีแก้ทุกข์ข้อที่ 2 หรือไม่ (อยาก)  วิธีแก้ทุกข์ข้อที่ 2 นั่นก็คือ ยอมรับความจริง เราถามท่านนะ เราทุกข์หนัก ที่บอกว่าทุกข์ เราเคยคิดจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่มีเวลาว่างที่จะรู้สึกมีความสุข เวลาเราทุกข์ เรายังหาทางแก้ไม่ได้ ทำไมตอนนี้มันหายไปแล้วล่ะ เพราะอะไร (เพราะเราให้เท่ากัน)  เรากำลังจะบอกวิธีแก้ทุกข์อันที่ 2 นะ ทำไมเวลาเราทุกข์สังเกตว่า พอผ่านไปสัก 10 ปี ทุกข์ที่หนักที่สุด ทำไมตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาลืมไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นจงจำไว้ว่า  ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีทุกข์อะไรอยู่กับท่านนาน แม้ความสุขก็อยู่ไม่นาน แม้เลือกได้ก็มีไม่นาน ฉะนั้นจำไว้ว่าไม่มีอะไรอยู่กับท่านนาน แม้ตัวเราเองอยู่กับเรานานหรือไม่ (ไม่นาน)  ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเราต้องตาย เราก็ไม่ทุกข์เพราะเรารู้ว่ามันไม่นาน ไม่มีอะไรอยู่กับเรานาน ไม่มีอะไรอยู่กับเราค้ำฟ้า ฟันยังอยู่กับเราไม่ค้ำฟ้าเลย ผมก็อยู่กับเราค้ำฟ้าหรือไม่ (ไม่)  ผิวหนังอยู่กับเราค้ำฟ้าหรือไม่ (ไม่)  ความคิดอยู่กับเราตลอดหรือไม่ (ไม่)  แล้วบอกว่าทุกข์อยู่กับความคิด พอถึงเวลาเดี๋ยวสักพักหนึ่งคิดเรื่องอื่นแล้ว ตอนนี้ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ แต่พอถึงเวลาท้องร้อง จ๊อก จ๊อก จ๊อก ไปกินข้าวก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจำไว้อย่างแรกเมื่อเจอทุกข์มองให้มันเท่ากัน อย่างที่สอง มันอยู่กับฉันไม่นานหรอก ไม่ทุกข์ไปก่อน ฉันก็ไปก่อน จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าคิดอย่างนี้จะทุกข์กับมันหรือไม่ (ไม่ทุกข์)
แล้วจะแบกมันไหม (ไม่แบก)  บางครั้งไม่ต้องแก้เลย เดี๋ยวเวลาก็ช่วยเยียวยารักษาใจ มันไม่มีอะไรอยู่กับเรานาน แม้ขนาดกระเป๋าสตางค์ที่เรารักเราหวง แม้แฟน หรือภรรยา หรือลูก ถึงเวลาก็อยู่กับเราไม่นาน ฉะนั้นถึงเวลาพลัดพรากไปร้องไห้ไหม (ไม่ร้อง)   ร้องได้ เราไม่ว่า ร้องให้เต็มที่ แต่ถึงเวลาต้องเข้าใจ แล้วเมื่อนั้นสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต จะทำให้เราค้นพบธรรมอันมีค่าในตัวเอง ไม่ต้องรอใครปลอบประโลมใจ แต่เราจะเข้าใจเอง ว่าทุกข์มันไม่นาน ทุกข์ที่เราเกลียดขนาดนี้ เพราะว่าเราไปให้ค่าว่า อันนี้ดีกว่า อันนี้แย่กว่า พบเจอสิ่งที่แย่เราจึงรับไม่ได้ แต่หากตอนนี้เราให้ค่าทุกอย่างเท่ากันเราจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แล้วจะมองว่ามันไม่นานแบบนี้พอไหม พอจะช่วยคลายทุกข์ได้ไหม (ได้)  
บางคนเบื่อเราพูดจะแย่แล้ว แต่ถ้าคิดในใจว่าเดี๋ยวเขาก็ไป อยู่ไม่นานหรอก จริงไหม พุทธะจึงสอนบทแรกไว้ว่า “อดทนวางใจเป็นกลาง แล้วท่านจะพบคุณประโยชน์ แม้จะสูญเสียบ้างก็ตาม แต่เราจะพบคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ก็คือธรรมะในตัวเรา” ไม่ต้องไปหาข้างนอก ไม่ต้องพยายามเติมอะไรให้เต็ม แค่รู้จักควบคุมกายใจด้วยสติ มองตัวเองให้ดี เราจะพบทางพ้นทุกข์ได้ด้วยความเข้าใจ และอะไรก็จะมาบีบคั้นใจเราไม่ได้ คำพูดคนก็ธรรมดา ผิดหวังบ้างก็ธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  พอไหม (พอ)  พอจะเยียวยาทุกข์ท่านได้ไหม (ได้)  ถึงตอนนี้จะเบื่อ เดี๋ยวเดียวก็ไปแล้ว ไม่เราไปก่อนก็ท่านไปก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วจะมัวทุกข์อะไร ทำไมไม่รู้จักมีสติ สงบ และเข้าถึงความเป็นจริงแห่งชีวิต ด้วยหัวใจที่ตื่นรู้
อย่าปล่อยให้วิ่งวนไปตามความอยาก แล้วก็รักษาความเป็นคนไม่ได้ อย่ามัวแต่วิ่งไปตามความอยาก แล้วก็ปล่อยให้ตัวเองติดกับอบายมุข ความไม่ดี ความเลวร้าย เกิดเป็นคนถ้าดีไม่ได้ ก็อย่าชั่วเลยนะ แค่พยายามไม่ทำผิดก็พอแล้ว จริงไหม (จริง)
ลองหยั่งคิดสักนิดหนึ่ง เหมือนที่เราบอกตั้งแต่ต้น ธรรมะบางทีไม่ต้องพูด นิ่งๆ แล้วลองมองให้เข้าใจ อย่าเอาแต่มองออก แต่มองเข้าไปในตัวเอง เราทุกข์เพราะอะไร เราเจ็บช้ำเพราะอะไร เพราะเขาหรือ ไม่ใช่ เพราะตัวเรา หวังมากเกินไป อยากมากเกินไป เรียกร้องไม่จบสิ้น ใช่ไหม (ใช่)  เราจึงทุกข์กับเขาเหลือเกิน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นแก้ที่ตัวเองไม่แก้ใคร มองที่ตัวเองไม่ไปมองจับผิดใคร นี้คือหนทางการบำเพ็ญธรรม พูดไปแล้วเจ็บปวดสู้หุบปากนิ่ง แล้วมองด้วยสติ แล้ววางใจเป็นกลาง ไม่ดีกว่าหรือ  
ง่วงแล้วหรือ (ไม่ง่วง)  เดี๋ยวเราก็ไปได้นะ ก็เป็นอย่างนี้แหละ เดี๋ยวเราไปแล้วท่านก็ไป เป็นธรรมดาของทุกชีวิตนะ ฉะนั้นเราเกิดมาไม่ใช่เพื่อให้ยึดมั่นถือมั่น แต่เกิดมาเพื่อเข้าใจแจ่มแจ้งในชีวิตและก็ปล่อยวางด้วยหัวใจที่อิสระ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่คำพูดใครยังทำให้เราเจ็บปวด นั่นแปลว่าเรายังตกเป็นทาสของสิ่งนั้นอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้มาก็ไม่ดีใจ เสียไปก็ไม่ร้องไห้ เมื่อนั้นแหละเราเป็นอิสระจากโลกใบนี้อย่างแท้จริง ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่เราอดไม่ได้ ใจเดี๋ยวก็ติดคนโน่น แตะคนนั้น หวังคนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากให้ท่านอยู่กับเขาแต่ไม่ผูกพัน ช่วงใช้แต่ไม่ครอบครอง นี่แหละคือหนทางแห่งพุทธะ อยู่แต่ไม่ผูกพัน รู้จักใช้แต่ไม่ครอบครอง แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์อยู่แล้วผูกพัน ใช้แล้วยึดมั่น ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วก็ต้องมาเรียนรู้การทำใจ ฉะนั้นแก้เสียตั้งแต่หัวใจเรานะไม่ใช่ไปแก้ใคร ได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นตอนนี้ยังอยากได้ดอกไม้จากเราไหม (ไม่อยาก)  เราบอกแล้วนะถ้าเข้าใจชีวิตจะทุกข์หรือสุข จะดีหรือจะร้ายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เพราะเรามองเท่ากันและเราก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีเวลาจำกัด
ฉะนั้นมาฟังธรรมะลองนั่งนิ่งๆ สงบใจและลองฟังดู สิ่งที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราจะกลับไปพูดเหมือนเดิม การศึกษาธรรมะไม่ใช่ค้นหาความสมบูรณ์เพื่อมาเติมเต็มหัวใจ แต่การศึกษาธรรมะคือ ค้นหาความสมบูรณ์อันเป็นแก่นแท้ที่งดงามแล้วอยู่ในใจเรานี่เอง   ถึงเวลาเราต้องไปแล้ว มีโอกาสคงได้ผูกบุญกัน แล้วการมาบนโลกจะไม่ใช่เรื่องทุกข์ร้อนแต่การมาบนโลกคือมาเพื่อเข้าใจเห็นแจ้ง และจากไปด้วยความสงบสุข แต่มนุษย์ยังหาความสงบสุขไม่เจอเลย ความสงบ ความสุข และความสันติมีอยู่ในใจนี้แล้วนะ ถ้าพอ ใช่ไหม ทางแก้ของเราตั้งแต่ต้นเลย รู้จักพอก็ดับเรื่องทุกๆ อย่างให้หมดสิ้น พอแล้ววางใจให้เท่ากัน วางใจให้เท่ากันแล้วทำใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ไม่นาน แค่นี้เอง ความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอีกต่อไป แต่การยึดมั่นหน่วงเหนี่ยวให้ตัวเองอยู่กับโลกใบนี้สิคือความทุกข์ที่น่ากลัว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่อยู่แล้วไม่เข้าใจชีวิตแล้วทำให้ตัวเองต้องทุกข์ และเวียนว่ายไม่จบสิ้นนั้นน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันนะ อย่าดูเบาคุณค่าของตัวเอง อย่าดูเบาความดีงาม ความสมบูรณ์ที่แท้ในใจตน ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาเติม เราอยู่ได้ ไม่มีอะไรเราก็อยู่ได้ ไม่มีหวัง ไม่มีอยาก ไม่มีสุข ก็อยู่ได้กับความธรรมดาที่เรียกว่า ชีวิต ฉะนั้นอยู่ให้ได้แม้โลกจะพลิกซ้ายพลิกขวาและทำให้เราต้องล้มคว่ำ จริงไหม



วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีสิ่งใดเป็นของศิษย์กระนั้นหรือ       แม้แต่ตัวตนยังถือครองไม่ได้  
ทุกสิ่งล้วนทุกขณะแปรเปลี่ยนไป    แล้วคงเหลือสิ่งใดให้ทุกข์กัน

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคน ยังเบื่อฟังธรรมะไหม

  จงย้อนมอง  มองตนมองตน  มีคนสองคนคอยตินิดก็ดี   บำเพ็ญมาพัก คนก็ชักมีดี  บำเพ็ญยังไงก็เลยไม่ดี  มองก็มองที่อื่น ตื่นก็วิ่งวุ่นทันที      มีปัญหามากมาย จากดวงใจของความความไม่ดี  คนมองไปนอกกาย แต่มองไปหัวใจตนไม่มี
ตาคนก็เป็นสุสาน  จำเก็บมาฝังฝังใจ บำเพ็ญมามากเท่าไร     อยู่แค่ความผิดติดตัวเขา  ถึงไม่ดู ก็เหมือนว่าดู  ในจิตใจฝังจำไม่เบา  ที่ใจกลับมีไฟเผา  ข้ออ้างเหตุผลพวกเจ้าเล่าเอง
เจ้าควรมองตนให้เป็น  เรื่องจำเป็นไม่ง่ายดาย  ใจวิ่งมาวิ่งไป ชอบโทษใครก่อนมองส่องตน  ยิ่งมองยิ่งย้อนเข้าไป ใจข้างในมีสิ่งน่าค้น  เมื่อคนมากเกินหนึ่งคน ฝึกใจอดทน ต้องย้อนมองใจตัวเอง
ชื่อเพลง :ย้อนมองส่องตน
ทำนองเพลง :ปูนาขาเก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
 ไม่ต้องใช้ไมค์ก็ได้ยินเสียงอาจารย์ใช่ไหม ดังชัดไหม ได้ยินชัดทุกคนนะ  ถ้าอย่างนั้นห้ามเอาเปลือกตาบนมาหาเปลือกตาล่าง ถ้าใครเผลอหลับอาจารย์จะจับให้เต้นเป็ดตกลงกันแล้วนะ ถ้าเพื่อนคนไหนหลับบอกอาจารย์เลย เพราะอาจารย์อยากจะดูเป็ด ดีไหม (ดี)  ผู้หญิงเต้นเป็ดผู้ชายเต้นอะไรดี (เต้นห่าน) เต้นห่านหรือเป็ดเหมือนกันนะ ดีไหม (ดี)  ตอบแล้วคิดด้วยนะ ว่าเขาจะเกลียดเราหรือเปล่า จากที่นั่งดีๆ  สองวันเดี๋ยวเกลียดกันเลย  ยังอยากจะคุยกับอาจารย์อีกไหม (อยาก)  อยากคุยแต่บางคนทำหน้าเหมือนไม่อยากคุยเลย ใช่หรือเปล่า กินอิ่มแล้วก็ต้องปลุกตัวเองให้ตื่น อย่าเผลอง่วง หาวนอน อย่าเผลอเกียจคร้าน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน อาจารย์ควรจะดีใจไหม ถึงมันเป็นวันสุดท้ายแต่เราอย่าทำให้มันเป็นวันท้ายสุด ศิษย์ทุกคนของอาจารย์มีปัญญา ถ้าบอกว่าไม่มีเวลา ทั้งชีวิตมันก็ไม่มีเวลา แต่ถ้าทำให้มันมีทั้งชีวิตก็มี
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้นที่ขึ้นมาช้า) มาช้า ยอมเต้นเป็ดไหม ไปทำอะไรมา (ไปดูลูกมาลูกไม่สบาย)  ไปดูลูกไม่สบาย มีห่วงนะ น่าสงสาร เวลาลูกไม่สบายทำอย่างไรรู้ไหม อาจารย์จะสอน นอกจากดูแลเขาแล้วบางทีต้องให้ความบันเทิงเขาใช่ไหม ทำให้ลูกมีความสุขใช่ไหม บางทีเขางอแงเสียงดังเราไม่รู้จะทำอย่างไร อาจารย์จะสอน ไปยืนข้างหน้า (พระอาจารย์เมตตาสอนนักเรียนชายที่มาสายให้ทำท่าเป็ด)  วิธีง่ายๆ นะ เอามือแปะไว้ที่สะโพกสองข้าง แยกขาออกนิด บิดขานิดหน่อยหัวเข่าชนกัน ปากยื่นๆ อาจารย์ไม่ล้อแล้วนะ บางทีลูกมีทุกข์ ถ้าเราใจทุกข์ไปด้วย มันก็ช่วยกันไม่ได้ ลูกมีทุกข์ใจเราต้องเข้มแข็งและสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะได้นำพาลูกให้พ้นทุกข์ แต่ถ้าลูกมีทุกข์เราก็นั่งทุกข์  แล้วมันจะช่วยใครรอด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นลูกมีทุกข์ท่านจะต้องพยายามเบิกบานและมีสุข จะได้นำพาเขาให้รอดพ้นความทุกข์ จริงหรือเปล่า (จริง) 
  เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเปิดปัญญาเรื่องคลายทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าอาจารย์บอกว่าจริงๆ แล้วทุกเรื่องในชีวิตมันเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับตลอดเวลาอยู่แล้ว มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป แล้วเรายังทุกข์กับอะไรอีกหรืออาจารย์ถามจริงๆ ความเป็นจริงของสัจธรรมบนโลกนี้ ทุกสิ่งขึ้นชื่อว่าชีวิต ล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ร่างกาย สิ่งของ อารมณ์ ความคิด ผม ผิวหนัง ขนตา มันเกิดขึ้นแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วมันดับ เปลี่ยนแล้วก็เกิดแล้วก็ดับ วนอย่างนี้ตลอดเวลาใช่ไหม (ใช่)  แล้วจึงเรียกว่าชีวิต แล้วจึงเรียกว่าสัจธรรมใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้เรากำลังทุกข์อะไรล่ะ มันเกิดแล้วก็ดับไปแล้ว แต่ตอนนี้เรากำลังทุกข์กับอะไร ถูกไหมศิษย์ ถ้าพูดอย่างนี้เฉยๆ ศิษย์ก็คงไม่เข้าใจใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างให้นะ สมมติว่าอาจารย์พูดว่า จะโกรธไหม อาจารย์พูดว่า “ศิษย์โง่” แต่เชื่อไหมว่าถ้าหากเราเดินผ่านใครสักคนหนึ่งแล้วเขาพูดว่า “เขาโง่จริงๆ เลย” เราจะเดินผ่านเลยไปไหม (ไม่)  เราทำอย่างไร อาจารย์ถามจริงๆ คือถ้าเราเดินผ่านคนเยอะแยะมากมาย แล้วมีคนหนึ่งด่าเราว่าโง่ เราจะทำอย่างไร (ยิ้ม)  อาจารย์อยากจะหัวเราะ แต่ที่อาจารย์เห็น พอโดนว่า ศิษย์หยุดแล้วขอมองหน้าหน่อยสิ ใช่ไหม (ใช่)  ยิ้มเหมือนกันแต่ไม่ได้ยิ้มสยาม ยิ้มจริงๆ แต่หน้าไม่ได้ยิ้ม แล้วถามกลับไป “เมื้อกี้ว่าอะไรนะ”  ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ นะ เขาด่าจบยัง (จบแล้ว)  แต่ใครยังกำไว้ไม่แบ (เรา)  กำไว้แล้วเอามาโยนใส่หน้า “เมื้อกี้แกด่าว่าโง่ใช่ไหม”  ถูกไหม (ถูก)  แต่จริงๆ มันจบแล้วยัง (จบแล้ว)  แล้วใครยังลากมาอีก (เรา)  เขาด่าเราครั้งเดียวเราเอากลับมาด่าอีกกี่ครั้ง (หลายครั้ง)  ฉันด่าตัวเองว่าแกว่าฉันโง่ใช่ไหม เพราะแกว่าฉันโง่นะ โง่ไหม (โง่)  อาจารย์ถามศิษย์จริงๆ ใครโง่ (เราโง่)  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เขาด่าเรากี่ครั้ง (ครั้งเดียว)  จบยัง (จบแล้ว)  แล้วเราเอากลับมาด่าอีกกี่ครั้ง (หลายครั้ง)  แถมเอากลับไปเล่าให้คนอื่นฟังอีกว่า มันด่าฉันว่าโง่อ่ะ    จบไหม (ไม่จบ)  ผ่านอีกไปสองสามปียังจำได้ คนนั้นนะมันด่าฉันว่าโง่ เก็บมันไว้ไหม (เก็บ)  
แล้วก็เอามาเป็นสัญญาจำได้หมายรู้ว่า ถ้าใครพูดเรื่องโง่แล้วสะกิดใจจริงไหม (จริง)  อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนที่เกลียดคำว่าโง่ เธอๆ อย่าพูดคำว่าโง่ ฉันรับไม่ได้ๆ ฉันเคยโดนมาแล้วมันเจ็บมากใช่ไหม (ใช่)  แล้วดีไหม (ไม่ดี)  แล้วจำไหม (จำ)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วทุกเรื่องราวในชีวิตนะศิษย์ เหมือนพระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า “จริงๆ แล้วชีวิตมนุษย์มีเวลาขณะเดียวคือขณะนี้ แต่มันเกิดอดีต ปัจจุบัน อนาคตเพราะว่าความจำ” จำแล้วเก็บ เราจึงเกิดอดีต ปัจจุบัน แล้วก็อนาคตถูกไหม ถ้าไม่อยากให้มี ถ้าอยากบำเพ็ญแล้วอยู่พ้นเหนือกาลเวลา ถ้าคนศึกษาธรรมมากๆ จะเข้าใจนะ ถ้าอยากบำเพ็ญแล้วพ้นกาลเวลานั่นคือจบแล้วจบทุกขณะ อย่าลากเก็บมาเป็นสัญญาจำไว้ในใจ ถ้าลากเก็บมาเป็นสัญญา นั่นคือเรากำลังยึดมั่นถือมั่น ผูกเวร ก่อกรรมต่อไปไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องใดมันจบแล้วก็จงจบ จบได้ไหม (ได้)  
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมเป่ายิ้งฉุบกับพระอาจารย์และกำหนดให้นักเรียนเป็นผู้แพ้)
ถ้าศิษย์เป่ายิ้งฉุบแล้วตัวเองแพ้ ศิษย์จะได้นั่ง แต่ถ้าศิษย์เป่ายิ้งฉุบแล้วตัวเองชนะ ศิษย์ต้องยืน ดีไหม (ดี)  ลองดูนะ ถ้าสมมติอาจารย์บอกว่ากรรไกร ศิษย์ก็ต้องบอก (ค้อน)  อาจารย์บอกว่ามนุษย์โดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ถ้าเป่ายิ้งฉุบต้องชนะแพ้ไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  แต่อยู่กับอาจารย์อาจารย์จะสอนว่า ให้รู้จักแพ้บ้าง ให้รู้จักยอมบ้าง เพราะที่เราทุกข์กันถึงทุกวันนี้ ก็เพราะแพ้ไม่เป็น ยอมไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
เพราะเราอยู่ในโลกนี้เราติดนิสัยต้องแข่งแล้วต้องชนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงกลายเป็นคนที่แพ้คนไม่เป็น ยอมคนไม่ได้ แล้วมันถึงได้เหนื่อยขนาดนี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เสียเปรียบไม่ได้ ยอมแพ้ไม่เป็น เสียศักดิ์ศรี เสียเชิงชาย เสียเชิงหญิง ถืออะไรกันหนักหนา ถือมากๆ ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แล้วแบกหรือไม่ (แบก)  แล้วใครล่ะที่ต้องแบกความทุกข์ ก็ตัวเองนั่นแหละที่ต้องแบก ต้องเหนื่อยไหมกับการที่ต้องชนะคนอื่นไปเรื่อย ๆ  (เหนื่อย)  แพ้บ้างไม่เห็นเป็นไรเลยใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ว่า อยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่นึกแต่จะพูดก็พูด นึกจะทำก็ทำ เพราะคนที่ต้องรับผิดชอบกับคำพูดและการกระทำคือตัวศิษย์เองใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเวลามันย้อนกลับมาไม่ได้นะศิษย์ เราไม่มีโอกาสแก้ตัวได้บ่อยครั้ง ถามหัวใจศิษย์สิ ถ้าเขาเคยทำผิดกับศิษย์ครั้งหนึ่ง ครั้งแรกศิษย์ก็ทำใจยากจะยอมรับแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าสมมติว่าเราจับได้ เขาโกหกนะ พอครั้งที่สองทำใจไหวหรือไม่ ครั้งที่สามล่ะ เลิกคบกับเขาเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตขอให้ทำอะไรมีสติคิดให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ตัวเองผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะไม่มีใครให้อภัยเราได้บ่อยเท่าหัวใจตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) คนอื่นอาจให้อภัยเราได้ครั้งคราว แต่หัวใจเราล่ะให้อภัยเราได้บ่อยหรือไม่ (บ่อย)  บางคนก็บ่อยนะ แต่บางคนก็น่าสงสาร ผิดแล้ว และ ตรอมตรมอยู่กับความผิดของตัวเองแล้วก็ยืนไม่ขึ้น ก็น่าสงสารเหมือนกัน
ลองดูฝ่ายหญิงเล่นดูไหม คราวนี้เราไม่พูด แต่ใช้การกระทำ     (พระอาจารย์เมตตาเล่นเกมเป่ายิ้งฉุบและนักเรียนต้องเป็นผู้แพ้ทุกครั้งโดยที่ถ้าพระอาจารย์ชูนิ้วเป็นกรรไกร ส่วนนักเรียนต้องชูนิ้วเป็นกระดาษแต่เมื่อพระอาจารย์ชูนิ้วเป็นกรรไกร แล้วมีนักเรียนในชั้นตอบว่ากระดาษ)
บอกว่าห้ามพูด ลองฝึกไม่พูดดู ใช้สติในการกระทำแสดงออก เพราะหลายครั้งแล้วมนุษย์พูดมากจนไม่ทำอะไรเลย ใช่หรือไม่ พูดเก่งแต่พอถึงเวลาทำได้ไหม (ไม่ได้)  
อย่างนั้นเรามาคุยธรรมะกันต่อดีไหม (ดี)  วิธีแก้ทุกข์ของอาจารย์คือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน (ไม่เที่ยง)  ผ่านไปแล้วก็จบไปเรียบร้อยแล้วผ่านไป แต่บางครั้งใจเรามันไม่ยอมจบ ถูกหรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ต้องรู้อยู่อย่างหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าชีวิตในความจริงของชีวิตมีสัจธรรมข้อหนึ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทุกชีวิตมีสัจธรรมความจริงอย่างหนึ่งที่ใครๆ ก็หนีไม่พ้น ถ้าเราพึงสังวรไว้เสมอตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทในสัจจะความจริงข้อนี้เราจะ เป็นคนที่ทุกข์ยากจริงหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ถ้าอาจารย์เขียนคำว่าชีวิต สัจธรรมของชีวิตที่หนีไม่พ้นคืออะไร (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) ถ้าตอบว่าตายก็ไม่ต้องกิน กินแล้วก็ตาย กินแล้วเดี๋ยวก็กลายเป็นอุจจาระ มีอะไรอีก (เกิด)  ความเกิดเราหนีได้พ้นนะ ถ้ารู้จักหยุดใจตัวเอง มีอะไรอีก (ทุกข์, ความไม่เที่ยง)  ความไม่เที่ยงตอบได้ดีนะ  วันนี้มันอยู่กับเรา แต่ไม่แน่อาจารย์เปลี่ยนใจไม่ให้ ก็มันไม่เที่ยง อาจารย์เปลี่ยนใจให้อีก เอาไหม  ถ้าอาจารย์เปลี่ยนใจไม่ให้ละ นั่นแหละคือความไม่เที่ยง มีอะไรอีกนะ (ความอยาก)  ความอยากเป็นไหม มาให้อาจารย์เคาะหนึ่งที (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ตอบว่า (ความสุข)  ความสุขเป็นสัจธรรมของชีวิตใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไปเอามาจากไหน ถึงเวลาเรียนพระพุทธศาสนาก็โดดเรียน มีที่ไหนล่ะ (การสูญเสียพลัดพรากจากสิ่งที่รัก)  ถูกไหม (ถูก)  ตอบได้ดีนะ มีอะไรอีก (มีสุขก็ต้องมีทุกข์)  ใช่ไหม เป็นสัจธรรมของชีวิต ใช่หรือไม่ เมื่อสักครู่เขาตอบสุขอย่างเดียวไม่ได้นะ ตอบว่า (ความโลภ)  ความโลภเป็นสัจธรรมของชีวิต ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  มีที่ไหนล่ะความโลภเป็นสัจธรรมของชีวิต อาจารย์ขอเชิญคนพูดหัวข้อนี้หน่อย คนพูดหัวข้อนี้ออกมาเร็ว
(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์บรรยายธรรมหัวข้อสัจธรรมชีวิตออกมาหน้าชั้น)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ศิษย์พูดไปหรือยังหัวข้อนี้ (พูดไปแล้ว)  พูดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ (เมื่อวาน)  แล้วพูดหมดไหม (เท่าที่รู้)  คิดว่าหมดแล้วใช่ไหม เขาพูดหมดแล้วนะศิษย์ แล้วทำไมศิษย์จำไม่ได้เลย ใช่ไหม แล้วเขาหลับไหมตอนศิษย์พูด (หลับบ้าง)  หลับบ้างหรือหลับเยอะ อาจารย์ว่าท่าจะเยอะนะเพราะตอบไม่ได้เลย อาจารย์แซวเล่นนะ
(ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน)  ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน หรือความไม่แน่นอนคือความแน่นอน เอาอะไร (ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน)  ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ตกลงตอบอะไร โดนอาจารย์เย้านิดงงเลย ตกลงว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
(ชีวิตคือสิ่งจอมปลอม)  ชีวิตคือสิ่งจอม ปลอมหรือ มานี่เร็ว มาให้เขกกระโหลกเร็ว อาจารย์ถามเขาตอบถูกไหม เขาตอบว่าสัจธรรมของชีวิตคือความจอมปลอม ถูกไหม (ไม่ถูก)  จริงๆ ก็เหมือนถูกนะศิษย์ มองดูให้ดีๆ บนโลกใบนี้ แม้แต่ตัวเราที่ศิษย์บอกว่าเห็นก็เหมือนไม่เห็นนะ สิ่งที่ศิษย์คิดว่ามันอยู่ จริงๆ มันกำลังเสื่อมสลายไปทุกขณะ ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์คิดว่าจริง จริงๆ แล้วมันก็คือไม่จริง และบางทีสิ่งที่คิดว่าไม่จริงบางทีมันก็อาจจะจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสัจจะความเป็นจริงของชีวิตคืออะไร ถ้าศิษย์เข้าใจกลายเป็นศรัทธา ปณิธาน ปฏิบัติ ช่วยเหลือเลย ฉะนั้นจะตอบอาจารย์ว่าอะไร (ความเป็นจริง ชีวิตที่ไม่เที่ยงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา)  ชีวิตคือธรรมชาติ ชีวิตที่ไม่เที่ยงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา (สมหวังกับไม่สมหวัง)  สมหวังกับไม่สมหวัง (ชีวิตคือการกระทำ)  ชีวิตคือการกระทำใช่หรือไม่ ถ้าไม่ทำก็คือไม่มีชีวิตใช่หรือเปล่า ชีวิตคือการกระทำ ถ้าศิษย์ไม่ทำอะไรเลย ศิษย์ก็กำลังไม่มีชีวิตถูกไหม ทำทุกอย่าง แน่ใจหรือ บางครั้งก็ต้องหยุดเพื่อได้มีชีวิตต่อใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ เขาตอบว่าชีวิตคือการกระทำ ถ้าวันไหนไม่กระทำ วันนั้นศิษย์ก็ไร้ชีวิตถูกไหม (ไม่ถูก)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)  
ชีวิตที่อาจารย์จะบอกคือว่า ถ้ามนุษย์พึงสังวรเสมอว่า เรามีกรอบมีขอบเขตจำกัดว่าชีวิตคืออะไร เราก็คงไม่ประมาทและเผลอทุกข์กับสิ่งที่ไม่ควรจะทุกข์ถูกไหม (ถูก)  แล้วสิ่งที่สอนในชีวิตเราที่เราควรจะลืมไม่ได้นั่นคืออะไร คือสัจธรรมความเป็นจริงที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อนิจจังคือความไม่เที่ยง ทุกขังคือความทุกข์ มองเท่านี้ก็เลยทุกข์ทุกๆครั้งที่ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกขังคือสภาพที่ทนไม่ได้ ทนได้ยากต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถูกไหม (ถูก)  สังเกตสิ ศิษย์นั่งได้ตลอดชีวิตไหม (ไม่)  บางครั้งก็ต้องยืน พอยืนมากๆ ก็ต้องนั่ง ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)  นี่ถึงจะเรียกว่าชีวิต อีกอันหนึ่งคือ อนัตตา คือถึงที่สุดแล้ว พอมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ พระพุทธะจึงกล่าวว่า มันคือความว่างเปล่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากถามศิษย์ว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์มี ไม่ว่าจะเป็นตัวตน สิ่งของ ลูกหลาน ทรัพย์สิน สามีภรรยา ล้วนหนีพ้นสามสิ่งนี้ไหม (ไม่พ้น)  เมื่อไม่พ้น ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเกิดสามสิ่งนี้ สมมติว่าตอนนี้ลูกเป็นเด็กดีแต่พอเรียนไปเรียนมากลายเป็นเด็กดื้อ นั่นคือลูกกำลังเข้าสู่ในสัจธรรมหนึ่งในสามข้อ นั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาไม่เที่ยง เขาเปลี่ยนได้ตลอด แล้วเวลาเขาเปลี่ยนจากเด็กดีเป็นเด็กไม่ดี แล้วเขาจะกลายเป็นเด็กไม่ดีตลอดชีวิตไหม (ไม่) ศิษย์เดาได้ไหมวันหนึ่งเขาจะกลับมาเป็นเด็กดี (ได้)  แล้วเด็กดีอาจจะกลับมาเป็นเด็กไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เปลี่ยนตลอดเวลาถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะเรียกว่า ชีวิต  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้ามันเป็นชีวิต แล้วศิษย์กำลังทุกข์อะไรล่ะ ในเมื่อมันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ฉะนั้นถ้าศิษย์พยายามไปยึด “ดีไว้ลูกๆ”  ศิษย์ก็เป็นคนที่ไม่มองความเป็นจริงแห่งชีวิต ศิษย์ก็กลายเป็นคนที่กำลังลืมความเป็นจริงของคำว่า ชีวิตคืออะไร เหมือนเราบอกว่า ตึงไว้หน้า อย่าเหี่ยว”  เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เรากำลังลืมความเป็นจริงแห่งชีวิต ลืมความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่)  บอกว่าเงิน แกต้องอยู่กับฉัน แกห้ามหายได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าพูดอย่างนี้แปลว่ากำลังลืมอะไร (สัจธรรม)  ศิษย์กำลังลืมสัจจะความเป็นจริงแห่งชีวิต มันไม่ได้มีแค่ข้อนี้ข้อเดียว แต่มันรวมอยู่ในนี้หมดเลย ในหนึ่งอย่างและมันมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน และมีอยู่ในตัวรูป ในตัวเงิน ในตัวเพื่อน ในตัวบ้าน ในตัวทรัพย์สิน มันมีหมด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เราจะไม่ประมาทและเราจะไม่ยึดมั่น ถ้าวันหนึ่งศิษย์เก่ง เวลาโดนคนว่าโง่ ศิษย์ก็จะไม่โกรธ เพราะอะไร ถ้าวันหนึ่งศิษย์สวยแต่เกิดอุบัติเหตุหน้าไม่สวย ศิษย์ก็จะไม่ทุกข์  ฉะนั้นแค่จมอยู่แค่ทุกขัง แต่ต้องมองให้เห็น (อนัตตา)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  กอเอ๋ยกอไก่ ขอไข่ในเล้า จงจำไว้ ก ข ค ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าวันหนึ่งศิษย์เจอเรื่องที่ไม่คาดฝันในชีวิต ทำไมศิษย์มักจะหันไปมองฟ้า หรือหันไปบ่นโทษคนอื่นว่าทำไมอาจารย์ศิษย์ต้องเจอแบบนี้ เคยถามไหม (เคย)  ทำไมเพราะอะไร อาจารย์อยากจะบอกว่า ศิษย์ลืมสามอย่างนี้หรือเปล่า ไม่มีใครหนี้พ้น ความไม่เที่ยงความมีทุกข์ แต่ทุกข์นี้จำไว้เลยนะ เขียนแปลไว้เลยนะคือสภาพที่ทนไม่ได้ ทนได้ยาก ต้องเปลี่ยนไปเสมอ ไม่ใช่แปลว่าทุกข์แล้วต้องทุกข์ไปตลอด ใช่ไหมศิษย์  (ใช่)  ฉะนั้นถ้าถามอาจารย์ว่าทำไม ทำไมศิษย์ต้องเจอแบบนี้ หลายคนชอบถามแบบนี้ ทำไมลูกช้างต้องเจอแบบนี้ หนูต้องเจอแบบนี้ ผมต้องเจอแบบนี้ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกอีกเหตุผลหนึ่ง เพราะเรื่องราวในโลกใครทำอะไรไว้ต้องได้รับผลอย่างนั้น ใครทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว ใครขโมยของก็ต้องได้รับการทุจริต อาจารย์ถามศิษย์นะว่าใครไม่เคยขโมยของบ้างยกมือขึ้น ผู้ปฏิบัติงานธรรมก็ไม่ยกเลยเหรอ แปลว่าทั้งชั้นนี้เคยขโมยหมด ฉะนั้นศิษย์จำไว้ตะแกรงฟ้ายุติธรรม ถ้าศิษย์ทำอะไรไว้แล้วโดนคนโกง อย่าไปโกรธเพราะนั้นศิษย์กำลังชดใช้กรรมที่เคยขโมยเขาไว้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามศิษย์เวลาใครได้ดีมีใครบ้างไม่แอบอิจฉาไม่แอบนินทา สักนิดในใจหัวใจก็ไม่เคยคิดอิจฉา ไม่เคยด่าใครเลย จริงหรือ (ไม่จริง)  ไม่เคยด่าใครเลย ไม่อิจฉาแต่ด่าไหมไม่แน่ใจ (ถ้าเขาด่าเราก็ด่า)  แล้วมันจะจบไหมล่ะ เขาด่าแล้วยังด่าเขาต่ออีก
ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ ในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุผลความจริง ไม่มีเรื่องบังเอิญ ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้อย่างนั้น ถ้าศิษย์ไม่อยากเจอความชั่วร้าย จงอย่าทำชั่ว จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะเราหนีกรรมเก่าไม่พ้น แล้วทำไมเรายังต้องสร้างกรรมใหม่ ถูกไหม กรรมเก่าศิษย์เดาได้ไหมว่าศิษย์เคยไปทำอะไรใคร (ไม่ได้)  เดาไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์อย่างหนึ่งนะ ถ้าวันหนึ่งศิษย์ต้องได้รับกรรมที่ไม่คาดคิด เป็นกรรมที่ศิษย์คิดว่าไม่น่าจะเจอกับศิษย์เลย แต่วันหนึ่งเราต้องเจอเรื่องหนักๆ ในชีวิต อาจารย์เชื่อว่าทุกชีวิตในที่นี้ ไม่มีใครที่ตั้งแต่เด็ก จนแก่ จนตาย จะไม่เคยเจอเรื่องหนักที่สุดในชีวิต ฉะนั้น ถ้าวันหนึ่งศิษย์เจอเรื่องหนักในชีวิต จำคำพูดอาจารย์ไว้อย่างหนึ่งนะว่า อย่าโทษฟ้า อย่าโทษคนอื่น ไม่ว่าจะประสบอุบัติเหตุ ล้มหายตายจากหรือว่าล้มละลาย หรือผิดหวังหรือพลัดพราก จำไว้ว่าอย่าโทษใคร ถ้าศิษย์อยากจะให้กรรมมันหมดในชาตินี้ อย่าโทษใคร ยินดีรับด้วยความเต็มใจและสำนึกขอบคุณที่ได้ชดใช้ อย่าไปโกรธคนที่ทำกับเรา ไม่ว่าเขาจะทำให้เราแขนหาย ขาไม่มี ตาบอด หูหนวก หรือตัวต้องเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต จงอย่าโกรธ เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดมาจากเหตุต้นผลกรรมที่เราเคยสร้างไว้ ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งผลสะท้อนกลับมาเจอกับตัวเอง จงดีใจที่ได้ชดใช้กรรม แล้วเราจะหมดกรรมทันทีถ้าเราไม่โกรธไม่โทษฟ้าดิน กรรมมันจะสิ้นสุดทันทีเลยนะศิษย์ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราโดนอะไรก็ตาม แล้วศิษย์โกรธ แล้วศิษย์ด่า แล้วศิษย์เอาเรื่องเอาราว แล้วศิษย์ผูกใจเจ็บ นั้นคือศิษย์กำลังทำกรรมให้ยืดเยื้อไม่จบสิ้น
ฉะนั้นวันใดที่โดนคนด่า อยู่ๆ ไม่ทำอะไรก็โดนด่า วันใดที่โดนคนโกง อาจารย์อยากจะบอกว่าในโลกมันไม่มีเรื่องบังเอิญ มันเป็นเรื่องของเหตุผลและความจริง จงดีใจที่ได้ชดใช้ แต่ควรจะคิดต่อว่า หลังจากนี้ไปจงมีชีวิตอยู่ด้วยสติ เราจะได้ไม่ต้องมารับกรรมอีก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาโดนอะไรก็ตามอย่าไปโกรธ อย่าไปโทษ หันมามองตนสำนึกผิด และยินดีรับด้วยความเต็มใจ และก็กล้าหาญเข้มแข็ง ฝ่าฟันต่อไป ถ้าศิษย์ทำได้ กรรมที่ศิษย์เคยทำมามันจะจบลงทันที ให้ศิษย์บอกว่า ขอบคุณที่ฉันได้ชดใช้ แต่ถ้าศิษย์พูดบอกว่า ทำไมฉันต้องโดนแบบนี้กรรมมันจะไม่จบกรรมมันจะต่อไปเรื่อยๆ  แต่อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มานั่งแก้เอาตรงปลายเหตุ มันต้องแก้ตั้งแต่ต้นเหตุ
(พระอาจารย์เมตตา กำมือและแบมือให้นักเรียนในชั้นดู) 
นี่เรียกว่าอะไร กำ  แบ  แล้วกรรมมันคืออะไร  แล้วทำไมศิษย์ถึงบอกว่ากรรม กรรม  เมื่อไหร่ที่คิดถึงกรรมให้เราเอามือขึ้นมา แล้วมองไว้ทำไมมันกำขนาดนี้ ทำไมมันกรรมขนาดนี้  เพราะอะไรล่ะ (กำไม่วาง)  ก็มัวแต่พูดว่ามันกรรม กรรม แล้วเมื่อไหร่ มันจะแบเสียที เพราะมัน กำ กำ  อยู่นั่น  จำที่อาจารย์บอกเราได้ไหม เขาด่าเราเสร็จแล้ว แต่เรายังไม่เสร็จ แล้วชีวิตคืออะไร มันไม่ใช่กำ แล้วก็ไม่ใช่แค่แบ แต่ขึ้นชื่อว่าชีวิต จะกำหรือจะแบ ก็เป็นอิสระ แต่ที่มนุษย์บอกว่ากรรมอะไรที่ศิษย์ต้องเจอแบบนี้ ก็เพราะว่า ศิษย์ยึดไม่ปล่อย กำไม่แบ มันก็เลยไม่มีชีวิตอิสระ ก็เลยบอกว่ากรรมๆ  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเอากรรมมาเขกหัวตัวเอง กำมันไว้ไม่เคยแบหรือเปล่า แล้วมันใช่ชีวิตหรือเปล่า  ถ้าเป็นชีวิตก็คือ จะทำอะไรก็ได้ แล้วตอนนี้เราเคยเห็นใจตัวเองไหม ที่กำเรื่องโน้น เรื่องนี้ กรรมเท่าไหร่ก็วิ่งไปหาหลวงพ่อ กำมาสองสามวันแล้วที่เขาด่าฉัน มันทุกข์ กำเอาไว้ แล้วบอกว่าหลวงพ่อปลดให้หน่อย  หรือวิธีแก้ปล่อยนก ปล่อยปลา แผ่ส่วนกุศล หายทุกข์ไหม กรรมมันอยู่ที่ไหน (ใจ)
ไหนหาให้เจอ หาไม่เจอ มันก็ปล่อยไม่ออก อยู่ตรงไหน (อยู่ที่ใจ)  ปล่อยนกเป็นร้อยตัว ปล่อยปลาเป็นร้อยตัว แต่มันยังปล่อยกรรมไม่ได้เพราะอะไร เพราะศิษย์ไม่ปล่อยวางความคิด หนีไปเถอะ เหม็นขี้หน้าเขาจะตาย หนีไปเถอะ หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว แต่ยังแบกเค้าไปเที่ยวกับเราด้วย เกลียดเขาขนาดไหน ขนาดไปเที่ยวไกลโพ้นยังเอามาเล่าว่าเกลียดเขา โคตรเกลียดเขาเลยล่ะ แต่เอามาเล่าไหม (เล่า)  กรรมไหม (กรรม)  กรรมใคร (กรรมเรา)  ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ศิษย์กำมันไว้ไม่แบ ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้จัก (ปล่อยวาง)  ไม่ใช่ว่าปล่อยเขาไปไกลๆ นะ แต่มันต้องปล่อยจากหัวใจ ทำไมเขาจึงบอกว่ามนุษย์จึงไม่สามารถโปร่งโล่งเบาในจิตใจได้ เพราะมันกำไปทุกเรื่อง อะไรไม่ชอบก็กำมาหมด ฉะนั้นจิตมันเลยหนัก พอหนักมากๆ ก็ตกนรกถูกไหม พอเรารู้สึกว่าเราตกนรกมากๆ เราก็เลยอยากไปทำดีใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าศิษย์มักจะแก้ทุกข์ด้วยการทำอะไร (ตักบาตร, ทำบุญ, สวดมนต์)  ใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือเปล่า อาจารย์ถามว่า แล้วมันแก้ทุกข์ไหม (ไม่แก้)  ไม่แก้ ถ้าศิษย์ไม่ปล่อยวางความคิดถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่าให้ทำบุญให้ทานให้อะไรดีที่สุด ในบรรดาทานทั้งหลายนี่ ทานที่ให้ในบรรดาทานอะไรประเสริฐสุดรู้ไหม (ไม่รู้)  ศิษย์เคยได้ยินไหม อาจารย์จะเล่าให้ฟัง เป็นคนนับถือพุทธไหม (พุทธ)  ชอบทำบุญใช่ไหม (ใช่) ชอบให้ทานใช่ไหม (ใช่) แต่บางทีกว่าจะออกสักบาทหนึ่งนี่คิดแล้วคิดอีกใช่หรือเปล่า (ใช่, ไม่ใช่) บางคนแทบจะไม่ค่อยทำเลยใช่หรือเปล่า แถมบางทีให้ห้าสิบสตางค์ให้สลึงหนึ่งด้วยน่าอายนะใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วแก่นหลักแท้ของธรรมะที่ต้องการสอนให้ศิษย์รู้ก็คือ ศิษย์รู้ไหมว่า การทำทานนั้น เขาบอกว่าทำทานให้กับสัตว์ตั้งร้อยตัว ก็ไม่สู้ทำทานให้กับคนหนึ่งคน ทำทานให้กับคนร้อยคนก็ไม่สู้เท่าทำทานให้กับพระภิกษุหนึ่งรูป แล้วทำทานให้กับพระภิกษุร้อยรูปก็ไม่สู้ทำทานให้พระโสดาบันหนึ่งรูป แล้วทำทานให้พระโสดาบันร้อยรูปก็ไม่สู้เท่ากับทำทานให้กับพระ (พระอรหันต์)  อย่าข้ามไปสิ มีพระอะไรก่อนพระอรหันต์ โสดาบันแล้วก็ต้องเป็นสกทาคามี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูนะศิษย์ก็จะไล่ไปอย่างนี้จนกระทั่งถึงที่สุดแม้แต่ทำสังฆทานโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประธานก็ยังไม่สู้เท่ากับสร้างวัดหนึ่งหลัง การไล่ทานไปเรื่อยๆ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าสร้างวัดร้อยหลังก็ไม่สู้เท่ากับให้ธรรมะเป็นทานหนึ่งครั้ง แล้วศิษย์รู้ไหมว่าให้ธรรมะเป็นทานร้อยครั้งก็ไม่สู้เท่ากับการให้อภัยคนหนึ่งครั้ง
ทำไมแค่ให้อภัยคนยิ่งใหญ่กว่าสร้างวัดร้อยวัดอีก รู้ไหมศิษย์ เพราะให้อภัยยากใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ แต่พระพุทธะต้องการจะบอกให้ว่าถ้าเราตัดเหตุแห่งความทุกข์ เหตุแห่งการจองเวรจองกรรมได้ เราก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายและต้องมาสร้างบุญสร้างอะไรอีก ถูกไหม (ถูก)  ใช่หรือไม่ แล้วศิษย์รู้ไหมว่า อภัยทานหนึ่งครั้งยังไม่สู้เท่ากับรักษาศีลห้าให้ครบได้ในหนึ่งวัน นั่นก็คือการให้อภัยยังสู้ไม่ได้กับคนตั้งมั่นทำความดี คนให้อภัยคือคนที่รู้สึกโกรธแล้วจึงต้องพยายามให้อภัย ใช่ไหม (ใช่)  นั่นคือคนที่ไม่ดีแล้วพยายามทำดีก็ยังไม่สู้เท่ากับคนที่พยายามตั้งมั่น รักษาดี แล้วศิษย์รู้ไหมว่าคนรักษาศีลห้าแม้จะร้อยวันก็ไม่เท่ากับศีลแปด และศีลแปดร้อยวันก็ไม่เท่ากับศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด อาจารย์ถามต่อ แล้วรู้ไหมว่ารักษาศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดร้อยวันก็ไม่สู้อะไร ไหนบอกว่าเป็นคนพุทธ อาจารย์จะบอกให้ ก็ไม่สู้มีสมาธิหนึ่งครั้ง แต่ คำว่าสมาธิของพุทธะไม่ใช่นั่งหลับตา แต่ความหมายของพุทธะก็คือจิตสงบไม่หวั่นไหว ไม่ว่าคนชมคนด่า เรื่องดีเรื่องร้ายก็สามารถรักษาใจเป็นปกติได้ ใจไม่กระเพื่อมไหวไปกับความร้ายความดี เรื่องร้ายเรื่องไม่ดี ใจรักษาปกติได้ แล้วเชื่อไหมว่าถ้าใจปกติร้อยวันได้ก็ยังไม่ประเสริฐสุดเท่ากับความรู้แจ้ง เห็นจริงในชีวิต แล้วบอกว่าไม่เอาแล้วกับโลกใบนี้ นั่นแหละคือแก่นแท้ที่สุดของธรรมะ แต่ที่มนุษย์ยังทุกข์กันก็เพราะว่าศิษย์มัวแต่หลงยึดตัวตนนี้ที่เป็นสาเหตุ ของทุกข์ทั้งมวล และก็เอาแต่มองออกโทษคนนั้นโทษคนนี้ แต่ไม่เคยมองเขาเลยว่า เพราะมีตัวตนจึงเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า:
“ย้อนมองตน”)

ฉะนั้นที่อาจารย์บอกทั้งหมด เพราะอาจารย์ต้องการบอกให้ศิษย์รู้ว่าแก่นแท้ของการศึกษาหลักธรรมก็คือ เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตว่ามันไม่เที่ยง มันทุกข์ มันว่างเปล่า เราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น และปล่อยให้ตัวเองสร้างโลภ โกรธ หลง อันเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ศิษย์สังเกตสิ พอโลภแล้วศิษย์ก็ต้องมาทำบุญเพื่อให้ตัวเองเบาความโลภ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งมันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แต่ถ้าเราเข้าใจว่าโลกนี้แท้จริงแล้วมันไม่น่ายึดเลย ควรยึดหรือ ถ้ายึดแล้วเราจะโลภหรือไม่ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงเราก็จะไม่โลภ แล้วก็จะไม่ต้องพยายามทำบุญกับใครเลย เพราะทุกขณะเราทำบุญได้ พอจะเอาเราก็คิดว่า ไม่เอาดีกว่า ถ้าเอาแล้วโลภให้คนอื่นไปเถอะ ศิษย์ก็จะสามารถสร้างบุญได้กับคนทุกขณะ ไม่ใช่ไปด่าคนโน้น แล้วค่อยไปทำบุญแก้ที่วัด มันคนละเรื่องกัน จริงหรือไม่ (จริง)  มันต้องทำบุญกับทุกๆ คน ฉะนั้นเวลาทำอะไรจงมองความเป็นจริงแห่งชีวิตให้เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจ เราจะไม่โลภ เราจะไม่โกรธ และเราจะไม่เกลียด แต่เราจะเข้าใจทุกๆ คน ด้วยหัวใจเมตตา เหมือนที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวไว้เมื่อวาน มนุษย์ทุกคนมีเมตตาแต่ขาดปัญญา จึงไม่สามารถกล้าหาญ ก้าวข้ามความทุกข์ให้พ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปัญญานั่นแหละ คือแก่นแท้ความเป็นจริง 
พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่ ตำบลวังมะปราง อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง ชื่อว่า “เหยินเจวี๋ย” แปลว่า เมตตา 
 ช่วยคนเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เสียสละแล้วเป็นลูกศิษย์อาจารย์แล้ว จำไว้อย่างหนึ่ง อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวความลำบาก  เพราะความทุกข์ความลำบาก มันขัดเกลาทำให้เราเข้าใจชีวิต อาจารย์เข้าใจ ศิษย์ต้องทำใจนะ บางอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิด  ศิษย์ห่วงแล้วได้อะไร  บางครั้งศิษย์ต้องคิดดีไว้เพื่อได้นำพาเขากลับมาได้ เชื่ออาจารย์เถิดตั้งใจทำดี คิดดี  ถ้าศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญดีเขาย่อมมีทางที่ดี
พ่อแม่ คืออะไร คือพระของลูก ไม่ว่าลูกไปซ้าย ขวา คิดดีเข้าไว้ ถ้าศิษย์คิดร้าย ศิษย์กำลังชี้ทางให้ลูกไปร้าย แต่ต้องจำอย่างหนึ่งว่า เราเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องกล้ารับ และพร้อมจะให้อภัยเสมอ ถูกไหม แม้วันหนึ่งเขาจะหลงทางไปบ้าง ขอให้คิดว่า ยังไงลูกฉันต้องเจอทางสว่าง  เกิดเป็นคนนะ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากที่จะนำพาชีวิตตัวเองให้ถูกทาง ถ้าคิดไม่เป็น มันก็หลงอยู่วันยังค่ำ ถ้าคิดไม่ได้มันก็ทุกข์อยู่ทุกวัน
เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำผิด อย่าคิดร้าย เพราะคนที่รับผลคือตัวศิษย์ แล้วทำไมเราไม่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง เหล้าก็กิน บุหรี่ก็สูบ แข่งวัว แข่งนก ก็ดู แล้วถึงเวลาจะเรียกให้ใครช่วยถ้ากรรมมันมา ในเมื่อเรื่องไม่นี้ศิษย์เอาหมด แล้วพอถึงเวลาโชคไม่ดีอาจารย์จี้กงช่วยด้วย มันทันไหมล่ะ  ทำไมไม่รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจ  แล้วบอกไม่เป็นไร ตายเป็นตาย ถึงเวลาคนที่รับทุกข์ก็คือตัวของศิษย์เอง ไม่ใช่อาจารย์นะ แต่คือตัวศิษย์เองจริงไหม (ใช่)  ทำอะไรคิดให้ดีๆ นะ อายุยังไม่มาก
(พระอาจารย์เมตตาลงไปชั้นล่างเพื่อประทานโอวาทให้ผู้ร่วมฟัง)
 อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ อยู่กับศิษย์มาพักใหญ่แล้ว ความจริงแห่งชีวิต ทุกชีวิตล้วนไม่แน่นอน มีความทุกข์อันเป็นธรรมดาและถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราเอาแต่จำเรื่องโน้น จำเรื่องนี้ จำเรื่องนั้น เราก็คือคนที่กำลังผูกกรรมไม่จบ แต่ถ้าเมื่อไรมันจบแล้ว จบจากใจ ใจเราก็จะโปร่งเบาไม่แบกทุกข์อีกต่อไป ใช่ไหมศิษย์เอย (ใช่)  อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์เอ๋ย มีโอกาสจะมาอีกไหม (มา)  จริงหรือ จะกลับมาไหม กลับมาเพื่อช่วยตัวเองและมีโอกาสก็ช่วยผู้อื่นได้ไหมศิษย์ ไปแล้วนะ รู้จักนำพาชีวิตให้ดี รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่วแล่น ทำให้เราต้องทุกข์นะศิษย์เอ๋ย มารคือสิ่งที่ผลาญความดี อย่ามีมารในตัวนะ
ต้องรู้จักสู้นะ ยิ่งเจ็บก็ต้องพยายามเดิน อาจารย์ไปแล้วนะ ไม่ให้กำลังใจตรงนี้แล้วนะ ใช่หรือเปล่าเด็กดื้อของอาจารย์ ไม่ต้องร้องแล้วนะ สักวันหนึ่งศิษย์จะเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด ค่อยๆ  คิดให้ดีๆ  อาจารย์ไปแล้ว









พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ย้อนมองตน”
เจ้าควรมองตนให้เป็น   เรื่องจำเป็นไม่ง่ายดาย   ใจวิ่งมาวิ่งไป   ชอบโทษใครก่อนมองส่องตน ยิ่งมองยิ่งย้อนเข้าไป   ใจข้างในมีสิ่งน่าค้น   เมื่อคนมากเกินหนึ่งคน   ฝึกใจอดทน   ต้องย้อนมองใจตัวเอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา