วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

2556-12-21 สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย

西元二一三年歲次発已十一月二十日                  仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖  สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ความสงบเย็นมีแล้วอยู่ในจิต เพียงปล่อยวางความยึดติดชอบชังหนา
กล้ายอมรับความเป็นจริงแห่งธรรมา มีสติเครื่องรักษาพ้นทุกข์ภัย


เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหงเต้า แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจฟังธรรมะจนครบสามวันไหม


มองผู้อื่นอย่าลืมมองดูตน มองเห็นคนเห็นใครสิ้นในกังขา
คนใจเที่ยงธรรมใช่ตัดขาดปรารถนา แต่ผิดถูกกลางมายาแยกแยะเป็น
ทำผิดความเป็นคนรีบสำนึกผิด บาปแห่งชีวิตอยู่ในใจคอยเคี่ยวเข็ญ
เห็นชัดไหนที่เที่ยงที่ตนเป็น แต่ใช่เห็นฉะนี้เป็นเครื่องวัดใคร
รู้สภาพตามธรรมไปไม่ยั่งยืน ดีหรือร้ายมีใครฝืนชะตาได้
เมื่อดีไปในร้ายได้ฝึกใจ ต้องแยกแยะร้ายในดีด้วยปัญญา
ธรรมแบ่งไม่ธรรมาคือความเป็นหนึ่ง กรอบตีย่อมเห็นชัดถึงระเบียบหนา
พ้นกรอบมั่นพลันแจ้งธรรมอันธรรมดา จับหรือยึดเที่ยงตรงพาสะดุดธรรม
บรรทัดตรงวางความดีตีเส้นทาบ ไฟพิสุทธิ์กล้าคิดหยาบจิตตกต่ำ
อยู่ในตนมีอะไรแฝงใจธรรม เงาติดตัวสัญญากรรมต้องรั้งใจ
ท่ามกลางฟ้าดินมนุษย์นั้นประเสริฐสุด ฟ้าดินคนตลอดวิมุติคนเป็นใหญ่
ธรรมะล้วนสภาวะเดียวต้องฝึกฝนใจ อยู่ในกายฝึกฝนคิดพูดทำ


ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนพูดหัวข้อพูดได้ดีทุกคน  แล้วนักเรียนก็ตั้งใจฟังธรรมะกันทุกคน อาจารย์ก็เลยไม่ต้องมาเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่) 
เป็นอย่างไรฟังธรรมะแล้วรู้สึกอุ่นหายหนาวไหม (หายหนาว) ฟังธรรมะแล้วอุ่นใจไหม (อุ่น)  เพราะถ้าอุ่นใจหายหนาวต้องถอดเสื้อถูกไหม (ถูก) นี่แปลว่าไม่อุ่นเลยใช่หรือเปล่า ฉะนั้นพูดอะไรก็ต้องคิด ไม่ใช่พูดอย่างแต่ว่าเวลาปฏิบัติยังสวมเสื้อหนาวอยู่เลย ใช่หรือไม่
ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจอะไร (ดีใจที่ได้พบ)  เราก็ไม่ต่างกันใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่ยึดติดแบ่งแยก เราก็ไม่ต้องเรียนรู้คำว่าดีใจ เสร็จแล้วก็ต้องเสียใจ ใช่ไหมศิษย์ ถ้าศิษย์ไม่ยึดติดแบ่งแยก ไม่ยกอะไรสูงและไม่กดอะไรต่ำ ศิษย์ก็จะไม่มีคำว่าดีใจหรือเสียใจ ฉะนั้นถ้าไม่มีอะไรที่เรารัก เราก็ไม่ต้องเรียนรู้คำว่าเกลียด เวลาถูกใครรักเราก็จะไม่ลุ่มหลง เวลาถูกใครเกลียดเราก็จะไม่ชิงชัง ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ธรรมะ ถ้าอาจารย์บอกว่าแม้เราจะเรียนรู้คำว่าแตกต่างเป็น แต่ในความแตกต่างบางครั้งเราก็ต้องรู้ด้วยว่าในความต่างก็มีความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น ถ้าอาจารย์อยากบอกง่ายๆ ว่าในโลกนี้ ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เกิดจากใจศิษย์เท่านั้นเอง ถ้าเราไม่ยกอะไรสูง จะมีอะไรที่ต่ำไหม
ถ้าเราไม่ยกว่าอะไรสวย แล้วจะมีอะไรน่าเกลียดไหม  ถ้าเราไม่แบ่งแยกแตกต่างเราจะเห็นความเป็นหนึ่ง  หัวใจเราก็จะไม่มีทุกข์หรือสุข ทำอย่างไรที่จะไม่ให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้ นั่นคือไม่มีใครที่เราเกลียด ไม่มีใครที่เราหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น ศิษย์มองให้เท่ากันได้ไหม ศิษย์สามารถทำใจให้เป็นกลางกับทุกสิ่ง แม้มันจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ได้ไหม ถ้าทำได้ พอมีความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก  พ้นทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในความเป็นจริงยังทำไม่ได้ใช่ไหม
ถ้าเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่ารัก เราก็จะไม่มีสิ่งใดที่รังเกียจ ถ้าไม่มีสิ่งใดที่เราเรียกว่าความสุข เราก็จะไม่ต้องเรียนรู้คำว่าทุกข์
ถ้าไม่มีสิ่งใดที่เราเรียกว่าสูงสุด เราก็จะไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าต่ำเตี้ย ถ้าไม่มีสิ่งใดที่เราเรียกว่าสวย เราก็จะไม่เกลียดคำว่าอัปลักษณ์ ถ้าไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าฉลาด เราคงไม่รังเกียจคนที่เรียกเราว่าคนโง่  ฉะนั้นถ้าเราสามารถวางใจเราเป็นกลางมองทุกสิ่งที่แม้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เราจะไม่เกลียดอะไร จะไม่ทุกข์อะไร 


หัวใจมนุษย์ยังยึดติดกับการแบ่งแยกจนลืมความเป็นหนึ่งของสรรพสิ่ง เพราะภาวะการณ์ชั่วขณะหลอกลวง ทำให้เรารู้สึกว่าเราโง่ เราสุข เราทุกข์  เราลองมองให้ลึกมองให้ถึงที่สุด มองให้รอบๆ ไม่มีใครเก่งสุด ไม่มีใครชนะสุด  ไม่มีใครฉลาดสุด และไม่มีใครดีที่สุด ใช่หรือไม่  มีคนสูงก็ต้องมีคนที่สูงกว่า   มนุษย์มักจะนำสภาวะการณ์ชั่วขณะมาทำให้ทุกข์ ถ้าเรามองเปิดใจให้กว้าง  เราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว เหตุการณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่เรากำลังยึดติดอยู่กับเหตุการณ์แค่ตอนนี้เท่านั้น
ถ้าอาจารย์ถามว่าความกว้างและความยิ่งใหญ่ของอาจารย์คือแค่นี้ ใช่ไหม (พระอาจารย์ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือจิกกัน)  ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือว่า ความกว้างแค่ ลัดนิ้วมือเดียวก็ทำให้จิตสุกสว่างโพลงได้ ถ้าอาจารย์บอกว่าความกว้างและยิ่งใหญ่มหัศจรรย์อยู่แค่นี้ จริงไหม  อย่ายึดติดในสิ่งสมมติ ความจำได้หมายรู้ ความทรงจำ จนทำให้ไม่เกิดปัญญาอันถ่องแท้ เพราะเพียงแค่นี้ก็กว้างได้ แต่คิดไม่เป็น คิดอย่างคนยึดติดยึดมั่น มันก็แคบๆ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนัั้นแค่นี้กว้างหรือยัง (กว้าง)  แล้วศิษย์เคยได้ยินไหม แค่นี้แต่มันอาจจะกลายเป็นคับแคบได้จริงไหม (จริง)  เพราะอะไรรู้ไหม อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์บอกว่าความกว้างยิ่งใหญ่คือต้องอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่ามีคนน่าสงสารคนหนึ่งเดินผ่านมา เรามีอะไรเราก็อยากให้ใช่ไหม ถ้าเห็นเขาหิว เรามีขนมเราก็คงอยากให้ มีเงินก็อยากให้ ใช่ไหม (ใช่)  เราว่าเรายิ่งใหญ่ใช่ไหม เราว่าเราใจดี แต่เพื่อนที่มากับเรา เขากลับเดินผ่านเลยไปไม่สนใจ เราก็แอบคิดในใจ “ทำไมเขาใจดำแบบนี้ นิดๆ หน่อยๆก็ไม่ให้  คนน่าสงสารเขาทำไมไม่ให้” ทำไมความกว้างยิ่งใหญ่ของเราแค่นี้มันกลายเป็นไม่กว้างแล้วล่ะ  ตกลงว่าเรากว้างหรือเราแคบ (แคบ)  แล้วในเมื่อสักครู่เรามีอะไรเราก็ให้คนนี้ แต่ทำไมพอเพื่อนเราไม่ให้เราจึงบ่นไปตลอดทางเลย “ทำไมมันไม่ให้ล่ะ ทำไมมันใจดำล่ะ” จนกระทั่งไปถึงแล้วจนกลับมาแล้ว “เฮ้ยแก ทำไมไม่ให้ล่ะ” เพื่อนเลยตอบว่า “แกใจกว้างกับขอทานแต่แกลืมใจกว้างกับฉันหรือเปล่า” ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นกว้างจริงๆหรือ หรือว่าอย่างนี้คือแคบ ใช่ไหมศิษย์  (ใช่)  บางทีมนุษย์เราชอบพูดว่าตนเองใจกว้าง แต่จริงๆ เพราะยึดคำว่า ”กว้าง” จึงแคบไปโดยไม่รู้ตัว   บางคนยอมว่าตนเองใจแคบแต่กลับสามารถยอมรับและเปิดใจกว้างมากกว่า เคยพบไหม พอมีคนว่าใจแคบก็ยอมรับว่าใจแคบ แต่บางคนที่บอกตัวเองว่าใจกว้างและทำให้ตัวเองใจกว้าง พอมีคนมาว่านิดหน่อยก็รับไม่ได้ ถ้าเป็นคนใจกว้างทำบุญมากๆ พอมีคนบอกว่าใจแคบ รับได้ไหม
สมมติว่าปกติชอบนั่งสมาธิ ตอนนี้เราลองยืนทำสมาธิ ยืนสงบนิ่งสักครู่หนึ่งนะ  จิตอย่าฟุ้ง อยู่กับลมหายใจ เข้า-ออกๆ รู้สึกสงบบ้างไหม เข้าก็รู้ออกก็รู้ดีไหม ลองดู เป็นอย่างไร รู้สึกสงบบ้างไหม สงบไหม สงบดีใช่ไหม บางทีนานๆ เราวุ่นวายอยู่ทางโลกภายนอก เราลองนิ่งๆ บ้างก็ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์เคยใช้ความนิ่งให้ตลอดเป็นไหม (เป็น)  สมมติว่ามีคนกำลังด่าเรา เราสามารถยืนนิ่งๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมไม่เอามาใช้ล่ะ เวลาเขาด่า นิ่งไว้ๆ ได้ไหม (จะพยายาม)  อย่างนั้นอาจารย์มีวิธีทดสอบ ดีไหม (ดี) ดูว่าจะนิ่งได้แค่ไหน ( พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นหลับตาครู่หนึ่งแล้วพระอาจารย์ทำเสียงต่างๆ )  ลืมตาได้ เป็นอย่างไรนิ่งไหม ได้ยินเสียงอะไรไหม (ได้ยิน) แล้วนิ่งไหม (นิ่ง)  ได้ยินเสียงไหมเมื่อสักครู่ เหมือนเสียงอะไรเสียงครวญคราง ใช่ไหม ทำให้เรานิ่งไหม (นิ่ง, ไม่นิ่ง)  บางคนก็นิ่งอยู่ได้ บางคนก็เริ่มไม่นิ่งแล้วใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เคยไหม เวลาตั้งใจจะทำดีอะไรสักอย่างหนึ่ง สมมติอยากนั่งสมาธิเงียบๆ หรือตั้งใจจะอ่านหนังสือ สักพักหนึ่งก็มีคนเปิดประตูเสียงดังซ้ำๆ หลายครั้ง นิ่งไหม (ไม่นิ่ง) ทำไมล่ะ (เพราะเสียงดัง)  บางคนกลัวผีหรือ จะกลัวผีทำไม  บางคนรำคาญ ถ้าหันไปบ่นได้จะบอกว่าเรากำลังนั่งสมาธิอยู่  ถ้าเป็นแบบนี้แปลว่า จิตไม่สงบ จิตไม่นิ่ง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าที่อยากนั่งนิ่งๆ เพราะอยากสงบตัดความวุ่นวายใช่ไหม  (ใช่)  ถ้าศิษย์เป็นแบบนี้ศิษย์ตัดไม่ได้หรอก ไปนั่งที่ไหนก็ตัดไม่ได้ เพราะเรากำลังยึดติดความสงบ จนรังเกียจความวุ่นวาย ทำให้เราไม่สามารถค้นพบความสงบท่ามกลางความวุ่นวายได้ ที่อาจารย์บอกว่า ถ้าเราไม่เกลียดทุกข์ หรือไม่รักสุข เราก็จะไม่เกลียดทุกข์ ถ้าเราไม่รังเกียจความวุ่นวาย เราจะไม่วิ่งหาความสงบใช่ไหม เราไม่ต้องวิ่งหาเลยเพราะทุกที่เราก็สงบ ถ้าเราไม่ยึดมั่นความดีจนเกินไปเราจะเกลียดคนเลวร้ายไหม
ฉะนั้นความสงบที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการที่เรานั่งนิ่งๆ แล้วพยายามให้สงบ บังคับให้ทุกคนสงบ แต่ความสงบที่แท้จริงคือไม่ว่าวุ่นวายก็ยังสงบได้ แม้มีใครมาวุ่นวายก็สงบได้  ถ้าศิษย์อยากดับทุกข์ให้เป็นศิษย์ต้องมองเห็นต้นเหตุของทุกข์ให้พบก่อน  เพราะแม้ศิษย์จะหาเท่าไรศิษย์ก็จะดับทุกข์ไม่ได้ เพราะปัญหาอยู่ที่ตัวเรา แต่เรามักจะพยายามแก้ที่คนอื่น ลืมแก้ที่ตัวเรา ลืมมองต้นเหตุที่ตัวเรา
ฉะนั้นถ้าเมื่อใดศิษย์ยึดติดสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ได้ สิ่งที่เสีย ศิษย์ก็หนีไม่พ้นต้องมีคนที่เราเกลียด พอเกลียดมากๆ เราก็อดไม่ได้ที่จะผูกใจเจ็บ แค้น เคือง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอคนที่เรารัก เราก็อดไม่ได้ที่เราจะหลง  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ยังตัดซึ่งอารมณ์ไม่ได้ ก็หนีไม่พ้นการเกี่ยวพันกับกิเลสและกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถวางเฉยอารมณ์ได้ ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง เราก็อยู่เหนือกรรม ถูกไหม (ถูก)  
เมื่อสักครู่ อาจารย์บอก ถ้าเมื่อไรเรามีสิ่งที่รัก ก็ต้องมีสิ่งที่เกลียด  มีสิ่งที่ทุกข์ก็มีสิ่งที่สุข ใช่หรือไม่ แล้วบาปกรรมส่วนใหญ่ของเราก็มักจะเกิดจากโลภ โกรธ หลง ถูกหรือไม่ (ถูก) โลภก็คืออยากมากๆ ก็เลยกลายเป็นโลภ เกลียดมากๆ ก็กลายเป็นโกรธ เป็นชังถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นศิษย์รู้ไหมว่ากรรมที่เราอยู่ร่วมกันนี่ ถ้าเราทำกรรมดีก็เรียกว่าบุญ ถ้าเราทำกรรมไม่ดี ทำแล้วขุ่นหมองก็เรียกว่าบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำกรรมอีกอย่างหนึ่งคือผูกใจเจ็บ อาฆาต ชิงชัง ก็เรียกว่ากรรมเวร ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทำแล้วตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง เขาก็เรียกกรรมอันไม่ฉลาด เรียกว่าอกุศลกรรม แต่ถ้าทำแล้วพ้นโลภ พ้นโกรธ พ้นหลง ก็เรียกว่าสร้างกุศลกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์จำตั้งแต่ต้นที่อาจารย์บอก ถ้าเราวางใจเป็นกลางได้ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เราก็เป็นคนที่อยู่เหนือกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่เหนือกรรมแล้ว ตอนนี้นรก สวรรค์ เราก็สามารถคุมได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)   เพราะว่าเราไม่ตกเป็นทาสชอบชังแล้ว  เมื่อนรกสวรรค์เราคุมได้ นรกคืออะไร นรกคือทำสิ่งไม่ดีแล้วตกนรก แต่สวรรค์คือทำสิ่งที่ดีแล้วขึ้นสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าสมมติเราควบคุมอารมณ์ได้ เราไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ เราก็ไม่สร้างกรรมที่ทำให้ต้องเวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่ตกนรก ไม่ขึ้นสวรรค์แล้วเราไปไหน (นิพพาน)  นั่นคือเรียกว่าแดนนิพพาน แต่ทำอย่างไรได้ ตอนนี้ ศิษย์ยังมีคนที่ชอบ และยังมีคนที่เกลียดอยู่ เคยพบคนที่รู้สึกเกลียดมากๆ ไหม (เคย)  แล้วบางทีด่าได้ก็ (ด่า) บ่นได้ก็ (บ่น) แช่งได้ก็ (แช่ง) นั่นแปลว่าศิษย์ทำบาปก่อเวรกรรม ก่ออกุศลกรรม เพียงเพราะเกลียด แล้วศิษย์ก็หนีไม่พ้นเวรกรรม ใช่ไหม (ใช่)   แต่ถ้าบอกว่าก็ศิษย์เกลียดไปแล้ว ด่าไปแล้ว บริภาษเขาไปแล้ว แล้วทำอย่างไรดี ศิษย์ด่าเขาจบแล้ว ปล่อยวาง แล้วค่อยไปทำบุญ เพื่อชดเชยกรรม ถูกไหม (ไม่ถูก)   ไม่ถูกอย่างนั้นต่อไปควรจะแก้ตั้งแต่ต้น  
ไม่รักก็ไม่มีใครที่เกลียด ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ มันยังอยากเกลียดอยู่เลย เกลียดก็เกลียดไปเลย แต่อาจารย์อยากจะบอกให้  ถ้าเกลียดแล้วบางทีเราทำอะไรไม่ได้มันอดไม่ได้เพราะอยากพูดต่อ อดไม่ได้เพราะอยากบอกต่อ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหม ถ้าเกลียดแล้วบอกต่อๆ บอกจนคนนั้นรู้ว่าเราเป็นคนพูด บอกจนทำให้เขาไม่มีที่ยืน ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “ไล่คนจนจนมุมแล้ว เมื่อเขาทำอะไรไม่ได้ ดีชั่วเขาก็ไม่รู้แล้ว เพราะตอนนี้เขาถูกว่าจนหมดแล้ว ทั่วเมืองทั่วประเทศรู้จักเขาหมดแล้วว่าเขาคือคนไม่ดี เขาคือคนเลว” ศิษย์จำไว้เลยนะ “หนึ่งคดทำร้ายร้อยล้านตรงได้”  เมื่อถูกไล่จนสุดกู่เขาจะกัดไม่เลือก แล้วเขาจะฆ่าไม่ไว้หน้าเพราะเขาไม่เหลือดีแล้ว จำไว้ จริงไหม (จริง)  ก็ถ้าศิษย์เกลียด เวลาเราเกลียดแล้วเราทำอะไรไม่ได้ เราก็ว่าเขาให้กับคนนี้บ้าง บ่นให้กับคนนั้นบ้าง นินทาให้กับคนโน้นบ้าง เมื่อศิษย์ไม่เหลือที่ให้เขายืนเลย เมื่อไล่เขาจนจนมุม จนถึงที่สุด ไม่เหลือที่ จำไว้เลยนะเขาจะกัดไม่เลือก ถ้าศิษย์อยากเกลียด เกลียดไปเลย แต่จำไว้ว่าความเกลียดจะสร้างหลุมพรางให้ศิษย์ตกลงไป และเจ็บปวดใจเอง  ฉะนั้นไม่เกลียดใครเลยดีไหม เหมือนที่พระพุทธะสอนไว้ว่า “เมตตาให้อภัย แปรเกลียดเป็นความรัก แปรศัตรูเป็นมิตร”  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอยากจะเกลียดไหม (ไม่)
ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ไว้แล้วนะ ถ้าอยากเกลียด จำให้ดีๆ อย่าเกลียดจนทำให้เขาไม่มีที่ยืน ถ้าไล่เขาจนมุมเขาจะกัดไม่เลือกที่  แล้วเขาจะไม่สนด้วยว่าบาปบุญคุณโทษมันคืออะไร เพราะถูกประณามไปแล้วว่าแกคือคนชั่ว  ฉะนั้นอยู่ในโลกอย่าเกลียดใคร เพราะไม่เช่นนั้น ความเกลียดจะทำให้ศิษย์กำลังสร้างกับดักที่เลวร้ายที่สุดที่มันจะย้อนกลับมาฆ่าศิษย์เอง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นรักกันไว้ดีกว่านะ
ฉะนั้นพระพุทธะก็เลยสอนไว้ว่าถ้าเราเจอคนหลากหลายแบบ
พบคนเหี้ยมหาญ ดื้อดึง ท่านก็เลยสอนว่า ให้รู้จักใช้ความสุภาพอ่อนน้อม ซื่อตรง และหาญกล้า ในการอยู่ร่วม
พบคนชอบเอาชนะและถือดี  ให้ใช้ความเที่ยงตรงและใจกว้าง ในการอยู่ร่วม 
พบคนครองใจยาก  ให้ใช้ความเมตตา เห็นอกเห็นใจ ในการอยู่ร่วม
พบคนไม่ดี  ให้ใช้ความอ่อนน้อม แต่เด็ดขาด
นี่คือการเอาคุณธรรมมาใช้ในการอยู่ร่วมกับผู้คน แต่พุทธะไม่ได้สอนแค่เพียงระดับศีล แต่ยังสอนไปถึงระดับสมาธิและปัญญา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าวันนี้ถ้าศิษย์มานั่งฟังธรรมคงไม่ใช่แค่ต้องการเพียงแค่พ้นทุกข์ระดับศีล แต่อยากให้ถึงสมาธิและปัญญา
ระดับศีลอาจารย์ให้ไปแล้วระดับหนึ่ง ฉะนั้นถ้าระดับสมาธิเป็นระดับไหนละ จนเข้าถึงปัญญา อาจารย์บอกง่ายๆ มีอยู่อย่างหนึ่ง ศิษย์เคยได้ยินคำพูดที่พระพุทธะเคยกล่าวไว้ไหมว่า “คนที่มักโกรธ ผูกความโกรธไว้และลบหลู่คนด้วยความชั่วร้ายหรือมีความเห็นวิบัติ มารยาสาไถย ชอบพลิกลิ้นพลิกคำพูด เช่นนี้ถือว่าห่างไกลความดี” ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นคนมักโกรธไหม (ไม่)  เราเป็นคนผูกความโกรธไว้ในใจไหม (ไม่)  เราเป็นคนชอบลบหลู่คนด้วยความชั่วร้ายไหม (ไม่)  จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ว่าเหมือนเป็นหมดเลยนะ แล้วเราเป็นคนมีความเห็นวิบัติไหม   คือคิดดีไม่ค่อยเป็น แต่ชอบคิดแย่ ชอบคิดให้แตกแยก ชอบคิดให้ล่มจม (ไม่)  หรือเวลา เห็นผู้ชายคุยกับผู้หญิง “อุ๊ย...มันต้องมีอะไรกันแน่เลย ใช่ไหม” (ไม่ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครทำได้อย่างที่อาจารย์ว่า เรียกว่าคนไม่ผูกความโกรธไว้ ไม่มักโกรธ ไม่ลบหลู่คนด้วยความชั่วร้าย ไม่มีความเห็นวิบัติ ไม่มารยาพลิกลิ้นพลิกคำพูด คนนั้นถือว่าเป็นคนที่ (จิตใจสูง)  พระพุทธะเรียกอะไรรู้ไหม เรียกว่า “คนดี” แต่ถ้าเมื่อไรที่ยังมักโกรธผูกความโกรธไว้ มีความคิดร้าย มีความเห็นวับัติ มารยาสาไถย นั่นเรียกว่า “คนไม่ดี” ใช่ไหม (ใช่)  นี่แค่ระดับธรรมดานะศิษย์ เอาระดับสูงอีกนิดหนึ่งไหม พอพบอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็โกรธ นิดๆ หน่อยๆ ก็บ่นว่า “มันทำอย่างนี้กับฉันทำไม”  ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่เคยคิดเลยว่าที่เขาบ่นๆ เขาหวังดีไหม กลับคิดแต่ว่ามันขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าระดับสูงขึ้นไปอีกพระพุทธะสอนไว้ว่า “นิ่งทางกาย นิ่งทางวาจา นิ่งทางใจ สิ้นอาสวะกิเลส สมบูรณ์ด้วยปัญญา” ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง คนเช่นนั้นเรียกว่า “มุนี” พระพุทธะเรียกว่า “มุนี หรือ พุทธะ”
แล้วนิ่งไหม กายก็ไม่นิ่ง ปากก็ไม่นิ่ง อาสวะกิเลสยังเต็มอยู่ในใจศิษย์อยู่เลยอาจารย์  ปัญญายังไม่ถึงพร้อม อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ เพราะการเป็นพุทธะหรือผู้พ้นจากทุกข์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้วเป็นอย่างไร และมุนีเป็นอย่างไร คือดำเนินชีวิตอยู่บนโลกแล้วไม่เบียดเบียนใคร สำรวมกาย วาจา ใจ อยู่เป็นนิจ บุคคลเช่นนั้นเรียกว่าผู้พ้นการเกิดอีกต่อไป และพ้นทุกข์สุขในโลกนี้อย่างสิ้นแล  ดูแล้วยากไหม นิ่งทางกาย นิ่งทางวาจา นิ่งทางใจ เมื่อนิ่งจนถึงที่สุดจะไม่มีอะไรนอนเนื่องในหัวใจ ปัญญาจะเข้าถึงความสมบูรณ์พร้อมทุกสิ่งทุกอย่างจะปลดปล่อย ปล่อยวาง นั่นเรียกว่า พุทธะ เมื่อพุทธะดำรงอยู่ด้วยความนิ่งก็ไม่เบียดเบียนใคร  จิตใจสำรวมอยู่เป็นนิจ ท่านก็เข้าถึงภาวะพุทธะที่เรียกว่าพ้นการเกิดอีกต่อไป  เราเป็นได้ไหม นิ่งได้ไหม ไม่พูดได้ไหม (ได้)  ไม่ยากนะศิษย์ เพราะการได้เกิดเป็นมนุษย์ คือ ร่างที่วิเศษที่สุด เพราะคนที่สามารถพ้นทุกข์ได้  ไม่มีร่างไหนที่ประเสริฐเท่ากับร่างมนุษย์ ร่างมนุษย์สามารถพ้นกรรม พ้นเวียนว่ายและพ้นทุกข์ได้ แต่ศิษย์มักจะดูเบาตนเอง ว่าตนเองทำไม่ได้ จะพ้นทุกข์ได้เมื่อตนเองเริ่มเรียนรู้  จะพ้นทุกข์ได้เมื่อรู้จักทุกข์ ถ้ายังไม่รู้จักทุกข์ก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้  แล้วชีวิตนี้ศิษย์ว่าทุกข์ไหม (ทุกข์) เรามักจะเรียกว่า ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มียศ มีลาภ เสื่อมยศ เสื่อมลาภ เป็นทุกข์ แล้วทุกข์คืออะไร (การยึดติด) ความทุกข์ คือ (ความไม่สมหวัง, ความคาดหวัง, ยึดติด, เวียนว่ายตายเกิด)
ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังไม่รู้จักทุกข์แท้ๆ ศิษย์ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้จริงๆ แล้วเราเคยเห็นหรือรู้จักทุกข์แท้ๆ หรือยัง เรารู้แต่ตามที่เขาบอกๆ กันมา เกิดก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์
ฉะนั้นพอเกิดมาศิษย์ก็เลยบอกว่าทุกข์  แล้วทุกข์ เป็นอย่างไร มีใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจได้ว่า ทุกข์คือ อะไร (จิตไม่สงบ, ความไม่สมหวัง, ความคาดหวัง, การยึดติด ไม่ปล่อยวาง, การเวียนว่ายตายเกิด ,ความไม่รู้, การสูญเสีย, ไม่ใช่ตัวตน, เราไม่ปล่อยวาง, ความไม่รู้)  ถ้าศิษย์ยังรู้จักทุกข์ไม่ชัด ศิษย์ก็ไม่มีวันแก้ทุกข์ได้ ถูกไหม (ใช่)  (ทุกข์คือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน) ตอบได้ดีนะแต่ยังทำได้ไม่ดีนะ   
อาจารย์มาวันนี้วิชาการหน่อยนะศิษย์ ทุกข์คืออะไร (สิ่งที่สมมติขึ้นเอง, กิเลส, สิ่งไม่สมหวัง, ความโกรธ ความหลง เป็นทุกข์) หลายคนบอกว่าตอบหมดแล้วนะอาจารย์ แต่จริงๆ แล้วยังไม่ใช่ทั้งหมดนะ แต่เป็นสิ่งที่ศิษย์เข้าใจ
ทุกข์คือสภาพที่ทนได้ยากแล้วต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ แล้วถามว่า เพราะอะไรจึงเปลี่ยนไป เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันเป็นเช่นนั้นแล เข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ, เข้าใจ)  ถ้าศิษย์เข้าใจ ศิษย์จะไม่เอาตัวตนไปใส่ในสังขารเด็ดขาด เพราะทุกสิ่งมีสภาพแห่งความทุกข์อยู่ทุกๆ ขณะ นิ้วอาจารย์ ผิวหนังอาจารย์ เลือดอาจารย์ ตัวตนอาจารย์ มีสภาพทุกข์ที่เปลี่ยนแปลงไม่สิ้น จนหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่พบ และเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันเป็นเช่นนั้นแล ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราดึงตัวตนออก สมมตินะศิษย์ อาจารย์ดึงตัวตนออก อาจารย์ก็คือสภาวะธรรมชาติหนึ่ง ถูกไหม (ถูก)  ซึ่งเปลี่ยนแปลงไป
ฉะนั้นไม่ว่าจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ก็คือธรรมะ ถูกไหม คือสภาวะธรรม ใช่ไหม แต่เมื่อไรที่เราเอาตัวตนใส่เข้าไปในสังขาร เรากำลังรับทุกข์ และ เผาตัวเองให้อยู่ในความทุกข์ ขังตัวเองให้อยู่ในกรงแห่งความเปลี่ยนแปลง เอาตัวเองจับเข้าไปในกรงแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เอาตัวใส่เข้าไปในตัวตนนี้ แล้วบอกว่า นี่คือฉัน นี่คือของฉัน นี่คือตัวฉัน ศิษย์ก็คือคนที่กำลังยอมรับทุกข์เต็มๆ ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อไรเราดึงตัวตนออกจากตัวนี้เราก็คือสภาวะธรรม ถ้าอยากเข้าถึงธรรม ดึงตัวออกก็ถึงเลย เห็นธรรมเลย ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราดึงออกไหม
ดึงให้ออกนะศิษย์ ตัดมันทิ้งไปเลย แล้วศิษย์จะเข้าถึงสภาวะธรรมที่ ไม่เกิด ไม่ดับ พ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์เอาตัวตนไปยึดว่าของฉัน หัวฉัน ตัวฉัน ผมฉัน แค่มันเปลี่ยนก็เจ็บ แค่ถูกชี้นิ้วก็โกรธ แค่ถูกด่าก็ร้องไห้ เพราะอะไร เพราะศิษย์เอาตัวตนไปใส่สิ่งที่เรียกว่า “สภาวะธรรม” ตัวนี้ก็คือหนึ่งในสภาวะธรรมชาติ ดึงตัวนี้ออกไป ดึงความยึดมั่นออกไป เกิด ดับก็คือสภาวะธรรมที่เราเข้าถึงโดยไม่ต้องทำอะไร แต่เมื่อไรเราเอาตัวตนใส่เข้าไป ฉันเป็นคนแบบนี้ ฉันนิสัยแบบนี้ ฉันชอบแบบนี้ ฉันชอบแบบนั้น ศิษย์เอยทุกข์ในร่างกายอย่างเดียวไม่พอ ยังทุกข์เรื่องนิสัย ยังทุกข์เรื่องสัญญา ยังทุกข์เรื่องวิญญาณ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์พูดยากไหม (ยาก)  อาจารย์ว่าไม่ยากนะ หาง่ายกว่านี้ไม่มีแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอก อาจารย์ยกพระสูตรอันหนึ่ง ศิษย์เคยได้ยินพระสูตรคำนี้ไหม ท่านพูดบอกว่า “ยึดมั่นเมื่อไหร่ ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น” เคยได้ยินไหม แต่อาจารย์ไม่ยกบาลีนะ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆอันหนึ่ง พระสูตรที่เป็นเทวดาคุยกับพระพุทธเจ้า เทวดาพูดกับพระพุทธเจ้าบอกว่า “มีรูปก็สุขเพราะรูป มีวัวก็สุขเพราะวัว” แต่พระพุทธเจ้าตอบว่าอย่างไรรู้ไหม “มีรูปก็ทุกข์เพราะรูป มีวัวก็ทุกข์เพราะวัว” ในความไม่มียึดว่ามีแล้วสำคัญมั่นหมายในความไม่มีว่ามี เมื่อนั้นหนีไม่พ้นทุกข์ จบไหม (จบ)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ไม่เข้าใจหรอกถูกไหม (ถูก)  เอาละเอียดกว่านี้อีกไหม (เอา)  อาจารย์ว่าแล้ว ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจทุกข์ได้ถูกต้อง การที่จะพ้นทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกข์ คือสภาพที่ทนได้ยาก ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้  ที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันเป็นเช่นนั้น นี่คือแก่นของชีวิตคน แก่นของชีวิตและสรรพสิ่ง
ฉะนั้นถ้าเราอยู่ใน โลกเราเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต แก่นของสรรพสิ่ง แล้วเราจะยึดไหมว่าอันนี้ของเรา เราจะยึดไหมว่าอันนี้ของฉัน (ไม่ยึด) ทำไมไม่ยึด ถ้าอาจารย์บอกว่าพัดนี้สามารถพัดหนึ่งคนให้พ้นโรค พ้นภัยเอาไหม (ไม่เอา) ถ้าศิษย์มองเห็นโลกชัด เห็นตัวตนชัด อะไรก็จะทำให้เราอยากยึดมั่นไม่ได้ และเมื่อเราไม่ยึดมั่น มันก็จะไม่เป็นต้นเหตุให้เราไปแบกรับทุกข์ไว้   ถึงจะพ้นภัย พ้นโรคได้ แต่ศิษย์คิดว่ามันจะไม่กดใจศิษย์หรือ  แล้วถ้ามีแล้วพัดเราพ้นโรคพ้นภัย แต่ไปพัดคนอื่นแล้วไม่พ้นโรคพ้นภัย ศิษย์ไม่ตายหรือ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะศิษย์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีสภาพที่ทนได้ยากต้องแปรเปลี่ยนจนหาตัวตนไม่ได้ และเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยอันเป็นเช่นนั้นแล ฉะนั้นถ้าเราเห็นชัดขนาดนี้เราจะอยาก จะยึดอะไรในโลกไหม (ไม่อยาก) ไม่อยากและไม่ยึดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าคนเข้าถึงความแจ่มแจ้ง แม้สวรรค์อยู่ตรงหน้าก็ไม่เอา แม้นรกอยู่ตรงหน้าก็ไม่กลัวเพราะอะไรก็ทำให้จิตคนนั้นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะสภาวะธรรมไม่มีแบ่งแยกว่านรกสวรรค์นะ ถ้ายังมีนรก สวรรค์ แปลว่ายังติดในบาป บุญ ดี ร้าย ได้ เสีย ยังไม่ถึงกับเรียกว่าพ้นทุกข์นะศิษย์ เข้าใจไหม  ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังไม่เข้าถึงตรงนี้ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นเวรกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ทำผิดก็ต้องไปทำดี  ทำดีแล้วก็ต้องทำดีให้มากๆ เพื่อหนีความผิด เช่นนั้นเป็นทางที่ถูกหรือ (ไม่ถูก)  ถ้าอาจารย์มาต้องไปทางที่ยิ่งกว่าถูก ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นทำอย่างไรต่อไป แค่นี้ศิษย์เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  ทำไมเบาเหลือเกิน อย่างนั้นอาจารย์พูดอีกวิธีหนึ่ง ศิษย์เคยถูกคนด่าไหม เจ็บไหม (เจ็บ)  ยังเจ็บอยู่ไหม (ไม่เจ็บ)  ถ้าตอนนี้ถูกด่ายังเจ็บ แปลว่าศิษย์กำลังผูกเวร ถ้าเกลียด โกรธ แปลว่าก่อกรรม แต่ถ้าจบไปแล้ว นั่นคือตัดกรรม และถ้าบอกว่าถือว่าชดใช้กรรม ถือว่าได้ละลายหนี้กรรม ไม่โกรธ นั่นคือหมดกรรม  เห็นไหมว่าทุกขณะจิตที่ศิษย์ทำ ศิษย์คือคนที่กำลังควบคุมชะตากรรมตัวเอง ไม่ใช่ฟ้ากำหนดนะศิษย์ ฟ้าแค่ทำให้เป็นไปตามเหตุผลและเหตุปัจจัย แต่ที่อาจารย์จะบอกให้เข้าไปถึงอีกอันหนึ่งก็คือว่า เวลาที่ศิษย์ถูกอะไรกระทบ ไม่ว่าทางหู ทางตา หรือทางใจ การจะจัดการสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นั้น สิ่งสำคัญก็คือต้องรักษาใจให้ปกติก่อน
อย่างสมมติถ้าถูกด่า ถูกตี ถูกแช่งชักหักกระดูก ไอ้ดำ ไอ้เตี้ย ไอ้โง่ โกรธไหม ไม่โกรธใช่ไหม ถ้าเราสามารถใช้จิตปกติ ศิษย์เชื่อไหมว่า คนที่ด่าเราจากตอนแรกจะเป็นศัตรู แต่เราจะสร้างศัตรูให้กลายเป็นมิตร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขายืมเงินไปแล้วไม่คืนโกรธไหม เขาเอาภรรยาไปไม่คืนโกรธไหม อาจาารย์จะบอกศิษย์นะว่า ปัญหาทุกปัญหา คนเลวร้ายทุกคน หรือปีศาจร้ายข้างนอกที่น่ากลัวทุกตน มันจะกลายเป็นคนใจดี และจะกลายเป็นไม่ใช่ปีศาจโดยมันอยู่ที่ตัวเรานะศิษย์ เขาจะเอาภรรยาไป เขาจะเอาเงินไป เขาจะด่าเรา เขาจะแช่งชักหักกระดูกเรา เขาจะโกงเรา แต่ถ้าเรารู้จักวางจิตวางใจให้เป็น  เราจะทำให้คนที่ทำร้ายเราเป็นการได้ชดใช้กรรม หมดกรรม จบกรรม ได้ด้วยตัวเราเองถ้าเราครองสติ รักษาใจเป็น เวลาถูกใครกระทบก็ตามก่อนจะไปจัดการเขา ว่าเขาว่าด่าเรา เขาโกงเรา จัดการใจตนเองก่อนดีไหม เพราะใจที่ปกติจึงคิดได้ดี ใจที่เต็มไปด้วยกิเลส ความเกลียดความชัง ไม่เคยคิดอะไรได้ดี มีแต่คิดแล้วก่อกรรมก่อเวร  ฉะนั้นไม่ว่าใครด่ามากระทบทางหู ใครโกงกระทบทางเงิน ใครทำให้เราเจ็บปวดกระทบทางใจ กระทบทางความรู้สึกมากมายต่างๆ  ก่อนจะไปจัดการเขา จำไว้อยู่อย่างหนึ่งว่า จิตที่ปกติจึงคิดได้ดี จิตที่เต็มไปด้วยกิเลสอารมณ์ คิดไม่เคยได้ดี มีแต่คิดแล้วซวย  แล้วจิตคิดได้ดีมีหลายแบบ คิดอย่างไรที่เรียกว่าคิดแล้วพ้นทุกข์ ถ้าคิดแบบต้องหาเหตุผล เช่นเวลาเขาด่า “เออเอาน่า ถึงจะว่าแรงว่าเตี้ยดำไปหน่อยก็ตาม แต่ลึกๆ เขาอาจจะเป็นห่วง”  ถ้าคิดอย่างเหตุผลยังไม่พ้นทุกข์ ถ้าคิดอย่างพิจารณาคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่พ้นทุกข์ แต่คิดอย่างไรแล้วพ้นทุกข์
อาจารย์บอกให้ไหม คิดอย่างไรรู้ไหม คิด ชนิดที่เรียกว่า สุขุมละเอียดรอบคอบ คิดจนแบบมันเห็นปุ๊บกระจ่างแจ้งแล้วไม่ต้องคิด นั่นแหละเรียกว่า จิตอันเป็นสมาธิสูงสุด เป็นจิตที่สามารถเข้าถึงสภาวะธรรมได้ เป็นจิตที่เห็นแล้วพ้นจากการคิด  เพราะถ้ายังใช้คำว่าคิดแปลว่ายังติดในเหตุและผล ถ้ายังต้องพิจารณาก็ยังเป็นเรื่องคิดวนไปวนมา แต่ถ้าคิดถึงขนาดที่เห็นแล้วกระจ่างแจ้งทะลุทะลวงจนไม่ต้องคิดแล้ว มองปุ๊บชัดปั๊บนั่นแหละเขาเรียกว่าสมาธิอันสูงสุด เป็นจิตที่สามารถเข้าถึงสภาวะธรรมได้ แล้วคนที่จะเข้าถึงธรรมต้องรักษาจิตระดับนี้ให้ได้ นี่แหละเรียกว่าบำเพ็ญขั้นศีลแล้วก้าวต่อไปคือขั้นสมาธิเพื่อจะเดินสู่ความรู้แจ้ง เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
อาจารย์พูดยากไปไหม (ไม่ยาก)  แต่ต้องคิดทุกคำพูดที่อาจารย์พูดใช่ไหม (ใช่)  นั่นแหละไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ถ้าศิษย์เข้าถึงปุ๊บศิษย์เคยมองเห็นไหม อาจารย์ยกตัวอย่างนะ (พระอาจารย์เมตตาชูดอกไม้) เห็นไหม (เห็น)  แล้วสิ่งที่ศิษย์เห็นโดยไม่ต้องคิดคืออะไร ถามว่าแอปเปิลกับดอกไม้อยากได้อะไร บางคนบอกอยากได้แอบเปิ้ล บางคนบอกอยากได้ดอกไม้ สิ่งที่เห็นโดยไม่ต้องคิดคืออะไรรู้ไหม ความไม่คงทน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีดอกไม้อยู่ในมือเรา สิ่งที่อยู่ในใจศิษย์คือความไม่คงทนของดอกไม้ใช่ไหม (ใช่)  เมื่ออาจารย์จับดอกไม้หรือเมื่อศิษย์ถือดอกไม้สิ่งที่อยู่ในใจศิษย์คือความไม่คงทน ให้เอาก็ไม่ค่อยอยากเอา ให้ถือไปเดี๋ยวก็ต้องรู้แล้วว่าเดี๋ยวมันก็ต้องเหี่ยว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเวลาถือดอกไม้ไปในใจลึกๆ รู้เลยว่ามันไม่ทน เมื่อมันไม่ทน พอมันเหี่ยวก็เลยรู้สึกเฉยๆ ใช่ไหม (ใช่)  พอมันร่วงก็เลยรู้สึกธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  พอสูญสลายก็เลยว่างเปล่าไม่มีอะไรถูกไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นสรรพสิ่งในโลกเหมือนเห็นชัดเช่นดั่งดอกไม้ เวลาร่วงก็ไม่เจ็บ เวลาเปลี่ยนก็ไม่ทุกข์ เวลาสูญสลายก็ไม่เจ็บปวดใจ เพราะมันเห็นชัดโดยไม่ต้องคิด
นี่แหละเรียกว่าภาวะแห่งการรู้แจ้งเห็นธรรม เราเห็นธรรมในดอกไม้แต่เราไม่เห็นธรรมในตัวเอง ไม่เห็นธรรมในทุกสรรพสิ่ง ถ้าเอาดอกไม้ไปศิษย์ก็เตรียมทำใจแล้วว่ามันไม่ทน แม้มันจะเปลี่ยนขนาดไหน ร่วงโรยไปศิษย์ก็รู้แล้ว ฉะนั้นถ้าเราจะเข้าถึงธรรมได้ ศิษย์จะต้องไม่ลืมสภาวะความเป็นจริงแห่งทุกข์ที่อาจารย์พูดไว้ ถ้าศิษย์จำได้แล้วเห็นชัดว่า เมื่อมันแก่ มันเหี่ยว ศิษย์ก็รู้ว่าต้องแก่ ต้องตายจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เมื่อมีอะไรมา อะไรไป เราก็รู้แล้ว เพราะเราเห็นชัด เมื่อเข้าถึงสภาวะศีลอันสูงสุดจะพบธรรมแล้วเกิดปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด พ้นทุกข์ในทันที 
เราคิดอยู่แบบนี้ทุกครั้งไหม ศิษย์มักปล่อยตัวเองยึดติดกับตัวตนแล้วปล่อยตัวเองไปตามความรู้สึก พบแบบนี้ชอบ แบบนี้เกลียด แบบนี้ทุกข์ แบบนี้สุข พระพุทธะก็เลยสอนไว้ว่า รูปล้วนเป็นอนัตตา เวทนาล้วนเป็นอนัตตา สัญญาล้วนเป็นอนัตตา อนัตตาแปลว่า ไม่มีตัวตน  เวลาศิษย์มีอะไรมากระทบทางตา หู ใจ
เมื่อเวลาเราถูกกระทบแล้ว รูปไม่มีตัวตน ความรู้สึกไม่มีตัวตน สัญญาไม่มีตัวตน ใช่ไหม (ใช่) เมื่อสักครู่อาจารย์พูดแบบนั้น แต่ถ้าอาจารย์ตีอีก มีไหมตัวตน (ไม่มี, มี)
ฉะนั้นถ้าศิษย์ถูกกระทบมากๆ พอถูกกระทบแล้วเราคิดว่าสิ่งที่มากระทบ เมื่อสักครู่เป็นความว่างไม่เที่ยง อย่าถือโกรธ มันก็จะไม่ลงที่ความรู้สึก ถูกไหม เวลาเราถูกรูปกระทบเรารู้สึกทันที ใช่ไหม ตีฉันทำไม ใช่หรือเปล่า ความรู้สึกนั้นเรียกว่าเวทนา แล้วถ้าในเวทนาเราจำได้หมายรู้ว่านี่คือเด็ก นี่คือผู้ใหญ่ เอาพัดมาตีผู้ใหญ่อย่างนี้ไม่ถูกต้องไม่เคารพ นี่ติดในสัญญา ฉะนั้นจึงก่อเกิดเป็นตัวเป็นตน พอเป็นตัว เป็นตนก็เกิด ภพ ชาติ ชรา มรณา สังขารจึงเกิดการปรุงแต่งโดยตัวเราเป็นผู้เริ่มต้น แค่เพียงเห็น แล้วถูกกระทบ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า รูปล้วนอนัตตา เวทนาล้วนอนัตตา สัญญาล้วนอนัตตา ฉะนั้นเมื่อเรามองว่ารูปไม่เที่ยง ความรู้สึกก็ไม่เที่ยง สัญญาจำได้หมายรู้ก็ไม่เที่ยง แล้วเราจะเกิดความโลภโกรธหลง ยึดมั่นถือมั่นในตัวจนเกิดกลายเป็นก่อกรรมและสร้างทุกข์ว่า ตีฉันทำไมไหม (ไม่)  จะหยุดตั้งแต่ถูกกระทบใช่ไหม (ใช่)  แต่เราไม่เคยเห็นรูปเป็นความว่าง ถูกไหม (ถูก)  ยังมีความรู้สึกอยู่และจะรู้สึกเพิ่มทวียิ่งขึ้น เมื่อเราเอาความจำได้หมายรู้ ความยึดมั่นถือมั่นว่านี่ตัวฉัน นี่ตัวเธอ นี่ฉันแก่กว่า นี่เธออ่อนกว่า ตีฉันทำไม ใช่ไหม (อาจจะใช่) 
ถ้าเขาตีแล้วเราเกลียด ตีแล้วเราด่าตอบ ด่าแล้วแก้แค้นไม่ได้ ก็เอาไปนินทา เอาไปนินทาจนเขาไม่มีที่ยืน ผลสุดท้ายก็กลายเป็นก่อเวรก่อกรรม และผลสุดท้ายคนที่จะกลายเป็นมิตรก็กลายเป็น (ศัตรู) ถูกไหม เมื่อไรที่เราถูกตีแล้วจบ เรายอมเมื่อนั้นได้ละลายกรรม ถ้าคิดเอาชนะเราก็แพ้ตั้งแต่ต้น อย่าคิดเอาชนะใคร (เอาชนะใจตนเอง)  เอาชนะใจตนเองดีกว่านะ ศิษย์เอ๋ย
ทุกข์ไม่ได้เกิดจากเขามากระทบแต่ทุกข์เกิดจากเราไม่ยอมแล้วไปยึดมั่น ทั้งที่สิ่งที่ยึดมั่นก็ไม่เที่ยง คนที่มาทำร้ายเราก็ไม่เที่ยง แต่ศิษย์ก็ยึดทำให้ไม่เข้าถึงสภาวะธรรม หนีไม่พ้น ศิษย์ก็เลยเป็นคนที่จุดไฟเผาตัวเองให้อยู่ในกรงแห่งขันธ์ กรงแห่งร่างกายนี้ที่เรียกว่ากองทุกข์ เราจึงหนีไม่พ้นทุกข์นี้เสียที  ก็แค่ดึงตัวตนออกมา แล้วตัวที่ศิษย์ยึดอยู่มันมีไหม ใจศิษย์เป็นอย่างไร ยังไม่เที่ยง ยังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ใจที่ครอบงำสังขารอยู่ตรงไหน แล้วอันนั้นเป็นแบบไหน  จุดจุดนั้นเป็นแค่การรวมศูนย์ให้เกิดสมาธิ แต่จริงๆแล้วสภาวะธรรมแห่งจิตเดิมแท้ คือ ความว่างเปล่า
เมื่อไรที่ถูกตีแล้วโกรธ ถูกขโมยของแล้วเราด่า ถูกแช่งชักแล้วเราแช่งชักกลับ นั่นก็คือการเวียนวนอยู่ในกระแสทุกข์ ถ้าเมื่อไรเรามีสติระลึกรู้ รักษาตน ถูกกระทบก็ไม่ลืมความจริง  ที่อาจารย์บอกคือความทุกข์สภาพที่ทนได้ยาก ศิษย์จำไว้นะ ถ้ามีคนว่า ทำร้ายหรือพูดอะไรขัดใจ ถ้าเขาว่าก็เหมือนเขากำลังปาอะไรมาก้อนหนึ่งใส่ตัวเรา ถ้ามีตัวตนเราก็คือคนที่เอาอกไปรับ และถ้าเรายึดมั่นสิ่งที่ว่า มันเป็นตัวเป็นตน มันก็จะเกาะติดแล้วเราก็จะถูกติดอยู่กับสิ่งนั้น แต่ถ้าเรามองเห็นชัดว่า คำที่เขาว่า มันก็ไม่เที่ยง ตัวเราก็ไม่เที่ยง ถึงที่สุดแล้ว ก็คือ  มันก็ไม่มีอะไร  แล้วเรากำลังทุกข์อยู่กับอะไร ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตอยู่ ไหนล่ะทุกข์ ไหนล่ะเกลียด ไหนล่ะโลภ ไหนล่ะโกรธ ไหลล่ะหลง ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์มีโอกาสลองเดินเข้าไปสู่สภาวะนั้นสักครู่หนึ่งก็ดีนะศิษย์เอ๋ย แล้วศิษย์จะรู้ว่าสภาวะธรรมอันสงบที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร อยู่ได้โดยที่แม้ไม่มีอะไรเลยก็อยู่ได้ หรือมีอะไรเยอะก็ไม่ทุกข์เลยเพราะไม่มีอะไรมากดได้ เพราะเรามองเห็นว่ามันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวมันตั้งอยู่แล้วมันก็เปลี่ยนไป
ฉะนั้นไม่ว่า ใครจะรัก ใครจะร้าย ใครจะดี ใครจะเกลียด เดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนไป ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่ปล่อยเขาแต่ต้องปล่อยที่ตัวเราด้วย ยากไหม (ไม่ยาก) 
อยากเล่นอะไรกับอาจารย์ไหม (อยาก)  อยากเล่นใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นแข่งกันดีไหม ฝ่ายชายขอมา ๑ คน ฝ่ายหญิงอีก ๒ คน  
(พระอาจารย์เมตตาพูดกับฝ่ายชายว่า)  ศิษย์ไปหามาสิ่งหนึ่งแล้วต้องเล็กกว่าของของผู้หญิงคนหนึ่ง และยังต้องเล็กกว่าของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ได้ไหม  
(พระอาจารย์เมตตาพูดกับผู้หญิงคนที่๑)  ศิษย์ไปหามาสิ่งหนึ่งแล้วต้องน้อยกว่าผู้หญิงอีกคนหนึ่งแต่ต้องมากกว่าของผู้ชาย ได้ไหม
(พระอาจารย์เมตตากับผู้หญิงคนที่๒) และศิษย์ต้องไปหามาให้มากกว่าทั้งสองคนนี้ ยากไหม
อยู่กับอาจารย์ต้องใช้ปัญญาเยอะๆ ใช่ไหม (ใช่)  เพื่อนในชั้นใครช่วยเขาได้ (ว่างเปล่า)  ว่างเปล่าเล็กกว่าสองคนไหม จริงๆ แล้วความว่างเปล่านี้จะว่าเล็กก็เล็กสุด แต่ถ้าจะว่าใหญ่ก็ใหญ่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่ถูกนะ คิดออกไหม อาจารย์ถามยากหรือ หาได้ไหม บางทีไม่ต้องมองไกลมองใกล้ๆ ตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ชาย)  อาจารย์บอกให้ อายุของศิษย์ไงน้อยกว่าเขาทั้งสองคน หาอะไร คิดอะไร คิดไปไหน ก็อาจารย์บอกแล้วว่ามันอยู่กับตัวศิษย์  
(พระอาจารย์เมตตากับผู้หญิงคนที่๑)  สิ่งที่ศิษย์ควรมี คือ อะไรก็ได้ ความใจกว้าง ความมีคุณธรรม การรู้จักสละให้ เขาให้แค่นี้ ศิษย์ก็ให้ได้มากกว่าใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตากับผู้หญิงคนที่๒) แล้วอะไรล่ะ ที่ระหว่างมากกับน้อย บางทีการให้เกียรติ เราเป็นผู้ใหญ่กับเพื่อนเราก็ต้องให้เกียรติมากกว่ากับเด็ก เหมือนธรรมที่ศิษย์พยายามแสวงหาทางพ้นทุกข์ พยายามหาเหตุให้พ้นทุกข์ แต่เหตุที่ทำให้ทุกข์อยู่ที่เราเพราะเรายึดว่าแบบนี้ไม่ได้ ต้องแบบนั้น ถ้ามีคนมาสอนธรรมะ ศิษย์ก็บอกแบบนี้ไม่ได้
(พระอาจารย์ชี้มาที่ตัวเอง)  ต้องผู้ที่โกนหัว ใช่ไหม โดยส่วนใหญ่มักจะคิดแบบนี้ ก็เลยตีกรอบจึงทำให้ศิษย์ทุกข์ อย่างไหนเรียกว่าดี ที่ไม่ดีเพราะใจศิษย์ยึดคำว่าดีคืออะไร ไม่ดีคืออะไร อย่าแก้ปัญหาทุกข์ทั้งมวลที่ตัวคนอื่น ให้แก้ที่เรา อย่าไปไกล่เกลี่ยที่เขา ต้องไกล่เกลี่ยที่เรา เพราะใจที่ปกติเท่านั้นจึงคิดได้ดี ใจที่ไม่ปกติเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่มีทางคิดได้ดี จำไว้นะศิษย์
อาจารย์ให้ศิษย์ไปหยิบอะไรมาก็ได้ที่เล็กที่สุด   อาจารย์แค่อยากทดสอบดูว่าสิ่งที่ศิษย์ฟังอาจารย์มา ศิษย์เอามาใช้ได้ไหม  ต้องตอบให้ได้ทุกคนนะ พร้อมหรือยัง ไม่ต้องนับหนึ่งถึงสามก็คิดได้นะ ไหนใครจะตอบอาจารย์ได้บ้างว่า อะไรคือสิ่งที่เล็กที่สุด (จิต)  คำถามอาจารย์ยังไม่จบ แล้ว อะไรคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุด “ขณะหนึ่งก็เล็กแต่อีกขณะหนึ่งก็ใหญ่”
ตอบอาจารย์สิศิษย์ว่าอะไร  (อาวุโสอายุมากที่สุด) คนที่สามารถตอบได้ว่าจิตใจ เป็นคนที่เริ่มมองเห็นใจตัวเองแล้วถูกไหม บางครั้งก็เล็กเหมือนอะไรก็รับไม่ได้ บางครั้งก็ยิ่งใหญ่จนอะไรก็รับไหว ใช่ไหม (ใช่)  (ลม เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น) แล้วลมอะไรน่ากลัวที่สุดรู้ไหม (อารมณ์) ใช่ นั่นแหละอาจารย์บอก อารมณ์ดีบางทีก็กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อารมณ์ร้ายก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือปากคน
(ความดี)   บางครั้งก็ดูเหมือนเล็กกระจ้อยร่อย บางครั้งก็มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่
(ความยึดติด)  เป็นสิ่งที่ถ้าเราไม่ยึดได้เราก็เบาสุด ถ้าเรายึดมากที่สุดก็จะกดใจและทำให้เราทุกข์มากที่สุดโดยเฉพาะยึดติดในความเป็นตัวของตัวเอง 
(ความทุกข์)  เป็นสิ่งที่บางทีดูเหมือนเล็กกระจ้อยร่อย บางที่ก็หนักหนาสาหัส มันอยู่ที่ว่าเรารักมากรักน้อย มันอยู่ที่ใจเราห่วงหามากหรือน้อย ถ้าเราไม่ยึดมั่นมาก ความทุกข์ที่เราพบเล็กกระจ้อยร่อย แต่ถ้าเรายึดมั่นมากความทุกข์นั้นก็เหมือนเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
(ใจตนเอง) ต้องมีสติรักษาใจตนเอง ถ้าใจรักษาได้ดี มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ ถ้าเราไม่รู้จักครองด้วยสติให้ดี ใจนี่แหละก็จะทำร้ายให้เราทุกข์ที่สุด
(ความพอดี) ความไม่พอดีในใจตนเองบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องหาให้ได้ แต่เมื่อพอแล้วก็กลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วเราพอหรือยัง
(ความคิด) อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์น่าสงสาร เวลาจะนอนทีไร สิ่งที่ศิษย์มักจะเป็นคือหยุดความคิดไม่ได้ นอนไม่หลับ วางไม่ลง ความคิดไม่หยุด แล้วเราจะหยุดความคิดได้อย่างไร ถ้าเราไม่ได้ฝึกฝืนใจตนเองบ้าง ฝึกบังคับใจตนเอง เอาแต่ปล่อยตัวเองตามความเคยชิน คิดอะไรก็อยากคิด ทำอะไรก็อยากทำ ไม่เคยฝืน ฉะนั้นเวลาคนที่ไม่เคยฝืนแล้วต้องรับทุกข์ในสิ่งที่ตนเองไม่เคยฝืนก็เลยต้องทรมานตาค้างนอนไม่หลับ
ฉะนั้นการรู้จักควบคุมใจตัวเองให้เป็น เป็นวิถีทางหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเพราะโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะบอกว่า “ช่างสิฉันมีสิทธิ์จะคิด” แล้วเป็นอย่างไร คิดจนทุกข์ ใช่หรือไม่ วิธีแก้คืออะไร มีสติรู้ทันความคิดพอเห็นความคิดปุ๊บอย่าคิดต่อ ความคิดกลัวคนรู้ทันเหมือนกิเลส


อะไรใหญ่ที่สุดและอะไรเล็กที่สุด (ความไม่แน่นอนเล็กที่สุด ความไม่แน่นอนใหญ่ที่สุด)  ตอบได้ดีไหม ใช่หรือ สำหรับศิษย์อาจารย์ต้องบอกว่าอันที่เล็กที่สุดคือใจของศิษย์ อันที่ใหญ่ที่สุดก็คือใจของศิษย์ ความไม่แน่นอนนั้นมันไม่ได้เล็กไม่ได้ใหญ่เลย แต่อยู่ที่ใจเวลาพบความไม่แน่นอนแล้วเราจะเล็กหรือจะใหญ่ ใช่ไหม อย่าปล่อยให้ตัวตนมาทำให้ตัวเองที่กว้างกลายเป็นแคบโดยไม่รู้ตัวนะศิษย์นะ รับไหมแอปเปิล แอปเปิลนี้จะใหญ่ได้และเล็กได้ด้วยถ้าศิษย์รู้จักให้เป็น ลูกเล็กๆ ถ้ารู้จักให้เป็นก็กลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ลูกเล็กๆ ให้ไม่เป็นก็กลายเป็นเรื่องคับแคบได้เหมือนกัน ใช่ไหม
ฉะนั้นควบคุมอารมณ์ให้ดีนะ (ความจดจำ)  สิ่งที่จำเขาเรียกว่าสัญญาที่อยู่ในใจของศิษย์ ถ้าคิดถึงมัน คิดถึงมัน สัญญาสะสมมากๆ ก็กลายเป็นอนุสัย อนุสัยสะสมมากๆ ก็กลายเป็นอาสวะ และทั้งอาสวะและอนุสัยก็คือกิเลสที่เกิดจากสัญญา และสัญญาก็มาจากเวทนา และเวทนาก็มาจากรูป ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้รูป เวทนา ก่อเกิดเป็นกิเลส อนุสัยเราก็ต้องรู้จักที่จะเห็นแล้วไม่ตามความรู้สึกจนเกินไป อย่างเช่นกินอาหารต้องกินอาหารที่อร่อย สวมเสื้อต้องใส่แล้วสวย ใช่ไหม (ใช่)  นั่นแหละเรียกว่าติดในสัญญาล้วนๆ เลย
ฉะนั้นถ้ากินไม่ต้องอร่อย สวมไม่ต้องให้สวยนั่นเรียกว่าไม่ยึดติดใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ยืนเมื่อยไหม (ไม่) อาจารย์ไม่สนใจคนนั่ง อาจารย์สนใจคนยืน เห็นบ่นกันหลายรอบเลย อาจารย์มาสองชั่วโมงยืนสองชั่วโมงเมื่อยมากเลย เอาตัวตนออกจะได้ไม่ทุกข์ เอาตัวตนไปยึดในสังขารก็ทุกข์ตั้งแต่ต้นจนจบเลย ใช่ไหม
อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ยึดนะ อาจารย์มาที่นี่อาจารย์ก็ชอบอยู่อย่างหนึ่งคืออาจารย์ไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องรีบๆ มา ไม่ต้องรีบกลับ แต่อาจารย์ไปได้เรื่อยๆ เพราะที่นี่ประชุมธรรม ๓ วัน อาจารย์ไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องเร่ง ใช่ไหม  
(พระอาจารย์เมตตานำแอปเปิลออกมา)
ศิษย์เห็นอะไรในแอปเปิล โดยส่วนใหญ่เราเห็นผลไม้เราเห็นเปลือกก่อนแล้วจึงเห็นเนื้อ เห็นเมล็ดข้างใน ถ้าอยากทานแอปเปิลต้องปอกเปลือกเพื่อทานเนื้อ แต่บางครั้งเราเห็นแอปเปิลเราต้องเห็นตัวเราด้วย โดยส่วนใหญ่เวลาเห็นความอยาก เรามุ่งตรงออกไปแล้ววิ่งตามความอยาก จนสนองความอยาก เมื่อทำบ่อยๆเข้า ศิษย์ลืมอะไรอย่างหนึ่งไหมว่า เราเอาแต่มองออกจนลืมมองตัวเอง สิ่งที่มนุษย์ชอบเป็นกันคือการวิ่งตามกิเลส อารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง พอวิ่งจนถึงที่สุดแล้ว ผลสุดท้ายก็ต้องมาทุกข์เจ็บปวดเพราะสิ่งที่ตนเองวิ่งตามนั่นเอง ตอนนี้อาจารย์มีแอปเปิล มีขนม  มีลูกอม เวลาเราอยากเราก็อยากได้ทั้งหมด แต่ศิษย์อย่าลืมว่าเวลาเราวิ่งตามความอยาก ก็ให้ความอยากมาสะท้อนที่ตัวเราให้รู้ว่าถ้าอยากแล้วทำร้ายร่างกายจงหยุดก่อนที่มันจะมาทำให้เราเจ็บปวดแล้วทำอะไรไม่ได้  เข้าใจไหม สมมติถ้าอาจารย์อยากกินลูกอม เวลาไปไหนก็ต้องมีลูกอม  แรกๆ ลูกอมก็มีประโยชน์แต่พอกินมากๆ ลูกอมก็เป็นโทษเพราะทำให้ฟันผุ  ทำไมเวลาเราวิ่งตามความอยาก  เช่น อยากมีเงินมากๆ อยากหาความรักมากๆ อยากหาความสมบูรณ์มากๆ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ศิษย์ใจผุหรือ   ก่อนที่จะวิ่งไปตามความอยากอย่าลืมดูสภาพตัวเองด้วยว่าเหมาะที่จะอยากอีกไหม  มิฉะนั้นความอยากจะฆ่าศิษย์ให้ฟันผุ ใจผุกร่อน ทำลายทั้งกายและใจ ฉะนั้นก่อนอยากอย่าลืมดูใจตัวเอง  ไม่อย่างนั้นความอยากจะฆ่าศิษย์
เมื่อสักครู่อาจารย์ว่าจะให้ของขวัญปีใหม่ ใช่ไหม ที่อาจารย์อยากให้คือ ให้ศิษย์แล้วให้รู้จักไปให้ต่อ เพื่อสร้างสิ่งเล็กๆ ให้กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ดีไหม (ดี) 
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้)
ใครได้แล้วไม่เอาอีก พอแล้ว ไม่ให้อีกนะ ควรรู้จักให้แม้ตัวเราจะไม่ได้นะศิษย์ ให้แล้วรู้จักให้ต่อ ไม่ใช่ให้แล้วเก็บไว้ให้ตัวเอง ได้ไหมศิษย์
อะไรที่อยู่ในใจที่ศิษย์อยากเอาออกไปจากใจมากที่สุด (กิเลส)  กิเลสตัวไหน ตัวที่น่ากลัวที่สุดคือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนคือข้าก็แน่ใช่ไหม หัวหน้าเอาตัวไหนออก (รัก โลภ โกรธ หลง) เอาโกรธก่อนไหม (โลภ โกรธ หลง ตัณหา) โลภ โกรธ หลง ตัณหามันมีเพราะอะไรศิษย์รู้ไหม (ตัวตน)  และตัวตนที่ติดในสัญญาคิดเมื่อไร จำได้เมื่อไร อ๋อแบบนี้ฉันชอบ อ๋อแบบนี้ฉันหลง นั่นแหละ ถ้าเมื่อไรที่ไอ้แบบนี้มันชอบแบบนี้มันหลง มันมาปุ๊บแล้ว ศิษย์บอกไม่เอา ไม่สน สัญญาความจำจะว่างเปล่า กิเลสและอนุสัยที่นอนเนื่องในใจจะไม่มี ทำให้ได้นะ (ความไม่พอดี)  แล้วพอบ้างหรือยัง (พอแล้ว)  ไม่พอก็เหนื่อยตายนะจะบอกให้ ใช่ไหม (ใช่)  (ความไม่ดี)  อะไรที่ไม่ดี (ที่คิดไม่ถูก)  ที่คิดไม่ถูกช่องไม่ถูกทาง ไม่คิดสูงชอบคิดต่ำ ไม่คิดดีชอบคิดร้าย ใช่ไหม (ใช่)  รู้ให้ทันด้วยสติ เพราะเราไม่เคยหันมามองดูใจตัวเองเราถนัดแต่ว่าคนอื่นไม่ดี คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี แต่เราลืมถามตนเองว่าตัวเองดีหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  พออาจารย์ถามว่าเรามีอะไรไม่ดี ไม่มีหรอกอาจารย์มันดีไปหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ถูกไหม นั่นแหละหลงดีก็คือสิ่งที่ไม่ดีเหมือนกัน  วันนี้อาจารย์อาจจะชวนเล่นน้อยหน่อยแต่เน้นเรื่องธรรมะมากหน่อยนะ เพื่อประโยชน์แห่งปัญญาในใจศิษย์นะ  (พระอาจารย์เมตตาให้ทั้งชั้นเรียนอ่านกลอนที่ได้)
อาจารย์มาชอบให้ศิษย์คิด ถ้าเมื่อไรเราคิดจนรู้แจ้งแทงตลอด ว่างจากความคิด เราก็จะสามารถเข้าถึงสภาวะธรรมได้นะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “ใจเที่ยงธรรม”)  คนโดยส่วนใหญ่ในโลกนี้เวลาอยู่ในโลกเราชอบความบริสุทธิ์ยุติธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เราชอบคนเที่ยงตรง ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ไม่มีความเที่ยงธรรมนะ  แต่คำว่า คนที่สามารถเข้าถึงใจเที่ยงธรรมได้ นั่นก็คือ ใจบริสุทธิ์ยุติธรรมจนเข้าถึงสภาวะเที่ยงตรงและเป็นหนึ่ง ส่วนใหญ่เวลาคนจะบอกว่าตนเองเที่ยง ก็มักจะบอกว่าฉันเที่ยง แล้วก็ชอบไปวัดคนโน้นถูก คนนี้ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งจริงๆ แล้ว คำว่า “เที่ยงธรรม”  ไม่ใช่วัดใครถูกใครผิด ใจเที่ยงธรรมใช่ตัดสินใครถูกผิด  ความเป็นกลางแห่งชีวิตไม่ใช่อยู่ที่ตรงไหน  แต่มันอยู่ที่เห็นชัด เห็นสภาพ ชัดเห็นธรรมตามสภาพที่เป็นไป คือไม่ว่าเขาจะได้แค่นี้ ได้เท่านี้ เราต้องยอมรับว่าเที่ยงตรงแล้ว ไม่มีใครมาก ไม่มีใครน้อย ถ้าเราเปิดใจเป็นกลาง เราก็จะเห็นว่านั่นแหละถูกต้องแล้ว แต่มนุษย์มักจะบอกว่านั่นน้อยไป นี่มากเกิน นี่แย่หน่อย นี่ดี ซึ่งถ้าเราแบ่งแยกแบบนี้เราก็มองไม่เห็นสภาวะความเป็นจริงอันถ่องแท้ได้ เพราะเรายึดติดในความรู้สึกของเราถูกไหม (ถูก)  มนุษย์ทุกคนที่มีทุกข์เพราะว่าเรามีความชอบชัง พอใจ เกลียดที่สะสมอยู่ในตัวเรา บอกว่า ถ้าเป็นฉันแบบนี้ฉันชอบ ถ้าเป็นฉันแบบนี้ฉันเกลียด ฉะนั้นเวลาใครมีใจที่ตรงกับสิ่งที่ฉันชอบ เราก็จะบอกว่าคนนี้ดีกว่าคนนี้ ซึ่งมันไม่เรียกว่ายุติธรรมนะ  ถ้าคนที่เข้าถึงความยุติธรรมจริงๆ ก็คือเข้าถึงสภาวะธรรมอันถ่องแท้และบริสุทธิ์จนถึงเที่ยงเอง โดยที่ไม่ต้องแบ่งแยก จิตจะเป็นกลางโดยที่ไม่มีอารมณ์ใดมาครอบงำ อาจจะไม่ยากนะ ใช่ไหม แต่อาจารย์ก็หวังสักนิดหนึ่งว่าศิษย์คงจะเข้าใจ
ถ้าเราเข้าใจสภาวะธรรม จะไม่มีใครในโลกที่เราเกลียดหรือรักจนเกินไปและไม่มีอะไรในโลกที่เรียกว่า ทุกข์หรือสุข แต่ที่เกิดทุกข์ สุข ดี ร้าย ได้ เสียเพราะใจเราไม่ตรง ใจเรามีความชอบ ชัง  ถ้าอยากตัดใจให้ว่างนั่นคือละความพอใจ ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ก็พ้นทุกข์ได้ มีใครบ้างที่ไม่ชอบตัวเองเลย ยกมือขึ้น ส่วนใหญ่หลงตัวเองทั้งนั้นใช่หรือไม่ ศิษย์จงจำไว้เลยเมื่อไรที่รักและหลงหนังหน้านี้เมื่อนั้นศิษย์กำลังสร้างกรงขังขังตนเองและยินดีที่จะแบกรับความทุกข์ให้เผาไหม้ใจ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์รู้แล้วว่าตัวตนไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง รูปลักษณ์ต่างๆก็ไม่เที่ยง ไม่ยึดใดเลย เมื่อนั้นแหละศิษย์จะพ้นทุกข์และเข้าถึงสภาวะเที่ยงธรรม
อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์พ้นทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ตัวตนนี้น่ารักหรือ ตัวตนนี้น่าห่วงหาหรือ  ยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งห่วงหาก็ยิ่งผูกพันและก่อเวรกรรมไม่จบสิ้น พุทธะไม่ได้ลงมาเพื่อให้ศิษย์ยึดติดแต่ลงมาเพื่อชี้แจ้งให้ถึงจิตและค้นพบความจริงมากกว่าสิ่งที่ศิษย์ยึดติดในความรู้สึก  เราอยู่บนโลกวิ่งไปแต่ความรู้สึกๆ ต่อไปนี้ศิษย์เอ๋ยจงตื่นขึ้นมาแล้วอยู่กับความจริงเพราะความรู้สึกไม่เคยทำ ให้ใครพ้นทุกข์ มีแต่ทุกข์แล้วทุกข์อีก  แต่ความจริงทำให้เรายิ่งเห็นชัดและปล่อยวาง เมื่อใดที่ศิษย์เข้าถึง สภาวะที่ใจนิ่ง กายนิ่ง ปากนิ่ง เมื่อนั้นศิษย์จะสิ้นอาสวะ มีปัญญารู้รอบเป็นชัดปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งหมด ไม่เบียดเบียนใครในโลกให้ทุกข์เมื่อนั้นศิษย์จะได้พบอาจารย์ที่แท้จริง  ไม่กลับมาทุกข์มาโศกเศร้าอีกต่อไป
อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปนะ ไปให้ถึงความจริงอันเป็นธรรมะ ถ้าไปไม่ถึงศิษย์จะได้รู้เลยว่าโลกนี้มันน่ากลัวขนาดไหน ที่มันน่ากลัวและทำให้ศิษย์เจ็บปวดมากที่สุดไม่ใช่เพราะโลก ไม่ใช่เพราะความเปลี่ยนแปลงแต่เพราะความยึดมั่นที่เรารับไม่ได้ รับไม่ได้เมื่อสามีเปลี่ยนไป รับไม่ได้เมื่อลูกเปลี่ยนไป รับไม่ได้เมื่อร่างกายเป็นทุกข์ อาจารย์ก็ไม่ได้ให้ศิษย์ต้องไปรับ แต่มองเห็นจนชัด จนสามารถดึงตัวเองออกมาจากความทุกข์ในโลก ศิษย์ก็คือสภาวะธรรม ศิษย์ก็คือสภาวะธรรมที่แท้ สภาวะธรรมที่แท้ที่อยู่ในตัวศิษย์แค่วางความรู้สึกยึดมั่น แค่วางความติดยึดในตัวตน สภาวะธรรมจะเกิดขึ้นทันที ไม่ต้องไปหาข้างนอก แค่หยุดที่ใจศิษย์ อย่าไปโทษคนอื่นหันกลับมามองตัวเอง เขาด่า เขาทำร้าย เขาพูดหรือร่างกายต้องเจ็บปวด หรือร่างกายต้องเป็นโรค มองให้เห็นมันไม่ใช่ของเรามันเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เราจะไปยึดทำไมให้ทุกข์ เราจะไปหวงทำไม มันคือธรรมะ และเราก็คือธรรมะ แล้วเรากำลังทุกข์อะไรกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ ศิษย์ก็รู้ว่าศิษย์ทุกข์เพราะยึด ยึดไม่มองความจริง ยึดเพราะมองไม่เห็นชัดในความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นชัดศิษย์จะไม่ทุกข์ ศิษย์จะอยู่ร่วมกับทุกข์ด้วยความรู้สึกว่ามันก็แค่นั้น มันก็เช่นนั้น
เมื่อไรเห็นสิ่งไม่มีว่ามีศิษย์จะทุกข์ตลอดชีวิต แล้วอะไรในโลกที่เรียกว่ามี เงินหรือ ร่างกายหรือ แฟนหรือ ลูกหรือ มันไม่มี มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ฉะนั้นอย่าทำร้ายตัวเองด้วยการคิดผิด เพราะถ้าคิดผิดแล้วแม้พุทธะลงมาโปรดอยู่ตรงหน้า ศิษย์ก็พ้นทุกข์ไม่ได้เพราะความคิดเองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พ้นจากความคิด การพ้นจากความคิดคือมองจนเห็นชัดแจ่มแจ้งจนไม่มีอะไรต้องคิด เห็นจนชัดเจนจนเข้าถึงสมาธิที่เรียกว่าระดับสูงสุดแล้วศิษย์จะพบธรรมะ ธรรมะอันเป็นเดิมแท้ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ใช้ศีล ไม่ใช่แค่ใช้สมาธิ แต่ใช้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญาพร้อมกัน และไม่ใช่ดับทุกข์ตอนที่ตายแล้วค่อยดับ แต่ดับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เราสามารถพ้นทุกข์ได้เลยนะเพียงแค่คิดได้ แค่ทำได้ ตัวตนไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติ
อย่ารอพ้นทุกข์เมื่อตาย มันไม่พ้น มันต้องพ้นทุกข์ตั้งแต่ตอนนี้ ยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งได้ฆ่าตัวตน ยิ่งถูกระทบก็ยิ่งได้ชำระล้างตัวตน ฉะนั้นหยุดการเกิดก่อนที่จะต้องเกิดแล้วเกิดอีกไม่จบสิ้น หยุดการเกิดด้วยการปล่อยวางอย่ายึดมั่นตัวเอง ฉะนั้นอะไรจะเกิดก็ดีทั้งนั้นนะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  ขอเพียงอย่ายึดติดมีอารมณ์ร่วมเด็ดขาด เพราะถ้ายึดติดมีอารมณ์ร่วมนั่นคือเรากำลังเกี่ยวกรรม มองให้มันเป็นกลาง ดีไหม (ดี)  แล้วเราจะได้พ้นทุกข์ด้วยกันนะศิษย์เอย อาจารย์จะไปแล้วนะ เป็นโอกาสดีนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์เอย ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็งนะ ไม่ร้องไห้แล้ว ไม่งอแงแล้ว อาจารย์ยังไม่ร้องเลยศิษย์จะร้องทำไม เดินได้แล้วนะ ช่วยคนได้แล้วนะ ขอบใจนะที่ยังกลับมา ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าให้โลกนี้มันหลอกลวงเราอย่าให้ความยึดมั่นมาทำร้ายเรา อย่างนั้นศิษย์ก็ต้องรู้จักระมัดระวังการกินและดูแลสุขภาพให้ดี อันนี้ช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่คนเราทุกคนต้องมีโรคเป็นเรื่องธรรมดา อาจารย์ช่วยได้แค่ระดับหนึ่งแค่นั้นนะ มีโอกาสช่วยเขานะ 
ตั้งใจบำเพ็ญนะ อาจารย์อยากให้พรวิเศษกับศิษย์ทุกคนแต่ศิษย์ต้องรู้จักดำเนินชีวิตตนเองนะ 
อาจารย์คงต้องไปแล้ว คนภาคเหนือไม่ยอมให้จับหัวใช่ไหม หัวสูงหรือ แต่มืออาจารย์สูงกว่าหัวศิษย์นะ
จากกันด้วยรอยยิ้มเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญนะ อาจารย์รักศิษย์ทุกคนแต่ศิษย์ต้องรู้จักรักตัวเองให้เป็น คิดให้ถูกทางนะอย่าคิดแบบทำร้ายตัวเอง อย่างสร้างนิสัยความเคยชินทำร้ายตนเอง เข้าใจนะ












วันจันทร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
พระโอวาทพระนาจา


ดูเหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มีหนา ดูเหมือนมาแต่เหมือนไปต่างก็รู้  
ดูเหมือนสุขแต่ก็ทุกข์ติดตามอยู่ น้องต้องรู้ตามให้ทันสติให้ไว
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม


คำตอบที่มากมายกลับไม่ชอบใจตามประสา  เสียงนั้นที่ตอบมาครั้นไม่ตอบใจ พูดเท่าไรเท่าไรก็เหมือนเดิม หวังว่าคนทุกคนไม่ต้องทุกข์ทนเพราะอัตตา  ลดละน้อยลงหน่อย  เรื่องของใครสิ่งคุ้นตา สองดวงตาสร้างทุกข์ให้เรา
ท้อเรื่องใดเหนื่อยแล้วอย่าไปคิดเลย ทุกข์ก็เกินจะทนอย่าไปทุกข์
กับมัน มากเกินก็เหนื่อย แค่ทำให้ดี ที่เหลือก็ทำหัวใจ  ทุกข์ที่ชอบกล่าวกันมากมายเรื่องราว  หลายคราใช่ทุกข์ใจแค่ยังคิดไม่ทัน อย่าไปคิดง่าย
สุขได้ทุกข์ได้ เมื่อวางใจจนเรียบพลัน ทุกข์ไม่มีอยู่จริง
หวังว่าที่สอนไปยิ่งต้องเข้าใจทุกอัตตา ไม่ทุกข์ให้เกินทน สุขทุกข์เป็นเรื่องสัญญา เสียงตอบมาก็ยิ่งน่าฟัง
ชื่อเพลง : ทุกอัตตา
ทำนองเพลง :  ยิ้มให้กับความผิดหวัง


พระโอวาทพระนาจา
“ดูเหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มีหนา  ดูเหมือนมาแต่เหมือนไปต่างก็รู้”
ใช่ไหม สิ่งที่เราเห็นบางครั้งดูเหมือนมีแต่จริงๆ แล้วก็เหมือน (ไม่มี)  สิ่งที่เหมือนว่ามาหาเราแต่จริงๆ แล้วก็กำลังจะไปจากเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นว่ามีจริงๆ แล้วก็เหมือนไม่มี สิ่งที่ว่ามาแต่จริงๆ แล้วก็เหมือนกำลังจะไป ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราก็กำลังงงอยู่เลยว่าจริงๆแล้วเรามาหาท่านหรือเรากำลัง จะไปจากท่าน ท่านว่าอะไร มาหรือไป (มา)  แน่ใจหรือ
“ดูเหมือนสุขแต่ก็ทุกข์ติดตามอยู่      น้องต้องรู้ตามให้ทันสติให้ไว”
เส้นขายึดหรือ เรานึกว่าอยากเต้นเป็ด เต้นหน่อยไหมขาจะได้ดีขึ้น ศิษย์พี่จะบอกให้นะยิ่งเส้นยึด เรายิ่งต้องพยายามออกกำลัง เพราะยิ่งไม่ออกมันจะยิ่งยึดเข้าไปใหญ่ พอยึดแล้วคราวนี้ออกไม่ได้แล้วนะ ขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วคือสิ่งที่ต้องเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเคลื่อนไหวไม่ได้ นั่นแปลว่าใกล้กับความตาย ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ศิษย์พี่เคยบอกไว้นะ ฉะนั้นเมื่อไรที่รู้สึกไม่ ไหวต้องกล้าที่จะฝืนตัวเอง เพราะถ้าไม่ฝืนมันจะยิ่งยึด แล้วพอยิ่งยึดมันก็จะยิ่งเดินเข้าสู่ความตาย ที่เรียกว่า อัมพาต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องมีใจที่เข้มแข็ง ถ้าอ่อนแอเมื่อไรอัมพาตจะค่อยๆ กินไปทั้งตัว ไม่ใช่อ่อนแอแล้วก็จิตใจก็อ่อนแอไปด้วย อย่างนั้นน่าเสียดายนะ
เมื่อวานพระอาจารย์มา สอนอะไรตั้งมากมายจำได้บ้างหรือไม่ (ได้, ไม่ได้)  เงียบๆ แบบนี้แสดงว่าจำไม่ได้แน่เลย จำได้หรือเปล่า จำได้ว่าอย่างไร
ศิษย์พี่แอบได้ยินว่าศิษย์น้องจำได้คำเดียวว่า “ทุกข์คือ... แล”  ใช่ไหม (ใช่)  ว่าแล้วสงสารพระอาจารย์ ท่านก็นั่งขำ พระอาจารย์มาสอนเรื่องทุกข์ แต่ว่าอะไรกลับจำไม่ได้ จำได้คำเดียว “แล”
(ศิษย์พี่นาจาเมตตาให้เขียนคำตอบบนกระดาน)
ทุกข์คือ สภาพที่ทนได้ยากต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนหาตัวตนไม่ได้เป็นไปตามเหตุปัจจัยเช่นนั้นแล
สิ่งหนึ่งที่ศิษย์พี่อยากบอกศิษย์น้องก็คือ ถึงแม้ว่าศิษย์น้องจะรู้ในความหมายนี้ขนาดไหน แต่ถึงเวลาศิษย์น้องก็ยังกลัวอยู่สิ่งหนึ่งก็คือ ความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ถึงแม้ว่าเรารู้ว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ พลัดพรากเป็นทุกข์ สูญเสียเป็นทุกข์ เรารู้ว่ามันเป็นทุกข์แล้วสิ่งที่เราถูกปลูกฝังลงรากยึด เป็นรากใหญ่จนแตกเป็นรากฝอย จนทำให้เราเกิดความกลัวในใจ จะได้เผชิญกับสิ่งนั้นโดยที่เราบอกว่า ให้เรารู้สึกเฉยๆ ไม่ทุกข์เป็นเรื่องยาก จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น ลึกๆ เวลาเราพบเรื่องพวกนี้ขึ้นมากจริงๆ เราก็เลยรู้สึกว่ามันยากเกินจะรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอพบแล้วบอกว่าให้ถอนความรู้สึกออก ให้ถอนตัวตนออกแล้วไม่ให้รู้สึกอะไรเลย มันก็ยากเกินจะทำได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่ามันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นถ้าศิษย์พี่บอกว่า แล้วถ้าความจริงนั้นที่ศิษย์น้องกลัว ศิษย์น้องเคยมองดูชัดๆ ไหมว่า มันเป็นอย่างไร ความจริงที่เรากลัว ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความพลัดพราก ความเจ็บ ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครไม่กลัวแก่ยกมือขึ้น กลัวแก่หมดเลยหรอ ไหนใครไม่กลัวเจ็บยกมือขึ้น
 ใครไม่กลัวตายยกมือขึ้น กลัวทุกคนเลยเหรอ จริงเหรอ ทุกข์คือสภาพที่ทนได้ยากแปรเปลี่ยนจนหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ และเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยอันเป็นเช่นนั้นเอง  ฉะนั้นบางครั้งเวลาเราเจอความจริงในโลกบางทีก็เจ็บใช่ไหม พลัดพรากจากสิ่งที่รัก สูญเสียสิ่งที่ชอบ โดนว่าอย่างทิ่มแทงใจ บางทีรู้สึกเจ็บมากใช่ไหม (ใช่)  แล้วเวลาเราเจอเราจะทำอย่างไร  เราก็ต้องเข้าใจว่าความจริงในโลกนี้ไม่เคยมาด้านเดียวตลอด สังเกตเวลามีความเกิดก็มีความ (ตาย) ก็รู้นะ แล้วกลัวทำไม ใช่ไหม (ใช่)  เวลามีการพบก็ต้องมีการ (จาก) เหมือนที่ศิษย์พี่ให้กลอนเลย ที่เห็นว่ามีก็เหมือน (ไม่มี)  ที่เห็นว่าใช่จริงๆ ก็เหมือน (ไม่ใช่)   ที่เหมือนมาจริงๆ ก็เหมือนกำลังจะไป ฉะนั้นศิษย์น้องต้องรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าศิษย์น้องจะเผชิญความจริง จงจำไว้ว่าความจริงไม่เคยมีด้านเดียว ความจริงมักจะมีอีกด้านหนึ่งตามคู่กันไปอยู่เสมอหรือบางทีอยู่พร้อมกัน แต่ศิษย์น้องแค่มองไม่เห็น เหมือนมีความเกิดก็มีความ (ตาย)  ฉะนั้นอายุขัยที่ศิษย์น้องเกิดก็คืออายุขัยที่ศิษย์น้องตาย ฉะนั้นวันไหนที่ศิษย์น้องฉลองวันเกิดก็คือฉลองวันตาย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารักการเกิดเราก็ไม่ควรเกลียดการตาย เพราะการเกิดกับความตายเป็นสิ่งๆ เดียวกัน ใช่หรือไม่ ไม่เคยแยกจากกัน ลองดู เซลล์หนึ่งที่ขึ้นก็คืออีกเซลล์หนึ่งที่ถูกผลัดออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งนี้อยู่ในตัวเรานะ ฉะนั้นเกลียดไหมความแก่ ความตาย ความเจ็บ การสูญเสีย (ไม่เกลียด) เพราะเป็นสิ่งสัมพันธ์กัน คู่กัน มีได้ก็ต้องมีเสีย ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความอยากของเรา ศิษย์น้องก็ได้รู้จักคำว่า ได้ไม่คุ้มเสีย
ถ้าศิษย์น้องอยากเรียนรู้ความจริงต้องเข้าใจว่าความทุกข์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่เราเรียกว่าความจริง เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน มีด้านมากมีด้านน้อย มีหน้ามือก็มีหลังมือ เวลาอยู่ในโลกต้องทำใจว่าคนอื่นไม่คิดเหมือนที่เราคิด ศิษย์พี่เคยเห็น สามีชวนภรรยาไปทานข้าวนอกบ้าน ภรรยาดีใจ รีบไป พอไปถึง สามีพาไปทานก๋วยเตี๋ยว ภรรยาเลยโกรธเพราะคาดหวังว่าจะไปทานร้านดีๆ   แล้วทะเลาะกันแค่เรื่องมาทานข้าว คุยอย่างหนึ่งแต่เข้าใจกันอีกอย่างหนึ่ง  ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องบอกว่าศิษย์น้องกำลังสูญเสีย พลัดพราก เจ็บปวด ศิษย์น้องมัวยึดติดด้านหนึ่งแล้วลืมมองโลกให้กว้างๆ ขึ้นอีกหรือเปล่า ถ้าเรามองให้ชัดในความเกิด มีความตาย ในการได้มีการเสีย ในสุขก็มีทุกข์ ในทุกข์ก็มีสุข ล้วนเป็นธรรมดาอันเป็นธรรมชาติของสภาวะสัจธรรม ถ้าเรากล้ายอมรับความจริง เมื่อใดที่เราดำเนินชีวิตปฏิบัติธรรมแล้วเราเห็นความจริง นั่นแหละเรากำลังพบธรรม แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตแล้วแสวงหาอยู่ เราพบแต่สิ่งที่เราเรียกว่าเรารู้สึก นั่นแปลว่าเรากำลังหลีกหนีธรรม ถ้าเรากำลังดำเนินชีวิตกำลังปฏิบัติอะไรก็ตาม แล้วเราพบความถูกต้อง และเบาบางซึ่งอัตตาตัวตน นั่นเรียกว่าเรากำลังปฏิบัติตัวเข้าหาธรรม แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตเอาแต่ตัวตนเอาแต่ความรู้สึก นั่นแหละเรากำลังหนีความจริงจากธรรมะ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมคือการเป็นคนที่กล้าเดินเข้าไปหาความจริงไม่ใช่อิงกับ ความรู้สึก  ความรู้สึกมันก็คือตัวตน ที่หนีความจริงแล้วอยู่ไกลธรรมะ ฉะนั้นเราจึงบอกว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเรียกว่า “ทุกข์” ก็เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความจริง” และความจริงมันเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ไม่เคยมาด้านเดียว มันมีอีกด้านหนึ่งและก็มีอีกด้านหนึ่ง ไม่ใช่ศิษย์พี่บอกว่านี่มือขวา นี่มือซ้าย ไหนยกมือซ้ายสิ เห็นไหมพอยกตรงข้ามแล้วผิดไหม (ไม่ผิด)  ฉะนั้นในเกิดมีตาย ในตายมีเกิด ในดีมีร้าย ในร้ายมีดี แต่อยู่ที่ว่าศิษย์น้องกำลังยืนอยู่มุมไหน แบบนี้ถึงเรียกว่า “โลกสมดุลย์” หรือ “โลกแห่งความจริง” หรือที่เรียกว่า “ความจริงที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน และความจริงที่เป็นธรรมดาของโลก” ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์น้องต้องรู้อีกไหมว่า ความจริงนี้มันมีอยู่แค่ตอนนี้ ขณะนี้ แต่เมื่อไรที่เรายึดกับอดีต นั่นแหละเรากำลังทุกข์ และมัวแต่วาดหวังอนาคตไม่ยอมทำตรงนี้ให้ดี นั่นแหละเรากำลังหาเรื่องทุกข์ เคยเป็นไหม (เคย)  ทำไมเรารู้สึกแก่ เพราะเรากำลังเปรียบเทียบกับอดีต ไม่มองความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเรารู้สึกเขารักเราน้อยลง เพราะเรากำลังยึดติดอดีต ทำไมเรารู้สึกว่าเราขาดทุน เพราะเมื่อก่อนเราขายแล้วได้กำไร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเข้าหาความจริง ในความจริงมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่อง ในความจริงมีความจริงอันเป็นธรรมดา และในความจริงมีแค่ปัจจุบัน ถ้าเมื่อไรคิดเปรียบเทียบ เมื่อนั้นไม่ได้ยืนอยู่บนความจริง ถ้าเมื่อไรมัวแต่ยึดติดอดีต อนาคต เมื่อนั้นจะทำปัจจุบันไม่ได้ดี ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไร เพราะมันก็จะวนกลับไปที่เดิม เพราะทุกสิ่งต้องเปลี่ยนไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ฉะนั้นแล้วจะทำอย่างไรที่เรียกว่า “บำเพ็ญ” บำเพ็ญก็คือไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตเป็นอะไรก็ตาม ถ้าเป็นแล้วเอาแต่ยึดมั่นความรู้สึกจะไม่เห็นธรรม ถ้าเป็นแล้วได้ยืนอยู่บนความจริงและเบาบางเรื่องอัตตาตัวตน นั่นเรียกว่า ปฏิบัติธรรมและกำลังเดินเข้าหาธรรม
 การปฏิบัติธรรมก็คือ เราทำหน้าที่อะไร เรามีหน้าที่อะไรในสังคม ทำให้ดีที่สุด รับผิดชอบให้มากที่สุด แต่พอทำแล้ว ตำแหน่งไม่เลื่อน กำไรไม่ได้ ขาดทุนก็มี ก้มหน้ายอมรับความจริง เมื่อทำถึงที่สุดไม่คาดหวัง ไม่ยึดมั่น ไม่ผูกติด นั่นแหละเรียกว่า “ช่วงใช้แต่ไม่ยึดติด อยู่ร่วมแต่ไม่ผูกพัน” คือ ทำหน้าที่อะไรก็ทำให้ดีที่สุด มีความสุขที่สุด ส่วนเงินเดือนจะขึ้นไม่ขึ้นนั้นไม่เป็นไร ส่วนจะกำไรไม่กำไรก็ไม่เป็นไร นี่แหละเรียกว่า “บำเพ็ญธรรม” ใช่ไหม (ใช่)  คนส่วนมากจะไม่ค่อยสนใจเรื่องทำให้ดีที่สุด รอแต่ว่าเมื่อใดจะได้กำไร เมื่อใดจะได้เลื่อนขั้น ใช่ไหม (ใช่)  จริงๆ แล้วพุทธะไม่ใช่แบบนั้น
การปฏิบัติธรรมก็คือ เรามีหน้าที่อะไรทำให้ดีที่สุด สมบูรณ์ในคุณธรรมของความเป็นคนให้มากที่สุดและถึงที่สุดจะได้ไม่ได้ จะขึ้นไม่ขึ้น ไม่กังวล เพราะทุกวันทำให้ดีที่สุดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำได้ไหม (ได้) สมบูรณ์ในหน้าที่ สมบูรณ์ในคุณธรรมความเป็นคน
ฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติธรรมก็คือ หน้าที่ของความเป็นคนในสังคมทำให้ดี หน้าที่ของความเป็นมนุษย์คุณธรรมต้องถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้น เราลองสำรวจดูนะว่าศิษย์น้องของศิษย์พี่มีคุณธรรมความเป็นคนครบไหม  เมตตาธรรมมีไหม (มี)  หรือว่าเมตตาเฉพาะคนที่รักแต่ไม่เมตตาคนที่เกลียดอย่างนั้น ใช่ไหม (ไม่ใช่) 
ถ้าอย่างนั้นถามต่อ มีมโนธรรมสำนึกไหม รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม ไม่ใช่ว่าต่อหน้าทำลับหลัง (ไม่ทำ)  คนเห็นทำดี คนไม่เห็นทำชั่ว อย่างนี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราเป็นไหม (ไม่เป็น)  เห็นแอบมีแฟนในไลน์ เห็นแอบกุ๊กกิ๊กกับหนุ่มในเฟสบุ๊ก อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  มีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว ยังแอบกุ๊กกิ๊กกับคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ยังแอบไปชอบกับใครได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีความซื่อตรงตามมาด้วย
ฉะนั้นต้นเหตุของความชั่วร้ายหรือความไม่ดีทั้งมวลเป็นเพราะลูกอกตัญญูเพราะว่าคิดถึงพ่อแม้น้อย  พี่ น้องทะเลาเบาะแว้งกันเพราะว่าไม่รู้จักยอมสละหลีก นี่เป็นคุณธรรมโบราณที่เคยกล่าวไว้  ส่วนสามีภรรยาไม่ซื่อตรงต่อกัน เพราะเห็นแก่ตน จนลืมนึกถึงหัวอกคนตรงข้าม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ถ้าเราอยู่ในสังคม คุณธรรมแห่งความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์ การปฏิบัติธรรมไม่ต้องพูดถึงเลย ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อรากฐานของความเป็นคนยังไม่ดี เช่นบางคนขยันทำบุญจังเลย กี่วัดขอให้บอกมา ทำได้หมด แต่อยู่ในบ้านใจร้าย เวลาพบลูกพบสามีก็บ่นๆ ส่วนอีกคนหนึ่งกับบ้านกับครอบครัวก็พูดหวาน ลูกคะลูกขา สามีคะสามีขา แต่กับคนนอกบ้านกลับพูดไอ้อีมึงกู อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นความเป็นคนต้องทำให้ดี เหมือนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวไว้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์ชอบทำบุญให้ทาน แต่บุญทานที่ทำกับใครก็ตามนั้นมีจำกัด แต่การทำทานโดยการทำให้เขาเข้าถึงธรรม รู้แจ้งในธรรมเป็นบุญทานที่ไม่มีจำกัด หรือยกคำโบราณในพระสูตรหนึ่งที่ว่า “แม้ให้ทานเท่ากับรัตนะหรือเพชรอันมีค่ามหาศาล หรือเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาตลอดกัปกัลป์ ก็ยังไม่ประเสริฐและมีค่าเท่ากับทำให้คนรู้แจ้งในสภาวะธรรมแห่งตน” เคยได้ยินบ้างไหม (ไม่เคย)  รู้แต่ว่าทำบุญตักบาตรก็พอแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์น้องรู้ไหมว่า ถ้าคนหนึ่งคนรู้แจ้งในธรรม เขาก็จะทำให้คนรอบข้างเป็นคนดีได้ แต่ถ้าคนหนึ่งคน ไม่รู้แจ้งในธรรม ยังมีเกลียด ยังมีรัก ยังมีโลภ เขาก็สามารถทำให้คนรอบข้างเป็นศัตรูและคนไม่ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคนเราเข้าใจธรรมแล้ว แม้ศัตรูก็ยังกลายเป็นมิตร คนไม่ดีก็ยังกลายเป็นคนดี ด้วยหัวใจของเราเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการบำเพ็ญจึงเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องลงแรงที่ตัวเองก่อน ฉะนั้นเมื่อเราตั้งใจบำเพ็ญธรรม พอพบความคดงอของใคร พบความบิดเบี้ยวของใคร ศิษย์น้องต้องจำไว้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา ที่จะไปแปรเปลี่ยนใคร หน้าที่ของเราคือหันมาแก้ไขตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า เมื่อใดที่เราจิตใจดี หลายๆ เรื่องเราก็รับไหว ใช่ไหม (ใช่) หรือที่เขาพูดว่าไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเรา (ร้าย) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าจิตใจเราดี แม้เขาจะปฏิบัติกับเราไม่ดีขนาดไหน เราก็แปรเปลี่ยนเป็นดีได้
พอเข้าใจแบบง่ายๆ สั้นๆ ในการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมหรือยัง (เข้าใจ) คือทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่ทำจนถึงที่สุดแล้วไม่คาดหวัง ไม่ยึดมั่น ได้ไหม (ได้)  แต่ถ้าไม่อยากให้เสียจนเกินไปก็อย่าอยากจนเกินไป เหมือนที่เขาเรียกว่า ถ้าไม่อยากเสีย ก็อย่าอยากมากจน กลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย ถูกหรือไม่ (ถูก)
บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้ เรามีความปรารถนาดี เราอยากทำสิ่งที่ดีให้กับคนอื่น  แต่บางครั้งคนบางคนก็ไม่ได้คิดเหมือนที่เราคิด ฉะนั้นถ้าความหวังดีทำไปแล้วถูกเขาปฏิเสธ เราก็อย่าพึ่งท้อ บางครั้งบางสิ่งบางอย่างตัวเราเปลี่ยนไปแล้วแต่เขายังจมอยู่กับความคิดเดิมๆ เราก็อย่าพึ่งเหนื่อยใจ ล้าใจ ท้อใจ เพราะการศึกษาปฏิบัติธรรม คือ อยู่กับความจริงมากกว่าความรู้สึก เพราะความจริงเป็นสิ่งสัมพันธ์กัน เป็นสิ่งอันธรรมดาและความจริงมีแค่ขณะนี้แค่นั้นเอง ขอให้ศิษย์น้องรู้จักตั้งใจฝึกฝนเพื่อขัดเกลาอารมณ์ความรู้สึก ความยึดมั่นในตัวตนให้เบาบางลงไปดีไหม (ดี) ถ้าวันนี้ศิษย์พี่จะขอของขวัญปีใหม่จากศิษย์น้องได้ไหม (ได้)
ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า ให้ธรรมะเป็นทานประเสริฐกว่าให้สิ่งใด ศิษย์พี่อยากถามศิษย์น้องว่า ถ้าศิษย์น้องอยากให้ธรรมเป็นทานกับคนอื่นเราจะให้อะไรดีตลอดปี ธรรมะอะไรที่เราควรมีให้แก่ผู้อื่น ยิ่งให้ก็ยิ่งดี  (ให้อภัย)  แต่ว่าคำว่าให้อภัยแปลว่าเราต้องมีสิ่งที่เราเกลียด ใช่ไหม เราจึงต้องพยายามให้อภัย แปลว่าเรามีสิ่งที่เราไม่ชอบเราจึงต้องให้อภัย
ธรรมะอะไรที่ให้ได้ตลอด ให้ได้เรื่อยๆ  (ให้ทำความดี)  ให้เขาทำความดีหรือ เราหมายถึงท่านจะให้ธรรมะอะไรแก่คนอื่น ไม่ใช่ให้เขาทำความดี เขาไม่ทำแน่ ถ้าท่านไม่ทำก่อน ถูกไหม (ถูก)  (ให้โอกาส) (ให้ความเมตตา) (ให้ทาน)  ฉะนั้นธรรมะมีเยอะแยะ ที่คิดไม่ค่อยออก เพราะไม่ค่อยทำกันใช่ไหม (ใช่)  เช่นยุงไปฆ่าเขาทำไม เขายังไม่กัดซะหน่อย ตบใหญ่ ศิษย์พี่อยากขออย่างเดียว อย่าฆ่าสัตว์ได้ไหม ถ้าอยากได้สุขภาพดี อยากได้สุขภาพแข็งแรง สิ่งสำคัญคืออย่าฆ่าคนทางวาจา อย่าฆ่าสัตว์ทางการกระทำ ได้ไหม (ได้)  ฝึกจิตใจเมตตาได้ไหม (ได้)
(ศิษย์พี่นาจา ร้องเพลงธรรมะและให้ไปหาทำนองเอง)  บอกอะไรหมดก็ไม่สนุกสิ ใช่หรือเปล่า บางครั้งต้องทิ้งท้ายให้เอาไปคิด อันนี้มันมีอยู่ในโลก ที่ไม่มีอยู่ในโลกศิษย์พี่ให้แล้ว ชื่อก็ให้แล้ว ทำนองก็บอกแล้วไปคิดเอาเอง
บอกหมด ศิษย์น้องก็ไม่รู้จักค้นคว้า ฉะนั้นศิษย์น้อง เวลาบำเพ็ญตั้งใจทำให้ดี ใครจะทำไม่ทำไม่ต้องสนใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครจะมากจะน้อยไม่ต้องเอามาเป็นโซ่รัดใจ ก้มหน้าทำของตัวเองให้ดีพอที่เหลือเขาจะทำอย่างไรก็เรื่องของเขา อย่าไปเกี่ยวกรรมกับเขา ถ้าเราทำเหนื่อยก็หยุด แต่ถ้าทำแล้วเหนื่อยแล้วไปว่าคนอื่นไม่ทำเลย ไม่เห็นช่วยเลย อย่างนั้นอย่าทำ เพราะทำแบบนั้นแล้วมันไม่ได้อะไร ใช่ไหม (ใช่)  เคยไหมอยู่ในโลกทำแทบแย่ ไม่เห็นใครทำเลย ปล่อยเราทำคนเดียว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องใจบำเพ็ญแล้ว ต้องเดินด้วยความมั่นคงและมีใจเมตตาเป็นหลัก สิ่งที่ศิษย์พี่อยากให้ศิษย์น้องมีและให้กับทุกคนเสมอๆ ก็คือ ความเมตตา ให้ไปเถอะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แม้เราจะเหนื่อยแต่เขาไม่ได้ทำอะไร ก็เมตตาเข้าไว้ สักวันหนึ่งความดีของเราจะสะท้อนสะเทือนใจให้เขารู้จักกลับมาเห็นใจเราเอง คนบางคนนะศิษย์น้องเรียกให้มีสำนึก เรียกให้รู้จักสำนึก เรียกให้รู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี เรียกให้ขยัน ถ้าเขาไม่ขยันเรียกยังไงก็ไม่ขยัน เขาจะขี้เกียจศิษย์น้องเรียกให้ตายเขาก็ไม่เห็น แล้วเราบ่นจนปากเปียกปากแฉะ “มาช่วยฉันหน่อยสิ เหนื่อยจะตายอยู่แล้วนะ ทำไมเธอเป็นคนอย่างนี้ ทำไมเธอไม่ช่วย” ก็เขาไม่ช่วย ก็เหมือนเราทำดีแต่อีกคนทำไม่ดีแล้วเราบอกว่า “ทำไมเธอเลวร้ายจังเลย” บ่นไปเราก็เหนื่อยใจเปล่าๆ ทำของเราให้ดี เขาทำไม่ทำ ไม่ต้องไปเกี่ยวกรรมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่สำคัญในการบำเพ็ญธรรมก็คือ “หันกลับมาดูตัวเอง ทำตัวเองให้ดี” และศิษย์พี่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ความดีของศิษย์น้องที่ไม่ยอมแพ้และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่ จะทำให้คนตรงกันข้ามที่ขี้เกียจ รู้หันกลับมาทำความดี หรือแม้แต่ว่าทำดีแล้วต้องตาย ก็อย่ายอมแพ้ เพราะอย่างน้อย ได้ตายในความดี ดีกว่าตายในความดีแล้วแอบว่าประชดเขา ไม่ดีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอย่างนั้นก่อนจะกลับมีอีกเรื่องหนึ่ง  มีเรื่องๆ หนึ่งในพุทธกาล มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในตระกูลเศรษฐีแต่งงานมีสามีแล้วแต่รู้สึกว่าชีวิตนี้ ไม่ได้มีโอกาสได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าเลย จึงคิดจะไปทำบุญกับพระพุทธองค์ ๗ วัน แต่เกรงว่าสามีจะไม่ยอมจึงไปหาผู้หญิงคณิกาคนหนึ่งมาช่วยดูแลสามีตัวเองชั่ว คราว ๗ วัน เพื่อที่ตัวเองจะได้เรียกสมุนบริวารมาทำบุญกับพระพุทธเจ้า แต่หญิงคณิกานางนั้นเมื่อได้ดูแลสามีคนอื่นแล้วกลับลืมตัว ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่รู้อยู่นะเขามาจ้างตัวเองให้มาช่วยดูแลสามีชั่วคราว มีใครหนอใจกว้างขนาดนี้เป็นเรายอมไหม (ไม่ยอม)  แต่หญิงผู้นี้ยอมเพื่อให้เขาได้ทำบุญกับพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ ๗ วัน นางและบริวารตระเตรียมข้าวของจนเต็มที่เต็มกำลังทำจนเหงื่อไหลไคลย้อย ไม่สนใจความสะสวยของร่างกายตนเอง ปรากฏว่าในวันที่ ๗ หญิงคณิกาเกิดความคิดร้าย หาทางให้หญิงคนนี้ตายแล้วตนเองจะได้ขึ้นเป็นใหญ่แทน โดยการหลอกลวงให้ผู้หญิงที่จะทำบุญนี้ไปอยู่ในห้องแล้วเรียกสมุนบริวารที่ ร่วมทำบุญให้เข้าไปอยู่ในห้องด้วย แล้วก็จุดไฟเผาให้ตายทั้งเป็น
ถามว่ารอดไหม (ไม่รอด)  ไม่รอด อย่างนั้นศิษย์พี่ถามศิษย์น้อง ถ้าตั้งใจทำดีกับพระพุทธองค์แล้วเจอจุดจบอย่างนี้ โกรธไหม แอบว่าพระพุทธองค์ไหมว่าทำไมท่านไม่บอกเลย มนุษย์มักคิด แต่หญิงนางนี้เขาไม่โทษพระพุทธองค์สักคำ เขาคิดแค่เพียงว่าเป็นชะตากรรม เชื่อไหมช่วงที่พวกนางกำลังถูกเผา นางบอกสมุนบริวารว่า “อย่าไปโกรธคนที่ทำร้าย แต่จงตั้งจิตของตัวเองให้เป็นกุศล ยินดีที่จะได้ชดใช้กรรม และยกจิตให้พ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และเราจะได้กลับสู่พุทธภูมิด้วยกัน” ผลสุดท้ายเขาตายไปได้ขึ้นสวรรค์ได้ขึ้นพุทธภูมิจริงๆ
ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องตั้งใจทำดีอย่ากลัวเรื่องเลวร้าย เพราะนั่นคือการได้ชดใช้กรรม
ที่สุดแม้จะต้องตายก็ยังไม่ทอดทิ้งความถูกต้องดีงาม แม้จะเจอเรื่องที่มันดูเหมือนไม่ยุติธรรมก็ตามแต่เมื่อฟ้าเป็นใจแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด อย่าเอาตาเราวัด เหมือนที่ศิษย์พี่บอกว่านี่มือขวา แต่ศิษย์น้องบอกว่ามันเป็นข้างซ้าย  ซ้ายหรือขวาสลับกันก็ไม่ผิดใช่ไหม (ใช่) เพราะเรากำลังมองต่างมุม   

ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีนะอย่ายอมแพ้ความดีงามทำให้ได้นะถ้าศิษย์น้องทำได้ ศิษย์น้องก็คือคนที่ดึงตัวเองให้พ้นทุกข์พ้นนรกได้ ต้องรู้จักช่วยตัวเองอย่าเอาแต่รอพุทธะบอกเราต้องรู้ด้วยตนเอง คำขวัญของศิษย์น้อง คือ เมื่อไรที่ถูกอะไรกระทบให้มีสติ นิ่ง เมตตา และใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยง จำไว้นะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ใจเที่ยงธรรม”
ใจเที่ยงธรรมใช่ตัดสินใครถูกผิด ความเป็นกลางแห่งชีวิตอยู่ที่ไหน
ชัดเห็นธรรมตามสภาพที่เป็นไป ไม่มีร้ายหรือดีไปในธรรมา
ไม่แบ่งแยกตีกรอบหรือยึดมั่น ย่อมเห็นพลันเที่ยงตรงพิสุทธิ์กล้า
วางความคิดในติดตัวตนมีสัญญา ตลอดดินฟ้าคนล้วนสภาวะเดียว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา