วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

2555-03-24 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช



西元二一二年 歲次壬辰三月初三日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ


มีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ที่ว่าสุขนั้นไซร้แน่จริงหรือ
หรือเพียงหลอกให้สุขแค่ชั่วครู่กระพือ ท้ายก็คือทุกข์ไม่สิ้นทุกข์จนตาย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


สละพลีชีวิตเพื่อปณิธานสูงล้ำ ทว่ากลับได้ธรรมท่ามกลางนั้น
จากเบื้องบนเพื่อช่วยพระศรีอาริย์ ปัจจุบันยอมอดทนฝึกจิตใจ
บำเพ็ญไม่ญาณเหมือนของที่คว่ำ ต้องตกต่ำอยู่ในโลกีย์วิสัย
ลืมประจำไม่รู้ก็บ่อยไป พูดแต่ใช่ใช่แล้วไม่กระทำ
มนุษย์ก็มีกรรมนั่งรอโชค คนถูกโลกลืมเพราะน้ำใจดำ
คนถูกโลกจำเพราะน้ำใจงาม สำนึกตัวรู้รีบทำกุศลมูล
สร้างคุณธรรมตะวันแห่งธรรมสว่าง แต่เปรียบดั่งดวงตาอันอบอุ่น
บำเพ็ญกอปรด้วยจริยาบวกเป็นคูณ ด้วยจันทร์นวลคือสมบูรณ์แห่งตะวัน
อวดฉลาดสาดรู้ทำยุยั่ว ใต้แสงทั่วหากเป็นต้องประสาน
ไม่รู้ช่างน่าสงสารน่าสงสาร ฉลาดนั้นไม่กลัวกลัวไร้กฎเกณฑ์
ฝึกตัวใจตามตัวการอนุสัย กระทั่งในที่สุดอสูรกายเผ่น
ตัดกิเลสบำเพ็ญลุติดโคลนเลน บำเพ็ญต้องตลอดเจนชัดใจเบิกบาน
ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
วันนี้มาศึกษาธรรมกับเราในอีกรูปแบบหนึ่งคือท่านโต้ตอบได้ด้วย ท่านพูดได้ด้วย ท่านขยับเขยื้อนได้ด้วยดีไหม (ดี)  มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “แม้ตัวจะอยู่ใกล้กันแต่บางครั้ง ใจก็อยู่ห่างกัน”  หลายสิ่งที่บางครั้งเราสามารถล่วงรู้ได้ไม่ว่าจะเป็นโลกใบนี้หรือนอกโลก แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถล่วงรู้และเท่าทันได้เลยคืออะไร หัวใจของเราใช่ไหม (ใช่)
มีคำบอกว่าใจของมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งอยากจะควบคุม อยากจะจับให้อยู่นิ่งๆ อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่าน อย่าลอยไปกับคนอื่น กลับมาอยู่กับตัวฉันสิ บางทีทำยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าถ้าเราเรียนรู้ชีวิตมากๆ ขึ้น เราจะรู้ว่าจริงๆ แล้วใจมนุษย์นั้นจับได้ง่าย และสามารถคุมให้อยู่หมัดได้ จริงหรือไม่ (จริง)
เราจะบอกให้ เรามีวิธีจับใจให้อยู่หมัด และสามารถเหวี่ยงใจท่านไปซ้ายก็ได้ ขวาก็ได้ อยู่นิ่งๆ ก็ได้ แล้วก็ตายทั้งเป็นก็ได้ อยากเรียนรู้วิธีนี้ไหม (อยาก)  ไม่ยากเลยนะ มนุษย์ถ้าอยากจับใจให้อยู่ต้องรู้จักนิสัย แล้วนิสัยที่มนุษย์ชอบเป็นเหมือนกันหมดคือชอบอะไร ชอบเลขสามตัวใช่ไหม (ใช่)  ถามสิมีใครบ้างไม่อยากได้เลขสามตัว อยากได้ไหม (อยากได้)  เห็นไหมแค่นี้ก็จับใจท่านได้แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือบอกว่าใครอยากรวย อยากไหม (อยาก) ใครอยากเก่งอยากดูดีอยากไหม (อยาก)  เห็นไหมแค่นี้ใจที่ลอยๆ ไปก็กลับมาเอง
อยากจะตามสิ่งที่เราพูดไปด้วยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเบรกใจให้ท่านไม่ให้ตามเรามาเลยทันทีเอาไหม ทำอย่างไรรู้ไหม เราให้สามตัวก็ได้ แต่ถูกวันนี้หมดตัวพรุ่งนี้เอาไหม (ไม่เอา)  เบรกชะงักทันทีเลยใช่หรือไม่ เห็นไหมว่าเมื่อสักครู่กำลังจะตามมาอยู่ดีๆ พอเราพูดแบบนี้เป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า ไว้ๆ ก่อน ใช่หรือเปล่า เห็นไหมว่าใจที่มนุษย์บอกว่ายากแท้หยั่งถึง หาไม่ค่อยเจอ แต่ถ้าเรารู้นิสัย รู้สันดาน หรือเข้าใจว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร เราก็สามารถกุมใจนั้นให้อยู่หมัดได้ จริงหรือไม่ (จริง)


“มีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ที่ว่าสุขนั้นไซร้แน่จริงหรือ
หรือเพียงหลอกให้สุขแค่ชั่วครู่คืน ท้ายก็คือทุกข์ไม่สิ้นทุกข์จนตาย”
เราอยู่ในโลกนี้เราเคยคิดไหมว่าสุขที่เราแสวงหานั่นคือสุขแท้จริง ส่วนใหญ่เราจะคิดว่าสุขนั้นเป็นสุขที่แท้จริงใช่ไหม (ใช่)  แล้วสุขที่แท้จริงที่เราพยายามไขว่คว้าคืออะไรบ้าง สุขที่ได้มีเงิน สุขที่ได้มีคนรัก แล้วสุขได้จีรังไหม (ไม่จีรัง)  แล้วยังหวังอีกไหม ก็ยังหวังใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการจะหลอกให้ตัวเองมีความสุขแม้จะเพียงชั่วครู่ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องกลายเป็นทุกข์ แน่ใจหรือว่าเราจะรับไหว สู้ยอมรับแล้วมองความเป็นจริงว่าสุขที่เราเห็นนั้นแท้จริงไม่ใช่สุข แต่มันคือทุกข์ที่น้อยลง และเมื่อเวลาเรารักสุขมากก็จะกลายเป็นว่าเราเกลียดทุกข์มากเข้าไปใหญ่ เวลาเรารักสุขมากจนเราหลงมันมากเรากลายเป็นทุกข์ยิ่งเพิ่มทวี เกลียดแล้วไม่เอามากเข้าไปใหญ่  ฉะนั้นการรักสิ่งหนึ่งแล้วทำให้เราเพิกเฉยแล้วไม่สนใจอีกสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่รักแล้วถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  รักแล้วทำให้เราตาบอดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังชอบตาบอดไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราตาบอดไหม ก็ไม่บอด แต่ชอบดื้อตาใส ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้อะไรดีอะไรไม่ดี รู้ว่ารักแบบนี้แล้วจะเป็นทุกข์ แต่ก็ยังรัก รู้ว่าห่วงมากเกินไปคนเขาจะรำคาญแต่ก็ยังห่วง รู้ว่างกมากเกินไปเหนื่อยเกินไป แล้วจะต้องทำลายสุขภาพก็ยัง (งก)  อย่างนี้เรียกว่าดื้อตาใส ใช่หรือไม่ (ใช่)
เป็นโอกาสดีที่ได้มีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กัน แม้จะยังไม่เชื่อเรา เราก็ไม่ว่าอะไร แต่วันนี้ลองเปลี่ยนจากการฟังธรรมเป็นสนทนาธรรมกันดีไหม (ดี)  ปกติเราคุยกันก็มีแต่เรื่องของคนอื่น ไม่ว่าคนโน้นก็ว่าคนนี้ เปลี่ยนมาคุยแบบมีธรรมะ สนทนาธรรมเพื่ออาบอิ่มใจ เพื่อรู้จักวิธีกำราบกิเลสกลับคืนสู่ความสุขอันจริงแท้
สิ่งที่วันนี้เราจะมาพูดคือการกำราบจิตใจให้อยู่กับตัวเรา เราจะกำราบจิตใจของเราได้อย่างไรในเมื่อตัวเราบางทีเราก็ยังมองตัวเราไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นการจะมองออกได้ต้องเรียนรู้อะไร เรียนรู้ธรรมะเพื่อเข้าใจชีวิต เรียนรู้ชีวิตเพื่อได้รู้ซึ้งถึงธรรมอันแท้จริง
มนุษย์ทุกคนกลัวมากที่สุดก็คือกลัวความทุกข์ อยากได้มากที่สุดคือความสุข แล้วสุขกับทุกข์คืออะไร ทำไมจึงมีอิทธิพลต่อจิตใจของเราเหลือเกิน  เราจะเข้าใจสุขทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อเราต้องควบคุมใจของเราให้ได้ ถ้าควบคุมใจได้สุขทุกข์ที่มากระทบก็ทำอะไรเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อครู่เราบอกวิธีควบคุมใจ ถ้ามีคนชมว่านักเรียนในชั้นนี้อุตส่าห์ตั้งใจฟังธรรมะ มีความอดทนเป็นยอด มีความพากเพียรเป็นเลิศ ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร (ดีใจ)  แต่ถ้าเขาบอกว่าเห็นดูอดทนก็จริงนะ แต่สักพักหนึ่งก็แอบหลับเป็นแถวๆ ไม่ค่อยจะได้เรื่องสักเท่าไหร่เลย ถ้าถูกว่าแบบนี้จะเป็นอย่างไร เสียใจทันทีเลยใช่หรือไม่ ใจที่เมื่อครู่พองโตที่มีคนชม ตอนนี้กลายเป็นเหี่ยวเฉา หรือที่เขาเรียกว่ามนุษย์ เมื่อได้รับคำชมก็ยินดีปรีดา เมื่อโดนคนว่าก็โศกเศร้าเสียใจ
ฉะนั้นแค่คำพูดคำเดียวยังมัดใจของท่านได้อยู่หมัดขนาดนี้ ยังจับใจท่านจนพองโตได้ และก็ตีให้แฟบจนแบนได้ เห็นไหมว่าแค่คำพูดที่พลิกจากหน้ากับหลังก็จับใจอยู่หมัดเสียแล้วใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าใจของเราโดนกระทบอะไรก็ง่ายเหลือเกิน กระทบให้ไปซ้ายก็ (ไป)  ขวาก็ (ไป)  ขึ้นสูงก็ (ขึ้น)  ลงต่ำก็ (ลง)  ฉะนั้นใจเราเราคุมไม่ได้เลย ใจเราปล่อยไปตามคำพูดของคนและลมพัดได้ง่ายเหลือเกิน
เราจะบอกให้ว่าวิธีที่จะควบคุมใจให้อยู่ ไม่ปล่อยใจให้ไปกระเพื่อมไหวกับสิ่งที่คนอื่นพูด หรือวัตถุภายนอกที่มากระตุ้นเร้าทำอย่างไร เคยได้ยินคำพูดของพุทธะโบราณกล่าวไว้ไหมว่า “สรรพสิ่งในโลกก็ดี ปัญหาในโลกก็ดี ชีวิตของคนจะดีจะร้ายก็ดี อยู่ที่ว่าเรามองอย่างไร”
ถ้าเรามองอย่างคนทางโลกเราก็แบ่งแยกซ้ายขวาหน้าหลังสุขทุกข์ แต่ถ้าเรามองอย่างคนที่เข้าใจทางธรรมเราจะเห็นว่า ไม่ว่าคำชมก็ดี คำด่าก็ดี ล้วนเป็นเรื่องปกติ ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์คือ หวังให้ทุกสิ่งเป็นดั่งที่ตัวเองคิด เมื่อไม่เป็นดั่งที่ตัวเองคิด เราก็คือคนที่ทำให้ตัวเองทุกข์ใจ ใช่ไหม (ใช่)
ขึ้นชื่อว่าคน แม้ใจเป็นของเรา ใจนี้จะร้ายจะดี คนอื่นทำอะไรไม่ได้ถ้าเรามองเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ วันนี้เขาชม พรุ่งนี้เขาก็ว่า ก็เป็นเรื่องปกติ ยอมรับกับความธรรมดานี้ได้ไหม ถ้ารับได้ก็สุขได้ ถ้าเริ่มฝึกใจเป็น ใจไปอยู่ข้างนอก แม้ใครจะด่าเราโดยที่ไม่ชม เราก็บอกว่าเป็นเรื่อง (ธรรมดา) เราก็จะไม่โดนคนอื่นนั้นบีบใจเราเล่นโดยไม่รู้ตัว
ใจอยู่กับเรานะแต่บางครั้งทำไมแค่เขาพูดนิดเดียวมันเหมือนบีบใจเราให้แตกทันที แต่พอเขาพูดนิดเดียวเหมือนคลายใจเราให้โล่งทันที เหมือนเราบอกท่านว่าท่านอายุมากแล้วแต่ยังดูสวยอยู่เลย ดีใจไหม (ดีใจ)  พอกลับบ้านไปมองกระจกใหญ่เลยสวยตรงไหนๆ เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
วันที่เวลาแต่งตัวดีๆ  และออกไปจากบ้านแล้วมีคนชมสักสองสามคน กลับบ้านไปต้องจำไว้ชุดนี้นะหน้าอย่างนี้นะ คนจะชมว่าอะไร (สวย)  นี่เขาเรียกว่ายึดติด แล้วพออีกวันหนึ่งแต่งตัวเหมือนเดิม แต่พอออกไปจากบ้านเจอสามคน โดนด่าทั้งสามคนเป็นอย่างไร (เสียใจ)  แล้วใครเป็นคนสร้าง (ตัวเราเอง)  ใช่คนที่ชมไหม (ไม่ใช่)  แล้วใช่ความผิดของคนที่ด่าไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเวลาคนด่าจึงเกลียดเขา คนชมถึงรักล่ะ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาผิดไหม (ไม่ผิด)  ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนวันนี้เราอารมณ์ดี เห็นใครก็สวยไปหมด แต่เวลาเราอารมณ์ไม่ดีเห็นใครก็ (ไม่สวย)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราเข้าใจ ไม่ว่าสรรพสิ่ง ไม่ว่าโรคภัยหรือใครก็มาบีบใจเราให้เจ็บปวดไม่ได้ ใครก็จะมาทำให้ใจเราพองโตไม่ได้ เพราะเรารู้จักคุมใจตัวเอง และมองโลกเป็น
เคยได้ยินไหมว่า มนุษย์ชอบหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ แต่ไม่รู้จักหยุดยั้งการปรุงแต่งใจของตนเอง คนฉลาดจึงรู้จักที่จะควบคุมระมัดระวังใจของตนเอง แต่ไม่หลบหลีกปรากฏการณ์ เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าเราเอามือปิดปากทุกคนในโลกให้พูดแต่สิ่งที่ดี ไม่พูดสิ่งร้ายได้ไหม (ไม่ได้)  เราปิดหูไม่ฟังเรื่องไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เราปิดตาแล้วเปิดตาเฉพาะที่อยากดูได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะรู้ว่าอยู่บนโลกนี้เราควบคุมคนไม่ได้ แต่อยู่บนโลกนี้คนฉลาดคือคนที่รู้จักควบคุมใจตน แต่ไม่ไปควบคุมผู้อื่น


“บำเพ็ญไม่ญาณเหมือนของที่คว่ำ ต้องตกต่ำอยู่ในโลกียวิสัย
ลืมประจำไม่รู้ก็บ่อยไป พูดแต่ใช่ใช่แล้วไม่กระทำ”
เป็นอย่างนั้นไหม ถึงเวลาแล้วลืมทุกทีเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราอยากอยู่ในโลกนี้ควบคุมใจให้อยู่ ไม่ปล่อยใจให้ต้องไปทุกข์สุขกับคำพูดของคน กับเรื่องราวในโลก เราจึงต้องรู้จักเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง
การจะเข้าใจชีวิตที่แท้จริงให้ได้ต้องทำอย่างไร ไม่ยากเลย แค่มองชีวิตให้ออกเหมือนมองดอกไม้ ถ้ามองดอกไม้ออกก็เข้าใจชีวิตได้ ถ้ามองไม่ออก เข้าใจชีวิตไม่ได้ ท่านก็จะกลายเป็นคนที่ชื่นชมกับความทุกข์ และปล่อยให้มารนั้นข่มเหง และถึงที่สุดชีวิตก็กลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
ทำไมเราจึงพูดแบบนี้ ถ้าเรามองดอกไม้ออกเราก็มองชีวิตออก ดอกไม้มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่งคืออายุของดอกไม้นั้น (สั้น) และมีความเปลี่ยนแปลงที่ (เร็ว)  ความเปลี่ยนแปลงที่เร็ว และอายุของดอกไม้ที่สั้นนี่แหละทำให้เรามองเห็นความจริงอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร (สัจธรรม)
สัจธรรมชีวิตอะไร (ความตาย)  ทุกชีวิตหนีไม่พ้นความตาย อย่างนั้นหาสุขให้เต็มที่ ทุกข์ไม่ต้องสนใจ ใช่ไหม (ไม่ใช่) เห็นแก่ตัวให้เต็มที่ไม่ต้องเมตตาใครใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรล่ะ ดอกไม้ถึงแม้จะอายุสั้น ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ใครได้รับดอกไม้ก็ชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มีดอกชนิดหนึ่งถ้าได้รับแล้วไม่ชื่นใจคือดอกอะไรนะ (ดอกไม้จันทน์) ความตายมันเป็นธรรมดานะ ใคร ๆ ก็ต้องตาย หนึ่งขวบที่เกิดขึ้นเท่ากับหนึ่งขวบที่ตายไป ใช่หรือไม่
ดีใจฉลองวันเกิดครบสิบห้า พุทธะเห็นแล้วส่ายหัว น่าจะบอกว่าเศร้าใจที่ตายไปแล้วสิบห้าปี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามองให้ดีดีนะแล้วเราจะเข้าใจ สิ่งที่เราบอกก็คือ ดอกไม้มีความไม่เที่ยง ดอกไม้มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป  ชีวิตของมนุษย์ก็มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ฉะนั้นสิ่งที่ท่านมองเห็นว่าสวยและอยากได้ นี่แหละกำลังชื่นชมกับความทุกข์และกำลังทำให้ดอกไม้นี้กลายเป็นมารข่มเหงใจ และถ้าเมื่อไหร่อยากได้ดอกไม้แล้วไม่ได้ดอกไม้ ท่านก็คือ คนโง่เขลา เบาปัญญา
ทำไมบอกว่าอย่างนี้ ก็ในเมื่อดอกไม้นี้ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงเป็นทุกข์ เราจะชื่นชมดีไหมว่าดอกไม้นี้สวย ความสวยแค่ชั่วครู่ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าดอกไม้นี้ใครได้ไปจะไม่เจ็บไม่ป่วย และถ้ารู้จักบูชาให้ดี จะมั่งมีศรีสุข อยากได้ไหม (อยาก)  เห็นไหม โดนหลอกง่ายจริงๆ เลย ใจของมนุษย์นี้ให้ดักจับอย่างไรก็อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมเราจึงบอกว่าเมื่อไหร่ที่มนุษย์ชื่นชมและปรารถนาสิ่งของที่ไม่เที่ยงให้เป็นของเรา คิดว่านี่คือของเรา นี่คือเรา นี่คือเขา เมื่อนั้นแหละมนุษย์กำลังชื่นชมทุกข์ เมื่อถึงที่สุดมนุษย์ก็กลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา  เราถามท่านว่า ถ้าให้เลือกระหว่างดอกไม้ที่อยู่ได้สั้นกับตะกร้าที่อยู่ได้นาน ท่านจะเลือกอะไร (ตะกร้า)  แล้วระหว่างตะกร้ากับชีวิต เลือกอะไร (ชีวิต)  แล้วระหว่างชีวิตกับความจริงแท้อันทำให้เราพ้นทุกข์นิรันดร์ เลือกอะไร (ความจริงแท้)  แล้วถึงเวลาทำไมท่านเลือกชีวิต ไม่สนใจความจริงแท้ล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ามนุษย์มองเห็นความจริงแท้ มนุษย์จะไม่ชื่นชมร่างกายนี้ ถ้ามนุษย์มองเห็นความจริงแท้ในตัวตน มนุษย์จะไม่ขี้หวง ขี้งก ขี้อยากได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นของปลอม แต่มนุษย์จะพยายามเอาของปลอมมาหาของจริงที่จริงกว่า คือความพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมว่าระหว่างดอกไม้กับตะกร้า ท่านยังเลือกตะกร้า ตะกร้ากับมนุษย์ท่านเลือกมนุษย์ มนุษย์กับความจริงแท้อันนิรันดร์ท่านเลือกความจริงแท้อันนิรันดร์  แต่ทำไมชอบดื้อตาใส ถึงเวลากลับเลือกตัวเองก่อน ความจริงแท้เอาไว้ที่หลัง แล้วผลสุดท้ายความที่เป็นตัวมนุษย์นี่แหละที่ทำให้เราต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงมองและเข้าใจให้ดี และมีวิธีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ ไม่ยากเลย นั่นคือระวังควบคุมอารมณ์ ไม่ใช่เห็นอะไรผ่าน สวยอยากได้ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  นี่แหละหาทุกข์ใส่ตัวแล้ว
สิ่งที่เราต้องรู้จักเอามาใช้ควบคุมคืออะไร ต้องมองให้เห็นความทุกข์ ทุกข์ทั้งแปดหรือโลกธรรมแปดใช่หรือไม่ (ใช่)  มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ วันนี้มีคนชมก็มี (คนด่า)  วันนี้มีได้พรุ่งนี้ก็ (มีเสีย)  บางทีไม่ถึงพรุ่งนี้วันนี้ก็เสียแล้วใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้สิ่งนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่ปล่อยวาง แต่เรียนรู้สิ่งนี้เพื่อตั้งตัวเองให้ตัวเองไม่ประมาท เพราะความประมาทคือหนทางแห่งความตาย ไม่ตายก็ทุกข์ทั้งเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อใดที่เราจะแสวงหาสิ่งใดได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี ชมก็ดี ไม่ชมก็ (ดี)  เขาจะรักเราก็ (ดี)  ไม่รักเราก็ (ดี)  ลูกจะน่ารักก็ (ดี) ไม่น่ารักก็ (ดี)  บางครั้งต้องเรียนรู้ที่จะทำใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้ เข้าใจและปล่อยวางและดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ถ้าเมื่อใดเราชื่นชมยินดี อยากได้และยึดมั่นถือมั่นครอบครอง เมื่อนั้นเรากำลังเป็นคนที่ชื่นชมความทุกข์และปล่อยให้ความทุกข์นั้นมาข่มเหง และเราก็คือคนโง่เขลาเบาปัญญาที่อยู่บนโลกใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม
อีกอย่างหนึ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ไว้นอกจากไม่ประมาทแล้ว ก็คือ ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราของเขา  ถ้าเราบอกว่าวันนี้เอากระเป๋าเงินของทุกท่านมาให้เราได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมล่ะ ไม่มีของเขาไม่มีของเรา ของท่านก็คือของเรา ใช่ไหม  เราคงไม่เอาเงินของท่าน เพราะเมื่อพ้นทุกข์แล้วเงินทองก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ถ้าท่านรู้จักตัวตนของเราที่แท้จริง เชื่อไหมว่าเราเป็นผู้ชายถือดอกไม้คนก็ว่าแปลกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  และรู้ไหมว่าตัวเรามีนิสัยแปลกอีกตั้งหลายอย่าง เวลาอากาศหนาวเราใส่เสื้อผ้าบาง เวลาอากาศร้อนเราใส่เสื้อผ้าหนา เวลาเราได้เงิน เราเอาเงินห้อยไว้กับเชือกแต่ปลายเชือกเราไม่มัด ฉะนั้นเงินที่ได้มาจะหล่นไปที่ใครนั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา
ชีวิตของมนุษย์เรานั้นมักจะปล่อยให้อะไรผูกมัดหัวใจเราได้ง่าย แต่ชีวิตของพุทธะผู้เรียนรู้หลักธรรมเข้าใจชีวิตด้วยความไม่ประมาทและอยู่บนโลกด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น  ท่านจะไปอยู่ที่ใดก็เป็นอิสระ  ท่านจะไปอยู่ที่ใดความทุกข์ก็กล้ำกรายไม่ได้ แล้วในเมื่อเราเข้าถึงความสุขอันแท้จริง มีหรือเราจะไม่อยากให้ท่านเดินไปสู่หนทางนั้น  เหมือนวันนี้เราได้กินอะไรอร่อยๆ มีหรือที่เราไม่อยากบอกใครๆ ว่าร้านนี้อร่อย ใช่ไหม (ใช่)  เราเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ยังมีหัวใจแห่งความเมตตา ยังมีหัวใจแห่งความใจกว้างอยากช่วยเหลือผู้คน ฉะนั้นเรามาฟังธรรมะเพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตที่แท้จริงแล้วรู้จักนำพาจิตใจและผู้คนรอบข้างให้เดินไปสู่ความสุขอันถ่องแท้  ไม่ใช่เดินไปสู่ความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉะนั้นเมื่อเราอยากได้อะไรก็ตาม ทำอย่างไรที่จะทำให้เราชื่นชมกับความทุกข์และไม่ปล่อยให้ความทุกข์นั้นมาข่มเหง แล้วเรากลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา การจะอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจึงต้องมีธรรมมาคอยควบคุมใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเอาอะไรมาควบคุมใจให้การอยากของเราไม่ทำให้เกิดทุกข์ทำร้ายใจ
อยากได้เงินไหม (อยากได้)  เงินมันไม่เที่ยงนะ บางทีได้มา บางทีมันก็หายไป ใช่หรือไม่ แต่บางทียอมเสียร้อยหนึ่งอาจจะได้มากกว่าร้อยหนึ่งก็ได้นะ บางครั้งถ้าอยากได้เงินพันต้องสูญเงินร้อย อยากได้เงินล้านก็ต้องยอมสูญเงินแสนหรือเงินหมื่น อยากได้ไหม
เงินหาไม่ยากแต่ต้องหาอย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม เหมือนวิธีเล่นแร่แปรธาตุก็คือเปลี่ยนดอกไม้ให้กลายเป็นเงิน เปลี่ยนไม้ให้กลายเป็นเงิน ได้ไหม (ได้)  แล้วเราเปลี่ยนเงินให้กลายเป็นดอกไม้ได้ไหม (ได้)  นี่แหละท่านก็เรียนรู้โดยไม่ต้องให้เราสอน
เราต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้ดี เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ปากเราต้องกิน มือเราต้องทำ งานเรายังต้องมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ ไม่ให้เราสร้างความทุกข์เพิ่ม
มนุษย์ทุกคนรักสุข เกลียดทุกข์เหมือนๆ กันและไม่มีใครรักตัวเองยิ่งกว่าตัวเองอีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามตัวท่านเองสิ เคยรักใครมากกว่าตัวเองไหม บางคนบอกเคย แต่ถามจริงๆ นะ ว่าอันนั้นใช่เรียกว่ารักเขาหรือว่ารักตัวเอง มีคนบอกว่าเคยรักคนๆ หนึ่งมากเลย ท่านรักจนกระทั่งเกือบตายเพราะเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามจริงๆ ว่านั่นเรียกว่ารักแท้ไหม (ไม่ใช่)  เพราะถ้ารักแท้แม้เขาจะไม่รักเราเราก็ยัง (รักเขาอยู่)  แต่เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่)  เรากลับแค้น ทุกข์ และก็ต้องทำให้เขาทุกข์ยิ่งกว่า อย่างนี้เรียกว่ารักเขามากกว่ารักเราไหม (ไม่)  โกหกทั้งเพเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับขวานที่ติดอยู่ที่ปาก ถ้าทำดีขวานก็จะไม่มี ถ้าทำชั่วขวานก็จะทำร้ายให้เจ็บตัว”  เคยได้ยินคำพูดที่ว่าได้ดีหรือได้ไม่ดีก็อยู่ที่ (ปาก)  ถ้าปล่อยให้ปากพูดในสิ่งที่ไม่ดีหรือความชั่ว นั่นก็คือเอาขวานมาทำร้ายคนรอบข้างและทำร้ายตัวเอง โดยเฉพาะปากของ‌มนุษย์นั้นต้องระวังให้มาก คนที่ควรชมเราก็ชอบติ คนที่ควรติเราก็กลับชม อย่างนี้เรียกว่ามีปากเอาไว้เก็บความชั่ว ผลที่สุดก็หนีไม่พ้นความทุกข์ที่เกิดจากตัวเองเป็นผู้กระทำ
ถ้าเราจะฝึกฝนบำเพ็ญตนเองให้ตนเองไม่ต้องทุกข์ เราต้องทำอย่างไร นอกจากรู้จักระวังตัวเองแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เราต้องรู้จักระวังคือ การอยู่ร่วมกับผู้คน  คนทุกคนไม่อยากได้ความทุกข์ อยากได้ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ร่วมกับคน เราก็ไม่ควรที่จะหาความทุกข์ไปใส่เขา แต่ควรอยู่ร่วมกันด้วยความสุขใจ  แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้คนอื่นเขาทุกข์และเดือดร้อน อย่างที่หนึ่งระวังคำพูด อย่างที่สองคือระวังการกระทำ และอย่างที่สามคือระวังความคิด  บางทีเขาทำอะไรปกติแต่ถ้าเราคิดร้าย เราก็มองเขาร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นถ้าท่านจำไว้เสมอว่ามนุษย์ทุกคน รักสุขเกลียดทุกข์ เราก็คงไม่ทำให้ใครต้องเป็นทุกข์ และถ้าไม่อยากให้ชีวิตมีทุกข์ก็จงจำไว้ว่า อย่าทำชั่วไม่ว่าในที่ลับหรือในที่แจ้ง เพราะทุกคนต่างรักชีวิต และรักชีวิตตนยิ่งกว่ารักชีวิตใดๆ เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็คงไม่เบียดเบียนใครให้ทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะอยู่ร่วมกับคนอื่นแล้วไม่ทำให้คนอื่นทุกข์คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เราไม่อยากทุกข์อย่างไร เขาก็ไม่อยากทุกข์อย่างนั้น ฉะนั้นเกิดเป็นคนขอให้ใจกว้าง ให้อภัย มีเมตตาและรักการให้  ถ้าทำได้เช่นนี้ ท่านอยู่ในโลกนี้ ฟ้าจะไม่มีวันทำให้ท่านอับจน และคนในโลกก็จะไม่มีวันทำให้ท่านพ่ายแพ้ได้
คนใจกว้างแปลว่ารับคนได้ทุกๆ แบบ แม้ว่าคนนั้นจะมาขอเงินทุกๆ วันก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)  คนที่จะฝึกใจกว้าง จำไว้ว่า คนใจกว้างฟ้าจะไม่มีวันทำให้อับจน และเขาจะไม่มีวันจนใจ เพราะการให้ของเขาทำให้เขานั้นยิ่งใจกว้างขึ้น
เคยสังเกตไหม คนไหนที่ชอบให้จะเป็นคนที่มีความสุขและอารมณ์ดี เพราะให้ไปแล้วไม่เคยเสียดายภายหลัง แต่ให้ไปแล้วต้องไม่ทำให้เขาเสียนิสัยนะ ใจกว้างไหม (ใจกว้าง)  ฉะนั้นขอเงินหน่อยนะ ได้ไหม (ได้บางส่วน บางส่วนใช้ดำรงชีพ)  นี่แหละเรียกว่าใจกว้างแต่มีปัญญา ตอบได้ดี
อยู่ในโลกนี้อย่าประมาท ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้าเมื่อไหร่เรายึดมั่นว่าเป็นของเรา เราเป็นนั่น เราเป็นนี่ ท่านก็คือปล่อยให้สิ่งนั้น สิ่งนี้มาข่มเหงใจ มาบีบคั้นใจ แม้แต่ตัวตนเองเรายังยึดไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  ยึดให้มันแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  ยึดให้มันไม่แก่ได้ไหม (ไม่ได้)  ยึดให้มันไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้)  ยึดให้มันไม่เปลี่ยนแปลงได้ไหม (ไม่ได้) และเราควรยึดไหม (ไม่ควร) และเราควรหลงรักไหม (ไม่ควร)  เห็นหลงตาใสกันเป็นแถว ฉะนั้นก่อนจะหลงรักตัวเอง ก่อนจะเถียงคอเป็นเอ็นว่าตัวเองถูก ตัวเองดี ตัวเองเก่ง ตัวเองต้องได้ ถามว่าถ้าได้มาแล้ว ตัวเองดีแล้ว ตัวเองเก่งแล้ว เรากำลังทำให้คนอื่นเขาทุกข์ไหม และผลที่สุดความทุกข์ของเขาก็จะย้อนมาทำร้ายใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลก พอได้ก็จงพอ ปล่อยวางได้ก็จงปล่อย แต่ปล่อยอย่างคนดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนไม่เที่ยง มีความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นท่านฟังธรรมะแล้วอย่าโง่เขลา อย่าสร้างมารมาข่มเหงใจ แม้ดอกไม้ก็ยังเป็นมารได้ ถ้าอยากได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้ไหม ฉะนั้นอย่าอยากได้อะไรเลย ถ้ามนุษย์รู้จักใช้ปัญญา ชีวิตจะไม่มีวันอับจน ถ้ามนุษย์รู้จักเมตตาให้อภัย มนุษย์จะไม่มีวันลำบาก จำไว้นะ ไม่มีใครจะทำให้เราร่ำรวยได้ถ้าเราไม่ทำตัวเราเอง และในทางเดียวกัน ไม่มีใครทำให้เรายากจนและเจ็บปวดได้ ถ้าเราไม่ทำตัวเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้เรากลับได้หรือยัง (ยัง)  กลับได้แล้วนะ เพราะใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง แม้แต่ตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความตายก็ไม่น่ากลัว ความเจ็บปวดก็ไม่น่ากลัว ความพลัดพรากก็ไม่น่ากลัว เพราะอะไรหรือ เพราะมันธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะบอกให้ว่าสิ่งที่ธรรมดานั้นไม่ธรรมดาตรงไหน ความตายทำไมไม่น่ากลัว เพราะความตายเป็นความสงบอันนิรันดร์ แต่การมีชีวิตคือการเปลี่ยนแปลงที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้
ความเจ็บน่ากลัวไหม ทำไมเราบอกว่าความเจ็บไม่น่ากลัว เพราะความเจ็บสอนให้เรารู้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิดปกติ เมื่อไหร่ที่ร่างกายเราเจ็บปวดแปลว่าเรามีอะไรบางอย่างในร่างกายผิดปกติ เราต้องรักษากลับมาให้ปกติ เพราะเมื่อปกติแล้วเราก็คือคนที่สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเจ็บปวดมาสอนให้เรารู้ว่าเรากำลังมีอะไรผิดปกติ ต่อไปคราวหน้าเมื่อความเจ็บมาก็ไม่น่ากลัว แต่ความเจ็บทำให้เรารู้ว่าร่างกายเรามีบางส่วนผิดปกติ เรากำลังดำเนินชีวิต และทำให้ความผิดปกตินั้นทำร้ายเราหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนไปรักเขา ทำไมเราเจ็บใจ ปวดใจ เพราะเรากำลังผิดปกติอะไรหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  การพลัดพรากก็ไม่น่ากลัว ไม่ใช่เรื่องทุกข์ เพราะการพลัดพรากทำให้เรารู้จักทำวันนี้ให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะมีอะไรน่ากลัวอีกไหม ควรกลัวไว้อย่างหนึ่งคืออะไรรู้ไหม กลัวใจตัวเองที่ยังชอบดื้อตาใส
เราหวังแค่เพียงว่าสักวันหนึ่งท่านจะรู้จักดำเนินชีวิตที่แท้จริง ไม่ปล่อยให้ตัวเองทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ควรหาหนทางที่สุข ที่ประเสริฐที่สุด นั่นคือความสุขอันแท้จริง สุขอันแท้จริงคืออะไร เข้าใจตัวเองและรู้จักควบคุมใจตัวเองให้เป็น อย่าปล่อยให้ใจตัวเองถูกคนอื่นบีบเล่นง่ายๆ เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  อย่าเป็นอีกเลยนะ เพราะเวลาคนอื่นเขาบีบใจเรา บีบแล้วไม่ปล่อย ที่เขาไม่ปล่อยเพราะเขาไม่ปล่อยเราหรือเราไม่ปล่อยเขาไปจากใจเรา (เราไม่ปล่อยเขา)  คิดให้ดีๆ นะ
เรื่องราวเกิดขึ้นทุกชีวิตต้องมีปัญหา ทุกชีวิตต้องมีเรื่องราว ทุกชีวิตต้องเจอกับสรรพสิ่ง แต่สรรพสิ่งถ้ามองด้วยสายตาแห่งความเป็นธรรม เราจะรู้ว่าไม่มีอะไรสูงไม่มีอะไรต่ำ สิ่งที่เราบอกว่าวันนี้เราแย่แต่เมื่อไปเทียบกับคนที่แย่ เราอาจจะไม่ได้แย่ที่สุด  สิ่งที่บอกว่าวันนี้ฉันดี ฉันดีใจเหลือเกินที่มีคนชมว่าดี แต่ถึงเวลามีคนอื่นดีกว่าไหม (มี)  ฉะนั้นต้องรู้จักมองชีวิตให้เป็น อย่าปล่อยใจให้ถูกบีบเล่นในเรื่องที่ไม่น่าโดนเลย
เราไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่ขอให้เอาสิ่งที่เราพูดวันนี้ไปลองใช้ในชีวิต แล้วหนทางแห่งความสุขจะได้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปอิงคนโน้นอิงคนนั้น อิงเรื่องโน้นอิงเรื่องนี้ ต่อให้ไม่มีอะไรอิงเราก็สุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีโทรศัพท์สุขได้ไหม (ได้)  ไม่มีคอมพิวเตอร์สุขได้ไหม (ได้)  ไม่มีเงินสุขได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องเรียนรู้นะ เพราะบางครั้งเงินซื้อไม่ได้ทุกสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านก็เคยเจอมาแล้วมีเงินแต่หาอะไรให้ซื้อไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝึกทำใจตนเองให้เป็น อย่าประมาทใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ยกน้ำให้กับ พ่อแม่แล้วหรือยัง  กตัญญูธรรมร้อยที่หนึ่งหนา  อยากเป็นคนดีมิลืมเรื่องนี้สักครา ทุกข์ขึ้นมาคราใด นึกไปถึงใคร   ครั้งเล็กเล็กต้องการพ่อมาแม่มาปลอบโยน เห็นใจเติบโตลืมใครดุจดั่งไม้ใกล้ฝั่ง สร้างความสุขความหมาย มอบยิ้มที่หายไป ตอบแทนท่านร้อยล้านครา  อย่าทำให้ทุกข์ร้อนเป็นกังวล ทุกข์ร้อนข้างในใจ กตเวทีทุกวันทั้งใจ
ชื่อเพลง : กตัญญูทุกวันทั้งใจ
ทำนองเพลง : แอบช้ำ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังอยากผูกบุญสัมพันธ์กับอาจารย์อีกไหม


ปัญญาขาดจะล่วงหน้าปัญหาหน่วง บ้างผิดช่วงปฏิบัติได้ไม่ขยัน
ได้ทิ้งบ้างทำส่งส่งเหมือนกัน แสงเทียนต่อเนื่องนั้นเทียนสมบูรณ์
มนุษย์คือแสงไม่ขาดยิ่งกว่า เทียนยอมไฟขาดศรัทธาอุดมการณ์สูญ
บำเพ็ญยอมเททุ่มใช่เพื่อสมบูรณ์ ชีวิตไหม้ไร้อัตตาคูณคืนประจิม
ทั้งโลกลุกไหม้ด้วยไฟกิเลส ใจดั่งเปรตบริโภคไม่เคยอิ่ม
บำเพ็ญละหลงโลภโกรธแทงทิ่ม แต่สนิมหงุดหงิดใจเหมือนวัยทอง
ฮา  ฮา   หยุด


พระอาจารย์ประทานชื่อเพลงว่า “กตัญญูทุกวันทั้งใจ” ที่ชั้นประชุมธรรมสถานธรรม‌หมิงฮุย จ.ลพบุรี เมื่อ วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เราอยู่ในโลกนี้ย่อมมีเรื่องที่เราชอบกับไม่ชอบ มีเรื่องที่ถูกใจและไม่ถูกใจ แต่ถูกกับความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราต้องรู้จักที่จะอยู่กับความเป็นจริงมากกว่าจะเรียนรู้กับสิ่งที่ถูกใจ บางครั้งเราจะต้องเรียนรู้กับการฝืนใจบ้างไม่ใช่ตามใจบ่อยๆ จริงหรือไม่ (จริง)  ตามใจบ่อยๆ เป็นอย่างไรนะ (เสียนิสัย)  เสียนิสัยแล้วถ้าไม่รู้จักแก้ปล่อยไว้นานๆ มันก็เหม็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นคนเสียนิสัยไหม (เสีย)  ใครขัดใจได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์เคยได้ยินไหม การตามใจตัวเองบ่อยๆ จนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีก็อาจจะเป็นเหตุทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ทำร้ายคนรอบข้าง และผลสุดท้ายก็กลับมาทำร้ายตัวเอง เพียงแค่คนหนึ่งคนมีความอยาก เอาง่ายๆ เหมือนอาจารย์บอกว่าอาจารย์เคยชินกับการตามใจตัวเองอยากได้อะไรก็ต้อง (ได้)  ใครขัดใจก็ไม่ได้ ถ้าอาจารย์บอกว่าอยากได้สร้อยศิษย์จังเลย เอามาได้ไหม (ไม่ได้)  ยังมีคนบอกว่าได้เลย นี่แหละมนุษย์
อย่าหลงหน้ามืดตามัว อะไรที่ไม่ใช่ของตัวเองก็ต้องรู้จักความถูกต้องด้วย เพราะถ้าคนปัจจุบันนี้เอาแต่ตามใจตัวเองจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี รุ่นต่อไปก็จะยิ่งแย่กว่ารุ่นเราจริงไหม  ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหมว่า “ถ้ามนุษย์เผาผลาญธรรมชาติ เพียงแสวงหาความต้องการของตัวเอง คนที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้ย่อมนำพาให้ผู้คนทั้งหลายมีอันตราย และถ้าหากคนทุกคนเลือกดำเนินชีวิตเช่นนี้ ดำเนินไปตามความอยาก ไม่ต้องสนใจผิดชอบชั่วดี อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร คนเช่นนี้ท้ายที่สุดย่อมปราชัยตัวเอง และทำให้ทั่วโลกเดือดร้อน”
ทำไมศิษย์ต้องนั่งฟังธรรม ทำไมศิษย์ต้องศึกษาธรรม เพราะการศึกษาธรรมสอนให้มนุษย์เราฟื้นฟูจิตใจให้รู้จักผิดชอบชั่วดี  ถ้าเราไม่เคยฟังธรรมะหรือนานๆ เราฟังที เราก็บอกว่าขออยากก่อน พออยากมากขึ้นๆ ก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น คนอื่นช่างมัน ฉันรอดก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วต่อไปเป็นอย่างไรล่ะ  ศิษย์เคยได้ยินไหม “ไฟไหม้ปราสาทแต่ปลาในน้ำเดือดร้อน” คนอื่นทุกข์คนอื่นเดือดร้อนก็ช่างเขาไม่เกี่ยวกับเรา แน่ใจหรือ ถ้าวันหนึ่งเขาทุกข์เขาเดือดร้อน เขาก็สามารถทำให้เราเดือดร้อนได้ แต่ถ้าทุกคนมีสุข ทุกคนรู้จักสร้างสุขโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ใครจะทำใครให้เจ็บช้ำน้ำใจ ใครจะมาทำให้เราเจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าจะแสวงความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ต้องอย่าลืมกรอบแห่งคุณงามความดี เพราะไม่อย่างนั้นแล้วการแสวงหาความสุขหรือการหลีกหนีความทุกข์ก็จะทำให้ มนุษย์ง่ายที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน
ศิษย์รักโลกใบนี้ไหม (รัก)  ศิษย์ว่าโลกใบนี้สวยไหม (สวย)  รักด้วยแล้วก็สวยด้วย แล้วก็อยากจะอยู่ในโลกใบนี้ไปนานๆ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ลึกๆ เราก็กลัว กลัวโลกจะไม่คงทน กลัวโลกจะล่มสลาย กลัวจะเกิดภัยพิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความกลัวนั้นมีอยู่ในใจเราไหม (มี)  เรามาเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่เพื่อหนีภัยพิบัติ แต่เรามาเรียนรู้ธรรมะเพื่อจะอยู่กับความเป็นจริงบนโลกนี้ให้เป็น ไม่ว่าโลกนั้นจะดีหรือจะร้าย เราก็จะต้องอยู่ให้ได้และนำพาคนอื่นให้ได้ด้วย นี่ถึงจะเรียกว่าถูกต้อง  ไม่ใช่เรามีธรรมะ เราศึกษาธรรมะ แต่พอถึงเวลาเราเก็บกระเป๋าเอาตัวรอดก่อน ถูกไหม (ไม่ถูก)
เหตุผลที่เราต้องศึกษาธรรมะ นั่นก็คือเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริง แม้ความเป็นจริงนั้นจะโหดร้ายหรือทุกข์ก็ตาม  ศิษย์บอกว่าโลกใบนี้ออกจะสวยงาม ไม่น่าจะมีทุกข์ ไม่น่าจะมีภัยพิบัติ แต่ความเป็นจริงของโลกเป็นเช่นนั้นไหม โลกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้ามนุษย์ไม่รู้จักควบคุมความอยากของตัวเอง ความอยากก็อาจจะทำร้ายโลกโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)
ศิษย์บางคนบอกว่า อาจารย์ ศิษย์ยังอยากอยู่บนโลกใบนี้ โลกใบนี้ยังน่าอยู่  น่าอยู่ๆ จริงไหมหนอ อาจารย์ถามนะว่า ถ้าโลกใบนี้น่าอยู่อะไรแปลว่าผู้ชี้ขุมทรัพย์
อาจารย์ตั้งคำถามแล้วนะ ตอบได้อาจารย์อยู่ต่อ ตอบไม่ได้อาจารย์กลับดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าตอบผิดอาจารย์กลับทันทีเลยดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์ให้โอกาสกี่ครั้งดี (สิบครั้ง)  ศิษย์ถามจริงๆ นะ คนเราหนึ่งคนเวลาทำผิดหนึ่งครั้งศิษย์ให้โอกาสเขาอีกกี่ครั้ง (ครั้งเดียว, สามครั้ง)  จริงหรือ เวลาเขาทำผิดหนึ่งครั้งถามสิว่าศิษย์ยังให้ครั้งที่สองไหม (ให้)  ถึงเวลาเจอคนทำไม่ดีกับเรา อย่าลืมให้โอกาสเขาเหมือนที่บอกอาจารย์ อย่าลำเอียงเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ให้กี่ครั้งดี (สามครั้ง)  อาจารย์ให้โอกาสศิษย์แล้วนะ ให้สามครั้ง ถ้าผิดสามครั้งอาจารย์กลับทันทีเลยนะได้ไหม (ไม่ได้) ก็ศิษย์เป็นคนบอก แปลว่าศิษย์ต้องเลือกแล้ว ถ้าเกิดว่าสามครั้งแปลว่ากลุ่มนี้หนึ่งครั้งๆ ดีไหม (ดี)  มีอีกวิธีหนึ่งคือ ถ้ากลุ่มนี้ตอบผิด อาจารย์ไม่กลับก็ได้แต่ให้เขากลับไปเลยดีไหม (ไม่ดี)  ได้ไหม (ไม่ได้)  แต่กลับของอาจารย์คือกลับแบบไหนเข้าใจไหม ไปจากตัวตนนี้หรือเรียกว่าตายเอาไหม (ไม่เอา)  เอาเถอะยังไงคนเรามันก็ต้องตาย ตายตอนอยู่หน้าพระพุทธะ ตายตอนอยู่หน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตายตอนได้ฟังธรรมยังเกิดมาแล้วคุ้ม ดีกว่าไปเที่ยวแล้วตาย ไปดูชนควายแล้วตาย ลื่นล้มตกน้ำตายดีไหม (ไม่ดี)
ผู้ชี้ขุมทรัพย์แปลว่าอะไร อาจารย์ให้โอกาสอีกสองคือปั้นซื่อชายกับปั้นซื่อหญิง
(อาจารย์และบรรพจารย์ผู้ที่ชี้ธรรมะ)  ผู้ที่ชี้ธรรมะให้แก่เรา ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ยังไม่เฉลยนะ คนที่หนึ่งแล้วนะ (ธรรมะเป็นเครื่องชี้ทำให้เราอยู่บนโลกนี้ได้ โดยการเผยแพร่จากทุกๆ คน)  ให้โอกาสอีกคนหนึ่ง อาจารย์ว่าอาจารย์เริ่มเดินถอยหลังไปสองก้าวแล้วนะ อีกก้าวหนึ่งอาจารย์ก็เตรียมออกประตูได้แล้วใช่ไหม แปลว่าถูกหรือผิด
ศิษย์เอ๋ย ศิษย์เป็นคนนับถือพุทธใช่ไหม (ใช่)  อย่าเพียงแค่นับถือแล้วมีชื่อว่าเป็นศาสนาพุทธ การเข้าถึงพุทธศาสนาที่แท้จริงคือเข้าถึงแก่นหลักธรรม เอาธรรมะไปใช้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่อาจารย์ตั้งเป็นคำถามก็มาจากหลักธรรมในพุทธศาสนานะ แล้วผู้ชี้ขุมทรัพย์ แปลว่าอะไร มีแต่ฝ่ายชายตอบนะ (พระพุทธเจ้า)  พระพุทธเจ้าแปลว่าผู้ชี้ขุมทรัพย์ (จิตของเรา)  จิตของเราแปลว่าผู้ชี้ขุมทรัพย์ มั่นใจนะ (มั่นใจ)  ศิษย์คือคนที่สามใช่ไหม (ใช่)  อยากรู้คำตอบไหมศิษย์ว่าถูกหรือผิด (อยากรู้)  อาจารย์จะให้โอกาสผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนฟังแล้วฟังอีก อีกสองท่าน ถ้าตอบผิดอาจารย์เตรียมกลับได้เลยนะ เพราะอาจารย์ก็ให้จบแล้ว อาจารย์ก็สามารถกลับได้


หายไปนานแล้วกลับมาตอบไม่ถูกนี่ รับผิดชอบด้วยนะ (ขออนุญาตตอบว่าผู้ชี้ขุมทรัพย์คือผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเรา ผู้ที่มีอคติกับเรา)  ผู้ชี้ขุมทรัพย์คือผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเรา ผู้ที่มีอคติกับเรา จริงๆ มีทั้งถูกและผิดนะ ใช่หรือไม่ อาจารย์ให้โอกาสฝ่ายหญิงอีกหนึ่งคน
ศิษย์รู้ไหมว่าคนเราจะอยู่ด้วยกันได้นั้นอยู่ที่การปฏิบัติทั้งสองฝ่าย ปฏิบัติดีปฏิบัติถูกต้อง เราก็อยู่ด้วยกันได้ แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่เหนือกว่าก็คือบุญวาสนา  คนเราถึงจะปฏิบัติต่อกันดี เขาจะชอบเราขนาดไหน แต่วาสนาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยังไงก็อยู่ด้วยกันไม่นาน ถึงเวลาต้องจากไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ศิษย์มาทำความดี ศิษย์จะมีวาสนาอยู่กับอาจารย์หรือไม่ก็ต้องอยู่ที่การกระทำของศิษย์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่าคิดว่ามาประชุมธรรมทุกครั้งต้องพบอาจารย์ทุกครั้งและอาจารย์จะอยู่นานๆ  ถ้าเกิดวันนี้อาจารย์อยู่ไม่นาน และอาจารย์ก็กลับเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ในโลกนี้มักจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายเสมอ แต่อะไรล่ะที่จะแปรเปลี่ยนชะตาชีวิต แปรเปลี่ยนวาสนาจากสั้นให้มันกลายเป็นยาว จากร้ายให้มันกลายเป็นดี การกระทำของตัวเอง
อาจารย์บอกตรงๆ ว่าศิษย์ตอบผิด ที่อาจารย์ถามว่าผู้ชี้ขุมทรัพย์แปลว่าอะไร ตอบผิดแต่มีตอบถูกอยู่นิดเดียว คือศิษย์เมื่อครู่แหละ มีทั้งถูกและผิด อาจารย์จะเปิดปัญญาให้ ผู้ชี้ขุมทรัพย์แปลว่าผู้ที่กล้าติเตียนเรา ผู้ที่กล้าว่าเรา แต่เขาไม่ได้ว่าเพราะอคตินะศิษย์ แต่บางครั้งเขาว่าด้วยรักใช่ไหม (ใช่) ว่าเพราะอยากให้โลกนี้มีคนดี ถามจริงๆ คนที่ชอบว่าคนอื่น แอบว่าอย่างโน่นอย่างนี้ ลึกๆ คือฉันอยากดี ฉันอยากให้เขาดี ฉันถึงว่าเขา ใช่ไหม (ใช่)
ในสมัยพระพุทธองค์ มีครั้งหนึ่งมีการประชุมของสาวกห้าร้อยองค์ พระพุทธองค์ขอให้ปวารณาตัวท่าน คำว่า “ปวารณา” แปลว่า เป็นวันที่ให้หมู่สงฆ์ติเตียนพระพุทธองค์ได้ นี่ขนาดท่านเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว บรรลุแล้ว ยังกล้าให้หมู่สงฆ์ติเตียนเลย แล้วเราใครว่าได้บ้างไหม (ไม่ได้)  ใครเปลี่ยนได้บ้างไหม (ไม่ได้)  ใครติได้ไหม ว่าได้ไหม ด่าได้ไหม
ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ศิษย์ยังอยากอยู่บนโลกใบนี้ โลกใบนี้ยังมีอะไรที่น่าเที่ยวน่าค้นหา น่าแสวงหาอยู่อีกเยอะ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า พระพุทธะมักจะบอกว่า โลกนี้คือมายา เป็นมายาของความทุกข์
คำว่ามายาหมายความว่าอย่างไร หมายความว่ามันลวงตา มันพราง‌ตา ทำให้เราไม่รู้สึกว่ามันมีทุกข์อยู่ แต่จริงๆ แล้วทำให้เรานั้นเห็นกงจักรเป็นดอกบัว  คำว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แปลว่าอะไร (เห็นผิดเป็นชอบ)  แปลว่าโลกใบนี้ที่ศิษย์เห็น บอกว่ามันน่าอยู่น่าพิสมัย น่ารื่นรมย์ แต่ทำไมพระพุทธะที่พ้นทุกข์ไปแล้วจึงบอกว่ามันเป็นมายาลวงตา มันมองดูเหมือนไม่มีทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์ได้ลิ้มรสแล้ว ลิ้มรสโดยไม่ระมัด‌ระวัง ความทุกข์จะย้อนกลับมาเล่นงานเราโดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวแล้วแก้ไม่ทันเลย
ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าโลกนี้เป็นมายาลวงตา มีความทุกข์อยู่ คนที่เห็นผิดเป็นชอบก็คือคนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นั่นก็คือใคร (ตัวเราเอง)  เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไหม ยังมองเห็นเป็นดอกบัว ยังสวยงามอยู่ โลกนี้ยังดูสวยอยู่อาจารย์ ใครว่าไม่สวย ศิษย์ก็ว่ายังสวยอยู่ อาจารย์ถามหน่อยนะว่าเราอยู่ในโลกนี้สุขหรือทุกข์มากกว่ากัน (ทุกข์)
อย่างที่คนเคยพูดไว้ว่า มนุษย์เราเกิดมาลืมตาก็ทุกข์แล้ว ตายไปก็ยังต้องทุกข์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทุกข์ตั้งแต่เกิดขึ้นจนกระทั่งตาย ฉะนั้นในโลกใบนี้มีแค่ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ที่ตั้งอยู่ และทุกข์ที่ดับไป  การพยายามที่จะแสวงหาความสุขแล้วหนีความทุกข์ นั่นคือการอยู่บนความจริงหรือหนีความจริง (หนีความจริง)  กำลังเห็นกงจักรเป็นดอกบัวใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ศิษย์เป็นอย่างนั้นเต็มๆ เลยใช่หรือไม่ ในเมื่อเรารู้อย่างนี้เราจะทำอย่างไรดี ทุกข์ต่อไปหรือหนีความทุกข์เหมือนอย่างเดิม
วันนี้เรามาศึกษาธรรมเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็นดีไหม (ดี)  เพราะคนส่วนใหญ่เอาแต่หนีทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้อาจารย์บอกไม่ต้องหนี เจอกับมันเลย สู้กับมันเลย ลองสู้สักตั้งหนึ่งดูดีไหม (ดี) เพราะอะไรทำไมเราจึงต้องลองสู้กับทุกข์สักตั้งหนึ่ง เพราะความทุกข์คือความจริง ความจริงเท่านั้นที่ทำให้เรามองเห็นชีวิตและเอาชีวิตให้รอดแล้วพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์มักจะบอกอาจารย์ก็ว่าเกิดเป็นคนทำดี ไม่ทำชั่วก็พอแล้ว เรื่องพ้นทุกข์เป็นเรื่องไกลตัวใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทำไมพระพุทธะจึงสอนว่า เกิดเป็นคนละชั่วทำดี แล้วต่ออีกคือรักษาจิตใจให้ (บริสุทธิ์)  เคยได้ยินไหม (เคยได้ยิน)  แล้วเรามีสองขั้นเองหรือ ขั้นที่สามไม่เคยเดินไปดูบ้างเลยหรือ ไม่เคยใช่ไหม แค่ให้ไม่ชั่วศิษย์ก็ยากแล้ว ให้ดียังหืดขึ้นคอ ให้รักษาจิตใจบริสุทธิ์ ก็บอกอำลาก่อนอาจารย์ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์มักจะพูดอย่างนี้ แต่อาจารย์บอกว่าทำไมถึงยังมีขั้นที่สามอีก เหมือนที่มนุษย์บอกว่าเกิดมามีกรรมไหม (มี)  มีกรรมอะไรกับกรรมอะไร (กรรมดีกรรมชั่ว)  ยังมีอีกกรรมหนึ่งที่เรียกว่า มรรคผลพระนิพพาน เป็นกรรมที่เหนือดีเหนือชั่ว
ศึกษาธรรมเป็นคนนับถือพุทธ เวลาเรียนรู้หลักธรรม อย่าเรียนรู้แค่เปลือกกระพี้แต่ต้องไปให้ถึงแก่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เป็นคนที่มีศีลดี มีสมาธิดี และพยายามมีปัญญาดี แต่อาจารย์บอกว่ายังไม่ถึงที่สุด ถ้าศิษย์ศึกษาธรรมะ ศิษย์จะเคยได้ยิน ขอให้มีศีลก่อน เมื่อมีศีลแล้วขอให้รักษาสมาธิ เมื่อรักษาสมาธิให้ดีแล้วรู้จักนั่งวิปัสสนากรรมฐานจะเกิดปัญญา แต่ที่สุดของศีล สมาธิ ปัญญา ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับมากำเริบอีก เป็นแก่นสาร เป็นสาระที่มนุษย์มีชีวิตแล้วควรเรียนรู้และเข้าถึง หรือที่เรียกว่ามรรคผลนิพพานนั่นแหละ
ศิษย์บอกอาจารย์ว่าเอาแค่เป็นคนดี ไม่เป็นคนชั่วก็พอแล้ว ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์แบบนี้ ศิษย์เอ๋ย ทำไมอาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์ก้าวไปให้ถึงมากกว่าดี มากกว่าชั่ว แค่ท้องร้องศิษย์ก็วิ่งวุ่นแทบตายเพื่อจะบรรจุท้องให้อิ่ม แต่เข้าถึงความหลุดพ้น อิ่มครั้งเดียวแล้วอิ่มตลอดไป และเป็นอิ่มที่ไม่ต้องการอะไรในโลกนี้ อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ แต่มนุษย์เราเพื่อท้องอิ่ม บางครั้งสร้างกฎการเวียนว่าย บางครั้งสร้างกรงขังใจ บางครั้งสร้างความทุกข์บีบคั้นใจ จริงไหม (จริง)
เราอยู่บนโลกนี้ ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าบางครั้งเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกนี้ให้เป็น ไม่อย่างนั้นแล้วการมีชีวิตอยู่ของศิษย์จะเป็นการสร้างเวรกรรม เพิ่มความทุกข์ให้กับตัวและทำลายผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง แอบช้ำ)
ศิษย์เป็นแบบนั้นไหม บางทียังไม่ถึงวัยทองแต่ขี้หงุดหงิดง่าย บางทีเจออะไรไม่ถูกใจ ก็หงุดหงิดรำคาญ ใช่ไหม
ทุกข์เกิดจากอะไร มนุษย์มักจะพูดว่า มนุษย์ทุกข์เพราะความอยากได้ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปอีก ที่เราบอกว่าเราทุกข์ เพราะเราอยากให้ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเราไม่มีตัวเอง เราจะอยากได้ให้ทุกข์ไหม (ไม่)  ต้น‌เหตุที่มนุษย์ทุกข์แท้จริงอีกอย่างหนึ่งคือการมีตัวตน เพราะเรามีตัวตน เราจึงอยากได้เพื่อตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วต้นเหตุแห่งทุกข์ นอกจากตัวตนแล้ว พุทธะบอกว่า “ต้นเหตุแห่งความทุกข์ แท้จริงมาจากความไม่รู้ ไม่รู้แล้วยึดมั่น ยึดมั่นแล้วมีตัวตน มีตัวตนแล้วเกิดความอยาก”
ไม่รู้อะไรล่ะ ไม่รู้จักความจริงแท้แห่งชีวิต อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ สามคนนี้มีอะไรเหมือนกัน มีตัวตนเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวตนที่เหมือนต่างกันราวฟ้ากับดินคืออะไร
เราเห็นสามคนนี้ อะไรคือความจริงของคนสามคนนี้ เป็นผู้ชายที่เหมือนกันทั้งสามคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีอะไรที่จำแนกทำให้ความเป็นคนของเขาแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งแม้จะเกิดมาพร้อมกัน แม้จะเป็นเพศเดียวกัน แต่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินศิษย์
ศิษย์เคยได้ยินไหม “กรรมจำแนกเผ่าพันธุ์ กรรมจำแนกชะตาชีวิตของคน” แล้วกรรมนี้มันคืออะไร กรรมคือกระทำ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติปัจจุบัน แล้วสิ่งที่ศิษย์เห็นอยู่นี่ ศิษย์ว่าเรียกว่าอะไร มนุษย์หลายคนเรียกว่าชีวิต เรียกว่าผู้ชาย เรียกว่าวีระ เรียกว่าบุญเสริม เรียกว่ากมล ชื่อนี่เขาเรียกว่าสมมติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่เป็นความจริงของสามคนนั้นคืออะไร คือ “มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับกรรม” ใช่ไหม (ใช่)  ที่เราได้เกิดมาเป็นคนอยู่นี่ก็เพราะว่ากรรม กรรมในอดีตชาติ อาจารย์จะบอกว่าสิ่งนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กองขี้” เพราะออกจากตาเรียกว่าขี้ตา ออกจากหูเรียกว่าขี้หู ออกจากปากเรียกว่าขี้ปาก ออกจากมือเรียกว่าขี้มือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอันนี้เรียกว่าถุงหนังที่บรรจุขี้ แต่ศิษย์บอกอาจารย์พูดไม่เพราะ ถ้าอาจารย์เปลี่ยนให้ก็ได้ สิ่งนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากรรม ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตเกิดจากผลรวมของกรรมที่เกิดจากกรรมในอดีตและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ประสบการณ์และการกระทำปัจจุบัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอันนี้ที่ศิษย์เรียก วีระ  อาจารย์จะบอกว่า วีระ วีรกรรมกรรม ใช่ไหม (ใช่)  บุญเสริม บุญเสริมกรรมกรรม เพราะกรรมนั้นคือความจริง แต่นามนั้นแค่สมมติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่ามนุษย์ไม่รู้ความจริง อะไรล่ะที่ทำให้เรายึดมั่น แล้วกลายเป็นความอยาก แล้วกลายเป็นความหลง นั้นก็คือ มนุษย์ไม่รู้ความจริงของตัวตน ถ้ามนุษย์เรารู้ว่า ไอ้นี่คือถุงขี้ ไอ้นี่คือกรรมกรรม เราจะสร้างอะไรแล้วเพิ่มกรรมไหม (ไม่)  เพราะว่ากรรมดีพาไปสุข  กรรมชั่วพาไปทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดทำไม่ดี ไม่ร้าย คนอื่นเขาอยากคิดจองเวร กรรมนั้นก็ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะสอนให้มนุษย์รู้ว่า ถ้ามนุษย์มองเห็นชีวิตนี้เป็นพยับแดด เป็นมายา เป็นพวงดอกไม้มาร เราจะสามารถตัดมัจจุราชให้มัจจุราชไม่ตามเราได้ ถ้าเรามองเห็นชีวิตแล้วเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้อย่างไรละ มันเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  มันเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง)  มันมีทุกข์ไหม (มีทุกข์)  แล้วเราควรหรือที่จะยึดมั่นถือว่าเป็นเราของเรา เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่นว่าเป็นเราของเรา นั้นคือคนโง่ที่กอดกองทุกข์ กอดกรรม แล้วหากรรมกรรมเพิ่ม ใช่ไหม (ใช่)  ตัวเองกรรมเดียวพอไหม (ไม่พอ)  เอาอีกกรรมไหม (ไม่เอา)  จริงหรือ เห็นเอาไปเรียบร้อยแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจให้ดี ร่างกายนี้มันเป็นแค่การรวมของธาตุทั้งห้า เป็นกองขันธ์ เป็นกองทุกข์  เราจะอยากมากเพื่อบำรุงถุงขี้  เราจะอยากมากเพื่อบำรุงกรรมไหม แต่เราคงจะอยากอะไรก็ตามที่ทำให้เราไม่ต้องกลับมามีกรรมอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วกรรมอะไรที่น่ากลัว คนอื่นทำกับเราหรือเราทำกับคนอื่นน่ากลัว กรรมอะไรน่ากลัวกว่ากัน (กรรมทำกับคนอื่น) เพราะ (กลัวเราจะต้องรับกรรมแทน)  กรรมที่เราไปทำกับคนอื่นจะน่ากลัวกว่า เพราะกลัวเราจะไปรับกรรมแทนเขา แปลว่าอะไรหรือศิษย์ กรรมอะไรที่น่ากลัวกว่า ที่เราทำเขาหรือเขาทำเรา (กลัวทั้งสองอย่างเลย)  คงทำให้อาจารย์ชื่นใจได้บ้างนะ อันไหนน่ากลัวกว่า (มันอยู่ที่ใจของเรามากกว่า)  ถูกไหม เขาบอกว่าเสมอกันมันอยู่ที่ใจของเรามากกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ตอบให้อาจารย์ไม่ค่อยชื่นใจเลยนะ อาจารย์จะบอกให้ผิดทั้งสามคนเลยนะ เกือบจะถูกแต่ก็ถูกไม่หมด  อาจารย์อยากจะบอกให้ว่ากรรมไหนน่ากลัวกว่า ถ้า คนอื่นทำกับศิษย์ ศิษย์อภัยไม่ถือโทษ ไม่ผูกเวร ไม่ผูกใจเจ็บ ปล่อยวางได้ ศิษย์ก็จบกรรมกับเขาได้ แต่ถ้าเกิดศิษย์ไปทำกับเขา เขาถือสา เขาเอาความ เขาผูกใจเจ็บ เขาจองเวรจองกรรม อะไรน่ากลัวกว่า  อย่ารู้แค่นี้ต้องรู้มากกว่านี้ มันจะได้ประเทืองปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครทำกรรมใดใครก่อกรรมนั้นมันต้องสนองแน่ เคยได้ยินไหมกรรมชั่วให้โทษสามสถาน ถ้าพูดชั่ว คิดชั่ว ทำชั่ว โทษสามสถานคืออะไร ปัจจุบันก็ได้ไม่ดี ตายไปก็ตกนรก พ้นจากนรกกลับมาอาจจะได้เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือถ้าเกิดยังพอมีดีบ้างก็อาจจะเกิดเป็นคนแต่วาสนาไม่ดี ผิวพรรณไม่สวย เอาไหม (ไม่เอา)  ก็ศิษย์บอกอยากกลับมาเกิดอีกนี่  ถ้าอาจารย์จะบอกให้ว่าการกลับเกิดให้สมบูรณ์และเป็นคนนั้นยาก ใช่ไหม (ใช่)  ยากตรงไหน (ถ้าเราใจดี จิตใจที่ดีงามก็ไปทำกรรมดีกับคนอื่น)  ถ้าเราทำกับเขา จิตใจดีทำกับเขาดี ก็ได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ถ้าศิษย์ทำดีอาจารย์ก็ไม่ว่า แต่ถ้าเกิดเราทำแล้วเขาไม่ชอบละ ศิษย์เคยเห็นไหม บางครั้งเราทำดีนะ แต่คนมันอิจฉา คนมันแอบว่า คนมันแอบใส่ไคล้  ขนาดเราว่าเราทำดีแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลนั้นมันมาจากอะไรละ แล้วกรรมนั้นมันมาจากอะไรละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์นั้นอยากบอกศิษย์นะ อยากเกิดเป็นคนนั้นอาจารย์ไม่ว่า อาจารย์บอกว่าถ้าอยากเกิดมาเป็นคนคนหนึ่ง ศิษย์รู้ไหมว่า การเกิดมาเป็นคนคนหนึ่งนี่ต้องทำอย่างไรบ้าง หนึ่งศีลต้องพร้อม คุณธรรมต้องสมบูรณ์ ศิษย์พร้อมไหม แล้วศิษย์รู้ไหมว่าแค่ขนาดคิดร้าย ใครทำดีแต่เราคิดร้าย เชื่อไหมว่าผลของการคิดร้าย เกิดมามีวาสนาไม่ดี  เพราะคนที่ชอบคิดร้ายเห็นใครได้ดีแล้วคิดร้าย แล้วก็แอบนินทาจะทำให้คนดีคนนี้จะทำอะไรก็ทำไม่ขึ้น เพราะว่าความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
(ไฟฟ้าดับพระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมนำผ้าเย็นมาให้นักเรียน)
ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องเป็นคนที่กินง่าย นอนง่าย แล้วก็อยู่ง่าย แม้ไม่มีพัดลม แม้ไม่มีไฟก็ต้องอยู่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าวันหนึ่งมีอะไรเกิดขึ้น เราก็เตรียมใจรับทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะอายุมากฝึกใจให้แข็งๆ ไว้นะ ให้เข้มแข็ง  มีก็ดี ไม่มีก็ดี เมื่อวานอุตส่าห์เรียนไปไม่ใช่หรือ ไม่มีไฟดีไหม (ดี)  ไม่มีพัดลมดีไหม (ไม่ดี)
อาจารย์บอกว่าที่มนุษย์ทุกข์เพราะอยาก อาจารย์จะบอกว่าต้นเหตุ แห่งความทุกข์ที่แท้จริงคือ เพราะความไม่รู้แท้แห่งตัวตน และก็ยึดมั่นถือมั่น แล้วสนองกิเลสตามตัวตน ทั้งที่ตัวตนจริงๆ แล้วมันเป็นแค่ผลรวมของกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต ศิษย์ก็จะสร้างกรรมต่อเนื่องไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบ้านมุงหลังคาดี ฝนย่อมไม่รั่วรด ถ้าจิตใจเรารู้จักดูแลปกป้องสำรวมหูตาดี กิเลสตัณหาทำอะไรใจเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราระวังไหม (ไม่ระวัง)  อยากมองก็มอง อยากฟังก็ฟัง อยากด่าก็ด่า  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรานั้นง่ายที่จะก่อกรรมโดยไม่รู้ตัว บางทีด่าเขาไปแล้ว ฉันด่าเธอหรือ เคยไหม (เคย)  เป็นไหม (เป็น)  ไม่ได้ด่า ก็เมื่อกี้เธอด่าฉัน ไม่ได้ด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งที่ต้องระวังคือ ตาหูปากมือแล้วก็หัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อยากเกิดเป็นคน อาจารย์จะบอกให้คนที่อยากเกิด เกิดมาแล้วขี้เหร่เอาไหม (ไม่เอา)  หากศิษย์เกิดมาเป็นคนอีกครั้งหนึ่งต้องเป็นอย่างไร ต้องสวย ต้องรวย ต้องฉลาด  อยากเกิดมาเป็นคนต้องสวย ต้องฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็ต้องอะไร (หน้าตาดี)  สวยกับหน้าตาดีก็เหมือนกันนะศิษย์  รวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปไหนก็มีแต่คนรัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ถามจริงๆ ศิษย์ตั้งแต่เจอคนมานี่มีใครสมบูรณ์แบบบ้างไหม ไม่สวยก็ฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ฉลาดก็วาสนาดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  หาคนสมบูรณ์ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์จะแน่ใจหรือว่าการกระทำปัจจุบันของศิษย์ตอนนี้จะทำให้ศิษย์นั้น สามารถมาเกิดเป็นคนได้ แน่ใจไหม (ไม่แน่ใจ)  ถ้าดูผิวตัวเองสิว่าผิวดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเมื่อไหร่ผิวไม่ดีแปลว่าเป็นคนมักโกรธ ถามตัวเองสิว่าตอนนี้ทำอะไรขึ้นไหม (ไม่ขึ้น)  ถ้าไม่ขึ้นก็แปลว่าชอบคิดร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามสิคู่ครอง ลูกน่ารักไหม (น่ารัก)  จริงหรือ ลูกน่ารักหรือ ตอนเด็กก็น่ารักแต่ตอนโตสิมันหาน่ารักไม่เจอเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากรู้ไหมว่า ลูกเรานี่เกิดมา มากรรมดีหรือกรรมไม่ดี อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ไม่ยากเลย ลูกเรานี่พูดอะไรเชื่อเราไหม (ไม่เชื่อ)  ถ้าพูดคำเถียงคำเราเกิดมาเพื่อใช้หนี้เขา  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนสามีรักเราไหม (ใหม่ๆ ก็รัก)
นานๆ ไปไม่รักเพราะนิสัยเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขามีกรรมกับเรา แต่ทำไมกรรมบางคนอยู่กับเรานานมาก กรรมบางคนอยู่กับเราสั้นๆ ก็อยู่ที่ตัวเราสร้างบุญวาสนากับเขามากเท่าไหร่ ทำบุญร่วมวัดกับเขากี่ครั้ง บางทีทำกับเขาครั้งเดียวแต่หนัก พอสักพักหนึ่งเป็นอย่างไร ไม่ทำอีกแล้ว ฉะนั้นพอไม่ทำอีกแล้วเขาไม่รัก เรานั้นก็เกิดจากตัวเราทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์บอกศิษย์ คิดให้ดีๆ ถ้าอยากจะมีกรรมเกิดมาอีกชาติหนึ่ง เราทำพอไหม จะเกิดมาเป็นคนทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งหน้าตาดี วาสนาดี คู่ครองดี ลูกดี อาจารย์ไม่เคยเห็นใครสมบูรณ์เลย ใช่หรือไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเปลี่ยนแปรชะตาชีวิตตัวเอง จะได้ไม่ต้องทุกข์และมีกรรมอีก คิดออกไหม (ไม่ออก)
อาจารย์บอกแล้วศิษย์จะทำจริงๆ หรือ (ทำ)  กินง่ายอยู่ง่ายทำไหม (ทำ)  รู้จักปล่อยวาง ทำไหม (ทำ)  รู้จักควบคุมตา หู จมูก ปากทำไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรหรือศิษย์ถึงจะเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย รู้จักทำดี แต่ถ้าศิษย์ไม่รู้จักควบคุมตา หู จมูก ปาก ศิษย์ก็จะสามารถสร้างกรรมได้ จริงหรือไม่ (จริง)
มนุษย์มักจะบอกว่าอาจารย์ถ้าศิษย์จะพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ไปทำบุญดีไหม ศิษย์ไปทำบุญมาก ศิษย์จะได้พ้นทุกข์ได้ดีไหม (ดี)  ใช่ไหม ศิษย์มักจะพูดอย่างนี้และมักจะทำกัน ในเมื่อวันนี้โชคไม่ดี วันนี้มีแต่เรื่องไม่ดี ไปทำบุญดีไหม ทำบุญมากเผื่อจะหนีความชั่วได้ ใช่ไหม ศิษย์มักจะคิดอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบอกว่าถ้าทำบุญมาก จะได้หนีความทุกข์ หนีสิ่งที่ไม่ดี แต่ศิษย์เคยคิดไหมว่า ถ้าทำดีหวังผล ทำดีแบบหวังวอนขอ ความดีนั้นจะไม่สามารถชำระล้างกรรมได้ แต่ความดีนั้นจะทำให้กายยึดมั่นถือมั่นแล้วก่อกรรมอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนที่บอกว่า ทำบุญสิบบาทร้อยบาทขอให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ ใช่ไหม แล้วพ้นจากสวรรค์ไปอะไร (นรก)  แล้วคิดต่อบ้างไหม ศิษย์บอกอาจารย์ ทำบุญแล้วเกิดออกมาสบายๆ ชาติหน้าไม่ต้องทำอะไรก็มีกินเอาไหม ศิษย์ชอบขออย่างนี้ใช่ไหม สบายๆ ไม่ต้องทำอะไรก็มีกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมว่าเกิดเป็นอะไร ศิษย์เคยเห็นหมาสมัยนี้ไหมว่า วาสนาดีจะตายไปไม่ต้องทำอะไรก็มีคนให้กิน มีคนอาบน้ำให้ พาไปตัดแต่งขนให้อีก ใช่ไหม (ใช่)  นั่นแหละเป็นคนตลอดชีวิตมีความซื่อสัตย์อยู่อย่างเดียวในคุณธรรมในชีวิตชาติหน้าเลยเกิดเป็นหมาเลยใช่ไหม แล้วก็บอกว่าขอให้ความซื่อสัตย์นี้ทำให้ศิษย์เกิดมาสบายๆ จริง เอาตัดขนหน่อย เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำอะไร บุญก็สร้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นต้นเหตุให้ก่อกรรมไม่จบสิ้น ก็คือ หู ตา จมูกที่ชอบหลงกรรมๆ นั่นแหละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลงอยากได้กรรมอันโน้น หลงอยากได้กองทุกข์อันนั้น หลงอยากได้กองทุกข์อันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ศิษย์จะต้องเข้าถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตให้ถูก โลกใบนี้ที่เห็นว่าสวยนี้ ที่เห็นว่าดีนี้ มองให้ดีมันคือกองทุกข์ มันคือความไม่เที่ยง แค่ตัวเรายังเอาตัวไม่รอด แล้วศิษย์ยังไปหาห่วงมาผูกคอให้เพิ่มอีกเอาไหม  ฉะนั้น ต่อไปขอให้คิดให้ดีๆ รู้จักพอ รู้จักดำเนินชีวิตเรียบง่ายทำได้ไหม อยากไม่ต้องทุกข์ก็คือรู้จักพอในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ และรู้จักรักษาความเรียบง่าย
ทำอย่างไรจะให้ตัวเองไม่ต้องทุกข์ (ปล่อยใจให้ว่าง)  ปล่อยได้จริงๆ หรือ การจะปล่อยใจใช้ต่อเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นและไม่ถือสาหาความกับคนนะศิษย์  (มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น, อยู่ง่ายกินง่าย, รู้จักคิดดี, ปิดหูปิดตาตัวเอง) บางครั้งต้องรู้จักปิดหูปิดตาตัวเองบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ปิดตลอดนะ (รู้จักทำใจ)  ทำให้ไม่อยากได้ของคนอื่น (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางคือไม่ถือสาใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้ได้นะศิษย์ ไม่ถือสาไม่เอาความ (ตัดกิเลสตัณหาด้วยปัญญา)  ทำให้ได้อย่างที่ตอบนะถึงเวลา (มองบวก)  รู้จักคิดบวกแต่บางทีเค้าคิดลบก็ต้องทำใจใช่หรือไม่ (ใช่)
(เข้าสู่จิตเดิมแท้)  ตอบได้ดี มีปัญญาแต่ก็ต้องระวังถ้าปัญญาขาดสติก็ไม่ได้ ถ้าสติขาดปัญญาก็ไม่ดี (รู้จักเรียนรู้และอยู่กับความทุกข์ให้ได้) รู้จักเรียนรู้และอยู่กับความเป็นจริงด้วยนะ (ไม่มีความอยาก) ทำได้หรือ (ได้)  ตอนนี้พอหรือยัง (ยังไม่พอ)  ทำไมตอบขัดกันเอง ถ้าอยากอะไรก็ต้องคิดให้ดีๆ ว่าอยากแล้วถูกต้องไหม
เราจะเอาอะไรเป็นกรอบควบคุมความอยากของเราที่ทำให้ไม่เกิดทุกข์ อาจารย์เปลี่ยนคำถามแล้ว เอาอะไรควบคุมความอยากแล้วทำให้ไม่เกิดทุกข์ (ทำจิตใจให้สงบ)  ทำจิตใจให้สงบแล้วก็อย่ามองออกมาก อย่าฟุ้งซ่าน (ปล่อยวาง)  ศิษย์ของอาจารย์ชอบบอกว่าปล่อยวางแต่เมื่อถึงเวลาปล่อยวางได้จริงๆ ไหมนะ ปล่อยน่ะปล่อยได้ แต่จะวางใจจริงๆ น่ะวางยากนะ (ลดละเลิก) ลดละเลิกอะไร ลอตเตอรี่ หวยใต้ดิน ลดละเลิกความอยากที่ทำให้เกิดการเบียดเบียน ความโกรธที่ทำให้เราโมโห (อาจารย์โยนผลไม้ให้นักเรียน ผลไม้ช้ำ) ผลไม้ช้ำก็ไม่เป็นไร ขอใจไม่ช้ำก็พอนะ (ทำใจให้สบาย)  ทำได้จริงๆ ไหมนะ (คิดให้ดี ทำให้ได้)  คิดให้ดี ทำให้ได้ พูดได้ดีนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมฉือซั่น อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช)
มีบางคนนั่งเฉยๆ มาฟังรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  รู้เรื่องอะไรศิษย์จิ๊กโก๋ ยอมรับว่าตัวเองเป็นจิ๊กโก๋หรือ หน้าเหมือนจิ๊กโก๋ไหม (ไม่เหมือน)  อย่าให้ภายนอกมันทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี ดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ อย่าทำให้กิเลสมันบดบังจิตเดิมแท้ อย่าปล่อยให้ความอยากทำลายคุณงามความดีในหัวใจใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนวัยรุ่นท่านหนึ่ง)
อาจารย์ให้รางวัล ถามหน่อยเอาไปให้ใคร (เอาให้ตัวเอง)  ไม่อยากให้ใครเลยเอาให้ตัวเอง ศิษย์เคยได้ยินไหมกินแอปเปิลลูกเดียวท้องอิ่มแต่ถ้าเอาแอปเปิลไปให้คนอื่น อิ่มใจ ระหว่างท้องอิ่มกับอิ่มใจอะไรมันอยู่นานกว่ากัน (อิ่มใจ)  แล้วยิ่งถ้าแบ่งแอปเปิลเป็นชิ้นๆ แล้วบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฝากมาให้ อิ่มใจกี่คน (หลายคน) ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นแอปเปิลจะกินเองหรือให้ใคร เหลือไว้เสี้ยวหนึ่งของตัวเองใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เกิดเป็นคนจงรู้จักควบคุมตัวเองให้ดี เอาอะไรมาควบคุมตัวเอง ก็เอาศีลธรรมความดี ศีลธรรมมีอะไรบ้างตอบให้ชื่นใจหน่อยสิ ศีลข้อแรกคืออะไร (ห้ามฆ่าสัตว์) แล้วยุงกัดเรา (ตบ)  มดมาเรา (ตี, ไม่ตี)  ไม่ตีก็ไม่ตีสิ ยุงกัดเราก็ปัดมัน มดมาก็ไม่สนใจเราก็เดินหนีมันใช่ไหม (ใช่)  ทำได้ไหม (ทำได้)  ฝึกเมตตาจิตถ้าเล็กๆ เราเริ่มได้ใหญ่ๆ เราก็ทำได้ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์ใกล้เวลากลับแล้วนะ กลับได้หรือยัง (ยัง)  ถ้าอยู่แล้วทำให้ศิษย์หลง อาจารย์ไม่อยู่ดีกว่านะ  ศิษย์ต้องอยู่ได้ด้วยขาของตัวเอง ศิษย์ต้องอยู่ได้ด้วยจิตที่ตื่นรู้ด้วยตัวเอง เพราะชีวิตนี้ตัวตนที่ศิษย์พยายามเอาใจ เข้าข้าง และก็รักมันเหลือหลาย มันเป็นอะไร มันเป็นกรรมนะศิษย์นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นกรรม การจะทำอะไรก็คิดให้ดีว่าอย่าเพิ่มกรรมต่อ อย่าสร้างกรรมแห่งการเวียนว่ายได้ไหม (ได้)  แล้วด้วยการใช้อะไรเป็นตัวควบคุมหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจล่ะ ก็คือศีลธรรม รักษาให้ดีนะศิษย์ แม้ชั่วขณะหนึ่งก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้ แต่ถ้าศิษย์ยังแอบทำชั่ว ศิษย์ก็ตกลงมานรกใหม่นะ จะรักษาอะไรต้องรักษาให้ดีและให้ตลอดรอดฝั่ง
เพลงนี้ยังไม่มีชื่อใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ช่วยอาจารย์ตั้งชื่อหน่อยนะ แล้วไปบอกอาจารย์ เอาไปฝากเขาที่ลพบุรีก็ได้ อาจารย์จะมาบอกว่าได้ไม่ได้
เมื่อเรารักษาศีลได้จะบังเกิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ข้อหนึ่งคือรู้จักมีเมตตา ข้อสองคือมีอะไร  ร่างกายถึงเวลามันก็ต้องแปรไปตามธาตุทั้งสี่ใช่หรือไม่ คือดิน น้ำ ลม ไฟ แต่จิตของเราต้องรักษาให้ดีอย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับกาย เพราะถ้าศิษย์ยึดมั่นถือมั่นกับกาย มันก็จะทำให้ศิษย์ต้องตกลงต่ำ แต่ถ้าศิษย์สามารถรักษาจิตให้บริสุทธิ์ กายแยกออกจากจิต ศิษย์ก็สามารถเบาแล้วขึ้นสูงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่ให้เรามายึดมั่นถือมั่นร่างกาย แต่ให้เรามองเห็นร่างกายให้ถูก แล้วดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง ไม่ใช่นำพาตัวเองไปพ้นทุกข์
อย่าคิดว่าปลูกต้นไม้สองวันแล้วมันจะโต ฟังธรรมะสองวันแล้วจะบรรลุไม่ได้หรอก เพราะเรายังมีกิเลสและความหลงผิดที่หนาแน่นอยู่ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์กลับก่อนดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์กลับแล้วนะ ถึงเวลาคนเราเกิดมาก็ต้องกลับ แต่กลับบ้านไหน ที่เป็นบ้านที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป นั่นคือบ้านของจิตญาณเดิมแท้อันบริสุทธิ์  ถ้าเมื่อไรจิตเรายังสกปรกอยู่ ศิษย์ก็ไปหาอาจารย์ไม่ได้นะใช่ไหม แล้วทำอย่างไรให้จิตบริสุทธิ์ ก็จิตที่ไม่แปดเปื้อนไปด้วยโลภ โกรธ หลง แต่รู้จักพอ แล้วรู้จักดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายใช่ไหม (ใช่)  วิธีของอาจารย์ยากไหม  (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่เมื่อไรศิษย์จะทำสักทีใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กล่อมเกลาจิตใจผู้คน”)
กล่อมเกลาจิตใจผู้คนด้วยอะไร (ด้วยธรรมะ)  ครั้งที่แล้ว อาจารย์ให้คำว่า “ใช้คุณธรรม” แล้วก็มาต่อครั้งนี้คือ “กล่อมเกลาจิตใจผู้คน” ศิษย์ จะนำพาชีวิตตัวเองให้ได้ดีได้ และจะนำพาชีวิตของผู้อื่นให้เป็นสุขได้ก็ด้วยคุณธรรมนะ แล้วคุณธรรมมาจากไหน ก็รู้จักรักษาศีล เมื่อเข้าถึงศีลได้ศิษย์ก็จะเข้าถึงธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถึงที่สุดแล้วตัวตนนี้ก็คือความว่างเปล่า ร่างกายนี้เป็นแค่ศาลาที่พักให้เรายืมใช้ชั่วคราว ถึงเวลาเราก็ต้องทิ้งมันไป สิ่งที่ศิษย์จะเอาไปได้คือกรรม แต่กรรมไหนล่ะ กรรมดีกรรมชั่ว หรือมรรคผลนิพพาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าอยู่ใกล้เกลือกินด่าง อย่าฟังธรรมแต่ไม่รู้เรื่อง น่าเสียดายจริงไหม
ขอให้เป็นคนอารมณ์ดีให้ตลอดนะ เจอเรื่องลำบากอะไรก็จงยิ้มสู้ คุณธรรมของความเป็นคนคือรักษาศีลให้ดี และถ้ารักษาศีลได้ ดำเนินคุณธรรมจนลุล่วงได้ ชีวิตนี้ก็ไม่น่ากลัวแล้ว ขอเพียงรู้จักเปิดกว้างและอ่อนน้อมถ่อมตน ชะตาชีวิตอยู่ที่มือเรา แต่เราอย่าเป็นคนทำร้ายด้วยตัวเราเอง
อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก รู้จักรักษาวาระและโอกาส อย่าไปแล้วไปเลยนะศิษย์ มีโอกาสกลับมาอีก มีบุญได้เจออาจารย์แต่อย่าทำลายบุญตัวเองด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลยนะ ใช่ไหม ทำดีแล้วก็จงทำต่อไป อย่าเป็นเด็กดื้อ ปล่อยได้ก็ปล่อย ไหวไหมเด็กดื้อ
ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าหลงแสงสีในโลก รู้จักดูแลตัวเองนะศิษย์ อย่าเป็นทุกข์กับเรื่องที่ไม่ควรเป็น ต้องรู้จักชดใช้ ก้มหน้ายอมรับและสร้างแต่สิ่งที่ดีงาม อาจารย์ไม่ได้มาให้ศิษย์งมงาย แต่อยากมาให้ศิษย์เข้าใจชีวิตที่แท้จริง อาจารย์อยู่เป็นขวัญกำลังใจให้ศิษย์ ศิษย์ก็ต้องรู้จักอยู่บนโลกนี้ให้เป็น
ดูแลตัวเองให้ดี ตั้งใจบำเพ็ญ เข้าใจนะ ทำให้ถูกต้องทำให้ดี ไม่‌อย่างนั้นบุญจะกลายเป็นบาปนะศิษย์นะ อาจารย์อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคนอยู่แล้ว ขอให้ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญ อย่าไปหลงโลกใบนี้ รู้จักรักตัวเองให้ถูก อย่าทำให้ตัวเองเดินผิดทาง เข้มแข็งนะอย่ายอมแพ้กับโลกใบนี้ มีโอกาสกลับมาอาจารย์ก็ดีใจแล้วนะ อย่าห่วงสวยห่วงงามอีกนะศิษย์นะ วางได้ก็วางเถอะ ตั้งใจแล้วไปให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้ได้ไหม
อย่าหลงในเรื่องที่ไม่ควรหลง รู้จักบำเพ็ญให้ดี มากับอาจารย์แล้วบำเพ็ญกับอาจารย์แล้ว สิ่งสำคัญคือจิตใจต้องหนักแน่นและมั่นคง
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยู่เป็นกำลังใจศิษย์เสมอ กลัวอย่างเดียว กลัวศิษย์ทิ้งอาจารย์ หลงในโลกที่ไม่ควรหลง  ตั้งใจบำเพ็ญธรรมกล่อมเกลาจิตใจตัวเอง ด้วยคุณงามความดีเข้าใจไหม คิดในสิ่งที่ควรคิด ทำในสิ่งที่ควรทำ อาจารย์ไม่ทิ้งศิษย์ มีแต่ศิษย์คิดทิ้งอาจารย์ก่อน
ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ ดีอยู่แล้วก็จงรักษาต่อไปเข้าใจไหม อะไรล่วงไปแล้วอย่าจมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ทำปัจจุบันให้ดีแล้วอนาคตก็จะดีเอง  ระวังคำพูดตัวเอง คิดดี พูดดี ทำดี ทำง่ายแต่ก็ต้องระวังด้วยใช่หรือไม่ รักษาสุขภาพให้ดี
ตั้งใจบำเพ็ญ รู้จักเป็นคนดีของสังคม เป็นเด็กดีของพ่อแม่ทำยากไหม ไม่ยากใช่ไหม  รู้จักทำดีอย่ามัวแต่ซิ่ง อย่ามัวแต่เที่ยว อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองแต่ไม่ห่วงความคิดของพ่อแม่  ตั้งใจบำเพ็ญ กลับมาหาอาจารย์อีกได้ไหม ศิษย์มีรากบุญดี จงถนอมรากบุญด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องอย่ามัวแต่ห่วงเที่ยว อย่ามัวแต่ห่วงสนุกไม่อย่างนั้นจะฆ่าตัวเองตาย
เป็นคนใต้ก็ต้องรู้จักบำเพ็ญได้ ใช่หรือไม่ อย่าใกล้เกลือกินด่าง ตั้งใจบำเพ็ญ อาจารย์อยู่ในใจศิษย์ตลอดเวลา ขอเพียงศิษย์รู้จักคิด รู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง บำเพ็ญเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมามีกรรมนี้อีกนะ เชื่ออาจารย์เถอะโลกนี้มันไม่น่าอยู่หรอก มันมีแต่กรรม มีแต่ทุกข์ที่ทำให้เราเจ็บปวด จะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องรู้จักคิดดี พูดดี และสำรวมกาย วาจา ใจ กลับมาหาอาจารย์บ้างนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “กล่อมเกลาจิตใจผู้คน”
พลีชีวิตเพื่อธรรมได้กลับเบื้องบน ยอมอดทนเพื่อฝึกญาณไม่ตกต่ำ
อยู่เหมือนใช่แต่ไม่ใช่ก็มีกรรม ถูกโลกลืมถูกโลกจำรีบรู้ตัว
คุณธรรมเปรียบดั่งดวงตะวัน จริยาคือนวลจันทร์สาดแสงทั่ว
หากรู้ทำเป็นไม่รู้ช่างน่ากลัว ตามใจตัวในที่สุดอสูรกาย
การบำเพ็ญต้องตลอดจนลุล่วง จะขาดช่วงทิ้งบ้างทำบ้างได้ไม่
ส่งแสงเทียนต่อเนื่องไม่ขาดไฟ ยอมทุ่มเทยอมลุกไหม้ไร้อัตตา



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ฉบับปรับปรุงข้อมูล รุ่นที่ ๐.๑ วันที่ ๑ มิ.ย. ๒๕๕๕

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา