วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

2552-04-04 สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี


西元二○○九年 嵗次己丑三月初九日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

อย่าประมาทต่อการใช้ชีวิต เรื่องยากคิดอาจเกิดขึ้นเสมอได้
มีสติเท่าทันตามลมหายใจ ความทุกข์ใช่ร้ายจนไม่มีดี
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามทุกท่านเมื่อยหรือยัง

ไม่มีไม่อันตรายแต่ใจทุกข์เข็ญ วัตถุเป็นของแน่ไหนใครครองได้
มากรูปนามยิ่งมากใจยิ่งวุ่นวาย รู้แต่ทำไม่มีพอสักครา
ชีวิตยิ่งห่วงหายิ่งรักยิ่งหลง สอนคนได้เก่งจงทำก่อนหนา
เคยทำเหนื่อยก็กลัวว่างขึ้นมา วิ่งจนวุ่นฝืนจนล้าเหลืออะไร
ไยไม่กลัวการเกิดกลัวการดับ อารมณ์ฟุ้งน้อยก็จับจิตทันได้
ร้อนหน้าถ้าไม่มีธรรมในใจ อันสิ่งใดหรือเที่ยงแท้แน่นอน
เมื่อมีมาแล้วก็ต้องมีไป ตั้งใจหนักไม่เบาใจบำเพ็ญก่อน
ชีพใดหรือเป็นอยู่อย่างลุ่มดอน อย่าอาวรณ์สิ่งใดติดปล่อยวางเอา
กาลนานเนิ่นได้ฝึกไหมเปลี่ยนแปลง ชีวิตต้องแก่งแย่งอยู่อย่างขลาดเขลา
วันสู่ปีดวงใจไยเหมือนเก่า ใครขันแข่งลืมก้าวย่อมมืดมัว


เก่งก็เหนื่อยทำจนวุ่นฝืนจนล้า ว่างก็ฟุ้งกลัวน้อยหน้าถ้าไม่มี
สิ่งใดหรือมีมาแล้วไม่หนักใจ สิ่งใดหรือเป็นอยู่ได้เนิ่นนานปี
ต้องแก่งแย่งแข่งขันทุกวันนี้ ลืมไหมนี่ว่าตัวเราไม่ถาวร





ชีวิตทุกวันนี้ดีหรือไม่ดี เรียกว่าตระหนี่ไหมเอาเปรียบในหัว
ชีวิตเราไม่ถาวรอย่าเฝ้าเมามัว คนรู้ตัวแก้ไขไม่มีสายเกิน
ฮิ ฮิ  หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
วันนี้ฟังธรรมะมาครึ่งวันแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เล่นอะไรกันหน่อยดีไหม จะได้แก้ง่วง ดีหรือเปล่า (ดี)  
(ศิษย์พี่เมตตาเล่นนับตัวเลขแถวที่นั่งของนักเรียนในชั้นเป็นเลขคู่และเลขคี่)
ถ้าท่านอธิบายสิ่งใดให้คนฟังสามรอบ โดยรอบแรกท่านพูดแล้วเขาไม่เข้าใจเป็นความผิดของคนพูด แต่ถ้าพูดรอบสองแล้วยังไม่เข้าใจแปลว่าเป็นความผิดของคนฟังกับคนพูดอย่างละครึ่ง ถูกไหม
พูดสามรอบแล้วนักเรียนส่วนใหญ่ฟังรู้เรื่อง แต่มีส่วนน้อยทำผิดแปลว่าคนฟังนั้นผิดเต็มประตู ไม่ใช่ความผิดของคนพูดถูกหรือเปล่า (ถูก)  
ถามว่าทุกคนในที่นี้เขียนเลขเป็นไหม ทุกคนบอกเป็น  แต่ถ้าเกิดเรานับหนึ่งถึงสองแล้วให้ท่านเขียนโดยที่ท่านยังไม่เคยเขียนมาก่อน ท่านจะเขียนได้ทันไหม คนส่วนใหญ่เวลาเรานับหนึ่งถึงสองเขียนไม่ทัน เพราะอะไร เพราะในหัวเราเต็มไปด้วยความคิดที่จะเขียนเลขอะไรดี อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี  เหมือนมีความรู้เต็มไปหมดแต่ถึงเวลาเรากลับช่วงใช้ได้ไม่ทัน เพราะเรามัวแต่คิด มัวแต่สับสนว่าจะเอาอะไรให้ออกมาดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  บางทีคิดว่าจะเอาตัวเลขไทยดี ตัวเลขอารบิคดี เลขหนึ่งดี หรือสองดี หรือสามดี ใช่หรือไม่
คนทุกคนในที่นี้ ถ้าเราถามว่าเขารู้เรื่องแห่งชีวิตไหม รู้เรื่องแห่งธรรมะไหม ทุกคนบอกว่า (รู้)  ฟังมาก็เยอะแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคิดว่าธรรมะในตัวเองก็มีอยู่พอสมควร เราว่าเราจัดการกับชีวิตเราได้ เราว่าความรู้เราก็มีพอสมควรน่าจะเอามาควบคุมคนได้ แต่ถึงเวลาชีวิตเราควบคุมไม่ได้ ชีวิตตัวเราเองจัดการไม่รอด ความรู้ที่มีมาเยอะแยะคิดว่ารู้แล้วจะได้เกิดประโยชน์ แต่กลายเป็นรู้แล้วกลับเลือกไม่ถูก จึงกลายเป็นคนที่มีความรู้เยอะแต่ถึงเวลาช่วยเหลือตัวเองไม่รอด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงกลายเป็นคนมีความรู้เยอะแต่เอาตัวเองไม่รอด  
ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากบอกวันนี้ก็คือ เรามานั่งฟังธรรมะวันนี้เพื่ออะไร (เพื่อทำใจให้มีความสุข)  แล้ววันนี้ฟังธรรมะทำใจให้มีความสุขได้ไหม นั่งอยู่ตรงนี้ยิ้มออกไหม มีความสุขไหม  ท่านรู้ความสุขคืออะไร ท่านรู้ทุกข์เกิดจากอะไร แต่ถึงเวลา เมื่อไหร่จะจบ อยากกลับบ้านจะแย่แล้ว แค่นี้ยังเอาตัวเองไม่รอดเลยใช่ไหม คิดให้มีความสุขยังคิดไม่ได้ใช่ไหม
การมาฟังธรรมะก็เพื่อเรียกให้เรามีสติสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิตและจิตใจ เพื่อให้เรารู้จักดำเนินชีวิตอย่างคนไม่ประมาท การมาฟังธรรมะให้เราอยู่กับความเป็นจริง เพื่อให้เรามีสติรู้เท่าทันอยู่กับปัจจุบันและดำเนินชีวิตอยู่อย่างคนไม่ประมาท
หลายต่อหลายครั้งที่เราปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์และตั้งตนอยู่ในความประมาทและขาดสติยั้งคิดจนทำให้เรื่องดีๆ ในชีวิตกลายเป็นเรื่องแย่ๆ บ่อยๆ ไป ใช่ไหม (ใช่)  
เหมือนนั่งฟังธรรมะนี้ดี แต่ทำไมใจมันแย่ๆ เพราะอะไรล่ะ เพราะเมื่อมีอะไรมากระทบเราไม่สามารถรับรู้และวางใจให้ได้พอเหมาะ เมื่อเราไม่สามารถรับรู้วางใจได้พอเหมาะ เราก็เลยเกี่ยวเนื่องทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความกดดัน บีบคั้นและยึดมั่นถือมั่น  ถูกไหม (ถูก)
เวลาเราอยู่กับอะไรก็ตาม เราไม่สามารถรับรู้และวางใจได้อย่างพอเหมาะ แต่เราวางใจประหนึ่งคนที่เกี่ยวพันกับสิ่งใดแล้วเราก็คาดหวังว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น มันจะต้องดีอย่างนี้ แล้วจะต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น เป็นแบบอื่นไม่ได้ เราก็เลยอยู่หรือเกี่ยวพันด้วยความบีบคั้น แล้วก็ยึดมั่น แล้วก็ดันทุรัง ใช่ไหม (ใช่)  
ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนเวลาเราอยู่กับเพื่อน เราเกี่ยวพันกับเขา เราวางใจเขา เราสามารถอยู่ร่วมกับเขาและวางใจได้พอเหมาะไหม การวางใจพอเหมาะก็คือ สามารถเกี่ยวพันได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็ปล่อยวาง แต่เราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เวลาเราอยู่กับใคร เราก็คาดหวังว่าเขาต้องพูดดีๆ หน้าตาอย่างนี้ต้องพูดไพเราะเสียงดังไม่ได้ ถ้าหน้าตาอย่างนี้เอะอะโวยวายรับไม่ได้ การรับรู้ของเราก็เลยกลายเป็นการรับรู้ที่ยึดมั่นและเกี่ยวพันแบบบีบคั้น เหมือนเวลาท่านฟังธรรมะ ท่านก็บอกว่า ธรรมะจะมีได้กับคนที่ใส่ผ้าเหลือง จริงหรือ ธรรมะมีอยู่รอบตัวเราไม่ใช่หรือ แล้วสิ่งดีๆ ก็มีอยู่ทั่วไปไม่ใช่หรือ ฉะนั้นเราสามารถอยู่บนโลกใบนี้ รับรู้และวางใจได้อย่างพอเหมาะหือไม่
การวางใจพอเหมาะ ก็คือการเกี่ยวพันกับทุกสิ่งโดยปล่อยและวาง แต่เราเกี่ยวพันอะไรเราก็ยึดมั่น คาดหวัง แล้วก็แอบกดดัน อยู่กับสามีก็อดกดดันบีบคั้นสามีลึกๆ ในใจไม่ได้ “ว่าเขาจะต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น” ทำงานก็อดกดดันตัวเองไม่ได้ อดคาดหวังตัวเองไม่ได้ว่า “มันต้องลงแบบนี้ แล้วห้ามลงแบบนั้น ชีวิตต้องมีดีเท่านั้น ทุกข์ไม่ได้” จริงไหม (จริง)  
เรารู้ว่าการที่เรามาอย่างนี้มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ เหมือนท่านอยู่ในโลกมีใครบ้างที่โดนชมแล้วไม่โดนติ มีใครบ้างที่โดนติแล้วไร้การชม  แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฟ้า ดิน หรือฝนยังมีคนชมและมีคนว่า ยังมีคนเรียกหาและคนขับไล่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการที่เรามาครั้งนี้จะมีคนชมหรือคนขับไล่ คนเชื่อและไม่เชื่อก็เป็นเรื่องธรรมดา สำคัญที่ใจเรามากกว่า
ทำไมแถวนี้หน้าคุ้นๆ ทั้งนั้นเลย เราเคยเจอกันที่ไหนไหมนะ มีใครในที่นี้เคยรับปากศิษย์พี่ไว้ว่าถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะมาช่วยงานธรรมะ เรื่องบุญเรื่องกุศลจะไม่ขาดเลยในชีวิต แต่ไปๆ มาๆ ยิ่งทำกลับยิ่งกลายเป็นติดหน้าตา ติดชื่อเสียง ลืมไปว่าทำไปเพื่ออะไร รู้ไหมทำไมใจเราถึงชอบทำบุญ ก็เพราะเราเคยมีปณิธานความมุ่งมั่นมา ฉะนั้นไม่ว่ามาเกิดชาติไหนหัวใจแห่งการที่จะทำบุญเสียสละก็ยังมีอยู่ แต่ทำไมทำไปทำมาเรากลับทำเพราะเราอยากมีชื่อ ไม่ได้ทำเพราะใจอยากจะให้ สงสารและเมตตา จริงหรือไม่
(นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับศิษย์พี่)
ยินดีต้อนรับจริงหรือ คำพูดถ้าไร้ความจริงใจ ไม่ได้กลั่นออกมาจากความรู้สึก คำพูดนั้นก็ดูว่างเปล่าจนน่าใจหาย เหมือนถามว่าต้อนรับไหม ต้อนรับ ดูมันว่างเปล่าไร้ความรู้สึก เคยไหมได้รับคำชม แต่คำชมนั้นถ้าฟังแล้วลึก ๆ มันไม่มีความจริงเลย คำพูดนั้นฟังแล้วก็ว่างเปล่าจนเราใจหายและสะท้อนใจอย่างไรไม่รู้ จริงไหม เคยได้รับคำชมที่หาความจริงไม่เจอบ้างไหม สมมติว่าตอนนี้หน้าเราโทรมเต็มที่แล้วแต่เวลาคนอื่นเจอบอกว่าหน้าสวย ดูสดชื่น ฟังแล้วมันดูว่างเปล่าทั้งที่มันเป็นคำพูดที่ดูแล้วน่าจะมีน้ำหนัก น่าจะมีความรู้สึกแต่กลับกลายเป็นว่างเปล่า เพราะหาความจริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่คำพูดกลายเป็นว่างเปล่าหาความจริงใจไม่เจอ  เพราะคนสมัยนี้บางทีปากอย่างแต่ใจอย่าง ถ้าพูดแล้วใจไม่รู้สึกอย่างนั้นอย่าพูดดีกว่า เพราะพูดออกไปแล้วสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนที่รู้สึกอย่างไรกับเขา
อย่างนั้นถามใหม่นะ  ต้อนรับเราไหม (ต้อนรับ)  ว่าแล้วรอบสองต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีความจริงใจก็ต้องเติมให้เต็มที่จริงหรือเปล่า  เพราะอย่างนั้นท่านก็ต้องทนหน่อยล่ะ เพราะอยู่ในโลกนี้ไม่มีใครสมหวังได้ตลอด แม้เกลียดอย่างไรบางครั้งก็ต้องทนรับให้ได้ แม้ไม่ชอบอย่างไรก็ต้องทนฟังให้ได้ ต้องทนฟังให้จบ เพราะโลกเป็นเช่นนี้ไม่มีใครได้อะไรสมบูรณ์หรอก และไม่มีสิ่งใดในโลกทำให้ท่านสมหวังไปทุกวัน ใช่หรือไม่  ฉะนั้นวันนี้เจอเรื่องไม่สมหวังบ้างเอาไหม (ไม่เอา) แล้วเรื่องที่เรามานั้นท่านสมหวังหรือไม่ (สมหวัง)  ใช่หรือ
การอยู่บนโลกต้องมีสติเท่าทัน เพราะเมื่อใดที่เราขาดสติแล้วดำเนินชีวิตอย่างประมาท เรื่องดี ๆ ก็อาจกลายเป็นเรื่องแย่ ๆ
(ศิษย์พี่เมตตาให้เล่นเกมต่อยซ้าย ต่อยขวา ตรงกลาง)
“ไม่มีไม่อันตรายแต่ใจทุกข์เข็ญ วัตถุเป็นของแน่ไหนใครครองได้”
อยู่ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัย เพราะหัวใจที่อยากมากเกินไป แล้วควบคุมไม่ได้นั่นแหละที่ทำให้ที่ที่ปลอดภัยกลายเป็นที่ที่อันตรายที่สุด
(ศิษย์พี่เมตตาให้เล่นเกมฝึกสติ)
ฝึกสตินะ ห้ามพูด ฝึกสติตัวเอง เรียกตนเองในใจ เพราะถึงเวลาไม่มีใครมาเรียกท่านแล้ว ท่านต้องเรียกตัวเอง ไม่มีใครช่วยเราได้ตลอด ให้คนอื่นมาเติมชีวิตให้สมบูรณ์ เขาก็เติมได้ไม่เต็มหรอก ถ้าตัวเราไม่รู้จักพอ
เรามีชีวิตเพื่อหาความสมบูรณ์ หาสิ่งเติมเต็มให้กับชีวิต แต่พอยิ่งวิ่งยิ่งหาเราได้ความสมบูรณ์ ได้สิ่งเติมเต็มไหม (ไม่ได้)  สิ่งที่ได้กลับมากลับกลายเป็นสิ่งที่เว้าแหว่งและยิ่งบกพร่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เฝ้าหาสิ่งที่สมบูรณ์สิ่งที่เติมเต็มให้กับชีวิต แต่ถึงที่สุดกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์และสิ่งที่แย่ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดวันหนึ่งสิ่งที่เราหาไม่เป็นดั่งที่เราหวัง กลายเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบมากๆ กลายเป็นสิ่งที่เราเกลียดขึ้นมา เราจะทนรับและอยู่กับสิ่งนั้นได้ไหวไหม
เรายกตัวอย่างนิทานง่ายๆ มีหญิงคนหนึ่งเวลาไปไหนจะต้องถือดอกไม้ตลอดเวลาเหมือนคนที่ชอบดอกไม้มาก และมีชายอีกคนหนึ่งเวลาจะออกไปไหนส่วนใหญ่จะขี่ม้า สองคนนี้ต่างเดียวดายเคว้งคว้างมานาน จึงหาแม่สื่อช่วยหาคู่ให้ แม่สื่อก็เลยบอกไม่ยาก ให้เธอถือดอกไม้ไว้ แล้วเดี๋ยวจะมีชายคนหนึ่งผ่านมาให้เธอเห็นเอง ปรากฏว่าชายคนนั้นก็คือชายคนที่ขี่ม้านั่นแหละ ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกชอบกัน จึงตกลงแต่งงานกัน แต่หลังจากแต่งงานแล้ว ความจริงก็ปรากฏ หญิงที่ถือดอกไม้ดันจมูกแหว่ง ชายที่ขี่ม้าดันขาเป๋ ฝ่ายหญิงเลยหันกลับไปว่าแม่สื่อว่าทำไมเอาคนขาเป๋มาให้ฉัน ส่วนชายขาเป๋ก็บอกว่าทำไมเอาหญิงจมูกแหว่งมาให้ จบเรื่องหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของนกเค้าแมว ท่านว่านกเค้าแมวนี้น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  เวลาร้องก็น่ากลัว รูปร่างก็น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันหนึ่งนกเค้าแมวบินมาเกาะกิ่งไม้ที่มีนกเขาอยู่ นกเขาก็ถามว่า ท่านจะรีบไปไหน นกเค้าแมวก็บอกว่าต้องรีบไปเพราะคนที่นี่ไม่ชอบฉัน หน้าฉันก็น่าเกลียด เสียงฉันก็น่ากลัว ไม่เหมือนท่านหรอก หน้าก็ไม่น่าเกลียด เสียงก็เพราะ เวลาร้องคนก็ชอบ แต่นกเขาบอกว่า ท่านไม่ต้องหนีไปไหนหรอก ท่านหนีไปที่ไหนใครๆ ก็ยังเกลียด ใครๆ ก็ยังกลัว ไม่ต้องหนีหรอก อยู่ไปเถอะแล้วยอมรับความจริงให้ได้
ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ เมื่อเราเห็นความเป็นจริงของคน เมื่อเราเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ทำไมเราบอกว่าเรารับไม่ได้ เหมือนเราเห็นโลกรับรู้ข่าวมากๆ เปิดมาฆ่ากัน เปิดมาแทงกัน เปิดมายิงกัน เปิดมาเถียงกัน ทำไมมีแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย โลกใบนี้มีแต่เรื่องที่เลวร้ายไม่มีเรื่องดีเลย แต่เราอยากจะบอกว่า เมื่อเราอยู่ในโลกเห็นความจริงก็อย่าลืมเห็นสิ่งที่ควรจะเป็นไปด้วย ไม่ใช่เห็นความจริงแล้วยอมแพ้ หนีไปทุกๆ ที่ ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเพราะคิดว่าตัวเองไม่มีดี หรือไม่ศรัทธา ไม่เชื่อมั่นในผู้คนเพราะทุกคนหาดีไม่เจอ แล้วก็เลยหนีไปอยู่ในที่ที่เรารู้สึกว่าเราจะปลอดภัย นี่คือคนที่เห็นความจริงแต่ไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเป็นไป
อย่าลืมนะว่ามนุษย์ไล่นกเค้าแมว แต่นกเค้าแมวมีคุณประโยชน์คือช่วยจับหนู ไล่นกเค้าแมวหนูก็จะอาละวาด ถูกหรือไม่ (ถูก)  คนในโลกก็เฉกเช่นเดียวกัน คุณว่าเขาไม่ดีคุณดีหรือยัง คุณเห็นเขาแย่ขนาดไหนแล้วคุณไม่คิดหรือว่าเขาจะไม่เห็นว่าคุณแย่ขนาดไหน ฉะนั้นเมื่อเราเห็นความเป็นจริงของคน เห็นว่าเขาไม่ดีอย่างนั้น เห็นเขาไม่ดีอย่างนี้ ก็เหมือนหญิงที่จมูกแหว่งเห็นชายขาเป๋ บอกว่าไม่เอาหรอก หน้าตาก็ดีแต่ขาเป๋ ลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองก็จมูกแหว่ง เวลาที่เราชี้หน้าว่าคนอื่น นี่ไม่ดี นั่นก็ไม่ดี โน่นก็ไม่ดี หันกลับมามองตัวเองหรือยังว่าอีกสามนิ้วมันชี้ว่าตัวเองก็ไม่ดีเหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นเมื่อเรามองโลกเรามองเห็นความจริง อย่าลืมความจริงอีกอย่างหนึ่งคือ ความจริงที่เราต้องเป็นและต้องไป เราเป็นอะไรอยู่ล่ะ เราเห็นความจริงอย่างนี้เราจะเป็นให้ดีกว่าเดิมได้ไหม ต้องเป็นให้ได้ ฉะนั้นถึงเราจะเห็นว่ามีคนที่เขาไม่ดี แต่อย่าลืมว่าในโลกนี้มีภูเขาก็มีที่ราบเรียบ มีที่ราบเรียบก็ต้องมีที่ขรุขระ มีน้ำสะอาดก็ต้องมีน้ำขุ่น มีคนดีที่ไหนก็ย่อมมีคนเลวที่นั่น และอย่าลืมนะว่ายิ่งคนเลวเลวมากเท่าไหร่เหมือนคนดำที่ยิ่งดำมากเท่าไหร่ก็เหมือนเรายิ่งขาวเปล่งปลั่งมากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นอย่าไปเกลียดคนเลว หน้าที่ของเราคืออะไร คืออย่าเผลอปกปิดคนดี และอย่าเผลอผลักไล่ให้คนกลายเป็นคนเลวร้าย รู้ไหมว่าการดำเนินชีวิตของเราเพียงทำผิดพลาดอย่างเดียว เราก็คือคนที่ปกปิดคนดีให้ตายทั้งเป็น และเราก็สามารถทำให้คนที่ไม่คิดจะร้ายแต่เผลอร้าย กลายเป็นร้ายแล้วกลับมาดีไม่ได้ เพียงเพราะความปากหนักของเรา ชมคนไม่เป็น เมื่อไหร่ที่เราเห็นคนทำดีแล้วเราไม่ชมคนดี นั่นคือเรากำลังปกปิดนักปราชญ์ เมื่อไหร่เห็นคนทำดีแล้วเราไม่ช่วยชม ไม่ช่วยส่งเสริม ไม่ช่วยผลักดัน นั่นแหละท่านกำลังทำร้ายคนดี ทำให้คนดีไม่มีกำลังใจ
อีกอย่างที่มนุษย์ชอบเป็นและผลักให้คนที่อยากจะดีแต่ดีไม่ได้ก็เพราะปากที่ชอบนินทา เวลาเห็นคนร้าย เห็นคนไม่ดีก็ว่า เชื่อไหมว่ายิ่งว่าเขา เขายิ่งร้าย ยิ่งแอบด่ายิ่งแอบประจานยิ่งแอบนินทาก็ยิ่งเท่ากับผลักดันให้เขาขึ้นเวทีให้ร้ายจนถึงที่สุด สมมติถ้าวันนี้ท่านพูดผิดไปแค่คำเดียวแล้วเขาจำได้ แล้วเขาเอาไปประกาศให้ทั่ว ต่อไปท่านจะพูดถูกอีกกี่ครั้งคนก็จะมองว่าเราเคยปากเสียมาก่อน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถามตัวท่านเองนะว่า คนปัจจุบันนี้ที่กลายเป็นคนไม่ดี หรือคนปัจจุบันนี้ที่ทำดีไม่ขึ้น เป็นเพราะเราทำใช่ไหม เวลาเราไม่ชมคน ไม่เคยชมเขาดี แต่คอยติ คอยบ่นว่า เขาจะรู้ไหมว่าดี ไม่เคยให้กำลังใจมีแต่ว่าทุกๆ วัน ต้องหันมามองฝ่ายหญิงเยอะๆ เพราะฝ่ายหญิงปากไวใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นการที่เราอยู่ร่วมกันเราจึงต้องระมัดระวังคำพูด ถ้าสิ่งใดเป็นสิ่งดีจงพูดออกไป แต่ถ้าสิ่งใดไม่ดีจงอย่าพูดออกจากปากเรา การเอาแต่จับผิดผู้อื่นแล้วเอาแต่คอยจดจำสิ่งที่ไม่ดีของเขาไว้ในใจอย่างไม่ลืมเลือนก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ส่วนคนที่ทำผิดแต่ยังไม่คิดแก้ไขก็ไม่สมควรเช่นกัน
วิสัยของนักปราชญ์หรือผู้มีธรรมก็คือผิดแล้วรีบแก้ไข เห็นเขาทำผิด ต้องเมตตาให้อภัย ไม่ถือโกรธ ไม่เอามาผูกแค้น และไม่เอามาฝังใจ นี่คือวิสัยของผู้มีธรรมโดยแท้จริง ทำได้ไหม (ได้)  ยากไหม (ไม่ยาก)  
ฉะนั้นคนมีธรรมก็คือคนที่แม้จะเห็นผู้อื่นผิดในใจก็รู้สึกให้อภัย ไม่โกรธ ไม่ใช่คอยแต่เก็บฝังใจจำ คอยพูดแต่สิ่งดีๆ  ของเขาดีกว่า เพราะเราพูดสิ่งที่ดีก็ทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำดีต่อไปเรื่อยๆ
แต่ในอีกทางหนึ่งปราชญ์ก็สอนไว้ว่า เกิดเป็นคนถ้าเป็นผู้นำแต่ไร้ผู้น้อยทัดทาน ผู้นำคนนั้นจะไม่มีวันพบความสำเร็จ ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ถ้าไร้ลูกกล้าทัดทาน ครอบครัวนั้นย่อมง่ายที่จะเกิดปัญหา ผู้เป็นพี่และเป็นน้อง ถ้าน้องไม่กล้าทัดทานพี่ก็ง่ายที่ครอบครัวจะมีความวุ่นวาย เมื่อเราอยู่ในสังคมถ้าเรามีเพื่อนแต่เพื่อนไม่เคยทัดทานเราในสิ่งที่ไม่ควรทำ เงียบปิดปากไม่กล้าพูด เราก็ง่ายที่จะทำผิด เพราะว่าสิ่งที่ผู้น้อยมี ผู้นำมักจะไม่มี สิ่งที่ลูกมี พ่อแม่มักจะไม่มี
ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนเวลาเราเห็นพ่อแม่เราขี้โมโหมากเท่าไหร่เราจะรู้สึกว่าเราห้ามโมโห ห้ามใจร้อน เพราะรู้สึกว่าโมโหแบบพ่อแม่นั้นไม่น่ารักเลย ฉะนั้นผู้เป็นลูกก็จะมีในสิ่งที่พ่อแม่ไม่มี ผู้น้อยจะมีในสิ่งที่ผู้นำไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าผู้น้อย ลูก และลูกน้องนั้นจะทัดทานและทำให้คนข้างหน้าฟังได้ก็ต่อเมื่อผู้น้อย ลูก และลูกน้องนั้น ต้องเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตได้อย่างดีและถูกต้อง เมื่ออ้าปากพูดทัดทานเตือนใคร หรือเตือนคนที่ใหญ่กว่าเขาก็จะรับฟัง ดั่งคำกล่าวว่า เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ดีการที่จะให้เขาเป็นผู้นำที่ดีก็ไม่ยาก แต่ถ้าเกิดเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่ดีแล้วจะไปเป็นผู้นำใครให้ดีนั้นก็เป็นเรื่องยาก ฟังแล้วพอเข้าใจบ้างไหม (เข้าใจ) อย่างนั้นแปลว่าเราเตือนคนได้แต่ว่าคนไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“เมื่อมีมาแล้วก็ต้องมีไป ตั้งใจหนักไม่เบาใจบำเพ็ญก่อน
ชีพใดหรือเป็นอยู่อย่างลุ่มดอน อย่าอาวรณ์สิ่งใดติดปล่อยวางเอา”
เมื่อเรามีชีวิตต้องรู้จักนำพาชีวิตตนเองให้ดี เพราะถ้านำพาชีวิตตนเองผิดพลาดแล้วก็ง่ายที่จะเจออันตรายและความยากลำบาก โดยเฉพาะอาวุโสแล้ว ถ้าทำอะไรแล้วใช้อารมณ์เป็นใหญ่ มุทะลุเป็นหลักก็คงง่ายที่จะเจอปัญหา ง่ายที่จะเจอความลำบากในชีวิต ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ฟังธรรมะ มีธรรมะประจำใจไม่มากก็น้อย ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ ได้ไหม (ได้)  ถามว่าระหว่างนกใหญ่กับนกเล็ก ท่านว่าจับนกประเภทไหนได้ง่ายกว่ากัน นกตัวเล็กจะจับง่ายกว่านกใหญ่ เพราะนกตัวใหญ่ที่อยู่รอดมาได้ก็เพราะว่ารู้จักสำรวมระมัดระวัง สุขุมและรอบคอบ แต่นกตัวเล็กจะชอบมีนิสัยมุทะลุ เอาแต่ได้และก็โลภ อยากรู้อยากเห็น ฉะนั้นเราอยู่ในสังคมถ้าเมื่อไหร่นกเล็กตามนกใหญ่ก็ปลอดภัย แต่ถ้าเมื่อไหร่เราอยู่ในสังคมนกใหญ่ตามนกเล็ก สังคมนั้นก็อยู่ไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เด็กรุ่นใหม่มักจะใจร้อนมุทะลุ อยากรู้อยากเห็น ถ้าไม่ฟังผู้ใหญ่เลยก็มักจะอันตราย ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อใดเราดำรงชีวิตอยู่บนโลก อย่าปล่อยให้ความอยากได้ อยากรู้อยากเห็นนำพาชีวิตจนเกินไป ไม่อย่างนั้นชีวิตจะเกิดอันตราย
อย่างนั้นถามท่านหน่อยว่า อะไรคือสิ่งดีๆ ที่มนุษย์ควรปฏิบัติต่อกัน
(การเอื้ออาทรต่อกัน, คำพูดและการกระทำ)  มนุษย์เราบอกว่าต้องพูดดี แต่พูดดีพูดอย่างไร พูดเป็นไหม (พูดเพราะพูดในทางสร้างสรรค์)  
(เมตตา)  ทำอย่างไรให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข (มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี , มีน้ำใจต่อกัน, ให้อภัยต่อกัน)  ไม่ถือโกรธ แม้เขาจะพูดไม่เข้าหูก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)  
(ให้ความรัก) แต่รักนั้นต้องไม่หวังผลตอบแทน ถ้ารักแล้วให้โดยไม่หวังผล รักนั้นจะไม่เป็นทุกข์
(เจอหน้าก็สวัสดีต่อกัน, ให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, เดินทางสายกลาง ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน)  ให้เกียรติซึ่งกันและกันนะ
(เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมด้วยการบริจาคทาน)  ทานที่สุดยอดและยิ่งใหญ่คือการให้อภัย หรือให้ธรรมะเป็นทานใช่ไหม (ใช่)  
(ให้ความรู้, ความปรารถนาดี)  แต่ถ้าปรารถนาดีแล้วเก็บไว้ในใจไม่เคยแสดงออกก็น่าเสียดายนะ เข้าใจไหม บางครั้งการแสดงออกดีกว่าการพูดเป็นร้อยเท่า ทำให้เขาเห็น
(ส่งยิ้ม)  ส่งยิ้มให้กันเป็นเรื่องง่ายให้ไม่มีวันหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านส่งยิ้มไปแล้วเขาส่งโป้งตอบ ท่านจะทนไหวไหม (ไหว)  ยังยิ้มออกได้ไหม (ได้)  แน่ใจนะ
(เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา)  วางใจได้เป็นกลางจริงๆ หรือ เมตตาได้จริงๆ หรือ แน่ใจไหม ระหว่างลูกกับคนนอกบ้านให้ใครมากกว่ากัน เมตตาที่แท้จริงไม่แบ่งว่าลูกเขาลูกเรานะ ใช่หรือไม่
มนุษย์รู้ทุกอย่างที่เรียกว่าดีแต่อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำ และอยู่ที่ว่าจะสามารถแบ่งได้ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม จริงหรือไม่ ท่านเรียกร้องความยุติธรรมในโลก แต่ตัวท่านยุติธรรมบ้างหรือยัง ท่านเรียกร้องคนอื่น แต่ตัวท่านดีแท้จริงโดยไม่หวังผลบ้างหรือไม่ ทำบุญทีไรต้องเขียนชื่อทุกที เคยไหมทำบุญแล้วไม่เขียนชื่อ เมื่อไหร่ที่มนุษย์รู้จักมีศีล เมื่อนั้นมนุษย์จะรู้จักมีธรรม ถ้าศีลยังรักษาไม่ได้แล้วจะมีธรรมได้อย่างไร ถูกไหม (ถูก)  ถ้าศีลยังรักษาไม่ครบ จะหาธรรมได้ที่ใด แล้วเรื่องง่ายๆ ที่มนุษย์ควรจะรักษาให้มากที่สุด นั่นก็คือการไม่มุสา แต่มนุษย์ก็มุสาได้ทุกวัน ถ้าชีวิตหาความสัตย์ซื่อในตัวเองไม่เจอ ธรรมก็ยากจะปรากฏ
วันนี้สิ่งที่เราพูดมาเป็นเรื่องที่ง่ายๆ เริ่มต้นง่ายๆ ก่อน อย่ามีชีวิตด้วยการจับผิดผู้อื่น อย่ามีชีวิตด้วยการหมั่นพูดแต่ความผิดของผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นความเป็นจริงก็อย่าลืมเห็นสิ่งที่ควรจะเป็นด้วย ถึงเราจะเห็นว่าเขาเป็นจริงอย่างนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องตอกย้ำจนไม่ให้อภัย การทำเช่นนั้นเรียกว่า “ผู้ไม่มีธรรม” ผู้มีธรรมคือให้อภัยในสิ่งที่ผิด เพียงเห็นเขาดีครั้งหนึ่ง ความดีครั้งหนึ่งก็สามารถล้มล้างความผิดเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ ครั้งได้ นี่แหละคือวิสัยของผู้มีธรรม เราเชื่อว่าในที่นี้เริ่มต้นบำเพ็ญธรรมด้วยการทำแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่พยายาม ใครมีดีจงพูดสิ่งที่ดี ใครมีเรื่องร้ายก็หยุดที่ปากเรา เราจะไม่พูด เพราะเมื่อไหร่ที่เราพูด เมื่อนั้นคือเรากำลังผลักดันให้เขายิ่งเลวลง แต่เมื่อไหร่ที่เราชมคนอื่นดีเมื่อนั้นคือเรากำลังให้กำลังใจ ส่งเสริมให้คนดีทำดียิ่งขึ้น เริ่มต้นแบบนี้ ไม่ยากถูกไหม (ถูก)
วันนี้เราก็คุยกับท่านแค่นี้ อย่าให้ชีวิตจะต้องเป็นในสิ่งที่เห็นตลอด มนุษย์สามารถเป็นได้มากกว่าที่เป็น และดีได้มากกว่าที่เห็น คนทุกคนในโลกก็เหมือนกัน ถึงเขาจะเลวร้าย ถึงเขาจะไม่ดี แต่ความเลวร้ายและความไม่ดีของเขาล้วนมีประโยชน์ ต้นไม้ในโลกไม่มีต้นไหนไม่เป็นยา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยากบอกเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า คนในโลกทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วไม่มีใครไม่มีคุณค่า อยู่ที่จะสร้างคุณค่าของชีวิตให้ตัวเองเป็นอย่างไร
เหมือนวันนี้ท่านนั่งฟัง ท่านสามารถฟังแล้วมีสุขได้ ท่านสามารถฟังแล้วเกิดความปิติอิ่มสุขได้ แต่ทำไมท่านทำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะความคิดที่ทำร้ายตัวเราเอง ไม่มีใครทำร้ายตัวท่านได้นอกจากความคิด เมื่อไหร่ที่คิดอย่างไร ตาก็จะเห็นอย่างนั้น หูก็จะได้ยินอย่างนั้น แล้วทำไมไม่พยายามคิดดีล่ะ ตาจะได้เห็นสิ่งที่ดี หูก็จะได้ฟังสิ่งที่เพราะ แต่ถ้าคิดนี่ก็ไม่เอา นั่นก็ไม่ดี สิ่งที่เห็นมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้นะว่าแอบทำอะไร เขาบอกว่าห้ามสูบบุหรี่ยังมีคนสูบบุหรี่จนได้ อายุยังน้อยอยู่ไม่น่าสูบนะ
วันนี้ก็คงผูกบุญสัมพันธ์แค่นี้ก่อน เกิดมาเพื่อปล่อยวางไม่ใช่เกิดมาเพื่อยึดมั่นถือมั่น จำไว้นะ เกิดมาเพื่อปล่อยไม่ใช่เพื่อยึด แม้แต่ลูกหลานถึงเวลาเขาก็มีหนทางของเขาเอง แม้แต่สังขารความเจ็บป่วย ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อย แม้ตัวเจ็บแต่ใจไม่เจ็บได้ อย่าทำให้ตัวเจ็บแล้วใจต้องเจ็บเลย ทรมานเปล่าๆ เอาชนะตัวเองให้ได้นะ ฟังธรรมะให้จบให้ครบสองวัน ขอเอาใจช่วยนะ เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร
วันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เวลาพรากทุกสิ่งไปจากชีวิต ไม่อาจพรากความคิดดีไปจากได้
เวลาพรากทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจพรากหัวใจมั่นในธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักเหนื่อยไหม
ต่างคนเรียนรู้เอาเองจนชิน  ชีวิตคนฟันฝ่าอาจิณ  ปราชญ์ชาวดินเกิดจากความจน  มีลมหายใจเยี่ยงต้นทุน มิเคยปริบ่น  ผองทุกข์ไม่เคยถูกปล้น  มากล้นขอยอมพ่ายเอง   
ต่างใช้ชีวิตกันไปวันวัน  ชีวิตคนเหมือนดั่งความฝัน  ถอนด้วยการทบทวนตรงเผง  จงไล่สายตาทั่วจิตใจ ไม่เอาแต่เกร็ง ผองทุกข์ไม่เคยฉุดเร่ง ท้อเองขึ้นมาที่ใจ
เป็นความเก่งนั้น แฝงความดื้อรั้น ประชันต่อกรกันไป ขอจงรู้ตัวอยู่จนทั่วในหัวใจ บำเพ็ญต้องเอาใจใส่  น้อมใจให้สูงปัญญา
* ต่างคนล้มไปลุกไป คนที่ได้คิดเร็วกว่าใคร  เหมือนคนฝันตื่นก่อนหนา เห็นชัดแล้วกลุ้ม  ต้องควบคุมทุกสิ่งเข้ามา อาจคิดได้กันบ้างว่า  ทุกสิ่งแท้จริงเหมือนกัน (ซ้ำ *)
ทำนองเพลง :  ความรักเหมือนยาขม
ชื่อเพลง :  ความเก่งนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
“เวลาพรากทุกสิ่งไปจากชีวิต ไม่อาจพรากความคิดดีไปจากได้
เวลาพรากทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจพรากหัวใจ_________
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นต่อบทกลอนพระโอวาท)ให้ศิษย์ช่วยเติมดีไหม เวลาทำให้เราได้พบกันแต่เวลาก็ทำให้เราได้พลัดพรากจากกัน เวลาทำให้เราได้มีชีวิตแต่เวลาก็ทำให้เราหมดชีวิตได้เหมือนกัน
เวลาทำให้เรามีความสุขแต่เวลาก็ทำให้เรามีความทุกข์ได้เหมือนกันใช่หรือไม่ ฉะนั้นจะทุกข์จะสุขอยู่ที่เวลาจริงหรือไม่ (ไม่จริง)  
(ไม่อาจพรากหัวใจไปจากธรรม, บำเพ็ญธรรม, ใจที่ใฝ่ธรรม, ใจที่ผูกพัน, ใฝ่หาธรรม, ใฝ่ความดี, ศึกษาธรรม, ไปจากกัน, จากความดี)  
หัวใจกับกายสักวันหนึ่งก็ต้องแยกออกจากกัน ไม่มีใครที่มีพบแล้วไม่พราก ไม่มีใครมีเจอแล้วไม่จาก ฉะนั้นสิ่งที่สามารถอยู่ค้ำฟ้าคือ จิตใจที่มุ่งมั่นตั้งใจ
มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอก หัวใจที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจของคนจะสามารถเอาชนะฟ้าได้ แต่หัวใจที่ไร้ความมุ่งมั่นตั้งใจของคนฟ้าย่อมเอาชนะได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนแม้ตัวจะสิ้นไปจากโลกนี้ แต่ทำไมหัวใจแห่งความดี หัวใจแห่งความมุ่งมั่นปฏิบัติดีนั้นยังคงสืบต่อไปเรื่อยๆ แปลว่าจิตใจสามารถยิ่งใหญ่อยู่เหนือกาลเวลาได้ เคยได้ยินไหมว่าเมื่ออยู่ที่ใดแล้วต้องให้เขารัก เมื่อจากก็ต้องให้เขาคิดถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่ทำเพื่ออยู่แล้วให้เขารัก จากไปให้เขาคิดถึง นั่นคืออะไร คือหน้าตาหล่อๆ หน้าตาสวยๆ อันนี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  มีคนสวยก็ต้องมีคนที่ สวยกว่า แต่หัวใจที่สามารถทำให้คนนั้นประทับใจไม่รู้ลืม ไม่ว่ากี่ปีกี่วันผ่านไป นั่นก็คือความดีในหัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นวันนี้เรามารื้อฟื้นความดีในหัวใจของเราดีไหม ว่าเรามีอะไรที่เรียกว่าดีและเรามุ่งมั่นจะไปให้ถึงแม้ตราบจนตัวตายเราก็จะมุ่งมั่นจนลมหายใจสุดท้าย เรามีอะไรที่เรียกว่าดีและเป็นความดีที่แท้ ดีที่ไม่มีวันตาย
วันนี้อยากคุยกันเรื่องอะไร ให้ศิษย์เป็นผู้กำหนดดีไหม (อยากคุยเรื่องธรรมะ)  อยากคุยเรื่องธรรมะ อยากศึกษาธรรมะให้เข้าใจ ฟังมาก็มาก รู้ก็เยอะแต่ถ้าเกิดสิ่งที่รู้ไม่เคยทบทวนอย่างจริงจังและลงมือปฏิบัติอย่างจริงใจ สิ่งที่รู้ก็เป็นได้แค่รู้อยู่วันยังค่ำ มนุษย์ทุกคนรู้ว่าความเก่งกล้าสามารถถ้ามีมากจนเหนือคุณธรรมใครจะพบจุดจบที่ดีก็เป็นเรื่องยาก แต่มนุษย์ในโลกนี้บอกว่าต้องเก่ง ต้องชนะ ต้องก้าวหน้า ห้ามถอยหลัง ต้องสำเร็จอย่าเป็นผู้แพ้ แต่หนทางที่เก่ง หนทางที่ก้าวหน้า หนทางที่ชนะกลับเต็มไปด้วยการเหยียบย่ำทำร้ายผู้อื่น กลับเต็มไปด้วยการคดโกงไม่ซื่อตรงในหัวใจ กลับเต็มไปด้วยจิตใจที่แห้งแล้งแห้งผาก ไม่เคยเห็นใจใคร อาจารย์คิดว่าความสามารถนั้นไม่มีประโยชน์ และจุดจบของคนมีความสามารถเหนือคุณธรรมก็ล้วนไม่ได้ดี และในที่นี้ทุกคนก็รู้เรื่องนี้ดี แต่เพราะอะไรหนอถึงเวลาเรากลับเลือกความเก่งมากกว่าเลือกคุณธรรม เรากลับเลือกเป็นผู้ชนะมากกว่าที่จะเป็นผู้แพ้ เรากลับเลือกเป็นผู้ก้าวหน้าสำเร็จมากกว่าที่จะเป็นผู้ที่รู้จักยอมถอยหลังและชื่นชมความสำเร็จของผู้อื่นบ้าง
สิ่งดีๆ อะไรล่ะที่อยู่ในหัวใจของทุก ๆ คนแล้วเราลืมไป มองข้ามไป เงินทองหายก็ตามหา แขนขาเจ็บปวดศิษย์ก็รักษา หน้าตาหม่นหมองศิษย์ก็พยายามรักษาให้ใสเด้ง แต่หัวใจที่เจ็บป่วย หัวใจที่หม่นหมอง ศิษย์เคยทำให้สะอาดใสกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมไหม แต่หัวใจอันดีงามหายไปศิษย์กลับไม่เคยคิดเรียกกลับคืนมา และหัวใจอันดีงามที่ทุกคนมีนั่นคือ ความเมตตา เมตตาคือศาลาอันร่มเย็นที่มีอยู่ในหัวใจของทุกคน แต่ถ้าเมื่อไรเราลืมก็จะไม่มี แต่เมื่อไรเราคิดให้มีอยู่บ่อย ๆ สิ่งนั้นก็จะมีอยู่ในตัวเราไม่ไปไหน หนทางในการดำเนินชีวิตคือความถูกต้องชอบธรรม หนทางดีงามเรากลับไม่เลือกเดิน เราชอบเดินหนทางที่ลัดเลาะคดเคี้ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทางถูกต้องเราไม่เลือก หัวใจอันดีงามเราไม่ตามหา นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย ร่างกายภายนอกรู้จักรักษา หน้าตาภายนอกรู้จักทำนุบำรุง แต่หัวใจภายในเรากลับลืมรักษาลืมบำรุงใช่หรือไม่ จิตใจดีๆ เรากลับไม่เรียกกลับคืนมา เรากลับทอดทิ้งไป
เห็นคนเจ็บเรารู้สึกสงสารไหม (สงสาร) เห็นคนทุกข์ยากเรารู้สึกอยากจะช่วยเหลือไหม (อยาก) แค่คิดใช่ไหม แต่ไม่เคยลงมือทำ ศิษย์เอยถ้าเมตตาแล้วคิดว่าสิ่งที่เมตตาบริสุทธิ์ยุติธรรมก็ทำไปเถอะ แม้ผลที่ได้ไปหรือคนที่เขารับไปจริงหรือหลอกลวงเราก็เอิบอิ่มใจที่ได้ทำ  ฉะนั้นอย่าไปคิดร้ายเลย ถ้าเริ่มต้นคิดดีก็จงทำดีให้ถึงที่สุด แม้คนที่รับนั้นเขาจะเลวร้ายอย่างไรแต่เราได้ทำเราก็อิ่มใจไม่ใช่หรือ และความอิ่มใจก็ไม่มีใครเอาของศิษย์ไปได้ และความอิ่มใจก็อยู่ได้ไม่ว่าภพไหนชาติไหนด้วย  ฉะนั้นเมื่อไรศิษย์รู้ว่าตัวเองมีความเมตตาสงสาร มีจิตใจที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จงคิดอยู่เสมอว่าความเมตตาที่ทำมีความยุติธรรมความบริสุทธิ์ไหม ถ้าเมตตาแล้วทำให้คนเสียนิสัย ถ้าเมตตาแล้วทำให้คนลำเอียง เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็ไม่ควรจะเมตตาอย่างนั้น ถ้าเมตตาแล้วศิษย์เห็นคนนั้นใหญ่กว่าเห็นคนนี้เล็กกว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง เมตตาที่แท้จริงต้องเห็นทุกคนเท่ากัน แบ่งอย่างเท่าเทียม ให้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในหัวใจลึกๆ ของเราเวลาจะทำบาปกลัวไหม (กลัว)  ทุกคนก็กลัวการทำบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครคิดว่าการทำบาปเป็นเรื่องง่ายยกมือขึ้น ไม่มีใครยก ก็แสดงว่าการทำบาปยังเป็นเรื่องยาก เมื่อไรที่คิดว่าการทำบาปยังเป็นเรื่องยากก็แปลว่า เรายังมีดีอยู่ เมื่อไรที่เรายังรู้สึกละอายเกรงกลัวต่อบาปแปลว่าจิตแห่งมโนธรรมสำนึกยังมีอยู่ในใจเรา เวลาทำเราก็ละอายแล้ว เผลอขโมยสตางค์ไปแค่หนึ่งบาทหรือสิบบาท ยังกล้าเงยหน้ามองใครไหม ตอนเด็ก ๆ ใครไม่เคยขโมยเงินบ้างยกมือขึ้น เคยกันมาหมดใช่ไหม แล้วลึก ๆ ถามว่าชอบไหม ทำแล้วสบายใจไหม (ไม่สบายใจ) นั่นแปลว่าลึก ๆ เราไม่มีใจที่อยากจะคิดร้าย เรามีใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีและละอายต่อบาป จริงหรือไม่
ใจลึกๆ ของศิษย์มีความแข็งขนาดไหนแต่ก็มีความอ่อนอยู่ ใช่หรือไม่ อยากให้ใครเคารพเราไหม (อยาก)  เราก็ต้องรู้จัก (เคารพเขา)  อยากให้ใครรักศิษย์ไหม ศิษย์ก็ต้องรู้จัก (รักเขา)  มนุษย์ทุกคนมีความอ่อนโยนอยู่ในใจ ถึงจะทำตัวแข็งแกร่งมากขนาดไหนแต่ลึกๆ ก็ยังอ่อนโยน ความอ่อนโยนและจิตใจที่รู้จักเคารพนบนอบผู้อื่นนั่นแหละเรียกว่า จริยธรรม  หรือจิตใจที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้อื่นนั่นแหละคือ จริยธรรม  มีอยู่ในตัวเราไหม (มี)  เราเห็นเด็กก็อยากให้เด็กอ่อนน้อมถ่อมตนกับเรา ตัวเราเป็นเด็กกว่าก็อยากรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนให้กับผู้ใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีตั้งสามอย่างแล้วจะบอกว่าเราไม่มีดีหรือ  ศิษย์ของอาจารย์มีดีแต่ไม่ค่อยคิดจะทำดีบ่อยนัก
อีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์มีและเป็นความดีที่อยู่ในตัวเรานั่นก็คือ ปัญญาที่รู้จักแยกแยะ ทุกคนชอบไหมพูดอะไรต้องมีเหตุมีผล (ชอบ)  ถ้าพูดอะไรไม่มีเหตุมีผลฟังไหม (ไม่ฟัง)  ปัญญาที่รู้จักแยกแยะเหตุแยกแยะผล แยกแยะว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล นั่นก็คือ ปัญญา  ชอบคนพูดตรงมาตรงไปไหม (ชอบ)  ชอบคนอ้อมค้อมไหม (ไม่ชอบ)  อย่ามาอ้อมค้อมอย่ามาปากหวานก้นเปรี้ยว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศีลห้าศิษย์มีกันทุกคน เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นเป็นคุณธรรมของศีลห้าทั้งนั้น
เมตตาก็คือไม่ฆ่าสัตว์ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในความเมตตาจะฆ่าสัตว์จะเบียดเบียนทำร้ายใครได้ลงไหม  จะเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้และใจจืดใจดำได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่าบอกว่าศีลห้าศิษย์ไม่มี มีได้ถ้าศิษย์รู้จักเจริญในธรรม ศีลก็จะมาเอง
อาจารย์บอกว่าแม้ชีวิตไม่ได้เกิดมาแล้วมีพร้อมในทุกสิ่ง แต่ถ้าเราไม่รู้จักยอมแพ้ ขยันทำมาหากิน ฟ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้ แม้ชีวิตเราต้องลำบากยากจน แต่ถ้าจิตใจเราไม่รู้จักยอมแพ้ พลิกผันความยากจนเป็นโอกาสอันดีงามให้เรียนรู้ชีวิตอย่างถ่องแท้ ฉะนั้นฟ้าจะทำอะไรจิตใจเราได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  มีก็แต่หัวใจที่ยังคิดไม่ได้อยู่วันยังค่ำ  แพ้อย่างไร ได้มาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น น่าเสียดายยิ่งนัก
ความสุขหาง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ทำไมหรือ ชีวิตนี้เป็นทุกข์มากใช่ไหม นั่งตรงนี้ทุกข์หรือสุข (สุข)  เห็นนั่งกันอย่างทรมานแล้วเมื่อยเหลือเกิน อาจารย์ก็บอกไปตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว แม้ฟ้าจะบีบคั้น แม้ฟ้าจะกดดันให้เราลำบากขนาดไหน แต่ใจเราคิดได้ฟ้าก็เล่นแร่แปรธาตุอะไรกับใจเราไม่ได้  ถ้าเรารู้จักที่จะพลิกผันโอกาสแม้ความทุกข์ก็อาจจะกลายเป็น (ความสุข)  แต่อยู่ที่ว่าเราจะเอาชนะได้ไหม มนุษย์ทุกคนมีความฝัน มีความมุ่งหวัง แล้วถ้าความฝันความมุ่งหวังที่เป็นความสุขของศิษย์มันไกลเหลือเกิน อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ต้องหวังไกลได้ไหมล่ะ ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน (ตัวเรา, อยู่ที่ใจ)  มนุษย์มักบอกว่าสุขทุกข์ฟ้ากำหนด จริงๆ แล้วใครกำหนด
โชคดีโชคร้ายฟ้ากำหนดชะตามา แต่จริงๆแล้วใครผู้เป็นเปลี่ยนแปลงชะตา (ตัวเราเอง)  ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าความเจริญหรือความเสื่อมถอย โชคดีหรือโชคร้าย สุขหรือทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ฟ้าแต่อยู่ที่หัวใจของตัวเราเอง แต่เราจะคิดได้อย่างไรล่ะ ไม่ยาก เมื่อฟ้าให้เรามายาวเราพอใจในความยาวนั้นไหม หรือถ้าฟ้าให้เรามาสั้นเราพอใจในความสั้นนั้นไหม  ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าศิษย์เกิดมาเป็นเป็ดศิษย์จะอิจฉานกกระยางไหม (อิจฉา)  ถ้าศิษย์เกิดเป็นนกกระยางศิษย์จะอิจฉาเป็ดไหม (ไม่อิจฉา)  ถ้าเรารู้สึกว่าไม่อิจฉาได้ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหา แต่มนุษย์ยากที่จะหาความสุขเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่ยินดีในสิ่งที่ตัวเองเป็น ได้มาอย่างหนึ่งก็บอกว่าต้องมากกว่าอีกอย่างหนึ่ง ความสุขจึงเป็นสิ่งที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเพราะศิษย์ไม่รู้จักพอ เหมือนดั่งที่เขาบอกว่าจงเลี้ยงนกให้เป็นนก อย่าเลี้ยงนกเพื่อตัวเอง ถ้าศิษย์อยากจะมีสิ่งนั้น จงมีสิ่งนั้นที่เป็นสิ่งนั้น อย่ามีสิ่งนั้นที่เป็นแบบของตัวเองเข้าใจไหม (เข้าใจ)
อาจารย์เคยบอกว่าคนทุกคนเกิดมาจากความไม่มี เพราะไม่มีจึงอยากมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความมี แต่ความมีมาจากความไร้ เมื่อไรที่เรายิ่งอยากได้เมื่อนั้นเราก็ยิ่งต้องรู้จักคำว่าลด เมื่อไรที่เรารู้จักลดเมื่อนั้นเราจะรู้จักคำว่าได้  เพราะมนุษย์ไม่พอใจในความธรรมดาเรียบง่าย ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แต่อาจารย์จะบอกว่าเกิดมาเป็นคนมีร่างกายสมบูรณ์นั่นคือความสุขที่เหลือแล้ว เกิดเป็นคนมีลมหายใจ ร่างกายสมบูรณ์ นั่นคือสุขที่ศิษย์ทุกคนต้องดีใจแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าศิษย์ควรดีใจ เพราะเราดีกว่าคนที่มีไม่ครบอีก แต่ศิษย์กลับมองว่าศิษย์ยังสู้คนนั้นไม่ได้ ศิษย์ไม่ได้เปรียบเทียบกับคนที่แย่กว่า แต่ศิษย์มักจะคอยเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนสูงกว่าเราก็เลยยังสุขตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอให้ชนะเขาก่อนจึงจะสุขได้ ถูกหรือไม่ แต่ถ้าในช่วงที่พยายามหาให้มากกว่าเขานั้น ได้หรือไม่ได้ ไม่เป็นไร ได้หรือไม่ได้เราไม่โกรธ เช่นนี้เราก็จะไม่เสียใจสองเท่า เพราะตรงนี้เราสุขแล้ว เราก็จะไม่เสียใจใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าตรงนี้ศิษย์ก็ไม่ชอบ ตรงนั้นศิษย์ก็ไปไม่ถึง เท่ากับศิษย์เสียใจสองเท่า
ฉะนั้นเมื่อใจเราอยากมีเพิ่ม ค่าเราก็ยิ่งลด แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้จักยอมลด ค่าที่เราคิดว่าไม่มีก็กลายเป็นเพิ่มขึ้น ฟังแล้วเข้าใจไหม อย่างนั้นยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์มักมีความสุขจากการได้ชื่นชม การได้ชนะ การได้เป็นที่หนึ่ง ถูกไหม ถ้าอาจารย์เขียนเลขหนึ่งถึงสิบ ศิษย์ชอบเลขอะไรมากกว่ากัน (เลขเก้า)  มีคนบอกว่าชอบเลขเก้าเพราะมองที่ความหมายใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ไม่มีหนึ่ง สอง สาม ศิษย์จะมีเลขเก้าไหม (ไม่มี)  บางคนชอบเลขหนึ่ง ชีวิตต้องเป็นหนึ่งตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าชีวิตนี้เป็นหนึ่งแต่ไม่เคยเป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ เอาไหม เข้าใจความหมายของอาจารย์ไหม ถึงจะเป็นที่หนึ่งแต่เป็นที่หนึ่งอยู่ครั้งเดียวแต่ไม่เคยเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม เอาไหมล่ะ (ไม่เอา)  อย่างนั้นศิษย์เป็นสิบเลยดีไหม ถ้าเราได้หนึ่งเราก็บอกว่าหนึ่งก็ดีแล้ว เพราะหนึ่งเป็นรากฐานของทุกสิ่ง แต่ศิษย์ก็บอกว่าหนึ่งยังไม่พอ หนึ่งต้องมีสอง เมื่อมีสองเมื่อไหร่เลขหนึ่งก็ดูน้อยทันที เมื่อมีสาม เลขหนึ่ง เลขสองก็ดู (น้อย) จนถึงเลขสิบ เลขหนึ่งดูไร้ค่าไปเลย จนกระทั่งเมื่อไรเราหยุดที่สิบ ศิษย์จะรู้สึกว่าเลขหนึ่งกลายเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะเป็นชิ้นแรกที่เก็บไว้นาน ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์จึงบอกว่าเมื่อไรที่เราหยุด เมื่อนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่ศิษย์มีจะเพิ่มค่า แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์คิดเพิ่ม เมื่อนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่ศิษย์มีกำลังจะลดค่า และคนที่ลดค่าตัวเองมากที่สุดก็คือ ใจของศิษย์ที่ไม่รู้พอ ยิ่งเพิ่มมากเท่าไหร่ ค่าของศิษย์ก็เล็กนิดเดียว แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์รู้จักลดศิษย์จะเห็นคุณค่าของตัวเอง  
อาจารย์เคยบอกว่ามนุษย์ใช้ชีวิตแค่เพียงครึ่งเดียว หรือเสี้ยวเดียว เราไม่เคยใช้ชีวิตได้เต็มที่ มนุษย์ใช้พลังของหัวใจแค่เสี้ยวเดียว แต่เราไม่เคยใช้เต็มหัวใจ เพราะตาออกมอง หูฟังออกไป ชีวิตนั่งสงบเฉยไม่เป็น ทั้งที่จริง ๆ แล้วสุขที่ดีที่สุด สุขที่ร่มเย็นที่สุดคือความสงบ แล้วคนจะรู้จักคำว่าสงบได้อย่างไรถ้าศิษย์ยังไม่รู้จักคำว่าพอ  แล้วศิษย์จะสุขได้อย่างไรถ้าศิษย์ยังพอไม่เป็น ไม่ใช่พอแล้วไม่ต้องทำอะไรนะ แต่พอมีการแสวงหาแม้จะหาได้หรือไม่ได้ก็รู้จักพอได้ ได้ไม่ได้ก็วางเป็น อย่าลืมว่าธรรมชาติของสรรพสิ่งนั้นแสวงหาไปถึงที่สุดใช่ว่าจะสมหวังทุกครั้ง บางครั้งคือความผิดหวัง  ฉะนั้นแสวงหาไปจนถึงที่สุด ทำจนถึงที่สุดแล้ว ศิษย์ต้องปล่อยศิษย์ต้องวาง ถ้าศิษย์ไม่ปล่อยศิษย์ไม่วาง คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็คือคนที่ทุกข์อยู่วันยังค่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนตอบคำถาม)
มนุษย์ทุกข์เพราะอะไรบ้าง ทุกข์เพราะ (อยากได้)  ทุกข์เพราะ  (ใจไม่สงบ)  แล้วทำอย่างไรให้ใจสงบ หยุดคิดฟุ้งซ่าน ใช่หรือไม่
(ทุกข์เพราะไม่ได้ดั่งใจ)  ทำใจรับกับทุกสภาพดีไหม เพราะไม่มีใครได้ดั่งใจแม้ตัวศิษย์เองยังไม่ได้ดั่งใจเลยใช่ไหม
(ทุกข์เพราะผิดหวัง)  อย่างนั้นไม่ต้องหวังใช่ไหมจะได้ไม่ต้องมีอะไรให้ผิดหวังอีก
(ทุกข์เพราะอยากมีอยู่ตลอด)  ทั้งที่จริงๆ ก็พอได้แล้วใช่ไหม น่าจะหันสู่ความสงบได้แล้วนะ
(ทุกข์เพราะผิดหวัง)  ในโลกนี้ไม่มีใครสมหวังหรอก สิ่งที่เรียกว่าสมหวัง แน่ใจหรือว่าสมหวัง สมหวังเพื่อผิดหวัง อย่างนั้นไม่มีอะไรให้หวังดีไหม ยากใช่หรือไม่
(ทุกข์เพราะรัก)  อย่างนั้นรักให้เป็นดีไหม จะได้ไม่ต้องทุกข์
ทุกข์เพราะ (พลัดพรากจากคนที่รัก, พยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้)  อย่างนั้นก็จงมีสุขในสิ่งที่ตัวเองมีดีกว่านะ
(ทุกข์เพราะความโลภ)  อย่างนั้นเราจะไม่โลภดีไหม แต่เป็นเรื่องยากใช่หรือไม่
(ทุกข์เพราะความไม่รู้จักพอ, มีโรคภัย)  ทุกข์เพราะมีโรคภัย มีร่างกายให้เจ็บป่วยดีกว่าไม่มีร่างกายให้เจ็บนะ หรือมีแล้วไม่เจ็บนั่นน่าเสียใจยิ่งกว่าอีก เพราะไร้ความรู้สึกไปแล้ว ฉะนั้นยังมีร่างกายให้เจ็บจงดีใจไว้ ดีกว่ามีแล้วไม่เจ็บเลย เพราะว่าเป็นอัมพาตใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่ามีร่างกายให้เจ็บป่วยก็ดีแล้ว
(ทุกข์เพราะไม่รู้จักปล่อยวาง)  ไม่รู้จักปล่อยวางเพราะไม่รู้จักพอ (เพราะมัวแต่จะคิดร้ายกับคนอื่น)  อย่างนั้นพยายามคิดดี คิดดีนำมาซึ่งสุข (ทุกข์เพราะไม่ยอมปล่อยวาง)  อย่างนั้นปล่อยดีไหม ถ้าปล่อยแล้วทำใจได้ไหม (ได้)  แน่ใจนะ
(ทุกข์ในสิ่งที่ไม่มี)  ทำไมไม่คิดในสิ่งที่มีล่ะ พอใจในสิ่งที่มีดีกว่านะ
(ทุกข์เพราะกลัวตาย)  ใครบ้างเกิดมาไม่ตาย ถ้าทำดีถึงที่สุดแล้วความตายก็คือการจบที่สวยงามนะ
(ทุกข์เพราะกลัวแอปเปิ้ลหมด)  ศิษย์คนนี้ตอบได้น่ารัก เขาบอกว่าทุกข์เพราะกลัวแอปเปิ้ลหมด อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ทั้งหลายที่ตอบอาจารย์สู้คนนี้ไม่ได้นะ เพราะความทุกข์ของเขานี้ พอเขาได้แอปเปิ้ล ความทุกข์เขาก็หมดทันที แต่สิ่งที่ศิษย์กำลังทุกข์อยู่แต่ละคนที่ตอบนั้นเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เราก็กลัวกันไปก่อนแล้ว ศิษย์กลัวร้อยวันศิษย์ไม่ทุกข์ร้อยวันหรือ  ฉะนั้นจงมีใจกล้าเผชิญความจริง โลกใบนี้มีสองภาวะที่ปรากฏ ภาวะความลวงหลอกกับภาวะความเป็นจริง
(ทุกข์เพราะคำพูด)  กลัวอะไรกับคำพูด หากเราหนักแน่นมั่นคง สิ่งที่พูดก็เป็นเพียงแค่ลมใช่ไหม (ใช่)  
ทุกข์เพราะ (ความจน ) ขยันจะกลัวทำไมความจน  ทุกข์เพราะ (ไว้ใจเชื่อใจ)  เรายังแอบมองคนอื่นแล้วคิดหรือว่าคนที่เรารักไม่แอบมองคนอื่น  ทุกข์เพราะ (สังขาร , อวิชชาความไม่รู้) อย่างนั้นพยายามศึกษาให้เยอะ ชีวิตนี้มีความรู้เยอะอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าเราจะคิดได้หรือไม่เท่านั้นเอง (มัวแต่คิดถึงแต่สิ่งที่พลัดพรากจากกันไป) ทำให้ปัจจุบันเต็มไปด้วยอดีต อย่างนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ชีวิตมีแต่ปัจจุบัน ถ้าวันนี้ดี อดีตก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียใจ อนาคตก็จะเป็นสิ่งที่เราภูมิใจใช่ไหม (กลัวในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น) อาจารย์ถามง่าย ๆ แต่ก่อนศิษย์ว่ายน้ำไม่เป็นกลัวไหม (กลัว) พอถูกจับโยนลงน้ำแล้วว่ายน้ำเป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นจะกลัวทำไม ใช่หรือเปล่า  
(ทุกข์เพราะไม่รู้ไม่เห็น) รู้เห็นทุกอย่างศิษย์แน่ใจหรือว่าจะไม่ทุกข์ อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ คนส่วนมากที่รู้เห็นทุกข์มากกว่า หรือว่าไม่รู้เห็นทุกข์มากกว่า (ที่รู้ที่เห็น) อาจารย์เห็นคนอยากรู้อยากเห็นส่วนใหญ่ทุกข์มากกว่านะ
เราจำเป็นต้องทุกข์ไหม (ไม่จำเป็น)  แล้วเราเอาชนะทุกข์ได้หรือยังล่ะ (ต้องปล่อยวาง)  และเราปล่อยวางได้หรือยัง อาจารย์อยากจะบอกว่า ศิษย์นั้นมีโอกาสสร้างสิ่งที่ดีและดีที่ยิ่งใหญ่กว่าใครได้ แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะสามารถปล่อยวางได้อย่างที่ศิษย์พูดไหม แล้วศิษย์จะเอาชนะทุกข์นั้นได้หรือเปล่า โอกาสยิ่งใหญ่อยู่ที่ตัวเรานะ  
(ทุกข์เพราะความคิดถึง) มีให้คิดถึงดีกว่าไม่มีอะไรให้คิดถึงเลยนะ ทุกข์เพราะ (ความผิดพลาด)  ถ้าเกิดไม่ทำเราจะรู้หรือว่าความผิดร้อยครั้งเป็นความสำเร็จหนึ่งครั้ง คนสมัยก่อนถ้าไม่ผิดพลาด เราจะมีความก้าวหน้าในปัจจุบันไหม ความผิดพลาดของเราคือความสำเร็จของอนาคต อย่ากลัวผิดพลาดเลย  ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องพบ ใครๆ ก็ต้องเจอ แล้วเราทำใจได้ไหมล่ะ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก บางทีพลาดสิ่งหนึ่งทำให้เราเห็นสิ่งนั้นมีคุณค่ามากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ทุกข์เพราะกลัวจะจนมากกว่านี้)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าถึงทรัพย์สินจะทำให้เราจนแต่ถ้าใจเราไม่จนศิษย์จะกลัวอะไร ถึงทรัพย์สินจะทำให้เราเสียสูญแต่ใจของเราอย่าได้สูญเสียตามไปด้วย
(ทุกข์เพราะการกระทำ)  รู้จักใจเย็นๆ อย่าใจร้อน อย่ามุทะลุ
(ที่ทุกคนทุกข์เพราะคิดไปเอง)  ท่านนี้เขาบอกว่านักเรียนในชั้นที่ทุกข์เพราะชอบคิดไปเอง คิดไปก่อนเองล่วงหน้า อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ศิษย์จะไม่ทุกข์เลย ศิษย์แน่ใจหรือว่าความทุกข์ที่ศิษย์กลัวศิษย์จะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงวันที่เรากลัว ฉะนั้นจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
(เพราะกลัวไปก่อนที่จะเกิดขึ้น)  เอาชนะใจตัวเองให้ได้สิ ที่น่ากลัวที่สุดคือหัวใจที่หยุดไม่ได้
(ทุกข์เพราะหาความสงบไม่เจอ)  ตอนนี้รู้หรือยังว่าจุดที่ควรจะสงบควรอยู่ตรงไหน ถ้าศิษย์พยายามที่จะหา พยายามเท่าไรก็หาไม่เจอ จะเจอก็ต่อเมื่อเราไม่ได้หานั่นแหละ เหมือนคนที่พยายามจะสงบแต่ทำอย่างไรก็ไม่สงบ จนกระทั่งลืมความสงบ นั่นแหละความสงบก็จะบังเกิด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ศิษย์บางคนในที่นี่เคยนั่งสมาธิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การมีสติเท่าทันตัวเองนั่นแหละคือสมาธิที่ดีที่สุด รู้ว่ามีสิ่งใดเข้า รู้ว่ามีสิ่งใดออก แม้สิ่งที่คิดนั้นจะไม่ดีก็ตาม แต่เรารู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้แสดงออกไปนั่นแหละเรียกว่าสมาธิแล้ว
(ทุกข์เพราะการพลัดพราก)  มันเป็นเรื่องที่ศิษย์ต้องเจอ หนีไม่พ้น แต่บางครั้งการพลัดพรากก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่มีควรจะถนอมคุณค่าให้ดีที่สุดก่อนที่จะพลัดพรากไป สิ่งที่ดีควรจะทำให้ดีที่สุดก่อนที่จะไม่มีเวลาให้ทำ  ฉะนั้นอย่าทำให้คนที่เคยพลัดพรากมาแล้วครั้งหนึ่งต้องเสียเหมือนอย่างที่เราเคยเสียมาก่อน รักษาสิ่งที่มี ให้มีคุณค่านะ
โชคดี โชคร้าย ทุกข์สุข แท้จริงไม่ได้แตกต่าง แต่เพราะจิตใจที่ยึดมั่นถือมั่น จิตใจที่เอาแต่แบ่งแยก และจิตใจที่ชอบการเปรียบเทียบ สุขกับทุกข์จึงแตกต่างกัน หรือพูดง่ายๆ ถ้าจิตใจของเราไม่มีรัก ไม่มีเกลียด โลกนี้อะไรเรียกว่าสุข อะไรเรียกว่าทุกข์ แต่เพราะเราเรียกสิ่งนี้ว่ารัก สิ่งที่ตรงข้ามกับรักก็กลายเป็นเกลียด เพราะศิษย์เรียกสิ่งนี้ว่าทุกข์ ทุกสิ่งที่ตรงข้ามกับทุกข์ก็คือสิ่งที่เรียกว่าสุข
ถ้าหัวใจเรามองเห็นทุกสิ่งเหมือนกัน ราบรื่นกับอุปสรรคเป็นสิ่งเดียวกัน ทุกข์สุขก็คงไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  คนสวยไม่สวยก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง ดีไม่ไม่ดีก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วเรากำลังเปรียบเทียบกับอะไร ถ้าชีวิตนี้เราไม่เปรียบเทียบ ถ้าชีวิตนี้เราไม่แบ่งแยก สุขกับทุกข์ก็คงไม่เกิด ถ้าศิษย์ไม่รู้จักรักผูกพันคนนี้มากกว่าคนทั่วไปเวลาพลัดพรากศิษย์จะเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  อาจารย์อยากบอกว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นมีมายาลวงหลอก  แต่แท้จริงมีความจริงอันไม่เปลี่ยนแปลง คือทุกคนเกิดมาต้องทุกข์ ต้องไร้ตัวตน ไตรลักษณ์จำได้ไหม อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา แล้วถึงที่สุดลงมาจากอะไร ลงมาจากความว่าง แล้วกำลังเดินกลับสู่ความว่าง
ภาษาอังกฤษศิษย์พูดว่า “all for one” [ทั้งหมดคือหนึ่ง]  แต่อาจารย์ก็บอกว่า “one  for all” [หนึ่งคือทั้งหมด] ได้เหมือนกัน เข้าใจความหมายไหม เพราะมีหนึ่งจึงเกิดสรรพสิ่ง แต่ทุกสรรพสิ่งก็ต้องกลับคืนสู่หนึ่ง และที่มาของหนึ่ง คือความว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์กำลังทุกข์กับอะไรอยู่ ทุกข์กับใจที่มันไม่มีอะไร ใจของศิษย์เป็นอย่างไรลองยกมาให้อาจารย์ดูได้ไหม เมื่อไรมีใจเมื่อนั้นก็มีที่ให้ทุกข์ เข้าใจความหมายของอาจารย์ให้ถูกนะ เราบำเพ็ญเพื่อเดินไปสู่การปล่อยวาง การไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่น มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย พอใจในสิ่งที่ธรรมดาสามัญ ถ้าศิษย์รู้จักพอใจในสิ่งที่ธรรมดาสามัญ ความสุขก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไขว่คว้า แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีกิเลส มนุษย์ทุกคนล้วนมีทิฐิ มนุษย์ทุกคนล้วนมีความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งทิฐิมากยิ่งยึดมั่นถือมั่นมาก เราก็ทุกข์มาก มีแต่จิตใจที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตจึงจะสามารถรับเรื่องราวบนโลกใบนี้ได้อย่างเป็นสุข แต่จิตใจที่คับแคบพอโดนอะไรนิดหน่อยเราก็เจ็บปวด ถูกไหม
ทำไมไม่เปิดใจให้กว้างๆ อาจารย์รู้ว่าการมายืมร่างเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ในโลกนี้ความถูกต้องก็ยังมีความไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่าในความไม่ถูกต้องมีความถูกต้องมากกว่าอาจารย์ก็ขอยืมความไม่ถูกต้องอันนี้มาให้เห็นความถูกต้องที่มากกว่า เหมือนในตัวศิษย์ทุกคนมีทั้งของจริงมีทั้งของเท็จ ศิษย์ยังเลือกที่จะใช้ของจริงมากกว่าของเท็จ เลือกใช้ของดีมากกว่าของไม่ดี อาจารย์ก็ขอยืมของที่ไม่ดีเพื่อมาประจักษ์ให้เห็นของดี ซึ่งมีอยู่ในตัวอาจารย์ในตัวศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น แต่คนที่จะเดินไปถึงทางสว่างใสนั้นคือตัวของศิษย์เอง คนที่จะประจักษ์แจ้งจริงถึงสิ่งที่อาจารย์พูดไม่ใช่ตัวอาจารย์ แต่คือตัวศิษย์เอง คนที่จะพบคุณค่าของตัวเองที่แท้จริงก็ไม่ใช่ตัวอาจารย์แต่เป็นตัวศิษย์เอง คุณค่าที่ดี คุณค่าที่ประเสริฐอยู่ที่จิตใจที่ใฝ่ดี มีสติรู้เท่าทันในสิ่งที่ตัวเองกระทำ มีชีวิตอยู่โดยไม่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ แต่ใช้ความถูกต้องและหัวใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้าทุกขณะศิษย์ทำอะไรคิดถึงหัวใจตัวเองและคิดถึงหัวใจผู้อื่น ศิษย์จะทำร้ายใครได้ลงไหม เห็นทุกข์ของตัวเองและเห็นทุกข์ของผู้อื่น ศิษย์จะเบียดเบียนคนอื่นได้ลงไหม แต่เพราะคนในโลกเห็นแต่ตัวเอง เอาแต่ได้จนกลายเป็นคนใจจืดใจดำ ขาดเมตตา ยากจนแล้วให้ไม่ได้หรือ ยิ่งยากจนแล้วเรายิ่งให้ได้นั่นแหละประเสริฐนัก ดีกว่าร่ำรวยแล้วให้แค่นิดหน่อย อาจารย์ก็ว่าสู้คนยากจนแต่รู้จักให้ไม่ได้หรอก ถูกไหม (ถูก)  ยิ่งเขามีน้อยแต่เขายังรู้จักให้ ยังดีกว่าคนที่มีเยอะแต่ให้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นให้อะไรไม่ประเสริฐเท่าให้ธรรม ธรรมที่ประเสริฐที่สุดก็คือการให้อภัย ให้อภัยตัวเองได้อย่าลืมให้อภัยผู้อื่นด้วย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทำบุญร้อยครั้งไม่สู้รักษาศีลหนึ่งครั้ง รักษาศีลเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ก็ไม่สู้รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตจนหาทางพ้นทุกข์ได้เจอ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ถือศีล ศิษย์มีธรรมเพื่ออะไร เพื่อจะรู้แจ้งเห็นจริงในความทุกข์ ความทุกข์ของใครล่ะ ความทุกข์ของตัวเราเองไม่ใช่หรือ ทุกข์ที่ใจไม่เคยพอสักที ทุกข์ที่ใจดีไม่เคยได้ อย่างนั้นเอาชนะตัวเองให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ชีวิตไม่แน่นอน”)
ศิษย์มีเวลาแค่ปัจจุบันนี้เท่านั้นนะ อย่ามัวทุกข์กับอนาคตเลย เรายังไม่รู้เลยว่าเราจะมีวันพรุ่งนี้ไหม ฉะนั้นจงมีสติอยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันความคิดของตัวเองและเอาชนะความคิดของตัวเองให้ได้
อันไม่มีเป็นของแน่มาแต่ไหน แต่ทำไมยิ่งมีได้ยิ่งห่วงหา
เหนื่อยไหมกับการแก่งแย่งแข่งขัน เพราะใจที่ไม่รู้จักพอ ไม่เหนื่อยหรือ อย่าลืมนะ ถ้าเวลาหมดแล้ว สิ่งที่ศิษย์หาก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่เอาไปได้คือจิตใจอันดีงามเท่านั้นเอง ถูกไหม (ถูก)  
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ นะ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ ไม่ต้องดีเพื่ออาจารย์แต่ดีเพื่อตัวเอง  รักษาโอกาสนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาเพิ่มเติม อย่าดูเบาตัวเอง ศิษย์สามารถทำได้มากกว่านี้ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่จะทำเท่านั้นเอง ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้วนะ ดูแลตัวเองให้ดี ขอให้มีความมั่นคงในการบำเพ็ญธรรม ศิษย์ดื้อทั้งหลาย ดื้อที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีก็ไม่ค่อยยอมทำใช่ไหม  ขอให้วันนี้อย่าเป็นวันสุดท้ายเลยนะ ขอเป็นวันที่ศิษย์พร้อมจะเริ่มต้นมุ่งมั่นตั้งใจกระทำสิ่งที่ดีงามและถูกต้องต่อๆ ไป ถ้าไม่เข้าใจกลับมาอีกก็ได้ กลับมาเถอะ ชีวิตนี้เรื่องดีๆ หาไม่ได้ง่าย ทำไมไม่ไขว่คว้า ทำไมไม่เร่งรีบทำ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ชีวิตไม่แน่นอน”
อันไม่มีเป็นของแน่มาแต่ไหน แต่ทำไมยิ่งมีได้ยิ่งห่วงหา
เก่งก็เหนื่อยทำจนวุ่นฝืนจนล้า ว่างก็ฟุ้งกลัวน้อยหน้าถ้าไม่มี
สิ่งใดหรือมีมาแล้วไม่หนักใจ สิ่งใดหรือเป็นอยู่ได้เนิ่นนานปี
ต้องแก่งแย่งแข่งขันทุกวันนี้ ลืมไหมนี่ว่าตัวเราไม่ถาวร


วันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒  ประชุมธรรมสถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทที่ผู้ปฏิบัติงานธรรมจัดทำผิดพลาด

ประชุมธรรม สถานธรรมฮุ่ยจื้อ กระสัง จ.บุรีรัมย์
วันที่ ๑๔-๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒

เพลงหน้าที่ ๑๖ บรรทัดสุดท้ายจากล่าง
จาก ถึงที่สุดแล้วเป็นไปอย่าไปท้อ
แก้เป็น ที่สุดแล้วเป็นไปอย่าไปท้อ

ประชุมธรรม สถานธรรมฉือฮุ่ย จันดี จ.นครศรีธรรมราช
วันที่ ๒๑-๒๒ มีนาคม ๒๕๕๒

หน้าที่ ๑ บรรทัดสุดท้าย และ พระโอวาทครอบ
จาก บำเพ็ญปรับดวงใจทนทุกข์เรื่องราว
แก้เป็น บำเพ็ญปรับดวงใจทนทุกเรื่องดี

เพลงหน้าที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๔ จากล่าง
จาก เหลือแต่คนอย่างเจ้านั้น
แก้เป็น เหลือคนอย่างเจ้านั้น

เพลงหน้าที่ ๑๘ บรรทัดสุดท้ายจากล่าง
จาก ปัญญาแผ้วไม่อยู่ทั่ว
แก้เป็น ปัญญาแผ่วไม่อยู่ทั่ว

ชื่อเพลง หน้า ๑๘ บรรทัดที่ ๒ จากล่าง
จาก ปล่อยไปวันวัน
แก้เป็น อย่าปล่อยไปวันวัน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา