วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

2552-03-14 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์



西元二○○九年歲次己丑 二月十八日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๔ มีนาคม  พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
คิดแต่ว่าวันนี้ควรทำอะไร ปล่อยชีวิตผ่านไปวันวันหนา
ตรองสักนิดว่าชีวิตที่แล้วมา ทำอะไรได้มากกว่าสิ่งที่เป็น
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง(小皮仙童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามทุกท่านหายง่วงไหม

กลางแดดจ้าต้องกรำแดดอาบเหงื่อสู้ ชีวิตอยู่ด้วยสองมือขยันขันแข็ง
เกิดมาพร้อมความลำบากเพื่อกล้าแกร่ง ไม่อ่อนแรงแม้ชีวิตพลิกผันไป
นั่นเป็นเพราะชาติก่อนขาดทำบุญ ไม่สงเคราะห์เกื้อหนุนเจือจานใคร
นับจากนี้หมั่นสร้างบุญต่อเนื่องไป ที่สำคัญทำไปด้วยเมตตา
ถึงมีน้อยแต่น้ำใจไม่หมดสิ้น โลกถวิลคนรู้ให้เสียสละหนา
สุขเพราะให้ไม่ใช่เรื่องคนรวยกว่า แต่เป็นเรื่องคนรู้ค่าอย่างเพียงพอ
ทุกข์เพราะเกิดทุกข์เพราะอยากทุกข์เพราะตน ยิ่งดิ้นรนยิ่งวนไม่สิ้นหนอ
เพราะอะไรหาสาเหตุดับต้นตอ สิ่งที่พอแก้ไขได้ให้รีบทำ
สุขทุกข์เพราะตนเองเป็นผู้สร้าง บุกเบิกทางหยุดโลภหลงเป็นประจำ
สิ่งที่แย่หาใช่แย่ยิ่งสู้นำ เพียรกระทำสิ่งดีไว้ด้วยบำเพ็ญ
ฮิ ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
เวลามานั่งที่นี่รู้สึกเวลาผ่านไปนานไหม (ไม่นาน)  รู้สึกไหมว่าแต่ก่อนเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก แต่พอมานั่งที่นี่ รู้สึกเวลาผ่านไปนาน แต่ก่อนชีวิตเราวันหนึ่งผ่านไปไวมาก แต่ทำไมพอมานั่งที่นี่เพิ่งจะผ่านไปครึ่งชั่วโมงเองใช่ไหม แต่ท่านรู้ไหมว่า สังสารวัฏหรือวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดไม่มีวันได้พบสัจธรรมนั้น ยาวนานยิ่งกว่า คนที่ไม่หลับนั้นราตรีของคนตอนไม่หลับนั้นยาวนานมาก คนที่เหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว แม้ทางหนึ่งโยชน์ก็รู้สึกว่าไกลมาก แต่คนที่เวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ไม่พบสัจธรรมยาวนานยิ่งกว่า
คนนอนไม่หลับนี่ยาวนาน คนที่เบื่อหนึ่งวันก็ยาวนานใช่หรือไม่ แต่คนที่เวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ไม่พบสัจธรรมอันแท้จริงนั้น ยาวนานยิ่งกว่าราตรีหนึ่งคืน วันหนึ่งวันถูกหรือไม่ วันหนึ่งสำหรับคนที่ฟังธรรมะไม่เข้าใจก็เป็นวันที่นานมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วัฏสงสารของมนุษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่แล้วยังไม่รู้จักทางหลุดพ้นนั้นยาวนานยิ่งกว่าอะไรๆ ในโลกนี้อีก รู้ไหม เราไม่รู้เลยใช่หรือไม่
และคำว่าวัฏสงสารมีเบื้องต้นแต่เบื้องปลายหาได้ยาก หรือแม้แต่เบื้องต้นเบื้องปลายยังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ใด เพราะมนุษย์ยังพึงพอใจในการเกิด จึงทำให้วัฏสงสารของการเกิดนั้นต้องมีไม่จบสิ้น หรือมนุษย์เมื่อใดที่ปรารถนาการเกิดอยู่ร่ำไป มนุษย์ก็ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ แล้วมนุษย์ในที่นี้ชอบใจในการเกิดไหม (ชอบใจ)  ถามว่ามนุษย์กลัวอะไรที่สุด (กลัวตาย)  ถามกี่คน ถามกี่จังหวัด ถามกี่ที่ ก็บอกว่ากลัวตาย แต่พระพุทธะบอกว่าพุทธะไม่กลัวตาย แต่พระพุทธะผู้ตื่นแล้ว พ้นแล้ว กลัวการเกิด เพราะการเกิดเป็นสาเหตุแห่งการ (แก่ เจ็บ ตาย)  พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และก็ไม่อยากอยู่กับสิ่งที่ไม่น่ารัก อยากอยู่ก็กลายเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป อยากเปลี่ยนแปลงก็กลายเป็นต้องทนอยู่ ฉะนั้นมนุษย์ควรเข้าใจสิ่งที่พุทธะบอกว่าดีแล้ว การตายบางทีอาจจะเป็นการจบทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายอีกก็ได้ การเกิดการตายเป็นสิ่งที่ต้องเวียนแล้วเวียนอีก ฉะนั้นขึ้นอยู่กับมนุษย์
คำว่าทุกข์หนีไปไหนไม่พ้น จนกว่ามนุษย์จะสลัดจากความพึงพอใจในสังขารนี้ พึงพอใจในโลกนี้ มนุษย์จึงจะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ แต่เมื่อใดที่มนุษย์ยังสละร่างกายนี้ไม่ได้ ยังอดพึงพอใจในหน้าหล่อๆ หน้าสวยๆ นี้อยู่ มนุษย์ก็จะมีความทุกข์เหมือนเกวียนที่ตามโคไป สิ่งที่เราพูดนี้ล้วนเป็นตามพุทธศาสนาที่ท่านนับถือทั้งนั้นเลยนะ แต่ท่านไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเราจะหาความสุขเพื่อดับทุกข์กี่ครั้งๆ ก็ตาม ตัวความสุขนั้นไม่สามารถทำให้เราดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ถึงเราจะหาความสุขมาชดเชยเพื่อให้เราหายจากทุกข์ แต่ความสุขนั้นก็ทำให้เรากลับต้องมีทุกข์เหมือนเดิม เพราะสุขนั้นตัดแค่ต้นแต่ยังไม่ถอนรากถอนโคนกิเลสตัณหาและอนุสัยยังนอนเนื่องอยู่ในหัวใจ ความปรารถนา ความหลง และความยึดมั่น ยังมีในหัวใจของเรา ถึงมนุษย์จะพ้นความทุกข์ไปชั่วคราวมีสุขได้ชั่วคราว แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาเจอทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ฉะนั้นเราจะเอาชนะความทุกข์ได้อย่างไร วันนี้ท่านมาศึกษาธรรม ไม่ใช่แค่ฟังธรรม เพื่อช่วยให้มีกิน รวย แต่วันนี้มาเพื่อช่วยเหลือจิตญาณของเราให้พ้นจากความทุกข์อันแท้จริง ไม่ใช่มาเพื่อให้ท่านมีเงินเยอะๆ หน้าตาสวยยิ่งขึ้น มีคนหลงเสน่ห์ อย่างนี้ไม่ต้องมาฟังนะ แต่ก็พอช่วยได้นะ ธรรมะสามารถทำให้เป็นที่รักของทุกคนได้เหมือนกัน และธรรมะสามารถทำให้เรารวยได้เหมือนกัน แต่รวยทางไหนล่ะ (รวยทางใจ)  ฉะนั้นวันนี้เรามาเปิดอีกมุมมองหนึ่ง ที่ท่านอาจจะลืมไปดีไหม เรารู้จักแต่ช่วยกายเนื้อ แต่เราไม่รู้จักช่วยใจ ช่วยจิตญาณ เราฟังธรรมะเพื่อความสุข แต่เราลืมไปว่า เราสามารถฟังธรรมะ เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์หรือหาหนทางดับทุกข์ได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ไม่ใช่แค่ตายอย่างเดียว แต่กลัวทุกข์ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราฟังธรรมะเพื่อพ้นทุกข์นะ ไม่ใช่พ้นทุกข์แค่มีกินไปวันๆ แต่พ้นทุกข์ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ก่อนเราคิดว่าเกิดมาเราก็กิน กินเสร็จแล้วเราก็นอน พอโตหน่อยเราก็รู้ว่า นอกจากกินกับนอนแล้วเราควรจะทำงานหาเลี้ยงตัว แล้วชีวิตนี้เราจะทำเพียงกิน นอน ทำงานหาเลี้ยงตัวเท่านี้หรือ เราควรทำอะไรได้มากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่มากกว่านี้ที่เราเคยรู้กัน เคยได้ยินกันนั่นก็คือ (การปฏิบัติธรรม, การศึกษาธรรม)  สิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะรู้นั่นก็คือ หนทางหลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่เราเรียกว่าพุทธะสำเร็จได้ในกายคน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระโพธิสัตว์กวนอิน ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละพระองค์ ล้วนเกิดกายมาเป็นมนุษย์ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหลุดพ้นแล้วท่านจึงโปรดทั่วทุกผู้คน ถูกหรือไม่ (ถูก)  คุณค่ากว่าสิ่งที่มนุษย์รู้และคุณค่ากว่าสิ่งที่มนุษย์ควรจะเป็น นั่นก็คือ การเป็นผู้หลุดพ้น แต่มนุษย์มักจะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม ถ้าตอบใช่ให้ยักไหล่สองข้างพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่ให้ยักไหล่ซ้ายขวา)  
มนุษย์นี่หนึ่งชั่วยามชอบคิดหลายๆ อย่างใช่ไหม (ใช่)  ชอบทำโน่นทำนี่ในเวลาเดียวกัน ทำพร้อมกันทีละหลายๆ อย่าง ทำได้ดีไหม (ไม่ดี)  และสำเร็จได้งดงามแต่ละอย่างไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรขอให้อยู่กับปัจจุบัน อย่าเป็นคนที่ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจคิดอนาคต ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจคิดถึงอดีต ทำให้ปัจจุบันเสียหาย ลองดูสิมนุษย์ผู้โลภทั้งหลาย อย่างเดียวไม่เคยพอเลยใช่ไหม (ใช่)  ทำอะไรต้องทำหลายๆ อย่าง
เคยไหมว่าอยากมากๆ แล้วมันไม่ลงจังหวะชีวิต แล้วยังดันทุรังอยากเข้าไปอีก ทำให้ชีวิตนั้นพิกลพิการ เคยไหม (เคย)  ความอยากที่มีมากเกินไปทำให้เราต้องเหนื่อยเพื่อจะให้ได้มา ทำให้ชีวิตต้องเหนื่อยมากกว่าปกติใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเหนื่อยมามากกว่าปกติ คนที่ทำร้ายตัวเราก็ไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นตัวเราเองที่อยากมากไปใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีเราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องอยากอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นถ้าจะอยากอะไรก็ต้องอยากทีละอย่าง ดีไหม (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลงต้อนรับ พร้อมเต้นท่าประกอบ)
หายง่วงแล้วนะ เราถามท่านต่อดีกว่า มนุษย์ชอบถามคำถามหนึ่งว่า “ถ้าเกิดเรามีข้าวกล่องหนึ่ง เราจะทำอย่างไรให้ข้าวกล่องนี้มีกินทุกคน” (แบ่งให้เพื่อนบ้าน)  มีใครตอบได้มากกว่านี้ไหม อันนี้เป็นคำตอบที่มนุษย์ตอบกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามีข้าวหม้อนึง จะทำอย่างไรให้เรามีกินไปตลอด มนุษย์ก็จะบอกให้รู้จักแบ่งให้คนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะบอกเคล็ดลับอะไรให้มีกิน ไม่ว่าจะชาติไหนก็ตาม อยากรู้ไหม ให้ทำยังไงใครรู้บ้าง (บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา)  เข้าใจตอบนะ ก่อนจะไปยาวขนาดนั้น เราเอาง่ายๆ ก่อน  (เอาไปแจกโรงทาน, ทำบุญทำกุศล)  เรากินด้วยแล้วก็แบ่งคนอื่นกินด้วย  นั่นก็คือรู้จักแบ่งปัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอท่านศึกษาท่านจะรู้ว่ายอดแห่งการให้คืออะไรรู้ไหม ให้ไปแล้วยังตั้งจิตปวารณา หรือตั้งปณิธานว่าไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนขอให้มีให้ทุกๆ ชาติไป ขอให้เป็นคนที่มีจิตใจเสียสละยินดีที่จะให้ทุกๆ ชาติไป นั่นแหละไม่ว่าจะเกิดชาติไหนๆ เขาก็มีใจที่อยากจะช่วยทุกๆ ชาติไป นั่นก็คือนอกจากทำแล้วใจยังตั้งมั่นเป็นปณิธานให้กับชีวิต ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ ด้วย รู้หรือไม่ (รู้)  รู้จริงๆ เหรอ ถ้ารู้จริงๆ ชาตินี้ท่านคงไม่ยากจนหรอกใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วท่านรู้ไหมว่านอกจากยอดแห่งการให้แล้ว ยังมีการให้ที่ประเสริฐ แต่ถ้าหากเผลอพลาดผิดเพียงก้าวเดียว จากคนที่มีให้ตลอดกลายเป็นคนที่ไม่เหลือให้ก็เป็นได้ เคยได้ยินไหม (เคย)  เพราะอะไร (ทำไม่ต่อเนื่อง ละเลย)  จึงทำให้ถึงแม้จะมีก็กลายเป็น (ไม่มี)  ไม่มีเหรอ เราจะลองภูมิทุกท่านดูนะ เพราะเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ก็น่าจะศึกษามาไม่มากก็น้อย และภูมินี้ก็เป็นภูมิพื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้ในเรื่องกฎแห่งกรรมใช่ไหม (ใช่)
เมื่อสักครู่เรารู้แล้วใช่ไหมว่าทำอย่างไรถึงเป็นยอดของผู้ให้ แต่ยอดของผู้ให้อาจจะหมดไปได้เพราะว่าการพลาดผิดเพียงก้าวเดียว นั่นคือ (หวังผล)  หวังผลก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ว่าขอให้รวยๆ  อย่างนี้อาจจะไม่ได้ แต่ยังมีอีก คืออะไร จากที่กลายจะเป็นคนมั่งมีกลับกลายเป็นคนยากไร้ อดอยากทันที (อย่าโลภมาก)  ก็มีส่วนถูก แต่ไม่ทั้งหมดนะ มันก็คือจิตใจที่เห็นเขาได้ดีแล้วทำไม (อิจฉา)  อิจฉาในบุคคลที่ไม่ควรอิจฉา เหมือนชายคนหนึ่งเขาเห็นคนทำบุญให้กับอีกคนหนึ่งมากกว่าแล้วคนนั้นเป็นพระอรหันต์ด้วย เขาก็เลยรู้สึกว่าอิจฉาก็เลยบอกว่า อ๋อพระองค์นี้ไม่ออกมาบิณฑบาตร ฝากเราไว้ก็ได้ เขาก็เก็บไว้พอถึงเวลาเขาไม่ได้เอาไปให้ เขาเอาไปเผาทิ้ง เพราะด้วยความอิจฉาแค่วูบเดียว ครั้งเดียวทำให้ไม่ว่าเกิดชาติไหนๆ เขาก็ต้องกลายเป็นคนอดอยากร่ำไป ทำให้ชาตินี้เกิดมาเป็นเปรต ฉะนั้นการอยู่บนโลกมนุษย์นี้นอกจากเราต้องรู้จักหมั่นทำความดีแล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องละเว้นการทำชั่ว นี่คือสิ่งพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนรู้อยู่ ทำดีละเว้นความชั่วและรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ แล้วรู้ไหมว่าทำอย่างไรล่ะเราจึงจะสามารถละเว้นความชั่วแล้วปฏิบัติทำดี ส่วนใหญ่ที่รู้กันก็คือให้มีศีลใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านเคยได้ยินไหมว่า ร้อยการทำทานไม่สู้เท่ากับการรักษาศีลหนึ่งครั้ง ร้อยการรักษาศีลหนึ่งครั้งไม่สู้เท่ากับรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต ฉะนั้นถึงจะขยันทำทานขนาดไหนแต่ว่าศีลยังรักษาไม่ครบ ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะทำให้เรากลับมาเกิดแต่ว่าไม่สามารถสมบูรณ์ได้ด้วยทรัพย์ ปัญญา หรือลูกหลานหรือครอบครัวได้ เพราะว่าเราไม่สามารถรักษาศีลครบ แล้วท่านรู้ไหมว่าทำอย่างไรให้เกิดมาเป็นคนอายุยืน ทำอะไรก็ทำมาค้าขึ้น ไม่ทำอะไรก็อับจนยากจน ทำอะไรเริ่มต้นก็ล้มละลายวิบัติ ใครรู้บ้าง (ขาดศีลทุกข้อ) ท่านนี้เข้าใจตอบนะ ตอบแบบเอาคำตอบเราไปแชร์ครึ่งหนึ่งแล้วตอบผสมตัวเองอีกครึ่งหนึ่งอย่างนี้ต้องเอามาหารสองนะใช่ไหม
ท่านเคยได้ยินไหมว่าคนคนหนึ่งมีความตั้งใจ มีความรู้ แต่ทำไมทั้งขยันทั้งมีความรู้แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ครอบครองนั่นก็คือ (ความโลภ) คนเหมือนๆ กันแต่ทำไมถึงเวลาไม่เหมือนกัน ลูกเหมือนกันแต่ทำไมได้ต่างกันอย่าลืมนะว่าชีวิตของทุกคนเกิดมาล้วนต้องมีความเกี่ยวเนื่องใช่หรือไม่ (ใช่)
รู้จักสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อไป ผลดีนั้นก็ไม่แปรเปลี่ยนสักวันย่อมตกผล มนุษย์ทุกคนเหมือนกันแต่ทำได้ไม่เหมือนกัน เพราะว่าถึงจะมีความรู้ ถึงจะมีความตั้งใจ ถึงจะมีความสามารถ แต่สิทธิที่จะได้ครอบครองและสิทธิที่จะได้เป็นสิ่งนั้น หรือได้สิ่งนั้นไม่เท่ากัน ลองให้ทำงานเหมือนๆ กันสิ เรียนมาเหมือนๆ กัน อาจารย์คนเดียวกัน แต่ทำไมคนบางคนเป็นหมอ คนบางคนกวาดถนน เกิดมาเหมือนกันไหม เหมือนกัน แต่อะไรทำให้ต่างกัน (กรรม)  กรรมคือการกระทำ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาติปัจจุบัน ฉะนั้นเราจะสามารถอยู่เหนือกรรม หรืออยู่ใต้กรรมขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นผู้กำหนด ฉะนั้นเราเป็นผู้กำหนด เราจะต้องรู้จักที่จะควบคุมชะตาชีวิตของตัวเราให้ดี ให้บริสุทธิ์ ให้งดงามทั้งกาย วาจา ใจ ทำไมคนบางคนทำดีเหมือนๆ กัน ใส่บาตรเหมือนๆ กัน แต่บางคนได้ผลไว แต่บางคนได้ผลช้า แถมโดนด่าอีก นั่นเป็นเพราะว่า (กรรม)
ถ้าพูดบอกว่าให้ทานร้อยครั้งไม่สู้รักษาศีลหนึ่งครั้ง นั่นหมายความว่าอย่างไร คนที่รู้จักรักษาศีลข้อหนึ่ง เอาง่ายๆ ไม่ฆ่าสัตว์ จะสามารถมีอายุได้ยืนยาว ไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บปวด หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำด้วยความปราณีต บริสุทธิ์และละเอียด ก็จะไม่เป็นโรคแอบแฝงและซ่อนเร้น เคยไหมดูร่างกายดี แต่ลึกๆ มีโรคอยู่ภายใน นั่นก็คือกายน่ะช่วยเขาแต่ในใจลึกๆ แล้วอิจฉาเขา  เราจึงชอบเป็นโรคแอบแฝงและซ่อนเร้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มองดูเธอก็แข็งแรงนี่ แต่จริงๆ มีโรคเยอะนะ  นั่นก็เพราะกายกระทำแต่หัวใจไม่บริสุทธิ์ อันนี้แค่เรื่องศีลข้อหนึ่งนะ
ส่วนศีลข้อสองที่มนุษย์ชอบก็คือ ภายในก็อยากช่วย แต่ถามจริงๆ เถอะว่ามีใครบ้างที่ไม่อยากได้เงินของผู้อื่นมาอยู่ในกระเป๋าตัวเอง  คนที่อยากรวยและสามารถทำอะไรก็รวยได้คือคนที่ไม่เคยคิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นทรัพย์ของตัวเอง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราไม่อยากเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นทรัพย์ของตัวเอง ไม่ว่าเกิดชาตินี้หรือชาติไหนทำอะไรก็ค้าขึ้น แต่มนุษย์เราบอกว่าเราทำงาน เราค้าขายแต่ค้าขายด้วยความซื่อตรงไหม ของดีๆ กับของไม่ดีเอามารวมกันแล้วขายให้เป็นราคาเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาค้าขายจึงโดนคนแอบลักคนแอบขโมย ทำงานกับใครก็เพื่อ คดในข้องอในกระดูก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต้องวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มองที่ตัวเรา แต่ไม่ใช่มองที่กายนะ ต้องมองทั้งกาย ใจ และความคิด ถูกหรือไม่
ถ้าอยากได้บ้านร่มเย็น ครอบครัวสมานฉันท์ เคยไหมเห็นใครหล่อจังเลย แฟนตัวเองก็มี แต่เขาหล่อกว่า  คนนู้นสวยกว่า แฟนตัวเองมีไหม มี  แต่มีกิ๊กไว้หน่อยก็ดี  นั่นแหละทำให้บ้านที่เราอยู่กัน เข้าไปถึงทำให้ร้อนเป็นไฟ เข้าไปก็ร้อนเป็นไฟ  เพราะจิตใจไม่บริสุทธิ์ เห็นของใครก็สวย แต่ของคนในบ้านไม่สวย เห็นคนนอกบ้านหล่อ แต่เห็นสามีในบ้านไม่หล่อ เราพูดในสิ่งที่ง่ายๆ มากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้สึกจะมีผู้ปฏิบัติงานธรรมเท่านั้นที่รู้ใช่ไหม นักเรียนลืมไปหมดแล้ว
แล้วทำอย่างไรล่ะ อยากเป็นคนที่พูดแล้วใครก็ฟัง พูดแล้วก็มีเสน่ห์ พูดออกมาเสียงก็น่ารัก น่าฟัง นั่นต้องเป็นคนไม่โกหกเลยตลอดชีวิต เสียงที่พูดไม่ว่าพูดกี่ครั้งคนก็อยากฟัง แต่มนุษย์เราโกหกวันหนึ่งกี่ครั้ง (จำไม่ได้)  พูดแล้วมีใครอยากฟังกี่คน (ไม่มี)  ถูกไหม (ถูก)  แล้วเสียงที่พูดออกมา พูดแล้วคนเป็นอย่างไร (ปิดหูไม่อยากฟัง)  จำไว้เลยนะ ถ้าเมื่อไรเราพูดแล้วปิดหูเดินหนีแปลว่าชาติก่อน โกหกเก่ง โกหกเป็นน้ำไหลไฟดับ ถูกไหม (ถูก)
ข้อสุดท้ายคือ (ไม่ดื่มของมึนเมา)  เคยไหมทำไมเป็นคนอ่านหนังสืออย่างไรมันก็ไม่เข้าสมอง เขาพูดไปหนึ่งจบสองจบ แล้วยังไม่เข้าใจ เพราะว่าอะไร เรากำลังพูดถึงศีลห้าข้ออยู่นะ ศีลข้อสุดท้ายคืออะไร (ไม่ดื่มของมึนเมา)  ไม่ดื่มสุรายาเมาเครื่องหมักดองทั้งหลาย จึงทำให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะเฉลียวฉลาด ใครพูดอะไร ใครฟังอะไรหรือเรียนรู้อะไรก็สามารถเรียนรู้ได้ฉับไวได้คล่องแคล่ว ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศีลห้าข้อทำได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  พูดจบทำไม่ได้ อย่างนั้นเจอหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าขอนะ ขอให้รวย ขอให้แข็งแรง ขอให้พูดเพราะ ขอให้มีครอบครัวเป็นสุข ไม่ได้หรอก ถ้าศีลห้ายังรับไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  พระพุทธองค์บอกไว้ว่า พึ่งผู้อื่นไม่เท่าพึ่งตนเอง ให้คนอื่นกระทำไม่สู้กระทำด้วยตัวเราเอง บุญใครคนนั้นก็เป็นคนรับ กรรมใดใครคนนั้นก็เป็นคนรับ ก่อเองก็ต้องรับเอง
อย่าเพิ่งรำคาญก่อนนะ แต่ว่าวันนี้เราฟังธรรมะ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ท่านปฏิบัติแล้วหวังผล เพราะการหวังผลถึงที่สุดแล้ว เมื่อเสวยผลบุญผลกรรมแล้วท่านก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก คนที่ทำบุญ ทำได้ดี ถึงเวลาก็มาเสวยผลบุญของตัวเองที่ทำ แต่ถ้าถึงเวลาเราไม่สามารถครองจิตครองใจได้ดี บุญนั้นตอนนี้เราได้ แต่ต่อไปที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าเราไม่ครองตัวเองให้ดี เราก็ง่ายที่จะพลิกชะตาเปลี่ยนชีวิตได้ ฉะนั้นสิ่งที่เหนือกว่าศีล เหนือกว่าการให้ทานคือการรู้แจ้งเห็นจริง การรู้แจ้งเห็นจริงสามารถทำให้มนุษย์นั้นตัดภพ ตัดชาติ ตัดกิเลส และพ้นทุกข์ได้ มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า มนุษย์สามารถข้ามน้ำได้ มนุษย์สามารถข้ามทะเลได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถข้ามพ้นความทุกข์ได้ ถูกหรือไม่ถูก (ถูก)  นั่นหมายความว่า มนุษย์สามารถข้ามน้ำ คือ กิเลสได้ มนุษย์สามารถชนะกิเลสได้ด้วยการรู้จักควบคุมตัวเอง ฝึกจิตใจตัวเอง มนุษย์สามารถข้ามพ้นทะเลทุกข์ได้ นั่นก็คือสามารถข้ามวัฏสงสารได้ด้วยการครองชีวิตอยู่ได้ด้วยความไม่ประมาท แต่มนุษย์ไม่สามารถล่วงพ้นทุกข์ได้เพราะมนุษย์ขาดความเพียร เวลาทำดีก็ทำเพียงชั่วอึดใจ ทำเพียงชั่วรู้สึกดี พอนานๆ ไปก็ลืมทำ ฉะนั้นมนุษย์จึงสามารถเอาชนะกิเลส ข้ามวัฏสงสารได้ด้วยการครองชีวิตไม่ประมาท แต่มนุษย์ไม่สามารถล่วงพ้นทุกข์ได้เพราะขาดความเพียร ถูกหรือไม่ (ถูก)
วันนี้เราลองมาดูกันหน่อยว่า ใครมีกรรมที่ต้องมาเต้นเป็ด และใครมีกรรมที่ต้องเป็นลิง เอาไหม (เอา)  ลองเสี่ยงดวงดูไหม (ลอง)  ลองดูสิว่าชีวิตนี้นอกจากเกิดเป็นคนแล้วเรายังต้องเป็นเป็ดไหม เอาไหม (เอา)  มีคนบอกว่าเอา แล้วก็ไม่กล้าบอกเอา  เราลองเล่นส่งพานผลไม้เลยแล้วกัน ตื่นเต้นดี
ถ้าผลไม้อยู่ที่ใครคนนั้นต้องเป็น (เป็ด, ลิง) พร้อมหรือยัง (พร้อม)  ลองเล่นนับ 1 – 10 กันดูนะ ได้ไหม (ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นับ 1-10 พร้อมกับส่งพานผลไม้ไปเรื่อยๆ จนพานผลไม้ตกอยู่กับนักเรียน 3 ท่าน) ใครจะเป็นเป็ด ใครจะเป็นลิงดี (ฝ่ายหญิงเป็นเป็ด ฝ่ายชายเป็นลิง)  อย่าลืมนะว่ากรรมที่เราต้องรับนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าน่ายินดี และก็มีสิ่งที่เรียกว่าไม่น่ายินดี ถึงกรรมจะทำให้เรามั่งมี แต่ในความมั่งมีนั้นก็พร้อมที่จะต้องสูญเสียเปลี่ยนแปลง ถึงกรรมนั้นจะทำให้เราอายุมั่นขวัญยืน แต่การมีอายุมั่นขวัญยืน แต่ต้องมองคนอื่นร่วงโรยและแตกสลาย อายุยืนอาจจะไม่ดีก็ได้ การที่ครอบครัวเราเป็นสุข ลูกหลานก็เป็นสุข แต่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ สังคมเป็นทุกข์ ครอบครัวเราสุขเพียงครอบครัวเดียว บางทีก็ไม่น่าภาคภูมิใจ ถ้าสังคมในโลกเป็นทุกข์พร้อมๆ กัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นช่วยให้คนมีศีลมีธรรม ช่วยให้คนได้มีกินบางทียังไม่พอเท่ากับช่วยให้เขามีศีลมีธรรมประจำใจ รู้จักมีศีลมีธรรมประจำชีวิต ช่วยให้เขาแข็งแรง ช่วยให้เขามีเงินไม่พอหรอก ไม่เท่ากับการช่วยให้เขามีจิตใจคิดได้ และสามารถส่งมอบจิตใจที่คิดได้ ส่งมอบให้คนอื่นคิดได้ต่อ ให้อะไรไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะ
การทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นการสร้างกรรมที่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำให้คนอื่นยิ้มได้เป็นการสร้างสุขที่ยิ่งใหญ่ถูกหรือไม่ (ถูก) ทำให้คนอื่นร้องไห้นี่เจ็บปวดใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วยังสร้างวิบากกรรมที่ไม่จบสิ้นได้ด้วย การสร้างรอยยิ้มเป็นการกระทำที่ประเสริฐนะ
วันนี้เป็นเวลาสั้นๆ ชั่วครู่หนึ่งที่เราได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน แล้วก็ร่วมศึกษากับท่านด้วยกันหลักธรรมะนี้ อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ช่วยแค่ร่างกาย แต่ต้องการช่วยจิตญาณ ไม่ใช่ช่วยแค่ให้ท่านมีกินมีใช้ แต่ต้องการช่วยให้ท่านพ้นจากทุกข์ภัยที่แท้จริงของโลกใบนี้ โลกใบนี้เป็นโลกที่ไม่เที่ยงแท้ หาตัวตนไม่ได้ แต่เมื่อใดที่มนุษย์ครอบครองและหวังมีตัวตน ยึดมั่นในความเป็นตัวตน เมื่อนั้นทุกข์ยังไม่ไปไหน รู้หรือเปล่าทุกข์เพราะมีตัวตน เมื่อใดที่เราไร้ตัวตนทุกข์ก็หามีไม่ เราทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นว่านี่ของของเรา แต่สรรพสิ่งในโลกมีอะไรที่พ้นจากทุกข์ได้ มีอะไรที่พ้นจากวัฏสงสาร การเกิดแก่เจ็บตายได้ เสื้อผ้ามีเปลี่ยนแปลงไหม (มี)  มีสูญสลายไหม (มี)  มีเปลี่ยนเจ้าของได้ไหม (ได้)  แล้วร่างกายเราล่ะ มีเปลี่ยนแปลงไหม (มี)  แล้วเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  สิ่งที่ครอบครองได้คือการกระทำของเราเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  และการกระทำของเราเท่านั้นที่จะเป็นตัวผลักดันให้เราหลุดพ้นทุกข์หรือว่าเวียนว่ายตายเกิด อย่างนั้นการจะรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งนั่นก็คือการมองทุกสิ่งอย่าง (รู้แจ้ง)  รู้แจ้งอย่างไรถึงจะทำให้สามารถมองทุกสิ่งอย่างเห็นจริงได้ นั่นก็คือ ไม่ติดในสิ่งที่ชอบและไม่เกลียดในสิ่งที่ชัง มนุษย์เราที่ยังวนเวียนอยู่ในโลกและยังพ้นจากทุกข์ไม่ได้ก็เพราะยังมีสิ่งที่รักและมีสิ่งที่เกลียด เมื่อเราพ้นจากสิ่งที่รักและสิ่งที่เกลียด เห็นสิ่งที่รักและสิ่งที่เกลียดเป็นเหมือนสิ่งเดียวกัน ทุกข์กับสุขก็จะไม่เกิดขึ้นในชีวิต แต่เมื่อไรมีสิ่งที่รักก็ต้องมีสิ่งที่เกลียด เมื่อไรมีสิ่งที่เกลียดก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ แล้วถ้าไม่มีรัก ไม่มีเกลียดเราก็อยู่เหนือความสุขและความทุกข์เท่านั้นเอง
เราจะรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งได้ก็ต่อเมื่อเรามีความบริสุทธิ์ยุติธรรม มองสิ่งใดด้วยความบริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์ยังหนีไม่พ้น รัก โลภ โกรธ หลง เราก็มองสรรพสิ่งอย่างไม่เห็นจริง เพราะความรัก โลภ โกรธ หลง บดบังตา เหมือนเวลาเรารักสิ่งหนึ่งแล้วก็มองอะไรดีไปหมด แท้จริงเขามีเลวไหม (มี)  เมื่อเราเกลียดสิ่งหนึ่งเราก็มองเขาร้ายไปหมด แท้จริงเขามีดีไหม (มี)  เมื่อเวลาเรากลัวสิ่งหนึ่ง เรากลัวจนลืมไปเลยว่ามันมีคุณอยู่ในตัว กลัวความตายแล้วความตายดีไหม (ดี)  ความตายของคนคนหนึ่งเป็นสิ่งย้ำเตือนใจ ไม่ให้ประมาท ไม่ดำเนินชีวิตอย่างคึกคะนอง ไม่เอาชีวิตไปเสี่ยง เพราะชีวิตมีแค่ครั้งเดียว คนเดียว ฉะนั้นความตายของคนใช่ว่าไม่ดี แต่ความตายเป็นเครื่องย้ำเตือนใจ เหมือนที่อยากเจริญภาวนา หรืออยากรู้แจ้งเห็นจริง เอาความตายนั้นมาทำให้เราไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต คิดเสมอว่าเราต้องตายทุกๆ วัน แล้วเราจะรู้จักต้องทำดีเข้าไว้ อย่าทำชั่ว
ฉะนั้นหากมนุษย์เป็นผู้มีธรรมมีศีล และรู้แจ้งเห็นจริงบนโลกใบนี้ ก็จะไม่ต้องกลัวว่าจะล่วงพ้นทุกข์ไม่ได้ อย่าเป็นคนที่รู้จักทำทานแต่ไม่รู้จักรักษาศีล รู้จักทำทานรักษาศีล แต่ไม่รู้จักรู้แจ้งเห็นจริง ถ้าอย่างนั้นต้องเวียนว่ายตายเกิด
วันนี้แค่นี้นะ ทุกสิ่งล้วนมีเวลามาและมีเวลาไป ฉะนั้นอย่าประมาท มีความเพียรเสมอ และจงศรัทธาเชื่อมั่นในการทำดี อย่าเห็นว่าเรื่องดีเล็กๆ น้อยๆ เลยไม่ทำ อย่าเห็นว่าเรื่องบาปเล็กๆ น้อยๆ คนมองไม่เห็น ฉะนั้นบาปเล็กน้อยไม่ทำ ดีเล็กน้อยหมั่นสร้าง ความดีย่อมไม่ไปไหน ย่อมอยู่รอบตัวเรา ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ได้ดีได้ผลบุญก็เท่านั้น ถ้าได้ดี ได้ผลบุญแต่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่ลุล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรนั้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้นะ ถึงเวลาก็ต้องไปก่อน การไปของเราเป็นการเตือนให้ท่านอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต


วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม  พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มีหนี้ต้องเริ่มต้นแก้ภายในก่อน จะคิดผ่อนคิดผันหรือคิดใช้
ลองทบทวนสถานการณ์จากภายใน ทำเงินได้ก็เพราะใช้เงินเป็น
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
คิดพรุ่งนี้ด้วยความท้อใจ ไม่รู้ทำอย่างไร ขวัญกระเจิงราวไข้อาการหนัก คนไม่รู้ตัวมานาน ย่อมยากคืนตัวไว ถึงไม่ตายแต่ใจหมดความหวัง
* เหมือนฟากฟ้าดูไกลห่างไป เหมือนเราเดียวเปลี่ยวเปล่า มีทุกข์เป็นความชอกช้ำ กังวลไปทุกอย่าง แสงเป็นเครื่องยืนยัน คนอยู่กับความหวัง ต่อให้ฟ้านั้นแสนไกล แต่ใกล้ชิดไม่ไปไหน
** ความเหงาหงอยอารมณ์ของคน ยากยิ่งการเข้าใจ ออกไปทำงานแล้วมีสติไป ความหุนหันอารมณ์ของคน เอาความช้าคลาย ฝึกดวงใจทุกวันคือการบำเพ็ญ
ถึงพรุ่งนี้ก็อาจสำคัญ มิเท่าปัจจุบัน รู้เท่าทันเป็นผู้มีโอกาส เอาแต่ทุกข์ไปทำไม คิดป้องกันทำไป ที่สุดแล้วเป็นไปอย่าไปท้อ  (ซ้ำ * , ** , ** )
ชื่อเพลง :  บำเพ็ญเสมอไม่มีเหงา
ทำนองเพลง :  ใจฉันเป็นของเธอ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ชีวิตเกิดมาถ้าไม่เป็นหนี้ก็ดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใครล่ะเป็นหนี้ชีวิต เราเป็นหนี้ชีวิตไหม (เป็น)  เอาของเขามาก็ต้องชดใช้ชีวิตเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเอาเขามากี่ชีวิต กลัวไหมป่าช้า (กลัว)  แล้วท้องเราเหมือนป่าช้าไหม (เหมือน)  ชีวิตไม่มีหนี้ถึงจะมีสุขใช่หรือไม่ ไม่มีหนี้ชีวิตและไม่มีหนี้ทางทรัพย์สิน ถ้าหากเรารู้จักประหยัดและควบคุมความอยากให้อยู่ในความพอเพียง ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ทำอย่างไรล่ะ มนุษย์เรานั้นเป็นอย่างไร (ไม่รู้จักพอ)  ของใกล้ไม่สวย ของไกลนั้นสวย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เรามีมักจะดูด้อยค่ากว่าสิ่งที่เราไม่มีเสมอ แต่พอได้มาแล้วก็กลับเป็นไม่มีค่าเหมือนเดิม ถูกหรือไม่ (ถูก)  
ทานข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  อร่อยไหม (อร่อย)  กัดฟันพูดหรือเปล่า อยากดูหน้าพ่อครัวแม่ครัวบ้างไหม (อยาก)  ไหนลองเชิญพ่อครัวแม่ครัวมาหน่อยสิ เคยไปเห็นหน้าเขาบ้างหรือเปล่า มื้อนี้ได้กินข้าว เคยหันไปขอบคุณคนทำบ้างไหม (เคย)  ขอบคุณแต่นึกหน้าไม่ออกใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเดี๋ยวอาจารย์ให้ดูหน้า แล้วศิษย์จะยิ่งตกใจว่า โอ้โหคนทำครัวคนนี้เหรอ ดีไหม (ดี)  อยากเห็นไหม (อยาก)  อย่างนั้นอาจารย์เปลี่ยนใจอย่าเพิ่งเห็นเลยดีกว่า อาจารย์เป็นคนโลเล กลับไปกลับมาเหมือนศิษย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มนุษย์โลเลไป โลเลมา บอกเดี๋ยวมา พอถึงเวลากว่าจะมานี่อืดอาดแทบแย่ ไม่เห็นเหมือนที่พูดเลยว่าเดี๋ยวมา ถามว่าไปไหม ไปเดี๋ยวเดียว แต่เดี๋ยวนี้นานไหม (นาน)  กว่าจะออกได้นานไหม (นาน)  เพราะอะไร เพราะปากกับใจไม่ตรงกัน หรือเพราะว่าปากไวกว่าความคิด เป็นอย่างไหนมากกว่ากัน เราบอกว่าเดี๋ยวๆ พอถึงเวลาเราเดี๋ยวไหม (ไม่เดี๋ยว)  เราเป็นคนชอบพูดเดี๋ยวติดปากใช่หรือเปล่า (ใช่)  บอกว่าเดี๋ยวแต่จริงๆ นานมาก กว่าจะออกได้
(พระอาจารย์เมตตาให้พ่อครัวและแม่ครัวที่ขึ้นมาบนห้องพระ ให้นักเรียนมีโอกาสกล่าวขอบคุณ)
อาจารย์เรียกมาไม่ได้ให้มารับรางวัลนะ ให้มาโชว์ตัวเฉยๆ พูดดังๆ แล้วก็ขอบคุณเขาหน่อยได้ไหม (ได้)  ขออีกทีได้หรือเปล่า (ได้)  ปรบมือเสียงดังๆ พูดพร้อมๆ กัน (ขอบคุณพ่อครัวแม่ครัวอาหารอร่อยมากๆ)  
เมื่อไรหนอสังคมในโลกหรือการประชุมธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นการรวมตัวอย่างมีเอกภาพของบุคคลหลากหลายความสามารถ ที่รวมตัวร่วมงานกันบนโลกนี้ เมื่อไรหนอจะเป็นได้อย่างนั้น  สังคมกว้างใหญ่ คนมากมายความสามารถ แต่หาได้เป็นเอกภาพไม่ สังคมกว้างใหญ่คนมีความงดงาม มีความสามารถได้ มีความสามารถแตกต่างกัน แต่หาได้มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่ อย่างนี้ก็น่าเสียดาย  อาจารย์ก็หวังว่าสังคมยังไม่ดีแต่ขอเริ่มต้นด้วยการเป็นคนดี  เป็นการรวมตัวที่มีเอกภาพงดงามของผู้มีความสามารถ เอกภาพคืออะไรล่ะ คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันยอมอะลุ่มอล่วย ยอมทั้งกายและใจ ไม่ใช่ยอมแต่กายแต่ใจไม่ยอม อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี) เมื่อวานท่านเซียนน้อยได้บอกใช่ไหม ถ้าเกิดว่าตัวยอม แต่ใจไม่ยอม ก็เป็นโรคแอบแฝงใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นทำอย่างให้ยอมทั้งกายและใจ นี่ล่ะเรียกว่ารักษาความบริสุทธิ์ท่ามกลางความขัดแย้งทั้งหลายในโลกนี้ บำเพ็ญดั่งรากบัวใช่ไหม (ใช่) ทำในสิ่งที่ยากจะทำ
ยินดีต้อนรับไหม (ยินดีต้อนรับ)  สบายดีหรือเปล่า (สบายดี)  สบายดีจริงๆ นะ มีแต่สุขไม่มีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) ใช่หรือ สบายดี   ยืนไหวไหม (ไหว)  ไหวแน่นะ (ไหวแน่)  ต้องถามผู้ที่อายุน้อยที่สุดในชั้นใช่หรือเปล่า (ยังไม่ ๑๘)  ยังไม่ถึง ๑๘ ปี เข้าใจพูดนะศิษย์นะ ถ้าวัยนี้ยังไม่ถึง ๑๘ คนอื่นนี่เท่าไหร่เนี่ย ๗ -๘ ขวบได้ไหมเนี่ย ดีนะ อาจารย์ชอบคำของศิษย์ ไปที่ไหนก็บอกว่าฉันไม่แก่ ใช่ไหม คนไม่แก่ คนที่บอกว่าตัวเองไม่แก่ทั้งที่ตัวเองแก่ เป็นคนที่หัวใจแข็งแรงใช่ไหม แถมอารมณ์ดีด้วย น่ารักจริงๆ ขอให้เป็นที่รักของทุกๆ คนนะ หากอาจารย์ถามว่าสิ่งที่มนุษย์ในโลกนี้ไม่อยากเผชิญมากที่สุดนั่นก็คือ ความตาย แต่ก่อนจะตายสิ่งที่ศิษย์ไม่อยากเจอก่อนตายคืออะไร ความทุกข์และความเจ็บปวดใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้ไม่มีใครอยากพบเจอความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีใครอยากเจ็บกายและเจ็บใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า อาการที่เกิดทางกายและอาการที่เกิดทางใจ ความเจ็บที่เกิดทางกายและความเจ็บที่เกิดทางใจนั้นสามารถชนะได้ และสามารถป้องกันได้ ขอเพียงศิษย์เข้าใจ เพราะอะไรอาจารย์ถึงบอกว่าชนะได้ ป้องกันได้ด้วยความเข้าใจ
ถ้าเมื่อไรศิษย์ตั้งข้อรังเกียจ กลัวความเจ็บ กลัวความปวด กลัวความทุกข์ในกายและใจ ศิษย์จะไม่มีวันเอาชนะและป้องกันมันได้เลย แต่ถ้าเมื่อใดศิษย์ไม่รังเกียจ ศิษย์พร้อมหน้าที่จะเผชิญด้วยความเข้มแข็ง ด้วยสติ ศิษย์จะรู้ว่าความเจ็บปวดทางกายนั้นเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้เรานั้นไม่ต้องเจอ
ความตายโดยตั้งตัวไม่ทัน  ความเจ็บปวดทางกายจึงเป็นเหมือนเครื่องเตือนให้รู้ว่าความตายใกล้จะมาอยู่กับตัวเราแล้วนะ ฉะนั้นรีบรักษาตัวให้เข้มแข็งโดยไว เพราะมีความเจ็บปวดทางกายเราจึงสามารถป้องกันความตายได้ เพราะมีความเจ็บปวดทางกายเราจึงรู้เครื่องเตือนภัยก่อนที่เราจะต้องตาย
ถูกหรือเปล่า (ถูก)
เทเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ไม่อยากให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ศิษย์ ศิษย์ก็อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น  ฉะนั้นหากเราอยากจะเป็นคนดี หรือเป็นคนไม่ดีที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นคนดี เราก็ต้องกล้าที่จะยอมรับ เพราะอาจารย์อยากจะบอกว่า หาคนที่จะวิจารณ์คนได้เก่งจริงๆ หายาก และในโลกนี้หาคนที่จะกล้าวิจารณ์เราตรงๆ ก็หาได้ยาก ฉะนั้นเจอคนกล้าวิจารณ์เราตรงๆ และก็ขวานผ่าซาก ขอให้ดีใจเข้าไว้ ถูกไหม (ถูก) แต่ที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ หาคนที่สะกดใจตัวเอง ฟังคำวิจารณ์จนจบได้ยิ่งยากกว่า ถูกไหม (ถูก)  หาคนวิจารณ์ยากแล้วนะ แต่หาคนสะกดใจตัวเองฟังคำวิจารณ์ตน ตั้งแต่ต้นจนจบได้ยากกว่า คนที่โน้มน้าวคนที่จะวิจารณ์มีเหตุมีผลถูกต้อง แต่ว่าจะสะกดใจฟังไว้มันก็ดีนะ ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าโดยนิสัยของมนุษย์ หรือโดยนิสัยของศิษย์ทั่วๆ ไปนี้ถนัดที่จะมองออก พูดออกมากกว่าที่จะมองเข้า และพูดเพื่อแก้ไขตัวเอง ศิษย์เคยเห็นขวานไหม ขวานมันชอบถากแล้วก็บากคนอื่น แต่ไม่เคยถากและบากไม้ที่อยู่ในตัวเองได้เลย ใช่หรือไม่ มนุษย์เหมือนขวานไหม แล้วอะไรล่ะเหมือนขวาน ปากหรือใจ ฉะนั้นอาจารย์จะบอกศิษย์ว่าถ้าจะเป็นคนดีก็ต้องเป็นคนดีที่กล้ารับฟังคำติ ถ้าจะเป็นคนร้ายที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นคนดีก็ต้องกล้ารับฟังคำด่า อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ใครชมก็ไม่เหลิง ใครว่าก็ไม่โกรธ เพราะการให้ทานที่ยิ่งใหญ่คือธรรมะเป็นทาน ใช่ไหม แล้วการให้ธรรมะเป็นทานข้อที่ยอดเยี่ยมที่สุด นั่นก็คือการให้อภัยทาน ใช่หรือเปล่า เพราะเมื่อไรที่เขาว่าเราให้อภัยได้ เราสามารถละโทสะและได้เจริญเมตตาดูซิว่า เขาว่าครั้งหนึ่งเราได้ทั้งลดโทสะและเจริญเมตตา ทำไมไม่รีบเอามาฝึกตัวเอง โดนว่านิดว่าหน่อยทำไมเปราะบางเหลือเกิน

ฉะนั้นความเจ็บปวดจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นเครื่องเตือนภัยให้เรารู้ว่า เรากำลังดำเนินชีวิตผิดปกติ จึงเกิดความเจ็บปวดทางกายขึ้น และถ้าเกิดความเจ็บปวดทางใจล่ะ นั่นเป็นเพราะว่าใจเราวางผิดปกติ ฉะนั้นความเจ็บปวดทางใจก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเหมือนกัน เมื่อไรที่เราเจ็บปวดใจ เมื่อนั้นแหละความเจ็บปวดเป็นเหมือนกุญแจที่ไขให้เรามองเห็นว่าใจเราเป็นอย่างไร อ่อนแอเพราะอะไร และจะเข้มแข็งได้ด้วยอะไร ฉะนั้นความเจ็บปวดและความทุกข์ในโลกจึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามองเห็นชัดในความเป็นจริงทั้งกายและใจใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์คิดจะวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้หรือก้าวเดินไปผจญกับโลกใบนี้ ศิษย์จึงต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่ารูปนามในโลกนี้ล้วนเป็นมายา วาจาเป็นเพียงสิ่งสมมติ เมื่อไรที่ศิษย์จะก้าวไปเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ หรือจะแสวงหาอะไรก็ตามในโลกใบนี้ มีอะไรที่จะช่วยศิษย์ได้ พระที่ตั้งอยู่ที่นี่ หรืออาจารย์ สิ่งที่จะช่วยศิษย์ได้คืออะไร อาจารย์อยากจะบอกว่าสิ่งที่จะช่วยศิษย์ได้นั่นคือ “สติ” จงมีสติเป็นนาย จงมีสติเป็นเจ้าแห่งชีวิต แล้วสตินี่แหละจะคอยคุ้มครองรักษาให้ศิษย์สามารถมีชีวิตดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเจอทุกข์หรือเจอสุข เพราะเรื่องราวบนโลกใบนี้ไม่ได้มีด้านเดียวจริงไหม (จริง)  มีด้านหน้าก็มีด้านหลัง มีสุขก็มีทุกข์ มีโชคดีก็มีโชคร้าย แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีคุณประโยชน์ ขอเพียงใช้สติพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาอันไตร่ตรองรอบคอบ แม้จะมีโทษขนาดไหนก็มีคุณไม่มากก็น้อย แม้จะทุกข์ขนาดไหนแต่ก็อาจจะแฝงสุขไม่มากก็น้อยก็เป็นได้
ฉะนั้นเมื่อไรที่ลงมือ จะแสวงหาอะไรในโลกศิษย์ก็ต้องอย่าลืมเอาสติและปัญญาคอยพิจารณาเรื่องราวในโลกให้ดีด้วย เราจะได้ไม่ถูกมายาบนโลกใบนี้ลวงหลอก เราจะได้ไม่ถูกคำพูดนั้นทำให้เจ็บปวด ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย ใครว่าตัวเองเป็นคนดีบ้าง ต้องคิดดีไว้ก่อน ใช่ไหม ในชั้นนี้มีคนดีเพียงคนเดียวนอกนั้นร้ายหมดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องโชว์ตัวก็ได้ อาจารย์ให้ยกมือ ใครคิดว่าตัวเองเป็นคนดียกมือขึ้น อาจารย์หลับตา มีคนยกขึ้นมาแล้ว ทำไมยกแบบไม่เต็มแขน ดีบ้างไม่ดีบ้างใช่ไหม หรือยังไม่แน่ใจ ไหนใครคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ยกมือขึ้น แล้วคนที่ไม่ยกเลยแปลว่าอย่างไร เป็นศิษย์ก้ำกึ่งของอาจารย์ใช่ไหม วันหนึ่งอยากดี อีกวันหนึ่งขอไม่ดีเถอะอาจารย์ ใช่หรือเปล่า เลยไม่กล้าเอ่ยปากว่าตัวเองดีหรือไม่ดี ใช่หรือเปล่า
คนที่ว่าตัวเองดี ถ้าเจอคนอื่นว่าไม่ดีทนไหวไหม (ไหว)  เขาว่าอย่างไรเราก็จะไม่โกรธ ไม่โต้ตอบ ไม่เถียง ไม่แก้ตัว จริงไหม (จริง)  คนดีจริงต้องไม่แก้ตัวแต่ต้องรู้จักแก้ไข  คนดีโดนว่าจะไม่โกรธ ไม่เถียง คนดีจริงโดนว่าจะไม่โกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นคนร้ายจริงจะต้องไม่เกลียดเขาสิ ก็เราร้ายนี่ใครว่าอย่างไร  ใครชมอย่างไร  เราก็อืมเราร้าย  ได้ไหม (ได้)   จริงเหรอ เห็นคนดีโดนว่าก็ร้อนตัว  คนร้ายโดนว่าก็เจ็บตัว  ก็ร้อนตัวเหมือนกัน  
ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าถ้าเราอยากเป็นคนดีหรือคนไม่ดีในโลกนี้ ศิษย์ยอมรับคำพูดที่โดนว่า “นี่หรือดี” ถ้ารับไหวก็แปลว่าดีจริงๆ ถ้ารับแล้วไม่โกรธได้นั่นก็เรียกว่าดีจริงๆ และถ้าเกิดว่ายอมรับว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี แล้วถ้าโดนด่ากี่ครั้งก็ยอมรับว่า “ใช่ ฉันยังไม่ดี” คนนั้นเป็นคนที่ไม่ดีแต่พร้อมจะดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคนดีพอโดนว่าแล้วโกรธ เกลียด นั่นคือคนดีที่พร้อมจะกลายเป็นไม่ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะเป็นคนดีในโลกนี้ ศิษย์เคยได้ยินไหม ตัวเราเองเวลารู้สึกดี อะไรๆ ก็ดี ใครพูดอะไรก็ชมไปหมด แต่เวลารู้สึกแย่ อะไรๆ ก็แย่ เธอเดินเข้ามาก็ว่าฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะวัดอะไรกับคำพูดคน ในโลกใบนี้ ไม่มีใครหรอกที่จะไม่ถูกนินทา  ในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่จะไม่ถูกโดนว่าสาดเสีย
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ มีพระ 2 องค์ หรือ คน 2 คน ยืนมองดูธงแล้วก็ถามว่า ตกลงธงมันไหวหรืออะไรมันไหว เหมือนเวลาเราเห็นธงที่แขวนอยู่ ลมพัดมาศิษย์ว่าอะไรไหว (เสา)  แล้วเวลาคำพูดของคนมากระทบเสาอันนี้ ปล่อยให้อะไรมันไหว (ใจ)  แล้วเสาอันนี้บางทีมันไปปักกับโคลนเลน ใจไหวอย่างเดียวไม่พอ เท้าก้าวตามไปด้วย เพื่ออะไร เพื่อไปแย้งไปหาเรื่อง ไปอธิบายให้ได้ว่าฉันยังดี ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย คนในโลกนี้ โดยพื้นฐานก็คือไม่มีใครหรอกอยากเลว ไม่มีใครหรอกอยากผิด ไม่มีใครหรอกอยากร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการพยายามบอกให้เขารู้ว่าเลวและร้ายขนาดไหน ก็คือการบังคับฝืนใจเขานั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ตัว บางทีเงียบไว้บ้างก็ดีนะ ถ้าพูดจนถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ถ้าจะพูดขอให้ศิษย์พูดด้วยความรัก พูดด้วยความเมตตา อย่าพูดด้วยอารมณ์ อย่าพูดเอาแต่ใจ เพราะพูดด้วยอารมณ์เอาแต่ใจเปลี่ยนใครไม่ได้ ต้องพูดด้วยรักและหวังดี ถ้าเขาไม่เปลี่ยนจริงๆ ก็สุดแล้วแต่ฟ้าดินก็แล้วกัน ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอาจารย์บอกแล้วยากที่จะเจอคนวิจารณ์ดีๆ และก็ยากที่จะเจอคนที่จะสะกดใจให้ฟังคำวิจารณ์ได้จนจบ
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ ศิษย์มีทุกข์อะไรในโลกนี้อีก (ทุกข์ใจ, ความพลัดพราก)  แล้วโลกนี้หนีได้ไหม พลัดพรากจากสิ่งที่รักหนีได้ไหม (ไม่ได้)  (ไม่มีเงินมีทอง)  แปลกนะทำไมลูกศิษย์ของอาจารย์หรือมนุษย์ในโลกนี้ หาเงินเพื่อจะบำรุงเลี้ยงร่ายกาย แต่ทำไมหาไปหามากลายเป็นหาหนี้ใส่ตัว เพราะอะไรล่ะ เพราะความโลภหรือเปล่าที่อยากจะลงทุนหนึ่งร้อยแต่ได้หนึ่งล้านใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ยืมมาหนึ่งพันแล้วเดี๋ยวจะผันให้เป็นหนึ่งหมื่นเอาไหม (เอาครับ)  อย่างนั้นเอามาหนึ่งพันแล้วอาจารย์ให้ไปหนึ่งหมื่น แต่ถ้าต่อไปเอามาห้าหมื่นอาจารย์จะให้หนึ่งล้านเอาไหม (เอา)  นั่นแหละหนี้ก็เกิดจากตรงนี้แหละต้องไปหาห้าหมื่นมา แล้วถึงเวลาหนึ่งล้านก็ไม่มีให้เจอ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ เมื่อผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า อย่ามองเห็นแต่ผลประโยชน์แต่ไม่เห็นโทษที่จะตามมา มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้แหละ เงินตกรีบเก็บใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เคยคิดถึงโทษของการเก็บเงินขึ้นมาทันทีบ้างไหม  ทุกข์เพราะอะไร (ความไม่รู้พอ, ทุกข์เพราะการเรียน)  ทำไมสมองไม่ดี เพราะว่าชาติก่อนกินเหล้าเยอะ ชาตินี้เรียนเท่าไรก็ไม่รู้จักจำใช่ไหม (ใช่ครับ)  เอาแต่โทษชาติที่แล้ว หรือเวลาเรียนอยู่ เบื่อหน้าอาจารย์ อยากให้อาจารย์เป็นสาวสวยๆ สาวพูดกี่ประโยคๆ จำได้หมด แต่อาจารย์พูดแค่หนึ่งประโยคยังจำไม่ได้เลย เพราะอะไรเพราะรักสาวมากกว่ารักอาจารย์  (ทุกข์เพราะเราคิดว่าเราทุกข์ใจก็ทุกข์ใจ ถ้าคิดว่าไม่ให้ทุกข์ก็ไม่ทุกข์)  ความทุกข์ขึ้นอยู่ที่ความคิดใช่หรือไม่ เข้าใจตอบนะ (ทุกข์เพราะยึดติดกับอดีต)  ทุกข์เพราะยึดติดกับอดีตและฝันหวานกับอนาคตเลยทำปัจจุบันไม่ได้ดีเลยใช่หรือไม่ เหมือนอยากสวยใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้อีกอย่างหนึ่งนะ ในสมัยก่อนคนยิ่งสวย ชื่อยิ่งเพราะมักจะตายไวนะ เคยได้ยินไหมว่าคนสวยในสมัยก่อนมักจะถูกจับมาบูชาเทพเจ้า คนที่ชื่อดีๆ ชื่อเพราะๆ มีใครในชั้นนี้ชื่อนายมั่นบ้าง ใครชื่อนายคงบ้าง  (ทุกข์เพราะหาเงินใช้หนี้ยังไม่พอ, ทุกข์เพราะสิ่งที่ใฝ่ฝันยังไม่ได้)  สิ่งที่ใฝ่ฝันยังไม่ได้ อย่างนั้นพอใจกับปัจจุบันไหม (ยังไม่พอใจ)  ยังไม่พอใจเหรอ อย่างนั้นก็ต้องทุกข์ไปทุกๆ วัน เพื่อจะได้ให้ถึงดังฝัน อย่างนี้ไม่ทรมานเหรอศิษย์ (ทรมาน)  ได้เกิดมาเป็นคนก็ดีแล้ว แถมเป็นคนที่สมบูรณ์ไม่เว้าแหว่ง แถมหน้าตาก็ดีด้วย น่าจะดีใจแล้ว ทำไมอย่างนี้ยังไม่พอใจอีกหรือ ร่างกายก็ดูกำยำแข็งแรงดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะทุกข์เพราะใจทำไม
ทุกข์เพราะ (อยากให้ลูกเรียนจนจบ)  เรียนจนจบแต่ถ้าเกิดเขาไม่รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น เรียนจบไปบางทีก็ไม่มีประโยชน์นะ แถมเรียนไปเรียนมายังไปคบเพื่อนไม่ดีอีก ฉะนั้นสอนให้เขาได้ดี ดีกว่าสอนให้เขาเรียนจบแต่ไม่มีดีนะ เอาตัวเราเป็นตัวอย่างนะ (ทุกข์เพราะจิตใจยังไปไม่ถึงจุดหมาย)  แล้วจุดหมายอะไรล่ะที่อยากไป (มาตรงนี้)  มาถึงแล้วนี่ ก็น่าจะสุขแล้ว ค่อยๆ ดีกว่านะ (เพราะความกังวล)  กังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์นั้นบางทีเพราะความกลัว เพราะความกังวลจึงทำให้แทนที่จะทำได้สำเร็จก็ไม่สำเร็จ ในโลกนี้มีหลายสิ่งที่ต้องทำให้ได้ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าคุณค่าของการมีชีวิตนั้น ไม่ใช่อยู่แค่ความสำเร็จ แต่บางครั้งอยู่ที่การได้พยายามเรียนรู้อย่างจิตใจเบิกบานก็เป็นได้ และผลสุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร เพราะทุกก้าวทุกขณะที่ได้เรียนรู้ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าชีวิตเรามีค่าที่ได้พยายามเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แม้เรื่องนั้นจะสำเร็จไม่สำเร็จไม่เป็นไร เพราะความสำเร็จและไม่สำเร็จนั้นไม่ใช่อยู่ที่เราคนเดียวจะกำหนดได้ บางครั้งอยู่ที่ชะตา บางครั้งอยู่ที่การร่วมมือของผู้อื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นคุณค่าของชีวิตอย่ากำหนดแค่เพียงแพ้ชนะ อย่ากำหนดแค่เพียงต้องสำเร็จ บางครั้งการได้ก้าวเดิน การได้เรียนรู้ การได้พยายามเพื่อจะเป็น แม้จะไม่ได้เป็นก็มีความสุขได้ ก็มีค่าได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนรู้แพ้เป็น คือคนที่ชนะได้ คนที่ชนะได้แล้วยอมให้ผู้อื่นชนะบ้างแล้วตัวเองเป็นผู้แพ้ นั่นแหละคือผู้ชนะที่แท้จริง มนุษย์เราอยู่ในโลก อยู่ในสังคมใบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็คิดเป็นการแข่งขันไปหมด ฉันต้องชนะ ฉันต้องสำเร็จ แต่จริงๆ แล้วคุณค่าของชีวิตใช่อยู่ที่ความสำเร็จและชนะหรือ แต่คุณค่าของชีวิตคือระหว่างทางที่เดินนั้น เราสามารถทำงานไปสร้างมิตรไปด้วย ทำงานไปได้มิตรเพิ่มไปด้วย ระยะทางที่เดินก็มีค่าและมีความหมายแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ดีกว่ามุ่งแต่จะเอาชนะแต่ทำร้ายและเข่นฆ่าผู้อื่น ความสำเร็จนั้นน่าภาคภูมิใจหรือ เหมือนเราจะเรียนให้ได้ที่หนึ่งแต่เราต้องเหยียบหัวเพื่อน เราต้องเป็นคนแล้งน้ำใจไม่ให้เพื่อนรู้ มีความรู้มีความเก่งขนาดไหนก็ไม่ต้องบอกใคร ความสำเร็จนั้นเรายิ้มได้คนเดียว แต่คนอื่นไม่เคยคิดจะยิ้มกับเราด้วย เหมือนเราปลูกข้าวเราได้ข้าวมาเต็มที่ แต่ในข้าวนั้นเต็มไปด้วยปุ๋ยเคมีที่ฆ่าคน ท่านภูมิใจที่ได้เงินเต็มกระเป๋าหรือ แล้วเงินที่ได้นั้นแฝงไปด้วยการฆ่าคนทางอ้อม เป็นความสุขที่น่าภาคภูมิใจไหม ท่านขายของได้ดี ขายของได้รวยแต่แอบโกงตาชั่ง ฉะนั้นคุณค่าของชีวิตไม่ใช่อยู่ที่ความสำเร็จ ไม่ใช่อยู่ที่เงินเยอะๆ แต่อยู่ที่การกระทำมากกว่า ว่าเราซื่อตรงไหม ว่าเราจริงใจต่อผู้อื่นบ้างหรือเปล่า เรามีน้ำมิตรไมตรีกับใครบ้างหรือเปล่า ฉะนั้นไม่ว่าเราจะเดินสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ทุกก้าวก็คือความสุข เพราะทุกก้าวเราสร้างมิตร ทุกก้าวเราปูทางแห่งมิตรภาพไว้ตลอด
มนุษย์ยังมีความทุกข์อีกอันหนึ่ง ที่มนุษย์ชอบกันนักชอบกันหนาแล้วก็ยินดีที่จะทุกข์ ทั้งที่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มีเริ่มต้นเมื่อนั้นต้องมีทุกข์ตามมาแน่  ทุกข์เพราะรักใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราถึงทุกข์เพราะรัก เพราะเมื่อไรที่เรามีรัก เราอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เราอยากเป็นผู้ครอบครองและต้องเราคนเดียวห้ามมีคนอื่น ต้องเป็นหนึ่งห้ามมีสองใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่คิดว่าต้องเสียเขาเราก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเสียเขาจริงๆ ศิษย์มิเท่ากับตกนรกทั้งเป็นหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อาจารย์บอกแล้ว โลกนี้เปรียบเหมือนมายา วาจาคือสิ่งสมมติ เมื่อคิดจะจับต้องมายาก็ต้องพร้อมที่จะเสี่ยงกับความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ มนุษย์ทุกคนปรารถนาอิสระ แต่ทำไมชอบหาห่วงมาผูก ถามจริงๆ ว่าเรารักอิสระไหม (รัก)  แต่พอมีแฟน แฟนบอกไปไหนต้องรายงานด้วยนะ มีไหม (มี)  แล้วบอกว่ารักอิสระ ฉะนั้นความอิสระอยู่ที่ตัวเราแล้ว ความสมบูรณ์เข้มแข็งและรู้พออยู่ที่ตัวเราได้ ถ้ามนุษย์มีความเข้มแข็ง มีความรู้พอ และมีความเป็นสุขได้ มนุษย์จะไม่โยนทิ้งอิสระของตัวเองเลย แต่เพราะมนุษย์ไม่เข้มแข็ง ไม่รู้พอ และมีสุขไม่ได้ มนุษย์จึงต้องหาห่วงมาผูกใจใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นคนที่ยังไม่อยาก หรือกำลังคิดจะอยากขอให้คิดให้ดีๆ เพราะเวลาเราได้เขามาแล้ว หรือเขาเป็นของเราแล้ว มีใครบ้างที่จะไม่คิดยึดไว้ ครอบครองไว้ ถือไว้ เมื่อคิดยึดไว้ ใจก็รู้สึกกังวลแล้วก็กลัวใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็วิตกไปนานา ว่าเขาจะรักเราคนเดียวไหม เขาไปไกลๆ เขาจะไปมองใครไหม เขาไปแล้วจะไปลับไหม เขาไปแล้วกลับมาจะเหมือนเดิมไหมใช่หรือเปล่า (ใช่)  ที่เขายิ้มๆ อย่างนี้จะมีอะไรไหม ที่เขาบึ้งๆ จะว่าอะไรเราหรือเปล่า ฉะนั้นมีก็ทุกข์ไม่มี ก็ไม่ทุกข์ได้นะ ขอเพียงเข้มแข็งรู้พอและมีสุข แต่ใจของศิษย์เป็นใจที่อ่อนไหวง่าย ใช่ไหม (ใช่) แพ้ความอ่อน แพ้รอยยิ้มหวานๆ แพ้คำพูดคำชม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอดได้ไหมที่จะไม่ทุกข์ ตัวเราเองเรายังเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ถามว่าอะไรคือความสุขของเรา บางครั้งอะไรคือความสุข ศิษย์ยังไม่รู้ แล้วจะให้เขาต้องทำให้เรามีความสุข เขาก็บอกว่า แล้วอะไรคือความสุขของเธอล่ะ เรายังเอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วทำไมยังไปห่วงคนโน้น ห่วงคนนี้ ธรรมชาติของมนุษย์ก็คือคนธรรมดา แต่อะไรที่ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนไป นั่นก็คือเอาอะไรมาผูกคอนั่นเอง
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ มีชายคนหนึ่งชอบมังกร บ้านก็เป็นลายมังกร  เสื้อก็เป็นลายมังกร ถ้วยก็เป็นลายมังกร เก้าอี้ก็เป็นลายมังกร  อะไรที่เป็นมังกรศิษย์คนนี้ก็รักหมดทุกอย่าง  จนกระทั่งดลใจให้มังกรอยากมาเจอคนที่รักมังกรจริงๆ แต่ศิษย์เชื่อไหมพอมังกรมาหาชายคนนั้น  ชายคนนั้นเป็นยังไงรู้ไหม  ชายคนนั้นตกใจตายคาที่เพราะรับความจริงไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนศิษย์บอกว่าศิษย์รักคนนี้ แต่พอถึงเวลารัก เจอความจริงของความเป็นคนๆ นี้  ศิษย์ก็ทุกข์เพราะรับไม่ได้  ไม่ได้รักกันจริงใช่ไหม
หรืออีกเรื่องหนึ่งที่ศิษย์ได้ยินบ่อยๆ  ชายที่รักม้าชอบสะสมม้า ให้ม้าได้อยู่เหมือนคน กินก็กินน้ำสะอาด นอนก็อย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แต่วันหนึ่งที่เขากำลังเช็ดตัวม้าอยู่นั้นมียุงเกิดมากัดด้วยความที่รักม้ามากก็ตบ  แล้วยุงมันกัดตรงไหนรู้ไหม กัดตรงก้นม้าพอดี แล้วม้าไม่เคยถูกตีมาก่อนจะเป็นอย่างไร  อาจารย์ถามรอดไหม (ไม่รอด)  เหมือนกันม้าก็เหมือนลูก  ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม รักยิ่งกว่าอะไรดี ถึงเวลาเราพูดอะไรผิดใจนิดหนึ่งเป็นยังไง ทำเราตายทั้งเป็นใช่ไหม  มังกรก็เหมือนหนุ่มๆ สาวๆ ที่ทำให้เราชื่นใจ  อะไรๆ ก็ต้องเป็นเขาเสมอ แต่พอเห็นเขาทั้งตัวทั้งตนก็อยากจะนอนแดดิ้นเลย  อาจารย์มาเอาคืนไปเหอะใช่ไหม
ฉะนั้นเมื่อใดที่ศิษย์อยากจะก้าวขึ้นมาอยู่บนโลกใบนี้ขอให้มีสติ เอาสติเป็นนายอย่าเอาอารมณ์เป็นหลัก สติจะช่วยคุ้มครองรักษาให้เรารู้จักที่จะใช้ปัญญาพินิจพิจารณาเรื่องราวที่มาแผ้วพานในตัวตน  แล้วเราจะได้มีสติยั้งคิดได้ว่าควรจะคิดอย่างไร ควรจะทำอย่างไรอย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เพราะศิษย์หลายคนที่ต้องพังเพราะอารมณ์มามากแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง ชื่อเพลง : บำเพ็ญเสมอไม่มีเหงา)
ศิษย์ขี้เหงาทั้งหลาย เข้มแข็งไว้นะ เข้มแข็งไว้จะได้ไม่หาห่วงใส่ตัว ไม่หาทุกข์ใส่ตน เข้มแข็งรู้พอก็มีสุขได้ อิสระไม่ได้อยู่ไกลเลย และถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปสู่ทางที่มาแล้วนะ
ฉะนั้นศิษย์จะฝึกฝนบำเพ็ญธรรม ขอให้ฝึกออกมาจากใจ ฝึกฝนบำเพ็ญธรรมอย่างไรล่ะ ก็คือสละเวลา รู้จักพอในการแสวงหา และเอาเวลาที่รู้จักพอนั้นมาเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ให้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะ ตอนที่อยู่ร่วมกับเขา หรือไม่ก็ตอนที่เขากำลังมีทุกข์ ธรรมะมีตั้งหลายอย่าง ให้ความซื่อตรง ให้ความจริงใจ ให้ความเมตตา ให้ความบริสุทธิ์ยุติธรรม ให้ความรักเท่าๆ กัน  รักคนในโลกให้เท่าๆ กัน ดีกว่ารักใครคนเดียวนะ ถูกไหม (ถูก)  แต่อาจารย์ก็ห้ามไม่ได้นะเรื่องนี้ ในเมื่อศิษย์รักเขาไปแล้ว แต่ขอให้แบ่งความรักไปเพื่อคนอื่นด้วย มนุษย์เราที่ทำร้ายกันได้ลงคอก็เพราะความเห็นแก่ตน รักแต่เพียงพวกพ้องของตน ในโลกใบนี้ทำไมคนร้ายก็ยังร้ายอยู่ คนดีก็ท้อใจจนเกือบจะร้ายแล้ว ก็เพราะรู้สึกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ศิษย์ทำดีเพื่อธำรงรักษาความดี ไม่ใช่ทำดีเพราะหวังผล และธำรงรักษาความดี ไม่ใช่เพื่อตัวเรา ถึงจะเป็นความดีที่บริสุทธิ์ เราทำดีเพื่อธำรงรักษาความดีในตัวเราให้ดีจริง  ในโลกนี้ยังหาคนที่ดีจริงได้น้อยอยู่ และอาจารย์ก็หวังว่า นับจากนี้ไปศิษย์ในชั้นนี้จะเป็นคนที่ดีจริง และรู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่น ให้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรม ช่วยเขาด้วยเงินทองก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการช่วยจิตญาณ ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เงินทองสักวันก็ยังมีวันหมดได้ แต่ช่วยเขาด้วยธรรมะ ช่วยเขาทั้งยามเป็นและยามตาย ให้เขาด้วยธรรมะ ให้คุ้มครองเขาทั้งยามเป็นและยามตาย แต่ถ้าให้เขาด้วยเงินทอง ก็ให้เขาได้แค่ยามเป็น แต่ยามตายให้ไม่ได้ ถูกหรือไม่ ฉะนั้นศิษย์สามารถเป็นได้มากกว่าสิ่งที่เป็น แต่อยู่ที่ว่าศิษย์จะอดใจสะกดอารมณ์ตัวเองได้ไหม ให้อภัยได้หรือเปล่า ไม่ใช่ผิดหูนิด ผิดใจหน่อยก็หนีกลับบ้านไม่ฟัง เถียงข้างๆ คูๆ ได้อะไรไหม เถียงแล้วสบายใจไหม เอาชนะแล้วดีไหม
ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่แพ้ชนะ สิ่งสำคัญคือพยายามทำอะไรอยู่ ถ้าสิ่งที่ทำนั้นทำแล้วทำให้ลดโทสะได้ แล้วเพิ่มเมตตาในใจทำไมไม่ทำ แต่ถ้าดื้อดึงดันทุรังจะเอาชนะให้ได้ เอาชนะแล้วกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาชนะแล้วทำให้ขุ่นข้องหมองใจกัน ยังจะเอาชนะอีกหรือ  ฉะนั้นความหวังของอาจารย์ก็คือ ขอให้ที่ประชุมธรรมนี้เป็นที่รวมของผู้มีความสามารถ และมีความเป็นเอกภาพน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าทำงานด้วยกันแต่แอบเกลียดกัน อย่าปากอย่างแต่ใจคิดอีกอย่าง คุยกันดีๆ ก็ได้ ใจเย็นๆ เข้าไว้ ถูกไหม
วันนี้อาจารย์ก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับศิษย์แค่นี้ ขอให้เวลาที่เหนื่อยสองวันนี้เป็นเวลาที่เอาไปใช้ให้เกิดคุณค่า อย่าเสียเวลาเปล่าแต่ไม่ได้อะไรไปเลย ดูแลตัวเองดีๆ รักษาจิตใจให้เข้มแข็งมีสุขได้กับความรู้พอ
พระอาจารย์เมตตาแผนกอักษร
คราวหน้ากลอนของวันแรกขอให้ยังคงอยู่ในกระดานอย่าเพิ่งลบนะ เพราะทุกที่ที่มีงานประชุมธรรม มักจะมีกระดานดำสองกระดานอยู่เสมอฉะนั้นอาจารย์ขอไว้ว่า ถ้าวันที่สองยังไม่หมดโอวาทของวันแรกขอให้ยังคงอยู่ในกระดาน ถ้ามีอะไรผิดพลาดอาจารย์จะได้ชี้ได้ชัด นักเรียนในชั้นก็จะมองเห็นดีกว่ามาทำกันแค่สองคนอาจารย์กับศิษย์เขาก็ไม่รู้ไม่เห็นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)

หมายเหตุ
พระอาจารย์เมตตาแก้เพลงพระโอวาทที่ สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก วันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
ย่อหน้าที่ สาม เดิม “บำเพ็ญธรรมนอกในไม่มีให้เห็น”
แก้เป็น “บำเพ็ญธรรมข้างในไม่มีให้เห็น”
ย่อหน้าสุดท้าย เดิม “คนย่อมเหนือเพราะชาติ ถึงเรามีมาน้อย”
แก้เป็น “คนย่อมเหนือเพราะชาติ แต่ถึงเรามีมาน้อย”

พระอาจารย์เมตตาแก้กลอนพระโอวาทที่ สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑
กลอนบทแรกวรรคที่สอง เดิม “เก่งพร่องก็ยังมีติ”
  แก้เป็น “เก่งคล่องก็ยังมีติ”

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา