วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2550

2550-06-16 สถานธรรมเต๋อฮว่า หาดใหญ่สงขลา



西元二○○七年歲次丁亥五月初二日    大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมเต๋อฮว่า หาดใหญ่สงขลา
    สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    ศึกสงครามช่างไร้ความปรานี    เกรงคนดีถูกทำลายพร้อมคนชั่ว
มหาธรรมฉุดโปรดคนทุกเรือนครัว    ค้นพบตัวกลัวอยู่ไม่กลัวตาย
        เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา        ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
            ขอทุกคนสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

    อยากมีสุขเสมือนหนึ่งไล่จับเงา    หยุดใจเราเท่านั้นสุขไม่ไปไหน
คนที่เบื่อชีวิตเหมือนว่าอยากตาย    ลดเงื่อนไขมีชีวิตให้ต่ำลง
อวิชชาบดบังญาณควบคุมจิต    ความนึกคิดความประพฤติก็พลอยหลง
จะชั่งวัดสิ่งใดก็ไม่ตรง    ตาชั่งหลงคือจิตใจปล่อยเพลิดเพลิน
ยอมเสียเปรียบไม่ใช่การไม่สู้คน    การอดทนจึงชนะโดยไม่สู้
การอยู่นิ่งย่อมอยู่เหนือคนทุกผู้    พินิจดูคนมุ่งมั่นย่อมมีชัย
เป็นน้ำนิ่งไหลลึกน้องคนใต้    ความสามารถต้องนำใช้ให้ถูกต้อง
ชีวิตนี้ไม่เอาไว้ทดลอง    จงประคองธรรมในตนพ้นว่ายเวียน
มองตนเองก็มองด้วยตาหน้า    ทว่ามองคนอื่นอย่าใช้ตาหลัง
คนเหมือนกันขยันอดทนมีพลัง    รู้จักว่างชีวิตนี้มีสมดุล
สองวันนี้ลองเปิดใจฟังธรรมะ    เพื่อชำระกิเลสในดวงจิต
ยามวุ่นวายเกิดวีรบุรุษผู้รู้คิด    ใช้ชีวิตสร้างคุณค่าเกิดคุณงาม
น้องเป็นบัวกลางโคลนตมอันเปรอะเปื้อน    อย่าเลอะเลือนตั้งใจเพื่อบำเพ็ญพ้น
โลกยุคปลายโปรดมากที่สุดก็คือคน    อย่าดิ้นรนแต่เพื่อปากท้องกว่าจิตใจ
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ    และเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
เคยผิดพลาดมาแล้วอย่าถอดใจ    คนแก้ไขได้ทุกเมื่อหากชีพยัง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป    ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
ขอน้องรู้ตื่นได้อย่างฉับพลัน    หลังสองวันธรรมะปฏิบัติให้จงดี
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
            ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมเต๋อฮว่า หาดใหญ่ สงขลา
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

    ขึ้นชื่อว่าสุดปลายทางคือจุดหมาย    คนย่อมเลือกมากมายให้เหมาะสม
ปมหนึ่งคลายกลายเป็นผูกอีกปม    หรือผูกปมเพื่ออีกปมได้คลี่คลาย
        เราคือ   
    เสี่ยวเซี่ยวฝอถง        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามเมธีทุกท่านง่วงนอนไหม?

    งานที่ไม่วางแผนย่อมถ่วงดึง    ไม่ทำก็จะไว้ธุระวุ่น
ตามเก็บงานไม่ปล่อยคราวเดียวหมุน    สติลุ้นถึงถูกดึงเกี้ยวแก้ปม
เรื่องตรงหน้าขืนผลัดบาดเป็นทิว    วัดวาเป็นคืบลัดนิ้วทุกข์ถล่ม
ผิดวันวานกลับว่าทำไมสม    เปลี่ยนอารมณ์ใครยังหือโลกตีเอา
มนุษย์ยังเหมือนเดิมไม่พบใครตรง    วาจาจงไม่หาติว่าแต่เขา
เลิกเหล่หาจอมตั้งโจทก์โทษเรา    อารมณ์เยาว์มั่นยึดถือย่อมไม่โต
สู้เดือดไม่มียอมกันได้อะไร    เสียหายไม่น้อยกันมากมายโข
มีหลักรองเป็นไม่อย่าหวังโต    สำเภาโล้กว่าถึงจุดหมายแรกมา
มีใจอย่าเอาอยากมาสนอง    เลิกงอนป่องเอาแต่ใจเสมอหนา
อมยิ้มเต็มแก้มใสมิตรตรึงตรา    ในวาจาที่คุยฟุ้งต้องมีธรรม
ความดีส่วนมากร่วงหล่นตามกาล    มองมากไปลงเห็นนานโมหะงำ
ใจกลั่นกรองไม่ทันคิดจากจำ    ผู้บำเพ็ญของฟ้าทำไม่เหมือนกัน
บินหนีเป็นนกโล่งชั่วคราวหนา    แต่ไม่อาจหนีหน้าจนลืมแกร่ง
อ่อนไหวโดนใครว่าแทบหมดแรง    คนระแวงหนักอึ้งใครช่วยป่วยตาม
            ฮิ  ฮิ   หยุด
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
วันนี้เรามาฟังธรรมะใช่หรือไม่? (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อปลดทุกข์หรือมาฟังธรรมเพื่อแบกทุกข์ (ปลดทุกข์)  นั่งแล้วแบกทุกข์หรือปลดทุกข์  ฉะนั้นอย่าลืมนะว่าเรามาฟังธรรมะเพื่อหาวิถีทางปล่อยทุกข์ ไม่ใช่มานั่งฟังธรรมะแล้วยิ่งแบกทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าฟังธรรมะแล้วยังแบกทุกข์ต่อไปก็หาทางแก้ทุกข์ไม่เจอ จริงหรือไม่ ถ้าฟังธรรมะแล้วเบาโล่ง ปล่อยวางได้อย่างนี้เรียกว่า “ฟังปุ๊บใช้ปั๊บ”  แต่ไม่ใช่ฟังแล้วหนัก เหนื่อย เบื่อ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการฟังเพื่อแบกทุกข์ แล้วก็เพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราต้องจำให้ได้ก่อนว่า การเรียนรู้อะไรต้องรู้จักเข้าใจตั้งแต่ต้น เรามาฟังธรรมะเพื่อปล่อยวาง เพื่อปลดทุกข์ เพื่อลืมตนเองบ้างใช่ไหม (ใช่)  ยกตัวอย่างว่ามีส้มอยู่สองใบ ใบหนึ่งเราให้ท่าน อีกใบหนึ่งเราเก็บไว้ เราบอกว่าใบนี้ให้ท่านนะ เวลาโยนไปปุ๊บ ท่านกังวลไหม กังวลว่าจะรับได้ไม่ได้ใช่หรือไม่ แต่ถ้าใบของเราโยนไปปุ๊บ ท่านกังวลไหม ไม่กังวลเพราะว่าไม่ใช่ของเราใช่หรือไม่  แต่ถ้าเราบอกว่าส้มใบนี้ไม่มีของใครเลย โยนไปปุ๊บใครจะรับใครไม่รับ เราก็ไม่รู้สึกอะไรใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีคำว่า “ของของเรา” ความกังวลเกิดขึ้นทันที  อันนี้ของของเรานะ อันนี้ไม่ใช่ของเรานะ สังเกตว่าอะไรที่ทำให้เราทุกข์มากกว่ากัน ของเราหรือไม่ใช่ของเรา  ใช่หรือไม่ว่าเรามีตัวตน พอเรามีตัวตนมาก มีของของเรามาก เราก็ทุกข์มากจริงไหม (จริง) สมมติว่ามีคนมาทำให้บ้านคนอื่นไฟไหม้ ไม่ใช่บ้านเราไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาบอกว่าบ้านเธอนะ บ้านฉันหรือ เป็นลมเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบอกว่าเป็นบ้านคนอื่น ไม่เป็นไรจริงไหม (จริง)  เหมือนเขาบอกว่าภาคเหนือเกิดน้ำท่วม ก็เรื่องของภาคเหนือ  แต่ถ้าเขาบอกว่าภาคใต้เกิดน้ำท่วม ภาคใต้หรือ จังหวัดไหน ที่ไหน บ้านใครจริงหรือไม่ (จริง)
ความทุกข์เกิดขึ้นได้อีกอย่างหนึ่งก็เพราะเรามีตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบางครั้งเราลืมตัวตนบ้าง ความทุกข์ก็อาจจะน้อยลงจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเรามาฟังธรรมะเพื่อปลดทุกข์ แล้วให้เรารู้จักปล่อยวางตัวตนบ้างจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะถึงที่สุดแล้วไม่ว่าจะมีสุขมีทุกข์ก็ยังต้องเจ็บปวดอยู่ดีจริงไหม (จริง)  เวลาหิวท้องร้องก็เป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  พอได้กินแล้วกินมากเกินไปก็ทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ระหว่างหิวกับไม่หิวมันต่างกันตรงไหน หิวก็ทุกข์ แต่พอกินอิ่มแล้วก็รู้สึกแน่น หรือพอจะกินก็ทุกข์อีก นี่อะไรไม่เห็นน่ากินเลยใช่ไหม (ใช่)  หมูปลอม เต้าหู้อีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์อีกอย่างหนึ่งคือความยึดมั่นถือมั่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลามีสุขเกินไปก็เบื่อ จริงไหม (จริง)  วันไหนได้ดูทีวีก็มีความสุข แต่พอดูมาก ๆ ช่องนั้นก็ไม่ชอบ ช่องนี้ก็ไม่ชอบ น่าเบื่อจริงๆ  ไม่มีอะไรถูกใจสักช่องเลย ได้ดูก็เบื่อไม่ได้ดูก็บ่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นสุขก็ทุกข์ เวลาเจอทุกข์ก็ทนไม่ไหวทุกข์อีก มนุษย์นี้เอาใจยากจริงๆ  ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเราควรทำอย่างไรดี ปล่อยวางไว้ทุกเรื่องไหม เราใช้คำว่า “ปล่อยวางไว้” ทุกเรื่องได้ไหม (ไม่ได้)  มนุษย์เราเมื่อมีชีวิตอยู่ ยังต้องอยู่ร่วมกัน ยังต้องเผชิญกับผู้คน  เมื่อเกิดเป็นคนสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือชะตากรรม  ถึงแม้เราจะปล่อยขนาดไหน บางครั้งมันก็ต้องเกิด เราห้ามไม่ได้
ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่ใช่เกิดมาเพื่อจมอยู่กับอารมณ์ ความปรารถนา หรือหมกมุ่นอยู่กับความสุขความทุกข์เกินไป แต่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องคือ การเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติปัญญาอย่างรู้เท่าทัน และครองตนไม่ประมาท ยอมรับในความไม่เที่ยงแท้ ถึงจะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องไม่ใช่เกิดมาเพื่อจมอยู่กับอารมณ์แห่งความสุข แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นอารมณ์แห่งความทุกข์ พอหมดทุกข์แล้วก็กลับมาจมในสุขอีก การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องคือการเผชิญกับทุกข์และสุขด้วยสติ ปัญญา และการรู้เท่าทันด้วยความไม่ประมาท มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงหนอ แล้วก็ไม่ใช่ของเราหนอ มั่นใจไหมว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นของเราตลอดไป มั่นใจไหม (ไม่มั่นใจ) คิดว่าแขนจะอยู่กับเราชั่วชีวิตจนตายไหม (ไม่คิด) คิดว่าขาสองขาของเราจะอยู่กับเราตลอดไหม (ไม่มั่นใจ) ผมเส้นเดียวบางๆ   ยังรักษาให้อยู่กับเราตลอดชีวิตไม่ได้เลย นับประสาอะไร กับแขน ขา เนื้อหนังและตัว จริงไหม (จริง)  ใครบ้างตั้งแต่มีชีวิตผมไม่เคยร่วง  เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่อยู่กับเรามันจะอยู่กับเราตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันไม่แน่ไม่นอน ฉะนั้นเราต้องไม่ประมาทและมีสติอยู่เสมอใช่ไหม เปรียบเทียบง่ายๆ มนุษย์บอกว่าตอนนี้ชีวิตฉันสุขสบายพอแล้ว ไม่เห็นต้องไปช่วยใคร ไม่เห็นต้องมีธรรมะ ท่านว่าพอไหม (ไม่พอ)  มนุษย์เตรียมอะไรเสมอสำหรับร่างกาย แต่ลืมเตรียมเรื่องของหัวใจ จริงไหม  
ท่านเคยเห็นแมงมุมไหม สมมติว่ามีต้นไม้ต้นหนึ่งมีกิ่งหนึ่งกิ่ง แมงมุมเกิดสร้างรังระหว่างกิ่งกับต้นไม้ตรงนี้ แล้วก็สร้างไยเต็มไปหมด แมงมุมบอกว่าพอใจแล้ว เดี๋ยวก็มีอะไรให้กิน พอแมลงตกปุ๊ป ฉันก็ไปขยุ้มมันแล้วก็กินๆ  ใช่ไหม แค่นี้พอแล้วชีวิตไม่ต้องทำอะไรแล้ว สบายใจ ชีวิตมันจะแน่นอนอยู่อย่างนี้ไหม (ไม่แน่นอน) มีอยู่วันหนึ่งลมเกิดพัดมาโหมกะหน่ำหยากไย่ ที่เขาเคยสร้างไว้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง หยากไย่เกิดขาดสะบั้นลง แมงมุมโดนพัดจนโซเซหล่นลงมา จากตอนแรกมีขาครบ กลายเป็นขาหายไปหนึ่งขา  ท่านเคยเห็นไหมแมงมุมมีกี่ขา (แปดขา) แต่มันมีสี่ขามันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ใช่หรือไม่ เมื่อมันตกลงมาแล้วมันก็กลับขึ้นไปสร้างรังใหม่ แต่ชีวิตมนุษย์ที่บอกว่าพอแล้ว มั่นใจแล้วว่าดีนั้นเมื่อมีเรื่องราวมากระทบจิตใจ เตรียมใจหรือยัง พร้อมไหมที่จะรับกับความพ่ายแพ้และสูญเสีย ในบางครั้งบางคราวของชีวิต ไม่พร้อมใช่ไหม (ใช่)  หรือท่านเคยเห็นรังไหม ไหม  ไหมมันคิดว่ามันสร้างรังเพื่อปกคลุมตัวเองไว้ เพื่อสักวันตัวเองจะกลายเป็นผีเสื้อที่งดงาม ไม่เคยเห็นว่าไหมตัวนี้ได้กลายเป็นผีเสื้อ แต่มันกลับกลายเป็นเสื้อผ้าไหมที่คนเอามาใส่อยู่ เพราะอะไร บางครั้งเรามั่นใจว่าสิ่งที่ปกป้องคุ้มครองตัวเราได้ก็ไม่แน่ว่าจะปกป้องคุ้มครองตัวเองได้ แต่กลับเป็นต้นเหตุนำความทุกข์มาสู่ชีวิตจริงไหม (จริง)  มนุษย์คิดว่าเงินทองสามารถทำให้มีความสุข แต่ไปๆ  มาๆ  เงินทองนั่นกลับทำให้เราพบความทุกข์ เราคิดว่าการมีแฟน มีคู่ ทำให้เรามีความสุข ที่ไหนได้ กลับทำให้เรามีความทุกข์ ลาภ ยศ ชื่อเสียงที่บางครั้งเราคิดว่า เราจะได้ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ เรากำลังจะเติบโตและก้าวหน้า แต่ที่ไหนได้บางครั้งก็กลายเป็นการทำให้เราพบกับความสูญเสียที่เจ็บปวด   แล้วเราเตรียมพร้อมใจบ้างหรือยัง เรารู้จักเตรียมพร้อมกายให้อิ่ม มีสุข สบาย  เราเคยเตรียมหัวใจเราไหม ก่อนฝนจะตก เรายังรู้จักซื้อร่ม ฉะนั้นก่อนใจจะเจ็บทำไมเราไม่รู้จักเตรียมอะไรไว้คุ้มครองตัวเรา แล้วเราจะเอาอะไรไว้คุ้มครองหัวใจให้เข้มแข็งไม่อ่อนแอ
ท่านคิดว่าอะไรจะคุ้มครองจิตใจเราได้ (อนุตตรธรรมของเบื้องบน) อนุตตรธรรมเหรอ ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ ธรรมะคุ้มครองชีวิตเราได้ไหม (ได้)  เราจะค่อยๆ คุยกันไปเรื่อยๆ จนได้คำตอบดีไหม ถ้าบอกทันทีดูไม่น่าติดตามจริงไหม (จริง) ถ้าบอกอะไรจนหมดแล้ว ท่านก็ไม่สนใจที่จะฟังเราถูกหรือเปล่า  เรายังไม่ให้คำตอบนะ แต่อยากให้ท่านลองฟังสิ่งที่เราจะมาคุยกับท่านดีหรือไม่ (ดี) ว่าอะไรที่จะช่วยคุ้มครองจิตใจเราและสร้างภูมิคุ้มกันใจของเราให้เข้มแข็ง เมื่อต้องเจอกับสภาวะที่คาดไม่ถึง มนุษย์มักจะพูดว่า “น้ำเน่าเปลี่ยนธาตุแปรสี ความเคยชินเปลี่ยนแปลงนิสัยคน” จริงไหม(จริง) จับคนใต้ไปอยู่ทางเหนือแล้วจะกลายเป็นคนผิวขาวขึ้นไหม (ไม่ขาว) จับคนใต้ไปอยู่ทางเหนือ นานๆ ภาษาที่เคยคอทองแดงจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไหม (เปลี่ยน) แต่พอกลับมาอยู่ใต้คอทองแดงกลับมาทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) มีทั้งเปลี่ยนได้และเปลี่ยนไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)
เรารู้ว่าการมาครั้งนี้ย่อมทำให้มีคนสงสัย ไม่เชื่อ คลางแคลงใจใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นธรรมดา ท่านระแวงไม่ผิดหรอก เพราะว่าการที่อยู่ๆ คนหนึ่งคนจะมาตีสนิทท่าน แล้วบอกว่าอันนี้ฉันก็ให้ อันนั้นฉันก็ให้ท่านก็ต้องรู้สึกว่าจะดีหรือเปล่านะ ใช่หรือไม่
คิดอย่างนี้ได้แต่ว่าคิดแล้วต้องไม่ย่ำอยู่กับที่ แต่ความคิดนี้ต้องพร้อมพัฒนาเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ในหัวใจ จริงไหม (จริง)  แต่อย่าปล่อยให้ความกลัวทำให้เราพลาดสิ่งดีๆ ที่ควรจะทำหรือควรจะเป็น เพราะในโลกนี้ล้วนมีเรื่องที่ต้องกลัวอยู่แล้วเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรื่องที่เราต้องกลัวอยู่นั้นก็มีทั้งความลำบาก มีทั้งปัญหาและมีทั้งทุกข์แอบแฝง ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในทุกขณะชีวิตของเราอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นบางครั้งเราอย่าได้กลัวจนทำให้เราพลาดที่จะทำสิ่งดีๆ ลงไป บางครั้งต้องมีความกล้าบ้าง แต่ก็อย่ากล้าจนถึงขนาดเชื่อมั่นตัวเองแล้วไม่รับฟังใคร ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าเกิดเชื่อมั่นตัวเองแล้วเราก็จะมองชีวิตแค่รอบตัวเองเท่านั้น แต่ไม่เคยมองโลกให้กว้าง เราก็จะกลายเป็นคนที่มีทัศนวิสัยคับแคบ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมองอะไรต้องมองให้กว้าง แล้วเปิดหัวใจให้กว้างด้วย เราก็จะสามารถเรียนรู้ชีวิตได้อย่างแจ่มชัด จริงไหม (จริง)  
วันนี้มาฟังธรรมกับเราต้องมีความกล้า ต้องมีความเชื่อมั่น และต้องมีใจที่กว้างด้วย ใช่ไหม (ใช่)  
วันนี้เรามาเพื่อแจกรอยยิ้ม ยิ้มเข้าไว้ ยิ้มทุกครั้งไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มได้เมื่อภัยมา ยิ้มได้เมื่อต้องทุกข์ทน และมีแต่รอยยิ้มเท่านั้นที่จะเป็นพลังและกำลังใจให้เราสู้กับโลกภายนอกนี้ได้อย่างเข้มแข็ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ร้องไห้นั้นร้องได้แต่ร้องแล้วต้องปาดน้ำตาทิ้งแล้วยิ้มให้ได้ จริงไหม (จริง)  เพราะน้ำตายิ่งออกมากตาก็ช้ำ ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์มักบอกว่าต้องอายุมากๆ ก่อนค่อยฟังธรรม แต่เมื่ออายุมากแล้วฟังไหวไหม (ไม่ไหว)  อายุมากหูก็ตึง ตาก็เริ่มมองไม่ค่อยเห็น  อายุมากๆ หูยิ่งตึงแปลว่า เรื่องอะไรที่ไม่ควรได้ยินก็อย่าไปได้ยินเลย ตาที่แต่ก่อนเคยมองอะไรชัดๆ เดี๋ยวนี้ก็เริ่มไม่ค่อยชัดฝ้าฟางใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมองมากเกินไปก็เจ็บปวด มองน้อยๆ ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งอายุมาก ธรรมะก็มีบอกไว้แล้ว ต้องรู้จักปลง ไม่ใช่อายุมากปลงไม่ได้ คิดไม่ตก คนที่เจ็บปวดก็คือคนที่เป็นนั่นเอง
ธรรมะสอนไว้ว่าขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่นั่งจนเกินไป แต่ก็ไม่ยืนจนมากไป ขึ้นชื่อว่าชีวิตต้องมียืนบ้างนั่งบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราที่ทุกข์เพราะคิดถึงตัวเองมากเกินไปจนลืมคิดถึงคนอื่น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้ารู้จักคิดถึงคนอื่นบ้างความทุกข์ก็อาจจะน้อยลง ใช่ไหม (ใช่)  หรือคนเราทุกข์เพราะว่าห่วงตัวเองมากจนลืมห่วงคนอื่น หรือตรงกันข้ามห่วงคนอื่นมากจนลืมนึกถึงตัวเองใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นเราดำเนินชีวิต สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือความพอเหมาะพอดี ไม่หนักข้างใดข้างหนึ่งจนเกินไป มนุษย์เรานั้นไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เราต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าคำนึงถึงคนอื่นมากจนเสียความเป็นตัวเองก็ไม่ดี คำนึงถึงตัวเองมากจนไม่สนใจคนอื่นก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักอยู่ให้พอดีพอดี
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีภาระหน้าที่ ถ้าเกิดภาระหน้าที่ที่เราควรจะทำ แต่เราไม่ทำเราผลัดไว้นานๆ เข้าก็จะเป็นดินพอกหางหมู ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือถ้าเราผลัดไว้แล้วเราคำนวณผิด สิ่งที่คำนวณก็อาจจะทำให้เรากลายเป็นทุกข์ได้ เรื่องที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเล็กแต่จริงๆ แล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ ปัญหาก็จะเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตของมนุษย์นี้หนีไม่พ้นเรื่องราว หนีไม่พ้นเรื่องกรรม และหนีไม่พ้นในเรื่องของมนุษย์ที่ต้องเกี่ยวสัมพันธ์กัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเรายกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ สักเรื่องหนึ่ง เรื่องก็มีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่ากับเพื่อนอีกสองสามคน พอเข้าไปในป่าเขาก็เดินชมนกชมไม้อย่างสบายใจ อยู่ๆ เสือก็กระโจนลงมา แล้วก็เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ  คนกลุ่มนี้เป็นอย่างไร จะยืนอยู่ตรงนั้นไหม คนกลุ่มนี้ก็แตกกระเจิงทันที แต่แปลกเสือมันตามใครไม่ตาม มันตามชายคนนี้คนเดียว คราวนี้เขาก็วิ่งๆ เสือมันก็ยิ่งตาม วิ่งไปก็หวาดกลัวไป แต่พอวิ่งมาถึงทางที่เป็นหน้าผา ทำไงดี เสือก็กลัว หน้าผาก็กลัว เอายังไง ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าใช่ไหม พอกระโดดลงไปโชคดีมีเถาวัลย์ให้เกาะ ช่วงที่เกาะเถาวัลย์นึกว่ารอดตายแล้ว แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นงู จากที่ตอนแรกคิดว่าโชคดี พอขยับขึ้นไปหน่อยเถาวัลย์มันจะขาด เพราะหนูดันมากัดเถาวัลย์ พอมองขึ้นไปด้านบนและมองลงมาด้านล่าง เขาคิดว่าตายแน่ชีวิตนี้ แต่สักพักหนึ่งหันกลับไปมองด้านข้าง  มีกลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ชนิดหนึ่ง หอมจังเลยดอกไม้นี้  แล้วช่วงขณะนั้นเอง เถาวัลย์ก็ขาดลง เรื่องก็จบเพียงเท่านี้   ท่านเคยได้ยินคำว่า “หนีเสือปะจระเข้” ไหม
มนุษย์มักคิดว่า ทำไม เขาไม่เกลียดคนอื่น ทำไมเขาถึงต้องมาเกลียดเรา ทำไมไม่ทำร้ายคนอื่น แต่ถึงมาทำร้ายคนในบ้านเราหรือมาทำร้ายตัวเรา จริงไหม (จริง)   แล้วบางทีโชคไม่เคยมีสองครั้ง เคราะห์ไม่เคยมาครั้งเดียว บางครั้ง เราคิดว่าปัญหานี้มาแล้วก็ยังคิดว่าเป็นปัญหาเล็กๆ อยู่   แต่พอเดินไปอีกสักพักก็เจออีกปัญหาหนึ่ง ฉะนั้นมนุษย์เราหนีเคราะห์กรรมไม่ได้ มนุษย์เรากำหนดโชคชะตาชีวิตให้เจอแต่สิ่งดีๆ ไม่ได้
เมื่อมีปัญหาเมื่อมีความทุกข์มาอยู่ตรงหน้า เราจะทำอย่างไร  ผู้ชายคนนี้มองข้างบนก็ช้ำ มองไปข้างล่างก็ทุกข์ มองที่เถาวัลย์ก็ขาดแน่ๆ  แต่พอหันไปมองด้านข้างยังมีดอกไม้ให้ชื่นชม แปลว่าอะไร ถึงแม้ภาวะแวดล้อมในหาดใหญ่จะเต็มไปด้วยความอึดอัดและน่ากลัว จะทุกข์แสนสาหัสอย่างไรก็ตามในช่วงนี้ แต่เราเชื่อว่ายังมีมุมมองที่ดีๆ และงดงามได้ จริงไหม (จริง)  โลกไม่ร้ายสำหรับคนที่มีจิตใจไม่ยอมแพ้ จำไว้นะโลกไม่โหดร้ายสำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้กับชีวิต
ชะตาชีวิตแม้จะบีบคั้นให้เราตัวลีบ ตัวงอขนาดไหนแต่แท้ที่จริงแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่น่าชื่นชมอยู่ ถ้าเรารู้จักหาและรู้จักมองให้เป็น ใช่หรือไม่ ดั่งคำว่า “ในทุกข์ก็มีสุข ในร้ายก็อาจจะมีดี” ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราต้องเจอเคราะห์ร้าย เจอความยากลำบากในชีวิต ขอให้ทำจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะความเข้มแข็งของจิตใจนั้นจะทำให้เรายิ้มได้เมื่อภัยมา ถ้าเรายิ้มได้เมื่อภัยมา เราจะมีพลังในการเรียนรู้ที่จะต่อสู้ชีวิตอย่างสันติสุข  แม้เราจะสูญเสียไปขนาดไหน แต่สิ่งที่สูญเสียก็ไม่ทำให้เราหมดสิ้นความสุขในหัวใจจริงไหม ถ้าคนๆ  นั้นไม่ยอมแพ้ เข้มแข็งและยิ้มสู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   
ในคนที่ร้ายก็มีคนดี ในคนที่เกลียดเราก็ยังมีคนที่รักเรา ใช่หรือเปล่า อย่าทำให้จิตใจอ่อนแอมาทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป แต่จงทำให้จิตใจอ่อนแอมาเสริมความดีของเราให้ยิ่งเข้มแข็งขึ้น  ถ้าเกิดมีคนมาคิดร้ายกับเรา เราควรจะร้ายตอบเขาไปดีไหม (ไม่ดี) เมื่อมีคนมาว่าเรา เราควรจะว่าตอบดีไหม (ไม่ดี) เมื่อมีคนมาทำร้ายเรา เราควรทำร้ายตอบดีไหม (ไม่ดี)  สามีว่ามา เราจะ (นิ่ง)  ภรรยาบ่นเรามา เราจะ (เงียบ) เงียบหรือยิ้ม (ยิ้ม)  
พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า “ใครประหารเรา เราจงอย่าประหารตอบ คนผู้นั้นเป็นผู้ที่สร้างคุณอันประเสริฐ เป็นผู้ที่หยุดการผูกเวรผูกกรรมกับผู้อื่น” มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรม  เราต้องการที่จะสร้างกรรมเพื่อผูกกรรมต่อไหม (ไม่) ฉะนั้นเราจะลดกรรมได้นั้น เมื่อเขาแค้นมาเราไม่แค้นตอบ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะอย่าลืมนะว่ามนุษย์ผู้หยุดการโกรธการเกลียด และการกระทำที่รุนแรง มนุษย์ผู้นั้นคือผู้ที่สร้างบุญอันประเสริฐ จงเป็นผู้ที่แม้ข้างหน้าจะเป็นทะเลทุกข์ แต่สามารถหันหลังกลับเพื่อหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้  เขาว่ามาครั้งหนึ่ง เราหยุดไม่ว่าตอบ เท่ากับเราไม่ผูกเวรแล้วหมุนต่อนะรู้ไหม
ฉะนั้นแล้วทุกข์มาจากที่ใด ทุกข์ก็มาจากการเบียดเบียนที่ไม่จบไม่สิ้น เราอยากดับเหตุแห่งทุกข์ เราก็ต้องเลิกที่จะเบียดเบียนเขา ยอมหยุดที่ตัวเรา แม้หินจะกลิ้งมาทับใครก็ตาม แต่เราจะเป็นคนที่ยอมแบกหินนี้ และทะลายหินด้วยมือเรา ผู้นั้นแหละคือผู้ที่สามารถหยุดการเวียนว่ายตายเกิดด้วยน้ำมือตัวเองนะ ฉะนั้นเมื่อไรที่มีเคราะห์ เมื่อไรที่โชคร้าย เมื่อไรที่โดนคนทำให้เรารู้สึกสูญเสีย จงจำไว้ว่าช่วงนั้นแหละที่เราได้ใช้กรรม และจะหลุดพ้นจากกรรมหรือไม่ หรือจะเพิ่มกรรมแล้วเวียนว่ายต่อๆ ไปจริงไหม (จริง)  แค้นมาแค้นตอบ ความแค้นจะไม่มีวันหยุดและสงบนิ่ง  ฉะนั้นสิ่งที่จะหยุดได้ก็คือปล่อยให้เขาทำจนสะใจ แต่ท่านจะทนไหวหรือเปล่า  ถูกไหม (ถูก)  
“มีใจอย่าเอาอยากมาสนอง”  ถ้าทำอะไรด้วยความอยากแล้ว พอไม่สมอยากเราก็เลิกก็ไม่ถูกต้อง  ฉะนั้นฟังธรรมะก็อย่าฟังเพราะว่ามีใจอยาก แต่ฟังเพราะว่าอยากมีความสงบในหัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาฟังธรรมะเพื่อหยุดอยาก หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง ไม่ใช่มาเพื่อเพิ่มความอยาก ความโกรธ ไม่ใช่มาฟังธรรมเพื่อสนองกิเลสอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอใครพูดอะไรไม่ถูกใจนิดไม่ถูกใจหน่อยก็งอนไม่มาห้องพระได้ไหม (ไม่ได้)  ใครพูดอะไรนิดอะไรหน่อยไม่ถูกใจเราก็ยังต้องมา เพราะเป็นการมาฝึกขัดเกลาจิตใจว่าเราจะทนได้ไหม  ถ้าใครพูดอะไรไม่ถูกใจนิดหนึ่งโกรธไปเลย โกรธเสร็จแล้วแค้น เวลาแค้นแล้วใจมันร้อนไหม (ร้อน)  แล้วใครทุกข์ (ตัวเราเอง)  
ฉะนั้นการเดินไปสู่หนทางแห่งการเข้มแข็งและอดทนต่อสิ่งที่มากระทบใจคือต้องทำอย่างไรรู้ไหม  ถามง่ายๆ นะ ถ้าคนที่ไม่เป็นโรคกินอะไรก็กินได้สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรามีโรคอยู่ข้างใน ถ้ากินอะไรนิดหน่อยมันก็จะเกิดการแสลง เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น มือถ้าไม่มีแผลจับอะไรถึงแม้จะเป็นยาพิษก็ไม่เกิดโทษกับตัวเรา  แต่ถ้าเมื่อไรมีแผลสักนิดหนึ่งจับแล้วเป็นอย่างไร แสบทันทีถึงแม้ว่าสิ่งที่จับนั้นอาจจะไม่มีโทษแต่ก็อาจจะเกิดโทษได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ามีแผลจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากเรียนรู้ที่จะอดทนกับสิ่งที่ยากทน สำคัญที่สุดคือหัวใจอันเข้มแข็งจริงไหม (จริง)  ถ้าเรามีหัวใจอันเข้มแข็ง ไม่เปราะบาง ไม่มีโรคทางใจ ใครมากระทบหรือเรื่องใดมากระทบจะทำเราเจ็บปวดได้ไหม ว่ายังไงก็ไม่รู้สึกใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่า เรานั้นมีจิตใจเข้มแข็งจริงหรือไม่ (จริง)  กับมีอีกแบบหนึ่ง เราห้ามโลกใบนี้ให้เกิดแต่เรื่องดี แล้วไม่เกิดเรื่องร้ายตามใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  เราห้ามโลกภายนอกไม่ได้ แต่เราสามารถห้ามและควบคุมหัวใจไม่ให้เรื่องภายนอกมามีอิทธิพลต่อจิตใจได้นี่จริงไหม (จริง)  เคยเห็นไหมว่าคนที่เรารักว่าเรา เจ็บกว่าคนที่เราไม่รู้จักว่าเราใช่ไหม (ใช่)  พ่อแม่ดุเราให้เราเจ็บ แต่คนไม่รู้จักว่า เรารู้สึกเฉยๆ เพราะเราคิดว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันจริงไหม (จริง)  เหมือนกันภาวะภายนอกจะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ ถ้าเราไม่รู้สึกรู้สากับคนคนนั้นใช่ไหม (ใช่)  อำนาจจะไม่ทำให้เราเจ็บปวด ถ้าเราไม่ได้แคร์กับเรื่องๆ นั้น หรือรักเรื่องๆ นั้น จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นวิธีที่จะทำให้เราอดทนและเข้มแข็งต่อภัยที่มากระทบคือ หัวใจต้องเข้มแข็ง และสิ่งนั้นไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจเรา ใช่ไหม แต่คนที่จะมีใจเข้มแข็งได้ต้องไม่เป็นโรคหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจ รักง่ายหน่ายเร็ว ขี้บ่น ใช่ไหม  (ใช่)  หงุดหงิด รำคาญ  อะไรนิดอะไรหน่อยก็เบื่อรำคาญ ถ้ามีนิสัยอย่างนี้อยู่ เจออะไรก็เป็นอันเจ็บได้ง่าย แล้วก็กระทบกระเทือนได้ง่าย จริงไหม (จริง)  หรือเป็นพวกมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ระวังไม่เชื่อใครง่ายๆ  อย่าให้ชีวิตขึ้นกับสิ่งที่ได้มา แต่จงทำสิ่งที่ได้มาให้ขึ้นอยู่กับตัวเรา  
มีนิทานเรื่องหนึ่ง เด็กไปซื้อซีอิ๊วมาขวดหนึ่งตามคำสั่งของแม่  วิ่งไปซื้อซีอิ๊วมาพอกลับบ้านก็ทำซีอิ๊วตกแตก  หัวขวดมันขาดไปเหลือแต่ก้น เหลือซีอิ๊วตั้งครึ่งขวด เด็กก็ถือซีอิ๊วกลับบ้านด้วยความระวัง แม่ถามลูกว่าซีอิ๊วหายไปไหนครึ่งขวด ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ชีวิต เป็นเหมือนน้ำชีอิ๊วที่หายไปครึ่งขวด แต่เราต้องรู้จักควบคุมสิ่งที่เหลือครึ่งหนึ่งให้มีความสุข เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ต้องทำให้เราเจ็บปวด ต้องทำให้เราพลัดพรากสูญเสีย อย่าไปรื้อฟื้นมันขึ้นมา เสียแล้วก็เสียไป เราต้องพยายามรักษาสิ่งที่มีอยู่ให้ดี อย่าทุกข์ไปกับสิ่งที่ต้องเสียไปแล้วเลยใช่ไหม (ใช่)  
ถ้าเขาว่าเราว่าไอ้บ้า ไอ้เลว โกรธไหม หากโกรธ เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าคนเลวเลย แต่ถ้าเรานิ่ง เราสงบ ไม่เป็นไร เขาว่าแล้วก็หายไป แต่สิ่งที่ดียังอยู่ใช่ไหม  (ใช่)  ฉะนั้นอย่าปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้มา แต่จงรู้จักควบคุมสิ่งที่ได้มาให้เกิดประโยชน์ในชีวิต เข้าใจไหม แค่นี้พอมีภูมิคุ้มกันหรือยัง ใครว่าเรามาเราจะอดทนได้หรือเราจะว่าตอบ เราจะว่าตอบไหม (ไม่ว่า) จะเข้มแข็งขึ้นใช่หรือไม่
วันนี้สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ ผ้าแม้จะสกปรก มนุษย์ยังรู้จักซักให้สะอาด จิตใจที่วันหนึ่งต้องตกไปยังสิ่งที่แปดเปื้อนเศร้าหมองทุกข์ตรม ทำไมเราไม่รู้จักดึงผ้าขึ้นมาสะบัด แล้วซักให้สะอาดล่ะ หัวใจบางครั้งตกไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะช้ำใจเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อตกไปแล้วทำไมเราไม่รีบดึงขึ้นมาแล้วชำระล้างให้สะอาด แล้วสิ่งใดจะช่วยชำระล้างจิตใจให้สะอาดและบริสุทธิ์ ถ้าไม่ใช่คุณธรรม คุณธรรมอะไรที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เขาร้ายมาแต่เราไม่ร้ายตอบ พูดได้คำเดียว คือ  เมตตา กรุณา เมตตาคือหวังให้ผู้อื่นมีสุข  กรุณาคือหวังให้ผู้อื่นพ้นทุกข์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ  ถ้ามนุษย์มีจิตใจเมตตากรุณาแล้วหมั่นเรียนรู้เข้าใจชีวิตของทุกๆ คน  คนในโลกจะเป็นคนที่ไม่น่ารังเกียจเลย  แต่ทุกๆ คนทุกๆ แบบ จะเป็นแบบให้เราฝึกใจตัวเองให้เข้มแข็งและอยู่ในโลกนี้ให้ได้ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข จริงไหม (จริง)  เจอคนร้ายต้องยิ้มไว้ เราจะได้ฝึกตัวเองว่าเราจะอดทนไหวไหม เจอคนว่าเราต้องคิดว่าดีจังเลย เราจะได้รู้ว่าตัวเองเข้มแข็งหรือไม่เข้มแข็ง อย่าไปเกลียดเขา เขามาให้เราฝึกว่าความดีของเรามันจะอยู่กับเราหรือหายไปกับเขา ใช่ไหม ฉะนั้นเจอคนว่า เจอคนร้าย นั่นแหละเป็นการทดสอบเรา ว่าเราจะรักษาจุดแข็งให้มั่นคงยิ่งขึ้น หรือจะทำให้จุดอ่อนมาทำลายจุดแข็งในหัวใจ ใช่ไหม (ใช่)
เรารู้อากาศมันเย็น แล้วท่านก็นั่งมาทั้งวันแล้ว เหนื่อยแล้วก็เพลียใช่หรือไม่ ตั้งแต่ท่านฟังมาธรรมะจนถึงตอนนี้ได้อะไรบ้างไหม (ได้) เรารู้ในนี้มีคนไม่ได้อะไรเลย รู้แต่ว่าเด็กคนนี้พูดเก่งมากเลย เราอยากจะบอกว่ายิ่งสังคมปัจจุบันนี้โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ เราไม่ขอคุยที่อื่นนะ ภาวะแวดล้อมเป็นอย่างไร สดใสไหม สบายใจไหม มองออกไปก็มีแต่ความหวาดกลัวใช่หรือไม่ (ใช่) เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ อยู่ก็ลำบากใจ แล้วต่างอะไรกับหนีเสือปะจระเข้จริงไหม (จริง) จะไปเริ่มต้นหรือหนีไปที่อื่นก็ทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือมองโลกให้กว้างแล้วเปิดทัศนหัวใจให้กว้างตามด้วย แล้วเราจะรู้ว่าความสามารถของมนุษย์ไม่ได้มีแค่นี้ ไม่ใช่โดนบีบแล้วต้องตาย แต่โดนบีบแล้วสามารถรอดได้ แล้วรอดอย่างมีความสุข ด้วยหัวใจที่คิดเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่จำเป็นต้องเชื่อเราก็ได้นะ แต่เราแค่อยากบอกท่านว่า ยิ่งภาวะเป็นอย่างนี้อย่าได้ทุกข์ อย่าให้ทุกข์มาซ้ำเติมให้ตัวเองยิ่งแย่ลงไปใหญ่ อย่าได้เครียดแล้วโวยวายกับคนในบ้านให้บรรยากาศยิ่งน่าเศร้า ใครบ้างออกจากบ้านก็เครียด กลับมาบ้านทำอะไรไม่ได้ก็บ่นกับทุกคนในบ้านเลย แล้วมันดีไหม (ไม่ดี) ต้องร่วมพลังกันแล้วสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในครอบครัว ด้วยการเข้มแข็งและรู้จักเปิดใจกว้าง เปิดมุมมองใหม่ให้กับชีวิต อย่ายอมแพ้ชีวิต
หากเราจะพูดว่าอดีตท่านทำมาอย่างไร ปัจจุบันต้องเจออย่างนี้ไม่มีประโยชน์ สู้ทำปัจจุบันตอนนี้ให้มีความสุข อดีตมันผ่านไปแล้ว ไปนึกถึงมันก็ทำให้ปัจจุบันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ใช่ไหม (ใช่) เมื่อก่อนขายดีทำไมวันนี้ขายไม่ได้เลย คิดอย่างนี้คิดทำไม คิดให้แย่เปล่าๆ จริงไหม (จริง) เมื่อก่อนไปไหนก็ไปได้สบาย อยากจะไปกินข้าวต้มตอนดึกก็ออกไปกินได้ ตอนนี้ปล่อยท้องร้อง กินข้าวต้มกับภรรยาที่บ้านก็ได้ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกำลังจริงไหม (จริง)  อย่ายอมแพ้เสียก่อนนะ เมื่อเจอปัญหาอย่าได้เอาแต่หนี แต่จงมีสติแล้วกล้าเผชิญด้วยปัญญาของตัวเองได้ไหม (ได้) เกิดเป็นคนไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ หัวใจที่เข้มแข็ง แม้ภาวะจะทำให้เราอ่อนแอ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความเข้มแข็งของหัวใจ เมื่อเจอปัญหาเราต้องเข้มแข็ง อย่าตัดสินชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย มันไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์กว่าจะได้เกิดมามีร่างกายนี้ไม่ใช่ง่าย ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักสร้างคุณอันประเสริฐ คุณประเสริฐคือหยุดการโกรธ หยุดการเบียดเบียน หยุดการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ด้วยมีจิตใจที่ให้อภัยและพยายามเข้าใจ
เมื่อมีรักก็ย่อมมีทุกข์จริงไหม แต่ถ้าเกลียดก็มีทุกข์ไม่ต่างกับมีรักใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นหากเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราไม่รักไม่เกลียดใครเลยได้ไหม (ได้) เราบอกว่ามีรักที่ไหนก็มีทุกข์ที่นั่น มีเกลียดที่ไหนก็มีความเจ็บปวดที่นั่น ฉะนั้นชีวิตนี้ไม่รักใคร ไม่เกลียดใครดีไหม (ดี) เราอยากจะบอกว่าดีนะถ้าท่านทำได้ รักคนหนึ่งก็รักอย่างเท่าเทียม เกลียดคนหนึ่งก็เกลียดอย่างเท่าเทียม เกลียดที่เขามีความโกรธแล้วไม่ยอมเลิกโกรธสักที ใครมีความโกรธความเกลียดเหมือนกัน ถ้าความเกลียดเท่ากัน ความรักจะไม่แตกต่าง แต่ถ้าเราเกลียดใครมากๆ แสดงว่าเรานั้นรักเขามากๆ เช่นกัน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจนถึงที่สุดแห่งความทุกข์ ที่สุดของปัญหาเกิดจากอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะความรักและความเกลียด จริงไหม (จริง)  
ทำไมเราถึงไม่ชอบปัญหา ไม่ชอบความทุกข์เพราะว่ามันทำให้ฉันเจ็บ เราเกลียดปัญหาแต่เรารักตัวเอง เพราะไม่อยากให้ตัวเองเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วต้นตอของปัญหาหรือต้นตอของความทุกข์ก็คือความรักและความเกลียด หรือพูดง่ายๆ ก็คืออารมณ์ที่มันเกาะในหัวใจ ใช่ไหม (ใช่)
มีมนุษย์ก่อนหรือมีอารมณ์ก่อน มีมนุษย์ก่อนหรือมี รัก โลภ โกรธ หลงก่อน มีมนุษย์ก่อนใช่ไหม เรามีตัวเรา เราจึงมีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ทำไมเรากลายเป็นทาสของอารมณ์ที่มาทีหลัง ถูกไหม (ถูก)  ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราเป็นคนสร้างอารมณ์รัก อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หลงหรือ แล้วทำไมตอนนี้อารมณ์รัก อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง มันจึงกลายเป็นเจ้านายบงการใจเรา ทั้งที่ต้องมีตัวเราก่อนไม่ใช่หรือมันถึงจะมีนิสัยอย่างนี้ออกมา แล้วทำไมตอนนี้เวลากลายเป็นอารมณ์สั่งให้โกรธ ก็โกรธ เวลาอารมณ์มันสั่งให้ร้องไห้ก็ร้องไห้ แล้วเราห้ามใจเราไม่ได้หรือ ปล่อยตัวเองออกจากการจองจำของอารมณ์บ้างนะ เลิกขังตัวเองกับนิสัยที่ไม่น่ารักเถิดนะ ท่านรู้นี่ว่านิสัยอะไรในตัวเราที่น่าเกลียดที่สุด ออกมาเมื่อไหร่ใครๆ ก็เกลียด ออกมาเมื่อไหร่เหมือนระเบิดลง  ทุกคนออกจากบ้านทันทีใช่ไหม เราเกลียดระเบิดแล้วทำไมเราไม่เกลียดอารมณ์โกรธ เราเกลียดคนที่ชอบทำอะไรลับหลังเรา ทำไมเราไม่เลิกนินทาผู้อื่นจริงไหม (จริง)  เห็นใครที่ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา เขาแอบมาฆ่าคนข้างหลัง แล้วตัวเราล่ะเกลียดเขาแต่แอบนินทาเขา แล้วเราไม่เหมือนกันเหรอ แทงเขาข้างหลังอย่างนี้ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นเมื่อเห็นสิ่งอะไรที่ไม่ดี ให้นำมาสอนตัวเรา ว่าตัวเราเป็นอย่างนั้นไหม ทำได้เช่นนั้นแล้วเราจะสามารถเกลียดหนึ่งแล้วเกลียดเท่าๆ กันทุกคน รักหนึ่งก็จะรักเท่าๆ กันทุกคน ไม่กลายเป็นรักที่ลำเอียง และไม่กลายเป็นเกลียดที่ไม่มีเหตุผล ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เรามาพูดธรรมะถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังระแวงไม่เชื่อใจอีก เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าในหัวใจท่านมีความไม่เชื่อใจ ยิ่งพยายามไปเข้าใกล้เราก็ยิ่งรู้สึกแย่ไปกับเขาด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  สำหรับวันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านในช่วงเวลาสั้นๆ ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราไม่ว่าอะไร เราต้องการมาแสดงประจักษ์หลักฐานให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ว่า เมื่อใดที่มนุษย์มีหัวใจอย่างคนที่มีธรรม ธรรมะจะช่วยให้มนุษย์ละลายความโกรธ ความเกลียด เดินไปสู่หนทางที่ถูกต้อง หรือถึงจะมีรักก็เป็นรักที่เข้าใจ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ถึงแม้จะพบทุกข์สามารถหาทางออกในความทุกข์ที่เจอ
ฉะนั้นจงหมั่นศึกษาธรรม เอาธรรมะมาบ่มเพาะจิตใจ มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยชำระล้างคนร้ายให้กลายเป็นคนดี คนดื้อด้านให้กลายเป็นคนอ่อนหวาน คนก้าวร้าวให้กลายเป็นคนอ่อนโยนและเห็นใจคน จะช่วยใครช่วยด้วยเงินทองไม่สำคัญเท่ากับช่วยด้วยธรรมะ จริงไหม (จริง)  เพราะธรรมะจะกล่อมเกลาให้เขารู้จักคิดเป็น
ฉะนั้น ไม่ว่าจะพบทุกข์ พบเคราะห์กรรม หรือพบภัยอะไรที่ร้ายแรงขนาดไหน จงยิ้มให้ได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เพราะทุกเรื่องราวในโลกนี้มีทางออกเสมอ ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้  อย่ายอมแพ้นะ มีอะไรที่เกิดขึ้นจงรู้จักให้อภัย แม้เขาจะทำให้เราเจ็บปวดขนาดไหน  ก็ถือเสียว่าเราได้ใช้หนี้กรรม เราจะไม่เวียนว่ายต่อไปอีกแล้ว แต่เราจะมีแต่ให้อภัย ให้อภัย ทำได้ไหม
แม้เราอยู่ในโลกจะต้องเจอมุมมองที่แตกต่าง ความคิดที่แตกต่าง หรือความเห็นที่ขัดแย้งกันก็อย่าได้รังเกียจกันนะ โลกนี้จะสมบูรณ์ได้ก็เพราะมีความแตกต่าง และในความแตกต่าง ก็มีความรักอันปรองดองที่ไม่เหมือนใคร

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    หากยึดกุมเอาไว้ก็จะอยู่    เพราะไม่รู้ทิ้งไปจะสูญเสียก่อน
เข้าออกไม่มีเวลาอันแน่นอน    จะหนาวร้อนไปทางไหนยากรู้ทาง
        เราคือ
    จี้กงอาจารย์เจ้า        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมเต๋อฮว่า   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคน เหลือเนื้อกี่เปอร์เซ็นต์

    ยอมอาบเหงื่อต่างน้ำย่อมรับรู้    เส้นทางผู้ยิ่งใหญ่ย่อมได้แจ้ง
ยอมรับใช้ประชานับช้างสารแรง    ศรัทธาแพงกว่ายอมรับถือตราบนาน
เสียงระงมพิสูจน์ซ้ำไม่หูหนวกใส่    ดวงใจไม่บอดธรรมะเรียกย่อมขาน
ตื่นใจต่อหลักธรรมล้ำรูปการณ์    เชื่อบางด้านอธรรมชนะจะเผลอใจ
กำราบศึกนอกในการจะฝึกหัด    ยิ่งปฏิบัติแจ้งในหลักยิ่งลื่นไหล
ทุกข์ยิ่งจริงแท้ทำประจักษ์ยิ่งง่าย    โชคไม่ไขขานตอบทำทางเอง
ศิษย์ไม่รู้ต้องทำต้องลำบากก่อน    อดีตสอนให้พลาดไปตรงใจเผง
ฝึกสติตามรู้จึงสำนึกไปเอง    ชีวิตเซ็งเพียรใจเปิดคุณในคุณ
            ฮา  ฮา   หยุด


    จะถึงก็ไม่ถึง ถูกดึงเกี้ยวไว้คราวหน้า  ขืนผัดลัดคืบเป็นวา กลับว่าทำไม ทุกข์ยังเหมือนเดิม
*    ไม่หือไม่หา ติว่าแต่ใครถือมั่น  จอมคิดไม่มียอมกัน  ไม่น้อยกัน ไม่เป็นรอง
    กว่าถึงจุดหมาย  อย่าเอาแต่ใจแก้มป่อง  คนที่ส่วนมากคุยฟ่อง  ร่วงลงไปกอง  ไม่ทันเห็นโลง
    นกเป็นของฟ้า  มีล้าจึงมีวันโล่ง  ใครพูดว่าใครไม่โยง ลืมไปสักเรื่องเถอะหนา
    ( ซ้ำ  * )

ชื่อเพลง  ฝึกใจไม่เป็นรอง
ทำนองเพลง จะขอก็รีบขอ

หมายเหตุ   เนื้อเพลงท่อนที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานเพิ่มเติมขึ้นจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “ฝึกใจไม่เป็นรอง”

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้มาฟังธรรมะแล้วได้เนื้อหรือได้น้ำ?  สิ่งที่เป็นน้ำคืออะไรบ้าง  สิ่งที่เป็นเนื้อเราตอบง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งที่เป็นน้ำมีอะไรบ้าง (น้ำใจจากพระอาจารย์)
เวลานั่งแล้วเบื่อๆ เซ็งๆ เมื่อยๆ อย่างนี้เป็นน้ำหรือเปล่า (เป็น)  มองไปไม่เห็นใครเข้าตาอย่างนี้เป็นน้ำหรือเปล่า (เป็น)  นั่งๆ ไปแล้วเกิดความรู้สึกเบื่อแล้ว ความรู้สึกต่างๆ เป็นน้ำหรือเปล่า (เป็นน้ำ)  ความไม่พอใจ ไม่ชอบใจอย่างนี้เป็นน้ำหรือไม่ (เป็นน้ำ)
แต่ว่าในวันนี้เราได้รู้จักเนื้อและรู้จักน้ำ นี่คือธรรมะที่เราเก็บไปปฏิบัติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์เรียกว่าเนื้อ แต่สิ่งที่เป็นความรู้สึกของเราเรียกว่า “น้ำ” ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถามว่าหลังจากสองวันนี้เรากลับไปอยู่ที่บ้าน เราจะอยู่กับเนื้อหรือจะอยู่กับน้ำ (อยู่กับเนื้อ)
ปกติก่อนหน้านี้ก่อนที่จะมาฟังธรรมะ ก่อนที่อาจารย์จะพูดว่าเนื้อและน้ำเป็นอย่างไร  ศิษย์อาจารย์อยู่กับเนื้อหรืออยู่กับน้ำ อยู่กับน้ำใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้รู้แล้วว่าอะไรคือเนื้อและอะไรคือน้ำ หลังจากสองวันนี้แล้ว เราจะอยู่กับเนื้อหรือว่าอยู่กับน้ำ (อยู่กับน้ำ)  เห็นไหมว่าแม้กระทั่งพูดธรรมะกันอยู่ตรงนี้ ยังมีบางคนใจลอย แสดงว่าต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ ถึงจะได้สิ่งที่ดีมากกว่านี้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตั้งใจมากก็กรองเนื้อได้มาก  ตั้งใจน้อยก็กรองเนื้อได้น้อย วันนี้เนื้อเก็บมาแล้วแปดเปอร์เซ็นต์ กลับไปถึงบ้านเหลือกี่เปอร์เซ็นต์  เราบอกว่าเขาส่งเนื้อธรรมะมาให้เราหนึ่งร้อย แต่ตอนนี้หนึ่งร้อยอยู่ในใจเรา เราเก็บเอาไว้ได้เท่าไหร่ (แปดสิบ)  ตอนนี้เราเก็บได้แปดสิบแล้ว กลับไปบ้านเราจะมีธรรมะอยู่ในชีวิตสักเท่าไหร่ดี
คนมักมีความมั่นใจในตัวเอง คนที่คิดว่าส่วนใหญ่ตัวเองทำได้มักทำไม่ได้  ส่วนคนที่บอกว่าตัวเองทำไม่ได้ส่วนใหญ่ทำได้ เพราะอะไร เพราะว่าคนที่มีความมั่นใจมากมักจะเลินเล่อ ส่วนคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองนั้นจะมีความระมัดระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความระมัดระวังสำคัญมากในชีวิตของศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลามีภัยอันตรายความระมัดระวังมาต้องเป็นอันดับหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สมมติมีคนเอาปืนมาจี้เรา ถามว่าเราจะยอมทิ้งเงินทองเพื่อความปลอดภัยหรือไม่ ขอให้ศิษย์รำลึกไว้ว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงิน ถ้ายังมีชีวิตอยู่ศิษย์จะมีทุกสิ่งทุกอย่างได้  แต่ถ้าหากว่าไม่มีชีวิตอยู่ศิษย์จะไม่มีอะไรสักอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนแล้วเราจะอยากตายได้ไหม (ไม่ได้)  เคยทุกข์จนอยากตายไหม (เคย)  คนที่ชอบพูดว่าอยากตาย ทุกข์จังเลยถึงเวลาให้ตายจริงๆ ไม่ยอมตายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอย่าบ่นว่าตัวเองทุกข์จนอยากตายเพราะถึงเวลาจริงๆ ให้ตายไม่ยอมตาย แต่ที่ตายอยู่นี้คือความเครียดของตัวเอง ความกังวล ความคิดวนไปวนมา มองแต่ปัญหาของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เคยเป็นแผลไหม เวลาแผลตกสะเก็ดแล้วเป็นอย่างไร (คัน)  ใครที่เป็นแผลแล้วไม่เกามีไหม  คนที่มีแผลต้องเกาแผลกันทุกคนเหมือนเวลาเรามีเรื่องเราก็จะมองแต่เรื่องนั้นทุกทีเลย มีเรื่องตั้งหลายอย่างให้เรามองแต่เราก็มองแต่ปัญหานั้นๆ จริงหรือไม่ (จริง)
ตาเป็นตาเรา ใจเป็นใจเรา ควบคุมผู้อื่นหรือควบคุมตัวเอง (ควบคุมตัวเอง)  ควบคุมปัญหาหรือควบคุมตัวเอง (ควบคุมตัวเอง)  เราต้องควบคุมตัวเอง เราจึงจะชนะปัญหาทุกอย่าง จริงหรือไม่ (จริง)  บางทีปัญหาก็เป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราเจอก็เป็นอย่างนั้น เราเปลี่ยนคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  เปลี่ยนสภาพแวดล้อมได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ทุกวันนี้เราอยากเปลี่ยนทุกๆ อย่างเลย จริงหรือไม่ (จริง)  แต่เราลืมเปลี่ยนตัวเอง
ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วหรือยัง ถ้าศิษย์อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นต้องมาช่วยตัวเอง  แต่การช่วยตัวเองนี้ไม่ใช่ให้ช่วยตัวเองอย่างคนที่เห็นแก่ตัว ทุกวันนี้ท่ามกลางสังคมที่เรานั้นอยู่อาศัยพึ่งพิง เรามักจะช่วยตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว “ช่วยเหลือตัวเอง” นั้นหมายความว่าให้ช่วยทางด้านจิตใจของตัวเอง ต้องเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่งมากขึ้น
เหมือนวันนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่อยู่ทางภาคใต้ ภาคใต้กำลังร้อนไหม (ร้อน) อยู่ในบ้านร้อนหรือเปล่า (ร้อน)  ไปที่ไหนไกลๆ ก็กลัวๆ อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราต้องอย่ากลัว ความกลัวเป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจ และในขณะเดียวกันศิษย์ต้องรู้จักระวังตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกวันนี้เราระวังตัวหรือเปล่า (ระวัง)  ระวังตัวแล้วระวังใจหรือเปล่า ระวังกับระแวงเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ตอนนี้ระวังตัวแล้ว แต่ใจยังกลัวอยู่ ตอนนี้ไม่ใช่ระวังใจแต่เป็นระแวง ถูกหรือไม่  ทำอะไรก็มีความหวาดระแวงไปหมด
แต่ในวันนี้อาจารย์ขอชื่นชมศิษย์ทุกคนที่มานั่งเป็นนักเรียนที่นี่ ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่นี่ และทุกคนที่เหยียบอยู่บนพื้นที่นี้ ทุกคนมีความกล้าหาญดี ทุกคนรู้จักที่จะช่วยชีวิตของตัวเอง ช่วยจิตญาณของตัวเอง  ฟังธรรมะแล้วเอาธรรมะไปใช้กับชีวิตของตัวเอง
คนที่มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีธรรมะ คนๆ นี้ต่อให้อายุยืนอีกร้อยหนึ่งก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากว่าเป็นคนที่มีธรรมะ เอาธรรมะไปใช้ในชีวิต ถึงแม้ศิษย์จะมีโอกาสใช้ธรรมะเพียงสามวันห้าวัน อาจารย์ก็คิดว่าศิษย์นั้นมีชีวิตที่คุ้มค่ายิ่งกว่า
ไม่ใช้ชีวิตอย่างมัวเมางมงาย ไม่ใช้ชีวิตอย่างติดในกิเลสติดรูป อย่างนี้เป็นชีวิตที่คุ้มค่ายิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เราจะไม่ใช้ชีวิตอยู่เพียงสามวันห้าวัน แต่เรายังมีชีวิตอยู่อีกเป็นปีๆ เราต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าสมราคากับที่ชีวิตเรามี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเราจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเราสร้างคุณค่า ถ้าเราไม่สร้างคุณค่า ต่อให้เราอยู่อีกนานแค่ไหนก็ (ไม่มีค่า)  จำได้ไหม (จำได้)
อยากนั่งหรือเปล่า (อยาก) ถ้าอาจารย์นับหนึ่งถึงสามต้องนั่งพร้อมกัน ถ้านั่งไม่พร้อมกันลุกขึ้นยืนใหม่ดีหรือไม่ (ดี) เมื่อใครมาอยู่ตรงหน้าเราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ถ้าลุกนั่งพร้อมกันยังทำไม่ได้จะไปสู้ภัยได้หรือไม่ (ไม่ได้)
เวลาที่เห็นคนอื่นทำผิดพลาดเราบอกว่าเขาพลาดได้ไหม (ไม่ได้, ได้) ไหนใครว่าได้ยกมือขึ้น เวลาเห็นสามีผิดหรือเห็นภรรยาทำผิด เราพูดได้หรือไม่ได้ (ได้, ไม่ได้) นี่แหละทำให้คนมีปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามว่าคนทำผิดอยากถูกตราหน้าว่าทำผิดไหม (ไม่) แล้วคนทำผิดยังเป็นคนดีได้หรือเปล่า คนทำผิดยังเป็นคนที่ทำดีได้ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะเราทุกคนเป็นคนที่ทำผิดมาก่อนแต่เราก็ยังดีอยู่จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นหลังจากวันนี้คนที่บ้านเราทำผิด เขายังดีหรือเปล่า (ดี) ถามว่าคนผิดเขาอยากให้คนอื่นมาพูดว่าเราผิดไหม (ไม่) เวลาเราทำผิดเรารู้ไหมว่าตัวเราผิด เรารู้ว่าตัวของเราทำผิด แต่เราไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราทำผิดจริงหรือไม่ (จริง) แต่เวลาคนอื่นเขารู้ว่าเราทำผิด แล้วเขาพูด เราก็โกรธเขา จริงหรือเปล่า (จริง) มันก็ไปกันใหญ่เลย ปัญหาก็ถูกซ้อนด้วยปัญหาใหญ่ แล้วปัญหาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เราก็กลายเป็นคนที่อยู่กับปัญหาจริงหรือไม่ (จริง)
ดูไปดูมาปัญหาทุกอย่างล้วนออกไปจากเราหมดเลยจริงหรือเปล่า (จริง)  แสดงว่าถ้าเราอยากจบปัญหาทุกอย่างเช่น แฟนไปมีเมียน้อย ไม่มีเงินจะใช้ กินเหล้าเมา อะไรก็แล้วแต่ ปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาของเรา เราไม่ได้เป็นผู้สร้างแต่เราเป็นผู้สร้างความกดดัน เราเป็นผู้สร้างความเครียดได้ จริงหรือไม่ (จริง)  คนสร้างปัญหาก็เครียด เราเป็นคนสร้างความกดดัน เราก็เครียดจริงหรือไม่ (ไม่)
ที่เราพูดไปว่าอะไรมันผิดมันถูกนี้ เพราะว่าอยากจะให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่หารู้ไม่ว่าการไม่พูดจะดีกว่า ทำได้ไหม (ทำได้)
ปากเป็นของใคร (ของเรา) พูดไม่พูดอยู่ที่ใคร อยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นต้องทำใจให้เข้มแข็งไหม (เข้มแข็ง)
เวลาที่เราไม่รู้ ประหนึ่งว่าเราเป็นคนโง่จริงหรือไม่ (จริง)  แต่อาจารย์บอกว่าไม่มีคนไหนโง่อย่างแนบเนียนเลย ทุกคนโง่แบบอมภูมิมากกว่า จริงหรือเปล่า  ทำโง่ๆ  แต่ว่าตาศิษย์ไม่โง่เลยจริงหรือไม่ ปากศิษย์ไม่พูดเลย สายตามองเชือดเฉือน
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากให้ชีวิตนี้ดีขึ้น เมื่อเราอยู่ท่ามกลางปัญหา เราต้องรู้ว่าปัญหาทุกอย่าง คือเราต้องเคลื่อนปัญหาออกไปจากตัวเรา เราต้องสยบที่ตัวของเราเอง ไม่ใช่สยบที่ตัวของผู้อื่นจริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าหากว่าคนอื่นอยากที่จะไม่ดี คนอื่นอยากที่จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ถามว่าเวลาเราพูดแล้วเขาฟังหรือเปล่า (เขาไม่ฟัง)  ถ้าคนอื่นเขาไม่ฟังแล้วเราพูดก็ไม่ต่างกับเราพูดกับกำแพง อย่างนี้เราไม่พูดดีกว่า แต่เราอดใจได้หรือไม่ (ไม่ได้, ได้)
อย่าพูดว่า ”ทำไม่ได้” ต้องพูดว่า “ทำได้” แล้วเราก็จะทำได้ ถ้าเราพูดกับตัวเองว่า “ทำไม่ได้” แล้วจะทำได้ไหม  ในเมื่อตัวของศิษย์เองยังพูดว่าทำไม่ได้ จะให้คนอื่นเชื่อว่าเราทำได้หรือ (ไม่ได้)  ถ้าเราพูดกับตัวเองว่าทำไม่ได้ แล้วจะทำได้ไหม  ในเมื่อตัวของศิษย์เองยังพูดว่าทำไม่ได้ จะให้คนอื่นเชื่อว่าเราทำได้หรือ (ไม่ได้)  ถ้าเราพูดกับตัวเองว่าทำได้ เราก็จะทำได้มากยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราพูดกับตัวเองว่าทำไม่ได้ เราก็ไม่สามารถพ้นขึ้นจากเหว
วันนี้ศิษย์อยากจะให้ชีวิตดีขึ้น ศิษย์อยากจะให้ทุกข์น้อยลงต้องทำอย่างไร  ศิษย์ของอาจารย์เวลาพูดบอกว่าอาจารย์สอนอะไรทุกอย่าง เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์มองภาพรวมมาก แต่เวลาเจอปัญหาตรงหน้านี่ทำไม่ได้สักอย่าง
(ทำจิตใจให้เข้มแข็งให้มีธรรมะประจำใจ, ต้องรู้จักเข้มแข็งทำจิตใจชนะมารให้ได้)  โลกนี้มีมารหรือเปล่า โลกนี้มีมาร แต่มารที่เข้มแข็งที่สุดมาจากใจของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งคำกล่าวที่ว่า “พุทธะเข้าหาพุทธะ คนดีเข้าหาคนดี มารเข้าหามาร คนที่โกรธก็หาคนที่ชอบนินทา” เป็นของคู่กันไหม ทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น (ต้องมีสติเมื่อภัยมาถึง, ต้องตั้งสติยึดมั่นตัวเรา)
ศิษย์เป็นคนที่มีความโชคดี โชคดีมากในขณะที่มีภัยอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ชีวิตกำลังเป็นทุกข์ ศิษย์มีธรรมะที่เข้ามาชุบชูชีวิต ศิษย์มีเพื่อนรอบข้าง ศิษย์มีพี่น้องรอบข้างที่เป็นพี่น้องของศิษย์แต่ไม่ได้คลานตามกันมา ไม่รู้เกิดมาอีกสักกี่ชาติศิษย์จะได้เจอโอกาสเช่นนี้
คนที่อยู่รอบข้างตรงนี้ห่วงใยศิษย์หรือเปล่า คนที่อยู่รอบข้างตรงนี้ห่วงใยศิษย์ เขาเสียเวลามาเป็นวัน ๆ เพื่อมานั่งฟังเป็นเพื่อนศิษย์ เพื่อมาเป็นพี่เลี้ยงศิษย์ เขายืนเป็นชั่วโมงเพื่อที่จะดูแลศิษย์ ในขณะที่คนที่เป็นญาติสนิทมิตรสหายของเราอาจจะไม่เคยมีใครยืนสองชั่วโมงให้เราเลยจริงหรือเปล่า (จริง) เพราะฉะนั้นศิษย์ควรที่จะซาบซึ้งกับสิ่งที่คนรอบๆ ข้างนี้ทำให้กับศิษย์ สิ่งที่ดีในชีวิตหากว่าไม่มองก็จะไม่เจอสิ่งที่คนอื่นทำดีให้ หากว่าเราไม่เปิดใจเราจะไม่สามารถที่จะสัมผัสได้เลย เพราะฉะนั้นในขณะที่ศิษย์นั้นมีภัยมากมาย อาจารย์บอกว่าสิ่งดีๆ เกิดกับศิษย์มากมาย คนที่ไม่เคยห่วงเราเขาก็ห่วง เราจริงหรือไม่ (จริง)
ศิษย์ไม่เคยได้เห็นความห่วงใยจากคนในบ้าน ในขณะที่มีภัยรอบตัวอย่างนี้เขาจะห่วงใยเรามากเป็นทวีคูณ ถึงขนาดเก็บไม่ไหวจะต้องนำมาถามเรา นำมาพูดคุยกับเรา  ฉะนั้นสิ่งที่ดี ๆ ที่มีอยู่ในชีวิตนี้นั้นอยู่ที่ศิษย์จะเปิดตามอง ทำความเข้าใจแล้วยอมให้ใจนั้นสัมผัสหรือไม่
คนที่อยู่ในสภาพที่มีความสุข คนที่เข้าหาคนที่มีความสุขนั้นก็คือคนที่ชอบที่จะอยากได้ประโยชน์ด้วยการประจบเอาใจ  แต่คนที่มีทุกข์อยู่มีภัยอยู่คนที่เข้าหาคือคนที่ห่วงใย  ฉะนั้นในขณะที่ศิษย์ทุกคนนั้นมีความทุกข์จากภัยรอบทิศ มีความทุกข์ทั้งกายทั้งใจนี้ ศิษย์ได้เห็นคนที่ห่วงใยมากขึ้นจริงหรือไม่(จริง)
แล้วที่เราเคยคิดว่าเราเป็นคนที่ไม่โชคดีนั้นจริงหรือเปล่า  อย่าเอาความโชคดีไปวัดกับบรรทัดฐานของความรวย อย่าเอาความโชคดีไปวัดกับลูกข้างบ้าน สามีคนอื่นภรรยาคนอื่น อย่าเอาความโชคดีไปวัดกับการค้า เงินทอง ความคิด จิตใจ วัตถุสิ่งของๆ ผู้อื่น เพียงแต่แค่ศิษย์อยู่กับสิ่งที่ศิษย์มีอย่างภาคภูมิใจเท่านั้น ศิษย์ก็จะเป็นคนที่โชคดีที่สุด
หากศิษย์เป็นคนที่มีธรรมะจะไม่เกิดความรู้สึกว่าเบื่อโลก เบื่อชีวิต แล้วก็เครียด  คนบำเพ็ญธรรมยิ่งบำเพ็ญต้องยิ่งมีความสุข จริงหรือเปล่า (จริง)  ทุกวันนี้ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความสุขหรือไม่ ชีวิตนี้ย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องเครียดบ้างไม่สมหวังบ้าง ไม่พอใจบ้าง อยากได้โน่นอยากได้นี่บ้าง นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์นั้นไม่ได้ฝึกฝน
คนที่เรียนธรรมะจิตใจจะสะอาดมากยิ่งขึ้น จิตญาณจะเบาสบายมากยิ่งขึ้น คนที่ฝึกฝนตนนั้น ฝึกฝนใจนั้น ตัวของเรานั้นจะรู้สึกดีมากยิ่งขึ้นกับชีวิตของตัวเอง ฉะนั้นวันนี้ถ้ายังรู้สึกว่าชีวิตของเราเองมันยังเรื่อยๆ เฉื่อยๆ เรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ เป็นเพราะว่าเราปล่อยปะละเลยชีวิตของตัวเราเองมากไปหรือเปล่า
ถามว่าวันนี้อาจารย์เน้นให้ศิษย์นั้นใส่ใจชีวิตของตนเองเพื่ออะไร เพื่อให้ศิษย์มีเงินใช่ไหม หรือว่าให้ศิษย์มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขใช่ไหม หรือให้เป็นคนที่มีชีวิตที่ดีงามเพียบพร้อมใช่หรือเปล่า เหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดในการที่อาจารย์นั้นลงมาหาศิษย์
สิ่งที่อาจารย์นั้นหมายมั่นปั้นมือและลงมาหาศิษย์ในวันนี้เพื่อพูดกับศิษย์ว่า ศิษย์ทุกคนนั้นมีชีวิตที่มีคุณค่าและสามารถที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ เพียงแต่ต้องไม่ทำชีวิตอย่างทุกวันนี้ ต้องดีกว่านี้ แต่ต้องให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ออกแรงเอง
คิดว่าเรานั้นหลุดพ้นได้ไหม (ได้) ทุกวันยังทาปากแดงๆ อยู่  ทุกวันยังติโน่นตินี่อยู่ ทุกวันก็ยังเห็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ไม่ดีอยู่ ยังชอบใจสิ่งโน้นสิ่งนี้อยู่ แล้วก็ยังมีกิเลสหนาเหลือเกิน ความอยากได้ก็มีล้นไปหมดเลย ถามว่าเราหลุดพ้นได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์อยากบอกว่าถ้าศิษย์ยังเป็นแบบนี้ก็ไปไหนไม่ได้ ชาตินี้ทุกข์แล้วชาติหน้าก็ยังจะทุกข์  ชาตินี้ทำบาปเยอะหรือทำบุญเยอะ
คนทำบาปมาก ชาติหน้าไปก็จะต้องไปรับกรรมมากจริงหรือไม่ (จริง)  ตัวเองยิ่งลำบากแล้วยิ่งสร้างบาปมากๆ อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นใครที่ลำบากอยู่ตอนนี้ พยายามทำมโนก็คือจิตใจของตัวเองนั้นให้เป็นคนที่สะอาด พยายามทำวจีคือปากของเรานี่ให้สะอาด พยายามทำกายนี้คือความประพฤติและการกระทำนี้ให้สะอาด ชาติหน้าจะได้ดีกว่านี้ดีหรือเปล่า (ดี)
ชาตินี้ทุกข์แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าซ้ำเติมตัวเอง เราต้องทำชีวิตของเราให้ดีขึ้น  ในขณะเดียวกันห่วงชาติปัจจุบันด้วย ในขณะเดียวกันห่วงชาติหน้าด้วย ในขณะเดียวกันเตรียมตัวที่ตัวเองนั้นจะหลุดพ้นหรือเวียนว่ายตายเกิดด้วย ยากหรือไม่ยาก งานหนักหรือไม่หนัก (ไม่หนัก)
คนที่บอกไม่หนักนี่หนักแน่ ชีวิตนี้จะไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระใดๆ จะไม่มีเวลามานั่งรู้สึกโน่นรู้สึกนี่ จะไม่มีเวลาเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี่ไม่ดี ไม่ถูกตาถูกใจ เพราะชีวิตจะไม่มีเวลา ที่บอกว่าอีกสิบปี ยี่สิบปี ห้าสิบปี เจ็ดสิบปีก็ดี มันแทบจะเป็นเวลาที่ไม่มีเวลาให้เราแล้ว เพราะต้องทำทั้งหมดที่อาจารย์ว่ามา คือห่วงชาติปัจจุบันด้วย ห่วงชาติหน้าด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามศิษย์ของอาจารย์ตรงนี้ว่า ศิษย์คิดว่าตัวเองนั้นจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ไหม (ได้)  อาจารย์มีศิษย์อยู่สองประเภท  ประเภทแรกรู้มากเลยบอกว่าหลุดพ้นไม่ได้  ประเภทที่สองคือไม่รู้อะไรแล้วก็เลยบอกว่าหลุดพ้นได้
อาจารย์ยังยืนยันกับศิษย์ทุกคนว่า ณ วันนี้ถึงแม้ศิษย์ของอาจารย์ยังทาปากแดงอยู่ เล็บยังแดงอยู่ ยังกินเหล้าอยู่ สูบบุหรี่อยู่ แต่ศิษย์ยังมีเวลาเริ่มต้นและเดินไปเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งถ้าศิษย์สามารถตัดหยาบ ตัดกลาง และตัดละเอียดแล้ว ถึงวันนั้นใจของเราก็จะเป็นใจที่กลมใสมากขึ้น ใกล้เคียงกับการหลุดพ้นได้มากขึ้น เชื่อหรือไม่เชื่อ (เชื่อ)  แต่ว่าศิษย์ส่วนใหญ่มักให้เวลากับการฟังธรรมะแค่กี่วัน (สองวัน)  แล้วบอกว่าสองวันนี้เป็นการสิ้นสุดทุกอย่าง จบเรื่องกันทีสำหรับอนุตตรธรรม
อาจารย์จะบอกให้ว่าธรรมะมีค่ากับชีวิต ตราบเท่าชีวิตนั้นมีลมหายใจ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ไม่มีร่างกายนี้แล้ว อยากจะบำเพ็ญก็ยากเป็นร้อยเท่าพันทวี ฉะนั้นในวันนี้เจอคนไม่ถูกใจ เจอคำพูดไม่ชอบใจ เจอใครทำอะไรให้แล้วทำร้ายจิตใจเราก็ดี ทำร้ายร่างกายเราก็ดี เราต้องรู้จักกุมเป้าหมาย จุดหมายปลายทางของเรา อย่าให้เรื่องในโลกนี้มาทำให้เราเป็นคนที่บำเพ็ญไปไม่รอด
กรรมของศิษย์สามส่วนกลับเป็นสิบส่วนได้ไหม (ได้)  ศิษย์มีเวลาสำหรับเจ็ดส่วนที่อาจารย์แบกกรรมให้อยู่สามปีผ่านไปถ้าศิษย์ไม่ทำเลยกรรมสามส่วนก็จะกลับมาเป็นสิบส่วนเหมือนเดิม อาจารย์สามารถแบกกรรมให้ศิษย์ได้แต่อาจารย์ไม่สามารถใช้กรรมแทนศิษย์ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  กรรมของเราให้คนอื่นใช้แทนได้ไหม (ไม่ได้)
เมื่อศิษย์นั้นมีกรรมอยู่สิบส่วน แต่หากศิษย์ทำมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นสิบห้าส่วนนั้นย่อมเป็นไปได้ เพราะว่าเรานั้นทำกรรมมากขึ้น ที่หนักหนาสาหัสสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมคือการที่ทำบุญกับทำกรรมแยกกันไม่ออก ไม่สามารถแยกแยะด้วยปัญญาของตนได้ นี่เป็นเรื่องน่าลำบากใจมากๆ
กล่าวก็คืออาจารย์จะพูดถึงเรื่องเปลือกนอกและเนื้อใน ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ทำดี เนื้อในจิตใจของศิษย์นั้นดีมาก แต่เปลือกนอกนั้นยังไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ตามได้
อย่างเช่นมีนักเรียนคนหนึ่งทำการบ้าน แต่เขาไม่สามารถทำการบ้านได้เขาก็เลยไปลอกเพื่อนมาแล้วเอามาส่งให้ครู  ถามว่าการบ้านของนักเรียนคนนี้เสร็จหรือไม่เสร็จ (เสร็จ) การบ้านของนักเรียนคนนี้เสร็จ แต่นักเรียนคนนี้ได้ผ่านการทดสอบอย่างแท้จริงหรือไม่ (ไม่)  หมายความว่าตัวเองนั้นแอบไปลอกคนอื่นเขามา แต่มีการบ้านมาส่งครู
ถามว่าครูสามารถจับมาตีได้ไหม (ได้) ถามว่านักเรียนห้าสิบคนมีคนลอกการบ้านสี่สิบเก้าคนจับมาตีหมดได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  คนลอกการบ้านกันเป็นส่วนใหญ่แล้วครูจะทำเป็นรู้ก็ไม่ได้  ทำเป็นไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายนักเรียนคนนี้จะจบมาอย่างคนที่ไม่มีความรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์นั้นเรียนชีวิตเรียนธรรมะ แล้วศิษย์ต้องทำการบ้านในชีวิตของตัวเองส่ง  อย่าพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องราบรื่น อย่าบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องดี ชีวิตต้องดี อะไรต้องดีไปหมด เมื่อดีไปหมดไม่เคยลำบากแล้วถึงเวลาลำบากครั้งเดียวรับได้ไหม รับไม่ได้อยากตายอีกแล้ว
ฉะนั้นวันนี้หากว่าศิษย์คนใดมีความทุกข์อยู่ ศิษย์ลองมองทุกข์ให้ดีๆ เปิดตาทั้งสองข้างมองให้ชัดๆ แล้วใช้ใจของศิษย์นั้นมาสัมผัสความทุกข์ ยอมรับปัญหาสู้ต่อไป ดูสิว่ามันเป็นทุกข์ที่ให้ร้ายศิษย์จริงๆ หรือเปล่า  ความทุกข์ไม่ให้ร้ายคน สิ่งที่ให้ร้ายคนคือความสุข ความสุขทำให้ชีวิตเผลอเลอ เลอะเลือนและไหลไปตามน้ำ จริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าหากว่าวันนี้ทุกข์บ้างจะเป็นไรไหม ไม่เคยมีใครในโลกนี้ทุกข์จนรับไม่ได้ ความทุกข์ ทุกอย่างรับได้ เพียงแต่ต้องเปิดใจรับใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าตีกรอบให้กับตัวเอง อย่าตั้งเงื่อนไขกับตัวเอง ว่าความสุขต้องเป็นอย่างนี้ๆ เท่านั้น แฟนเราต้องเป็นอย่างนี้ ลูกเราต้องเป็นอย่างนี้ๆ เท่านั้น  ชีวิตเราน่าจะเป็นอย่างนี้
การที่เราไปคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วซึ่งแก้ไขไม่ได้ การที่เราคิดถึงปัจจุบันนี้จึงเป็นอนาคตที่กำหนดได้จริงหรือเปล่า ถ้าอารมณ์เสียบ่อยๆ เราจะกำหนดอนาคตได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นถ้ากลับไปบ้านเราต้องอารมณ์ดีกว่านี้ดีไหม (ดี)
ยิ้มทุกวันดีหรือเปล่า ยิ้มวันละกี่เวลาดี  คนกินข้าว กินข้าวกี่มื้อ งั้นก็ยิ้มวันละสามเวลาดีหรือเปล่า  แล้วเวลานอนๆ วันละกี่ชั่วโมง  (แปดชั่วโมง)  ตอนนอนเราไม่ได้ทำงาน ฉะนั้นพอตื่นขึ้นมา ก็ทำงานด้วยการยิ้มดีหรือไม่ (ดี)
ถ้าหากว่าศิษย์ยิ้มบ่อยๆ โชคลาภวาสนาก็จะเข้ามาหา หากศิษย์ทำหน้าบึ้งบ่อยๆ โชคลาภวาสนาที่มีก็จะหายไปหมดเลย แค่รอยยิ้มก็สื่ออะไรได้หลายอย่างจริงหรือไม่
ยิ้มที่ไม่มีปัญหาที่สุดคือยิ้มที่มาจากใจ มีความจริงใจ ถึงจะไม่มีปัญหาที่สุด เพราะฉะนั้นเราเปลี่ยนที่รอยยิ้มหรือเปลี่ยนที่ใจ (ใจ)  ที่ใจของเรา จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนที่ใจของศิษย์  หากว่าใจของศิษย์ดีแล้ว รอยยิ้มออกมาก็ดี ดวงตาออกมาก็เฉิดฉาย ลมหายใจสงบนิ่ง โรคภัยไม่เบียดเบียน แค่รอยยิ้มอย่างเดียวก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้เลย
แต่ถ้าหากคนเขาพูดเรื่องเศร้าอยู่ ยิ้มได้ไหม เพราะฉะนั้นต้องมีสามอย่างคือ มโนธรรม, จริยธรรม, ความเหมาะสม
การทำดีอย่างหนึ่งต้องคำนึงถึงสามอย่าง
อย่างแรก มโนธรรม หมายถึงว่าจิตใจ  เมื่อเราทำดี ใจของเราดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อย่างที่สองคือ จริยธรรม ก็คือ มารยาท ความนอบน้อม การรู้จักให้อภัย
อย่างที่สามที่ต้องคำนึงคือ ความเหมาะสม ต้องรู้จักดูกาลเทศะด้วย ไม่ใช่ว่าทำถูกต้องแล้วต้องถูกเสมอไป
เคยไหมว่าทำถูกต้อง แต่มันผิด (เคย)  เพราะว่ามันไม่สมบูรณ์ จึงต้องทำให้สมบูรณ์มากกว่านี้ ทำได้ไหม (ทำได้)
การจะทำงานแล้วก้าวหน้าต้องคิดได้มากกว่าคนอื่นก้าวหนึ่งเสมอ  แต่ว่าเราต้องดูสถานะของเราว่าเรื่องที่เราจะทำสักเรื่องหนึ่งสิ่งที่อาจารย์ให้คำนึงถึงสามเรื่อง แม้ว่าเราจะคิดได้มากกว่าคนอื่นยังต้องคำนึงถึงมโนธรรม จริยธรรม และต้องคำนึงถึงความเหมาะสม สิ่งที่เราคิดได้มากกว่าคนอื่นก้าวหนึ่งนั้นทำได้หรือเปล่า แต่สำหรับคนที่ก้าวหน้านั้น คือคิดได้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว
“ไม่หือไม่หา”  แปลว่าอะไร เคยสอนลูกแล้วลูกดื้อไหม (เคย) จะหือสักคำก็ไม่มี จะหาสักคำก็ไม่มี เงียบอย่างเดียว อย่างนี้เรียกว่า ไม่หือไม่หาใช่หรือเปล่า (ใช่)
“ติว่าแต่ใครถือมั่น”  บอกว่าคนอื่นเขายึดติดอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวเองไม่หือไม่หาเลย ใครผิดเราก็ไม่พูด เราผิดเราก็ไม่พูดจริงหรือไม่ (จริง) ไม่ยอมหือหาอืออากับใครเลย คิดอยู่คนเดียวว่าอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ถูก เป็นการวางยาพิษตัวเองอย่างร้ายกาจใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้อยากกลับบ้านเร็วๆ หรือเปล่า อยู่ภาคใต้ต้องระวังตัว เวลามืดๆ ก็อย่าออกจากบ้าน มีเงินก็ใช้ให้น้อยๆ หน่อย ไม่ต้องใช้มากก็ไม่ต้องหามากใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราออกนอกบ้านเพราะไปหาเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องหาเงินมากก็ไม่เดือดร้อนมากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตัวเองไม่เดือดร้อนแล้วก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย
ความขยันและอดทนเป็นคุณธรรมของนักปราชญ์ คนเราต้องรู้จักฐานะของตัวเอง เราไม่ได้อยู่เพื่อปากเพื่อท้อง แต่เราอยู่เพื่อบำเพ็ญธรรม เพื่อทำความดี ถ้าหากว่าตัวเราไม่มี เราให้คนอื่นได้ แต่การให้ในสมัยนี้ไม่เหมือนกับการให้ในสมัยก่อน ในสมัยนี้คนมีก็ยังอยากได้ ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นการที่จะให้คนอื่นจึงจำเป็นที่จะต้องดูว่าเรานั้นทำให้คนอื่นเสียคนหรือเปล่าด้วย เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง
“มีล้าจึงมีวันโล่ง ใครพูดว่าใครไม่โยง”
อยากโล่งไหม อยากโล่งต้องล้าก่อน ไม่ล้าจะโล่งได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ล้าแสดงว่าวันหน้าจะมีวันโล่งใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นรอง” ทำนองเพลง “จะขอก็รีบขอ”)
ประโยคแรกจะบอกว่าคนที่มีสติปัญญา มักจะกลัวความผิดพลาด จริงหรือเปล่า คนที่ไม่มีสติปัญญาทำอะไรก็ได้เขาไม่คิด เพราะฉะนั้นเขาจะผิดพลาดได้อย่างที่เขานั้นไม่ได้วางแผนเอาไว้ แต่คนที่มีสติปัญญานั้นมักจะกลัวความผิดพลาด
ถามว่ากลัวความผิดพลาดแล้วไม่ทำได้หรือไม่ได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นมีสติปัญญากลัวความผิดพลาด แต่อย่าถึงขนาดไม่ยอมทำอะไร คนที่ไม่ฝึกใจจะเป็นคนที่สับสนอยู่เรื่อย
วันนี้จิตใจของศิษย์ทุกคนในที่นี้มีความสับสนหรือไม่ (มี)  ศิษย์ทั้งสับสนในชีวิตของตัวเองและสับสนในจิตใจของตัวเองด้วย บางทียังไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรด้วยซ้ำ จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าปัญญาของศิษย์นั้นยังไม่แตกฉาน ยังไม่ดีพร้อมถึงขนาดที่จะแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ยังสับสน แต่ความสับสนสามารถแก้ได้ด้วยการฝึกใจของตัวเอง ใจของเราอยู่กับเราเสมอ ธรรมะอยู่กับเราเสมอ ความคิดอยู่กับเราเสมอ
อะไรสัมผัสได้ง่ายกว่ากัน ระหว่างใจ ความคิด และธรรมะ (ความคิด)  ความคิดนั้นสัมผัสได้ง่ายที่สุด แต่คนนั้นมักคิดไปไกลแล้วค่อยรู้สึกตัวว่าตัวเองนั้นกำลังคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์อยากจะฝึกใจ ต้องฝึกที่ความคิดของตัวเอง  เมื่อเรากำลังคิดเราต้องรู้ว่าเรากำลังคิด ความคิดเกิดที่ไหนก็ต้องดับที่นั่น รูปเกิดที่ไหนต้องดับที่นั่น
ถามว่าทุกอย่างนั้น ตายได้หรือเปล่า ดับได้หรือเปล่า สูญได้หรือไม่ ตัวเราสูญได้หรือเปล่า เก้าอี้ที่เรานั่งสูญได้หรือไม่  เสื้อผ้าที่เราใส่สูญได้หรือไม่  แว่นตาที่เราใส่สูญได้หรือไม่ (ได้)
มีภรรยาของเรา ลูกของเรา บ้านของเรา รถของเรา สิ่งของที่เป็นของเราทั้งหมดสูญได้หรือเปล่า (ได้)  เมื่อเราคิดได้อย่างนี้เราจะเป็นคนที่มีอัตตาเบาบางลง  อัตตานั้นเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างสูง ในการที่คนหนึ่งคนจะบำเพ็ญธรรม
คนมีความโกรธเป็นอย่างไร ลักษณะของความโกรธกับอัตตาคืออย่างไร เวลาโกรธคือผลักออกหมด เวลาโลภคือดึงเข้ามาหมด เพราะฉะนั้นดึงเข้าหาอะไร (ตัวเอง) ผลักออกจากอะไร (ตัวเอง)  ผลักออกก็ผลักออกจากตัวเอง เวลาดึงเข้ามาก็ดึงเข้าหาตัวเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นตัวเองของเราทุกวันนี้ ความเป็นตัวตนของเราคืออัตตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อยังมีตัวตนเราก็ย่อมที่จะมีปัญหา ฉะนั้นถ้าเราอยากจะโกรธน้อยลง เราต้องหันมามองว่าเรามีตัวตนหรือเปล่า
เราเป็นคนมีตัวตนเราจึงยังโกรธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โกรธสามีของเรา โกรธภรรยาของเรา โกรธลูกของเรา โกรธทุกสิ่งทุกอย่างมีคำว่า “ของเรา” เพราะว่าเรามีตัวเรา  แต่ถามว่า “ตัวเรา” มีจริงๆ หรือเปล่า วันหนึ่งตัวเราก็จะหายไปจากโลกนี้  ฉะนั้นตัวเรามีหรือเปล่า (ไม่มี)
ก่อนที่เรานั้นจะรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นของเรา ให้เรามองว่ามีอะไรบ้างเป็นของเรา เมื่อเราโกรธเราจึงต้องหันมาพิจารณาว่าที่โกรธนี้คืออะไร น่าจะโกรธใครที่สุด (ตัวเราเอง)  ยังมีตัวเราอยู่ยังไม่ยอมปล่อยตัวเราเลย เวลาเราโกรธจึงน่าที่จะหันมามองตัวเองที่สุดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนอื่นน่าโกรธไหม  สามีมีภรรยาใหม่น่าโกรธไหม (น่าโกรธ)  เขาเป็นของใคร เมื่อไรที่เรายังมีคำว่า “ของเรา” ไปเรื่อยๆ เราก็ไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่ออยากดับทุกข์ เราจำเป็นที่จะต้องฆ่าอัตตาทิ้ง ตัวตนของเราแท้จริงแล้วไม่มี ชีวิตที่มีอยู่นี้คือการยืมกายสังขารมาชั่วคราว สังเกตได้ว่าเวลาหน้าจะเหี่ยวจะย่น ต่อให้เอาอะไรมาพอกมาโปะดีขึ้นไหม (ไม่ดี)  ผมจะขาวจะโกรกไปกี่ทีความขาวก็ยังงอกใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสื้อผ้าถ้าหากว่ามันเลอะแล้วดำแล้วมอแล้วเก่า ถ้าจะซักให้เก่าเป็นใหม่ได้หรือไม่ (ไม่ได้)
ฉะนั้นในโลกนี้ทุกอย่างเก่าลงเรื่อยๆ มีแต่ใจของเราเท่านั้นที่จริงแท้แน่นอนจำเป็นต้องทำให้ใหม่ขึ้นเรื่อยๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้ทุกอย่างเก่าลงแต่ใจใหม่ขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  อดีตที่เจ็บช้ำกล้ำกลืน โดนคนว่าคนด่าโดนคนตำหนิทำความผิดพลาดมากมาย  อดีตนั้นมีไว้ทำไม อดีตไม่ได้มีไว้เจ็บแต่อดีตมีไว้เป็นบทเรียนเพื่อที่คราวหน้าจะได้ไม่ผิดซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเราทั้งนี้ทั้งนั้นก็ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกทำให้เราดีขึ้นไม่ได้
ฉะนั้นเราจำเป็นที่จะต้องมองหาตัวเราเองว่าตัวเราเองที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน แต่ที่แท้จริงแล้วตัวเราก็อยู่กับตัวเราแต่ไม่ให้ยึดมั่นยึดถือมั่นในตัวเรา ไม่ให้ยึดมั่นในวัตถุสิ่งของที่เราหามาได้ ทำได้ไหม (ทำได้)  ถ้าทำได้อย่างนี้ศิษย์ก็จะเป็นคนที่มีความสุขมากขึ้น มีความสงบนิ่งในจิตใจมากขึ้น
มนุษย์นั้นชอบเข้าหาความสบาย ความสบายมักมาคู่กับความลำบาก มีความสบายที่ไหนมีความลำบากที่นั่น จริงหรือไม่ (จริง)
อยากจะได้โซฟาใหม่ซักตัวหนึ่งต้องไปซื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนไปซื้อต้องมีอะไรก่อน (เงิน)  ก่อนจะได้เงินมาต้องทำอะไรก่อน (ทำงาน)  แล้วทำงานมาตั้งเยอะเพื่อให้เราได้สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าคุ้มหรือเปล่า หลายคนบอกว่าคุ้ม  ทุกคนคิดว่าทุกอย่างที่ซื้อมาคุ้มใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าคิดว่าไม่คุ้มก็ไม่ซื้อใช่หรือไม่ แต่ตอนที่ซื้อนี่ไม่ได้คำนึงถึงตอนทำงานหาเงินใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงบอกว่าคนที่มีทรัพย์สามารถที่จะซื้ออะไรก็ได้ แต่ว่าซื้อความสุขใจให้ตัวเองไม่ได้ คนที่ไม่มีทรัพย์สามารถที่จะไม่ซื้ออะไรเลย เป็นความสามารถพิเศษจริงหรือไม่ (จริง)  คนมีเงินไม่ซื้อทำได้ไหม (ได้)  แต่เราไม่มีเงินเราไม่ซื้อนี่ทำได้ไหม เราเก่งไหม (เก่ง)
อาจารย์พูดเพื่อให้ศิษย์นั้นมองเห็นว่าคนทุกคนสามารถที่จะไม่ซื้อ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ติ ไม่ว่า ไม่เกลียด ไม่เครียด ไม่เซ็ง และไม่เบื่อ แต่ว่าเรานั้นไม่ยอมทำ เพราะว่าเรานั้นมีศักยภาพในการที่จะกิน อยู่ ใช้ เครียด เที่ยว เล่น ซื้อใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ไม่ได้ซื้อใช่ไหม มีหลายอย่างอยากซื้อไม่ได้ซื้อ มีหลายที่อยากไปกลับไม่ได้ไป มีหลายอย่างอยากเป็นกลับไม่ได้เป็น จริงหรือเปล่า (จริง)  อย่างนี้คือการฝึกใจของเรา
ฉะนั้นความจนทำให้เรานั้นฝึกใจได้เยอะมาก ศิษย์ของอาจารย์นั้นก็ฝึกอยู่ในตอนนี้ ขอให้ฝึกด้วยจิตใจที่เบิกบาน อย่าอยู่กับความจนอย่างรู้สึกเครียดว่าไม่ได้ซื้อ ไม่กิน ไม่ได้ใช้ ไม่ได้เที่ยว ไม่ได้เล่น ขอให้เรานั้นอยู่กับความจนอย่างเบิกบาน
ถ้าหากว่าเราไม่มีเงินไปซื้อผักในตลาด ผักหน้าบ้านของเรากินได้ไหม?  แต่ถ้าเรามีเงินอยู่ในกระเป๋านี่ ก่อนที่เราจะมองผักหน้าบ้าน เราก็วิ่งไปตลาดแล้ว จริงหรือเปล่า (จริง)  เราก็ไม่มีโอกาสได้มองสิ่งของรอบข้างของเรา เพราะฉะนั้นคนที่มีศักยภาพในการเที่ยวดำรงชีวิต มีเงินมาก มีทรัพย์มาก มีสิ่งของมาก มีวัตถุมาก มีทุกอย่างๆ มากทำให้เรานั้นไม่ได้หันมาใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในตัว
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพระโอวาท โดยมีผู้ปฏบัติงานธรรมนำร้องแต่ร้องไม่ตรงทำนองที่ถูกต้อง)
นี่เป็นความสามารถของคนเก่งใช่ไหม สามารถร้องทำนองเพี้ยนให้เป็นทำนองที่ถูกได้ เพราะฉะนั้นคนเก่งนี่ ถ้าเก่งดีก็ดี ถ้าเก่งไม่ดีก็เสร็จเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราผิดปุ๊ป แล้วมีคนว่าเราปั๊ป  เราได้กำไรทันที แต่ถ้าหากว่าเราทำผิดแล้ว ไม่มีใครดูออกเลย เขาก็ปล่อยเราไปเรื่อยๆ  เราก็แย่เลย  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเป็นผิดบาปเป็นกรรมอกุศล  เราผิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตกนรก ดีหรือไม่ (ไม่ดี)
ฉะนั้นการเป็นคนเก่งบางทีก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ไม่ดีตรงที่ว่าไม่รู้ว่าผิดตรงไหน เป็นคนเก่งก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเราผิดตรงไหน จริงหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งใจฟังเยอะๆ จริงหรือไม่
หลังจากวันนี้มีคนมาบ่น เราจะทำอย่างไรดี ปกติโดนบ่นทุกวันอยู่แล้ว คนนั้นบ่น คนนี้บ่น คนนั้นว่า อยากฟังไหม?  (ไม่อยาก)  แต่เพราะว่าศิษย์ในที่นี้ทุกคนเป็นคนเก่ง ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องตั้งใจฟังให้มากๆ  จะได้รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน
ศิษย์ทุกคนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถ เวลาผิดพลาดจึงไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน  หลังจากจบไปจากสองวันนี้แล้วต้องตั้งใจฟัง อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนคนไม่อยากเข้าใกล้ เวลาเขาจะพูดเราว่าเขาจะบ่นเราอีกแล้ว รู้แล้วเราทำอย่างไร (ยิ้ม)  ถ้าเกิดเจอคนบ่นทำอย่างไร (ยิ้ม)
ไหนลองหลับตานึกถึงแฟนที่บ้าน นึกถึงแม่ นึกถึงพ่อ นึกถึงคนที่บ่นเราแล้วเรายังยิ้มออกไหม ถ้าทำได้ถึงจะเรียกว่าเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความรู้สามารถเรียนกันได้ วิชาสามารถสอนกันได้ แต่ความเป็นชีวิตของเรา การที่เรานั้นสามารถที่จะยิ้มเมื่อคนอื่นบ่น จึงจะเป็นความแน่จริงของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นรอง” )
“ฝึกใจไม่เป็นรอง” แปลว่าอะไร  “ไม่เป็นรอง” แปลว่า เป็นหนึ่ง เป็นเอก  ฉะนั้นโอวาทนี้หมายความว่า “ฝึกใจเป็นหนึ่งเป็นเอก” จิตใจมาเป็นที่หนึ่งในการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญธรรม เป็นที่หนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาสถานธรรมเจอหน้ากัน การที่เจอหน้ากันมากก็มีเรื่องมาก เพราะว่าคนคือถังของความเครียดความวุ่นวาย เมื่อคนหลายๆ คนมาเจอกันก็ย่อมมีปัญหา
ในขณะที่มีคนเยอะมากเราก็ได้ฝึกใจเยอะมาก แต่ถ้าเราอยู่ที่บ้านของเรา เราได้ฝึกไหม ส่วนใหญ่เราอยู่ที่บ้าน เราจะตามใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) การมาสถานธรรมก็ได้ฝึกใจของตนเองว่า เราจะต้องมาฝึกใจเป็นที่หนึ่ง ฝึกใจเป็นเอก เวลาเรากลับไปที่บ้านเรา ก็ยังเอาคำนี้กลับไปด้วย กลับไปฝึกใจที่บ้าน ฝึกใจไม่เป็นรอง ทำได้ไหม (ได้)  ฝึกอย่างไร ฝึกจากการที่ศิษย์นั้นกลับมาฟังธรรมะบ่อยๆ ไม่ใช่จบแค่สองวันนี้ แต่สองวันนี้เป็นตอนเริ่มต้นอย่างแท้จริง
พระโอวาทซ้อนที่พระอาจารย์ให้ไว้ในปีนี้ “เป็นคนดีมีศรัทธา” “เข้าใจหลักธรรมจริง” อีกความหมายหนึ่งคือ “รู้หน้าที่+มีวินัย” แล้วก็ “ใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นรอง”
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเขียนบนกระดาน
- เป็นคนดีมีศรัทธา เข้าใจหลักธรรมจริง
- รู้หน้าที่+มีวินัย
- ใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นรอง)
ในการบำเพ็ญธรรมนั้นมีหลายขั้นตอน ซึ่งทุกๆ คนที่ยืนอยู่รอบข้าง อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นผ่านไปหลายขั้นแล้ว แต่บางทีก็ขึ้นบันไดสามขั้น แล้วก็ตกลงมาขั้นที่หนึ่ง ต้องขึ้นบันไดขั้นที่สองใหม่ แต่ก็ตกลงมาขั้นที่หนึ่งใหม่อีกอย่างนี้เป็นประจำ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเรานั้นควรจะขึ้นบันไดกี่ขั้น
ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์ของอาจารย์เมื่อบำเพ็ญไปนานๆ แล้วอย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนที่เป็นรุ่นน้อง หรือคนที่มีโอกาสมากกว่า หรือคนที่ได้รับการเอาใจมากกว่า คนที่ได้รับการเอาใจส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็ก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์เมื่อบำเพ็ญมาหลายปีก็เท่ากับว่าศิษย์นั้นได้โตแล้ว  ฉะนั้นอย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับที่ผ่านมาแล้ว ขอให้ศิษย์ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ บำเพ็ญจนคนไม่เห็นหัวเลยดีที่สุด เข้าใจไหม
“ไม่เห็นหัว” นี่ไม่ใช่ว่าทำให้คนอื่นเห็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจจนคนไม่เห็นหัว แต่หมายความว่าไม่ต้องให้ใครนั้นคอยมาให้กำลังใจ ไม่ต้องให้ใครนั้นคอยมานั่งพะเน้าพะนอ ไม่ต้องให้ใครมาคอยแอบมองว่าเรานั้นจะล้าหรือเปล่า เหนื่อยหรือเปล่า
การที่ให้บำเพ็ญจนคนไม่เห็นหัวเลยคือบำเพ็ญไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องการการมาประคบประหงมจากใครอีก เพราะว่าเส้นทางของชีวิตแท้จริงแล้วมีศิษย์เดินอยู่เพียงคนเดียว เส้นทางแห่งพุทธะศิษย์ก็ต้องเดินคนเดียวเช่นเดียวกัน
ถ้ายังพะวงถึงเรื่องของความรู้สึก ขี้ใจน้อย หงุดหงิดง่าย คิดมาก กังวลนั้นกังวลนี่ ท้อนั่นท้อนี่ ใครกระทบหน่อยก็ไม่ได้ เหมือนขี้ผึ้งลนไฟอย่างนี้บำเพ็ญธรรมก็ไม่ก้าวหน้า  เราต้องบำเพ็ญธรรมแล้วยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง เราต้องรู้ถึงสิ่งที่เราทำ เมื่อเราพยุงตัวของเราให้เดินได้ เราถึงจะมีแรงพยุงผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะห่วงมัวแต่พยุงตัวเองจนไม่รู้จักพยุงคนอื่นก็ไม่ได้
ฉะนั้นบันไดแค่สามขั้น ศิษย์เดินขึ้นไปอย่าเดินขึ้นไปบนขั้นที่สาม แล้วถอยลงมาขั้นที่สอง แล้วถอยมาขั้นที่หนึ่ง แล้วขึ้นไปอยู่ตรงขั้นที่สามใหม่ อย่างนี้เป็นการบำเพ็ญที่สับสน  
พื้นฐานของการบำเพ็ญธรรมคืออะไร บรรทัดแรก “เป็นคนดีมีศรัทธา” บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาเริ่มที่จะกลับมาสงสัยอีกแล้ว บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาตัวเองก็ไม่เข้าใจตัวเองอีกแล้ว อย่างนี้ถอยหลังหรือเปล่า
นอกจากเราเป็นคนดีแล้ว อาจารย์พูดไว้ตั้งแต่ตอนต้นคือเป็นคนดีแล้วมีเปลือกนอกมีเนื้อใน ถ้าหากว่าเนื้อในของศิษย์เป็นคนดี แต่ศิษย์กลัวว่าใครจะรู้ว่าศิษย์ทำผิดก็เลยเอาสิ่งที่ดีๆ พอกความผิดของตัวเองไว้ อย่างนี้จะทำให้ปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
คนทำผิดต้องยอมรับผิด เมื่อยอมรับผิดแล้วจึงแก้ไขได้ คนทำผิดแล้วยอมแก้ไขจึงจะเป็นที่น่ายกย่อง ถ้าหากว่าเนื้อในดี เปลือกนอกดีไหม (ดี)  ต่อไปรสชาติจะต้องเป็นอย่างไร เนื้อในดีเปลือกนอกไม่ดีถือว่าผลไม้นี้เป็นอย่างไร เสียไหม (เสีย)  เปลือกนอกดี แกะออกมาเนื้อในไม่ดี กินได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นทั้งเปลือกนอกและเนื้อในต้องดีทั้งคู่ จริงหรือไม่
ความจริงในใจของเรา เราต้องดีจริง ความจริงที่เราประพฤติออกมา เราต้องทำในสิ่งที่ดีในความประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดี เมื่อเราประพฤติออกมาดี แสดงว่าเรามีเนื้อในที่ดีและมีเปลือกนอกที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีทั้งเนื้อในและมีเปลือกนอก  กลัวที่สุดก็คือเนื้อในดีแต่ฉาบไว้ด้วยความเน่า ผลไม้เน่าเสียแล้วเอาสิ่งที่ดีเคลือบไว้อีกชั้นหนึ่งเป็นสองชั้น ถือว่าเป็นมนุษย์ที่เที่ยงตรงไหม ถือว่ามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ที่กลัวก็คือกลัวคนอื่นจะเห็นความผิดของตัวเองก็เลยกลบเกลื่อนไว้ด้วยสี่งที่ดี อย่างนี้ช่วยยาก
นอกจากเป็นคนดีมีศรัทธาแล้ว ต้องศึกษาธรรม หากไม่ศึกษาธรรมบอกว่ามีความศรัทธาไม่ได้ หลายๆ คนบอกว่าตัวเองมีความศรัทธาแต่ไม่ชอบฟังธรรมะ ศิษย์รับธรรมะ อยากจะบำเพ็ญธรรมะ แต่ไม่ฟังธรรมะ อย่างนี้ถือว่าได้บำเพ็ญธรรมไหม ได้เรียนรู้ธรรมไหม เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเราเป็นคนที่บำเพ็ญธรรม เข้าใจหลักธรรม แต่เราไม่ฟังธรรมะ ศรัทธาประเภทนี้ได้ไหม ศรัทธาประเภทนี้เป็นการพายเรืออยู่ในอ่างไม่สามารถหาทางออกได้
นอกจากมีศรัทธาแล้ว “เข้าใจหลักธรรมจริง” ถ้าหากบำเพ็ญแล้ว รู้บ้างไม่รู้บ้างได้ไม่ได้ (ไม่ได้)  จำเป็นต้องรู้ด้วยปัญญาของตัวเอง การเข้าใจหลักธรรมไม่ได้หมายความว่าต้องมีวิชาความรู้ต้องอ่านหนังสือออก แต่การเข้าใจหลักธรรมจริง คือการที่เรานั้นสามารถเข้าใจไปถึงภายในของตัวเองได้ นี่คือขั้นแรกพื้นฐานของผู้บำเพ็ญธรรม
ขั้นที่สองคืออะไร “รู้จักหน้าที่+มีวินัย” เมื่อเรารู้ว่าหลักธรรมดี และเราจำเป็นต้องปฏิบัติบำเพ็ญ เรามีหน้าที่แล้วเป็นคนมีวินัยในตัวเอง ทุกคนล้วนมีบทบาทในชีวิต ถ้าหากว่าการบำเพ็ญธรรมคือการมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น และบทบาทนี้สามารถใช้ได้ทุกที่ อย่าอยู่อีกที่หนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง แบบนี้ศิษย์ไม่ได้ทำหน้าที่ ไม่ได้รักษาหน้าที่และบทบาทให้ดี นี่คือขั้นที่สอง คือรู้จักหน้าที่ วินัย ใส่ใจปฏิบัติ และฝึกใจไม่เป็นรอง นี่คือขั้นที่สอง
วันนี้ศิษย์ที่นั่งเป็นนักเรียน ศิษย์มีหน้าที่ที่จะต้องรู้จักบรรทัดแรก ส่วนศิษย์ที่ยืนรอบข้างศิษย์มีหน้าที่ที่จะรู้จักท่อนนี้ สองบรรทัดนี้ นี่คือขั้นที่สองของศิษย์ คือการ “รู้จักหน้าที่+มีวินัย” และใส่ใจปฏิบัติ และฝึกใจตัวเองให้เป็นเอก นี่คือโอวาทที่อาจารย์ให้ไว้ในชั้นนี้ทั้งหมดคือ “ใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นรอง”  อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นเป็นรอง
การที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นการตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่การอยู่เป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่า อยู่อย่างไรให้ดี อยู่อย่างไรให้รอด อยู่อย่างไรไม่ให้มีปัญหา อันนี้เป็นเรื่องที่ยากมากกว่า
อาจารย์จะกลับแล้ว ทางใต้นี้ อาจารย์ดูแลศิษย์ทุกคน รักและคิดถึงศิษย์ทุกคนตลอดเวลา ศิษย์ทุกคนมีข้อดีที่โดดเด่นมากมาย ศิษย์ทุกคนน่ารักว่าง่าย และบำเพ็ญดี แต่อาจารย์นั้นบางทีก็ดูแลศิษย์ไม่ทั่ว ถึง นอกจากศิษย์จะหวังวอนให้ฟ้าดินคุ้มครองแล้ว ศิษย์ต้องทำตัวเป็นคนดี ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลศิษย์นั้นมีแต่เพียงอาจารย์ หากศิษย์เป็นคนบำเพ็ญดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านไหนก็ดูแลศิษย์ได้  แต่หากว่าศิษย์นั้นบางทีดื้อ บางทีเก่ง บางทีฉลาดจนเกินตัว บำเพ็ญได้ไม่ดี มันก็เป็นเรื่องที่บอกยากเหลือเกิน
ฉะนั้นรักษาตัวทุกคนให้ดี รักษาใจของทุกคนให้ดี ควบคุมความคิดของเรา อย่าปล่อยให้ความคิดครอบงำเรา บำเพ็ญธรรมให้เสมอต้นเสมอปลาย คงเส้นคงวา คิดดีพูดดีทำดีอยู่เสมอ คนอยู่ในโลก ชินกับการตามใจตัวเอง ภรรยาไม่ดีก็เปลี่ยนภรรยาได้ สามีไม่ดีก็เปลี่ยนสามีได้ อะไรไม่ดีก็เปลี่ยนอย่างนั้น แต่ชีวิตของศิษย์ๆ เปลี่ยนไม่ได้ การบำเพ็ญธรรมในชาตินี้ อะไรไม่ดีเราเปลี่ยนไม่ได้ ถูกกดดันด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ  เราก็ต้องรู้จักอดทน มีอย่างเดียวที่เปลี่ยนได้คือใจศิษย์ เปลี่ยนให้ดีกว่านี้และใหม่กว่านี้
ศรัทธาธรรมก็คือศรัทธาจริง ศรัทธาอาจารย์ก็เก็บไว้ในใจ อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นในอาจารย์ จนกลายเป็นคนที่ยึดติดในรูปลักษณ์ จนงมงาย
ธรรมะไร้รูป แต่ศิษย์สามารถที่จะบำเพ็ญจนบรรลุได้  ธรรมะดังอากาศ ให้คนหายใจคล่อง ขอให้ศิษย์นั้นได้หายใจคล่องๆ โล่งใจ สบายอารมณ์ อย่าเครียด อย่ากังวล รักษากาย รักษาใจ จะได้รักษาจิตญาณของตัวเองให้เข้มแข็ง ช่วยตัวเองแล้วก็ช่วยคนอื่น  ดูแลตัวเอง ดูแลพี่น้องด้วยนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “ใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นรอง”

    ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมได้รับใช้ประชา    กว่ายอมรับนับถือช้าพิสูจน์ซ้ำ
ไม่หูหนวกตาบอดต่อหลักธรรม    ธรรมะชนะอธรรมด้านนอกใน
การจะแจ้งในหลักธรรมแท้จริง    ยิ่งปฏิบัติยิ่งประจักษ์ตอบขานไข
รู้ต้องทำทำต้องรู้ไม่คลาดไป     จงเปิดใจเพียรตรงสำนึกคุณ
จะถึงก็ไม่ถึง ถูกดึงเกี้ยวไว้คราวหน้า ขืนผัดลัดคืบเป็นวา กลับว่าทำไม ทุกข์ยังเหมือนเดิม   ไม่หือไม่หา ติว่าแต่ใครถือมั่น  จอมคิดไม่มียอมกัน  ไม่น้อยกัน ไม่เป็นรอง  กว่าถึงจุดหมาย    อย่าเอาแต่ใจแก้มป่อง คนที่ส่วนมากคุยฟ่อง  ร่วงลงไปกอง  ไม่ทันเห็นโลง นกเป็นของฟ้า 



แก้พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ประชุมธรรม เต๋อฮว่า 16 – 17 มิถุนายน 2550

(ข้อมูลแก้ไขล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 - โจ้)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
บรรทัดที่ 7 คำที่ 8
    จากเดิม    การ
    แก้เป็น    การณ์
บรรทัดที่ 11 คำที่ 5
    จากเดิม    ทำ
    แก้เป็น    ธรรม
บรรทัดที่ 14 คำที่ 3
    จากเดิม    ให้
    แก้เป็น    ไม่

พระโอวาทกลอน
หน้าที่ 1 บรรทัดที่ 4
    จากเดิม    ศึกสงครามช่างไร้ความปราณี
    แก้เป็น    ศึกสงครามช่างไร้ความปรานี
หน้าที่ 1 ระหว่างบรรทัดที่ 5 และ 6
    เพิ่มคำว่า    เราคือ
หน้าที่ 3 บรรทัดที่ 9
    จากเดิม    ไม่ทำก็จะไว้ธุระวุ่น
    แก้เป็น    ไม่ทำก็ถึงจะไว้ธุระวุ่น
หน้าที่ 3 บรรทัดที่ 11
    จากเดิม    เรื่องตรงหน้าขืนผลัดบาดเป็นทิว
    แก้เป็น    เรื่องตรงหน้าขืนผัดบาดเป็นทิว
หน้าที่ 3 บรรทัดที่ 14
    จากเดิม    อารมณ์เยาว์มั่นยึดถือย่อมไม่โต
    แก้เป็น    อารมณ์เยาว์มั่นคิดถือย่อมไม่โต
หน้าที่ 3 บรรทัดที่ 17
    จากเดิม    มีใจอย่าเอาอยากมาสนอง
    แก้เป็น    อย่ามีใจแต่เอาอยากมาสนอง
หน้าที่ 3 บรรทัดที่ 17
    จากเดิม    เลิกงอนป่องเอาแต่ใจเสมอหนา
    แก้เป็น    เลิกงอนป่องคนที่คิดมากหนา
หน้าที่ 3 บรรทัดที่ 18
    จากเดิม    ในวาจาที่คุยฟุ้งต้องมีธรรม
    แก้เป็น    ในวาจาที่คุยฟ่องต้องมีธรรม
หน้าที่ 24 บรรทัดที่ 14
    จากเดิม    ทุกข์ยิ่งจริงแท้ทำประจักษ์ยิ่งง่าย
    แก้เป็น    ทุกข์ยิ่งจริงแท้ธรรมประจักษ์ยิ่งง่าย
หน้าที่ 24 บรรทัดที่ 15
    จากเดิม    อดีตสอนให้พลาดไปตรงใจเผง
    แก้เป็น    อดีตสอนไม่คลาดไปตรงใจเผง

พระโอวาทไป๋ฮว่า
หน้าที่ 7 บรรทัดที่ 11
    จากเดิม    หรือหมกมุ่นอยู่กับความสุขความทุกข์เกินไป
    แก้เป็น    หรือหมกมุ่นอยู่กับความสุขความทุกข์เกินไป
หน้าที่ 15 บรรทัดสุดท้าย
    จากเดิม    มีใจอย่าเอาอยากมาสนอง
    แก้เป็น    อย่ามีใจแต่เอาอยากมาสนอง
หน้าที่ 45 บรรทัดที่ 7 จากล่าง
    จากเดิม    ความสบายมักมาคู่กับความลำบาก
    แก้เป็น    ความสบายมักมาคู่กับความลำบาก

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา