วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2549

2549-12-16 สถานธรรมอิ๋งเต๋อ จ.ชัยนาท


西元二○○六年歲次丙戌十月廿六          大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙           สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  ครองชีวิตด้วยสติและปัญญา              เพียบพร้อมมาทั้งกำลังและความคิด
อย่าได้ออกห่างจากธรรมแม้ขณะจิต       บำเพ็ญจิตละกิเลสเบาอารมณ์
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                        ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา     ฮวา  ฮวา

  มีกี่วันที่อยู่ได้อย่างสงบ                      สนามรบในนอกไม่วายเว้น
การจะเป็นคนดีช่างยากเย็น                  เพราะชนะใจไม่เป็นรู้ไม่จริง
ธรรมะแท้คือมโนธรรมอยู่ในตน              มองเห็นคนยิ่งกว่าเห็นตนเองหนา
แล้ววันไหนจะดีขึ้นจริงจริงนา                พิจารณาด้วยปัญญาแก้ไขตน
เข้ายุคสามวาระปลายวุ่นวายหนอ          มนุษย์ก่อเหตุกรรมไม่หยุดหย่อน
มีชีวิตอยู่อย่างคนเร่งร้อน                      อย่านิ่งนอนในวันนี้ย้อนมองตน
น้องทุกคนต่างมีบุญร่วมชั้นเรียน            ประชุมธรรมขอต้องเปลี่ยนความเคยชิน
อย่าได้อยู่เป็นอย่างช่างเหม่หมิ่น             ชีวิตดิ้นรนอย่างยิ่งสงบพลัน
ฟังธรรมะด้วยจิตใจอันเปิดกว้าง            ทุกแนวทางขอเพียงเหมาะกับผู้เพียร
อาจเดินได้ถึงเป้าหมายหากอยากเปลี่ยน ทุกบทเรียนแห่งความทุกข์ใช่น่าชัง
คนมีธรรมเผชิญเคราะห์ได้ยาวนาน         คนไร้ธรรมเดินผ่านก็โทษดินฟ้า
ความคิดดีชีวิตดีด้วยเจตนา                   คนรู้ค่าชีวิตตนค้นสุขเจอ
จงเป็นคนสุภาพที่หนักแน่น                    ศึกษาธรรมให้ถึงแก่นอย่าทำเล่น
ชีวิตคนดั่งแสงเทียนต้องจุดเป็น              แสงจำเป็นแต่มือที่จุดสำคัญกว่า
ในวันนี้เป็นวันแรกประชุมธรรม              สำรวมจิตน้อมนำศรัทธาหนา
ขอให้ใช้ใจฟังคุ้มค่าเวลา                       ความทรมาปวดเมื่อยใจชนะเป็น
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                    และเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
การฟังนั้นสำคัญคือความเข้าใจ             แต่อะไรไม่สำคัญเท่าลงมือจริง
จงตั้งใจให้มากมากพี่คุมชั้น                   หวังสองวันน้องเข้าใจได้เริ่มต้น
พิจารณาทบทวนน้องทุกคน                  เก่าใหม่ยังเดินไม่พ้นใจตนเอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป               จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                                     ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙           สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

  ครูผู้สอนทำหน้าที่สอนแนะนำ             การศึกษาทบทวนย้ำหน้าที่ศิษย์
จงตื่นตัวศึกษาธรรมเพื่อพัฒนาชีวิต        บำเพ็ญจิตทำทำหยุดไร้ผลดี
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านเมื่อยหรือยัง

  รู้ความจริงรู้ธรรมดาปัญญาชัดเจน      เรียนรู้หลักเกณฑ์อย่าเลอะเลือน
กระจ่างเหตุแห่งผลต่างกับเหมือน           กระตุกถูกเงื่อนต่างหลุดจากพันธนาการ
ควรหมายความรู้เป็นแสงสว่าง              ส่องลึกกว้างในบำเพ็ญทุกสถาน
น้อมนั้นนั้นสิ่งนี้หนุนชีวัน                       รู้จังหวะรู้ประมาณไขตนไว
รู้จักตนแก้อะไรไม่ลำบาก                     ทิ้งข้ามวันรู้มากยิ่งเสียหาย
ต่างต่างคนเข้าตำราซ่อนนิสัย                ไปกันก็ไม่ได้อะไรจบ
คุมอินทรีย์[๑]อันใหญ่ในกิจตน                 ทั้งหกทำให้คนไม่สงบ
สร้างอารมณ์กิเลสเกิดแน่นฝังทบ           ประสบพบฉันทาเจ็ด[๒]เดินไม่เป็น
แต่ไม่มัวขุ่นหมองค่อยกะเทาะ                หนาต้องเจาะติดอะไรต้องเคี่ยวเข็ญ
ละสงสัยยึดธรรมให้ชีพเป็น                   การบำเพ็ญเลาะเนื้อเถือกระดูกเจอ
ใจทำวุ่นวายต้องดึงใจคืน                      สงบให้มีในตื่นอยู่เสมอ
ทางแห่งธรรมจิตตรงอย่าเผอเรอ            ดับเวียนวนพ้นละเมอสันติใน
                                                                                        ฮา  ฮา   หยุด





  พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ง่วงไหม (ไม่ง่วง)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  สบายใจไหม (สบายใจ)  โกหกนั้นตายตกนรก ใช่ไหม ไม่ง่วงเลยสักนิด ใช่ไหม (ไม่ง่วง)  ตั้งแต่เช้ามาง่วง แต่พอเจอหน้าเราไม่ง่วงเลย ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มักมีเหตุผลเสมอๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อยากให้ตัวเองผิดอยากให้ตัวเองถูก เราก็หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้ ใช่ไหม (ใช่)  ง่วงก็บอกว่าง่วง หิวก็บอกว่าหิว เป็นความเป็นจริงของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหิวแล้วบอกไม่หิว คนที่ลำบากก็คือคนที่พูดโกหก ถูกไหม (ถูก)  ถ้าง่วงแล้วบอกไม่ง่วง คนที่ต้องทรมานก็คือคนที่พูดไม่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะโกหกหนึ่งทีแล้วเราต้องหาเหตุผลอีกหลายๆ ทีเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เราพูดถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นพูดความจริงยากหรือเปล่า (ไม่ยาก)  แต่ไม่ยอมพูด ใช่ไหม
เราอยู่บนโลกนี้สิ่งที่มนุษย์ทุกคนเห็นอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ ธรรมชาติ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์ก็คือสิ่งหนึ่งที่มาจากธรรมชาติ และรอบตัวมนุษย์ที่ทำให้เราอยู่ได้ก็เพราะมีธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถามท่านหน่อยนะ ธรรมชาติที่เรามองเห็น ส่วนบนแข็ง ส่วนล่างอ่อน ใช่ไหม  ส่วนบนคือสิ่งที่ดูแข็งแต่ส่วนล่างคือสิ่งที่ดูอ่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองมองเฉพาะภาวะบนดินก่อนนะ ลองมองต้นไม้ต้นหนึ่ง ส่วนบนคือส่วนที่ (อ่อน)  ส่วนล่างคือส่วนที่ (แข็ง)  ส่วนใต้ดินคือส่วนที่ (อ่อน, แข็ง)  เห็นไม่เหมือนกันหรือ ส่วนใต้ดินมีทั้งรากแก้ว และรากฝอย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรายังไม่พูดเรื่องใต้ดินนะ เราพูดเรื่องบนดินก่อนดีไหม (ดี)
โดยธรรมชาติของต้นไม้หรือสรรพสิ่ง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ส่วนบนจะเป็นส่วนที่อ่อน ส่วนล่างจะเป็นส่วนที่แข็งถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นส่วนบนเริ่มแข็ง ส่วนล่างก็แข็ง แปลว่าต้นไม้นั้นใกล้จะตาย ถูกไหม ถ้าเกิดตัวมนุษย์เรา ถ้าส่วนบนก็แข็งส่วนล่างก็แข็ง คนนั้นเรียกว่าคนเป็นหรือคนตาย (คนตาย)  แต่ถ้าในทางกลับกันคนที่มีชีวิตอยู่ แต่ส่วนบนรู้จักอ่อนส่วนล่างรู้จักแข็ง ก็เป็นธรรมชาติที่น่ามองกว่าธรรมชาติที่ข้างบนก็แข็งข้างล่างก็แข็ง ใช่ไหม (ใช่)
แล้วเราหมายความว่าอะไร บนอ่อนล่างแข็ง อะไรที่มนุษย์มีอยู่ในตัวเรา อ่อนแล้วทำให้มีชีวิตอยู่ (จิตใจ)  เอาง่ายๆ แค่ใบหน้า ใบหน้าของคนที่มีใจอ่อนน้อม สุภาพ ใจเย็น พูดจานิ่มนวลไพเราะน่าฟัง คือคนที่รู้จักใช้ส่วนบนอ่อน ถูกไหม แต่ภายในการดำรงชีวิตนั้นก็มีความมั่นคงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว นี่คือการใช้ความอ่อนความแข็งในธรรมชาติให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่โดยส่วนใหญ่ของมนุษย์ทุกคนมักจะตรงกันข้าม ใบหน้าจะดื้อดึง ใช่ไหม แววตาจะแข็งกร้าว ถูกไหม คำพูดก็ไม่ค่อยนิ่มนวล ใช่ไหม (ใช่)  อยู่ใกล้แล้วเราก็รู้สึก (อึดอัด)  อึดอัดแล้วก็รู้สึกหดหู่ไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นต้นไม้มีชีวิต ยอดบนยิ่งอ่อนมากเท่าไร ก็ยิ่งดูสดใส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามองต้นไม้ใบเขียวแก่ใกล้ๆ กับเหลืองเมื่อไร เมื่อมองก็หดหู่ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมองต้นไม้อย่าลืมหันมามองตัวเรา เห็นใครแข็งกระด้างดื้อดึงอย่าลืมย้อนถามตัวเราดีไหม (ดี)
เห็นธรรมชาติแค่นี้ไหม อย่างนั้นเราถามท่านหน่อยนะ ระหว่างดอกไม้สวยๆ บนโต๊ะพระกับดอกกระเจี๊ยบ ชอบดอกไหนมากกว่ากัน (ดอกไม้บนโต๊ะพระ, ดอกกระเจี๊ยบ, ทั้งสองอย่าง, กุหลาบ)  ทำไมเลือกดอกกระเจี๊ยบ (มีชีวิต)  ดอกไม้บนโต๊ะพระนี้ไร้ชีวิตแล้ว ใช่ไหม ถ้าเกิดเราเด็ดมาทั้งสองดอกเลย เลือกดอกอะไร นานาจิตตัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์โดยทั่วไปรู้จักคุณค่าความสวยงามเพียงเปลือกนอก ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราถามต่อว่าระหว่างดอกกระเจี๊ยบกับดอกบัว เลือกดอกอะไร (ดอกบัว, ดอกกระเจี๊ยบ)  ไม่ตอบดอกกุหลาบแล้วหรือ ตอนแรกเราก็คิดไว้ว่าจะเอาดอกกุหลาบมาถามดีไหม เพราะมนุษย์ชอบดอกกุหลาบ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใครให้ดอกกุหลาบสีแดงรู้สึกเป็นอย่างไร (ดีใจ)  แต่ถ้าวันใดเขายื่นดอกกระเจี๊ยบสีแดงให้เป็นอย่างไร (เศร้าใจ)  เศร้าใจเลยหรือ
มนุษย์ทุกคนโดยส่วนใหญ่รู้จักคุณค่าความสวยงามเพียงเปลือกนอก แต่เคยมองคุณค่าความสวยงามที่อยู่ภายในลึกๆ บ้างไหม กุหลาบสวยก็ตอนเบ่งบาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอร่วงโรยแล้วก็หมดคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กระเจี๊ยบนี้เอาไปทำอะไรได้บ้าง (น้ำกระเจี๊ยบ)  กระเจี๊ยบต้มน้ำแล้วกากกระเจี๊ยบยังเอาไปทำอะไรได้อีก เชื่อมทำแยมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวัยรุ่นที่หน้าละอ่อนทั้งหลาย ความสวยงามเพียงฉาบฉวยไม่สู้ความสวยงามที่มีอยู่ลึกๆ ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกบัวก็เหมือนกัน ร่วงโรยไปแล้วยังมีอะไร (ฝัก)  ในฝักยังมีอะไร (เมล็ด)  เมล็ดที่เคี้ยวแล้วหอมหวาน
ฉะนั้นถ้าเกิดคนเรานั้นเห็นคุณค่าเพียงเปลือกนอก และรักษาคุณค่าเพียงเปลือกนอก แต่ทิ้งความสำคัญหรือคุณค่าของแก่นแท้ภายใน เราก็ไม่ต่างอะไรกับดอกกุหลาบดอกหนึ่งที่บานสวยและก็ร่วงโรย แต่ตอนนี้กุหลาบยังมีอีกแง่หนึ่งคือ ถ้ายอมเสียสละกลีบกุหลาบแล้วนำไปชุบแป้งทอดจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสวยงามเพียงเปลือกนอก ถ้ารู้จักเสียสละ รู้จักอุทิศ ความสวยงามเพียงเปลือกนอกก็ยังมีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวมนุษย์ทุกๆ คนล้วนมีคุณค่า แต่อย่าเห็นคุณค่าเปลือกนอกสำคัญกว่าคุณค่าที่อยู่ภายในจิตใจถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่บางคนก็บอกว่าตัวผมนี้เป็นเหมือนต้นหญ้าต้นเล็กๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีเงินทอง ชื่อเสียงใหญ่โต ทำอะไรก็ต้องอยู่ข้างหลัง ไม่ได้อยู่ข้างหน้า น้อยอกน้อยใจ อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมายืนอยู่ข้างหน้าก็ไม่เคยได้ยืนเหมือนคนอื่น คิดแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ดูที่ธรรมชาติมีต้นไม้ใหญ่ก็มีหญ้าเล็กๆ ถ้าในโลกนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ แต่ขาดซึ่งหญ้าปกคลุมดิน ต้นไม้ใหญ่จะยังมีชีวิตอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเมื่อไรดินนี้ขาดพืชคลุมดิน ต้นไม้จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน รากแผ่ลึกกว้างไกลขนาดไหน ก็ถูกกัดเซาะด้วยน้ำถล่มทลายมาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นในสังคมขาดไม่ได้ซึ่งคนตัวเล็กๆ และคนที่ยิ่งใหญ่ อย่าคิดว่าสังคมใบนี้อยู่ได้เพราะคนยิ่งใหญ่ หาใช่ไม่ เพราะมีคนเล็กและมีคนใหญ่ จึงเรียกว่าสังคมถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะมีคนยอมทำงานเบื้องหลัง จึงมีคนที่ยืนงดงามอยู่เบื้องหน้า เพราะมีคนยอมเสียสละเป็นคนที่อุทิศทำงานหนักอยู่เบื้องหลัง จึงมีคนสบายที่ยืนอยู่ด้านหน้า
ฉะนั้นเรายืนอยู่ในโลกนี้ พระพุทธะจึงไม่เคยเห็นคนรวยดีกว่าคนจน คนหน้าสวยสวยกว่าคนหน้าเกลียด เพราะทุกคนล้วนมีคุณค่าสำคัญเท่าๆ กัน ขอเพียงอย่าดูถูก ดูเบาตัวเอง และอย่ากดขี่ข่มเหงใครเท่านั้นก็พอ การอยู่ในสังคมแม้จะเล็กหรือใหญ่ ท่านก็มีค่าในหัวใจพระพุทธะเสมอ เข้าใจสิ่งที่เราพูดไหม (เข้าใจ)  อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจเวลาที่คนในสังคมไม่เห็นคุณค่า ขออย่าได้ดูถูก ดูเบาตัวเองเวลาทำงานเล็กๆ ไม่มีเกียรติใหญ่โต เพราะพุทธะเห็นทุกคนเท่าๆ กัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่าใครหรอก ขอใจท่านอย่าได้ดูถูก ดูเบา ตัวเองก็พอ
ฉะนั้นบางครั้งเราไม่มีเวลาเข้าวัด มองต้นไม้แล้วพยายามนำธรรมะจากต้นไม้ จากสิ่งแวดล้อมมาสอนใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่กลัวอย่างเดียวมนุษย์มีตาแต่ตามองไม่เห็น มีหูแต่ไร้การได้ยิน มัวแต่หลงเรื่องโลภ รัก เกลียด หลง เชื่อไม่เชื่อไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ตอนนี้ฟังสิ่งที่เราพูดกับท่านก่อน ดีไหม (ดี)  ว่าสิ่งที่เราพูดเป็นไปได้แค่ไหน
การสวมเสื้อผ้าก็บ่งบอกนิสัยใจคนได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ระหว่างมองดูดอกไม้กับมองดูหน้าคน อะไรสดชื่นกว่ากัน โดยธรรมชาติคนก็ต้องตอบว่าดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีความสดใสสวยงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากให้เราดูน่ามองกว่าดอกไม้ต้องทำตัวให้สดชื่น ตอนนี้ท่านว่าหน้าท่านสดชื่นกว่าดอกไม้ไหม  ท่านทุกคนมองเราคนเดียว แต่เราคนเดียวมองทุกท่านนะ ฉะนั้นท่านเหมือนตะกร้าดอกไม้รวมนานาชนิด ถูกไหม (ถูก)  แต่รู้สึกดอกไม้นานาชนิดในห้องนี้จะเป็นอย่างไร ทั้งตูมทั้งบานทั้งเหี่ยว ไม่ได้ว่าผู้สูงวัย แต่ใบหน้าทำไมยิ่งฟังแล้วยิ่งห่อเหี่ยวเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังธรรมะแล้ว ต้องยิ่งฟังยิ่งสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ทำไมฟังแล้วกลับยิ่งฟังยิ่งหดหู่หม่นหมองล่ะ แปลว่าธรรมะไม่ได้ชโลมใจเลย ใช่ไหม  เรายั่วเย้าท่านเล่นเห็นง่วงนอนก็เลยอยากพูดอะไรให้บันเทิงจะได้หายเบื่อหายง่วง ดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อยหรือยัง (เมื่อย)  นั่งมาเกือบค่อนวันแล้วไม่เบื่อหรือ ไหนบอกว่าพอจะให้เข้าห้องนี่รู้สึกขาก้าวมานั่งไม่ออกเลยไม่ใช่หรือ  แต่ตอนนี้อยากนั่งหรือยังต้องให้ยืนนานๆ เวลานั่งจะได้นั่งอย่างมีคุณค่า
มนุษย์ทุกคนในที่นี้มักจะรู้คุณค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ต่อเมื่อ (เสียไป)  หรือจะได้กลับคืนมายากเหลือเกิน ถูกไหม (ถูก)  เก้าอี้นี้ราคาถูกหรือราคาแพงดี แพงสักหนึ่งชั่วโมงดีไหม ไหวไหม (ไม่ไหว)  ครึ่งชั่วโมงไหวไหม (ไม่ไหว)  มีคนบอกว่าห้านาทีก็พอ ดีไหม (ดี)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่ง)
เราอยู่ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุและมีผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหตุเกิดผลจึงตาม แต่ทำไมเหตุดีแต่ผลกลับไม่ได้ดี เคยทำดีหลายครั้งแต่ผลกลับไม่ได้ดีก็มีหลายครั้งเหมือนกัน  ฉะนั้นเราอยากบอกเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยแล้วจึงดำรงซึ่งผลตามมา ถ้ามีเหตุดีแต่ปัจจัยไม่ดีก็ยากตกผลดีได้ เคยไหมพูดดีๆ แต่พูดไม่ถูกเวลาก็ถูกว่ากลับมา หรือทำดีๆ กลับไปแต่ก็ยังถูกประชดกลับมา (เคย)
ฉะนั้นการทำดีหรือการจะทำสิ่งใดก็ตามจะให้ตกผลสำเร็จ อย่ามองแค่เหตุอย่างเดียว ต้องดูภาวะปัจจัยรอบข้างด้วยว่าส่งเสริมกับการทำนั้น แล้วสามารถตกลงสู่ผลได้หรือไม่ ถ้าเหตุดีแต่ปัจจัยรอบข้างไม่เอื้ออำนวย อย่าทำให้โดนว่าดีกว่า ถูกไหม (ถูก)  รอช้าหน่อยแต่เหตุดีปัจจัยดีแล้วผลก็จะดีตามมาเอง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายอย่างที่เราพูดไหม (ไม่)  ถามง่ายๆ ถ้าวันนี้อากาศเย็นสบาย แต่ทำไมหน้าบางคนจึงบูดบึ้ง ปัจจัยก็ดี แต่อะไรเป็นเหตุไม่ดี แต่ในทางตรงกันข้าม ร้อนแทบเป็นแทบตายแต่บางคนหน้ากลับระรื่นสดชื่นได้ จริงไหม (จริง)  เคยเจอไหม (เคย)
ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าถ้าเกิดภาวะแวดล้อมบีบให้เราเลวร้ายขนาดไหน แต่ถ้าต้นเหตุคือตัวเราไม่เอา ไม่ยอมจำนน ภาวะแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงเราได้ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าตอนนี้อากาศเย็น แต่ใจมันร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่าพูดว่าภาวะแวดล้อมไม่ดี ใจเราเลยไม่ดี อย่างนี้อ้างไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นใจจึงเป็นเหตุผลทั้งมวลในการเกิดสรรพสิ่งในโลกนี้ ถูกไหม (ถูก)  มีใจจึงมีสรรพสิ่ง ไร้ใจก็ไร้สรรพสิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเรามีใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จะทำอะไรก็ตกผล แต่ถ้าหมดใจแล้วทำอะไรก็ไม่บังเกิดผลถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ว่าในโลกนี้ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น แล้วทุกๆ ครั้ง เรายอมจำนนเสมอ ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ถ้าเช่นนั้นทุกๆ ครั้งเราไม่ยอมจำนนเสมอได้หรือไม่ (ไม่ได้)
เราพูดง่ายๆ นะ ตอนนี้สภาวะแวดล้อมจากที่อากาศเย็นค่อยๆ เริ่มร้อน และลมก็ไม่พัด รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ตอนนี้ใจเรายอมจำนนกับสภาพแวดล้อมอย่างนี้ดีหรือไม่ดี (ดี, ไม่ดี)  ถ้าเช่นนั้นถ้ายอมแล้วเรารู้สึกร้อน ร้อนแล้วก็ง่ายที่จะหงุดหงิด พอหงุดหงิดแล้วก็ง่ายที่จะเอะอะพาลโทษนั่นโทษนี่ ถ้าเช่นนั้นยอมจำนนกับสภาวะนี้ ดีหรือไม่ดี (ดี)
แต่ในทางกลับกัน ถ้ายอมจำนนว่าร้อนแล้วจึงลุกไปเปิดพัดลม  ยอมจำนนนี้ดีหรือไม่ดี (ดี) ยอมแล้วหาเหตุแก้ให้ถูก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ยอมอย่างแรกหาเหตุแก้ ถูกไหม (ไม่ถูก) ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางกลับกันวันนี้อยู่สบายๆ แต่เผอิญกินอะไรเข้าไปแล้วปวดท้อง จะยอมจำนนดี หรือจะไม่ยอมจำนนดี (ยอม,ไม่ยอม)  ถ้าไม่ยอมก็ต้องนั่งทนต่อไป แต่ถ้ายอมจำนนแล้วลุกขึ้นไปหายาดีกว่าไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ยากต่อไปก็คือเมื่อมนุษย์รู้ว่าเรามีใจเป็นต้นเหตุ แต่เมื่อมีใจเป็นต้นเหตุ ความยากต่อไปในการเผชิญกับสิ่งต่างๆ ในโลก  นั่นก็คือ สติปัญญาที่จะตามมาเท่าทันหรือไม่ เมื่อมีสติปัญญาเราสามารถดับเหตุที่เกิดไม่ให้ตกผลได้อย่างไร
ฉะนั้นเราต้องมองต่อให้ออกอีกว่า ในธรรมชาติหรือในโลกใบนี้มีสิ่งที่เรียกว่าความจริงเด็ดขาด กับความจริงพลิกผัน ถูกไหม (ถูก)  ความจริงเด็ดขาดก็คือ ยอมอย่างไร ถึงจะดื้อดึงอย่างไร ก็ต้องยอมอยู่วันยันค่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นคนเกิดมาต้องตาย ไม่ยอมตายได้ไหม (ไม่ได้)  ได้ ถ้าตอนนั้นภาวะใกล้ตายป่วยเป็นแค่ไข้หวัด ถูกไหม (ถูก)  หรือว่าเรากำลังเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม ยอมตายแล้วตายตรงนี้แหละให้น้ำท่วมไปเลย การยอมอย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นคุ้มครองเลย ถูกไหม  (ไม่ถูก)  ฉะนั้นเมื่อเรามีใจเป็นเหตุเราก็ต้องมีสติปัญญา ตามให้ทันด้วยว่าเหตุที่เกิดนั้นเป็นสิ่งที่เด็ดขาดตายตัวเปลี่ยนไม่ได้ไหม หรือเป็นสิ่งที่พลิกผันสามารถหาทางแก้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเช่นนั้นถ้ารักแล้วไม่รักตอบล่ะ จะยอมเลิกดีหรือจะยอมดื้อดึงต่อไปดี ใครสามารถตอบคำถามนี้ได้บ้าง (เขาไม่รักแล้วจะไปดื้อดึงอยู่จะมีประโยชน์อะไร)  เราบอกแล้ว อยู่ในโลกนี้อย่ามองแค่เหตุ แต่บางครั้งต้องดูปัจจัยด้วย ท่านเคยเห็นผู้หญิงบางคนไหม รักครั้งแรกไม่รักตอบ แต่บางคนเอาชนะด้วยความดีและเพียรอดทนต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จากที่ไม่ได้หัวใจก็ได้  ฉะนั้นต้องดูปัจจัยด้วยว่าปัจจัยนี้ยังมีใจให้ไหม ถ้าไม่มีเลยก็ต้องเลิก ต้องยอม ต้องหยุด แต่ถ้ายังพอมีใจอยู่ อยู่ตื้อต่อไปก็ไม่ใช่ปัญหา ถูกไหม (ถูก)
ทำไมเมื่อเรามองเรื่องการดำรงชีวิตเป็น มองเรื่องการใช้ชีวิตกับคนต่อคนได้สำเร็จ ทำไมการใช้ชีวิตกับคนอื่นจะไม่สำเร็จล่ะ ถูกไหม (ถูก)  แล้วถ้าเกิดเรื่องๆ หนึ่งเราจับจุดได้ เราดักจับได้ ปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ขอเพียงมนุษย์เมื่อมีชีวิตอยู่ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ สติและปัญญา  ปัญญาคือสิ่งควบคุมจิตใจ สติคือสำนึกรู้หัวใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทุกขณะจิตเรารู้จักมีสติเฝ้ามองตัวเองอยู่เสมอ อะไรเข้ามากระทบ พอกระทบแล้วเรายอมเป็นทาสเขาเลยไหม (ไม่ยอม)  เรายอมเป็นเหยื่อของสิ่งนั้นทันทีไหม (ไม่ยอม)  เมื่ออะไรมากระทบ เราเห็นสิ่งนั้นชัดเจน ความรักมาแล้วนะ จะยอมรักตอบดีไหม คิดให้ดี มองให้เห็นทั้งเหตุและผล และปัจจัยที่เอื้ออำนวย รักนี้ก็ไม่เป็นโจรขโมยหัวใจไป และทำให้เราทุกข์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ถูกไหม (ถูก)  เราจะมีสติระลึกอยู่เสมอว่า อะไรมากระทบแล้วเราควรปล่อยใจไปตามไหม หรือควรอยู่เฉยๆ ดี หรือควรจะควบคุมให้ตกเป็นทาสเราดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการดำรงชีวิต ถ้ารู้จักควบคุมตัวเองเป็น เราก็สามารถควบคุมคนทั้งหลาย และเหตุการณ์ในโลกให้อยู่ในกำมือได้ แต่ถ้าเกิดเราควบคุมใจไม่เป็น  ทุกๆ อย่างก็ง่ายที่จะลื่นไหลชักพาไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยจริงไหม (จริง)
แล้วที่เราตกเป็นทาสของความโกรธ ความโลภ ความหลง สามสิ่งนี้ก็ทำเราเจ็บแสบเหลือเกิน ใช่ไหม (ใช่)  เข็ดไหม (ไม่เข็ด)  เบื่อสิ่งนี้หรือยัง (ไม่เบื่อ)  ไม่เบื่อ ไม่เคยชนะ แต่ก็ตกเป็นทาสสิ่งนี้ทุกที
ฉะนั้นต่อไปนี้ขอให้มีสติระลึกอยู่ทุกขณะจริงหรือไม่ (จริง)  ไม่ต้องไปมองใครหรอก มองตัวเราเอง เมื่อควบคุมตัวเองได้ ควบคุมโลกใบนี้ได้ และถ้าควบคุมใจตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปดูแลใครได้ ใช่ไหม (ใช่)
บ่อยครั้งไปที่เราก็ผิดหวังตัวเองแล้วก็ผิดหวังคนอื่น ถามตัวเองเสมอจะเจ็บอีกนานไหม เมื่อไหร่จะเลิกเจ็บเสียที ต่อไปจะไม่เจ็บอย่างนี้แล้ว แต่พอถึงเวลา ก็ทุกข์ทุกที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีสติให้ทันหน่อยนะ แล้วมีปัญญาควบคุมให้ดี จะได้ไม่ต้องทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือพูดตามภาษาที่เราพูดง่ายๆ ใช่เพราะมนุษย์มีใจมากเกินไปหรือเปล่า จึงทุกข์อย่างนี้ เพราะมีใจกับทุกๆ เรื่องเกินไปหรือเปล่า พอโดนใครทำร้ายก็เลยเจ็บปวด  ฉะนั้นเป็นคนไร้ใจเลยดีไหม (ไม่ดี)  แต่ต้องเป็นคนที่มีใจแล้วใช้ใจให้เป็น ดีหรือไม่ (ดี)
(พิธีกรพูดว่า เราต้องไม่อยู่ในภาวะจำยอม)  ยอมไหม ถ้ายอมเราจะได้จบแค่นี้ แล้วให้ตาบนมาเจอกับตาล่างบ้างดีไหม (ไม่ดี)  เห็นทีจะแย่แล้ว เราเข้าใจเพราะว่าบางท่านมาจากที่ไกลตั้งแต่เช้า ก็เลยพักผ่อนไม่พอ ใช่หรือไม่ แต่ในโลกนี้การยอมตามใจ ก็ทำให้เราเสียผู้เสียคนมาบ่อยครั้งแล้วไม่ใช่หรือ  ฉะนั้นถ้าเกิดวันนี้ลองฝืนใจดูบ้างจะยากอะไร ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าฝืนแล้วทำให้ได้อะไรดีๆ จะลองฝืนสักนิดหนึ่งดีไหม (ดี)
อย่างนั้นวันนี้มาเพื่อได้หรือมาเพื่อลด (มาเพื่อได้)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมมาเพื่อได้หรือมาเพื่อลด (มาเพื่อได้)  มาเพื่อลดลงนะ ไม่ใช่รถยนต์ โดยส่วนใหญ่เราอยู่บนโลกนี้เรามาเพื่อได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้เราจะบอกท่านว่า เรามาศึกษาธรรมเพื่อลดนะ ลดความอยากมี อยากได้ ลดยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลดอัตตาตัวตน ความเคยชิน ไม่มีที่ไหนสอนแบบนี้ไม่ใช่หรือ แต่ที่นี่สอน เอาไหม (เอา)  แต่ก็ไม่ค่อยยอมจะมากันนะ มักจะพูดว่ามาแล้วได้อะไร คราวหน้าผู้ปฏิบัติงานธรรมตอบไปเลยนะว่าไม่ได้อะไรหรอก มีแต่ลดกลับไป ดูซิว่าเขาจะมาไหม รับรองไม่มาแน่ แต่ถ้าเกิดคนที่รู้จักคิด และมีสติปัญญาจะมา ใช่ไหม (ใช่)
เราอยู่ในโลกนี้ เราอยู่เพื่อได้มาเยอะแล้ว  ฉะนั้นลองลดบ้างดีไหม (ดี)  แล้วลดอะไรดีล่ะ ไหนวันนี้จะลดอะไรลงไปบ้าง (ลดละความโลภ โกรธ หลง)  เอาผลิดอกหรือตกผลดี (ตกผลดีกว่า)  แปลว่ารู้จักคิดนะ ท่านอื่นล่ะ นั่งค่อนวันแล้วรู้สึกลดอะไรลงได้บ้าง (ลดทิฐิ)  แต่ก่อนเคยเป็นผู้พูดตลอดเวลา ใช่ไหม มาที่นี่ต้องกลายเป็นฟังอย่างเดียวห้ามพูด (ลดอารมณ์รุนแรง)  ขอให้ลดให้ได้
(ลดความเครียด)  ปกติลดความเครียดโดยการมาฟังธรรมบ่อยไหม เห็นลดความเครียดจากการเรียนโดยการไปซิ่งมอเตอร์ไซค์บ่อยๆ นะ ใช่หรือเปล่า (ลดเนื้อสัตว์)  แล้วจะลดต่อๆ ไปไหม (ลดกิเลส)  กิเลสอะไร อยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นยอมมาฟังธรรม ใช่หรือเปล่า อย่าเป็นลดอย่างหนึ่งแล้วอยากอย่างหนึ่งนะ
(ลดความโมโห, ลดการทำชั่ว)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เพราะอยู่ข้างนอกง่ายที่คิดจะร้าย ง่ายที่จะเลือกไปทำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดีถูกหรือไม่ (ถูก)  พอมาอยู่ที่นี่เห็นเป็นห้องพระ เห็นคนแต่งชุดขาว น้ำเงินเราก็รู้สึกสำรวมขึ้นถูกหรือไม่ (ถูก)  มีบางท่านไม่กล้าตอบ (ลดความโกรธ,ลดความโลภ)  อยู่ข้างนอกโกรธบ่อยหรือ ต่อไปลดให้น้อย ยิ้มให้มาก
(ลดทิฐิการแข่งขัน)  อย่างแรกลดความเคยชิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาที่นี่ต้องฝืนความเคยชินหลายๆ อย่าง อย่างเช่นไม่เคยไม่ทานเนื้อสัตว์ก็ต้องหัดที่นี่ ไม่เคยนั่งฟังนานๆ ก็ต้องมาอดทนแล้วนั่งฟังที่นี่ ถ้ารู้จักลด เราก็จะรู้จักได้ แต่ถ้าไม่รู้จักยอมลด เราก็จะไม่มีวันได้อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ลดละอบายมุขสิ่งเสพย์ติด, ลดละชีวิตสัตว์ให้มาทานอาหารเจ, ลดละเรื่องกิเลส และกามอารมณ์)  เอาผลไม้อีกไหม (เอา)  ได้หนึ่งเพื่อลดหนึ่งดีไหม (ไม่ดี) ทำไม (ตอบแล้วก็อยากได้สิ่งดีๆ จากพุทธะ)  ถ้าไม่ตอบเราจะพูดเรื่องอื่นต่อแล้ว (ลดการพูดคำหยาบ)
เราถามหน่อยเมื่อเรามองสิ่งหนึ่ง อย่างเช่นตะกร้าใบนี้ เราเห็นสิ่งนี้ว่ามีหรือไม่มี เห็นว่ามี ถูกไหม (ถูก)  มองมือเราเห็นว่ามีหรือไม่มี (มี)  ที่ไม่ตอบหมายความว่าอะไร ไม่เห็นหรือไม่รู้ เห็นตัวเราอย่างนี้เห็นว่ามีหรือไม่มี (มี)  ถ้าเริ่มต้นตอบอย่างนี้ก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างแท้จริงแล้วไม่มีจึงเกิดมี ถูกไหม (ถูก)  แล้วที่เห็นว่ามี ก็คือความไม่มี ถูกไหม (ถูก)
แม้แต่ตัวเราเองที่บอกว่ามี แท้ที่จริงแล้ว เดิมทีเราคือความว่างเปล่า คือไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราคิดว่าทุกๆ สิ่งเห็นแล้วต้องมี เมื่อนั้นก็ย่อมเกิดการยึดมั่นถือมั่น เมื่อยึดมั่นถือมั่นก็เกิดเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนอยู่ในความไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงเมื่อนั้น ก็ย่อมมีทุกข์ง่ายๆ คนที่เราเคยอยู่ด้วยกันตอนนี้นิสัยอย่างนี้ แต่ต่อไปกลับมีนิสัยอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แล้วอยู่ๆ นานไปกลับมีนิสัยเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง นิสัยที่จับไม่ได้เลยแบบนี้ทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วอะไรในโลกที่เราสามารถจับได้มั่นคั้นให้ตายได้จริงๆ มีไหม (ไม่มี)  แม้แต่รูปร่างที่เราว่าเราจับได้วันนี้แต่ต่อไปเราจะจับได้ตลอดไหม (ไม่ได้)  แม้เงินทองที่เราว่าเรามีวันนี้จะอยู่ได้กับเราตลอดไหม (ไม่ตลอด)
ฉะนั้นสิ่งใดที่ขึ้นชื่อว่ารูปว่านามก็ตามล้วนไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็มีทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็ต้องดับไปและอยู่ไม่ถาวรถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเมื่อพูดถึงที่สุด มนุษย์กำลังทุกข์กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนไม่ใช่หรือ แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน แล้วยังทุกข์ทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์กับลูก ถึงเวลาลูกอยู่ให้เห็นตลอดไหม (ไม่)  แล้วเขาจะดีได้ดั่งใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  แม้แต่ตัวเราเองเรายังคุมให้ดีตลอดไม่ได้ นับประสาอะไรกับลูก สามี และภรรยา หรือเงินในกระเป๋าเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็มีทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็จับต้องไม่ได้ เพราะอยู่ได้ไม่ถาวร
ฉะนั้นมนุษย์ก็เลยเห็นทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ขาดสูญได้หรือไม่ ฉะนั้นเรามองทุกสิ่งดับสูญหมดเลยได้ไหม (ได้)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างขาดสูญจนสุดโต่งก็ไม่ได้ แต่จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่าง มีอัตตาตัวตน เป็นเจ้าข้าวเจ้าของตลอดทุกอย่างก็ไม่ได้  แต่เราต้องอยู่อย่างไรให้เรียกว่า อยู่แล้วไม่ทุกข์ได้ เคยได้ยินไหม อยู่บนโลกแต่อยู่เหนือโลก อยู่กลางทุกข์แต่เข้าใจทุกข์และไม่ติดในทุกข์  ได้ยินแต่ถึงเวลาตกลงทุกข์แล้ว ก็ทุกข์ทุกที
ใช่หรือไม่ (ใช่)




ก่อนจะไปตรงนั้นเราถามก่อนว่า ทำไมจึงมองทุกสิ่งอย่างขาดสูญไม่ได้ เพราะคนบางคน พอคิดว่าเราเกิดมาแล้วถึงเวลาก็ตายหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรไปทำชั่วเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่คิดว่าทุกสิ่งดับสูญเลยไม่กลัวบาปเวรกรรม ทำอะไรเลยไม่สนใจ จะดีจะชั่วทำหมดทุกอย่างไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ส่วนคนที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่าง คือสิ่งที่มีและต้องมีไปตลอดชีวิต และมีเขาจึงมีเรา มีเราก็ต้องมีของเราและก็ไม่ใช่ของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคิดแบบนี้ก็เลยเอาแต่หาทุกวัน กลายเป็นคนโลภ และหลงไม่รู้จักพอ อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นทำอย่างไร ธรรมะที่เราพูดยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำไมถึงนิ่งจนตอบอะไรไม่ถูกเลยหรือ
ฉะนั้นการมีชีวิตอยู่ หรือการเรียนรู้ที่จะมีชีวิต ก็คือการนำสิ่งดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบอกให้ท่านไม่ต้องหาเงินก็หาใช่ไม่ แต่ให้หาอย่างคนที่ยึดติดจนหลงเกินไป การแสวงหาเพื่อสมบูรณ์ภายนอก แต่บกพร่องภายในก็ไม่ถูกต้อง แต่ต้องเป็นคนที่แม้ภายนอกไม่สมบูรณ์ แต่ภายในยังรักษาความสมบูรณ์งดงามได้ อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง
เราเรียนรู้เพื่อเกิดเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่เป็นคนเท่านั้นหรือ (ไม่ใช่)  เรียนรู้เพื่อเป็นคนที่ดีคนหนึ่งในสังคมถูกหรือไม่ (ถูก)  สังคมสอนให้มนุษย์เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง แล้วเอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  สังคมสอนให้มนุษย์รู้ว่า เรียนรู้แล้วต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคน นึกถึงหัวอกผู้อื่นด้วย แล้วรู้จักตอบแทนบุญคุณคนที่เอื้อเฟื้อให้เรามีชีวิตอยู่ด้วย และในการตอบแทนนั้น ย่อมรู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วย นี่คือการดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง
อยู่ในสังคมไม่ใช่อยากได้จนเสียสละไม่เป็น ไม่ใช่โกรธคนจนให้อภัยคนไม่ได้ ไม่ใช่รักคนจนมองไม่เห็นว่าอะไรผิดชอบชั่วดี แต่เรียนรู้การเป็นคน เรียนรู้การมีชีวิตคือ การเป็นคนที่ถูกต้องทั้งนอกและใน ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ขอให้คิดให้เป็น มองให้ออก
ฉะนั้นเราฝึกฝนบำเพ็ญไม่ใช่เพื่อเป็นคนมั่งมีแต่เงินทอง แต่ต้องมั่งมีน้ำใจ เป็นคนที่รวยทรัพย์สิน แต่รวยน้ำใจก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นคนที่รู้จักหาความสุขให้ตัวเองเป็น แต่ยื่นความสุขให้ผู้อื่นไม่เป็น อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นคนที่เบื่อแล้วก็เบื่อเลย แต่ยังรู้จักทำสิ่งที่น่าเบื่อให้มีความสุขได้
ในที่นี้มีผู้ที่วัยวุฒิยังน้อยอยู่ จึงไม่เข้าใจว่า โลกใบนี้นั้นทุกข์แค่ไหน ยังสุขสนุกสนานอยู่ เมื่อไม่เห็นทุกข์ ก็ยากที่จะค้นหาทางพ้นทุกข์ แต่บางท่านเห็นทุกข์มากี่ปีแล้ว ฉะนั้นวันนี้มาศึกษาหลักธรรม เพื่อเรียนรู้การดำรงชีวิตให้ถูกและให้เป็น แถมในการถูกและเป็นนั้น ยังรู้จักนำการดำรงชีวิตที่ถูกนี้ ไปช่วยคนให้ได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ่งยุคนี้เป็นการโปรดยุคสาม ช่วยมนุษย์ทุกคนให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เราจะเอาอะไรที่จะทำให้เราพ้นเวียนว่ายตายเกิด พ้นทุกข์ได้ ถ้าไม่ใช่หลักธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะให้คนอื่นช่วยเราได้ไหม ถ้าตัวเราเองไม่คิดหาทางพ้นทุกข์ให้กับตัวเอง ก็ไม่ได้ อย่ามัวแต่นั่งเบื่อง่วงเหงาหาวนอน แต่จงแปรเวลานี้ต่อไปให้มีคุณค่า ฟังให้ดีแล้วเอาไปคิดให้เป็น จนเกิดสติปัญญา การฟังวันนี้จวบจนไปถึงพรุ่งนี้จะได้ไม่เสียเปล่า
คุณค่าของมนุษย์ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติดีอย่างไม่สิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวันคิดคำนึงถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยสนใจใยดีใคร คุณค่าของมนุษย์ผู้นี้ จะต่างอะไรกับฝุ่นธุลี ฉะนั้นอยากมีคุณค่าชีวิตหนักแน่นอย่างภูผา หรือเบาบางอย่างฝุ่นธุลี ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติ จะทำเพื่อตนเอง หรือทำเพื่อผู้อื่นบ้าง จะทำเพื่อตัวเอง หรือรู้จักทำเพื่อผู้อื่นบ้าง จะคิดถึงแต่ตัวเอง หรือว่ารู้จักคิดถึงเพื่อส่วนรวมบ้าง
วันนี้เราก็มาศึกษาธรรมกับท่านเพียงเท่านี้ ใครที่ตัดสินใจจะฟังสองวัน ขอให้อยู่ให้ครบ ส่วนคนที่ตัดสินใจว่าวันเดียว ขอให้พิจารณาให้ดี ดีไหม (ดี)  เรามาตั้งแต่แรก ก็คือความไม่มีนะ ไม่ใช่ความมี  ฉะนั้นวันนี้อย่าสักแต่ฟัง แต่ฟังแล้วควรคิดพิจารณาด้วย อยู่บนโลก เอาแต่คิด แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ หรือทำแล้วไม่คิดก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ ต้องคิดให้ดีแล้วค่อยทำถูกหรือเปล่า (ถูก)
วันนี้เราก็ผูกบุญเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ ผ่านไปอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงวัน (ปีใหม่)  ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงทุกท่านนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙        สถานธรรมอิ๋งเต๋อ  จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ความทุกข์ในโลกปัจจุบันพิสดาร          เพราะคนในโลกปัจจุบันแสนซับซ้อน
ต้องกระแสโลกีย์ก็สั่นคลอน                  จงมองย้อนตนเองเพื่อพ้นเคราะห์ภัย
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลกมนุษย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนรู้จักชีวิตหรือยัง

  ผู้บำเพ็ญปัญญามีหลายระดับ            ขอศิษย์จับความเข้าใจในธรรมนั้น
มีเป้าหมายแจ่มชัดเป็นเรื่องสำคัญ          ใจคงมั่นด้วยศรัทธาเปี่ยมปัญญา
มีจิตใจขาวสะอาดไม่เจือปน                  เอาชนะความสับสนแห่งใจหนา
ปัญญาหากฟุ้งซ่านกับมายา                 รำคาญคนทั้งชีวาสุขไม่เป็น
ศิษย์รักเอ๋ยใช้ชีวิตอย่ารนเกิน                ทางที่เดินแม้ว่าจะช่างยากเข็ญ
อย่าปล่อยให้น้ำตาที่กระเซ็น                 รินอย่างคนที่คิดไม่เป็นน่าทุกข์ใจ
ภาวนาจิตภาวนาศีลภาวนาปัญญา         ภาวนากายสี่อย่างหนาหมั่นใส่ใจ
บำเพ็ญธรรมให้ดีขึ้นในจิตใจ                 ศิษย์เข้าใจแค่ไหนก็พยายามแค่นั้น
ในวันนี้ข้ายินดีพบศิษย์รัก                     ขอรู้จักกำหนดชีวิตความมุ่งมั่น
ผู้ยิ่งใหญ่แฝงในตัวตนศิษย์นั้น                แค่ทุกวันบำเพ็ญธรรมไม่โรยแรง
                                                                             ฮา  ฮา  หยุด
               พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้มานั่งฟังธรรมะเป็นวันที่สองแล้ว ฟังธรรมะแล้วได้ธรรมะไหม (ได้)  ธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  แล้วถ้าเรามองกลับเข้าไปในใจของเรา ใจของเราเป็นธรรมะหรือไม่ (เป็น)
เรายังอิจฉาคนอื่นไหม (ไม่อิจฉา)  เรายังเกลียดคนอื่นไหม (ไม่เกลียด)  เรายังโกรธคนอื่นหรือเปล่า (ไม่โกรธ)  จริงหรือ ที่พูดมาทั้งหมด เป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บอกว่าใจนั้นคือธรรมะ แต่ธรรมะไม่มีอยู่ในใจ ฉะนั้นเราเป็นคนที่ยังไม่ค่อยมีธรรมะ หรือมีบ้างไม่มีบ้าง
คนดีบ้างไม่ดีบ้างเรียกว่าคนดีหรือเปล่า (ดี)  แน่ใจหรือเปล่า เผอิญว่าดีอยู่แต่กับวงญาติ แต่ไม่ดีกับคนอื่น อย่างนี้เราเป็นคนดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เราดีกับสิ่งที่เราชอบ ส่วนสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ไม่ดีด้วย อย่างนี้เป็นคนดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อย่างนี้เรียกดีบ้างไม่ดีบ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้ยังไม่เหมือนตัวเราเลย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราเป็นทั้งสิ้นในสิ่งที่เราคิดว่าเราไม่ใช่ เราคิดว่าเราเป็นคนที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเราดีบ้างไม่ดีบ้าง เราคิดว่าเราไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่โมโห ไม่อิจฉา แต่ในความเป็นจริงแล้วเรายังมีสิ่งนี้ทั้งสิ้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยู่ดีๆ จะโกรธได้ไหม (ไม่ได้)  เราก็ต้องโกรธกับคนที่ทำให้เราโมโหถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าคนทำให้เราโมโหไม่ได้ แสดงว่าเรานั้นระงับอารมณ์โกรธแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดให้ดีๆ ตามให้ทันๆ หน่อย คำตอบทุกคำตอบไม่ได้ตอบว่า ใช่ หมด คำตอบทุกคำตอบไม่ได้ตอบว่าใจหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ชีวิตนี้ของเราก็มีหลายคำตอบเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตนี้ของเราก็มีเรื่องให้คิดมากมาย แล้วคิดเท่าไรก็คิดไม่หมดสักที ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันนี้ เรามาหยุดคิดสักนิดดีหรือไม่ (ดี)  หยุดคิดมีอยู่สองความหมาย หนึ่งคือหยุดคิดเรื่องไร้สาระ สองคือหยุดคิดในเรื่องต่างๆ ในโลก แล้วกลับมาคิดในสิ่งที่เป็นทางธรรมบ้าง เพิ่มธรรมะลงไปในจิตใจของตนเองบ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
คนบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมไปบำเพ็ญธรรมมา หลุดออกจากธรรม คือใจของตนนั้นไม่มีธรรมโดยไม่รู้ตัว การที่จะพ้นจากสภาพนี้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องย้อนมาดูตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ที่ไหนก็เหมือนกัน คนที่ไหนก็เหมือนกัน บำเพ็ญธรรมแล้วหรือไม่บำเพ็ญก็เหมือนกันคือไม่ชอบคนติ จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่ชอบถูกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าต้องถามว่าตัวเองทำตัวน่าว่าหรือไม่ การที่ศิษย์ของอาจารย์ทำผิดแล้วมีคนมาว่า แสดงว่าโลกนี้ยังมีคนรักเราอยู่ จริงหรือเปล่า (จริง)
เคยมีใครบางคนที่เราบอกว่า เฮ้อ คนนี้แย่จริงๆ ต่อไปจะไม่ว่า ไม่ดูดำไม่ดูดี ไม่ดูหัวไม่ดูหางแล้ว ไม่เคยพูดก็คงเคยได้ยินอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สุดท้ายเรายังดูดำดูดี ดูหัวดูหางเขาอยู่หรือเปล่า (ดู)  เพราะว่าเรารักเขาจริงหรือไม่ (จริง)  ความรักนี้คือความเมตตา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าเมตตากับเขาอยู่คนเดียว เขาอยากฟังหรือเปล่า (ไม่อยาก)  เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีความรัก ความเมตตา ก็ยังต้องให้อย่างพอดีจริงหรือไม่ (จริง)
เหมือนลูกไม่กินข้าว ตอนเล็กๆ ลูกไม่กินข้าว ทำอย่างไร ป้อนเข้าไป ป้อนเข้าไปกินหรือเปล่า (ไม่)  ต้องบอกว่าลูก จิ้งจกอยู่โน่น รถบรรทุกอยู่นี่ นั่นหญ้าตนหนึ่ง นี่ช้อนนะนี่ช้อน อ้ำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมต้องหลอกเขาล่ะ เพราะว่าความรักของเรา แม้เราจะรักท่วมท้น กลัวว่าลูกจะไม่ได้กินข้าว แต่เรายังจำเป็นจะต้องหลอกล่อจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นเวลาเราว่าใคร เราว่าตรงๆ ได้ไหม (ไม่ได้)
เด็กๆ ที่นี่หลายคน เวลาโดนพ่อแม่ว่าตรงๆ แล้วทำอย่างไร เดินหนี หรือเถียง หรือนิ่ง ทำทุกอย่างเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้ โลกนี้คนที่รักเราที่สุด ไม่มีใครรักเรามากกว่านี้ คือพ่อแม่ แล้วพ่อมีกี่คน แม่มีกี่คน (คนเดียว)  แล้วคนบนโลกนี้ คนที่เป็นพ่ออยู่คนเดียว แม่อยู่คนเดียว ถามว่าเรารักเขาได้ไหม (ได้)  ต้องถามต่อไปว่ารักเขาเท่าที่เขารักเราได้ไหม (ได้)
โลกนี้มีอย่างหนึ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนคือ คนทุกคนเกิดมาต้องตายไป แม้แต่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่อายุมากกว่าเราก็มีแนวโน้มว่าจะตายก่อนเรา จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นคนทุกคนต้องตายไป พ่อแม่เราต้องตายก่อนเราแน่นอนจริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถ้าหากว่าในกรณีที่เราตายไปก่อนพ่อแม่ แสดงว่าเรานั้นอายุสั้นผิดปกติ จริงหรือไม่ (จริง)  อาจารย์พูดในกรณีปกติ คือศิษย์ทุกคนมีพ่อแม่ เพราะฉะนั้นพ่อแม่เราที่มีแค่อย่างละคน ต้องมีความกตัญญูกตเวที ตอบแทนบุญคุณท่านให้มาก
เมื่อสักครู่ฟังหัวข้อ กตัญญุตาธรรม เราร้องไห้ ร้องไห้ในที่นี้ไม่ใช่น้ำตาหมดไปหลังจากที่เราฟัง แต่เราต้องเปลี่ยนน้ำตานี้ไปเป็นพลัง เวลาที่โดนพ่อแม่ว่า เราต้องอย่าเถียง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พ่อแม่เป็นคน เพราะฉะนั้นมีอารมณ์ร้อน มีอารมณ์ที่จะใส่เราอยู่ทุกเมื่อ แต่เราต้องดูว่าเพราะอะไร ทุกอย่างต้องมีสาเหตุ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนว่าเราก็ต้องมีสาเหตุ จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักสาเหตุที่เกิดขึ้นของทุกๆ เรื่อง จึงจะไม่เป็นทาสแห่งผล จริงหรือไม่ (จริง) 
สาเหตุที่คนว่าเรา เพราะว่าเราอาจจะทำผิด จริงหรือเปล่า (จริง)  สาเหตุที่คนนั้นมาว่าเรา เพราะว่าเรานั้นทำแล้วอาจจะไม่ถูกในสิ่งที่เขาคิด จริงหรือไม่ (จริง)  แต่อาจจะถูกในสิ่งที่เราคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทำอย่างไรล่ะ ไม่ถูกตามสิ่งที่เขาคิด แต่ถูกตามสิ่งที่เราคิด ทำอย่างไร อันนี้เป็นความคิดที่ไม่ลงตัวจริงหรือไม่ (จริง)  เป็นตัวต่อที่ไม่ลงรอย เรายังจำเป็นต้องหัดที่จะไปลงรอยเขา คิดจากมุมเขา มองจากมุมเขา เห็นในสิ่งเดียวกับที่เขาเห็นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเราจะได้เป็นคนที่สมบูรณ์ในทุกๆ สายตา
แต่ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่น แต่ที่เราจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพราะอะไร เพราะว่าเรานั้นเหมือนน้ำ ที่พร้อมจะอยู่ในภาชนะกลมก็ได้ พร้อมจะอยู่ในภาชนะเหลี่ยมก็ได้ พร้อมที่จะเป็นน้ำใสขับน้ำดำให้ทิ้งไปก็ได้ พร้อมที่จะอยู่กับน้ำใสเหมือนกัน น้ำสะอาดเช่นเดียวกันก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตนี้ ทุกวันนี้เป็นยากหรือเปล่า อยู่ที่เราคิด หากว่าเราคิดไปในทางที่ดี ชีวิตของเราย่อมดี จริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าหากว่าเราคิดไปในทางลบแง่ลบ เราคิดไปในทางร้าย โลกนี้จะงามหรือเปล่า โลกนี้ย่อมไม่งาม ที่สำคัญที่สุด ในเวลาที่มองโลกในแง่ร้าย ในเวลาที่มีความทุกข์ ต้องมองโลกในแง่ (ดี)  เห็นศัตรูเหมือนเห็น (มิตร)  เห็นเรื่องราวที่ไม่สมหวังเหมือนเห็น (สมหวัง)  ทำได้ไหม ตอนนี้สอบตกแล้วเหมือนสอบได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมไม่กล้ายืนยัน ก็คราวนี้ตกจะได้รู้ว่าเราไม่เก่ง คราวหน้าก็ต้องขยันให้มากขึ้น เราก็จะผ่าน ทุกครั้งที่เราเจออุปสรรคมากๆ เจอการเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดี เจ็บไข้ได้ป่วย ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ไม่ดีแล้วป่วยทุกคนหรือเปล่า อย่างนี้ความป่วยไข้ยังไม่ดีอยู่หรือเปล่า (จำเป็นต้องป่วย)  ป่วยนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อาจารย์บอกว่าเห็นความทุกข์ให้มองโลกในแง่ดี แล้วจะมองอย่างไรป่วยนี้ดีหรือเปล่า ถามว่าเวลาที่เราปกติไม่ป่วยเราดูแลตัวเองไหม (ไม่ดู)  เวลาปกติไม่ป่วยเราไม่ดูแลตัวเองเลย แต่อยู่ดีๆ วันนี้ป่วยเป็นหวัด เป็นไข้ เวลาเราป่วยเราทำอย่างไร เราก็รีบหันกลับมาดูแลตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็คิดว่าเราดูแลตัวเองตอนนี้ดีๆ ในตอนเริ่มต้น เราก็อาจจะหายหวัดทันไม่ต้องทนทรมานไปอีกหลายวัน จริงหรือไม่ (จริง)  การป่วยบางทีเป็นการฟ้องตัวเราเองว่าตัวเรานั้นสุขภาพเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นทุกคนที่ป่วยคือคนที่ได้รับคำเตือนให้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี แล้วทุกคนก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกครั้งที่ป่วยทุกครั้งนั้นก็จะดูแลตัวเองให้ดีมากขึ้น คนที่ไม่เคยดูแลสุขภาพตัวเองจะดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  คนที่ไม่เคยระวังการกินก็กินให้ระวังมากขึ้น คนที่ไม่เคยหยิบยาขึ้นมาดูเลยก็ต้องหยิบยาขึ้นมาดูว่าหมดอายุหรือยัง ทำให้ชีวิตของเรามีความระมัดระวังมากขึ้น อย่างนี้เจ็บไข้ได้ป่วย ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ก็ยังไม่ชอบ ถ้าไม่อยากให้ตัวเองป่วยก็จำเป็นที่จะต้องดูแลตัวเองตั้งแต่ก่อนที่จะป่วย จริงหรือเปล่า (จริง)  อย่าเป็นคนที่วัวหายแล้วล้อมคอก ฉะนั้นความทุกข์นั้นมาก็ให้มองโลกในแง่ดี หากความสุขมาให้ทำอย่างไร (ไม่ประมาท,แบ่งปัน)  ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ความสุขมีน้อยอยู่แล้วแบ่งไหวหรือเปล่า (ไหว)  อย่าไปมองว่าการแบ่งปันเป็นการที่เราหาเงินมาอย่างยากลำบากในการแบ่งปัน
การแบ่งปันมีได้หลายลักษณะ แบ่งปันเป็นรอยยิ้ม คนที่หน้าบึ้งร้อยวันพันปีไม่ยอมยิ้มเลยมีนั่งอยู่ในนี้หรือเปล่า (มี)  บางทีเรายิ้มขึ้นมาฟันหลอ แต่พอคนเห็นหัวเราะไหม (หัวเราะ)  อย่างนี้ทำให้ผู้อื่นมีความสุขไหม (มี)  ถือเป็นบุญเป็นกุศลหรือเปล่า (เป็น)  การแบ่งปันด้วยการที่เรานั้นมีข้าวอยู่หนึ่งชาม เราเห็นคนอื่นอด เราแบ่งให้ครึ่งชาม อย่างนี้เป็นการแบ่งปันหรือไม่ (เป็น)  แต่ถ้าเราให้ชามข้าวไปทั้งชามยกให้คนอื่นเลยนี้เป็นอะไร (เสียสละ)  เสียสละ มีคนบอกว่าโง่ด้วย แล้วมีคนพูดว่าเป็นการเสียสละด้วย ตกลงเป็นอะไร เป็นการเบียดเบียนตัวเอง นี่เป็นทัศนะคติที่คลาดเคลื่อนในการที่จะทำบุญของคนในปัจจุบัน อาจารย์สอนให้มีสิบให้เก้ายังให้ได้ มีสิบให้สิบแล้วตัวเองไม่เหลือเลยสุดท้ายหิ้วท้องกิ่วมาถูกไม่ถูก (ไม่ถูก)
เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์ก็ยังไม่สามารถที่จะพูดสรุปเป็นนิยามให้ศิษย์นั้นเข้าใจ แต่อยากสอนให้ศิษย์รู้อย่างหนึ่งว่าการที่บอกว่าให้หมดเลยนั้นมันเป็นการเบียดเบียนตัวเองหรือเปล่า ต้องไปตั้งคำถามตอบในใจศิษย์ทุกครั้งในการให้ บางคนให้ไปโดยที่ตัวเองนั้นยังมีใจที่ไม่ได้อยากจะให้ อันนี้น่ายกย่องไหม (ไม่น่า) การที่ให้โดยที่ตัวเองนั้นยังเกิดความคลางแคลงสงสัยนั้น แน่นอนย่อมไม่ได้บุญได้กุศลใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้รู้กันอยู่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่การให้ในการที่ตัวเองนั้นยังรู้สึกคลางแคลงอยู่ แต่ให้ไปหากมองอีกมุมหนึ่งก็คือเป็นการฝึกตัวเราเองด้วย นั่นก็ยังน่ายกย่องในสายตาอาจารย์อยู่ เพราะว่าการให้ก็คือการให้ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อให้ไม่ได้หวังจะรับผลตอบแทนอยู่แล้ว เมื่อให้ไปถึงแม้ว่าใจของเราจะคลางแคลงนิดหนึ่ง แต่เราก็ยังจำเป็นจะต้องฝึกใจของเราอันนี้ให้ระงับความคลางแคลงได้ภายในวันข้างหน้าใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์ลองทดสอบตัวเองดูว่าการให้ในแต่ละครั้งของศิษย์นั้นเกิดความคลางแคลงมากมายแค่ไหน ถ้าหากศิษย์ต้องการที่จะบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศลศิษย์ย่อมไม่ได้ แต่หากว่าศิษย์ต้องการฝึกตัวเองในการเสียสละย่อมต้องมีบทเรียนที่มาก่อนบทจริง การที่เราจะให้ไปคลางแคลงไป ก็ยังดีกว่าเราไม่รู้จักให้เลยจริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าหากว่าเราจะคลางแคลงไปตลอดชีวิตอย่างนี้ เราก็เป็นคนที่ไม่ได้บำเพ็ญใจของตัวเราเองเลยจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายของศิษย์คืออะไร เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คืออะไร ศิษย์ต้องการเป็นคนคนหนึ่งบนโลกนี้ที่ไม่มีใครรู้จักเรามากกว่าวงศาคณาญาติหรือศิษย์ต้องการเป็นผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่น โดดเด่นและยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ธรรมดาสามัญ การเดินทางครั้งนี้ของศิษย์มุ่งหมายเพียงแค่เป็นคนคนหนึ่งบนโลกนี้ ที่มีมนุษยธรรม มีมโนธรรมสำนึกหรือการเดินทางของศิษย์ครั้งนี้มุ่งหมายในการบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ ศิษย์ต้องเป็นคนกำหนดเป้าหมายตั้งแต่ออกเดินทาง มิใช่เดินทางไปเดินทางไปก็ยังลุ่มหลงในกิเลสในตัณหาในความอยากในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ไปเสมอๆ ถ้าอย่างนั้นมิได้กำหนดเป้าหมายของตัวเองมัวแต่แวะใช่ไหม (ใช่)  ดอกไม้ริมทาง มัวแต่หยุดดูกิเลสตัณหาอยู่ข้างทาง ในที่สุดแล้วเมื่อกิเลสตัณหาอยู่ในใจแล้วต่อให้พุทธะองค์ไหนก็ช่วยศิษย์มิได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงจำเป็นที่ธรรมะคือใจ ใจคือธรรมะศิษย์ก็ตอบถูกแล้ว แต่ธรรมะคือใจแต่ใจของศิษย์ยังไม่คือธรรมะนี่สิจะให้ทำอย่างไร จำเป็นที่จะต้องกลับมาดูตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญธรรมคือการทวนกระแสโลกีย์ คนที่ยังมองว่าโลกีย์คือความสุขย่อมบำเพ็ญธรรมไม่ได้ หากความรู้ตื่นยังไม่อยู่ในจิตของตนมิว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้จริงหรือไม่ (จริง)
บางคนมาบำเพ็ญธรรมเพราะเพียงแค่ความชอบธรรมะ รักธรรมะ สนใจธรรมะแต่มิได้บำเพ็ญ มีเวลา มีงานก็มาช่วยงานเหมือนการมาทำกิจกรรมแต่ยังมิใช่บำเพ็ญ แต่ทุกคนนั้นไม่มีหน้าที่มาตรวจสอบใคร ในการที่จะมองว่าเขามาบำเพ็ญหรือไม่ ทุกคนยังจำเป็นที่จะต้องย้อมมองส่องตนเท่านั้นจึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกันร้อยพ่อพันแม่ กินข้าวหม้อเดียวกันสามัคคีกันสักนิดหนึ่งจะดีไหม (ดี) ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกันเราไม่ต้องว่าคนอื่นเป็นอย่างไร และเราก็ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ดีหรือไม่ (ดี) เวลาอยู่ร่วมกันเราจะไม่เห็นข้อผิด ไม่ติไม่นินทาลับหลังคนอื่น ดีหรือไม่ ถ้าหากว่าวันไหนวันดีคืนดีเรามุ่งหมายที่จะไปเตือนเขาด้วยความหวังดี เราต้องตรวจสอบความจริงใจของเราว่าเต็มเปี่ยมหรือยัง ความจริงใจเต็มเปี่ยมมิใช่อารมณ์เต็มเปี่ยม เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ความจริงใจเต็มเปี่ยมพูดแล้วคนจึงจะอยากฟังจริงหรือเปล่า (จริง) เพราะว่าจะมีความเมตตาส่งประกายมาจากสายตาของเรา แต่หากเป็นความโมโห อารมณ์เต็มเปี่ยม ความโมโหดุเดือดนั้นก็จะส่งประกายมาจากสายตาของเราเหมือนกันจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นต้องไปตรวจสอบตัวเองถูกหรือไม่ (ถูก)
การไม่เบียดเบียนตนเองกับการไม่เห็นแก่ตัวเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ไม่เบียนเบียดตนเองไม่ใช่หมายความว่าให้เรามาเห็นแก่ตัว อย่าเข้าใจคลาดเคลื่อน ดีหรือไม่ (ดี)
ชีวิตของตนนั้นมีรูปแบบเป็นหน้าตารูปร่างแบบเรา ฉะนั้นรูปร่างหน้าตาแบบเราจะเหมือนกับรูปร่างหน้าตาแบบคนอื่นหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  ฉะนั้นทุกๆ คนมีรูปแบบของชีวิตเป็นของตนเองทั้งสิ้น ไม่มีใครที่มีรูปแบบชีวิตเหมือนกันโดยทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่ทุกคนมีหู ตา จมูก ปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นความทุกข์ที่มีจึงไม่แตกต่างกันมาก บทเรียนข้อเตือนใจที่คนอื่นเราจึงยังรับฟังได้ ยังรับได้ รู้ได้ ใช้ได้ เข้าใจได้ รูปแบบชีวิตทุกคนนั้นถึงแม้ไม่เหมือนกันทีเดียวแต่ก็ยังพออ้างอิงกันได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  ผมก็มีอยู่สองแบบ คือ ผมยาวกับผมสั้น ตาก็มีอยู่สองแบบ คือ ตาโตกับตาตี่ จมูกก็มีอยู่สองแบบ คือ จมูกโตกับจมูกเล็ก ปากก็มีอยู่สองแบบ ก็คือ ริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง แขนก็มีอยู่สองข้าง คือ แขนซ้ายและแขนขวา ขาก็มีอยู่สองข้าง คือ ขาซ้ายและขาขวา จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นมองๆ ไปแล้วถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนกันทีเดียว แต่ดูๆ ไปแล้วเหมือนกันไหม (เหมือน)  สิ่งที่ต่างกันจริงๆ คือเนื้อหาชีวิตของคนทุกคน แต่เนื้อหาชีวิตที่แตกต่างกันมากก็ยังแยกได้เพียงแค่สองอย่างคือ ความสุขกับความทุกข์เท่านั้น ทุกวันนี้เราดิ้นรนแสวงหา เราเจ็บปวด เราชอกช้ำ เรามีความสุขล้นเหลือ เรามีความปลาบปลื้มยินดีล้นเหลือ ก็ยังเป็นแค่ความสุขและความทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา พยายามมองว่ามันเป็นแค่สุข นี่คือเรื่องสุข สามีไปมีภรรยาน้อยนี่คือเรื่องสุขแค่นั้นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามองเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก มองความทุกข์เรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก แล้วมองความสุขเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่างนี้มีความสุขมากกว่าความทุกข์ เอาไม่เอา (เอา)  ทีนี้เรารู้จักชีวิตแล้วเราต้องกำหนดชีวิตด้วย วันนี้อาจารย์นำพามาให้รู้จักชีวิต แต่กำหนดชีวิตใครกำหนด (ตัวเอง)  ตั้งแต่เล็กจนโตมานี้เรารู้ว่าชีวิตเราเป็นอย่างไรเราชอกช้ำใจกับความทุกข์แต่เรายังไม่กำหนดทิศทางเลย จริงหรือไม่
วันนี้มากำหนดทิศทางชีวิต ดีหรือไม่ (ดี) ให้ชีวิตของเราเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากขึ้น ดีหรือเปล่า (ดี)  ผู้ยิ่งใหญ่ในที่นี้ คนนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อมีคุณธรรม ไม่ใช่ยิ่งใหญ่ด้วยเงิน เงินไม่ได้ตอบคำถามทุกเรื่อง จริงหรือไม่ (จริง)  ยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งกลุ้มใจมาก จริงหรือเปล่า (จริง)  กลัวคนโน้นมาเอา กลัวคนนี้มาแย่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเงินเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ โยนเงินออกจากกระเป๋าทิ้งไปเลยดีไหม ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ไม่แน่จริง
(นักเรียนในชั้นเชิญพระอาจารย์นั่ง)
อาจารย์ไม่นั่งจะนั่งหรือเปล่า ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา นั่งหรือเปล่า (นั่ง)  ไหนว่ารักกันไง นั่งหรือไม่นั่ง นับหนึ่ง สอง สาม ถ้าเกิดใครนั่งช้าลุกขึ้นใหม่เลยดีไหม (ดี)  หนึ่ง สอง สาม ลุกขึ้นใหม่ ยังมีคนกลัวโดนหลอก ไม่ยอมนั่ง มนุษย์ในโลกนี้ คนเร็วก็เร็วเกินไป จริงหรือเปล่า (จริง)  คนช้าก็ช้าเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเป็นคนเร็วหรือเป็นคนช้า อย่าให้เร็วและช้าเพราะว่าผลประโยชน์ที่กองอยู่ตรงหน้าต้องใจเราหรือเปล่า ขอให้เป็นคนเร็วและช้าเพราะว่าอะไร ช้าคือพิจารณาและคิดให้ช้าๆ ให้รอบคอบ ให้เป็นคนเร็วในการทำความดีอย่าได้คิดมาก แม้ว่าทำความดีบางทีทำแล้วโดนว่า แต่ถามว่าโลกนี้มีใครไม่โดนว่า (ไม่มี)  อย่าบอกว่าทำดีแล้วยังไม่ได้ดี อย่างนี้เป็นคนพาล เวลาทำความดีบางทีเราคิดได้ไม่รอบคอบ เราก็อาจจะคิดได้ไม่ทั่วถึง แต่การทำความดีนั้นย่อมได้ผลแห่งความดี กุศลย่อมเกิดที่จิตของผู้ทำ แม้ว่าทำแล้วผิดพลาดก็ยังต้องยอมรับไปตามนั้นเพื่อเป็นบทเรียน จริงหรือไม่ (จริง)  มีคนมาด่า มีคนมาว่าคือมีคนมารัก จริงหรือเปล่า (จริง)  ทุกวันนี้มีคนรักเยอะไหม (เยอะ)  มีคนรักเยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง)
ทุกวันนี้คนมักจะเห็นเงินเป็นพระเจ้า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์คิดว่าเงินสำคัญหรือเปล่า (สำคัญ)  ถ้าศิษย์ทั้งหมดในห้องนี้รู้สึกว่าเงินเป็นเรื่องสำคัญ อาจารย์ก็คงพูดอะไรไม่ได้ เพราะว่าเงินนั้นเป็นสิ่งสำคัญหรือไม่ อาจารย์ย่อมตอบว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ คนจนคนรวยสามารถบำเพ็ญธรรมและบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน คนที่เห็นเงินสำคัญจึงมีคุณค่าชีวิตอยู่เพียงแค่เงิน การที่คนทุกคนคิดว่าเงินสำคัญนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นการผิดอะไร เพราะนี่เป็นการปลูกฝัง ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กเลย ตั้งแต่เล็กมาก็ถูกปลูกฝังมาว่าเงินเป็นเรื่องสำคัญ คนสมัยนี้เด็กๆ เรียนหนังสือก็เรียนให้สูงๆ พอจบมาจะได้มีงานทำ มีเงินใช้ จริงหรือไม่ (จริง)  เป็นความคิดเบ็ดเสร็จ เป็นความคิดแบบเงื่อนตาย ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้ง่ายๆ แต่ว่าอุปสรรคชีวิตหรือปัญหาชีวิตนั้นมีก็เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรื่องเงินเกือบครึ่งที่ทำให้คนมีปัญหา และยิ่งมีปัญหาเมื่อเห็นเงินสำคัญ ก็ยิ่งกู้หนี้ยืมสิน ก็ยิ่งมีปัญหาใหญ่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  กลายเป็นการเดินทางดำดิ่งสู่นรกขุมเงิน โดยที่ไม่สามารถถอนตัวเองขึ้นมาได้
ฉะนั้นเราจึงไม่ควรเห็นความสำคัญเงินมากเกินไป แต่ศิษย์ถามอาจารย์ว่าไม่ให้เห็นเงินสำคัญแล้วให้เห็นอะไรสำคัญ ถามว่าเรารู้จักชีวิตจิตใจของตัวเองหรือไม่ ชีวิตและจิตใจของเรานั้นมีความสำคัญมากยิ่งกว่าเงิน อย่าทำร้ายจิตใจใครเพราะว่าเถียงกันเรื่องเงิน เท่านี้ก็ทำให้เรื่องในบ้านหายไปเยอะเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าหากว่าต่างคนต่างมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญแล้วไม่มองว่าคนที่เรากำลังมีเรื่องด้วยนั้นสำคัญกว่า เมื่อใดก็เมื่อนั้นเราก็ทะเลาะกันไปเรื่อยๆ แต่ว่าการที่ศิษย์เป็นคนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยมาตลอดชีวิต อยู่ดีๆ บอกว่าอย่าเห็นความสำคัญเรื่องเงิน แล้วศิษย์จะอยู่อย่างไร จึงต้องกลับมาแก้ที่ปัญหาดูเหตุแห่งผลทุกวันนี้ว่าเกิดขึ้นด้วยอะไรคือเกิดขึ้นด้วยเรานั้นเป็นคนที่ไม่เรียบง่ายหรือเรียบง่ายไม่พอ จริงหรือเปล่า (จริง)  บางเรื่องที่เราควรประหยัดได้เราก็ไม่ประหยัด เด็กๆ ก็ชอบซื้อมือถือธรรมดาก็ไม่พอจะต้องเป็นจอสี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทุกคนจะต้องมี ถ้าทุกคนมีแล้วเราไม่มี ทนไหวไหม (ไม่ไหว)  ใจทนไม่ไหวเลย อาจารย์จึงถามว่าเห็นจิตใจของตัวเองไหม รู้จักจิตใจ รู้จักชีวิตของตัวเองดีหรือเปล่า เราต้องทำอะไรที่พอดีๆ ตัว จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่บอกว่าตอนนี้เงินที่บ้านขาดมือมากเลย อยากจะซื้ออะไรสักนิดหน่อยแล้วบอกว่าไม่ซื้อดีกว่า ไม่ซื้อๆๆ อันนี้เรียกว่าประหยัดหรือขี้เหนียว (ขี้เหนียว)  อย่างนี้ไม่เรียกประหยัด เพราะว่าบางคนนั้นเขียมจนเกินพอดีคือประหยัดจนเกินไปจริงๆ ประหยัดจนเบียดเบียนตัวเอง อย่างเช่น ค่ารถจะไป ตอนนี้เราก็บอกว่าเราจนอยู่อย่างนี้เราเดินเอาแล้วกัน ถามว่าอาจารย์ยินดีกับที่ศิษย์เดินไหม อาจารย์ยินดีที่ศิษย์เดิน แต่ศิษย์เดินด้วยใจประเภทว่าเดี๋ยวไม่มีเงิน
การเดินนั้นยิ่งดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากว่าการเดินที่ถูกจำกัดไว้ด้วยเวลายิ่งดีใหญ่เลย เพราะว่าคนจะเดินเร็วมากขึ้น เดินเร็วมากขึ้นเหมือนกับการออกกำลังกายชนิดหนึ่งเลย แต่ว่าอาจารย์ไม่ชอบใจของศิษย์ที่ไปเดิน เพราะถ้าหากว่าเลือกได้ศิษย์ก็คงไม่ยอมเดิน ใจต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่าเงิน จริงหรือไม่ (จริง)  เราต้องทำใจของเราให้เป็นปกติ ไม่ว่าเราจะเจอเหตุการณ์ที่ร้ายที่สุด ไม่ว่าเราจะเจอเหตุการณ์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเจอเหตุการณ์ที่เราพอใจ ไม่พอใจเราต้องทำใจให้เป็นปกติ
มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดเลยคืออะไร  สิ่งที่ทำให้ไม่มีที่สิ้นสุดและเป็นปากประตูแห่งความทุกข์นั่นคือ อวิชชา หรือถ้าเรียกเป็นภาษาง่ายๆ เรียกว่า ความไม่รู้ ความไม่รู้ไม่ใช่ที่ศิษย์ชอบตอบว่า ไม่รู้สิ ไม่ใช่ความไม่รู้ประเภทนี้ แต่ความไม่รู้คือไม่รู้ว่าทำอย่างไรตัวเองจะพ้นทุกข์ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรตัวเองจะเอาชนะตัวเองได้ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะบำเพ็ญให้ดีขึ้น ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ควรกำหนดและเดินไปทางไหน ไม่รู้ตัวว่าตัวนั้นมีกิเลสอันนี้เป็นปากประตูแห่งความทุกข์นำพาศิษย์ไปสู่ทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด หากว่ายังมีความไม่รู้ประเภทนี้ ศิษย์ของอาจารย์ก็ไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ เมื่อศิษย์ของอาจารย์ไม่รู้ คือไม่รู้ธรรม คือไม่รู้สิ่งใดคือธรรม คือไม่รู้การบำเพ็ญธรรมแล้วย่อมไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่ (จริง)
โดยปกติแล้วเรามักจะพูดถึงระเบียบ เรามักจะพูดถึงกฎเป็นส่วนใหญ่ กฎมาที่หนึ่ง กฎเป็นสิ่งที่ยืนยันสิ่งที่ตีกรอบให้คนนั้นอยู่ร่วมกัน บ้านก็มีกฎบ้าน สังคมก็มีกฎหมาย ประเทศก็มีกฎเหมือนกัน สถานธรรมก็มีกฎเช่นกัน แต่ว่าในด้านปฏิบัติสิ่งที่มาที่หนึ่งไม่ใช่กฎเพราะว่ากฎนั้นจะเป็นกฎได้ต่อเมื่อถูกคนใช้จริงหรือไม่ (จริง)
สิ่งที่มาเป็นที่หนึ่งในการปฏิบัติคือ ปัญญา ต้องถามว่าตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีปัญญาหรือยัง มีน้อยกับไม่มีนี้เหมือนกันไหม การที่เราพูดบอกว่าเราไม่ค่อยมีปัญญากับการพูดว่าเราไม่มีปัญญาก็เหมือนกัน
ถ้าหากว่าเราพูดว่าเราไม่มีปัญญาจงอย่าได้กลัวตัวเองเจ็บ บอกไปเลยว่าเราไม่มีปัญญา คนสอนเราก็กล้าสอนเต็มที่ ทิศทางก็ออกมาชัดเจนมากขึ้นอีกหน่อยใช่หรือไม่ ในขณะที่คนอื่นสอนเรา เราจำเป็นต้องลดอัตตาลง แล้วเพิ่มความอ่อนน้อมมากขึ้น คนที่พร้อมจะฟัง คนพูดกล้าพูดไหม (กล้า)  เคยไหมเตรียมคำพูดไปเสียดิบดีว่าจะพูดกับเขาว่าอย่างนี้อย่างนั้น พอถึงเวลามองเห็นหน้าเขาเท่านั้นคำพูดหายไปหมดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  
เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) การฟังทำให้เราได้กำไร การพูดทำให้เราขาดทุน เพราะฉะนั้นจงเป็นผู้ฟังมิใช่เป็นคนพูด คนที่คนอื่นนั้นเชิญขึ้นไปพูดหรือเชื้อเชิญให้พูดเป็นผู้ที่มีเกียรติมาก แต่อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์แล้วเขาไม่เชิญให้พูดก็พูดจัง พูดตั้งแต่เช้าจนเย็นมีใครฟังไหม (ไม่มี) ยิ่งคนใกล้ฟังไม่ฟัง (ไม่ฟัง) ยิ่งคนใกล้ตัวเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ฟังเรามากขึ้นเป็นทวีคูณเลยจริงหรือไม่ (จริง) พ่อแม่ไม่ฟังลูก ลูกก็ไม่ฟังพ่อแม่ สามีไม่ฟังภรรยา ภรรยาก็ไม่ฟังสามีใช่หรือไม่ (ใช่) นี่เป็นความทุกข์ใจหรือเปล่า เป็นความทุกข์ใจอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นขอให้เวลาพูด เราอย่าพูดไร้สาระ อย่าพูดเพ้อเจ้อ อย่าพูดหยาบคาย อย่าพูดนินทา อย่าพูดส่อเสียด อย่าพูดกระแทกแดกดัน อย่าเถียงอย่าพูดโดยไม่รู้จักหยุดพูด ทำได้ไหม (ได้)
วันนี้เรานินทาคนอื่นให้เขาฟัง ถามว่าเขาจะเชื่อใจเราหรือเปล่า (ไม่เชื่อ)  ถ้าเรานินทาคนอื่นให้ใครคนหนึ่งฟัง คนคนนั้นก็ไม่เชื่อถือเราแล้ว เพราะว่าเขาคิดว่าวันต่อไปคนนี้ก็ต้องนินทาเราให้คนอื่นให้ฟังจริงหรือเปล่า (จริง) ความน่าเชื่อถือของคนสร้างได้ง่ายๆ เพียงแต่เลิกนินทาคน ตัวเองจะดูน่าเชื่อถือมากขึ้นทันที ทำได้ไหม (ได้) คนไม่น่าเชื่อถือพูดอะไรไปคนก็ไม่ฟังจริงหรือเปล่า (จริง)
ถามว่าความน่าเชื่อถือนั้นเป็นเพราะว่าเราเป็นเจ้านาย ลูกน้องต้องฟัง อันนี้น่าเชื่อถือไหม หรือเราเป็นพ่อแม่พูดไปลูกต้องฟังอยู่แล้วน่าเชื่อถือไหม หรือเราเป็นครูพูดไปศิษย์ต้องฟังอยู่แล้ว น่าเชื่อถือไหม
ความน่าเชื่อถือมิได้ใช้ยศฐา ตำแหน่ง อำนาจหน้าที่มาซื้อ ความน่าเชื่อถือต้องใช้ใจซื้อ ศิษย์มีใจหรือเปล่า (มี) ไหนลองเอาใจออกมาดูสิ ศิษย์ยังไม่มีใจ เลยเอาใจออกมาดูไม่ได้ใช่หรือเปล่า
บำเพ็ญธรรมไม่ได้ให้มางมงาย ไม่ได้เรียกเรื่องทรงเจ้าเข้าทรง อาจารย์จะบอกให้ สิ่งที่ศิษย์เห็นอยู่ทุกวันนี้แตกต่าง แต่ใจของศิษย์จริงๆ ทุกคนมี เพราะฉะนั้นความต่างนี้มีความไม่ต่างอยู่ อยู่ที่เลือกจะมอง ถ้าบำเพ็ญได้ก็จะดี
คนที่เกิดมาเป็นคนหน้าตาดีเป็นลักษณะของผู้มีวาสนา คนที่เกิดมาหน้าตาดีจึงเป็นผู้มีวาสนาโดยส่วนใหญ่ แม้ศิษย์ของอาจารย์เกิดมาไม่ได้หน้าตาดีก็ตาม แต่อาจารย์ว่าศิษย์ไม่ได้มีหน้าตาดีก็ดีแล้ว เพราะว่าเราไม่ได้แต่งหน้ามากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่บ่งบอกการเป็นคนที่มีวาสนา ต้องใช้วาสนาให้ถูกทาง เพราะว่าวาสนาและบุญนั้นมีวันหมดไป
การที่คนบำเพ็ญธรรมนั้นมีปัญญาหลายระดับนั้น เป็นเรื่องของการสั่งสมปัญญามาตั้งแต่ในอดีตชาติ การที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันในเรื่องที่ยากก็เป็นสิ่งที่ยาก ส่วนคนที่พยายามจะดันทุรังในความยาก ตัวเองก็จะพบกับความยุ่งยากไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นในการที่อยู่ร่วมกันเราจำเป็นที่จะต้องรู้จักปรับตัว ปรับใจ ปรับความคิดของตัวเราจึงจะถูก ไม่เช่นนั้นเราจะจมอยู่ในความทุกข์อยู่นั่น ทำไมเราเข้าใจอยู่คนเดียวคนอื่นไม่เข้าใจ
ส่วนคนที่มีปัญญามากเกินไปดีไหม (ดี)  มีปัญญามากเกินไปเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญญาที่มากมายนี้ต้องดูว่าคนๆ นั้นเป็นคนที่คิดเป็นหรือเปล่า เพราะว่าปัญญาเป็นนามธรรมที่อยู่ภายในตน ผู้ที่ใช้ปัญญาต้องรู้จักใช้ให้เป็น หากใช้ไม่เป็นมีปัญญามากเกินไปก็กลายเป็นความฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านมากเกินไปก็เกิดความรำคาญ เคยรำคาญคนอื่นไหม (เคย)  มีปัญญามากเกินไป มีความรำคาญแล้วก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ สับสน อลหม่านวิ่งวนๆ หาทางออกไม่เจอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ผู้มีปัญญาจึงต้องเป็นผู้ที่รู้จักใช้ปัญญาของตนเองให้เป็นด้วย ไม่เช่นนั้นกลายเป็นชนะไปทั่วหมด พูดกับใครวาทศิลป์เฉียบคมชนะไปหมดทุกอย่าง แต่แพ้ความคิดตัวเองที่สับสนอยู่นั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เมื่อเรามีความคิดที่สับสนจึงต้องรู้จักกำราบความคิดของตัวเองด้วย คือมโนธรรมสำนึก คือจิตใจอันสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ชะล้างความสับสนวุ่นวายได้
คนที่มองโลกในแง่ดีโลกก็มีสีสันสวยงาม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่มองโลกในแง่ลบโลกก็ดูหม่นหมองเศร้าซึม ถามว่าโลกใบเดียวไหม ย่อมเป็นโลกใบเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราเลือกมองสิ่งใด เราเห็นสิ่งใด เราคิดอะไร เราเป็นอย่างไร จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ให้เป็นคนยึดติดอัตตาตัวตนแล้วมองแต่ตนเห็นแต่ตน สนองความต้องการของตนเท่านั้น อย่างนี้ก็ไม่ถูก
เมื่อสักครู่พูดถึงผู้ที่มีวาสนา อาจารย์บอกว่าคนหน้าตาดีเป็นคนมีวาสนา แล้วคนหน้าตาไม่ดีทำอย่างไร เขาหน้าตาดีก็เพราะว่าอดีตชาติสร้างมา แต่ว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม จิตใจที่สงบจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเราได้ วันนี้ที่เป็นอยู่คืออดีตที่สร้างมา แต่คนที่หน้าตาดีหรือคนที่มีโชคดีคนที่มีความร่ำรวยในวันนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ชั่วฟ้าดินสลาย อนาคตย่อมเกิดจากวันนี้เป็นตัวกำหนด ฉะนั้นถึงแม้ว่าคนจะหน้าตาดี จะมีสมบัติมากมาย แต่หากใช้ชีวิตไม่เป็น ไม่รู้จักถนอมบุญวาสนา บุญวาสนาย่อมหมดได้
ฉะนั้นวันนี้เราทำอะไร พรุ่งนี้เราจะได้รับอย่างนั้น หากวันนี้เราปลูกต้นมะม่วง อีก 10 ปี เราคงจะมีลูกมะม่วงกินแน่ จริงหรือไม่ (จริง)  หากวันนี้เราทำบุญทำทาน วันหน้าเราจะเป็นคนรวยแน่นอน แต่ว่าวิธีการทำบุญทำทานอย่าใช้ทัศนคติที่ผิดในการทำ เหมือนที่อาจารย์บอกว่าถ้าหากให้ข้าวทั้งจานก็เป็นการเบียดเบียนตัวเอง แต่ไม่ใช่ให้เป็นคนเห็นแก่ตัว
ลักษณะแห่งผู้มีบุญวาสนาวันนี้คือลักษณะของจิตใจ จิตใจของศิษย์เป็นอย่างไร ถามว่าจิตใจเราขาวสะอาดไหม จิตใจของเราบริสุทธิ์ไหม จิตใจของเราสงบดีหรือไม่ หากว่าจิตใจของเราไม่สะอาด ไม่ขาว ไม่บริสุทธิ์ ไม่สงบ เราจะไม่ได้บ่มเพาะความมีวาสนาให้อยู่ในตนเลย เป็นคนขี้โกรธ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด จู่จี้จุกจิก ขี้บ่นอยู่เสมอ ถามว่าคนๆนี้มีวาสนา ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) 
ยกตัวอย่างง่ายๆ หากว่าเราบ่นลูกบ่นหลานอยู่ทุกๆ วัน ถามว่ามีใครเข้าใกล้หรือเปล่า (ไม่มี)  คนที่ไม่มีลูกหลานเข้าใกล้ คือลักษณะของผู้ไม่มีวาสนา แต่ว่าการที่ไม่มีวาสนาเกิดจากอะไร เกิดจากเราบ่นจู้จี้จุกจิกมากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) ดูอะไรก็ไม่คุ้นตา ดูอะไรก็ไม่ชินตา ฉะนั้นเราอยากเป็นผู้สะสมบุญวาสนาเราต้องทำอย่างไร อยากเป็นผู้มีวาสนาในเรื่องลูกหลานก็ทำง่ายๆ ให้รู้จักที่จะเลิกบ่นเลิกจู้จี้
อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไม่เห็นใจคนแก่ เพราะว่าคนแก่นั้นอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมเข้าใจและย่อมรู้จักชีวิต เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจะไปเหยียบกองไฟแล้วจะไม่ให้พูดก็กระไรอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถามว่าเราบอกแล้ว เขาหยุดไหม (ไม่หยุด)  ก็ต้องตักเตือนด้วยความเมตตา บางคนก็มีความเมตตาสูง แต่ว่าชอบใช้น้ำเสียงข่ม ชอบใช้เสียงดุๆ มีคนอยากฟังไหม (ไม่มี)
ฉะนั้นปากที่พูดอยู่ทุกวันนี้ แต่ถ้าพูดเป็นก็จะมีวาสนา ทำได้ไหม (ได้) อยากมีวาสนาไหม (อยาก)  ถ้าเราเป็นคนโลภมาก เป็นคนมีความหลงสูง แล้วถ้าสมมติว่าเรามีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราจะสูญเสียอะไร
ถ้าหากว่าเป็นคนโลภมาก จะสูญเสียมิตร เพราะว่าคนชอบคนที่ให้ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่อาจารย์บอกให้ จะให้คนอย่าให้ของ ทั้งเขาและเราจะต่างเคยตัว วันนี้ให้ของวันหน้าไม่ให้ หน้าหงิกไหม (หงิก) ให้ของนี่รวมถึงเงินด้วยนะ เงินก็เป็นของเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่ถามว่าไม่ให้ของแล้วจะให้อะไร (ให้น้ำใจ)  ไม่ให้ของแต่ให้น้ำใจ แต่มนุษย์สมัยนี้ตามเทศกาลต้องให้ของ ให้ได้ไหม (ได้)  เรียกว่าเทศกาล เป็นประเพณีปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราให้ตามเทศกาลก็ดูไม่น่าเกลียด แต่หากว่าเราให้อยู่เรื่อย เขาเรียกว่า อามิสสินจ้าง
ภาวนา แปลว่า ทำให้มีขึ้น เป็นขึ้น  การเจริญการบำเพ็ญเรียกว่า การภาวนา  บำเพ็ญภาวนาในความหมายที่อาจารย์ต้องการ หมายถึงการบำเพ็ญให้มีขึ้น เป็นขึ้น การบำเพ็ญธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเองทุกๆ คน
ณ วันนี้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเพราะว่าเสื้อขาวกระโปรงน้ำเงินกางเกงน้ำเงิน แต่ยังไม่ได้ทำการบำเพ็ญธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจ ถึงมีก็ยังไม่ได้เต็มที่ ยังไม่เต็มร้อย ฉะนั้นวันนี้อาจารย์ย้ำลงไปอีกว่า บำเพ็ญภาวนามิใช่การภาวนาที่หมายถึง ท่องบทสวดมนต์ ทำการบำเพ็ญขึ้นให้มีในจิตใจ อยากให้ซ่อมแซมจิตใจ
คนที่ยอมถูกเอาเปรียบคนบนโลกเรียกว่าคนโง่ คนที่ยอมทำอะไรที่ขาดทุนคนบนโลกบอกว่าเป็นคนโง่จริงหรือเปล่า (จริง) แต่การบำเพ็ญธรรมศิษย์ต้องยอมขาดทุนเพราะว่าศิษย์ได้กำไรมานานแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)
โลกนี้มีความคิดเรื่องปลาตัวใหญ่กินปลาตัวเล็ก มีความคิดเรื่องการได้เปรียบคนอื่นคือการที่เราได้ชัยชนะ สอนเรื่องการเอาชนะคนอื่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องชนะ แต่การทำให้กิเลสบางเป็นเรื่องที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นมองไม่ออก เพราะว่ามองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ในตอนนี้ทุนที่ลงไปก็คือจิตใจของตัวเอง กำไรเกิดจากยอมขาดทุนเสียบ้าง การให้คนอื่นเสียบ้าง นี่คือการบำเพ็ญธรรม จึงเป็นด้านกลับกันกับคนทางโลก  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าขอให้ศิษย์เริ่มจุดเริ่มต้นให้ถูก ถ้าเริ่มจุดเริ่มต้นไม่ถูกศิษย์ก็เดินสวนทางกับสิ่งที่อาจารย์พูด
สิ่งที่อาจารย์สอน หลังจากวันนี้ถ้าหากว่ามีคนเรียกมาสถานธรรม มาฟังธรรมะมาไหม (มา)  จงฟังธรรมะที่ตัวเองนั้นรู้และเข้าใจแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ จงปฏิบัติธรรมที่ตัวเองนั้นรู้อยู่แล้ว ปฏิบัติธรรมที่ตัวเองนั้นเข้าใจอยู่แล้ว แล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นจะเป็นผู้บำเพ็ญได้หรือไม่ (ได้)
บางทีอาจารย์ก็เหนื่อย บางทีอาจารย์ก็หนักใจ บางทีอาจารย์ก็ท้อเหมือนกับที่ศิษย์เป็น ยิ่งใช้ใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้นแต่อาจารย์นั้นต้องเข้มแข็งจริงไหม แล้วศิษย์คิดว่าบนหนทางชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคของศิษย์นั้น หากศิษย์ไม่สู้หรือว่ายอมแพ้แล้วศิษย์จะได้อะไรขึ้นมา ศิษย์ก็ได้ความพ่ายแพ้เหมือนอย่างที่ศิษย์เคยได้รับมาตลอดชีวิต ศิษย์จึงคิดว่าการยอมแพ้หรือการแพ้ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดาไม่น่าหนักใจเลย แต่อาจารย์นั้นกลัวที่ศิษย์นั้นจะไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ที่สุด อาจารย์ไม่เคยมองศิษย์ที่ยอมแพ้เป็นเรื่องธรรมดาสักที                                       
ในเมื่ออาจารย์ยอมแพ้ไม่ได้เจ้าเป็นศิษย์อาจารย์เจ้าก็ยอมแพ้ไม่ได้เช่นเดียวกัน
อาจารย์มักหวังในตัวศิษย์คนที่เข้าใจธรรมะมากกว่า คนที่ยอมลงแรงมากกว่า อาจารย์มักหวังพึ่งศิษย์ แต่ในขณะเดียวกันศิษย์ของอาจารย์ก็ยังมีอารมณ์มีความรู้สึกและก็มีจิตใจ ทุกๆ ครั้งก็ถูกเรื่องเหล่านี้ทำให้ท้อ ยิ่งมีใจมากเท่าไรก็ยิ่งท้อ อาจารย์ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าใจของอาจารย์นั้นในระยะทางการบำเพ็ญใจนั้นมีน้อยลงๆ เพราะว่าไม่กล้าเอาใจไปเกี่ยวหรือสัมพันธ์กับสิ่งใด แต่ศิษย์อาจารย์ไม่ใช่ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งเกี่ยวและสัมพันธ์ ยิ่งใช้ของตัวเองไปอย่างหนักหน่วงแล้วก็ไม่กลัวอะไรเลย อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์กลัวตาย ไม่อยากให้ศิษย์กลัวความผิดหวัง ไม่อยากให้ศิษย์กลัวความทุกข์ แต่อยากให้กลัวคือกลัวตัวเองจะบำเพ็ญไปไม่รอด 
ขอตักเตือนศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นเด็กวัยรุ่นซึ่งมีมากมาย คำว่า วัยรุ่น เป็นคำที่อันตรายมาก ศิษย์อาจารย์มักคิดว่าตัวเองโตแล้วรู้แล้ว  ความฉลาดมีอยู่หลายอย่าง  ๑.ฉลาดในทางเสื่อม  ๒.ฉลาดในทางเจริญ  ๓.ฉลาดในทางอุบาย  ขอให้ศิษย์มีความฉลาดในทางเจริญมากกว่าฉลาดในทางเสื่อม หรือถ้าฉลาดในทางอุบายก็มีไว้สำหรับแก้ปัญหาชีวิตของตัวเอง และคิดในแง่ดีและทำแต่ในสิ่งที่ดี แม้ว่ามีใครมากลั่นแกล้งจงใช้ความดีเอาชนะ ความดีชนะใจคนได้แม้แต่ตัวเอง ถ้าหากว่าศิษย์ทำดีแม้กระทั่งตัวเองยังอยากชมตัวเอง  อย่าติดเพื่อน อย่าติดเกม อย่าติดเที่ยว อย่าติดผู้หญิง อย่าอยากลองยาเสพย์ติด อย่ารักสบาย
(พระอาจารย์ส่งเสริมญาติธรรมท่านหนึ่ง)
บำเพ็ญธรรมให้ดี อายุก็มากแล้วพื้นฐานการบำเพ็ญก็มีอยู่ ลูกหลานจะได้รู้สึกภูมิใจในตัวเรา ศิษย์กราบตรงนี้ศิษย์ก็กราบอาจารย์แต่ว่าอาจารย์ใช้ร่างเด็กคนอื่นอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้อย่ายึดติดมาก อาจารย์จะอยู่ในใจ จงใช้ใจประทับใจ อาจารย์ย่อมอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน ตราบใดที่ศิษย์ทุกคนมีอาจารย์อยู่ในหัวใจ อย่าคิดถึงอาจารย์เฉพาะเวลาที่ทุกข์ยาก ขอให้คิดถึงอาจารย์ในเวลาที่เจ้านั้นลำบาก อาจารย์เป็นกำลังใจให้ทุกคน ในเมื่ออาจารย์ท้อไม่ได้ศิษย์ของอาจารย์ก็ท้อไม่ได้
การแพร่ธรรมยุคสามวาระปลายเป็นเรื่องเพียงชั่วเวลาหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องชั่วกาล ฉะนั้นทะเลาะกันให้น้อย มีเรื่องกันให้น้อย ขณะศิษย์มีเรื่องกับตัวเองอาจารย์ยังไม่อยากให้มีเรื่องเลย ฉะนั้นการมีเรื่องกับใครยิ่งเป็นเรื่องที่อย่าได้ทำ
เวลาช่วงเดียวสำหรับอาจารย์ แต่อาจจะเป็นเวลาทั้งชีวิตสำหรับใครบางคน การแพร่ธรรมเจริญกุศลในครั้งนี้จึงเป็นกุศลมหาศาล จึงเป็นโอกาสที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้สร้างบุญ
ขอให้สงบใจตัวเองแล้วทำงานธรรมะและบำเพ็ญธรรมตัวเองไปควบคู่กัน อาจจะเหนื่อยสักนิดหนึ่ง อาจจะยากไปสักหน่อย แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าคนจริงจะอยู่กับเรื่องยาก ถ้าหากว่าเป็นคนที่ใจไม่สู้ทำแต่งานเล็กๆ ก็อยู่กับเรื่องง่ายๆ อย่าพูดไปไหนใหญ่โต
วันนี้อาจารย์ขอศิษย์แค่เอาชนะใจตัวเองเป็นเรื่องประเสริฐที่สุด รักษาตัวให้ดี สามัคคีร่วมแรงร่วมใจนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท บำเพ็ญภาวนา
    รู้เกณฑ์หลักรู้เหตุแห่งผลต่างต่าง    รู้ความหมายลึกกว้างในสิ่งนั้นนั้น
รู้จักตนแก้ไขตนไม่ข้ามวัน                 รู้เข้าคนต่างกันก็ไม่ต่างไป
อินทรีย์หกทำให้เกิดกิเลส                 อารมณ์เจ็ดขุ่นมัวไม่ต้องสงสัย
ยึดธรรมติดเนื้อต้องวุ่นวาย               ทำธรรมให้มีในจิตพ้นวนเวียน




[๑]  อินทรีย์หก      ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
[๒]   ฉันทาเจ็ด      ได้แก่ ความยินดี โกรธ เศร้า สุข รัก แค้น และอยาก

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2549

2549-12-09 สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา


西元二○○六年歲次丙戌十月               大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๙      สถานธรรมจือเจวี๋ย จ.สงขลา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  มุ่งหมายมีชีวิตที่ดีขึ้น                         อย่าเมามึนกับกิเลสอบายมุข
จึงต้องรู้อย่าเอาแต่สนุก                       อยากพ้นทุกข์ต้องยอมทุกข์เกิดสุขเอง
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา                      ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง    ฮวา  ฮวา

  อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ลำบาก           สงบปากระวังคำกระทำตน
ภัยที่มีเกิดจากเรื่องบุคคล                     ขอจงทนและรู้จักประพฤติตัว
ความหวาดกลัวระงับได้ในใจปราชญ์      อย่าฉลาดโดยรู้แต่จะพูดกล่าว
จงเข้าใจตนเองทุกเรื่องราว                   ใช้ธรรมะทุกคราวชีพผาสุก
เกิดเป็นคนนับว่าโชคดีแท้                     จงหัดแก้ในสิ่งที่ตนผิด
อยากจะมีชีวิตดั่งผู้พิชิต                        ต้องหัดคิดอย่าเลือดร้อนอย่าวู่วาม
บำเพ็ญธรรมท่ามกลางความยากลำบาก ต้องขอฝากทนในสิ่งที่ยากทน
ยิ่งฝ่ายากอริยมรรคสูงเทียมตน             พลิกวิกฤติเป็นโอกาสตนคือพลัง
จงชำระจิตใจตนให้สะอาด                    เรื่องผิดพลาดในอดีตอย่าตกหลุม
ปัจจุบันต้องมาหัดควบคุม                     อนาคตอันสุขุมรอคนบุญ
ในวันนี้น้องชายหญิงมาฟังธรรม             ขอให้นำปฏิบัติมากที่สุด
แม้อยู่โลกแต่จิตใจใฝ่วิมุติ[*]                    บริสุทธิ์ในเรือนใจย่อมอาจอง
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน                         หวังน้องเปลี่ยนความเคยชินได้สำเร็จ
ความทุกข์สุขรุมเร้าอย่าได้เข็ด               จิตใจเพชรอย่ากลัวการเจียระไน
หวังสองวันรักษาพุทธระเบียบ               การเปรียบเทียบเลี่ยงให้พ้นจะดีไหม
คนทำได้ยิ้มออกสบายใจ                      คนเข้าใจความยากเป็นแค่ทางเดิน
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ                    บำเพ็ญสบความดีอยู่เสมอ
จงตั้งใจแน่วแน่อย่าเผอเรอ                   สิ่งที่เจอย่อมดีหากจะคิดเป็น
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป               อวยพรให้ต่างมีชีพที่ผาสุก
เมื่อเคราะห์กรรมอยู่ตรงหน้าขอให้บุก     อย่าเฉยชาล้ารอสุขนักเลย
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                                                    ฮวา   ฮวา   หยุด



วันเสาร์ที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙           สถานธรรมจือเจวี๋ย   จังหวัดสงขลา
พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง

  แม้ภายนอกวุ่นวายสักเพียงไหน           แต่ภายในต้องสงบไม่รุ่มร้อน
ยิ่งในใจโลเลไม่แน่นอน                         ย่อมง่ายถูกภายนอกคลอนเอนไหวตาม
                        เราคือ
  เสี่ยวเซี่ยวฝอถง                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกแฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามทุกท่านง่วงนอนหรือเปล่า

  ไม่รู้ไม่เห็นใช่ไม่ดี                               การไม่มีสามารถอยู่ไม่ลำบาก
ต้องเข้าใจว่ารู้เสียใจยิ่งมาก                  รู้ทำไมเท่าทันหากค้นเจอ
เมินเหตุเอาว่าไปล้วนปัญหา                  ยกผลมาเป็นข้ออ้างเสมอ
ใจใหญ่ไม่ทบทวนชวนละเมอ                 ต้องทุกข์ใจซะเผลอน้ำตาครวญ
ชีวิตให้เยื้องย่างอย่างระวัง                    แฝงพลังทุกคำพูดนิ่มนวล
ถามแค่เป็นถามใครไม่กระอักกระอ่วน     ตอบพอถามคำล้วนผ่านพิจารณา
รอดพ้นก็เข้าใจเรื่องเรียงร้อย                ตามใจปล่อยอาจโล่งสมองหนา
อะไรแต่อย่าเพียงอย่างมีอัตตา              ฝึกความคิดพัฒนาสร้างสรรค์ไป
ความรู้สึกไขในที่ใดระวัง                       จงผ่อนคลายข้างชังไม่ขยาย
เปลื้องเซื่องซึมวันผิดหวังทั้งหลาย           วันนี้พรุ่งนี้ไวความเปลี่ยน


แม้จะอยู่สภาพใดเข้าใจคิด                    แม้ชีวิตพลั้งพลาดอย่าปวดเศียร
แปรพลาดเปลี่ยนแพ้เป็นบทเรียน           ทุกบทเรียนให้ใจใฝ่อดทน
มากอย่าใคร่หรืออย่าบำเพ็ญผิด            ไปรู้มากเกินคิดยิ่งสับสน
ลำดับในความคิดติดตัวตน                    ชนะวังวนเรื่องวันต่อวัน
                                                                                             ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านเสี่ยวเซี่ยวฝอถง
ใครคิดว่าวันนี้จะมานั่งแล้ว นั่งสบายๆ ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ยกมือขึ้น  แล้วสบายสมใจไหม     เขาถึงบอกว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราสมหวังดั่งใจคิดเสมอ   แต่อยู่ที่ว่าเราเอาใจเรานั้นไปอยู่กับสภาพการณ์อย่างไร ทำให้มีความสุขดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดว่านั่งร้อนก็ร้อน เมื่อยก็เมื่อย เหนื่อยก็เหนื่อย  นั่งแล้วลำบาก แต่ถ้าเราคิดว่านั่งตรงนี้ก็ดีนะ กับข้าวก็ไม่ต้องทำ จานก็ไม่ต้องล้าง เงินก็ไม่เสียสักบาท พรุ่งนี้มาอีกวันดีไหม เห็นไหมว่า ถ้าเราคิดได้คิดเป็น แม้ภาวการณ์จะย่ำแย่ขนาดไหน ก็สามารถเปลี่ยนเป็นความสุขได้ ดีหรือไม่ ฉะนั้นความสุขไม่ได้อยู่ไกลมือ แต่อยู่ตรงหัวใจเรานี้ จะคิดได้คิดเป็นหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)
เราอยู่ในโลกเราควรจะกลัวตายไหม (ไม่กลัว) เพราะอะไรจึงไม่กลัวตาย  ไหนลองบอกข้อดีของการที่มีความตายอยู่ตรงหน้าแล้ว  เพราะอะไร (กลัวลงนรก)  เรากลัวตายไหม งั้นไปอยู่ปัตตานีเอาไหม (ไม่เอา)  เอ้าพูดไม่จริงนี่นา ทำไมล่ะ ก็ยอมไปช่วยคนไง เคยเห็นไหมคนบางคน ถึงยอมกล้าหาญ จะไปอยู่ภาคใต้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น จิตใจเช่นนี้ถือว่าคิดได้ประเสริฐนักแล คิดให้ตัวเองมีความสุข แล้วยังเอาความสุขนั้นไปช่วยคนที่ตกทุกข์ ถามท่านว่า ท่านยอมตกนรกไหมเคยได้ยินไหมว่ามีพระพุทธะองค์หนึ่ง[†] ยอมตกนรก เพราะอะไร ท่านคิดว่าถ้าท่านไม่ยอมตกนรกแล้วใครจะช่วยคนในนรก เหมือนกันถ้าเราไม่ยอมทุกข์ ไม่ยอมตาย เราจะเอาชนะความตาย ความทุกข์ ได้อย่างไร
บางครั้งการยอมกล้าที่จะตาย อาจจะทำให้เราตายแล้ว ตายอย่างมีคุณค่า จริงไหม (จริง) เราบอกง่ายๆ เลยนะ ข้อดีของการมีความตายในโลกนี้คืออะไรรู้ไหม  ๑. ทำให้เรารู้คุณค่าชีวิต  ๒. ทำให้เรารู้คุณค่าของเวลาที่ว่าเมื่อไหร่มันจะจบสักทีวันนี้  ความตายทำให้เวลาเรามีคุณค่ามากขึ้นถูกหรือไม่ และ ๓. ความตายทำให้คนรู้จักคิด ว่าอันที่จริง ถ้าคนอย่างท่านไม่ตายจะมีลูกหลานให้อยู่ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถ้าคุณปู่ ย่า บรรพชนเราไม่ยอมตายสักคนหนึ่ง อาจจะไม่มีเรายืนอยู่ตรงนี้ก็ได้จริงไหม (จริง) เราอาจจะกลายเป็นคนไม่มีที่ดินทำกิน เพราะปู่ ย่าครอบครองหมด  ต้องไปหาที่อื่น
เพราะความตายจึงทำให้เรามีศาสนา  และมีมนุษย์ที่ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม แล้วรู้จักคำว่า มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ ไหม เราจะบอกให้ว่า มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ คืออะไร ความตายมักจะเกิดกับผู้ใดต้องทำลายล้างจนหมดสิ้น แต่ท่านเคยเห็นไหมว่า ความตายเมื่อมาสู่พระพุทธเจ้า มาสู่พระโพธิสัตว์กวนอิน กลับทำให้ท่านยิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งน่าเคารพนับถือ
ความตายทำลายชีวิตได้ ร่างกายได้ แต่ทำลายคุณงามความดีที่เราทิ้งไว้บนโลก หรือทิ้งไว้ในใจใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะไม่กลัวตายก็ต่อเมื่อเรามีความดีทิ้งไว้ให้คนเคารพรัก ใช่หรือไม่ แต่คนปัจจุบันนี้กลัวตายเพราะยังไม่มีอะไร กลัวไปหาท่านยมบาล ตอนนี้ความตายไม่รู้ห่างเราแค่คืบ หรือห่างเราแค่เป็นเมตรเป็นวา ฉะนั้นเราจงเร่งขวนขวายทำดี ดีไหม (ดี) แล้วทำดีอย่างไรล่ะ คิดออกไหม
ตามหลักพุทธศาสนาสอนง่ายๆ เป็นคำสั้นๆ สามวรรคเล็กๆ ไม่ทำชั่ว หมั่นทำดี และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์  ถ้าคนทำได้สามอย่างนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนดีและมีพุทธศาสนาทั้งตัวและหัวใจ แต่ถามท่านว่าทำชั่วทำไหม (ทำ) เลิกได้ไหม ทำดีไหม ไม่ค่อยได้ทำ เพราะรู้สึกเขินจะทำก็อาย ใช่หรือเปล่า แล้วรักษาใจให้บริสุทธิ์ได้หรือเปล่า เห็นอะไรนิดหน่อยก็มองเป็นแง่ลบมากว่าเป็นบวก
ถ้าทั้งสามอย่างนี้รักษาได้ การเป็นคนดีหรือการเป็นคนที่มีศาสนาประจำใจและปฏิบัติตามศาสนาอยู่ทุกวันก็ไม่ได้ไกลจากตัวเราใช่ไหม ดั่งคำว่า คนดีผีคุ้ม ทำไมมนุษย์ถึงกลัวผี ก็ต้องถามตัวเองนะ
ภายในต้องสงบไม่รุ่มร้อน  ภายนอกวุ่นวายไหม สังคมภายนอกชั่วร้ายไหม คนชั่วร้ายไหม คนชั่วร้ายหรือสังคมชั่วร้ายกว่า (คนชั่วร้ายกว่า) คนชั่วร้ายกว่าจึงทำให้สังคมวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เปรียบเทียบง่ายๆ สมมติว่ามีขนมปังสองก้อนมาแปะติดกัน อย่างสนิทแนบแน่น ไม่มีรอยเว้า ไม่มีรอยแหว่ง เวลาดึงก็ย่อมหามุมฉีกได้ยาก แต่ถ้าเกิดว่าเป็นสองก้อนที่แตกตัวกันและเห็นรอยแยก เคยเห็นขนมปังกะโหลกไหม เวลาดึงจะดึงได้ง่าย เพราะมีรอยประกบอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนกับจิตใจของมนุษย์ถ้าดีอยู่แล้ว แม้ภายนอกจะวุ่นวายขนาดไหน เราก็ยากจะเปลี่ยนแปลงไปตามภายนอก
สมมติว่าเหล้าตั้งอยู่ตรงนี้ ล็อตเตอรี่วางอยู่ตรงนี้ หวยสองตัววางอยู่ตรงนี้ ถ้าใจไม่อยากได้ อยากกิน มันจะมาหาเราไหม (ไม่มา) แล้วเหล้ามันจะมาควบคุมเราไหม (ไม่) ฉะนั้นจะบอกว่าเหล้าชั่วหรือว่าตัวเราไม่รักดีกันแน่ (ตัวเรา) เราจะพูดว่าเหล้ามันไม่ดี กินทีไรทำให้ฉันเมาทุกทีเลย ได้ไหม (ไม่ได้)
ความชั่วก็เหมือนกัน ความชั่วไม่มีมือ ไม่มีตัวตน แต่มาสถิตย์อยู่ในมนุษย์เมื่อไหร่ น่ากลัวเมื่อนั้น ฉะนั้นอยากดับความวุ่นวายภายนอก เราต้องสกัดกั้นความวุ่นวายในจิตใจเสียก่อน เมื่อเราสกัดความรุนแรงในจิตใจได้ สันติภาพภายนอกย่อมเกิดขึ้นได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ถ้าความรุนแรงภายในใจเรายังขจัดไม่ได้ ยังครุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นธรรมดาที่เรายากจะผ่านโลกวุ่นวาย
ท่านเคยคิดไหมว่ามือที่สามจะทำลายครอบครัวเราให้วุ่นวายไม่ได้ ถ้าเรากับสามีไม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรากับสามีรักกันแน่นแฟ้น มือที่จะมาแย่งใครไปจากครอบครัวเราได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกัน ถ้าในหมู่บ้านเราต่างรักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน แล้วเกิดมีคนหนึ่งยอมทุจริตกับคนในบ้าน สังคมนั้นก็ย่อมเกิดความวุ่นวายได้ และถ้าอยากจะหลอกให้คนกลุ่มนี้เชื่อ เราก็ต้องซื้อใจสักคนหนึ่งก่อน ถูกไหม (ถูก) ให้เขาเห็นพ้องต้องกันกับเรานะ แล้วก็กลับเข้าไปหมู่บ้าน พอคนนี้เชื่อหนึ่งคน เราก็พูดว่านี่คนในหมู่บ้านเราเขายังเชื่อ ฉะนั้นเราก็เชื่อ ดีไหม เช่นนั้นก็ง่ายที่จะถูกหลอกตาม ถูกหรือไม่
มีคำกล่าวว่า มีคนน้อยก็ปัญหาน้อย แต่เราอย่ายอมแพ้ ถึงมีคนเยอะก็ปัญหาน้อยได้ใช่ไหม คนเราผิดครั้งแรกก็ยอมให้อภัย แต่พอครั้งสองครั้งสามบางทีก็ยากเกินจะเข้าใจ คนเราเมื่อผิดแล้วชอบอ้างเหตุผล เมื่อพูดมากๆ ก็ว่าขี้บ่น พูดน้อยเกินไปก็ว่าพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ใช่หรือไม่ อย่างนี้แล้วจะพูดมากดีหรือพูดน้อยดี พูดพอดีๆ ดีกว่าใช่ไหม แล้วพูดอย่างไรจึงเรียกว่าพอดี พูดเมื่อเขาอยากฟังแล้วจึงพูด ถ้าเขาไม่อยากฟังพูดไปก็โดนว่าพูดมาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าตอนนี้เขาอยากฟังแต่เรายังพูดน้อย เขาก็ว่าพูดน้อยต่อยหนัก
เราขอถามอะไรท่านแปลกๆ อย่างหนึ่งว่า ระหว่างเป็นคนดีกับเป็นคนบ้า ท่านอยากจะเป็นคนแบบไหน คนบ้าที่เราบอกนี้ อะไรที่เหม็นเขาก็ว่าหอม  อะไรที่สกปรกเขาก็ว่าสะอาด  เป็นคนบ้ากับเป็นคนที่ดูดีเป็นปกติ เราอยากเป็นคนแบบไหน (เป็นคนดูดี) เป็นคนดูดีใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า ระหว่างคนบ้ากับคนดูดีใครจะทุกข์ใจกว่ากัน (คนดูดี)
เราเคยเห็นแต่มนุษย์ชอบบ่นในใจว่า เป็นคนบ้าก็ดีนะ วันๆ ไม่ต้องทุกข์ใจอะไรเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่เห็นมีใครอยากบ้าสักที แต่บ่นดังๆ ได้ยินไปถึงข้างบนทุกครั้งเลยว่า บางทีเราก็อยากจะเป็นคนบ้า จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไร ใช่ไหม (ใช่) ถ้าบางครั้งเรามีชีวิตอยู่ ทุกเรื่องเราต้องได้เห็น ทุกเรื่องเราต้องได้ยิน ทุกเรื่องเราต้องสัมผัส กับอีกคนหนึ่งที่มีบางเรื่องเห็น บางเรื่องไม่เห็น มีบางเรื่องได้ยิน บางเรื่องไม่ได้ยิน มีบางเรื่องสัมผัสได้ บางเรื่องสัมผัสไม่ได้ จะเอาแบบไหน แบบที่ ๑ หรือแบบที่ ๒ (แบบที่ ๒) ถ้าเอาแบบที่ ๒ คือยอมเป็นทั้งคนดีและก็พร้อมจะเป็นคนบ้า ใช่ไหม (ใช่) เพราะคนบ้าเขารู้ไม่หมดทุกเรื่อง แถมบางทีไม่รู้ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) แม้หูเขาจะได้ยิน แต่อีกฝั่งหนึ่งเขาก็เหมือนไม่รับรู้ แม้มือเขาจะสัมผัส แต่อีกฝั่งหนึ่งใจเขาก็สัมผัสไม่ถึง ใช่ไหม (ใช่) แล้วเป็นคนประเภทที่ ๒ นั้นไม่ดีหรือ (ดี) เพราะอะไร เพราะโลกนี้ถ้าทุกอย่างต้องรู้หมด ทุกอย่างต้องเห็นหมดและทุกอย่างต้องสัมผัสหมด จะไม่ทุกข์ที่สุดจะรู้จักทุกข์หรือ
วันนี้คนนี้ก็ตาย พรุ่งนี้คนนั้นก็ตาย ทำไมถึงตายบ่อยจัง เคยไหมเดือนหนึ่งต้องแบกภาระจนรู้สึกว่าแบกไม่หวาดไม่ไหว  บางทีเรารู้มากๆ เราก็ทุกข์  เห็นมากๆ เราก็เศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตามนุษย์เราบางครั้งเปิด บางครั้งปิด หูเราเปิดแล้วปิดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราจะทำอย่างไรให้รู้จักปิดหูบ้าง นั่นก็คือบางครั้งแม้เสียงนั้นเราจะได้ยิน เราก็ทำเป็นหูทวนลมบ้าง ท่านเห็นโทรทัศน์ไหม โทรทัศน์ดีตรงที่เปิดปิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่พอใจเราก็เปลี่ยนช่อง แล้วเราจะเอาอะไรเป็นรีโหมดหรือเป็นสวิตช์เปิดปิดดี ก็คอนโทรลให้เป็นสิ ในเมื่อโทรทัศน์เรายังสร้างได้ แล้วนับประสาอะไรกับใจดวงน้อยนี้เราจะควบคุมมันไม่ได้ จริงไหม (จริง) ถามท่านว่าคนขี้เกียจแม้จะอยากได้ยิน แต่พอเดินผ่านหูเขาก็ไม่ฟัง แต่คนที่รับแม้หูจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่อยู่ไกลๆ ก็ยังได้ยิน ถูกหรือเปล่า (ถูก) แล้วนับประสาอะไรกับการควบคุมใจเราล่ะ ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักพลิกแพลงกลไกให้เป็น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ชีวิตคือการแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าเดิม ถูกไหม (ถูก) แล้วอะไรที่ทำให้เราดีกว่าเดิมได้ทำไมเราไม่เดินไปหา ใช่ไหม (ใช่) เงินทำให้เราดีกว่าเดิมไหม เงินดีไหม (ดี,ไม่ดี) ที่จริงแล้วไม่มีทั้งดีและไม่ดี  แต่คนที่ใช้ต่างหากที่กำหนด ฉะนั้นเงินดีไม่ดีอยู่ที่ใคร (อยู่ที่เรา) ถูกหรือเปล่า (ถูก) ใช้ไปในทางที่ดีเงินนั้นก็เรียกว่า (ดี) การได้เงินมาอย่างถูกต้องเหมาะสมก็เรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ขึ้นชื่อว่าแสวงหาเพื่อก้าวไปสู่สิ่งที่ดี อย่าปล่อยให้เพียงเพราะว่าเพื่อเงินแล้วยอมทิ้งสิ่งที่ดีไป เช่นนี้เรียกว่าหาเงินแบบผิดทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอะไรก็ตามที่สามารถเป็นสะพานให้มนุษย์ก้าวไปสู่ความดีได้เราจึงต้องรู้จักขวนขวายและสร้าง ใช่ไหม (ใช่) ใช่ทุกคนต้องหาเงิน แต่ถ้าเงินทำให้เราประพฤติไม่ดีก็ต้องหยุดหา แล้วยอมประหยัดหน่อยไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือยอมลำบากหน่อยแต่หาเงินได้ช้าหน่อยไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงให้เงินเป็นสะพานเพื่อเราเดินแล้วข้ามไปสู่สิ่งที่ดี แต่อย่าให้เงินเป็นคานเอามากดไว้แล้วเราก็เดินตาม ตอนแรกเราเป็นเจ้าของเงินไปๆ มาๆ เรากลายเป็นทาสเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์เราขอเพียงว่าในใจรู้จักพอแม้เล็กน้อยก็ยังภูมิใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และในความภูมิใจเล็กน้อยหากรู้จักแบ่งปันเพื่อผู้อื่น เสียสละให้คนอื่น ความภูมิใจเล็กน้อยยังสร้างคุณธรรมภายในใจด้วย เห็นไหมว่าการแสวงหาสิ่งที่ดีนอกจากจะทำให้เราสมบูรณ์ภายนอกแล้วยังสามารถสมบูรณ์ภายในใจได้ด้วย ด้วยการที่มีแล้ว ได้มาแล้วรีบแบ่งปัน ยากไหม (ไม่ยาก) แล้วการร่ำรวยมั่งมีของท่านก็จะมีแต่คนชื่นชมไม่อิจฉาตาร้อนเพราะมีแล้วยังรู้จักให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตอย่าหาแต่ความสมบูรณ์ภายนอกจนบกพร่องความสมบูรณ์ภายใน อย่าลืมว่าการที่เราแสวงหาเงินแล้วเรายังรู้จักให้เงินต่อ คือสามารถสมบูรณ์ภายนอกแล้วสมบูรณ์ภายในได้ ให้น้อยก็ไม่เป็นไรดีกว่าไม่ให้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์มักอ้างว่ายังมีไม่มากพอเลยให้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) เคยได้ยินไหมว่าบางทีมีร้อยเราก็ดีใจ แต่พอเห็นเสื้อตัวหนึ่งแปดสิบเราก็ยอมซื้อทันที แต่พอทำบุญแปดสิบคิดหนัก ใช่ไหม (ใช่)
เวลาเห็นคนรวยแล้วไม่บริจาคอย่าไปโกรธเขาเลยนะ เพราะบางครั้งเรามีแค่ร้อย แปดสิบยังไม่ให้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเห็นตัวเราเป็นพื้นฐานก็จะมองคนอื่นได้เข้าใจ เคยได้ยินไหมว่าไม่ต้องออกไปรับรู้โลกภายนอกแต่ถ้าเข้าใจตัวเองก็ง่ายจะเข้าใจผู้อื่น เคยไหม (ไม่เคย) มีแต่ว่าคนที่ใกล้ที่สุดก็ไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งพยายามมอง ยิ่งพยายามดู ยิ่งพยายามเสาะหา ยิ่งหาเท่าไหร่ก็ยิ่งไกลจากความเป็นจริง ถูกหรือไม่ (ถูก)
ถามง่ายๆ ตัวเราเป็นอย่างไรสรุปได้ไหม (ไม่ได้) แต่พอหมอดูมาพูด ใช่เลยหมอดูแม่น แต่ถามว่าตัวเราเป็นอย่างไรรู้ไหม รู้แต่พูดออกมาไม่เป็น ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนใจดีไหม ดีแต่ปากไวไปหน่อย ใช่ไหม (ใช่) ไม่โมโหง่ายแต่ถ้าโมโหทีก็สุดๆ ไปเลย แต่หายก็หายไวนะ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเราต้องเข้าใจตัวเอง ถ้าเราเข้าใจตัวเองได้การจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็เป็นเรื่องง่าย ถูกไหม (ถูก) แต่ทำไมบางครั้งเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นยาก เอาง่ายๆ ถ้าวันนี้เราตีช่องให้ท่านเดินแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนสุดลูกหูลูกตา ท่านจะเดินตามช่องโดยที่ไม่คิดออกนอกช่องเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) บางทีเราก็อยากปีนขึ้นไปดูหน่อยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าทำดี จงทำดีเพื่อดี ทำดีเพื่อถึงที่สุดของความดี แล้วที่สุดของความเป็นคนดี ก็จะดึงความดีเข้ามาหาเอง
เคยเห็นไหม น้ำก็ต้องอยู่ร่วมกับน้ำ สิ่งสกปรกก็ต้องอยู่ร่วมกับสิ่งสกปรก แม้วันนี้น้ำจะไหลผ่านดิน แต่สักพักก็ต้องรวมกลับไปสู่น้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเรามุ่งมั่นทำดีถึงที่สุด มีหรือจะไม่ได้ดี กลัวแต่เพียงใจมนุษย์จะล้าเสียก่อน ทำให้ความดีส่งพลังไปไม่ถึง แล้วก็หมดแรง ถูกไหม (ถูก)
คนนั้นใจแก่จริงๆ  มีไหม ไม่มีใช่หรือไม่ ตัวเราแก่ แต่ใจไม่แก่ ตัวเราทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ ตัวเราเจ็บแต่ใจไม่เจ็บ ฉะนั้นอยู่ในโลกจะกลัวอะไร ถ้าคิดเป็น ลูกเลวแล้วเราพยายามทำดีที่สุด ไปยื้อไว้ ไปรั้งไว้ก็เหมือนจัดเขาให้เดินตามแถว มีหรือเขาจะเดินตามแถวรอด เราทำดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม
ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาจะโดนคนว่า คนนินทาเราก็ปล่อยไปเถอะ เราดีเราก็ได้ดีของเรา มีความสุขใจ ถ้าเราคิดชั่วความทุกข์ก็อยู่ในใจเราใช่หรือไม่ ฉะนั้นคิดดี ดีกว่าใช่หรือไม่
ตัวเมื่อยแต่ใจไม่เมื่อย ถ้ามีความเจ็บมาถึงตัวแล้วคิดแบบนี้บ้าง ก็จะทำให้บรรเทาความเจ็บไปไม่น้อย เคยไหมบาดแผลนิดเดียว ร้องเหมือนจะเป็นจะตาย แล้วอะไรนะที่ทำให้ผู้ชายเจ็บปวดได้ง่ายที่สุด เจ็บใจเพราะโดนเขาหักอกหรือเปล่า โดนคนหยามก็ยังพอทน แต่โดนหักอกมันทนไม่ได้ เขาบอกว่าผู้ชายอกสามศอกแม้จะแข็งแกร่งปานใดก็ยังแพ้ผู้หญิงวันยังค่ำใช่ไหม (ใช่) จงจำไว้ว่าเสน่ห์ของผู้หญิงอยู่ตรงความนิ่มนวล เมื่อไหร่หมดความนิ่มนวลก็หมดเสน่ห์เมื่อนั้น เมื่อไหร่ที่แข็งกระด้างชี้หน้าด่า เมื่อนั้นก็หมดสภาพ
เคยไหม ยิ่งอยู่กับเขา ผู้หญิงคนนี้ยิ่งสวยลึกล้ำ ยิ่งน่าค้นหายิ่งน่าติดตาม อยากเป็นอย่างนั้นไหม อย่าเป็นผู้หญิงใจง่าย เปิดเผยหมด เขาได้แล้วเขาก็ทิ้ง ไม่มีคุณค่าเลย ผู้ชายก็ต้องรักษาคุณธรรม อย่าใช้ความเข้มแข็งข่มเหงความอ่อนแอ คนเช่นนี้หาใช่บุรุษไม่ บุรุษที่ดีต้องเอาความเข้มแข็งช่วยประคับความอ่อนแอ ไม่ใช่ข่มเหงคน เราถึงบอกว่าอยากหาความสันติสงบสุขในตัวเราหรือในครอบครัวเรา ต้องเริ่มที่ตัวเราเป็นพื้นฐานก่อน
เราศึกษาธรรมแล้วอะไรคือความรุนแรงภายในใจ ที่สามารถก่อให้เกิดความวุ่นวายภายนอกได้
ความรุนแรงภายในมีอยู่สามตัวเป็นมารร้ายคือ โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ รักอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็เรียกว่าหลง ตัวเรามีโลภ โกรธ หลง ระดับไหน
ถ้าเป็นคนเวลาโกรธแล้ว มีอะไรไม่พอใจ ผิดหูผิดตา นิดหนึ่งต้องเอาให้ถึงตาย นี่คือโกรธถึงที่สุด ดูซิว่าเราเคยโกรธแล้วเป็นอย่างนี้ไหม
อย่างที่สอง เวลาอยากได้แล้วไม่สนใจว่าถูกหรือผิดกฎหมาย ไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน คือที่สุดของความอยาก
อย่างที่สามคือ คือความหลง ถ้าหลงแล้วไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ก็น่ากลัว
ถ้าเราอยากหาความสงบภายนอก เราต้องขจัดความเลวร้าย หรือวุ่นวายสามตัวนี้ก่อนนะ ถ้าสามตัวนี้ขจัดไม่ได้ ก็เป็นการง่ายที่จะปล่อยให้มันแผลงฤทธิ์ และไปทำร้ายคนอื่น ถ้าโกรธได้หนึ่งระดับ เราก็รู้จักระดับที่สอง พอรู้จักระดับที่สองก็ไประดับที่สาม แล้วไปจนถึงที่สุดก็เคยมี แล้วก็กลับมาใหม่สำนึกผิด แล้วก็มาเกิดระดับหนึ่งใหม่ ถูกไหม (ถูก)
ความโกรธยังแปลกอย่างหนึ่ง มันมีนิสัยอย่างหนึ่งถ้าจับจุดได้นะ ก็ไม่ยากหรอกโกรธนะเหมือนบูมเมอแรง ถ้าขว้างไปแล้วมีคนรับ สบายใจ เวลาโกรธก็ต้องหาที่ลง ถ้าไม่ได้ที่ลงก็ไม่สบายใจ แต่อย่าลืมนะว่าใครมันจะโง่รับทุกรอบ ถูกไหม (ถูก) ถ้าหลบปุ๊ป บูมเมอแรงมันตีกลับ แล้วใครล่ะที่เจ็บกับความโกรธ ฉะนั้นความโกรธเหมือนลูกไฟ อยู่กับเราก็ร้อน ส่งให้ใครก็ร้อน
ความโกรธมีพื้นฐานมาจากอะไร ไหนลองคิดซิ  กระทบอย่างไรถึงโกรธ ตีครั้งเดียวพอทน ตีครั้งสองพออภัย แต่ครั้งสี่ครั้งห้า ทนไม่ไหว ฉะนั้นอยากจะดับความโกรธและอยู่ร่วมกับความโกรธได้ต้องมีความอดทนเป็นเลิศ ใช่ไหม แต่ตอนนี้เรากำลังจะหารากฐานของความโกรธ อะไรทำให้เราโกรธ (ไม่สมหวังไม่ได้ดังใจ) หรือผิดคาดจากที่ควรจะเป็น ใช่ไหม ฉะนั้นเราจึงต้องรู้รากฐานของความโกรธก่อน ถ้าเราไม่รู้เราจะดับได้อย่างไร ถูกไหม
บางคนก็เป็นเหมือนดิน บางคนก็เป็นหุบเขา บางคนเหมือนน้ำนิ่มนวล แต่บางคนก็แข็งกระด้างเหมือนหินผา แต่ที่มองรวมกันแล้วมันก็เหมือนธรรมชาติ ถ้าทุกคนใส่เหลืองหมดทั้งบ้าน แล้วก็ทำผมเหลืองหมดทั้งประเทศ รองเท้าก็เหลืองเหมือนกันหมด แถมทาคิ้วทาหน้าเหมือนกัน ไม่ต่างกันเลย มองแล้วสวยไหม
ฉะนั้นอย่าโกรธในความต่างของคน เพราะคนเรามีการสั่งสมความรู้ความเข้าใจที่ต่างกัน จึงทำให้มีนิสัยคิดถึงคนอื่นน้อยกว่าที่เราเป็น นิสัยที่เมตตาคนอื่นอาจจะน้อยกว่าที่เราเป็น ก็ให้อภัยเสีย ดีไหม
ใช่ไหม (ใช่) เพิ่งดับตัวร้ายได้ตัวเดียวก็หลับแล้ว ฉะนั้นความขี้เกียจก็เป็นอุปสรรคใหญ่ในการที่จะพาเราให้พ้นจากความทุกข์ได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่) ง่วงแล้วใช่ไหม ถ้าง่วงเราให้นอน เดี๋ยวเรากลับ ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะแล้วต้องได้ธรรมะกลับไปสักข้อหนึ่งก็ยังดี ไม่ใช่ฟังธรรมะ แล้วได้หลับเต็มอิ่มเลย กับกินฟรีดีจังเลย มาเอาทำไมแค่นี้ ใช่หรือเปล่า มาฟังแล้วก็ต้องให้ได้ ได้แล้วก็ต้องเอาไปเผื่อแผ่คนอื่นด้วย
การที่เราไม่รู้จักโกรธนั้น ทำให้ดีกับคนที่อยู่ร่วมกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาโกรธมาแต่เราไม่โกรธตอบ เราก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเป็นสุข ถูกไหม แต่ถ้าเกิดเขาโกรธมา เราโกรธตอบ จบแน่เลย ใช่ไหม (ใช่) แก้วพอมันแตกแล้วผสานอย่างไรมันก็ไม่เหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก) จะมองหน้ากันอีกทีติดไหม (ไม่ติด) ฉะนั้นบางทีที่เขาโกรธก็เพราะรักเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยไหม พอรักมากมันก็โกรธมาก (เคย) ก็เป็นบ่อยกับสามี ใช่ไหม (ใช่) เป็นบ่อยกับลูก ใช่ไหม (ใช่) ลูกเขายังไม่เข้าใจจนกระทั่งเขารักใครสุดหัวใจก่อน แล้วเขาจะรู้ว่าเวลาที่คนที่เขารักสุดหัวใจทำให้เขาผิดหวังนั้น เขาจะโกรธมาก ทำไมต้องรอให้ตัวเองเป็นนะ ถึงเข้าใจผู้อื่น เขาถึงบอกว่าอยากรู้เรื่องราวในโลก บางครั้งใช้ตาดู หูฟังอย่างเดียวไม่ได้ บางทีต้องใช้ใจไปสัมผัสถึงจะเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ อย่าวัดแค่ตาดูกับหูฟัง แต่ต้องใช้ใจไปสัมผัสเขานะ ดีไหม (ดี) แล้วต่อไปนี้ เราจะได้เป็นคนที่ไม่รู้จักความโกรธ ดีหรือเปล่า (ดี) เป็นคนไม่ค่อยโกรธคนดีไหม (ดี) อย่าลืมนะว่าคนเราถ้าใจเย็นตลอด เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นคนแบบนี้ ท่าทางจะโกรธยาก ใช่ไหม (ใช่) แล้วเคยเห็นไหมคนที่โกรธบ่อยๆ หน้าเขาจะไม่ค่อยเป็นรูปหน้าเท่าไหร่ เหมือนอะไรก็ไม่รู้ ถูกไหม ผู้ชายเดี๋ยวนี้เขาพกกระจกแล้ว รู้หรือเปล่าผู้หญิง เขาไม่ได้พกเพื่ออะไรหรอก เอาไว้ดูตอนตัวเองโกรธ ฉะนั้นผู้ชายเมื่อพกกระจกก็จำไว้ว่า เวลาจะโกรธให้หันมามอง ปรับใหม่ ดีไหม (ดี) เวลาโกรธมันจะได้ไม่กลายเป็นยักษ์นะ ท่านลองคิดดูนะง่ายๆ เลย ไปที่ไหน ถ้าเป็นคนใจเย็น ยิ้มง่าย ใครๆ ก็รัก ถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าเกิดกลายเป็นเสือยิ้มยาก ใครจะต้อนรับ บึ้งมาแต่ไกลเลย ใครจะกวักมือเรียกเข้ามาร่วมวงด้วย ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นยิ้มง่ายๆ ใจเย็นๆ ไม่ดีกว่าหรือ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ตัวร้ายตัวที่สองคือความโลภ มีใครบ้างในที่นี้ไม่โลภ บอกว่าชีวิตนี้แค่นี้ก็พอแล้ว มีเสื้อสองตัว กางเกงหนึ่งตัวก็รอดแล้ว ยากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นความโลภนำชีวิตมนุษย์ไปสู่ความวุ่นวายหนึ่ง แก่งแย่ง สอง ชิงดีชิงเด่น สาม หาความสงบสุขไม่ได้เลย สี่ ง่ายที่จะทุจริตทำผิด ห้า หก เจ็ด แปด นับไม่ถ้วนเลยเพราะความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์เราอยากน้อยหน่อย แล้วพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีไม่ดีกว่าหรือ แต่มันเป็นการยากเหลือเกิน ถูกไหม (ถูก) เราจะถามท่านหน่อยนะ เรามีเสื้อเปลี่ยนสิบตัว แต่หน้ามันหงิกอยู่ทุกวัน เปลี่ยนกี่ตัวมันก็ไม่ดีขึ้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราสู้เปลี่ยนหน้าเลยดีไหม ให้มันยิ้มตลอดถาวร หุบไม่ลงเลยดีไหม เอาไหม ก็ไม่เอาใช่หรือไม่ เราอยากบอกท่านว่าจงอยากในสิ่งที่ควรอยาก และขอให้อยากนั้นไม่เป็นอยากที่ทำร้ายความดีในหัวใจ และขอให้อยากนั้นเป็นอยากที่ไม่ได้ยืนอยู่บนน้ำพักน้ำแรงของใคร ความอยากนั้นก็ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าอยากโดยเอาเปรียบคนอื่น คนอยากอย่างนี้ไม่น่าคบ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์เรามีความอยากอย่างหนึ่งที่แก้ไม่ได้ และมักจะให้ผลร้ายเสมอ คืออยากสบาย ใช่ไหม (ใช่) ก็เพราะคำว่าสบายคำเดียวนั่นแหละที่ทำให้มนุษย์ต้องเดือดร้อนตลอดชีวิต จริงไหม (จริง) แต่ถามจริงๆ ไปถึงความสบายหรือยัง (ยัง) แล้วไปได้ถึงที่สุดไหม (ไม่)  แล้วมีที่สุดของความสบายไหม (ไม่)  แล้วหาทำไมนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงรู้จักเพียงพอบ้างนะ แล้วความพอจะทำให้เราไม่เดือดร้อน แล้วความพอจะทำให้เรามีมิตรมาก ความอยากจะทำให้เรามีมิตรน้อยลงๆ จริงไหม (จริง) อย่าปล่อยให้อยากจนกระทั่งลืมนึกถึงคนอื่น นึกถึงแต่ตัวเอง ความอยากนั้นเป็นอันตรายโดยแท้ จริงไหม (จริง) เพราะมีหลายคนพออยากนิดหนึ่งคิดถึงตัวเอง ยังนึกถึงความดีชั่ว แต่พออยากไปมากๆ ความดีชั่วไม่เอา นึกถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวพอ จริงไหม (จริง) แล้วเคยเห็นไหมอยากแทบเป็นแทบตาย ถึงเวลาสิ่งที่ได้มาก็ต้องกองไว้กับพื้นดิน ใช่ไหม (ใช่) เหนื่อยมาแทบตายบางทีใช้ยังไม่หมดเท่าที่มีเลย ถูกไหม (ถูก) มีเสื้อในตู้วนใช้หมดทุกอาทิตย์ไหม วนใช้หมดทุกตัวไหม (ไม่) แต่ก็ยังซื้ออีก ใช่ไหม (ใช่) เงินได้จับทุกใบไหม บางใบยังฝากไว้ธนาคาร ใช่ไหม (ใช่) แล้วถึงเวลาตายไป ที่ฝากธนาคารไว้ก็แป้ว เสร็จเขาไปเลย ถูกไหม ฉะนั้นรู้จักแบ่งเวลามาสร้างสรร ความดีที่อยู่ในชีวิตที่ช่วยทั้งยามเป็นและยามตายไม่ดีกว่าหรือ มนุษย์รู้จักสรรหาทรัพย์สมบัติแต่ทำไมไม่รู้จักสรรหาอริยสมบัติบ้าง ใช่ไหม แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เรามีอริยสมบัติ แล้วกลับคืนขึ้นไปอย่างสบาย ไม่ใช่ความดีหรือ ไม่ใช่จิตใจที่รู้จักเสียสละ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้น ยืนขึ้น -นั่งลง)
ตอนนี้มีคนบอกท่านตลอดนะ ว่าให้ท่านทำอย่างไร แต่ต่อไปไม่มีใครบอกท่านอีกแล้ว ถูกไหม ในชีวิตมีตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดและกุมชะตาถูกไหม (ถูก) ผิดพลาดไปก็อย่าไปโทษคนอื่น แต่ต้องหันมาตรวจสอบตัวเราเอง

เหลืออีกอย่างหนึ่งคือ ความหลง อย่าปล่อยให้ความรู้สึกชอบกลายเป็นรัก แล้วรักจนหน้ามืดมาจนกลายเป็นหลง ฉะนั้นเวลารักแล้วต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี มองให้ออกว่าดีและไม่ดี
วันนี้ท่านเก่งไม่ใช่น้อยเลย นั่งฟังอยู่ได้เกือบค่อนวันแล้ว ความอดทนนี้จะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อครบ 2 วัน ฉะนั้นทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด อย่าเป็นคนที่ทำอะไรแล้วล้มเลิกกลางคัน ไม่อย่างนั้นสิ่งที่พยายามมาค่อนวันก็จะสูญเปล่า ใช่ไหม (ใช่) ลองนำไปคิดดูสิว่า สิ่งที่เราพูดนี่เป็นจริงไหม แล้วใช้ได้หรือเปล่า นำเอาสิ่งที่ดีไปก็พอ สิ่งที่ไม่ดีและไม่แน่ใจก็ไม่จำเป็นต้องมาคิด ในโลกนี้มีสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่เห็น สิ่งที่รู้ได้และสิ่งที่รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนำสิ่งที่รู้ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่ามัวแต่กังวลกับสิ่งที่ไม่รู้แล้วพลอยทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้ว ยิ่งแย่ลงไปอีก
วันนี้เรามาเรียนรู้ศึกษาหลักธรรมเพื่อนำไปใช้ในชีวิต ไม่ใช่เพื่อไปข่มคนอื่นหรือนำไปเป็นคำอ้าง แก้ตัวเมื่อเวลาทำผิด เราเรียนรู้หลักธรรมเพื่อลด ละ กิเลส เพื่อขัดเกลากิเลสที่อยู่ในตนให้มีความเป็นคนที่ถูกต้องและดีงาม เป็นสิ่งที่ไม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่เวลาไหนที่ทำให้เราคิดอย่างคนมีธรรมตลอดเวลา แล้วจะคิดได้ในแบบของคนมีธรรมแล้วรู้จักคิด ก็คือต้องเอาหลักธรรมะ มาคอยกล่อมเกลาจิตใจ ยิ่งยุคนี้เป็นการฉุดโปรดยุคสาม หวังให้มนุษย์ใช้หลักธรรมเพื่อไปปลดทุกข์และหาทางพ้นทุกข์ให้เจอ และช่วงที่กำลังหาทางปลดทุกข์และพ้นทุกข์นั้น ยังมีใจเมตตาเพื่อช่วยคนอื่นด้วย นี่คือการโปรดในยุคนี้นะ ช่วยตัวเองแล้วยังช่วยคนอื่นด้วยแม้ตัวเอง ไม่รอดก็ยังมีใจที่จะช่วยคนอื่นให้รอดด้วย ถ้าทำได้ก็แสดงว่าประเสริฐแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนที่รู้จักว่าเมื่อตัวเองหิว แล้วยังนึกถึงคนอื่น คนนี้ก็ยอดเยี่ยมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนในโลกส่วนใหญ่ ขอให้ตัวเองอิ่มก่อนแล้วค่อยช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจะทันไหม
เคยไหมที่ตัวเองก็หิว เขาก็หิว แต่ถ้าได้อาหารมาก็แบ่งกัน คนแบบนี้น่ารักกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเองก็อยากให้พวกท่านทำได้ นี่แหละเรียกว่า การขัดเกลาตนเอง  ตัวเองยังไม่รอดแต่ก็ยังช่วยให้คนอื่นให้รอดก่อน เมื่อยามอยู่จงใช้ชีวิตให้ดีที่สุด และเวลาไปชีวิตเราก็จะเป็นชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ ทำไม่ยากใช่ไหม (ใช่) ละชั่ว บำเพ็ญดี ทำจิตใจให้ดี ทำให้ได้นะ
บำเพ็ญธรรมเริ่มต้นที่ตัวเราเป็นอันดับแรก แก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไหน ก็แก้ไขที่ใจ เปลี่ยนแปลงที่ใจ  คิดให้ดี คิดให้ถูก คิดให้รอบคอบ คิดให้สุขุม แล้วความคิดภายในจิตใจก็จะไม่เกิดความวุ่นวายไปสู่ภายนอก ใช่หรือใหม่ (ใช่)
ถึงเวลาเราต้องไปแล้วนะ รักตัวเองให้ดี ตั้งใจบำเพ็ญธรรมเป็นคนดีของสังคม และเป็นคนดีที่น่ารักของพระอาจารย์จี้กงนะ  เราทำดีเพื่อให้มีดี เพื่อไปให้ถึงที่สุดของความดี และอย่ายอมแพ้ใจตัวเองเสียก่อนนะ เรามาอยู่บนโลกนี้ยืมร่างกายใช้ ยืมวัตถุใช้ ยืมเงินใช้ ถึงเวลาก็ต้องไป  ฉะนั้นยืมใช้แล้วก็ต้องใช้ให้ดี ไม่ใช่ใช้แล้วกลายเป็นคนชั่ว






วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙        สถานธรรมจือเจวี๋ย   จังหวัดสงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  คุณธรรมปัดเป่าภยันตราย                 จิตใจไร้กังวลไม่อ่อนล้า
สะสมซึ่งกุศลคุณธรรมปัญญา               วาสนาเกิดด้วยการสละเป็น
                        เราคือ
  จี้กง                                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่โลกแสนวุ่นวายแฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนงงหรือเปล่า

  ปลงทุกข์ได้เดิมต้องบำเพ็ญมา             ปวารณารับยอมหัดโดยมุ่งมั่น
อันที่แท้ทุกข์เป็นสิ่งสามัญ                     คนอยู่นั้นทุกข์อยู่เสมอไป
หลงจึงแย่ไปกว่าอุปสรรคฉุด                 พะวงตามคอยต้องผุดอุปสรรคใหม่
ฉลาดแต่ไม่รู้แง่หลากหลาย                   แก้อะไรรู้สึกที่ศิษย์ชินมา
ซื่อฉลาดในข้างหน้าพัฒนาได้                ซื่อไม่อยู่สุขไกลหัวใจหนา
ต่างทึกทักวุ่นวายเมื่อขับไล่นา               ปัญญามองไปโลภลาจากชีวี
คนเดิมต่างไปฝึกบำเพ็ญหน่อย              ทำใจเรื่องใหญ่น้อยมีภาษี                 
ชัยชนะซ่อนอยู่ในความดี                      ชัยชนะที่มีอุปสรรคจึงแข็งแรง

                                                                                             ฮา  ฮา   หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่ชอบความทุกข์ แต่ไม่ชอบแล้วมีหรือเปล่า มีเพราะอะไร เพราะว่าเรานั้นหาทุกข์มาใส่ที่ใจเอง ถ้าหากไม่มีทุกข์ ไม่มีใจ ดีหรือเปล่า  ทุกวันนี้ก็มีใจมากเกินไป มีใจให้สามี ให้ลูก ให้หลาน ให้ทรัพย์สิน ให้เพื่อนบ้าน ทุกอย่างเกิดจากความมีมากเกินไป อย่างนี้ไม่มีใจดีไหม (ไม่ดี)
แต่ใจที่อาจารย์พูดถึงนี้เป็นใจที่ศิษย์นั้นเอาไว้รับรู้อารมณ์ต่างๆ เป็นใจที่อยู่ข้างในใจของศิษย์อีกทีหนึ่ง เดิมทีใจนั้นขาว สะอาด บริสุทธิ์  ตอนเด็กๆ ใจเราใสกว่านี้จริงไหม ตอนเด็กๆ เราคิดอะไรง่ายดายกว่านี้จริงไหม ตอนเด็กเราพูดถึงผลประโยชน์น้อยกว่านี้ พูดถึงความอยู่รอดน้อยกว่านี้ พอเราโตขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตนี้ต้องอยู่รอด เราจึงไขว่คว้าหาๆ ๆ ๆ ๆไปไกลแล้ว หาจนมีมากแล้ว แต่เราสูญเสียจิตใจ อันบริสุทธิ์ใสสะอาดไป จริงหรือไม่
จิตใจอันบริสุทธิ์สะอาดอันนี้ ยังอยู่ข้างในหรือเปล่า อยู่ไหนล่ะ อยู่ลึกๆ ใช่หรือเปล่า ทุกครั้งที่ใจบริสุทธิ์นั้นสำแดงออกมา เราก็บอกว่ามันเป็นความโง่มากเกินไปที่จะคิดอะไรแบบนั้นอย่างตื้นๆ แค่นี้
เวลาคนทำดีกับเรา เราก็ไม่เชื่อว่าเขาทำดีกับเราจริงหรือไม่ (จริง) เพราะคิดว่าเขาทำดีกับเราเขาต้องหวังผลประโยชน์แน่เลย เวลาเราทำดีกับคนอื่นเราหวังผลประโยชน์ไหม เราต้องมองคนอื่นประดุจมองเห็นตนเอง เราต้องมองเห็นซึ่งกันและกันประดุจเดียวกัน อะไรที่เราหวังดีต่อตัวเอง ก็ต้องหวังดีต่อผู้อื่นเช่นกัน ใครที่หวังดีกับผู้อื่นก็ต้องหวังดีกับตัวเองเช่นกัน เราต้องลดความเป็นตัวตนของเราให้น้อยลง  จิตใจบริสุทธิ์นั้นจึงสามารถที่จะปรากฏออกมาได้
ถามจริงๆ ว่าวันนี้ถ้าเรายอมเสียเปรียบไปหนึ่งครั้งเราจะตายไหม จะไม่รอดไหม เพราะฉะนั้นเราจะรอดแบบคนที่มีคุณธรรมดี หรือเราจะรอดอย่างคนที่มีความชั่วร้ายในจิตใจ เราจะรอดแบบคนดีหรือคนชั่ว (คนดี) เพราะฉะนั้นเราต้องทำตัวเป็นคนดี ถ้าหากว่าคนอื่นมาหวังดีกับเรา เราอย่าคิดมากดีหรือไม่ (ดี) เวลาที่คนอื่นเขาใส่ร้าย เราก็อย่าคิดมากดีหรือไม่
เรามีปากทุกคนหรือเปล่า ปากเราพูดทุกวันหรือเปล่า เคยพูดผิดไหม (เคย) แต่ไม่ยอมรับกับคนอื่นเด็ดขาด ใช่หรือเปล่า ยอมรับกับตัวเอง แต่ไม่ยอมรับกับคนอื่น คนอื่นก็ไม่รู้ว่าเราสำนึก เพราะเราไม่มีคำสำนึกออกจากปากเลย ผิดก็ไม่ยอมรับผิด ถูกก็ต้องให้คนอื่นรู้ทั่วกัน ไม่ได้มีไมโครโฟน หรือโทรเข่งติดตัวเลย แต่คนอื่นต้องรู้เรื่องเราที่ดีๆ ทุกอย่างจริงหรือไม่ แล้วเรื่องไม่ดีล่ะ ปิดเท่าไหร่ก็ปิดไม่มิด เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ต้องทำอย่างสง่าผ่าเผย จริงหรือไม่ (จริง) ทำอะไรก็รับอย่างนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นคนเปิดเผยจริงใจ การกระทำของเราก็ดุจเดียวกับอริยะปราชญ์ การกระทำของเราจะยิ่งใหญ่ แต่หากว่าเราทำอะไรลับหลังคนอื่น ไม่ให้คนอื่นรู้หรือเป็นความลับ แสดงว่าเราเป็นคนที่ (ไม่ดี) เราเป็นคน เมื่อทำอะไรก็จะมีคนมอง เป็นเรื่องปกติไหม (ปกติ) เพราะฉะนั้นคนอื่นรู้เห็นเรื่องของเราเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา) ถ้าเราเดินไปไหนมาไหนไม่มีคนสนใจเลย เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา) ตกลงอยากเป็นคนธรรมดาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทำอะไร คิดอะไร มีคนรู้เห็นว่ากล่าวตักเตือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าอย่าทำผิดโดยไม่ละอาย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนกล้าว่าเราเพราะเราเป็นนักฟังที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ตั้งแต่เด็กโดนพ่อแม่ว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) โตมาเจอครูว่า โตขึ้นมาอีกเจอเพื่อนว่า เจอพี่น้องว่า เจอญาติว่า เจอเพื่อนบ้านว่า เจอคนที่ทำงานว่า สุดท้ายแต่งงานแล้วเจอคนที่บ้านว่า พอแก่แล้วเจอใครว่า (ลูกว่า) เราเจอการโดนว่ามาตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกครั้งที่โดนว่าเราชอบหรือไม่ชอบ (ไม่ชอบ) เราต้องฟังหรือเปล่า (ต้องฟัง) ถ้าเรายิ่งทำหน้าบึ้งไม่ชอบใจ เราก็ยิ่งโดนว่า เพราะฉะนั้นกลับไปหลังจากวันนี้เปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ เวลาโดนว่าต้องทำอย่างไร (ยิ้ม) ปกติหน้าเราเป็นชามคว่ำ หลังจากวันนี้ไปหงายชามดีไหม (ดี) คว่ำชามใส่อะไรได้หรือเปล่า (ไม่ได้) หงายชามใส่ของได้ไหม (ได้)
กรองคำพูดของเขาที่เป็นสิ่งที่ดีมาฟัง ไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะฉะนั้นเมื่อเรากรองคำพูดก็เหมือนเราได้อ่านหนังสืออยู่ทุกวันเลย จริงหรือเปล่า (จริง)
เราทำผิดอะไรปุ๊ป ก็มีคนว่าเราปั๊ป เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อเขามากเลย จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ว่าเราจะผิดตรงไหนนิดหน่อย มีคนเดินมาบอกเรา มีคนเอากระจกมาให้เราส่องดูจิตใจของเรา ว่าเราผิดแล้วนะ อย่างนี้ดีไหม (ดี) ชีวิตนี้จะมีคนสนใจเรามากเท่านี้อีกไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเจอคนที่สนใจเรื่องของเรา ติเรา ไม่เคยชมเราเลย อย่างนี้ถือว่าเราโชคดีไหม
การก้าวขึ้นบันไดเหนื่อยมากกว่าเดินลง จริงหรือไม่ (จริง) การก้าวขึ้นแปลว่าเราต้องออกแรง การที่มีคนมาว่าเราก็เพื่อให้เราได้ออกแรงกับชีวิตตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ถ้าเราเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองอยู่เสมอ ชีวิตเราจะดีขึ้น จริงหรือไม่ (จริง) แต่หากว่าเรานั้นอยู่เฉยๆ เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ชีวิตก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ เราพอใจในชีวิตตัวเองหรือเปล่า (ไม่พอใจ) เคยเห็นคนที่ได้ดีกว่าเราไหม (เคย) เขานั่งเฉยๆ เหมือนเราหรือเปล่า (ไม่) คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ เขาจะต้องลงทุนอะไรบ้าง เราก็ลงทุนง่ายๆ ลงทุนเอาหูไปฟัง เอาตาไปดู เอาใจมาคิด ต้นทุนทุกอย่างมีในตัวอยู่แล้ว เป็นคนโชคดีหรือเปล่า อยู่แค่ว่าเราคิดอย่างไร
เราจะเปลี่ยนพ่อแม่, พี่น้อง, ลูกหลานได้ไหม (ไม่ได้) เปลี่ยนบ้าน, เปลี่ยนรถได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เปลี่ยนบ้านเปลี่ยนรถต้องใช้อะไร (เงิน) เมื่ออยากได้เงินก็ยิ่งทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งท้อแท้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่คิดจะเปลี่ยนสมบัตินอกกายนั้น เป็นเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ใครอยากเปลี่ยนก็ขึ้นอยู่กับคนนั้นว่าจะใฝ่หาแสวงหา มีความโลภในชีวิตมากน้อยแค่ไหน หรือถ้าเหมาะสมที่เปลี่ยนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนโดยที่ไม่ต้องลงทุนเลยคืออะไร (ตัวเอง) ในเมื่อเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเราเอง
คนที่บ่นคนอื่น ว่าคนอื่นอยู่ทุกวัน ถามว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า เขาก็เป็นคนดีเพราะเขาไม่ได้เบียดเบียนใคร เพียงแต่ขี้บ่นจุกจิกจู้จี้ไปหน่อย จริงหรือเปล่า (จริง) แสดงว่าเราอยู่กับคนดีหรือเปล่า เราควรที่จะสำนึกรู้ตัวว่าเรานั้นเป็นคนที่โชคดี ถ้าศิษย์คิดว่าศิษย์โชคร้าย ศิษย์ก็จะโชคร้าย ถ้าศิษย์คิดว่าโชคดี ศิษย์ก็จะโชคดี ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองจน ศิษย์ก็จะ (จน) ถ้าศิษย์คิดว่าตัวเองรวย ศิษย์ก็จะ (รวย) เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ) อาจารย์เห็นว่าเวลาศิษย์คิด คิดแต่ว่าเงินน้อย แก้ปัญหาโน้นแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เพราะว่าเงินน้อย ปัญหาทุกอย่างแก้ด้วยเงิน จริงหรือเปล่า (ไม่จริง) ปัญหาทุกอย่างแก้ได้ที่ตัวเราเอง เงินเป็นสมบัตินอกกายที่ใครๆ ก็พร้อมจะสละได้ แต่คนที่คิดไม่ได้ก็จะสละไม่ได้ จริงไหม (จริง)
ถามว่าถ้าศิษย์เห็นคนๆ หนึ่งไม่มีข้าวกิน ศิษย์พร้อมที่จะควักเงินออกมาซื้อข้าวให้เขากินไหม พร้อมหรือไม่พร้อม (พร้อม) แค่จานเดียวพร้อม ถ้าหากว่าหลายๆ จานแต่เรามีเงินไม่ถึง เราจะทำได้ไหม เราทำไม่ได้แต่ความมีน้ำใจของเรา ทำได้หรือยัง (ได้) เราชนะตัวเองหรือยัง (ชนะแล้ว) อาจารย์ไม่ได้ต้องการให้ศิษย์มีเงินสิบบาทแล้วทำหนึ่งร้อยบาท แต่อาจารย์ต้องการให้มีสิบบาทแล้วช่วยเหลือคนอื่นเท่าไหร่ (ห้าบาท)เหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งเอาไว้ช่วยตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วช่วยตัวเองรอดหรือไม่รอด(ไม่รอด)
           เวลาที่เราเดือดร้อนจริงๆ แล้วคนอื่นช่วยเราครึ่งหนึ่ง พอใจไหม (พอใจ) อาจารย์บอกให้ จะให้ช่วยบาทเดียว ห้าบาท สิบบาทไม่เป็นไร แต่ถามว่าใจน่ะออกมาแล้วกี่ส่วน ถามว่าใจที่ออกมาพร้อมเงินห้าบาทน่ะกี่ส่วน มือที่ควักลงไปแล้วให้คนอื่นไปนั้นเราให้มากี่เปอร์เซ็นต์ของใจ เพราะฉะนั้นเงินทองของนอกกายสำคัญหรือไม่ (ไม่) ถ้าศิษย์บอกว่าเงินสำคัญตลอด ชีวิตนี้ศิษย์ก็จน เพราะไม่เคยมีใครพอใจกับเงินจำนวนที่ตัวเองมีอยู่ จริงหรือเปล่า (จริง)
          จะจนหรือรวยขึ้นอยู่กับว่าเราต้องมีเงินมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า จะจนหรือรวยขึ้นอยู่กับที่ใจนั้นจนหรือรวย ใจของศิษย์เป็นใจจนหรือใจของศิษย์เป็นใจรวย (ใจรวย) ถ้าหากว่าใจรวยแล้วต้อง (แบ่งปันให้ผู้อื่น) คนรวยต้องแบ่งปัน จริงหรือไม่ (จริง) ไม่มีเงินไปซื้อน้ำให้เขากินก็ตักน้ำจากในบ้านแก้วหนึ่งให้คนอื่นกิน เหมือนกันไหม (เหมือนกัน)
          วันนี้มาพูดเรื่องใจ เราไม่พูดเรื่องสมบัตินอกกาย เราไม่พูดเรื่องอื่นที่นอกจากใจ เราพูดถึงใจล้วนๆ คนที่มีจิตใจที่ดี คนที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ย่อมอยู่ในคนทุกหมู่เหล่า ทุกชาติ ทุกประเทศ ฉะนั้นในวันนี้ใจของศิษย์นั้นลึกๆ ยังมีใจที่ดีอยู่ จริงหรือไม่  (จริง)  แต่มันประหวั่นพรั่นพรึงกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าจะเอาใจดีๆ อันนี้ออกมา จริงหรือเปล่า (จริง) ยิ่งเกิดความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเท่าไหร่ตัวของเราก็ย่อมที่จะมีราคะ[‡]มากเท่านั้น คนที่มีความเห็นแก่ตัวมากคือคนที่มีกิเลสมาก ฉะนั้นในวันนี้เราต้องการที่จะบำเพ็ญใจจึงต้องเอาจิตใจออกมาขัดเกลา จริงหรือไม่ (จริง)
           ใจอยู่กับเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไหม (อยู่) ใจอยู่กับเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสามารถที่จะสังเกตดูแลจิตใจ สามารถที่จะขัดเกลาได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเวลาไหน ไม่ว่าจะวันไหน ยิ่งในสถานการณ์ที่ลำบาก ในสถานการณ์ที่ชวนให้ว้าวุ่นและสับสนใจ ศิษย์ยิ่งเห็นใจตัวเองชัดมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ่งกำลังถูกบ่น ยิ่งกำลังถูกว่าถูกติ ยิ่งกำลังถูกประณามหยามเหยียด ยิ่งถูกคนดูถูกได้เท่าไหร่ศิษย์ยิ่งเห็นใจตัวเองชัดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่เราเกิดในวาระนี้ยุคนี้ ยิ่งเราเจอเรื่องที่ไม่ดีมากขึ้นเท่าไหร่ขอให้ศิษย์แค่คิดเป็น เอาใจของเราอยู่เหนือความคิดของเรา ขอให้แค่คิดเป็นแล้วศิษย์จะได้โอกาส แล้วศิษย์จะได้ตัวศิษย์ซึ่งเป็นคนใหม่เกิดขึ้นมาในคนเดิม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมมากแค่ไหน ไม่ว่าถึงคราวต้องเสียชีวิต เจ็บป่วย ดับสูญ สูญสิ้น พรากจาก ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่รำคาญใจ หงุดหงิดใจ เบื่อหน่ายใจ ขอให้ศิษย์แค่คิดเป็นศิษย์ก็จะอยู่เป็น ทำได้ไหม (ทำได้) ความคิดของเราที่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความคิดของเราที่กระจัดกระจายฟุ้งซ่านออกไป ความคิดของเราที่หยุดไม่อยู่ ทำได้ไหม (ทำได้) ฉะนั้นความคิดของเราที่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความคิดที่กระจัดกระจายฟุ้งซ่านออกไป ความคิดที่หยุดไม่อยู่ เราต้องมาปรับเปลี่ยนใหม่ ต้องมารู้จักความคิดของตัวเองจริงหรือไม่ การคิดไปเรื่อยๆ ได้ประโยชน์ไหม มีประโยชน์อยู่เพียงนิดเดียว การคิดอย่างคนขี้อิจฉาตาร้อน คิดอย่างคนที่อยากได้ผลประโยชน์ มีความโลภ คิดอย่างเผลอสติ คิดอย่างไม่มีความตั้งใจ ไม่มีกำลังใจ ความคิดประเภทนี้หาประโยชน์ไม่ได้ เราจะต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น
เวลาเราส่องกระจกเราทำหน้าบึ้งโกรธใส่กระจกไหม เวลาที่เรามองกระจกบ่นตัวเองสักหน่อยดีไหม รู้สำนึกผิดต่อหน้ากระจกดีไหม จริงๆ แล้วทุกคนต่อให้หน้าตาเป็นเช่นไร เวลายิ้มแล้วสวยทุกคนจริงไหม ฟันหลอยิ้มก็สวยจริงหรือเปล่า ใส่แว่นก็สวย มองอย่างไรก็หล่อ เพราะฉะนั้นเราทำหน้าหล่อๆ  สวยๆ  เวลาเจอคนอื่นดีหรือเปล่า
สามีที่เคยเลือกเรามาเป็นภรรยาเพราะเขามองเราสวยที่สุดถูกไหม ถามว่าวันนี้เรายังสวยที่สุดหรือเปล่า เราก็ว่าเรายังสวยอยู่นะ แต่ว่าคนอื่นเห็นเราสวยไม่สวย เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรารู้เยอะเลยพูดเยอะใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นบางครั้งไม่รู้อะไรบ้างดีไหม (ดี) แล้วเวลาที่คนอื่นเขาไม่ให้เรารู้ เขาปิดเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องเลือกเอาแล้ว รู้เยอะก็ต้องพูดเยอะ อย่างนั้นเราไม่รู้เราจะได้ไม่พูด เวลาเราไปรู้ทีหลังเราอย่าบ่นดีไหม ก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะเขาห่วงเรา รักเรา ไม่อยากให้เรารู้ จริงหรือไม่ เพราะรู้แล้วมันระคายหู รู้แล้วมันรำคาญใจ
ฉะนั้นวันนี้ สิ่งที่ได้กลับไป อย่างแรกต้องรู้จักคิดให้ตก อย่างที่สองต้องบ่นให้น้อยลง ทำได้ไหม บ่นน้อยลงก็น่ารักมากขึ้นใช่หรือเปล่า มากกว่าครีมแพงๆ มากกว่าการทาหน้าทาปาก รอยยิ้มทำให้คนเป็นสาวขึ้นนะ บางคนบอกว่ายิ้มมากเดี๋ยวตีนกาขึ้น  แต่จริงๆ แล้วยิ้มมากๆ ทำให้คนดูสาวขึ้น เชื่อไหม ถ้าเชื่องั้นกลับไปยิ้มทุกวัน เจอสามีก็ยิ้มหน่อย เจอเพื่อนก็ยิ้มหน่อย เจอลูกกวนใจมาก็ยิ้มหน่อย เจอคู่อริคู่อาฆาต คู่แค้นมาก็ยิ้ม
วาสนาเกิดจากการสะสม จริงหรือเปล่า คนจะมีวาสนาด้วยการทำอะไร เรารู้สึกไหมว่าคนอื่นเขามีวาสนามากกว่าเรา บางคนเกิดมาสวยกว่าเราจริงไหม บางคนเกิดมารวยกว่าเรา บางคนเกิดมาโชคดีกว่าเรา บางคนเกิดมาก็มีพ่อแม่ดี แล้วเรามีพ่อแม่ไม่ดีจริงหรือเปล่า  (จริง) ไม่จริง อาจารย์พูดไปเรื่อยๆ ก็จริงไปเรื่อยๆ เหรอ การคิดอย่างนี้ทำให้เรานั้นเป็นคนที่เหนือคนไม่ได้ เราต้องมองโลกในแง่ดี ในแง่บวก เราจึงจะเหนือคนอื่นนะศิษย์ ถ้าหากเรามองในแง่ลบเราจะเหนือคนอื่นได้อย่างไร คนที่มีพลัง คนที่มีบารมี อำนาจ แม้ว่าอยู่ในยามที่ตกอับที่สุดก็ยังสามารถที่จะพลิกให้ตัวเองนั้นถีบตัวเองขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเขามีบารมีสูงส่งกว่า ไม่ใช่ดวงเขาดีกว่าเรา แต่เขาคิดเป็นมากกว่าเรา
กรรมในอดีตชาติทำให้เราลำบาก แต่วันนี้กำหนดอนาคต ในอดีตนั้นกำหนดศิษย์ ณ วันนี้เท่านั้น อนาคตนั้นอยู่ที่เรากำหนดตัวเองจริงหรือไม่ (จริง) อนาคตอยู่ที่เรา แม้ว่าวันนี้ตกอับ อับจน แม้ว่าวันนี้สิ้นไร้ไม้ตอก แม้ว่าวันนี้รู้สึกว่าภาวะที่ตนเองเป็นอยู่นั้นเป็นภาวะที่เหลืออดเหลือทนจริงๆ ถ้าหากวันนี้เราเริ่มได้ดีเราก็ก้าวไปในทางที่ดี ขอเพียงแต่อย่าตั้งลำตั้งต้นผิดที่
บางคนมาบำเพ็ญธรรมะใจก็คิดแต่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ขอๆๆๆ อันโน้นก็ต้องดี อันนี้ก็ต้องดี อันนั้นก็ต้องได้ แต่ว่าไม่ยอมสร้างเอง ไม่ยอมคิดให้เป็น เวลาที่ศิษย์เลี้ยงลูก ศิษย์จะโอ๋เขาทุกอย่างไหม (ไม่) แล้วคิดว่าจะให้อาจารย์โอ๋ศิษย์ทุกอย่างไหม (ไม่)
วาสนาเกิดด้วยการสละเป็น อยากมีวาสนาใช่ไหม อาจารย์ให้แต่วิธีนะคือ สละเป็นสละปุ๊บได้ปั๊บเลยหรือเปล่า (ไม่) สละปุ๊บก็อย่าคิดว่าตนเองก็จะต้องได้ปั๊บ ทำบุญสิบบาทแล้วก็คิดว่าขอให้ถูกหวยสักตัว
คนในโลกนี้ทุกคนรวยหรือไม่ (ไม่รวย) ธรรมดาคนในโลกนี้ไม่ได้รวยทุกคนใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นศิษย์ก็เป็นคนปกติธรรมดาแล้ว เพราะว่าเราก็ไม่ได้รวยเท่าไรใช่หรือไม่ ไม่รวยนี่สิดี คนไม่รวยบำเพ็ญธรรมะได้ดี ส่วนคนรวยเวลาบำเพ็ญธรรมะมักจะคิดถึงหน้าตาหรือคิดถึงผลที่จะได้มา เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นคนจนเราก็จะไม่ได้คิดว่าเราทำไปแล้วจะต้องได้หน้าถูกไหม เพราะเรามักจะคิดว่าเราทำน้อยไม่มีหน้าตาหรอกจริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์จะบอกให้ ศิษย์นั้นไม่มีหน้าตาก็จะทำให้ลดกิเลสไปได้หนึ่งอย่าง ลดอุปสรรคภายในจิตใจไปได้อีกหนึ่งอย่าง เพราะฉะนั้นผลแห่งกุศลก็จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งกว่า เทียบกับคนทีทำบุญก็คิดอธิษฐานขอมากมาย กลับไม่ใช่กุศลนะ กลับออกมาเป็นบุญ บุญซึ่งตอบแทนในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นคนทำบุญกับคนสร้างกุศลจึงต่างกัน คนทำแล้วได้บุญเพราะเขาอยากจะได้รับการตอบแทน เขาก็จะได้รับเป็นบุญ วันหลังก็จะตอบแทน แต่คนที่ทำแล้วจิตใจบริสุทธิ์สะอาด เขาก็จะได้วาสนา ฉะนั้นทุกวันนี้เมื่อศิษย์ทำบุญแล้วศิษย์ได้อะไร แล้วแต่ศิษย์จะเลือกนะ
ชีวิตนี้ทำอะไรช้าๆ ได้หรือเปล่า หุงข้าวตั้งแต่ 6 โมง 7 โมง ไปกินข้าวบ่ายสองได้ บางอย่างต้องทันเวลา บางอย่างก็ทิ้งเวลาการบำเพ็ญธรรมการฝึกใจนั้น ต้องใช้เวลาหรือเปล่า การบำเพ็ญธรรม ต้องใช้เวลาอย่างยิ่ง แต่ว่าถ้าเราไม่ให้เวลาได้หรือเปล่า
คนมองว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญ เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากชีวิตประจำวัน แยกการบำเพ็ญธรรมออกจากชีวิต การที่เป็นคนดีก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร ให้ชีวิตอยู่รอดก่อน เงินทองก็เป็นเรื่องสำคัญมาก นี่เป็นความคิดของคนสมัยนี้
ถามว่าชีวิตนั้นอยู่ได้ด้วยตัวเองจริงหรือไม่ วันนี้ศิษย์อยากทำให้ชีวิตตายไปทำได้หรือเปล่า ทำได้ไหม เราอยากให้ชีวิตนี้ตายไปทันทีก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่เรามีชีวิต เราเบื่อชีวิต แล้วอยากไปให้พ้นความเบื่อ เราจึงต้องเป็นคนที่มีความใจเย็นมากกว่านี้ เราจึงต้องใช้สติกับชีวิตนี้ให้มากขึ้น
ถ้าหากว่าเรายังมีความโลภ เราก็แสดงความโง่ของเราออกมาเสมอๆ ความโลภนั้นผู้บำเพ็ญมองว่าเป็นความทุกข์แต่มนุษย์มองว่าเป็นความสุข ผู้มีปัญญาจึงมองเห็นว่า ควรที่จะหนีเสีย การที่จะมีเยอะๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่นิ่งไม่ได้ เพราะว่าที่เรามีอยู่นั้นมันน้อยเกินไป จริงหรือไม่ มีสถานธรรมก็อยากมีสถานธรรมใหญ่ๆ เยอะๆ มีคนรับธรรมะ ก็อยากมีคนเยอะๆ ถามว่านี้เป็นกิเลสหรือเปล่า กิเลสทางโลก อยากมีเงินเยอะๆ กิเลสทางธรรมก็มีเช่นเดียวกัน คนเรามีกิเลสเพราะยึดติดที่รูปธรรม รูปธรรม แปลว่า สิ่งที่มีรูป ก็ย่อมทำให้คนนั้นเห็นว่ามีปริมาณมากขึ้น แต่หากว่าเป็น นามธรรม ล่ะ ความดีเรามีเยอะๆ ไหม แต่ความดีเป็นนามธรรม ไม่สามารถที่จะมองเห็นหรือวัดปริมาณได้ หากเรามีจิตใจที่ดีแม้ทำความดีนิดหนึ่งแต่ความดีนั้นยิ่งใหญ่ แต่หากว่าเรานั้นทำลงไป แต่ใจของเรานั้นไม่บริสุทธิ์แม้ทำลงไปเยอะมาก แต่ก็เป็นเพียงความดีน้อยนิด
ความดีเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่งแบ่งปันยิ่งเพิ่มขึ้น ฉะนั้นวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ ความดีที่มีอยู่บอกว่าเราต้องได้ความดีคนดี ได้อานิสงส์นี้คนเดียว เรายิ่งคิดหวงมากเท่าไหร่ ความดีก็ยิ่งน้อยลง แต่ถ้าหากว่าแม้ว่าเราจะทำออกมากับมือ เช่น เรือลำนี้เราลงทุนสร้างเอง แต่เราบอกคนโน้น คนนั้นช่วยกันสร้าง ความดีของเรานั้นกระจายออกไป และ ความดีที่เราก็ไม่ได้ลดลง
ในวันนี้เรามีธรรมะเอากลับไปใช้ที่บ้านได้หรือเปล่า วันนี้ถ้าหาก
ว่าเราทำความดีอย่างหนึ่ง อยากให้เจ้านายเห็น คนที่บ้านเห็น แต่ว่าทำเท่าไหร่ๆ คนที่บ้านยังไม่เห็น ทำเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่ชม ก็ต้องกลับมามองตัวเองว่า เราเคยชมคนอื่นหรือเปล่า
ภัยภายนอกไม่สู้ภัยภายใน





เวลาเราชมคนทีดอกพิกุลเกือบร่วงใช่ไหม เราเป็นคนที่ปากหนักชมคนอื่นยาก ถ้าอยากให้คนอื่นชมเรานั้นง่ายหรือเปล่า เราอยากจะได้อะไรต้องหันมามองตัวเองให้มาก ถ้าเราอยากจะได้สิ่งที่ดีต้องส่งสิ่งที่ดีออกไป
ทุกวันนี้จุกจิกรำคาญใจมากมายทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรให้ความทุกข์อันนี้หมดไป อยากจะหายหรือเปล่า (อยาก) อยากหายต้องมาเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าอยากหายจู้จี้จุกจิกรำคาญใจต้องเปลี่ยนอะไรที่ตัวเอง (อย่าไปยินดียินร้าย) ถ้าหากว่ามีภรรยาเดินมาบ่นแล้วเราบอกว่าเราไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ทำตัวประหนึ่งเป็นพระอิฐพระปูนอยู่ตรงนั้น เกิดอะไรขึ้น บ้านแตกไหม  ถ้าหากว่าเรากำลังบ่นแต่คนตรงข้ามทำเป็น ไม่ยินดียินร้ายบ้านแตกหรือเปล่า (แตก)
อย่างหนึ่งที่คนไม่ควรทำเวลาที่โดนบ่นคือนั่งเฉย เวลาดูทีวีจะนั่งเฉยๆ ก็ได้ เวลาทำงานเหนื่อยหน่อยอยากนั่งเฉยๆ ก็ได้ แต่เวลาโดนบ่นห้ามนั่งเฉยๆ เป็นอันขาด ขอให้พยักหน้า แสดงการฟังหรือเห็นด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่เราโดนบ่นห้ามหัวเราะผิดเวลาอย่างยิ่ง หัวเราะ หึๆ ๆ ได้ไหม (ไม่ได้) ที่สำคัญที่สุด เวลาโดนบ่นห้ามเถียงเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จำเป็นต้องเก็บทุกคำพูดของผู้อื่นไปคิด
อาจารย์บอกแล้วเราอาจจะอ่านหนังสือไม่คล่อง เราอาจจะอ่านหนังสือไม่เป็น เราอาจจะไม่ฉลาด แต่หากว่าเราฟังผู้อื่นมากๆ เราจะทั้งฉลาดทั้งรอบรู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มีคำพูดของคนสองประเภทที่ศิษย์ต้องฟัง  หนึ่งคือผู้มีปัญญา สองคือผู้มีประสบการณ์  ผู้มีปัญญานั้นมีมากมายอยู่ในโลกนี้ ยิ่งในภาวะวิกฤต ยิ่งในภาวะตกยาก ผู้มีปัญญายิ่งมาก เพราะผู้มีปัญญาย่อมออกมาในยามที่คับขันเสมอ แต่คนนั้นก็ย่อมเป็นคนอยู่วันยังค่ำ เห็นผู้มีปัญญานั้นเหมือนไม่เห็น
เราจะยกยอผู้อื่นนั้นไม่เคยทำด้วยความจริงใจ เพราะฉะนั้นการที่เราจะนับถือใครเป็นผู้มีปัญญานั้นเป็นเรื่องยากมาก ยิ่งถ้าใครมีผู้มีปัญญามาเกิดในบ้านแล้ว เรายิ่งไม่เห็นเลย เพราะว่าถูกสายตาอันหมองมัวของเรานั้นบดบัง อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์มองว่า ผู้มีปัญญานั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ทุกที่ อยู่รอบๆ ตัวศิษย์ ตั้งใจฟังเขาศิษย์จะได้สิ่งที่ดีกลับมา
สองผู้มีประสบการณ์ ศิษย์นั้นเกี่ยงไม่ได้ เพราะผู้มีประสบการณ์นั้นมีอยู่มากมาย คนที่เคยทำงานชิ้นนี้มาก่อนเรา คนที่มีอายุมากกว่าเรานั้นย่อมเป็นผู้มีประสบการณ์มากกว่าเราจริงหรือไม่ คนที่รู้มากกว่าเราย่อมเป็นผู้มีประสบการณ์มากกว่าเราจริงหรือไม่ (จริง)
แต่ความรู้ในโลกนี้คืออะไร คนรู้มาก อ่านมาก ฟังมากก็คิดว่าตนนั้นมีความรู้ แต่ความรู้ที่แท้จริงคืออะไร คือการเข้าใจตามข้อเท็จจริงนั้นๆ เรียกว่าผู้มีความรู้ ผู้มีความรู้ที่เลิศประเสริฐคือผู้ที่สามารถนำความรู้นั้นไปแก้สิ่งต่างๆ แล้วหากเราสามารถแก้ปัญหาได้ เป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา แต่หน้าตานั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ เพราะว่าหน้าตานั้นมาภายหลัง เรานั้นสามารถที่จะเข้าใจตัวเอง เอาชนะตัวเอง และแก้ปัญหาได้ ฉะนั้นผู้ที่มีความรู้มีปัญญาจึงไม่เป็นผู้ที่มีความทะนงตนใดๆ ทั้งสิ้น  ในวันนี้เราก็ไม่มีความทะนงตนอยู่แล้ว แต่ที่เราไม่มีความทะนงตนเพราะเรานั้นวิตกกังวลและหวาดกลัว ฉะนั้นความไม่อวดทะนงตนของเราและความไม่อวดทะนงตนของผู้มีปัญญาต่างกัน ความไม่อวดทะนงตนของเรานั้นเพราะเรายังรู้ไม่จริง เราจึงไม่ทะนงและเมื่อใดที่เรากลายเป็นผู้ที่รู้มากขึ้น ต้องตรวจทานตัวเองว่าเรานั้นเป็นผู้ที่ทะนงตนหรือเปล่า
วันนี้หากศิษย์ของอาจารย์เริ่มมีคนติเตียนว่าลับหลัง อย่าไปโกรธเขาที่ว่าลับหลัง เราต้องหันมาพิจารณาตัวเองให้มาก วันนี้หากมีคนเริ่มไม่ชอบขี้หน้าเราแล้ว เราต้องหันมาดูตัวเองให้มากว่าเรานั้นน่าคบหาสมาคมหรือไม่ บางทีความผิดทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งคนอื่นทำผิดต่อเรานั้น เพราะว่าเราทำผิด การคิดอย่างนี้ไม่ใช่การโจมตีตัวเองแต่เป็นการแก้ไขให้ตัวเองนั้นดีขึ้น
ไม่มีวันไหนที่ศิษย์นั้นไม่ผิด แต่การที่ผิดนั้นก็ไม่ใช่ความผิดปกติใดๆ ความผิดที่เกิดอยู่ทุกวันนั้น เพราะว่าศิษย์นั้นใช้ชีวิตทุกวัน ศิษย์ไม่ได้อยู่เฉย ทำผิดมามากมาย แต่เราต้องเห็นความผิดตัวเองแล้วต้องแก้ไขตัวเองให้ได้ จึงจะสามารถเป็นคนที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ เราเป็นคนดีแล้ว แต่เรายังเป็นคนดีมากกว่านี้ได้อีก จริงหรือเปล่า (จริง)
เวลาที่เจอเรื่องน่าคร่ำเครียดแต่ใจของเรานั้นอิสระเสรีเราจึงยิ้มออกมาด้วยความไม่มีความทุกข์ แต่อย่าไปยิ้มต่อหน้าคนอื่นจะกลายเป็นช้ำเติมคนอื่นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็แค่อมยิ้ม เวลาที่มีเรื่องแก้ไม่ตกมีปัญหาปลงไม่ตก แต่หากว่าเราคิดได้ แล้วเรายิ้มออกมา รอยยิ้มแบบนี้น่าปิติที่สุด อย่ากลัวว่าเป็นคนบ้า เพราะคนบ้าในโลกนี้มีไม่กี่คนใช่หรือไม่ เราจะเป็นคนที่มีอยู่ไม่กี่คนในโลกนี้
คนเราไม่ต้องเก่งในทุกๆ เรื่อง แต่เราต้องเก่งในบางเรื่อง ใช่หรือเปล่า (ใช่) โลกนี้มีผู้ชำนาญ ชำนาญแปลว่าเก่งในเรื่องนั้นๆ จนได้ชื่อว่าชำนาญ อย่างเช่นล้างจานสะอาด อย่างเช่นนักวิชาการในด้านต่างๆ ที่ทำงานในแต่ละแขนง ส่วนเราก็สามารถหาความชำนาญได้เช่นเดียวกัน ทุกๆ คนอาจมีความชำนาญแต่ศิษย์นั้นน่าจะเป็นผู้ชำนาญในการบำเพ็ญที่สุด เพราะการบำเพ็ญนั้นไม่ต้องลงทุนใดๆ จริงหรือไม่ (จริง) ต้นทุนก็คือหัวใจ การออกแรงก็คือการแก้ไขตัวเอง และการคิดพิจารณาก็คือที่ปรึกษาของตัวเอง ทุกๆ อย่างล้วนอยู่ภายในทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
           หากสามารถแก้ไขตัวเองได้ เราจะมีความสมบูรณ์มาแต่ภายใน ความสมบูรณ์ที่มีอยู่แล้วและได้รับการฟื้นฟูเท่านั้นเอง ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีความสมบูรณ์อยู่แล้วหรือไม่ (มี) ทุกคนมีความสมบูรณ์อยู่แล้วเพียงแต่ทุกคนนั้นสามารถที่จะมองเห็นความสมบูรณ์อันนี้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง
         ฉะนั้นเวลาที่มาสถานธรรมศึกษาธรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ฟังธรรมบางเรื่องก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่ารู้อยู่แล้วแต่เรายังไม่ได้ทำ จริงหรือไม่ (จริง) ยากก็ตรงที่นำไปปฏิบัติไม่ใช่ยากตรงที่เรามานั่งฟัง แต่การฟังธรรมนั้นมีข้อดีอย่างยิ่ง คนที่มาบำเพ็ญธรรมแม้กระทั่งบำเพ็ญไปสามปี ห้าปี สิบปีก็แล้วแต่ หากว่าห่างไกลการฟังธรรมจะทำให้ตัวเองนั้นเป็นคนที่ท้อง่าย จะทำให้ตัวเองนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองนั้นเห็นหรือเป็นอยู่ ฉะนั้นการฟังธรรมนั้นจึงไว้สำหรับให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้น ละ เลิก ความเบื่อหน่ายในการบำเพ็ญธรรม
          บางคนนั้นบอกว่าไม่มีเวลามาฟังธรรมแต่เวลาประชุมธรรมก็มา อาจารย์บอกได้เลยว่าพบอาจารย์สองชั่วโมงแม้ว่าศิษย์จะรู้สึกดีแต่การฟังธรรมจากมนุษย์ด้วยกันนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากหรืออาจจะดีกว่า ขอให้ศิษย์นั้นมีความอดทนในการฟังธรรมทุกคนไม่มีเวลาอย่างไรก็ขอให้เจียดเวลากลับมาฟังธรรม ฟังในสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่แล้วดีกว่าเรานั้นอยู่เฉยๆ ที่บ้านแล้วบอกว่าเรารู้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทครอบ) 
การใช้ชีวิตของคนนั้น คนมีชีวิตแต่ใช้ชีวิตไม่เป็น คนเป็นเจ้าของชีวิตแต่ไม่ดูแลชีวิตตัวเอง ฉะนั้นเวลาที่เราอยู่จะสักแต่อยู่ไม่ได้ เราจะต้องบำรุงเลี้ยงร่างกายนี้ให้สมบูรณ์ด้วย ถ้าเมื่อใดที่ร่างกายไม่สมบูรณ์อารมณ์ของเราก็จะขุ่นมัวทันที สังเกตว่าคนที่เป็นโรคคนที่ป่วยนั้นมักจะมีอารมณ์ที่ขุ่นมัวโดยไม่มีสาเหตุ แล้วอารมณ์ที่ขุ่นนี้ทำให้คนอื่นยิ่งตีตัวจากเราไปไกลง่ายๆ จริงหรือเปล่า
คนที่ป่วยนั้น มักจะมีอารมณ์ที่ขุ่นมัว โดยไม่มีสาเหตุ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วอารมณ์ที่ขุ่นมัวนี้ ก็จะทำให้คนอื่นยิ่งจากเราไปไกลยิ่งขึ้น จริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นเราไม่ใช่แค่จะใช้ชีวิต เรายังต้องบำรุงเลี้ยงร่างกายนี้ อย่าปล่อยให้เป็นโรคแล้วค่อยมาดูแล เราต้องดูแลร่างกายก่อนที่จะเป็นโรค จริงหรือไม่ (จริง) หากเรามีวิธีการตรวจสอบตัวเอง ลองบีบๆ ดูว่าตรงไหนขัด ตรงไหนยอก ตรงไหนไม่ดีแล้ว ก็แสดงว่าร่างกายของเราไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่การสะบัดมือทุกๆ วัน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แล้ว อย่าได้มองข้าม อย่าบอกว่าเราถูบ้านทุกวันแล้ว ไม่ต้องสะบัดหรอก แค่ถูบ้านก็จะแย่แล้ว แต่อาจารย์จะบอกให้ การทำอะไรท่าเดิมนานๆ ท่านั้นจะเป็นท่าที่ก่อโรค เพราะฉะนั้นต้องไม่หยุดที่จะเคลื่อนไหวร่างกายนี้ ไม่ว่ามือหรือเท้า ที่สำคัญที่สุดคือหัวใจศิษย์นั่นแหละ หัวใจของเรานั้นถ้าหากมีอารมณ์บ่อยๆ หัวใจก็จะก่อเกิดโรคมากมายที่หาสาเหตุได้ยากยิ่ง เพราะว่าอารมณ์ ความโกรธ ความเครียดนั้น ทำให้เกิดโรคที่รักษาได้ยาก แม้การแพทย์ในปัจจุบันนั้นก็ยังรักษาได้ไม่หมดไม่สิ้น คือเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เพราะเราเป็นโรคแล้ว แต่จริงๆ แล้วเกิดจากจิตใจ จิตใจที่ไม่สะอาด จิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ก็ย่อมที่จะเกิดโรคได้ง่ายกว่าจิตใจที่สะอาด อยากเป็นโรคไหม (ไม่อยาก) ทางเข้าของโรคคือปาก ทางออกของภัยก็คือการพูด เวลาทำอะไรก็แล้วแต่ ให้ดูหน้าดูหลัง ให้ระวัง จะพูดจะทำอะไรก็ต้องระวัง จะลุกนั่งหรือยืนขึ้นก็ต้องระวัง ต้องมีท่าทีมีจังหวะจะโคน แม้ว่าเร็วก็ต้องเร็วอย่างมีจังหวะไม่ใช่เร็วไปเรื่อยๆ มิเช่นนั้นเดินไป ขาก็อาจพลิกได้ นั่งๆ อยู่ก็ยังทรุดได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นคนบำเพ็ญธรรมยิ่งคนที่ทานเจแล้ว จำเป็นต้องดูแลร่างกายตนเองให้ดีมากยิ่งขึ้น ต้องออกกำลังกายให้มาก ต้องรู้จักการควบคุมจิตใจและอารมณ์ ควบคุมความคิดของตัวเอง สิ่งที่พูดนั้นบ่งบอกถึงตัวเรา สิ่งที่เราทำนั้นคือคุณค่าของตัวเรา ถ้าเราทำสิ่งใดที่ดี ก็ย่อมเป็นคนที่มีคุณค่า หากทำสิ่งใดที่หาแก่นสารไม่ได้ก็เป็นคนไร้สาระหรือชอบพูดเพ้อเจ้อ เราก็เป็นคนที่หาสาระไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
คนใต้เป็นคนที่หน้าคมเข้มใช่ไหม (ใช่) ต้องรู้จักพูด ในเมื่อเราเป็นคนหน้าคมเข้ม เราต้องหัดที่จะยิ้มบ่อยๆ เพื่อเป็นการผูกมิตร คำพูดต้องพูดให้ดีๆ แต่ไม่ใช่ตอนต้นพูดดี พอสุดท้ายเริ่มมีอารมณ์ เริ่มพูดหยาบคายแล้ว อย่างนี้ถือว่าการพูดมาทั้งหมดล้มเหลว หรือไม่ (ล้มเหลว) การพูดนั้นจะต้องคงเส้นคงวา เราต้องแสดงความสุภาพออกมาในด้านการพูด สุภาพด้วยการกระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราเป็นผู้สุภาพ เราจึงได้ชื่อว่าเป็นสุภาพชน ถูกหรือเปล่า (ถูก) ตอนนี้ภาคใต้ความรุนแรงเกิดไปทั่ว แต่ยิ่งความรุนแรงมีมากขึ้นเท่าไหร่ ผู้กล้าก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง) เราอยากสร้างความสงบและสันติ เราก็ต้องระวังการพูดและการกระทำของเรา ดูว่าตัวเองนั้นอยู่ภายใต้สถานการณ์ไหน ขอให้ปรับตัวไปตามนั้น ดีหรือไม่ (ดี) การศึกษาธรรมก็เช่นเดียวกัน
ในสังคมของคนดี ศิษย์ทั้งหลายเป็นคนดี แต่แค่มีคนที่มีความคิดร้ายอยู่เพียงคนเดียวที่ตั้งใจมาป่วน ศิษย์ทั้งหมดก็แย่แล้ว จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นวันนี้ที่ศิษย์เจอคือภัยภายนอก ภัยภายนอกยังพอรับได้ แต่ศิษย์ทั้งหลายอย่าทะเลาะกัน อย่างนี้เรียกว่าภัยภายใน จะรับมือยากมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันเพียงหนึ่งครั้ง อาจไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยคำพูดที่ดีๆ แม้ร้อยคำก็ยังซื้อใจคนกลับมาไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจึงเป็นการหาโอกาสที่จะสามัคคีกัน แม้ว่าสิ่งที่เกิดยากที่จะรับมือ ก็ยังจำเป็นต้องหาทางที่จะรับมือกับปากและใจของตัวเองให้ได้ เมื่อเราทำอะไรหรือแสดงอะไรออกไปต้องมีความจริงใจ ถ้าหากว่าสิ่งที่เราทำออกไปไม่ดี ไม่งาม คนอื่นรับไม่ได้ เราก็จะเป็นคนที่ไม่สามารถดูแลคนอื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้ขี้ลืมกว่าคนแก่อีกจริงไหม (จริง) แต่คนแก่ก็ความจำดีไปหน่อย อะไรกลุ้มๆ ก็ยิ่งจำจริงหรือเปล่า (จริง) เรื่องกลุ้มๆ ต้องพยายามที่จะลืมไปบ้าง ส่วนเรื่องน่าจำก็ต้องจำใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเด็กอย่าพูดว่าลืม ถ้าลืมมากๆ แล้วภาษาสมัยใหม่เขาเรียกกันว่าสมาธิสั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สมาธิสั้นก็แปลว่าไม่มีสมาธิใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นเด็กแล้วก็ต้องความจำดีๆ เป็นคนแก่ก็ต้องหัดลืมเรื่องที่กลุ้มๆ ไปบ้าง ไม่ใช่ว่าเก็บไว้หมด เพราะถ้าเก็บไว้หมดแล้วหัวใจก็จะเป็นถังขยะใช่หรือเปล่า (ใช่) อะไรที่คนอื่นเขาอยากจะลืมแต่เรากลับเก็บมาจำ ไม่ใช่เก็บไว้หมด เก็บไว้หมดหัวใจเป็นอะไร (ทุกข์) หัวใจเป็นถังขยะ คนอื่นเขาอยากลืม เราเก็บมาจำ
มีอยู่คำถามหนึ่งอาจารย์ยังไม่ได้คำตอบจากศิษย์เลย ว่า ถ้าไม่อยากเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกกวนใจ ต้องเปลี่ยนอะไร (แก้นิสัย,อารมณ์,ความคิด) แม้จะบอกว่าถ้าหากบำเพ็ญธรรมแล้วจะเบางานทางโลกไปบ้างแต่ อันที่จริงแล้วเวลาที่ศิษย์นั้นอยู่ทางโลก ศิษย์นั้นมีเวลากับเรื่องไร้สาระใช่หรือเปล่า ใช้เวลาคิดเป็นวันวันเลย งานที่ทำออกมานั้นจริงๆ มีน้อย เวลากลุ้มใจมีเยอะ เวลาทำมาหากินมีน้อย อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์นั้นรู้จักเจียดเวลา กลุ้มใจให้น้อยลง ว่างให้มากขึ้นแล้วใช้เวลาเหล่านี้มาฟังธรรมะดีหรือเปล่า(ดี) ถ้าดูตามนี้แล้วศิษย์จะเสียเวลาไหม ไม่เสียเวลานะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นบทเพลง)
คนภาคใต้นี้ชอบฟังธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่าลืมเอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย ธรรมะในทุกข้อสามารถใช้ในชีวิตประจำวันของตนได้ คนอื่นอาจจะพูดเรื่องความโลภในอีกแบบหนึ่ง แต่ความโลภที่เหมาะสมกับเราก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ธรรมะนั้นสามารถปรับเปลี่ยน ธรรมะนั้นเปรียบเสมือนน้ำที่ชำระความสกปรกที่อยู่ในจิตใจ หากใจเรามีมุมใดที่สกปรกน้ำก็จะเข้าไปชำระในซอกมุมนั้น
ภาคใต้คนชอบฟังธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าลืมเอาธรรมไปใช้กับชีวิตประจำวันด้วย ธรรมในทุกข้อสามารถที่จะใช้กับชีวิตประจำวันของตนได้ คนอื่นอาจจะพูดเรื่องความโลภอีกแบบหนึ่งแต่ความโลภที่เหมาะสมกับเราก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ธรรมนั้นสามารถปรับเปลี่ยน ธรรมเหมือนน้ำชำระความสกปรกที่อยู่ในจิตใจ น้ำที่เข้าไปชำระหากใจเรามีมุมใดเหลี่ยมใดก็เข้าไปชำระล้างจิตใจในซอกมุมนั้น ฉะนั้นทุกคนถ้าเอาธรรมไปใช้จิตใจย่อมสะอาดได้ บริสุทธิ์ได้ และความบริสุทธิ์นี้ก็มีมาแต่เดิม เป็นความสมบูรณ์ที่มีอยู่ภายในอยู่แล้ว
          ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่มีเวลาบำเพ็ญธรรม ไม่มีเวลาฟังธรรม ไม่มีเวลามาช่วยงานสถานธรรม ธรรมนั้นอยู่กับเราทุกที่ทุกเวลาเพียงแต่เรานั้นรู้จักที่จะย้อนมองส่องตนย้อนมองเมื่อใดก็เห็นธรรมเมื่อนั้น เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
          อาจารย์หวังว่าศิษย์คนที่เดินอยู่ข้างหน้า รับธรรมบำเพ็ญธรรมก่อนคนอื่น รู้มากกว่าคนอื่นก็ต้องเดินมากกว่าคนอื่น อย่าบอกว่าเราเป็นอาวุโสโดยที่เรานั้นไม่เคยทำอะไร มีแค่วัน เดือน ปี ที่ผ่านไปแล้วทำให้เราเป็นอาวุโสแค่เฉพาะเวลาเท่านั้นไม่ได้ เราจำเป็นที่จะต้องเป็นอาวุโสด้วยการปฏิบัติให้คนอื่นเห็นยิ่งได้ชื่อว่าเป็นอาวุโสยิ่งต้องทำตนเป็นแบบอย่าง
           คำว่าอาวุโสนั้นจริงๆ แล้วเป็นคำที่น่าจะกดดันใจหลายๆ คนเพื่อที่จะควบคุมตัวเองให้มากขึ้น แต่หากว่าเรานั้นถอยหลัง มีคนตำหนิติเตียนว่ากล่าวเราบ่อยแสดงว่าเรานั้นยังทำได้ไม่ดี แต่ที่อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ใช่ให้ศิษย์สนใจคำพูดคนอื่น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นทบทวนแล้วก็ย้อนมองส่องตนแก้ไขตนเองให้มาก เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
          คนบุญทางใต้มีมากแล้วก็เป็นคนบุญมากๆ ในขณะเดียวกันเมื่อคนบุญมีมากภัยก็มีมาก ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่มีการเผยแพร่ปฏิบัติงานธรรมจึงจำเป็นที่จะต้องระวังตัวให้มาก เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) อย่าบอกว่าเราบริสุทธิ์ใจ เราบริสุทธิ์ใจอยู่ท่ามกลางคนที่เราไม่รู้ใจ ไม่รู้หน้า ไม่รู้เขาคิดอะไรเราจำเป็นที่จะต้องระวังมาก แต่หากว่าสิ่งนั้นดีถ้วนพร้อมไม่ว่าศิษย์จะอยู่กับใครอาจารย์ก็วางใจ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท)
การร้องเพลงเป็นเรื่องของการฝึกฝน เพลงนี่ค่อนข้างยากเพราะว่า ทำนองค่อนข้างไม่ค่อยชัดเจน  แต่ว่าเหมือนกับศิษย์ของอาจารย์ที่นี่  ที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นฝึกฝนร้องเพลงบ่อยๆ ตอนนี้ก็นำร้องเพลงได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เป็น ฝึกฝนแล้วก็เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบอกว่าไม่เป็น ไม่ฝึก ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าบำเพ็ญธรรม ไม่ฝึกก็ย่อมไม่ได้ ใครฝึกก็ใครได้ ใครไม่ฝึก เราจะไปสนใจไหม คนอื่นไม่ฝึกก็ไม่ได้ เราไม่ฝึกเราก็ไม่ได้เอง เพราะฉะนั้น
เวลาเห็นคนอื่นไม่ยอมทำงานขัดหูขัดตาเหลือเกิน เห็นคนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขัดหูขัดตาเหลือเกิน อาจารย์บอกให้ ใครทำใครได้ ยิ่งบ่นมากก็สร้างวจีกรรมมาก  กรรมล้างยากแต่บ่นระงับได้ เพราะฉะนั้นอย่าว่าคนอื่นมาก เวลาพูดเมื่อตอนเริ่มแรกเราพูดดีๆ พูดไปพูดมาพูดแย่ขึ้นเรื่อยๆ อย่ายิ่งพูดยิ่งแรง ขอให้ยิ่งพูดยิ่งสามารถโน้มน้าวให้ผู้อื่นคล้อยตามได้คำพูดรุนแรงไม่สามารถโน้มน้าวใครให้คล้อยตามได้สักคนเดียว
เหมือนกับวันนี้อาจารย์มาหาศิษย์ อาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์นั้นเป็นอย่างไร แต่การว่าศิษย์ให้เสียๆ หายๆ หรือบอกว่าศิษย์ผิดอย่างนั้นอย่างนี้ ศิษย์อยากฟังไหม ไม่มีใครอยากฟัง เพราะฉะนั้นการที่จะโน้มน้าวคนอื่นจะต้องใช้วาจาที่นุ่มนวล จึงเหมาะสมสำหรับผู้บำเพ็ญธรรม การใช้วาจาที่รุนแรงดุเดือดจะไม่เหมาะสมกับผู้บำเพ็ญธรรม
ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นคนเก่า การที่จะเข้าใจธรรมะมากขึ้น มีโอกาสต้องมาฟังถ้าหากว่ามาฟังธรรมะแล้วจิตใจผ่องใส ปลอดโปร่ง และเบา การฟังธรรมะจำเป็นต้องให้โอกาสตัวเองมาฟังธรรมะมากขึ้น ก็ย่อมเข้าใจได้มากขึ้น ถ้าเรายืนอยู่เฉยๆ  คนอื่นจะเดินแซงหน้าเราไป เรายิ่งอยู่เฉยๆ คนที่แซงหน้าก็ยิ่งมีมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องหัดที่จะต้องพัฒนาตัวเอง และพยายามที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็สามารถที่จะสอบถามได้ การที่เราเป็นคนเก่าคงไม่ใช่เก่าแบบลายครามตั้งไว้เฉยๆ แต่ขอให้เราเก่าอย่างมีคุณค่าคือเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น เป็นสิ่งที่คนอื่นนั้นสามารถที่จะเลียนแบบได้ จึงจะมีคุณค่ามากกว่า
ศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่นอกจากโชคดีแล้ว ยังเป็นคนที่มีโอกาส เป็นคนโชคดีคือเกิดมาครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้พิการ ยังมีโอกาสที่จะพ้นจากความทุกข์ไป ศิษย์อยากได้ไหม ทุกวันนี้มีทุกข์อยู่ก็แย่อยู่แล้ว ไม่เข้าใจชีวิตอยู่ บำเพ็ญแล้วก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ แต่ถ้าหากเราพยายามที่จะเข้าใจธรรมะ เราจะยิ่งเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น มองเห็นความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ให้ศิษย์จำไว้ทุกวันนี้มีข้าวกิน มีน้ำดื่ม อย่าพะวงเรื่องความสุข และความทุกข์ ทำได้อย่างนี้ ปล่อยวางมากขึ้น ทำได้ไหม    เห็นไหมว่าการที่อาจารย์แจกผลไม้หรือลูกอมแบบนี้ก็ไม่ทั่วถึงศิษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นเวลามาสถานธรรม เวลาที่ผู้อื่นเขาดูแลเราขาดตกบกพร่องไปบ้าง อย่าเคืองใจ
วันนี้ก็หลายชั่วโมงแล้ว อาจารย์ก็มีแต่ความรักและความปรารถนาดี
(พระอาจารย์เมตตาแจกลูกอมให้แก่นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ที่อาจารย์พูดมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น ศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้มีอยู่อย่างหนึ่งที่ต้องพบทุกวัน ไม่จำเพาะคนที่อยู่ภาคใต้คือภัยภายใน คนที่ใจคอโลเลไม่หนักแน่น พอเจอภัยอันเกิดจากคนทำก็ดี ภัยธรรมชาติก็ดี ภัยอันเกิดจากความไม่สมหวัง ความผิดหวัง อันเกิดจากสัจธรรมชีวิตต่างๆ ทำให้ศิษย์รู้สึกผิดหวัง ศิษย์ก็นิ่งไป ที่นิ่งไปไม่ใช่เพราะว่าศิษย์ทำใจได้ แต่ศิษย์นิ่งไปเพราะด้วยความผิดหวังและปลงไม่ตก อาการภายนอกดูแล้วเหมือนคนปลงตกคิดได้ แต่จริงๆ แล้วยังคิดไม่ได้ อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ระวังภัยภายในของตนเอง เพราะว่าภัยภายนอกเวลาที่ศิษย์ออกนอกบ้านศิษย์จึงจะพบ แต่ภัยภายในต่อให้ศิษย์อยู่ในห้องนอนภัยภายในก็ทำร้ายศิษย์ได้ทุกที่ ยิ่งอยู่คนเดียว ยิ่งคิดอย่างคนที่คิดไม่เป็น ยิ่งเหงา ยิ่งท้อ ภัยภายในก็จะยิ่งทำร้ายศิษย์อย่างคาดไม่ถึง และทำลายศิษย์ทั้งชีวิตอย่างเลือดเย็น ฉะนั้นวันนี้ที่อาจารย์มาที่นี่ก็อยากให้ศิษย์ต่อสู้กับตนเอง ภัยภายนอกนั้นเป็นเคราะห์กรรมรวม ที่ศิษย์เคยสร้างมาซึ่งกันและกัน ทำไมศิษย์จึงเกิดมาเป็นคนใต้ ทำไมบ้านของศิษย์จึงอยู่แถวๆ ที่เขาก่อการร้าย  ทำไมบางคนชั่วชีวิตถึงไม่โชคร้าย แต่ทำไมศิษย์ถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะโชคร้ายสักแค่ไหน อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เพื่อจะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า คนจะหมดกรรมได้ต้องชำระกรรม ไม่ใช่วิ่งหนีกรรม อยู่ร่วมกับมันและชนะมันได้ตรงที่ชนะความทุกข์ยากลำบากนั้นเอง
เกิดเป็นคน สู้ชีวิตหน่อยนะ ธรรมะเป็นตัวนำชีวิต อย่าบอกว่าวันนี้ขอพัก พูดคำนี้ไม่ได้นะ เมื่อไหร่ศิษย์พัก เมื่อนั้นกรรมจะเพิ่มทันที จนศิษย์อาจจะเดินงานธรรมะไม่ได้ ศิษย์รู้ไหมว่าเราเผชิญอะไรอยู่ ทำงานธรรมะที่ภาคใต้ต้องรู้จักใช้ปัญญาพลิกแพลง เวลาที่คนอื่นแรงมา เราต้องรู้จักเบา ต้องใช้ปัญญาในการพลิกแพลงและมีกำลังใจที่ดี วันนี้เรื่องราวเป็นอย่างนี้ เราบอกว่าทำไมไม่เปลี่ยน วันหนึ่งพอเหตุการณ์เปลี่ยน ศิษย์รับไม่ทันเลย อย่าบอกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่ดี การเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี
วันนี้แม้ความอาลัยอาวรณ์ของอาจารย์หรือคำพูดมากมายก็ไม่สามารถที่จะพูดกับศิษย์ แต่อาจารย์ขอให้ศิษย์ใช้ชีวิตให้เป็น ขอบิณฑบาตความทุกข์ ความกลัดกลุ้มกลัดหนอง ความแค้นเคืองในใจของศิษย์นั้นไปด้วย วันนี้อาจารย์สัมผัสมือกับศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ศิษย์นั้นรู้สึกอบอุ่นใจได้บ้างว่าอาจารย์นั้นสัมผัสศิษย์อยู่ เพราะว่าหลังจากวันนี้แม้แต่อาจารย์ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ศิษย์ทำ ต่อให้จะพูดจนเสียงแหบแห้ง ศิษย์ก็คงไม่ได้ยิน แท้จริงอาจารย์ไม่เคยอยากจะมายืมร่างแบบนี้ เพื่อให้ศิษย์ทั้งหลายนั้นติดในรูปลักษณ์ที่เป็นอยู่ แต่จำใจเหลือเกิน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ ศิษย์ของอาจารย์ก็ตื่นยากเหลือเกิน มีคนชอบพูดบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดคำเดียว ศิษย์ฟังทุกอย่าง อาจารย์อยากบอกว่าทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างศิษย์นั้น เขาก็เป็นผู้ที่มีความเมตตา มีความห่วงใยในตัวศิษย์ ศิษย์อย่าเจตนาร้ายมองเขาไม่ดี ทุกคนที่อยู่รอบข้างศิษย์นั้นก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น คนย่อมเป็นผีหรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ทุกเมื่อ ฉะนั้นในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ถ้าบำเพ็ญได้ดี ก็ไม่ต่างกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ได้หวังให้คนชม ไม่ได้หวังให้คนเอาใจ ฉะนั้นเมื่อมีคนว่ากล่าวตักเตือนเรา ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี พ่อแม่ บรรพชน ปู่ ย่า ตา ยาย เขาไม่มีร่างกาย ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เตือนศิษย์ แต่ศิษย์นั้นไม่ได้ยิน ฉะนั้นวันนี้คนที่อยู่รอบข้างตัวเรานั้นจงรักษาไว้ให้ดี ถนอมน้ำใจกันให้มาก บางทีศิษย์ทะเลาะกันด้วยเรื่องขัดเคืองกันเพียงนิดเดียว อาจารย์อยากจะบอกว่ามันนิดเดียว ทำไมไม่ให้อภัย ใช้ชีวิตให้เป็นนะ อยู่ให้เป็น จึงจะมีความสุขได้ ความสุขนั้นปะปนอยู่ในความทุกข์ ทำที่สุดแห่งทุกข์ อยู่กับทุกข์ให้พอ แล้วศิษย์จะเป็นสุขขึ้นมาเอง อย่าไปหาความสุขที่เป็นความสุขล้วนๆ มันไม่มีในโลก
ระวังตัวให้ดี ระวังใจตัวเองให้ดีด้วย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
ไม่เข้าใจว่ารู้เท่าทัน  ทำไมเสียใจ  หากว่าเอาเหตุผลมาเป็นใหญ่ ทุกข์ใจซะเอง
จงให้คำถาม เป็นแค่คำถาม พอพ้นก็เข้าใจ   อาจปล่อยใจคิดแต่อย่าเพียรไข รู้สึกผ่อนคลายข้างใน
เซื่องซึมวันนี้พรุ่งนี้จะอยู่สภาพใด  เข้าใจความแพ้พลาดพลั้งเปลี่ยนบทเรียนให้ใจ  อย่าใคร่รู้มากเกินหรือคิดมากไป  อย่าติดในวังวนเรื่องเดิมได้ทุกวัน
ต้องหัดยอมรับที่แท้ทุกข์อยู่จึงแย่ไป  ต้องคอยตามรู้ที่รู้สึกอะไรข้างใน ฉลาดไม่อยู่สุขทึกทักวุ่นวาย  เมื่อขับไล่หัวใจโลภไปมองเรื่องเดิม
ต่างไปคอยหยิบยกเหตุผลของตนเอง ไม่ได้ฟังเสียงใคร คนใกล้ตัวคาดหวังซะยกใหญ่ ช้ำใจซะเอง
ชื่อเพลง : ข้างใน          ทำนองเพลง : ไม่มีใครรู้










[*]วิมุติ หมายถึง หลุดพ้น ความพ้นจากกิเลส
[†] หมายถึง  พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ที่ทรงตั้งมหาปณิธานฉุดช่วยวิญญาณในนรกภูมิให้หมดสิ้น
[‡]หมายถึง ความกำหนัดยินดีในกามารมณ์ , ความใคร่ในกามคุ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา