西元二00六年 歲次丙戌四月十五日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันศุกร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
โลกวัตถุพาคนหลงตลอดเวลา อันดวงตาแห่งธรรมเลยไม่สุกใส
จงเห็นค่าในวันนี้ขยับใกล้ ธรรมะใช้ปฏิบัติจึงเดินถูกทาง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ธรรมดาคนหลักแหลมช่างสังเกต จะรู้เหตุมองอะไรไม่ผิวเผิน
แต่ไม่อาจทนความไม่ชอบที่เผชิญ ทุกก้าวเดินเจ็บลึกอยู่ในจิตใจ
คนจึงมีความทุกข์ง่ายความสุขยาก ความลำบากยิ่งเกลียดจะยิ่งได้
ย้อนมองตนเห็นสัจธรรมจึงเข้าใจ ทำเรื่องง่ายเป็นเรื่องยากยิ่งเศร้าตรม
ลาภยศฐาได้มาอย่างผู้โหยหิว ดั่งเมฆปลิวตามลมฉุดไม่อยู่
พิจารณาในสิ่งที่ตนสู้ ใช้ธรรมคู่พาชีวิตพิชิตทาง
อย่าได้เป็นคนหลงกระพี้แล้วลืมแก่น จงเลาะเปลือกถึงแก่นเห็นสัจจะ
ทุกทุกวันมากมายหลายภาระ ในท่ามกลางต้องชนะใจตนเอง
ยุคสามโปรดทั่วกว้างสู่สามัญชน จงอดทนบำเพ็ญจิตให้สะอาด
กายวาจาและใจอย่าประมาท ดูให้ขาดโลกีย์นี้ไม่ถาวร
ในวันนี้น้องฟังธรรมชำระจิต คุมความคิดของตนให้อยู่นิ่ง
ระหว่างกิเลสและบำเพ็ญจงเลือกทิ้ง เป็นคนจริงรู้ยามข้ามอุปสรรค
สามวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
หัวข้อธรรมทุกข้อจงใส่ใจ ศรัทธาในสิ่งที่ฟังสุขเมื่อยิน
ลำพังกฎไม่อาจนั่งกลางใจคน จริยธรรมนำสู่ผลสมบูรณ์ได้
ทุกสิ่งที่ปฏิบัติต้องเข้าใจ จึงยั่งยืนไม่หน่ายยามลำเค็ญ
จิตสงสัยจิตเคลือบแคลงจิตลังเล จงทุ่มเทศึกษาเพื่อรู้จริงกว่า
น้องเมธีในที่นี้ไม่ธรรมดา อันชีวามีค่าอย่าทำเล่นไป
ขึ้นมาจากทะเลทุกข์เถิดน้องท่าน เขาวัวนั้นมีน้อยแต่อาศัยเพียร
จงฝึกหัดและเปลี่ยนในท่ามกลางเปลี่ยน ให้ความเพียรนำทางไม่ผิดไป
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป น้องทุกท่านจงตั้งใจให้สมกัน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันศุกร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช
๒๕๔๙ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน
กรุงเทพฯ
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
เอาเปรียบแม้คนใกล้ตัวไม่น่าปลื้ม เรื่องหยิบยืมพาเสียมิตรนานมา
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง (大笑佛童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะทุกท่าน จะอยู่ครบสามวันไหม
เรียนธรรมะไม่เรียนคิดต่างกัน รูปการณ์หวั่นต้องถูกบังคับให้
ฝ่ายบำเพ็ญทุกข์เร่งต้องตัดใจ ลำดับเรื่องสำคัญขวนขวายไม่หลงทาง
สมองอันเปรื่องของคนรู้จักใช้ จากภายในใจอันใสสว่าง
ต้องบำเพ็ญแข็งขันและเป็นกลาง คนต้องให้ทุกข์สร้างจึงฉลาด
ชีวิตถือไม่ปล่อยพลอยยึดยื้อ ยามไหนถือจำกัดตนทนจำกัด
วิริยะมั่นเหนือโลกด้วยปัญญาชัด
การพันพัวผูกขาดญาณซึมเซา
เพราะสำราญฤทัยขอฝันต่อไป เพราะครัดเคร่งความวุ่นวายได้อับเฉา
พิเคราะห์ชัดลงไปวุ่นปัญหาเก่า จงค้นตนเฉพาะเราคุณอนันต์
แสวงผู้รู้จริงพบในตน ศึกษาตนบำเพ็ญตนรู้มุ่งมั่น
ใจคนล้วนหุนหันต้องฝึกนาน เป็นคงมั่นไม่มีความงมงาย
เป็นผู้รู้กาลรู้ซึ่งมารยาท รู้จักจัดอาการดูเก็บอารมณ์ไว้
สงัดฉายง่ายเรียบอยู่ภายใน บำเพ็ญยึดเป้าหมายต้องอดทน
ฟันฝ่าแฝงชัดความตั้งใจแรง ทุกข์ปลาสนาการ
๑[๑]ว่างแจ้งฝ่าลมฝน
แม้ปลงต้องนานหนักแน่นกมล ฟังเตือนไม่ไร้ผลประเสริฐดี
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
คนบางคนก็ยังหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เจอเลย
ไม่ต้องหาข้างนอกก็ได้ หาข้างในตัวเองดีกว่าไหม
คนเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งถ้าพูดได้แล้วทำได้
คนนั้นก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่คนในโลกนี้ส่วนใหญ่พูดได้แต่ทำไม่ได้ หรือทำได้แต่ไม่ทำ คิดว่าฉันเก่งฉันดีอย่างนั้นอย่างนี้
แต่พอถึงเวลาก็ทำไม่ได้ เอาแค่เรื่องง่ายๆ
เลยนะ เราเรียนรู้ธรรมะเรื่องความอดทน แล้วเราเคยใช้ความอดทนจริงๆ
จังๆ หรือยัง หากวันนี้เราเรียนรู้แล้วเราได้ปฏิบัติ เราก็จะรู้ซึ้งถึงคำว่า “อดทน”
มันลำบากแค่ไหน แล้ววันนี้ใครรู้ซึ้งคำว่า “อดทน”
แล้วบ้าง พยายามนั่งทนฟังต่อไป ใช่ไหม (ใช่) รู้สึกว่านั่งฟังตรงนี้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนรู้ว่าเกิดเป็นคนต้องมีความอดทน
แต่ใช้ตอนไหนล่ะ
ลองดูว่าความอดทนในชีวิตเรายาวที่สุดกี่วัน คนบางคนลงทะเบียนมาแค่วันนี้
บางคนลงทะเบียนมาสามวันแต่ถอดใจเหลือพรุ่งนี้ไม่มาแล้วมาวันนี้วันเดียว ใช่ไหม
ฉะนั้นอยากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องพูดได้ทำได้
แต่ถ้าอยากเป็นมนุษย์ธรรมดา หรือแย่ยิ่งกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐก็คือ
พูดได้แต่ทำไม่ได้
ฉะนั้นอย่าลืมว่าการอยู่บนโลกนี้
ไม่ใช่มีค่าแค่เพียงดำรงชีวิตแล้วมีสุขไปวันๆ แต่เชื่อไหมว่าการตัดสินใจของเราบางอย่างก็วัดความเป็นคนของเราได้ ว่าเรามีค่าความเป็นคนถึงคำว่า “ประเสริฐ”
หรือแค่มนุษย์ธรรมดาสามัญ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเคยได้ยินไหมว่า ในโลกนี้จะไม่มีคำว่า “อดทน” เลย ถ้าเราเป็นคนที่รู้จักควบคุมใจตัวเองเป็น
จริงไหม (จริง) ถ้าเราอยู่บนโลกนี้เราควบคุมคนเป็นหมื่นเป็นพันได้
แต่ใจตัวเองนิดเดียวไม่เคยคุมมันได้สักที เคยไหม ลูกน้องมีกี่คนฉันเอาอยู่
หนักแค่ไหนฉันก็เอามันไหว แต่ตัวเองนี่สิ สุดท้ายก็แพ้ทุกที
ตอนนี้ยังไม่ต้องคิดหรอกว่าจริงหรือเท็จ
แต่เรามาลองคุยกันดูก่อน ดีไหม (ดี)
เพราะท่านก็รู้อยู่ว่าคนในโลกรู้หน้าไม่รู้ใจ
บางทีรู้ใจแล้วก็ยังไม่สามารถรู้ก้นบึ้งของหัวใจเขาเลย ฉะนั้นเอาอะไรมาวัดกันล่ะ
ว่าคนไหนจริงคนไหนเท็จ คนไหนดีคนไหนไม่ดี บทเรียนที่เราเคยเจอมา
ก็ไม่ใช่ว่าจะวัดทุกๆ คนได้เสมอไป จริงไหม (จริง)
ฉะนั้น คุยกับเราไม่ต้องเครียด แถมอาจจะได้เล่นด้วย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาวาดรูปผลไม้โดยให้นักเรียนในชั้นเลือกว่าจะเอารูปไหน)





บางทีเราอยู่ในโลก
บางคนก็มองว่าเป็นเรื่องยาก เรื่องง่าย ความทุกข์ ความสุข
แต่เคยได้ยินความงามที่แตกต่างไหม (เคย) บางครั้งเราอยู่ในโลกมีแต่คนที่เก่งทั้งนั้น
เราเลยกลายเป็นคนไม่เก่ง เราจะทำอย่างไร จะมัวแต่จมอยู่กับความเศร้า
หรือว่าเรารู้จักมองคนที่พอๆ กับเรา หรือคนที่ต่ำกว่าเรา ก็จะสามารถฉุดใจเราขึ้นมาได้
แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้น
หมายความว่าบางครั้งถ้าเราอยู่ในหมู่คนเก่งเราอย่าซึมเศร้า เราจงเป็นคนที่ไม่เก่ง
แต่น่ารักแล้วก็น่าเอ็นดู บางคนพยายามเท่าไรก็ไม่เก่งอย่างเขา
มัวแต่ซึมเศร้าแล้วคิดว่าไม่เอาแล้ว ชีวิตนี้แพ้จริงๆ เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราไม่สร้างความงามที่แตกต่างล่ะ
เช่นเราคิดว่า เราขาวอย่างเขาไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่จะดำอย่างมีคุณค่า ตาสองชั้นไม่ได้
ก็ตาตี่ชั้นเดียวอย่างน่ารัก ฉะนั้น มนุษย์เราวุ่นวายกับความทุกข์
ความสุขในโลกก็เพราะว่าเรากังวลกับสิ่งรอบข้างมากจนเกินไป
จนลืมคุณค่าที่ตัวเองก็มีดีอยู่ในหัวใจ ใช่ไหม (ใช่)
แล้วเราเคยไหมที่ยอมเป็นคนต่ำเตี้ยแล้วทำให้คนอื่นสูงเด่นได้ คนในโลกนี้พยายามแต่จะต้องสูงเข้าไว้ เพื่อที่จะให้ตัวเองเด่น




เคยลองทำตัวเองเป็นเหมือนเงาะที่อยู่ในกลุ่มมังคุดบ้างไหม
ทำให้คนอื่นรู้สึกภูมิใจที่ได้อยู่กับเรา เคยไหม (ไม่เคย)
เราเคยแต่ทำให้ตัวเองสูงส่งแล้วให้เขายกย่อง เคยไหมที่จะทำให้ตัวเองต่ำเตี้ย แล้วเขาสูงส่งและมีค่า
ลองกลับไปทำสิไม่ยาก เช่น ลองเดินไปหาแม่แล้วบอกว่า “หนูสอบได้คะแนนไม่ดีเลย
แม่ไม่โกรธนะ แม่อย่าว่าหนูนะ” แม่ทุกคนจะปลอบลูกใช่ไหม (ใช่)
เมื่อแม่ปลอบแล้วเราลองหันกลับไปพูดว่า “ขอบคุณนะแม่ที่พูดอย่างนี้กับหนู
หนูรักแม่จัง” แม่รู้สึกปลื้มมากกว่าลูกสอบได้ที่หนึ่งอีกจริงไหม
(จริง) ทุกวันถ้าเราเดินมาพูดว่า “แม่หนูมาแล้ว” “หนูกลับแล้ว” แต่ถ้าเปลี่ยนใหม่วันไหนเดินมา กอดและหอมแม่ทีนึงแล้วบอกว่า “แม่น่ารักที่สุด” เราเคยไหม
เราอยากบอกว่ามนุษย์มีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในตัวทุกคน
ลองเอาสิ่งที่ดีที่สุดของเราให้คนอื่นเขาไป ให้ด้วยความจริงใจ
ให้เพราะเขาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
แล้วเชื่อไหมว่าท่านจะฉุดสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเขาให้ขึ้นมาด้วยพร้อมๆ กัน
แล้วบอกเขาว่าไม่ต้องให้เราตอบมาหรอก แต่ให้เอาไปให้คนอื่นต่อ
แล้วเราจะรู้สึกว่าโลกนี้มีแต่คนที่น่ารักอยู่ร่วมกันใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ
บางครั้งทำให้เพื่อนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเรา บางครั้งยอมเป็นคนด้อยค่าบ้าง
ได้ไหม (ได้)
อย่างเช่นเดินไปพูดกับเพื่อนว่า “แกนี่มันเก่งจริงๆ เลยนะ ฉันเลียนแบบแกไม่ได้เลย” เขาก็จะภูมิใจ
ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยู่ที่ตัวเรา
เราจะให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขาอย่างไร
แล้วจะทำให้เขาเกิดสิ่งที่ดีที่สุดขึ้นมาได้ไหม ฉะนั้นโลกนี้ไม่ว่าจะยากดีมีจน
ขออย่าได้ลืมคุณค่าของความเป็นคน แม้ว่าจะสูงส่งแค่ไหนก็ไม่ดูถูกคนต่ำต้อย
จึงจะเป็นคนรวยที่มีคุณค่า แม้จะยากจนขนาดไหนก็ไม่เปลี่ยนแปลงความเป็นคนของตน
คนนี้ก็จะเป็นคนจนที่น่ารัก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอยู่ที่ตัวท่านแล้วนะ
อยากจะทำให้ตรงนี้เป็นความแตกต่างที่มีคุณค่าอย่างไร อย่างเช่น ใจเรารู้สึกไม่ชอบ
แต่เราลองฝืนสักนิดสิ อาจจะมีดีขึ้นมาก็ได้
เราตามใจตัวเองมามากแล้ววันนี้ลองขัดใจสักนิด คงไม่เจ็บมากหรอกนะ ขัดแล้วเราอาจจะเห็นมุมมองที่แตกต่างก็ได้
หรือเห็นความดีงามที่เราไม่เคยเห็นว่าตัวเรามีก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)
“ปากกับใจไม่ตรงกันอยู่กันยาก” เราเกลียดคนในโลกที่ประเภท
ปากพูดดี แต่แอบลับหลังก็นินทา ใช่ไหม (ใช่)
คนแบบไหนอีกที่เราอยู่ด้วยกัน แล้วเราไม่ชอบ (คนเห็นแก่ตัว) เราทำเหนื่อยแทบตาย ก็ไม่ยอมช่วยเรา
ข้าวก็ไม่ต้องทำ จานก็ไม่ต้องล้าง นั่งกินแล้วยังบ่นอีก ใช่ไหม (ใช่)
“งานลำบากไม่ช่วยกันคนก็ลืม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักพูดบ่อยๆ นะ
แต่ไม่รู้ว่าพวกท่านได้ยินไหมว่า ในโลกนี้ถ้าวันไหนเราสบาย วันนั้นต้องมีคนลำบาก จริงไหม
(จริง) วันไหนที่เราสบาย
วันนั้นต้องมีคนที่ลำบากที่สุด แล้วเราเคยเปลี่ยนเป็นเราลำบากเพื่อให้คนอื่นสบายบ้างไหม
(ไม่เคย)
“เอาเปรียบแม้คนใกล้ตัวไม่น่าปลื้ม เรื่องเหยิบยืมพาเสียมิตรนานมา”
คนที่เราไม่ค่อยชอบก็คือคนเห็นแก่ตัว
คนที่เอาแต่ได้ คนที่เอาของเราไม่ยอมคืน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นลุกนั่ง
โดยให้นักเรียนทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ท่านพูด)
แต่ละคนผิดได้ไม่เกินหนึ่งครั้งนะ
ถ้าเป็นครั้งที่สองครั้งที่สามแล้ว บางทีก็ยากให้อภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้อย่าผิดบ่อยๆ ถ้าเกิดเรามีความสุขุมระมัดระวัง
ความผิดพลาดในชีวิตคงไม่เกิดแน่ ใช่หรือไม่ แต่เพราะอะไรนะ เราก็ระวังแล้วนะ
สุขุมก็สุขุมแล้วนะ แต่ก็ยังเผลอทำผิดอีก เราต้องรู้อยู่ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้
ไม่ว่าจะขึ้นไปสูงขนาดไหน ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาธรรมดาสามัญ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตเราแม้จะสุขขนาดไหนก็อย่าลืมความเป็นคนธรรมดานั่นแหละดีที่สุดแล้ว
แสวงไปจนสูงสุด ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทำไมต้องเหนื่อยโดยใช่เหตุด้วย บางครั้งพอใจอะไรง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่านิทานเรื่อง
นกน้อยในกรงทอง)
วันหนึ่งนกน้อยซึ่งเป็นนกที่ไม่อยู่ในกรง
บินมาด้วยความเหนื่อยจึงอยากหาที่พัก
แล้วก็ได้ไปเจอบ้านหลังหนึ่งซึ่งภายในบ้านนั้นมีนกที่เหมือนกันอยู่ตัวหนึ่ง
นกตัวนี้ก็บินไปเกาะที่ข้างหน้าต่างแล้วบ่นว่า เหนื่อยจังเลย นกน้อยในกรงก็บอกว่า
สู้ฉันก็ไม่ได้ มีความสุขมากๆ ไม่เห็นต้องเหนื่อยเลย นกน้อยที่บินมาเหนื่อยๆ
จึงถามว่า แล้วสุขของท่านเป็นอย่างไรล่ะ นกน้อยในกรงจึงบอกว่า
ความสุขของตนคือการที่ได้ร้องเพลงกับเจ้านาย เจ้านายร้องอย่างไร
ตนก็ร้องตามอย่างนั้น และตนก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอเจ้านาย เวลาหิวเดี๋ยวก็มีอาหารเม็ดกลมๆ มาให้กิน
เวลาง่วงก็ไม่ต้องกลัวอันตราย มีกรงให้อยู่อย่างสุขสบาย
นกน้อยที่เพิ่งบินมาจึงบอกว่า ถ้าเช่นนั้นตนจะขออยู่ด้วยสักหน่อยเพราะอยากรู้ว่ามันสุขจริงๆ
ไหม เมื่อเจ้าของนกกลับมาก็มาชวนเจ้านกน้อยในกรงพูดคุย
ซึ่งทำให้นกน้อยในกรงดีใจและมีความสุขมาก นกน้อยที่เพิ่งบินมาก็ได้เห็นว่า
อ๋อความสุขที่ว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง
สักพักเจ้านายของนกน้อยในกรงก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางแล้วบอกว่าตนจะไม่อยู่หลายวันนะ
เก็บอาหารตุนไว้เยอะๆ เอาไว้กินนะ อย่ากินทีเดียวหมด
แต่เจ้านกน้อยในกรงทองหาได้รู้ไม่ว่าเจ้านายพูดกับตนว่าอย่างไร
เมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนวันที่สี่วันที่ห้านกเริ่มห่อเหี่ยว
ผลสุดท้ายเจ้านกน้อยในกรงก็ตรอมใจตาย แล้วนกที่เพิ่งบินมาก็บินจากไปและคิดได้ว่าตนมีความสุขและสบายดีแล้ว
ชีวิตท่านเหมือนนกตัวไหน
คนบางคนบอกว่าความสุขของฉันคือการได้มีคนที่เรารักสักคนหนึ่ง
ได้อยู่กับฉันตลอดไปไม่จากไปไหน พอวันหนึ่งคนที่รักจากไป คนนั้นก็หมดความสุขทันที
ถ้าใครเป็นแบบนี้ก็ไม่ต่างจากนกที่อยู่ในกรง ใครเป็นคนที่เวลากินต้องนั่งร้านหรูๆ
ขับรถแพงๆ แต่งตัวดีๆ กินแล้วภูมิใจ เราก็ไม่ต่างจากนกที่อยู่ในกรงใช่ไหม (ใช่)
นกที่อิสระแท้จริงคือนกที่อะไรก็สุขได้ อะไรก็กินได้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
แต่ชีวิตมนุษย์เรามีกรงครอบทุกวันเลย สุขของฉันต้องเป็นคนคนนี้
สุขของฉันต้องมีเงิน มีตำแหน่งเท่านี้จริงไหม
พอมีอะไรที่แตกต่างเราก็รับตัวเองไม่ได้ แล้วก็ดำรงรักษาความเป็นอย่างนั้นไม่ได้
เราเลยไม่สามารถเป็นบุคคลที่งามอย่างแตกต่างได้เลยในโลก ต้องงามเหมือนๆ กันไปหมด
ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนเฝ้าใฝ่หาแล้วเติมไม่เต็มสักที มันใช่ความสุขแน่หรือ แท้จริงแล้วไม่ใช่ทุกข์หรอกหรือ
มันใช่ความอิสระเสรีแน่หรือ แท้จริงแล้วเรากำลังขังตัวเองอยู่ในกรงเวลาไปไหนมาไหน
มนุษย์ในที่นี้มีใจเป็นแบบใด
ลองคิดดูว่าถ้าเราเจอคนที่ช่างต่อว่า ช่างดูถูกเหยียดหยาม ใจเราจะเป็นแบบใดดี
ถ้าเจอคนที่โลเล เปลี่ยนแปลง เอาแน่เอานอนไม่ได้ เราจะเป็นใจอย่างไรดี
แล้วถ้าไปเจอคนที่เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เราจะทำใจอยู่บนโลกนี้อย่างไรดี
ใจมนุษย์ไม่ใช่ภาชนะที่ปั้นให้เป็นอะไรก็ได้ตายตัวอยู่อย่างนั้น
เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราไม่ใช่นกนะ นกหาความสุขด้วยตัวเองไม่ได้
แต่มนุษย์ประเสริฐกว่านก มีปัญญายิ่งกว่านก รู้จักหาความสุขด้วยตัวเองได้
แล้วเราควรจะมีใจแบบใดดีนะ (ต้องมีใจดี ใจงาม)
แต่เคยไหมบางทีดีแทบตายเขาก็ยังร้ายอยู่วันยังค่ำ (มีใจเป็นธรรม, มีใจเป็นกลาง,
มีใจที่ทำใจให้รับได้และรับกับความจริงที่ต้องพบเจอ)
มีใจเป็นธรรมกับใจเป็นกลางหรือ ถามจริงๆ ท่านพบคนที่เอาแต่ได้ท่านจะใจเป็นธรรมใจเป็นกลางอยู่ตลอดไหม
(ไม่) ใจต้องแตกทุกที
ใจต้องอดทนไม่ได้ทุกที ใจของมนุษย์ก็เหมือนท้องทะเลกว้างที่หาก้นบึ้งไม่เจอ
ใจของท่านบางครั้งก็เหมือนตู้เซฟ ตู้เซฟส่วนใหญ่จะเก็บทรัพย์สินมีค่าแต่ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้ในใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าท่านเจอคนแบบนี้ท่านจะฝึกใจเราเองอย่างไร
คนเราอยากสร้างสรรค์ให้ชีวิตตัวเองมีความสุขที่แตกต่าง เราต้องรู้จักวางใจตัวเองให้เป็น
และต้องเป็นอย่างถูกกับกาลแต่ละกาลด้วย ไม่ใช่บอกว่าเอาใจเป็นธรรม เอาใจอดทน
เอาความเมตตา สิ่งเหล่านี้เป็นตลอดไม่ได้นะ คนบางคนจะใช้ความเป็นธรรม
จะใช้จิตเมตตาได้ต่อเมื่อเขามีจิตสำนึก แต่คนบางคนทำดีแทบตายเขาก็ไม่เห็น
ถูกหรือเปล่า (ถูก) ท่านก็เห็นอยู่บ่อยๆ ยิ่งตามใจยิ่งเหลิง
พอยิ่งขัดใจยิ่งเอาใหญ่ ใช่หรือเปล่า ทำอย่างไรดีกับคนแบบนี้
ฉะนั้นเราต้องรู้จักวางใจตัวเองให้เป็น
วางอย่างไร (ปลง) ใช้คำว่าปลงกับคนประเภทไหน (ประเภทที่เห็นแก่ตัวเอง
เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว, มองตัวเองแบบเปิดใจกว้างๆ จะได้ยอมรับความแตกต่างได้จะได้ไม่ผิดหวัง
ถ้ามองคนอื่นดีหมดเราก็จะผิดหวังเพราะเราคาดไว้สูง) เขาเรียกว่าหวังได้แต่อย่ายึดมั่นในหวังอย่างตายตัว
นั่นแหละจึงเรียกว่าการดำรงใจอย่างกว้างได้แท้จริง ถ้ามีชีวิตไร้ความหวังก็หดหู่น่าดู
ฉะนั้นหวังไปเถอะ หวังได้แต่อย่ายึดมั่นอย่างตายตัวว่าฉันต้องสมหวังๆ
เพราะลูกทำให้เราไม่สมหวังหลายรอบหรือแม้แต่คนที่รัก มีสิ่งให้เลือกในชีวิตเสมอนะ
เหมือนตอนที่ท่านตัดสินใจจะดำเนินชีวิตกับคนที่อยู่ตรงหน้า
ดีที่สุดกับดีพอถูพอไถไป เราจะเป็นคนแบบไหน จะเอาอะไรไปต่อกรกับเขา
เอาอย่างดีที่สุด หรือว่าเอาอย่างพอถูพอไถ
แล้วเราจะเอาแบบไหนถ้าดีที่สุดไม่ได้ก็ต้องเอาแบบพอถูพอไถไปก่อน
ถ้าพอถูพอไถไม่สำเร็จลองเอาดีที่สุดไป ถ้าพอถูพอไถกับดีที่สุดก็ยังไม่ได้ ก็ปลงเสีย
แล้วทำใจ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นใจมนุษย์ไม่ใช่ภาชนะที่ถูกปั้นมาแล้วแบก็แบไปตลอดชีวิต
กลมแล้วก็กลมตลอดชีวิต ไม่ใช่นะ พบคนแบบนี้เราเป็นแบบไหน
พบคนอีกแบบหนึ่งเราจะทำแบบไหน พบคนที่ชอบต่อว่าต่อขาน จงทำตัวให้เหมือนดิน
ดินเน่าขนาดไหน สกปรกขนาดไหน ก็รู้จักกลั่นกรองสิ่งที่มีคุณค่ามาหล่อเลี้ยงต้นไม้
ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพบคนต่อว่า ฟังด้วยแล้วก็กรองสิ่งที่ดีมาใช้
ทำใจให้เหมือนดินหนักแน่นเข้าไว้ พบคนโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำใจให้เหมือนฟ้า
เห็นฟ้าไหม แล้วใครที่โลเล ก็มนุษย์นั่นแหละ วันนี้ฝนตกดีจังเลย อีกคนก็ด่าเอาๆ ตกทำไมๆ
ฉะนั้นต้องทำตัวให้เหมือนฟ้า พบคนที่เอาแต่ได้ เอาแต่ชนะฝ่ายเดียว
หรือเป็นคนแข็งกระด้างต้องรู้จักเป็นน้ำที่อ่อนโยน น้ำบางครั้งก็แรงกระแทกกระทั้น
บางครั้งก็นิ่มนวล บางครั้งก็ช่วยล้างสิ่งสกปรกให้ใสสะอาด
บางครั้งก็เป็นน้ำแข็งเย็นชื่นใจ ฉะนั้นเราต้องเป็นน้ำให้ถูกกับคน
เขาร้อนมาจงทำตัวให้เป็นน้ำแข็ง ใจเย็นเข้าไว้ ฉันเป็นน้ำแข็ง เจอคนที่แรงมาต้องทำตัวให้เป็นน้ำที่รู้จักลดเลี้ยวให้เป็น
ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นทุกขณะที่เรามีชีวิตไม่ใช่เดินเพื่อไปหาความสุข
แต่ทุกขณะที่มีชีวิตสามารถผลักดันให้เรารู้จักสุขที่แท้จริง และรู้จักชีวิตที่จริงแท้ด้วย ใช่หรือไม่
(ใช่) คิดด้วยนะ เขาบอกว่าฟังแต่ไม่คิด เดี๋ยวก็โง่
เอาแต่คิดแต่ไม่ฟังเดี๋ยวก็ (โง่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นแข่งร้องเพลงประสานเสียง)
การดำเนินชีวิตต้องมีช่วงจังหวะจะโคน
ใช่ไหม (ใช่) ปล่อยชีวิตให้เรียบๆ ง่ายๆ
มันก็รู้สึกไม่มีความสุข บางครั้งก็ต้องรู้จักจังหวะหนัก จังหวะเบา บางครั้งต้องรู้จักยืดหยุ่น
พลิกแพลง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเป็นคนที่ใจตายด้านนะ
จงเป็นคนที่ใจรู้จักยืดหยุ่น พลิกแพลง
ยิ้มบ้างก็ได้นะ มันยิ้มยากหรือ ราคายิ้มมันแพงมาก ใช่ไหม ท่านยิ้มกันยากเหลือเกิน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงชาติ) ช่วงนี้เราต้องรักชาติ ปลุกระดมความรักชาติ
เราไม่ได้เข้าข้างใครนะ จำไว้ว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วจะเป็นเพื่อนกันได้นานห้ามคุยเรื่องการเมือง
ฉะนั้นอยู่ในห้องพระห้ามคุยเรื่องการเมือง
ใครแอบยืน
คนเราต้องกล้า ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก ไม่อย่านั้นเรานำใครไม่ได้
ถ้าผิดแล้วเราให้อภัยตัวเอง แล้วเราจะไปสอนลูกได้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) เมื่อสักครู่ใครยืน ยอมรับมาเสียดีๆ
มีคนยอมรับ เรารู้เพลงชาติตอนแรกประเทศไทย ตอนสุดท้ายไชโย
แต่ตรงกลางเรารู้ว่ามีคนงึมงำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การทำอะไรหมู่มากส่วนใหญ่จะจับผิดยาก แล้วเราขอตัวแทนดีกว่าตัวแทนล่มก็ต้องล่มทั้งหมู่คณะ
ดีไหม (ดี)
“พิเคราะห์ชัดลงไปวุ่นปัญหาเก่า” สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ทุกที
หรือวุ่นวายเหนื่อยไม่สิ้นทุกที มีอะไรบ้าง
สิ่งใดที่เข้ามากระทบใจเราต้องเป็นทุกข์ทุกที
หรือเราต้องเหนื่อยไม่สิ้นสักทีมีอะไรบ้าง
(ความรัก) รักให้เป็นนะจะได้ไม่เจ็บปวด
(ปัญหาการเงิน)
มาทีไรปวดหัวทุกที นับหนึ่งไม่เคยถึงสิบ
เคยไหมมีเงินอยู่เก้าร้อยอีกหนึ่งร้อยให้ครบพันทำไมหายาก มีเจ็ดหมื่นแล้ว
แปดหมื่นแล้ว เก้าหมื่นแล้วอีกหนึ่งหมื่นก็ไม่ถึงแสนสักที
นับหนึ่งถึงสิบนับด้วยตัวเองง่าย แต่ถ้านับให้เป็นเงิน นับให้เป็นความอยากนับไม่จบนะ
ใช่ไหม (ใช่)
(ความเจ็บป่วย) เคยได้ยินไหมป่วยกายไม่สู้ป่วยใจ
ถ้ากายป่วยแต่ใจเข้มแข็งย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่
(ความกลัว) กลัวอะไรที่สุด อย่ากลัวนะ ถ้าคนเรายอมรับความจริงไม่มีอะไรน่ากลัว
(การสูญเสีย) ท่านเหมือนนิทานพระพุทธองค์สมัยก่อน
เขากลัวที่สุดคือการเสียลูก แต่ท่านรู้ไหมในโลกนี้ มีไหมที่จะไม่มีคำว่าพลัดพราก
(ไม่มี) ทำใจให้เข้มแข็งไว้นะ
เพราะโลกนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “สูญเสีย”
ทุกคนต้องรู้ ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราไม่เข้มแข็ง พอเจอเราจะรับไม่ได้
(ความโลภ, ความโกรธ,
ความผิดหวัง) ผิดหวังตัวเองบ่อยไหม หรือว่าผิดหวังคนอื่นทุกข์กว่า
อย่างที่เราบอกหวังได้แต่อย่ายึดมั่นในความหวัง
(ความอยาก) อยากมากๆ ก็ทำเราเจ็บปวด
ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรดี
(ความไม่ปรารถนา) แต่โลกนี้ เรามองโลกของเรา
เราเลือกด้านเดียวได้ไหม เหรียญยังมีสองด้าน คนยังมีสองลักษณะ ด้านหน้ากับด้านหลัง
ในชีวิตเราก็ต้องมีสองแบบ เราจะยึดด้านหนึ่งและไม่สนใจอีกด้านหนึ่งเป็นไปไม่ได้
(ความห่วงใย) ความห่วงใยเป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาด
แล้วเราจะทำอย่างไรดี ห่วงในสิ่งที่ควรห่วง สิ่งที่ห่วงมากเกินไปก็หยุดเสีย
เหมือนชีวิตของแต่ละคน เราควบคุมให้เขาเป็นไปตามเส้นที่เรากำหนดได้ไหม
(ไม่ได้)
เหมือนท่านอยากให้ลูกเป็นไปตามเส้นทางนี้
ท่านก็เหมือนกำลังทำให้เขาเป็นนกในกรงทอง
พอถึงเวลาเขาจะไม่เข้มแข็งและสู้ชีวิตไม่เป็น ฉะนั้นต้องยอมรับความจริง
ไม่ว่าเป็นแบบไหนก็รับเขาได้ นี่คือพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็น
ไม่ได้สอนให้ลูกต้องชนะฝ่ายเดียว แต่ต้องให้ลูกรู้จักแพ้เป็น
ไม่ได้สอนให้ลูกต้องเอาแต่ได้เป็น แต่ต้องเสียสละเป็น นี่จึงจะสามารถทำให้ลูกรู้จักเป็นคนอย่างไรถึงจะมีความน่ารักที่แตกต่าง
หรือธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเลย ใช่ไหม (ใช่) ในโลกนี้มีคนเก่งเยอะ
มีความรู้ความสามารถก็เยอะ แต่ในเก่งกับสามารถนั้น เอาใจคนเป็นไหม
ทำคนรอบข้างให้มีความสุขได้หรือเปล่า แล้วเคยคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเราไหม
เราสอนลูกเรียนเก่งได้ แต่เราสอนลูกให้เห็นใจคนไม่เป็น ถ้าเราไม่เริ่มต้นตัวเราก่อนนะ
จริงหรือไม่ (จริง)
(ความระแวงสงสัย) เหมือนตอนนี้กำลังระแวงเราใช่ไหม เขาว่ากันว่า “ในโลกนี้อยู่ร่วมกันระวังได้
แต่อย่าระแวง” เพราะความระแวงอยู่กับใครก็ไม่เป็นสุข
(ความประมาท,
ความไม่พอใจ) แล้วรู้จักพอไหม ถ้าคนเรารู้จักพอ
ไปนั่งที่ไหนก็มีความสุข แต่ถ้าเกิดคนไม่รู้จักพอ
เชื่อไหมนั่งเก้าอี้ตัวนี้ก็ทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)
(ทุกข์กับการครอบครอง)
ครอบครองน้อยหน่อยก็ทุกข์น้อยหน่อย แต่ก็ยังอดที่จะอยากไม่ได้ใช่หรือไม่
(ใช่)
(เจอคนใจร้าย)
เจอคนใจร้ายก็ทุกข์ทุกทีใช่หรือไม่ ก็ต้องทำใจให้เหมือนน้ำใช่หรือเปล่า
(กลัวอนาคต)
ท่านเคยได้ยินไหม “ชะตาแม้ฟ้าจะกำหนด
แต่ถ้ามนุษย์รู้จักไม่ยอมแพ้ต่อสภาพแวดล้อมของชะตา เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตด้วยน้ำมือเราได้”
จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอย่ายอมแพ้นะ
ชีวิตอยู่ในมือและหัวใจของเรา ถ้าเกิดว่าฟ้ากำหนดว่าเราต้องทุกข์ แต่เราจะฝ่าฟันจนหาความสุขเจอ ฟ้าจะทำอะไรเราได้
ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจงจำไว้นะ ถ้าปัจจุบันทำไม่ดีไม่มีอนาคตสำหรับคนๆ
นี้จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะเราอาจจะไม่มีพรุ่งนี้ก็ได้
ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปกังวลอนาคต
(ความไม่แน่นอน) ความไม่แน่นอนใช่ไหมที่เรากังวลที่สุด
แต่ถ้าเรายอมรับกับมัน ถึงแม้มันจะไม่แน่นอนเราก็สามารถทนไหว
(ความคิดถึง) ทำไมไม่คิดถึงแล้วเป็นสุข เขาจะเป็นอย่างไรเราก็พอใจแล้ว ดีกว่าไหม
อย่าคิดถึงแล้วครอบครองไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยใจนะ
(กลัวความพลัดพราก) ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ต้องพลัดพราก
ทุกคนต้องรู้จักคำว่าพลัดพรากทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ากลัวการสูญเสีย อย่ากลัวกับความจริง
(กลัวความผิด)
ยากนะเพราะบรรทัดฐานความผิดของแต่ละคนไม่เท่ากัน ใช่ไหม (ใช่) บางทีเราทำดีที่สุดแล้ว แต่คนบางคนก็ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ทำไมคนเราทำดีแล้วต้องโดนด่า) ท่านมองดูองค์พระ ปั้นสวยขนาดไหนคนยังติเลยจริงไหม
(จริง) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดีขนาดไหนคนยังติเตียนได้ ฉะนั้นนับประสาอะไรกับมนุษย์ โลกนี้มีชมได้ก็ด่าได้ ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วไม่ต้องกังวลใจนะ ฟ้ารู้ ไม่ต้องห่วง
(ความอด) ตราบใดยังมีสมอง มีขามีแขนไม่มีวันอด
คนเราถ้าเกิดไม่มีขาไม่มีแขน แต่จิตใจดีคนก็รัก ใช่หรือไม่ (ใช่) จะอดก็ต่อเมื่อเราทำตัวเองให้ไม่มีใครอยากสนใจ ฉะนั้นอย่ากลัวอด แต่ต้องหัวใจยังสู้ไหว
ใช่หรือไม่ (ใช่)
(กลัวการเวียนว่ายตายเกิด) ไม่รู้จะตอบอะไรหรือกลัวจริงๆ (กลัวจริงๆ)
ถ้ากลัวจริงๆ ก็ต้องรู้จักบำเพ็ญตนนะ หรือถ้ากลัวจริงๆ
ทำอะไรจะต้องรู้จักคิดให้อภัย
ไม่ผูกเวรผูกกรรมกับเขา ปล่อยได้ก็ปล่อย ยอมได้ก็ยอม ถ้าอยากไม่มีเวรมีกรรม ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด จงเป็นเหมือนลูกหนี้ที่มีแต่ให้ ที่มีแต่เสีย อย่าเป็นเจ้าหนี้ ถ้าเมื่อไรทำตัวเป็นเจ้าหนี้
ท่านต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้แน่ เชื่อไหม (เชื่อ)
เขาจึงบอกว่า “ยอมผู้อื่นบ่อยๆ
จะได้วาสนา เอาเปรียบผู้อื่นบ่อยๆ จะได้เวรกรรมติดตามมา” ถูกไหม
(ถูก) เอาของเขาบ่อยๆ
ใครบ้างไม่อยากร้องคืน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราอยากบำเพ็ญ แล้วไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด จำไว้มีเท่าไร ให้ไป
ยอมได้เท่าไร ยอมไป แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องกลับมาชดใช้กับเขาอีก
จึงต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกหนี้ ทำได้ยากหน่อยนะ ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าหนี้
ถามท่านตรงๆ ว่าในโลกนี้ ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ ใครน่ารักกว่ากัน (ลูกหนี้) แล้วใครตายน่ากลัวกว่ากัน (เจ้าหนี้) เจ้าหนี้ตายไม่ดีทั้งนั้นเลยนะ ใช่หรือไม่
(ใช่) ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ ยอมได้ก็ยอมนะ
ถือเสียว่าฉันติดหนี้เขาแล้วกัน ฉันอดทนไม่ด่าเขาแล้วกัน ฉันยอมเสียหน่อยแล้วกัน
ไม่เป็นไรที่เขาได้มากหน่อย
(ดับไปแล้วไม่อยากเกิด) ก็ตอบได้ดีนะ
ฉะนั้นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จงพยายามดับทุกสิ่ง พยายามอย่าให้มันเกิด
อะไรที่พอได้ให้พอ อะไรที่สมถะได้ให้สมถะ หยุดความอยากด้วยการรู้จักพอ
รู้จักให้อภัย แล้วเราก็จะไม่โกรธ เมื่อเราไม่สร้างการเกิดบ่อยๆ กับชีวิต
เมื่อเราดับก็จะดับได้จริงๆ ท่านต้องดับก่อนที่จะถึงเวลาดับ อะไรที่ดับได้
อะไรที่หยุดได้ เราจงหยุด
(ความลำบากยุ่งยาก
ไม่ว่าการดำรงชีวิตหรือการตัดสินใจ)
เราถึงบอกว่า การเป็นคนนั้นง่าย
แต่เป็นคนให้ได้ดีตามที่ทุกคนต้องการนั้นเป็นเรื่องยาก
ฉะนั้นเราต้องยอมรับความจริงว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาง่ายๆ หรอกนะ
(กิเลสในใจคน) เรามีชีวิตอยู่ ถ้าทำตามปัญญา สติ ความคิดที่ดี
ก็จะไม่ส่งผลที่ทำให้เราทุกข์ ถ้าทำตามอารมณ์ กิเลส ตัณหา
ความทุกข์ย่อมตามมาเป็นแน่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(กลัวการโมโหโทโส) ทุกข์สามอย่างที่มนุษย์มักจะเกิด
และมักทำให้เราเอาตัวไม่รอดทุกที นั่นคือ ความอยาก จนกลายเป็นความโลภ ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อมีความโลภ
มีความโกรธ แล้วก็มี (ความหลง)
เราอยากหยุดความโลภ ความโกรธ ความหลง เราต้องหาต้นเหตุก่อนว่า เพราะอะไรเราถึงโกรธ
เราต้องสาวไปให้ถึงต้นตอ ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นความโกรธ เราลองมองดูว่าเพราะอะไร
เริ่มแรก คือรับความแตกต่างของคนไม่ได้ รับความคาดไม่ถึงของคนไม่ได้ ใช่หรือไม่
(ใช่) พอรับไม่ได้บ่อยๆ ก็เริ่มไม่ชอบ
พอไม่ชอบบ่อยๆ ก็เริ่มไม่พอใจ พอไม่พอใจบ่อยๆ ก็กลายเป็นเกลียด พอเกลียดมากๆ
ก็กลายเป็นแค้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอยากหยุดความโกรธก็ต้องรับเรื่องราวต่างๆ ที่คาดไม่ถึงให้ได้
นี่คือหยุดตั้งแต่ต้นสายปลายเหตุของความโกรธ
หากต้องการหยุดความโลภ ต้องทำเช่นไร
น่าเสียดายนะที่ท่านเสียเวลามาทั้งวัน
แต่ไม่ได้อะไรเลย เราอยากจะให้ความคิดดีๆ การรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น
อย่ามานั่งให้เสียเวลาเปล่าเลยนะ ถ้าหากวันนี้นั่งตรงนี้แล้วยังสุขไม่เป็น
กลับบ้านแล้วจะทำให้คนอื่นมีความสุขได้หรือ ก็ไม่รอดหรอกนะ
เราอยากจะหยุด
ความโลภ ความอยาก เราต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
รู้จักพอดีในสิ่งที่ตัวเองได้ และต้องรู้จักยอมรับความธรรมดาสามัญ
ที่เราอยากไปเรื่อยๆ ก็เพราะว่าเรารับไม่ได้กับความไม่มีของเรา
ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความไม่มีแล้วเรามีสุขได้ เราก็จะไม่โลภจนเกินไป จริงหรือไม่
(จริง)
แล้วเราอยากหยุดความหลงได้อย่างไร
(มีสติ) รักอย่างมีสติแต่บางครั้งก็ทำให้เราตาบอดได้ จริงไหม (จริง) ก่อนที่เราจะหลงได้ ต้องเริ่มจากความรู้สึกชอบเล็กๆ
ก่อนใช่ไหม (ใช่) แล้วความชอบก็ค่อยๆ
พอกพูนเป็นความพอใจ แล้วความพอใจก็ค่อยๆ พอกพูนเป็นความรัก แล้วความรักค่อยๆ
พอกพูนเป็นความหลง ถ้ารักนั้นไม่รู้จักแยกแยะให้เป็นว่าควรรักอย่างไร
ฉะนั้นอยากจะรักหรืออยากจะหลง อยากจะรักแต่ไม่ให้กลายเป็นความหลง
เราต้องรู้จักว่าเขามีอะไรดี อะไรไม่ดี
เอาความไม่ดีของเขามาช่วยทอนความรักของเราไม่ให้กลายเป็นความหลง ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนเวลาเราอยู่ในนี้
อยู่ด้วยกันตรงนี้ ถ้าท่านสามารถคิดได้ มีความสุข
เวลาไปอยู่ข้างนอกแม้จะลำบากขนาดไหน เราก็วางใจท่านแล้ว ท่านคงคิดเป็น
ถ้านั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ท่านทนไม่ไหว เมื่อไรจะไปสักที เบื่อจะแย่แล้ว
ท่านก็อยู่บนโลกนี้ได้อย่างยากลำบากนะ ถ้าเรื่องเล็กๆ ยังอดทนไม่ได้ แล้วเรื่องใหญ่ๆ
จะรับมือไหวหรือ ทนกับคนๆ นี้คนเดียว ทนให้ได้สิ
ออกไปข้างนอกท่านจะเจอหนักยิ่งกว่าเรานะ ใช่ไหม (ใช่) ไม่มายิ้มอย่างนี้ด้วย
ด่ากราดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นลองมีความสุขเมื่ออยู่กับเราสิ
แล้วพอไปอยู่กับคนอื่นก็สุขให้เป็นยิ่งขึ้น
การศึกษาบำเพ็ญไม่ใช่มาให้ท่านเล่นหวย
งมงาย วันนี้เราไม่ได้สอนเรื่องนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ได้ให้หวยสักตัวใช่ไหม (ใช่) เราบอกให้ท่านเชื่อโดยที่ไม่มีเหตุผล หรือเปล่า
(ไม่) ล้วนพูดเป็นเหตุเป็นผล ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญ
ศึกษาเพื่ออะไร ศึกษาเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ไม่ใช่ศึกษาเพื่อกดตัวเองให้เหมือนเดิม
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้ฟังธรรมะต้องมีอะไรดีขึ้นมาหน่อยนะ
อย่าทำให้กระแสโลกทำให้เรายิ่งใจตกต่ำ แต่กระแสโลกผลักดันให้เรายิ่งสูงขึ้นสิ
เอาเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดมาสอนให้เราเป็นคนที่ดีที่สุด เอาเหตุการณ์ที่ดีที่สุดมาสอนให้เราเป็นคนไม่หลงตัวเอง
แค่นี้เอง ที่อยู่ในโลก ดีหรือไม่ดีอยู่ที่ตัวท่าน ไม่ใช่เรากำหนด
ฉะนั้นจงวางใจให้เป็น แล้วโลกนี้จะไม่มีอะไรที่ทำให้ใจเราต้องไปทุกข์จนลุกไม่ขึ้นเลย
ถูกไหม (ถูก) เพราะทุกอย่างในโลกล้วนเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่) จงเป็นเหมือนตุ๊กตาล้มลุก
ล้มกี่ครั้งก็ยังกลับมาตั้งได้ ด้วยจุดยืนที่ตัวเองมี
เราจะเอาอะไรเป็นจุดยืนให้กับชีวิตหรือ (ครอบครัว)
ถึงแม้จะพบปัญหาอะไรก็ต้องเอาครอบครัวเป็นหลัก แล้วถ้าสมมติวันหนึ่งครอบครัวเกิดล่มสลายแล้วจะทำอย่างไร
ถึงแม้ครอบครัวจะไม่มี บางครั้งเราก็มีครอบครัวที่อยู่ในใจ
เพราะฉะนั้นใจเราต้องมั่นคง อย่ายึดติดเฉพาะรูป ถึงแม้ไม่มีรูปที่เป็นครอบครัว
แต่ครอบครัวนั้นก็ยังอยู่ในใจได้
(เชื่อมั่นในตนเอง)
แต่ความเชื่อมั่นนั้นต้องเป็นความเชื่อมั่นที่พร้อมจะถ่ายเทและเปลี่ยนแปลงรับฟังคนอื่นด้วยนะ
(รู้จักว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
และมีหน้าที่อะไร, ศีล สมาธิ, ปัญญา) แล้วถ้าพบรูป เวทนา
สังขารล่ะ อย่าให้ศีลแตกนะ
(ความเห็นใจตัวเองและคนรอบๆ
ตัว, ใช้ความอดทน) แต่ท่านเชื่อไหม หากคนเรามีจิตเมตตาและเข้าใจทุกๆ อย่างจะไม่มีคำว่าต้องอดทนเลย
วันนี้เราก็คงคุยกับท่านเท่านี้นะ
เพราะจุดหมายหรือเป้าหมายที่ให้ท่านเป็นคนที่ดีอยู่บนโลกนี้ เราเป็นผู้กำหนดไม่ได้
คนที่จะกำหนดชีวิตของท่านได้ก็คือตัวท่านเอง แต่เราอยากให้ท่านยอมรับความจริง โลกนี้มีเกิดก็ต้องมีดับ
มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง มีได้ก็ต้องมีเสีย เราหลีกไม่พ้น แล้วเราจะเลือกเอาแต่สุข
ไม่เอาทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องยอมรับให้ได้ทั้งด้านดีและด้านร้าย
ด้านหน้าและด้านหลัง ขอเพียงความเป็นคนดียังมีอยู่ในใจ
อะไรก็มาบั่นทอนหัวใจคนดีคนนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อใดใจที่ดีนี้ยอมแพ้
อย่าไปโทษคนอื่นเลยที่ทำให้ท่านร้าย ตัวท่านเองต่างหาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นยิ่งเขาร้ายเราต้องดียิ่งขึ้น
เพราะเขาเหมือนบันไดที่ทำให้เรายิ่งสูง อย่าเห็นความร้ายเป็นเหมือนหุบเหว
จงเห็นความร้ายเหมือนบันได ที่สอนให้เราเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ขึ้น
แล้วเราจะรู้จักคุณค่าชีวิตที่ประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่) และความงามที่แตกต่างเป็นแบบไหน เราเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้คงคิดได้
และคงไม่คิดว่าวันนี้เรามาเล่นละครตบตา เพราะมันคงไม่สนุกหรอก ใช่ไหม
ไปแล้วนะ
ขอให้มีความสุขในจิตใจตลอดเวลา ด้วยการวางใจตัวเองให้เป็น
วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช
๒๕๔๙ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน
กรุงเทพฯ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
สิ่งที่มีกลายกลับเป็นความไม่มี สิ่งที่ไม่อยากมีกลับมีจนได้
ฝึกยอมรับความจริงที่เปลี่ยนไป ด้วยหัวใจเข้มแข็งสู้อดทน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่เมืองฟ้าอมร
แฝงกายกราบอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
โมหะก็ศัลย์โศกรู้ก็เบื่อ ระทมจนมั่นเชื่อไม่ออกห่าง
ทุกข์ใดเกิดเพราะใจไม่วาง บัณฑิตผู้ใจหน่ายคว้างศรัทธาฉุด
ศึกษารู้ศึกษาหลงที่คนตระหนัก อะไรเพียรมามากก็อาจสะดุด
อวิชชาลึกเกินใครติดธรรมวุฒิ สิ่งสมมติมักใคร่จนพาอันตราย
สติเรียกมาหันปลุกตนเร่ง ขอร้องตนเองให้ย้อนแก้ไข
อย่าเข้าข้างตนเสียจนวุ่นวาย สัมผัสในเนื้อแท้หาความจริง
ฮา ฮา
หยุด
ใช้ความรอบรู้
ใช้ความที่คุ้นเคย ไม่ใช้ธาตุแห่งธรรมข้างในตนย่อมจะเหนื่อยใจ เป็นคนต้องรู้จักตน บางคนยังมองย้อนไม่เคยเป็น
* หนีคนไม่พ้น สังคมโลกพึ่งกัน ช่วยเหลือเจือจานด้วยธรรมเหนือสิ่งใด
ทำบางสิ่งนั้นหาประโยชน์ไม่เคยได้ แต่ทำลงไปแล้วผลดี
เข้าถึงศรัทธา
ใช่ตรงที่เชื่อ เมื่อทำสิ่งใด
ตนก็คือสิ่งนั้น
** คนแล้วคนเล่าที่จิตใจได้การ
คนเมื่อวาน ไล่ทันคลื่นที่ฝังตน
คาดรู้ ความคิดคนกล้ามองอีกมุมตน ใช่แค่รู้คน
ต้องรู้ตัว (ซ้ำ *, **)สัจธรรมที่เราจะถูกคลื่นลูกใหม่ที่เป็นคนเมื่อวานซืนมากลบ เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างต้องทำตัวเองให้ส่องประกาย อย่าคิดว่าเรางำประกายแล้วจะมีคนรู้ บางทีเราจึงต้องยอมรับในความสามารถของคนรุ่นใหม่ เป็นอาวุโสที่ใจกว้าง ไม่มีใครชอบให้พูดจาจ้ำจี้จำไช
ชื่อเพลง : ธรรมเป็นจุดศูนย์รวมแห่งจิตใจ)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพุทธะของคนผู้เดียวหรือไม่ (ไม่) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นพุทธะของใครเพียงไม่กี่คน ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ดีกับคนบางคน เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพียงคนบางคนพร่ำเรียกหาเท่านั้น แสดงว่าเรานั้นไม่สามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่กลางฟ้าได้ เพราะว่าเรานั้นได้รับการยกย่องแค่คนหนึ่งคนหรือสองคน จงอย่าเลือกที่รักมักที่ชังในการที่จะช่วยใคร เพียงแต่ว่าทุกๆ ครั้งที่จะช่วยใครจงใช้ปัญญาในการคิดอ่าน จงใช้จิตใจที่ดีงามและมีธรรมะในการที่จะไปอยู่ร่วมกับผู้อื่น ถึงคนทั้งโลกนี้จะมีความทุกข์อยู่ แต่อย่างน้อยศิษย์จะมีความสุข รู้ไหม
“ธรรมะเป็นจุดศูนย์รวมแห่งจิตใจ”
สุ้มเสียงไว้เชิงธรรมะ
ย่างก้าวไว้ธรรมระบาย
หล่อหลอมใจด้วยธรรม ในผู้คน (ซ้ำ **)
ชื่อเพลง
: เห็นธรรมในผู้คน
ทำนองเพลง
: ยิ่งกว่าเสียใจ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
เป็นอย่างไรนั่งฟังธรรมะวันนี้ รู้สึกว่าเวลาผ่านไปยาวนานไหม (ไม่รู้สึก) แน่ใจนะ (แน่ใจ) รู้สึกว่านั่งไปหนึ่งชั่วโมงไม่ใช่เวลาสั้นๆ
เลย ใช่หรือเปล่า แต่ละชั่วโมงผ่านไปนานเหลือเกินอย่างนั้นไหม ถ้าหากว่าไม่ใช่
เราก็ยินดีด้วย เพราะเคยได้ยินคนโบราณเขาพูดไว้ว่า “เวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้น แต่เวลาแห่งความทุกข์นั้นแสนยาว” ถ้าเรานั่งในที่นี้มีความสุข
เราก็รู้สึกว่าเวลาแต่ละชั่วโมงที่ผ่านไปช่างรวดเร็วเหลือเกิน ถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าหากว่าเรานั่งแล้วไม่มีความสุข
เวลาที่ผ่านไปก็ช่างแสนทรมาน
เราอาจจะขยับเขยื้อนช้าหน่อยนะ ใครที่เป็นคนที่ทำอะไรไวๆ คงไม่รำคาญเราหรอกนะ
แล้วรังเกียจคนพิการหรือเปล่า (ไม่)
แล้วถ้าพิการแต่งตัวมอซอและไม่ค่อยอาบน้ำด้วยล่ะ ว่าอย่างไร ยังรับได้ไหม
(รับได้)
ถ้าใครเคยอ่านประวัติเราก็คงจะรู้นะ เพราะอะไรเราถึงเป็นแบบนี้
เคยได้ยินไหมว่าความพิการในโลกมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือพิการทางร่างกาย อย่างที่สองคือพิการทางจิตใจ
ถึงแม้ว่าเราเกิดมาไม่สมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่น หรือถึงแม้เราเกิดมาสมบูรณ์แบบ
แล้วต้องกลายเป็นคนพิการ ขออย่าให้ความพิการทางร่างกายเป็นอุปสรรคในการแสวงหาความสุข
หรือสิ่งที่ดีงามในชีวิตเลย ถ้าหากเราโชคร้ายแล้วยังซ้ำเติมชีวิตให้โชคร้ายอับเฉาเข้าไปอีก
ก็ไม่มีอะไรแย่ลงไปกว่านี้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความชั่วร้ายหรือความไม่ดี
ก็คือความชั่วร้ายและความไม่ดี ไม่สามารถมีอำนาจอะไรได้
แต่ถ้าเมื่อไรความชั่วร้ายและความไม่ดีอิงแอบอยู่ในใจ แล้วเราเติมพลังให้นิดหนึ่ง
ความชั่วร้ายก็ยิ่งสามารถมีแรงทำร้ายความดีในหัวใจให้หมดสิ้นได้ จริงหรือไม่
(จริง) คนเรามีสองใจเสมอ
ด้านหนึ่งคือคิดดี อีกด้านหนึ่งคือคิดไม่ดี
แล้วเราอยากให้พลังดีมีมากกว่าพลังไม่ดีหรือเปล่า (อยาก)
ฉะนั้นเราก็ต้องทำให้พลังดีมีความแข็งแกร่งกว่าพลังไม่ดี ไม่เช่นนั้นแล้วความไม่ดีในใจนั่นแหละจะเผาผลาญสิ่งที่ดีให้หมดสิ้นไปในตัวเราได้
แล้วอะไรล่ะคือความพิการทางจิตใจ
ใครคิดว่าตัวเองพิการทางใจบ้างไหม
มีทั้งยอมรับและไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีพิการทางร่างกายแต่ใจเราต้องไม่พิการ
ใจเราต้องเป็นอิสระไม่เป็นทาสของกาย เคยเห็นคนหน้าตาอัปลักษณ์
รูปร่างไม่สมประกอบ แต่มีความยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา
มองไปทางไหนเราก็รู้สึกอดปลื้มใจแทนเขาไม่ได้
ดีกว่าร่างกายดี แต่หน้าหม่นหมอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วอะไรที่แปลว่าความพิการทางจิตใจ
ก็คือคนที่มีใจไม่สามารถรักษาความสมดุลของใจให้เป็นกลางได้
เวลาทำอะไรก็มักจะมากเกินหรือไม่ก็น้อยเกิน พิการไหม (พิการ) แล้วเราเป็นอะไรที่มากเกิน
อย่างเช่นคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นเงินเป็นใหญ่ มองอะไรก็ดูเล็กไปหมด ถูกหรือไม่
(ถูก)
แล้วท่านล่ะ ท่านว่าตัวเองพิการตรงไหน (พิการทางปัญญา) ปัญญาอย่าให้พิการมากนะ แม้ปัญญาเราไม่เฉลียวฉลาด
แต่ถ้าเราไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ปัญญานั้นก็ไม่เป็นปัญญาที่พิการหรอก
แต่มนุษย์บางคนพอมีความฉลาด มีปัญญารู้จักคิด
ก็มักจะเอาเปรียบและมักไม่ค่อยฟังใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาฉลาดแล้วก็รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ถูกหรือไม่
(ถูก)
ในโลกนี้มีอะไรบ้างที่เราหวังอยากจะมีแต่ก็ไม่มี
และอะไรในโลกที่เราไม่อยากมีแต่ก็มีมาให้เราได้บ่อย
(ความทุกข์) ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราอยากมีหรือไม่อยากมี (ไม่อยาก)
แต่ก็มีมาให้เราบ่อยๆ
(ความสุข) อยากมีแต่ไม่มี ตรงกันข้ามเลยนะ
(โรคภัยไข้เจ็บ) เป็นสิ่งที่เราอยากมีหรือไม่อยากมี (ไม่อยาก)
ท่านไม่เคยได้ยินหรือ “ความเข้มแข็งพบได้ในยามที่เราอ่อนแอ
ความสุขพบได้ในความทุกข์” ใช่หรือไม่ (ใช่) ความไม่มีพบได้ในความมี โลกนี้มีสิ่งที่เป็นคู่กัน
ฉะนั้นเราจะเลือกสิ่งใด หรือเราจะอยู่ระหว่างสองสิ่งนี้อย่างมีความสุขดี
(ความไม่เข้าใจ) เป็นสิ่งที่อยากมีหรือไม่อยากมี (ไม่อยากมี) แต่ในโลกนี้เราสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมดหรือ
แล้วเราสามารถเข้าใจคนทั้งหมดได้ไหม (ไม่ได้ครับ)
ฉะนั้นมีไว้เถอะนะ คนเราถ้ายอมรับว่าตัวเองไม่เข้าใจ
คนนั้นก็พร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจ แต่ถ้าชีวิตนี้อะไรๆ เข้าใจหมดแล้ว
คนนั้นโง่แน่นอน ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ
แต่ในระหว่างเรื่องราวในโลกที่มีความเป็นคู่นี้เราไม่เลือกสิ่งใดได้ไหม
(ไม่ได้) แต่จงเป็นผู้ที่รู้จักยืนระหว่างสองสิ่งให้ได้ตรงกลางแล้วพอดี
อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ชังจะทำให้ทุกข์
สิ่งที่ทำให้รักก็จะทำให้ทุกข์เหมือนกัน จริงหรือไม่ (จริง)
คนที่สูงวัยอย่าบอกว่าขาไม่ไหวนะ
เราขาไม่ไหวเรายังต้องพยายามมาหาท่านเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วขาเราเหลือขาเดียวด้วยนะ
ฉะนั้นขอให้เป็นคนที่ใจสู้ อย่าเป็นคนที่ตัวไม่พิการแต่ใจพิการไปเรียบร้อยแล้ว ตัวยังไหวแต่ใจไม่สู้ น่าเสียดายนะใช่หรือไม่
ถ้ารู้สึกนั่งแล้วเป็นทุกข์ หรือมีความทุกข์ใดๆ ในใจ เราก็อยากบอกว่า
วันนี้เราจะมาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วย
ในโลกนี้แท้จริงแล้วหามีความสุขที่แท้จริงไม่ สิ่งที่เรียกว่าสุข
แท้จริงคือทุกข์ที่มันน้อยลง ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ฉะนั้นอย่าหลงความสุขที่เป็นมายาอันจอมปลอมจนมองไม่เห็นความจริงแท้ในชีวิตว่า
เราเกิดมาเพื่ออะไร ถ้าหาความสุข ทำไมไม่หาสุขที่แท้ ถ้าปรารถนารอยยิ้ม
ทำไมไม่หารอยยิ้มที่นิจนิรันดร์ ถ้าปรารถนาความรักความเข้าใจ
ทำไมไม่เริ่มต้นความรักความเข้าใจในหัวใจตัวเองก่อน
เคยไหมที่คิดว่าความสุขคือการมั่งมีเงินทอง
แต่พอถึงที่สุดมีเงินมีทองกลับซื้อความเข้าใจของเพื่อนหรือใครสักคนไม่ได้เลย
เคยไหมที่คิดว่าจะต้องมีคนรัก แต่พอได้คนรักแล้วกลับซื้อความซื่อสัตย์ซื่อตรงจากเขาไม่ได้เลย
เคยไหมที่เรารับผิดชอบหน้าที่จนเต็มที่ แต่ความรับผิดชอบของเรากลับไม่ทำให้คนรอบข้างรู้จักรับผิดชอบบ้างเลย
ฉะนั้นการอยู่ในโลกนี้จะเดินหน้าดีหรือถอยหลังดี ก็ล้วนเป็นเรื่องลำบาก
หรือจะยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
แล้วทำไมมนุษย์เราเอาตัวเองไม่รอดแต่ยังผูกเกี่ยวเพิ่มความไม่รอดให้เกิดขึ้นมานานับไม่ถ้วนด้วย
จริงไหม (จริง)
วันนี้เรามาเพื่อให้ท่านได้นั่งพักสบายดีกว่า เรายอมลำบากได้ ไม่ต้องเกรงใจ
เรามีความสุขที่ได้มา เรามีความสุขที่ได้เดิน และเรามีความสุขที่ได้ยืน
ท่านจงนั่งพักผ่อนเถอะนะ ถ้าเห็นเราแล้วรู้สึกสงสารหรือสมเพช เราอยากเปลี่ยนความรู้สึกตรงนั้นให้เป็นการประพฤติปฏิบัติ
เวลาเห็นผู้ชราวัย ผู้สูงอายุ ที่ต้องเดินขึ้นๆ ลงๆ เมื่อมาฟังธรรมะนี้
เราเคยไหมที่เห็นเขาแล้วรู้สึกสงสาร แล้วความสงสารนั้นเปลี่ยนเป็นการลงมือกระทำ
เข้าไปปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นลูกหลาน ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองและดูแลเอาใจใส่
ด้วยมารยาทที่นอบน้อม อย่าเป็นคนที่คิดได้ แต่ถึงเวลาไม่กล้าทำ
ถ้าเช่นนั้นวันนี้เหมือนเป็นวันที่มีโอกาสให้เราประพฤติปฏิบัติความเป็นคนที่ดีงาม เห็นใครลำบากเราต้องรีบเข้าช่วยเหลือ
โดยเฉพาะผู้สูงวัย อย่านิ่งดูดาย ไม่อย่างนั้นแล้ว กรรมเวรมีจริงนะ พอเราแก่แล้วเราก็จะโดนปฏิบัติกลับอย่างนั้นยิ่งกว่า
ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะตอนนี้ไม่ค่อยมีให้เห็น แล้วพอถึงรุ่นเราจะเหลือสักกี่คนที่กล้าทำ
เหมือนวันนี้คนปฏิบัติมีน้อย แล้วต่อไปความเหลือน้อยนั้นจะกลายเป็นไม่มี ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า
“เมื่อใดที่สังคมยกย่องความดี
แปลว่าตอนนั้นความดีมีน้อย ความชั่วมีเยอะ จึงต้องยกย่องคนดี” ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อไรสังคมต้องเชิดชูให้กำลังใจคนดี
แปลว่าตอนนั้นคนดีเริ่มไม่อยากทำดี แล้วตอนนี้สังคมเป็นแบบนี้หรือไม่ (เป็น)
แล้วเราเป็นแบบนี้หรือไม่ (ไม่เป็น) เคยไหมที่เมื่อเห็นแล้วก็ทำเลยไม่ต้องรอคนเรียก
แล้วก็สามารถมีกำลังใจทำต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ไม่มีคนชม เป็นเรื่องยากใช่ไหม (ใช่)
ฟังเราพูดมาสักพักหนึ่งแล้ว เราขอถามอะไรท่านสักหน่อยว่า “สิ่งใดในโลกที่มีความยิ่งใหญ่จนหาค่าประมาณไม่ได้
และสิ่งใดในโลกที่เบาบางจนไม่มีค่าราคาเลย” (ความดี
และความชั่ว, ความมีเมตตาและความมีน้ำใจ, พระคุณของฟ้า, การทำความดีและคุณค่าทางจิตใจ, ความกตัญญูและความอกตัญญู,
ความเสียสละและความเห็นแก่ตัว, ความมีเมตตาและความโหดร้าย) ถ้ามนุษย์รู้สึกว่าความดีเป็นของที่ประมาณค่าไม่ได้
มนุษย์ทุกคนในโลกควรหมั่นทำความดี จริงไหม (จริง)
แต่ทำไมทำกันน้อย เพราะมักจะคิดว่าความดีไม่มีราคาเลย แถมไม่ดีอีก
ทำแล้วคนก็ว่า ถูกหรือเปล่า (ถูก) สิ่งที่มีค่ายิ่งใหญ่ประมาณไม่ได้คือ
พระคุณบิดามารดา สิ่งที่ไร้ค่าจนแทบไม่มีราคาคือ บุตรที่ไร้ความสำนึกรู้คุณ
หรือคนที่ขาดสามัญสำนึกในความเป็นคน เกิดมาตายไป ชีวิตเขาก็บางเบายิ่งกว่าขนนก หรือคนที่มุ่งมั่นทำความดีโดยไม่ย่อท้อและถดถอยต่อความยากลำบาก
การกระทำเขาทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งในความมุ่งมั่นจะเป็นคนดี
และให้ความดีนั้นประจักษ์การช่วยเหลือแก่ผู้คนทั้งหลาย
ชีวิตเขาเลยยิ่งใหญ่และหนักแน่นยิ่งกว่าภูผาใดๆ ในโลก แต่คนที่บางเบาไร้ค่า
คือคนที่โลเล เอาแน่เอานอนไม่ได้
ไม่เคยมีหลักแหล่งในชีวิตที่แน่นอนว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี
เราไม่ได้ว่าใครในที่นี้ แต่เราอยากจะบอกว่า ค่าของชีวิตเราถึงแม้ว่าจะหมดลงไปแล้ว
แต่สามารถทำให้ยิ่งใหญ่จนคนซาบซึ้งสะเทือนใจได้ ด้วยการประพฤติอะไรก็ได้อย่างหนึ่งที่เป็นธรรม
แม้ตลอดชีวิตจนวางวายไม่เคยขาดสิ่งนั้น แม้ต้องตายก็ขอให้สิ่งนั้นอยู่ คนนั้นจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่
เอาอะไรมาซื้อก็ซื้อไม่ได้ แต่คนที่โลเล พบความลำบากก็ท้อถอย
พบคนต่อว่าก็หมดกำลังใจ คนเช่นนี้ยากทำอะไรได้สำเร็จ และคุณค่าราคาของชีวิตก็ช่างดูต่ำเหลือเกิน
ฉะนั้นเริ่มต้นวันนี้ไม่มีคำว่าสาย จะสายสำหรับคนที่ไม่เคยคิดจะทำเท่านั้นเอง
ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นในเรื่องนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
ถ้าเราคิดว่าเป็นไปได้ ความหวังเล็กๆ น้อยๆ ย่อมมีในหัวใจ
แม้จะมีผิดหวังบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักความหวังหนึ่งจะมีหลงเหลือหรือ
ฉะนั้นขอให้เรารู้ว่าคิดจะทำอะไร ยั้งคิดไตร่ตรองให้ดี
เรื่องราวในโลกนี้หรือเวลาที่ผ่านไปในชีวิตนี้สามารถวัดค่าความเป็นคนเราได้
แล้วเวลาที่ผ่านมาเราเคยรักษาอะไรแล้วไม่เคยจางไปจากใจได้บ้างเล่า
แค่บอกว่ามีความดีที่อยากทำเรื่อยๆ แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว จริงไหม (จริง)
เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้คิดว่าเราจะมีอะไรแล้วไม่ยอมเปลี่ยน
(สิ่งที่ทำแล้วทำให้คนอื่นเป็นสุข, ความยุติธรรม) แล้วถ้าหากว่าลูกเรากับเพื่อนลูกเรา
เราจะกลายเป็นยุติธรรมลำเอียงไหม (ต้องมียุติธรรม) ยอมให้ลูกอดแต่ให้เพื่อนลูกได้ ดีกว่าใช่ไหม
จะได้สอนลูกรู้จักเสียสละ
(ความซื่อสัตย์)
เคยแอบขโมยเงินพ่อแม่ไหม (เคยตอนเด็กๆ)
แต่ตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นมีเงินแล้วรีบให้พ่อแม่ใช้บ้างดีไหม
(ความมีสัจจะในคำพูด)
ฉะนั้นถ้าคิดจะมีสัจจะในคำพูด พูดอะไรต้องคิดไตร่ตรองให้ดี
ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นทาสของคำพูด เคยไหมรับปากเขาไปแล้วมาคิดทีหลังไม่น่าเลย
แล้วก็ต้องไปตามเก็บคำพูดที่ตัวเองพูดไว้
(กตัญญู) กตัญญูอะไรที่ทำง่ายที่สุด (สร้างความดีอะไรให้พ่อแม่) แค่ทุกวันกราบท่านเช้ากราบท่านเย็น
หรือถ้าไม่กราบก็กอดก็ได้ ไม่ใช่มัวแต่ให้คนอื่นดูแล แต่ตัวเองมัวไปทำความดี ไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่
(ไม่ประมาท, ทางสายกลาง, จะมีสัมมา) มีความคิดที่ถูกต้องไม่มีความคิดที่ผิดๆ
ใช่หรือเปล่า (ใช่) (ความเสียสละ, ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง) ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ทำดีเฉพาะเพื่อนผองตนเอง
(การรู้จักให้อภัย)
ท่านเคยไหมมีลมหายใจ มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น วันนี้ใครมาเพราะพ่อแม่ให้มา
ถ้าวันนี้ทำได้และทำสำเร็จไม่ยอมแพ้ไม่บ่น กลับไปยังขอบคุณแม่ทุกวัน
ขอบคุณคนที่ชวนมาทุกวัน นี่คือการมีลมหายใจเพื่อผู้อื่น
(การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน) เกิดเป็นคนถ้าขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนดื้อ
หัวแข็งใครก็ไม่รัก หน้าตาสวยขนาดไหน แต่ถ้าดื้อไม่ฟังใคร ใครก็ไม่เอา ถูกหรือไม่
(ถูก) ไม่รู้ว่าคอแข็งหรือก้มไม่ลงสักที
หรือหลังตึงไหว้ทีก็เหมือนมีสปริงเด้งกลับมาทันที ฉะนั้นเคยก้มด้วยใจที่เคารพไหม รักเขาจริงๆ
แล้วเราจะได้ความเคารพและรักตอบจริงๆ กลับมา ใช่ไหม (ใช่) ปรารถนาอะไรในโลกอย่าไปเรียกร้องผู้อื่นให้เหนื่อยเลย
เริ่มต้นที่ตนเองเป็นคนแรกและแผ่ขยายไปโดยไม่หวังผล
สักวันหนึ่งแสงแห่งความดีที่เรากระทำ จะส่งผลสะท้อนกลับมาให้ใจชุ่มชื่น จริงไหม
(จริง)
แต่ทำอย่างไรเมื่อใจของมนุษย์ยังอดเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้อยู่ดี จริงไหม
(จริง) ระหว่างแอปเปิลกับส้มให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่ถ้าเลือกไม่ได้ขอส้ม
ทุกข์ก็เกิดอย่างนี้ เราอยู่ในโลกนี้หนีไม่พ้น สิ่งที่เราไม่ปรารถนา
เราต้องรับให้ได้ในสิ่งที่เราปรารถนา และไม่ปรารถนาด้วยใจที่รู้จักคุณค่าอย่างแท้จริง
ไม่ใช่มองสรรพสิ่งแค่เปลือกนอก ถามว่าแอปเปิลตกแล้วยังเป็นแอปเปิลไหม
(เป็น) แล้วความเป็นแอปเปิลในเนื้อนี้มันจางไปไหม
(ไม่) แต่ความปรารถนาเราจางไปแล้ว
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความทุกข์ของมนุษย์เกิดเพราะอะไร เกิดเพราะว่าใจมีคำว่าที่สุด
เมื่อไรที่ใจมีคำว่าที่สุด เมื่อนั้นการโดนกระทบกระทั่งจึงเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ถ้าใจของมนุษย์เป็นใจที่หาที่สุดไม่ได้ อะไรก็ไม่สามารถมากระทบใจให้เจ็บปวด
นึกไม่ออกใช่ไหม (ใช่) ดูกรอบรูปเป็นตัวอย่าง
รูปๆ หนึ่งถ้าเห็นมุมทั้งสี่เมื่อไร เราก็รู้ความจำกัดของรูปเมื่อนั้น
แต่ถ้าเมื่อไรรูปๆ หนึ่งมองไปถึงที่สุดยังหามุมไม่เจอ ไม่ว่าเหนือใต้ออกตก
รูปนั้นเป็นรูปที่ยิ่งใหญ่จริง ฉันใดก็ฉันนั้น ใจคนเราถ้าไม่มีที่สุด
ไม่มีแบ่งรักแบ่งชังอะไรจะทำให้เจ็บปวดได้ เหมือนฟ้าที่กว้างจนสุดประมาณ
เหมือนน้ำที่ลึกจนหาที่สุดไม่เจอ เป็นใจแบบนี้ยากไหม (ยาก) แล้วจะลองฝึกดูบ้างไหม
เพื่อจะได้ทุกข์น้อย ช้ำน้อย ดีไหม (ดี)
แล้วจะทำอย่างไรดีให้ใจเรากว้างจนสุดประมาณ ค่อยๆ คิดนะ
(ทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิด) จริงไหม โบราณจึงกล่าวไว้ว่า
อย่าดูถูกเด็กที่อายุไม่ถึงสามสิบ เพราะคลื่นลูกหลังอาจจะแซงคลื่นลูกหน้า
ไปดูถูกเขาว่าไม่มีเงิน กระจอกงอกง่อย วันหนึ่งเขามีเงินได้เขาอาจจะกลายเป็นคนที่รวยกว่าเราใช่หรือไม่
(ใช่)
(ทำสมาธิ) ถ้าเกิดเรามีสติ สมาธิก็มาปัญญาก็เกิด แต่ถ้ามีแต่สมาธิแต่ไร้สติ
ก็ไม่เกิดปัญญา
(ให้โอกาสผู้อื่น)
แม้คนนั้นจะทำร้ายเราจนเจ็บปวด
บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่เราจะให้อภัยและทำความเข้าใจ โดยเฉพาะถ้าทำดีแล้วได้ร้ายตอบกลับมา
ช่างเป็นบทเรียนที่น่ากลัวใช่หรือไม่ แต่เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกไว้ว่า “ยอมเป็นลูกหนี้ดีกว่าเป็นเจ้าหนี้” ฉะนั้นการที่เรารู้จักให้เขาตลอดถึงแม้เขาจะตอบกลับมาด้วยความเจ็บปวด
บางทีคนแต่ละคนอาจจะมีเหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกันก็ได้ ฉะนั้นเราอย่าเอาแค่ตาดูหูฟังเท่านั้น
เคยไหมหนึ่งความคิดที่ตัดสินผิด
ทำให้สิ่งที่งดงามในชีวิตไม่สามารถเรียกกลับมาได้ดังเดิม ฉะนั้นเราจะให้กับใครก็ตาม แม้เขาจะผิด ยอมไปก่อน
เพราะเรายอมตอนแรกจะเรียกอะไรก็ง่าย แต่เราแย้งตอนแรกไปเรียกอะไรเขาก็ไม่ให้
จริงไหม (จริง)
เราลองมาดูเรื่องๆ หนึ่งดีไหม เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวๆ
หนึ่งที่สามีภรรยาเป็นคนที่รักกันมาก
แต่มีเหตุที่ทำให้ฝ่ายชายต้องร้างลาจากฝ่ายหญิงไปช่วงหนึ่ง พอฝ่ายชายกลับบ้านก็ได้ทราบว่าภรรยาก็ได้คลอดบุตรหนึ่งคน
แต่ด้วยความที่เด็กไม่เคยเจอพ่อก็เลยไม่กล้าเข้าไปกอดพ่อ
ชายคนนี้กลับมาบ้านด้วยความคิดว่าภรรยาคงรักเขาเหมือนเดิม
แต่มีวันหนึ่งช่วงที่ภรรยากำลังทำกับข้าว ลูกได้พูดกับพ่อตามประสาเด็กว่า “คุณไม่ใช่พ่อของผม
ผมมีพ่อของผมอยู่แล้ว” สามีเริ่มรู้สึกระแวงสงสัยทันที
นับแต่นั้นมาเขาก็ไม่คุยกับภรรยาอีกเลย หรือถ้าคุยก็จะด่าว่าตบตีให้เจ็บช้ำน้ำใจ
เป็นอย่างนี้หลายปีไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ผลสุดท้ายภรรยาทำใจไม่ได้ อยู่ไปก็ไม่มีความสุขจึงฆ่าตัวตาย
ฝ่ายสามีก็รู้สึกเสียใจแต่ก็ยังไม่มาก จนกระทั่งวันตั้งศพภรรยา
เงาของสามีได้ทอดไปที่กำแพง เด็กคนนั้นก็พลั้งปากพูดว่า “นั่นไง
พ่อของผม นั่นไง แม่ผม” สามีฟังได้ดังนี้ก็ปล่อยความอัดอั้นตันใจร้องไห้ออกมาทันที
และเขาก็ได้รู้ว่าเขาเข้าใจผิด เขาคิดผิด เพราะได้มาทราบความจริงภายหลังว่า
ตอนที่เขาไม่อยู่นั้น ด้วยความที่แม่กลัวลูกจะไม่มีพ่อ
ก็เลยอุปโลกน์ว่าเงาของตัวเองนั้นคือพ่อของลูก ทุกๆ คืนแม่จะนั่งคุยกับเงาของตนเอง
ดั่งกับคุยกับพ่อของลูก ด้วยความที่ลูกยังไม่ประสา จึงเข้าใจมาตลอดว่า
เงาของแม่คือพ่อของตนเอง
ฉะนั้นชีวิตนี้ คิด พูด ทำ ตัดสินใจ ขอให้ไตร่ตรองให้ดี
เรื่องราวบางเรื่องผ่านไปแล้วเรียกกลับมาไม่ได้ เหมือนคุณค่าของความเป็นคน เสียไปแล้วไม่มีใครเชื่อใจเราอีกต่อไป
แม้จะทำดีเป็นร้อยเป็นพันหนจนตัวตาย คนก็ยังตราหน้าว่าเราเป็นคนผิด จริงไหม
(จริง) แต่มีเรื่องกลับกันอีกเรื่องหนึ่ง
ชายคนหนึ่งไปรักผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้ว แล้วก็พรากเขาออกมาแล้วฆ่าสามีเขาจนตาย
แต่พอได้เขามาแล้วก็อยู่กันไม่รอด ต้องแยกจากกันไป ด้วยความสำนึกผิดที่เกิดขึ้นมาในใจ
จึงรู้สึกละอายตัวเอง อยู่กับผู้หญิงเอาเขามาแล้วแต่เลี้ยงเขาไม่รอด
แล้วก็อยู่กับเขาไม่ได้ ผู้หญิงก็ต้องหนีไปอีก ตนเองจึงไปบวช พอไปบวช
ก็เห็นว่าหมู่บ้านๆ นี้มีหนทางที่ไม่สะดวก ก็เลยตั้งความแน่วแน่ว่า ถึงแม้ตนเองจะเคยเลวร้ายมาขนาดไหน
แต่ก่อนตาย ขอทำดีโดยการสร้างถนนในหมู่บ้านนี้ให้สำเร็จให้ได้ ช่วงที่กำลังสร้างอยู่นั้น ลูกของคนที่เขาฆ่าได้กลับมาล้างแค้น
พระองค์นี้ก็เลยต่อรองว่า “ขอให้ได้สร้างถนนในหมู่บ้านนี้ให้เสร็จก่อนได้ไหม จะฆ่าเมื่อไร
ไม่ไปไหนหรอก อยู่เฝ้าก็ได้ เดี๋ยวให้กินข้าวให้กินน้ำเลี้ยงดูด้วย” ชายหนุ่มคนนั้นก็เลยยังไม่ฆ่าพระ ในช่วงแรกที่ยังไม่ฆ่า ก็ไม่ได้ช่วยพระสร้างถนน
พออยู่นานไปๆ ว่างมากก็เลยลงไปช่วย พอช่วยแล้วได้คลุกคลีได้สนิทสนม
จนกระทั่งสร้างเสร็จ พระรูปนั้นรีบคุกเข่า ยื่นคอให้ประหารทันที ท่านว่าใจคนนี้เขาจะฆ่าเขาลงไหม
(ไม่ลง) ฆ่าเขาไม่ลง แถมคุกเข่าร้องไห้
กราบเขาเป็นอาจารย์
เห็นไหมว่าคนเรานั้น ผิดไปแล้ว เริ่มต้นใหม่ได้ แม้ชะตาชีวิตมัจจุราชจะมาเอา
แต่ความดีที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจก็ยังยับยั้งมัจจุราชให้อย่าพึ่งเอาเขาไป แต่ถ้าเป็นคนไม่มีความดีอะไรที่หนักแน่นในใจเลย
แม้ชะตาชีวิตจะกำหนดว่า ยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าอยู่แล้วรกโลก
มัจจุราชก็กวักมือเอาไปเป็นเพื่อน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นขอให้คิดให้ดีๆ
เกิดเป็นคนขาดไม่ได้เลยคือจิตสำนึกละอายเกรงกลัวต่อบาป ถ้าทำผิดแล้วยังไม่แก้ไขให้ดีขึ้นก็น่าเสียดายที่เกิดเป็นคน
ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นความผิดพลาดจึงเหมือนทางสองแพร่ง ทางหนึ่งทำให้เรายิ่งแย่ลง
กับอีกทางหนึ่งเป็นบทเรียนทำให้เราสำนึกเสมอว่าอย่าผิดซ้ำนะ
เราเชื่อว่าในที่นี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์ไม่มีที่ติ ดีไม่มีร้ายเลย เป็นไปได้ไหม
(ไม่ได้) เราจึงอยากบอกว่า ในใจของมนุษย์ทุกคนบางครั้งก็เหมือนคนที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยม
แต่บางครั้งก็พร่องจนเติมอะไรไม่เคยเต็ม บทจะอิ่มใจก็อิ่มง่ายๆ
บทจะไม่พอใจอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็พลอยรำคาญ ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงธรรมะ ชื่อเพลง : เห็นธรรมในผู้คน ทำนองเพลง : ยิ่งกว่าเสียใจ)
วันนี้มาให้โอวาท แต่ทำนองเพลงกลับเอาใจวัยรุ่นนะ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาประทานเพลง)
ถ้าไม่มีท่านอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีบทเพลงนี้ที่มอบให้ท่าน เคยรู้สึกไหม รักแล้วไม่รักตอบ
แถมรักแล้วยังหักอกเราไปรักคนอื่นอีก ไม่ทุกข์กับคำว่า “รัก” ก็ไม่รู้จักว่ารักคืออะไรใช่หรือเปล่า
สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็อยู่ในสิ่งที่พร่องที่สุด ก็เหมือนใจมนุษย์
ถามว่าสมบูรณ์ไหม ก็สมบูรณ์ได้ แต่ในความสมบูรณ์นั้นก็พร้อมจะพร่องได้
ฉะนั้นไม่ต้องเข้าใจคนอื่น ไม่ต้องเรียกร้องคนอื่น เข้าใจตัวเอง และเรียกร้องตัวเองดีกว่า
อย่าไปเรียกให้คนอื่นเข้าใจเราเลย เพราะบางทีเรายังไม่เข้าใจตัวเองเลย ใช่หรือไม่
(ใช่)
เราเชื่อว่าในที่นี้ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนในชั้นหรือผู้ปฏิบัติงานธรรมก็เป็นคนที่มีจิตใจที่ใช้ได้
การที่จะทำดีแล้วไม่ประพฤติผิดอีกต่อไป แล้วรู้จักนำความดีไปเอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่น
ชีวิตนี้เคยทำแต่เพื่อตัวเอง ลองเพิ่มคุณค่าชีวิตนี้
ลมหายใจนี้เพื่อผู้อื่นบ้างได้ไหม (ได้) ด้วยการที่มุ่งมั่นจะทำอะไรก็ลองไปคิดดูนะ
ดีใจด้วยกับคนที่หนึ่งวันเปลี่ยนเป็นสามวัน แล้วก็ขออวยพรให้ทุกท่านในที่นี้
จงมีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าสู้ต่อความเป็นจริงในโลกนี้
แม้บทเรียนในโลกนี้จะโหดร้ายสักแค่ไหน ขอเพียงใจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นในความดี
ไม่เปลี่ยนแปลง ค่าชีวิตท่านจะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไม่เปลี่ยนแปลง เราเชื่อนะว่าถ้ารักที่จะทำแล้ว
อะไรๆ ก็ทนไหว ใช่ไหม (ใช่)
ทำไมไม่รักความดีเหมือนรักแฟนบ้างนะ
วันนี้เราขอมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้
ใครที่วันนี้เพิ่งมามีโอกาสก็เรียนให้จบดีไหม (ดี) ส่วนใครที่ตัดสินใจทีละวันๆ
ก็เรียนให้จบเสียที ทำดีให้ได้ยากนักหรือ แล้วทำเพื่อคนอื่นยากอะไร
ยากตรงที่ใจเราไม่เคยพอเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ลองรู้จักพอสำหรับตัวเองแล้วไปให้คนอื่น คุณค่ายิ่งใหญ่ไม่น้อยนะ เลียนแบบพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องเอาทั้งหมดก็ได้
เลือกเพียงเสี้ยวหนึ่งของท่าน เมตตาเยอะๆ ให้อภัยคนมากๆ ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ถ้าในหัวใจมีแต่คำว่าเมตตาและกรุณา
พร้อมให้อภัยผู้อื่นเสมอ นำไปใช้กับใครก็ย่อมรบชนะ”
จะยืนอยู่ที่ใดก็มั่นคงและภาคภูมิใจ จริงไหม (จริง) ทำให้ได้นะ ถึงเวลาเราก็คงต้องไปแล้ว
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช
๒๕๔๙ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน
กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฝนชำระอากาศให้ใสสะอาด
ธรรมชำระใจหวาดหวาดให้สุกใส
น้ำตาชำระความทุกข์ให้หมดไป ศิษย์ข้าพูดทำไม่ได้หรือไม่ทำ
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ศูนย์กลางงามธรรม
แฝงกายกราบต่อหน้า
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนใจนิ่งหรือยัง
คำบางคำใช่วาจาผู้บำเพ็ญ พูดตรงตรงคำเย็นเห็นวิถี
ร่วมลดละเจาะจงบางพาที สนทนาต้องไปมากมีเกรงใจกัน
จงอย่าคิดธรรมะด้วยถูกผิด สำรวมจิตความประพฤติงามทุกด้าน
ที่กระจ่างแล้วต้องคอยช่วยกัน แต่มุ่งมั่นระวังอย่าบังคับคน
จับยึดตนไม่อาจสุขชีวี กังวลนี้อยู่ทุกใจเมื่อไรพ้น
เมื่อวันปัญหาคาใจทะลักล้น สภาพใจมิวายวนรู้ระวัง
ฮา ฮา
หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(ผู้ดำเนินรายการในชั้นเรียนเล่าประวัติพระอาจารย์จี้กง)
ประวัติอาจารย์ตลกไหม ย้อนไปดูประวัติตัวเองตลกหรือเปล่า
ทุกข์จนร้องไห้แล้วหัวเราะ ตลกไหม
ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนลิ้มรสชาติแห่งความทุกข์แล้ว รสชาติของความทุกข์ล้วนเป็นรสชาติ
เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ที่เรากินอาหาร รสชาติอาหารยิ่งปรุงให้รสจัด รู้สึกอย่างไร
(อร่อย) รสชาติของชีวิตที่จัดจ้าน
อร่อยหรือไม่ (ไม่อร่อย) ไม่อร่อยเลยหรือ
ชีวิตที่จัดจ้านเช่นนี้ใครเป็นผู้ปรุง (เราเอง)
บางทีเราหยิบส่วนที่ไม่ควรคิดมาคิด กลายเป็นความกลุ้มกังวลอย่างถึงที่สุด
บางทีเราทำเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่ไม่ทำแล้วขัดใจเหลือเกิน
บางทีเรารู้เรื่องที่ไม่ควรจะรู้แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เป็น จริงหรือเปล่า
(จริง)
สังคมโลกปัจจุบัน สังคมเมืองยิ่งมีทุกข์มากกว่าสังคมชนบท
เพราะว่าเราจ้องจะเอาชนะซึ่งกันและกัน เราจ้องจะประหัตประหารกันด้วยคำพูด
เราวิจารณ์คนอื่นทุกวัน พูดได้พูดดี แต่ไม่วิจารณ์ตัวเอง
ถ้าทำเช่นนี้แล้วถามว่ารสชาติชีวิตนี้ใครเป็นผู้เติม (เราเอง) ยิ่งเติมยิ่งจัด ยิ่งจัดยิ่งทุกข์
ยิ่งทุกข์ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ใจหาที่ว่างไม่ได้เลย ถามว่าเราพอใจไหม (ไม่พอใจ) เรากินข้าวทีละชาม แต่เรากินชีวิตของเราเท่าไร
ชามหนึ่งอาจใช้เวลาไปหลายวัน เรื่องบางเรื่องกว่าจะแก้ไขได้ใช้เวลาเป็นปี
เหมือนข้าวชามหนึ่งของเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถามว่าเรากินรสชาติของชีวิต อาหารของชีวิต ทำไมเรากินช้าอย่างนั้น
เพราะอะไร สมมติว่าเป็นทุกข์เพราะทะเลาะกับแฟนที่บ้าน เป็นทุกข์เพราะว่าเล็บขบ
เป็นทุกข์เพราะว่าผมไม่ค่อยจะถูกใจ เป็นทุกข์เพราะตาเจ็บ สั้นไป ยาวไป
เป็นทุกข์เพราะถ่ายไม่ออก เป็นทุกข์ไหม (เป็น)
เราเป็นทุกข์เรื่องอย่างนี้มากมาย แต่ถามว่าที่เราเป็นทุกข์อย่างทุกวันนี้
เพราะเราเป็นผู้ปรุงสิ่งนั้นๆ ด้วยตัวเอง ตอนนี้หลายๆ ชามในชีวิตนี้ยังคาอยู่
ยังไม่ได้กิน แต่ก็ยังต้องทน ขว้างทิ้งได้ไหม (ไม่ได้) ก็เพราะว่าคำนี้ ที่ทำให้เป็นอย่างทุกวันนี้
เรื่องอะไรก็ตอบว่าไม่ได้
แล้วมีเรื่องไหนที่ได้บ้าง มีเรื่องที่สมหวังบอกว่าได้ ถามว่าคนซื้อหวยมา
อยากถูกไหม (อยาก) แล้วถูกไหม
(ไม่ถูก) ศิษย์เป็นคนนั้นเลย
ทำไมไม่ยอมลงให้กับชีวิตของตัวเอง เอาชนะคนอื่นมาเยอะ เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่เอาชนะจิตใจตัวเองไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
ทุกวันนี้หลายเรื่องที่ว่าทำไม่ได้ ทำไม่ได้หรือว่าไม่ยอมทำให้มันดีขึ้น
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ มีคนอยู่สองคนกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง
คนหนึ่งอยากจะขึ้นรถเมล์ไป เพราะขึ้นรถเมล์แล้วประหยัด
ส่วนอีกคนบอกว่าอยากไปแท็กซี่ เพราะสบายกว่า เงินในกระเป๋ายังพอมี
ถามว่าสองคนนี้ทะเลาะกันเรื่องไร้สาระไหม (ไร้สาระ) ศิษย์เข้าข้างใคร ไหนใครเข้าข้างคนขึ้นรถเมล์ยกมือขึ้น
คนที่อยากจะขึ้นรถเมล์เพราะว่าเรานั้นรู้จักมองการณ์ไกล รู้จักประหยัดในสิ่งที่ควรประหยัด
ไหนใครเข้าข้างคนที่ขึ้นแท็กซี่ยกมือขึ้น
ไหนใครไม่เข้าข้างใครเลยยกมือขึ้น
นี่คือนิสัยคนกรุงเทพฯ คือสนใจแต่ว่าเขาทะเลาะอะไรกันแต่ไม่ช่วย
เวลาขึ้นรถเมล์เคยลุกให้คนอื่นเขานั่งหรือเปล่า (เคย) ทำทุกครั้งหรือเปล่า (เปล่า)
คนสองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรง คนที่อยากขึ้นแท็กซี่เพราะว่าเขาเจ็บขา
แต่ถามว่าเรารู้ไหม
สมมติว่าเราไม่รู้แล้วสองคนก็มัวแต่พุ่งประเด็นไปที่รถเมล์กับแท็กซี่ไม่มีใครพุ่งประเด็นไปที่ขา
ตัวเองไม่พูดว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงอยากขึ้นแท็กซี่ คนแบบนี้มีเยอะไหม
(เยอะ)
คืออยากพูดอย่างหนึ่งแต่ไปพูดอีกอย่างหนึ่ง อยากจะชมว่าภรรยาทำกับข้าวอร่อย
แต่พูดว่า “ถ้าเค็มอีกนิดก็ดีนะ” อันนี้เป็นคำชมของฝ่ายชายนะ
ภรรยาไปตีความว่าไม่อร่อย เพราะฉะนั้นคนสองคนที่ทะเลาะกันอยู่ตรงนี้เหมือนกับอะไร
เหมือนกับความทุกข์ในชีวิตประจำวันของเรา เรามองข้ามประเด็นที่เป็นเหตุของทุกข์
แล้วเราไปแก้ที่ปลายเหตุของความทุกข์
เพราะฉะนั้นชามนี้ของชีวิตจึงกินไม่หมดยิ่งปรุงก็ยิ่งเละ จริงหรือเปล่า
(จริง) อาหารปรุงได้กี่รอบ (รอบเดียว)
อาจารย์ต่อให้สามรอบ ชิมแล้วปรุงใส่ซีอิ๊ว ชิมแล้วปรุงใส่น้ำส้ม
ชิมแล้วปรุงใส่พริก อาจารย์ต่อให้อีกรอบ ชิมแล้วปรุงใส่น้ำตาล
แต่ถามว่าปรุงแล้วอร่อยไหม (ไม่อร่อย)
ไม่มั่นใจในตัวเองก็ยังบอกว่ามันไม่อร่อยอยู่นั่นเอง แต่ปรุงต่อไปเป็นอย่างไร
ถ้าปรุงรอบที่ห้าแล้วเกิดมันอร่อยก็โชคดีไป เพราะฉะนั้นในหลายๆ
เหตุการณ์พลาดสักสี่ห้าหนแล้วประสบความสำเร็จครั้งหนึ่งพอไหม (พอ)
ต้องรู้จักพอแล้ว ชีวิตจริงของศิษย์นั้นหลายคนเป็นคนสองคนที่ยืนทะเลาะกันอยู่นี่
ไม่มีใครยอมให้ใครเพราะถือว่าการยอมนั้นเป็นการลดศักดิ์ศรีของตัวเองมากๆ
ถามว่าศักดิ์ศรีของศิษย์คืออะไร ศักดิ์ศรีคือการเอาชนะ
หรือศักดิ์ศรีคือความกลมเกลียวและมีสันติภาพ
ศิษย์ต้องเลือกศักดิ์ศรีของตัวเอง
ศิษย์ถึงจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
รู้สึกว่าจอโปรเจคเตอร์จะทำให้สมาธิหลายๆ คนไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แล้วตากล้องก็ซูมเข้าซูมออกอยู่นี่ อย่างนั้นเก็บจอโปรเจคเตอร์ดีหรือไม่
(ไม่ดี) เห็นไหมว่าไม่ดีอีกแล้ว
มีแต่ไม่ได้กับไม่ดี ไม่เอา ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็น ไม่เข้าใจ ไม่ว่าง
ทุกอย่างขึ้นต้นด้วยคำว่า “ไม่” ถ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า
“ไม่” ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)
ทุกอย่างที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ไม่” จงใช้กับเรื่องที่เป็นกรรมชั่ว
ส่วนอะไรที่เป็นกรรมดี ที่เป็นสิ่งที่ดีเหนื่อยหน่อยก็จงพูดว่า “ดี” “ได้”
พยักหน้าก็ได้
ใจนิ่งหรือยัง (นิ่งแล้ว)
แน่ใจหรือ
ทำไมอาจารย์ถึงถามว่าใจนิ่งหรือยัง
คำว่า “ใจนิ่ง” มีความสำคัญไหม
เวลาเราจะทำอะไรสักอย่างใจของเราต้องนิ่งก่อน ถ้าใจของเราไม่นิ่ง งานนั้นๆ
จะราบรื่นไหม (ไม่ราบรื่น) สำเร็จได้ไหม
(ไม่ได้) ใจของเราจะรู้สึกมีความสุขกับงานไหม (ไม่มี) เพราะฉะนั้น
ใจนิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อาจารย์ใช้คำว่า
“นิ่ง”
ไม่ได้ใช้คำว่า สติ ไม่ได้ใช้คำว่า สมาธิ เพราะสติก็ดูจะมากไปสำหรับศิษย์
สมาธิก็ดูเหมือนว่าศิษย์จะทำไม่ได้ แล้วก็มีใจกีดกันคำว่าสมาธิอยู่มาก หลายๆ
คนไปนั่งหลับตา พอลืมตาขึ้นมาก็ทุกข์ต่อแล้ว เพราะฉะนั้น อาจารย์ใช้คำกลางๆ
แค่คำว่า นิ่งไหม เพราะอยากให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่ได้สัมผัสกับตัวเองมากขึ้น
ศิษย์เอ๋ย ทุกวันนี้อาบน้ำ สัมผัสตัวเองทุกวันไหม (ทุกวัน) แต่ถามว่าเราได้สัมผัสกับตัวเองจริงๆ
หรือไม่
เราสัมผัสแต่เพียงข้างนอกของเราเท่านั้น
ข้างนอกสังขารนี้ที่สักวันหนึ่งศิษย์ต้องทิ้ง ศิษย์สัมผัสกับมันทุกวัน แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายใน
ที่จะอยู่กับศิษย์ตลอดไปแต่ศิษย์ไม่เคยสัมผัสเลย ก็คือจิตใจ จิตใจของศิษย์เป็นอย่างไรบ้าง จิตใจของศิษย์สบายดีไหม อารมณ์ของศิษย์ดีไหม แล้วศิษย์ของอาจารย์รักตัวเองไหม
ทุกวันนี้ที่ทำอยู่เรียกว่ารักตัวเองใช่ไหม มองกันมุมไหน มองกันแง่ไหน
วันนี้อาจารย์ถามศิษย์อย่างนี้เพราะว่าศิษย์รู้จักจิตใจของศิษย์แค่อารมณ์เท่านั้น
ศิษย์รักตัวเองในการบำรุงบำเรอสิ่งที่เป็นวัตถุ
สิ่งที่ตัวเองชอบใจหรือพอใจให้กับตัวเองเท่านั้น ศิษย์ไม่เคยซ่อมแซมจิตใจของตัวเอง ศิษย์ไม่เคยที่จะบำรุงรักษาจิตใจของตัวเอง
ไม่เคยเยียวยาจิตใจของตัวเอง
ถึงจะทำก็ทำเพียงเล็กน้อย
เหมือนดังแผลที่เน่าเหวอะ ศิษย์รู้ว่าเจ็บศิษย์ใส่ยา แต่ใส่ยาแค่ดีขึ้นศิษย์ก็เลิกแล้ว ทุกวันนี้จิตใจของศิษย์ก็ยังเป็นจิตใจที่ดีบ้าง
ไม่ดีบ้าง เวลาอาจารย์ถามศิษย์ว่าเป็นคนดีไหม
ก็ไม่ค่อยมีคนกล้าตอบว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี
เพราะในส่วนลึกนั้นยังมีความไม่ดีอยู่เยอะ จริงหรือไม่ (จริง) แล้วอยากเป็นคนดีไหม (อยาก) ถึงบอกว่าศิษย์เป็นคนดีไง
เพราะอย่างน้อยตอนนี้ศิษย์ก็อยากเป็นคนดี
อาจารย์ก็ยินดีด้วยที่ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองนั้นอยากเป็นคนดี แต่แค่อยากไม่พอ
ทุกอย่างที่อยากให้ดีขึ้นต้องเราเท่านั้นเป็นคนทำ เป็นคนเปลี่ยนแปลง จริงหรือไม่
(จริง) พ่อแม่เลี้ยงดูเรามา
พ่อแม่สอนในสิ่งที่ดีที่สุด
แล้วเราทำในสิ่งที่พ่อแม่บอกว่าดีได้ครบทุกประการหรือไม่ ครูบาอาจารย์สอนสั่งในสิ่งที่ดีทั้งหมด ถามว่าสิ่งที่ท่านสอนเราทำได้ทุกอย่างไหม
(ไม่ได้)
เราทำได้ทุกอย่างแต่เราทำไม่ครบทุกอย่าง เพราะว่ามนุษย์นั้นเป็นผู้ที่มีใจที่เกียจคร้านแฝงเร้นอยู่ ส่วนใหญ่เป็นความเกียจคร้านที่หาสาเหตุไม่ได้
ทุกวันนี้ถามว่าเราเป็นโรคอะไร เราก็เป็นโรคใจที่หาสาเหตุไม่ได้
แต่ถามว่าหมอคนไหนจะรักษาศิษย์ได้บ้าง แม้แต่อาจารย์ก็รักษาศิษย์ไม่ได้
เพียงแต่อาจารย์ปลุกศิษย์ให้ตื่นขึ้นจากความฝันของตัวเองแล้วบำเพ็ญตัวเอง
ขัดเกลาตัวเอง ซ่อมแซมและแก้ไขตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะวิเศษตรงที่ศิษย์นำไปใช้ เมื่อไม่ใช้ก็ไม่วิเศษใดๆ อะไรที่ว่าดี ดีก็เพราะว่าเรานั้นทำให้ดี
หากเราไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักทำ ก็ไม่ดีตรงไหน คนบางคนหัวสมองดีแต่คิดชั่วคิดร้าย
เขาก็เป็นคนที่ไม่รู้จักใช้หัวสมองของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ก็เหมือนกันถามว่าวันนี้เราร่างกายครบสมบูรณ์ไหม (สมบูรณ์ )
เรามีสมองไหม (มี)
ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองฉลาด ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองดี
รู้สึกว่าเราคือสิ่งที่ดีที่สุดบนพื้นพิภพนี้ แต่ว่าเราใช้ตัวเราไปในทางที่ดีทุกก้าวหรือเปล่า
เป็นคนต้องกล้าในสิ่งที่ควรกล้า เมื่อต้องเดินก็เดินให้ไว
สิ่งหนึ่งที่เราใช้ทุกวัน แล้วก็ใช้ทั้งวันด้วยคืออะไร (ตา, ร่างกาย, ปาก, หู, มือ, คำพูด, เท้า ,สมอง, ความคิด, ใจ, เสื้อผ้า, จมูก) อย่างหนึ่งที่เราใช้อยู่ทั้งวันอาจารย์พูดถึงสิ่งๆ
หนึ่ง ตาใช้ทั้งวันแต่ตาทำร้ายใครได้ไหม (ได้ ตาใช้ทำร้ายคนได้เช่นกันแต่ทำได้น้อย
หูใช้ทั้งวัน หูทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)
จมูกใช้ทั้งวันทั้งคืนด้วยห้ามหยุดเด็ดขาด ไม่มีเหนื่อยเลย
ถามว่าทำร้ายคนอื่นได้ไหม มีอีกอย่างหนึ่งอยู่บนใบหน้า (ปาก) ถามว่าทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ได้) ไหนใครเคยใช้ปากทำร้ายคนอื่นบ้างยกมือขึ้น
ถ้าไม่ถือโอกาสสารภาพผิดตอนนี้ไม่รู้จะไปสารภาพตอนไหนนะ
ใครเคยใช้ปากทำร้ายคนอื่นด้วยตั้งใจและไม่ตั้งใจยกมือขึ้น (นักเรียนในห้องยกมือ)
นี่ถึงเป็นมนุษย์โดยแท้ นี่แหละคือความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นการที่บอกว่าเราพูดไม่ผิด
คนอื่นผิด แน่แท้ไหม (ไม่) การที่บอกว่าเราพูดดีแล้วแต่เขาฟังไม่เข้าใจ แน่แท้ไหม
(ไม่) ที่เราด่าเขานั้นสมควรแล้ว แน่แท้ไหม (ไม่)
ทุกอย่างล้วนไม่แน่แท้เพราะเราก็รู้ตัวว่าเราใช้ปากไปในทางที่ผิดเช่นเดียวกัน
ทุกอย่างมีเหตุผลอยู่ในตัวของมันเอง
โดยที่ศิษย์อาจจะไม่ใช่ผู้ที่เปิดประตูทางออกให้กับเรื่องนั้นก็ได้
เรื่องราวคาราคาซังอยู่ทุกวันนี้ ในชีวิตปัญหามากมาย อาจไม่ได้จบที่ฝีมือเราก็ได้
เราอาจจะทำได้ดีที่สุดก็เพียงแค่ปลงเท่านั้น ชีวิตทุกคนมีปัญหา หลายๆ
ปัญหาเกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง เมื่อเราตัดตัวของเราออก เหมือนเราตัดแขนตัดขา
หรือตัดบางสิ่งบางอย่างที่เราเป็นผู้ต่อเข้าไป ถ้าปัญหาไม่มีมือ ไม่มีเท้า
ไม่มีแขน ไม่มีขา ปัญหาราวีผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้) แล้วแขนขาของปัญหาคือใคร
(ตัวเราเอง) เมื่อแขนขาของปัญหาคือตัวเราเอง คือสิ่งที่เราต่อเติมเข้าไป
คือคำพูดของเราที่มากเกินไป ดีเกินไป เลวเกินไป
เราจึงต้องมาสัมผัสตัวเองและสำรวจตัวเอง เริ่มอยากสำรวจตัวเองขึ้นมาหรือยัง (อยาก)
วันใดที่ศิษย์พูดว่าไม่อยากสำรวจความผิดของตัวเอง เห็นแต่ความผิดของคนอื่น
ศิษย์เอ๋ย อยากมีปัญหามากขึ้นไหม ถ้าไม่อยากมีปัญหามากขึ้น
ต้องหัดมามองตัวเองรู้ไหม กระจกเป็นสิ่งที่สะท้อนเงาของเรา เราคือคนในกระจก
แต่คนในกระจกไม่ใช่เรา เป็นเพียงแค่เงาของเราเท่านั้นเอง หลายๆ
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แม้เราจะเป็นคนสร้าง แต่งานนั้นอาจไม่ใช่ของเรา ทุกๆ
อย่างอาจไม่ได้มีเพื่อเรา ทุกๆ อย่างอาจไม่ได้ดีด้วยเรา
เราอาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น จุดจบ หรือตอนกลาง เราอาจจะเป็นสิ่งดีๆ
แต่ไม่มีใครต้องการ ฉะนั้น ทุกวันนี้ถ้าคิดได้ปลงตก
ความทุกข์จะลดลงไปครึ่งหนึ่งไหม อาจารย์หวังว่าถ้าศิษย์คิดได้ปลงตกจริงๆ
ศิษย์จะมีความสุขมากขึ้น มีทุกข์น้อยลง
การที่อาจารย์พูดเรื่องปาก
ก็เพราะว่าปากเป็นสิ่งที่ทำให้ศิษย์มีปัญหามากขึ้นจริงๆ
เมื่อเราเปิดปากพูดกับผู้อื่นสิ่งที่เป็นคำดีมีอยู่นิดหนึ่ง
แต่สิ่งที่เป็นคำไม่ดีมีอยู่มากมาย เมื่อเราพูดกับตัวเอง
เราก็พูดแต่ในสิ่งที่เข้าข้างและเข้าใจตัวเอง
เราพูดเมื่อไหร่ก็มีปัญหาออกมาเมื่อนั้น แต่ถามว่าการเงียบไม่พูดนั้นมีปัญหาไหม (ไม่มี)
ต้องดูว่าถ้าพูดมากแล้วเงียบ อันนี้มีปัญหา แต่ถ้าเงียบแล้วพูดมาก
ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน แล้วเงียบอย่างไรล่ะจึงจะไม่มีปัญหา (เงียบอย่างมีสติ,
เงียบเพราะถูกคนอื่นว่า, ตอบโต้กับความโกรธ,
เงียบแล้วฟังเหตุผล)
ที่บ้านของเรามีคนสูงวัยไหม เราให้ความสนใจกับคนสูงวัยมากหรือเปล่า
(มาก) เรารู้สึกว่าเราให้มากแล้ว
แต่ส่วนใหญ่อาจารย์เห็นบางทีลูกหลานมักไปหาในเวลาที่คนสูงอายุต้องการพักผ่อน
แต่ในเวลาที่ท่านว่าง เรากลับไม่มีเวลาให้ เรียกว่าไปผิดเวลา ใช่หรือไหม
(ใช่) เวลาเราไปทีไรเห็นท่านง่วงซึมง่วงนอน
แล้วเราก็บอกว่าท่านง่วงนอนแล้วก็รีบออกมาดีกว่า อันนี้เป็นการยกตัวอย่างให้ฟัง
มีคำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า “เสื้อต้องใหม่ถึงดี
แต่คนต้องเก่าถึงจะดี” เรามีของดีที่บ้าน
จงให้ความสนิทสนมเอาใจใส่เขามากเป็นพิเศษ เขาเรียกร้องเรามากเรารู้สึกรำคาญ แต่ถามว่าวันไหนไม่มีเขาเรารำคาญใครดี
ถึงตอนนั้นไม่มีเขาเรานี้ล่ะคนแก่ รำคาญตัวเองไหม (รำคาญ)
ถามว่าทุกวันนี้ขี้บ่นเหมือนคนแก่ไหม (เหมือน)
จู้จี้ เรื่องมากเหมือนคนแก่ไหม เพียงแต่เรายังมีกำลังไปไหนมาไหนได้
เรายังพูดยังทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้ เราจึงมองเห็นตัวเองไม่เหมือนคนแก่ แต่สักวันหนึ่งเราต้องแก่ จริงไหม (จริง)
เพราะฉะนั้นคนแก่ที่บ้านสำคัญไหม (สำคัญ)
อยากให้ลูกหลานกตัญญูต่อตัวเองเราก็ต้องกลับไปกตัญญูต่อคนสูงวัยที่บ้าน
ไม่ว่าเขาจะไม่ใช่พ่อแม่ จะรู้จักหรือไม่รู้จักกัน เจอกันริมถนน
เจอกันข้างทางเอื้อเฟื้อให้เขา เป็นการสั่งสมวาสนาบารมีให้กับตนเอง เข้าใจไหม
(เข้าใจ)
สังคมโลกที่ศิษย์อยู่นั้นเสื่อมโทรม ศิษย์จงทำให้มันดีขึ้น
ไม่ใช่ดูแลเอาใจใส่เพียงแค่คนในบ้าน เราทำดีกับคนในบ้านสิบครั้ง
เขาจะขอบคุณเราสักครั้งยากไหม (ยาก)
แต่คนข้างนอกนี่เราทำดีกับเขาครั้งเดียวเขาจะขอบคุณแล้วขอบคุณอีก
จริงหรือเปล่า (จริง)
เพราะฉะนั้นจงพูดคำว่า “ขอบคุณ”และ “ขอโทษ” กับคนในบ้าน จงรู้จักที่จะพูด จงรู้จักที่จะคิด
คำว่าเงียบในโลกมนุษย์นั้น คือการปิดปาก
แต่ความหมายของอาจารย์คำว่า “เงียบ”
คือ การรู้จักพูดในสิ่งที่ควรพูด แล้วพูดแต่น้อยพูดพองาม
พูดพอดี พูดรู้จักกาลเทศะ พูดให้เหมาะสมกับฐานะตัวเอง นี้คือคำว่าเงียบ ใช่หรือไม่
(ใช่)
ฉะนั้นคำว่าเงียบจึงหมายความว่าพูดให้พอดีพอเหมาะ เหมาะสมทำได้หรือไม่
(ทำได้) คนพูดมากโลกนี้มีเยอะไหม
(เยอะ)
ทำอย่างไรจะอยู่กับคนพูดมากอย่างมีความสุข (เป็นผู้ฟังที่ดี) คนเรามีคำพูดที่ไม่แน่ใจออกมาในผลประโยชน์นั้น
จริงหรือไม่ (จริง)
นี่เป็นเรื่องที่น่าระวัง
อยู่กรุงเทพฯ มีผลประโยชน์เยอะไหม (เยอะ) เวลาที่เราชักเงินเข้า ชักเงินออก อย่างไรก็ได้
เท่าไหร่ก็ได้ อีกคนดูออกไหม (ออก, ไม่ออก) แสดงว่ามีคนคิดว่าดูไม่ออก แต่จริงๆ แล้ว ส่วนใหญ่คนจะดูกันออก
แต่ว่าเราก็สำรวมไว้ซึ่งมารยาทซึ่งกันและกัน จริงหรือเปล่า (จริง)
ฉะนั้นมารยาทที่คนปัจจุบันหมายถึงจึงเป็นมารยาทที่เป็นมารยาทสังคม
อาจารย์อยากให้ศิษย์จริงใจนะ ใช้มารยาทจริงใจ ไม่ใช่มารยาทสังคม
อย่าได้เป็นคนที่อยู่ในเมืองกรุงแล้วถูกความเจริญกลืน ถูกผลประโยชน์กลืน
ถูกความคิดต่างๆ ครอบงำ แล้วคิดว่า การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่ไกลตัว จริงๆ
แล้วการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก อย่างที่ศิษย์คาดไม่ถึง
การที่ศิษย์อยู่ที่ทำงานแล้วถูกเพื่อนร่วมงานแกล้ง ใส่ร้ายป้ายสี โมโหใส่ นั่นเป็นสถานที่ที่ศิษย์นั้นจะใช้ฝึกฝนซ่อมแซมตัวเอง
เวลาเข้าห้องน้ำ พอเปิดเข้าไปแล้วเห็นห้องน้ำห้องนี้สกปรกแล้วทำเช่นไร ก็ปิดนะ
แล้วมีใครเคยคิดไปกดไหม (มี) ทำบ่อยหรือเปล่า (ไม่บ่อย) อาจารย์เห็นคนกรุงเทพฯ
ทำอะไรก็ต้องรีบ อะไรก็ไม่ว่าง แต่ทำอะไรไม่ค่อยเสร็จเลย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนคนที่นั่งอยู่แถวหน้าอ่านกลอนให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนฟัง)
“คำบางคำใช่วาจาผู้บำเพ็ญ” คำพูดใดที่ไม่ใช่คำพูดที่ผู้บำเพ็ญควรพูด อย่างเช่น คำหยาบ
คำโกหก คำพูดเสียดแทงจิตใจ คำพูดไร้สาระ คำพูดกำกวม คำพูดที่บิดเบือนไปจากความจริง
คำพูดอะไรอีก (คำพูดนินทา, คำพูดที่ไม่มีสัจจะ,
คำพูดที่ใส่ร้ายผู้อื่น, คำพูดที่ทำให้คนอื่นเสียใจ)
มีคำพูดตั้งมากมายแต่อาจารย์จะสรุปลงมาหนึ่งคำ คือคำว่า “ประจบสอพลอ”ใครประจบหรือใครทำด้วยความเต็มใจย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง
คนบำเพ็ญควรพูดตรงไปตรงมา พูดปากตรงกับใจ แต่นิสัยการพูดตรงมากเกินไปดีหรือเปล่า
(ไม่ดี) การพูดตรงไปตรงมาจึงต้องมีคำจำกัดความว่า ควรจะพูดในสิ่งที่ดี แล้วก็พูดอย่างพอเหมาะพอควร
พูดโดยดูกาลเทศะ พูดตรงๆ แต่คำต้องเย็น อย่างเช่น สรรพนามแทนตัวเองมีหลายอย่าง
คำไทยเป็นคำที่มีคำพูดอยู่หลายหลาก เพราะฉะนั้นคำพูดมีมากมายให้เลือก
เปรียบเสมือนบนโต๊ะพระมีของอยู่มากมาย อาจารย์จะเลือกหยิบอะไรก็ได้
หยิบอะไรบนโต๊ะก็เรียกว่าผลไม้เหมือนกัน แต่ว่าผลไม้มีสีสันต่างกัน
คำพูดที่พูดออกไปจึงต้องเหมาะกับผู้ที่รับ โดยใช้คำที่ฟังแล้วเย็นใจ คำพูดตรงๆ
ที่เป็นคำเย็นก็จะเห็นวิถี เห็นวิถีคือเห็นทาง ทุกวันนี้คุยกันจบแล้วมีทางไหม
(ไม่มี) ไม่เหลือทางเลยใช่ไหม (ใช่) พูดกันตรงๆ แต่พอจบแล้วตัวใครตัวมัน
คำพูดต้องเกิดด้วยคนสองคน เราพูดคนเดียวได้ไหม (ไม่ได้) พูดคนเดียวเป็นคนบ้า เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าร่วม
คือเกิดจากคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นร่วมลดละเจาะจงในคำพูดบางคำร่วมกัน
อย่ามีใครไปยุให้ใครโกรธ ให้ใครโมโห สนทนาต้องมีความเกรงใจกันมากๆ
จึงจะเป็นคำสนทนาที่น่าฟัง เมื่อเราใช้ปากของเราพูดกับคนทุกคน จงพูดในสิ่งที่ดี
ทำได้ไหม (ทำได้) หวังว่าคำว่า “ได้” คำนี้จะสะท้อนไปในใจศิษย์นะ
เวลาอยากจะไปทะเลาะกับใคร โมโหใคร เกลียดใคร ไม่พอใจอะไร คำว่า “ได้” ที่ศิษย์รับปากอาจารย์จงอบอวลอยู่ในใจ
ตอนนี้เริ่มอยากจะมีความสุขในชีวิตบ้างหรือยัง (อยาก) ศิษย์รู้จักคำว่าสุขจริงหรือเปล่า
ศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้มีความสุขบ้างไหม
แต่เห็นไหมว่าความสุขของเรานั้นมันแปรสภาพเป็นความทุกข์ไปในวันข้างหน้า
เมื่อคนเราโลภความสุขในเฉพาะหน้า เห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า
เราจะเป็นคนที่มีความทุกข์ที่สุดเลย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหัดที่จะมองการณ์ไกลเพื่อหาสุขที่มันจีรังยั่งยืน
เปรียบเสมือนคนที่ทำการค้าอย่างไม่บริสุทธิ์โปร่งใส ถามว่าอนาคตเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)
เห็นไหมว่าศิษย์นั้นตอบได้เลย อะไรควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ จริงๆ
แล้วศิษย์เป็นผู้ที่มีปัญญาล้ำเลิศ ถ้าหากว่าตอนนี้รู้ตัวว่าตัวเองนั้นป็นคนฉลาด
แสดงว่าศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีปัญญาในเบื้องต้นแล้ว
แต่มิได้หมายความว่าคนที่มีความโง่แล้วไม่มีปัญญาจริงไหม (จริง)
อาจารย์เล่านิทานเรื่องหนึ่งดีไหม (ดี) มีคนๆ หนึ่งมีชื่อว่า “คุณฉลาด” คุณฉลาดถูกสั่งให้แบ่งขนมเปี๊ยะเป็นสี่ชิ้น
เพื่อให้คนห้าคน อีกคนหนึ่งชื่อ “คุณเมตตา” ก็ถูกให้แบ่งขนมเปี๊ยะสี่ชิ้นให้คนอีกห้าคนเช่นเดียวกัน
แต่ว่าคนที่เป็นคนฉลาดเขาจะแบ่งอย่างไร
คนสี่คนได้แก่ เบอร์หนึ่ง เบอร์สอง เบอร์สาม เบอร์สี่ แล้วคนที่ห้าคือตัวเขาเอง
คุณฉลาดทำอย่างไร (แบ่งให้ทุกคนแต่ก็แบ่งให้ตัวเองด้วย)
ไหนใครคิดว่าคุณฉลาดจะแบ่งเป็นสี่ชิ้น ไหนใครคิดว่าคุณฉลาดจะแบ่งเป็นห้าชิ้นเพื่อตัวเองด้วยยกมือขึ้น
ชื่อก็เป็นคำตอบแล้วว่าคนๆ นี้จะแบ่งเป็นห้าชิ้น เพื่อตัวเองด้วยหนึ่งชิ้น
อีกคนหนึ่งถูกบอกว่าให้แบ่งขนมสี่ชิ้นสำหรับคนห้าคนรวมตัวเองด้วย
คนนี้ทำอย่างไร ไหนใครคิดว่าเขาแบ่งสี่ชิ้นยกมือขึ้น คุณเมตตาก็แบ่งขนมออกเป็นกี่ชิ้น (สี่ชิ้น)
คนสี่คนนั้นคือคนที่เขาควรที่จะแบ่งให้ทั้งสี่คน แต่ว่าเขาไม่ได้มองแค่สี่คนนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้มองตัวเอง
เขามองไปถึงคนอื่นด้วย เพราะว่าตรงนี้มีอยู่สี่คนไหม ตรงนี้มีคนอยู่เป็นร้อยคน
เพราะฉะนั้นคุณเมตตาก็พยายามจะให้คนทุกคนได้กิน สมมติว่าในห้องนี้มีคนอยู่สิบคนนะ
เพราะว่าเดี๋ยวคุณเมตตาจะลำบากเกินไป
สิบเอ็ดคนรวมเขาด้วย เขาก็ใช้การแบ่งเป็นสิบชิ้นเพื่อที่จะให้คนสิบคนโดยไม่มีส่วนของตัวเอง
ฉะนั้นความซื่อตรงคนในโลกที่เห็นว่าเป็นความโง่ คนๆ นั้น โง่ที่สุด
ส่วนคนผู้มีปัญญามองความโง่เป็นคุณวิเศษ ในบัดนั้นเขาแบ่งให้คนสิบคนโดยที่ไม่ได้นับตัวเอง
คนฉลาดมามองก็บอกว่าคนนี้โง่มากเลย แต่ถามว่าด้วยสายตาของคนที่มีความคิดแล้วก็ความฉลาดนี้เอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน การบำเพ็ญธรรม การที่จะบอกว่าสิ่งใดถูก หรือสิ่งใดผิดจึงเป็นเรื่องคาบเกี่ยวและบอกได้ไม่ชัดเจน
ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนว่ามองจากสิ่งใด คุณฉลาดมองด้วยมุมมองของนักธุรกิจโลก นักธุรกิจแห่งโลกไม่ใช่นักธุรกิจระดับโลกนะ
ส่วนคุณเมตตามองด้วยมุมมองของผู้บำเพ็ญ
ในการบำเพ็ญธรรมร่วมกันมีทั้งนักธุรกิจแห่งโลก
มีทั้งคนที่เป็นคุณเมตตามากมาย ฉะนั้นบางทีเวลาเราทำอะไร
เราต้องเป็นผู้ที่มั่นใจในตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าสิ่งใดผิด
รู้ว่าสิ่งใดถูก แล้วทำตามที่เรานั้นเป็นผู้มีความสำนึกที่สุด ให้ทำเต็มที่ตามนั้น ด้วยจิตสำนึกแห่งพุทธะ
ไม่ใช่จิตสำนึกแห่งปุถุชน แม้จะถูกว่าโง่บ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เป็นไรไหม (ไม่เป็นไร)
คนในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทา แม้บางบ้านมีแค่สองคนแม่ลูก ลูกก็ยังพูดถึงแม่ แม่ก็ยังพูดถึงลูกเลยใช่หรือไม่
(ใช่)
เพราะฉะนั้นเมื่อศิษย์เป็นคนในโลกที่ต้องการบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้น
ต้องการแสวงหาความสุขที่แท้จริง ศิษย์ต้องเสียสละบางสิ่งที่เป็นกิเลส ที่เป็นตัณหา
ที่เป็นความทุกข์ที่เกิดจากตัวเราเป็นผู้เสาะแสวงหามาเอง
แม้กระทั่งการยิ้ม คนยังต้องฝืนยิ้ม
ถ้าเราฝืนยิ้มได้เราก็เป็นผู้ที่มีชัยชนะเหนือตัวเอง
หากว่าเรายิ้มไม่ออกเราก็เป็นผู้ล้มเหลวให้กับตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาศิษย์ดูทีวี ถามว่าคนดูทีวีหรือว่าทีวีดูคน
บางทีเปิดทีวีเพราะว่าเหงา บางครั้งพอเปิดมาแล้วต่อให้ไม่อยากดูแต่ศิษย์ปิดไหม
(ไม่ปิด) ศิษย์ไม่ยอมปิด
มีอำนาจเหนือตัวเองเมื่อยามเอื้อมมือไปกดสวิตซ์เปิด
และมีอำนาจเหนือตัวเองอีกครั้งเมื่อยามศิษย์ไปกดปิด
ฉะนั้นทุกวันนี้กิเลสที่ศิษย์มีทั้งหมดเป็นสิ่งที่ศิษย์นั้นไปกดเปิดไว้
ศิษย์จะมีอำนาจเหนือตัวเองอีกครั้งตอนที่ศิษย์ตัดกิเลสทุกอย่างได้ ทำได้ไหม (ได้) นี่เป็นเพราะผู้อื่นให้กำลังใจใช่หรือไม่
กำลังใจที่อ้างนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เรานั้นเอาไว้หลอกตัวเองเท่านั้น คนทำได้หรือทำไม่ได้
บำเพ็ญได้ดีหรือไม่นั้นอยู่ที่ตัวเราเอง
ความผิดบางเรื่องเราฝังและกลบด้วยคำพูดดีๆ
ความผิดบางเรื่องนั้นเราทำดีเพื่อกลบมันไว้ จะกลบใครก็กลบได้แต่กลบตัวเองไม่มิด
เราไม่สามารถจะกลบในสิ่งที่เราทำ และไม่สามารถจะปิดบังตัวเองได้
เห็นไหมว่าตั้งแต่แรกที่อาจารย์มาก็พูดถึงตัวศิษย์ทั้งนั้น
ฉะนั้นศิษย์จึงเป็นสิ่งที่มีค่าประเสริฐที่สุดในพื้นพิภพนี้
แต่ว่าศิษย์มิได้เห็นค่าของตัวเองเท่าที่คุณค่าของตัวเองมี
และช่วงใช้ชีวิตของตนอย่างไม่รู้คุณค่าเลย อาจารย์พูดอย่างนี้ถูกไหม
บางทีเราให้ร้ายกับตัวเองด้วยการกิน
บางทีเราให้ร้ายกับตัวเองด้วยการหาความบันเทิงใส่ตัว
และบางครั้งให้ร้ายตัวเองด้วยการตามใจตัวเองสารพัดในเรื่องต่างๆ
คุณธรรมกับสิ่งที่ถูกใจมีความแตกต่างกัน
คุณธรรมว่ากันไปตามสิ่งที่เราควรที่จะทำ ควรที่จะได้ และควรที่จะเป็น
คุณธรรมนั้นเป็นสิ่งที่คิดถึงผู้อื่นก่อน แต่สิ่งที่ถูกใจเราใช่คุณธรรมไหม
สิ่งที่ถูกใจเราจึงต่างจากคุณธรรมมาก
เพราะสิ่งที่ถูกใจเรานั้นเราเพียงแต่เอาจิตใจของเราเป็นผู้รองรับและวัดด้วยจิตใจของเราเท่านั้น
เราชอบใจได้มากแค่ไหน ฉะนั้นทุกวันนี้ถามว่าเป็นผู้บำเพ็ญฝึกคุณธรรมหรือเปล่า
บางครั้งที่ถูกใจกับคุณธรรมก็อาจจะตรงกัน
แต่บางครั้งสิ่งที่ถูกใจกับคุณธรรมก็ไม่ตรงกัน
เมื่อศิษย์เริ่มเดินศิษย์อาจจะหาสิ่งที่พึงพอใจและคุณธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งศิษย์ทำสิ่งนั้นได้
แต่เมื่อศิษย์บำเพ็ญไปนานๆ แล้ว
มัวแต่ไปหาสิ่งที่มันตรงกันระหว่างคุณธรรมและความพอใจย่อมไม่เจอ
บางคนยังไม่ค่อยเข้าใจนะ ค่อยๆ อ่านดูใหม่แล้วกันนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทครอบ)
เห็นไหมว่าศิษย์นั้นไม่เหมือนใคร คนอื่นเขาวงกลมๆ แต่ศิษย์วงเหลี่ยม จริงๆ
แล้วศิษย์เป็นคนที่ไม่เหมือนใคร หากว่านำชีวิตของตัวเองเข้ามาทางบำเพ็ญได้จะดีมาก
อาจารย์ไม่ต้องการเรียกร้องเงินทอง ไม่ต้องการอะไรของศิษย์ทั้งสิ้น ต้องการแต่เวลา
เวลาสำคัญกว่าเงินหรือเปล่า หายากกว่าเงินอีกนะ แต่ก็ต้องหา ไม่หาวันหนึ่งก็ต้องว่าง
เราไม่ว่างวันหนึ่งก็ว่างเองจริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง “เห็นธรรมในผู้คน”
ทำนองเพลง “ยิ่งกว่าเสียใจ”)
มนุษย์บอกว่าการร้องเพลงอย่างถูกต้องตามท่วงทำนองเป็นความไพเราะ
ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ถูกตีกรอบ
แล้วก็แหกกรอบ เพราะฉะนั้นบางทีจงคิดด้วยใจอิสระเสรี แต่จงอย่าต่อต้านกรอบที่มี
เพราะว่ากรอบก็คือการทำให้คนมีระเบียบวินัย แต่การคิดอย่างอิสระเสรีเพราะใจนั้นไม่มีกรอบ
ฟังแล้วอาจขัดกัน แต่จริงๆ แล้วไปด้วยกัน
“คนเมื่อวานไล่ทันคลื่นที่ฝังตน” ก็มาจากคำพูดที่ว่า
“คลื่นลูกใหม่กลบคลื่นลูกเก่า” แต่หากว่าคลื่นลูกเก่าไม่อยากถูกกลบก็ต้องวิ่งไป
คนเมื่อวานก็คือคนที่เรามองว่าเขาเด็กกว่า ไร้ความสามารถกว่า
ไล่ทันเราซึ่งเป็นคลื่นที่เก็บตัวเงียบ
บางคนเป็นอาวุโสกว่าแต่เก็บตัวเงียบไม่ทำงาน ไม่มีผลงาน ก็เป็นคลื่นที่ฝังตน เป็น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาทครอบ)
ผู้หญิงที่ไหนก็เยอะกว่าผู้ชาย
ผู้หญิงรวมๆ กันมีกำลังมากกว่าผู้ชาย จริงหรือไม่ (จริง) ผู้หญิงเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอที่สุด
พูดภาษาเดียวกันแต่พูดไม่รู้เรื่องมากที่สุด เพราะจิตใจของเรานั้นอ่อนไหวง่าย
ต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งกว่านี้อีกหน่อย ต้องรู้ว่าเราต้องเป็นผู้หญิงเหล็กด้วย
อย่ามีจิตใจอ่อนแอ คนอ่อนแอคือคนแพ้ตลอดกาล ศิษย์อยากเป็นผู้ชนะตัวเองและชนะคนอื่น
ศิษย์ต้องมีใจที่เข้มแข็ง อย่าให้คนอื่นมาทำร้ายจิตใจของเราได้ง่าย
คนอื่นพูดทำร้ายเราหรือทำอะไรที่เป็นการทำร้ายเรา แต่เรารับไม่รับ เมื่อเราไม่รับ
ใจของเราก็ไม่รับด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ลองยิ้มให้อาจารย์หน่อยสิ อาจารย์ไม่อยู่ก็ยิ้มให้คนข้างๆ
พุทธะไม่ได้มีอยู่ให้เห็นบ่อยครั้ง มนุษย์ก็เห็นมนุษย์เป็นมนุษย์
เพราะฉะนั้นพบใครก็มีแต่ปัญหา เวลาศิษย์นั้นรู้สึกไม่ชอบอะไร หรือไม่พอใจอะไร
ลองมองคนข้างๆ ให้เขาเป็นพุทธะ มองคนข้างๆ เป็นอาจารย์ มองคนข้างๆ
เป็นคนที่เรารักบ้าง เปลี่ยนสภาพจิตใจตัวเองบ้าง บำเพ็ญจากภายในออกมาสู่ภายนอก
แล้วบำเพ็ญจากภายนอกเข้าไปสู่ภายในทำได้ไหม (ได้)
ถ้าภายในบำเพ็ญยาก ก็มาบำเพ็ญภายนอก ถ้าภายนอกบำเพ็ญยากอีก ก็ไปบำเพ็ญภายใน
ดีหรือไม่ (ดี) แต่บำเพ็ญไปบำเพ็ญมาไม่ใช่บำเพ็ญอยู่คนเดียว
ยิ่งพบคนมากเท่าไร ศิษย์ของอาจารย์จะมีโอกาสได้บำเพ็ญมากเท่านั้น
ยิ่งมีโอกาสขัดเกลาอารมณ์ ยิ่งมีโอกาสรู้จักตัวเอง กระจกที่ส่องคือเงาของเรา
เราย่อมเห็นได้ แต่คนที่จะเป็นกระจกส่องให้เราคือคนที่อยู่ตรงข้ามเราทุกๆ คน ทุกคนย่อมเป็นกระจกส่องพฤติกรรมนิสัยของเราได้อย่างดี
มีคนมากมายอยากเป็นกระจกให้เรา มีคนมากมายอยากจะบอกว่าเราทำผิดตรงไหน
หากเราเป็นนักฟังที่ดี เราจะได้อะไรดีๆ ตลอดเวลา เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
อย่าคิดมาก คิดมากแล้วไม่มีความสุข ความคิดมาก มากขึ้นตามอายุด้วยหรือเปล่า
(มาก) ยอมรับตัวเอง แต่ไม่แก้ไขตัวเอง
ลำบากไหม (ลำบาก) ความคิดมาก
มากขึ้นตามอายุก็จริงแต่ยิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งต้องเด็กลง
เพราะฉะนั้นยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งต้องคิดน้อยลง
เราใช้การปล่อยวางไว้รับมือกับความคิดมากของเรา
เรามีมาตรการการรู้ผิดชอบชั่วดี การแยกแยะ เรามีปัญญา เรามีความคิดอ่าน
เรารู้อะไรผิดชอบชั่วดี ทำไมเราเป็นคนคิดมากไปได้ เพราะฉะนั้นมาตรการต่างๆ
ธรรรมะพูดตั้งมากมายหากไม่ได้ใช้ก็เหมือนไม่ได้บำเพ็ญ
ธรรมะฟังตั้งมากมายหากไม่เก็บไปใช้ก็ไม่ได้ประโยชน์
คนพูดแต่ทำไม่ได้ในโลกนี้มีตั้งมากมาย แต่ศิษย์ของอาจารย์พูดอะไรแล้วทำอย่างนั้นเท่านี้ก็ดีหนักหนาแล้ว
ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : นิราศนุช
จิตใจของเราหนึ่งดวงเป็นจิตใจที่เป็นเอกเทศ ต่างคนต่างมีใจดวงเดียว
จิตใจของศิษย์มีดวงเดียว อย่าใช้ใจดวงเดียวคิดเรื่องหลายๆ เรื่อง พร้อมๆ กัน
ไม่อย่างนั้นใจของเราจะรับไม่ไหว ใจของเราจะแบกทุกข์มากเกินไป
ใจของเราจะแบกหนักเกินไป เมื่อใจดวงหนึ่งมีทิศทางอันถูกต้อง
ไม่รักอิสระจนกลายเป็นการถูกอิสระกักขัง จิตใจดวงนี้รวมๆ
กันแต่จะรวมกันด้วยอะไรเป็นศูนย์รวม อยากให้ศิษย์นั้นรวมด้วยใจอันเป็นศูนย์รวมด้วยกันคือธรรมะ
ใช้ธรรมะในการคิดอ่านสิ่งใด อย่าคิดอย่างคนที่ไร้ทิศทาง หรือคิดร้ายเข้าว่า
คิดดีไม่เป็น เป็นคนต้องมองโลกในแง่ดี มองโลกในแง่ดีไม่ได้ก็เป็นสุขไม่ได้
อย่ามีความทุกข์เพราะเรื่องไร้สาระ อย่ามีความสุขสั้นๆ เพราะว่าเราคือคนๆ
หนึ่งที่สามารถบำเพ็ญบรรลุได้เช่นเดียวกัน หากศิษย์ไม่เชื่อตัวเอง
แล้วศิษย์จะบอกใครได้ว่ามาบำเพ็ญอะไร
ในเมื่อศิษย์ของอาจารย์ไม่มีใครเชื่อตัวเองว่าตัวเองสามารถพ้นทุกข์ได้
แต่การสำเร็จเป็นพุทธะนั้นมิได้บอกว่าสำเร็จตอนที่สิ้นร่างกายนี้ไปแล้ว
แต่ต้องสำเร็จตั้งแต่อยู่ในโลก ทุกวันนี้มีคนชมเราไหม (มี) ทุกวันนี้มีคนเคารพเราไหม
ทุกวันนี้เราเป็นผู้ที่คนอื่นนั้นยกย่องชมเชย หรือให้ความเคารพเราด้วยความจริงใจหรือไม่
นี่คือความจริง ศิษย์ต้องให้คนทุกคนสามารถเคารพยกย่องศิษย์ด้วยใจจริง
เพราะว่าพฤติกรรมของศิษย์นั้นดีขึ้น เพราะคำพูดคำจาของศิษย์ดีขึ้น พุทธะ
อาจารย์มาวันนี้ ก็ไม่ได้ให้ศิษย์มาติดในรูปหรือในร่างที่อาจารย์ใช้
มิได้ให้ติดในธรรมะหรือข้อธรรมที่อาจารย์พูด แต่ให้ศิษย์นั้นเข้าถึงธรรมะ
เลาะเปลือกออกแล้วเข้าให้ถึงแก่น ให้พลังแห่งธรรมะออกมาจากภายในตัวศิษย์
ให้ชีวิตที่ดีงามเกิดขึ้นใหม่บนชีวิตเดิม ใครที่ทำไม่ดีหรือท้อใจ เหนื่อย
ศิษย์เอ๋ย ทุกคนเหนื่อย อาจารย์เหนื่อย ไม่มีใครที่ไม่เหนื่อย
แต่เหนื่อยให้มีคุณค่า ให้สมกับที่เกิดมา ศิษย์นั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าอาจารย์อีก
เพราะว่าศิษย์มีร่างกายอันเป็นกายเนื้อ นึกจะพูดเมื่อไรก็พูดได้
นึกจะทำอะไรก็ทำได้ อยากเป็นอะไรก็ไปพยายามเอา
แต่ทุกวันนี้มีชีวิตที่วุ่นวายสับสนประหนึ่งคนตายแล้ว ไม่มีชีวิตจิตใจ
ไม่มีความสดชื่น ไม่สามารถรื่นรมย์กับลมหายใจของตนเอง เหมือนกับไม่ชอบชีวิตตัวเอง
เหมือนกับเวลาในปัจจุบันไม่ใช่เวลาที่ศิษย์อยากจะมีชีวิตอยู่
ศิษย์อยากกลับไปมีชีวิตอยู่ในอดีตที่จมไปแล้ว
หรือศิษย์อยากมีชีวิตในอนาคตที่เอื้อมไม่ถึง แล้วปัจจุบันล่ะ
ปัจจุบันเป็นเวลาที่ดีที่สุด เป็นเวลาที่มีค่าที่สุด ใช่ไหม (ใช่) ทำอะไรได้อย่างนั้น ทำดีต้องได้ดีแน่
ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องคิดมาก
ขอกำลังใจจงผ่านไปตามเสียง ส่งไปตามอากาศ ให้ศิษย์ทุกๆ
คนมีกำลังใจเข้มแข็งในการบำเพ็ญ ให้ก้าวทุกก้าวของศิษย์นั้นหนักแน่นเหมือนดั่งภูผา
อย่าล้ม อย่าโยก อย่าคลอนลงง่าย ขอให้เป็นคนที่มีปัญญา คิดอ่านอะไรได้ปลอดโปร่ง
รอบคอบ ทำสิ่งใดขอให้ราบรื่น ศิษย์เอ๋ย
คำอวยพรจากอาจารย์ไม่ดีเท่าคำอวยพรที่ศิษย์นั้นเฝ้าภาวนาและอวยพรกับตัวเองทุกๆ วัน
เชื่อมั่นในตนเอง รักตนเอง อย่างเป็นผู้ที่หวังดีต่อตนเอง
อาจารย์ภาวนาทุกวันขอให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญได้โดยง่าย แต่มนุษย์นั้นศิษย์เองก็รู้
ทุกคนเกิดมาตามกรรม ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้หนี้กรรม เกิดมาพร้อมกับความยากลำบาก เหมือนมันจะไม่ยอมพลัดพรากจากศิษย์ไปแม้แต่วินาทีเดียว
ขอให้สูงส่งด้วยปัญญา เอาชนะแม้ไม่มีอะไรง่าย แต่อาจารย์อยากบอก ก็ไม่มีอะไรยาก
รักษาสุขภาพ รักษาใจ รักษากาย รักษาพลังและส่งเสริมกันให้ดี กรุงเทพฯ
เป็นเมืองที่จิตใจคนแปรปรวน แต่จิตใจของศิษย์ทุกคนของอาจารย์มั่นคงดี
อย่าได้ถูกกระแสของโลกีย์ซัดพาเอาจิตใจที่มีใจนั้นไปตามกระแสโลก รักษาธรรมในตัว
อย่าลืมนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
การบำเพ็ญเรื่องสำคัญทุกวันต้องเร่งขวนขวาย อันภายในเรื่องของใจบำเพ็ญต้องให้แข็งขัน ทุกข์จากไหนไม่ถือมั่น เหนือโลกผูกพันสำราญฤทัย ขอความเคร่งครัดชัดลงไป วุ่นวายได้ปัญหาเฉพาะตน
คนบำเพ็ญผู้รู้จริงล้วน คงมั่นไม่หุนหัน เป็นอาการผู้รู้กาลดู เรียบง่ายฉายแฝง ยึดเป้าหมายชัดแจ้งว่าการฝ่าฟันทุกข์นานต้องปลง คำเตือนไม่ไร้คำตรงตรง ลดละเจาะจงต้อง อย่าคิดไปมาก
ธรรมะกระจ่างแล้ว ต้องประพฤติไม่ยึดมั่นตนนี้อยู่ทุกวัน ปัญหาคาใจมิวายโศกศัลย์ก็เพราะเชื่อมั่นจนไม่หายใจ ผู้ใดศึกษาเพียรมามากหลงทีก็มักลึกเกินใครใคร หันมาเรียกร้องตนเอง ให้ย้อนตนข้างในเนื้อแท้ตน
พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติ
ผู้บำเพ็ญรู้สึกไหมว่า
เรื่องเยอะมากขึ้น เพราะอะไร
มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) มีตัวเราก็มีความวุ่นวาย
ไม่มีตัวเราก็ไม่มีความวุ่นวาย แสดงว่าสิ่งที่เรามีมากมายอยู่ตอนนี้เรียกว่าอัตตา ไม่สำคัญว่าใครหน้าตาสวยหรือไม่สวย ไม่สำคัญว่าใครคิดอะไรอย่างไร ไม่ได้ต่างกันที่อายุของการบำเพ็ญ
ไม่ได้ต่างกันที่รูปลักษณ์ภายนอกที่แสดงออก ไม่ได้กันที่สมอง มีความรู้
แต่ต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงที่จิตใจ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมมิใช่การบำเพ็ญเพื่อเปลือกนอก
ที่บำเพ็ญแล้วไม่มีความสุขมากขึ้นทุกวัน เมื่อมากขึ้นทุกวัน เพราะอะไร ลองจับปากตัวเองสิว่าเราหยุดพูดหรือยัง
ทุกคนไม่หยุดอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกให้ใครหยุด ใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้เรามาอยู่ที่จงซิน พูดกันแรงๆ นิดหนึ่ง
เพื่อผลักให้ตื่นให้หมด ต้องหยุดเอง อาจารย์มาทุกครั้งอาจารย์เรียกศิษย์บำเพ็ญ ศิษย์ไม่บำเพ็ญก็เรื่องของศิษย์
อาจารย์ทุกครั้งมาเรียกให้ศิษย์บอกว่าทำให้ดีมากขึ้น
ศิษย์ไม่ได้กลับไปทำให้ดีมากขึ้น ศิษย์ไม่ได้เห็นชีวิตประวันเป็นของเราเป็นสนามสอบ แต่เห็นมันเป็นความทุกข์ มันก็ทุกข์ ใช่ไหม
(ใช่) เห็นไหมว่า อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแต่ละท่านทำงานเหนื่อยหนัก
และบางท่านศิษย์ก็มองว่ายังฉลาดไม่เท่า เก่งไม่เท่า ดีไม่เท่า
ศิษย์ไม่ได้มีความคิดอย่างนี้อย่างรุนแรง ยังดีที่ศิษย์ไม่ได้มีความคิดนี้อย่างรุนแรง
แต่ความคิดพวกนี้เริ่มอยู่ในใจของศิษย์แล้ว ใช่ไหม
ฉะนั้นจงมองทุกคนให้เป็นพุทธะไม่ว่าใคร ไม่นินทาใคร ไม่เห็นใครไม่ดี
ไม่เห็นเราดีกว่าใคร ทุกคนอยู่ที่นี่เป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาทั้งนั้น เป็นคนไม่มีเวลาแต่คำพูดที่ได้ยินกันมาเสมอคือ
อีกหน่อยต่อให้ไม่มีเวลายังไงก็ต้องไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอนาคตอย่างไร ปัจจุบันต้องสร้าง
อาจารย์อยากเห็นศิษย์ทุกคนบำเพ็ญดีขึ้น แล้วก็ตั้งใจบำเพ็ญ ที่นี่สถานธรรมส่วนกลาง
อยากให้ทุกคนนั้นมามีส่วนร่วม เมื่อรากถูกละเลย จะไม่สามารถมีหน่อออกมาได้อย่างดี
ทุกคนกลับมาทุกคนมีส่วนร่วม พุทธระเบียบลำดับขั้นตอนทั้งหลายก็จงทำไปด้วยความระมัดระวัง
อะไรก็แล้วแต่ที่ถูกว่าว่าผิด ไม่ดี ไม่ชอบ จงรับมาด้วยใจครึ่งเดียว
เพราะถ้าเราเอาใจทั้งใจไปรับ เราเจ็บ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกวันนี้ก็เจ็บ เจ็บเพราะคำพูดพี่น้องกันเอง
ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเปลี่ยนใหม่ให้กำลังใจกันมากๆ
คิดถึงคนอื่นมากๆ
เมื่อยามที่เรานั้นรู้จักที่จะเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น
เราจะเข้าใจถึงสัจธรรมชีวิตได้เร็วมากขึ้น ถ้าเมื่อไหร่ที่เรายังเข้าใจคนอื่นไม่ได้
เรายังเป็นผู้ที่มีเมตตาจิตไม่ได้
ศิษย์เอ๋ยไม่มีวันที่ศิษย์จะเข้าถึงสัจธรรมชีวิตได้จริงๆ เข้าใจไหม
พระอาจารย์จี้กงเมตตาพระโอวาทกับคนที่อยู่ที่สถานธรรมไท่อินจงซิน
ครบหรือเปล่า
มาไม่ครบ ไปตามมา ไม่ครบไม่คุย ครบหรือยัง ปุ๊กด้วย อรขึ้นมา ศิษย์นะ
ตอนนี้ไม่อยากกลับไปกับอาจารย์ต้องรักษาชีวิตให้ดี ไกปั้นจิ้นเลี่ยงปั้น เหนิงปั้นจิ้วปั้น ปู้เหนิงปั้น… ต้องรู้กำลังสติ กำลังกาย กำลังสติ กำลังใจ
ต้องมีทุกๆ อย่าง ต้องรู้เรี่ยวแรงพลัง
ที่สำคัญร่างกายจะอยู่ได้ดี ไม่รวนเพราะจิตใจไม่รวน เข้าใจไหม คนบำเพ็ญเอาชนะโรคได้ก็เพราะว่าใจ ศิษย์ของอาจารย์ชนะโรคมาได้เพราะทุกๆ
คนนั้นกราบขอให้ศิษย์มาก เพราะฉะนั้นต้องอยู่อย่างมีค่า
และต้องอยู่อย่างรู้กำลังตน เป็นคนที่ขี้เกรงใจมีมารยาท
แต่บางทีต้องรู้สถานะตัวเองบ้าง เข้าใจไหม รู้ไหม ทุกคนก็พูดกับศิษย์อย่างนี้
อาจารย์ถ้าจะฝากใครมาพูดให้ศิษย์ฟังก็พูดอย่างนี้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นอย่าให้คนอื่นเขาต้องเตือนเรา เราต้องเตือนตัวเอง
อยู่กันที่นี่เป็นคนที่อยู่สถานธรรมมากกว่าใคร
อยู่ในสถานธรรมที่ชื่อว่าเป็นจงซิน
ต้องรู้ว่าตัวเองนั้นต่างคนต่างหน้าที่ควรทำอะไร
อย่าได้เป็นอย่างที่แล้วๆ มา แล้วมาเป็นอย่างไร เราทุกคนต่างอยากจะคุมกัน
เราทุกคนต่างมีความคิดที่ไม่ตรงกัน คนอยากทะเลาะกัน เขาก็ทะเลาะกันเล่นๆ เพราะเวลาว่างๆ แต่ของศิษย์นี่ไม่ทะเลาะกัน แต่อยู่กันแล้วไม่มีความสุข ต้องเป็นคนคิดดี
คิดทุกคน ต้องเป็นคนรู้ในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ต้องเห็นคุณค่าในตนทุกๆ คน และช่วยเหลือกันให้มาก ไม่เอาเปรียบกัน
เข้าใจไหม ใครทำอะไรได้อย่างนั้น
ใครทำใครมีส่วน ใครไม่ทำคนนั้นไม่มีส่วน
คิดให้เป็นธรรมะ เข้าใจคำว่าคิดให้เป็นธรรมะไหม เราต้องหยุดความคิดของตัวเองเป็น
เราต้องรู้ว่าอะไรจะพูด อะไรจะไม่พูด เข้าใจไหม
เพราะว่าเราอยู่ที่นี่เป็นสภาพของผู้บำเพ็ญ ศิษย์อยู่ในที่ที่คนนั้นเข้ามาบำเพ็ญ
เพราะฉะนั้นศิษย์ต้องบำเพ็ญ เวลาคนมาสถานธรรมต้องยินดีต้อนรับ ต้องเต็มใจต้อนรับ
ต้องรู้ อย่าพยักหน้า
ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่อยากทำงานมีจิตใจที่เป็นธรรมะมาก
แต่ร่วมมือกับคนอื่นไม่ได้ ศิษย์บกพร่อง ศิษย์ของอาจารย์ปรับกระบวนท่าใช่ไหม พิธีการน้อยลง
งานมากขึ้นใช่ไหม
แต่ใจมีรูโหว่ ถ้าคนอยู่ข้างบนทะเลาะกัน คนข้างล่างแย่
คนที่เป็นผู้ใหญ่
เข้าใจไหม สร้างความสุขนะ สร้างความสุขและร่วมกันรับผิดชอบ อย่าให้ต้องว่ากัน
ขอเพียงแต่ว่ารักกัน เข้าใจกัน อยู่ร่วมกันไม่ใช้คำว่าทน
แต่อยู่ร่วมกันต้องใช้คำว่าเข้าใจ ต่างคนเป็นอย่างไงรู้ตัวดี แก้ไขปรับปรุงทุกคน
ทุกคน
ขอบใจศิษย์ที่ดูแลรับผิดชอบที่นี่กันให้ดี
ขอบคุณศิษย์ที่ทุกคนนั้นรู้ว่าตัวเองนั้นได้เสียสละแล้วเมื่อมาอยู่ให้คุ้มกับที่มา
ศิษย์สามคนตอนนี้เด็กแต่ความรับผิดชอบจะใหญ่ขึ้น
เพราะฉะนั้นอย่าให้บกพร่องต่อหน้าที่ของตัวเอง ขยัน ตั้งใจเข้าใจไหม สามคนห้ามใช้อารมณ์
แล้วคุยกันให้มาก อยู่ร่วมกันรักสามัคคีให้ดี อดทนด้วย เข้าใจไหม
การบำเพ็ญเรื่องสำคัญทุกวันต้อง เร่งขวนขวาย อันภายในเรื่องของใจบำเพ็ญต้อง
ให้แข็งขัน ทุกข์จากไหน ไม่ถือมั่นเหนือโลกผูกพันสำราญฤทัย ขอความเคร่งครัดชัดลงไป วุ่นวายได้ปัญหาเฉพาะตน
คนบำเพ็ญผู้รู้จริงล้วนคงมั่น ไม่หุนหัน
เป็นอาการผู้รู้กาลดูเรียบ
ง่ายฉายแฝง ยึดเป้าหมายชัดแจ้ง ว่าการฝ่าฟันทุกข์นานต้องปลง คำเตือนไม่ไร้
คำตรงตรงลดละเจาะจง
ต้องอย่าคิดไปมาก
เมื่อใช้หลักธรรมคิดสิ้นสงสัย ธรรมะมากมายเรียนเพื่อรู้ตน
คนหมองบำเพ็ญแล้วสิ้นสับสน
ก้าวเท้าย้ำตนจนทั่งนิทรา รู้คุณค่าของ
น้ำใจทั้งหล้าโล่งใจใต้ฟ้า
เพราะคนรักกัน
ธรรมะกระจ่างแล้วต้องประพฤติ ไม่ยึดมั่นตนนี้อยู่ทุกวัน ปัญหาคาใจมิวายโศกศัลย์ ก็เพราะเชื่อมั่นจนไม่หายใจ
ผู้ใดศึกษาเพียรมามาก
หลงทีก็มักลึกเกินใครใคร หันมาเรียกร้องตนเองให้
ย้อนตนข้างใน เนื้อแท้ตน
ชื่อเพลง: ธรรมะเป็นจุดศูนย์รวมแห่งจิตใจ
ทำนองเพลง: นิราศนุช
หมายเหตุ
: เนื้อเพลงที่ขีดเส้นใต้
พระอาจารย์เมตตาเมตตาให้เพิ่ม ส่วนเนื้อเพลงที่เหลือได้จากโอวาทซ้อนโอวาท
[๑]
ปลาสนาการ
หนีไป